ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ ฤดูใบไม้ผลิของที่อื่นนั้นเป็นฤดูฝนสำหรับพวกเขา
อ่านนิยาย
วิลเลียมขี่หมีใหญ่มาที่ชายหาด ลมเริ่มพัดและฝนก็เริ่มตก ผู้เล่นบางคนที่กำลังตกปลาอยู่ริมทะเลเห็นวิลเลียม
พวกเขาไม่ได้เข้ามาทักทาย แต่กลับมองไปที่ทะเลด้วยความตื่นเต้นเพราะเมื่อฝนตกจะทำให้ตกปลาได้ง่ายกว่า
สำหรับนักตกปลา
ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเท่ากับการจับปลา อ่านนิยาย
ปลามากมายในโลกแห่งความเป็นจริงทำให้นักตกปลาทั้งหลายเริ่มเบื่อหน่าย มีเพียงปลาสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่แปลกใหม่ในเกมเท่านั้นที่จะกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาได้
ผู้เล่นสายอาชีพใน Gods เข้าร่วมเกมนี้เพราะงานอดิเรกที่แปลกใหม่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตกปลาจากทะเล มันไม่เพียงแต่จะสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับผู้เล่นได้เท่านั้น แต่สัตว์ทะเลหลายชนิดยังมีเวทมนตร์อยู่ในตัวอีกด้วย เมื่อผู้เล่นกินเข้าไปจะได้รับประสบการณ์ หากพวกเขาสามารถจับสัตว์อสูรระดับเริ่มต้นได้พวกเขาจะได้รับเงินเป็นจำนวนมาก
วิลเลียมรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว เวทมนตร์ในทะเลนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าบนบก ปลาที่มีความยาวกว่าสิบเมตรจะถือเป็นสัตว์เวทย์ อย่างไรก็ตามพลังการต่อสู้ของพวกมันต่ำมาก ต่ำกว่าของมนุษย์เงือกเสียอีก…
แต่กระทั่งปลาที่ไม่ได้จัดว่าเป็นสัตว์เวทย์ก็มีเวทมนตร์มากมายอยู่ในตัว มันเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้เล่นและ NPC
นี่เป็นสาเหตุหลักที่วิลเลียมยืนกรานที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมการเดินเรือ
ในชีวิตก่อนหน้านี้มีคนมากมายที่รักการตกปลา พวกเขาจะไปที่ริมทะเลสาบ, ทะเลสาบ, ทะเล แม้กระทั่งบนเรือเพื่อตกปลา!
ทะเลนั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ!
ประโยคง่าย ๆ ประโยคนี้สร้างความอยากรู้อยากเห็นในใจของผู้เล่นอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
ถ้าเนื้อเรื่องหลักของเกมอยู่บนพื้นดิน
เนื้อเรื่องรองของเกมก็คงเป็นทะเลที่ไร้ขอบเขต!
เกม ‘Gods’ ไม่เคยใช้เนื้อเรื่องหลักเพื่อปิดกั้นตัวผู้เล่น หรือหากเป็นเกมสมมติ เกมจะไม่ใช้ภารกิจตามเนื้อเรื่องเพื่อปิดกั้นผู้เล่นเอาไว้
ตราบใดที่ผู้เล่นเต็มใจที่จะสำรวจ พวกเขาก็สามารถไปได้ทุก ๆ ที่เพื่อความเพลิดเพลิน
แม้แต่ทะเลที่ไร้ขอบเขตก็สามารถให้ผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมาย
ความอิสระของเกมนี้ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่โลกอีกใบ ผู้เล่นไม่ต้องทำตามภารกิจเนื้อเรื่อง เกมที่อนุญาตให้มีเสรีภาพในระดับสูงจะได้รับความนิยมอย่างท่วมท้น
“เมืองรุ่งอรุณต้องการพัฒนาท้องทะเลและมีเรือที่สามารถเดินทางได้ในระยะไกล แอตแลนติสลึกลับ, อาณาจักรของนางเงือกที่สวยงาม, อาณาจักรทั้งเจ็ดในมหาสุทร, สมบัตินับไม่ถ้วน, เหมืองวิเศษ… ” วิลเลียมมองดูเรือประมงหลายสิบลำในทะเล แค่นี้มันยังไม่พอ
มีเพียงเรือรบคุณภาพระดับทองเท่านั้นที่สามารถเดินทางระยะไกลได้
ที่สำคัญกว่านั้น มืออาชีพยังไม่แข็งแกร่งพอ พวกเขายังไม่มีกำลังที่จะลงสู่ทะเลลึก
เขามาที่อู่ต่อเรือและพยักหน้าให้ทหารยาม จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในอู่ต่อเรือขนาดใหญ่และมองไปที่เรือรบรุ่งอรุณที่เป็นของเขา
เจ้าเมืองจมอยู่ในฝันกลางวันช่วงเวลาหนึ่ง ความทะเยอทะยานอันมากมายของเขายังคงแผ่ขยายออกไป
วิลเลียมเงยหน้าขึ้นและเห็นแอนดรูว์อยู่บนดาดฟ้า ตอนนี้ผู้ต่อเรือขี้เกียจเกินกว่าที่จะใส่เสื้อคลุมเวทย์ของเขา เขาสวมเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบง่ายตรวจสอบโครงสร้างโดยรวมของเรือรบ เขาหวังว่าจะสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์โดยไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ
สำหรับเอลฟ์การระมัดระวังและแม่นยำมีความสำคัญพอ ๆ กับความสวยงามและความสง่างาม
“แอนดรูว์!”
“นั่นใครน่ะ?” แอนดรูว์หันกลับมาและตระหนักว่าวิลเลียมมาถึงแล้ว เขารีบตบหน้าอกและก้มลง “ข้าไม่รู้ว่าท่านลอร์ดมาถึงแล้ว”
วิลเลียมปีนขึ้นไปบนดาดฟ้าอย่างรวดเร็ว เขายิ้มและถามว่า “กระดูกมังกรเป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้าประเมินความซับซ้อนขององค์ประกอบกระดูกต่ำไป แต่หลังจากเพิ่มมิทริลเข้าไปอีกจึงไม่มีปัญหากับความเนียวแน่นและการดูดซึมของเวทมนตร์ และมันยังสามารถปลดปล่อยพลังของมังกรในทะเลได้อีกด้วย”
“แต่ความเหนียวของมันก็ยังไม่เพียงพอ นายท่านโปรดให้เวลาข้ามากกว่านี้” แอนดรูว์ส่ายหัว ปัจจุบันเรือรบระดับอีปิคขาดเพียงกระดูกมังกรก่อนที่จะสร้างเสร็จ
เขาต้องการให้เรือรบถูกส่งออกทะเลทันที แต่ความปรารถนาของเขาที่จะทำให้เรือสมบูรณ์แบบนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่า
วิลเลียมยิ้มอย่างใจดี “ถ้าเรามีโอริคัลคุมเพียงพอล่ะ”
“โอริคัลคุม?” แอนดรูกลืนน้ำลาย เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านเจ้าเมืองได้ค้นพบเหมืองโอริคัลคุมอีกแห่งหรือไม่”
“มันเป็นของชาวมีปีก แต่เราจะได้รับโอริคัลคุม 30% เราสามารถส่งโอริคัลคุมให้เจ้าใช้ได้”
“ท่านเจ้าเมือง ขอบคุณสำหรับการใส่ใจที่แสนพิเศษของท่าน” แอนดรูไม่ต้องการเจียมเนื้อเจียมตัว เขาจะไม่ใช้โอริคัลคุมที่เขาหามาเพื่ออย่างอื่นเช่นกัน ถ้าเขามีโอริคัลคุมเพียงพอ ไม่เพียงแต่กระดูกมังกรจะแข็งขึ้นเท่านั้น
แต่เรือรบทั้งลำก็จะถูกทำลายไม่ได้เช่นกัน!
แม้ว่าพวกเขาจะต้องมีปืนใหญ่จำนวนมากและนักเวทย์มากพอที่จะร่ายมนต์ให้พวกมัน
วิลเลียมมีความคิดเช่นเดียวกัน เขาหรี่ตาลง นอกจากเขาแล้ว ไม่มีใครในโลกที่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงมีเหมืองแร่หายากมากมาย
“ถ้าใครถามว่าทำไมถึงมีเหมืองแร่เวทย์มนตร์มากมาย พวกเขาก็อาจจะถามเช่นกันว่าทำไมเทพเจ้าถึงตายที่นี่”
นี่คือหมู่บ้านของผู้เริ่มต้นซึ่งเป็นของผู้เล่น แต่ในช่วงหลังของเกมสถานที่แห่งนี้จะถูกเรียกอีกอย่างว่าสนามรบของเทพเจ้า!
ศพของเทพเจ้าหลายองค์ถูกฝังอยู่ใต้ดิน มีเวทมนตร์ที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากซากศพที่ก่อตัวเป็นเหมืองเวทย์มนตร์มากมาย
ในช่วงต่อมาของเกมไม่ว่าจะเป็น NPC หรือผู้เล่นทุกคนต่างต่อสู้เพื่อที่แห่งนี้ ทุกคนต้องการศพของเทพเจ้าตลอดจนอาวุธและอุปกรณ์ที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
“แต่ฉันคงไม่ต้องคิดถึงเรื่องนี้ไปตลอดชีวิต…” วิลเลียมไม่กังวลว่าข้อมูลนี้จะรั่วไหล ย้อนกลับไปตอนนั้นซากของสนามรบแห่งเทพเจ้าปรากฏขึ้นเนื่องจากการต่อสู้ระหว่างปราชญ์ทั้งสองเท่านั้น การต่อสู้ของพวกเขาทำให้พื้นแตกและเปิดเผยข้อมูลออกมา
เขาต้องการสร้างเมืองแห่งรุ่งอรุณให้อยู่เหนือซากศพทั้งหมดและไม่ทิ้งอะไรไว้ข้างหลัง แต่เขาจะทำอย่างไรถ้าปราชญ์ทั้งสองยังคงต้องการต่อสู้อยู่บนที่แห่งนี้
“ถ้าพวกเขาต้องการผ่านไปก็ลุยเลย ฉันจะทำอะไรได้? ฉันก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกันนั่นแหละ แต่โมเสสยังไม่ตาย ถ้าเขายังอาศัยอยู่ในเมืองรุ่งอรุณ ตอนนั้นเขาอาจจะหยุดพวกนั้นได้…”
“อะแฮ่ม อันที่จริงในสนามรบของเทพเจ้าก็ไม่มีอะไรมากมายนัก มีเพียงซากศพของเทพเจ้าบางองค์ สำหรับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ อาวุธระดับรีเจนดารี และสิ่งที่คล้าย ๆ กันนั้นก็ได้สูญเสียจิตวิญญาณไปหมดแล้ว”
“ฉันเป็นเจ้าเมือง สำหรับฉันเหมืองมีความสำคัญที่สุด ถึงจะเป็นซากศพของเทพเจ้าก็ไร้ค่าสำหรับฉัน” วิลเลียมคิดถึงเรื่องนี้ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขามีแผนอะไรต่อไป
นับตั้งแต่เขาเดินทางมายังโลกแห่งเกม
เขาก็ก้าวไปอย่างระมัดระวังและมั่นคงในทุกขั้นตอน
เขาออกคำสั่งด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล นับตั้งแต่เขาเริ่มวางแผน จากเวอร์ชันก่อนหน้านี้จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข้อบกพร่องใด ๆ เกิดขึ้น หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน หลังสงครามเริ่มขึ้นเขาจะสามารถปกป้องเมืองแห่งรุ่งอรุณได้อย่างแน่นอนแม้ว่าจะเข้าสู่ความมืดมิดก็ตาม
“แต่เวอร์ชัน 1.0 อนุญาตให้ฉันเริ่มล่วงหน้า บัตเตอร์ฟลายเอฟเฟ็กต์จะส่งผลต่อฉันมากแค่ไหนกัน” วิลเลียมสัมผัสเรือรบซึ่งปกคลุมไปด้วยหนังมังกร เขาส่ายหัว และไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป
เขาลุกขึ้นและจากไป เขาขี่หมีใหญ่มาถึงท่าเรือ ผู้เล่นหลายคนเห็นวิลเลียมก่อนจะตบหน้าอกและทักทายเขา “สวัสดีครับท่านลอร์ด”
“พอแล้วกับคำทักทาย” วิลเลียมไม่เคยปฏิเสธตัวตนของเขาในฐานะเจ้าชาย เขายิ้มเป็นมิตรกับผู้เล่นและทักทายผู้คุมและพูดคุยกับพวกเขา
ไม่มีเหตุจูงใจเบื้องหลังกับสิ่งที่เขาทำเหล่านี้
เขาเพียงแค่ต้องการเพิ่มความสัมพันธ์และความภักดีของพวกเขา
ในฐานะเจ้าเมือง
เขาไม่ได้จัดการทุกอย่าง แต่เขาต้องการให้ทหารทุกคนรู้สึกถึงการจ้องมองของเจ้าเมือง สิ่งนี้จะทำให้พวกเขาสัญญาว่าจะมีชีวิตและต่อสู้เพื่อเขา
นี่
เป็นตัวละครของเขา!
หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน การต่อสู้เพื่อปกป้องเหมืองโอริคัลคุมก็สิ้นสุดลง อ่านนิยาย
อ่านนิยาย
ในช่วงนั้นกองทัพออร์คจะรบกวนพวกเขาทุกวัน พวกเขาต้องเสริมสร้างกำแพงเมืองอย่างต่อเนื่องเพื่อรับมือกับการโจมตีที่มากขึ้น
ในวันที่เจ็ดนับตั้งแต่เกิดการโจมตีครั้งใหญ่ที่สุด เฮฟวี่ เสปียร์ก็ได้ส่งกองทัพออร์คจำนวน 40,000 คนมา
อัลทาอิคและอาร์เลส สองออร์คขาวระดับรีเจนดารีก็ปรากฏตัวขึ้นในเวลาเดียวกัน
แต่วิลเลียมได้ส่งกองทหารเกียรติยศมาตั้งค่ายที่นี่แล้ว นอกจากนี้เขายังขอให้ชาวมีปีกส่งของใช้ในชีวิตประจำวันมาให้แก่กองทัพอีกด้วย
รวมถึงกองทหารสองกองกำลังจากคนมีปีก กองทัพประจำสามกองทัพและผู้ถูกเลือกเป็นอมตะหลายพันคนที่ปกป้องเหมือง หลังจากอัลทาอิคเปิดการโจมตีอีกครั้งซึ่งมีออร์คกว่า 3,000 ตนเสียชีวิตลง เขาก็ตระหนักได้ว่ามันไม่ได้ผลและทิ้งกองทหารเอาไว้
อัลทาอิคไม่มีทางเลือก ชนเผ่าเฮฟวี่ไม่ต้องการร่วมมือกับชนเผ่าทางตะวันออก เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากโจมตีเต็มกำลัง
เขาทำได้เพียงสาปแช่งเจ้าแห่งเมืองรุ่งอรุณอย่างเงียบ ๆ เพราะความต่ำต้อย เจ้าเมืองได้ร่วมมือกับชาวมีปีกเพื่อแบ่งปันเหมืองโอริคัลคุม
ชนเผ่าเฮฟวี่สเปียร์ไม่สามารถเอาเหมืองโอริคัลคุมมาได้ แต่พวกเขาก็ไม่ยอมให้ชาวมีปีกขุดเหมืองด้วยความสงบเช่นกัน
กองกำลังต่างๆซุ่มโจมตีทีมขนส่งอยู่ตลอดเวลา พวกเขาขโมยวัตถุดิบมามากมาย อัลทาอิคขี้เกียจเกินไปที่จะโจมตีเหมืองโอริคัลคุมต่อไป การขโมยทรัพยากรที่มีอยู่นั้นดีกว่ามาก
แต่นี่เป็นสถานการณ์ที่วิลเลียมต้องการ ผู้เล่นสามารถรับภารกิจป้องกันหรือขนส่งได้
“วิสัยทัศน์ของพวกเขาต้องได้รับการเพิ่มเติม” วิลเลียมคิดเรื่องนี้อย่างเงียบ ๆ เมืองแห่งรุ่งอรุณไม่มีภารกิจการต่อสู้มากมายขนาดนั้น
เขาจำเป็นต้องให้ผู้เล่นทำภารกิจให้เพียงพอ ภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการซื้อและการขายมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ดังนั้นพวกเขาไม่ควรกำจัดเผ่าเฮฟวี่ เสปียร์ไปง่ายๆ ออร์คในปัจจุบันมอบค่าประสบการณ์และภารกิจแก่ผู้เล่น มันเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ภารกิจสิ้นสุดลง และหลังจากการวิเคราะห์ผู้เล่นพบว่า
เสี่ยว อายินถูกส่งออกไปทำภารกิจมากที่สุด ฉางหลี จิ่วเกออยู่ในอันดับที่สามเท่านั้น
“ตามที่คาดไว้ เสี่ยว อายิน เธอมีขาเรียวยาว หน้าอกใหญ่และท่าทางดุร้าย แม้ว่าเธอจะเป็นผู้ถือโล่ แต่เธอก็มีความแข็งแกร่งสูง เธอสามารถต่อสู้ได้นานมาก”
“บอสที่ร่ำรวยเช่นนี้เป็นผู้เล่นมืออาชีพ พวกเราเทียบไม่ติดเลย ไม่ติดจริงๆ… ”
ลัคกี้ดรีมเป็นอันดับสอง เขารู้สึกหดหู่ใจกับข้อเท็จจริงนี้ เขาใช้ยาและเครื่องมือในสนามรบ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่สามารถไปถึงอันดับแรกได้ เขาไม่พอใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
โชคดีที่เขามีอันดับสูงกว่าฉางหลี จิ่วเกอที่มีคัมภีร์ลับระดับอีปิค นอกจากนี้ผู้หญิงยังเป็นที่หนึ่ง เขาจึงไม่ได้มีความแค้นมากนัก
สมาชิกของแกรนด์ เดอิตี้ก็ติดอันดับสูงเช่นกัน เนื่องจากทีมของเขาร่ำรวย แม้ว่าการดำเนินงานของพวกเขาจะไม่ใช่อันดับหนึ่ง แต่ก็ถือได้ว่าเป็นอันดับสอง
ดังนั้น หากมีเวลาพวกเขาก็ต้องการที่จะแข่งขันกับสโมสรกลอรี่
แต่ผู้ชมทุกคนรู้ดี
ผู้เล่นมืออาชีพยังไม่ได้แสดงความแข็งแกร่งของพวกเขาออกมา เมื่อการแข่งขันระดับมืออาชีพเริ่มขึ้น อุปกรณ์, ทักษะ, และทักษะลับของพวกเขาจะเป็นตัวกำหนดความแข็งแกร่งของพวกเขา
พวกเขาจะไม่พูดถึงการต่อสู้เพื่อการจัดอันดับในหมู่ผู้เล่นในตอนนี้
วิลเลียมทำตัวเหินห่างจาก NPC ที่มีความสนใจการไล่ล่าอันดับ
เขาต้องควบคุมสถานการณ์และป้องกันไม่ให้ผู้เล่นทำลายมันหรือวิ่งหนี เขาขี้เกียจเกินไปที่จะสนใจว่าเบี้ยของเขาต้องการทำอะไร
ในวันที่สิบหก
วิลเลียมเลือกที่จะจากไป มีผู้เล่นหนึ่งถึงสองหมื่นคนติดตามเขาออกมา
ภารกิจไม่ได้มีแค่ในเหมืองโอริคัลคุมเท่านั้น แต่เมืองแห่งรุ่งอรุณก็มีเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีสัตว์ประหลาดมากมายในทุ่งหญ้าด้านล่างหน้าผา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาต้องรับมือกับมนุษย์เงือกทุกวัน
กระดูกของมนุษย์เงือกสามารถนำมาทำเป็นผงเพื่อใช้รักษาอาการบางอย่างได้ และสามารถใช้เสริมอาหารเพื่อเลี้ยงม้าศึกหรือสัตว์วิเศษอีกด้วย
หากพวกเขาพบก็อบลิน พวกเขาจะต้องเอาชนะก็อบลินเหล่านี้ให้ได้ เพราะพวกเขามีเหรียญทองและเงินมากมาย ก็อบลินเหล่านั้นไม่เพียงแต่จะโจมตีเรนเจอร์เท่านั้น พวกมันยังซุ่มโจมตีพ่อค้าที่ผ่านไปมาอย่างเป็นระบบอีกด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกมันไม่เหมือนกับมนุษย์เงือกตัวเล็ก ๆ พวกมันทำเป็นแค่กิน…
นอกจากนี้ยังมีผู้เล่นหลายคนที่ไม่ชอบต่อสู้ หลังจากที่พวกเขากลับไปที่เมืองรุ่งอรุณ พวกเขาก็ใช้เวลาทั้งวันไปกับการตกแต่งบ้านของพวกเขา พวกเขาไม่สนใจที่จะต่อสู้และสังหาร
ต้องกล่าวว่า
การที่เมืองรุ่งอรุณจัดหาบ้านให้กับผู้เล่นทำให้พวกเขามีความสุขมาก ถ้าไม่เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่มีที่ใดที่จะเก็บวัสดุและอุปกรณ์ได้
อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นมือสังหารบางคนกลายเป็นโจร พวกเขาเชี่ยวชาญในการสังเกตผู้เล่นที่ไม่ได้กลับบ้านเป็นเวลานาน จากนั้นพวกเขาจะปล้นบ้านของพวกเขา
นี่คือที่มาของความปวดหัวของกองทหารลาดตระเวน พวกเขายังออกภารกิจมากมายเพื่อจับหัวขโมย
จำนวนภารกิจในเมืองรุ่งอรุณค่อยๆเพิ่มขึ้น ภารกิจมีมากมายและหลากหลาย .. สำหรับผู้เล่นแล้วภารกิจเริ่มน่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อวิลเลียมกลับไปที่เมืองแห่งรุ่งอรุณสงครามระหว่างอาณาจักรเหล็กและอาณาจักรลาวาดำกำลังจะเริ่มขึ้น
ความขัดแย้งระหว่างผู้คุมที่ชายแดนไม่เพียงเกิดบ่อยขึ้นเท่านั้น แต่ขนาดของการต่อสู้ก็เพิ่มขึ้นอีกด้วย
ความล้มเหลวของกองกำลังประหารทำให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ต่ออาณาจักรเหล็ก พวกเขาไม่ได้ทำการลอบสังหารอีกต่อไป
เกอเธ่ นาซิสยังคงกดดันขุนนางในอาณาจักรอย่างต่อเนื่อง มันถึงกับก่อให้เกิดการกบฏขึ้น
แต่ด้วยการปราบปรามโดยกองทัพประจำรวมถึงความช่วยเหลือจากกองทัพผู้เล่น เหล่าขุนนางไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก
ในห้องประชุม
โอดอมมองไปที่วิลเลียมซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับแผนที่ เขาถอนหายใจอย่างกะทันหันและพูดว่า “ผู้ถูกเลือกนั้นร่ำรวยมาก พวกเขาสั่งซื้ออาวุธมืออาชีพระดับเริ่มต้นสีทองเข้มที่โรงฝึกช่างตีเหล็ก ความร่ำรวยนี้เหมือนไม่ใช่มนุษย์แล้ว”
“ทองเข้ม?” วิลเลียมตกใจ แม้แต่สำหรับเขาเอง มันก็มากเกินไป แต่เขาก็รู้เรื่องนี้ดี มีเพียงทีมแกรนด์ เดอิตี้เท่านั้นที่สามารถทำสิ่งนี้ได้
“ถ้าพวกเขาสั่ง เราก็จะขาย แม้ว่ามันจะเสียไปนิดหน่อย แต่เราก็ต้องหาเงินให้ได้”
“ข้าตระหนักถึงเรื่องนี้ดี มีแค่ช่างตีเหล็กบางคนที่ไม่พอใจเล็กน้อย พวกเขาสามารถสร้างอาวุธระดับกลางได้ แต่ถูกบังคับให้ลดระดับอาวุธของพวกเขาลงเลยรู้สึกเป็นทุกข์” โอดอมเองก็เป็นช่างตีเหล็กคนหนึ่ง เขามีความคิดเช่นเดียวกับช่างตีเหล็ก
วิลเลียมรู้ว่าโอดอมกำลังเยาะเย้ยเขา เขาดูแผนที่แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย “อุปกรณ์สำหรับนักรบเลือดมังกรเสร็จสมบูรณ์แล้วหรือยัง?”
“ใช่การผลิตเสร็จสมบูรณ์แล้ว ด้วยคนงานจำนวน 300 คน แม้ว่าข้าจะไม่สามารถหยุดการโจมตีรวมกันจากหลาย ๆ คนได้” โอดอมพยักหน้าด้วยความกลัว
“พวกเขาทั้งหมดจะได้รับชุดเกราะทองคำที่ทำจากเกล็ดของมังกรไฟและอาวุธระดับทองเข้ม นอกจากนี้พวกเขายังเป็นนักรบธาตุไฟ พวกมันดุร้ายมากโดยธรรมชาติ” วิลเลียมไม่ได้วางแผนที่จะใช้กองทัพปกติในภารกิจต่อไป แต่นักรบเลือดมังกร 300 ตนเหล่านี้มีความสำคัญมาก
วิลเลียมและโอดอมสนทนากันสักพัก จากนั้นพวกเขามุ่งหน้าไปยังท่าเรือทางตอนใต้
ผู้เล่นได้ค้นพบอู่ต่อเรือในเมืองรุ่งอรุณแล้ว
มันยากมากสำหรับผู้เล่นที่จะจินตนาการว่าเมืองแห่งรุ่งอรุณมีอู่ต่อเรือขนาดใหญ่เช่นนี้ …
แต่ก็น่าเสียดายที่ผู้คุมอู่เรือเข้มงวดมากและไม่ยอมให้ใครเข้าไปง่ายๆ สิ่งนี้ทำให้ผู้เล่นบางคนอยู่ไม่สุข บางคนถึงกับฝืนเดินผ่านไป แต่พวกเขาถูกผู้คุมยิงตายอย่างโหดเหี้ยม ผู้คุมไม่สนใจว่าจะมีใครเป็นสมาชิกของกองกำลังทหารรับจ้างรุ่งอรุณหรือไม่
มันง่ายมาก
อู่ต่อเรือไม่เพียงเป็นสถานที่ที่มีการรักษาความปลอดภัยมากที่สุดในเมืองรุ่งอรุณ
แต่มันยังสำคัญสำหรับการก้าวต่อไปของวิลเลียม!
อ่านนิยาย
“ลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณ!”
อาร์เลสส่งเสียงคำรามดังอึกทึก
เขาไม่ได้หยุดวิลเลียมที่ทำลายประตู แต่กลับชี้ดาบไปที่วิลเลียมและบังคับให้เขาก้าวถอยหลัง
วิลเลียมถอยกลับไปสิบเมตรก่อนจะก้มตรวจดูแขนของเขา คมดาบได้บาดที่สายหุ้มข้อมือทำให้ความทนทานของมันลดลงอย่างมาก โล่พลังต่อสู้ของเขาก็แตกสลายไปทันที
เขามองไปที่อาร์เลสที่กำลังเลิกคิ้วมองมา มันเป็นออร์คขาวระดับรีเจนดารีเลเวล 66 สายเลือดและสายพันธุ์ของมันไม่ใช่อาชีพที่อยู่ในการสืบทอดความทรงจำลับทำให้คุณลักษณะของมันสูงพอ ๆ กับวิลเลียม
ผู้เล่นหลายคนตระหนักว่าประตูเมืองถูกเปิดแล้ว พวกเขากำลังจะพุ่งออกไป แต่พวกเขากลับหยุดชะงักทันที
“เอ้ย นี่มันบอสรีเจนดารีอีกคนนี่นา ตามที่คาดเอาไว้ เราไม่สามารถไว้วางใจเจ้าหน้าที่ Gods ได้เลย”
“หนีกันดีกว่า อย่างน้อยมันก็ง่ายกว่าการโจมตีกำแพงเมืองตั้งเยอะ” ผู้เล่นบางคนรีบวิ่งหนี ผลกระทบของการต่อสู้ระหว่างบอสระดับรีเจนดารีนั้นรุนแรงเกินไป แค่พวกเขาต่อสู้อยู่ตรงประตูเมืองก็สามารถตายได้ แม้ว่าจะแค่เดินผ่านก็ตาม
“ห๊ะ ช่างขี้ขลาดอะไรเช่นนี้ ดูฉันไว้ให้ดีเถอะ!” แรนเจอร์คนหนึ่งเล็งลูกศรไปที่อาร์เลส
ฟิ้ว
ลูกศรพลังต่อสู้พลาดจากอาร์เลสไปสิบเมตร …
ฉากนั้นสะเทือนใจมาก อ่านนิยาย
เรนเจอร์คนนั้นก็หายไปด้วย
เขาทำตัวเข้มแข็งจากนั้นก็วิ่งหนีไป เขาควรรอและโจมตีต่อไปงั้นหรอ?
วิลเลียมไม่สนใจผู้เล่นที่อยู่ข้างหลังเขา พวกเขาทั้งหมดกลัวที่จะตาย อาร์เลสก็ไม่สนใจเช่นกัน จะกลัวอะไรกับลูกธนูที่อ่อนแอนั้นล่ะ?
“พี่ชายของเจ้าอยู่ที่ไหน” วิลเลียมไม่ได้นำอาวุธใด ๆ มา เขาไม่ได้มีเจตนาโจมตีแต่อย่างใด เขาเพียงต้องการที่จะขัดขวางอาร์เลสและปล่อยให้กองทัพชาวมีปีกได้จัดการกองกำลังออร์คอย่างรวดเร็ว
“พี่ชายของข้าหรอ…” อาร์เลสเกาหัว แต่ก็รู้ว่ามันไม่ใช่เวลาที่จะสนทนา เขาชี้ดาบไปที่วิลเลียมอย่างเต็มไปด้วยความโกรธ “เมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ก็มาสู้กันตัวต่อตัว หยุดพล่ามเรื่องไร้สาระได้แล้ว”
“ย่าห์!”
วิลเลียมเบี่ยงตัวหลบ แสงสีดำฉายผ่านมาก่อนจะแทงทะลุกำแพงเมือง หางของลูกศรโคลงเคลง โชคดีที่มันไม่ทะลุศีรษะของเขา
“ลูกไม้สกปรก ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะไร้เกียรติถึงเพียงนี้? ถ้าอาวุธของเราไม่พัง เราก็คงจะไม่ยืนอยู่ที่นี่ เราคงเคยปะทะกับเจ้ามานานแล้ว แต่ถ้าเจ้าต้องการต่อสู้แบบตัวต่อตัวก็วางอาวุธลงถ้าคิดว่าเจ้าเองก็มีฝีมือ” วิลเลียมไม่มีอาวุธติดตัวเลยสักชิ้น ถ้าเขาใช้อาวุธขนาดเล็กสีส้มหรือสีทองธรรมดามันจะยากมากที่จะต่อสู้กับอาร์เลสที่มีอาวุธสีส้มขนาดใหญ่ เขาจะต้องเปลี่ยนอาวุธทุกครั้งหลังการโจมตี มันเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่เกินไป
“ข้าไร้เกียรติงั้นรึ?” มือของอาร์เลสสั่นเล็กน้อยด้วยความโกรธ เขาไม่ลังเลอีกต่อไปและพุ่งเข้าใส่วิลเลียมดั่งจรวด
“ตู้ม”
เมื่อพวกเขาเข้าปะทะกัน คลื่นกระแทกก็แผ่ออกไปทุกทิศทุกทาง
วิลเลียมหยุดการโจมตีของอาร์เลสด้วยดาบสีดำที่ถืออยู่ในมือ
“นี่มันอะไร? เจ้าเรียกสิ่งนี้ว่าไม่มีอาวุธงั้นหรอกรึ?” อาร์เลสออกแรงผลักวิลเลียมกลับไป
คนเป็นเจ้าชายเบ้ปาก “เราบอกว่าอาวุธของเราพัง แต่ไม่ได้บอกว่าไม่มีอาวุธชิ้นที่สอง เจ้าโง่รึยังไงกัน?”
อาร์เลสพูดไม่อออก เขาคิดว่านี่มันแย่มาก เขาปล่อยโทรลเพื่อกำจัดผู้ถูกเลือกบนกำแพงเมือง และมันเป็นไปได้ด้วยดีแต่ความสามารถในการฟื้นคืนชีพของผู้ถูกเลือกนั้นมีมากเกินไป
เขาสามารถโจมตีลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณที่ไม่มีอาวุธติดตัวได้อย่างดุเดือด ซึ่งเป็นเพราะว่าเขาต้องการช่วยให้กองกำลังสนับสนุนมีเวลาพักหายใจ
วิลเลียมไม่มีทางเลือกเช่นกัน
ดาบแห่งสายฟ้าแตกสลายและคุณสมบัติสายฟ้าของเขาไม่ได้ผลอีกต่อไป พลังการต่อสู้ของเขาลดลงสามระดับ
นอกจากนี้ออร์คขาวยังมีพลังชีวิตมหาศาลและยิ่งไปกว่านั้นการป้องกันของมันก็ไม่ต่ำเช่นกัน วิลเลียมทำได้เพียงจัดการกับมันให้ได้ดีที่สุดเท่านั้น
ดาบของพวกเขาส่องแสง และเริ่มต่อสู้กันที่ประตูเมือง พวกเขาแสร้งทำเป็นไม่เห็นพวกโทรลที่กำลังเดินผ่านมา
วิลเลียมเตะอาร์เลสไปที่กำแพงด้วยกำลังทั้งหมด แต่เมื่อเขาเข้าใกล้อาร์เลส เขากลับถูกพลังต่อสู้โลหะของอาร์เลสโจมตีกลับ แม้ว่าเขาจะไม่ต้องการให้ใบหน้าของเขาถูกโจมตี
ชีวิตของเขาไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่รูปลักษณ์ของเขามีความสำคัญเป็นอย่างมาก
อาร์เลสมีพลังต่อสู้ประเภทโลหะ ไม่เพียงแต่พลังต่อสู้จะหนักหน่วงเท่านั้น แต่ยังเฉียบคมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังต่อสู้ประเภทโลหะมีผลกระทบที่ไร้สาระ
มันสามารถเพิ่มการป้องกันของเกราะพลังต่อสู้ได้
แม้ว่าพลังต่อสู้แต่ละประเภทจะมีเอฟเฟกต์ที่แตกต่างกัน แต่พลังต่อสู้ประเภทโลหะและประเภทพื้นที่เท่านั้นที่สามารถเพิ่มพลังป้องกันได้
หากวิลเลียมพบบอสที่มีคุณสมบัติเหล่านี้เขาหวังว่าตนเองจะไม่อยู่ในการต่อสู้ เพราะศัตรูจะเป็นเหมือนกระดองเต่า มันยากที่จะโจมตี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่อาวุธของเขาที่มีพลังต่อสู้สายฟ้าถูกข่มโดยพลังต่อสู้ประเภทโลหะ เขาไม่มีเวลาใช้ทักษะลูกศร ทักษะจิตวิญญาณระดับต่ำของเขาก็ไร้ผลเช่นกัน …
ดังนั้น
ดังนั้นเขาจึงใช้แผนหลอก…
ผู้เล่นบางคนเห็นสิ่งนี้และดูเหมือนจะตระหนักถึงปัญหา
ดาบต่อสู้สีดำของวิลเลียมยาวและกว้างมาก เขาต้องใช้สองมือถือไว้ มันไม่ใช่อาวุธที่สะดวกมากนัก นอกจากนี้ออร่าสีดำที่ดาบต่อสู้ปล่อยออกมายังทำให้ผู้เล่นสามารถระบุปัญหาอื่นได้
ผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณสมบัติที่ใช้งานได้จะต้องใช้อาวุธที่มีคุณสมบัติที่สอดคล้องกันเพื่อแสดงพลังเต็มที่
ถ้าไม่เช่นนั้นพวกเขาก็จะเป็นเหมือนเจ้าแห่งเมืองรุ่งอรุณบอสระดับรีเจนดารี มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะแสดงความแข็งแกร่งเต็มที่ ผู้เล่นก็เช่นกัน
ผลงานของพวกเขาในสงครามไม่โดดเด่น อย่างไรก็ตามกองทัพของชาวมีปีกก็ไม่ได้เลวร้าย
ซีหยานสวมชุดเกราะสีเงิน พลังดาบเจิดจ้าพุ่งออกมาจากเธออย่างต่อเนื่องและทุกครั้งที่เธอโบกดาบ ศัตรูที่ขวางทางเธอจะถูกสังหาร
เธอนำผู้ใต้บังคับบัญชาของเธอฆ่าฟันผ่านกองทัพออร์คเหมือนกริชที่แหลมคม แสงสีเงินปรากฏขึ้นท่ามกลางกองทัพสีดำ
ออร์คผู้ยิ่งใหญ่ถือค้อนสองอันและคำรามอย่างดุเดือด
แต่มันถูกพลังดาบบังคับให้ถอยหลัง และก่อนที่มันจะได้ทำอะไร คอของมันก็ถูกฟัน มันเป็นการตายอย่างรวดเร็ว
ฉู่ หลิงชิวได้เห็นฉากนี้อย่างสบาย ๆ มันดูน่าสนใจสำหรับเขาและเขาก็คิดถึงมัน ถ้าตัดหัวหรือสับคออาจทำให้บอสเสียชีวิตได้ ผู้เล่นจะทำแบบเดียวกันนี้หรือไม่?
“แต่…บอสมีคุณสมบัติมากกว่านี้ การโจมตีจะต้องมีความแม่นยำ ทักษะก็ต้องแข็งแกร่งเช่นกัน ถ้าไม่เช่นนั้นจะเป็นการยากมากที่จะฆ่าพวกมันได้”
ออร์คเห็นว่าฉู่หลิวชิวไม่เคลื่อนไหวและพุ่งเข้าใส่เขา แต่เมื่อเขาไปถึงเป้าหมาย ฉู่หลิวชิวก็หันกลับมาและกระโดดไปที่ออร์คตนนั้น เขาแทงเข้าที่ดวงตาของออร์ค
“ไม่ ออร์คระดับต่ำนั้นใช้ได้ แต่ออร์คที่มีศักยภาพทางสายเลือดสูงจะเคลื่อนที่เร็ว ดูเหมือนเป็นเรื่องยากสำหรับฉันที่จะทำการโจมตีที่แม่นยำเช่นนี้” ฉู่หลิวชิวยังคงพูดคุยกับตัวเอง เมื่อสหายของเขาได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาไม่ได้สนใจมันมากนัก ผู้นำของพวกเขาไม่ค่อยมีสติเสียเท่าไหร่…
การโจมตีที่น่าเศร้าไม่ได้ดำเนินต่อไปเป็นเวลานาน
ผู้บัญชาการกองทหารอีกคนคำรามให้พวกเขาล่าถอย
อาร์เลสก็ได้ยินเช่นกัน
เขารู้ว่าพวกเขาไม่สามารถปกป้องสถานที่นี้ได้อีกต่อไป เขาฟันดาบใส่วิลเลียมหลายครั้งก่อนจะบังคับให้วิลเลียมก้าวถอยหลัง “ถอยทัพ!” เขาตะโกนก่อนที่จะหันกลับวิ่งออกไป
กองทัพออร์คในเมืองที่ยอมแพ้วิ่งหนีอย่างคอตก พวกออร์คที่วิ่งช้าไม่ได้ถูกฆ่า แต่ถูกจับเป็นนักโทษเพื่อทำงานในเหมือง
ผลของการต่อสู้ปรากฏแล้ว
วิลเลียมและซีหยานเลือกที่จะไม่ติดตามและโจมตีกองทัพที่กำลังถอยกลับ
พวกเขาอยู่ใกล้กับเผ่าเฮฟวี่เสปียร์มากและสามารถถูกซุ่มโจมตีได้อย่างง่ายดาย
นอกจากนี้การฆ่าศัตรูไม่ได้สำคัญที่สุด ปัญหาตอนนี้คือการหาวิธีป้องกันเหมืองโอริคัลคุม
ซีหยานที่ปกคลุมไปด้วยเลือดออร์คเดินไปมา เธอเห็นว่าวิลเลียมไม่ได้เสียผมไปสักเส้นก็ขี้เกียจเกินกว่าจะมองเขาต่อไป เธอเดินผ่านประตูไปอย่างก้าวกระโดด
“ชิ ๆ เธอรังเกียจเจ้าชายงั้นเหรอ…”
“ไม่หรอก พี่ซีหยานแค่หยิ่งมากไปหน่อย”
“ข่าวเรื่องนั้นคงไปไม่ถึงเธอสินะ เรื่องที่ว่าเจ้าชายได้กำจัดกองกำลังประหารทั้ง 20 คนคง ไม่ได้แพร่กระจายไปไกลนัก ถ้าเป็นอย่างนั้นสาวชาวมีปีกคนนี้คงกำลังเลียแข้งเลียขาเจ้าเมืองอยู่แน่”
วิลเลียมเดินไป โดยทั่วไปแล้วเขาไม่ได้ใช้ความพยายามเป็นพิเศษกับเพศหญิงเท่าไหร่ เฉพาะผู้ชายที่ไม่มีทักษะเท่านั้นที่จะทำได้
ผู้ชายที่แท้จริงควรทำตัวเหมือนผู้ชาย!
ดังนั้นเขาจึงพูดเบา ๆ ว่า “เนื่องจากเรายึดเหมืองโอริคัลคุมได้แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป?”
“ปกป้องสถานที่นี้ ฉันเชื่อว่าพวกออร์คจะยังคงกลับมา” ซีหยานมองไปรอบ ๆ และเห็นชิ้นส่วนของร่างกายเกลื่อนไปทั่วพื้น เธอขมวดคิ้ว “ฝังศพเหล่านี้ทั้งหมด เสริมสร้างกำแพงเมือง บอกหัวหน้าเผ่าให้สร้างประตูเมืองอีกแห่ง ขอให้พวกเขาส่งมันไปทันทีที่ผู้วิเศษร่ายเวทย์มัน”
“รับทราบ”
ทหารชาวมีปีกเริ่มทำความสะอาดซากศพ เมื่อผู้เล่นเห็นดังนี้ พวกเขาสงสัยว่าพวกเขาจะได้รับภารกิจหรือไม่ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น …
วิลเลียมหรี่ตา “เราสามารถขยายแผนที่ได้อีก การกำจัดอาร์เลสเป็นการตัดสินใจที่ผิด อัลทาอิคจะมาถึงสนามรบอย่างกราดเกรี้ยว เราไม่ได้สนใจที่จะเริ่มสงครามจริงๆ”
“สถานที่ที่ทหารต้องต่อสู้เพื่อเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาในการฝึกฝน ฉันไม่ต้องกังวลว่าผู้เล่นจะไม่มีภารกิจให้ทำ”
“เราควรสนใจเรื่องการเปิดเหมืองโอริคัลคุมไหม” เจ้าชายชำเลืองมองสาวหยิ่งซีหยาน เขาหัวเราะ ความกระหายของเขาไม่น้อยเลย
เห็นได้ชัดว่า
กลยุทธ์ของผู้เล่นไม่ได้ผล
การโจมตีสองสามระลอกแรกทำให้พวกออร์คโกรธมากและพวกเขาตอบโต้ด้วยการขว้างก้อนหินและยิงธนูอย่างดุเดือด แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกออร์คก็ตื่นขึ้นและไม่ได้ใช้หินและลูกศรมากเกินไป
เนื่องจากผู้เล่นไม่มีอุปกรณ์ พลังการต่อสู้ของพวกเขาจึงลดลงอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาจะเข้าใกล้ออร์ค แต่ก็ไม่มีใครต่อกรกับพวกมันได้
ผู้เล่นไม่ได้ต่อว่ากลยุทธ์ของฉู่ หลิวชิว
ใน Gods มีโหมดสำหรับการต่อสู้สองโหมด โหมดแรกคือโหมดสนามรบและอีกโหมดหนึ่งคือโหมดปกติ
เมื่อมีนักสู้มากกว่า 3,000 คน หน่วยสอดแนมของเกมจะเปิดใช้งานโหมดสนามรบ โทษประหารชีวิตและอัตราความเสียหายของอุปกรณ์ลดลงครึ่งหนึ่ง ผู้เล่นสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ที่ตำแหน่งของธงกองทัพจึงไม่มีการสูญเสียมากนัก
โดยปกติหากผู้เล่นเสียชีวิตพวกเขาจะถูกลดเลเวลลง แต่ในโหมดนี้การลดเลเวลจะเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาเสียชีวิตไปแล้วหกครั้งเท่านั้น
ผู้เล่นสาปแช่งออร์ค พวกเขาถูกบังคับให้โจมตีศัตรูอย่างมีประสิทธิภาพ
วิลเลียมไม่ได้บอกทิศทางใด ๆ แก่ผู้เล่นในสนามรบ
ดังนั้น ฉู่ หลิวชิวจึงได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด
กิลด์หลักของเมืองรุ่งอรุณประกอบด้วย กิลด์กลอรี่, เบลด์, ศาลาหมอกฝน, ต้นกล้าแห่งความเที่ยงธรรม, แนชชัลแรลลี ฟูลลิช และเมืองนี้ยังมีกลุ่มผู้เล่นชั้นยอดเล็ก ๆอีกด้วย
ฉู่ หลิวชิวสำรวจกิลด์และหัวหน้ากลุ่ม เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “กิลด์ใหญ่ทั้งห้ามีสมาชิกมากที่สุด เราจะสร้างการโจมตี 5 แนวเพื่อเพิ่มโอกาสในการบุกทะลวง เราจะสร้างแรงกดดันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสถานที่ทั้งห้าแห่งนี้ คุณจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะบุกอย่างไรและในรูปแบบใด”
หัวหน้ากิลด์กลอรี่กล่าวว่า “ไม่มีปัญหา แม้ว่าการเสียชีวิตมากขึ้นจะทำให้เราได้รางวัลมากขึ้น แต่เราก็ไม่ควรปล่อยให้ NPC ปฏิบัติต่อเราเหมือนกับทหารที่เอาไว้สังเวยชีวิต เราต้องจริงจัง”
หัวหน้ากิลด์คนอื่น ๆ พยักหน้าเห็นด้วย
ฉู่ หลิวชิวชี้ไปที่ผู้นำสองสามคน “เรเซอร์ ลีก, บรัดเชด, แกรนด์ เดอิตี้ ผมเคยได้ยินชื่อเสียงของพวกคุณ และเราก็เคยพบกันมาก่อนในเกมอื่น ผมไม่ได้คาดหวังว่าจะได้พบพวกคุณใน ‘Gods’ และได้เป็นพันธมิตรกับเมืองรุ่งอรุณร่วมกัน นี่ดูเหมือนโชคชะตา หวังว่าเราจะร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี”
“ แม้ว่ากิลด์ของพวกคุณจะมีสมาชิกไม่มาก แต่ความสามารถของพวกคุณก็ถือว่าไม่ธรรมดา ผมคิดว่าคุณทุกคนมีอาวุธคุณภาพระดับเงินหรือระดับทองกันใช่ไหม?”
หัวหน้ากิลด์สองคนแรกพยักหน้า แต่ผู้นำคนที่สาม ลัคกี้ดรีม ซึ่งสวมชุดเกราะคุณภาพระดับทองกลับขมวดคิ้ว เขาไม่อยากตอบ
กลุ่มแกรนด์ เดอิตี้เป็นกลุ่มที่รวบรวมคนประเภทไหน?
พวกเขาเป็นกลุ่มที่เต็มไปด้วยผู้เล่นระดับสูง
“ลัคกี้ดรีม คุณกำลังดูถูกเราหรือเปล่า?” แม้ว่าเขาจะได้ยินพวกเขา แต่ลัคกี้ดรีมก็ปฏิเสธที่จะตอบกลับ เขามองไปที่สมาชิกทั้งยี่สิบคนที่สวมอุปกรณ์คุณภาพระดับทอง
ไม่มีใครกล้าเข้าร่วมทีมลัคกี้ดรีม หากพวกเขาไม่มีอุปกรณ์คุณภาพระดับทอง
ลัคกี้ดรีมเป็นผู้นำของกลุ่มแกรนด์ เดอิตี้ ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่รวยที่สุด เขายังมีความพร้อมที่จะซื้ออาวุธระดับทองเข้มอีกด้วย
มันง่ายมาก
สำหรับผู้เล่นที่แสนร่ำรวยแล้ว
วิลเลียมที่ลังเลในการใช้อุปกรณ์ระดับทองเต็มชุดในตอนแรกก็เป็นเพียง NPC ที่ไร้ค่า
“ดีแล้ว กลุ่มแกรนด์ เดอิตี้จะโจมตีศัตรูตำแหน่งนี้โดยลำพัง ในขณะที่เรเซอร์ ลีกและบรัดเชด จะติดตามทีมกลอรีไปคว้าชัยชนะกลับมา” ฉู่ หลิวชิวดีใจที่เห็นผู้นำทั้งสามเห็นด้วยกับแผนการของเขา
แต่ผู้เล่นที่ร่ำรวยในกลุ่มแกรนด์ เดอิตี้นั้นหยิ่งผยองเกินไปและไม่ต้องการร่วมมือกับกลุ่มอื่น พวกเขาชอบที่จะทำตามที่พวกเขาต้องการ
เรเซอร์ ลีกและบรัดเชดเป็นกลุ่มผู้เล่นชั้นสูง แม้ว่าพวกเขาจะมีผู้เล่นที่ร่ำรวย แต่พวกเขาก็ยังคงเคารพฉู่ หลิวชิว
แต่แกรนด์ เดอิตี้นั้นต่างออกไป ในอีกเกมหนึ่งพวกเขาได้ก่อตั้งกิลด์ที่ประกอบด้วยผู้เล่นมากมาย แต่ก็มีผู้เล่นมืออาชีพหลายคนประณามสมาชิกของแกรนด์ เดอิตี้ว่าเป็นขยะ เพราะพวกเขาจะทำอะไรไม่ได้เลยหากไม่มีอุปกรณ์!
แต่สุดท้ายแล้ว…
ผู้เล่นมืออาชีพเหล่านั้นถูกตั้งค่าหัว พวกเขาถูกฆ่าไปกว่า 100 ครั้ง อุปกรณ์ของเขาพังยับเยินและตัวละครของเขาสูญเสียไปหลายสิบเลเวล …
สโมสรมืออาชีพได้ส่งจดหมายขอโทษ จากนั้นลัคกี้ดรีมก็ยกเลิกการให้รางวัลกับผู้เล่นมืออาชีพที่ไม่สุภาพเหล่านั้น
ผู้เล่นมืออาชีพเหล่านั้นก็ได้เลิกเล่นเกมไป
พ่อของสมาชิกคนหนึ่งของแกรนด์ เดอิตี้เป็นผู้สนับสนุนสโมสร
มันง่ายมาก
ในปี พ.ศ. 2333 ในโลกแห่งความเป็นจริง ดาวอังคารตกเป็นอาณานิคมของโลก คนรวยก็ร่ำรวยมหาศาล จึงเป็นการดีกว่าที่จะรุกรานมืออาชีพมากกว่าผู้เล่นที่ร่ำรวย!
วิลเลียมสังเกตผู้เล่น
ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ ผู้เล่นได้คิดกฎกลยุทธ์การต่อสู้และแผนการล้อมเมือง วิลเลียมเริ่มยิ้ม
เพราะผู้เล่นไม่ได้โง่เขลา
หลังจากได้สัมผัสกับเกมเสมือนจริงและเอาชนะความตื่นเต้นครั้งแรกแล้ว ผู้เล่นจะสามารถหากลยุทธ์เพื่อโจมตีเมืองและฐานที่มั่นได้
ผู้เล่น 40,000 คนเข้าโจมตีพวกออร์คอีกครั้ง
มีผู้เล่นสายโจมตียาวห้าแถว ผู้ถือโล่ถูกวางไว้ด้านหน้าเพื่อลดความเสียหายจากหน้าไม้หนัก การจัดขบวนไม่ใช่การวิ่งโร่เข้าไปเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป
ผู้เล่นมีรูปแบบการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ เมื่อลูกศรหนักมาถึงก็สามารถเจาะผู้ถือโล่ได้เพียงไม่กี่คนก่อนที่จะสูญเสียพลัง ทำให้ผู้เล่นที่อยู่ด้านหลังผู้ถือโล่ไม่ได้รับผลกระทบจากลูกศร
ผู้เล่นชั้นยอดสองกลุ่มใช้โอกาสนี้ในการโจมตีพวกออร์ค
ชั่วขณะหนึ่งมันทำให้กองทัพออร์คคลั่งเล็กน้อย
กำแพงป้อมปราการเตี้ยๆถูกสร้างขึ้นอย่างเร่งรีบ ผู้เล่นสามารถปีนขึ้นไปได้อย่างง่ายดายโดยใช้มือและขา ไม่จำเป็นต้องใช้บันไดล้อม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีผู้ถูกเลือกเข้ามาอย่างล้นหลาม…
มีผู้เล่นเรนเจอร์หลายคนยิงธนูพลังต่อสู้ขึ้นไปในอากาศ ดูเหมือนลูกธนูเหล่านั้นไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับพวกออร์คมากนัก…
แต่โล่พลังต่อสู้ของออร์คกำลังหมดลงอย่างช้าๆและพลังงานในการต่อสู้ของพวกมันก็ลดลงอย่างรวดเร็ว
อาร์เลสรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เขาไม่ได้นิ่งนอนใจ ผู้ถูกเลือกมีพลังการต่อสู้ปานกลาง แต่อาร์เลสเข้าใจว่าพวกเขาใช้พลังอันท่วมท้นเพื่อบดขยี้ออร์ค
เขาตะโกนคำสั่งใหม่ออกไป “ให้ออร์คชั้นสูงไปด้านหน้าและป้องกันไม่ให้ศัตรูมาทำลายขบวนของเรา ผู้ถูกเลือกเหล่านี้เป็นเหมือนกับขยะเปียก พวกมีปีกและลอร์ดวิลเลียมยังไม่เริ่มการโจมตี”
อาร์เลสจะไม่เคลื่อนไหวจนกว่าเขาจะได้พบกับวิลเลียมหรือผู้นำของชาวมีปีก
ผู้บัญชาการกองกำลังออร์คอีกสามคนก็กำลังแบ่งเวลาของพวกเขาเช่นกัน
แองกี้ แฟตตี้ไม่ได้เข้าร่วมในการต่อสู้ เขาเลือกจุดที่ได้เปรียบสูงและกำลังถ่ายวิดีโอการต่อสู้
การโจมตีของผู้เล่นดำเนินไปเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง
พวกเขาได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก แต่พวกเขาต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าจำนวนการเสียชีวิตของพวกเขานั้นไม่เกินหกครั้ง เลเวลของพวกเขาก็จะไม่ลดระดับลง
ด้วยการโจมตีอย่างต่อเนื่องของทั้งห้ากิลด์ใหญ่ ฉู่ หลิวชิวและกลุ่มลัคกี้ดรีมก็ได้เอาชนะป้อมปราการของศัตรูและก่อกวนออร์คได้สำเร็จ
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของออร์คระดับกลาง แต่พวกเขาก็ทำให้พวกออร์คบาดเจ็บ 1,500 ตน
“กำลังเสริม กำลังเสริมของออร์คมาแล้ว!” มีคนเห็นกองทหารออร์คสองกองจากระยะไกล พวกเขาเป็นออร์คชั้นสูงที่มีอุปกรณ์คุณภาพสีน้ำเงินและสีเงิน ผู้เล่นต่างอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
เสียงรัวกลองดังไปทั่วสนามรบ
กองกำลงัชาวมีปีกสองกองกลายร่างเป็นสายน้ำสีเงินเข้าโจมตีพวกออร์ค!
ในขณะเดียวกัน
วิลเลียมกลายร่างเป็นสายฟ้าและเร่งความเร็วเข้าไปในสนามรบ
หมัดถูกเหวี่ยงออกไป
ประตูหลักของพวกออร์คพังทลายลง!
เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก
วิลเลียมนำกองทัพผู้เล่นของเขาไปที่เหมืองโอริคัลคุม
ชาวมีปีกใช้กองกำลังสามกองซึ่งเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญระดับกลาง หน่วยที่ทรงพลังเหล่านี้มีอุปกรณ์คุณภาพระดับเงิน เป้าหมายหลักของพวกเขาคือการยึดเหมืองโอริคัลคุมกลับคืนมาให้ได้
พวกเขาเดินทางด้วยความเร่งรีบ เมื่อมาถึงบริเวณใกล้เคียงกับเหมือง พวกเขาเห็นว่ามีการถางพื้นที่รอบ ๆ ป่าเป็นระยะทาง 3 เมตร พวกออร์คใช้ไม้ในการสร้างป้อมปราการง่ายๆเพื่อป้องกันการโจมตีของชาวมีปีก
อัลทาอิคได้สั่งตัดต้นไม้รอบ ๆ เหมืองและเก็บไม้ไว้เพื่อใช้สร้างแนวป้องกัน นอกจากนี้ยังทำให้เอลฟ์ไม่สามารถซ่อนตัวบนต้นไม้และซุ่มโจมตีเหล่าออร์คได้
“หัวหน้า กองทัพรุ่งอรุณมาถึงแล้ว วิลเลียมนำกองทัพที่มีทหาร 40,000 ถึง 50,000 นายมา
ช” มนุษย์หมาป่ารายงานอย่างขลาดกลัว
ผู้บัญชาการกองทหารอาวุโสที่ทำหน้าที่ปกป้องเหมืองก็เป็นออร์คขาว เขาเหลือบมองมนุษย์หมาป่าตัวนั้นแล้วหัวเราะอย่างเย็นชา “นั่นคือกองทัพรุ่งอรุณหรือกองกำลังทหารรับจ้างรุ่งอรุณ? เจ้าตาบอดหรือไง?”
“หัวหน้า ข้า…ข้าผิดไปแล้วขอรับ” หัวหน้าหน่วยสอดแนมมนุษย์หมาป่าตัวสั่นนอนแผ่หราอยู่บนพื้น
“ไสหัวไป ถ้าผิดพลาดอีก ข้าจะฆ่าเจ้าซะ” อาร์เลสเตะมนุษย์หมาป่าออกไปก่อนที่จะมองไปที่ผู้บัญชาการอีกสามคน “การโจมตีเมืองเมื่อวานนี้เป็นเพียงการข่มขู่ ทั้งสามกองทหารจากเผ่านั้นเป็นแค่ขยะ พวกมันพ่ายแพ้ให้กับทหารรับจ้างที่ไร้ประโยชน์”
“สถานการณ์ทางตะวันออกของชนเผ่าไม่สู้ดีนัก การปะทะสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ”
“เราต้องการโอริคัลคุมมากขึ้นเพื่อผลิตชุดเกราะที่แข็งแกร่งขึ้น หัวหน้าเผ่าของเราจะมอบกองกำลังสองกองร้อยให้กับข้า ข้าหวังว่าพวกเจ้าทั้งสามจะไม่ทำให้พี่ชายของข้าผิดหวัง”
ผู้บัญชาการกองทัพสองคนเป็นออร์คขาวระดับอีปิคในขณะที่ผู้บัญชาการคนสุดท้ายเป็นออร์คขาวระดับมาสเตอร์ พวกเขาพยักหน้าให้อาร์เลส
อาร์เลสเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดของอัลทาอิคและเป็นออร์คขาวที่ทรงพลัง
เผ่าเฮฟวี่ เสปียร์เป็นที่อยู่ของพวกออร์คขาวจำนวนมาก ความสามารถในการสืบพันธุ์ของออร์คนั้นแข็งแกร่งเนื่องจากมีออร์คหลายแสนตัว
อัลทาอิคออกคำสั่งมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าออร์คขาวเท่านั้นที่สามารถผสมพันธุ์กับออร์คขาวตัวเมียได้ เขาต้องการให้เผ่าแข็งแกร่งขึ้น
อัลทาอิคมีสายเลือดที่กล้าหาญของออร์คและเป็นคนมองการณ์ไกล ถ้าเขาสามารถทำให้ออร์คขาวมีพลังได้เขาก็มีโอกาสที่จะสร้างออร์คขาวให้เป็นผู้ปกครองของสถานที่รกร้างในยุคที่สอง
อัลทาอิคเย้ยหยันกองทัพมังกรที่ต้องการร่วมมือกับเขา แต่ไม่เต็มใจที่จะให้สถานะที่สมควรได้รับแก่เขา อัลทาอิคสามารถปฏิเสธพันธมิตรของพวกเขาได้เท่านั้น
กองทัพมังกรต้องการยึดครองเผ่าเฮฟวี่ เสปียร์ และการต่อสู้กับกองทัพมังกรจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า
อัลทาอิคกังวลมากเกี่ยวกับคุณภาพของชุดเกราะ หลังจากการสอดแนมโดยเจตนา เขาได้ค้นพบเหมืองมิทริลและเหมืองโอริคัลคุมของชาวมีปีก
เขาเชื่อว่าหากเขาสามารถยึดครองเหมืองทั้งสองได้การเป็นผู้ปกครองทางตะวันออกของป่าแบล็คลีฟจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
กองทัพรุ่งอรุณเคลื่อนเข้าใกล้เหมืองโอริคัลคุม
อัลทาอิคที่มีชุดเกราะระดับทองถือดาบสองมือ เขาโบกมือให้กองทัพพลางตะโกนว่า “ทุกคนเตรียมตัวสำหรับการสู้รบ ปล่อยโทรลพวกนั้นออกไปให้โจมตีกำลังเสริมของพวกมัน ข้าจะได้มีเวลาฆ่าทหารรับจ้างรุ่งอรุณ”
“ปู๊นน!!!”
เสียงแตรต่อสู้ดังทะลุอากาศ
กำแพงเตี้ย ๆ ที่ใช้ไม้และหินทับซ้อนกันได้รับการปกป้องโดยออร์คที่ถือดาบยาว พลธนูที่ประจำการอยู่ข้างหลังได้เตรียมคันธนูของพวกเขา
ลูกศรจำนวนมากถูกยิงออกไปและก้อนหินขนาดใหญ่ถูกวางไว้ข้างๆเครื่องจักร
ผู้เล่นเอลฟ์ปีนขึ้นไปบนต้นไม้และเห็นฉากนั้น เขาตกใจมากจนพลัดตกต้นไม้
“เอ้ย พวกมันมีกระทั่งเครื่องยิงหิน พวกมันโหดเหี้ยมขนาดนี้เชียวหรือ”
“ฉันสังเกตเห็นหน้าไม้ยักษ์…”
เมื่อฉู่ หลิวชิวค้นพบเครื่องจักรสงครามของออร์คก็ถึงกับผงะ “จริงด้วย”
เสี่ยว อาจินมองไปที่ฉู่ หลิวชิวก่อนจะพูดว่า “หยุดพูดเรื่องไร้สาระซักที คุณเป็นพวกปอดแหกรึไง คิดแผนรับมือได้แล้ว”
“ผมจะคิดแผนได้ยังไง? เราต้องติดตามเจ้าชาย” ฉู่ หลิวชิวไม่เพียงเป็นผู้นำของสโมสรกลอรีเท่านั้น แต่เขายังเป็นนักวางกลยุทธ์หลักของเกมเสมือนจริงอีกด้วย มันน่าเสียดายที่เขาไม่ได้มีแผนการที่ดีใด ๆ
ผู้เล่นไม่ได้มีแผนใด ๆ
แต่วิลเลียมมีแผน!
เขาเผยแพร่ภารกิจเพิ่มเติม
ผู้เล่นทุกคนถึงกับผงะเมื่อเห็นข้อมูลภารกิจ
[การต่อสู้ล้างผลาญ: ผู้ถูกเลือกที่กล้าหาญ วิลเลียม แบล็คลีฟรู้เกี่ยวกับความสามารถในการฟื้นฟูของคุณ ใช้ประโยชน์จากการฟื้นฟูของคุณเพื่อรับมือกับลูกศรและหินของออร์คจำนวนครึ่งหนึ่ง]
[แนะนำภารกิจ: โปรดทำตัวเป็นทหารที่พร้อมสังเวยชีวิต]
[ความยากของภารกิจ: C]
[รางวัลภารกิจ: คะแนนประสบการณ์ 0 ~ ???]
[รางวัลภารกิจ:คะแนนประสบการณ์สมทบ 0 ~ ??? ]
ผู้เล่นต่างพูดไม่ออกเมื่อเห็นภารกิจใหม่ การแนะนำภารกิจที่ได้รับจากเกมนั้นซุกซนเกินไปหรือไม่?
ผู้เล่นถอนหายใจ เกมนี้สมจริงเกินไป แม้แต่ NPC ก็เริ่มใช้ประโยชน์จากความสามารถในการฟื้นฟูของผู้เล่น
สถานการณ์นี้เกิดขึ้นในอาณาจักรเหล็กด้วยดังนั้นผู้เล่นจึงไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก
ไม่มีผู้เล่นคนใดปฏิเสธภารกิจ
ฉู่ หลิวชิวเป็นคนฉลาด เขามีความคิด เขาสามารถถอดอุปกรณ์ของเขาก่อนที่จะส่งตัวเองไปตายได้หรือไม่?
เขาปรากฏตัวข้างๆวิลเลียมและพูดว่า “เจ้าชายวิลเลียม ผมขอฝากอุปกรณ์ไว้ในความดูแลขององครักษ์ส่วนตัวของคุณได้ไหม”
“อา?” วิลเลียมขมวดคิ้ว แต่ก็พยักหน้าและพูดว่า “ได้สิ…”
เขารู้ชะตากรรมที่น่าเศร้าของผู้เล่นเพราะ NPC ไม่ใช่คนโง่ …
ฉู่ หลิวชิวมอบอุปกรณ์ให้อยู่ในความดูแลขององครักษ์ส่วนตัว 500 คนของเจ้าชายวิลเลียม เขาต้องการความกล้าที่จะต่อสู้กับบทสรุปที่ไม่สามารถทำลายได้ของเขา
เมื่อผู้เล่นคนอื่น ๆ เห็นกลเม็ดของฉู่ หลิวชิว พวกเขาก็ยกนิ้วให้ “ฉู่ หลิวชิวยอดเยี่ยมมาก คุณคิดได้ไงเนี่ย”
“คุณเจ๋งมาก เราจะให้การสนับสนุนและให้คุณเป็นมืออาชีพระดับสามดาวอันดับต้น ๆ ”
ฉู่ หลิวชิวลูบผมที่ผอมบางของเขาและหัวเราะเสียงดัง “ขอบคุณ โปรดให้การสนับสนุน เสี่ยว อาจินคนสวยของฉันด้วย ฉันเป็นคุณลุงวัยกลางคนและแก่เกินกว่าจะมีชื่อเช่นนี้”
“ความคิดของคุณดีนี่” เสี่ยว อาจินถอดอุปกรณ์และอาวุธของเธอออกพร้อมกับปิดหีบด้วยมือทั้งสองข้าง เธอต้องการที่จะหยุดดวงตาที่อ่อนล้าเหล่านั้นจากการจ้องมองเธอ
ผู้เล่นคนอื่น ๆ ทั้งหมดเริ่มส่งมอบอุปกรณ์ของตน เนื่องจากมีอุปกรณ์จำนวนมากเกินไปเจ้าหน้าที่บันทึกจึงต้องใช้ขนนกเพื่อบันทึกรายการอุปกรณ์ …
พวกออร์คสับสนกับการกระทำของศัตรู
พวกเขากำลังจะต่อสู้ เหตุใดศัตรูของพวกเขาจึงถอดอุปกรณ์ออก?
พวกเขากำลังดูถูกออร์คหรือเปล่า?
อาร์เลสโกรธมาก เขาต้องการเห็นสีหน้าหวาดกลัวของทหารรับจ้างที่กล้าหาญเหล่านี้
ผู้เล่นหยิบก้อนหินและกิ่งไม้ขึ้นมา ก่อนจะพุ่งเข้าหาพวกออร์ค
หินจากหนังสติ๊กตกลงมาจากท้องฟ้าเหมือนฝนดาวตก
เสียงดังไม่หยุดหย่อน
เหมือนกับแผ่นดินไหว
ลูกธนูพุ่งทะลุท้องฟ้าและทะลุผู้เล่นเจ็ดถึงแปดคนในนัดเดียว
แสงวาบสีขาวปรากฏขึ้นในสนามรบ
ทหารรับจ้างใหม่ปรากฏตัวใกล้กับธงกองทัพ จากนั้นพวกเขาก็พุ่งเข้าสู่สนามรบอีกครั้ง
อาร์เลสตกตะลึง
“ผู้ถูกเลือกงั้นรึ?” เขาสูดอากาศเย็น ๆ และระลึกถึงเจตจำนงของสวรรค์
“ข้าไม่เชื่อว่าพวกมันจะมีการฟื้นคืนชีพอย่างไม่จำกัด ฆ่าพวกมันซะ ชะลอการยิงธนูและหน้าไม้ ให้พวกมันเข้ามาใกล้ ๆ แล้วฆ่าพวกมันด้วยดาบ” อาร์เลสหัวเราะอย่างเย็นชา “แกมีกลเม็ดของแก แต่ข้ามีกลยุทธ์”
ฟรานส์หัวหน้าเผ่ามีปีกเป็นนักรบระดับอีปิคเลเวล 68 ในเวอร์ชันเกมปัจจุบัน ถือว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งผู้หนึ่ง
เมื่อกองทหารออร์คทั้งสามเข้าโจมตีเมือง เขาไม่ได้ใส่ใจและไม่แสดงเจตนาที่จะมีส่วนร่วมในสงครามภายนอก เขาต้องการใช้ประโยชน์จากป้อมปราการของเมืองเพื่อบังคับให้พวกออร์คล่าถอย
แม้ว่าชาวมีปีกจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตายในสงครามได้ และเนื่องจากผู้คนให้ความสำคัญกับชีวิตอันมีค่าของตนเอง พวกเขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรงทุกครั้งที่ทำได้ ตัวอย่างเช่นพวกเขาชอบใช้ธนูมากกว่าการใช้ดาบ
ชาวมีปีกทุกคนมีมรดกความทรงจำ พวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้ใช้ชีวิตในเมืองลอยฟ้าและกลายเป็นทูตสวรรค์ที่ชอบธรรมแห่งแสงสว่าง
เมื่อใดก็ตามที่ชาวมีปีกถึงเลเวล 70 แสงศักดิ์สิทธิ์จะส่องลงมาและนำเขาไปยังพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา
พวกเขาจะได้รับการฝึกฝนและสืบทอดเมืองลอยฟ้า พวกเขายังมีโอกาสที่จะกลายเป็นทูตสวรรค์!
