ช่วงที่ได้เลื่อนชั้นขึ้นม.ต้น ฉันเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างเริ่มแปลกไป
ยูมาเข้าร่วมกลุ่มกับพวกเราได้สองสามปีแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามที่ฉันคาดการณ์ไว้ ยูกับฉันกลายเป็นศูนย์กลางของชั้นเรียน…ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นศูนย์กลางของทั้งชั้นปีการศึกษามากกว่า
ถึงฉันจะมีความมั่นใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเอง แต่มันก็ดูจะแย่ไปหน่อยเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับยู
แต่แน่นอนว่าฉันไม่ได้รู้สึกอิจฉายูในเรื่องนั้นหรอกนะ ความสัมพันธ์เราไม่ได้บอบบางขนาดนั้น
“อ่ะ อุมิล่ะ! อรุณสวัสดิ์อุมิ!”
“อุหว่า~ ฉันบอกเธอไปหลายครั้งแล้วน่ะว่าอยู่ดีๆอย่าวิ่งเข้ามากอดแบบนี้…แต่…เพราะว่าเธอน่ารักครั้งนี้ฉันจะยอมให้สักครั้งแล้วกันนะ”
“เฮะเฮะ ขอบคุณนะอุมิ”
สำหรับยูตั้งแต่ที่เลื่อนขึ้นมาอยู่ชั้นม.ต้น เธอก็ไม่ได้หวาดกลัวที่จะมายืนอยู่ต่อหน้าคนอื่นๆเหมือนตอนสมัยอยู่ชั้นประถมอีกแล้ว และตอนที่เธอได้อยู่กับฉัน เธอก็ชอบทำตัวแบบนี้ประจำ
รอยยิ้มของเธอยังคงเหมือนรอยยิ้มที่เธอแอบยิ้มให้ฉันเห็นแบบลับๆตอนที่ฉันได้พบเธอครั้งแรก
มันก็น่าดีใจนะที่ยูมองว่าฉันเป็นคนพิเศษ แต่บางที…เธอก็ติดฉันเกินไปหน่อย
“ซานาเอะ มานากะ อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์อุมิจัง”
“อรุณสวัสดิ์~~”
ความสัมพันธ์ของฉันกับซานาเอะและมานะกะยังคงเหมือนเดิม พวกเรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่แน่นอนว่าพวกเธอไม่ได้ติดฉันเหมือนยู ไม่สิ แบบนี้แหละคือความสัมพันธ์แบบเพื่อนปกติ…แบบยูนี่ฉันรู้สึกว่าเกินปกติไปนิดนึง
“อ๊ะ จริงสิยู วันนี้เป็นเวรเธอไม่ใช่เหรอ? ทั่วไปเอาสมุดบันทึกประจำวันมาจากอาจารย์หรือยังนะ?”
“เอ๊ะ? …..อ๊า!”
“โถ่…เอาล่ะๆ รีบไปแล้ว ถ้าช้าเดี๋ยวอาจารย์จะโกรธเอานะ”
“อะ อืม ทุกคน ฉันขอตัวไปเอาสมุดบันทึกแปปนึงนะ”
ยู เด็กสาวผมบลอนด์ที่ยิ่งโตเธอก็ยิ่งดูสดใสมากขึ้นเรื่อยๆ รีบเดินออกจากห้องไปด้วยท่าทางรีบร้อน
ทั้งๆที่เป็นแค่การเดินธรรมดาๆเพื่อไปเอาสมุดบันทึกประจำวัน แต่ภาพของเธอกลับสวยงามราวกับผีเสื้อกำลังบินออกจากดอกไม้
ถึงโรงเรียนของเราจะเป็นโรงเรียนหญิงล้วน แต่ดูเหมือนทุกคนก็ยังคงหลงใหลในตัวยู
“จริงๆเลย…อ๊ะ พวกเธอสองคนช่วงวันหยุดสัปดาห์หน้าพวกเธอว่างไหม?”
