ตอนที่ 24 – มากิคุง
วันรุ่งขึ้น
ในตอนเช้า เมื่อผมมาถึงโรงเรียนตามเวลาปกติ อามามิซังก็เข้ามาทักทายผมอย่างร่าเริง
“อ๊ะ มากิคุง อรุณสวัสดิ์~ วันนี้อากาศดี๊ดีนะ ว่ามั้ย?”
“อะ-เอ่อ..นะ-นั่นสินะ”
“โม่~ ทำไมทำเหมือนฉันเป็นคนอื่นแบบนั้นล่ะ~”
แน่นอนว่าวันที่เป็นวันที่อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส และมีเมฆไม่มาก แต่นั่นไม่เรื่องที่ผมจะต้องมาสนใจในตอนนี้
ผม อามามิซัง ผม อามามิซัง …ในขณะนี้ เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆรอบตัวผมกำลังมองหน้าผมกับอามามิซังสลับกันด้วยความประหลาดใจ
“นะ-นี่ ยูชิน…คือว่า…ฉันขอถามอะไรหน่อย…มากิคุง เธอเรียกใครน่ะ…”
“เอ๊ะ? ล้อเล่นแบบนี้ไม่ดีเลยน้า~~นีน่าจิ เรียกมาเอะฮาระคุงไง…มาเอะฮาระ มากิ…หรือว่า…เธอจำชื่อมาเอะฮาระคุงไม่ได้?”
“เอ๊ะ? มะ-ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย…”
เห็นได้ชัดว่านิตตะซังคงลืมไปเรียบร้อยแล้ว…ผมหมายถึง…ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ในห้องก็คงจะลืมไปแล้วเช่นกัน แต่ผมไม่ได้สนใจในเรื่องนั้น ในสถานการณ์ตอนนี้…เหตุผลที่ทุกคนแปลกใจนั่นน่าจะเป็นเพราะว่าอามามิซังเรียกชื่อของผมต่างหาก
เมื่อวานนี้เธอยังเรียกผมว่า「มาเอะฮาระคุง」อยู่เลย…แต่วันนี้เธอกลับเรียกผมว่า「มากิคุง」
บางคนอาจจะมีความคิดแปลกๆ ว่าคงเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นเมื่อวานนี้
“ยูชินดูเหมือนจะไปได้ดีกับมาเอะฮาระคุงนะ… เมื่อวานมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?”
“อืม เมื่อวานฉันคืนดีกับมากิแล้วนะ เราเลยกลายมาเป็นเพื่อนกัน ใช่มั้ย? มากิคุง?”
ซุบซิบๆ!?
หลังจากอามามิซังพูดจบ ทั่วทั้งห้องเรียนก็เกิดความโกลาหลขึ้นทันที ผมจำได้ว่าเมื่อวานก็มีเหตุการณ์คล้ายๆกับแบบนี้เกิดขึ้น…แต่วันนี้กลับหนักยิ่งกว่าเมื่อวาน
‘เฮ้ย เฮ้ย เอาจริงดิ?’
‘อามามิซังกับไอ้มืดมนนั่นอ่ะนะ?’
‘หรือว่า…หมอนั่นจะแบล็กเมล์เธอ?’
‘แบล็กเมล์เรื่องอะไรล่ะ?’
‘ไม่รู้สิ คิดไม่ออกเหมือนกัน…หรือว่าบางทีอาจจะเป็นพวกรูปแอบถ่าย?’
(พวกนายโง่กันรึยังไง ถ้าผมทำเรื่องแบบนั้น อามามิซังจะไม่มีทางที่เข้ามาคุยกับผมแบบนี้หรอก!)