ฟรานส์ต้องการที่จะบรรลุเลเวล 70 และส่งต่อความเป็นผู้นำของเขาให้กับชาวมีปีกคนอื่นก่อนที่จะบินไปยังเมืองลอยฟ้า…
แต่เขาคาดการณ์ผิดพลาด การพัฒนาของออร์คขาวอัลทาอิกเป็นไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ฟรานส์จะมีโอกาสจากไป พวกออร์คก็ได้เข้าโจมตีชาวมีปีกเสียแล้ว
เขาไม่ต้องการที่จะต่อสู้ แต่เขาก็ไม่ต้องการส่งนักรบไปตายเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากพันธมิตรในการต่อสู้อย่างลอร์ดวิลเลียม
กลางหน้าผาสูงชัน
ภาพโมเสคของเมืองท้องฟ้าถูกสลักไว้ภายในพระราชวังที่แสนไร้ที่ติ และยังสามารถมองเห็นรูปปั้นนางฟ้าที่สวยงาม ผู้เล่นต่างรอคอยที่จะได้เห็นเหล่านางฟ้าตัวจริง
ผู้เล่นไม่สามารถเยี่ยมชมเมืองลอยฟ้าได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ แต่พวกเขายังสามารถคาดการณ์ได้
วิลเลียมนำเอริค, น็อกซ์และผู้เล่นบางคนเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้กับชาวมีปีก
ผู้เล่นประกอบด้วยแองกี้ แฟตตี้, ฉางหลี จิ่วเกอแห่งสโมสรกลอรี่, ฉู่ หลิวชิวและเสี่ยว อายิน พวกเขาสามารถช่วยให้วิลเลียมขยายอิทธิพลของเขาได้
การมีส่วนร่วมครั้งนั้นมีจุดประสงค์อย่างอื่นอีกด้วยนั่นคือการหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์
ฉู่ หลิวชิวและเสี่ยว อาจินเป็นหนึ่งในสามผู้เล่นที่สร้างความเสียหายมากที่สุดในการต่อสู้ครั้งก่อน
ฉางหลี จิ่วเกอและแองกี้ แฟตตี้นั้นวิลเลียมได้รู้จักมาก่อน ผู้เล่นคนอื่น ๆ จึงอิจฉาพวกเขา
ฟรานส์เชิญวิลเลียมให้นั่งลงและชิมไวน์ผลไม้ของพวกเขา ผู้ติดตามของวิลเลียมยืนอยู่ด้านหลังและสำรวจโดยรอบ
ฟรานส์ถอนหายใจยาว ก่อนจะกล่าวว่า “อัลทาอิกมีความทะเยอทะยานสูง การต่อสู้ที่ถ้ำปีศาจได้แสดงให้เห็นถึงเจตนาชั่วร้ายที่เขามีต่อเมืองรุ่งอรุณ”
“เป็นเกียรติของชาวมีปีกที่ได้เจ้าชายวิลเลียมช่วยปราบปรามพวกออร์ค ข้าเชื่อว่าท่านก็อยากจะสังหารอัลทาอิกเช่นกัน?” ฟรานส์พูดและมองไปที่วิลเลียม เขาเข้าใจความกระตือรือร้นของวิลเลียมที่จะฆ่าอัลตาอิก
วิลเลียมดีใจมากที่ได้ยินฟรานส์พูดกับเขาในฐานะเจ้าชาย เขาเป็นเจ้าชายที่ถูกทอดทิ้งและไม่มีอำนาจใด ๆ ในหมู่เอลฟ์แบล็คลีฟแต่เขามีอิทธิพลอย่างมากต่อผู้เล่น
ผู้เล่นคนอื่น ๆ คิดว่าวิลเลียมเป็นผู้นำของพวกเขาเพียงแค่ดูการแสดงออกของพวกเขา
“แต่ข้ามักจะเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้เสมอ ข้าดูเข้าใจช้าเกินไปหรือไม่?”
วิลเลียมดื่มไวน์และพูดอย่างไม่เป็นทางการว่า “เราเป็นพันธมิตรกัน และเราจะพูดอย่างตรงไปตรงมา สำหรับเราแล้วอัลทาอิคนั้นเป็นตัวซวย”
“ถ้าให้ความกล้าของมังกรแก่เขา อัลทาอิคจะไม่กล้าโจมตีเมืองแห่งรุ่งอรุณ แม้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากพี่ชายที่แข็งแกร่งของเขาก็ตาม”
“ ยิ่งไปกว่านั้นกองทหารของเรามีส่วนร่วมในการสู้รบตลอดทั้งปี พวกเขาบาดเจ็บจากการต่อสู้ ทหารรับจ้างเป็นกำลังหลักของเรา เราสงสัยว่าผู้นำชาวมีปีกมีแผนการรับมืออย่างไรบ้าง?”
ฟรานส์ขมวดคิ้ว เขารู้ว่าเขาไม่สามารถปัดความรับผิดชอบของเขาได้
เมื่อวิลเลียมกระพริบตา ฟรานส์โบกมือโดยสัญชาตญาณเพื่อไล่คนของเขาออกไป
วิลเลียมยังโบกมือไล่ผู้เล่นที่สับสน
สิ่งต่างๆมาถึงขั้นนี้แล้ว
สถานการณ์คงจะน่าอึดอัด
การถกเถียงกันอย่างดุเดือดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
พวกเขาหารือกันอยู่นาน
กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง
ผู้นำทั้งสองเดินออกมาจากห้องประชุม
วิลเลียมสูดอากาศบริสุทธิ์ เขารู้สึกพอใจเมื่อได้รับข้อเสนอที่ดีเช่นนี้
อัลทาอิคไม่ได้เริ่มสงครามโดยไร้เหตุผล
ชาวมีปีกได้ค้นพบเหมืองโอริคัลคุมที่อยู่ใกล้กับเผ่าเฮฟวี่สเปียร์
แต่ข้อมูลนี้กลับรั่วไหล อัลทาอิคนำออร์คหลายพันตนเข้ายึดครองเหมือง แล้วยังนำพวกออร์คไปที่ทางเข้าเมืองของชาวมีปีกเพื่อควบคุม
ฟรานส์รู้ดีว่าเขาไม่สามารถเก็บงำมันได้ เขาจึงไม่ได้ปิดบังข้อมูลนี้ และบอกวิลเลียมไปจะดีกว่า
ฟรานส์ต้องการที่จะยึดเหมืองโอริคัลคุมกลับคืนมา หากวิลเลียมสามารถกำจัดอัลทาอิคหรืออาร์ลผู้เป็นพี่ชายของเขาได้ วิลเลียมจะได้รับส่วนแบ่งโอริคัลคุม 50% หากไม่เป็นเช่นนั้นวิลเลียมจะได้รับเพียง 30% ของการผลิตโอริคัลคัมเท่านั้น
แม้ว่าโอริคัลคุมจะมีค่า แต่ก็ยากที่จะขายเป็นเหรียญทองหรือใช้เพื่อเพิ่มพลัง
วิลเลียมรู้ว่าชาวมีปีกร่ำรวย หลังจากใช้กลยุทธ์ทั้งอ่อนทั้งแข็ง เขาก็เอา 50,000 เหรียญทองจากพวกเขามาได้
“ในหนึ่งเดือน เราจะคิดหาวิธีกำจัดอัลทาอิคหรือพี่ชายของเขาภายในหนึ่งเดือน แม้ว่าจะฆ่าพวกมันไม่ได้ แต่เราจะทำให้เผ่าเฮฟวี่ สเปียร์ต้องชดใช้อย่างสาสมแน่”
วิลเลียมเกาศีรษะ นอกจากจำนวนโทรลล์ที่พวกเขามีอยู่แล้ว เผ่าเฮฟวี่ เสปียร์ยังมีออร์คระดับรีเจนดารีและระดับอีปิคอีกมากมาย ชนเผ่าเป็นกองกำลังที่น่าเกรงขามที่ต้องคำนึงถึง
หากไม่มีออร์คระดับรีเจนดารีคอยปกป้องเผ่าเฮฟวี่ เสปียร์ อัลทาอิคก็คงไม่กล้าซุ่มโจมตีกองทัพรุ่งอรุณ
ณ ตอนนี้
ร่างที่มีขาเรียวยาวเดินเข้ามาหาวิลเลียม
ผู้เล่นหลายคนกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากและแสดงความคิดเห็นว่า “ระดับรีเจนดารี…”
“ นั่นผู้หญิง…”
“เอ้ย วิลเลียมรู้จักเธอหรือเปล่า?”
“เจ้าชายวิลเลียมยอดเยี่ยมมาก”
วิลเลียมขมวดคิ้วและอยากจะอธิบายตัวเอง แต่ …
ผู้เล่นเห็นผู้นำของชาวมีปีกพูดกับเขาว่าเจ้าชายวิลเลียม แฟตตี้และผู้เล่นคนอื่น ๆ จึงตัดสินใจที่จะพูดกับเขาในฐานะเจ้าชายวิลเลียมเพราะมันฟังดูน่าประทับใจมากกว่า
ในใจของผู้เล่น วิลเลียมคือบอสของฝ่ายพวกเขา พวกเขาให้ชื่อพิเศษแก่เขาเพื่อแสดงความยอดเยี่ยมของเขา
ชื่อนักรบสังหารมังกรไม่ได้มีเกียรติมากขนาดนั้น
การเรียกวิลเลียมว่าเป็นท่านเจ้าเมืองก็ไม่มีความหมายเนื่องจากมีขุนนางหลายคน
เฉพาะชื่อเจ้าชายเท่านั้นถึงจะบ่งบอกสถานะความเป็นราชวงศ์ของวิลเลียมและฟังดูน่าประทับใจในเวลาเดียวกันเอลฟ์ แบล็คลีฟเป็นพลังที่น่าเกรงขามในทวีปรีเจนดารี ใครจะกล้าดูถูกเจ้าชายแบล็คลีฟกัน?
หญิงสาวชาวมีปีกเป็น NPC ระดับรีเจนดารี เธอดึงดูดความสนใจของผู้เล่นทั้งหมด
“ซีหยานทักทายเจ้าชายวิลเลียม ลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณ”
วิลเลียมมองไปที่ซีหยาน เธอมีออร่าที่โดดเด่นมาก
แต่เขาก็งง ซีหยานคือใคร?
“เธอไม่ใช่นางฟ้าเหรอ? อัลทาอิคไม่ได้มีชีวิตที่ดีในชีวิตก่อนหน้านี้ ขณะที่เขากำลังถูกโจมตีโดยกลุ่มชนเผ่ามังกร เขาไม่มีโอกาสโจมตีชาวมีปีก ดังนั้นวิลเลียมจึงไม่ได้พบเธอก่อนที่เธอจะกลายเป็นนางฟ้า…”
วิลเลียมคิดว่ามีตัวละครที่ทรงพลังมากมายในฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของทวีป เขาพยักหน้าและถามว่า “ผู้บัญชาการกองพัน?”
“ไม่ใช่ ข้าเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดชั่วคราวของกองกำลังชาวมีปีก” ซีหยานตอบอย่างไร้อารมณ์
เลเวล 68?
วิลเลียมครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและกล่าวว่า “ดีมาก ผู้บัญชาการซีหยานท่านมีความคิดเห็นอย่างไรกับการโจมตีของเผ่าเฮฟวี่ เสปียร์?”
“เอาชนะพวกมันซะ!” ซีหยานกำหมัดแน่น
“แค่นี้เหรอ?”
“ถูกต้อง” ซีหยานหยุดชั่วคราวก่อนที่จะพูดว่า “ไปต่อที่เหมืองโอริคัลคุมพรุ่งนี้ กองทัพของเจ้าชายที่ได้รับการคัดเลือกจะต้องเข้าโจมตีด้านหน้า ข้าจะนำชาวมีปีกเข้้าโจมตีด้านข้าง เราจะมีโอกาสเอาชนะออร์ค 10,000 ตัวที่ประจำการอยู่ในเผ่าได้ ถ้าอัลทาอิคอยู่ข้าจะฆ่าเขาเอง”
“โอ้พระเจ้า” วิลเลียมไม่ได้พูดถึงความคิดของเขา เขาเพียงแค่พยักหน้าและพูดว่า “ได้ เราจะทำตามแผนของท่าน…”
ซีหยานหันหลังจากไป ผู้เล่นอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ นั่นเป็นแผนการรบหรือไม่?
มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?
ผู้เล่นรู้สึกราวกับว่าพวกเขาเป็นปืนใหญ่
วิลเลียมมองไปที่ซีหยานที่มีก้นแบนและถอนหายใจ “เธอคือนางฟ้านักสู้ในอนาคต เธอเป็นคนหุนหันพลันแล่นมาตั้งแต่เด็ก…”
ในฐานะบอสระดับรีเจนดารี วิลเลียมสามารถปราบออร์คระดับเริ่มต้นและระดับกลางได้โดยไม่ต้องใช้อาวุธใด ๆ
วิลเลียมมั่นใจ
เขาเปิดใช้งานโล่พลังต่อสู้ ก่อนจะกำหมัดแน่น
รูปแบบการป้องกันของกองทัพออร์คไม่มีประโยชน์อะไรกับเขา เขาเป็นเหมือนกับมังกรดุร้ายที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้
กองกำลังของออร์คทั้งสามไม่ได้ปราศจากผู้บังคับบัญชาที่ทรงพลัง
ออร์คขาวระดับอีปิคพุ่งเข้ามาและฟันดาบใส่วิลเลียม ก่อนที่พลังของดาบจะถูกปลดปล่อยพื้นดินก็แยกออก พลังนั้นน่ากลัวมาก
แต่วิลเลียมหลบได้ทัน
เขาคว้าแขนของออร์คขาวเอาไว้ ก่อนจะเหวี่ยงมันออกไป!
ตู้ม!
ออร์คขาวกระเด็นเข้ามาในกำแพงเมืองเหมือนกระสุนที่ถูกยิงออกจากปืนใหญ่
วิลเลียมไล่ตามมาอย่างดุดัน เขาต้องการต่อยออร์คขาวตนนี้ก่อนที่มันจะมีเวลาฟื้นตัว
พลังจากหมัดของเขาทำลายกำแพงพังไปครึ่งแถบ
“ฆ่ามันซะ” ออร์คเลเวล 40 กลุ่มหนึ่งฉวยโอกาสนี้เข้าโจมตีวิลเลียม
ตู้ม ตู้ม ตู้ม
วิลเลียมตอบแทนพวกมันโดยไม่สนใจใยดีเท่าไหร่นักพลางใช้พลังต่อสู้ปัดป้องคมดาบที่กวัดแกว่งเข้ามา พวกออร์คที่ได้รับผลตอบแทนเป็นสายฟ้าฟาดก็ชักกระตุกเป็นท่าเต้นพึลึก ๆ ดูเข้าท่าเลยทีเดียว…
วิลเลียมมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของเขาในขณะที่กำลังโจมตีออร์คขาว
เสียงดังก้องไปทั่วทุกทิศทาง
ออร์คขาวถูกทุบตีจนน่วมก่อนที่วิลเลียมจะเตะเขาอย่างรุนแรง การเตะครั้งนั้นทำให้เขากระเด็นไปล้มทับกลุ่มออร์คที่อยู่ข้างหลัง
วิลเลียมหยิบดาบที่อยู่บนพื้นขึ้นมา เพียงแสงวาบวับผ่านไปคราเดียวบาดแผลก็ปรากฏบนร่างกายของออร์คจำนวนมาก
ออร์คระดับมาสเตอร์เข้าฟันที่ศีรษะของวิลเลียม แต่เขาคว้าข้อมือออร์คได้ทันก่อนจะพุ่งเข้าใส่กองทัพออร์ค! โดยที่ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเขาได้!
ออร์คระดับอีปิคอีกตัวหนึ่งเข้าโจมตีวิลเลียมขณะที่ออร์คระดับมาสเตอร์จำนวนมากล้อมรอบเขา
ปัง
ทันใดนั้นคลื่นพลังงานสีน้ำเงินที่มีรัศกว่า 17 เมตรก็แผ่ออกมา
ในขณะนั้น
ออร์คหลายร้อยตัวกระเด็นไปในอากาศ วิญญาณโปร่งแสงนับไม่ถ้วนหายไปในอากาศ เบาบางราวกับซากศพที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า มันทำให้ออร์คที่เหลือตัวแข็งทื่อ
ฉากนั้นสร้างความหวาดกลัวให้กับพวกเขามาก
ผู้เล่นและผู้คนจากเผ่ามีปีกที่อยู่บนเชิงเทินต่างอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ
ผู้เล่นสองสามคนที่กำลังถ่ายทอดสดอยู่รู้สึกตื่นเต้นมาก พวกเขาสังเกตเห็นความคิดเห็น 666 ที่ด้านล่างขวาของหน้าจอไหลเป็นสาย พวกเขารู้ทันทีว่านี่คือสิ่งที่ผู้ชมต้องการได้เห็น
ฉู่ หลิวชิวเกาผมที่ผอมบางของเขาก่อนจะถอนหายใจขณะที่คิดว่า “เมื่อก่อนตอนที่ฉันดูวิดีโอของเขา ฉันรู้ว่าลอร์ดวิลเลียมแข็งแกร่งมาก แต่ตอนนี้เมื่อฉันได้เห็นถึงอำนาจที่แท้จริงของท่านลอร์ดเป็นการส่วนตัวแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก”
“วิลเลียม หัวหน้าทีมของเราเป็นบอสระดับรีเจนดารีของเวอร์ชันล่าสุด พลังต่อสู้ของเขาไม่เป็นสองรองใคร แค่ใช้จำนวนเข้าสู้ไม่ทำให้เขาพ่ายแพ้หรอก” ฉางหลี จิ่วเกอพยักหน้าเห็นด้วย พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมทหารรับจ้างรุ่งอรุณ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการให้วิลเลียมแข็งแกร่งขึ้น
ผู้เล่นหวังว่าวิลเลียมจะไม่ถูกฆ่าตายในแผนการเพราะพวกเขาจะต้องอับอายเป็นอย่างมาก
เสี่ยว อาจินเหลือบมองทั้งสองคน เธอปลดดาบออกแล้วพูดว่า “ทำไมพวกคุณไม่ไปต่อสู้ด้วยล่ะ? คุณกำลังรอให้หัวหน้าทีมวิลเลียมฆ่าออร์คแทนเราทั้งหมดเลยรึไงกัน?”
“ได้เลยครับรองหัวหน้า เราแค่ฟุ้งซ่านไปหน่อย ไปเก็บเงินกันเถอะ !!” ผู้เล่นมืออาชีพเลียริมฝีปากขณะที่เขาปลดดาบแล้วพุ่งเข้าใส่ศัตรู
ผู้วิเศษสองสามคนที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาโยนลูกไฟ ลูกศรเยือกแข็งและมีดลมขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกเขาหวังว่าการโจมตีด้วยเวทย์มนตร์เหล่านี้สามารถใช้หลักการพลศาสตร์ แรงโน้มถ่วงและแรงเฉื่อยเพื่อเคลื่อนที่ผ่านไปได้…
การโจมตีทางเวทย์มนตร์ของพวกเขาจะกระทบผู้เล่นคนอื่นหรือไม่นั้นนักเวทย์ไม่สนใจ
วิลเลียมสู้รบเพียงลำพังและขัดขวางการจัดขบวนของกองทัพออร์ค ผู้เล่นหลายแสนพุ่งไปข้างหน้าเหมือนแตนขณะที่พวกเขาโจมตีอย่างเมามัน
เสี่ยว อาจินเป็นผู้เล่นที่ร่ำรวย เธอมีชุดอุปกรณ์คุณภาพระดับทองสำหรับฉางหลี จิ่วเกอ และอีกชิ้นหนึ่งสำหรับตัวเธอเอง
มันง่ายมาก
เธอร่ำรวยมากจนสามารถเลือกได้ตามใจชอบ
เนื่องจากอุปกรณ์ของเธอและอาชีพลับในฐานะผู้ถือโล่ระดับมาสเตอร์ เธอจึงพุ่งตัวไปแถวหน้าดั่งมังกรน้ำสีเงิน เธอใช้โล่และอาวุธคุณภาพระดับทอง วิธีที่เธอต่อสู้นั้นน่าประทับใจ
ฉางหลี จิ่วเกอ มืออาชีพที่แข็งแกร่งที่สุดในสโมสรกลอรียังแสดงพลังการต่อสู้ที่น่าประทับใจของเขาออกมา
แม้ว่าคุณสมบัติของเขาจะไม่ได้รับการอัพเกรดอย่างเต็มที่ เนื่องจากอาชีพระดับอีปิค แต่เขาก็มีข้อได้เปรียบเป็นทักษะ เขาฟาดฟันอย่างเมามันและสังหารออร์คไปหลายตัวด้วยท่าระเบิดของเขา
แล้วฉู่ หลิวชิวล่ะ?
แม้ว่าเขาจะมีอุปกรณ์ระดับเงินเพียงครึ่งชุดและอาวุธระดับเงิน แต่ทักษะของเขาก็ยอดเยี่ยม เมื่อสบโอกาสก็จะแทงหัว เชือดคอ แทงหัวใจ เขาดูช้า แต่ก็ไม่เสียแรงเปล่า เขาสามารถจัดการพวกออร์คได้อย่างรุนแรง
เมื่อสหายของเขาประสบปัญหา เขาจะตัดหัวฝ่ายตรงข้ามก่อนที่จะหลุดออกไป ความสามารถของเขาน่าประทับใจ เขาเปรียบได้กับวิลเลียมในชีวิตก่อนหน้านี้ที่ชอบตัดหัวคู่ต่อสู้
ด้วยอุปกรณ์ที่ดีและบอสที่ทรงพลังที่นำไปสู่สงคราม ผู้เล่นมืออาชีพจึงฝ่าแนวป้องกันของออร์ค
วิลเลียมเข้าใจว่าออร์คเลือกผู้ที่อ่อนแอเท่านั้น การโจมตีเมืองเป็นเรื่องยาก หลังจากการโจมตีสองครั้งที่ด้านข้าง พวกออร์คกำลังจะล่าถอย
ผู้บัญชาการออร์คตระหนักถึงสถานการณ์ที่เลวร้าย เขานำทหารของเขาหลบหนี
ออร์คตนอื่นค้นพบว่าผู้บัญชาการกำลังหลบหนีก็ทำให้ขวัญกำลังใจของพวกเขาลดลง ออร์คทั้งหมดหนีไปในขณะที่ถูกไล่ตามโดยผู้เล่น
พวกออร์คถอยกลับเข้าไปในป่า แต่ผู้เล่นพุ่งเข้าใส่เหมือนแตนและเริ่มสนุกสนานในการฆ่า
วิลเลียมไม่มีความตั้งใจที่จะหยุดยั้งผู้เล่นที่บ้าคลั่งจากการสังหารออร์ค
ทำไมเขาต้องออกคำสั่งที่ขัดกับความประสงค์ของพวกเขาด้วยล่ะ?
นั่นจะทำให้ความพยายามของพวกเขาเสียเปล่า
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไปบอกผู้เล่นว่าต้องทำอย่างไร เขาทำได้แค่อดทนรอที่จุดติดธงกองทัพของพวกเขาและรอให้ผู้เล่นฟื้นขึ้นมา…
หลังจากการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่
กองทัพออร์คทั้งสามมีผู้บาดเจ็บ 2,000 ตน ชาวมีปีกได้ฆ่าพวกมันไปส่วนหนึ่งในขณะที่วิลเลียมคนเดียวฆ่าออร์คไปครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือของออร์คที่ถูกทารุณโดยผู้เล่น
เอริคเป็นรองผู้บัญชาการ เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจขณะที่พูดว่า “ผู้ถูกเลือกนั้นไร้ระเบียบวินัยเกินไป แม้ว่าทหารรับจ้างจะเคลื่อนไหวช้า แต่ผู้ถูกเลือกจะทำตามที่ต้องการได้อย่างไร? เรามีโอกาสที่จะกำจัดพวกออร์คทั้งหมด แต่เนื่องจากความไร้วินัยของพวกเขาจึงลงเอยด้วยวิธีนี้”
วิลเลียมยิ้มและพูดว่า “แต่พวกเขามีความสามารถในการฟื้นฟู ให้พวกเขาสั่งสมประสบการณ์มากขึ้นหน่อยก็สามารถเป็นหน่วยที่ใช้งานได้แล้ว”
สถานการณ์ของผู้เล่นนั้นเรียบง่าย
พวกเขาเพิ่งเล่นเกม สมาชิกรุ่นเก๋าและมือใหม่ของกิลด์ไม่ได้เรียนรู้ที่จะร่วมมือกัน พวกเขาจึงไม่สามารถบุกโจมตีในรูปแบบที่ดีได้
เมื่อผู้เล่นเสียชีวิตหลายครั้งเข้าก็จะเข้าใจถึงความสำคัญของรูปขบวน แม้ว่าวิลเลียมจะไม่ได้พูดอะไรสักคำพวกเขาก็จะได้เรียนรู้ยุทธวิธีการรบของกองทัพปกติ
ผู้เล่นไม่ได้โง่เขลา
ผู้เล่นฮึกเหิมเพราะพวกเขาไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินจำนวนมากสำหรับความตาย แต่…วิลเลียมไม่ได้คาดหวังอะไรจากผู้เล่นมากนัก…
เมื่อชาวมีปีกเปิดประตูเมืองของพวกเขา
วิลเลียมนำกองทัพเข้าเมือง
ผู้อาวุโสและผู้นำของชาวมีปีกยืนอยู่บนเชิงเทิน พวกเขามองผู้ถูกเลือกและผู้เล่นที่มีปีกอย่างหวาดกลัว
ไม่มีคนถูกเลือกเกิดในชนเผ่าของชาวมีปีก
ผู้เล่นจะเกิดในหมู่บ้านเริ่มต้นในอาณาจักรเหล็ก, อาณาจักรลาวาดำ และเมืองรุ่งอรุณเท่านั้น ผู้เล่นต้องค้นหาเผ่าและกลุ่มที่เป็นกลางเหล่านี้ด้วยตัวเอง
ผู้เล่นเข้ามาในเมืองอย่างมีความสุขเมื่อพวกเขาค้นพบโลกใหม่ อาคารของชาวมีปีกมีความพิเศษ พวกเขาถูกสลักไว้ที่ด้านข้างของหน้าผาสูงชัน
บ้านถูกสร้างขึ้นโดยใช้หินสีขาวพิเศษ ดูเหมือนพระราชวังในสวรรค์
สะพานและโซ่ที่แขวนอยู่เต็มเมืองลอยอยู่กลางอากาศ ทำให้ผู้เล่นรู้สึกสดชื่น
ชาวมีปีกกระพือปีกขณะที่พวกเขาลงมา พวกเขาดูน่าสนใจพอ ๆ กับเอลฟ์
“เรายินดีต้อนรับลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณและกำลังเสริมของเขา”
วิลเลียมพยักหน้าและเดินเข้าไปในเมือง ได้เวลาหารือเกี่ยวกับราคาในการนำกำลังเสริมของเขามาเสียที!
ผู้เล่นในเมืองรุ่งอรุณเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับภารกิจการต่อสู้ขนาดใหญ่เช่นนี้ สิ่งนี้ทำให้ผู้เล่นในอาณาจักรมนุษย์อิจฉามาก สำหรับผู้เล่นภารกิจนี้คล้ายกับภารกิจเนื้อเรื่องบางอย่าง ผลตอบแทนของมันน่าจะดีอย่างแน่นอน
ผู้เล่นจากอาณาจักรลาวาดำไม่มีอะไรจะพูด นับตั้งแต่ที่พวกเขาเข้าร่วมกองกำลังทหารรับจ้างรุ่งอรุณ พวกเขาก็มีภารกิจมากมายจนไม่สามารถทำทุกอย่างให้สำเร็จได้ เพียงแค่ว่ารางวัลนั้นน้อยกว่าเล็กน้อย แต่กองกำลังทหารรับจ้างที่จัดตั้งโดย NPC คนอื่นนั้นไม่กล้าที่จะยั่วยุพวกเขา พวกเขาอยู่ในระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เหตุผลนั้นง่ายมาก
เพราะพวกเขามีเงิน
นับตั้งแต่ที่พวกเขาได้รับคัดเลือกให้เข้ากองกำลังทหารรับจ้างรุ่งอรุณ ทีม NPC ทั้งหลายก็ไม่ได้โจมตีพวกเขาอีก
แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ได้อยู่ในเมืองรุ่งอรุณ จึงไม่สามารถเข้าร่วมในภารกิจนี้ได้
ในทางกลับกันผู้เล่นจากอาณาจักรเหล็กต่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ไม่ว่าในกรณีใด พวกเขาดื้อรั้นและเอาแต่ขยับปากบ่น พวกเขาไม่มีแผนที่จะยอมแพ้แต่กำลังรอให้สงครามเริ่มขึ้น เมื่อโจมตีอาณาจักรลาวาดำและเมืองรุ่งอรุณได้สำเร็จ ภารกิจของพวกเขาก็ถือว่าเสร็จสิ้น
เห็นได้ชัดว่าผู้เล่นเหล่านั้นโง่เง่าเพียงใด ตราบใดที่พวกเขาเลือกข้างฝ่ายก็ยากมากที่จะเปลี่ยนความจงรักภักดี ไม่ใช่แค่เพราะพวกเขามีกิลด์และเพื่อนที่ดีในค่าย มันเป็นเพราะภาพลักษณ์ของพวกเขาด้วย
วิลเลียมไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรมากมาย หลังจากที่เขาออกคำสั่งให้ผู้เล่นรวมตัวกัน ผู้เล่นมืออาชีพกว่า 40,000 คนก็มารวมตัวกันที่จัตุรัสกลาง
ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นทหารรับจ้างหรือผู้เล่น พวกเขาไม่ได้ยืนหรือนั่งอย่างเป็นระเบียบ พวกเขารวมตัวกันอย่างเรียบง่าย บางคนถึงกับใช้โอกาสนี้ในการต่อสู้ …
ส่วนความแข็งแกร่งของพวกเขาน่ะหรือ?
ผู้เล่นส่วนใหญ่อยู่ที่เลเวล 13 หรือ 14 อุปกรณ์ของพวกเขายังคงเป็นระดับสีขาวและสีน้ำเงิน มีเพียงผู้เล่นที่ร่ำรวยกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้นที่มีอุปกรณ์เงินและทอง
วิลเลียมยืนอยู่บนเวที เขาไม่ได้พูดไร้สาระไปเรื่อย เขาพูดแค่สามคำ “ออกเดินทาง”
กองทัพ 40,000 คนออกเดินทางไปยังเมืองของเผ่าพันธุ์มีปีก วิลเลียมไม่ได้นำกองทหารประจำไปกับเขา พวกเขาไม่ได้ต่อสู้เพื่ออะไร ถ้าพวกมีปีกไม่ได้ให้ผลประโยชน์ที่เพียงพอแล้วทำไมกองทหารของเขาต้องต่อสู้เพื่อพวกเขา? พวกเขาจะจัดการพวกมีปีกก่อนแล้วค่อยพูดถึงพวกออร์ค
เมืองแห่งรุ่งอรุณอยู่ไม่ไกลจากที่ที่ชาวมีปีกอาศัยอยู่ อย่างไรก็ตามการเดินผ่านถนนบนภูเขาแคบ ๆ มันเหนื่อยมาก กองทัพก่อตัวเป็นแถวคดเคี้ยวยาวหลายกิโลเมตร
ผู้ประกาศข่าวหลายคนเริ่มการถ่ายทอดสดตลอดการเดินทางและในช่วงเวลาสั้น ๆ ความคิดเห็นมากมายก็ปรากฏขึ้น ท้ายที่สุดนี่เป็นการต่อสู้ขนาดใหญ่ครั้งแรกใน Gods ที่ผู้เล่นสามารถจับตาดูได้
แฟตตี้ แองกี้ใช้ความสัมพันธ์ลับๆในการรับตำแหน่งข้างวิลเลียม การใช้ประโยชน์จากรูปลักษณ์ของเจ้าเมืองทำให้เขากลายเป็นผู้ประกาศข่าวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดใน Gods
“โชคดีที่ครั้งนี้ฉันมาทันเวลา ถ้าฉันไม่มีตำแหน่งในฐานะผู้ประกาศข่าวใน Gods ก็คงจะได้รับผลกระทบแน่ๆ” แองกี้ แฟตตี้จงใจยกเว็บแคมขึ้นขณะที่เขาเดินตามวิลเลียม เขาพยายามจับกองทหารให้ได้มากที่สุด
วิลเลียมมองไปที่ผู้เล่นด้านหลัง เขารู้สึกผิดเล็กน้อย เขาไม่กลัวว่าผู้เล่นจะหันมาต่อต้านเขา แต่ถ้าพวกเขาสงสัยและต้องการทำลายชุดเกราะ เขาจะต้องต่อสู้กลับอย่างแน่นอน
เมื่อเขาต่อสู้กลับ …
ทั้งกลุ่มก็จะถูกกำจัด
เนื่องจากเขาไม่ได้หยุดพวกผู้เล่นในเมืองรุ่งอรุณ เขาจึงมั่นใจอย่างยิ่ง ในกรณีที่ผู้เล่นก่อกบฏเขาจะโจมตีพวกเขาจนกว่าจะลบบัญชีของตนเองไป เจ้าชายคนนี้กล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าจะไม่แพ้!
แต่ผู้เล่นกลุ่มนี้มีจิตสำนึกบางอย่าง พวกเขาตั้งกลุ่มและสนทนากันเองเท่านั้น พวกเขาไม่มีเจตนาที่จะโจมตีเขา
โอ้ และอีกอย่าง
เขานำองครักษ์เอลฟ์ทั้ง 500 ตน ที่ทั้งหมดเป็นบอสที่มีสายเลือดระดับกลางขึ้นไป พวกเขาทั้งหมดมีอุปกรณ์ระดับเงินและระดับทอง
นอกจากนี้เอริค ผู้ช่วยระดับอีปิคก็มาด้วย …
วิลเลียมและคนที่เหลือเดินทางผ่านภูเขาเป็นเวลาสองสามชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงถิ่นที่อยู่ของชาวมีปีก ..
พูดง่ายๆเลยก็คือ
เมืองของชาวมีปีกนั้นถูกสร้างขึ้นบนยอดเขาล้อมรอบด้วยป่าทึบ หากชาวมีปีกถึงเลเวลที่ 70 พวกเขาจะได้รับความสามารถในการบิน
ก่อนหน้านั้นเมื่อพวกเขาถึงเลเวล 40 ชาวมีปีกสามารถลอยตัวได้ชั่วคราว พวกเขาต้านทานการตายจากการตกจากที่สูงได้ตั้งแต่เด็กๆ ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะสร้างเมืองหรือที่อยู่อาศัยพวกเขาจะเลือกจุดสูงที่ทำให้พวกเขาได้เปรียบ
เมื่อพวกเขาเข้าใกล้เมือง วิลเลียมก็ได้ยินเสียงโห่ร้องของการต่อสู้!
ดวงตาของผู้เล่นสว่างวาบขึ้น
เจ้าชายหรี่ตา เขาไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นพวกออร์คโจมตีเมือง เขาสงสัยว่าทำไมชาวมีปีกถึงไม่ร้องขอความช่วยเหลือผ่านกระดาษส่งสาร แต่ตอนนี้เขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเป็นคนเก็บม้วนกระดาษไว้ในวงแหวนมิติ และมันไม่มีการแจ้งเตือน…
“มีกองกำลังออร์คทั้งหมดสามกอง ชาวมีปีกกำลังทำทุกวิถีทางเพื่อต่อต้านพวกมันที่กำแพงเมือง ตอนนี้พวกเขายังไม่เสียเปรียบมากเท่าไหร่ครับ” ผู้ใต้บังคับบัญชาวิ่งกลับมาและรายงานสถานการณ์
“ ถ้าอย่างนั้น…” วิลเลียมหันกลับมาและมองไปที่ผู้เล่นที่กำลังตื่นเต้น เขาอยากจะพูดอะไรที่สร้างแรงบันดาลใจสักคำสองคำ
“ลุยเลย!!!”
“ออร์คทั้งหลาย ฉันมาแล้ว!”
“ฆ่าพวกมันซะ!”
“อาวุธพร้อม ฉันอยู่นี่แล้วไอ้พวกโง่เง่าทั้งหลาย”
จากนั้น เสียงเข้าปะทะกันดังก็ขึ้น
ผู้เล่นก่อตัวเป็นคลื่นฝูงชนวิ่งผ่านวิลเลียมไปทันที
ฉู่ หลิวชิว, ฉางหลี จิ่วเกอ, เสี่ยว อายินและคนอื่น ๆ ต่างมองกันไปมา จากนั้นพวกเขาก็มองไปที่หัวหน้าทีมของพวกเขาซึ่งกำลังตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนทั้งหมดจะรีบวิ่งออกไปอย่างเด็ดขาด ท้ายที่สุดแล้ว คะแนนภารกิจของพวกเขานั้นสำคัญที่สุด …
ในทางกลับกันแองกี้ แฟตตี้นั้นไม่มีใครมีเวลาที่จะสนใจเขา ผู้ชมกำลังเฝ้าดูสงครามไม่ใช่ใบหน้าของเขา
กองทัพผู้เล่นยาวเหยียด คนด้านหลังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขาก็ทำตาม…
ดังนั้นพวกเขาจึงเดินผ่านวิลเลียมไป ก่อนที่คนที่เหลือจะตกตะลึงอีกครั้ง
ลอร์ดเจ้าเมืองพูดไม่ออก ใบหน้าของเขามืดมน แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่ทำตามอย่างรำคาญ เขาต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ผู้เล่นสามารถนำมาให้เขาได้
“เห้ยๆ พี่น้องทั้งหลายมาที่นี่เร็ว ฉันถูกล้อม” นักรบดาบคู่พุ่งเข้ามาด้านหน้า ในตอนแรกเขาทำตัวลับๆล่อๆเพราะเขารู้สึกตื่นเต้นมากเกินไป แต่หลังจากกำจัดออร์คได้แล้ว เขาก็รีบพุ่งเข้าไปในกองทัพของออร์ค
เหล่าออร์คกล้ามปูตัวดำกำลังรอเขาอยู่ ก่อนพวกมันจะล้อมรอบเขาเอาไว้ เขาคร่ำครวญด้วยความสิ้นหวังทันที
“แม่งเอ้ย ทำงานร่วมกันประสาอะไร คุณสุ่มใช้ทักษะอะไรเนี่ย พวกมันถึงโจมตีมาที่ฉันหมดเลยเนี่ย!” ผู้เล่นที่โดนโจมตีจนค่าพลังชีวิตลดลง 20% อดไม่ได้ที่จะสบถออกมา
“ตู้ม!”
ผู้เล่นโชคร้ายถูกสหายของเขาขว้างก้อนหินมาโจมตีจนตาย ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรอีก เขาก็ตายไปแล้ว…
แต่ฉากวุ่นวายนี้ยังคงดำเนินต่อไป ไม่มีทางหยุดมันได้
“พวกมันตอบโต้ พวกออร์คโจมตีกลับมาแล้ว พวกมันเริ่มจัดกองทัพแล้ว” ผู้เล่นตรงหน้าตะโกนอย่างต่อเนื่อง กองกำลังแนวหน้าระลอกแรกกระจายตัวมากเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงเสียชีวิตจำนวนมาก
ภายใต้คำสั่งของผู้นำกองทัพของพวกออร์คทำให้ขวัญกำลังใจของพวกมันเริ่มมีเสถียรภาพ พวกเขาเริ่มเรียงแถว
แม้ว่าออร์คจะมีสติปัญญาต่ำ แต่พวกมันก็กังวลและกลัวการถูกโจมตี
แต่เมื่อพวกมันโต้ตอบกับพวกผู้เล่น ก็ตระหนักว่าศัตรูของพวกมันไม่ได้ดุร้ายมากนัก อาวุธของพวกเขาทั้งบาง และการโจมตีของพวกเขาก็ไม่ได้รุนแรง แล้วมันยังต้องกลัวอะไรอีก?
ทันใดนั้นออร์คก็ดุร้ายมากขึ้น
ความโกลาหลวิ่งพล่านไปทั่วกองทัพผู้เล่น
ผู้เล่นด้านหน้าที่ไม่สามารถป้องกันการโจมตีได้เริ่มที่จะล่าถอย อย่างไรก็ตามผู้เล่นที่อยู่ด้านหลังไม่ได้ให้โอกาสพวกเขา พวกเขาผลักดันให้ผู้เล่นตรงหน้าใช้ทักษะออกมา
แม้ว่าพวกเขาจะได้ยินว่าผู้เล่นตรงหน้าไม่สามารถทนได้อีกต่อไป แต่มันมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขาหรือไม่?
“ฆ่ามัน! เพียงแค่กำจัดมันซะ จะกลัวอะไรมาก ถ้าคุณกลัวตายทำไมคุณถึงเล่นเกมนี้กันล่ะ”
แม้จะมีความคิดเห็นเหล่านี้
ผู้เล่นต้องทนทุกข์ทรมาน แต่พวกเขาไม่สามารถพูดอะไรได้ ออร์คผู้ถือโล่ที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาได้จัดทัพเข้าโจมตีและผู้เล่นไม่สามารถทะลุผ่านมันไปได้ พวกเขาไม่มีทั้งองค์กร ไม่มีระเบียบวินัยและไม่มีการจัดแถว ถ้าเดินต่อไปก็มีแต่จะเดินไปสู่ความตาย
หลังจากที่ผู้เล่นบางคนเสียชีวิต พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะฟื้นขึ้นมา ณ จุดที่พวกเขาตาย พวกเขาเลือกที่จะฟื้นที่ธงกองทัพ!
พวกเขาจะฟื้นขึ้นมาใหม่ทุกที่ที่มีธงกองทัพ หากธงกองทัพหายไปผู้เล่นในการต่อสู้ครั้งนี้จะต่อสู้ต่อไปทำไม่ล่ะ?
วิลเลียมเห็นว่าผู้เล่นหลายร้อยคนกำลังฟื้นคืนชีพขึ้นมาใกล้ธงกองทัพ เขาถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ แม้ว่าภารกิจนี้พวกเขาจะต้องตาย แต่เขาก็ไม่ได้หมายถึงสิ่งนี้
หากผู้เล่นเสียชีวิตมากเกินไปก็เป็นการสูญเสียเช่นกัน พวกเขาจะไม่มีประโยชน์ในการทำสงครามกับอาณาจักรเหล็ก
เขาสวมชุดอุปกรณ์ธันเดอร์ แต่ไม่มีอาวุธ เขาไม่ได้วางแผนที่จะใช้อาวุธใด ๆ เขาแค่เหยียดแขนขาออก เขาวางแผนที่จะใช้กำลังสลายผู้เล่น
เขาไปถึงหน้ากองทัพออร์คอย่างไม่ไยดี
เพียงก้าวเดียวของเขาก็ครอบคลุมไปสามเมตร
ห้าเมตร
สิบเมตร
เขาวิ่งเร็วขึ้นและเร็วขึ้น!
พลังแห่งสายฟ้าล้อมรอบร่างกายของเขา!
ก่อนจะกลายเป็นสายฟ้า
ตู้ม!
เส้นสีน้ำเงินวิ่งผ่านกองทัพของออร์ค ทุกที่ที่ไปมีการบาดเจ็บหนัก ออร์คหลายร้อยตัวต่างกระเด็นกระจัดกระจาย…
ผู้เล่นนับพันตรงหน้ากลืนน้ำลาย…
การถ่ายทอดสดของแฟตตี้เงียบไปชั่วขณะ…
หลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่อุปกรณ์ของวิลเลียมก็ถูกทำลายไปไม่มากก็น้อย
โชคดีที่ชุดอุปกรณ์แสงถือเป็นอุปกรณ์ป้องกัน ถ้าไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถยืนหยัดในการต่อสู้ที่รุนแรงเช่นนี้ได้
แต่เขาก็ยังนำอุปกรณ์ที่เสียกลับมาที่เมืองเพราะเขาสามารถส่งพวกมันไปยังเครื่องสกัดเพื่อสกัดวัสดุบางอย่างกลับมาใช้อีกครั้งได้ มันก็จะได้ไม่เสียเปล่าไปเสียหมด
เสร็จจากเรื่องศพของออกัสติน วิลเลียมก็กลับไปที่บ้าน เขาล้างหน้าแปรงฟัน
จากนั้นเขาก็โยนเสื้อผ้าชั้นในที่เปื้อนเลือดทิ้งลงถังขยะ ก่อนจะนอนในอ่างอาบน้ำอุ่น ๆ อย่างสบายใจ
เขามองผู้คนบนพื้นเดินไปมา จากนั้นเขามองขึ้นไปที่ดวงจันทร์ทั้งสองบนท้องฟ้าและจิตใจของเขาก็เริ่มทำงานอย่างรวดเร็ว
“ความแข็งแกร่งของฉันไม่เลวเลย แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะอยู่ยงคงกระพัน ฉันจะต้องระวังให้มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีตัวตนอย่างผู้เชี่ยวชาญที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของเวอร์ชันขึ้นมา” วิลเลียมคิดถึงเรื่องนี้ท่ามกลางความเงียบ
เนื่องจากอุปกรณ์เกือบทั้งหมดของเขาพังพินาศเขาจึงต้องสร้างชุดอุปกรณ์ระดับทองคำเข้มและอาวุธระดับอีปิคอีกชุด แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาสำคัญ เขาต้องขอให้ช่างตีเหล็กดูแลมันอย่างดี
“ตาเฒ่าแบรนด์และโมเสส การโจมตีของพวกเขาไม่ได้เลิศหรูเท่าไหร่นัก และที่สำคัญพวกเขาไม่ใช่คนของฉันอีกด้วย”
“แต่อาณาจักรเหล็ก…” วิลเลียมชักจะปวดหัวขึ้นมา
เขาไม่รู้ว่าโกธี นาซิสจะสามารถก้าวผ่านขีดจำกัดของเวอร์ชันก่อนจะบุกโจมตีหรือไม่
วิลเลียมขมวดคิ้ว เขาไม่อยากคิดมากจนเกินไป เอาเพียงรางวัลที่ได้รับจากการฆ่าออกัสตินก็พอ!
ดิ๊งด่อง!
[คุณได้รับความสามารถติดตัว: ความต้านทานเปลวไฟระดับเริ่มต้น]
[ความต้านทานเปลวไฟระดับเริ่มต้น: ลดความเสียหายจากการโจมตีด้วยไฟ 10%]
“อะไรเนี่ย?” วิลเลียมเบิกตากว้าง เขาอดไม่ได้ที่จะสบถออกมาสักสองสามคำ “ F ** k ฉันใช้ความพยายามอย่างมากในการฆ่าบอสระดับรีเจนดารีและนี่คือสิ่งที่คุณให้ฉันงั้นเหรอ? นี่มันรางวัลโง่ ๆ ชัด ๆ? ซวยชะมัดเลย… ”
สำหรับบอสระดับรีเจนดารีอย่างเขา อุปกรณ์ครึ่งชุดของออกัสตินไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก
ดังนั้นรางวัลที่เขาได้รับจึงแตกต่างจากของผู้เล่น ผู้เล่นอาจตื่นเต้นที่จะได้รับชุดเกราะครึ่งหนึ่ง และพวกเขายังยินดีที่จะได้รับอาวุธระดับอีปิคที่พัง ๆ แต่วิลเลียมแตกต่างออกไป…
“ความสามารถติดตัว หนังสือลับและทักษะหายากต่างๆ สิ่งเหล่านี้สำคัญที่สุด…”
“ถึงเวลานอนแล้ว ๆ โชคของฉันช่างดีจริง ๆ ซะเหลือเกิน…” วิลเลียมขี้เกียจเกินกว่าจะคิดเรื่องโชคของตัวเองอีกครั้ง เขานอนในอ่างอาบน้ำและหลับตาลงช้าๆ
เมื่อโอดอมเปิดประตูเข้ามา เขาพบว่าวิลเลียมกำลังสวมเสื้อผ้า เขามองก่อนจะถามว่า “ท่านลอร์ด ท่านตื่นแล้วหรือ?”
“ใช่ เมื่อเร็ว ๆ นี้มีอะไรเกิดขึ้นในดินแดนของเราหรือไม่?” วิลเลียมเลือกที่จะสวมเสื้อคลุมสีม่วงเข้ม เขาไม่ได้สวมชุดเกราะอยู่ข้างในเพราะนี่คืออาณาเขตของเขาเอง
“ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญมากนัก แต่เพื่อนบ้านของเรา ชาวมีปีกต้องเผชิญกับความวุ่นวายบางอย่าง พวกเขาต้องการให้เราส่งกองกำลังไปตรวจสอบพวกออร์คในป่าตะวันออก” โอโดมลังเลเล็กน้อย แต่เขาก็พูดต่อ “เนื่องจากท่านลอร์ดยังอยู่ในอาณาจักรมนุษย์เราจึงยังไม่ได้ให้คำตอบโดยตรงกับพวกเขา”
“ออร์คขาว อัลทาอิคน่ะเหรอ?” วิลเลียมจำได้ อัลทาอิคสาบานตนในการตั้งตัวเป็นศัตรูกับโอดอม
วิลเลียมตบไหล่ของเขา เขารู้ว่าโอดอมไม่เห็นด้วยกับคำขอของชาวมีปีกเพราะความแค้นของเขา ดังนั้นวิลเลียมจึงมั่นใจ “ผ่อนคลายเอาไว้ อาณาจักรมนุษย์ยังไม่เริ่มทำสงคราม การช่วยเหลือพันธมิตรเก่าของเราไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”
“ท่านลอร์ด นี่เป็นเรื่องสำคัญ เราควรมองหาเผ่าต่างๆที่อยู่ภายใต้มังกรยักษ์ มันเป็นการยากที่จะตัดสินว่าพวกเขาจะร่วมมือกับอัลทาอิคหรือไม่” โอดอมมีสีหน้าเคร่งเครียด หากเป็นเช่นนั้น การเข้าสงครามของเมืองแห่งรุ่งอรุณจะไม่ง่ายเลย การทำงานร่วมกับชาวมีปีกเองก็จะเป็นเรื่องยากเช่นกัน
วิลเลียมเลิกคิ้ว “ท่านคิดมากเกินไปแล้ว บรรพบุรุษของอัลทาอิค คือออร์คระดับรีเจนดารี ออร์คขาวที่หยิ่งผยองอาจจะร่วมมือกับพวกมันเพื่อก่อกรรมชั่ว”
“เราโจมตีพวกมันไปตรง ๆ เลยหรือไม่”
“ไม่ เราจะปล่อยให้ผู้ถูกเลือกลองไปหยั่งเชิงดูก่อน เพราะถ้าพวกเขาร่วมมือกันเพื่อก่ออาชญากรรม เราจะเป็นอย่างไรกันล่ะ?”
“ …” มุมปากของโอดอมกระตุก
เจ้าเมืองพาผู้ช่วยเจ้าเมืองเดินตามท้องถนน โดยธรรมชาติแล้วจะมีผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนมากติดตามพวกเขา มันทำให้ผู้เล่นหลายคนสงสัย ก่อนที่พวกเขาจะเข้าร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชาในการติดตามเจ้าเมือง
ผู้เล่นส่วนใหญ่ในเมืองรุ่งอรุณได้เข้าร่วมกองกำลังทหารรับจ้างรุ่งอรุณ ผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่เล่นแบบอิสระก็ได้จัดตั้งทีมทหารรับจ้างของตัวเองขึ้นเพื่อผสมผสาน
มีข่าวปรากฏบนฟอรัม
เมื่อหัวหน้ากองกำลังก้าวเข้าสู่อาณาจักรมนุษย์อีกครั้งเขาจะนำทุกคนในทีมทหารรับจ้างไปด้วย
ผู้เล่นหลายคนขนาบข้างของวิลเลียม พวกเขาถามอย่างต่อเนื่องว่า “หัวหน้า เราจะสู้กันเมื่อไหร่?”
“มันมีประโยชน์อะไรบ้าง?”
“จะมีสาว ๆ ตามเรามาไหม?”
“หัวหน้าครับ มีกองทหารรับจ้างน้อยเกินไป เมื่อไหร่เราจะได้เป็นสามารถเป็นสมาชิกหลักล่ะครับ ผมอยากได้รับการแจกภรรยา !!!”
“แจกภรรยา !!”
“แจกภรรยา !!”
มีความคิดเห็นแปลก ๆ ทุกรูปแบบ วิลเลียมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินพวกเขาเช่นเดียวกับ NPC ทั่วไป
มันดำเนินต่อไปจนกระทั่งเขามาถึงเวทีที่จัตุรัสกลาง
ผู้เล่นรู้ว่าหัวหน้าทีมกำลังจะออกภารกิจ
วิลเลียมทำท่าให้พวกเขาเงียบลง
เขาใช้พลังต่อสู้ในการเปล่งเสียงตะโกน “พันธมิตรของเราชาวมีปีกผู้รักสงบและรักธรรมชาติ แต่ตอนนี้พวกเขากำลังถูกโจมตีโดยพวกออร์คอย่างเผ่าเฮฟวี่เสปียร์! ในฐานะพันธมิตร เมืองแห่งรุ่งอรุณจะช่วยพวกเขา เราหวังว่าเหล่าทหารทั้งหลายจะติดตามเราไป!”
[ดิ๊งด่อง]
[คุณได้รับภารกิจ “แนวหน้าที่ไร้เทียมทาน”]
[แนวหน้าที่ไร้เทียมทาน: วิลเลียม แบล็คลีฟชื่นชมผู้ถูกเลือกที่มีความกล้าหาญที่ยากจะมีใครเทียบเทียม ในฐานะกองกำลังแนวหน้าของกองกำลังทหารรับจ้างรุ่งอรุณ คุณจะต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวกับเผ่าออร์คและสังหารผู้คนอย่างน้อย 3000 คน]
[แนะนำภารกิจ: แนวหน้า? กำจัดคำว่า “ไร้เทียมทาน” ไปที่ความตายของคุณ]
[ความยากของภารกิจ: B+]
[รางวัลอันดับภารกิจ: ???]
“ชิ ๆ การแนะนำภารกิจช่างสมจริงเสียจริง”
“แค่ไปที่ความตายของคุณ เมื่อได้ยินแบบนั้นฉันก็ตัวสั่นแล้ว เมื่อถึงเวลามาถอดชุดเกราะของเราแล้วไปกันเถอะ”
เมื่อฉู่ หลิวชิวได้รับภารกิจนี้เขาก็ตกใจไม่แพ้กัน “รางวัลจัดอันดับภารกิจ คนที่ถูกส่งออกไปมากที่สุดควรจะได้รับรางวัลที่ดีใช่ไหม?”
“ไม่ว่ารางวัลจะดีแค่ไหน แต่ก็ต้องเสียรางวัลในฟอรัมแน่นอน!”
มุมปากของฉู่ หลิวชิวกระตุก “คนเหล่านั้น 30 คนเริ่มปฏิบัติภารกิจลับ ฉันได้ยินมาว่าพวกเขาถูกส่งไปตายกันหมด แม้แต่เกราะของฟอร์เอฟเวอร์อโลนก็ถูกทำลายไปแล้ว”
ฉู่ หลิวชิวให้กำลังใจ “ฉางหลี คุณต้องทำผลงานให้ดี อาชีพลับของคุณสามารถแสดงศักยภาพของมันได้”
“หัวหน้า เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณที่จะเข้าสู่การจัดอันดับ ท้ายที่สุดทักษะของคุณก็แข็งแกร่งมาก” ฉางหลี จิ่วเกอพยายามอย่างรวดเร็วเพื่อให้ได้รับความโปรดปราน
“อาชีพลับของเรามีดีอะไร? ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณหนังสือลับ ดูเหมือนคุณจะเป็นคนเดียวที่มีอาชีพลับระดับอีปิคใน Gods แต่คุณก็ไม่ได้บอกเราว่าคุณได้รับมันมาได้อย่างไร?” มีคนกล่าวอย่างเสียดสี
ในขณะนั้นผู้เล่นเอลฟ์สวมอุปกรณ์สีเงินเดินผ่านมา เธอเลิกคิ้ว “คุณกำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระอะไร? ฉางหลีก็ชัดเจนอยู่แล้ว มันก็มาจากภารกิจลับที่เจ้าเมืองมอบให้เขาไง ถ้าคุณอิจฉาก็ไปเลียรองเท้าของเจ้าเมืองเสียนะ เพราะหากคุณไม่ทำเช่นนั้น คุณก็จะไม่สามารถสร้างความประทับใจได้”
“ผู้ช่วยหัวหน้า” สมาชิกกลุ่มหนึ่งรีบกล่าวโดยพร้อมเพรียงกัน
ฉู่ หลิวชิวมองไปที่เธอ ก่อนจะกลอกตา เขาไม่กล้าพูดอะไร
เสี่ยว อาจิน ผู้ช่วยหัวหน้าสโมสรกลอรี
เธออายุ 23 ปี เธอสวยมาก หน้าอกหน้าใจของเธอใหญ่และขาของเธอก็เรียวยาว แต่ที่สำคัญที่สุดคือเธอมีฝีมือ
พ่อของเธอเห็นว่าเธอชอบเล่นเกม เขาจึงลงทุนมหาศาลในสโมสรกลอรีและกลายเป็นผู้ถือหุ้น เขาทำให้ลูกสาวของเขากลายเป็นผู้เล่นมืออาชีพ
แต่สิ่งที่ควรทราบก็คือ
ทักษะของเขายังห่างไกลจากทักษะของเสี่ยว อาจินมากนัก
ในเกมก่อนหน้านี้เธอกลายเป็นผู้เล่นที่มีชื่อเสียง ในช่วงสั้น ๆ เพียงสามปีเธอก็ได้มีแฟนคลับกลุ่มใหญ่ เธอมีความยับยั้งชั่งใจมากกว่าเขา …
สมาชิกคนอื่น ๆ มองไปที่ผู้ช่วยหัวหน้าเสี่ยว อาจินอย่างชื่นชม เธอแต่งตัวด้วยอุปกรณ์ระดับทองที่สร้างขึ้นด้วยเงินของเธอเอง เธอไม่ได้ใช้เงินใด ๆ จากกิลด์ในเครือ
ฉางหลี จิ่วเกอเห็นว่าผู้ช่วยหัวหน้ากำลังพูดถึงเขา เขามองเธอด้วยความขอบคุณ
เสี่ยว อาจินเอียงศีรษะของเธอ “ฉางหลี ฉันจะให้คุณยืมชุดเกราะของฉันในการต่อสู้เพื่อ สโมสรกลอรี!”
“จ… จริงเหรอครับ!”
“ไม่ต้องกังวล ฉันจะให้คุณยืมอาวุธทองคำของฉัน แต่ถ้าคุณทำอุปกรณ์ของฉันหาย คุณก็สามารถขายไตของคุณรอได้เลย!”
“ผมไม่ต้องการมันหรอกครับ… ผมมีอาวุธระดับเงินอยู่แล้ว!”
เสี่ยว อาจินเบิกตากว้าง เธอมองเขาด้วยความไม่เชื่อ “คุณพูดอะไรอยู่น่ะ?”
“ครับ…ผมจะรับมันไว้” ฉางหลี จิ่วเกอกลืนน้ำลาย เขารู้ว่าผู้ช่วยหัวหน้าของเขากำลังจะโกรธเกรี้ยว
“ไม่นะ!!”
เป็นอีกครั้งที่จ้าวโม่สะดุ้งตื่นจากความฝัน…
เขาลืมตา พบว่าร่างกายของเขาชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ จึงพยุงตนเองลุกขึ้นนั่งบนเตียงนอน
บ้านต้นไม้ที่สวยงามตรงหน้าเขายังคงอยู่ เพียงแต่แทนที่จะเป็นผนังสีขาวที่เขาหวังไว้ กลับกลายเป็นหน้าต่างที่ถูกถักทอจากเถาวัลย์ไม่ใช่หน้าต่างบานกระจก นอกจากนี้ต้นไม้สีดำเหนือศีรษะของเขายังถูกปกคลุมไปด้วยหญ้าอ่อนๆและดอกไม้ เขาไม่รู้เลยว่ามันจะปลอดภัยหรือเปล่า
แต่สิ่งที่ จ้าวโม่สามารถมั่นใจได้ก็คือเขาไม่ได้กลับไปที่บ้านและการย้ายร่างของเขานั้นเป็นความจริง
เขาแน่ใจเลยว่าตัวเองไม่ได้ฝัน เพราะว่าเขาได้ตื่นมาหลายครั้งแล้ว
เขาได้มาอยู่ในร่างคนอื่นแล้วจริงๆ
จ้าวโม่ยืนขึ้นช้าๆ มีไม้เท้าที่ลวดลายสลับซับซ้อนในมือขวาของเขา เขาพยายามใช้มันเพื่อให้ยืนได้อย่างมั่นคง ถ้าตกจากต้นไม้ที่สูงสิบเมตรนี่ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเอลฟ์ก็คงได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ดี
นอกจากนั้นร่างนี้คือ ‘วิลเลียม แบล็คลีฟ’ เอลฟ์ที่ยังไม่โตเต็มวัย ยังไม่เคยฝึกพลังการต่อสู้และเวทมนตร์มาก่อน ดังนั้นเขาจึงยังไม่มีความสำคัญอะไรในหมู่เอลฟ์ด้วยกัน
“อย่างไรก็ดูเหมือนจะคุ้มค่านิดหน่อยนะที่เข้ามาอยู่ในร่างเอลฟ์ ทั้งหน้าตา รูปร่าง และขายาวๆนี่ทำให้ฉันหล่อกว่าในร่างเก่าซะอีก” จ้าวโม่มองตนเองในกระจก มองใบหน้าหล่อเหลา หูเรียวแหลมและขายาวๆนั่น ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
จ้าวโม่ไม่อยากพูดถึงเรื่องเก่าๆอีกเพราะนี่มันก็เลยครึ่งวันมาแล้วตั้งแต่เขาเข้ามาอยู่ในโลกนี้และเขาคงไม่สามารถหาทางกลับไปได้ เมื่อเขาเข้ามาอยู่ที่นี่เขาก็ควรลืมเรื่องในอดีตไปซะและเริ่มใช้ชีวิตใหม่ อันที่จริงเขาก็ค่อนข้างมีความสุขเสียอีก เขาเองก็พร้อมที่จะกระโจนใส่โอกาสในการมีชีวิตต่อไปในโลกที่บ้าบอแห่งนี้
บางทีอาจจะมีพระเจ้าในโลกใบนี้ และมันจะเกิดปัญหาแน่หากเขาพูดอะไรออกไปอย่างไม่ระมัดระวัง
ถึงแม้ว่าเขาจะคิดถึงพ่อแม่และต้องการอยู่กับพวกท่านจนกว่าทั้งสองจะจากไป แต่จากนิยายเกิดใหม่หลายเล่มที่เขาเคยอ่านนั้นมันแทบไม่มีใครเลยที่สามารถกลับไปสู่โลกเดิมได้
อย่างน้อยเขาก็ยังโชคดีที่มีพี่ชายที่มีหน้าที่การงานและครอบครัวแล้วทั้งสองคน ดังนั้นคงไม่เป็นปัญหาอะไรสำหรับพี่ชายทั้งสองที่จะดูแลพ่อกับแม่
เขาหวังว่าพ่อและแม่จะไม่เศร้าเกินไปที่ลูกชายของพวกเขาตายจากการเล่นเกม ถ้าหากเป็นไปได้ มันน่าจะดีที่สุดหากท่านทั้งสองจะร้องไห้น้อยลงเพราะลูกชายที่ไม่ได้ความคนนี้และใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข
“ฉันคือวิลเลียม แบล็คลีฟ ใช่…ฉันคือวิลเลียม!”
เขาเดินออกจากบ้านต้นไม้ตรงไปยืนบนระเบียง เพลิดเพลินกับแสงอาทิตย์ที่ส่องประกายลงมา ร่างกายของเขารู้สึกอบอุ่นราวกับว่าเขาถูกเติมเต็มไปด้วยพลังงาน แต่เมื่อทอดสายตามองออกไปไกลและไกลขึ้นเรื่อยๆ ความคิดของเขากลับพาให้จิตของเขาเสื่อมลง และเสื่อมลง
98
เกมนี้มันต้องจ่าย 98 ทุกเดือนนี่!
ใช่แล้วล่ะ “Gods” เป็นเกมที่ต้องจ่ายค่าสมาชิกทุกเดือน
พวกเกมแนวโลกสมมุติเดี๋ยวนี้เปลี่ยนมาใช้การจ่ายรายเดือนกันหมดแล้ว หลังจากที่เกมหลายรุ่นหลากรูปแบบก่อนหน้านั้น ต้องเติมเงินเรื่อยๆ เพื่อเข้าเล่นหรือบางเกมก็เป็นแบบซื้อแค่ครั้งเดียว
มีหลายเกมที่ได้รับความนิยมอย่างมากในอดีต เช่น ฮอร์นเนอร์, ซีโร่, แซนทัวรี่, โลกแห่งดาบ, สตาร์คราฟ และคอนวิคชัน เกมเหล่านี้เป็นต้นแบบที่นำไปสู่เกมรายเดือนแบบในปัจจุบันนี้!
สำหรับ Gods เกมส์นี้เริ่มมีเวอร์ชั่นเบต้าในปี 2333 เนื่องจากไม่ได้ถูกพัฒนาในบริษัทที่มีชื่อเสียงมากนัก การตลาดจึงไม่ดีเท่าที่ควร นั่นทำให้มันยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักในช่วงแรกเริ่ม อย่างไงซะ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะโดดเด่นท่ามกลางเหล่าเกมโลกสมมติที่มีอยู่มากมาย
เพียงแต่ว่าสามปีต่อมา เกมนี้กลับได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จนถึงกับทำลายสถิติในประวัติศาสตร์ด้วยการมีผู้เล่นมากถึง 68 ล้านคนด้วยกัน!
มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เลย เพราะด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาๆขึ้น ทำให้คนมีเวลาว่างมากขึ้นตามมา แต่ถึงอย่างนั้น เกมส์เองก็มีหลากหลายมากขึ้นเช่นเดียวกัน…
Gods เป็นเกมที่เต็มไปด้วยพลังต่อสู้และเวทมนตร์
ในโลกแห่งนี้ ไม่ว่าใครก็อาจจะโชคดีพอที่จะเป็นดรากอนสเลเยอร์ผู้กล้าหาญ ได้แต่งงานกับเจ้าหญิงและกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จที่สุด
แต่ในเวลาเดียวกันนั้น มันก็เป็นเรื่องปกติมากที่เหล่าผู้เล่นจะประมาทเลินเล่อจนถูกมังกรกินเข้า และมังกรก็ไปแก้แค้นด้วยการทำลายล้างเมือง ล่มฐานทัพกิลด์และฆ่าผู้เล่นต่อเป็นแสน จากนั้น NPC (NPC คือตัวละครที่ไม่ใช่ผู้เล่น) ก็จะกลับไปแก้แค้นด้วยความโกรธเกรี้ยว
ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็คือโลกของ Gods…
เหล่าผู้เล่นต่างก็มีความฝันที่จะกลายเป็นพระเจ้ากันทั้งนั้น
มันเป็นเรื่องน่าเสียดายมากในชีวิตก่อนที่วิลเลียมไม่สามารถเป็นพระเจ้าได้หลังจากเล่นเกมมาสิบปี เขาแทบจะไม่เคยเห็นพระเจ้าด้วยซ้ำไป ไม่ใช่ว่าเขาเป็นพระเจ้าไม่ได้ แต่แค่เขาตายก่อนจะเป็น
เขาตายในเครื่องเล่นเกม
แม้ว่าจะมี ‘อัจฉริยะ’ สองสามคนในประวัติศาสตร์เกมที่เผชิญกับภาวะสมองตายอย่างเฉียบพลันในขณะที่เล่นเกม แต่มันก็ไม่ทำให้เหล่าผู้เล่นหวาดกลัวมากพอที่จะทำให้พวกเขาหยุดเล่นได้
เหล่าผู้เล่นเติมเงินและสมัครสมาชิกรายเดือนต่อไป พวกเขามองดูเงินตัวเองหายไปกับเกมได้อย่างไรกันนะ?
แน่นอนว่าก่อนที่วิลเลียมจะเสียชีวิต เขาไม่เคยเห็นผู้เล่นคนไหนกลายเป็นพระเจ้าเลยสักคน ไม่ใช่แม้แต่พระเจ้าปลอมๆ
ปัญหาที่สำคัญคือเพราะมันยากเกินไป
ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้เล่นมืออาชีพหรือผู้เล่นชั้นนำจากกิลด์ระดับท็อป ขีดจำกัดสูงสุดในช่วงเวลานั้นก็หยุดที่ระดับรีเจนดารี มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มาถึงระดับนี้ และนอกจากนั้นระดับรีเจนดารีเอง ก็ยังถูกแบ่งออกเป็นสามระดับ ได้แก่ ระดับ 3 ระดับ 6 และระดับ 9
และก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เขาเพิ่งจะไปถึงส่วนต่อจากนั้นของเกม
แล้วตอนนั้นเขามีเลเวลเท่าไหร่น่ะเหรอ?
