บทที่ 44 – คนบ้า
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสคุยกับอาซานางิในฐานะ「เพื่อน」นับตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว…โดยปกติแล้วเราจะคุยกันอยู่ตลอดเวลา แต่เนื่องจากเธอพยายามหลบหน้าผม ทำให้รู้สึกเหมือนว่าเราไม่ได้คุยกันมาสักพักใหญ่ๆแล้ว
“โง่ โง่จริงๆ ทั้งๆที่เป็นความลับแท้ๆ…แต่นายเล่นพูดแบบนั้นต่อหน้าทุกคน ฉันก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องมาน่ะสิ…แล้วอีกอย่าง นายถึงขนาดแอบติดต่อกับยูเพื่อที่จะทำเรื่องแบบนี้เลยงั้นเหรอ?”
ดูเหมือนว่าอาซานางิจะดูออก บางทีเธออาจจะคอยสังเกตสถานการณ์ในห้องอยู่ตลอดเวลา อามามิซังที่ไม่ถนัดจะทำเรื่องอะไรลับหลังคนอื่น แล้วยิ่งกว่านั้นอามามิซังยังไงก็ยังคงเป็นเพื่อนสนิทของอาซานางิ ดังนั้นอามามิซังอาจจะหลุดทำตัวน่าสงสัยออกมาจนเธอสังเกตเห็นก็ได้ล่ะนะ
“นั่นไม่ใช่เพราะว่าเธอพยายามหลบหน้าผมรึไง…แล้วก็ไม่ยอมอ่านข้อความที่ส่งไปด้วย…แล้วนอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องหนังสือเรียนนั่นอีกเรื่องนึงด้วยนะ”
“ระ-เรื่องนั้น…ก็เพราะ…ว่า…”
เห็นได้ชัดว่าอาซานางิไม่ได้มาที่นี่เพราะต้องการจะมาพูดคุยหรือบอกเหตุผลกับผม…แต่เธอมาที่นี่เพราะโดนพูดแบบนั้นต่อหน้าทุกคนต่างหาก
แต่เมื่อมองดูอารมณ์ของอาซานางิในตอนนี้ ถ้าผมดึงดันถามเธอต่อไปอีกหน่อยเธอน่าจะยอมบอกเหตุผลออกมา
“เอาเถอะ เรื่องนั้นช่างมันไปก่อน ตอนนี้เราควรจะรีบมาทำงานให้เสร็จก่อน…ตามที่อามามิซังบอก ดูเหมือนว่าพวกเราจะเก็บกระป๋องเปล่ามาได้ประมาณครึ่งนึงของที่ต้องใช้แล้วล่ะ”
“…จะดีหรอ?”
“ไม่เป็นอะไรหรอก ยังไงก็ตั้งใจมาทำงานตั้งแต่แรกอยู่แล้ว…แต่ถ้าเธอคิดว่าจะยอมสารภาพก่อนแล้วค่อยไปทำงาน แบบนั้นก็ได้เหมือนกัน”
“…ขอทำงานก็แล้วกัน”
“ครับ ครับ งั้นจะไปเปิดห้องเก็บของก่อนนะ อยู่เฉยๆ แล้วก็อย่าหนีไปไหนซะล่ะ”
“…ไอบ้านี่ ฉันเกลียดนาย มาเอะฮาระ”
ถึงจะโดนด่า แต่ดูเหมือนอาซานางิจะไม่ได้เกลียดผมจริงๆ แต่น่าจะเป็นเพราะเธอกำลังงอนมากกว่า
อาซานางิคงจะไม่มาทำอะไรแบบนี้หรอกถ้าเธอเกลียดผมจริงๆ…ผมรู้สึกโล่งใจที่ตัวเองดูเหมือนจะกังวลมากเกินไป
ผมใช้กุญแจที่ยืมมาเปิดประตูห้องเก็บของ ก่อนที่จะก้าวเข้าไปข้างใน
หากเป็นในมังงะหรืออนิเมะ ในสถานการณ์แบบนี้ มันง่ายมากที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ตัวละครชายกับตัวละครหญิงในเรื่องต้องมาติดอยู่ในห้องเก็บของที่มืดมิดด้วยกันจนถึงเช้า…แต่ความเป็นจริงนั้นโหดร้าย นอกจากที่ประตูห้องเก็บของจะสามารถเปิดจากด้านในได้อย่างง่ายดายแล้ว ภายในห้องเองก็ยังมีการติดตั้งหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ไว้อยู่ด้วย ดังนั้นเหตุการแบบนั้นจึงแทบจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง
“ตามที่อามามิซังบอกมา..จะมีถุงขยะสีดำอยู่ในห้องเก็บของ เดินเข้ามาก็จะเจอเลย…ใช่อันนี้หรือเปล่านะ?”