“เอ๊ะ? เอ่อ…ฉันก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน…”
“ฉันไม่รู้ว่าจะมีเรียนพิเศษหรือเปล่านะสิ…ว่าแต่มีอะไรเหรอ?”
“เฮะๆ จริงๆแล้ว…”
ฉันหยิบตั๋วออกมาจากกระเป๋าของชุดนักเรียน มันคือบัตรชมภาพยนตร์ฟรีในวันนั้น ดูเหมือนว่าแม่ของฉันจะได้มาจากคนรู้จัก และเธอก็ให้มันกับฉันเพื่อเอาไว้ไปดูหนังกับเพื่อน
“ฉันมีตั๋วอยู่สี่ใบพอดี ทำไมเราไม่ไปด้วยกันล่ะ แล้วหลังจากดูหนังเสร็จ เราก็ไปเที่ยวหรือว่าไปหาอะไรกินต่อดีไหม?”
ตั้งแต่ที่เราขึ้นม.ต้นมา พวกเราก็ไปเที่ยวพร้อมกันสี่คนน้อยลงเรื่อยๆ ซานาเอะกับมานากะนั่นยุ่งอยู่กับการเรียนและการเรียนพิเศษ ถึงแม้พวกเธอจะสัญญาว่าจะมาเล่นด้วยบ่อยๆ แต่พวกเธอคนใดคนหนึ่งหรือไม่ก็ทั้งสองคนมักจะไม่ว่างอยู่เสมอ
แม้จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นบ่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังตัดสินใจชวนพวกเธออยู่ตลอด
ฉันไม่คิดว่ามิตรภาพของพวกเราจะจืดจางลงเพียงเพราะว่าพวกเราเล่นด้วยกันน้อยลง ฉันยังอยากเล่นกับทุกคนดังนั้นเลยชวนพวกเธอไปเที่ยวด้วยกันอยู่เป็นระยะๆ
เพราะว่าฉันเป็นตัวกลางระหว่างพวกเราทั้งสี่คน
“เอ่อ~~ วันเสาร์ วันอาทิตย์…เสาร์ อาทิตย์ อะ…เอ่อ…”
“สัปดาห์หน้า ค่อนข้างยุ่งน่ะ”
“เอ๊ะ? ทั้งสองคนเลยหรอ? มีเรียนพิเศษงั้นหรอ?”
ถึงคิดไว้แล้วว่าบางทีอาจจะเป็นแบบนี้ก็เถอะ แต่มันก็กลายเป็นแบบที่คิดไว้จริงๆสินะ
“อืม ประมาณนั้นแหละ~”
“ฉันเองก็ด้วย ต้องไปเรียนพิเศษเหมือนกัน”
“งั้นหรอ…ช่วงนี้เรียนกันบ่อยจัง”
แม้ที่บ้านของฉันกับยูจะเป็นครอบครัวธรรมดา แต่ที่บ้านของซานาเอะกับมานากะนั้นค่อนข้างมีฐานะ ทำให้พ่อแม่ของพวกเธอค่อนข้างจริงจังกับการเรียนของทั้งสองคนไม่เหมือนกับที่บ้านของฉัน
“ขอโทษนะอุมิจัง เธออุตส่าชวน…”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ในเมื่อมันเป็นเรื่องของที่บ้านของทั้งสองคนมันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ”
ฉันแตะไหล่ของพวกเธอทั้งสองคนที่มีท่าทางเสียใจว่าไม่ต้องกังวล
ถึงค่าตัวหนังจะแพงไปหน่อย แต่เอาไว้ไปดูพร้อมกันครั้งหน้าก็ได้เพราะยังไงเราก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่เหมือนเดิม
“อ๊ะ แล้วอาทิตย์ต่อไปล่ะ? ฉันยังว่างอยู่ แล้วมานากะล่ะ?”