แน่นอนว่าเขาต้องอยู่ในระดับต้นๆของโลก เป็นนักรบระดับรีเจนดารี่ที่คอยขับเคลื่อนผู้เล่นคนอื่นๆ
มันกลายเป็นอาชีพประจำของเขา ที่เขาจะช่วยผู้เล่นคนอื่นๆเพิ่มระดับตัวละคร
แต่งานของเขาไม่ใช่แค่ช่วยล้มบอสเท่านั้นนะ เมื่อมีผู้เล่นที่ฐานะดีต้องการที่จะทุ่มเงินไปกับเกม เขาก็จะนำคนพวกนั้นไปทำภารกิจเพื่อรับค่าประสบการณ์ จับสัตว์เลี้ยงและต่างๆอีกมากมาย แม้กระทั่งทำงานเป็นนักฆ่าเพื่อช่วยฆ่าใครบางคน
หลังจากที่เขาอยู่ในระดับรีเจนดารีเขาก็แข็งแกร่งกว่าผู้เล่นธรรมดาทั่วไป นั่นคงจะเป็นเพราะว่าเขาคือผู้เล่นระดับรีเจนดารี!
นอกจากจะต้องใช้เงินแล้วยังต้องใช้ความพยายามอย่างบ้าคลั่ง
อีกอย่าง ถ้าไม่มีเงินเขาจะสร้างอุปกรณ์ได้อย่างไร เขาจะเสริมอาวุธตัวเองได้อย่างไร ถ้าคุณไม่มีเงินและความพยายามที่มากพอ มันคงจะดีกว่าหากว่าคุณจะเลิกเล่นเกมนี้ไปซะ
วิลเลียมสงสัยมาตลอดเลยว่าหลังจากบริษัทหวังอี้ล้มละลายลงจะต้องมีโปรแกรมเมอร์จำนวนมากเลือกบริษัทนี้แน่ๆ ไม่อย่างนั้นระบบอุปกรณ์จะน่าโมโหขนาดนี้ได้ยังไง?
แต่เนื่องจากเขามีทักษะที่ดีที่สามารถเล็งเห็นว่าเกมจะเดินหน้าต่อไปทางไหนและใช้เวลาหลายวันหลายคืนในการสร้างความได้เปรียบและเป็นผู้นำให้กับผู้เล่นคนอื่นๆ ทำให้เขากลายเป็นเหมือนกับสโนว์บอล1เทรนเนอร์เพื่อหารายได้ก่อนจะค่อยๆไปสู่ระดับรีเจนดารี
สำหรับคนยากจนอย่างเขาถ้าไม่ได้เริ่มเล่นเกมตั้งแต่วันแรก เขาคงจะตายในเครื่องเล่นเนื่องจากความหิวไปนานแล้ว
“การที่ฉันตายยังไงมันก็น่าเสียดายอยู่ดี” วิลเลียม แบล็คลีฟกุมท้องตนเองก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้โยกอย่างหมดหนทาง เขาจิบเหล้าผลไม้ที่มีราคา 30 เหรียญ มันมีกลิ่นหอม มีรสชาติหวานและไม่ฝาดคอเลยซักนิด
อย่างน้อยเขาก็รู้สึกดีจริงๆที่ไม่ได้กลายเป็นสุนัข และยังแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆที่มีประสบการณ์แบบเดียวกัน
“ยังไงซะฉันก็เกิดใหม่แล้ว ดังนั้นฉันควรเดินหน้าต่อไป!” เขากำลังคิดว่าจะใช้ตัวตนนี้ในการมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร!
“วิลเลียม แบล็คลีฟ หนึ่งในลอร์ดของเผ่าเอลฟ์จากชายแดนของป่าแบล็คลีฟตอนใต้ หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘ลอร์ดจากชายแดน’ ฮึ่ม ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นลูกครึ่งเอลฟ์?” วิลเลียมเพิ่งจะได้รับความทรงจำจากร่างกายของเขาเพียงเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าร่างของเขาตกลงมาจากต้นไม้ได้อย่างไร เขาตกลงมาแย่ขนาดนี้ได้อย่างไร แย่ขนาดถึงแก่ชีวิต ดีที่เขาโชคดีทำให้ตัวเขามีโอกาสได้มาเกิดใหม่อีกในโลกใบนี้
ยังไงก็ตาม นี่ไม่ใช่เวลามาพิจารณาเรื่องนี้ เขาควรจะคิดว่าทำอย่างไรจึงจะมีชีวิตที่ดีขึ้น
“นี่มันไม่ถูกต้อง ฉันยังจำได้ว่าฉันเคยเจอกับเขาตอนเลเวลยี่สิบอยู่เลย เขาเป็นลอร์ดที่แข็งแกร่งมาก ถึงแม้ว่าสถานที่จะเล็ก แต่เขาก็มีความความทะเยอทะยานมาก และฉันจึงได้รับภารกิจหลายอย่างจากที่นี่”
“แต่หลังจากเปิดตัวเกมส์มาหกเดือน คนๆนี้ก็ตายจากสงครามที่วุ่นวาย และอาณาเขตของเขาก็กลายเป็นของพวกอาณาจักรเหล็กไป” เขาดูไม่จืดเอาซะเลย
พ่อของเขาเป็นลอร์ดผู้ดูแลเขตแดนคนก่อนซึ่งหนีรอดมาอยู่ในเขตดินแดนเล็กๆ ระหว่างป่าแบล็คลีฟกับเขตปกครองของมนุษย์ ถึงอย่างนั้นพ่อเขาก็สามารถหาทางขนส่งทรัพยากรเข้า-ออกได้
จะอย่างไรก็ดี ลูกชายของเขานั้นไม่มีความสามารถมากพอ หลังจากที่เขาได้รับสืบทอดเป็นผู้ดูแลดินแดน ก็ดูเหมือนว่าชาวไร่ชาวนาหลายคนจะย้ายออกจากเขตไป และในภายหลังเขาจึงขยายเขตแดนสำเร็จ
แต่หลังจากที่เขาฝ่าฟันผ่านปัญหามากมาย เขากลับไม่ลงคำปฏิญาณต่ออาณาจักรและก็ไม่ได้ถอนตัวออกจากป่าแบล็คลีฟเช่นกัน
“ถึงฉันจะจำไมได้ว่าจะมีปัญหาเรื่องอะไร แต่การกระทำของเขาหลังจากนั้น เรียกง่ายๆเลยว่ารนหาที่ตาย” วิลเลียมถอนหายใจเบาๆ หลังจากที่เริ่มจะนึกออกเกี่ยวกับความทรงจำที่เขามี
เขตแดนของเขาไม่ได้ใหญ่โตมากมาย เขามีพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ทางด้านตะวันตกและตะวันออกของเมือง ดังนั้นเขาน่าจะสามารถใช้มันได้อย่างเหมาะสม
มีคน 3,000 คนอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ 1,500 คนในนั้นเป็นลูกครึ่งเอลฟ์, 1,000 คนเป็นมนุษย์ และอีก 500 คนที่เหลือเป็นเอลฟ์
เหล่าเอลฟ์เลือดบริสุทธิ์ทั้งห้าร้อยตน
ฮึ่ม
จากความทรงจำของเขา ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นผู้พิทักษ์ที่แม่มอบให้เขา
เหล่าผู้พิทักษ์พวกนี้แข็งแกร่งและซื่อสัตย์มาก เพียงแต่ว่าพวกเขามีความภาคภูมิใจในความเป็นเอลฟ์อย่างมากและนั่นทำให้หลายๆครั้ง พวกเขาจึงไม่ถูกชะตากับการที่เขาเป็นลูกครึ่งมนุษย์
ต่อให้แม่ของเขาจะเป็นเอลฟ์ราชวงศ์ พวกเอลฟ์เลือดบริสุทธิ์ห้าร้อยคนนี้ก็วางแผนที่จะใช้ชีวิตที่เหลือในอีกพันกว่าปีในการทำให้วิลเลียม
“เอ่อ… นี่แม่ของฉันเป็นคนในราชวงศ์เอลฟ์จริงๆหรอ?” ความคิดของวิลเลียมค่อนข้างยุ่งเหยิง ในที่สุดก็ฟื้นคืนสติจากความทรงจำที่แล่นเข้ามาในหัว
ในขณะที่วิลเลียมกำลังจะเรียกให้คนมาช่วยเขาลุกขึ้นและตรวจตราพื้นที่รอบๆ เสียงหนึ่งก็ดังผ่านหูเขา
เสียงนั้นดังขึ้นในหู
‘ดิ๊งด่อง’
‘นับถอยหลังสู่เวอร์ชั่นเบต้า 1.0 จะเปิดใช้งานในอีก 354 วัน 23 ชั่วโมง 59 วินาที’
“…” ผู้ดูแลเขตแดนคนปัจจุบันวิลเลียม แบล็คลีฟเอลฟ์ผู้มีสายเลือดราชวงศ์
เขาค่อยๆ จมลงไปในความคิด เพราะหากเขาทำตามความคิดของเขา เขาน่าจะอยู่บนเส้นทางที่บ้าระห่ำเพื่อฆ่ามังกรยักษ์, แต่งงานกับเจ้าหญิง และกลายเป็นพระเจ้าหลังจากที่เขาเข้ามาสถิตอยู่ที่อีกโลกนึงนี้แล้ว
แต่ว่าเขากลายมาเป็น NPC ได้อย่างไรกัน?
“ทำไม… ทำไมฉันถึงต้องมาเจอกับพวกผู้เล่นบ้าๆ ที่ไม่มีวันตายกันเนี่ย?” วิลเลียมเกิดอาการงุนงงขึ้นมากระทันหัน
หมายเหตุ
สโนว์บอล1 หมายถึง การที่ตัวละครหรือทีมๆ หนึ่งเก่งขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ยากจะหยุด เหมือนกับลูกหิมะที่กลิ้งไปแล้วจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
“โหมดลูกครึ่งเอลฟ์ เริ่มการใช้งาน”
“โหมดผู้สืบทอดสายเลือดราชวงศ์เอล์ฟแบล็คลีฟ เริ่มการใช้งาน”
“โหมดผู้สืบทอดสายเลือดวีรบุรุษเผ่าพันธุ์มนุษย์ระดับรีเจนดารี เริ่มการใช้งาน”
“ภารกิจที่เปิดขณะนี้ตั้งค่าประสบการณ์ไว้ที่ 1000”
“คุณสมบัติโป๊กเกอร์เฟส1 เริ่มการใช้งาน”
มุมปากของวิลเลียม แบล็คลีฟกระตุกขึ้นเมื่อเขาหยุดคิดเกี่ยวกับผู้เล่นทั้งหลาย อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคาดคิดว่าพ่อคนใหม่ของเขาที่หายสาบสูญไปจะมีสายเลือดระดับรีเจนดารี
ไม่ว่าอย่างไร ถ้าหากว่าพ่อเขาเป็นคนที่ไม่มีความสามารถขนาดนั้นอย่างที่ใครเขาพูดกันจริงๆ เขาคงไม่สามารถคว้าแม่ของเขาผู้เป็นถึงเจ้าหญิงของเผ่าเอลฟ์มาได้
วิลเลียมแค่ไม่รู้ว่าผู้เป็นพ่อของเขานั้นได้ตายไปแล้ว หรือเพียงแค่หายสาบสูญไป
โดยปกติ NPC ที่มีสายเลือดรีเจนเดรีจะโชคดีเป็นพิเศษและไม่มีทางตายง่ายๆ
ถ้าหากสามารถเล่นไปจนถึงระดับรีเจนเดรี มนุษย์จะได้รับเกียรติในการแต่งตั้งยศให้เป็น ‘ดยุค’ และได้รับอำนาจ นี่เป็นเพราะตำแหน่งรีเจนเดรีนั้นหมายความว่าพวกเขาอยู่ที่ยอดพีระมิดของสังคม
“ฮึ่ม เขาตายไปแล้วหรือแค่หายตัวไปกันแน่?” วิลเลียมยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ก่อนจะพึมพัมกับตัวเอง
: “คุณสมบัติตัวละคร”
ชื่อ: วิลเลียม แบล็คลีฟ (นับถอยหลังสู่เวอร์ชั่นเบต้า 1.0 จะเปิดใช้งานใน: 364 วัน 23 ชั่วโมง 57 นาที)
เผ่าพันธุ์: ลูกครึ่งเอลฟ์
เลเวล: 8
ศักยภาพของสายเลือด: รีเจนดารี (คุณสมบัติพื้นฐาน +8%)
ตำแหน่ง: ไม่มี
ความสามารถติดตัว : ดูดี (แฝง)
นอกจากคนในฝ่ายมืด คนอื่นๆ (รวมถึงเหล่าพระเจ้า), บรรดาสรรพสัตว์และพฤกษาจะมีความประทับใจที่ดีต่อคุณ มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับเสน่ห์ความดึงดูดใจของคุณ ในตอนที่คุณทำการซื้อขายกับสิ่งมีชีวิตพิเศษอื่นๆ คุณก็จะได้รับส่วนลด (ยิ่งเลเวลและสายเลือดอีกฝ่ายสูงส่งเท่าไหร่ ประสิทธิภาพนี้ก็จะลดลง)
เลเวล: 8 (คุณมีแต้มคุณสมบัติ 32 แต้ม และแต้มความสามารถ 8 แต้ม ทุกครั้งที่เลเวลคุณเพิ่มขึ้น คุณจะได้รับแต้มคุณสมบัติ 4 แต้มและ 1 คุณสมบัติสี่มิติ)
ประสบการณ์: (0/4200)
อายุ: 16 (เด็ก)
พลังชีวิต: 270
ค่าความแข็งแกร่ง(สเตมินา) : 340
คุณสมบัติพื้นฐาน:
ค่าพลังโจมตี: 34
ค่าความแข็งแรงทางกายภาพ: 27
ค่าความว่องไว: 38
ค่าสติปัญญา: 25
คุณสมบัติพิเศษ:
เสน่ห์: 43
ความโชคดี: 3
คอมเมนท์: ในหมู่ลูกครึ่งเอลฟ์วัยรุ่นเลเวล 8 คุณแข็งแกร่งพอที่จะเตะมนุษย์ระดับชั้นอนุบาลได้แล้ว
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอธิบายเกี่ยวกับพลังชีวิต เมื่อไหร่ที่มันเป็นศูนย์ นั่นก็คือจบเกม
แต่ความแข็งแกร่งของที่นี่อาจจะต่างไปจากเกมอื่นเล็กน้อย
ในโลกนี้ ทุกการเคลื่อนไหว, ทุกการกระทำ, หรือทุกสกิลจะต้องใช้ค่าสเตมินา แม้แต่ตอนที่คุณกำลังมีเพศสัมพันธ์ ค่าสเตมินาก็จะลดลงเช่นกัน
แน่นอนว่าถ้าผู้เล่นต้องการที่จะมีลูก พวกเขาต้องสะสมแต้มมิตรภาพให้ถึง 1000 แต้ม ก่อนที่พวกเขาจะสามารถทำอะไรกันได้
หรือก็คือ…
กระบวนการนี้ใช้เวลา 6 เดือน
นี่คือเหตุผลที่ผู้เล่นต้องคอยดูค่าสเตมินาตลอดเวลา เพื่อที่จะไม่ใช้มันไปกับการกระทำที่ไม่จำเป็น ถ้าไม่อย่างนั้น หากค่าสเตมินาของพวกเขาหมดตอนที่กำลังต่อสู้ พวกเขาจะไม่สามารถใช้อาวุธใดๆ ได้และนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการตายดีๆ นี่เอง
พละกำลัง = ความแข็งแกร่ง(สเตมินา) = 50% ของพลังการโจมตีทั่วไป
ความแข็งแรงทางกายภาพ = ค่าพลังชีวิต = 50% ของพลังการป้องกันทั่วไป
ความว่องไว = ความเร็วในการเคลื่อนไหว (ไม่มีผลต่อความเร็วในการหลบหลีกและการโจมตีแบบคริติคอล2)
ค่าสติปัญญา = 50% ของค่าเวทมนต์ป้องกันพื้นฐาน
อย่างไรก็ตาม ค่าสติปัญญามีอีกคุณสมบัติซ่อนอยู่ นั่นก็คือความแข็งแกร่งของจิตใจ!
แต่นี่หมายถึงว่ายิ่งคุณจดจ่อนานมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งใช้ค่าความแข็งแกร่งของจิตใจมากขึ้นเช่นกัน ในระหว่างการต่อสู้นั้นจำเป็นต้องใช้สมาธิติดต่อกันในการโจมตีศัตรูหรือการโจมตีที่จุดสำคัญของศัตรู
เมื่อระยะเวลาในการต่อสู้นานขึ้น ความแข็งแกร่งทางจิตใจจะลดลงเช่นเดียวกัน และผู้เล่นจะสูญเสียการจดจ่อในการต่อสู้ไปอย่างช้าๆ จากนั้นการโจมตีที่ติดคริติคอลและส่วนที่เหลือทั้งหมดจะลดลง
ในขณะเดียวกัน ค่าสติปัญญายังทำให้ผู้ใช้เวทมนตร์โจมตีรุนแรงเป็นพิเศษ!
ว่าแต่ความสามารถติดตัวเนี่ย เขาดูดีขนาดนั้นเลยหรอ?
มันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้วว่าเขานั้นโคตรจะหล่อ ความหน้าตาดีนั้นเป็นพลังที่แท้จริงในโลกใบนี้ ความแข็งแกร่งมันก็แค่ของชั่วครู่ชั่วคราว ความหล่อต่างหากที่จะคงอยู่ตลอดไป
เหล่าเอลฟ์ต่างก็ชอบคนหน้าตาดี และด้วยความสามารถติดตัวเช่นนี้เขาจะถามเอาอะไรอีก?
“F*ck แล้วไม่ให้อะไรที่มีประโยชน์มากกว่านี้มาเลยหรอ?”
อย่างไรก็ตามเขาไม่จำเป็นต้องกังวล ด้วยสายเลือดระดับรีเจนดารีของเขานั้นเมื่อระดับเลเวลเพิ่มขึ้น ความสามารถติดตัวก็จะเพิ่มขึ้นตาม นอกจากนี้เขายังสามารถทำภารกิจลับเพื่อเพิ่มความสามารถติดตัวได้ด้วย
ยังไงซะ ตอนนี้เขาก็ทำได้แค่มีความหวังเอาไว้ให้มากๆ
เพราะดูเหมือนว่าสายเลือดระดับรีเจนดารีของเขาจะเป็นของปลอม ค่าความโชคดีของเขามันน้อยเกินกว่าปกติ แน่นอนว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกับการที่เขาเสียชีวิตก่อนวัยในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา
หรือไม่ มันก็มีอีกเหตุผลหนึ่ง
การที่มีบอสระดับรีเจนดารีอยู่เยอะนั้น มันเป็นเรื่องแน่นอนว่าจะต้องมีผู้โชคร้ายหนึ่งคนที่ต้องมารับความซวยนั้นไว้แทนทุกคน
พูดตามตรงแล้ววิลเลียมค่อนข้างตกใจนิดหน่อยตอนเห็นหน้าต่างสถานะเหมือนกับผู้เล่นปกติ อย่างไรมันก็เป็นสิ่งที่ดีที่เขายังสงบและใจเย็นได้ เขาเข้าไปใกล้หน้าต่างค่าสถานะอีกหน่อยและเพ่งมองมันเล็กน้อย
เขาเป็นคนที่มีศักยภาพในสายเลือดรีเจนดารีอย่างแท้จริง แม้ตอนที่ยังไม่ถึงเลเวล 8 ก็ยังมีค่าสถานะที่แข็งแกร่ง ถ้าตอนนี้เขาไปยังหมู่บ้านสำหรับผู้เริ่มเล่นใหม่เพื่อฆ่าพวกตัวละครเลเวล 0 เขาก็คงฆ่าพวกเขาตายได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ศักยภาพของสายเลือดเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในเกมนี้และ NPC ที่มีเลเวลสูงมากๆถูกกำหนดให้เข้าถึงได้ ต่างจากผู้เล่นที่จะแข็งแกร่งขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเต็มใจที่จะทุ่มทั้งเงินและความพยายาม ถึงแม้ว่ามันจะยากมากที่จะพัฒนาระดับในส่วนท้ายของเกม แต่พวกเขาก็ยังโชคดีกว่า NPC
“ด้วยศักยภาพของสายเลือดระดับรีเจนดารีความอ่อนแอของลูกครึ่งเอลฟ์จึงหมดไป ความแข็งแกร่งของทั้งสองเผ่าพันธ์ุผสมกันอย่างลงตัวทั้งส่วนของมนุษย์และเอลฟ์ มันทำให้ค่าสถานะของฉันแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่…ฉันยังไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับการเพิ่มค่าสถานะและเพิ่มเลเวลได้ ฉันยังต้องมีความชำนาญในสิ่งที่ฉันต้องทำ ไม่อย่างนั้นฉันจะตายเร็วเกินไป”
มีหลายเผ่าพันธุ์ที่ได้รับการยกย่องราวกับบุตรของพระเจ้า เช่น เอลฟ์ มังกร ผู้วิเศษ และเผ่าพันธุ์อื่นๆ
และแน่นอนว่าวันนี้จะแนะนำเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์เอลฟ์เป็นหลัก
เอลฟ์ค่อนข้างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์อื่นๆ
การโจมตีระยะไกลเป็นความสามารถพื้นฐานของเผ่าพันธุ์ ทุกคนที่มีนามสกุล ‘ลู’ นั้นราวกับมีเป้าล็อคอยู่ในใจ อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อพวกเขายิงการโจมตีออกไป มันจะโจมตีถูกเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
การโจมตีระยะประชิดของพวกเขาไม่ได้อ่อนแอเลย ไม่ว่าจะเป็นนักรบเอลฟ์ อัศวินเอลฟ์ นักสู้เอลฟ์หรือแม้แต่ผู้วิเศษเอลฟ์พวกเขาล้วนแข็งแกร่งมากและสามารถต้านทานการโจมตีได้
ในด้านคุณสมบัติการป้องกันและคุณสมบัติพลังชีวิต คุณคิดว่ามันเป็นไปได้ไหมว่าคนที่มีชีวิตอยู่กว่าพันปี แม้จะมีความสามารถในการป้องกันต่ำ แต่ก็ยังแข็งแกร่งกว่าพวกออร์ค?
คนที่ไม่มีความเข้าใจในเกมและกล้าที่จะบอกว่าเอลฟ์มีค่าสถานะการป้องกันต่ำกว่าออร์คนั้นเป็นพวกคนที่ไร้สาระที่สุด มันก็เป็นแค่เกณฑ์ กุญแจหลักมันขึ้นอยู่กับอาชีพและการเพิ่มค่าสถานะต่างหาก
ส่วนความรวดเร็วน่ะเหรอ…ฮ่าฮ่า วิลเลียมยิ้มเยาะ มันไม่ใช่เรื่องตลกที่จะรักษาระยะห่างกับนักสู้เอลฟ์หรอกนะ
ในอีกแง่หนึ่ง เมื่อมองไปที่เหล่ามนุษย์ ออร์ค ก็อปลิน เดธโซลและพวกอื่นๆ พวกนั้นถูกสร้างขึ้นหลังจากธรรมชาติสร้างสรรค์เอลฟ์ขึ้นมาแล้ว
และแน่นอน…
แม้ว่าเอลฟ์จะมีจุดแข็งมากมาย แต่พวกเขาก็ยังมีจุดอ่อนเช่นกัน
อัตราการเกิดของพวกเขาต่ำมาก
นี่ถือเป็นความเจ็บปวดของเหล่าเอลฟ์ มันเป็นเรื่องยากยิ่งที่เอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์จะเกิดมา ทุกสงครามและการตายจากถือเป็นการสูญเสียของเผ่าพันธุ์เอลฟ์อย่างร้ายแรง
อัตราการเกิดมีเพียง 1 ใน 3650 เท่านั้น แล้วในโอกาสครั้งเดียวนั่นเป็นโอกาสแบบไหนกันล่ะ?
ถ้าเปลี่ยนพวกเขาเป็นเหล่าออร์ค พวกเขาจะสามารถพัฒนาให้เป็นเมืองขนาดใหญ่ได้ในเวลาสิบปี…
ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา ผู้เล่นส่วนมากมักจะเลือกเอลฟ์ที่ดูดีเป็นตัวละครแรก ต่อมาไม่กี่เดือนก็ยอมแพ้แล้วลบตัวละครนั้นทิ้งไป และเริ่มเล่นเป็นตัวละครใหม่ เพราะพวกเขานั้นต้องทุกข์ทรมานหาค่าประสบการณ์เลื่อนระดับมากกว่ามนุษย์สองเท่าตัว
นั่นคือที่มาของคำพูดๆ หนึ่งในช่วงนั้น:
คนที่รวยเท่านั้นที่จะสามารถเลือกเอลฟ์และเวทมนตร์ได้ ในขณะที่คนอื่นๆทำได้เพียงมองดูไกลๆแต่ไม่สามารถเล่นได้เลย
ในเวลานี้หลายคนอาจจะถามว่าแล้วคนที่เลือกลูกครึ่งเอลฟ์ล่ะ?
วิลเลียมอยากจะบอกว่าพวกครึ่งเอลฟ์นั้นต้องการประสบการณ์ในการเลื่อนระดับมากกว่ามนุษย์ธรรมดาถึง 1.5 เท่า พวกเขาไม่ได้มีสถานะที่แข็งแกร่งมากนักอย่างที่เขาเป็น มันน่าจะดีกว่าถ้าพวกเขาจะเลือกเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีปีก แล้วทำตัวเป็นนางฟ้าหรืออะไรทำนองนี้ในอนาคต
แต่ถึงจะทำอย่างนั้นไป มันก็ไม่ได้คุ้มค่าอะไรที่จะเปลี่ยนอาชีพเป็นอาชีพที่ต้องใช้รูปลักษณ์ของนางฟ้า แม้ว่าสารรูปของผู้เล่นทั่วไปส่วนใหญ่จะไม่ถึงตามข้อกำหนดก็เถอะ…
หมายเหตุ
โป๊กเกอร์เฟส1 หมายถึง ความสามารถในการควบคุมสีหน้า
การโจมตีแบบคริติคอล2 หมายถึง การโจมตีรูปแบบหนึ่งที่เพิ่มอัตราความเสียหายให้กับการโจมตีปกติและสกิลปกติ
วิลเลียม แบล็คลีฟกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องอนาคตและฝันถึงการขึ้นไปยังจุดสูงสุดบนยอดพีระมิด
ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากทางด้านหลัง
เขาหันกลับไป และสิ่งที่เห็นคือขาเรียวยาว เอวคอดกิ่ว และทรวงอกที่มีขนาดกำลังดี…
นั่นคือเอลฟ์หญิงสายเลือดบริสุทธิ์ผู้สง่างามและสวยจนแทบละสายตาไม่ได้
มันเป็นเรื่องง่ายที่จะบอกความแตกต่างระหว่างเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์และพวกเลือดผสมจากสีผมและนัยน์ตา
โลกใบนี้ถูกแบ่งออกเป็น 9 ทวีปที่แตกต่างกัน ตอนนี้เขาอยู่ที่ทวีปรีเจนดารี ที่ทวีปนี้มีเผ่าเอลฟ์ไม่กี่เผ่าท่ามกลางเหล่าเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์ อย่างไรก็ตามพวกเขามีสีผมที่เหมือนกันรวมถึงสีตาอีกด้วย
สำหรับลูกครึ่งเอลฟ์ พวกเขารู้สึกค่อนข้างอึดอัดเล็กน้อย…
เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงเลยทีเดียวที่ผมของพวกเขาจะมีมากกว่าหนึ่งสี และบางทีนัยย์ตาข้างหนึ่งอาจเป็นสีเหลืองส่วนอีกข้างเป็นสีเขียว นี่ก็เป็นหนึ่งในหลายๆเหตุผลที่เอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์ไม่ยอมรับพวกครึ่งเอลฟ์
อ้างอิงจากสิ่งที่เหล่าผู้เล่นพูด พวกครึ่งเอลฟ์ทำให้ความงามของเหล่าเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์ตกต่ำและนั่นคือสิ่งที่ไม่สามารถให้อภัยได้
แต่ก็นับว่าโชคดีที่สายเลือดระดับรีเจนดารีพ่อของวิลเลียมนั้นทรงพลังพอๆกับแม่ของเขาเลยทำให้เขาดูไม่ได้แตกต่างจากเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์คนอื่นๆ
“ท่านลอร์ด ฉันได้ยินว่าท่านตื่นแล้ว ฉันเลยมาเยี่ยมค่ะ” เสียงอันแสนนุ่มนวลเปล่งออกมา วิลเลียมแสร้งป่วย “เซีย เธออย่าเรียกฉันว่าลอร์ดเลย ฉันสบายดี แค่หัวของฉันยังเจ็บอยู่นิดหน่อยและฉันก็จำอะไรไม่ค่อยได้เลย”
“ถ้าท่านลอร์ดของฉันสบายดีก็ถือเป็นเรื่องที่ดีแล้ว อย่างไรก็ตามท่านควรดื่มนี่นะคะ” ร่างสูงของเซียกล่าวด้วยใบหน้าเสแสร้งขณะที่ส่งขวดสีเขียวหยกใบเล็กๆมาให้เขา
เขารับมันมาก่อนที่ข้อมูลของไอเทมจะปรากฎขึ้น เขาต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่แสดงอาการตื่นเต้นออกไป ขณะที่เอ่ยถามด้วยความสงสัย “นี่คืออะไร?”
“ไลฟ์โพชั่นค่ะ ตั้งแต่ตอนที่ฉันรู้ว่าท่านสลบไประหว่างกำลังตกลงจากต้นไม้…” ณ จุดๆนี้เซียไม่สามารถห้ามตัวเองได้ ได้แต่สูดหายใจเข้าลึกๆ
ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าเขาจะเป็นเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์หรือเอลฟ์เลือดผสม การตกจากต้นไม่ก็เป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าอยู่ดี นอกจากนั้นแล้วเขาก็ยังสลบติดต่อกันไปหลายวันอีกด้วย…
ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากพูดต่อไป “หลังจากที่ท่านพลัดตกลงมา เราได้ให้ผู้วิเศษมาตรวจอาการของท่าน ดูเหมือนว่าจิตสำนึกของท่านจะสับสนนะคะ”
“ลอทเนอร์เร่งไปที่เมืองดาร์คไนท์เพื่อไปเอาไอเทมของนักบุญจากแม่ของท่าน เขาเพิ่งจะกลับมา ถึงแม้ว่าท่านจะฟื้นแล้วแต่ไหนๆ เราก็ได้มันมาแล้วท่านก็ควรดื่มมันนะคะ”
วิลเลียมลังเลเล็กน้อยก็จะพยักหน้า “ฝากไปขอบคุณลอทเนอร์ด้วยนะ ไว้ฉันจะไปหาเขาเป็นการส่วนตัว”
“ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อน ช่วงนี้อาณาเขตเงียบสงบดี ท่านลอร์ดสามารถพักผ่อนไปได้อีกสองสามวันเลยค่ะ!”
“ขอบคุณมาก” วิลเลียมกล่าวขณะจ้องมองโพชั่นในมือ
อย่างไรก็ตาม…
เซียผู้หยิ่งยโสได้หันหลังกลับและออกไปโดยไม่สนใจท่านลอร์ดลูกครึ่งเอลฟ์ของเธออีก
ตามจริงแล้วหลังจากที่เขาตื่นเขาไม่ควรได้รับไอเทมของนักบวชที่ล้ำค่าเช่นนี้ แต่เซียก็ยังคงมอบมันให้เขา อย่างน้อยมันก็หมายความว่าคนเหล่านี้ยังภักดีต่อเขาอยู่
แม้ว่าภายนอกเธอจะไม่ได้เคารพเขาจริงๆ แต่เธอก็ยังภักดีต่อเขา
วิลเลียมรู้ว่าในชีวิตก่อนหน้านี้ องครักษ์เอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์เหล่านี้ก็ยังคงติดตามท่านลอร์ดที่โง่เขลาของพวกเขาต่อไปจนกระทั่งเขาเสียชีวิต
“ฉันจะแก้ปัญหาความเป็นผู้นำนี้ในภายหลัง นี่ไม่ใช่สิ่งที่ความสามารถติดตัวของฉันจะสามารถแก้ไขได้ในตอนนี้” วิลเลียม แบล็คลีฟถอนหายใจก่อนจะยกมือที่ถือขวดใบเล็กขึ้นมาดู
ไลฟ์โพชั่น
เลเวล : รีเจนดารี
จำนวน : 10 หยด
วิธีใช้ : 1 หยดสามารถฟื้นฟูอาการเชิงลบทั้งหมดได้ทันที, 2 หยดสามารถฟื้นฟูแต้มพลังชีวิตทั้งหมดได้ทันที, 3 หยดสามารถทำให้กระดูกที่หักผสานกันได้
ยิ่งใช้ไลฟ์โพชั่นมากเท่าไหร่ประสิทธิภาพก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น มันสามารถที่จะส่งผลให้มีโอกาสกลับมามีชีวิตได้แม้ว่าจะมีขีดจำกัดเพียง 10 หยดก็ตาม
คุณสมบัติพิเศษ : ไลฟ์โพชั่น 1 หยดสามารถต่ออายุขัยได้ 100 ปี
คุณสมบัติพิเศษ : ไลฟ์โพชั่น 1 หยดสามารถเพิ่มค่าสถานะทุกค่าได้จำนวน 5 แต้ม สามารถใช้ได้สูงสุด 10 หยด
คุณสมบัติพิเศษ : ไลฟ์โพชั่น 1 หยดสามารถเพิ่มพลังชีวิตได้ 100 หน่วย สามารถใช้ได้สูงสุด 10 หยด
ข้อจำกัด : เมื่อใช้ครบ 10 หยดแล้วจะไม่สามารถใช้คุณสมบัติพิเศษได้อีก
นี่เป็นไอเทมที่ดีอันนึง
สิ่งนี้คงเป็นสมบัติล้ำค่าของพวกเอลฟ์อย่างไม่ต้องสงสัย มันมีค่ามากกว่าอุปกรณ์ระดับรีเจนดารีเสียอีก
“หรือว่าสิ่งนี้อาจทำให้วิลเลียมคนก่อนฟื้นคืนชีพขึ้นมา!” วิลเลียม แบล็คลีฟขมวดคิ้ว “หลังจากที่ฟื้นคืนชีพ ฉันก็ได้รับความทรงจำแค่บางส่วนของเจ้าของร่างนี้ บางทีเจ้าโง่นี่อาจโดนใครบางคนลอบสังหารวิญญาณ ไม่อย่างนั้นการตกจากต้นไม้ก็ดูไม่สมเหตุสมผลกับค่าสเตตัสของครึ่งเอลฟ์เท่าไหร่”
มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ลิงแรกเกิดจะรู้วิธีปีนต้นไม้และเอลฟ์อายุสามปีจะสามารถจับนกได้
“ลูกครึ่งเอลฟ์จะอ่อนแอกว่าเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ด้วยระดับความว่องไวของเรา มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะตกจากต้นไม้ หรือว่ามีคนพยายามจะฆ่าฉัน?”
เขาลุกขึ้นยืนอย่างกระทันหัน สีหน้าของเขาค่อนข้างซีดเล็กน้อย พร้อมกับอดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมา “จากการที่วิลเลียมคนก่อนหน้านี้เกือบตาย พวกเราได้วางแผนที่จะหลีกเลี่ยงหายนะจนถึงที่สุดและดูเหมือนการลอบสังหารก็หยุดลงแล้ว เพราะฉะนั้นช่วงเวลานี้ฉันคงยังไม่ตกอยู่ในอัตรายมากนัก ตอนนี้สิ่งสำคัญที่ต้องทำคือการพัฒนาศักยภาพของตัวเอง ปัจจัยหลักคือการทำให้ตนเองเติบโตอย่างรวดเร็ว!”
สำหรับคนที่เคยฆ่าเขานั้น…
วิธีการที่คนๆ นั้นใช้ลอบสังหารเขา ตอนนี้วิลเลียมคิดไม่ออกเลยจริงๆ มันเป็นเรื่องง่ายในการพูดเกี่ยวกับการสังหารวิญญาณอย่างเงียบเชียบ แต่มันเป็นเรื่องยากมากๆ ในการจะทำ
คนที่จะทำได้อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในระดับปานกลาง หรือมันอาจจะเป็นการกระทำของ NPC ระดับสูงโดยส่วนตัว…
ขอบเขตมันกว้างเกินไปในตอนนี้ ทำให้เขาไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าใครเป็นคนทำ มันอาจจะเป็นเหล่าแม่มดลึกลับที่แข็งแกร่งและพวกจอมเวทย์ หรือถ้าบางอาชีพที่มีสกิลพิเศษ พวกเขาเองก็อาจจะทำได้เช่นกัน
ใครจะฆ่าเขากันนะ?
ทำไมคนๆ นั้นถึงฆ่าเขา?
มันมีประโยชน์อะไรจากการฆ่าเขารึเปล่า?
“ลูกครึ่งเอลฟ์, เอลฟ์เชื้อพระวงศ์จากตระกูลแบล็คลีฟ หรือศัตรูของพ่อ?” วิลเลียม แบล็คลีฟส่ายหัว ขอบเขตมันยังคงกว้างไป
พวกเอลฟ์เชื้อพระวงศ์ตระกูลแบล็คลีฟไม่น่าจะเป็นคนทำ
อย่างแรกเลย พวกเอลฟ์ที่หยิ่งยโสกลุ่มนี้มีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะก้มหัวให้กับการลอบสังหาร
อย่างที่สอง ถ้าหากพวกเขาต้องการที่จะฆ่าเขาจริงๆ เพื่อทำให้สายเลือดราชวงศ์คงความบริสุทธิ์ไว้ พวกเขาไม่จำเป็นต้องรอจนถึงตอนนี้ อีกอย่างเขาเองก็โตขึ้นในเมืองดาร์คไนท์ ที่ผ่านมาจึงมีโอกาสมากมายที่เขาจะเกิด ‘อุบัติเหตุ’
และอย่างที่สาม มันยิ่งไม่มีความจำเป็นสำหรับพวกเขาที่จะยกไลฟ์โพชั่น 10 หยดให้เขาและมอบโอกาสให้เขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อแม่ของเขาไม่สามารถที่จะมีไลฟ์โพชั่นมากถึง 10 หยดในครอบครองได้ ตั้งแต่ต้นไม้แห่งชีวิตถูกโจมตี เหล่าเอลฟ์เชื้อพระวงศ์ก็เหลือไลฟ์โพชั่นเพียงเล็กน้อยในครอบครอง พวกเขาอาจจะสู้กันเพื่อซ่อนมันด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นแล้วพวกเขาจะให้มันกับคนอื่นง่ายๆ ไปทำไมกัน?
“ฉันไม่รู้ว่าแม่ของฉันผู้ที่ฉันลืมชื่อไปนั้น ต้องเสียสละอะไรไปบ้างเพื่อให้ได้ไลฟ์โพชั่นนี้มา…” หัวของวิลเลียมปวดตื้อขึ้นมา
บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่เอลฟ์ตระกูลแบล็คลีฟไม่เคยเล็งมาที่เขา แม้แต่ตอนที่เขาตายในสงความที่วุ่นวายทั้งหลาย
บางทีไลฟ์โพชั่นที่แสนจะล้ำค่าขนาดที่สามารถทำให้คนเราฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ทั้ง 10 หยดนี้ อาจจะเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายจากแม่ของเขา
“ฉันกำลังคิดมากเกินไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่ตอนนี้ฉันมีโอกาสเพิ่มเลเวลแล้ว ฉันเป็นท่านลอร์ดคนนั้นแล้วถูกต้องมั้ย? ดังนั้นถ้าว่าตามวิถีของลอร์ด นอกจากการต่อสู้กับมอนสเตอร์และทำภารกิจ ฉันยังสามารถเพิ่มเลเวลโดยการทำภารกิจของลอร์ดให้สำเร็จได้ด้วย?” คิดมาถึงตอนนี้ วิลเลียมก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคักออกมา
Gods นั้นต่างออกไปจากเกมปกติอื่นๆ เล็กน้อย
มันเป็นเรื่องที่ยอมรับได้หากผู้เล่นต้องการจะครอบครองโลก
อย่างไรก็ตาม…
อาณาจักรเล็กๆ ในทวีปรีเจนดารีนั้นซับซ้อนมาก ต่อให้มันเป็นเพียงภารกิจหลักที่แต่ละอาณาจักรมี ผู้เล่นธรรมดาก็แทบไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับมันง่ายๆ
ในตอนแรกเริ่มนั้น เหล่าผู้เล่นเป็นเพียงส่วนเล็กที่แทบจะไม่มีค่าในเกมและพวกเขาก็แทบจะไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอะไร และนั่นเป็นเหตุผลที่ผู้เล่นพวกนั้นสามารถสร้างประสบการณ์ได้อย่างช้าๆ จากวงนอก พวกเขาจะตายแน่นอนจากอำนาจของทั้งสองฝ่ายหากพวกเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง
โชคดีที่ยังมีผู้เล่นที่โชคดีสุดๆ บางคนที่สามารถเข้าไปทำงานให้กับตัวละครหลักในบางเวอร์ชั่น แต่ถึงจะว่าอย่างนั้น ผู้เล่นที่ว่าก็แทบจะไม่มีให้เห็นและมันก็ยังคงเป็นการยากสำหรับพวกเขาที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง
ถ้าผู้เล่นได้รับอาณาจักรมาครอบครอง หากว่าอาณาจักรไม่ได้ผ่านการพัฒนาเป็นปีๆ แล้วล่ะก็ อาณาจักรพวกเขามีสิทธิ์ถูกทำลายโดยพวก NPC นอกรีตทั้งหลาย โดยที่ NPC พวกนั้นอาจจะถือโอกาสยึดสมบัติความมั่งคั่งของพวกผู้เล่นไปพร้อมกันด้วยซ้ำไป
นี่เป็นเหตุผลที่พวกกิลด์ที่มักใหญ่ใฝ่สูง, สโมสร และผู้เล่นมืออาชีพทั้งหลายถูกโจมตีและกลายเป็นเถ้าถ่านในตอนที่พวกเขาเลื่อนขึ้นอันดับมาได้ สุดท้ายพวกเขาก็ต้องทำตาม NPC เพื่อให้รอดชีวิต หากว่าพวกเขาไม่มีสัญลักษณ์ของ NPC อยู่กับตัว มันจะไม่ใช่เรื่องน่าตกใจเลยถ้าพวกเขาจะถูกซุ่มโจมตีจนถึงแก่ชีวิตระหว่างการเดินทาง
การคิดอยากจะพัฒนาตัวละครด้วยตัวคนเดียวเป็นความน่าเศร้าที่แท้จริง อย่างน้อยพวกเขาก็ควรเข้าร่วมกับกลุ่มทหารรับจ้างที่นำทีมโดย NPC ถูกมั้ย?
ถ้าไม่อย่างนั้น ไม่สำคัญว่าผู้เล่นจะแข็งแกร่งมากขนาดไหน พวกเขาจะยอมไปเป็นโล่ของผู้เล่นคนอื่นอย่างนั้นหรือ?
มันก็เห็นๆ กันอยู่แล้ว
มันเป็นไปไม่ได้
พวก NPC คือบอสตัวจริง…
แม้ว่าผู้เล่นจะสามารถเพิ่มเลเวลได้อย่างไม่มีจำกัดและแถมอาจจะมีความสามารถประหลาดติดตัวมาด้วยได้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะเพิ่มสายเลือดใดๆ ได้ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่เลเวลไหน ความสามารถติดตัวของพวกเขาส่วนใหญ่จะอ่อนแอกว่าของพวก NPC และนั่นก็คือเหตุผลว่าทำไมผู้เล่นจึงไม่สามารถหยิ่งผยองได้มากนัก แม้แต่ในส่วนหลังๆ ของเกมก็ตาม
อีกอย่าง เลเวลของ NPC ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามเลเวลของผู้เล่น พวกเขามีเลเวลเป็นของตัวเอง เพราะฉะนั้นความสามารถของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นก็ต่อเมื่อมีการปล่อยเวอร์ชั่นใหม่ของเกมออกมา
หากจะทำให้แน่ใจว่าผู้เล่นจะไม่เจอกับ NPC ที่เลเวลสูงเกินไป…
เรื่องนั้นจะเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติด้วยการโยนผู้เล่นเข้าไปในอาณาเขตของดยุคหรือลอร์ดซักคน
เพราะพลังอำนาจและเลเวลนั้นไล่ยศตามนี้: จักรวรรดิ, ราชอาณาจักร, แกรนด์ ดูชีย์หรือเขตแดนที่ปกครองโดยแกรนด์ ดยุคหรือดัชเชส, และ ดยุคดอมหรือเขตแดนที่ปกครองโดยดยุค
ลอร์ดจากชายแดนอย่างวิลเลียมขึ้นต่อฝ่ายกลาง ไม่ขึ้นต่อฝ่ายมืดหรือฝ่ายสว่าง ขนาดของอาณาเขตจึงเล็กใหญ่ต่างกันไป
ลอร์ดที่แข็งแกร่างบางคนสามารถถือครองอำนาจที่เทียบเท่ากับราชอาณาจักรๆ หนึ่งได้เลย ในขณะที่ลอร์ดที่อ่อนแอก็มีอำนาจเทียบเท่ากับเมืองจากชายแดน…
เขตปกครองของมนุษย์เป็นฝ่ายสว่าง!
มีคนที่เลือกออร์คบ้างมั้ย?
เกมนี้ไม่ได้ให้ผู้เล่นเลือกตัวละครเฉพาะบางตัวที่ไม่ใช่มนุษย์ ด้วยเหตุผลที่ว่ามันจะไปมีอิทธิพลโน้มนาวจิตใจของผู้เล่นและอาจจะมีผลก่อให้เกิดความไม่สงบในสังคม นี่เป็นเพราะออร์คนั้นกินได้ทุกอย่างที่ขวางหน้า พวกมันอาจจะกินอย่างมีความสุขแม้แต่ตอนที่กำลังกินสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาเช่นเดียวกันอยู่
มีคนเคยใช้สกิลการแปลงร่างเพื่อซ่อนตัวในหมู่ออร์ค ในตอนสุดท้ายนั้น เขาเห็นพวกออร์คกินคนเป็นๆ และทำให้เขาหลุดเผยตัวตนของเขาออกมาด้วยความรู้สึกสะอิดสะเอียน ก่อนที่เขาจะได้ทำการฆ่าตัวตาย เขาก็ถูกรุมกัดหลายครั้งโดยออร์คฉกรรจ์หลายตัว เขาตายอย่างน่าอนาถและประสบการณ์จากการเล่นเกมครั้งนี้ของเขานั้นย่ำแย่ขนาดที่เขาแทบจะเลิกเล่นเกมนี้เลยทีเดียว!
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้เล่นแล้ว ช่วงแรกของเกมนั้นจะผ่านไปได้อย่างง่ายดาย…
มีหลายเผ่าพันธุ์ที่ผู้เล่นสามารถเลือกได้…
มีทั้งมนุษย์, เอลฟ์, ลูกครึ่งเอลฟ์, เผ่าพันธ์ุมีปีก, คนแคระ, และโนม!
มนุษย์, เอลฟ์, ลูกครึ่งเอลฟ์, และ เผ่าพันธุ์ที่มีปีกเป็นตัวเลือกที่นิยมที่สุด
คนแคระและโนมเป็นตัวละครกลุ่มเล็กลงมา…
อัจฉริยะที่เลือกสองเผ่าพันธุ์นี้ก็คือผู้ที่ไม่สนใจรูปลักษณ์ภายนอกและมีหัวใจที่แข็งแกร่ง พวกเขายังมีเซ้นส์ที่ดีในด้านการศึกษาวิจัยและมีความทะเยอทะยานในการสำรวจ พวกเขาเป็นเสาหลักของประเทศชาติ, เป็นต้นแบบของผู้เล่น และพวกเขายังหาตัวจับยากไม่ต่างกับอุปกรณ์ระดับรีเจนดารีที่มีอยู่น้อยนิด
ยังไงก็ตาม ทุกอารมณ์และความรู้สึกใน Gods นั้นไม่ต่างอะไรจากในโลกความจริง น้อยคนนักที่จะบ้าจี้ทำแบบนั้น…
สำหรับ Gods ในตอนเริ่มต้นนั้นมันมีเพียงไม่กี่เผ่าพันธุ์ให้เลือก แต่ถึงอย่างนั้นก็มีอาชีพให้เลือกหลากหลาย
สายการต่อสู้: นักรบ, อัศวิน, ทหารราบ, นักล่า, มือสังหาร, สไนเปอร์ และอีกมากมาย นี่ยังไม่รวมถึงอาชีพที่ซ่อนอยู่นอกจากนี้
สายเวทย์มนต์: พ่อมด, นักเวทย์, นักบุญ, หมอผี, นักเวทย์อัญเชิญ, ดรูอิดหรือฤๅษี และอื่นๆ อีกมากมาย
แต่ละสายอาชีพนั้นมีความชำนาญพิเศษเล็กๆ ในตัว ยกตัวอย่างเช่น นักรบมีชุดเกราะ, ดาบสั้น, ดาบคู่, ดาบเวทย์ และอื่นๆ อีกมากมาย…
ทุกๆ เผ่าพันธุ์ก็มีอาชีพพิเศษเช่นกัน
ตัวอย่างหนึ่งคืออัศวินเทมพลาร์ นี่เป็นอาชีพเฉพาะตัวของเผ่าพันธุ์มนุษย์และผู้เล่นก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งของ วิหารของฝ่ายสว่างด้วย…
หรืออย่างหัวหน้าทูตสวรรค์ก็เป็นอะไรที่เห็นอยู่ชัดเจนว่าเป็นอาชีพสำหรับเผ่าพันธุ์มีปีกโดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตาม…
ถึงแม้ว่าเผ่าพันธุ์มีปีกจะถูกพิจารณาว่าเป็นเผ่าที่มีอายุยืนยาว ปีกคู่เล็กที่ผู้เล่นได้รับในตอนแรกนั้น ต่อให้คุณหักปีกของพวกเขา มันก็ไม่ยอมให้ผู้เล่นอยู่ใกล้พื้นดินได้แม้แต่ 3 เซนติเมตร แต่กว่าผู้เล่นที่มีปีกจะรู้วิธีบิน ผู้เล่นจากเผ่าพันธุ์อื่นก็สามารถหาวิธีบินของตัวเองได้แล้วเช่นกัน เพียงแต่ความว่องไวและความรวดเร็วของพวกเขานั้นไม่อาจเทียบกันได้กับพวกมีปีก
ในช่วงหลังของเกม หลังจากที่ผู้เล่นได้สัมผัสประสบการณ์มามากมาย ถ้าหากพวกเขามีโอกาส พวกเขาก็อาจจะไม่อยู่ในรูปลักษณ์ของมนุษย์ต่อ
“สัมผัสแห่งตำนาน…” วิลเลียมไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้สั่นได้ขณะที่ความรู้สึกเย็นวาบวิ่งผ่านกระดูกสันหลังของเขาเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาสะบัดหัวอย่างรวดเร็ว
อากาศด้านนอกบ้านต้นไม้นั้นสดใสและแสนอบอุ่น พื้นหญ้าและใบไม้มีสีเขียวชอุ่ม ในขณะหมู่ดอกไม้ที่บานสะพรั่งนั้นไม่เคยเหี่ยวเฉา
เมืองชายแดนเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับเขตชายแดนของป่าแบล็คลีฟ ที่แห่งนี้อยู่ในโซนเขตร้อนและใกล้กับทะเลทางใต้ ดังนั้นจึงมีลมทะเลพัดมาตลอดและอากาศไม่ได้ร้อนเกินไปนัก สภาพอากาศนั้นจึงคล้ายกับฤดูใบไม้ผลิตลอดทั้งปี ดังนั้นทิวทัศน์จึงไม่เคยเปลี่ยนแปลงและสวยงามราวกับภาพวาดอยู่เสมอ
เมืองนี้สร้างบนหน้าผาที่สูงอย่างน้อย 80 เมตร มีแม่น้ำสายแคบแต่ลึกไหลลงมาจากทะเลสาบของภูเขาผ่านใจกลางเมืองก่อนจะไหลลงหน้าผากลายเป็นน้ำตกซึ่งทำให้เกิดรุ้งกินน้ำตลอดเวลา ทำให้เมืองนี้ถูกเรียนขานว่า แม่น้ำสายรุ้ง
ในขณะเดียวกันหน้าผาสูง 80 เมตรนี่ก็เป็นราวกับปราการกั้นตามธรรมชาติของเมืองนี้ ซึ่งถือว่าเป็นข้อได้เปรียบที่ดีที่สุดของเมืองแห่งนี้ก็ว่าได้!
ถ้าหากไม่ได้หน้าผานี้ล่ะก็ การอยู่ระหว่างอาณาจักรเหล็กและอาณาจักรลาวาดำคงทำให้เมืองนี้ถูกรบกวนจากทั้งสองอาณาจักรบ่อยครั้งเป็นแน่
การอยู่ในฝ่ายสว่างไม่ได้แปลว่าพวกเขาเป็นคนดีและการที่อยู่ฝ่ายมืดไม่ได้หมายความว่าพวกเขาชั่วร้ายไปซะหมด… นั่นมันเป็นไปไม่ได้หรอก
ทุกอย่างมันก็วนกลับมาที่เรื่องของเผ่าพันธุ์และผลประโยชน์ นั่นแหละคือสาเหตุว่าทำไมถึงเกิดสงครามมากมายภายในอาณาจักรมนุษย์และในระหว่างเผ่าของพวกออร์คเช่นกัน
เมืองนี้ไม่ได้ถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขาหรือป่าทึบไปซะหมด หากพวกเขาเดินไปทางด้านทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตก ตรงไปยังขอบหน้าผา พื้นดินแถบนั้นถูกปกคลุมไปด้วยดินสีดำ
พื้นดินตรงนั้นเป็นที่สำหรับผลิตผลผลิตทางการเกษตรมากมาย ซึ่งมากพอที่จะผลิตอาหารให้แก่คนในเมือง
ทางตอนใต้ของเมืองคือป่าแบล็คลีฟที่ทอดยาวจากตะวันออกไปยังตะวันตก เมืองนี้ถูกตั้งอยู่ในพื้นที่เล็กและแคบข้างภูเขา เมื่อคุณข้ามภูเขาทางตอนใต้คุณจะสามารถมองเห็นมหาสมุทรที่ไม่มีที่สิ้นสุด
อย่างไรก็ตาม ลึกเข้าไปในป่าแบล็กลีฟนั้นเต็มไปด้วยอสูรเวทย์และอสูรป่าหลายเลเวลจำนวนนับไม่ถ้วน ยิ่งเข้าไปในป่าลึกเท่าไหร่อสูรเวทย์ที่พบก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น และอาจพบมังกรป่าหลายตัวอีกด้วย
ท้ายที่สุดแล้วเอลฟ์แบล็คลีฟก็ไม่ได้เป็นเผ่าพันธ์ุเดียวที่อาศัยอยู่ในป่าแบล็คลีฟ แต่ยังมีอีกหลายเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาอาศัยอยู่เช่นกัน
พวกครึ่งเอลฟ์และเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์ที่อาศัยในเมืองนั้นค่อนข้างมีความต้องการน้อยกว่าพวกมนุษย์ เนื่องจากพวกเขาไม่ชอบกินอาหารมากนักแต่มักจะชอบไปล่าสัตว์ในป่าแบล็คลีฟ แต่ละครั้งที่เข้าไปในป่าก็จะได้ผลไม้และเนื้อสัตว์มาด้วยความสามารถของตนเอง
ด้วยเหตุที่ว่าในภูเขาทางตอนใต้นั้นไม่ค่อยมีสัตว์เลเวลสูงให้ล่ามากนัก ตราบใดที่ไม่เสี่ยงตัวเข้าไปสำรวจทางด้านตะวันออกและตะวันตก การที่จะได้เจอกับอสูรป่าและอสูรเวทย์เลเวลสูงนั้นก็เป็นเรื่องยาก
เอลฟ์ในเกม Gods นั้นกินทั้งพืชและสัตว์ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะกินผักและผลไม้ด้วย แต่อาหารหลักของพวกเขาก็คือเนื้อ ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อพวกเอลฟ์ต้องการที่จะยืนที่จุดสูงสุดบนพีระมิดของสังคม แน่นอนว่าพวกเขาคงไม่มีทางที่จะมีพละกำลังมากพอจากการกินเพียงแค่อาหารมังสวิรัติ
วิลเลียมผู้หล่อเหลาสุดคูลกับหูทรงแหลมกำลังอยู่ในชุดคลุมสีม่วงเข้มเรียบหรูขณะที่เขากำลังเดินออกจากบ้านต้นไม้ หลังจากที่เขาเปิดการใช้งานหน้าต่างผู้เล่น อาการบาดเจ็บที่ขาของเขาก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เขาต้องยอมรับว่า การเป็นผู้เล่นนั้นยังคงเป็นความได้เปรียบอย่างมากในโลกแห่งนี้
ท้ายที่สุดแล้ว บาทหลวงในโลกแห่งนี้เองก็ไม่สามารถเพิ่มแต้มพลังชีวิตได้ตามใจชอบ พวกเขาทำได้เพียงรักษาอาการบาดเจ็บและใช้ความเชี่ยวชาญในการดำรงชีวิตอยู่
เพราะว่าบาทหลวงในเกมนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อซัพพอร์ตผู้เล่นซะทีเดียว และพวกเขายังเป็นพวกสุดยอดผู้เชี่ยวชาญที่พกกระบองห้อยลูกตุ้มหนามไปมาสำหรับจับวิญญาณที่ตายแล้ว พวกเขาทุกคนล้วนกำยำล่ำสันและถึกทนสุดยอดอีกด้วย
พวกเขาอาจจะร้องตะโกนถึงนักบุญของพวกเขาในขณะที่กำลังถือกระบองห้อยลูกตุ้มและวิ่งตรงไปเข้าไปในสนามรบด้วยซ้ำไป…
ไม่สำคัญว่าจะเป็น NPC หรือผู้เล่น การฟื้นฟูพลังชีวิตนั้นจำเป็นต้องใช้ทั้งสมรรถภาพร่างกายและการดื่มโพชั่น นักเวทย์ธาตุน้ำเองก็มีความสามารถคล้ายๆ กับบาทหลวงและสามารถใช้สกิลการรักษาได้ อย่างไรก็ตาม สกิลนั้นเพิ่มแค่ความเร็วในการรักษาบาดแผล แต่ผลลัพธ์นั้นไม่ต่างกัน
แต่นักเวทย์ยังไงก็เป็นนักเวทย์วันยังค่ำ และไม่ใช่อาชีพที่มีไว้เพียงเพื่อซัพพอร์ตผู้อื่นเท่านั้น
ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา ไม่ค่อยมีคนเล่นเป็นนักเวทย์มากนัก อาชีพนี้ถูกหลีกเลี่ยงราวกับว่ามันคือคริปตอน หากผู้เล่นต้องการที่จะพัฒนาตัวละครตัวนี้ พวกเขาต้องใช้โชคด้วยเพราะการหาเงินของพวกเขาขึ้นอยู่กับอาวุธจับปีศาจของพวกเขาเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น นักเวทย์ที่แข็งแกร่งก็เป็นที่นิยมอย่างมากตราบเท่าที่พวกเขายังว่างมาจับปีศาจ…
“ท่านลอร์ด ดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บของท่านจะหายดีแล้ว!” เมื่อเอลฟ์ทั้งสองที่ตรวจตราอยู่หน้าบ้านต้นไม้เห็นเขาเดินออกมา พวกเขาโค้งคำนับอย่างเคารพและนำมือไปทาบที่หน้าอก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ชอบวิลเลียมสักเท่าไหร่ แต่พวกเขาจะไม่ทำอะไรที่ไม่สุภาพต่อเขา
“ฉันดีขึ้นแล้ว การพัฒนาอาณาเขตเป็นอย่างไรบ้าง?” วิลเลียมมองไปยังนอร์ตันและน็อกซ์ เอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์แห่งตระกูลแบล็คลีฟทั้งสองคนนี้เป็นองครักษ์ประจำตัวของเขา
พวกเขาเป็นมืออาชีพระดับกลางที่อยู่ในเลเวล 40 ซึ่งแข็งแกร่งกว่าทหารปกติอย่างน้อย 10 เลเวล เนื่องจากพวกเขามีสายเลือดระดับมาสเตอร์และคุณสมบัติที่ค่อนข้างดี
แม้ว่าเขาจะอยู่เพียงเลเวล 8 แต่เขาก็สามารถห็นคุณสมบัติของทั้งสองคนได้เพียงแค่ปรายตามองเพราะทั้งสองคนเป็นทหารของเขา เขาสามารถดูค่าสถานะของใครก็ได้ตราบใดที่คนนั้นมีความภักดีต่อเขา แต่สำหรับคนอื่นนั้น เขาคงต้องใช้สัญชาตญาณส่วนตัวของเขา การเป็นทั้ง NPC และผู้เล่นทำให้วิลเลียมได้เปรียบที่สุดในการเอาชีวิตรอด
นอร์ตันและน็อกซ์จ้องมองลอร์ดของพวกเขาด้วยความประหลาดใจก่อนที่ทั้งสองจะส่ายศีรษะ “นับตั้งแต่ที่ท่านลอร์ดตัดสินใจจะสร้างเมืองขึ้นใหม่ มีหลายคนหนีออกไป ความคืบหน้าในการพัฒนาจึงไม่ได้ดีนัก”
“ท่านต้องการให้ผมไปเรียกผู้บริหารลอทเนอร์มารึเปล่าครับ? เขาเป็นผู้รับผิดชอบปัญหาภายในอาณาเขต”
“ฉันเพิ่งตระหนักได้ว่าเมืองนี้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่แล้วและยังไม่ถึงเวลาที่จะสร้างเมืองใหม่ เราควรจะจัดกิจกรรมล่าสัตว์และนำอสูรเวทย์บางส่วนไปขายในอาณาจักรมนุษย์ นี่น่าจะทำให้เราพอได้เหรียญทองมาบ้าง”
“ช่วยพาฉันไปหาท่านลุงลอทเนอร์ที”
“ไม่รู้ว่าทำไม ดูเหมือนว่าหัวของฉันจะได้รับการกระทบกระเทือนหลังจากที่ตกต้นไม้ ความทรงจำบางส่วนมันเลือนลางไปหมดและฉันก็จำทางไปบ้านลุงลอทเนอร์ไม่ได้อีกด้วย!” วิลเลียมแสดงพร้อมกับทำท่าทางจับศีรษะ
นอร์ตันพยักหน้าพลางคิดว่าหลังจากตกต้นไม้ในที่สุดหัวของท่านลอร์ดก็เริ่มจะทำงานเสียที!
เมืองนี้ไม่ได้ใหญ่มากนัก
จำนวนประชากรเพียง 3000 คน เมืองนี้จึงถือว่าเป็นเมืองที่ค่อนข้างเล็ก
ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในบ้านต้นไม้ที่สร้างจากต้นไม้ยักษ์ ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะนำไม้ไปสร้างบ้านไม้ การออกแบบนั้นเรียบง่ายและแข็งแรงพอสมควร
อีกอย่าง พวกเขาอาศัยอยู่ในเขตร้อน ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอากาศเย็น
นอกเหนือจากบ้านต้นไม้ของเขาที่ตระการตาแล้ว อาคารอื่นๆในเมืองก็ล้วนแต่เรียบง่าย
โดยเฉพาะตั้งแต่ที่ประชากรและทหารหลายคนนำสิ่งของต่างๆ ของพวกเขาติดตัวไปด้วยตอนที่เดินทางออกจากเมืองหลังจากที่พ่อของเขาหายตัวไป
“มีเรื่องที่ต้องทำอีกตั้งเป็นร้อยอย่าง! เมื่อไหร่ที่ฉันไปถึงเลเวล 10 แล้วล่ะก็ ฉันจะต้องรีบเปลี่ยนอาชีพของฉันให้เป็นผู้เล่นใหม่มืออาชีพ!” วิลเลียมเลือกที่จะเป็นมนุษย์ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาและยังเป็นถึงนักรบ อาชีพที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการพัฒนา
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถหาอาชีพพิเศษใดๆ ได้ในตอนเริ่มต้นของเกม แต่ในที่สุด ยังไงซะทุกๆ อย่างก็มีโอกาสอยู่เสมอ หลังจากพยายามอยู่สองสามปี ในที่สุดเขาก็ได้รับโอกาสและเปลี่ยนอาชีพของเขาสู่อาชีพพิเศษอาชีพหนึ่ง
ถ้าไม่อย่างนั้น การที่เขาจะกลายเป็นระดับรีเจนดารีนั้น เขาคงต้องใช้ความพยายามและอาศัยอุปกรณ์และคุณสมบัติของเขาในการทำภารกิจให้สำเร็จ
เขาคิดว่าตัวเขานั้นไม่ได้เรื่องเอาซะเลยในตอนเริ่มต้น ด้วยการที่เขามีแต้มความโชคดีแค่ 3 แต้มทั้งในชีวิตก่อนหน้านี้และชีวิตปัจจุบัน นี่มันยังไม่ใช่หลักฐานแห่งความไม่ได้เรื่องอีกหรอ?
นี่คือความต่อเนื่องของการเป็นพวกไม่ได้เรื่อง
ความต่อเนื่องของบางสิ่งบางอย่างที่แม้แต่ห้วงเวลาและสถานที่ก็ไม่สามารถเอาชนะได้ทำให้วิลเลียมรู้สึกซาบซึ้งจนแทบจะหลั่งน้ำตา…
หลังจากเดินไปเรื่อยๆ ราว 3 นาที ในที่สุดวิลเลียมก็ได้เจอกับท่านลุงลอทเนอร์ เขาเคยเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ส่วนตัวของแม่เขาและในตอนนี้เป็นผู้บริหารของเมืองแห่งนี้ และยังเป็นที่ปรึกษาชีวิตของเขาด้วย…
งานสายกายภาพทุกงานจำเป็นต้องมีการฝึกฝนพลังการต่อสู้
ก็เหมือนกับที่งานสายเวทย์ทั่วๆ ไปจำต้องต้องใช้พลังจิตและเวทมนต์
ตราบใดที่เขาเลเวล 10 เขาจะสามารถเรียนรู้พลังการต่อสู้หรือเวทมนต์ก็ได้ จากนั้นก็เลือกสายอาชีพที่เขาชอบ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้วิลเลียมทั้งแปลกใจและมีความสุขยิ่งขึ้นเกี่ยวกับหน้าต่างคุณสมบัติของลอทเนอร์นั้นคือการที่เขาไม่เคยคาดหวังว่าในอาณาเขตของเขาจะมีผู้ชำนาญการคนสำคัญอยู่ด้วย
ชื่อ: ลอทเนอร์
เผ่าพันธุ์: เอลฟ์แบล็คลีฟ
อาชีพ: นักล่าปีศาจ หน่วยลาดตระเวน
ระดับ: ผู้เชี่ยวชาญระดับกลาง
ศักยภาพของสายเลือด: อีปิก (เลเวล 52 คุณสมบัติพื้นฐาน +39.2%)
เลเวล: 52
ความสามารถติดตัว: ชีวิตระดับกลาง, 1 ความแข็งแรง = 40 แต้มชีวิต
ความสามารถติดตัว: ความรวดเร็วระดับกลาง แต้มความว่องไว 100 แต้มจะเพิ่ม 10% ของแต้มการโจมตีแบบคริติคอล, เพิ่ม 20% ของความรวดเร็วและการเทเลพอต
ความสามารถติดตัว: ดวงตาแห่งการสืบสวน ทำให้สามารถมองเห็นจุดอ่อนของศัตรูได้อย่างง่ายดาย เมื่อโจมตีที่จุดอ่อน แต้มการโจมตีแบบคริติคอลจะเพิ่มขึ้นถึง 20%!
ความสามารถติดตัว: …
พลังชีวิต: 15300
ความแข็งแรง: 3500
แต้มการต่อสู้: …
“อะไรคือความสามารถติดตัว…? นี่คือการได้รับพรสวรรค์ใช่มั้ย?!” วิลเลียมอดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพัมด้วยความเศร้าในใจ
จากนั้นเขาจึงพูดพร้อมกับดวงตาที่มีน้ำตาคลอ “ท่านลุงลอทเนอร์ ขอบคุณ!”