พอผมเปิดไฟและทำการมองไปรอบๆ ผมก็เห็นว่ามีถุงขยะสีดำกองใหญ่กองอยู่ทางด้านขวามือของห้อง ดูเหมือนในแต่ละถุงจะถูกแบ่งตามสีของกระป๋องไว้แล้ว ดังนั้นการนับจำนวนน่าจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่คงจะต้องใช้เวลาพอสมควร
“ถ้างั้นแบ่งกันนับแล้วกันนะ อาซานางิเริ่มนับจากสีที่ใช้น้อยๆก่อนแล้วกัน ถ้าได้ตามจำนวนที่ต้องการใช้แล้วเดี๋ยวพวกเราคอยเอาไปที่ห้องเรียนพร้อมกันทีเดียวเลย”
“…อืม”
ถึงจะอยากจะคุยแค่ไหนก็ตาม…แต่ยังไงก็ต้องทำในสิ่งที่สมควรทำก่อน
“นี่ถุงกระป๋องสีดำสินะ…อุหวา~ ข้างในยังมีบุหรี่อยู่เลย คนไหนกันนะที่เก็บมาแล้วไม่ยอมทำความสะอาดให้เรียบร้อย? อาซานางิ ของเธอเป็นไงบ้าง?”
“ของฉันดูเรียบร้อยดีนะ กระป๋องพวกนี้ถูกทำความสะอาดหมดแล้วล่ะ…ก็น่าจะเป็นคนละกลุ่มกับของนาย เอาเถอะ เดี๋ยวพวกเราค่อยไปเน้นเรื่องการทำความสะอาดหลังจากเก็บกระป๋องเปล่ามาแล้วกันอีกทีน่าจะดีกว่าล่ะนะ”
“เข้าใจล่ะ ฝากด้วยละกันนะ”
“อือ”
ยิ่งได้ทำงานร่วมกัน ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเข้ากับอาซานางิได้ดีมาก พวกเราสามารถเข้าใจในสิ่งเดียวกันได้โดยแทบจะไม่ต้องอธิบายอะไรมากมาย ทำให้การดำเนินงานต่างๆเป็นไปได้อย่างราบรื่นเป็นอย่างมาก
ดูเหมือนว่าการจัดงานนิทรรศการของห้องเราจะเป็นไปได้ด้วยดีล่ะนะ
“……..”
“……..”
เมื่อเรื่องที่จะพูดหมดลง บรรยากาศในห้องเก็บของก็กลายเป็นเงียบงัน
ได้เพียงเสียงดังของกระป๋องที่ ‘แก๊งๆ’ ในตอนที่ผมกับอาซานางิกำลังนับอยู่เท่านั้น
…พูดตามตรง…แบบนี้มันน่าอึดอัดเกินไปแล้ว
ตามปกติในตอนที่ผมกับอาซานางิดูการ์ตูนหรือหนังด้วยกันที่บ้าน ถึงบรรยากาศจะเงียบเหมือนกับในตอนนี้ แต่ส่วนมากผมจะหลับไปกลางทาง ทำให้ผมไม่ค่อยได้สนใจกับบรรยากาศในตอนนั้นสักเท่าไหร่
แต่นั่นก็เป็นตอนที่ผมกับอาซานางิไม่ได้มีปัญหาแคลงใจกันล่ะนะ…ดังนั้นมันจึงแตกต่างจากในตอนนี้ที่อาซานางิกำลังพยายามหลบหน้าผมอยู่ โดยที่ตัวผมเองก็ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดว่าทำไมเธอถึงทำแบบนั้น
“อุ….”