“อืม ฉันจะลองคุยกับพ่อแม่ดู ฉันเองก็อยากพักเหมือนกัน”
เห็นไหมล่ะ ถ้าฉันไม่ชวนพวกเธอล่วงหน้าแบบนี้ บางทีพวกเธออาจจะไม่ว่างกันอีกด้วยเหตุผลบางอย่างก็ได้
“…ขอโทษที่ให้รอนะทุกคน! ฉันไปเอาสมุดบันทึกประจำวันจากอาจารย์มาเรียบร้อยแล้วล่ะ”
“โอ้ งั้นเอาไว้คุยกันทีหลังนะ…ฉันจะติดต่อเรื่องเวลานัดกับพวกเธออีกทีนะ”
มันช่วยไม่ได้ ถึงจะรู้สึกเหงานิดหน่อย แต่จะปล่อยตั๋วหนังทิ้งไปเฉยๆก็ไม่ได้ ตอนแรกฉันว่าจะชวนยูไปดูด้วยกัน แต่แบบนั้นมันคงไม่ดีกับอีกสองคนที่ไม่ได้ไป ฉันเลยคิดว่าจะไปดูคนเดียว มันอาจจะทำให้มีสมาธิในการดูหนังมากขึ้น…บางทีการไปดูหนังคนเดียวก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด
นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันวางแผนจะไปดูหนังคนเดียวในวันเสาร์หน้าโดยที่ไม่ได้ชวนยูไปด้วย ฉันรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยที่จะต้องออกไปเที่ยวในเมืองคนเดียว…แต่ว่า ฉันอยากจะสาปแช่งตัวเองจริงๆที่ตัดสินใจทำแบบนี้
มันเป็นตอนที่ฉันกำลังเดินมุ่งหน้าไปที่โรงหนังในย่านใจกลางเมือง มันอยู่ห่างจากสถานที่ที่ฉันชอบไปเที่ยวเล่นบ่อยๆประมาณสองถึงสามสถานี
“เอ่อ…โรงหนัง โรงหนังอยู่ไหน…นะ…”
ในตอนที่ฉันกำลังเดินพร้อมกับดูแผนที่บนมือถือ ฉันกลับได้ยินเสียงของใครบางคนที่ไม่ควรจะอยู่ที่นี่
“ยูจัง เอาล่ะ ไปที่นั่นกันต่อนะ”
“อ๊ะ รอเดี๋ยวสิทั้งสองคน…”
ในตอนนั้นฉันรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นแรงมาก
แน่นอนว่าเสียงที่ฉันได้ยินนั้นมาจากคนสามคน
ซานาเอะ มานากะ และยู
ฉันหันไปทางด้านที่ได้ยินเสียงเพื่อยืนยันว่าตัวเองไม่ได้หูฝาด
นอกจากยูแล้วทำไมสองคนนั้นถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ? พวกเธอไม่ได้มีธุระที่ต้องทำงั้นเหรอ?
ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ฉันแอบซ่อนตัวในเงามืดทันทีและแอบมองดูทั้งสามคน
“เป็นอะไรไปอีกยูจัง? เธอดูใจลอยๆนะ…ไม่สนุกหรอ?”