เขาแทบอยากจะเขาไปกอดลอทเนอร์แน่นๆ ระหว่างที่เขาพูด
เมื่อเห็นแบบนี้ลอทเนอร์ก็รู้สึกสงบและสบายใจอย่างประหลาด เขารู้มาจากเซียว่าวิลเลียม แบล็คลีฟคนปัจจุบันนั้นดูเหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ อย่างไรก็ตาม เขากลายเป็นคนที่สุภาพขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาจ้องวิลเลียมราวกับเขากำลังแสดงความเป็นกังวลและความใส่ใจให้กับเจ้าคนสมองกระทบกระเทือนพร้อมกับพูดขึ้นช้าๆ “ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นเรื่องที่ข้าควรจะทำอยู่แล้ว อีกอย่างท่านควรจะเรียกข้าว่า ท่านผู้บริหาร ไม่ใช่ท่านลุงลอทเนอร์”
วิลเลียมปาดหยดน้ำตาที่ไม่เคยมีออก แล้วมุ่ยปากอย่างดื้อดึง “ไม่ ผมทำไม่ได้ ท่านลุงลอทเนอร์จะเป็นลุงของผมตลอดไป ท่านลุงไม่ใช่แค่ผู้บริหาร แต่ยังเป็นอาจารย์ของผมอีกด้วย ถึงแม้ว่าผมจะสูญเสียความทรงจำส่วนใหญ่ไป ผมก็รู้ว่าท่านลุงคือคนที่ดีกับผมที่สุดในโลกนี้”
“เราไปดูการพัฒนาของอาณาเขตกันเลยเถอะ ถ้าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป อาณาเขตที่พ่อของท่านทิ้งไว้ให้ท่านอาจจะหายไปบนแผ่นดินนี้!” ลอทเนอร์รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่เขาก็รู้สึกมีความสุขและพึงพอใจอย่างมาก เด็กคนที่เขาคอยดูตั้งแต่เล็กในที่สุดก็รู้จักเคารพเขาสักที
ดูเหมือนว่าการที่หัวของวิลเลียมได้รับการกระทบกระเทือนจะเป็นเรื่องที่ดี
“อย่างไงก็เถอะ ท่านจับต้นแขนของข้าทำไม?” ลอทเนอร์ไม่รู้ว่าเขาควรจะพูดอะไร เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าวิลเลียมนั้นถูกเติมเต็มด้วยความชื่นชมอย่างสุดจะพรรณนาที่มีต่อลอทเนอร์หลังจากที่รู้ว่าเขามีสายเลือดระดับอีปิกและสัมผัสความแข็งแกร่งที่ได้จากกล้ามแขนของเขา?
ขณะที่ทั้งคู่เดินไปรอบๆ เมือง เหล่าชาวไร่ชาวนาที่เห็นพวกเขาก็ต่างทักทายเขาอย่างสุภาพ
หากถามว่าจริงๆ แล้วพวกเขาคิดอย่างไรเกี่ยวกับวิลเลี่ยมนั้น เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ได้เลย
Gods คือเกมๆ หนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ส่วนที่ดีเยี่ยมจากนักคิดของเกมนี้นั่นคือการที่ NPC ทุกคนนั้นมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง พวกเขาทุกคนมีรหัสความคิดเป็นของตัวเอง ทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเองและแม้แต่มีอุดมการณ์และครอบครัวเป็นของตัวเอง
และนั่นเป็นเหตุผลที่มันไม่ควรจะทึกทักเอาเองว่าวิลเลียมจะชอบตำแหน่งลอร์ดของเขาหลังจากที่เขาได้รับสืบทอดมัน และก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะไม่ใส่ใจและจงรักภักดีกับเขาเสียหน่อย
ท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนก็มีความปราดเปรื่องในทางของพวกเขาและก็เป็นเรื่องไม่ง่ายเลยในการที่จะต่อรองกับพวกเขา
แม้แต่ลูกเล็กเด็กแดงจากครอบครัว NPC ทั่วไปก็ยังสู้กันเองเพื่อแย่งชิงอาหารและของเล่น
ในตอนต้นของเกม ผู้เล่นหลายคนจะยังคงอยู่ในอาณาจักรไม่ไปไหนและเมื่อพวกเจ้าชายต่อสู้เพื่อช่วงชิงราชบัลลังค์ พวกเขาก็อาจจะปล่อยภารกิจหลักออกมา
เขายังคงจำได้ว่าหนึ่งในภารกิจหลักในทวีปรีเจนดารีเวอร์ชั่น 1.0 นั้นเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างอาณาจักรเหล็กและอาณาจักรลาวาดำ เหตุผลของการต่อสู้ครั้งนั้นเป็นเพราะราชาของอาณาจักรลาวาดำได้สวรรคตลงและพวกเจ้าชายก็ต่างต่อสู้กันเพื่อชิงมงกุฎ ซึ่งนำไปสู่การรุกรานพระราชวังโดยอาณาจักรเหล็ก และที่สุดก็ลงเอยด้วยสงครามที่ยาวนานถึงหนึ่งปี
หลายสิ่งหลายอย่างนั้นไม่ลงรอยกันอยู่ และหากพวกเขาไม่ระมัดระวัง มันเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับผู้เล่นที่จะถูกปล่อยให้ตาย
แต่ถึงอย่างนั้น ผู้เล่นสามารถฟื้นคืนชีพได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยกลัว! มีวิธีตั้งมากมายในการทำสิ่งต่างๆ และการตายก็เป็นแค่หนึ่งในนั้น! นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้เล่นหลายคนจึงเลือกเส้นทางนี้ มันเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้เล่นที่จะมุทะลุเข้าไปทิ้งชีวิต
ในเมื่อมันคือเกม แน่นอนว่าจะต้องมีการฆ่ามอนสเตอร์ อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วมอนสเตอร์จะให้เพียงส่วนประกอบ ไม่เคยมีบอสตนไหนที่ให้อุปกรณ์หรือชุดเกราะเลย
หลังจากที่ผู้เล่นฆ่าอสูรหรือมอนสเตอร์ พวกเขาสามารถเก็บฟัน, เขี้ยว, อวัยวะ, หรือส่วนอื่นๆ จากพวกอสูรหรือมอนสเตอร์ได้ จากของที่เก็บมา พวกเขาสามารถเลือกที่จะขายชิ้นส่วนเหล่านั้นหรือใช้สร้างอุปกรณ์สำหรับพวกเขา
ตอนที่เกมนี้ยังคงอยู่ในเวอร์ชั่นเบต้า ยังไม่มีผู้เล่นมากเท่าไหร่นัก ในระหว่างเวอร์ชั่นแรก มีผู้เล่นเพียงแค่ไม่กี่แสนคนเท่านั้นในประเทศจีนและตัวเกมก็โยนพวกเขาทั้งหมดไปอยู่ในอาณาเขตของอาณาจักรเหล็กและอาณาจักรลาวาดำอย่างไม่มีเหตุผล
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เล่นจำนวนไม่น้อยก็ถูกโยนไปที่เมืองที่อยู่ในชายแดนข้างๆ สองอาณาจักรนี้
อย่างไรก็ตาม เวอร์ชั่นแรกนั้นออกมาแค่เพียงปีเดียว ปีเดียวในที่นี้คือเวลาในเกม ในโลกแห่งความจริงนั้นเป็นแค่สามเดือน
วิลเลียมคนในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาดูเหมือนจะดึงตัวเองออกมาไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามระหว่างสองอาณาจักรนี้และต้องการผลประโยชน์บางอย่างจากมัน ถึงกระนั้น มันก็เป็นเรื่องที่เห็นๆ กันอยู่ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย จากการที่เขาถูกหยุดยั้งและถูกโจมตีด้วยอำนาจจากทุกๆด้านโดยอาณาจักรเหล็กภายในช่วงเวลาหกเดือนและจบที่หัวของเขาถูกแขวนไว้ข้างน้ำตก…
ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา ผู้เล่นบางคนที่ผ่านไปมาก็จะยกย่องชื่นชมกระโหลกศีรษะของ ‘ท่านลอร์ด’ ผู้กล้าหาญจากไกลๆ
ถึงแม้ว่าเขาจะมีเอลฟ์ผู้พิทักษ์สายเลือดบริสุทธิ์มากมายพร้อมทั้งสายเลือดระดับสูง และมีนักล่าปีศาจจากหน่วยลาดตระเวนผู้มาพร้อมกับสายเลือดระดับอีปิกอย่างลอทเนอร์ เขาก็ยังคงไม่ใช่คู่แข่งสำหรับอาณาจักรพวกนั้น
“ฉะนั้นก็สร้างกำแพงสูงๆ, สะสมอาหาร, และกลายเป็นราชาอย่างช้าๆ!” วิลเลียม แบล็คลีฟถอนหายใจในขณะที่ชายตามองไปยังบ้านเรือนที่สูงแต่คดงอและแตกหักในอาณาเขตของเขา
“ท่านลอร์ดพูดว่าอะไรนะ?” ลอทเนอร์เกาหูราวกับว่าเขาได้ยินวิลเลียมไม่ชัด
“มันไม่มีอะไรหรอก เราเหลือธัญพืชและเหรียญทองอีกเท่าไหร่หรอ?” มุมปากทั้งสองของวิลเลียมยกขึ้นขณะที่เขาเริ่มเปลี่ยนเรื่องคุย
“เรายังคงมีธัญพืชเหลือประมาณสามหมื่นกิโลกรัม จากทั้งหมดเรามีข้าวและมอลต์เยอะที่สุด เรามีเนื้อเค็มอีกพอประมาณทีเดียว ประมาณหนึ่งหมื่นสองพันกิโลเต็มๆ สำหรับทอง… เรามีทองด้วยงั้นหรือ?” ลอทเนอร์พูดพร้อมกับเริ่มเดินเข้าไปในวงเวียน
วิลเลียม แบล็กลีฟนั้นกำลังตกใจอย่างแรง “อย่างน้อยนี่ก็เป็นเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง! แม้แต่ห้องนิรภัยสักห้องก็ไม่มีเลยหรอ?”
ลอทเนอร์พยักอย่างอึกอัก “ใช่แล้ว เราไม่มีห้องนิรภัยด้วยเหตุผลที่ว่ารายรับของเมืองนั้นยังไม่ได้สูงมากนัก ตอนที่พ่อของท่านลอร์ดยังดำรงตำแหน่งอยู่ ตอนนั้นยังคงมีเหมืองเหล็กสำหรับให้คนของเราเข้าไปขุดได้”
“แต่ว่าตอนนี้เหมืองเหล็กอันนั้นร้างแล้ว และเราก็ยังคงไม่สามารถหารายรับจากแหล่งอื่นได้ เราอาศัยเนื้อจำนวนเล็กน้อยที่นักล่ามอบให้ รวมถึงภาษีที่มนุษย์จ่ายให้จากการทำงานฟาร์มของพวกเขา มันก็ดีมากพอแล้วที่การเงินของเราไม่ติดลบ!”
มุมปากของวิลเลียมกระตุก เขาอยากจะถามเหลือเกินว่าที่ผ่านมาก่อนหน้านี้พวกเขาได้ลองหารายรับแหล่งอื่นบ้างหรือยัง
เขาจำได้เพียงเรือนลางถึงเหตุผลที่อาณาจักรเหล็กและอาณาจักรลาวาดำบุกโจมตีเมืองชายแดนว่าไม่ใช่แค่เพราะพวกเขาอยากจะกำจัดมัน แต่เป็นเพราะที่เมืองชายแดนนั้นมีทรัพยากรดิบหายากมากมายที่สามารถหาได้ในป่าแบล็คลีฟทางตอนใต้ของเมืองมากกว่า!
นั่นก็หมายความว่า ในป่าแห่งนี้ทางตอนใต้ของเมืองชายแดนจะต้องมีเหมืองยักษ์สักแห่งอยู่!
หนึ่งในทรัพยากรที่สำคัญที่สุดคือ แร่มิทริล ที่พบในช่วงก่อน!
เขาคิดไปถึงว่าอาจเพราะสิ่งนี้ที่เป็นผลทำให้เมืองชายแดนถูกเพ่งเล็งจะกำจัดให้ราบ
“เอาเป็นว่า อย่าคิดมากไปเลยท่านลุงลอทเนอร์ ท่านลุงพอจะมีเวลามั้ย? เราไปล่าสัตว์ในภูเขาและผ่อนคลายกันดีกว่า” วิลเลียมรู้ตำแหน่งของหนึ่งในเหมืองทั้งหลาย มันไม่ไกลมากนัก แต่เขาก็พูดไปตรงๆ ไม่ได้อีก ดังนั้นเราคงได้แค่ใช้การล่าสัตว์เป็นเหตุผลเพื่อดึงลอทเนอร์ไปที่นั่น
สำหรับแร่มิทริลนั้น มันยังไม่ใช่เวลา…
เขาต้องบอกว่า
ตั้งแต่เขามีหน้าต่างสถานะและสามารถมองเห็นระดับความจงรักภักดีของคนอื่นต่อเขาได้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องให้แม่ของเขามากังวลเกี่ยวกับเรื่องความสมัครใจของคนขุดแร่อีกต่อไป
“ก็ดีเหมือนกัน เห็นว่าท่านลอร์ดนอนอยู่แต่บนเตียงตั้งหลายวันนี่ ได้เวลาไปฝึกฝนฝีมือตัวเองแล้ว งั้นกลับไปเตรียมอุปกรณ์ของท่าน, คันธนู และลูกธนูมาให้พร้อม แล้วก็น่าจะดีกว่าถ้าท่านลอร์ดสวมเกราะชั้นในที่แม่ของท่านทิ้งไว้ให้ เผื่อไว้สำหรับอุบัติเหตุ” ลอทเนอร์ไม่ได้คิดอะไรมากนัก เพราะวิลเลียมคนก่อนก็ชอบล่าสัตว์ โดยเฉพาะพวกเหยื่อที่ไม่มีความพิเศษอะไรและธรรมดา…
“ฮึ่ม เป็นความคิดที่ดี มีวิธีที่ทำให้ตายเป็นล้านๆวิธี ดังนั้นปลอดภัยไว้ก่อนน่าจะสำคัญที่สุด” วิลเลียมกลับไปยังบ้านต้นไม้ของเขา และค้นในตู้เสื้อผ้าของเขา ในที่สุดเขาก็เจออุปกรณ์ของเขาในกล่องใบหนึ่ง
ในนั้นมีดาบสีขาวธรรมดาเล่มหนึ่ง
และคันธนูที่ยังคงเป็นสีขาวแบบธรรมดาอีกหนึ่งคัน
คุณสมบัติของอุปกรณ์นั้นแย่มาก และการใช้พวกมันก็ไม่ต่างอะไรกับการไม่ได้ใช้ นอกจากนั้น เพราะวิลเลียมเองก็ยังไม่ได้เปลี่ยนอาชีพของเขา เขาจึงไม่สามารถใช้อะไรที่มันดีเกินไปได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เกราะชั้นในนั้นดีเยี่ยม
วิลเลียมอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน
มันเป็นเกราะชั้นในอันนุ่มทำมาจากมิทริลที่มีรากของต้นไม้แห่งชีวิตปกคลุมไว้ โดยมีแสงสีเงินและสีทองส่องประกายเล็กๆออกมา แม้จะไม่มองหน้าต่างคุณสมบัติของมัน วิลเลียมก็รู้ได้ทันทีว่านี่เป็นของล้ำค่า
พรแห่งความรัก
คุณภาพ: อีปิก
ระดับตำแหน่ง: ไม่มี
ประเภท: อุปกรณ์ป้องกันอย่างหนึ่งที่สามารถเจริญเติบโตได้
ส่วนประกอบ: มิทริล,ใบไม้จากต้นเวิลด์หนึ่งใบ, ผงทอง และอื่นๆ อีกมากมาย
ผู้สร้าง: อลิซ แบล็คลีฟ
พลังชีวิต: +300
ความแข็งแกร่ง (สเตมินา): +100
ค่าพลังโจมตี: +6
ค่าความแข็งแรงทางกายภาพ: +10
ค่าความว่องไว: +8
ค่าสติปัญญา: +5
ความทนทาน: 450/450
น้ำหนัก: 0.3 กิโลกรัม
การป้องกัน: ภายในพื้นที่ที่ป้องกันโดยชุดเกราะชั้นใน ค่าการถูกโจมตีจะลดลง 100 แต้ม มันจะไม่สามารถทำอันตรายแก่ชุดเกราะชั้นในและผู้ใช้ได้ หากใช้งานเป็นเวลานานเกินไป อาจมีผลกระทบต่อความเสียหายและความทนทานจะลดลง
การป้องกันธาตุ: การโจมตีโดยธาตุใดๆ จะถูกลดลงโดย 10%
พรแห่งความรัก (แฝง): เมื่อพลังชีวิตของผู้ใช้ต่ำกว่า 10% ผู้ใช้จะได้รับ[พรแห่งความรัก] และได้รับแต้มพลังชีวิตคืนทันที 50% ระยะเวลาคูลดาวน์คือสามชั่วโมง
ข้อจำเป็นในการใช้: วิลเลียม แบล็คลีฟ
ข้อจำเป็นในการใช้: ค่าพละกำลัง 20 แต้ม
ข้อจำเป็นในการเจริญเติบโต: ใส่มิทริลหนึ่งกิโลกรัมในชุดเกราะชั้นในอันนี้ จากนั้นมันจะดูดซึมและเจริญเติบโตโดยอัตโนมัติ
ข้อมูล: นี่คือเกราะชั้นในที่แม่ทำขึ้นเพื่อลูกของเธอเป็นการส่วนตัว สิ่งนี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงความรักของแม่ที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังมีพรที่อบอุ่นของแม่ที่จะโอบกอดชุดเกราะนี้อีกด้วย
วิลเลียม แบล็คลีฟนั่งอยู่บนพื้นด้วยความงุนงง มือของเขาจับชุดกราะชั้นในไว้แน่น จู่ๆ เขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับชุดเกราะชั้นในขึ้นมา
เป็นตอนนั้นเองที่เขาตระหนักได้ว่า
แม่ของเขาในโลกนี้ใส่ใจเขามากแค่ไหน
สำหรับวิลเลียมคนก่อนที่จากไปแล้วนั้นในระหว่างสงครามเขามั่นใจได้เลยว่าเขานำสงครามเหล่านั้นมาใส่ตัวเอง เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนั้นถึงต่อให้ฟ้าจะถล่มแม่คนนี้ที่ชื่ออลิซ แบล็คลีฟก็จะมาช่วยเขาอย่างแน่นอน
“ความรักของแม่เป็นสิ่งที่ดี ถ้าฉันมีโอกาส…” วิลเลียมส่ายหัว ตอนนี้เขายังคงอ่อนแอ ดังนั้นจึงไม่ควรคิดอะไรมากเกินไป การมีชีวิตอยู่จนถึงตอนจบคือกุญแจหลักที่ต้องทำ
ทหารเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์ที่หล่อเหลาและเยือกเย็นทั้ง 500 ตนเหล่านี้คือรากฐานและไพ่ใบสุดท้ายของเขา
ในหมู่พวกเขา 100 คนเป็นหน่วยลาดตระเวนเอลฟ์, นักรบเอลฟ์, อัศวินเอลฟ์, นักล่าเอลฟ์, และนักดาบเวทย์เอลฟ์ นอกเหนือจากนี้ยังมีนักเวทย์อีก 10 คน เซียที่มาเยี่ยมเขาคนแรกก็เป็นหนึ่งในนักเวทย์เบื้องต้น
ในบรรดาทหาร 500 คนนี้ นักดาบเวทย์เอลฟ์ถือว่าแข็งแกร่งที่สุด พวกเขาทั้งหมดเกือบเป็นถึงนักรบระดับกลาง ระดับของพวกเขานั้นต่ำกว่าน็อกซ์และนอร์ตันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
วิลเลียมรู้ว่าจะใช้คนเหล่านี้ยังไง
“เนื่องจากเรากำลังจะไปล่าสัตว์จึงต้องเข้าป่าแบล็คลีฟ ดังนั้นไปทำอย่างอื่นด้วยเถอะ ”
วิลเลียม แบล็คลีฟเดินออกไปและพูดกับน็อกซ์ที่ยืนตรงประตูว่า “น็อกซ์นำทหาร 300 คนไปค้นหากลุ่มอสูรป่าใกล้เมืองและกำจัดที่เป็นอันตรายซะ!”
ตอนนี้เขากำลังสวมชุดเกราะหนัง มีดาบยาวแขวนตรงเอว ในขณะที่ถือธนูไม้ที่ไม่ได้มีคุณภาพสูงเท่าใดนัก แน่นอนว่าอุปกรณ์ของเอลฟ์นั้นสวยงามและน่าดึงดูด โดยทั่วไปอุปกรณ์ที่มีคุณภาพเพียงนิดก็จะมีคุณสมบัติเพิ่มเติมบางอย่าง…
ตัวอย่างเช่น…
เสน่ห์…
ดูเหมือนว่ามีเพียงเอลฟ์และผู้ที่มีปีกเท่านั้นที่จะเพิ่มสเน่ห์ในระดับต่างๆลงในอุปกรณ์ได้ โดยเฉพาะเอลฟ์ที่สามารถเพิ่มเสน่ห์ระดับใดก็ได้ลงในอุปกรณ์ของพวกเขา
“ได้ครับท่านลอร์ด” น็อกซ์พยักหน้าตอบและรีบตรงไปยังค่ายทหาร
เมื่อวิลเลียมพบกับลอทเนอร์มีทหารเอลฟ์ประมาณสามร้อยคนอยู่ตรงหน้าเช่นกัน
ในกลุ่มคนเหล่านี้มีนักรบอยู่ 100 คน, หน่วยลาดตระเวน 50 คน, นักธนู 50 คน, และ 100 คนเป็นนักดาบเวทย์ อัศวินไม่จำเป็นในส่วนนี้ นี่ไม่ใช่แผ่นดินใหญ่และอัศวินไม่สามารถใช้ความสามารถทั้งหมดของพวกเขาได้เมื่อเข้าไปในป่าแบล็คลีฟ
การเล่นเกมจำเป็นต้องมีพื้นฐานการใช้ชีวิตด้วย
การขี่และการต่อสู้ก็เช่นกัน แต่พวกเขาต้องการอสูรเวทย์ที่แข็งแกร่งและว่องไว ไม่ใช่ม้าธรรมดาทั่วไป
“ท่านลอร์ด ท่านบอกว่าจะไปล่าสัตว์ แต่ทำไมดูเหมือนว่าท่านกำลังจะไปทำสงคราม…” ลอทเนอร์วางมือบนหน้าผาก รู้สึกสับสนเล็กน้อยเมื่อมองไปยังทหารที่มีอุปกรณ์ครบครัน
วิลเลียมส่ายหัวแล้วหันไปมองทหารเอลฟ์ที่เข้าแถวเรียบร้อยแทน เขาอดไม่ได้ที่รู้สึกภาคภูมิใจ พวกเขาเป็นนักรบเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่เลเวลเท่าไหร่ พวกเขาก็มีระเบียบทหารที่เหมือนกัน
นั่นเป็นสาเหตุที่เขาหายใจเข้าลึกๆและไม่สนใจความสับสนของชาวนาเมื่อพวกเขาเดินผ่าน เขาตะโกนอย่างเชื่องช้า “เหล่าทหาร เราคือผู้นำของพวกท่าน วิลเลียม แบล็คลีฟ”
“บางทีพวกท่านอาจจะไม่อยากติดตามเรา!”
“แต่เรารู้ว่าท่านคือนักรบที่เก่งและมีความสามารถมากที่สุด!”
“ในตอนแรกที่เราเข้ามาที่นี่ครั้งแรก เราอาจจะเริ่มความประทับใจแรกได้ไม่ดีนัก แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เราหยุดพักผ่อนและได้มีโอกาสคิดทบทวนตัวเองอย่างลึกซึ้ง!”
“เรารู้ว่าเราได้ทำผิดพลาดไปหลายอย่าง”
“และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เราตัดสินใจจะเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอาณาเขตนี้อย่างจริงจัง”
คำพูดของเขานั้นช่างซาบซึ้งกินใจอย่างมาก และทำให้ผู้คนหลายๆ คนถึงกับอ้าปากหวอด้วยความกว้างขนาดที่สามารถยัดไส้กรอกเข้าไปทั้งแท่งได้…
อย่างไรก็ตาม วิลเลียมไม่สนใจ เขาเป็น NPC ระดับรีเจนดารี ดังนั้นสถิติการป้องกันของเขาจึงสูงมากพอที่จะทำให้เขาแข็งแกร่งกว่า!
เขาหยุดสักครู่ก่อนจะเริ่มพูดต่อ “ถ้าเราต้องการพัฒนาเมือง เราไม่สามารถลืมเรื่องเงินไปได้ เรารู้ว่าตอนนี้ดินแดนของเราไม่ได้มีรายได้มากนักแต่เราเชื่อว่าสมบัติจะอยู่ในป่าตรงหน้าเรา เหล่าทหารกล้าโปรดตามเรามา เหยียบย่ำขวากหนามและความยากลำบากอย่างกล้าหาญเพื่อดินแดนของเรา!”
“ครับ ท่านลอร์ด!” เหล่าทหารทั้ง 300 คนตะโกนอย่างพร้อมเพรียง พลังของพวกเขาแข็งแกร่งและกล้าหาญ ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะทำอย่างจริงใจหรือไม่ มันก็ดูน่าเกรงขาม ท้ายที่สุดแล้วการติดตามผู้นำของพวกเขาก็เป็นสิ่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องทำ
วิลเลียมพยักหน้าพลางยกมือเพื่อดึงดาบก่อนจะชี้มันไปยังทางใต้ “ตามเรามา!”
“รับทราบ!”
ลอทเนอร์จ้องไปยังวิลเลียม แบล็คลีฟ มีความรู้สึกว่าเด็กคนนี้เหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนอื่น เขาเคยหัวเราะอย่างโง่เง่าแต่ตอนนี้เขากลับกลายเป็นคนที่ฉลาดเฉลียว
อย่างไรก็ตามวิลเลียมไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้เกินไป ที่เขาทำเป็นเพียงการกระตุ้นความภักดีและความกล้าหาญของเหล่าทหาร เขาต้องการให้พวกเขามีความจงรักภักดีให้มากกว่านี้และไม่เป็นไรที่จะทำมันอย่างช้าๆ
เดิมทีทหารในอาณาเขตล้วนเป็นครึ่งเอลฟ์และมนุษย์
อย่างไรก็ตามหลังจากที่พ่อของเขาหายตัวไป กลุ่มคนเหล่านั้นก็หายตัวไปอย่างรวดเร็วและเกือบจะทำให้เขาล้มละลายจากทรัพย์สินที่ถูกเอาไป
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมีทหารเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์เพียง 500 คนเท่านั้น นี่ยังไม่ถึงเวลาพัฒนากองกำลังทหาร เขาไม่สามารถทำได้เมื่อไม่มีเงินหรืออาหารแม้ว่าเขาจะขายตัวเอง
พวกเขามุ่งหน้าไปทางทิศใต้ซึ่งห่างจากเมืองแปดกิโลเมตร ในที่สุดก็มาถึงชายป่าแบล็คลีฟ
นักรบเอลฟ์ 300 ตนถือเป็นกำลังทหารที่แข็งแกร่ง อย่างน้อยก็ในมุมที่ห่างไกลของโลกใบนี้
สำหรับขุนนางตำแหน่งเล็กๆในเมืองมนุษย์ กองกำลังทหารยี่สิบกว่าคนก็ถือว่าดีมากแล้ว
เมื่อพวกเขาเข้าไปในป่าท้องฟ้าก็มืดลง
วิลเลียมเดินอยู่ด้านหน้าของกลุ่ม ส่วนลอทเนอร์ติดตามอย่างใกล้ชิดอยู่ข้างหลังเขา ช่วยนำทางและชี้แนะว่าถ้าพวกเขายังเดินตรงไปจะเจอกับเผ่าออร์คที่อยู่ใกล้กับพวกเขามากที่สุดและก็เป็นภัยคุมคามมากที่สุดเช่นกัน
ทหารเอลฟ์ทั้ง 300 ตน แบ่งเป็นหน่วยลาดตระเวน 50 ตนกระจายไปรอบๆ พวกเขาเป็นทหารพรานที่ดีที่สุด พวกเขาสามารถโหนจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่งได้ราวกับลิง ไปพร้อมๆ กับที่คอยสังเกตการณ์พื้นที่รอบๆ กลุ่มในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ในขณะเดียวกันนั้นนักลาดตระเวนเหล่านั้นก็เป็นนักธนูที่น่าทึ่ง
นักล่าเอลฟ์ก็กระจายตัวออกไปเช่นกัน พวกเขาแบ่งออกเป็นกลุ่มละสิบคน แต่ละคนถือคันธนู ลูกธนู และมีดสั้น ในขณะที่คนอื่นๆถือตาข่ายขนาดใหญ่ที่แข็งแรง ทั้งหมดนี่ล้วนเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ล่าสัตว์
พวกเขาสามารถสร้างกับดักได้ นอกเหนือจากไอเทมพิเศษ ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะใช้สิ่งที่สามารถหาได้รอบตัวมาทำเป็นเครื่องมือ แต่ท้ายที่สุดมันก็เป็นเรื่องยากสำหรับ NPC ที่จะมีคลังอุปกรณ์
สำหรับนักรบเอลฟ์และนักดาบเวทย์เอลฟ์แล้วนั้น ครึ่งหนึ่งแข็งแกร่งด้วยศักยภาพทางร่างกาย ในขณะที่อีกครึ่งแข็งแกร่งทางด้านความรวดเร็ว
นักรบเอลฟ์มักจะถือดาบโค้งหรือโล่มือขณะแสดงบทบาทนักรบเกราะ
ส่วนเอลฟ์นักดาบเวทย์ถือดาบยาวซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะถือดาบเดี่ยวหรือดาบคู่ พวกเขาสามารถเลือกใช้หอกได้เช่นกันเพราะนี่เป็นอาชีพที่พิเศษมากสำหรับพวกเขา
นอกจากนี้นักดาบเวทย์ยังมีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งและอย่างอื่นอีกมากมาย จากทักษะของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นการโจมตีระยะไกลหรือใกล้ก็สามารถแสดงถึงทักษะดาบที่แข็งแกร่ง
ผ่านไปเพียงช่วงเวลาสั้นๆก่อนที่นักลาดตระเวนเอลฟ์จะแจ้งว่ามีเผ่าออร์คกลุ่มเล็กๆอยู่ข้างหน้าอีก 800 เมตร
ออร์ค, เดดโซล, และปีศาจถือเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายมืด
มนุษย์, เอลฟ์, และผู้มีปีกเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายสว่าง อย่างไรก็ตามเผ่าพันธุ์ทั้งสามไม่ค่อยมีการติดต่อหรือสื่อสารกัน
ส่วนครึ่งเอลฟ์, โนมส์, และคนแคระนั้น พวกเขาเป็นฝ่ายกลาง
อย่างไรก็ตามการถูกเรียกว่าฝ่ายกลางเป็นเพียงวาระเท่านั้น พวกเขาไม่ค่อยเข้าร่วมในสงครามของทั้งสองฝ่ายเพราะพวกเขาชอบที่จะใช้ประโยชน์จากสถานะการณ์และดึงผลประโยชน์มาสู่ตนเอง หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้ผลประโยชน์ที่ดีกว่าพวกเขาก็จะเอนไปหาทางฝ่ายนั้น
นอกจากนี้ลอร์ดเจ้าเมืองที่เป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายกลางจะรีบรุดไปที่ไหนก็ตามที่มีผลประโยชน์ ดังนั้นการบอกว่าพวกเขาไม่มีความสัมพันธ์กับฝ่ายอื่นๆเลยเป็นการพูดที่ดูดีกว่า
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจตอนนี้คือวิลเลียมกระตุ้นให้เกิดภารกิจได้
[ภารกิจ : วิกฤตการณ์ใกล้ดินแดน]
[ในฐานะลอร์ดฝ่ายกลางของเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง ถ้าคุณต้องการพัฒนาอาณาเขต คุณต้องป้องกันพลเมืองของคุณให้ปลอดภัยเป็นอันดับแรก เมื่อคุณนำความปลอดภัยมาสู่พวกเขาได้คุณก็จะได้รับความภักดี ถ้าคุณต้องการพัฒนาต่อไป คุณจะต้องลดอันตรายใดๆ ก็ตามภายในระยะสามสิบกิโลเมตรด้วยการกำจัดหรือจับตัวพวกมันเข้ามา]
[เลเวล : A-]
[อันดับแรก : ค้นพบเผ่าออร์คโดยบังเอิญ ออร์คที่มีความรุนแรงและกระหายเลือดจะไม่เป็นมิตรต่อคุณ ดังนั้นสังหารพวกผู้ชายและแยกตัวพวกผู้หญิงไว้!]
[รางวัล : ค่าประสบการณ์ 5000 หน่วย]
[รางวัล : ข่าวสารเกี่ยวกับเหมือง]
วิลเลียมมองไปยังการแนะนำภารกิจ มุมปากเขากระตุกเล็กน้อย ระบบเกมยังคงขี้เล่นเหมือนเดิม อย่างไรก็ตามวิลเลียมยังคงรู้สึกประทับใจอย่างยิ่งเพราะเขาไม่คิดว่าจะได้รับภารกิจจริงๆ และมันยังเป็นภารกิจระดับ A-! ถ้าเขาทำมันสำเร็จทั้งหมด ค่าประสบการณ์ที่ได้รับคงท่วมท้นเป็นแน่
ในตอนนี้สิ่งที่เขาเคยคาดการณ์ไว้ได้กลายเป็นจริงแล้ว มันน่าตื่นเต้นจริงๆ
ดังนั้นในกรณีนี้…
เขาไม่จำเป็นต้องหายใจทิ้งไปวันๆ อีกต่อไป หลังจากที่เข้านอนเร็วขึ้นและตื่นเช้าขึ้น สภาพร่างกายก็ดูเหมือนจะดีขึ้นเช่นกัน
เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้น “เผ่าออร์คเคยลอบโจมตีพวกเราครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่เราเข้าปกครองเมือง เป็นเพราะเรื่องนี้เลยทำให้ชาวนาอพยพออกไปจำนวนมาก”
“อีกอย่าง ออร์คสกปรกและหัวรุนแรงเหล่านี้จะเป็นศัตรูของพวกเราตลอดไป! พวกเราต้องกำจัดพวกมันให้หมดตอนนี้เลย!”
“เผ่าออร์คกลุ่มนี้มีจำนวนเท่าไหร่?”
“มีออร์คมากกว่า 700 ตน เป็นนักรบ 180 ตน จากการสังเกตไม่มีออร์คตนอื่นๆออกไปล่าสัตว์ ดังนั้นพวกมันส่วนใหญ่น่าจะอยู่ในหมู่บ้าน พวกมันมียามน้อยมาก หากเราสามารถคว้าโอกาสนี้ได้เราก็จะสามารถกำจัดทหารเหล่านั้นอย่างเงียบๆ ได้อย่างรวดเร็วที่สุด” เอลฟ์หน่วยลาดตระเวนกล่าวด้วยความโกรธแค้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความมั่นใจในตัวเองมาก
ทำไมเหล่าเอลฟ์หน่วยลาดตระเวนถึงได้มั่นใจในทักษะของตนเองน่ะเหรอ? เพราะว่าพวกเขาแข็งแกร่งจริงๆน่ะสิ
พลังทางทหารของเผ่าพันธุ์ต่างๆในโลกเป็นเช่นนี้ ในระดับเดียวกัน เอลฟ์ 1 ตน = ปีศาจ 1 ตน = ครึ่งเอลฟ์ 1.5 ตน = ผู้มีปีก 1 ตน = มนุษย์ 2 คน = คนแคระ 2 ตน = ออร์ค 4 ตน
สำหรับพวกโนมส์นั้น ถ้าในระดับเดียวกันเอลฟ์ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธก็สามารถจัดการโนมส์ได้มากกว่าสิบในเวลาเดียวกัน
นอกจากนี้ยังมีเหล่าเงือกตัวเล็กอยู่ทั่วโลก เอลฟ์หนึ่งตนในเลเวลเดียวกันควรสามารถจัดการพวกเขาได้มากกว่าหนึ่งร้อย…
หากออร์คไม่ได้เป็นพันธมิตรกับปีศาจที่แข็งแกร่ง นอกเหนือจากทักษะการขยายพันธุ์ที่บ้าคลั่งแล้ว พวกมันคงจะถูกกวาดล้างไปนานแล้ว…
เมื่อเทียบกับอัตราการขยายเผ่าพันธุ์แล้ว เอลฟ์มีอัตราที่ลดลงในขณะที่ออร์คเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับเหล่าเงือกนั้น? คุณเคยเห็นไข่ปลาไหม? พวกมันคอยโผล่ออกมาเรื่อยๆ จากทุกทิศทาง
หลังจากที่รู้จำนวนของออร์คแล้ว วิลเลียมก็วางกลยุทธ์การต่อสู้ทันที ก่อนที่จะชี้ดาบของเขาไปยังเผ่าออร์คและพุ่งเข้าใส่ทันที
“สำหรับเหมืองนี้ ก็เหมือนฉันจะหลับแล้วคุณเอาหมอนมาให้ ฉันต้องขอโทษสำหรับการแข่งขันที่โหดร้ายระหว่างคนของเราด้วย” วิลเลียมเลียริมฝีปากขณะเดินไปยังเผ่าออร์คด้วยความก้าวหน้าครั้งใหญ่
มันเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักในการที่จะได้เห็นออร์คเผ่าใหญ่ที่ชายแดนแห่งนี้
แม้แต่ที่อยู่ของเผ่าเอลฟ์ขนาดใหญ่ในป่าแบล็คลีฟก็อยู่ไกลออกไปอีกพันกว่ากิโลเมตรจากเมืองชายแดนแห่งนี้ ชุมชนที่อยู่ใกล้เข้ามาก็มีเพียงอาณาจักรมนุษย์และชนกลุ่มน้อยหลากหลายเผ่า
เหล่าเอลฟ์ที่กำลังเดินไปด้านหน้านั้นก้าวเท้าเดินอย่างคล่องแคล่วและแผ่วเบา ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะทำอาชีพอะไร ทุกคนต่างระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก แต่ก็ไร้กังวลในขณะเดียวกัน
นั่นเป็นเพราะเหล่าเอลฟ์นั้นเป็นเจ้าแห่งป่า ไม่ว่าศัตรูของพวกเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน ศัตรูพวกนั้นก็ไม่มีทางที่จะสู้ชนะเอลฟ์ในป่าได้
ความสามารถในการปีนต้นไม้นั้นพูดง่ายๆ ก็คือความสามารถที่มีตั้งแต่เกิดสำหรับพวกเขา
ถ้าไม่อย่างนั้น พวกเอลฟ์เลือดบริสุทธิ์คงไม่สามารถผลักวิลเลียมให้ตกต้นไม้ได้และทำให้นั่นเป็นเรื่องที่น่าอับอายที่สุดสำหรับเขา…
วิลเลียมเองก็รู้สึกฉุนเฉียวไม่น้อย เขาไม่เชื่อหรอกว่าไม่เคยมีเอลฟ์ตนอื่นตกต้นไม้มาก่อน แล้วพวกเขาจำเป็นต้องมองมาที่เขาโดยทำราวกับว่ากำลังมองมาที่ไอ้โง่คนหนึ่งด้วยงั้นหรอ?
อีกอย่าง เขาก็ไม่ใช่คนที่ตกเสียหน่อย คนที่ตกต้นไม้จริงๆ น่ะ ได้กลับไปที่ต้นไม้แห่งชีวิตเรียบร้อยแล้ว
เอลฟ์ของหน่วยลาดตระเวนเป็นสุดยอดนักธนูและพวกเขาก็ปีนขึ้นไปอยู่บนต้นไม้นานแล้ว สำหรับพวกเขาแล้ว การต่อสู้คือการยิงธนูทุกดอกจากซองใส่ลูกธนูด้วยพลังการต่อสู้ หากศัตรูของพวกเขายังตายไม่หมด พวกเขาก็อาจจะใช้มีดสั้นเป็นอันดับถัดไป
ภายใต้ดวงตาของหน่วยลาดตระเวนที่ซุ่มอยู่ เหล่านักล่าก็เริ่มขุดหลุมรอบๆ เผ่าออร์คอย่างระมัดระวัง ก่อนจะวางไม้ที่ถูกเหลาจนแหลมลงไปในหลุ่มพวกนั้นและผูกสายเชือกที่แทบมองไม่เห็นรอบต้นไม้สองต้น ถ้าศัตรูเผลอเตะมันเข้าล่ะก็ อาจจะมีอะไรหล่นลงมาใส่พวกเขาได้
คันเบ็ดเหล็กขนาดใหญ่พิเศษเป็นกับดักที่แย่ที่สุดที่จะเข้าไปติด
มันเป็นสิ่งที่ใช้สำหรับล่าอสูรป่าหรืออสูรเวทย์โดยเฉพาะ ด้วยความหนาของผิวหนังพวกออร์ค เท้าของพวกมันจะต้องถูกทำลายในจังหวะที่พวกมันเหยียบลงไปบนนั้น กระดูกของพวกมันจะหักจากคมมีด
วิลเลียมสามารถตรวจสอบค่าสถานะและพลังชีวิตของ NPC ระดับกลางได้
อย่างไรก็ตาม NPC คนอื่นไม่สามารถทำแบบนี้ได้เพราะมันเป็นความสามารถเฉพาะของผู้เล่นเท่านั้น
แต่ละเผ่าพันธุ์หรือสิ่งมีชีวิตมีจุดอ่อนของตัวเอง ตราบใดที่พวกเขายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะป้องกันตนเองได้อย่างเต็มที่ จุดอ่อนเหล่านั้นเป็นจุดที่อันตรายถึงชีวิต
นี่เป็นโลกที่แตกต่าง การจะฆ่าใครสักคนด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้ถ้าการโจมตีไม่แข็งแกร่งพอ พลังชีวิตของคุณจะลดลงไปเพียง 100 หน่วยเท่านั้น แม้ว่าคอของคุณกำลังจะแยกออกจากตัวคุณก็ตาม เว้นซะแต่ว่าการโจมตีไม่ได้ถูกตรงผิวหนัง
หากวิลเลียมยิงธนูไปโดนผิวหนังของออร์ค มันแค่จะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่ไม่เจ็บปวดด้วยซ้ำไป เนื่องจากพลังความแข็งแกร่งในการยิงของเขานั้นอ่อนแอเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นหากเขายิงโดนที่ดวงตา, ปาก, หรือกระโหลกศีรษะ นั่นจึงจะสามารถทำอันตรายที่ถึงแก่ชีวิตได้
“วิลเลียม ท่านจะยืนอยู่ข้างหลังในการต่อสู้นี้ก็ได้ ข้าจะปกป้องท่านเอง!” ลอทเนอร์ไม่อยากให้เขาร่วมการต่อสู้ นอกจากนั้นเลเวลของวิลเลียมก็ต่ำเกินไป เมื่อเทียบกับอายุเอลฟ์ปกติเขาก็ยังนับว่าเป็นเด็ก
“ไม่เป็นไร ฉันจะพัฒนาตัวเองได้ยังไงหากไม่เคยต่อสู้เองเลย? ทักษะการยิงธนูของฉันไม่ได้แย่เลยนะ!” ถึงตอนนี้ วิลเลียมยกยิ้มขณะหยิบธนูสีขาวที่มีคุณภาพและลูกธนู จากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ได้อย่างคล่องแคล่ว
เห็นได้ชัดว่าเขากลายเป็นเอลฟ์ตัวน้อยที่มีความคิดอ่านราวกับผู้ใหญ่ เป็นคนที่จะไม่ตกจากต้นไม้อีกต่อไป
ลอทเนอร์ส่ายศีรษะอย่างหมดหนทาง เขาจ้องมองนักรบที่เตรียมตัวพร้อม ก่อนจะตะโกนเสียงดัง “ยิงธนูได้!”
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
เสียงลูกธนูแหวกอากาศดังขึ้นต่อกันเรื่อยๆ
เอลฟ์หน่วยลาดตระเวนและเอลฟ์นักล่าที่อยู่บนต้นไม้ ต่างก็ยิงไปยังศัตรูอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นครั้งแรก ในขณะเดียวกันกับที่เหล่าออร์คได้ยินเสียงตะโกน ลูกธนูนับร้อยที่ถูกยิงขึ้นไปบนอากาศก็ตกลงมาใส่พวกมันพร้อมกับเสียงหวีดแหลม
ออร์คราวๆ แปดสิบตนล้มลงบนพื้นทั้งที่ศีรษะของพวกมันยังคงตั้งอยู่ พื้นที่ตรงนั้นถูกเติมเต็มไปด้วยของเหลวจากสมองทั้งสีขาวและสีเหลือง ออร์คจำนวนมากอุทานและร้องออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวก่อนที่จะหลบธนูที่แสนอันตราย
หากลูกธนูยิงเข้าที่หน้าอก มันจะไม่ส่งผลกระทบอะไรมากนัก ถ้าความแข็งแกร่งในการโจมตีไม่เพียงพอ มันมีโอกาศที่ไม่แม้แต่จะเกิดความเสียหายใดๆ
อย่างไรก็ตาม!
การปรากฏตัวอย่างฉับพลันของการล็อคเป้าโจมตีจะไม่ทำให้ออร์คธรรมดาตกใจกลัวได้อย่างไร?
หลังจากการยิงอย่างพร้อมเพรียงในครั้งแรก เหล่าเอลฟ์ก็ไม่รอให้ออร์คได้ตอบโต้กลับได้ พวกเขาเริ่มยิงโจมตีอย่างอิสระ
ศรธนูที่ร่วงดั่งสายฝนทำให้เหล่าออร์ควิ่งไปทั่วอย่างบ้าคลั่ง และไม่สามารถรวมกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อโต้กลับได้
หากถามว่าใครเป็นนักธนูที่แข็งแกร่งที่สุดใน Gods คำตอบที่แน่นอนก็ต้องเป็นเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์อยู่แล้ว! แม้แต่ครึ่งเอลฟ์ก็ไม่สามารถหาที่เปรียบได้!
พวกเขาเกิดมาเพื่อเป็นนักธนู
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือวิลเลียม!
พวกเอลฟ์หลายตนที่ยืนอยู่บนต้นไม้มองไปยังลอร์ดของพวกเขาด้วยความประหลาดใจ ทุกๆครั้งที่เขาน้าวสายธนูและยิงลูกศรออกไป เขาจะสามารถโจมตีออร์คได้อย่างแม่นยำ
เขาจัดการพวกมันได้ทันที แม้ว่าเขาจะไม่สามารถฆ่าพวกมันได้ด้วยลูกธนูแต่พวกมันก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
คันธนูที่ถูกใช้โดยเอลฟ์ที่ยังเยาว์วัยอยู่นั้นอ่อนแอมากและมันเหมาะสมที่จะรับมือกับสัตว์เล็กหรืออสูรป่า แต่ออร์คเหล่านี้มีผิวที่หนาและเนื้อที่แข็ง มันคือออร์คที่มีพลังการต่อสู้! คันธนูแบบนี้จะยิงทะลุเกราะป้องกันด้วยพลังต่อสู้ได้อย่างไรกัน?
พวกเขาตกใจจริงๆ
ลอร์ดท่านนี้ดูเหมือนจะเป็นนักธนูมากกว่าพวกเขาเสียอีก ลูกธนูของเขาถูกยิงออกไปเร็วขึ้นและเร็วขึ้นเข้าใส่ดวงตาของออร์คซึ่งเป็นจุดตายได้อย่างแม่นยำทุกครั้ง ยกเว้นออร์คที่แข็งแกร่งซึ่งมีดวงตาที่ลึกกว่า ทำให้ลูกศรของเขาไม่สามารถฆ่าพวกมันได้ นอกเหนือจากนั้นแล้วเขาก็ยังยิงไม่พลาดเลยสักเป้าเดียว
อย่างไรก็ตามสิ่งที่วิลเลียมอยากจะพูดจริงๆ คือค่าสถานะของเขานั้นไม่เลวเลย นอกจากนี้เขาก็เคยเล่นเกมตั้งหลายเกมอยู่เป็นปีๆ ด้วยทักษะการสังเกตจากการเป็นผู้เล่นแล้ว มันง่ายสำหรับเขาที่จะบอกว่าออร์คตัวไหนอ่อนแอกว่าในหมู่พวกออร์ค
เขาเลือกเฉพาะคนที่ไม่มีพลังต่อสู้เพื่อโจมตี เขารักพวกอ่อนแอ, พวกมีอายุ และเด็กมากที่สุด ผู้คนอาจบอกว่าเขารังแกคนอ่อนแอและเด็ก แต่เขาเห็นเจตนาการฆ่าฟันจากสายตาของเหล่าออร์คได้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้เขายังรู้สึกมีความสุขเสียด้วยซ้ำที่เห็นค่าประสบการณ์ของเขาค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
ท้ายที่สุดแล้วผู้เล่นใน Gods ก็ยังต้องฆ่าคนหรือมอนสเตอร์เพื่อเพิ่มระดับในช่วงแรกเริ่มของเกม แต่ในส่วนหลังของเกมนั้นมันยากขึ้นเอามากๆ หากไม่มีภารกิจใดๆ การเพิ่มเลเวลก็ยากพอๆ กับการขึ้นไปสู่สวรรค์!
“ไอ้พวกเอลฟ์ที่น่ารังเกียจ แกกล้ารบกวนเผ่าพันธุ์ปู่ของแกเชียวหรอ?! ฉันจะถลกหนังพวกแกทุกคนทั้งเป็นและเอาเนื้อต้นขาของพวกแกไปทำเป็นเนื้อบาร์บีคิว!” ออร์คที่แข็งแกร่งมากตนหนึ่งกำลังวิ่งออกมาด้วยความโกรธ เขาสวมเสื้อเกราะหนา ออร่าของเขาทั้งดุร้ายและรุนแรง เขาสูงถึง 240 เซนติเมตร ถือฟันหมาป่ายักษ์ซึ่งเป็นอาวุธของเขาขณะที่สะบัดมันไปยังต้นไม้หนาจนต้นไม้ขาดสะบั้น
“ระวังด้วยวิลเลียม! นั่นคือผู้นำของเผ่าออร์ค!” ลอทเนอร์ที่อยู่ใกล้เผ่ามากที่สุดขมวดคิ้วและตะโกนบอกวิลเลียมให้ถอยห่างออกไป
“พวกเวร อย่าวิ่งสิวะ!” ผู้นำเผ่าออร์คตะโกนด้วยความโกรธนำหน้านักรบออร์คกว่าหนึ่งร้อยตนรุดตรงไปยังเผ่าเอลฟ์ เขาไม่เคยมีประสบการณ์ในการถูกเอลฟ์บุกโจมตีมาก่อน
อย่างไรก็ตามได้มีผู้เฒ่าในเผ่าได้เคยกล่าวไว้หลังจากการปะทะกับเอลฟ์ว่าสิ่งที่แย่ที่สุดคือการซ่อนตัว พวกมันต้องโจมตีก่อนแม้ว่านั่นจะเป็นการเดินเข้าไปในกับดักก็ตาม…
แต่สำหรับตอนนี้ คิดมากไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา?
เขาคือออร์คนี่!
มันคงจบเห่แน่ถ้าเขาทำอะไรไม่รอบคอบ!
“ไอ้พวกเอลฟ์ลิงระยำ ทำไมพวกมันถึงกระโดดขึ้นลง?” เขามองเอลฟ์วิ่งอย่างเร่งรีบเข้าไปในป่าทึบ ความโกรธของเขาเพิ่มขึ้นขณะที่รีบรุดต่อไปข้างหน้า
แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันก็ไปได้ไม่ถึงร้อยเมตรด้วยซ้ำ
ออร์คที่เหยียบกับดักกรีดร้องไม่หยุดด้วยความเจ็บปวด แท่งไม้ไผ่แหลมคมทุกรูปแบบ, หนามแหลมบนพื้นดิน, กับดักจับสัตว์ขนาดใหญ่ และร่องลึกสามเมตรที่เต็มไปด้วยไม้แหลมทำให้เหล่าออร์คตกลงสู่ความสิ้นหวังในทันที…
มันไม่มีทางอื่นอีกแล้ว…
วิธีที่เอลฟ์จัดการเผ่าออร์คขนาดเล็กนั้นคล้ายๆ กันหมด
พวกเขาจัดเตรียมกับดัก
ยิงธนู
ทำให้โกรธ
แล้วเหล่าออร์คก็เดินเข้ามาติดกับดัก…
จากนั้น ออร์คชูกำปั้นด้วยความโกรธและรู้สึกเหมือนถูกหลอก ไม่ว่าอย่างไรศัตรูของพวกมันอยู่แค่ตรงหน้า พวกมันกำลังจะตามทันอยู่แล้ว! ถัดจากความโกรธที่กำลังลุกไหม้ในหัวใจ พวกมันก็ยังคงเร่งเดินหน้าต่อไป
พวกมันพุ่งเข้าชนกลุ่มนักดาบเวทย์เอลฟ์ที่อยู่ในชุดประณีตสวยงามและกลุ่มของนักรบเอลฟ์ที่กำลังปกป้องและเฝ้าระวังทั้งสองฝ่ายอย่างระมัดระวัง
นักดาบหนึ่งร้อยคนเข้าทำการโจมตีในเวลาเดียวกัน ทำให้ต้นไม้ทั้งหลายกลายเป็นท่อนไม้ชิ้นหนักล้มลงบนพื้น ผู้โชคร้ายหลายคนถูกบี้โดยเหล่าไม้พวกนั้นในทันที
เหล่าออร์คที่ยังไม่ทันได้รวมกลุ่มกันดีก็ถูกตัดเป็นชิ้นๆ อย่างต่อเนื่อง ต่อให้พวกมันจะใช้พลังการต่อสู้ของพวกมันเพื่อสร้างเกราะป้องกันตัวเองอีกชั้น เงามากมายลอยผ่านเข้ามาและทันทีหลังจากนั้นเลือดก็สาดกระจายไปทั่วทุกที่
มันแทบจะเป็นการปะทะรอบเดียว!
กลุ่มนักรบออร์คที่แทบจะไม่เหลือรอดก็ต่างสิ้นลมไม่ก็บาดเจ็บ เมื่อเป็นดังนั้น เหล่าเอลฟ์นักรบก็รวมตัวกันเป็นกลุ่มและบุกเข้าโจมตีตัวเผ่าอย่างเต็มที่
ไม่มีทางอื่นให้เลือก
สติปัญญาของพวกออร์คนั้นเป็นหนึ่งในปัจจัยทั่วไปที่ควรค่าแก่การพิจารณา ไม่ใช่แค่พวกมันดึงให้ค่าเฉลี่ยของระดับสติปัญญาของทุกคนในเกมให้ลดลง แต่พวกมันยังดึงให้ค่าเฉลี่ยของระดับสติปัญญาของเผ่าพันธุ์ใหญ่ๆ ลดลงอีกด้วย…
ครั้งหนึ่งใครบางคนเคยจงใจผ่าเปิดหัวของออร์คตนหนึ่งออก หลังจากศึกษาวิจัยและการตรวจสอบประมาณหนึ่ง พวกเขาสรุปอย่างชัดเจนว่าไม่ใช่แค่สมองของออร์คนั้นมีเส้นประสาทน้อยเท่านั้น แต่ในนั้นยังเต็มไปด้วยน้ำอีกด้วย…
นอกเสียจากว่านั่นจะเป็นออร์คผู้วิเศษหรือพ่อมดมนต์ดำ สติปัญญาของพวกเขาจึงจะเทียบเทียมกับมนุษย์และพวกเขาก็จะไม่ถูกหลอกเข้าไปในกับดักได้ง่ายๆ
ผู้วิเศษหรือพ่อมดมนต์ดำประเภทนี้จะเป็นที่ปรึกษาของออร์คผู้นำ
ในสถานการณ์ปกติ ผู้วิเศษจะมีหน้าที่ในการสั่งการการรบจากด้านหลังสุดในขณะที่ตัวผู้นำจะนำหน้าทหารของเขาเข้าสู่สนามรบ
ตัวผู้นำจะไม่ตายตราบใดที่ตัวผู้วิเศษนั้นไม่ตาย เขาสามารถที่จะเลือกผู้นำตัวอื่นก็ได้!
อย่างไรก็ตาม สำหรับเผ่าออร์คเผ่าหนึ่งที่มีจำนวนประชากรแค่หลักร้อยนั้น มันเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะมีออร์คผู้วิเศษซักตน
ถึงอย่างนั้นก็มีเหตุการณ์โง่ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
นั่นคือการที่สติปัญญาของออร์คผู้นำนั้นสูงขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเขาเกิดนึกขึ้นมาได้ว่าเขาอาจจะตกเข้าไปในกับดัก
ดังนั้นจากความคิดต่างๆที่น่าอัศจรรย์ เขาก็จะทำให้สติปัญญาของฝ่ายตรงข้ามต่ำลงและใช้ความคุ้นเคยกับพื้นที่เพื่อผลิกหลังมือเป็นหน้ามือ ในกรณีนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเขาในการที่จะปราชัยศัตรู!
เพียงชั่วขณะที่เอลฟ์นักดาบเวทย์มุ่งหน้าและโหมเข้าใส่เผ่าออร์คราวกับน้ำหลาก การปะทะขนาดเล็กนี้ก็มาถึงจุดจบ
มันเป็นการแก่งแย่งระหว่างเผ่าพันธุ์
มันเป็นการแก่งแย่งระหว่างฝ่าย
ส่วนใหญ่แล้วศัตรูจะไม่ถูกไว้ชีวิต ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะเป็นคนแก่หรือเด็ก, ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ตราบใดที่พวกเขาคือเหล่าออร์คขนดกหรือทารกออร์คที่มีเขี้ยวแหลมคม พวกเขาทั้งหมดจะต้องถูกฝังวันนี้
นอกจากว่า… พวกเขาจะสามารถใช้ประโยชน์จากออร์คได้และทำให้พวกมันกลายเป็นทาสของพวกเขา
แน่นอนอยู่แล้ว
ครั้งหนึ่งเคยมีวีรบุรุษออร์คตนหนึ่งที่มีความสามารถอย่างมาก ได้ทำให้เป็นที่รู้กันว่าออร์คจะไม่มีทางกลายเป็นทาส โดยการที่เขาเริ่มสงครามครั้งใหม่ระหว่างมนุษย์และออร์ค
อย่างไรก็ตาม โดยรวมๆ แล้วมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ออร์คพวกนี้ไม่ได้เข้มแข็งทางความคิดนัก ด้วยสติปัญญาที่ต่ำต้อยของพวกเขา การถูกอดอาหารไม่กี่วันและถูกเฆี่ยนตีอีกซักหน่อย พวกเขาทั้งหมดก็พร้อมจะกลายเป็นทาสที่อยู่ในโอวาท
พวกเขามักจะพูดว่าออร์คจะไม่มีทางกลายเป็นทาส แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ามีคนให้อาหารและที่อยู่กับพวกเขา มันก็จะเป็นอีกเรื่องไปเลย
ถึงอย่างนั้น มันก็มีบ้างบางตนที่ไม่มีทางยอมจำนนไม่ว่าจะยังไง
ออร์คพวกนี้จะถูกฆ่าอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นหัวของพวกเขาจะถูกแขวนไว้หน้าบ้านของออร์คตนอื่นๆ นี่น่าจะทำให้โลกทั้งใบสะอาดขึ้น
แม้พวกเขาจะกลายเป็นทาสแล้ว พวกเขาก็ยังคงต่อต้านอยู่เป็นครั้งคราว
ไม่ว่าอย่างไร ออร์คที่เป็นทาสส่วนใหญ่จะเป็นคนงานขุดเหมือง…
ถ้าไม่อย่างนั้น พวกเขาก็จะเข้าร่วมในสังเวียนการต่อสู้ที่ไว้สำหรับให้เหล่าขุนนางชนชั้นสูงรู้สึกตื่นเต้นจากการฉากนองเลือด
มันเป็นเรื่องยากมากที่จะเห็นการก่อจลาจลจากออร์คขนาดใหญ่ซักตัวที่ทำให้เกิดความเสียหายในแผ่นดินของมนุษย์
เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และเหล่ามนุษย์จำมันได้
นั่นคือชายคนเดิมผู้ที่เคยประกาศไว้ว่าออร์คจะไม่มีทางกลายเป็นทาส…
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อวิลเลียมยังไม่เจอเหมือง เขาก็ขี้เกียจเกินกว่าที่จะเก็บพวกออร์คไว้สำหรับการขุดเหมืองเช่นกัน เขาเลือกที่จะปล่อยให้ทหารของเขาเติมเต็มความพึงพอใจด้วยการสังหารทุกคนในเผ่าแห่งนี้และเพิ่มคะแนนความดีความชอบจากพวกทหารไปในเวลาเดียวกัน
วิลเลียม แบล็คลีฟกระโดดลงจากกิ่งของต้นไม้ ลอทเนอร์เห็นเขาจึงหยุดการกำจัดศพบนสนามรบ แล้วเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มแทน “ผลลัพธ์ดูดีเลยทีเดียว พวกเราไม่มีใครบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเลย มีเพียงหน่วยลาดตระเวนไม่กี่คนที่ถูกลูกธนูถากอย่างผิวเผิน”
“นั่นเป็นเรื่องที่ดี ว่าแต่พวกเราเจออะไรบ้างมั้ย?
ลอทเนอร์ชี้ไปที่ศพของพวกออร์ค “ท่านเห็นออร์คพวกนั้นมั้ย? ข้าเองก็แอบตกใจเหมือนกันที่เห็นพวกมันมีชุดเกราะธรรมดาจากเหล็ก”
“โดยเฉพาะผู้นำตัวนั้น ข้าได้เกราะเหล็กหนัก 40 กิโลกรัมจากเขามาโดยที่ข้าไม่รู้สึกเหนื่อยเลยซักนิด พวกมันต้องเจอเหมืองเหล็กซักที่เป็นแน่ ท่านควรจะรู้ว่าเหล่านักรบของเรานำอุปกรณ์ดีๆ ของพวกเขามาจากราชอาณาจักรเอลฟ์แบล็คลีฟ”
“เหมืองเหล็กที่อยู่รอบๆ เมืองของเรานั้นถูกขุดจนหมดหรือไม่ก็ขายให้อาณาจักรมนุษย์ไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงตอนที่ทหารบางคนหนีออกไปแล้วนำอุปกรณ์บางอย่างจากห้องนิรภัยของเราไปด้วย”
“ถ้าอย่างนั้น นี่ก็เป็นข่าวดีมากๆ! มีอย่างอื่นอีกบ้างมั้ย?” วิลเลียมมองไปรอบๆ ตัวเขา นอร์ตันที่เดินออกมาจากเต็นท์สูงเดินมาพร้อมกับรอยยิ้มสดใส
เขาชูของสีดำแต่เป็นประกายในมือของเขาพร้อมตะโกน “ท่านลอร์ดของข้า นี่คือแร่เหล็กบริสุทธิ์! นี่คือแร่เหล็กบริสุทธิ์ที่ใช้ทำชุดเกราะสีฟ้าชิ้นเยี่ยมอันนี้! มันจะต้องมีเหมืองเหล็กซักที่แถวนี้แน่ๆ นอกจากนี้ยังมีกล่องสมบัติที่มีเหรียญทอง 130 เหรียญ, เหรียญเงินมากกว่า 500 เหรียญ, และเหรียญทองแดงมากกว่า 3,000 เหรียญ”
“ดีแล้วล่ะ” วิลเลียมหรี่ตาของเขาลงและพยักหน้า ตอนนี้พวกเขาค้นพบเหมืองเหล็กและเงินสด วิกฤตการเงินของพวกเขาก็จบชั่วคราว
[ภารกิจ: วิกฤตการณ์ใกล้อาณาเขตของคุณ: กวาดล้างเผ่าออร์ค ภารกิจแรกเสร็จสิ้น!]
[รางวัล: ค่าประสบการณ์ 5000 แต้ม]
[รางวัล: เหมืองเหล็กขนาดกลางใกล้กับเผ่าออร์ค]
ภายในพริบตา วิลเลียมก็ขึ้นไปยังเลเวลที่เก้า ได้รับแต้มคุณสมบัติอิสระ 4 แต้มและแต้มสกิล 1 แต้ม แน่นอนว่าตอนนี้เขาจะเก็บพวกมันทั้งหมดไว้ก่อน อีกอย่าง เขาก็อยู่ไม่ไกลจากเลเวลที่สิบเท่าไหร่ จากการที่เขาลงมือฆ่าออร์คไปมากมายก่อนหน้านี้
เกมนี้ไม่มีระดับความชำนาญสำหรับการยิงธนู ถ้าผู้เล่นต้องการที่จะเล็งเป้าหมายอย่างแม่นยำ พวกเขาต้องทำเหมือนกับเกม FPS1 และยังขึ้นอยู่กับสกิลของพวกเขาและความเคยชินในการควบคุม
การที่เคยเป็นผู้เล่นระดับท็อปคนหนึ่งในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา แน่นอนว่าวิลเลียมไม่ได้รู้แค่ทักษะของอาชีพเขา
แม้ว่าเขาจะเป็นนักรบมาก่อน มันไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้วิธีใช้อุปกรณ์อื่น
ตราบใดที่คุณสมบัติของทักษะเพียงพอ นักดาบเวทย์ก็สามารถใช้ดาบยาวและไม้คฑาได้ในเวลาเดียวกัน ในขณะที่กำลังวิ่งไปพร้อมกับอัศวินได้
ที่สุดแล้ว…
สิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับแกนดัลฟ์2คือไม่ว่ากี่ศตวรรษจะผ่านไป เขาก็ยังคงมีอิทธิพลต่อผู้เล่นที่เป็นพ่อมดในเกมจนถึงตอนสุดท้าย
หากพ่อมดคนใดไม่ได้ถือครองดาบอัญมณีดีๆ ซักเล่ม อาจจะทำให้หน้าตาของพ่อมดโดยทั่วไปเสื่อมเสีย
ต่างคนต่างมีความคิดเห็นที่ต่างกันออกไปว่าจะมีพ่อมดกี่คนกันที่จะเพิ่มแต้มคุณสมบัติไปที่ความแข็งแกร่งของพวกเขา
ส่วนพ่อมดที่สามารถถือดาบยาวจากทองได้จะทำให้แต้มคุณสมบัติความแข็งแกร่งของพวกเขาเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย…
อย่างไรก็ตาม พลังการต่อสู้ของพ่อมดเหล่านี้เป็นอย่างไรงั้นหรือ?
อย่าพูดถึงมันเลย
พวกเขาไม่ได้อ่อนแอเลยซักนิด
คนที่กล้าเล่นในสายดังกล่าวนั้นคงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป พวกเขาเป็นพวกโคตรรวย ถ้าพวกเขาบังเอิญเจอกับพ่อมดซักคน เรื่องที่น่าทำที่สุดคือในการเป็นเพื่อนกับพวกพ่อมด เพื่อพวกเขาจะได้เล่นต่อไปด้วยกันได้ในอนาคต
สำหรับคนอย่างวิลเลียมในการที่จะมีทักษะการยิงธนูที่แข็งแกร่งได้ขนาดนี้ แม้เขาจะเคยเป็นนักรบผู้เชี่ยวชาญในชีวิตก่อนหน้า เขาก็คงจะมีพรสวรรค์สำหรับมันอยู่แล้วเป็นแน่
แน่นอนว่าการฝึกทักษะการยิงนั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาไม่เพียงแต่ต้องยิงอย่างรวดเร็วและบ่อยครั้งเท่านั้น เขายังต้องมีความแม่นยำอีกด้วย
ทุกคนต่างก็รู้ว่าจะเกิดอะไรถ้าพวกเขาฝึกฝนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม อาชีพและความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกันอาจทำให้เป็นการยากสำหรับพวกเขาในการฝึกฝนทักษะการยิงธนู ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเรียนรู้ แต่มันก็จะเป็นการสิ้นเปลืองค่าประสบการณ์เป็นอย่างมาก
วิลเลียมได้เรียนรู้ทักษะการยิงธนูระดับสูงเพียงเล็กน้อยเพราะว่าเขาไม่ต้องการที่จะให้มันเสียเปล่าไป เขาจึงเลือกที่จะฝึกทักษะการยิงธนู และมันก็เป็นเรื่องบังเอิญที่เขานั้นคล่องแคล่วโดยธรรมชาติและทั้งยังมีนิ้วมือที่ว่องไว
นอกจากนั้น…
หากผู้เล่นระดับรีเจนดารีไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอาชีพอื่นเลย พวกเขาจะยังคงถูกเรียกว่าระดับรีเจนดารีอยู่รึเปล่าล่ะ?
หลายอาชีพก็มีหลายทิศทางและมีวิธีการพัฒนามากมาย
นี่แหละคือเสน่ห์ของเกมนี้
ตราบใดที่ค่าสถานะของพวกเขาตรงตามเกณฑ์ ผู้วิเศษก็สามารถเป็นอัศวินและเข้าสู่การต่อสู้ได้หากพวกเขาสวมเกราะหนัก นักรบก็สามารถถือไม้คฑาและยิงบอลไฟได้เช่นกัน!
ในช่วงหลังของเกม ฉากต่อสู้นั้นจึงกลายเป็นฉากที่น่าสนใจ
มันเป็นช่วงหนึ่งของการปะทะที่ยิ่งใหญ่ระหว่างตัวละคร
การโจมตีครั้งแรกมักจะไม่ใช่การโจมตีโดยตรง
แต่มันคือการโจมตีโดยเวทมนต์ทุกรูปแบบ ตามมาด้วยสกิลลูกผสมที่หลากหลาย พร้อมกับศรธนูที่ถูกยิงออกไปทุกทิศทาง อาวุธปืนดังขึ้นทั่วทุกทาง หลังจากการโจมตีระยะไกลจบลง ในที่สุดตัวละครบนหลังม้าก็จะออกมาสู้กันดาบต่อดาบ
ในขณะที่อัศวินเอลฟ์นำอุปกรณ์ทั้งหมดของออร์คไป พวกเขาก็ขุดหลุมแล้วโยนศพทั้งหมดเข้าไปในนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ให้เกิดโรคระบาดจากซากศพที่เน่าเปื่อย เพียงเท่านั้นการต่อสู้ก็ถือว่าสิ้นสุดลงแล้วอย่างสมบูรณ์
วิลเลียมพยักหน้าอย่างมีความสุข “ทุกคนวางอาวุธลงได้ แม้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะไม่ถือเป็นเรื่องยากแต่พวกท่านทุกคนทำได้ดีมาก เราจะให้เหรียญเงินพวกท่านคนละหนึ่งเหรียญ ในขณะที่คนที่บาดเจ็บจะได้รับเหรียญเงินเพิ่ม!”