“…!”
ในระหว่างที่เรากำลังทำงานกันอยู่ ก็มีบางครั้งที่ผมก็หันไปเจอเข้ากับสายตาของอาซานางิพอดี…ก่อนที่พวกเราจะรีบทำเป็นหันไปมองทางเพื่อหลบสายตาของกันและกัน
ปกติในช่วงเวลาแบบนี้เราจะคุยเรื่องอะไรกันนะ?…พิซซ่าหน้าใหม่ๆ หนังเกรดB ตัวละครในมังงะ เกมที่ออกใหม่ หรือบางทีก็เป็นเรื่องในโรงเรียน…หัวข้อการสนทนาของผมกับอาซานางิมักจะเป็นเรื่องพวกนี้…แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ควรเอามาคุยกันในสถานการณ์แบบตอนนี้เลยสักนิด
“…นี่ มาเอะฮาระ”
“อะไรเหรอ?”
“นายจะไม่ถามฉันหรอ?”
“ไม่ถาม…เกี่ยวกับเรื่องอะไรล่ะ?”
“…ก็…เรื่องที่ทำไมฉันถึงต้องพยายามหลบหน้านาย…ล่ะมั้ง?”
“เธออยากบอกหรอ?”
“ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากบอก…หรอกนะ…แต่ว่า จะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไปตลอดก็คงไม่ได้…แน่นอนว่ารวมถึงเรื่องของยูด้วย…”
ทั้งผมและอาซานางิ รวมไปถึงอามามิซังด้วย…พวกเราต่างก็ต้องการที่จะซ่อมรอยร้าวของความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นเพราะผมกับอาซานางิเก็บเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเราไว้เป็นความลับจากอามามิซัง
สำหรับอาซานางิแล้ว ผมเป็น「เพื่อน」ส่วนอามามิซังก็เป็น「เพื่อนสนิท」ที่อยู่ด้วยกันมานานหลายปี
แทนที่จะปล่อยให้ความแตกแยกค้างคาอยู่แบบตอนนี้ การหันหน้ามาคุยกันน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าแน่นอน
แต่จะทำแบบนั้นได้ ก็มีแต่จะต้องถามอาซานางิเท่านั้น…
อาซานางิน่าจะมีโอกาสที่จะได้บอกความลับกับอามามิซังหลายต่อหลายครั้ง…แต่ทำไมเธอถึงเลือกที่จะปิดบังเรื่องของเราไว้ไม่ให้อามามีซังรู้?