ผมได้แค่คิดแต่ไม่กล้าพูดออกไป ดังนั้นผมจึงตัดสินใจแกล้งทำเป็นไม่สนใจ
ในช่วงเวลาก่อนที่อามามิซังจะกลับบ้านเมื่อวาน ผมได้รับคำขอร้องจากเธอว่า「มาเป็นเพื่อนกันเถอะ」และผมก็ยอมรับคำขอของเธอ นั่นจึงน่าจะเป็นสาเหตุของการเรียกชื่อของผมในวันนี้
โดยปกติแล้ว อามามิซังจะเรียกเพื่อนๆของเธอด้วยชื่อ และเมื่อเริ่มสนิทกันมากขึ้น เธอก็จะตั้งชื่อเล่นให้ เช่น อาซานางิกลายเป็นอุมิ นิตตะซังกลายเป็นนีน่าจิ… (หมายเหตุ:เรื่องเล่าจากอาซานางิ)
“ฉันไม่รู้ว่าทุกคนคิดยังไงกับเขา แต่มากิคุงเป็นคนดี ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยพูดและเป็นคนที่ค่อนข้างเงียบ แต่เขามีความคิดเป็นของตัวเอง แล้วก็ฉลาดด้วย…ฉันรู้สึกว่าเขาเหมือนกับอุมิ!”
“ไม่ล่ะ…ผมคิดว่ามันเป็นการพูดเกินจริงไปหน่อย…”
ถึงผมจะคิดว่ามันเป็นความจริงที่ผมมีความคล้ายคลึงกับอาซานางิ ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ชอบหรือวิธีคิดของพวกเรานั้นค่อนข้างที่จะคล้ายกัน
“ไม่ใช่แบบนั้น นี่…อุมิ อุมิเข้าใจใช่ไหม?”
“ยู…ฉันไม่เข้าใจว่าเพื่อนสนิทของฉันกำลังพูดเรื่องอะไร”
“เอ๋~!? แบบว่า..อูมิกับมากิคุงดูน่าจะเข้ากันได้ดีน่ะ ฉันเลยอยากให้พวกเธอแลกเบอร์โทรกันแล้วก็กลายมาเป็นเพื่อนกันน่ะ”
“นี่…เห็นแบบนี้…ฉันเองก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันนะ”
ไม่ต้องพูดถึงการแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ อันที่จริงพวกเราส่งข้อความหากันค่อนข้างบ่อยด้วยซ้ำ แต่ไม่มีทางที่อามามิซังจะรู้เรื่องนั้น…นั่นคือเหตุผลที่พวกเราตัดสินใจที่จะกลบเกลื่อนเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบตอนนี้ขึ้น
ผมคิดว่าสิ่งต่างๆที่ผมกับอาซานางิทำด้วยกัน มันก็เหมือนเรื่องปกติที่เราทำกับเพื่อนเพศเดียวกัน…ผมกับอาซานางิดูเหมือนอย่างนั้นในสายตาของอามามิซังอย่างงั้นเหรอ?
“อ๊ะ จริงสิ มากิคุง วันนี้ก็จะไปกินข้าวคนเดียวเหรอ?”
“เอ๊ะ? ก็…ผมก็ทำแบบนั้นประจำอยู่แล้วล่ะนะ”
“โอเค งั้นวันนี้ไปกินข้าวด้วยกันสองคนนะ เพื่อเป็นการระลึกถึงมิตรภาพของพวกเรา!”
‘สะ-สองคน!?’
จ๊อกแจ๊กๆ–!?
คำพูดของอามามิซังทำให้ห้องเรียนมีเสียงดังมากขึ้น
“เดี่ยวนะ! ยู! แบบนั้น…น่าจะไม่ค่อยดีนะ!”
“งั้นเหรอ? แต่มากิคุงบอกว่า เขาไม่ชอบการอยู่กันหลายๆคน ฉันเลยคิดว่าถ้าอยู่กับฉันแค่สองคนมันน่าจะดีกว่า ไม่ใช่เหรอ?”
“ก็นะ ถ้าจะพูดแบบนั้นมันก็ไม่ผิดหรอก…แต่มาเอะฮาระคุงก็คิดแบบนั้นหรอ?”