“ขอบคุณท่านลอร์ด!” เหล่านักรบเอลฟ์ดูมีความสุขอย่างยิ่งโดยไม่คาดหวังว่าท่านลอร์ดของพวกเขาจะใจดีขนาดนี้ เขาให้เหรียญเงินแก่ทุกคนดังนั้นเขาจึงนับว่าใจกว้างมาก พวกเขาใช้มือขวาทาบหน้าอกทันทีแล้วโค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพ
“พวกเอลฟ์ช่างเป็นคนที่สัตย์ตรงจริงๆ พวกเขาจะคำนับหากได้รับรางวัล…” วิลเลียมอุทานในใจก่อนจะกล่าวต่อ “เอาล่ะ พวกท่านจะได้รับรางวัลหลังจากกลับไปที่เมือง ตอนนี้ทุกคนแยกออกเป็นกลุ่มละห้าคนและกระจายกันออกไปตามหาเหมืองเหล็กที่เป็นของเราในตอนนี้!”
“ขอรับท่านลอร์ด!” ทหารเอลฟ์กระจายออกไปอย่างเป็นระเบียบ พวกเขาไม่จำเป็นต้องรับคำสั่งใดๆเพียงแบ่งออกเป็นกลุ่มเล็กๆห้าคนอย่างเป็นธรรมชาติและหายเข้าไปในป่า
มูลค่าของเหมืองเหล็กนั้นมากมายมหาศาล
ไม่ว่าจะเป็นแร่ลึกลับ, แร่ทองคำ, ทองคำสีม่วง, แร่เหล็กถ้ำ, แร่ธาตุหายาก รวมถึงอัญมณีหลากสี, แร่เหล็ก, แร่ทองแดง, และแร่อลูมิเนียมก็เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดของโลกใบนี้
ด้วยเหมืองเหล็กแห่งนี้ ปัญหาในการซ่อมแซมอุปกรณ์ของเหล่าเอลฟ์นักรบก็จะเป็นเรื่องง่ายในการจัดการอีกด้วย
ถ้าหากพวกเขาสามารถหาแร่เหล็กบริสุทธิ์เพิ่มได้ล่ะก็ พวกเขาก็จะสามารถทำอุปกรณ์ของพวกเขาได้ดีขึ้นและเพิ่มเลเวลให้มันกลายเป็นอุปกรณ์วิจิตรบรรจงชั้นเยี่ยมได้
อุปกรณ์ส่วนใหญ่จะถูกจำแนกจากลักษณะตามนี้
ปกติ (สีขาว)
ดี (สีดำ)
ยอดเยี่ยม (สีฟ้า)
สูงสุด (สีเงิน)
ถัดจากระดับนี้ต้องเป็นการเพิ่มคุณสมบัติ, สกิล, อุปกรณ์พิเศษ, ทอง, ทองคำดำ, อุปกรณ์อีปิก, อุปกรณ์รีเจนดารี หรือแม้แต่อุปกรณ์ที่เป็นดั่ง ‘อุปกรณ์ของพระเจ้า’
แน่นอนอยู่แล้วว่ามันจะมีอุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นมาแบบสุดโต่งบ้างอย่างแน่นอน
FPS1 หมายถึง เกมยิงจากมุมมองของบุคคลที่หนึ่ง (First-person shooter)
แกนดัลฟ์2 หมายถึง ตัวละครพ่อมดในภาพยนต์เรื่อง The Lord Of The Ring
มันเป็นเวลาพลบค่ำ ดวงอาทิตย์ได้ลาลับจากสายตาของพวกเขาไปนานแล้ว
ท้องฟ้ากลายเป็นสีเข้มสนิท แสงจันทร์เลือนลางนั้นไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ในป่าลึก
อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่ได้เป็นภัยต่อเอลฟ์มากเท่าใดนัก แม้แต่นักรบที่ไปตามหาแหล่งเหมืองด้านนอกก็จะไม่หลงทางง่ายๆ
ทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกพวกเขาจะได้รับอาหารที่เพียงพอสำหรับสามวันโดยเฉพาะภารกิจที่ยิ่งใหญ่เช่นภารกิจนี้
นอกจากนี้ การมองเห็นในตอนกลางคืนเป็นสิ่งที่เผ่าพันธุ์ส่วนใหญ่ล้วนทำได้อยู่แล้วในโลก
ยกเว้นแต่… มนุษย์
มันเป็นการคัดเลือกโดยธรรมชาติในการที่จะดำรงชีวิตอยู่สำหรับทั้งผู้แข็งแกร่งและผู้อ่อนแอ
แน่นอนว่าหลังจากที่มนุษย์ค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นความสามารถของการมองเห็นในตอนกลางคืนของพวกเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
ตอนนี้วิลเลียมสามารถใช้แสงดาวจางๆ ในการมองเห็นสิ่งรอบตัวในระยะยี่สิบเมตรได้อย่างชัดเจน ขณะนี้เข้ากำลังนั่งบนกิ่งไม้และจ้องมองไปที่ลิงตัวหนึ่งที่รู้วิธีทักทายและมองกลับมาที่เขา เขาไม่ต้องการที่จะพูดถึงมัน แต่ในตอนที่เขาเห็นลิงนั่นเขากลับสะกิดใจขึ้นมา…
ใต้ร่างของเขาเต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างและเต้นท์มากมายอยู่ในเผ่าออร์ค
อย่างไรก็ตาม เอลฟ์จะไม่มีทางเลือกไปอยู่ในที่สกปรก พวกเขาเลือกที่จะนอนบนต้นไม้มากกว่าอยู่ในเต้นท์ที่ส่งกลิ่นเหม็นพวกนั้น
แต่ไม่มีตรงไหนที่ส่งกลิ่นชวนดมในที่แห่งนี้…
ในฐานะผู้นำ วิลเลียมจึงไม่จำเป็นต้องไปตามหาเหมืองเหล็กด้วยตัวเอง นี่คือสิ่งที่เขาสามารถสั่งให้คนของเขาจัดการได้
นี่คือความสุขที่แท้จริงของการเป็นลอร์ด โดยที่ผู้เป็นหัวหน้าทำเพียงแค่เปิดปากของเขา จากนั้นคนของเขาก็จะทำทุกอย่างตามทันที
มีเพียงลอทเนอร์และนอร์ตันที่ยังคงอยู่กับเขา
ในฐานะองครักษ์ส่วนตัวของเขา ความสามารถของนอร์ตันนั้นค่อนข้างดีทีเดียว เขาเป็นนักดาบเวทย์ รูปร่างของเขาทั้งสูงและล่ำสันกำลังดี ในขณะที่ออร่าของเขานั้นแข็งแกร่งและดุร้าย เขาเป็นชายที่มีกล้ามเนื้อบึกบึน และนั่นเป็นสิ่งที่ไม่ได้เห็นกันบ่อยๆ ในหมู่เอลฟ์
โดยเฉพาะที่เขานั้นไม่ชอบดาบยาวแบบปกติ และกลับเลือกที่จะใช้ดาบที่มีใบมีดแบบโค้งราวตะขอแทน นั่นทำให้เขาสามารถเกี่ยวศัตรูแล้วฟันพวกมันอย่างบ้าคลั่งได้อย่างสะใจ
ความชอบของเขานั้นช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน
เกินกว่าที่วิลเลียมจะสามารถจินตนาการได้…
ลักษณะเฉพาะของเหล่าเอลฟ์นั้นธรรมดามาก พวกเขาจะทำในสิ่งที่พวกเขาพูดหรือต้องการ พวกเขาจะไม่ถอยกลับในระหว่างการต่อสู้ และรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองอย่างยิ่งเมื่อพวกเขามองไปที่เผ่าพันธุ์อื่นๆ
แม้ว่าศัตรูของพวกเขาจะแข็งแกร่งและมีความสามารถ หรือต่อให้พวกนั้นจะดูดีกว่าพวกเขา… นั่นมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว!
อย่างไรก็ตาม เหล่าเอลฟ์ก็จะเงยหน้าขึ้นสูงอย่างภาคภูมิใจ พร้อมใช้รูจมูกของพวกเขาจ้องมองศัตรูและใช้สายตาบอกพวกมันว่า แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่สามารถเอาชนะศัตรูได้แต่พวกเขาก็มีชีวิตยืนยาวยิ่งกว่ารุ่นทายาทของพวกศัตรู ทั้งรุ่นลูก, รุ่นหลาน, รุ่นเหลน และแม้กระทั่งพวกมันไม่มีทายาทเหลืออีกต่อไป!
มันไม่มีทางอื่นหรอก…
ความเย่อหยิ่งของพวกเขามาจากรูปลักษณ์, อายุที่ยืนยาว, และความสามารถของพวกเขา
คำพูดและการกระทำของพวกเขานั้นเหมือนกับชนชั้นสูงของมนุษย์ อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้มีกฎระเบียบหรือมารยาทมากเท่าพวกชนชั้นสูง ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาดูเป็นธรรมชาติมากกว่า
และแน่นอนว่า
บางคนก็บอกว่าพวกเขาเหมือนกับชนชั้นสูง
แต่บางคนก็บอกว่า น่าจะเป็นมนุษย์ถูกปกครองโดยเอลฟ์ เขาคิดว่า ‘ชนชั้นสูง’ นั้นเลียนแบบวิธีการพูดและการกระทำของเอลฟ์
วิลเลียมไม่รู้ว่าใช้เวลาไปนานเท่าใด แต่ในที่สุดเขาก็หลับไปบนกิ่งไม้ที่กว้างขวาง
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงร้องดังขึ้น
ลอทเนอร์ปลุกเขาให้ตื่น
หน่วยลาดตระเวนเอลฟ์สองตนเดินเข้ามา มือซ้ายของพวกเขาทาบลงบนอกขณะพูดด้วยความภาคภูมิใจว่า “ท่านลอร์ด ทีมของพวกเราค้นพบเหมืองเหล็กแล้ว ทีมที่เหลืออีกสามคนของพวกเรากำลังรออยู่ที่นั่นในขณะที่เรากลับมารายงานท่านในตอนนี้”
“ดีมาก เยี่ยมมากๆเลย พวกท่านทั้งห้าคนจะได้รับเหรียญเงินคนละสิบเหรียญเป็นรางวัล!”
“ขอบคุณท่านลอร์ด!” หัวหน้าทีมโค้งคำนับเล็กน้อย เงินนั้นเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ แน่นอนว่าพวกเขายังคงความเย่อหยิ่งและปั้นหน้านิ่ง จึงทำเพียงโค้งคำนับเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ
สำหรับชาวนาแล้ว เหรียญทองแดงห้าเหรียญก็มากพอที่จะทำให้พวกเขามีวันที่ดีซักหนึ่งวัน พวกเขาจะสามารถซื้อขนมปังดำได้สี่ชิ้น แม้ว่ามันจะแข็งแต่พวกเขาก็จะจุ่มมันลงในน้ำและกินมัน
หากพวกเขาอยากจะฟุ่มเฟือยอีกซักหน่อย เหรียญทองแดงที่เหลือก็อาจจะถูกนำไปซื้อวิสกี้คุณภาพยอดแย่ซักแก้ว และพวกเขาจะสามารถนอนหลับเต็มอิ่มได้จนกระทั่งรุ่งสาง
ถ้าพวกเขาต้องการที่จะประหยัดมากกว่านี้ล่ะ?
เหรียญทองแดงสามเหรียญสามารถซื้อขนมปังดำได้สามชิ้น
พวกเขาสามารถเก็บออมเหรียญทองแดงได้อีกสองเหรียญ…
อย่างไรก็ตาม นี่คือทหารผู้พิทักษ์ของวิลเลียม แบล็คลีฟ
เอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์กลุ่มนี้จะไม่มีวันมีชีวิตที่ยากลำบาก เอลฟ์โดยปกติแล้วจะเป็นพวกมัธยัสถ์มาก แม้ว่าพวกเขาจะกำลังกินอาหารที่แย่ที่สุดอยู่ พวกเขาก็จะกินมันอย่างผู้ดี
ทหารเหล่านี้มาจากอาณาจักรเอลฟ์ พวกเขาคุ้นเคยกับชีวิตที่ดีและขนาดที่นำทรัพย์สินบางส่วนมาด้วยเมื่อย้ายมาที่เมืองชายแดน
นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมวิลเลียมถึงไม่ควรใจแคบมากนัก ยิ่งทำดีต่อพวกเขามากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะภักดีมากขึ้นเท่านั้น
“นอกจากนั้น พวกเขาอาจเป็นคนที่ช่วยรับหน้าให้ฉันในช่วงเวลาที่สำคัญอีกด้วย!”
วิลเลียมคนก่อนอาจไม่เป็นที่รักเท่าใดนักเพราะว่าเขาเป็นคนขี้เหนียวเกินไป…
มันอาจเป็นเพราะว่าเขายากจนมากยังไงล่ะ!
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาได้เหรียญทองมาจำนวนหนึ่งแล้ว แม้เขาจะไม่รู้ว่าออร์คไปยึดมันมาจากผู้โชคร้ายที่ไหนก็ตาม แต่เหรียญทองก็เป็นโชคลาภที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขา
เขาจำได้ตั้งแต่ตอนแรกว่าความมั่งคั่งนั้นแสดงให้เห็นเป็นตัวเลข เขาอาจจะถูกมองข้ามไปบ้างแต่ผลลัพธ์ที่ได้จากการแบ่งปันความมั่งคั่งของเขานั้นสำคัญยิ่งกว่า
ความภักดีอาจเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ก็มีประโยชน์แน่นอนเมื่อจำเป็น
ลอร์ดที่ตระหนี่เกินไปจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้มากเท่าใดนัก
“พวกท่านควรไปพักผ่อนเช่นกัน โอ้ มีออร์คเฝ้าเหมืองอยู่รึเปล่า?” วิลเลียมถามขึ้นอย่างกระทันหัน
“ไม่พบครับ แต่เราพบรอยเท้าของหมีป่ายักษ์ที่ปากทางเข้าเหมืองเหล็ก นั่นเป็นเหตุว่าทำไมเราถึงไม่กล้าทำอะไร ทำได้แค่ให้อีกสามคนเฝ้าระวังเผื่อเกิดเหตุอะไรขึ้น!”
“หมีป่ายักษ์หรอ?” วิลเลียมเลิกคิ้ว พวกเขาต้องล่ามันตอนนี้ ไม่แปลกใจที่เหล่าออร์คไม่ได้ให้ใครเฝ้าเหมืองไว้ ดูเหมือนว่าถ้ำใหม่แห่งนี้จะเป็นบ้านของหมีป่ายักษ์
หมียักษ์ระดับกลางประเภทนี้ไม่อ่อนแอแน่นอน
ไม่เพียงแต่หนังที่หนาเท่านั้นแต่พวกมันก็แข็งแกร่งเช่นกัน โดยทั่วไปใครก็ตามที่โดนพวกมันโจมตีจะเสียชีวิต การมีอยู่ของพวกมันเป็นอะไรที่บ้าบิ่นยิ่งกว่าพวกออร์ค
หมีป่ายักษ์เหล่านี้รู้จักเวทมนตร์ด้วยเช่นกัน ทักษะที่หลากหลายของพวกมันยิ่งทำให้น่ารำคาญ
ในช่วงเริ่มต้นของเกมจนกระทั่งถึงกลางเกม โดยทั่วไปผู้เล่นนั้นต้องเจอกับพวกหมีป่ายักษ์ที่ยากจะจัดการ…
เนื่องจากพวกมันมีโอกาสเติบโตเป็นอสูรเวทย์ระดับสูง ถ้าเป็นหมีป่ายักษ์ที่เพิ่งเพิ่มเลเวลหรือกำลังจะเลื่อนระดับ ถ้าลอทเนอร์ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย แม้ว่าพวกเขาจะสามารถฆ่ามันได้ ทหารเอลฟ์ทั้งสามร้อยตนคงจะบาดเจ็บสาหัส
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมออร์คถึงเลือกที่จะยกธงขาวไม่เตะต้องเหมืองเหล็ก มันเป็นตัวเลือกที่ชาญฉลาด หรือไม่พวกมันเองก็อาจจะประสบกับความเดือดร้อนไปแล้ว
ลอทเนอร์คว้าดาบยาวที่แขวนไว้กับเอวและพูดด้วยความลังเลว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหมีป่ายักษ์นั้นอยู่ในระดับใด?”
“พวกเราไม่รู้ครับ แต่ดูจากรอยเท้าแล้วมันน่าจะใหญ่พอๆ กับเกราะของผม!”
วิลเลียม แบล็คลีฟตกอยู่ในห้วงความคิดก่อนจะพูดว่า “ท่านลุงลอทเนอร์สามารถกำจัดมันด้วยตัวคนเดียวได้รึเปล่า?”
“…” มุมปากของลอทเนอร์กระตุก “มันอาจจะเป็นหมีป่ายักษ์ที่กำลังจะกลายเป็นอสูรเวทย์ระดับสูง ไม่ต้องห่วงกับการจัดการมันด้วยตัวคนเดียว ฉันหล่อและแข็งแรงมาก ถ้าฉันรังแกมันฝ่ายเดียวพวกที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของฉันจะนินทาเอาได้ ”
วิลเลียมมองไปที่เขาก่อนจะพยักหน้า…
แม้ว่าจะมีระดับอีปิคมันก็ไม่ได้หมายความว่าจะฟันไม่เข้าหรืออยู่ยงคงกระพัน ลอทเนอร์ยังคงนับว่ายังหนุ่มในหมู่เอลฟ์ ทุกคนที่ติดตามวิลเลียมนั้นเพิ่งเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น พวกเขายังเด็กมากและยังไม่เติบโตขึ้นอย่างเต็มที่นัก แต่ศักยภาพของพวกเขานั้นสูงมาก
การที่ลอทเนอร์มีสายเลือดระดับอีปิคไม่ได้หมายความว่าเขามีความสามารถในระดับอีปิค เขาเองก็ยังไม่ได้พัฒนาศักยภาพของสายเลือดระดับอีปิคอย่างเต็มที่
เช่นเดียวกับวิลเลียมที่มีสายเลือดระดับรีเจนดารี…
ในสายตาของผู้เล่นคนอื่นในระดับเดียวกัน เขาคือบอสระดับรีเจนดารี เพราะสำหรับพวกผู้เล่นแล้วเขาจะถูกกำกับด้วยสัญลักษณ์ระดับรีเจนดารี แม้จะดูที่ค่าสถานะหรือส่วนเพิ่มเติมต่างๆ เขาก็เป็น NPC บอสระดับรีเจนดารีเลเวล 9 จริงๆ
ไม่ต้องพูดถึงที่เขามีสัญลักษณ์พิเศษของบอสระดับรีเจนดารี
การฆ่าเขาอาจจะทำให้เกราะชั้นในเติบโตขึ้นเป็นระดับอีปิค…
เวร
อย่างไรก็ตามในโลกของGodsนั้น ไม่ว่าจะสายเลือดระดับนอร์มอล, อีลิท, ชีฟ, มาสเตอร์, อีปิค, หรือรีเจนดารี ก็จะแสดงถึงศักยภาพ, พรสวรรค์ และค่าสถานะ ไม่ใช่ระดับตำแหน่งของพวกเขา
ผู้เล่นและ NPC มองจุดนี้ต่างกัน
ท้ายที่สุดแล้วผู้เล่นก็สนใจที่ระดับสายเลือดมากกว่าและไม่สนใจในระดับตำแหน่งเพราะพวกเขาจะไม่สามารถเอาชนะคนอื่นที่มีตำแหน่งสูงกว่าและทำได้เพียงประจบเท่านั้น…
แต่สำหรับ NPC แล้วค่าสถานะเพิ่มเติมในเลเวลต่างๆมีดังนี้…
เลเวลระดับเริ่มต้น +0.1% โดยเลเวลที่ 10 ถึง 39 จะอยู่ในเลเวลระดับเริ่มต้น
เลเวลระดับกลาง +0.2% โดยเลเวลที่ 40 ถึง 69 จะอยู่ในเลเวลระดับกลาง
เลเวลระดับสูง +0.3% โดยเลเวลที่ 70 ถึง 99 จะอยู่ในเลเวลระดับสูง
ระดับมาสเตอร์ +0.5%
ระดับอีปิค +0.7%
ระดับรีเจนดารี +1%
ในเลเวลโดยรวมของ NPC ทุกเลเวลจะเพิ่มตามค่าสถานะพื้นฐานด้วยเปอร์เซ็นต์ที่แน่นอน
วิลเลียม แบล็คลีฟคือตัวอย่าง ตอนนี้เขาอยู่เลเวล 9 เขาจะได้ค่าสถานะเพิ่มเติม 9% เมื่อเทียบกับค่าสถานะพื้นฐาน มันจะเพิ่มต่อไปจนถึงเลเวล 100 หลังจากนั้นเมื่อพวกเขาเพิ่มเลเวล ระดับสายเลือดจะไม่เพิ่มค่าสถานะให้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม เมื่อระดับรีเจนดารีมีเลเวล 100 ค่าสถานะจะสูงขึ้นเป็นสองเท่า
สรุปก็คือสายเลือดระดับรีเจนดารีนั้นน่ากลัวและบ้าคลั่งเป็นอย่างมาก
สำหรับหมีป่ายักษ์แม้ว่าพวกมันจะยังไม่โตเต็มที่แต่เลเวลของพวกมันนั้นสูงกว่าลอทเนอร์ หากเลเวลของมันสูงมากกว่านี้มันก็จะแข็งแกร่งกว่าลอทเนอร์อย่างแน่นอน
โดยสรุป ไม่ว่ามันจะมีค่าสถานะระดับพื้นฐานหรือค่าพลังชีวิตพื้นฐาน อสูรเวทย์ก็ยังคงแข็งแกร่งมากกว่าสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาอื่นๆ
“เตรียมตัวให้พร้อม รอจนถึงวันพรุ่งนี้แล้วทำยาสลบที่ไม่ใช่พิษร้ายแรง”
“แน่นอนว่าเราต้องใช้กับดักด้วยเช่นกัน! เมื่อเราเตรียมทุกอย่างเสร็จก็ไปออกล้มมัน!” วิลเลียมไม่มีทางเลือกนอกจากนี้ ท้ายที่สุดเขาก็ยังไม่เห็นหมีตัวนั้นและไม่รู้ว่ามันอยู่เลเวลใด
ภูเขาป่าแบล็คลีฟปกคลุมไปด้วยเมฆสูงที่ค่อยๆ ลอยห่างจากภูเขาหิมะทางด้านฝั่งทะเลตะวันออก ล่องลอยผ่านฝั่งตะวันออกไปยังฝั่งตะวันตก
รากของต้นไม้ที่หยั่งลึกก็หยั่งลึกมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ในผืนป่าที่ไม่มีที่สิ้นสุดแห่งนี้เป็นที่อยู่ให้กับเผ่าพันธุ์หลากหลายและสัตว์น้อยใหญ่ ในเผ่าพันธุ์พวกนี้มีอาณาจักรที่ลึกลับและมั่งคั่งที่สุดตั้งอยู่ก็คือเมืองดาร์คไนท์ซึ่งเป็นที่อยู่ของเผ่าเอลฟ์ราชวงศ์แบล็คลีฟและประชาชนของพวกเขา
แน่นอนว่าต้องมีมังกรยักษ์จำนวนมากในป่าขนาดใหญ่เช่นนี้
ภูเขาที่กั้นเมืองชายแดนจากมหาสมุทรถูกวิลเลียมเรียกว่าภูเขากั้นกลางเพราะว่ามันไม่ได้สูงมากนักในการกั้นระหว่างเขากับมหาสมุทร นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงตั้งชื่อให้มันง่ายๆ…
เขารู้ว่าอะไรอยู่ใกล้มหาสมุทรและรู้ยิ่งกว่าว่ามีทรัพยากรสุดคณานับและทรัพย์สมบัติอยู่ในนั้น แม้ว่าจะมีเหล่าเงือกน้อยอยู่ตามชายหาด แต่หลังจากปัดกวาดพวกมันออกไป ทะเลแสนกว้างใหญ่จะนำประโยชน์มาให้พอสมควร
อย่างน้อยเขาก็จะสามารถเพิ่มอาหารบนโต๊ะให้กับพลเมืองของเขาได้บ้าง
มีเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่จะอยู่ใกล้กับมหาสมุทรฝั่งตะวันออกของทวีป
โดยพื้นฐานแล้ว ทางแดนใต้จะถูกขวางด้วยภูเขาแบล็คลีฟทำให้เป็นการยากที่จะได้เก็บเกี่ยวทรัพยากรทางทะเล มีเพียงประเทศฝั่งตะวันออกเท่านั้นที่จะเข้าถึงมหาสมุทร
แต่ประเทศส่วนใหญ่ไม่มีความต้องการที่จะพึ่งพาทะเลหรือหาอาหารจากมหาสมุทร ตามความคิดของพวกเขา ผืนดินคือสิ่งที่ควรแก่งแย่ง โดยปกติแล้วพวกเขาจะใช้มหาสมุทรเพื่อเป็นทางสำหรับขนส่งทรัพยากร
ในสายตาเหล่าขุนนางหลายคนก็เหมือนกัน
นอกเหนือจากปลาแล้ว ทุกอย่างในมหาสมุทรก็ดูน่ากลัวเกินไป จะให้กล้ากินได้ยังไงล่ะ?
ชาวประมงทั่วไปหาได้สนใจไม่ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังมองด้วยความพอใจอย่างเงียบๆ เป็นเรื่องดีที่สุดที่พวกตูดหมึกพวกนั้นไม่ได้กินของเหล่านี้
ความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์อันเจิดจ้าส่องลงมายังป่าเขา ใบไม้ที่เรืองรองไปด้วยแสงสว่างทำให้มันดูน่าหลงใหลราวกับทองคำ
พวกเอลฟ์ทุกตนกลับมาโดยที่ไม่มีเหตุการณ์ร้ายใดๆเกิดขึ้นกับพวกเขา นี่ไม่ใช่ส่วนลึกของป่า ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะเจอเข้ากับพวกอสูรเวทย์ที่แข็งแกร่ง ขนาดที่ว่าการที่พวกเขาเจอกับหมีป่ายักษ์ในตอนนี้ยังเรียกได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ
วิลเลียมไม่ได้นำคนของเขาไปล้อมและโจมตีหมีป่ายักษ์ตัวนั้นในทันที
เขากลับให้พวกเขาพักเป็นเวลา 5 ชั่วโมงก่อน
หลังจากที่พวกเขารับประทานอาหารแล้ว ในที่สุดเขาจึงได้นำกลุ่มไปยังเหมืองเหล็ก
ที่นั่น พวกเขาเจอกับเอลฟ์ลาดตระเวนสามตนที่เฝ้าพื้นที่อยู่ วิลเลียมจึงพบว่าหมีป่ายักษ์ยังไม่ออกมาให้ล่า แต่มันกลับนอนอยู่ด้านในแทน เขาลูบคางแล้วจมลงไปในความคิด
ลอทเนอร์เจอรอยเท้าขนาดใหญ่ยักษ์หลายอันพร้อมกับคิดอยู่พักนึง ก่อนจะพูด “ข้าไม่สามารถสรุปได้ว่านี่คืออสูรเวทย์ระดับกลางหรือระดับสูง แต่เมื่อเราพร้อม เราก็สามารถชนะได้อย่างแน่นอน เพียงแค่ว่าอาจมีการตายเกิดขึ้นบ้าง”
“มันน่าจะดีที่สุดถ้าเราเตรียมการทุกอย่างให้เหมาะสม ฉันไม่ต้องการให้เหล่านักรบของพวกเราต้องตาย!” วิลเลียมส่ายหัว เอลฟ์นักรบตนอื่นต่างจ้องไปที่เขา แต่ยังคงความเงียบไว้
“ฤดูใบไม้ผลิเพิ่งเริ่มต้นนี่ ใช่มั้ย?” เขาถามขึ้นมาอย่างกระทัน
“ถูกต้องแล้ว มีอะไรหรือ?” ลอทเนอร์ตอบ
วิลเลียม แบล็คลีฟหรี่ตาของเขาลง “ถ้าอย่างนั้น มันก็มีความเป็นไปได้ที่เจ้าหมีป่ายักษ์ตัวนั้นกำลังจะคลอดลูก? เท่าที่ฉันรู้ พวกหมีจะท้องในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและคลอดในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ!” (นี่คือเรื่องราวความรู้ใน Gods)
“ฮึ่ม ถ้าเป็นอย่างนั้น นี่ก็จะง่ายขึ้นเยอะเลย!” ลอทเนอร์ไม่ได้คิดพิจารณาด้วยซ้ำว่าการฆ่าหมีตัวเมียครรภ์แก่ตัวหนึ่งจะเป็นเรื่องโหดร้าย เหล่าเอลฟ์ตาใสตนอื่นก็กำลังคิดเหมือนกัน
ในโลกแห่งนี้ ผู้แข็งแกร่งกินผู้อ่อนแอ ย้อนกลับไปในช่วงเวลาก่อนๆ เหล่าเอลฟ์ที่พิชิตรวบรวมทั่วทั้งทวีปเข้าใจในหลักการนี้ พวกเขาสามารถมีเมตตา หรือแม้แต่โอบอ้อมอารีย์มากๆ ก็ได้ แต่นั่นเป็นการกระทำที่เสแสร้งเพื่อให้เผ่าพันธุ์ของเขาปลอดภัย
และเป็นเพราะความอดทนอดกลั้นที่มากเกินไปของพวกเขา มันส่งผลให้เผ่าพันธุ์อื่นแข็งแกร่งขึ้นและยังทำให้นำไปสู่การที่เหล่าเอลฟ์ได้สูญเสียอำนาจอย่างสมบูรณ์ พวกเขายังคงจำทั้งหมดนี้ได้อย่างชัดเจนมากๆ
หากว่าหมีป่ายักษ์ตัวนี้กำลังท้องอยู่จริงๆ หลังจากที่มันพักฟื้นแล้ว เมืองชายแดนแห่งนี้อาจจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างมาก
ยังไม่พูดถึงว่านี่ไม่ใช่หมีธรรมดา มันคืออสูรเวทย์!
อสูรเวทย์ใดๆ ล้วนแต่โหดเหี้ยมรุนแรงและไม่สามารถที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ นอกจากข้อยกเว้นเล็กๆ แล้ว อสูรเวทย์จะกลืนกินทุกเผ่าพันธุ์ที่ต่างจากตน
“เก็บรวมรวมหญ้ายาสลบจำนวนมากให้ได้เพื่อสกัดพิษหรือนำมันมาเผาในถ้ำ ขุดร่องให้ลึกอย่างน้อยสิบเมตรและกว้างอย่างน้อยห้าเมตร สานตาข่ายที่สามารถคลุมหมียักษ์ขนาดห้าเมตรได้อย่างน้อยสามอัน เมื่อเราเตรียมการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว มุ่งไปที่การฆ่ามันโดยไม่ให้มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต!” ลอทเนอร์สั่งการและเหล่าเอลฟ์ที่เหลือก็ขยับขยายเพื่อทำหน้าที่ของตนให้เสร็จอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
การขุดร่องนั้นไม่ได้ถูกทำขึ้นจากเอลฟ์นักล่าเพียงเท่านั้น เอลฟ์นักรบอีกหนึ่งร้อยห้าสิบตนก็ทำงานนี้เพราะเอลฟ์นักล่าต้องไปสานตาข่ายยักษ์อีกด้วย!
สำหรับหน่วยลาดตระเวน พวกเขาไปรอบๆ เพื่อหาหญ้ายาสลบ เช่นเดียวกับยาอื่นๆ ที่ไม่ได้มีพิษร้ายแรงจนเกินไป เพราะอย่างไร เนื้อของอสูรเวทย์นั้นก็มีรสชาติดีทีเดียว
ถ้า NPC ต้องการที่จะเจริญเติบโต นอกจากการต่อสู้แล้ว พวกเขาสามารถกินอาหารทุกประเภทและยาที่มีพลังเวทย์เพื่อทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นและเลเวลเพิ่ม
ผู้เล่นอาจจะได้รับค่าประสบการณ์จำนวนมากหากพวกเขากินมันเข้าไปเช่นกัน อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องน่าอนาถาที่พวกเขาสามารถกินไอเท็มแต่ละอันเป็นจำนวนจำกัดในแต่ละครั้ง
วิลเลียมยังคงจำผู้เล่นที่ร่ำรวยในชีวิตก่อนหน้านี้คนหนึ่งได้ ผู้ที่ได้รับชื่อเล่นว่าเป็นนักกินจากการกินของเขา ผู้เล่นคนนั้นยังสามารถขึ้นไปถึงเลเวล 80 ได้จากแค่การกิน เขาไม่เคยตามหลังผู้เล่นระดับท็อปคนไหนจนกระทั่งช่วงกลางของเกม
อย่างไรก็ตาม ในการที่จะได้รับชื่อเล่นนั้น ดูเหมือนว่าจะต้องกินเนื้ออสูรเวทย์อย่างน้อยหนึ่งพันชนิดและเนื้อมังกรอย่างน้อยห้าชนิด นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายไปกว่าการกลายเป็นผู้เล่นระดับรีเจนดารี อันที่จริง มันออกจะบ้ากว่าด้วยซ้ำไป
ท้ายที่สุด มันก็คือเนื้อมังกร!
มันเป็นแค่เนื้อหนึ่งชิ้นที่หาซื้อได้ยาก ถ้า NPC ซักตนที่ฆ่ามังกรได้และไม่มีระดับมิตรภาพที่แน่นอน มันจะเป็นการยากอย่างมากสำหรับผู้เล่นที่จะซื้อเนื้อมังกรหรือเลือดจากพวกเขาได้
ภารกิจการขุดที่ยุ่งวุ่นวายดำเนินต่อไปและไร้ซึ่งสัญญาณของหมีป่ายักษ์ตัวนั้น
วิลเลียมจ้องไปที่ถ้ำ ไม่มีใครเข้าไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่ามันลึกแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ลอทเนอร์สามารถยืนยันได้คือหมีป่ายักษ์ตัวนั้นอยู่ด้านใน เขาสามารถรับรู้ถึงพลังงานชนิดนั้นได้ จากการใช้โสตประสาทในการฟังของพวกมันหมีตัวนั้นควรจะรู้ตัวว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นด้านนอกถ้ำแล้ว แต่มันกลับไม่ออกมา นั่นหมายความว่าปัญหาของมันทั้งใหญ่และลำบาก!
วิลเลียม แบล็คลีฟไม่อาจห้ามใจที่จะเลียริมฝีปากของเขาได้ หากหมีตัวนั้นกำลังท้องอยู่จริงๆ เขาสามารถรออีกหน่อยและอาจจะลองทำให้หมีป่ายักษ์เชื่อง นี่จะทำให้เขาเติบโตขึ้นอีกเยอะ
ลืมการขี่มังกรไปได้เลย การขี่หมีป่ายักษ์ระดับกลางเข้าไปในอารีน่าคงจะดึงดูดความสนใจได้ดีทีเดียว
แม้ว่าเหล่าอัศวินจะมีการขี่สัตว์มากมายหลายประเภท ส่วนใหญ่ก็จะเป็นม้าจากพันธุ์ที่แข็งแกร่งขึ้นไป ถ้าพวกเขาต้องการที่จะรวมกลุ่มขี่อสูรเวทย์ หลายๆประเทศคงไม่สามารถที่จะรองรับราคาได้ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมมีขุนนางเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นที่สามารถขี่อสูรเวทย์ได้
สำหรับพวกผู้เล่นหรอ?
ไม่จำเป็นแม้แต่จะคิดในตอนต้นเกม นอกจากนักล่าและผู้อัญเชิญ ผู้เล่นอื่นก็สามารถเป็นได้แค่เจ้าของม้าธรรมดาๆ เท่านั้น หากพวกเขาได้ขี่อะไรที่แข็งแกร่งกว่านี้ซักหน่อย มันคงจะรู้สึกเหมือนกำลังขับปอร์เช่อยู่ในขณะที่หัวเราะไปด้วยราวกับคนโง่…
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ทางเข้าของถ้ำมีหญ้ายาสลบกองอยู่ขณะที่ลูกธนูของทุกคนเคลือบไปด้วยยาพิษ ร่องขนาดยักษ์สามร่องถูกขุดไว้ใกล้กับทางเข้า
เหล่าเอลฟ์ที่ถือคันธนูและลูกธนูทั้งหมดต่างปีนขึ้นไปบนต้นไม้ รอคอยคำสั่งถัดไป
เหล่านักดาบเวทย์เองก็รออยู่ พร้อมสำหรับการระเบิดที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขา
‘แบทเทิล คัต’!
นี่เป็นสกิลการโจมตีระยะไกลที่แข็งแกร่งที่สุดที่นักดาบเวทย์ระดับสิบมี มันมีระยะมากถึง 4 เมตร!
ในตอนนี้ วิลเลียมยังคงลังเล!
เสียงคำรามกึกก้องที่ดังมาจากด้านในของถ้ำเคลือบไปด้วยอารมณ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้
เขาตะโกนขึ้นทันที “จุดหญ้ายาสลบและพัดควันเข้าไปในถ้ำ ถอยกลับทันทีถ้าได้ยินอะไรก็ตามจากด้านใน!”
เพียงขณะที่เอลฟ์หลายตัวกำลังจะจุดไฟและโยนหญ้ายาสลบเข้าไปในถ้ำ ก็รู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง!
“เร็วเข้า ถอยกลับ!” ในจังหวะที่ลอทเนอร์พูดจบ เหล่าเอลฟ์ทั้งห้าที่ควรจะเผาหญ้าก็ขยับออกไปแล้ว พวกเขาอยู่ใกล้ที่สุดและคงจะได้ยินมัน พวกเขาจะไม่กลายเป็นคนโง่หรือหากยังยืนอยู่ตรงนั้น?
ความภักดีไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะส่งตัวเองไปตายโดยไม่มีความหมาย…
สัตว์ขนาดยักษ์ปรากฎตัวขึ้นโดยกำลังวิ่งออกมาจากถ้ำ มันยืนขึ้นด้วยขนสีดำเลื่อมของมัน ตาของมันแผดเผาทำให้คนหยุดนิ่งเมื่อจ้องไปที่มัน ออร่าความโกรธของมันท่วมไปทั้งพื้นที่!
แม้แต่เอลฟ์นักรบผู้กล้าก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อยในตอนนี้
ตาสีดำสนิทของมันมองไปรอบๆ ก่อนที่มันจะทุบอุ้งมือยักษ์ของมันไปที่กองไฟ!
วิลเลียมหรี่ตาของเขาลง “ยิง!”
ทันใดนั้นลูกศรต่างร่วงหล่นมาจากฟากฟ้าเป็นสาย!
ฝนลูกศรที่เต็มไปด้วยพลังการต่อสู้พุ่งตรงไปยังหมีป่ายักษ์…
แต่หมีป่ายักษ์ตัวนี้ก็เต็มไปด้วยเวทมนตร์และไม่ได้อ่อนแอเช่นกัน แค่เสียงคำรามธรรมดาเหล่าลูกธนูทุกดอกก็ร่วงลงทันที มีเพียงลูกธนูไม่กี่ดอกเท่านั้นที่มีพลังที่แข็งแกร่งกว่าสามารถพุ่งผ่านคลื่นพลังไปได้ แม้ว่ามันจะอ่อนแอลงต่อหน้าหมีป่ายักษ์
เนื่องจากลูกธนูไม่สามารถเจาะทะลุหนังหมีป่ายักษ์ได้ พวกเขาจึงทำให้มันบาดเจ็บไม่ได้ หนังที่หนาของมันทำให้รู้สึกน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง
พลังชีวิตของมันจะลดรึเปล่า?
เกมนี้ไม่มีอะไรแบบนี้นี่…
ถ้าไม่อย่างนั้นเมื่อผู้เล่นนับพันยิงธนูใส่มังกรพร้อมๆกัน มังกรตัวนั้นมันก็คงจะไม่ตายแค่เพราะยุงตัวเล็กหลายๆ ตัวกัดหรอกใช่มั้ย?
ดูเหมือนวิลเลียมจะคาดการณ์ไว้แล้วดังนั้นเขาจึงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อย่างงั้น นักธนูเอลฟ์บนต้นไม้ยังคงโจมตีต่อ คลื่นลูกธนูลดเวทย์ป้องกันของหมีป่ายักษ์อย่างช้าๆเนื่องจากมันไม่สามารถใช้เสียงคำรามได้อย่างต่อเนื่อง
ระหว่างนี้วิลเลียมหยิบธนูขาวแล้วเล็งไปที่ดวงตาของหมีป่ายักษ์ แต่น่าเสียดายที่มันหลบได้และมีเวทมนตร์ที่จะป้องกันลูกธนูไม่ให้โจมตีมันได้
“ตอนนี้ฉันน่าจะหลอกมันให้เดินรอบๆได้..”
น่าตกใจที่ดูเหมือนว่าหมีป่ายักษ์จะรู้ว่ามีกับดักอยู่ใกล้ๆและไม่วิ่งไปอย่างผลีผลาม
แต่กลับมองมาที่วิลเลียมที่อยู่ใกล้มัน แล้วใช้สกิลศิลาหนาม!
ศิลาหนามที่มีเส้นรอบวงอย่างน้อยแปดเมตรเกิดขึ้นใต้ฝ่าเท้าวิลเลียม ลอทเนอร์ที่อยู่ใกล้ๆรีบคว้าไหล่ของเขาและกระโดดขึ้น ก่อนจะโยนวิลเลียมขึ้นไปบนต้นไม้
จากนั้นก็พลิกตัวกลางอากาศ!
หยิบคันธนูทองคำแล้วง้างสาย!
ลูกศรสีเงินพุ่งออกไปทันที จากนั้นก็ใช้พลังการเคลื่อนไหวล่าถอยออกไปอย่างใจเย็น
ลูกศรทำให้เกิดการหมุนวนในอากาศ เกิดเสียงฟ้าคำรามดังทะลุผ่านแก้วหูของผู้คน
จากศรดอกเดียวเท่านั้น!
ทันใดนั้นเลือดจำนวนมากก็ไหลออกมาจากอุ้งมือของหมีป่ายักษ์ มันยกมือขึ้นเพื่อป้องกันหัวของมัน
ไม่ว่าหนังมันจะหนาหรือแข็งแรงแค่ไหน มันเพิ่งจะคลอดลูก เพิ่งมันจึงยังคงอ่อนแออยู่มาก
การโจมตีเต็มรูปแบบของ NPC ระดับอีปิคทำให้เกิดการบาดเจ็บสาหัสที่อุ้งมือข้างซ้าย มันจึงไม่กล้าขยับแบบลวกๆ อีกต่อไป
หมีป่ายักษ์จ้องมองลอทเนอร์ด้วยความโกรธ มันลังเลว่าควรจะรีบไปฆ่าอาหารโง่ๆชิ้นนี้ดีหรือไม่
แต่เมื่อมันเห็นลอทเนอร์หยิบลูกธนูอีกดอกออกมา มันก็วิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล
ทันทีที่มันเคลื่อนตัวออกจากถ้ำอย่างเต็มที่ นักล่าเอลฟ์สี่ตนที่จับมุมของตาข่ายขนาดยักษ์ก็กระโดดลงมา คลุมหัวของมันทันที
เช่นเดียวกับนักล่าคนอื่นที่เร่งรีบเข้ามาช่วย หมีป่ายักษ์ใช้ความแข็งแกร่งอันบ้าคลั่งของมันอีกครั้ง ด้วยการดิ้นรนของมันนักล่าทั้งสี่ต่างถูกโยนไปตกตรงต้นไม้ใหญ่อย่างแรง พวกเขากระอักเลือดด้วยความเจ็บปวด รู้สึกราวกับว่าอวัยวะถูกทำลาย…
“ใช้เฟเทลช็อต!!” วิลเลียมตะโกนเสียงดัง เหล่าเอลฟ์ที่อยู่บนต้นไม้ต่างดึงคันธนูออกมา เติมพลังของธนูให้เต็มเปี่ยม นี่เป็นทักษะที่ง่ายและมีประโยชน์ที่สุด!
พวกเขาใช้พลังการต่อสู้ประมาณ 30% เป็นเวลา 1.5 วินาที สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของการโจมตีพื้นฐานได้ 150%
นอกจากนั้น นี่เป็นทักษะที่ยังไม่ได้เพิ่มเลเวล ถ้าเป็นเฟเทลช็อตเลเวลสูงมันจะส่งผลกระทบเป็นสองเท่า
มันเกิดขึ้นเพียงหนึ่งวินาที
เฟเทลช็อตกว่าร้อยสายที่เต็มไปด้วยพลังอันบ้าคลั่งตรงเข้าหาเป้าหมาย
สายเลือดไหลเป็นลำธาร หมีป่าที่เพิ่งฉีกตาข่ายได้ พบกับการบาดเจ็บสาหัสเป็นครั้งที่สอง
ดูเหมือนว่ามันจะโกรธมากกว่าเก่า ร่างของมันพุ่งทะยานด้วยเวทมนตร์ วิ่งตรงไปด้านหน้าด้วยความบ้าคลั่ง พื้นดินสั่นสะเทือนทำให้ง่ายต่อการดึงหินขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเปลือกหอย ก่อนมันจะขว้างหินเหล่านั้นไปทางเอลฟ์ที่ยืนบนต้นไม้
ดีที่ลอทเนอร์ได้บอกเอลฟ์ตนอื่นๆไว้ก่อนว่าตราบใดที่เห็นมันใช้เวทมนตร์ไปทิศทางใดทิศทางหนึ่ง พวกเขาควรหยุดการโจมตีและกระโดดลงจากต้นไม้ทันทีแล้ววิ่งไปทางอื่น การฆ่าอสูรเวทย์เป็นสิ่งสำคัญก็จริงแต่ชีวิตของพวกเขานั้นสำคัญมากกว่า
นั่นเป็นเหตุผลที่ชัดเจนมาก
การโจมตีของหมีป่ายักษ์ไม่มีประโยชน์ ในความเป็นจริงอาการบาดเจ็บของมันเริ่มรุนแรงขึ้น ในขณะที่ใช้หินโจมตีต่อไป อุ้งมือของมันก็กระแทกกับอากาศ…
ตุ้บ!
หมีป่ายักษ์วิ่งเข้ามาและตกลงไปในกับดักที่เต็มไปด้วยหนามอย่างงุ่มง่าม หลายส่วนของร่างกายถูกแทงด้วยกับดัก เลือดของมันไหลมากขึ้น
ความเจ็บปวดที่คาดไม่ถึงทำให้มันคำรามไม่หยุด เสียงดังอึกทึก
นักล่ากลุ่มที่สองถือตาข่ายอีกผืนหนึ่งไว้เพื่อครอบมัน ในที่สุดมันก็ถูกหมีป่ายักษ์ฉีกขาดอีกครั้ง นักล่าหลายคนก็ถูกโยนออกไปด้วย ต้องยอมรับว่านักล่าเป็นอาชีพที่อันตรายมากจริงๆ…
แต่ตราบใดที่นักล่าทำภารกิจสำเร็จ รางวัลที่ได้รับนั้นไม่เล็กน้อยเลย โดยเฉพาะนักล่าเลเวลสูงที่สามารถทำให้อสูรเวทย์เชื่องได้
หมีป่ายักษ์พยายามลุกขึ้นโดยไม่สนใจความเจ็บปวดจากการถูกแทง มันอยากเคลื่อนย้ายหินทั้งหมดใต้ร่างเพื่อปีนออกไป
นี่คือความแตกต่างระหว่างกลุ่มล่าขนาดใหญ่และขนาดเล็ก!
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผจญภัยของผู้เล่นกลุ่มเล็กๆหรือกลุ่มของ NPC ต่างก็มีคนไม่มากพอ
อย่างไรก็ตาม วิลเลียมมาเพื่อเริ่มสงคราม…
ขณะที่หมีป่ายักษ์เงยหน้าขึ้น นักดาบเวทย์เตรียมกับดักโดยรอบ เกือบในเวลาเดียวกันพวกเขาก็แกว่งดาบยาวไปมา!
ทักษะดาบที่เต็มไปด้วยพลังการต่อสู้บดบังกับดักทั้งหมด!
เสียงดังลั่นดังมาจากใต้ฝ่าเท้า
วิลเลียมไม่เคยเห็นใครขังหมีในกับดักด้วยทักษะดาบที่เต็มไปด้วยพลังการต่อสู้มาก่อน ตอนนี้พวกเขารังแกหมีจริงๆ
มันก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วนี่
หลังจากที่หมีป่ายักษ์ได้รับประสบการณ์จากคลื่นพลังการต่อสู้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ขนที่เป็นประกายของมันก็ขาดรุ่งริ่ง ทั่วร่างกายเต็มไปด้วยเลือดและบาดแผล…
ดวงตาของมันเศร้าสร้อยและเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ไม่สามารถหยุดน้ำตาสองสายที่ไหลลงมาได้ ราวกับกำลังอ้อนวอนเพื่อได้เห็นลูกของมันอีกครั้ง
เอลฟ์นักดาบเวทย์เหลือบมองกัน แม้ว่าอสูรเวทย์จะโหดร้ายแต่ความรักของแม่นั้นก็ไม่ผิดเลย
พวกเขาไม่ได้โจมตีเป็นครั้งที่สอง แต่กลับมองไปยังลอร์ดของพวกเขาแทน…
วิลเลียมเดินไปพร้อมกับการป้องกันของลอทเนอร์ เขามองไปยังหมีป่ายักษ์ที่กำลังจะตาย สบตากับมัน
มันเป็นแค่อสูรเวทย์ระดับกลางไม่ใช่อสูรเวทย์ระดับสูง ถ้าไม่อย่างนั้นการต่อสู้ครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ว่ามันจะอ่อนแอมาก…
วิลเลียมรู้ว่าตาของมันข้างหนึ่งบอดในขณะที่อีกข้างถูกย้อมไปด้วยเลือด ดูเหมือนว่าไม่สามารถมองเห็นได้อีกต่อไป
เขาถอนหายใจ เอื้อมมือไปอุ้มลูกหมีตัวเล็กที่ยังไม่ลืมตาดูโลกมาจากนักลาดตระเวน ขนของมันยังไม่ขึ้นและหลับสนิทมาก เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้เห็นการต่อสู้ครั้งนี้
จากนั้นเขามองไปยังลอทเนอร์ ทั้งสองกระโดดลงไปยังกับดักด้วยกัน
วิลเลียมอุ้มลูกหมีไปตรงจมูกของแม่ ปล่อยให้มันดมกลิ่น จากนั้นเขากล่าวว่า “ไม่ต้องห่วง ฉันจะให้ลูกๆของแกมีชีวิตและดูแลพวกมันอย่างดี!”
แม้ว่าหมีป่ายักษ์จะมองไม่เห็น แต่มันก็ยังสามารถดมกลิ่นลูกของมันได้ มันจึงพยักหน้าอย่างสงบ
ด้วยเหตุนั้น…
ลอทเนอร์จึงใช้ดาบแทงหัวของหมีป่ายักษ์…
เขาปล่อยให้มันตายอย่างรวดเร็ว
ตอนจบที่สมบูรณ์แบบ
ท่านลอร์ดได้รับชัยชนะ
หมีป่ายักษ์ระดับกลางได้ตายลง
พวกเขาทำให้เหมืองเหล็กปลอดภัย
พวกเขาได้รับลูกหมีตัวเล็กที่ยังไม่ลืมตาสามตัว
วิลเลียมไม่รู้ว่าทำไมแต่เขารู้สึกราวกับว่าเป็นครั้งแรกที่เขาได้ถูกแช่ไว้ในโลกนี้และใช้วิญญาณเพื่อสัมผัสถึงอารมณ์ความรู้สึกของใครอีกคนหนึ่ง
แต่หลังจากที่รู้สึกโศกเศร้า…
“ทำไมฉันอยากที่จะยิ้มกันนะ?” วิลเลียมอุ้มลูกหมีสามตัวไว้ในอ้อมแขน ไม่สามารถหยุดคิดเกี่ยวกับอนาคตอันราบรื่นได้ ทำไมเขาถึงไม่ฆ่าหมีตัวนั้นแทนและรับค่าประสบการณ์?
นั่นเป็นเพราะมันจะไม่เป็นการยุติความเจ็บปวด แต่เป็นการเพิ่มความเจ็บปวดแทน ด้วยกำลังของเขา ปัญหามันอยู่ที่ว่าดาบของเขาจะทะลุหนังมันได้หรือไม่ ท้ายที่สุดแล้วเขาก็มีขอบเขตอยู่เช่นกัน…
“ท่านลอร์ด นี่เป็นเหมืองเหล็กขนาดกลาง พวกออร์คขุดไปแต่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น เหมืองแห่งนี้ยังมีแร่เหล็กอยู่อีกเป็นจำนวนมาก”
“เราเห็นแร่เหล็กบริสุทธิ์มากมาย แร่พวกนี้ทั้งหมดมีส่วนประกอบเป็นเหล็กอย่างน้อยสามสิบเปอร์เซ็นต์ นี่เป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับเหมืองเหล็กขนาดกลาง!” เอลฟ์ทหารราบตนหนึ่งวิ่งออกมาอย่างเร่งรีบ ในมือของเขาถือแร่เหล็กจำนวนหนึ่งพร้อมกับอธิบายสถานการณ์
เมื่อนักรบตนอื่นได้ยินข่าวอย่างนั้น ริมฝีปากของพวกเขาก็เผลอยกยิ้มขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
ถูกต้องแล้วล่ะ
เหมืองเหล็กขนาดกลางบรรจุแร่เหล็กบริสุทธิ์อย่างน้อยหนึ่งล้านตัน นั่นเป็นแร่เหล็กบริสุทธิ์จำนวนมากเลยทีเดียว เพราะว่าเหมืองแห่งนี้ใหญ่พอ พวกเขาจึงสามารถขุดหลุมได้มากขึ้น ตราบเท่าที่มีแรงงานเพียงพอ พวกเขาก็จะสามารถขุดแร่เหล็กได้อย่างน้อยสามร้อยตัน หากพวกเขาเจียรเหล็กด้วยตัวเอง มันอาจจะได้น้อยลงมาก แต่พวกเขาจะสามารถขายมันได้ในราคาที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ถ้าแร่พวกนั้นมีเปอร์เซ็นต์ส่วนประกอบของเหล็กสูง ราคาขายของพวกมันก็จะเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน
ด้วยความเร็วในการขุดแบบธรรมดา ถ้าไม่มีอุปสรรคใดๆ เหมืองแห่งนี้น่าจะอยู่ได้ถึงหลายทศวรรษ
ถึงแม้ว่าสำหรับคนอื่น นี่เป็นแค่เกมและเหล็กอาจจะไม่มีค่าอะไรต่อผู้เล่นทั่วไป แต่สำหรับลอร์ด NPC อย่างเขาแล้ว มันเป็นวัสดุที่ล้ำค่ามากๆ
แค่เหมืองเหล็กเพียงเหมืองเดียวก็อาจได้รับเหรียญทองมากถึงสองหมื่นเหรียญในหนึ่งปี
หนึ่งเหรียญทอง = 100 เหรียญเงิน = 10000 เหรียญทองแดง
อาจไม่ได้เหรียญทองมากนักแต่การที่สามารถผลิตได้อย่างต่อเนื่องนั้นเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้อาณาเขตของเขาก็ต้องใช้เหล็กอีกมาก
อีกอย่าง
เขาจน! ต่อให้เขาเคยใช้เหรียญทองเป็นล้านไปอย่างง่ายดายในชีวิตก่อนหน้า เขาก็ยังคงปวดหัวใจเมื่อคิดถึงมัน…
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาต้องดูแลผู้คนอีกมากมาย ถ้าเขาต้องการที่จะขยายอาณาเขตของเขาและสร้างอาณาเขตของเมืองฝ่ายกลางให้กว้างขึ้นไป เหรียญทองเป็นพันๆ เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ เหล่าลอร์ดและผู้เล่นทั่วไปไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลย
“ในที่สุดตอนนี้อาณาเขตแห่งนี้ก็มีเหมืองที่พวกเราสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ งั้นเรากลับและไปคัดเลือกคนงานที่จะมาเริ่มงานทันทีกันเถอะ พวกท่านทุกคนจะได้รับรางวัล 5 เหรียญเงิน!” วิลเลียมไม่ลังเล มันเป็นแค่เหมืองเหล็กธรรมดาแห่งหนึ่ง แม้ว่าข่าวสารจะกระจายออกไปก็ไม่เป็นไร พวกอาณาจักรทั้งสองถัดจากพวกเขานั้นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องส่งกองทัพมากำจัดเมืองชายแดนแห่งนี้เพียงเพื่อเหรียญทองสองหมื่นเหรียญต่อปี
เมืองชายแดนแห่งนี้ตะเกียกตะกายเอาตัวรอดได้มาเป็นเวลานานแล้ว ครั้งหนึ่งภายใต้การปกครองของพ่อเขาและตอนนี้ภายใต้การปกครองของเขา และอีกหลายครั้งโดยเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์จากป่าแบล็คลีฟ ตราบใดที่เขาไม่เข้าไปพัวพันในสงครามระหว่างพวกสองอาณาจักรนั้นหรือไปเปิดเผยขุมสมบัติของพวกเขา โดยธรรมชาติแล้วศัตรูพวกนั้นก็จะไม่ทำอะไรเช่นกัน
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีใครที่อยากจะยั่วโมโหเอลฟ์จากป่าแบล็คลีฟ!
แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักวิลเลียม แบล็คลีฟเป็นอย่างดี แต่ก็รู้ว่าเขานั้นมีความสำคัญต่อเอลฟ์แบล็คลีฟมากเพียงใด ดูได้จากการที่เขามีเอลฟ์องค์รักษ์ถึง 500 ตน…
“ขอบคุณท่านลอร์ด” เอลฟ์นักรบทั้งหลายโห่เชียร์ด้วยความสุข
ลอทเนอร์ยิ้มเล็กน้อย เขาชี้ไปยังหมีที่ตายอยู่ในกับดัก ก่อนจะพูด “แล้วอสูรเวทย์ระดับกลางนี่ล่ะ? เราไม่สามารถขายหนังของมันได้แล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็ หนังของหมีป่ายักษ์ที่ตัวใหญ่ขนาดนี้เต็มตัวสามารถขายได้อย่างน้อย 1000 เหรียญทอง ถ้าเราขายเนื้อของมัน เราก็สามารถขายได้อย่างน้อย 800 เหรียญทองเช่นกัน!”
วิลเลียมคิดอยู่พักหนึ่ง “ไม่จำเป็น หมีป่ายักษ์ตัวนี้อย่างน้อยๆ ก็หนักถึง 4000 กิโลกรัม เนื้อของมันก็เต็มไปด้วยพลังเวทย์เช่นกัน เพราะฉะนั้นเราเก็บมันไว้เองกันเถอะ นักรบทุกตนที่มากับเราจะได้รับเนื้อ 5 ปอนด์ ในขณะที่นักรบผู้พิทักษ์บ้านเมืองของเราจะได้รับ 2 ปอนด์”
“ขอบคุณท่านลอร์ดของข้า! ขอให้ต้นไม้แห่งชีวิตที่เคารพจงอวยพรแก่ท่าน!” การขอบคุณในครั้งนี้ต่างออกไปอย่างลิบลับเมื่อนักรบเอลฟ์มีความประทับใจที่ดีขึ้นต่อวิลเลียม
ไอเท็มมากมายที่สามารถเพิ่มความสามารถของคนๆ หนึ่งนั้นยากที่จะหาซื้อ เนื้ออสูรเวทย์ 5 ปอนด์ถูกตั้งราคาอยู่ที่ประมาณ 10 เหรียญเงิน แต่ในความจริงก็คือมันเป็นเรื่องยากที่จะซื้อเนื้ออสูรเวทย์อันล้ำค่านี้ แม้แต่ในราคา 50 เหรียญเงิน
ของขวัญจำพวกนี้เป็นของที่มาจากความกรุณาอย่างยิ่งไม่สำคัญว่ามันจะมาจากลอร์ดคนใด
อีกอย่าง ไม่มีใครซักคนที่ได้รับบาดเจ็บและเขาก็ไม่ได้ทอดทิ้งเหล่าทหารผู้พิทักษ์ที่อยู่ในเมืองเช่นกัน นี่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าลอร์ดคนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ครั้งนี้! อย่างน้อย อุปนิสัยของเขาก็ดีมากๆ!
อย่างไรก็ตาม วิลเลียมยังเก็บศีรษะอันใหญ่ของหมีไว้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้จะกินทุกส่วนของมัน ไม่สำคัญว่ารสชาติของอสูรเวทย์ระดับกลางจะดีขนาดไหน มันก็น่าอนาถเกินไปอยู่ดี
แม้ว่าวิลเลียมจะเป็นทั้ง NPC และผู้เล่นคนหนึ่ง เขาก็ไม่ได้มีลิมิตที่มากขึ้นสำหรับความสามารถในการกินเนื้อ แต่เขานั้นยังคงสามารถเก็บเนื้อหมีไว้สำหรับเป็นรางวัลในภายหน้า
สำหรับมืออาชีพคนหนึ่ง การใช้สิ่งของเป็นรางวัลนั้นคุ้มค่ายิ่งกว่าค่าของเหรียญทองและมันก็มีประโยชน์มากกว่าอีกด้วย
ท้ายที่สุด วิลเลียมก็มีภารกิจในการเพิ่มเลเวล ในขณะที่ NPC คนอื่นๆ นั้นต้องพึ่งพาเพียงอาหาร, การต่อสู้, และการฝึกฝนเท่านั้นในการที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งของพวกเขา
“ท่านลอร์ด เจ้าตัวเล็กพวกนี้กำลังหิวรึเปล่า?” นอร์ตันกำลังอุ้มเหล่าลูกหมีสามตัวอยู่ เพราะว่าพวกเขามีเพียงแค่ผ้าขนสัตว์สีขาวอันบางๆ เพื่อคลุมตัวพวกมันไว้ เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องถอดเสื้อเชิร์ตตัวในและพันเสื้อนั่นรอบๆพวกมัน ด้วยความที่กลัวว่าหนึ่งในพวกนี้จะล้มป่วย ถ้าหากมันเกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้น จิตใจของเขา… คงไม่อาจที่จะจิตนาการได้
“เรากลับกันเลยเถอะ ให้ทีมทหารลาดตะเวนสิบคนคอยอยู่ที่นี่เพื่อเฝ้ายามและดูว่ามีใครคนอื่นอีกไหมที่เจอเหมืองแห่งนี้ เมื่อพวกเรากลับมา พวกเราจะส่งคนขุดเหมืองและทีมอื่นมาเปลี่ยน!” วิลเลียมอุ้มลูกหมีตัวหนึ่งไว้ เจ้าลูกหมีดูราวกับมันกำลังหิวมากๆ เขาจึงจำเป็นต้องหานมมาป้อนมันให้เร็วที่สุดเมื่อพวกเขากลับไปถึงเมือง
ทันทีที่เสียงของพวกเขาเงียบลง วิลเลียม แบล็คลีฟนำคนของเขากลับไปในทิศทางเดิมที่พวกเขามา เหมืองแห่งนั้นอยู่ห่างประมาณแปดกิโลเมตรจากเมืองชายแดนโดยวัดจากเส้นทางบนภูเขา มันไม่ใกล้มากนักแต่ก็ไม่ได้ไกลเกินไปเช่นกัน
ประเด็นหลักก็คือถนนหนทางบนภูเขานั้นยากในการเดิน ถ้าพวกเขาต้องการที่จะขุดเหมืองแห่งนี้ พวกเขาก็ต้องทำถนน ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่สามารถเคลื่อนย้ายแร่เหล็กได้
ในระหว่างทางกลับ วิลเลียมคิดเกี่ยวกับสิ่งนี้ขึ้นมากระทันหันและรู้สึกได้ถึงเรื่องปวดหัวที่กำลังจะมาถึง การโค่นต้นไม้นั้นต้องใช้เงิน แต่การทำถนนเองก็ต้องใช้เงินเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มีพวกคนประหลาดและคนจนมากมายในเมืองชายแดน ตราบใดที่มีเงิน คนพวกนี้ก็ทำได้ทุกอย่าง
มันไม่มีทางเลือก
พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของเมืองฝ่ายกลาง
มีประชากรดีๆ จำนวนน้อยเกินไป คนที่สามารถเอาตัวรอดที่นี่ได้นั้นธรรมดาแล้วจะเป็นอันธพาลหรืออาชญากร ถ้าพวกเขาไม่ได้ไปทำความเกลียดชังให้ใครบางคนอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาก็จะเป็นอาชญากรที่ถูกประกาศจับที่ไม่กล้าโผล่เข้าไปในเมืองของฝ่ายสว่าง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงสามารถอาศัยอยู่ได้แค่ในเมืองของฝ่ายกลางเท่านั้น
ย้อนกลับไปเมื่อพ่อเขายังคงอยู่ พ่อเขานั้นเคยใช้ความสามารถส่วนตัวเพื่อทำให้อาชญากรหลายคนกลายเป็นคนงานหรือทหารที่อยู่ในโอวาท
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เขาหายตัวไป ทหารกลุ่มนี้เป็นกลุ่มหนึ่งที่แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาให้เห็นเร็วที่สุด…
ถึงอย่างนั้น ข้อดีเกี่ยวกับการมีอันธพาลพวกนี้อยู่คือการที่พวกเขาแข็งแรงและทรงพลัง อีกทั้งในจำนวนของพวกเขาเหล่านี้ยังทำหลากหลายอาชีพ ตราบใดที่พวกเขามีความสามารถมากพอและถูกดึงดูดได้โดยเงิน มันเป็นเรื่องง่ายมากในการทำให้คนกลุ่มนี้ทำอะไรสักอย่าง
สองชั่วโมงต่อมา
ทหารกลุ่มหนึ่งพร้อมกับชุดเกราะอาบเลือด ในที่สุดก็เดินออกจากป่าและกลับมาถึงที่เมืองชายแดน
ชาวไร่ชาวนาหลายคนที่ว่างงานอยู่มองไปยังพวกเขาด้วยความประหลาดใจและพวกเขาทั้งหมดก็เริ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน หมียักษ์สูงห้าเมตรตัวนี้จริงๆ แล้วเป็นอสูรเวทย์อะไรกันแน่นะ?
แน่นอนว่ามันคืออสูรเวทย์ในเมื่อไม่มีสัตว์ปกติตัวใดที่สามารถใหญ่โตได้ขนาดนี้
“นั่นคือหมีป่ายักษ์ อสูรเวทย์ระดับกลางนี่! หรือมันอาจจะเป็นอสูรเวทย์ระดับสูงก็ได้!” ทันใดนั้นเองใครบางคนก็พูดขึ้น พร้อมกับดวงตาที่เป็นประกาย
ท้ายที่สุด นี่คืออสูรเวทย์ระดับกลางที่มาพร้อมกับเนื้อรสชาติเยี่ยมที่สามารถเพิ่มความสามารถของพวกเขาได้
“โอ้พระเจ้า มีแม้กระทั่งลูกหมีด้วย แถมยังมีตั้งสามตัวอีก! เป็นไปได้มั้ยว่า…” เมื่อผู้คนมองไปยังเหล่าลูกหมีในอ้อมแขนของวิลเลียม ความอิจฉาก็เพิ่มเข้ามาในหัวใจของพวกเขา
คนแรกที่พวกมันเห็นตอนที่พวกมันลืมตา คนนั้นก็จะเป็นเจ้าของพวกมัน!
ตราบใดที่ลูกหมีพวกนี้สามารถเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง พวกมันก็จะเป็นสุดยอดอาวุธบนสนามรบ
วิลเลียมเดินอย่างภาคภูมิใจ เมินเฉยต่อชาวไร่ชาวนาที่ไม่ซื่อสัตย์กลุ่มนี้ เหตุผลที่เขาต้องลากการเดินทางครั้งนี้ออกไปถึงสองชั่วโมงเป็นเพราะเขาไม่ต้องการที่จะตัวหัวหมียักษ์ตนนี้ออก เขาอยากจะให้คนพวกนี้เห็นหมีตัวนี้และอวดความสามารถของทหารผู้พิทักษ์ของเขาในเวลาเดียวกันว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรนอกเหนือคำสั่ง
“นม เอานมมาเดี๋ยวนี้เลย! ฉันต้องการให้อาหารพวกหมี!”
“ขออภัยครับท่านลอร์ด พวกเรามีแค่นมแกะในตอนนี้!”
“… งั้นก็เอาอันนั้นมา!”
“พวกเรามีนมแกะเหลือเพียงเล็กน้อยเช่นกัน หากพวกเราต้องการจะเลี้ยงดูพวกมันต่อไป พวกเราคงต้อง… ไปที่อาณาจักรเหล็กเพื่อซื้อนมเพิ่ม!”
“… ซื้อ!”