“…ถ้าพูดตามตรง”
“อืม”
“ผมเองก็อยากจะฟังจากปากของอาซานางิเองล่ะนะ…แล้วก็อยากจะรู้เหตุผลด้วย…จริงอยู่ที่อาทิตย์ที่แล้วมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น…แต่ว่านะ เรื่องที่ผมอยากรู้มากที่สุดก็คือ…ทำไมเธอต้องคอยหลบหน้าผมด้วย มีแค่เรื่องนั่นนี่แหละที่ผมไม่เข้าใจ”
“…ขอโทษนะ”
“ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก ผมรู้ว่าทุกคนต่างก็มีเรื่องที่ไม่อยากบอกกับใครด้วยกันทั้งนั้นแหละ…ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือเพื่อนสนิทก็ตาม…แล้วขนาดผมเอง…ก็ยังไม่เคยเล่าเรื่องการหย่าร้างของพ่อกับแม่ หรือเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นให้อาซานางิฟังเลยด้วยเหมือนกันแหละนะ”
ในมุมมองของคนอื่นอาจจะบอกว่า「มันต้องขนาดนั้นเลยรึไง?」แต่สำหรับตัวเองแล้วมันเป็นเรื่องที่น่ากังวลที่จะต้องเล่าให้คนอื่นฟังจริงๆ
“ถ้าอาซานางิพูดออกมาแล้วจะรู้สึกดีขึ้น ผมก็อยากจะฟัง…แต่ถ้าไม่ ผมก็จะไม่บังคับให้อาซานางิต้องพูดออกมาหรอกนะ ผมคิดว่าการทำแบบนั้นมันไม่ถูกต้องเท่าไหร่น่ะ”
ในความคิดของผม ใจนึงก็อยากจะถามออกไปตรงๆถึงเหตุผลของอาซานางิ แต่อีกใจนึงผมก็อยากที่จะเคารพในตัวของอาซานางิ แต่ถึงจะมีความขัดแย้งเกิดขึ้นภายในใจ แต่สุดท้ายแล้ว…ผมก็เลือกที่จะให้อาซานางิเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเอง
หลายคนอาจจะอยากหัวเราะเยาะในความลังเลของผมก็ได้ แต่เพราะผมอยู่คนเดียวมาตลอด ดังนั้นผมก็เลยไม่ทราบเหมือนกันว่าควรจะทำอย่างไรดีในสถานการณ์แบบตอนนี้
“…มีคำถามที่อยากจะถามหลายอย่างเลยล่ะ แต่ถ้าอาซานางิยังไม่พร้อมที่จะพูด ผมก็จะรอจนกว่าอาซานางิจะพร้อม”
“จะดีหรอ? บางที่นายอาจจะต้องรอนานมากๆเลยก็ได้นะ?”
“ได้สิ ถึงจะนานแค่ไหน…ก็น่าจะรอไหวอยู่แหละนะ”
…บางที…อาจจะรู้สึกเหงานิดหน่อย…แต่ก็คิดว่าจะสามารถรอจนกว่าจะถึงเวลานั้นได้
“งั้นเรื่องนี้ก็เอาไว้แค่นี้แล้วกัน…มะ-มาทำงานกันต่อเถอะ ถ้ากลับไปช้า เดี๋ยวทุกคนจะสงสัยเอา”
ถึงจะยังไม่ได้แก้ปัญหาอะไร แต่ก็รู้สึกโล่งและสบายใจขึ้นมาก
แค่ได้คุยกับอาซานางิ…ถึงจะแค่นิดหน่อย…แต่แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ…
“…ดีแล้วล่ะ”
“เอ๊ะ?”
“เพราะว่า…ฉันน่ะ…”
“อาซานางิ คราวนี้เป็นอะไร….”
ช่วงเวลาที่ผมกำลังจะหันกลับไปหาอาซานางิ…กลิ่นหอมอ่อนๆก็เข้าจู่โจมพร้อมกับสัมผัสที่โอบกอดตัวของผมไว้
“เอ๊ะ? เอ๊ะ?”
“…มาเอะฮาระ คนบ้า”
ผมรู้สึกสับสนกับความรู้สึกของอาซานางิที่ใส่เข้าไปในคำว่า「คนบ้า」ของเธอ…ดูเหมือนว่าผมจะตามไม่ค่อยทันซะแล้วสิ…
☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆
ปล. แปลยากจริงๆครับ ที่ยากคือจะต้องใช้คำยังไงถึงจะสามารถสื่อถึงอารมณ์ที่ตัวละครสื่ออกมาได้ ตอนนี้ก็ยังนั่งปวดหัวอยู่เลยครับ(ฮา)
ปล2. ไม่สบาย ตอนนี้ก็เลยยังมึนๆอยูุ่ครับ อาจจะอ่านแล้วงงๆบ้างนะครับ
ปล3. ปกติผมจะอัพเดทข่าวในเพจ Durimtok Channel | Facebook ถ้ายังไงก็เข้ามาตามข่าวกันได้นะครับ เผื่อมีอะไรผมจะแจ้งไว้ในเพจก่อน
ขอบคุณที่ติดตามครับ