“เอ๊ะ? ไม่ใช่หรอก ฉันไม่เคยมาที่นี่มาก่อนแล้วก็รู้สึกสนุกมาก แต่ว่า…ฉันรู้สึกเหงานิดหน่อยเพราะว่าอุมิไม่ได้มาด้วยน่ะ”
“งะ งั้นเหรอ…แต่มันช่วยไม่ได้นี่นา วันนี้อูมิจังดูเหมือนเธอจะยุ่งๆ”
“อือ ฉันชวนอุมิแล้วแต่เธอบอกว่าวันนี้เธอไม่ว่างน่ะสิ”
ไม่ใช่ เป็นซานาเอะกับมานากะ เป็นทั้งสองคนไม่ใช่หรือไงที่บอกว่าวันนี้ไม่ว่าง ทำไมถึงบอกกับยูว่าฉันไม่ว่างกันล่ะ…นี่มันอะไรกัน ทั้งๆที่ฉันเป็นคนชวน…ทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้
ในขณะที่คิด ใบหน้าของฉันก็รู้สึกร้อนขึ้นมา ฉันไม่รู้ทำไมว่าพวกเธอถึงโกหก ทำไมถึงกีดกันฉันให้กลายเป็นคนนอกและแอบมาเที่ยวกับยูในสถานที่ที่ฉันไม่น่าจะตามมาเจอพวกเธอ
ฉันอยากกระโดดออกไปและถามพวกเธอตรงๆ ทำไมพวกเธอถึงปฏิเสธฉัน ฉันเป็นคนเดียวที่คิดว่าพวกเธอเป็นเพื่อน หรือพวกเธอเกลียดฉันเพราะว่าฉันทำตัวเป็นหัวหน้ากลุ่ม?
“…อึก…”
อย่างไรก็ตาม เท้าของฉันไม่สามารถก้าวออกจากเงามืดไปข้างหน้าได้แม้แต่ก้าวเดียว
ในที่สุดฝั่งของเหตุผลก็เป็นฝ่ายชนะ
ฉันรู้ดีว่าถ้าตัวเองก้าวเท้าออกไปจากที่นี่ทุกอย่างที่สร้างมาจะพังทลายลง การระบายอารมณ์เพื่อบรรเทาความโกรธอาจจะต้องแลกกับความสัมพันธ์ของพวกเราทั้งสี่คนที่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“…ฉันต้องทำเป็นไม่เห็นพวกเธอ”
ฉันพึมพัมกับตัวเอง ถึงจะเศร้า แต่ถ้าฉันทนได้ฉันก็จะสามารถปกป้องมิตรภาพของพวกเราไว้ได้
ด้วยวิธีนี้ ฉันจะสามารถปกป้องรอยยิ้มของยูไว้ได้
ฉันควรจะปล่อยให้ยูไว้แบบนี้ เธอไม่จำเป็นต้องรับรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
ฉันเดินกลับบ้านโดยไม่ได้ไปดูหนังตามที่ตั้งใจไว้เพื่อที่ทั้งสามคนจะได้ไม่มาบังเอิญมาเจอกับฉัน ตั๋วหนังที่มีรอยหยดน้ำเล็กๆถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ก่อนที่ฉันจะโยนมันลงถังขยะที่หน้าร้านสะดวกซื้อ
หลังจากนั้น…ฉันเก็บเรื่องราวเหล่านี้ไว้ในใจ พยายามทำตัวให้เหมือนปกติและคบหาเป็นเพื่อนกับพวกเธอต่อไป
ตอนแรกฉันคิดว่าตัวเองจะทนได้กับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น แต่การโดนเพื่อนที่เชื่อใจหลอกลวงดูเหมือนจะมีผลมากกว่าที่ฉันจินตนาการไว้…ท้ายที่สุดแล้วตัวฉันก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
นั่นเป็นช่วงกลางฤดูหนาวของชั้นปีสาม ในความจริงฉันควรที่จะเรียนต่อชั้นม.ปลายที่โรงเรียนเดิม…แต่ฉันเลือกที่จะคุยกับพ่อแม่เกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้และเกี่ยวกับเรื่องการย้ายโรงเรียน
☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆
ปล. กลับมาแล้วครับ หลังจากหายไปนาน หลังจากนี้ก็น่าจะไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ก็น่าจะแปลต่อได้ยาวๆครับ(ฮา)
ปล2. อันนี้ใช้ของเล่นใหม่ โดยการใช้เสียงพิมพ์เอา ก็รู้สึกเหมือนว่าจะสบายขึ้น…(มั้ง) คำผิดยังไม่ได้เช็คครับ เดี๋ยวกลับมารีเช็คให้อีกทีนะครับ
ขอบคุณที่ติดตามครับ
Durimtok Channel