ลูกหมีสามตัวนอนอยู่ในเปล ซุกไซร้กันและกันโดยที่ดวงตายังปิดอยู่ราวกับต้องการที่จะหาที่ๆ อบอุ่นที่สุดในการนอน
อย่างไรก็ตาม ‘หมีใหญ่’ ลูกหมีตัวที่ใหญ่ที่สุดก็บังคับขืนตัวเบียดเข้าไปยังส่วนที่สบายที่สุด ทั้งอุ่นที่สุดและอยู่ในตำแหน่งตรงกลาง ‘หมีสอง’ และ ‘หมีสาม’ ที่ไม่อาจสู้พี่ชายของพวกมันได้ พวกมันจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจมลึกลงไปในความฝัน พวกมันกรนเบาๆ อยู่ตรงที่ของตัวเอง
วิลเลียมเพิ่งจะให้นมแกะพวกมันไป เขาลูบไล้ขนของพวกมันอย่างแผ่วเบา เจ้าทารกน้อยสามตัวนี้ไม่ใช่ลูกหมีทั่วไป
เขาเพิ่งจะตรวจพวกมันดูเมื่อกี้
หมีใหญ่นั้นสืบสายเลือดของอสูรเวทย์ระดับสูง ในขณะที่หมีสองและหมีสามทั้งคู่นั้นต่างมีสายเลือดของอสูรเวทย์ระดับกลาง
ในตอนต้นของเกม ต่อให้ผู้เล่นไม่สามารถหาอสูรเวทย์ระดับสูงได้ แต่ถ้าผู้เล่นคนใดที่สามารถหาตัวช่วยเป็นอสูรเวทย์ระดับกลางและค่อยๆ เติบโตได้ คนๆนั้นก็จะเป็นคนที่ดังที่สุดในกิลด์ พวกเขาแทบจะสามารถพูดกับเหล่าขุนทางของประเทศนั้นๆ ซึ่งๆหน้าได้เลย
มันเป็นเรื่องธรรมดา พวกเขานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่เหนือกว่ามาก
แม้ว่าสายเลือดที่มีเลเวลสูงจะมีการเจริญเติบโตที่ช้ากว่า แต่ตราบใดที่พวกเขาสามารถให้อาหารพวกมันได้อย่างเหมาะสม อสูรเวทย์ก็ยังคงโตเร็วกว่าสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา
วิลเลียมหยิบผ้าห่มปุกปุยอันหนึ่งขึ้นมาห่มให้กับลูกหมีสามตัว โดยเว้นช่วงหัวเล็กๆ ของพวกมันไว้สำหรับหายใจ ก่อนที่เขาจะออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
“ดูแลพวกมันให้ดี ฉันไม่อยากได้ยินเกี่ยวกับเรื่องอุบัติเหตุใดๆทั้งสิ้น!” วิลเลียมพูดกับสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกของประตู
“ค่ะท่านลอร์ด ฉันขอสาบานว่าจะดูแลลูกหมีที่น่ารักพวกนี้อย่างดีทุกวินาทีเลยค่ะ!” สาวใช้มองไปที่ลูกหมีสามตัว เธอไม่มีทางคิดว่าพวกมันจะโตขึ้นกลายเป็นหมีป่ายักษ์ที่น่ากลัวได้เลย ในเมื่อตอนนี้พวกมันช่างน่ารักน่าชังเหลือเกิน…
“ฮึ่ม ตั้งแต่นี้ไปฉันจะให้เหรียญเงินกับเธอเพิ่มเป็นรางวัลทุกเดือน” ในฐานะลอร์ด มันเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้สำหรับวิลเลียม แบล็คลีฟที่จะต้องมีคนรับใช้ และยังมีชาวไร่ชาวนาที่อดอยากอีกมากมายที่อยากจะเป็นคนรับใช้ของเขาอย่างไม่คิดชีวิต
เซียยืนเงียบๆ อยู่ที่ด้านข้าง หลุบตาและจมลงไปในความคิดราวกับเธอนั้นข้องใจอย่างมากกับการที่เด็กหนุ่มคนนี้ ดูเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ได้อย่างไรกัน
พวกเขาเก็บเกี่ยวของมากมายจากการเดินทางครั้งนี้
พวกเขากำจัดออร์คไปเผ่าหนึ่งและยังได้โอกาสในการได้รับเหมืองเหล็กหนึ่งเหมืองและลูกหมีอสูรเวทย์สามตัวอีกด้วย
พวกเขาแค่ต้องรอให้พวกลูกหมีลืมตาในอีกสามวันและรับรู้ถึงเจ้าของๆ พวกมันผู้ที่พวกมันเห็นเป็นคนแรก
แน่นอนที่สุด
เหล่าลูกหมีนั้นไวต่อกลิ่นอย่างมากอีกด้วย
พวกคนรับใช้ต้องดูแลป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุใดๆ กับเหล่าลูกหมีและทำความสะอาดสิ่งที่พวกมันขับถ่ายออกมาในเวลาเดียวกัน ส่วนในเวลาอื่นๆ นั้น ทั้งการให้อาหารและการทำความสะอาดก็จะถูกจัดการโดยวิลเลียมเป็นการส่วนตัว
“เซีย เธอชอบลูกหมีพวกนี้มั้ย?” วิลเลียมเดินไปหยุดตรงหน้าของเธอแล้วถาม
“ฉันชอบค่ะ พวกมันน่ารักมากๆ…” เซียตอบอย่างขอไปที
“แล้วถ้าฉันให้เธอตัวนึงล่ะ?”
“จริงหรอคะ? ไม่ ไม่ ช่างมันเถอะ ฉันไม่สามารถที่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงหมีป่ายักษ์ซักตัวได้หรอกค่ะ…” เซียส่ายหัวของเธอไวๆ ด้วยรายรับขี้ปะติ๋วของเธอ โดยธรรมดาเธอก็หมดเงินไปกับพวกส่วนผสมเวทย์แล้ว ดังนั้นเธอจะไปเอาที่ไหนมาเลี้ยงดูอสูรเวทย์อีกตัว?
วิลเลียม แบล็คลีฟหัวเราะเบาๆ “ถึงอย่างนั้น เธอก็สามารถมาที่นี่และเยี่ยมพวกมันได้นะ! อสูรเวทย์ประเภทหมีจะไม่โจมตีคนที่มีกลิ่นที่มันคุ้นเคยอยู่ อีกอย่างฉันเองก็สามารถสั่งพวกมันได้”
“ฉันมาที่นี่ทุกวันได้หรอคะ? แล้วถ้าพวกมันลืมตาแล้วบังเอิญเห็นฉันล่ะ?” เซียถามด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
“ก็ไม่เป็นไร ฉันแค่อาจต้องช่วยเธอเลี้ยงพวกมัน!” วิลเลียมพูดอย่างใจกว้าง
“ถ้าอย่างนั้น… ขอบคุณมากค่ะท่านลอร์ด!” เซียไม่รู้ว่าเธอควรพูดอะไรอีก ดังนั้นเธอจึงออกไปอย่างรีบร้อน
วิลเลียมจ้องไปยังเซียที่กำลังวิ่งห่างออกไป ขณะที่ถูมือของเขา “นักเวทย์มนตราผู้มีสายเลือดระดับอีปิก… ก็จะเป็นผู้วิเศษคนหนึ่งสินะ ท่านแม่ ท่านให้คนที่มีความสามารถกับผมมาไม่น้อยเลย เช่นเดียวกับอุปกรณ์อีกหลากหลายด้วย…”
ชื่อ: เซีย
เผ่าพันธุ์: เอลฟ์แบล็คลีฟ
อาชีพ: นักเวทย์ธาตุน้ำระดับกลาง
เลเวล: 41
ศักยภาพของสายเลือด: อีปิค (คุณสมบัติพื้นฐาน +28%)
ความสามารถติดตัว: ชีวิตระดับกลาง, ทุกความแข็งแกร่งทางกายภาพจะมีค่าเท่ากับแต้มชีวิต 40 แต้ม
ความสามารถติดตัว: แสงแห่งน้ำ ผลลัพธ์จากการใช้เวทมนต์ธาตุน้ำใดๆ จะเพิ่มขึ้น 30% ค่าสติปัญญา 100 แต้มจะลดเวลาคูลดาวน์1สำหรับสกิลธาตุน้ำ 20%
ความสามารถติดตัว: เวทมนต์ระดับกลาง ค่าสติปัญญา 1 แต้ม = ค่าการโจมตีโดยเวทมนต์ 1.2 แต้ม
พลังชีวิต: 8800
ความแข็งแกร่ง: …
เวทมนต์: …
บางอย่างที่น่าสังเกตคือการที่ทั้งพลังการต่อสู้และเวทมนต์นั้นเป็นสิ่งที่ตัวละครเลเวล 10 ขึ้นไปเท่านั้นจะมีหลังจากที่พวกเขาเลือกอาชีพแล้ว
ในตอนนั้น ไม่สำคัญว่าจะเป็นผู้เล่นหรือ NPC พวกเขาก็จะสามารถเรียนรู้คำภีร์ของพลังการต่อสู้และการรักษาได้
ระดับเลเวลของหนังสือเหล่านี้จะต่างกันออกไประหว่าง เริ่มต้น, กลาง, สูง, มาสเตอร์, อีปิค, รีเจนดารี ฯลฯ
ที่สุดแล้ว ยิ่งเลเวลของคำภีร์เหล่านั้นสูงขึ้น เวทมนต์หรือพลังการโจมตีก็จะเพิ่มมากขึ้น ในเวลาเดียวกันนั้น มันก็มีผลลัพธ์พิเศษบางอย่าง
อย่างเช่น การเพิ่มขึ้นของความแข็งแกร่งของสกิลหรือการเปิดใช้งานเกราะพลังการต่อสู้ระดับหนึ่ง
เมื่อผู้เล่นกำลังมองหาอาชีพจาก NPC ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะสามารถเรียนรู้ได้แค่คำภีร์ระดับเริ่มต้นหรือระดับกลางเท่านั้น
คำภีร์ระดับสูงต้องใช้การจบภารกิจที่ยากขึ้น แต่ผู้เล่นก็สามารถรับมันได้ถ้าพวกเขาอดทนมากพอ
อย่างไรก็ตาม คำภีร์ระดับมาสเตอร์และระดับสูงกว่าต้องใช้การประชุมพิเศษ, การประมูล, NPC พิเศษ, ตลาดมืด, วาณิชผู้ลึกลับ หรือแม้แต่กลุ่มส่วนตัวของที่ปรึกษาประจำอาชีพ
อีกอย่าง ราคาของคำภีร์สักเล่มนั้นแพงอย่างน่าขนลุก
คำภีร์ระดับเริ่มต้นใช้แค่ 10 เหรียญเงิน หรือก็คือถ้าผู้เล่นที่สามารถเดินออกจากหมู่บ้านเริ่มต้นได้ สามารถสะสมเงินได้ พวกเขาก็สามารถซื้อคำภีร์และเรียนรู้สกิลทุกอย่างที่พวกเขาสามารถมีได้เมื่อพวกเขาเลือกอาชีพแล้ว
อย่างไรก็ตาม คำภีร์ระดับกลางนั้นต้องใช้อย่างน้อย 1 เหรียญทอง…
1 เหรียญทองอาจจะดูไม่แพงมากนัก แต่มันก็สามารถทำให้ผู้เล่นที่เพิ่งจะเริ่มเล่นเกมเงิบได้เลย ถ้าพวกเขาไม่ได้เจอมันโดยบังเอิญหรือไม่ต้องการที่จะใช้เงินจริง พวกเขาก็แค่ต้องเก็บสะสมเงินอย่างระมัดระวัง
อย่างไรก็ตาม ต่อให้คุณจะใช้เงินจริงในเกมนี้ คุณก็ไม่สามารถเปลี่ยนมันเป็นเหรียญทองได้…
นอกจากว่าพวกเขาจะขายเสื้อผ้าหรือใช้ช่องโหว่ในการจ่ายแบบรายเดือนเพื่อขายคุณสมบัติของพวกเขา แต่ถึงอย่างนั้น ในช่วงเวลาแบบนี้บริษัทเกมที่ไหนจะกล้าทำแบบนั้นกัน?
บริษัทหวังอี้ล้มละลายได้ยังไง?
เพราะว่าการเป็นสมาชิกรายเดือนของหวังอี้อนุญาตให้ขายคุณสมบัติได้ มันทำให้ผู้เล่นในศตวรรษที่ 23 ใช้จ่ายจนพวกเขาหมดตัว และทำให้พวกเขายกเลิกเกมทุกเกมที่เป็นของบริษัทหวังอี้!
ในทางกลับกัน เห็นได้ชัดว่าคุณสมบัตินั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเพิ่มลงไปในเสื้อผ้าได้ สิ่งเดียวที่พิเศษสำหรับเสื้อผ้าคือการที่มันสวยงามและสามารถใส่รวมกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้
อย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายที่ถูกที่สุดก็ยังต้องใช้ 100 ดอลลาร์ แน่นอนว่าเครื่องแต่งกายสามารถขายให้กับขุนนาง NPC บางคนได้อีกด้วย
ถึงอย่างนั้น การจะทำแบบนั้นได้ก็ต้องมีระดับมิตรภาพประมาณหนึ่งกับ NPC คนนั้นและการสังเกตว่า NPC คนนั้นสนใจเครื่องแต่งกายนั้นๆ หรือไม่
ถ้ามี NPC สักคนที่ต้องการซื้อเครื่องแต่งกายจริงๆ พวกเขาก็อาจจะได้รับเหรียญทองจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
ร้านขายของนั้นไม่ขายเหรียญคืนชีพ เกมนี้เองก็ไม่มีการฟื้นคืนอาชีพเช่นกัน เมื่อผู้เล่นขึ้นไปถึงเลเวล 30 พวกเขาจะเกิดใหม่ได้แค่ 6 ครั้งเท่านั้น พวกเขาจะเสียแต้มประสบการณ์จำนวนหนึ่งทุกครั้งที่พวกเขาเสียชีวิต พวกเขาอาจจะถูกลดเลเวลลงหรือเสียอุปกรณ์บางอย่างไปโดยไม่รู้ตัว หลังจากที่พวกเขาตายมากกว่า 6 ครั้ง พวกเขาก็อาจจะตกเข้าสู่โหมดที่ไม่สามารถล็อกอินเข้าไปในเกมได้เป็นเวลา 10 ชั่วโมง
แน่นอนว่าข้อจำกัดเหล่านี้จะถูกเริ่มใช้งานเมื่อผู้เล่นส่วนใหญ่เป็นมืออาชีพระดับกลาง
นี่ยังทำให้การต่อสู้สมดุลขึ้นระหว่างผู้เล่นด้วยกัน และทำให้โลกระหว่างผู้เล่นและ NPC สมดุลขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ที่สุดแล้วมันก็คือเกมๆ หนึ่ง
บริษัทเกมต้องการรายได้ แต่พวกเขาก็ต้องการได้รับมันผ่านวิธีการที่ดีและไม่ต้องการที่จะสูญเสียเงินไป ดังนั้นพวกเขาจึงเปิดระบบการขายที่อนุญาตให้ผู้เล่นใช้เงินจริงในการซื้ออุปกรณ์และเหรียญทอง
ส่วนเดียวที่ยังเหลืออยู่คือสโมสร เพราะสโมสรทุกที่จะมีกิลด์ย่อยๆ อยู่ ผู้เล่นจะไปรวมตัวกันในกิลด์นั้นๆ เพื่อไอดอลของพวกเขา
โดยปกติแล้ว ผู้เล่นมืออาชีพที่ได้รับการสปอนเซอร์จะแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เพราะพวกเขาพร้อมที่จะจ่ายสำหรับอุปกรณ์และเหรียญทอง
อย่างไรก็ตาม สิ่งจำเป็นที่ต้องมีก็คือการที่ผู้เล่นมืออาชีพต้องได้รับการเคารพนับถือเสียก่อน!
มันไม่ใช่แค่การเล่น ถ้าพวกเขาแพ้ พวกเขาจะตกต่ำเสียยิ่งกว่าหมา
หมายเหตุ
เวลาคูลดาวน์1 หมายถึง ระยะเวลาจากช่วงที่ใช้สกิลไปแล้วจนถึงช่วงที่สามารถใช้สกิลได้อีกครั้งหนึ่ง
วันเวลาผ่านไป
หลังจากให้อาหารลูกหมี วิลเลียม แบล็คลีฟก็กินอุ้งเท้าหมีที่มีขนาดใหญ่พิเศษและเลื่อนระดับมาถึงเลเวล 10 ในที่สุด
ค่าคุณสมบัติพิเศษสี่มิติ +1
ค่าสถานะอิสระ +4
เนื่องจากเขายังได้ไม่ใช้ค่าสถานะอิสระทำให้มีค่าสถานะอิสระอยู่ 40 แต้ม หากเขานำแต้มทั้งหมดไปเพิ่มค่าความว่องไว เขาจะมีค่าความว่องไว 80 แต้มทันทีและยังไม่รวมกับค่าสถานะเพิ่มเติมที่ได้จากอุปกรณ์และสายเลือดระดับรีเจนดารี
อย่างไรก็ตาม เขาได้พิจารณาถึงอาชีพที่เขาควรเลือก การหาอาชีพลับนั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเพราะอาชีพลับนั้นหาได้ง่ายทั่วไป
ตราบใดที่เป็นพลังหรือคัมภีร์เวทย์ที่เหนือกว่าระดับมาสเตอร์ก็อาจถือได้ว่าเป็นอาชีพลับ
แต่อาชีพลับที่แข็งแกร่งนั้นมีอยู่น้อยเกินไป
เขารู้ว่าเผ่าเอลฟ์มีอาชีพลับอยู่สองอาชีพ
อาชีพแรกนั้นต้องเลือกเป็นอาชีพนักรบเสียก่อน เมื่อถึงเลเวลที่ 30 ซึ่งอยู่ในสภาวะกระตุ้น จะสามารถไปยังเมืองหลวงของอาณาจักรสิงโตและตามหาเอลฟ์ระดับรีเจนดารีลึกลับได้ พวกเขาต้องดื่มเหล้าจนเมามายและทำตัวราวกับได้พบเอลฟ์โดยบังเอิญ
ในเวลาเดียวกันนั้น พวกเขาต้องแสดงให้เห็นว่าตนเองชอบเล่นการพนัน ด่าทอผู้คน และเริ่มต่อยตีเมื่อใดก็ตามที่ตนไม่มีความสุข ในขณะที่ปล่อยให้เอลฟ์ระดับรีเจนดารีเห็นว่ามันดึงดูดความสนใจของเอลฟ์
ด้วยเหตุนั้น เขาจะมอบภารกิจที่ยากและหนักหน่วงให้ หากผู้เล่นทำภารกิจสำเร็จจึงจะสามารถเปลี่ยนอาชีพได้
นั่นคือ ผู้วิเศษและนักปราชญ์ทางด้านศิลปะการต่อสู้ทางดาบ
อาชีพลับมีความโหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง ค่าประสบการณ์ที่ต้องใช้ในการเพิ่มระดับจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองเท่า…
อาชีพที่สองต้องเป็นนักลาดตระเวนก่อน
พวกเขาต้องมุ่งหน้าไปยังป่าแบล็คลีฟหาพื้นที่รวมตัวเล็กๆของเอลฟ์ที่ไม่ใหญ่มากเกินไปนัก หลังจากนั้นทำตามคำร้องขอที่น่าเบื่อหน่ายสักหลายๆชุดก็จะสามารถกลายเป็นนักลาดตระเวนยามค่ำคืนได้
อาชีพลับไม่ได้มีเพียงอาชีพเดียวเท่านั้น
ข้อกำหนดเบื้องต้นคือห้ามผู้เล่นมีเลเวลสูงกว่าเลเวล 50 ภารกิจต้องใช้ทักษะที่บ้าคลั่งและเทคนิคสำหรับเกม แม้ว่าจะเป็นผู้เล่นมืออาชีพก็ยังยากสำหรับพวกเขาที่จะทำภารกิจให้สำเร็จด้วยเลเวลที่ไม่สูงนัก…
มีคนที่ลบบัญชีตนเองแค่เพื่อให้เชี่ยวชาญในอาชีพลับบ้างหรือเปล่านั้น เขาไม่รู้เลย
“เฮ้ ปวดหัวชะมัด หรือฉันควรไปหาลอทเนอร์และเลือกที่จะเป็นนักล่าปีศาจ? อาชีพนี้ไม่ได้อ่อนแอแต่ต้องการความเชี่ยวชาญ ถึงไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับผู้วิเศษและนักปราชญ์ด้านศิลปะการต่อสู้ทางดาบ แต่มีความเชี่ยวชาญทางด้านดาบและธนูเป็นสองเท่า ดูเหมือนว่าจะเหมาะกับฉันเลยทีเดียว!” วิลเลียมลูบคาง เขาต้องเลือกอาชีพลับที่เหมาะกับเขา
ผู้วิเศษและนักปราชญ์ด้านศิลปะการต่อสู้ทางดาบนั้นดูเท่ แต่ตั้งแต่ที่เขาต้องการค่าประสบการณ์มากกว่าปกติถึง 1.5 เท่า ถ้าเขาเลือกสองอาชีพนี้มันก็จะกลายเป็น 3 เท่า นี่เป็นฝันร้ายของความเร็วในการเพิ่มระดับ
“ไม่เป็นไร ฉันจะเลือกเป็นแค่นักล่าปีศาจ ตราบใดที่มีความสามารถที่ดี อาชีพลับก็จะไม่เป็นปัญหา!” วิลเลียมไม่อยากคิดเกี่ยวกับปัญหาของอาชีพลับอีกต่อไป ในฐานะบอสระดับรีเจนดารีที่มีความทรงจำของชีวิตก่อน เขานั้นแสนจะมั่นใจ
กว่าสิบนาทีผ่านไป
วิลเลียมพบลอทเนอร์ที่กำลังฝึกฝนและฝึกซ้อมทักษะอยู่ที่บ้าน
การฝึกฝนเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นลอทเนอร์ผู้ที่อยู่ในระดับอีปิคหรือนักรบเอลฟ์ พวกเขาก็ต้องฝึกฝนทักษะทุกวัน หากไม่ได้กำลังฝึกฝนก็จะพบว่าพวกเขากำลังกินอยู่
ประชากรจากเมืองชายแดนมากกว่า 500 คน เริ่มสร้างถนนและขุดเหมืองแล้ว โดยจ่ายเงินให้พวกเขาอย่างน้อย 50 เหรียญเงินทุกวัน ในนั้นมีนักรบหนึ่งร้อยคนคอยดูแลขณะที่นักรบที่เหลือจะอยู่ปกป้องเมือง เฝ้ายาม หรือฝึกฝน
“ท่านลอร์ด ทำไมถึง… เฮ้ ในที่สุดท่านก็สามารถฝึกพลังต่อสู้หรือเวทมนตร์ได้แล้ว หากท่านหญิงรู้เรื่องนี้ ท่านต้องดีใจมากแน่ๆ!” น้ำเสียงของลอทเนอร์เต็มไปด้วยความยินดี เขามองไปยังฟากฟ้าราวกับท่วมท้นไปด้วยความโหยหาและความไร้หนทาง อารมณ์ของเขายุ่งเหยิงไปหมด
วิลเลียมรู้สึกได้ถึงเรื่องปวดหัวที่อาจเกิดขึ้นจากสิ่งที่เห็น เขารู้สึกว่ามีบางอย่างอยู่เบื้องหลังชายผู้ที่ดูแลเขาเป็นอย่างดี
หรือว่าความจริงแล้ว
เวร
ดูเหมือนว่าลอทเนอร์จะแอบรักแม่ของเขา…
น่าเสียดายที่อัศวินเป็นคนปกป้องเจ้าหญิง แต่คนที่ได้แต่งงานกับเจ้าหญิงกลับเป็นเจ้าชาย…
แน่นอนว่าพ่อของเขาไม่ได้เป็นเจ้าชาย แต่เขาก็เป็นถึงระดับรีเจนดารี!
“ท่านลุงลอทเนอร์ เรียกผมแค่วิลเลียมก็พอ พูดหลายครั้งแล้วนะ!”
“ไม่ได้ ข้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ข้าจึงไม่สามารถเปลี่ยนคำเรียกต่อท่านได้” ลอทเนอร์หยุดก่อนจะกล่าวต่อ “ที่ท่านมาหาข้าเป็นเพราะท่านต้องการเรียนรู้พลังการต่อสู้ใช่หรือไม่?”
“ใช่ ฉันต้องการเป็นนักล่าปีศาจผู้โด่งดัง!”
ลอทเนอร์มองประกายในดวงตาของวิลเลียม ไม่สามารถหยุดตัวเองจากการมองมันได้แม้เพียงน้อยก่อนเขาจะตบไปบนไหล่วิลเลียมเบาๆ “ลืมการเป็นนักล่าปีศาจไปเถอะ มีอาชีพที่เหมาะกับท่านมากกว่านี้!”
“อ้าว? ทำไมล่ะ?” วิลเลียมสับสนเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าลอทเนอร์จะเห็นถึงความสับสนของเขา จึงนำม้วนกระดาษอันแสนประณีตงดงามส่งมาให้ เขากล่าวว่า “นี่คืออาชีพที่แม่ของท่านเลือกให้ มันเหมาะกับท่านมาก!”
วิลเลียมประหลาดใจเล็กน้อย นี่คือผลตอบแทนที่ไม่คาดคิดมาก่อน?
เขาหยิบม้วนกระดาษ ดวงตาเปล่งประกาย!
ผู้รักษาการณ์แห่งรุ่งอรุณ
อาชีพลับ!
มันเป็นอาชีพที่สงวนไว้เฉพาะราชวงศ์แบล็คลีฟเท่านั้น ซึ่งเป็นอาชีพสายต่อสู้ที่เอนไปทางนักลาดตระเวนและนักรบ
ทันใดนั้นวิลเลียมก็ตระหนักว่าความคิดของเขานั้นจมไปในทางที่ผิด ตอนนี้เขาเป็นNPC เขาไม่ได้โง่เลือกอาชีพด้วยความคิดของผู้เล่นไปใช่ไหม?
เขาลืมไปว่าเลือดครึ่งหนึ่งของเขาเป็นของราชวงศ์แบล็คลีฟ แม่ของเขาไม่มีทางลืมสิ่งสำคัญเช่นอาชีพเขาอย่างแน่นอน!
ม้วนกระดาษมรดกทางสายอาชีพ : ผู้รักษาการณ์แห่งรุ่งอรุณ
ระดับ : รีเจนดารี
ข้อกำหนด : สายเลือดเอลฟ์ราชวงศ์แบล็คลีฟ
ข้อกำหนด : ศักยภาพทางสายเลือดไม่สามารถต่ำกว่าระดับอีปิค
“ข้อกำหนดก็ใช้ได้เลย ที่สุดแล้วเรื่องของศักยภาพสายเลือดของเอลฟ์ทุกเรื่องก็เป็นอะไรที่เอลฟ์คลั่งไคล้ มีสายอาชีพเป็นโขยงสำหรับเหล่ารีเจนดารี ในขณะที่แทบไม่มีอะไรเลยสำหรับพวกอีปิค อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาไม่มีสายเลือดของราชวงศ์เอลฟ์ มันก็ยากที่จะเรียนรู้อาชีพระดับสูงเช่นนี้”
วิลเลียมไม่ลังเล เขาเปิดม้วนกระดาษมรดกทันที
จากนั้นม้วนกระดาษก็สลายตัวเป็นละอองดาวมาปลกคลุมตัวเขาอย่างช้าๆและหายเข้าไปในร่างของเขา เขารู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจและมุมปากกระตุก หลังจากกลายเป็นNPC ความเจ็บปวดที่เขารู้สึกนั้นจะอยู่ที่ 100% เนื่องจากเขาไม่สามารถลดความรู้สึกนั้นลงได้อีก
แต่มันก็ยังสามารถทนได้
หลังจากผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ กระบวนการรับมรดกก็สิ้นสุดลง
หน้าต่างสถานะของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก
ประโยชน์ข้อแรก ทุกค่าสถานะและเสน่ห์ของเขาเพิ่มขึ้น 10 แต้ม
ประโยชน์ข้อที่สอง หลังจากที่ถึงเลเวล 10 ทุกๆครั้งที่เพิ่มเลเวล ค่าสถานะและเสน่ห์จะเพิ่มขึ้น 1 แต้ม ค่าสถานะอิสระที่ได้รับทุกครั้งหลังเลื่อนเลเวลจาก 4 แต้มเป็น 6 แต้ม เนื่องจากเป็นอาชีพพิเศษของเอลฟ์ราชวงศ์แบล็คลีฟ ทำให้เมื่อเพิ่มเลเวลระดับเสน่ห์จะเพิ่มขึ้น
ประโยชน์ข้อที่สามคือต้นไม้ทักษะของผู้รักษาการณ์แห่งรุ่งอรุณ
ประโยชน์ข้อที่สี่จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งรุ่งอรุณ
ประโยชน์ข้อที่ห้าเป็นเรื่องที่ธรรมดาสามัญมากๆ
นั่นคือ…
ชีวิตระดับเริ่มต้น
ชื่อ : วิลเลียม แบล็คลีฟ
เผ่าพันธุ์ : ครึ่งเอลฟ์
อาชีพ : ผู้รักษาการณ์แห่งรุ่งอรุณ
ความสามารถติดตัว : ดูดี…
ความสามารถติดตัว : ชีวิตระดับเริ่มต้น , ความแข็งแกร่ง(สเตมินา) 1 หน่วย = ค่าพลังชีวิต 20 หน่วย
ศักยภาพทางสายเลือด : รีเจนดารี (ค่าสถานะพื้นฐาน +10%)
เลเวล : 10
ค่าประสบการณ์ : (8234/8500)
อายุ : 16
พลังชีวิต : 740 (+300+200)
ความแข็งแกร่ง : 440 (+100+200)
คุณสมบัติพื้นฐาน :
พลังกำลัง : 44 (+6+3)
ความแข็งแรงทางกายภาพ : 37 (+10+3)
ความว่องไว : 48 (+8+3)
สติปัญญา : 35 (+5+1)
คุณสมบัติพิเศษ :
เสน่ห์ : 53
ความโชคดี : 3
รวมทั้งอุปกรณ์ที่สวมใส่และประสิทธิภาพของพลังการต่อสู้ ยกเว้นค่าสถานะที่ได้จากศักยภาพทางสายเลือด
จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งรุ่งอรุณ
ระดับ : รีเจนดารี
เลเวล : Lv 1 (ค่าประการณ์ 0/100)
พลัง : 300 หน่วย
อัตราการฟื้นฟู : 10 หน่วย/วินาที
คุณสมบัติพิเศษ : ทักษะพลังการต่อสู้ใดๆ จะเพิ่มขึ้น 1%
คุณสมบัติพิเศษ : พลังโจมตี +3, ความแข็งแรงทางกายภาพ +3, ความว่องไว +3, สติปัญญา +1
คุณสมบัติพิเศษ : พลังชีวิต +200
คุณสมบัติพิเศษ : ความแข็งแกร่ง +100
โล่จิตวิญญาณ : ร่างกายสามารถสร้างโล่จิตวิญญาณให้เท่ากับค่าพลังได้ ใช้ค่าพลัง 30 หน่วยต่อวินาที มีค่าป้องกันพื้นฐาน 100 หน่วย ถ้าพลังโจมตีเกินขีดจำกัดสูงสุดของการป้องกัน สามารถใช้ค่าพลังและทำลายโล่ได้
หลังจากโล่หายไป สามารถเปิดใช้งานได้อีกครั้งใน 5 วินาที
แสงแห่งรุ่งอรุณ : สามารถเพิ่มพลังต่อสู้ 50% และพลังโจมตี 200% ในบางทักษะ แต่จะใช้ระยะคูลดาวน์ 30 นาที
ทุกๆ 5 เลเวลของการเพิ่มระดับ คุณสามารถเพิ่มค่าสถานะ, ทักษะพิเศษ, พลัง, ทักษะและอื่นๆ
ค่าสถานะที่มาพร้อมกับค่าพลังจะมีผลจากระดับสายเลือดเพิ่มเติม!
ต้นไม้ทักษะของผู้รักษาการณ์แห่งรุ่งอรุณ
มีสามทักษะที่เปิดใช้งานอยู่แล้ว
พรแห่งเทพเอลฟ์ (แฝง)
เลเวล : Lv 1 (ค่าประสบการณ์ 0/100)
คุณสมบัติ : การโจมตีระยะไกลเพิ่มขึ้น 10%
คูลดาวน์ : ไม่มี
ค่าพลังที่ใช้ : ไม่มี
เฟเทลช็อต
เลเวล : Lv 1
คุณสมบัติ : สามารถยิงธนูสามดอกติดต่อกันได้ ถ้าลูกธนูทุกดอกสามารถโจมตีศัตรูได้ ธนูดอกแรกจะสามารถทำความเสียหายได้ x120% ธนูดอกที่สองจะทำความเสียหายได้ x140% และธนูดอกที่สาม x160%
มีโอกาสทำให้อยู่ในสภาวะเลือดออก
คูลดาวน์ : 10 วินาที
ค่าพลังที่ใช้ : 100 หน่วย
แบทเทิล คัต
เลเวล : Lv 1 (ค่าประสบการณ์ 0/100)
คุณสมบัติ : สามารถแกว่งดาบไปข้างหน้า ถ้าโจมตีถูกศัตรู จะสามารถทำความเสียหายได้ x140% มีโอกาสทำให้อยู่ในสภาวะเลือดออก
คูลดาวน์ : 3 วินาที
ค่าพลังที่ใช้ : 30 หน่วย
ทักษะของผู้รักษาการณ์แห่งรุ่งอรุณ นอกจากจะสามารถฝึกฝนได้ทั้งดาบและธนูให้เต็มไปด้วยความเชี่ยวชาญและความตื่นตาตื่นใจแล้ว พลังโจมตียังทรงพลังอีกด้วย
การเพิ่มระดับของพลังโจมตีต้องใช้ค่าประสบการณ์
การเพิ่มระดับของทักษะก็ต้องใช้ค่าประสบการณ์เหมือนกัน
โดยเฉพาะพลังโจมตีที่แสนโกงของระดับรีเจนดารีที่ต้องการค่าประสบการณ์จำนวนมหาศาล มันต้องการพอๆกับค่าประสบการณ์ที่ใช้เลื่อนเลเวลเลยทีเดียว
วิลเลียมเพิ่งจะเปลี่ยนอาชีพและมีค่าประสบการณ์เหลืออยู่น้อยนิด แม้ว่าเขาจะได้รับค่าประสบการณ์จากการกินเนื้อหมี แต่ตอนนี้เขาก็กินได้ไม่มากนัก ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เบื่อกับการกินเนื้อที่มากเกินไป และอาจจะติดคอตายได้ง่าย
นอกจากนั้น ในฐานะลอร์ด เขาควรใช้ชีวิตให้มีความสุข จะเอาเขาไปเปรียบเทียบกับผู้เล่นได้ยังไง!
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำภารกิจให้สำเร็จ สำหรับเขาการเพิ่มเลเวลโดยการกินนั้นโหดร้ายเกินไปหน่อย
แต่ว่า…
สิ่งเดียวที่กินโดยไม่เบื่อเลยคือเนื้อมังกร…
โชคดีที่เขามีประสบการณ์ในการเลื่อนระดับทักษะมาก่อน ดังนั้นเขาจึงเลื่อนระดับทักษะ 3 ทักษะ ให้เป็นเลเวล 2
เขาต้องรู้วิธีกระจายค่าประสบการณ์ให้เท่าเทียม
เขาไม่มีพลังโจมตีมากนัก ถ้าเขาเพิ่มระดับทักษะหนึ่งอย่างเต็มที่ เขาอาจจะไม่สามารถใช้ทักษะอื่นได้เลย จากนั้นมันจะน่าอายมากหากต้องเผชิญหน้ากับศัตรู
พรแห่งเทพเอลฟ์ (แฝง)
เลเวล : Lv 2
คุณสมบัติ : ความเสียหายจากการโจมตีระยะไกลเพิ่มขึ้น 12%
ค่าพลังที่ใช้ : ไม่มี
ระยะคูลดาวน์ : ไม่มี
…………………………………..
เฟเทลช็อต
เลเวล : Lv 2
คุณสมบัติ : ใช้พลังโจมตี 130 หน่วย สามารถยิงธนูสามดอกติดต่อกันได้ ถ้าลูกธนูทุกดอกสามารถโจมตีศัตรูได้ ธนูดอกแรกจะสามารถทำความเสียหายได้ x130% ธนูดอกที่สองจะทำความเสียหายได้ x150% และธนูดอกที่สาม x170%
มีโอกาสทำให้เกิดสภาวะเลือดออก
คูลดาวน์ : 9 วินาที
……………………………………..
แบทเทิลคัต
เลเวล : Lv 2
คุณสมบัติ : ใช้พลังโจมตี 40 หน่วย สามารถปลดปล่อยพลังลำแสงของดาบ ถ้าโจมตีถูกศัตรู จะสามารถทำความเสียหายได้ x150% มีโอกาสทำให้เกิดสภาวะเลือดออก
คูลดาวน์ : 3 วินาที
โดยสรุปแล้วมันแข็งแกร่งมาก ในอนาคตจะมีทักษะที่เป็นเอกลักษณ์มากขึ้นโดยเฉพาะเฟเทลช็อต ที่ถึงแม้ว่ามันจะมีข้อกำหนดบางอย่าง แต่ก็ไม่สามารถหยุดวิลเลียมให้ยิงอย่างแม่นยำได้…
สำหรับค่าสถานะที่ยังไม่ได้ใช้อีก 40 แต้ม
เขาใช้ 20 แต้มไปเพิ่มค่าพลังโจมตีและความว่องไว!
คุณสมบัติพิเศษของผู้รักษาการณ์แห่งรุ่งอรุณส่วนใหญ่มักจะเพิ่มพลังโจมตีและความว่องไว ในช่วงเริ่มแรกจะเป็นความสามารถของนักธนูเสียส่วนมาก แต่ในช่วงกลางและช่วงท้ายจะเป็นทักษะการต่อสู้ระยะประชิด ส่วนสติปัญญาและความแข็งแรงทางกายภาพน่ะเหรอ?
“ฮ่าฮ่า ความแข็งแกร่งเป็นความสามารถติดตัวที่สำคัญสำหรับบอสระดับรีเจนดารี แม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่อาชีพของฉันจะแข็งแกร่งมากนัก แต่มันก็ยังแข็งแกร่งกว่าNPCทั่วไป ส่วนสติปัญญา? การฝึกฝนทั้งเวทมนตร์และศิลปะการต่อสู้เป็นของเผ่าพันธุ์อื่น พวกมันสมควรถูกฆ่า!” ทันใดนั้นวิลเลียมก็ลืมที่จะเปลี่ยนอาชีพเป็นผู้วิเศษและนักปราชญ์ด้านศิลปะการต่อสู้ทางดาบ แต่เมื่อลองมองดูค่าสถานะของตนเองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสำราญใจ
ลอทเนอร์ตบไหล่ของเขา “ดูเหมือนว่าท่านจะเป็นที่เอลฟ์เติบโตเต็มที่แล้ว และยังได้รับการสืบทอดอาชีพอีกด้วย แต่มันยังไม่พอหรอก ถ้าหากท่านแข็งแกร่งแต่ไม่สามารถทุบตีผู้คนได้ ท่านก็ต้องฝึกฝนมากกว่านี้!”
“เข้าใจแล้ว” วิลเลียมพยักหน้า ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นหรือNPC ถึงจะมีทักษะที่มากขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเก่งขึ้น นี่ยังไม่พูดถึงปัญหาที่มีค่าประสบการณ์ไม่มากพอ
กุญแจสำคัญคือการพึ่งพาความแข็งแกร่งของตนเองและผสมผสานปัจจัยทั้งหมดทั้งเทคนิค, ทักษะ, ตำแหน่ง, และสภาพแวดล้อมเพื่อสร้างความเสียหายที่มั่นคงหรือกระทั่งการโจมตีศัตรูโดยไม่ให้ตั้งหลักตอบโต้กลับได้ นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด
เกมนี้ไม่มีการล็อคทักษะ!
ไม่ว่าจะเป็นทักษะใดก็ตาม มันจะขึ้นอยู่กับการตั้งเป้าหมายและใช้ปัญญาในการโจมตีอีกฝ่าย ดังนั้น ทักษะจึงไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด หลักฐานคือถ้าคุณสามารถโจมตีจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้ แม้กระทั่งทักษะธรรมดาทั่วไปก็สามารถทำความเสียหายได้อย่างยอดเยี่ยม
“ท่านลอร์ดขอรับ!” หน่วยลาดตระเวนเอลฟ์วิ่งมาอย่างเร่งรีบ
“ว่ามา!” วิลเลียมเลิกคิ้ว หากเกิดสงครามหรือวิกฤตในอาณาเขต ไม่มีใครจำเป็นต้องเคาะประตู
หน่วยลาดตระเวนสูดลมหายใจแล้วกล่าวว่า “หลังจากการสำรวจของทีมสอดแนมพบชนเผ่าออร์คทางตะวันออกเฉียงใต้ห่างจากชายเมือง 30 ไมล์ ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ ที่ตั้งเป็นความลับแต่เราก็ยังค้นพบ พวกมันเตรียมอาวุธและอุปกรณ์มากมาย ดูเหมือนว่าตั้งใจจะก่อสงครามครับ…”
“พวกมันมีกี่คน?” ลอทเนอร์ถาม
“ปัจจุบันมี 500 คนครับ แต่เราได้สังเกตุอย่างรอบคอบมาระยะหนึ่งแล้ว 500 คนนี้เป็นนักรบออร์ค แต่ยังมีออร์คเบอเซอเกอร์อีกจำนวนมาก”
“พวกมันเตรียมการมาอย่างดี ดูเหมือนว่ามันจะมาแก้แค้นให้กับออร์คกลุ่มอื่น? หรือไม่ก็มีหนึ่งในนั้นหนีไปได้ตอนเรากำจัดชนเผ่านั่นและไปบอกพวกมันเกี่ยวกับเหมืองแร่เหล็ก?” วิลเลียมแตะคางแล้วโบกมือ “อัญเชิญผู้วิเศษห้าคนและนักรบ 200 คนให้เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทาง แจ้งนักรบที่กำลังเฝ้าระวังให้ระมัดระวัง หากพวกออร์คโจมตีเหมือง ให้พวกเขาหลบหนีได้ทันทีโดยไม่ต้องต่อสู้”
“รับทราบครับท่านลอร์ด!”
“มีชนเผ่าออร์คจำนวนมากทางตะวันออกของป่าแบล็คลีฟ หากพวกมันพากันมาเป็นวรรคเป็นเวรล่ะก็ มีปัญหาแน่” วิลเลียมรู้สึกหดหู่เล็กน้อย เป็นไปได้รึเปล่าว่ามังกรยักษ์ทางภูเขาตะวันออกจะเริ่มอารมณ์แปรแรวนอีกครั้ง และนั่นนำไปสู่การอพยพของเผ่าออร์ค
ป่าแบล็คลีฟครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง
มันกว้างหลายหมื่นกิโลเมตรจากตะวันออกไปยังตะวันตก เผ่าพันธุ์หลายเผ่าพันธุ์ยกเว้นมนุษย์มีอาณานิคมในป่าแบล็คลีฟ
ในบรรดาเผ่าพันธุ์เหล่านั้น พื้นที่ตรงกลางและฝั่งตะวันตกของป่าถูกปกครองโดยเอลฟ์ตระกูลแบล็คลีฟ ครอบคลุมมากกว่าพื้นที่ครึ่งหนึ่งของป่า ซึ่งเป็นที่ตั้งที่ดีที่สุดของป่าแบล็คลีฟ เต็มไปด้วยเหมืองแร่ สัตว์และพืชพรรณหายากภายในอาณาเขต
แน่นอนว่ามีหลายเผ่าพันธุ์ที่เป็นมิตร ส่วนใหญได้รับการคุ้มครองโดยเอลฟ์หรือเป็นพันธมิตรกัน
แต่ก็มีหลายเผ่าพันธุ์ที่อยู่ฝ่ายมืดในป่าแบล็คลีฟ
อย่างไรก็ตาม มีเผ่าพันธุ์ปีศาจเพียงส่วนน้อยเท่านั้น พวกเขาชอบตั้งเมืองบนดินแดนที่ปราศจากพืชสีเขียวและต่อต้านมนุษย์
สำหรับเผ่าออร์ค พวกมันอยู่ได้ทุกที่ มีการขยายพันธุ์สูงและกระจายไปทั่วดินแดน เหมือนกับมดที่เข้ามาทำรัง และต้องกำจัดให้สิ้นซาก
เพื่อความอยู่รอด พวกมันเริ่มแสวงหาที่หลบภัยกับมังกรยักษ์และมองหาการป้องกัน
พวกมันต้องล่าสัตว์ตลอดทั้งวันเพื่อเป็นอาหารให้กับมังกรยักษ์ที่กินหรือนอนทั้งวัน ด้วยเหตุนี้ จึงต้องใช้ชีวิตด้วยความกลัวในอาณาเขตของมังกร…
ไม่มีทางอื่นอีก
สำหรับความแข็งแกร่งโดยรวมนั้น ตราบใดที่ไม่ใช่อาณานิคมออร์คขนาดกลางหรือใหญ่กว่า ความแข็งแกร่งของพวกมันมักจะเปรียบได้กับขยะ และยากที่จะผลิตออร์คด้วยสายเลือดที่มีศักยภาพ
แน่นอนว่า เมื่อมังกรยักษ์อารมณ์ไม่ดี มันก็จะกินออร์คไปสองสามตัว แต่ออร์คจะต่อต้านหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสิ่งที่ผู้นำของเผ่าออร์คคิด
และความแข็งแกร่งของมังกรยักษ์มีดังนี้ :
ตราบใดที่เป็นมังกรสายเลือดบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นมังกรห้าสี, มังกรโลหะ หรือมังกรเพชร ศักยภาพทางสายเลือดจะอยู่ในระดับอีปิคหรือสูงกว่า
ยกเว้นลูกมังกรบางตัวที่หักหลังแม่ของมัน…
พวกมันจะไม่สามารถพูดชื่อจริงของพวกมันได้หลังคลอด หรือไม่สามารถใช้ดรากอนวิสเปอร์และอื่นๆได้…
โดยทั่วไป นอกเหนือจากนั้นส่วนใหญ่เป็นมังกรยักษ์สายเลือดระดับอีปิค
เผ่าพันธุ์มังกรเคยปกครองดินแดนเทพในยุคแรก ความแข็งแกร่งของพวกเขามีอานุภาพและจำนวนก็ไม่ได้น้อยเกินไปนัก
พวกเขาจะไม่ถูกท้าทายจากเผ่าพันธุ์อื่นๆ แม้ว่าจะมีลำดับ, ระดับ, และสายเลือดระดับเดียวกันก็ตาม
ไม่ใช่ว่าไม่มีดรากอนสเลเยอร์ ส่วนมากจะอยู่เป็นกลุ่มหรือทีมเล็กๆ และส่วนน้อยที่จะสู้กับมังกรยักษ์โดยตัวคนเดียว…
นอกเสียจากว่าเขาจะดุร้ายมาก!
ท้ายที่สุดแล้ว เผ่าพันธุ์มังกรชอบที่จะอยู่อย่างปลีกวิเวกและยากมากที่จะสังหารมังกรสักตัวหนึ่ง มันขึ้นอยู่ที่ว่าใครเป็นดรากอนสเลเยอร์!
มังกรบางเผ่าอาจมีเผ่ารอง ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้สร้างปัญหา พวกเขาก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างดี แต่มังกรยักษ์ดังกล่าวยังคงเป็นส่วนน้อย โดยเฉพาะมังกรธาตุ พวกเขาจะถูกฆ่าไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม…
สำหรับอสูรมังกร, ดราเคน และแม้แต่อสูรเวทย์ที่มีสายเลือดมังกร ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นไม่เท่ากัน
วิลเลียมนำเหล่านักรบเข้าไปในป่า โดยอาศัยความได้เปรียบด้านความเร็วของเอลฟ์ เพียงหนึ่งชั่วโมง พวกเขาก็ไปถึงชานเมืองของออร์คนักรบที่มารวมตัวกัน
เอลฟ์นักลาดตระเวนหลายคนเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง แล้วรายงาน “ท่านลอร์ด จำนวนของออร์คนักรบเพิ่มขึ้นอีก 100 ตนและพวกมันก็ยังคงทำการขนส่งอาวุธและอุปกรณ์มากมายกันอยู่ ดูเหมือนกับว่าพวกมันตั้งใจที่จะเริ่มสงครามกับพวกเรา!”
“ทั้งหมด 600 ตน? พวกมันมีทหารยามด้านนอกกี่คน?” วิลเลียมลูบคางของเขาอย่างครุ่นคิด
“ไม่น้อยเลย มีทีมออร์ค 10 ทีมที่กำลังตรวจตราอยู่ รวมทั้งหมด 50 ตน!”
ลอทเนอร์ไม่เคยกังวลเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของคนของเขา ถ้าเขาต้องการจะฆ่าใครสักคนในป่า เขาสามารถกำจัดออร์คกลุ่มนี้ทั้งกลุ่มได้ด้วยตัวคนเดียว โดยมีเงื่อนไขที่ว่าพวกมันจะไม่วิ่ง ไม่อย่างนั้นล่ะก็ มันก็จะเป็นเรื่องน่าปวดหัวอย่างมากและยังเสียเวลาอีกด้วย
และวิลเลียมเองก็คิดเหมือนกัน!
[ภารกิจ: วิกฤตการณ์ใกล้อาณาเขต]
[ระดับ 2: เห็นได้ชัดว่ามีออร์คเผ่าหนึ่งที่ตั้งใจจะมาแย่งชิงเหมืองแร่เหล็กแห่งนั้น และแถมพวกมันก็ยังอยากจะทำลายเมืองของคุณด้วย จัดการพวกมันให้สิ้นซาก]
[ภารกิจเสร็จสิ้น: 0%~100%]
[รางวัล: ประสบการณ์ 10000~50000 หน่วย]
[รางวัล: ไม่ทราบ]
[รางวัล: ความภักดีและการเป็นที่ชื่นชอบของพลทหาร]
วิลเลียมหรี่ตาของเขาลง ภารกิจที่สอง เหอะ อย่างที่คาดไว้ รางวัลของภารกิจสำหรับลอร์ดเริ่มที่จะข้องเกี่ยวกับความจงรักภักดีของนักรบของเขา
จากคำอธิบายของภารกิจ มันเป็นสิ่งยากเอาเรื่องสำหรับลอร์ดหลายคน เพราะนี่อาจเป็นการส่งกองกำลังทหารไปฆ่าศัตรูหรืออาจเป็นการส่งพวกเขาไปตาย ขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเขาเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลอร์ดคนหนึ่งซึ่งอยู่ที่เลเวล 10
แต่อย่าลืมไป
เขาอยู่ในระดับเรเจนดารี!
ไม่สำคัญว่าเขาจะอ่อนแอขนาดไหนในบอสระดับรีเจนดารี เขาก็ยังคงเป็นรีเจนดารี!
วิลเลียมเลื่อนสายตาของเขาไปยังเอลฟ์หัวหน้าหน่วยลาดตะเวน “ให้เรายืมคันธนู, ลูกธนู และอาวุธของท่าน!”
“ครับ ท่านลอร์ด!” กัปตันเอลฟ์ของหน่วยลาดตระเวนแคลงใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้กลัวว่าท่านลอร์ดจะโลภอยากได้อาวุธของเขา
ด้วยสายเลือดที่มีศักยภาพในการเป็นผู้นำ เอลฟ์หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนอยู่ที่เลเวล 33 และอุปกรณ์ของเขานั้นก็ไม่เลวเลย
คันธนูยาวสีฟ้าอันหนี่งที่มาพร้อมพลังการต่อสู้ 130-180 แต้ม
ดาบเดี่ยวสีฟ้าอันหนึ่ง พลังการต่อสู้ 120-160 แต้ม
และสำหรับคุณสมบัติเพิ่มเติม มันมีเพียงเล็กน้อยและไม่คุ้มให้พูดถึง
ตราบใดที่มันคืออุปกรณ์เบื้องต้นและคุณสมบัติของมันถึงมาตรฐาน มันก็สามารถนำมาใช้ได้
ท้ายที่สุดแล้ว ค่าคุณสมบัติของบอสระดับรีเจนดารีก็สูงและมีค่าพลังชีวิตเยอะอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงสมัครใจ…
เลเวลของอาวุธและอุปกรณ์ในเกมนี้ไม่จำเป็นต้องมีจำนวนจำกัด เพียงแค่ระดับเลเวลและคุณสมบัติเท่านั้นที่มืออาชีพคนอื่นจะสามารถหยิบมันขึ้นมาและใช้อุปกรณ์ชนิดนี้ได้
ตราบใดที่คุณตั้งใจ นักเวทย์ก็สามารถสวมชุดเกราะได้ แต่ผลลัพธ์พิเศษบางอย่างอาจไม่ทำงาน
“วิลเลียม ในฐานะลอร์ด เจ้าสามารถซุ่มยิ่งธนูจากด้านข้างก็ได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องนำตัวเองเข้าไปในสนามรบ!” ลอทเนอร์ค่อนข้างกังวล
แต่นอกเหนือไปจากชุดเกราะชั้นในระดับอีปิค บอสระดับรีเจนดารีผู้ที่มีอุปกรณ์อยู่ในเลเวลระดับต่ำก็ส่ายหัวของเขา “ไม่ ลอร์ดควรเป็นคนที่นำทัพ นอช ท่านไปล้อมที่จุดรวมพลของพวกมันกับคนอื่นๆ ซะ เราจะฆ่ามันด้วยตัวเอง อย่าให้ใครหน้าไหนในพวกมันหนีรอดไปได้!”
“ท่านลอร์ด ให้พวกเราจัดการกับออร์คพวกนั้นเองเถอะ!” เอลฟ์นักรบคนอื่นไม่เห็นด้วย ที่สุดแล้ว นี่ก็เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย
แม้ว่าพวกเขาจะเห็นว่าลอร์ดผู้นี้ฝึกฝนพลังการต่อสู้ของเขาได้อย่างสมบูรณ์ เขายังคงเด็กอยู่และการกระทำนี้ก็ฟังดูไม่เข้าท่าเอาซะเลย พวกเขาก็ต้องการที่จะกลับไปสู่อาณาจักรเอลฟ์อยู่หรอก แต่หัวใจของพวกเขากลับไม่ยอมให้หักหลังลอร์ดคนนี้…
“ทำตามคำสั่งของเรา ท่านลุงลอทเนอร์จะปกป้องเราเอง พวกท่านที่เหลือแค่ไปล้อมออร์คพวกนั้นเสีย!” วิลเลียมมองไปยังลอทเนอร์
ลอทเนอร์ได้แต่พยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “ก็ได้ แต่ถ้ามีศัตรูที่คุกคามชีวิตของท่าน ทั้งธนูและลูกธนูในมือของข้าจะไม่ล้อเล่นแน่!”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ถ้าท่านเห็นว่าลูกธนูของเรากำลังจะหมดเมื่อไหร่ ก็โยนซองลูกธนูมาให้เราก็พอ!” มุมปากของวิลเลียมยกขึ้นเล็กๆ จากนั้นจึงย่างก้าวด้วยความคล่องแคล่วไปยังจุดรวมพลของพวกออร์ค
ในเวลาเดียวกัน เอลฟ์นักเวทย์ห้าตนมองหน้ากันและกัน ก่อนจะส่งบัฟที่เพิ่มประสิทธิภาพทุกรูปแบบให้เขา
แสงสว่าง
อัญเชิญจิตวิญญาณ
เพิ่มความแข็งแกร่ง
เพิ่มการป้องกัน และอื่นๆ เอฟเฟคส่วนใหญ่จะสามารถมีประสิทธิภาพนานประมาณสิบนาทีและผลลัพธ์ก็ไม่ได้เห็นได้ชัดนัก แต่มันก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย
เอลฟ์ตนอื่นแยกกันออกไปอย่างเงียบเชียบและเข้าล้อมกลุ่มออร์ค
ในป่าแห่งนี้…
อย่าคิดจะสู้กับเอลฟ์!
ด้วยธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อพวกเขามองว่าการเพิ่มจำนวนประชากรของเอลฟ์นั้นเป็นสิ่งที่คุกคาม พวกเขาจึงไม่กล้าที่จะเข้ามาในป่าอย่างผลีผลามเพราะรู้ว่าในป่าที่เก่าแก่แห่งนี้ พวกเขาไม่สามารถต่อกรกับวิธีการสู้ศึกของเหล่าเอลฟ์ได้ และมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสู้กับเอลฟ์!
ร่างหนึ่งกำลังกระโดดอยู่ในป่าอย่างเงียบเชียบราวกับเสือดาวที่ปราดเปรียว
ถึงแม้ว่าความเร็วของเขาจะรวดเร็วและเขาก็กระโดดได้สูงมากๆ มันก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะทำการเคลื่อนไหวใดๆ
ทุกครั้งที่เขาเดิน เขาสามารถหลีกเลี่ยงบริเวณที่เป็นหญ้าซึ่งอาจทำให้เกิดเสียงได้อย่างง่ายดาย เขาเป็นเหมือนกับเอลฟ์นักล่าผู้ทรงพลังคนหนึ่งที่สามารถเคลื่อนไหวไปรอบๆ โดยที่ไม่มีทางถูกเห็นตัวได้
ลอทเนอร์เห็นทั้งหมดนั่นและเริ่มที่จะสงสัยเล็กน้อย…
มันจะเป็นไปได้งั้นหรือ?
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตมันเป็นเพียงแค่การแสดงของเขา รวมถึงการตกต้นไม้ด้วยงั้นหรือ?
และทำไมถึงไม่เปิดเผยความสามารถที่แท้จริงของเขาเมื่อเป็นลอร์ดแล้วล่ะ?
………
หลังการสำรวจจากบนต้นไม้ วิลเลียมค่อยๆ เข้าใกล้ทีมออร์คทหารยามทีมหนึ่ง
ระดับของออร์คห้าตัวนี้ปรากฏต่อหน้าเขาเรียบร้อยแล้ว
มีสามตัวอยู่ที่เลเวล 20, สองตัวเลเวล 15 ไม่มีระดับสูงและพวกมันทั้งหมดเป็นแค่ออร์คนักรบธรรมดาทั่วไป
“ถ้าอย่างนั้นก็หวานหมูล่ะ!” วิลเลียมหรี่ตาของเขาลง หยิบลูกธนูสามอันออกมาจากซองใส่ลูกธนูด้วยมือซ้าย
จับลูกธนูดอกหนึ่งด้วยมือขวาและง้างมันไปด้านหลังของคันธนู เขายิงมันออกไปด้วยพลังการต่อสู้ที่เต็มเปี่ยม!
ฟิ้วว
ลำแสงหนึ่งวิ่งผ่านเข้าไปยังป่าที่มืดมิด ทำให้ออร์คที่กำลังเดินอยู่ด้านหลังสุดล้มลงบนพื้นโดยไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ
เฮดช็อต จุดอ่อนร้ายแรงที่ทำให้ถึงแก่ชีวิต ในจังหวะที่ลูกธนูทะลุเข้าไปที่หัวทำให้เกิดบาดแผลสาหัส
ออร์คนักรบตนนั้นผู้ที่ไม่มีเลือดมากนักจึงตายในทันที
ได้รับค่าประสบการณ์ 400 หน่วย
ออร์คสี่ตัวที่อยู่ด้านหน้าได้ยินเสียงและขณะที่กำลังจะหันหลังมา วิลเลียมก็หยิบลูกธนูขึ้นมาดอกหนึ่งจากลูกธนูสามดอกในมือซ้ายของเขา ง้างมันไปด้านหลังของคันธนูและยิงมันออกไป…
ภายในเวลาเพียงแค่สองวินาที
ออร์คนักรบสามตนถูกฆ่าด้วยเฮดช็อตของเขา
แต่ในตอนที่ออร์คที่เหลืออีกสองตัวหยิบอาวุธของพวกมันออกมาและกำลังจะตะโกน…
ร่างหนึ่งก็ลงมาจากฟ้า วิลเลียมที่อยู่กลางอากาศก็ง้างคันธนูของเขาและยิงลูกธนูออกไป
ออร์คตัวที่กำลังอ้าปากกว้างรับรู้ถึงความเจ็บปวดและกำมือเข้าที่คอของมัน ก่อนจะล้มลงไปที่พื้น
ขณะที่ออร์คอีกตัวซึ่งกำลังตกอยู่ในความอึ้งตะลึงจะสามารถโต้ตอบอะไรกลับได้ วิลเลียมที่ยังคงอยู่กลางอากาศก็ชักดาบตรงข้อมือของเขาออกมา ก่อนจะลงสู่พื้นดิน แล้วจัดการกับศัตรู!
สวบ
วิลเลียมดึงดาบของเขาออกจากหัวของออร์คตัวนั้นในขณะที่เลือดสีเขียวของมันไหลลงมาช้าๆ เขายังไม่หยุดและกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้พร้อมๆกับการมองหาทีมตรวจตราที่เหลือ!
การปฏิบัติในแผนการรบที่ดูเหมือนจะซับซ้อนนี้กลับถูกทำให้จบลงภายในเวลาน้อยกว่าสามวินาที
ลอทเนอร์ไม่อาจห้ามความรู้สึกตกตะลึงได้เมื่อเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ออร์คทั้งห้าตัวนั้นยังไม่ทันที่จะพูดออกมาสักคำเสียด้วยซ้ำ พวกมันก็ถูกกำจัดโดยท่านลอร์ดอย่างง่ายดาย…
“และเขาก็ไม่ได้ใช้แม้แต่ทักษะพลังการต่อสู้ใดๆ!” ลอทเนอร์ถอนหายใจ โดยเฉพาะความยากในการยิงขณะกำลังกระโดดอยู่นั้นยากเป็นอย่างมาก แม้แต่ตัวเขาเองก็ต้องฝึกซ้อมมาเป็นเวลานานกว่าที่เขาจะเชี่ยวชาญมันได้อย่างสมบูรณ์
เขาไม่เคยคาดคิดว่าลอร์ดคนนี้จะซ่อนมันไว้
ลอทเนอร์กลืนน้ำลาย “เท่าไหร่กัน… เขาโกหกคนในเมืองดาร์คไนท์ไปเท่าไหร่กัน?”
ง้างคันธนูไปด้านหลังและยิงลูกธนูออกไป!
ง้างคันธนูไปด้านหลังและยิงลูกธนูออกไป!
ลูกธนูที่เคลือบไปด้วยพลังการต่อสู้ยิงออกไปยังพวกออร์คตรวจตราด้วยความแม่นยำที่แน่นอน
ลอทเนอร์เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ พวกออร์คที่ล้มลงบนพื้นถูงยิงที่ศีรษะอันน่าเกลียดของพวกมันด้วยธนูที่เจาะผ่านทะลุออกมา น้ำเลือดสีเขียวไหลออกจากปากแผลตรงที่ลูกธนูทะลุผ่านออกมาเพียงเล็กน้อย และในป่ารกทึบแห่งนี้ กลิ่นของเลือดที่บางเบานั้นจะไม่กระจายออกไปไกลมากนัก
มันมากพอที่จะแสดงให้เห็นว่าวิลเลียมเป็นนักธนูที่มีประสบการณ์มากอย่างแน่นอน
วิลเลียมยิ้มเมื่อเขาเห็นว่าค่าประสบการณ์การของเขากำลังสูงขึ้น ตอนนี้เขาสามารถเพิ่มพลังการต่อสู้ของเขาโดยใช้กลโกงได้แล้ว แต่มันก็ต่ำกว่าเลเวล 5 อยู่ดี ดังนั้นมันจึงไม่มีประโยชน์ที่จะเพิ่มเลเวลโดยที่เอฟเฟคพิเศษและสกิลจะไม่เปลี่ยนไป
การฆ่ามอนสเตอร์ที่มีเลเวลสูงกว่าจะทำให้ได้รับค่าประสบการณ์มากมายอยู่แล้ว แม้แต่กับบอสระดับรีเจนดารีอย่างวิลเลียม
ถ้าเขาสามารถฆ่ามอนสเตอร์ที่เลเวลสูงกว่าเขา 20 เลเวล ในกรณีที่ดีที่สุด เขาก็อาจจะได้รับค่าประสบการณ์ถึงสิบเท่า!
แต่ว่ามันก็มีข้อกำหนดบางอย่างสำหรับความเสียหายต่อมอนสเตอร์…
ค่าประสบการณ์ของผู้เล่นจะสามารถเพิ่มขึ้นได้ 10 เท่า ก็ต่อเมื่อผู้เล่นทำความเสียหายขึ้นไปถึง 100% เท่านั้น เมื่อเปอร์เซ็นต์ความเสียหายลดลง ค่าประสบการณ์ก็จะลดลงเช่นกัน นี่เป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้เล่นเอาเปรียบมอนสเตอร์และฆ่ามอนสเตอร์ตอนที่พวกมันกำลังจะตาย
ส่วนสำหรับไอเท็มที่เป็นแบบใช้ครั้งเดียวนั้น (เช่น ระเบิด, กระสุนปืน) พวกเขาจะสามารถฆ่ามอนสเตอร์ที่เลเวลสูงกว่าตัวเอง 20 เลเวลได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
แต่ว่าจะมีผู้เล่นสักกี่คนที่สามารถจ่ายสำหรับวิธีการแบบนั้นได้?
ทางพฤตินัยแล้วนี่ก็คือการโกงด้วยเงิน!
ดังนั้น…
การมีใครซักคนเพื่อมาเพิ่มเลเวลให้คุณนั้นเป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น!
ในตอนเริ่มต้น วิลเลียมเคยช่วยคนรวยในการเพิ่มเลเวลและใช้จ่ายเงินที่เขาได้รับไปกับในเกม และทีละขั้นๆ เขาก็กลายมาเป็นระดับตำนาน
สำหรับผู้ช่วยผู้เล่นระดับรีเจนดารีคนหนึ่ง ชื่อเสียงของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เขากลายเป็นหนึ่งในผู้ช่วยผู้เล่นที่ดีที่สุดในแผ่นดินรีเจนดารี และหลังจากที่ค่าตัวของผู้ช่วยผู้เล่นเพิ่มเป็นสองเท่าหลายต่อหลายครั้ง มันจึงไม่อาจหยุดเขาจากการเป็นผู้ช่วยผู้เล่นได้
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้เล่นคนที่ขึ้นไปถึงระดับรีเจนดารีในเกมนี้ทั้งหมดก็เป็นที่ชื่นชอบของกิลด์ และไม่ใช่เพียงผู้ช่วยผู้เล่นคนหนึ่ง
หลังจากที่ฆ่าออร์คตรวจตราทั้งหมด พวกออร์คที่อยู่ตรงจุดรวมพลก็ยังคงไม่รู้สึกตัวแต่อย่างไร และเพราะอยู่ในช่วงเวลาอาหารค่ำ พวกมันจึงกำลังร้องตะโกนและสวาปามเนื้อย่างกันอย่างเร้าใจ
พวกมันทุกตัวกำลังมีความสุขกับการยัดอาหารใส่กระเพาะ รอบๆปากของพวกมันเต็มไปด้วยคราบมัน
วิลเลียมยืนอยู่บนยอดไม้ มองไปที่หัวหน้าของพวกออร์ค ตัวหัวหน้านั้นมีภาพลักษณ์ที่ย่ำแย่ที่สุด เขากำลังเกาง่ามขาในขณะที่กำลังกินเนื้ออยู่ แถมยังเอามือไปที่จมูกตัวเองเพื่อดมกลิ่น ราวกับว่ากลิ่นมันรุนแรงมาก เขาจึงยิ้มออกมากและหยิบเนื้อขึ้นเพื่อกินต่อไป
“เป็นการรวมตัวของพวกโง่เง่าชัดๆ!” วิลเลียมยกคิ้วของเขาขึ้น ตอนนี้พวกมันกำลังกินอาหารค่ำกันอยู่ เขาจึงไม่สามารถโจมตีได้
หลังจากที่พวกออร์คกินอาหารค่ำเสร็จ พวกมันจะต้องเปลี่ยนกะกับทีมตรวจตราของพวกมัน และพวกมันจะต้องรู้แน่นอนว่าศัตรูบุกเข้ามาแล้ว
“ถ้าอย่างนั้น… วิธีเดียวก็คือการใช้ ‘ศรระเบิด’ เวอร์ชั่นก็อป!” วิลเลียมจ้องไปที่จุดรวมพลของเหล่าออร์ค มีกองไฟทั้งหมด 8 กอง
ตราบใดที่ศรพลังต่อสู้ถูกยิงเข้าไปข้างในนั้น การสัมผัสอย่างเฉียบพลันของพลังการต่อสู้กับดวงไฟจะทำให้เกิดแรงเสียดทาน และหลังจากเกิดแรงเสียดทาน พลังงานการต่อสู้นั้นจะสร้างปฏิกิริยาเคมีกับไฟ
ก็นะ ไม่ว่ายังไงมันก็จะทำให้เกิดการระเบิดขึ้น
ไม่ต้องถามว่าทำไม นี่คือสิ่งที่เกมนี้ตั้งขึ้นมาแบบนี้ มันเป็นหนึ่งในกฎเกณฑ์ของ Gods
“ฮึ่มม ที่นี่ไม่มีถุงน้ำมัน ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็จะเผาร่างกายของพวกมันมากขึ้น” วิลเลียมถอนหายใจ เพราะน่าจะมีอะไรแขวนไปพร้อมกับลูกธนูดอกนี้
ตราบใดที่คนๆ หนึ่งเคยเรียนวิธีการใช้ศรระเบิด ก็จะรู้ว่าสามารถนำไอเท็มมาแขวนไว้กับลูกธนูและยิงออกไปได้ ยกตัวอย่างเช่น ถุงพิษ, ถุงน้ำมัน, และคริสตัลธาตุทุกรูปแบบ มันก็จะทำให้เกิดความเสียหายแบบกลุ่มได้อย่างดีทีเดียว หรืออาจจะสามารถใช้คุณสมบัติพลังการโจมตีที่คล้ายๆ กันในระดับกลางก็ได้
สำหรับพวกออร์ค ระเบิดลูกธนูไฟเป็นคู่ปรับตลอดกาลที่พวกมันไม่อาจเอาชนะได้
แม้ว่าผิวที่หยาบกร้านและหนังที่หนาจะทำให้พวกมันดูราวกับหมี โดยที่นอกจากศีรษะของพวกมันแล้ว พูดง่ายๆว่า ทั้งตัวของพวกมันมีขนสีดำขึ้นคลุมทั้งตัวและหลังจากที่ถอดชุดเกราะของพวกมันออก ก็จะเป็นกล้ามแน่นที่เต็มไปด้วยขนดกดำคลุมหน้าอกอยู่
วิลเลียม แบล็คลีฟสูดหายใจเข้าลึกๆ ง้างคันธนูของเขาและยิงลูกธนูไปพร้อมกับพลังการโจมตี!