“อ-อืม…ถ้าทำแบบนั้น…ผมว่ามันก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
นอกจากอาซานางิแล้ว ก็ต้องบอกว่าอามามิซังเองก็ถือว่าเป็นไอดอลของชั้นปี ไม่ใช่แค่ในชั้นเรียนของผมเท่านั้น
กินข้าวกลางวันกันสองต่อสองกับคนแบบนี้…แค่คิดก็รู้สึกประหม่าจะแย่แล้ว
“เห็นไหม มาเอะฮาระก็คิดแบบนั้น”
“อืม~ อ๊ะ งั้นอุมิก็ไปด้วยกันสิ จะได้อยู่กันสามคนแทน อีกอย่างเมื่อวานอุมิก็อยู่ด้วย…มากิก็ไม่เป็นอะไรนี่…นี่~ มากิคุง ถ้าเป็นแบบนี้มากิคุงโอเคไหม?”
“เอ่อ…คือ…”
ปัญหาคืออาซานางิก็เป็นคนสวยรองจากอามามิซังเท่านั้น
ถ้าผมปฏิเสธข้อเสนอของเธออีกครั้ง ทั้งชั้นเรียนอาจจะคิดว่าผมเป็นคนดื้อรั้นและหยิ่งยโสได้ และนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดี…นี่ผมไม่มีทางเลี่ยงเลยอย่างนั้นเหรอ?
“…เอาล่ะ งั้นตามใจเธอละกัน อามามิซัง อาซานางิซัง ไปกันสามคนนะ”
“จริงเหรอ? ฉันทำได้~”
หลังจากได้ยินคำตอบของผม อามามิซังก็ทำท่าทางดีใจอย่างไร้เดียงสา
ดีใจกับการที่จะได้ไปกินข้าวกับคนที่ไม่มีอะไรน่าสนใจแบบผม ไม่รู้ว่าอามามิซังแค่เป็นคนดีหรือแค่เป็นคนนิสัยแปลกๆกันแน่?
“ขอบคุณนะมากิคุง! นี่ อุมิ มากิคุงตอบโอเคด้วยล่ะ!”
“จ้า จ้า ยินดีกับเธอด้วย…ขอโทษนะมาเอะฮาระคุง ที่ยินดีตอบรับความเอาแต่ใจของเจ้าหญิงของเรา”
“อ๊ะ ไม่เป็นไรฉันเองก็ควรจะขอโทษที่พาเธอเขามาพัวพันกับเรื่องนี้…”
แม้ว่าในสถานการณ์นี้จะช่วยไม่ได้ แต่สุดท้าย…ผมก็ต้องพึ่งอาซานางิอยู่ดี
「ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในยามยากลำบาก 」 เวลามีปัญหาคนส่วนใหญ่ก็จะพูดกันแบบนี้ตลอด แต่ถึงอย่างนั้นผมเองก็อยากที่จะสามารถอยู่รอดได้ด้วยตัวเองถ้าเป็นไปได้
หลังจากนัดเวลาและแยกกันไปนั่งที่แล้ว ผมก็แอบส่งข้อความไปหาอาซานางิทันที
[ มาเอะฮาระ ] : ขอโทษนะอาซานางิ ฉันทำคนเดียวไม่ได้
[ อาซานางิซัง ] : ไม่เป็นไร ครั้งที่แล้วนายก็ช่วยฉันไว้ แค่ครั้งนี้เราสลับตำแหน่งกัน
[ มาเอะฮาระ ] : นั่นสินะ ขอบคุณนะอาซานางิ ผมดีใจที่ได้ยินเธอบอกแบบนี้
[ อาซานางิซัง ] : ด้วยความยินดี ฉันก็เป็นเพื่อนนายเหมือนกันนะ ฉันจะช่วยนายเอง
[ อาซานางิซัง ] : นอกจากนี้…
[ มาเอะฮาระ ] : นอกจากนี้?
[ อาซานางิซัง ] : ขอโทษ ส่งผิดน่ะ ไม่มีอะไร
[ มาเอะฮาระ ] : งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร
ผมหยุดการแชทไว้เพียงเท่านั้น แล้วเก็บโทรศัพท์เอาไว้ในกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองไปยังอาซานางิที่นั่งอยู่ด้านหน้าของห้องเรียน
อาซานางิยังจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์ เธอไม่ได้สังเกตเห็นการจ้องมองของผม แต่ผมสังเกตเห็นว่าใบหน้าของเธอแดงกว่าปกติเล็กน้อย
☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆ ☆
ปล. ดึกๆน่าจะได้อีกตอนครับ