ฟิ้ววว!
ตู้มมม!
ไฟขนาดใหญ่ระเบิดออกและลามออกไป ออร์คที่อยู่ใกล้ที่สุดกลายเป็นออร์คคลอกไฟในทันที มันแยกเขี้ยวและกวัดแกว่งกรงเล็บไปมา ช่างดูน่าประทับใจเสียจริง!
และสำหรับถ่านเชื้อเพลิงอื่นๆ ด้วยพลังของการระเบิด มันชนเข้ากับออร์คเป็นโหลๆ และพวกที่มีขนเยอะที่สุดก็เห่าหอนขึ้นในพริบตา!
พวกมันหวังว่าจะสามารถดึงขนพวกนี้ออกจากตัวได้
ท้ายที่สุด ออร์คตัวที่มีขนเยอะจะมีรูปร่างที่น่ายำเกรงและได้นั่งอยู่ที่แถวหน้าในเวลาอาหาร แต่ยิ่งพวกเขามีขนเยอะเท่าไหร่ พวกมันก็ยิ่งกลัวไฟมากเท่านั้น!
วิลเลียมยังไม่หยุด และความเร็วที่เขาง้างคันธนูและยิงลูกธนูนั้นไม่ธรรมดาเลย ลูกธนูถูกยิงอย่างบ้าคลั่งออกไปยังกองไฟ ในเวลาเพียงแค่สามวินาที กองไฟกองใหญ่ทั้งแปดกองระเบิดออกกองแล้วกองเล่า แม้เสียงดังสนั่นไม่ได้กระจายไปไกลมากนักในป่า แต่มันทำให้อสูรป่าหลายตัวคำรามและทำให้เหล่านกน้อยใหญ่ตกใจบินหนีไป
“ไอ้เอลฟ์น่าเกลียด ฉันเห็นแก ฉันอยากจะกินเนื้อสะโพกของแกจริงๆ! อ๊าา!” ผู้นำออร์คที่เป็นออร์คเบอเซอร์เกอร์1 มีรูปร่างเตี้ยมาก แต่เขากลับฉลาดไม่น้อยเลย
ดังนั้น เขาจึงรีบซ่อนตัวในทันทีและไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
แต่คนของเขากลับประสบกับอาการบาดเจ็บสาหัส หัวหน้าผู้กราดเกรี้ยวเดินมุทะลุมาด้านหน้าพร้อมขวานสองด้าม
ริมฝีปากของวิลเลียมกระตุก งานอดิเรกประหลาดอะไรล่ะนั่น? เขาเห็นได้เลยว่าไอ้โง่เง่าคนนี้ไม่เคยกินเอลฟ์สักตัวมาก่อนและรู้แค่วิธีสร้างเรื่องเท่านั้น เนื้อสะโพกของเอลฟ์นั้นไม่…
วิลเลียมไม่เคยกินมาก่อนเหมือนกัน เขาแค่เคยได้ยินมา…
หลังจากการล้างบางด้วยศรระเบิด พวกออร์ค 500 ตนก็ถูกลดเหลือ 300 ในชั่วพริบตา ยังไงซะ พวกออร์คก็เพิ่งสร้างจุดรวมพลใหม่ พวกมันจึงไม่สามารถเริ่มก่อไฟในถ้ำได้ ดังนั้นพวกมันจึงต้องมาจุดไฟด้านนอกเท่านั้น และเพราะพวกมันไม่ได้ตัดต้นไม้ออกไปเยอะเท่าไหร่นัก เหล่าเอลฟ์จึงสามารถรวมตัวกันได้ ผลลัพธ์ก็คือพวกเขาเกือบถูกกำจัดโดยวิลเลียม!
ขนาดที่ว่าออร์ค 300 ตนที่เหลือนั้นถูกไฟคลอกทั้งตัวและก็ดูราวกับชิมแปนซีที่กำลังมอดไหม้…
ออร์คผู้นำเป็นบอสเลเวล 35 ระดับสายเลือดของเขานั้นไม่ชัดเจน แต่ตราบใดที่วิลเลียมไม่โง่ เขาจะไม่มีทางลงจากต้นไม้และไปสู้กับมัน!
ออร์คกลุ่มหนึ่งล้อมเขาที่ยังยืนอยู่บนต้นไม้ คอยยิงพวกมันด้วยความป่าเถื่อนไว้ การเล็งเป้าของเขานั้นแม่นยำมาก มันเป็นอะไรที่น่ากลัวจริงๆ พวกออร์คที่วิ่งอยู่ถูกยิงตัวแล้วตัวเล่าและล้มลงไปที่พื้น
จนถึงตอนนี้ วิลเลียม แบล็คลีฟยังยิงไม่พลาดเลยสักเป้า
“บ้าจริง ไอพวกพรานป่า ลงมาเดี๋ยวนี้นะ!” ออร์คผู้นำกระโจนขึ้น แสงจากขวานทั้งสองส่องรัศมีไปด้วยพลังการต่อสู้
แครก!
ต้นไม้หนาใหญ่ถูกตัดลงโดยขวานนั่น แต่วิลเลียมก็กระโดดไปยังต้นไม้ใหญ่อีกต้นและทำการยิงต่อไป!
เขาไม่ได้ปฏิเสธตัวตนของเขาในฐานะเอลฟ์นักลาดตระเวน…
ที่สุดแล้ว มันก็ไม่มีตัวเลือกให้เลือก อาชีพของผู้รักษาการณ์แห่งรุ่งอรุณนั้นเป็นครึ่งนักลาดตระเวนและครึ่งนักรบ แต่ก็อาจจะมีคนไม่เชื่อ เพราะว่าเขานั้นยิงธนูได้ดียิ่งกว่านักลาดตระเวนและโจมตีได้รุนแรงกว่านักรบคนหนึ่งเสียด้วยซ้ำไป…
จุดรวมพลนี้ของพวกออร์คนั้นไม่ได้น่ากลัวอะไรเมื่อไร้ซึ่งนักธนู แต่ออร์คนักธนูนั้นหายากมาก หายากในที่นี้หมายความว่าพวกเขานั้นเป็นระดับสูง และระดับสูงหมายความว่าพวกเขาอยู่ใกล้กับไฟ…
หลังจากการระเบิดติดต่อกัน มีเพียงออร์คนักธนูไม่กี่คนที่เหลืออยู่ แต่พวกเขาทั้งหมดก็อยู่ในอาการบาดเจ็บสาหัสและไม่สามารถยิงธนูได้เลย
ต่อให้ถ้าใครบางคนให้อาวุธกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่สามารถยิงได้อย่างแม่นยำ
ดังนั้น วิลเลียมจึงกระโดดไปมาระหว่างต้นไม้และวิ่งไปวิ่งมาเพื่อสร้างระยะห่างและทำให้พวกมันวิ่งตามเขา เอลฟ์นั้นแยบยล…
และพวกออร์คพวกนั้นก็ไม่สามารถตามได้ทัน
ออร์คผู้นำทำได้เพียงมองดูโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นด้วยดวงตาแดงก่ำ
วิลเลียมกำลังยิงอย่างบ้าระห่ำ เมื่อซองธนูของเขาหมด มันก็จะมีอีกอันโยนขึ้นมา ดังนั้นจึงไม่มีการขาดลูกธนูเกิดขึ้น
แต่การวิ่งไปวิ่งมานั้นไม่มีที่สิ้นสุด หรือก็ต่อเมื่อต้นไม้ทุกต้นถูกโค่นลงและวิลเลียมถูกล้อมโดยพวกออร์คเท่านั้นที่เขาจะหยุดการฆ่าที่เหี้ยมโหดนี้ได้!
หมายเหตุ
เบอเซอร์เกอร์1 หมายถึง นักรบโหดที่อ้างอิงจากนักรบชาวนอร์สโบราณที่รบด้วยความบ้าบิ่นและคลั่งเลือดสาด
จับผู้นำก่อนจะจับลูกน้อง
ในสนามรบ หากแม่ทัพถูกฆ่าตายเป็นคนแรก ขวัญกำลังของศัตรูมักจะตกลงไปยังจุดต่ำสุด และพวกเขาอาจคุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิตเสียด้วยซ้ำไป แผนการแบบนี้ถูกพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลกับออร์คทุกครั้ง
ถามว่าบอสระดับรีเจนดารีเลเวล 10 จะฆ่าบอสออร์คเลเวล 35 ได้อย่างไร
เดี๋ยวเขาจะโชว์ให้ดู
วิลเลียมกระโดดลงมาจากต้นไม้อีกครั้ง ท่าทางการง้างสายธนูกลางอากาศของเขาช่างสง่างาม แขนของเขาเต็มไปด้วยพลังการต่อสู้ที่ส่องแสงสว่างเจิดจ้าขณะที่ทักษะเฟเทลช็อตระเบิดออกมา
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
ศรธนูสามดอกที่ถูกห่อหุ้มด้วยพลังอันเฉียบคมพุ่งผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืนเหมือนกับฝนดาวตกอันพร่างพราว
ทันใดนั้น ลูกธนูก็พุ่งเข้าใส่ศีรษะของหัวหน้าเผ่าออร์ค!
ด้วยศรธนูที่ส่องสว่าง ไม่ว่าเนื้อหนังของหัวหน้าออร์คจะเหนียวขนาดไหน ขณะที่ถูกลูกธนูเจาะที่ศีรษะ มันก็เงยหน้าขึ้นและเดินถอยหลังไปหลายก้าว แม้ว่าการป้องกันของมันจะแข็งแกร่งแต่ก็ยังแตกพ่ายเมื่อถูกลูกธนูสามดอกยิงในจุดเดียวกัน
หัวหน้าออร์คที่กำลังถือขวาน คุกเข่าลงข้างหนึ่งครวญครางบนพื้นขณะกุมตาข้างขวา
ตราบใดที่เฟเทลช็อตของวิลเลียมโจมตีถูกเป้าหมายทั้งหมด มันจะสร้างความเสียหายเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
ความเสียหายของลูกธนูดอกสุดท้ายเพิ่มสูงถึง 160% บวกกับความเสียหายที่เพิ่มขึ้นสองเท่าที่ศีรษะทำให้หัวหน้าออร์คสูญเสียพลังชีวิตไปมากมาย
“แม่งเอ้ย ไอ้เด็กเวร ฉันจะฆ่าแก!” หัวหน้าออร์คดึงลูกธนูจากดวงตาออกอย่างโหดเหี้ยม แผดเสียงคำราม และมุ่งตรงมาพร้อมกับคนของมัน
วิลเลียมที่สายเกินกว่าจะปีนขึ้นต้นไม้ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
และง้างสายธนู!
ในขณะที่ ‘แสงแห่งรุ่งอรุณ’ เปิดทำงาน
เมื่อเพิ่มพลังโจมตี 50% ไปยังเฟเทลช็อต มันสามารถสร้างความเสียหายเพิ่มขึ้นได้ถึง 200%!
ณ ขณะนี้ ออร์คเกือบทั้งหมดที่กำลังมุ่งตรงมารู้สึกเย็นยะเยือก
นักธนูเอลฟ์ผู้ที่พุ่งเป้ายิงแต่ศีรษะและไม่เคยพลาดซักครั้งทำให้พวกมันหวาดกลัวเหลือเกิน
แต่พวกมันอยู่ใกล้กับเขามากและออร์คบางตนอดไม่ได้ที่จะเพ้อมโนถึงการฆ่าวิลเลียม หลังนั้นมันก็เป็นไปได้ว่าพวกมันจะได้สัมผัสถึงจุดไคลแม็กซ์ของความตื่นเต้นที่แสนสุดยอด!
หญิงสาวออร์คหลายตนคงจะวิ่งเข้ามาสู่อ้อมแขนหลังจบสงครามและพวกมันก็จะได้เพลิดเพลินไปกับการปรนิบัติเหมือนกับวีรบุรุษ
และส่วนผู้นำออร์คที่ดวงตาเป็นสีแดงฉานนั้นตกอยู่ในสภาวะบ้าคลั่งโดยสมบูรณ์อย่างกับเบอเซอร์เกอร์ มันถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีแดงและไม่มีความคิดที่จะหลบหลีก
แต่มันก็เพียงพอที่จะพิสูจน์สิ่งหนึ่ง
มันได้เปิดการใช้งานสถานะเบอเซอร์เกอร์
แต่มีเพียงคำๆเดียวในใจของมันตอนนี้!
นั่นคือ
F*ck!
ในช่วงเวลาสั้นๆที่เหล่าออร์คเคลื่อนไหวไปมา ลำแสงจากมือของวิลเลียมอีกสามลำก็ยิงผ่านฟากฟ้าในยามค่ำคืนและเสียงที่ดังกึกก้องในอากาศ ก็ถูกโจมตีไปยังเป้าหมาย
ปัง ปัง ปัง!
เลือดสาดกระจาย!
หัวหน้าออร์คที่กำลังถือขวานอยู่ไม่ได้ป้องกันใดๆจากลูกศร
ลูกธนูทั้งสามเกือบพุ่งเข้าใส่หัวของมันในเวลาเดียวกัน!
เมื่อลูกธนูดอกสุดท้ายเจาะเข้าไปในศีรษะของหัวหน้าออร์ค หลายคนได้ยินเสียงร้าว
ตู้ม…
สมองสีสดใสระเบิดออกมาจากศีรษะของหัวหน้าออร์คที่ยังคงถือขวานทั้งสองด้ามและล้มลงกับพื้นอย่างแรง
ออร์คอย่างมันน่ะ เป็นผู้ที่ไร้การป้องกันและรู้จักแต่การอาละวาดจนลมหายสุดท้าย
บอสออร์คเลเวล 35 น่ะแข็งแกร่งมาก
แต่มันเป็นเพียงสหายที่มีสายเลือดระดับสูงเท่านั้น
เทียบศักยภาพทางสายเลือดกับวิลเลียมไม่ได้หรอกนะ
แน่นอนว่ามันยังคงร้ายการสำหรับผู้เล่นเมื่อคนประเภทนี้เริ่มบ้าคลั่ง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับบอสระดับรีเจนดารีเลเวล 10 ผู้ที่มีปัญหาทางด้านอาวุธ พวกเขาก็จับคู่กันได้อย่างสูสีเลยทีเดียว
เพราะว่าวิลเลียมเปลี่ยนไปหลังจากเปลี่ยนอาชีพ
โดยเฉพาะในเรื่องของค่าสถานะ การมีเกราะชั้นในระดับอีปิคและพลังโจมตีระดับรีเจนดารี เขาเพียงอ่อนแอกว่าหัวหน้าออร์คในด้านค่าสถานะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เขาบดขยี้มันด้วยทักษะของเขาได้
แม้กระทั่งส่วนของสติปัญญา วิลเลียมก็เหนือกว่าเหล่าออร์คเช่นกัน
การตายของผู้นำออร์คทำให้เหล่าออร์คที่กำลังพุ่งเข้ามาหยุดกันเป็นขบวนรถไฟ!
แม้กระทั่งเบอเซอร์เกอร์บางตนก็ไม่สามารถกลืนน้ำลายลงได้ คำว่า ‘มุทะลุ’ วิ่งผ่านชีวิตของพวกมัน แต่ผู้นำของพวกมันก็ตายเพียงเพราะมุทะลุ สติปัญญาของพวกมันควบคุมการแสดงออกในบางด้านและนั่นก็คือการหยุดพุ่งเข้าไป…
ท้ายที่สุดแล้ว พลังของลูกธนูเหล่านั้นที่ระเบิดหัวหน้าของพวกมันก็ทำให้ตกใจจริงๆ
วิลเลียมยืนเดียวดายตรงหน้านักรบออร์คกว่า 200 ตน มีรัศมีของผู้ที่สามารถต่อสู้กับไพร่พลนับพัน
เหตุผลที่เขาฆ่าหัวหน้าออร์คคือมันจะทำให้เกิดบัฟความเกรงกลัวของนักรบออร์คธรรมดาทั่วไป
ไม่เช่นนั้นแล้ว เขาคนเดียวจะฆ่าออร์คทั้งหมดได้อย่างไร?
“แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น!” วิลเลียมเลิกคิ้ว นักรบออร์คกลุ่มนี้ไม่ได้หนีไปและดูเหมือนจะลังเลอยู่ เขาจึงปัดมือเบาๆ
ทันใดนั้นก็มีเสียงเอะอะจากทหารเอลฟ์สองร้อยตนในชุดเกราะชั้นสูงปรากฎขึ้นรอบๆ เมื่อนักธนูเล็งศรไปยังเหล่าออร์ค พวกมันก็โยนอาวุธทิ้งและคุกเข่าลงบนพื้นเพื่อยอมจำนนในที่สุด
เมื่อมองดูพวกมันที่สั่นสะท้านด้วยความกลัวคล้ายกับกลุ่มเด็กสาวที่ถูกล้อมไปด้วยชายหนุ่มล่ำสัน พวกมันมองมายังวิลเลียมด้วยความคาดหวังและความสิ้นหวังเล็กน้อย ราวกับกำลังกังวลเกี่ยวกับอนาคตของพวกมัน
[ภารกิจวิกฤตการณ์ใกล้อาณาเขต : ภารกิจขั้นที่สองเสร็จสิ้นแล้ว คุณเอาชนะผู้บุกรุกได้สำเร็จด้วยตัวคุณเอง แม้ว่าคุณต้องการเก็บเหล่าชายฉกรรจ์ไว้ใช้งาน แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของคุณ]
[รางวัล : ค่าประสบการณ์ 45000 หน่วย]
[รางวัล : เกราะขนาดใหญ่จำนวนมาก]
ปากของวิลเลียมกระตุกขณะที่เห็นรางวัลที่สอง เขาคิดว่ารางวัลอันที่สองที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเป็นบางสิ่งที่ดี แต่มันก็เป็นแค่เกราะบางส่วนเท่านั้น เห็นได้ชัดว่ามันเป็นของขวัญที่ไร้ประโยชน์!
ตราบใดที่เขาฆ่าออร์คเหล่านั้น เขาก็สามารถได้เกราะมาอย่างง่ายดาย
น่าเสียดายที่เกราะของพวกออร์คน่าเกลียดเกินไปและใส่ได้ไม่พอดีตัว มันจึงจำเป็นต้องเอาไปหลอมแล้วสร้างขึ้นใหม่
เมื่อเหล่าออร์ควางอาวุธและยอมจำนน เอลฟ์ตนอื่นๆก็ดูเหมือนจะเข้าใจและให้พวกมันถอดชุดเกราะออก พวกมันยืนเปลือยกายขณะที่ปิดร่างกายส่วนล่างเอาไว้ ก่อนวิลเลียมจะสั่งให้ฆ่าพวกมัน
ไม่เพียงแต่พวกมันจะทำงานหนัก แต่ออร์คยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการขุด
นอกเหนือจากถูกเฆี่ยนโดยแส้อันแล็กๆแล้ว พวกมันยิ่งขุดมากเท่าไหร่ความสุขก็จะยิ่งระเบิดออกมาเท่านั้น!
ไม่ว่าเอลฟ์หรือมนุษย์ ตราบใดที่สามารถควบคุมออร์คได้ พวกเขามักเลือกให้พวกมันไปขุดเหมือง
“ท่านลอร์คครับ!” นอช ผู้วางแผนเข้าไปในถ้ำเพื่อหาอาวุธที่จะยึดจากศึกสงครามวิ่งมาอย่างตื่นเต้น
วิลเลียมที่กำลังคิดหาวิธีเพิ่มเลเวลอยู่ มองมาและเบิกตาขึ้น “ชุดเกราะหรอ?”
“ใช่แล้ว เราพบชุดเกราะและอาวุธของพวกมนุษย์ในถ้ำครับ ทั้งหมดมีคุณภาพยอดเยี่ยมและมีจำนวนมากกว่า 300 ชุด!” นอชยิ้ม ในมือถือชุดเกราะและอาวุธที่นองด้วยเลือด
วิลเลียมพึมพัมกับตนเองว่าภารกิจไม่ได้หลอกลวงเขาแล้วหยิบชุดเกราะขึ้นมา ชั่งน้ำหนักในมือและเลิกคิ้วขึ้น “นำมันกลับไปให้หมดและลบสัญลักษณ์บนเกราะกับอาวุธทิ้งซะ เมื่อทหารถูกเรียกใช้ พวกเขาจะไม่ขาดอุปกรณ์อีกต่อไป!”
“รับทราบครับ!” นอชพยักหน้าและสั่งให้เหล่าทหารนำสิ่งของที่ดีออกจากถ้ำออร์ค
“ชุดเกราะกับอาวุธของทหารจากดยุคในอาณาจักรเหล็กตกมาอยู่ในมือของพวกออร์คได้ยังไงกัน?” ลอทเนอร์สงสัยเมื่อมองไปยังสิ่งเหล่านั้น
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทั้งหมดนั่นเป็นของพวกเราแล้ว!” วิลเลียมกล่าวอย่างไม่สนใจ สงครามระหว่างออร์คและมนุษย์ไม่เคยหยุดนิ่ง หลังจากออร์คยึดของจากทหารของพวกมนุษย์ พวกมันมักหาวาณิชย์เพื่อขายมัน
หากไม่เกิดอะไรขึ้น ชุดเกราะพวกนี้จะถูกขายให้กับพ่อค้าที่รักการผจญภัย
ออร์คยังสามารถแลกเปลี่ยนอาหารบางอย่างเช่น เกลือ เสื้อผ้า ของหายาก และอื่นๆได้ ขนาดเกราะของทหารจากอาณาจักรเหล็กจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่
แต่เมื่อมีบางคนนำชิ้นส่วนของเกล็ดสีเข้มอันหนึ่งออกมา
พวกเขาสองคนก็เบิกตากว้างและพูดอย่างสงสัยในเวลาเดียวกัน “เกล็ดมังกรเหรอ?”
“ตามรูปแบบและขนาดแล้ว มันต้องเป็นเกล็ดมังกรแน่ๆ แต่ไม่ใช่ของมังกรยักษ์แต่เป็นเกล็ดมังกรจากร่างมนุษย์ ข้าไม่รู้ว่าเกล็ดมังกรเป็นของสาวกมังกรหรือผู้ติดตามมังกรกันแน่!” ดวงตาของลอทเนอร์เต็มไปด้วยความสงสัยและความระมัดระวัง
ไม่ว่าจะเป็นสาวกมังกรหรือผู้ติดตามมังกร มันก็เป็นสายเลือดของเผ่าพันธุ์มังกรและไม่สามารถไปยั่วยุได้
วิลเลียมเอื้อมมือไปจับเกล็ดมังกร
ข้อมูลของวัสดุปรากฎขึ้น
เกล็ดมังกร: เป็นเกล็ดที่ดรอปโดยสาวกมังกร
เกรด : ซิลเวอร์
วิลเลียมขมวดคิ้ว สาวกมังกรและผู้ติดตามมังกรเป็นกลุ่มคนที่มีสายเลือดมังกร และศักยภาพทางสายเลือดของพวกเขานั้นเท่าเทียมกับเอลฟ์ หรือเผลอๆ ก็สูงกว่าด้วยซ้ำไป
หรือก็คือ พวกเขามีระดับศักยภาพทางสายเลือดสูงกว่าระดับแกรนด์มาสเตอร์
โดยเฉพาะเมื่อพวกเขามีทักษะกลายร่าง หลังจากกลายร่างแล้ว ร่างกายของพวกเขาจะถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ด ไม่เพียงแต่เพิ่มการป้องกันและการฟื้นฟูอย่างยอดเยี่ยม แต่ยังเพิ่มพลังการโจมตีและความเร็วในการเคลื่อนที่อีกด้วย พูดสั้นๆ ก็คือมันเป็นการพัฒนาค่าสถานะรอบด้าน
ความแตกต่างระหว่างสาวกมังกรกับผู้ติดตามมังกรคือ สาวกมังกรเป็น NPC ผู้ที่ได้รับเสียงกระซิบของมังกรหรือ ‘ดรากอนวิสเปอร์’ ซี่งทำให้พวกเขามีความสามารถส่วนหนึ่งของสายเลือดมังกรยักษ์ พวกเขาเป็นผู้รับใช้ของเผ่าพันธุ์มังกร
สำหรับผู้ติดตามมังกร พวกเขาอาบเลือดมังกรด้วยตนเอง แต่มันก็มีโอกาสที่จะเสียชีวิตครึ่งต่อครึ่ง
แต่ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม กลุ่มคนที่มีเลือดมังกรก็เป็นอะไรที่ไม่ควรจะประมาทหรือประเมินค่าต่ำไปได้เลย
แต่ว่ามีอยู่จุดๆหนึ่ง
จำนวนของสาวกมังกรนั้นมีอยู่น้อยมาก เพราะว่ามังกรธาตุ, มังกรโลหะ หรือมังกรเพชรนั้นแสนจะตระหนี่ ไม่ค่อยให้เลือดแก่ผู้รับใช้หรือผู้ร่วมสายเลือดเท่าใดนัก และไม่ค่อยร่ายดราดอนวิสเปอร์เพื่อเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นสาวกมังกร
นั่นนำไปสู่ความหายากของสาวกมังกร แต่ก็แน่นอนที่สุดว่าพวกเขานั้นแข็งแกร่งกว่าผู้ติดตามมังกร นอกเหนือจากความสามารถในการกลายร่างแล้วก็ยังมีดรากอนวิสเปอร์ที่ทรงพลังอีกด้วย
ส่วนผู้ติดตามมังกรน่ะเหรอ?
ตามปกติแล้ว พวกเขาพึ่งได้แต่การสังหารมังกรเท่านั้น!
มันเป็นเรื่องที่ยากมากในการผสมพันธ์ุระหว่างมนุษย์กับมังกร มันไม่มีทางเลือกอื่นเลยคุณจะต้องตายเพราะทวารหนักระเบิดแน่ๆ
ผู้ติดตามมังกรถูกแบ่งออกเป็นหลายระดับ ระดับที่พบมากที่สุดคือพวกที่อาบเลือดมังกรธรรมดาและพวกที่อาบเลือดจากหัวใจมังกร
“มันเป็นของที่สามารถพัฒนาคุณสมบัติต่างๆ เพิ่มได้ หรือฉันเองก็ควรจะลองทำดูบ้างในอนาคต?” วิลเลียมจับคาง หลังจากผู้เล่นเข้าเล่นเกม จะมีเผ่าพันธุ์หลากหลายให้เลือก แต่ในช่วงกลางและท้ายเกม มันไม่ได้มีหนทางมากนักในการที่จะเปลี่ยนเผ่าพันธุ์
แต่มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียในการเปลี่ยนเผ่าพันธุ์ของคนๆหนึ่ง
การเลือกเป็นสาวกมังกรก็หมายถึงการเลือกทรยศฝั่งมนุษย์ เพราะนอกจากว่าคุณจะยอมลดตัวเป็นผู้น้อยให้กับมังกรยักษ์ มันจึงจะร่ายดรากอนวิสเปอร์ใส่คุณให้กลายเป็นสาวกมังกร
ไม่อย่างนั้น ตัวเลือกเดียวที่มีอยู่ก็คือกลายเป็นข้ารับใช้คนหนึ่งเท่านั้น
คนๆนั้นจะต้องเปลี่ยนฝ่ายหลังจากเลือกที่จะเป็นสาวกมังกร หลังจากเปลี่ยนฝ่ายแล้ว ทั้งชื่อเสียงและไมตรีที่คนๆนั้นมีในฝ่ายเดิมจะถูกลบล้าง และอะไรที่คนๆนั้นเคยคบหาสมาคมด้วยก็จะน้อยลงไป
ทั้งภารกิจ, พล็อต, เส้นทางหลัก และอื่นๆ ก็มีโอกาสที่จะไม่ได้ติดต่อหรือสร้างสัมพันธ์กับผู้เล่นกลุ่มใหญ่เลย
แต่ข้อดีก็เป็นสิ่งที่เห็นๆ กันอยู่
มันก็เทียบเท่ากับการได้เข้าไปยังภารกิจลับระยะยาวอันหนึ่ง ถ้าคนๆนั้นทำดี เขาก็สามารถกลายเป็นผู้เล่นระดับท็อปคนหนึ่งได้เลย
แน่นอนว่า เหล่าคนที่ไม่ต้องการจะเปลี่ยนฝ่ายก็ยังสามารถเป็นผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของมังกรยักษ์ได้และกลายเป็นอัศวินมังกร แต่ชื่อเรียกสูงส่งที่ดูราวกับเป็นภารกิจระดับท็อปอันหนึ่งนั้นจะสามารถทำภารกิจเสร็จสมบูรณ์ได้ในระยะหลังของเกมเท่านั้น…
สิ่งที่ต้องมีสำหรับผู้ติดตามมังกรนั้นไม่ได้มากมายนัก ที่สุดแล้ว สาวกมังกรเองก็ชอบอาบเลือดมังกรและดื่มเลือดนั่นเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง แต่ระยะเริ่มต้นและระยะกลางของเกม จะมีผู้เล่นสักกี่คนที่จะมีโอกาสได้อาบเลือดมังกร? ใครบอกว่าคนที่อาบเลือดมังกรจะสามารถกลายเป็นผู้ติดตามมังกรได้อย่างแน่นอน? ทุกอย่างนี้มันขึ้นอยู่กับโชค!
แม้แต่มังกรเกิดใหม่ตัวหนึ่งก็ไม่ใช่อะไรที่ผู้เล่นจะสามารถต่อสู้ได้ในช่วงเริ่มต้น
เมื่อเหล่ามังกรน้อยน่ารักใช้การพ่มลมมังกรของพวกมัน มันจะสร้างผลกระทบต่อพื้นที่รอบๆ
ไม่สำคัญว่าผู้เล่นจะร้องตะโกนมากแค่ไหน ศพพวกนั้นก็จะกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและส่งกลิ่นราวกับเนื้อย่างที่หอมกรุ่นจนพวกออร์คในระแวกนั้นจะต้องคันไม่คันมืออยากจะได้ลิ้มลอง
สำหรับความเสียหายของผู้เล่น?
มันไม่มีการหยุดพักเพื่อป้องกัน!
แน่นอนอยู่แล้วว่าจะมีผู้เล่นบางคนที่มาพร้อมกับค่าความโชคดีและความโชคลาภวาสนาที่ไม่ธรรมดา ยกตัวอย่างเช่น การเจอเข้ากับมังกรยักษ์ที่กำลังจะตายหรือได้รับเลือดมังกรจาก NPC บางคน
“มันเคยถูกกล่าวไว้ว่าตลอดที่ผ่านมานั้นมีมังกรยักษ์ตัวหนึ่งอยู่บนภูเขาหิมะของทะเลทางตะวันออก เกล็ดมังกรอันนี้ต้องมาจากที่นั่นเป็นแน่!” ลอทเนอร์เลื่อนสายตาของเขาจ้องไปยังทางตะวันออก
ภูเขาหิมะของทะเลทางตะวันออกนั้นยังตั้งอยู่ในป่าแบล็คลีฟ ซึ่งใกล้กับฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลอีกด้วย
ภูเขาที่สูงที่สุดสูง 13,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลและพื้นที่เหนือ 6,000 เมตรขึ้นไปนั้นย่ำแย่เกินกว่าจะมีพืชพันธุ์ใดๆ ขึ้นได้ ที่นั่นเต็มไปด้วยหิมะและหินประหลาดมากมาย มันยังมีภูเขาไฟที่ยังคงประทุอยู่อีกด้วย
แต่ลอทเนอร์ไม่รู้ว่าเป็นมังกรใดที่อยู่ด้านบนของภูเขานั่น
วิลเลียมหรี่ตาและส่ายหัวของเขาก่อนจะพูด “เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งไปกังวลกับเรื่องพวกนี้เลย ภูเขาหิมะของทะเลทางตะวันออกนั้นอยู่ตั้ง 300 กิโลเมตรห่างจากอาณาเขตของพวกเรา ไม่ว่าเกล็ดมังกรนี้จะมาจากไหน มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ”
แต่เมื่อเขาหันหลังกลับ เขากลับไม่อาจห้ามใจที่จะไม่รู้สึกรำคาญได้ เวอร์ชั่น 1.0 ของเกมนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับสองอาณาจักรที่ปกครองโดยดยุคที่ต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงอำนาจในการครองโลก นี่ยังเป็นภารกิจหลักที่ผู้เล่นสามารถเข้าร่วมได้อีกด้วย
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นในป่าแบล็คลีฟ หรือไม่ได้หมายความว่าไม่มีสงครามในประเทศอื่นๆ ในทวีปรีเจนดารีแห่งนี้
เขาจำได้ว่าหลังจากเข้าครอบครองอาณาเขตที่อยู่ริมนอก อาณาจักรเหล็กที่มีดยุคเป็นผู้ปกครองนั้นมีปัญหากับเผ่าพันธุ์มากมายที่อยู่ในป่าแบล็คลีฟหลายต่อหลายครั้ง
มันจะมีเผ่าพันธุ์มากมายปรากฏตัวขึ้นเมื่อมีสงคราม ไม่จำกัดว่าจะเป็นออร์ค, กูล, โทรลล์ และอื่นๆ
ถ้าอาณาจักรเหล็กไม่ได้ปราชัยอาณาจักรหินดำและชักนำกองทหารจำนวนมากเพื่อป้องกันเมืองชายแดน มันจะต้องถูกยึดครองโดยเผ่าพันธุ์อื่นอย่างสมบูรณ์เป็นแน่
เหตุผลที่คนพวกนี้เข้าครอบครองอาณาเขตของอาณาจักรหินดำครั้งแล้วครั้งเล่านั้นเป็นเพราะพวกเขามีกำลังคนที่ทรงพลังหนุนหลังพวกเขาอยู่
ในกลุ่มพวกเขา ดรากอนวิสเปอร์ปรากฏออกมาหลายครั้งและทำให้อาณาจักรเหล็กบาดเจ็บสาหัสและถึงแก่ความตาย ซึ่งทำให้อาณาจักรเหล็กยิ่งส่งผู้พิทักษ์ระดับอีปิคเพิ่มมาที่เมืองแห่งนี้
แต่ดูเหมือนว่าจะมีความเกลียดชังฝังแน่นอยู่ระหว่างทั้งสองอาณาจักร ไม่มีใครยอมที่จะถอยหลังกลับ พวกเขามีแต่สร้างสงครามครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้เล่นจำนวนหลายสิบหมื่นได้เข้าร่วมในสงครามเหล่านี้เป็นเวลายาวนานด้วยรางวัลที่ล่อตาล่อใจ
ผู้เล่นบางคนเพิ่งจะได้เข้าใจมันเมื่อพวกเขาถลำลึกลงไปในภารกิจแล้ว
มันกลับกลายเป็นว่ามังกรยังในภูเขาหิมะของทะเลทางตะวันออกถูกโจมตีโดยอาณาจักรเหล็ก สงครามครั้งนั้นทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องบาดเจ็บ และถึงแม้ว่ามังกรยักษ์ตัวนั้นจะพักฟื้นถึงหกเดือน มันก็ยังไม่อาจฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ แต่มันก็มีสติมากพอที่จะสั่งการเผ่าทั้งหลายและข้ารับใช้ให้ดำเนินสงคราม
“เมื่อเป็นแบบนี้ ฉันกำลังอยู่ในอันตรายร้ายแรงรึเปล่า?” วิลเลียมคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา เมืองของเขานั้นอยู่ติดขอบเขตแดนของทั้งสองและเป็นสถานที่ๆ นักยุทธศาสตร์ต่างต่อสู้เพื่อแย่งชิงมัน ใครก็ตามที่ครอบครองสถานที่แห่งนี้ได้ก่อนก็จะทำให้ได้เปรียบอย่างมาก
ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา ต่อให้ถ้าวิลเลียมสามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีของอาณาจักรเหล็กได้ เขาก็ไม่สามารถที่จะปกป้องเมืองนี้ไว้ได้
เพราะถ้ามังกรยักษ์จากภูเขาหิมะของทะเลทางตะวันออกตัวนั้นต้องการจะโจมตีอาณาจักรเหล็ก มันก็ต้องยึดครองเมืองนี้เป็นอับดับแรก เมื่อที่แห่งนี้ถือครองมูลค่ามากที่สุด
อาณาจักรเหล็กเองก็คงรู้ว่ามังกรยักษ์ตัวนั้นต้องตอบโต้กลับมา ดังนั้นมันจึงใช้ประโยชน์จากแหล่งของเหมืองมิทริลเพื่อทำลายล้างวิลเลียมคนก่อน…
“ดังนั้นตั้งแต่นี้ไป มันยังมีเวลาอีกปีครึ่งในการพัฒนา เมื่อเราแข็งแกร่งและทรงพลังเท่านั้นที่เราจะสามารถยืนหยัดอย่างมั่นคงในเมืองได้ ไม่อย่างนั้นไม่ว่าคนที่เข้ามาโจมตีจะเป็นใคร ฉันก็จะต้องละทิ้งอาณาเขตแห่งนี้ถ้าฉันยังต้องการมีชีวิตรอดอยู่ดี!” วิลเลียมกำหมัดของเขาแน่น เขาไม่อยากจะวิ่งหนีไปเมื่อทุกอย่างมันเริ่มขึ้น
พ่อของเขาผู้เป็นรีเจนดารีทิ้งอาณาเขตที่มีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมไว้ให้เขา และเขาจะไม่มีทางยอมละทิ้งที่แห่งนี้ไปง่ายๆ
“แต่ถ้าอาณาจักรเหล็กต้องการโจมตีมังกรยักษ์ตัวนั้นอยู่แล้ว ทำไมฉันถึงไม่ใช้ประโยชน์จากมันล่ะ? ฉันเคยไม่รู้มาก่อนเมื่อตอนเริ่มต้น แต่ตอนนี้ในเมื่อฉันเข้าใจมันแล้ว ฉันควรวางแผนอะไรสักอย่าง”
“ถ้าอาณาจักรเหล็กยังคงไร้ยางอายเหมือนเดิมและเดินหน้าที่จะข้ามหัวฉันเพื่อไปฆ่ามังกรตัวนั้น เขาคงจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับฉัน ราชาป่าเถื่อนคนนี้อย่างจริงจังสินะ!” วิลเลียมหรี่ตาของเขาลง มองไปที่เหล่าทหารที่กำลังเก็บสัมภาระและอุปกรณ์ ก่อนจะโบกมือขึ้น
“เอาตัวพวกออร์ค 300 ตนนี้ไปทำงานในเหมืองเหล็ก ที่เหลือกลับพร้อมกับเรา!”
“ครับ ท่านลอร์ด!” เสียงดังสนั่นและทรงพลังดังก้องไปตลอดทั้งคืน เหล่าเอลฟ์นักรบที่เหลืออยู่ติดตามลอร์ดผู้กล้าหาญและเจ้าแผนการคนนี้กลับไปที่อาณาเขต และตลอดทางวิลเลียมเพิ่มพลังศักดิ์สิทธิ์แห่งรุ่งอรุณของเขาไปถึงเลเวล 5
สกิลที่เหลือสามอันถูกเพิ่มขึ้นถึงเลเวล 3
และจากนั้นเขาจึงใช้ค่าประสบการณ์ที่เหลือสำหรับตัวเอง
ในตอนนี้ วิลเลียมอยู่ที่เลเวล 14
เขาได้รับค่าคุณสมบัติ 24 แต้มซึ่งเขานำไปเพิ่มค่าความว่องไวและค่าความแข็งแกร่งตามลำดับ
มันยังมีการเพิ่มขึ้นอย่างน่าสังเกตในค่าพลังชีวิตอีกด้วย
…
จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งรุ่งอรุณ
ระดับ: รีเจนดารี
เลเวล: Lv 5 (ค่าประสบการณ์ 0/1600)
แต้มพลังการต่อสู้: 550/550 แต้ม
ความเร็วในการฟื้นฟู: 15 แต้มต่อวินาที
เอฟเฟคพิเศษและสกิลที่ถูกเปิดใช้งานแล้วมีดังนี้:
เอฟเฟคพิเศษ: สกิลของพลังการต่อสู้ใดๆ จะเพิ่มขึ้น 5%
เอฟเฟคพิเศษ: พลัง +8, ความแข็งแกร่งทางกายภาพ +8, ความว่องไว +8, ค่าสติปัญญา +5
เอฟเฟคพิเศษ: พลังชีวิต +450
เอฟเฟคพิเศษ: ความแข็งแกร่ง +200
เกราะพลังการต่อสู้: พื้นผิวของร่างกายสามารถสร้างเกราะพลังการต่อสู้ที่เท่ากับพลังการต่อสู้ได้ มันจะใช้ค่าพลังการต่อสู้ 40 แต้มต่อวินาทีและการป้องกันพื้นฐานคือ 150 หน่วย หากพลังโจมตีเกินขีดจำกัดสูงสุดของการป้องกัน มันก็สามารถกลืนกินพลังงานการต่อสู้และทำลายเกราะได้
หลังจากที่เกราะสลายตัวไปแล้ว มันจะสามารถเริ่มการใช้งานอีกครั้งได้ใน 5 วินาที
แสงแห่งรุ่งอรุณ: บนสกิลการต่อสู้บางสกิล มันสามารถเพิ่มพลังการต่อสู้ได้ 50% และเพิ่มพลังการโจมตีถึง 210% แต่การคูลดาวน์จะต้องใช้ถึง 26 นาที
(ทุก 5 เลเวล เพิ่มเลเวลคุณสมบัติ, เอฟเฟคพิเศษ, สกิล และอื่นๆ)
(คุณสมบัติที่มาพร้อมพลังการต่อสู้จะมีการเพิ่มเอฟเฟคของเลือด)
……
พรแห่งเทพเอลฟ์ (แฝง)
เลเวล: Lv 3
คุณสมบัติสกิล: พลังความเสียหายของการโจมตีระยะไกลเพิ่มขึ้น 15%
ค่าพลังที่ใช้ : ไม่มี
คูลดาวน์: ไม่มี
เอฟเฟคพิเศษ Lv 3: เพิ่มความเสียหายจริง 3%
…
เฟเทล ช็อต
เลเวล: Lv 3
คุณสมบัติสกิล: ใช้แต้มพลังการต่อสู้ 130 แต้ม และจะสามารถยิงลูกธนูได้ถึง 3 ครั้งติดต่อกัน ถ้าลูกธนูโดนศัตรูทั้งสามดอก ธนูดอกแรกจะสร้างความเสียหาย 140%, ดอกที่สองจะสร้างความเสียหาย 160%, และดอกที่สาม 180%
มีโอกาสทำให้อยู่ในสภาวะเลือดออก
เอฟเฟคพิเศษเลเวล 3: เมื่อลูกธนูทั้งสามดอกยิงโดนที่ศีรษะ ลูกธนูดอกที่สามาจะสร้างความเสียหายร้ายแรง 150% ต่อศัตรู (เอฟเฟคพิเศษคูลดาวน์: 30 วินาที)
คูลดาวน์: 7 วินาที
…
แบทเทิล คัต
เลเวล: Lv 3
คุณสมบัติสกิล: ใช้พลังการต่อสู้ 50 แต้ม สามารถแกว่งพลังลำแสงแห่งดาบและถ้ามันโดนศัตรู มันจะสร้างความเสียหาย 160%
มีโอกาสทำให้อยู่ในสภาวะเลือดออก
เอฟเฟคพิเศษ Lv 3: ดาบสามารถต้านทานและตัดได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
คูลดาวน์: 3 วินาที
“ความได้เปรียบอย่างขี้โกงของพลังการต่อสู้ระดับรีเจนดารีก็คือ ตราบใดที่คุณเพิ่มเลเวลสกิลไปถึงเลเวล 3 แล้ว คุณก็สามารถใช้เอฟเฟคพิเศษล่วงหน้าได้!” วิลเลียมยิ้มกว้าง เขาต้องพูดเลยว่า เขามั่นใจมากขึ้นเยอะเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดของเขาในอนาคต
นี่คือข้อดีของทักษะระดับรีเจนดารี
เอฟเฟคพิเศษจะปรากฎที่เลเวล 3 ซึ่งเร็วกว่ากลโกงในเลเวลอื่นเล็กน้อยและบางเอฟเฟคพิเศษนั้นแข็งแกร่งมากจริงๆ
หนึ่งในนั้นที่แข็งแกร่งที่สุดคือเฟเทลช็อต ถ้าลูกศรสามดอกนั้นเข้าเฮดช็อตทั้งหมด ความเสียหายที่ติดคริติคอลจะเพิ่มถึง 150% เป็นการโจมตีที่ถึงตายได้
ตราบใดที่ผู้เล่นเข้าใจถึงจังหวะ นี่เป็นไม้เด็ดในการฆ่าบอสได้เลย
แน่นอน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณต้องสามารถทำลายการป้องกันได้!
หากคุณไม่สามารถแม้แต่จะทำลายการป้องกันได้ ก็ไม่ควรคิดถึงการทำให้เกิดบาดแผลเลยด้วยซ้ำ…
ปัญหาท้องถิ่นในป่าแบล็คลีฟนั้นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด อันดับแรกวิลเลียมไม่มีไพร่พลมากเท่าใดนัก แล้วยิ่งไปกว่านั้นจากความทรงจำ ภารกิจเมื่ออาณาเขตของดยุคจากอาณาจักรเหล็กเข้าโจมตีมังกรยักษ์ มันก็เป็นเวลาที่เกมเปิดตัวทดสอบเบต้า
“ปีนี้เป็นเวลาที่ฉันจะพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเอง!” วิลเลียมลุกขึ้นนั่งบนเตียง เพียงแค่ปรายตามองก็สามารถเห็นได้ถึงความสูงและรูปร่างที่เพอร์เฟ็กต์ของเขา เขาหยิบเสื้อคลุมจากไม้แขวนแล้วใส่มัน เดินไปที่ระเบียงที่ปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์และทอดสายตามองอาณาเขตท่ามกลางแสงยามเช้า
เขาประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมในการทำสงครามกับเผ่าออร์คสองครั้ง
โดยเฉพาะในตอนนี้ นอกเหนือจากการจับแรงงานทาสออร์คมากกว่า 300 ชีวิตแล้ว เขายังยึดชุดเกราะมาได้มากกว่า 300 ชุดอีกด้วย
เนื่องจากในเมืองไม่มีคลังสินค้าขนาดใหญ่ เหล่าชุดเกราะจึงได้แต่กองพะเนินไว้ในค่ายเท่านั้น ตอนนี้มีคนหลายคนในเมืองกำลังมองพวกมันอยู่
ท้ายที่สุดแล้วคำว่า ‘ยากจน’ ได้ถูกนำมาใช้ในสถานะปัจจุบันของลอร์ดวิลเลียมไปแล้ว แต่ด้วยชุดเกราะจำนวนมาก ทำให้ดึงดูดความสนใจมากขึ้นและดูเหมือนว่ามีหลายคนที่อยากจะเป็นทหาร!
ในค่ายกลางทั่วๆไปมีผู้คนไม่มากนักที่เลือกเป็นทหาร
นั่นเป็นเพราะในเมืองที่มีคนมากกว่า 3000 คน ส่วนใหญ่เป็นพลเรือนธรรมดา แม้ว่าจะมีคนที่มีวิชาชีพแต่ก็เป็นส่วนที่น้อยมาก
แต่เมืองชายแดนนั้นแตกต่าง
เมื่อพ่อที่มีระดับรีเจนดารีของเขาสร้างเมืองนี้ขึ้นมา เขาสร้างขึ้นภายใต้ชื่อของเมืองที่สงบสุข ซึ่งหมายความว่า ‘สรวงสวรรค์’
กล่าวคือ…
ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ว่าจะมีปัญหาหรือมีศัตรูที่แข็งแกร่งมากเพียงใด ตราบใดที่คุณมาที่เมืองนี้ ด้วยทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ คุณไม่จำเป็นต้องไปที่ไหนอีก ตราบใดที่คุณสะสางปัญหาของตนเองเสร็จสิ้น จากนั้นฉันผู้ปกครองเมืองแห่งนี้จะปกป้องคุณและพวกคนเหล่านั้นจะไม่มีโอกาสฆ่าคุณได้
ในตอนแรกพ่อที่มีระดับรีเจนดารีของเขานั้นแข็งแกร่งมาก ครั้งหนึ่งเขาเคยไปขวางทางกลุ่มทหารรับจ้างที่มีชื่อเสียง ไม่ยอมหลีกให้พวกเขาเดินต่อไปได้ นี่ทำให้เมืองแห่งนี้มีชื่อเสียงและนำพาผู้คนมากมายเข้ามา
มีฆาตกร, ขโมยและแม้แต่มืออาชีพที่ทรงพลังจำนวนมากในเมืองนี้
และพ่อที่มีระดับรีเจนดารีของเขาสามารถกักตัวคนเหล่านั้นไว้ในเมืองได้ แต่หลังจากที่พ่อของเขานั้นหายตัวไป อาชญากรเหล่านั้นก็กลายเป็นคนที่ไม่ซื่อสัตย์ มีหลายคนที่ได้ยินข่าวว่าจะมีเอลฟ์มาครองเมือง ทำให้ผู้คนจำนวนมากค้นหาทรัพย์สินของเมืองและหนีไป
สำหรับคนที่เหลืออยู่ วิลเลียมไม่เคยเข้าใจอย่างสมบูรณ์หรือตั้งใจที่จะใช้งานพวกเขา
ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีเอลฟ์ที่อยู่ใต้อาณัติเพียง 500 ตนและไม่มีพลเมือง
ยกตัวอย่างเช่น เฒ่าแฮงค์เจ้าของร้านช่างเหล็กฝั่งตะวันออกของเมือง อีริคและลูกชายของเขาที่ใช้ชีวิตโดยการล่าในทางใต้สุดของเมือง และโมเสส ผู้วิเศษในเมืองที่ทำให้ชีวิตของเขามีแต่โชคลาภ คนเหล่านี้ถูกคนในท้องถิ่นหลีกเลี่ยง
แน่นอนว่าวิลเลียมเคยได้ยินเรื่องของคนเหล่านี้มาก่อน มันยากสำหรับเขาที่จะเชื่อว่าพี่ใหญ่อย่างโมเสสจะใช้ชีวิตเหมือนไม่มีใครอยู่ที่นี่…
“ปัง ปัง!”
“เข้ามา!” วิลเลียมเช็ดน้ำลาย ไม่อยากจะคิดเกี่ยวกับชายชาติทหารที่มีขนหน้าแข้งหนายิ่งกว่าเขา
เขายังคงเกลียดการถูกรบกวนตอนกำลังพักผ่อน “ครั้งหน้าฉันจะสั่งสอนให้พวกเพื่อนเหล่านี้รู้ไว้”
แต่ในขณะที่เรียวขายาวคู่หนึ่งก้าวเข้ามาพร้อมกับเสื้อหนังที่พันหน้าอก การแสดงออกอันมืดหม่นก็เปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้ม “ฉันกำลังสงสัยเลยว่าเป็นใคร เธอนั่นเองเซีย ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ?”
“ท่านลอร์ดคะ ลูกหมีกำลังจะลืมตาในไม่ช้านี้แล้วค่ะ…” ในฐานะเอลฟ์ผู้วิเศษ เซียสวมชุดเกราะหนังชั้นดีที่ทอจากหนังสัตว์ เพราะเอลฟ์ผู้วิเศษไม่เพียงรู้แต่เวทมนตร์เท่านั้น พวกเขายังมีทักษะการต่อสู้ระยะประชิดอีกด้วย
เมื่อเธอต้องการใช้เวทมนตร์จริงๆเท่านั้น เธอจึงจะสวมเสื้อคลุมที่มีสัญลักษณ์ของผู้วิเศษและผ้าคลุมหน้าเพื่อซ่อนตัวตนและเพิ่มความลึกลับเล็กน้อย
ตาของวิลเลียมวิบวับขึ้น “เข้าใจแล้ว แต่ทำไมเธอถึงมาแจ้งเรื่องนี้เอง? คนรับใช้ไปไหนกันหมด?”
“ฉันกำลังดูเจ้าตัวเล็กพวกนั้นอยู่ ดังนั้นเลย…” ใบหน้าของเซียแดงเล็กน้อยขณะต้องการอธิบายอะไรบางอย่าง
วิลเลียมโบกมือ “เนื่องจากเธอชอบ ฉันจะให้เธอตัวนึง!”
“ไม่ ไม่ เจ้าตัวน่ารักพวกนี้มัน…”
“ไม่เป็นไร มีตั้งสามตัว!”
“จะดีจริงๆหรอคะ?”
“ทำไมจะไม่ดีล่ะ? ไม่ว่าพวกมันจะน่ารักขนาดไหน พวกมันจะน่ารักกว่าเธอได้ไงเซีย?”
เซียกระพริบตาโตกลมสวยก่อนจะกล่าวอย่างมีความสุขเล็กน้อย “นั่นมันเยี่ยมไปเลย เมื่อมันโตขึ้นจะมีส่วนผสมเวทมนตร์มากเท่าไหร่กันนะ…”
เดิมทีวิลเลียมพบว่าเซียดูเซ็กซี่และน่าดึงดูดทำให้ผู้คนอยากจะเข้าไปกัด แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเธอในประโยคที่สอง เขาได้แต่กระตุกปากเท่านั้น “วัตถุดิบเวทย์…”
“ฉันมีเกล็ดมังกรอยู่ เธอจะลองมันก่อนก็ได้นะ!”
เซียเห็นความยุ่งยากบนใบหน้าของเขาและคิดว่าไม่มีหวังแล้ว แต่เมื่อเธอเห็นเกล็ดมังกร ดวงตาของเธอเบิกกว้างและเดินออกไปอย่างมีความสุขเพราะเกล็ดมังกรจากสาวกมังกรไม่ใช่ของที่หาได้โดยง่าย
เมื่อวิลเลียมเห็นดังกล่าว เขาก็รู้สึกลำบากใจ เขาไม่เคยคิดว่าเอลฟ์ที่สวยที่สุดใต้อาณัติจะเป็นพวกยึดติดกับความเป็นจริง มันมีพวกยึดติดกับความเป็นจริงมากมายในดินแดนนี้และคนพวกนั้นเป็นคนประเภทไหนกันบ้างล่ะ?
พวกยึดติดกับความเป็นจริงเป็นคนที่ฝึกตนเองเพื่อเป็นปีศาจ พวกเขาจะเสาะหาความจริง, ไม่ใช่ความรักหรือเพศสัมพันธ์และไม่มีความต้องการอื่นใด
“อสูรเวทย์ระดับกลางที่ดีที่มีศักยภาพที่จะกลายเป็นอสูรเวทย์ระดับสูงและเธอต้องการทำให้มันกลายเป็นวัตถุดิบเวทมนตร์? มันเป็นการสิ้นเปลืองของดีเสียเปล่า ไม่ใช่ว่าเธอมองลูกหมีของฉันโดยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์มาโดยตลอดเลยหรอ ฮะ?” วิลเลียมเลียริมฝีปาก ก่อนจะรีบไปดูลูกหมีทั้งสามตัวของเขา
ลูกหมีสามตัวอยู่ห่างจากเขาแค่ประตูถัดไป
เขาเข้าไปข้างใน มีหญิงรับใช้ชราคนหนึ่งคำนับเขาอย่างเคารพ เขาพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์เพราะกระวนกระวายที่จะเข้าไปด้านในด้วยความรวดเร็ว
เขาไม่มีทางเลือก เพราะในฐานะลอร์ด เขาต้องรักษามาดของตัวเอง
ลูกหมีทั้งสามนอนอยู่ในเปลสำหรับเด็กทารก เต็มไปด้วยเสื้อผ้าและสิ่งต่างๆที่วิลเลียมเคยใช้มาก่อนเพื่อให้ลูกหมีเหล่านี้คุ้นเคยกับกลิ่นของเขา
สำหรับคนรับใช้ เมื่อเธอให้อาหารแก่ลูกหมี เธอต้องคลุมศีรษะด้วยเสื้อผ้าของวิลเลียมและหายใจอย่างระมัดระวังไม่ให้ลมหายใจไปโดนเหล่าลูกหมี
ไม่มีทางอื่นอีก…
พวกลอร์ดและขุนนางในยุคของเขานั้นหยิ่งยโส
คนรับใช้ปราศจากสิทธิความเป็นมนุษย์!
และคนรับใช้ไม่ได้คิดว่ามันอยู่ภายใต้เกียรติของพวกเขานัก
สำหรับคนที่ทันสมัยอย่างวิลเลียมแล้ว เขาจะมีแผนการอะไรสำหรับเรื่องนี้หรือเปล่า?
มันจะเป็นไปได้ยังไง?
มีใครที่ไม่อยากเป็นคนที่มียศฐาบรรดาศักดิ์บ้าง?
มีเพียงคนบ้าเท่านั้นแหละที่คิดจะล้มระบบเดิมที่มีอยู่
วิลเลียมอุ้มลูกหมีขึ้นมาจากเปล เขาดูแลลูกหมีเหล่านี้อย่างดีที่สุดและหวังว่าพวกมันจะเอาชีวิตรอดอย่างดีและลืมตาขึ้น
“สวรรค์มีตา หมีใหญ่ หมีสองและหมีสามแข็งแรงและเหมือนว่าหมีใหญ่จะลืมตาแล้ว!” วิลเลียมยิ้มและอุ้มลูกหมีไว้ในอ้อมแขน ดึงปากของหมีใหญ่เล่นเป็นครั้งคราว น่าเสียดายที่ฟันน้ำนมของมันเพิ่งงอกและไร้ซึ่งแรงที่จะต่อต้าน
เมื่อเผชิญกับ ‘การทรมาน’ จากลมหายใจที่คุ้นเคย หมีใหญ่ก็ไม่ได้ต่อต้าน มันเพียงหลับตาและเลือกตำแหน่งที่สบายกว่าเพื่อนอนหลับ
ท่าที่สะดวกสะบายที่สุดคือการนอนยกก้นและนอนหงายในอ้อมแขนของวิลเลียม…
ปุ๊ด!
เสียงผายลมอย่างกระทันหันทำให้วิลเลียมตกใจ!
กลิ่นที่ไม่อาจบรรยายได้โชยออกมาและทำให้วิลเลียมเกือบโยนลูกหมีออกจากที่พัก!
“ยังไม่หยุดตดอีก!” วิลเลียมผะอืดผะอมและถือเจ้าตัวน้อยเอาไว้ ตั้งใจจะสั่งสอนมัน
แต่ในขณะนั้น
หมีใหญ่ก็ได้ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ…
ดวงตาคู่นั้นสว่างไสวมาก มองมาที่เขาด้วยความรักที่มีต่อแม่…
ดิ๊งด่อง
การแจ้งเตือน : ลูกหมีผู้โหดเหี้ยมยอมรับคุณเป็นเจ้านาย!
คุณจะยอมรับหรือไม่?
วิลเลียมพยักหน้าอย่างไม่ลังเลและเลือก ‘ตกลง’
ดิ๊งด่อง
คุณได้รับลูกหมีแล้ว
นี่คือค่าสถานะ…
ค่าสถานะของลูกหมีเลเวล 1 ยังไม่คุ้มที่จะดู
หลังจากที่ลูกหมีตัวที่หนึ่งยอมรับที่จะเป็นสัตว์เลี้ยง สามวันต่อมาวิลเลียมก็รอให้ลูกหมีที่เหลือตื่นขึ้น และยอมรับพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะภายใต้ค่าสถาะนะติดตัว ‘ดูดี’ ของเขาทำให้เหล่าลูกหมีชื่นชอบเขามากขึ้นเป็นพิเศษ
ในเกม ‘Gods’ มีความประทับใจที่ดีอยู่สามประเภท
อย่างแรกคือความประทับใจที่ดีของฝ่ายตน คำนวณเป็นหลักหมื่น
สองคือความประทับใจที่ดีของเพื่อน คำนวณเป็นหลักพัน (รวมถึง NPC)
สามคือความประทับใจที่ดีของสัตว์เลี้ยง คำนวณเป็นหลักร้อย
เมื่อความประทับใจที่ดีของสัตว์เลี้ยงมีค่าถึง 300 หน่วย จะถึงจุดที่มันไม่สามารถหักหลังผู้เป็นเจ้านายได้!
แต่ไม่ใช่ทุกอย่างจะสามารถทำให้เป็นเรื่องปกติได้ ถ้าผู้เล่นทารุณสัตว์เลี้ยงทุกวันเป็นเวลานาน ค่าประทับใจที่ดีก็จะลดลงอย่างสมเหตุสมผล แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเมื่อค่าประทับใจที่ดีเต็มแล้ว จะสามารถทำเรื่องไร้คุณธรรม หรือเริ่มทำสิ่งที่บ้าและน่ารังเกียจต่อสัตว์เลี้ยงได้
ลูกหมีที่น่ารักทั้งสามเติบโตอย่างรวดเร็ว ในบางวันพวกมันก็เดินเล่นรอบเมืองกับวิลเลียมและหมุนไปรอบๆเหมือนกับหมาปั๊ก
และในอีกไม่กี่วันต่อมาความประทับใจที่ดีที่ลูกหมีทั้งสามมีต่อเขาก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
วิลเลียมมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการปรับปรุงความประทับใจของสัตว์เลี้ยง ในชีวิตก่อนมีผู้เล่นหลายคนที่จับสัตว์เลี้ยงที่โตเต็มวัยและกว่าที่พวกเขาจะปรับปรุงความประทับใจที่ดีของสัตว์เลี้ยงได้ มันก็ทำให้พวกเขารู้สึดแทบตาย ต่อมาผู้เล่นค่อยๆพบว่าถ้าสัตว์เลี้ยงยังเล็ก พวกมันไม่จำเป็นต้องใช้เงิน, วัตถุดิบ, และความพยายามมากนักเพราะสติปัญญาของสัตว์ที่ยังเล็กไม่ได้สูงมาก แค่เล่นกับพวกมันก็เพียงพอแล้ว
แตกต่างกับสัตว์เลี้ยงที่โตเต็มวัย
หากต้องการความประทับใจที่ดีจากอสูรเวทย์ระดับสูงที่ใกล้จะโตเต็มวัย คุณต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก!
ผู้เล่นต้องตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายทั้งสัตว์เลี้ยง, อาหาร, ความอบอุ่น, และแม้กระทั่งคู่รัก…
ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
หากต้องการให้สัตว์เลี้ยงสนับสนุน เขาต้องดูแลมันเป็นอันดับแรก
เขาจำได้ลางๆว่าในชีวิตก่อน มีหญิงสาวที่น่ารักคนหนึ่งมีโชคพอที่จะได้รับความโปรดปรานจากอสูรมังกร นั่นคืออสูรเวทย์ที่มีสายเลือดของมังกรยักษ์
อย่างไรก็ตาม เพราะว่าหญิงสาวไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของอสูรเวทย์ได้ มันจึงกระพือปีกและหนีไป
ดังนั้น พวกขาใหญ่ที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ พื้นฐานแล้วมักจะเป็นของครอบครัวตนเอง…
หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดคือสัตว์เลี้ยงใน ‘Gods’ นั้นไม่เหมือนกับสัตว์เลี้ยงในเกมอื่นๆ
สัตว์เลี้ยงในเกมอื่นๆจะสามารถฟื้นคืนชีพได้เมื่อพวกมันตาย แต่ค่าสถานะจะต่ำมาก ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณจับอสูรที่ทรงพลังมากมาเป็นสัตว์เลี้ยง ค่าสถานะของมันย่อมลดลงและจะกลับไปอยู่ที่เลเวลศูนย์ ดังนั้นคุณต้องฝึกมันใหม่ แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้เล็กน้อยที่สัตว์เลี้ยงอาจหลบหนีจากเจ้าของ
แต่ไม่ว่าเลเวลของสัตว์เลี้ยงใน ‘Gods’ จะอยู่ในระดับใด มันก็ยังอยู่ในระดับนั้น และค่าสถานะยังคงยอดเยี่ยม!
แต่เมื่อมันเสียชีวิต มันก็ตายจริงๆ…
สัตว์เลี้ยงใน ‘Gods’ อาจเป็นคู่หูคนที่สองของผู้เล่น!
ในอดีต มีผู้เล่นหลายคนระบายความหงุดหงิดลงบนฟอรั่มเพราะสัตว์เลี้ยงของพวกเขาเสียชีวิต…
มีผู้เล่นที่จับสัตว์เลี้ยงที่พิเศษได้และสามารถต่อสู้กับคนเป็นร้อยด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไม่มีปัญหา นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผู้เล่นบางคนกลายเป็นคนโปรดของกิลด์เมื่อได้รับสัตว์เลี้ยงระดับสูง
“ดีมาก ดีมาก อสูรเวทย์ระดับสูงในระดับเดียวกันสามารถต่อสู่กับผู้เล่นหลายร้อยคนในช่วงระยะกลางของเกม ตราบใดที่เลเวลของสัตว์เลี้ยงของฉันไม่ตก ผู้เล่นก็เหมือนกระเทียมในอนาคต แค่เสียงคำรามของหมีก็กวาดล้างพวกมันได้!” ในที่สุดวิลเลียมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากที่เขาหนีลูกหมีที่จงรักภักดีทั้งสามไปได้
เขาเดินเข้าไปในเมืองตัวคนเดียว มองไปยังชาวเมืองที่เบื่อหน่าย พวกเขาคุยกันและเล่นไพ่นอกประตูบ้าน ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเมืองนี้น่าเกรงขามเพียงใด
สองวันที่ผ่านมาดูเหมือนเขากำลังเดินเล่นกับหมี แต่เขาก็สำรวจรอบๆเมืองไปด้วย
เขาจะไม่รู้อะไรเลยถ้าไม่เห็นกับตา
มันน่าตกใจตั้งแต่แรกเห็น
เมืองที่มีคนแค่ 3000 คน
กลับมีผู้เชี่ยวชาญอย่างน้อยถึง 2000 คน…
มีพลเมืองเพียงหกถึงเจ็ดร้อยคนเท่านั้นที่เลี้ยงตนเองด้วยการทำฟาร์ม
“ไม่แปลกใจที่ท่านแม่ให้นักรบเอลฟ์มาอารักขาถึง 500 ตน ถ้าฉันมีองครักษ์ไม่มากพอ ฉันจะไม่ถูกพวกกล้ามปูพวกนั้นรังแกเอาหรอกเหรอ?” วิลเลียมไปที่ขอบหน้าผาและดูละอองน้ำที่เกิดจากน้ำตก
เลียบแม่น้ำด้านล่าง เขาเห็นที่ราบทางเหนือและรู้ว่าอาณาเขตของดยุคในอาณาจักรเหล็กอยู่ที่นั่น แม้ว่ามันจะไกลเกินกว่าที่สายตาจะมองเห็น เขาบ่น “แม้ว่าจะมีบางคนที่ทรงพลังในเมืองแต่ฉันไม่สามารถทำให้พวกเขายอมจำนนได้ในตอนนี้ ทางที่ดีที่สุดคือแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของฉันเพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นว่าฉันเป็นลอร์ดที่แข็งแกร่ง เป็นลอร์ดที่สามารถพัฒนาและขยายเมืองออกไปได้”
“และให้พวกเขาเห็นว่าศักยภาพในการเติบโตของฉันนั้นยอดเยี่ยม จากนั้นฉันก็จะสามารถติดต่อไปหรือรอให้พวกเขาติดต่อมาหาฉันด้วยตนเอง!”
“จากนั้นเราก็จะเข้าไปในป่าแบล็คลีฟให้ลึกกว่านี้ ถึงตอนนั้นพวกออร์คก็คงจะโจมตีฉันเพื่อผลประโยชน์ทางเหมืองแร่เท่านั้นหรือไม่ก็เพราะว่าพวกมันคิดว่าจะรังแกพวกเราได้โดยง่าย ฉันคิดว่าเรื่องพวกนี้ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับมังกรยักษ์ในภูเขาหิมะฝั่งทะเลตะวันออก”
“เผ่าพันธุ์มังกรทั้งหมดในโลกนี้นั้นล้วนขี้เกียจ ยกเว้นในช่วงฤดูผสมพันธุ์หรือเข้าไปพัวพันกับปัญหาต่างๆ ที่เหลือพวกมันก็ใช้เวลาไปกับการนอนหลับหรืองีบหลับ”
“แต่ถ้าไม่มีพลเมืองก็ไม่สามารถพัฒนาเมืองได้น่ะสิ!” เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้วิลเลียมก็ปวดหัวขึ้นมาทันที
การพัฒนาเมืองไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากกำลังคน
พวกออร์คอาจทำการขุดเหมืองได้
แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการขยายเมืองล่ะ?
การสร้างป้อมปราการ?
หรือจัดทำอุปกรณ์อื่นๆ?
หรือว่าเขาควรจะใช้งานพวกเชลยออร์คดี?
นั่นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!
“หรือฉันต้องซื้อทาส?” วิลเลียมขมวดคิ้ว ไม่คิดว่านี่เป็นไอเดียที่ดี อย่างน้อยก็ตอนนี้ล่ะนะ เมืองนี้ขาดเงินและอาหาร และไม่มีที่พักสำหรับทาสหลังจากซื้อพวกเขามา
แม้ว่าเขาจะซื้อทาสมา เขาก็ต้องซื้อพวกมันผ่านดยุคของอาณาจักรเหล็กและอาณาจักรหินดำ อย่างไรก็ตาม ดยุคทั้งสองก็มีสายตาที่เต็มไปด้วยความโลภ พวกมันมีเจตนาที่ซ่อนเร้นเป็นเวลานานและต้องการครอบครองเมือง พวกมันอาจจะปล่อยให้เขาซื้อสายลับเป็นจำนวนมากไปแทน
ท้ายที่สุดแล้ว มันเป็นไปได้สูงที่ดยุคของอาณาจักรทั้งสองจะเป็นผู้ลอบสังหารเขาในชีวิตก่อน
แม้ว่าพวกมันจะไม่ได้ทำ แต่ทั้งสองก็จะไม่นั่งเฉยๆและไม่ทำอะไรเมื่อเห็นเขาพัฒนาเมืองแน่ และจะต้องสร้างปัญหาให้กับเขาอย่างแน่นอน
แม้ว่าที่ตั้งของเมืองจะยอดเยี่ยม มีหน้าผาสูงกว่า 80 เมตรเป็นปราการธรรมชาติ แต่ถ้าหากดยุคของอาณาจักรทั้งสองจะเข้ามาโจมตี มันก็ยากมากสำหรับเมืองชายแดนที่จะใช้กำแพงธรรมชาตินี้มาป้องกัน
“ถ้าอย่างนั้นฉันต้องทำตัวให้ดูอ่อนแอเมื่อลงมือทำอะไรสักอย่าง!” วิลเลียมถอนหายใจ และในขณะที่เขามีปัญหาเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองอยู่นั้น… ก็ได้ยินข่าวที่คาดไม่ถึง!
“พวกออร์คกับคนแคระกำลังต่อสู้กันหรอ?” วิลเลียมสับสนเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าจะมีเหล่าคนแคระซ่อนตัวอยู่ใกล้กับเมือง!
“ถูกแล้ว ห่างไป 30 ไมล์จากเหมืองเหล็ก มีคนแคระอยู่ ฉันได้ยินมาว่าเป็นคนแคระจากหุบเขาเดียวดาย พวกออร์คต้องรวบรวมกองกำลังเพื่อโจมตีพวกเขา แต่เรากำจัดพวกมันก่อน…” ลอทเนอร์ยักไหล่ แสดงให้เห็นว่าเขาสงสัยว่าทำไมเหล่าคนแคระถึงมาที่นี่
“เหล่าคนแคระจากหุบเขาเดียวดายหรอ?”
ลอทเนอร์พยักหน้า “ก็ควรเป็นอย่างนั้น นับตั้งแต่ราชาคนแคระแห่งหุบเขาเดียวดายได้เสียชีวิตลงเมื่อพันปีก่อน จักรวรรดิคนแคระอันยิ่งใหญ่ก็ถูกแบ่งออกเป็นเจ็ดแว่นแคว้น อย่างไรก็ตาม ยังมีคนแคระอยู่หลายตนที่เข้าไปยังภูเขาหรือในป่าที่แห้งแล้ง และฉันได้ยินมาว่ามีกลุ่มของคนแคระซ่อนตัวอยู่ในป่าแบล็คลีฟ บางทีอาจจะเป็นพวกเขา”
“ถ้าอย่างนั้นเราควรติดต่อไป หากเราช่วยได้ เราก็ควรช่วยเพื่อนบ้านที่ดีเหล่านี้!”
จากนั้นทั้งคู่ก็กล่าวออกมาในเวลาเดียวกัน “เอลฟ์และคนแคระ สหายที่ดีต่อกันตลอดไป!”
ทันทีที่เสียงของพวกเขาสิ้นสุดลง ลอทเนอร์สบตากับเขาและยิ้มออกมาอีกครั้ง แต่รอยยิ้มนั้นแสนที่จะซับซ้อน…
คนแคระและเอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาซึ่งเกิดในยุคๆ หนึ่ง
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาว่าทั้งสองเผ่าพันธุ์นี้เกิดขึ้นตอนช่วงเวลาใด แต่ทั้งสองเผ่านี้เคยช่วยกันล้มล้างยุคสมัยแรกที่ถูกปกครองโดยเหล่ามังกร
ถึงแม้ว่าเอลฟ์จะเป็นอันดับหนึ่งในด้านคุณสมบัติตลอดมา ด้วยพลังการต่อสู้เฉพาะตัวที่แข็งแกร่ง, แข้งขายาว และหน้าตาดี…
แต่เทคโนโลยีในการสร้างอุปกรณ์ของคนแคระนั้นยอดเยี่ยมยิ่งกว่า ในยุคแรก คนแคระก็สามารถใช้พรสวรรค์ในการสร้างอาวุธได้แล้ว ซึ่งส่งผลให้พลังการต่อสู้ของคนแคระแต่ละคนด้อยกว่าเพียงเล็กน้อย หรือแทบจะเท่ากับเอลฟ์เลยทีเดียว
และเอลฟ์กับคนแคระจึงเป็นพลังหลักในการโค่นล้มยุคมังกร
ยุคที่สองอยู่ในอำนาจการปกครองของเอลฟ์
ในขณะที่พันธมิตรของเอลฟ์ซึ่งก็คือคนแคระ ได้รับพื้นที่ในการอยู่อาศัยที่เพียงพอและอาณาเขตกว้างใหญ่มโหฬารจากเอลฟ์
เพียงแต่ว่า แม้แต่พระเจ้าก็ไม่สามารถหยุดความชื่นชอบของพวกเขาในการขุดได้…
ด้วยการใช้วิธีที่เรียกได้ว่าแกว่งเท้าหาเสี้ยนทุกรูปแบบ พวกเขาขุดยุคของพระเจ้าออกมา นั่นก็คือ: อมนุษย์และบัลร็อก1 จากยุคของพระเจ้าที่ไม่เคยถูกบันทึกในเอกสารใดๆ มาก่อน
หลังจากพวกเขาฆ่าบัลร็อกไปมากมาย พวกคนแคระที่เอาตัวรอดมาได้ก็อยู่ในอาการเจียนตาย
หลายปีของการสืบพันธุ์ จนกระทั่งในช่วงสิ้นสุดของยุคที่สองกว่าที่คนแคระจะกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง แต่พวกเขาก็เริ่มการขุดอีกครั้ง ในครั้งนี้ มันเป็นช่วงเวลาสำคัญของมนุษย์ที่จะล้มล้างการปกครองของเหล่าเอลฟ์
พวกเขาขุดทะลุช่องว่างของเกราะกำบัง และสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดในอเวจีก็ปรากฏตัวออกมา บุกโจมตีพวกคนแคระอย่างโหดเหี้ยม
ในตอนจบ คนแคระและเอลฟ์สูญเสียไปมากมายและออกจากพื้นที่แห่งความเจริญรุ่งเรืองของทวีปรีเจนดารีไป เหล่าเอลฟ์สร้างปราสาทและเมืองหลายแห่งในป่าแบล็คลีฟ ส่วนพวกคนแคระก็รวมตัวกันในภูเขาแห่งความเดียวดายที่ซึ่งมีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
แต่เมื่อหลายพันปีก่อน ตอนที่พระราชาคนสุดท้ายของภูเขาแห่งความเดียวดายสิ้นลม สิ่งก่อสร้างของจักรวรรดิคนแคระที่ได้รับสืบทอดต่อกันมาหลายพันปีก็พังทลายลง ผู้สืบทอดสายเลือดราชวงศ์คนแคระเสียชีวิตและบางคนได้รับบาดเจ็บ ราชวงศ์คนแคระทั้งเจ็ดตระกูลทำการแบ่งพลเมืองและสมบัติที่มีอยู่มากมายเพื่อสร้างอาณาจักรแห่งใหม่
“โดยสรุป เหล่าคนแคระทั้งเจ็ดนั้นเป็นพวกหัวร้อนเอามากๆ!” วิลเลียมเล่นเกมนี้มาสิบปีและผู้เล่นหลายคนก็ชอบที่จะขุดประวัติศาสตร์พวกนี้ขึ้นมา
หากได้เข้าร่วมเหตุการณ์ในช่วงกลางและช่วงหลังของเกมโดยที่เข้าใจเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกทรงเกียรติที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่ง และยังได้รับความรู้สึกที่เรียกได้ว่าสุดยอดมากๆ อีกด้วย!
ในช่วงหลังของเกม โดยปกติแล้วผู้เล่นจะใช้เวลาค่อนข้างนานอยู่ในค่ายแห่งหนึ่ง ความรู้สึกที่ผูกพัน, ความรู้สึกแห่งความภาคภูมิใจในการต่อสู้เพื่ออาณาจักร, ความรู้สึกที่กำลังมองไปที่หน้าประวัติศาสตร์ และเวลาที่พวกเขาสู้กับศัตรูก็เป็นเวลาที่ทำให้เลือดของเหล่าผู้เล่นเดือดพล่านขึ้นมาจริงๆ!
ดังนั้นวิลเลียมจึงรู้ว่าเหตุการณ์แห่งประวัติศาสตร์เหล่านี้สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ในทวีปก็อดได้
เซียเดินเข้ามา และนั่นทำให้วิลเลียมหันหลังกลับไปเมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้า เขาพบว่าเซียกำลังยกมือปิดปากและเช็ดริมฝีปากสีแดงของเธอซึ่งมีคราบน้ำมันบางๆ เคลือบอยู่ เขาไม่รู้ว่าเลยเธอเพิ่งไปกินอะไรมา
“อึก! ท่านลอร์ด ท่านต้องการนักเวทย์เพื่อติดตามท่านครั้งนี้มั้ยคะ?” แก้มสองข้างของเซียแดงปลั่ง เธอเพิ่งกินอุ้งมือหมีย่างมา
แน่นอนว่ามันไม่ใช่ของลูกหมีผู้โหดเหี้ยม เธอไม่รู้ว่าทำไม แต่ตั้งแต่ที่ท่านลอร์ดปฏิเสธที่จะให้ลูกหมีผู้โหดเหี้ยมกับเธอเพื่อใช้เป็นวัสดุเวทมนต์ เธอก็อดไม่ได้ที่อยากจะกินเนื้อหมี…
วิลเลียมเลื่อนสายตาของเขาจากริมฝีปากนุ่มสีแดงของเธอ แล้วพยักหน้าก่อนจะพูด “ฉันต้องการนักเวทย์ห้าคน เกล็ดมังกรที่ฉันให้เธอไปเมื่อวันก่อนเป็นยังไงบ้าง?”
“มันใช้การไม่ได้มากเท่าไหร่ ท่านสามารถเสริมเสน่ห์ให้อาวุธได้เพื่อเพิ่มพลังของพวกมัน ถ้าท่านมีอีก ท่านสามารถทำเกราะได้เลย!” เซียหมุนกริชของเธอ สิ่งที่ติดอยู่บนนั้นอย่างพอดีคือเกล็ดมังกรอันหนึ่งที่ส่องแสงประกายสีแดงบางๆ
วิลเลียมกระพริบตาอย่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร เขาตบไหล่เซียเบาๆ ซึ่งเธอต้องการที่จะหลีกเลี่ยงมัน “ไปเถอะ เรียนรู้เวทมนต์เพิ่ม และเธอจะกินเนื้อหมีก็ได้นะ ยังไงซะ มันก็ช่วยเพิ่มศักยภาพทางร่างกายของเธอ แต่อย่าแม้แต่คิดที่จะกินสัตว์เลี้ยงของฉันล่ะ”
เซียยู่ริมฝีปากของเธอ เธอสงสัยว่าท่านลอร์ดคนนี้มีจมูกหมาหรืออย่างไร เขาถึงได้รู้ว่าเธอเพิ่งจะกินเนื้อหมีมา
แต่มองไปที่ท่าทางเก็บตัวของท่านลอร์ด เซียก็รู้สึกได้ว่าเขากำลังกังวลกับอะไรสักอย่างมากๆ อยู่
…………
เมืองชายแดนส่งทหารอีก 300 คนไปที่ป่าแบล็คลีฟอีกครั้ง
และวิลเลียมก็ได้รับภารกิจอีกอย่าง
[ขั้นที่ 3: มีสถานที่รวมตัวของคนแคระอยู่ใกล้กับเมืองชายแดน และยังมีออร์คจำนวนมากแห่ล้อมเหล่าคนแคระอยู่ เหตุการณ์ครั้งนี้จะต้องมีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ กำจัดพวกออร์ค ช่วยเหลือเหล่าคนแคระและรับแร่หายาก]
[รางวัล: ค่าประสบการณ์ 50000 แต้ม]
[รางวัล: แร่หายากที่ยังไม่ทราบประเภท]
ลอทเนอร์อยู่เคียงข้างวิลเลียมเสมอมา การต่อสู้ครั้งนี้แตกต่างไปจากครั้งก่อนๆ จากคำบอกเล่าของทหารพรานที่เข้าไปสอดแนม มีออร์คอยู่จำนวนมากขนาดที่ว่านับได้เกือบพันกลุ่ม และดูเหมือนว่าจะมีกำลังเสริมจำนวนไม่น้อยตามมาอีกด้วย ขณะนี้ พวกมันปิดทางเข้าออกถ้ำของคนแคระและกำลังทำการโจมตี
อันที่จริงเมื่อคิดๆดูแล้ว นี่ก็เป็นสถานที่ที่ออร์คเคยบุกโจมตีในชีวิตก่อน
วิลเลียมเข้าใจว่าถ้ำที่คนแคระอาศัยอยู่นั้น น่าจะเป็นเหมืองที่มีมิทริลอยู่ด้วย
ในชีวิตที่แล้วของเขา วิลเลียมสามารถที่จะควบคุมเหมืองแห่งนี้ได้ มันเป็นการต่อสู้ระหว่างคนแคระและออร์ค แต่ในตอนจบ เขาเป็นคนที่ยกข้อต่อรองขนาดใหญ่ขึ้นมา
“เวลากำลังจะหมดแล้ว เราไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆ และมองสหายของพวกเราถูกฆ่าอย่างป่าเถื่อนโดยพวกออร์คได้!” วิลเลียมตะโกนและนำทีมเดินหน้า เอลฟ์ตนอื่นๆ ตามเขาไป การวิ่งเข้าไปในป่าลึกสามารถสร้างความเหน็ดเหนื่อยให้กับหลายเผ่าพันธุ์ แต่นี่ไม่รวมถึงเอลฟ์
ลอทเนอร์มีความคิดอะไรบางอย่างและเขาพูดมันออกมาโดยไม่ลังเล “ท่านลอร์ดต้องการที่จะใช้ประโยชน์จากความเป็นพันธมิตรในการช่วยพวกคนแคระและให้พวกเขาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของท่านหรือ?”
“ใช่ ท่านคิดว่ายังไง?” วิลเลียมยกคิ้วของเขาขึ้น คนแคระมีอุปนิสัยที่ชัดเจน แต่พวกเขาพวกเขาให้ความสำคัญกับมิตรภาพและความเมตตาอย่างยิ่ง เมื่อครั้งที่เขายังเป็นผู้เล่น เขามักจะได้รับความประทับใจที่ดีมากมายทุกครั้งที่ได้รับภารกิจจากคนแคระ ดังนั้นเขามีความมั่นใจอย่างมาก ว่าจะสามารถพาเหล่าคนแคระมาที่อาณาเขตได้
ลอทเนอร์หรี่ตาลงและพูดด้วยเสียงเข้ม “เราต้องใจเย็นมากกว่านี้ ไม่ว่ากับเป้าหมายหรือวิธีการ”
“เข้าใจล่ะ!” ริมฝีปากของวิลเลียมตระตุกขึ้น แต่เขาก็ยังคงพยักหน้า
การที่ต้องใจเย็นขึ้นหมายความว่าปล่อยให้ออร์คผลักพวกคนแคระให้จนมุม ปล่อยให้พวกเขาตายและทรมาน และทำให้พวกเขารู้สึกว่ามันไม่มีความหวังเหลืออีกแล้วก่อนที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยเหลือ
จากนั้น วิลเลียมก็จะปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขาราวกับผู้กอบกู้ และมันก็จะเป็นราวกับปาฏิหาริย์ นี่น่าจะซึ้งพอสำหรับหัวใจที่สิ้นหวังของคนแคระ เขาจะได้รับความประทับใจและอาจจะทำให้พวกเขาก้มหัวให้เขาเลยทีเดียว…
ส่วนสำหรับลอทเนอร์ ทำไมเขาถึงพูดอย่างนั้นน่ะหรอ?
มันไม่ใช่เรื่องน่าตกใจเลย
เพราะเอลฟ์ทุกตน รวมถึงเขาหรือแม้แต่เหล่านักเวทย์ต่างก็จงรักภักดีต่อวิลเลียม แบล็คลีฟ!
พวกเขาเคยเป็นทหารส่วนตัวของแม่เขามาก่อน
ในฐานะเอลฟ์ตนหนึ่งจากสมาชิกราชวงศ์ สมาชิกราชวงศ์ทุกคนจะมีทหารส่วนตัวเป็นของตัวเอง
ตอนนี้พวกเขาขึ้นตรงต่อวิลเลียม ดังนั้นลอทเนอร์จึงทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับท่านลอร์ดของเขา ท่านลอร์ดเป็นพระเจ้าและแสงสว่างของเขา มันมากพอสำหรับวิลเลียม ที่จะชี้ไปยังที่ๆ เขาต้องการจะสู้ และลอทเนอร์ก็ไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามหรือปฏิเสธ
ด้วยความภักดี
ไม่มีเผ่าพันธุ์ใดที่จะจงรักภักดีไปมากกว่าเอลฟ์ ในประวัติศาสตร์โบราณใด ๆ นักรบส่วนใหญ่ที่ได้รับเลือกให้เป็นองครักษ์จะมีความจงรักภักดีอย่างแท้จริง
อีกอย่าง ความสง่า, ความเย่อหยิ่ง หรือความเมตตาที่อยู่ลึกลงไปในกระดูกของเอลฟ์นั้นจะแสดงออกมาเสมอเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่สงบสุข
ระหว่างสงคราม
พวกเขาจะใช้ความรู้และสติปัญญาจากร้อยๆ พันๆ ปีนั่น เพื่อใช้ในการวางแผนและออกอุบายอันดำมืดสู้กับคุณ
แต่ทุกยุคทุกสมัยต่างก็มีตัวละครเอกของตัวเอง
ตัวละครเอกในตอนนี้คือมนุษย์!
มันก็เหมือนกับเรื่องทั่วไปที่ไม่สามารถย้อนกลับได้
แต่อนาคตนั้นจะเป็นของใคร?
ไม่มีใครรู้
วิลเลียมและกำลังพลของเขามาที่ถ้ำคนแคระ พวกเขาปีนขึ้นไปบนต้นไม้ด้วยความรวดเร็วและเงียบเชียบ มองไปยังการต่อสู้ที่อำมหิตบ้าคลั่งด้านล่าง ในดวงตาของพวกเขาฉายความเวทนา แต่พวกเขาจะไม่ยอมให้ฉากพวกนี้มาเขย่าความตั้งใจของพวกเขา
หมายเหตุ
บัลร็อก1 หมายถึง สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งในปกรณัมเรื่อง Middle-earth, เขียนโดย J. R. R. Tolkien
หากกล่าวว่า :
เอลฟ์เป็นราชาแห่งป่าไม้…
แต่ว่าใครจะไม่อยากจับปลาตอนเดินริมแม่น้ำกันล่ะ?
กิ่งไม้ใต้ฝ่าเท้าของนักรบเอลฟ์คนหนึ่งแตกหักเพราะเกราะหนัก…
เขาไม่ได้ตกลงไปแต่กลับจับลำต้นของต้นไม้ไว้ได้อย่างระมัดระวัง
วิลเลียมยิ้มขำ ดูสิ คุณเกือบตกต้นไม้ล่ะ
แต่กิ่งไม้อันนั้นตกลงใกล้กับเหล่าออร์ค พวกมันตะโกนด้วยความตกใจแล้วหันไปมองรอบๆขณะที่ถือขวานเอาไว้ราวกับความเที่ยงธรรมตกลงมาจากท้องฟ้า
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น
นักรบเอลฟ์ที่กำลังกอดลำต้นมองไปยังสหายรอบตัวอย่างไม่แสดงอารมณ์อันใด
แต่วิลเลียมเคยคิดว่า เป็นไปได้รึเปล่าว่าเป็นเพราะโชคของเขาต่ำมาก จึงทำให้ดึงค่าเฉลี่ยความโชคดีของกองทัพทั้งหมดลง?
“นี่มัน…”
“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว…”
ก่อนที่ออร์คตนอื่นๆจะตะโกนออกมา นักธนูทั้งหมดพร้อมกับคันธนูและลูกศร ก็ง้างสายและยิงออกไป ในสถานการณ์นี้ไม่จำเป็นต้องสั่งการ ภารกิจของพวกเขาคือทำให้เหล่าออร์คเสียหายมากที่สุดโดยไร้ความลังเลตั้งแต่จังหวะที่พวกเขาถูกเห็นตัว แทนที่จะรอให้ท่านลอร์ดสั่งและทำให้ศัตรูมีเวลาตั้งตัว
นอกจากนั้น พวกเขาอยู่ที่นี่มาระยะหนึ่งแล้ว ร่างเล็กๆของคนแคระไม่สามารถทนต่อการโจมตีของออร์คได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอก!
เมื่อศรนับร้อยยิงไปพร้อมกับพลังการต่อสู้พุ่งผ่านใบไม้ที่หนาแน่น พลังที่แข็งแกร่งฉีกทึ้งใบไม้นับไม่ถ้วน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยใบไม้สีเขียวที่ฉีกขาด
ต่อมา เสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้น
เลือดพุ่งออกมาจากหัวของออร์คนับร้อย พวกมันพากันร่วงลงไปบนพื้น พวกมันหลายคนได้รับบาดเจ็บสาหัส!
เหล่าออร์คตกใจและตระหนักว่าพวกมันกำลังกับเจอปัญหาเข้าให้แล้ว!
แต่มีออร์คประมาณ 1500 ตนกำลังโจมตีถ้ำคนแคระอยู่ ซึ่งมี 500 ตนได้รีบเข้าไปในถ้ำและมีการต่อสู้นองเลือดกับคนแคระแล้ว
ผู้นำคนหนึ่งของฝั่งออร์คเป็นคนตัวสูงถือดาบใหญ่ ผิวของเขาขาวแต่ถูกปกคลุมไปด้วยรอยสักสีดำ นี่คือออร์คขาว ด้วยสายเลือดระดับแกรนมาสเตอร์ที่ออร์คธรรมดาสามัญไม่สามารถสืบทอดได้
เขามองดูลูกธนูที่บินไปมา นั่งไม่ไหวติงอยู่บนอสูรหมาป่าตัวใหญ่ ดวงตาของเขาฉายชัดถึงความเย้ยหยัน เพราะศรธนูที่พุ่งมาต่างก็ร่วงหล่นลงทันที่เข้ามาใกล้กับเกราะที่เต็มไปด้วยพลังการต่อสู้บนตัวเขา
ความรู้สึกเหมือนเอาเข็มมาเจาะหินที่ไม่มีรอยแตก…
ไม่ว่าเขาจะบังคับ หรือใช้ความแข็งแกร่งเท่าไหร่ ลูกธนูก็อ่อนแรงตกลงบนพื้นอยู่ดี
พลังที่แข็งแกร่งและแรงยับยั้งลูกธนูดังกล่าวก็สามารถเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับออร์คตนอื่นๆได้เพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ
“เอลฟ์จากเมืองชายแดนงั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นเราก็ฆ่าพวกมันก่อนจะไปจัดการกับพวกคนแคระซะ!” ออร์คขาวคำรามอย่างเฉื่อยชา ออร์คหนึ่งพันตนด้านหลังที่ไม่ได้อยู่ในระยะยิง ดึงอาวุธออกมาแล้วมุ่งหน้าไปยังเอลฟ์
ต้องเผชิญกับออร์คหลายพันตน…
วิลเลียมกลัวหรือไม่?
ตอบอย่างมั่นใจเลยว่า…
ไม่!
“ลุงลอทเนอร์ ฉันยกให้!” วิลเลียมตบไหล่เขาเบาๆ ลุงผู้ห่างไกลจากสายสัมพันธ์ทางสายเลือดปากกระตุก แต่ก็ยังพยักหน้าอย่างหนักแน่นก่อนจะกระโดดลงไป
เหล่าใบไม้รอบตัวของเขาไม่ได้ร่วงหล่น แต่กลับถูกฉีกเป็นชิ้นๆด้วยพลังการต่อสู้ของเขา ขณะที่เขาเร่งไปข้างหน้า เศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหล่านั้นก็ตกลงบนพื้นอย่างเชื่องช้า
สามารถเห็นความเชี่ยวชาญในพลังต่อสู้และความสามารถที่ดูเท่ของเขาได้จากสถานการณ์ต่างๆ มันน่าทึ่งถึงแม้ว่าจะต้องตั้งตารอนานหน่อย…
“พวกเจ้าที่เหลือให้ยิงด้วยพลังทั้งหมดที่มี เราจะปล่อยด้านหน้าให้แก่ฮีโร่ของเรา ลอทเนอร์!” วิลเลียมไม่ได้ล้อเล่น เขาไม่ปล่อยให้นักรบคนใด ไม่แม้กระทั่งผู้ใช้ดาบลงจากต้นไม้เพื่อต่อสู้
เพราะว่า…
ที่สุดแล้ว นี่ยังคงเป็นพื้นที่แปลกถิ่นยังไงล่ะ!
ไม่ว่ามันจะอยู่ใกล้เมืองมากแค่ไหนมันก็ยังอยู่ภายในอาณาเขตของดยุคทั้งสอง ตราบใดที่ไม่ได้แบ่งแยกออกจากพื้นที่นี้ ในระยะเวลาของเวอร์ชั่น 1.0 NPCที่เลเวลสูงที่สุดในพื้นที่นี้มีเลเวลเพียง 70 เท่านั้น และเป็นจำนวนที่หายากมาก
และไม่ว่าพวกเขาจะมีสายเลือดที่น่าประทับใจระดับใด หรือมีเอกลักษณ์ที่น่าทึ่งแค่ไหน พวกเขาก็ยังอยู่ในช่วงเติบโตและยังไม่ถึงขีดจำกัดสูงสุดของศักยภาพทางสายเลือด
ตัวอย่างเช่น มังกรยักษ์จากภูเขาหิมะดูเหมือนจะน่าประทับใจและตัวของมันก็ดูใหญ่…
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่แข็งแกร่งจริงๆ มังกรที่มีสายเลือดระดับรีเจนดารีก็ยังเป็นมังกรที่ยังไม่โตเต็มวัยหรือเป็นแม้กระทั่งทารก มันยังห่างไกลจากตอนที่โตขึ้นมากนัก…
ส่วนลอทเนอร์น่ะเหรอ?
บอสเลเวล 52 พร้อมด้วยสายเลือดระดับอีปิค
ในแง่ของความแข็งแกร่ง เขาไม่ได้ด้อยไปกว่าบอสเลเวล 60 ที่มีสายเลือดระดับแกรนด์มาสเตอร์เลย
เมื่อสังเกตการณ์ NPC ผู้เล่นจะดูที่ระดับสายเลือดและเลเวล เพราะระดับสายเลือดที่สูงกว่า ก็จะแสดงให้เห็นถึงพลังที่มากกว่าของบอส…
แต่ NPC มองที่ตรงไหนกันล่ะ?
นั่นคือลมหายใจและคุณภาพทางกายภาพของพลังในร่างกาย พวกเขาไม่ต้องดูระดับสายเลือด NPCอย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่งที่ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้
พลังโจมตีบ่มเพาะพลังต่อสู้และพลังความสามรถบ่มเพาะเวทมนตร์
NPC คิดอย่างไรกับระดับและมันแสดงถึงอะไร?
มันแสดงถึงค่าสถานะส่วนบุคคลและสมรรถภาพทางกายของ NPC
ส่วนพลังต่อสู้และเวทมนตร์ล่ะ?
มันแสดงถึงปริมาณของพลังและมวลในร่างกาย
กล่าวคือ ศักยภาพทางสายเลือดของ NPC นั้น เกือบจะแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถเสริมสร้างคุณภาพทางกายภาพของเขาต่อไปได้, เข้าใจทักษะของพลังต่อสู้ หรือมีความสามรถที่จะทำลายขอบเขตต่อไปได้
NPC คงเปรียบเสมือนโลกทางเลือก พวกเขาจำเป็นต้องฝึกฝนทักษะ, ปรับปรุงศักยภาพทางร่างกาย และพลังต่อสู้(เวทมนตร์), และพัฒนาความแข็งแกร่ง
แต่ผู้เล่นแค่ต่อสู้กับสัตว์ประหลาด, ทำภารกิจให้สำเร็จ, กินและอื่นๆ เพื่อรับค่าประสบการณ์!
ค่าประสบการณ์สามารถจัดสรรให้กับเลเวลและทักษะในเวลาเดียวกัน แยกออกจากความต้องการที่แตกต่างอย่างสมบูรณ์ เพื่อที่จะฝ่าด่านต่อไปของเลเวลระดับต่ำ
โดยพื้นฐานแล้วเราจะต้องทำภารกิจให้สำเร็จหลังจากผ่านอุปสรรคครั้งใหญ่ทุกครั้ง แม้ว่าภารกิจในระยะหลังจะยากม๊ากมาก…
ดัดเสียงให้แหลมๆ!
……………………………..
ในฐานะนักล่าปีศาจ ลอทเนอร์ยังคงเป็นคนที่มีความสามารถ แม้ว่าเขาจะมีอาชีพลับ
แต่เขากำลังเดินอย่างช้าๆไปยังกองทัพออร์คพร้อมกับดาบยาวที่เปล่งประกาย มีหลายสิ่งที่เขาแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้สนใจเหล่าออร์คที่อยู่ด้านหน้า เขาไม่สามารถไปสู้กับออร์คนับพันด้วยตัวคนเดียว ถ้าออร์คพวกนี้ล้อมเขาเอาไว้ เขาจะสู้ได้กี่ตนกัน?
ผู้นำออร์คขาวเห็นดังนั้น การแสดงออกของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชา ลมหายใจก็เริ่มหนักขึ้นและแม้แต่ดาบใหญ่ในมือก็ยังปลดปล่อยพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่ง!
เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่รุนแรง และรู้ได้ทันทีว่าลอทเนอร์อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา แต่ความภาคภูมิใจและความมั่นใจของลอทเนอร์นั้นราวกับพระเจ้าที่กำลังมองมดปลวกที่พวกเขาดูถูก!
ความรู้สึกนี้ทำให้นึกถึงอดีตของออร์คขาว…
เมื่อตอนที่เขายังเด็กเหมือนกับลูกสุนัข
เขานอนในกองขยะที่สกปรก เห็นเพียงตาที่สดใสและมองไปยังพวกเอลฟ์ที่กำลังฆ่าเผ่าพันธุ์ของเขา เอลฟ์ไม่เคยเหลือให้ใครรอด เขาไม่ได้แคร์พ่อแม่ที่นอนจมกองเลือด…
แต่ลุงมิสเตอร์หวังที่รักเขามากที่สุดก็ตกตายลงต่อหน้าเขาที่กำลังมองไปรอบๆ เขาปิดดวงตาที่เปียกชื้นด้วยมืออย่างเงียบงัน…
“อ่า! หายไปซะ ไอ้พวกขยะ!” ดวงตาของออร์คขาวกลายเป็นสีแดงก่ำ เขามองไปยังลอทเนอร์ที่เหมือนกับเทพเจ้าสงครามที่ได้ฆ่ากองทัพออร์คไปกว่าครึ่ง และเขาไม่สามารถมองมันได้อีกต่อไป!
เมื่อลอทเนอร์เห็นความโกรธเกรี้ยวของออร์คขาว เขาก็สะบัดดาบฉีกกองทัพออร์คเป็นสายเลือด
ความเร็วของเขาราวกับสายฟ้าฟาด เมื่อแสงจากดาบหายไปอย่างสมบูรณ์ เขาก็มาปรากฎตรงหน้าออร์คขาว ด้านหลังของเขาเป็นเหล่าออร์คที่ถูกสับเป็นชิ้นๆอย่างกับฉากสยองขวัญที่เต็มไปด้วยชิ้นส่วนของร่างกายและเลือดที่ไหลนองอย่างกับแม่น้ำ…
เอลฟ์ระดับกลางที่มีสายเลือดระดับอีปิคซึ่งมีอาชีพลับเป็นนักล่าปีศาจ ผู้มีพลังที่น่าสะพรึงกลัว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหล่าออร์ค เขาก็ยังสามารถต่อสู้กับพวกมันได้ด้วยตัวคนเดียว
“โอ้ ออร์คขาวงั้นหรือ? สายพันธุ์หายากในยุคที่สอง ท่านพ่อของฉันก็พวกมันฆ่าไปหลายสิบตนนี่ แกมาจากที่ไหนล่ะ?” ลอทเนอร์มองไปยังออร์คขาวอย่างถี่ถ้วน บรรยากาศของออร์คขาวดูสูงกว่าเล็กน้อย แต่ไม่ใช่ระดับที่มากกว่า
เขาไม่ได้แสดงความห่วงใย แต่กลับมองด้วยสายตาที่เหยียดหยาม
แน่นอนว่าเขารู้ชัดแน่ไปถึงในใจ มือจับดาบยาวแน่นขึ้น เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้
ส่วนออร์คขาว?
เขาเกลียดไอ้ตาโตๆของพวกเอลฟ์ชะมัด!
หรือกล่าวได้ว่าไม่มีเผ่าพันธุ์ไหนที่ชื่นชอบความงดงามที่หยิ่งยโสของพวกมันหรอก ‘ฉันรู้สึกว่าแกน่ะเป็นคนชั้นต่ำ’ ‘ผู้อาวุโสเป็นบรรพบุรุษของพวกแก’ ‘ฉันจะฆ่าปู่ทวดของแก’ ‘ฉันจะฆ่าปู่ฆ่าพ่อของแก’ ‘หากฉันฆ่าแกไม่ได้ก็จะทรมานแกจนตาย’ ‘เข้ามาสู้กับฉันสิ’ ‘แกเอาชนะฉันไม่ได้หรอก’ ‘ฉันอายุยืนยาวกว่า นี่ล่ะดวงตาที่น่าประทับใจของเหล่าเอลฟ์’
ในแง่ของการสร้างความชิงชัง เอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์แรกในดินแดน Gods โดยปกติแล้ว พวกเขาจะเติมความเกลียดชังให้เต็มเปี่ยม
ดังนั้น คำพูดของลอทเนอร์จึงทำให้ออร์คขาวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ
พวกเขาไม่ได้ต่อสู้กันทันที แต่กลับทำตามธรรมเนียมของ Gods ที่มีมาหลายปี เมื่อสองกองทัพต่อสู้กัน หากแม่ทัพของทั้งสองเจอกัน พวกเขาจะต้องเยาะเย้ยและสาปแช่งกันและกันเพื่อเพิ่มความเกลียดชัง
“ฉันจะกระชากหัวแกออกมา ไอ้พวกหูแหลมอย่างพวกแกตั้งใจจะมาช่วยพวกคนแคระงั้นหรอ?” แม้ว่าออร์คขาวจะเป็นผู้บัญชาสูงสุดของกองทัพนี้ แต่เขาก็ยังมีภารกิจที่ต้องจัดการ สติปัญญาของออร์คสายเลือดระดับนี้ไม่ได้ต่ำ
แม้ว่าเอลฟ์และออร์คจะเป็นศัตรูคู่อาฆาต เขาก็ยังต้องถาม เผื่อว่าจะสามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้ครั้งนี้ได้!
เขาไม่ได้กลัวหรอก แค่ถามไปส่งๆอย่างนั้น เขาไม่ได้สนว่าคำสบถจะนำไปสู่จุดเริ่มต้นของสงครามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อลอทเนอร์ได้ยินในสิ่งที่ต้องการ… เขาก็ไม่ได้ตื๊ออยากที่จะฟังมันต่อ ก่อนจะถ่มน้ำลายลงบนดาบใหญ่ของรักของหวงของออร์คขาว…
ไม่ต้องสงสัย
ชายทั้งสองไม่มีอารมณ์ที่จะคุยกัน ดังนั้นจึงเข้าต่อสู้ในทันที
………………………………
วิลเลียมยืนบนยอดไม้ หยุดเหล่าเอลฟ์ที่ยิงธนูไว้ชั่วคราวเพราะว่าออร์คไม่ได้เข้าไปล้อมลอทเนอร์แล้ว
นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้!
เมื่อมีใครซักคนที่สามารถฝ่ากองทัพและแม้กระทั่งบุกไปตรงหน้าแม่ทัพของศัตรู ไม่มีใครที่สามารถหยุดยั้งการกระทำเหล่านี้ได้ มิฉะนั้น พวกเขาจะถูกปฏิเสธโดยเหล่าพระเจ้า
ไม่กี่ปีหลังจากที่ทวยเทพได้รับเลือกให้มายังพื้นดิน ไม่มีใครพูดคุยกับผู้เล่นเกี่ยวกับการให้ความสนใจกับมารยาทของเหล่าทวยเทพ ตราบใดที่ศัตรูเป็นผู้ที่สวรรค์เลือกสรร มันก็จบลงแล้ว
สำหรับเอลฟ์ พวกเขาปากร้ายและทำกระทั่งถ่มเสมหะ?
มันไม่ปกติใช่ไหม?
เอลฟ์ไม่จำเป็นต้องอึต้องฉี่หรอ?
ตดของเอลฟ์ต้องมีกลิ่นหอมหรือไม่?
พวกเอลฟ์ไม่ต้องอาบน้ำงั้นหรือ?
นั่นคุณกำลังกล่าวถึงเทพธิดาไม่ใช่หรอ? การอุจจาระอาจจะทำให้ท่านสูญเสียบารมี ถ้าเทพธิดาได้ยินเข้า มันคงจะแปลกมากถ้าเธอไม่ตบคุณจนตาย…
สรุปแล้วเกมอย่าง Gods น่ะ คุณจะสามารถเห็นธาตุแท้ของเผ่าพันธุ์เอลฟ์หรือแม้กระทั่งทุกเผ่าพันธุ์
คุณจะสามารถเห็นความแตกต่างอย่างมากระหว่างเอลฟ์ในสนามรบกับเอลฟ์ในชีวิตประจำวัน!
คุณจะสามารถเห็นเอลฟ์ที่สมบูรณ์แบบและสง่างามได้ในป่าอันเงียบสงบ
แต่ในสนามรบ คุณจะเห็นว่าพวกเขากวัดแกว่งดาบไปที่สิ่งมีชีวิตต่างๆอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นคนป่วยหรือคนพิการ เด็กหรือคนชรา ความเฉยเมยต่อชีวิตทำให้ใครต่อใครที่ไม่ทราบความจริงตกตะลึงกันอยู่บ่อยครั้ง
พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่สุดโต่ง แต่กระนั้นก็เป็นนักรบที่ยอดเยี่ยมที่สุดอีกด้วย!
ปัง!
ทั้งคู่ใช้ดาบเป็นอาวุธ ดาบจับมือเดียว และดาบที่จับสองมือ ตามหลักการแล้วเมื่ออาวุธเหล่านี้ปะทะกัน คนที่ใช้ดาบมือเดียวมักจะเสียเปรียบ แต่ด้วยความได้เปรียบทางสายเลือดและสายอาชีพของลอทเนอร์ทำให้การต่อสู้ครั้งนี้เสมอภาคกัน
พลังต่อสู้ที่พุ่งพล่านกระจายขอบเขตไปไกลนับสิบเมตร!
ผืนหญ้าและต้นไม้ถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายออกไปไกลด้วยคลื่นพลัง
ภายในไม่กี่วินาที คราบเลือดก็ปรากฎจากกายของทั้งสอง เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถป้องกันได้ทุกการโจมตีของอีกฝ่าย
เอลฟ์ไม่หวาดกลัวที่จะมีบาดแผลหากศัตรูได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
เอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์ที่แท้จริงนั้นไร้จุดอ่อน!
การป้องกันของพวกเขานั้นสูงกว่าเผ่าพันธุ์อื่นมาก
โดยเฉพาะลอทเนอร์ บอสสายเลือดระดับอีปิค เขารู้ว่าเขามีเลือดไหลเวียนในร่างกายจำนวนมาก และเขาก็ไม่กังวลสักนิดที่จะปล่อยให้มันไหลออกมา!
ทั้งสองปะทะกันอย่างดุเดือด พลังต่อสู้ของทั้งคู่กำลังโบยบิน พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาจมลงไปเนื่องจากแรงปะทะ ฉากนั้นน่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก
เหล่าออร์คพากันตะโกนกู่ร้อง และถกเถียงกันเป็นครั้งคราวว่าใครจะเป็นผู้ชนะ?
ถ้าผู้นำของพวกมันพ่ายแพ้ จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกมัน?
อืม…
ไม่ใช่ว่าควรพิจารณาเรื่องนี้หลังจากที่พวกมันพ่ายแพ้หรอกเหรอ?
แต่เมื่อมองไปยังผู้นำที่เริ่มจะเสียเปรียบ ความกังวลก็เริ่มก่อขึ้นในจิตใจ
เหล่าเอลฟ์ยืนอยู่บนต้นไม้อย่างไร้อารมณ์ ไม่ส่งเสียงเชียร์หรือตะโกนโหวกเหวกโวยวาย มีเพียงความเงียบสงบ สายตาของพวกเขาจ้องมองตรงกลางสนามรบอย่างมั่นคง พร้อมที่จะโจมตีตลอดเวลา
เอลฟ์ไม่ตื่นเต้นเลยเหรอ?
แน่นอนว่าตื่นเต้น
แต่พวกเขารู้สึกว่ามันน่าอายเกินกว่าที่จะตะโกนหรือกรีดร้อง มันไม่เหมาะกับลักษณะที่เย่อหยิ่งของพวกเขา…
ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขานั้นดำรงเผ่าพันธุ์มายาวนานและมีประสบการณ์มากมาย พวกเขาต้องไม่มีพฤติกรรมที่เหมือนกับเผ่าพันธุ์อายุสั้นเหล่านี้ มิเช่นนั้น มันจะฉุดดึงภาพลักษณ์ของเหล่าเอลฟ์ทันที
ดังนั้น
เมื่อเห็นการโจมตีของเอลฟ์ การต่อสู้อย่างไร้อารมณ์และไม่แม้แต่จะโอดโอยถึงความเจ็บปวดขณะถูกนำไปสู่ความตาย ทั้งหมดนั้นมาจากความเย่อหยิ่งของเผ่าพันธุ์…
วิลเลียมจ้องไปยังสนามรบอย่างแน่วแน่ เขาไม่ได้กังวลว่าลอทเนอร์จะพ่ายแพ้มากนัก!
จากที่เขาคิด ลอทเนอร์จะชนะและออร์คเหล่านี้จะไม่สามารถหลีกหนีไปได้
แล้วทำไมวิลเลียมที่ขาดกองกำลังทหารถึงมาช่วยเหล่าคนแคระล่ะ?
แต่สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดคือ ใครกันที่อยู่เบื้องหลังออร์คพวกนี้?
เผ่าออร์คทั่วไปงั้นหรอ?
หรือจะเป็นกลุ่มที่อยู่ภายใต้มังกรยักษ์?
ทั้งสองมีความแตกต่างกันอย่างมาก
แม้ว่ามังกรยักษ์จะไม่คิดแก้แค้นให้กับออร์ค และอาจจะกลืนกินพวกมันเพราะความล้มเหลว
ไม่มีใครที่สามารถระวังไปซะทุกเรื่องได้
หากมังกรยักษ์บนภูเขาหิมะออกจากหุบเขาก่อนเวลา
ในเมืองคงสนุกน่าดู… หากไม่เกิดสิ่งใดขึ้น
ในระยะต่อมาของเวอร์ชัน 1.0 มังกรยักษ์ในภูเขาหิมะเป็นบอสระดับรีเจนดารีเลเวลเกือบ 70
ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งปีก่อนจะทดสอบเบต้า
หากมังกรยักษ์ยังเลเวลไม่ถึง 70 อย่างน้อยก็อยู่ประมาณเลเวล 60!
ไม่ว่าจะอยู่ในกรณีใด มังกรยักษ์ก็เป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรง
การฆ่าฟันอย่างโหดเหี้ยมที่ทางเข้าถ้ำของคนแคระหยุดลงแล้ว
คนแคระนักรบบางตนมีเลือดท่วมทั้งตัวยึดกำแพงไว้เป็นหลักและบังคับร่างของพวกเขาไปยังปากถ้ำ ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นผู้กอบกู้ของพวกเขาเสียที!
“เอลฟ์เลือดบริสุทธิ์ เอลฟ์จากป่าแบล็คลีฟ?”
“ทำไมพวกเขาถึงมาอยู่ที่นี่?” คนแคระตนหนึ่งพูดอย่างตกตะลึง
“พวกเขาเป็นเอลฟ์จากเมืองชายแดน แกไม่เคยไปเดินยามด้านนอกมาก่อนก็เลยไม่รู้ว่าเจ้าชายเอลฟ์ตนหนึ่งมาที่เมือง…” คนแคระนักรบที่มีรูปร่างเตี้ยและแต่งตัวด้วยชุดตระการตาพูดพร้อมกับคิ้วที่ยกสูง
“เจ้าชายเอลฟ์เลือดบริสุทธิ์จะมาในที่แบบนี้ทำไมกัน?”
“เขาอยู่ที่ชายแดนของป่าแบล็คลีฟ เจ้าชายเอลฟ์ตนนี้ช่างประมาทเลินเล่อจริงๆ ไม่ใช่ว่าเขาต้องกลัวว่าจะถูกพวกคนไม่ดีจับตัวไป ไม่ใช่รึไง?” ใครบางคนถอนหายใจด้วยความเป็นห่วง
“ข้าจะไปรู้เรื่องนั้นได้ยังไง?” มีร่องรอยของความชื่นชมอยู่ในคำพูดของโอดอม เขาอธิบายไม่ได้ดีนักแต่เขาพูดถูก
เพราะในทางสายเลือดแล้ว วิลเลียมเป็นเจ้าชายในหมู่เอลฟ์แบล็คลีฟ!
สายเลือดราชวงศ์ของป่าแบล็คลีฟนั้นหายากมากๆ และมีหลายตนที่ตายไปในสนามรบ นอกจากนี้ เอลฟ์ก็ยังเป็นสายพันธุ์ที่มีอายุยืนยาวและเป็นเพราะพลังการสืบพันธุ์ของพวกเขาเข้าขั้นน่าเป็นห่วง ด้วยความที่พวกเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับระดับความอาวุโสมากนัก ดังนั้นแล้ว ตราบใดที่ราชาเอลฟ์ยังไม่ตาย ผู้สืบสายเลือดคนอื่นๆที่มีเลือดราชวงค์ต่างก็เป็นเจ้าหญิงหรือเจ้าชายรัชทายาททั้งนั้น!
ไม่ว่าเจ้าหญิงและเจ้าชายคนใดก็มีสิทธิ์ที่จะได้สืบทอดบัลลังก์!
กุญแจสำคัญคือ ต้องดูอิทธิพลและอัตราการสนับสนุนของพวกเขา เช่นเดียวกับเจตจำนงค์ของราชาเอลฟ์
แต่ก็ต้องเสียใจด้วยที่พ่อของวิลเลียมเป็นมนุษย์…
เขาเป็นเจ้าชายของเอลฟ์แบล็คลีฟในทางสายเลือด แม้แต่กับทหารส่วนตัว 500 ตน เขาก็ได้รับการปฏิบัติราวกับเจ้าชายน้อยตนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม…
เขาไม่ได้มีตำแหน่งหรือยศจริงๆ!
โอดอมเหมารวมไปแล้วว่าเขาเป็นเจ้าชายเอลฟ์ตนหนึ่ง
นี่เป็นเพราะโอดอมได้ลอบสังเกตและเห็นความเคารพที่เหล่าเอลฟ์องครักษ์ทั้ง 500 ตนมีต่อวิลเลียม มันมากพอที่จะแสดงให้เห็นว่าวิลเลียมเป็นเจ้าชายแห่งเอลฟ์!
เอลฟ์ที่มีศักดินาในสมาชิกราชวงศ์เท่านั้นที่เอลฟ์ตนอื่นจะยอมก้มหัวให้ด้วยความความเคารพนับถือ
“เดี๋ยวก่อนนะ นี่แกหมายความว่ายังไงตอนที่พูดว่าเขาเป็นคนเลินเล่อเกินไปเพราะตัดสินใจมาที่นี่?” โอดอมดูไม่พอใจ และหลังจากพูดจบ เขาก็หันไปด้านหลังในขณะที่ถือค้อนของเขาอยู่
คนแคระนักรบคนที่พูดหุบปากของตัวเองแน่นและมองไปที่กำแพงของถ้ำด้วยความอยากที่จะใช้นิ้วของเขาดึงแร่มิทริลออกมา…
เพราะโอดอมเองก็เป็นเชื้อพระวงศ์และแถมยังเป็นทายาทคนสุดท้ายของสมาชิกราชวงศ์แห่งหุบเขาแห่งความเดียวดาย!
ราชาคนสุดท้ายของหุบเขาแห่งความเดียวดาย ‘โอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์’!
บางทีผู้คนในยุคนี้อาจจะลืมนามสกุลเฮฟวี่แฮมเมอร์ไปนานแล้ว แต่ในอดีต นามสกุลนี้ไม่ได้แย่ไปกว่านามสกุลของเอลฟ์เลย และอาณาจักรคนแคระขนาดใหญ่ทั้งเจ็ดแคว้นนั้นเรียกได้ว่าไกลจากการนำมาเปรียบเทียบเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม สงครามการเมืองของคนแคระก็เกิดขึ้นหลังจากการสิ้นลมของโอเดลโล เฮฟวี่แฮมเมอร์ ราชาของหุบเขาแห่งความเดียวดาย
เหล่าคนแคระที่ภักดีต่อผู้สืบสายเลือดราชาของหุบเขาแห่งความเดียวดายจริงๆ ถูกฆ่าไม่ก็บาดเจ็บสาหัส ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงหลบหนีไปพร้อมกับเจ้าชายน้อยของพวกเขา
และพวกคนแคระที่เริ่มสงครามอ้างว่าพวกเขาต้องแต่งตั้งราชาคนใหม่ขึ้นมาด้วยความเสียใจที่พวกเขาไม่อาจหาทายาทตัวจริงของสายเลือดราชวงศ์เจอ
ส่วนใครเป็นคนเริ่มสงครามกลางเมืองงั้นหรอ?
อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของอาณาจักรคนแคระทั้งเจ็ดแคว้นก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้…
แต่แม้ว่าเอลฟ์จะได้รับชัยชนะที่ดุเดือดอย่างมากมายในสนามรบ เหล่าเอลฟ์ผู้สง่างามและเย่อหยิ่งก็จะทำให้พวกคนแคระรู้สึกทุกครั้งว่าเหล่าเอลฟ์นั้นบอบบางเกินไปและไม่ควรที่จะมาอยู่ในสถานที่อันตรายแบบนี้…
สำหรับคนแคระที่ผิวหนังหยาบกร้านและเนื้อหนังหนา?
แน่นอนที่สุดว่าพวกเขาสามารถไปได้ทุกที่…
“จำเอาไว้ อย่าเปิดเผยนามสกุลของข้า ตั้งแต่นี้ไป นามสกุลของข้าจะเป็น ‘แฮมเมอร์’ โอดอม แฮมเมอร์ ปรมาจารย์ช่างตีเหล็ก!” โอดอมกล่าวอย่างเด็ดขาดเมื่อเขาเห็นว่าในที่สุดลอทเนอร์ก็กำจัดออร์คขาวสำเร็จ
คนแคระนักรบคนอื่นๆ พยักหน้า สถานการณ์ตอนนี้แจ่มแจ้งแล้ว
เจ้าชายเอลฟ์จากเมืองชายแดนที่มาเพื่อช่วยเหลือเขา และพวกเขาไม่ได้จะตอบแทนเหล่าเอลฟ์ด้วยเหมืองแร่มิทริลเท่านั้น แต่โอดอมยังตั้งใจที่จะ…
แต่ในขณะที่พวกเขากำลังคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้… การต่อสู้ตัวต่อตัวก็จบลง
ลอทเนอร์ต่อสู้อย่างเต็มกำลังด้วยวิธีการทำให้เกิดบาดแผลที่ทรมาน ก่อนจะตัดหัวออร์คขาวออกด้วยความเกรี้ยวกราด
“ท่านผู้นำตายแล้ว?” พวกออร์คสตั้น
“โอ้ เวร!” ออร์คเบอเซอร์เกอร์ตัวหนึ่งเห็นเหล่าเอลฟ์ที่ล้อมอยู่และทิ้งอาวุธลงจากมือ มันหยิบอีเต้อ1จากพื้นขึ้นมาด้วยความคล่องแคล่ว เขาสะบัดมันสองสามทีและเมื่อเข้ามือแล้ว เขาก็ทำแกล้งทำท่าทางขุดพื้น
เมื่อออร์คตัวอื่นเห็นดังนั้น พวกมันจึงรีบวางอาวุธลงด้วยความรวดเร็วและมองไปรอบๆ ทำไม่รู้ไม่เห็น ราวกับว่าออร์คขาวไม่เกี่ยวอะไรกับพวกมัน
วิลเลียมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อเขาเห็นฉากนี้…
แต่เหล่าเอลฟ์องครักษ์ผู้เย่อยิ่งไม่ยอมให้เขาหัวเราะ…
ดังนั้นเขาจึงปิดปากของเขาและค่อยๆ เลื่อนตัวไปที่อีกข้างของลอทเนอร์ ผู้ซึ่งหันหลังใส่เขาอยู่
ดาบยาวของลอทเนอร์กำลังแตะอยู่กับพื้น มือของเขาวางอยู่บนด้ามจับเบาๆ เขามองพวกออร์คด้วยท่าทางที่อยู่เหนือกว่า รัศมีอันแข็งแกร่งของเขาแผ่ออกมา…
“ต่อต้านหรือยอมจำนน!” วิลเลียมพูดด้วยเสียงเข้มที่ดังกึกก้อง โดยไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ บนใบหน้าของเขา!
“ยอมจำนน!”
“พวกเรายอมจำนน…” พวกออร์คคุกเข่าลงตนแล้วตนเล่า แสดงให้เห็นว่าพวกมันกำลังยกธงขาว!
จากประสบการณ์ที่ออร์คต่อสู้กับเอลฟ์มา พวกมันรู้ว่าเหล่าเอลฟ์มักไม่ฆ่าเชลย ยกเว้นแต่ศัตรูที่วิ่งหนีหรือขัดขืน เชลยคนอื่นๆ จะต้องเป็นคนขุดเหมือง นั่นคือกรณีที่เลวร้ายที่สุดแล้ว!
สำหรับการให้หน้าที่ที่ดีที่สุด?
คือ การเป็นผู้คุมงานเหล่าเพื่อนนักขุดด้วยกัน…
แต่ก็ไม่ผิดอะไรสำหรับการเป็นคนขุดเหมือง มันมีโอกาสสำหรับการหลบหนีอยู่เสมอ
พวกเขาพอจะตั้งความหวังที่จะใช้ชีวิตกับมันได้… นี่มันอาจจะดูเป็นไปไม่ได้ไปเสียหน่อย แต่มันก็ดีพอแล้วที่พวกเขาจะยังไม่ตายเดี๋ยวนี้เลย
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือลอทเนอร์ที่มอบความกดดันอย่างมากมายให้พวกเขา
ออร์คขาวที่เงยหน้าขึ้นครั้งหนึ่งก็ถูกตัดหัวออกอย่างง่ายดายโดยลอทเนอร์ และหัวของเขาก็ถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าของลอทเนอร์
นี่ก็มากพอแล้วที่จะนำความกดดันมาสู่พวกออร์ค
ออร์คชอบที่จะสวามิภักดิ์ต่อผู้ที่แข็งแกร่ง ก็เหมือนกับตอนที่พวกมันกลายเป็นเผ่าหนึ่งภายใต้อำนาจของมังกรยักษ์ที่มาพร้อมกับความกดดันที่จะตายได้ตลอดเวลา
ที่สุดแล้ว ต่อให้คุณต้องการจะวิ่งหนี คุณต้องมีโอกาสนั้นก่อน และนี่คือป่า…
“ปลดอาวุธพวกมันทุกตน ถอดชุดเกราะพวกมันออกและนำตัวพวกมันไปที่เหมืองเหล็ก!” วิลเลียมโบกมือของเขา และนอชสั่งการเอลฟ์องครักษ์ให้นำกลุ่มออร์คพวกนี้ออกไป
ต่อจากนั้น
เขาหมุนตัวมองไปที่เหล่าเอลฟ์ที่ปากถ้ำก่อนจะยิ้ม “สหาย เราหวังว่าความช่วยเหลือของเรามาทันเวลา!”
ความประทับใจที่ดีจากโอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์ +188
ความประทับใจที่ดีจากปีเตอร์ โบลเดอร์ +230
ว้าว…
วิลเลียมมองเห็นความประทับใจที่ดีติดต่อกันแถบๆ คิ้วของเขายกขึ้นเล็กน้อยและเขายิ้มออกมาอย่างพึงพอใจในตัวเอง
ยังไงก็ตาม
ถ้าเขาไม่นำกองทัพเอลฟ์มาช่วยเหลือพวกเขา เหล่าคนแครพจะต้องถูกบล็อกอยู่ในเหมืองและถูกฆ่าอย่างป่าเถื่อนโดยออร์ค
มันชัดเจนในตัวเองอยู่แล้วจากความประทับใจที่ดีเหล่านั้น
แต่มันก็น่าเสียดาย
มันกระทันหันเกินไปทำให้มันไม่ได้สร้างความประทับใจให้กับคนแคระ อย่างที่วิลเลียมมาดหมายรอคอยเป็นที่สุด!
มุมปากของวิลเลียมกระตุกและเขามองไปที่ข้อมูลใหม่อย่างพินิจพิเคราะห์ ไม่มีใครในนี้มีความประทับใจต่อเขาจริงๆหรอ…
นี่หมายความว่ายังไง?
เจ้าชายผู้ไร้ยศศักดิ์คนนี้ยังคงกำลังลองเชิงอยู่ แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นคนที่เพิ่มความประทับใจเป็นคนแรก…
โอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์ เขาเพิ่มแค่ 188 แต้มเท่านั้น สำหรับผู้กอบกู้ เขาให้วิลเลียมแค่ 188 แต้ม?
เขาไม่รู้รึยังไงว่าค่าเต็มของความประทับใจที่ดีสำหรับ NPC ธรรมดาคนหนึ่งคือ 1000?
“เฮฟวี่แฮมเมอร์???” วิลเลียมเบิกตากว้างขึ้นมาทันใด เขามองไปที่หน้าต่างข้อมูลอีกครั้งและจากนั้นก็มองไปที่สหายตัวเล็กคนหนึ่งในกลุ่มคนแคระที่สะดุดตากว่าคนอื่นเล็กน้อย
เขามีผมสีบลอนด์ทอง, หน้าตาที่หล่อเหลาและเด็ดเดี่ยว, พร้อมกับความสูง 1.55 เมตร แถมเขายังถือค้อนอันคุ้นตาที่มีกระแสไฟฟ้าเคลื่อนตัวไปมาอยู่รอบๆ มัน…
“ชิ…” วิลเลียมสูดลมหายใจ เขาอดไม่ได้ที่จะชื่นชมโปรดิวเซอร์ของเกมนี้ พวกเขาไม่กลัวที่จะได้รับหมายศาลจาก Marvel เลยใช่มั้ย?
แต่เขาก็ยังคงเดินไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม วางมือของเขาที่เกือบจะเผลอไปลูบหัวของคนแคระตนนั้นลงบนไหล่ของเขาช้าๆ แล้วพูด “ใครเป็นผู้นำของที่นี่?”
โอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์เหล่ไปที่มือเรียวยาวบนไหล่ของเขาก่อนจะมองขึ้นไปที่วิลเลียม “โอดอม แฮมเมอร์ ข้าเป็นผู้นำของพวกเขา!”
วิลเลียมคิดอยู่ราวๆ สองวินาที “วิลเลียม แบล็คลีฟ มีอะไรที่พอจะช่วยท่านได้ไหม?”
“พวกเราได้รับความเดือดร้อนมากมายจากการโจมตีของพวกออร์ค ข้าตัดสินใจที่จะนำคนแคระทั้งหมดที่อยู่ภายใต้อำนาจของข้าเข้าร่วมกับเมืองชายแดนและขอความคุ้มครอง ข้าไม่รู้ว่าองค์ชาย จะต้อนรับพวกเราหรือไม่?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ยินดีต้อนรับสหายชั่วนิรันดร์ของเอลฟ์” วิลเลียมยิ้ม
องค์ชาย?
คำสองพยางค์คำนี้
เขารับลูกน้องกลุ่มนี้!
หมายเหตุ
อีเต้อ1 หมายถึง เครื่องมือสำหรับขุดของแข็งหรือหิน ทำจากเหล็ก มีลักษณะคล้ายจอบ
อายุขัยของคนแคระยาวนานกว่ามนุษย์ แม้แต่ตนที่ธรรมดาที่สุดก็มีอายุถึง 200 ถึง 500 ปี
แน่นอนว่าแต่ละระดับจะเพิ่มอายุขัยไปเรื่อยๆ หากมีความแข็งแกร่งถึงระดับรีเจนดารีก็จะก้าวเข้าสู่เผ่าพันธุ์ที่มีอายุขัยยืนยาว
แต่ว่าก็ยังคงมีการแบ่งระดับในแต่ละเผ่าพันธุ์…
ตัวอย่างเช่น อายุขัยของเอลฟ์ที่มีระดับรีเจนดารีจะมากกว่ามนุษย์ที่มีระดับรีเจนดารีอย่างน้อยสามเท่า…
“ขออนุญาตรายงานครับ!!!” หน่วยลาดตระเวนเอลฟ์วิ่งเข้ามา
“ว่ามา!”
“กำลังเสริมของออร์คประมาณ 1000 ตนกำลังมุ่งตรงมา ดูเหมือนว่าจะมาจากพวกออร์คชั้นสูงครับ”
วิลเลียมขมวดคิ้วเมื่อได้ยินดังนั้น หันไปกล่าวกับโอดอม “เผ่าท่านมีสมาชิกกี่คน? อพยพออกไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เร็วได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี!”
“1600 ตน มีเพียง 300 ตนเท่านั้นที่สามารถต่อสู้ได้!” โอดอมตอบด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว
พันปีที่ผ่านมา คนในเผ่าต่างลดลงไปเรื่อยๆจากหลายแสนต่างก็ถูกไล่ล่าและสังหาร ความเร็วการเกิดของทารกเทียบไม่ได้กับการตาย
แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังสามารถรักษาผู้คนใต้อาณัติไว้ได้กว่าหมื่นคน กระทั่งสามสิบปีก่อนที่ท่านพ่อผู้มีระดับอีปิคได้เสียชีวิตลง กองกำลังและผู้คนส่วนมากก็ได้ตายลง ณ ที่หลบภัยในอดีต
โอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์ที่อายุเพียงยี่สิบปีได้นำคนมากกว่าพันคนออกจากที่หลบซ่อนและในที่สุดก็ค้นพบเหมืองมิทริลแห่งนี้ พวกเขาใช้ประโยชน์จากความสามารถในการขุดเหมืองของบรรพบุรุษ ขุดหลุมลึกไว้สะสมธัญพืชและซ่อนตัวอยู่ที่นั่น
แม้แต่คนที่ตามล่าก็คิดว่าพวกเขาได้ตายไปหมดแล้ว
วิลเลียมเข้าใจเรื่องเกือบทั้งหมดอยู่แล้ว แม้จะไม่มีคำอธิบายของโอดอม…
ตามเหตุผลแล้ว เจ้าชายคนแคระผู้มีค่าสถานะที่น่าประทับใจและไม่เคยถูกฆ่าแม้ว่าเขาจะถูกไล่ล่ามานานหลายปี มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย เพราะคนที่มีความสามารถเช่นนี้มักจะมีบทบาทเป็นผู้นำ!
แต่ทำไมเขาไม่เคยได้ยินชื่อของโอดอมมาก่อนล่ะ? เป็นไปได้ว่าโอดอมอาจถูกสังหารโดยออร์คตั้งแต่แรก…
ตอนนี้พวกออร์คยังห่างไกลจากการฆ่าคนแคระเหล่านี้
หรือจะเกี่ยวกับกำลังเสริม?
นี่อาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่จะสามารถฆ่าคนแคระได้!
บางที การช่วยเหลือครั้งแรกของเขาในชีวิตนี้อาจไปเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์บางส่วน แต่ก็ดึงดูดความเกลียดชังไว้มากมาย…
ภารกิจขั้นที่ 3 : สำเร็จ
รางวัล : ค่าประสบการณ์ 50000 หน่วย
รางวัล : เหมืองมิทริลที่ยังไม่ได้เป็นเจ้าของ
วิลเลียมมองไปยังภารกิจและไม่ได้ย้ายค่าประสบการณ์ไปเพิ่มเลเวล แต่กลับสั่งการว่า “โอดอม ให้คนของท่านออกมาและย้ายไปที่เมืองเดี๋ยวนี้ เอาแค่ของที่จำเป็นและไม่ต้องกังวลกับสิ่งใดทั้งสิ้น เราจะออกไปทันที!”
“ได้!” โอดอมกลับไปยังหุบเขาและจัดการการอพยพในทันที
วิลเลียมแตะบ่าลอทเนอร์เบาๆ “เป็นอย่างไรบ้าง?”
เลือดสดๆไหลออกมาจากหัวไหล่และแขนของลอทเนอร์ เลือดที่เขาหยุดด้วยพลังได้พังทลายลงอีกครั้ง แต่เขาก็ยังมองไปทางทิศตะวันออกด้วยรอยยิ้มที่เยือกเย็น “มันก็แค่บาดแผลเล็กๆ ฉันยังสู้ได้อีกตั้งสามร้อยรอบ ต่อให้ออร์คมาอีกพันตนก็หยุดฉันไม่ได้หรอก”
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะยกให้ท่านทั้งหมดเลย!”
“…” ลอทเนอร์ไตร่ตรองเป็นเวลาสองวินาทีก่อนเขาจะมองวิลเลียมด้วยสายตาที่จริงใจราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
“เตรียมพร้อมสำหรับสงคราม ผู้วิเศษร่ายวงแหวนเวทย์ ลอทเนอร์ ท่านไปพักก่อนเถอะ…” วิลเลียมเดินไปข้างหน้า สั่งการนักรบเอลฟ์ที่เหลือ 100 ตนอย่างชำนาญ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “เราจะปกป้องกองกำลังของมิตรสหาย เอลฟ์จะไม่ยืนอยู่ข้างหลังคนแคระ!”
“รับทราบ!” การแสดงออกของคนแคระทั้งหมดเปลี่ยนไป พวกเขาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ และเตรียมพร้อมสำหรับสงครามตลอดเวลา
วงแหวนเวทย์คืออะไร?
บัฟคืออะไร?
คำพวกนี้มีประโยชน์เหรอ?
ล้อเล่นหน่า
การปลุกใจเล็กน้อยของวิลเลียมอาจทำให้เหล่าเอลฟ์ฮึกเหิม
แต่สิ่งต่างๆไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เห็นหรอก
เมื่อลอทเนอร์และออร์คขาวปะทะกัน คนแคระได้กำจัดเหล่าออร์คในถ้ำไปแล้ว และหลังจากพบเอลฟ์ที่มาช่วยเหลือ พวกเขาก็พร้อมที่จะอพยพแล้ว
ภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที คนแคระทั้งหมดต่างวิ่งไปทางทิศเหนือ ความเร็วของการอพยพเป็นไปอย่างราบรื่น การใช้สกิลการเคลื่อนไหวทำให้วิลเลียมตกตะลึง
เขาลอบถอนหายใจในใจ พวกเขาเป็นคนแคระแห่งหุบเขาเดียวดายที่จะไม่สูญสิ้นไปแม้ว่าจะถูกตามล่าเป็นเวลาหลายพันปี ความเร็วในการหลบหนีของพวกเขานั้นเป็นที่หนึ่ง ความเร็วในการวิ่งในป่าไม่ได้ด้อยไปกว่าเอลฟ์เลย…
โอดอมไม่ได้อพยพไป เขาให้นักรบคนแคระ 100 ตนติดตามกองกำลังไปก่อน ส่วนตัวเขานั้นอยู่กับนักรบอีก 200 ตน!
วิลเลียมมองไปยังนักรบคนแคระที่โชกไปด้วยเลือดหลังจากการต่อสู้ที่ยาวนาน ก่อนจะครุ่นคิดถึงการฆ่าออร์ค 1000 ตน
สิ่งที่เขากลัวที่สุดตอนนี้คือการสูญเสียพลทหาร เขาไม่ได้กำลังเล่นเกมอยู่ และตอนนี้เขาเป็นท่านลอร์ดของเมือง หากเขาต้องการพัฒนาเมืองต่อไป ทุกๆคนคือทรัพยากรที่มีค่าและไม่ควรสูญเปล่า
โดยเฉพาะเมื่อลอทเนอร์ผู้ที่สามารถป้องกันและต่อสู้ได้ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก
ทันใดนั้นลอทเนอร์ที่ได้รับการดูแลโดยนักรบเอลฟ์หญิงก็รู้สึกไม่ค่อยดี เขามองไปยังวิลเลียมและเห็นว่าเขากำลังยิ้มด้วยรอยยิ้มที่มืดหม่น
โชคดีที่วิลเลียมโบกมือตัดสินใจที่จะถอยทัพ หัวใจของลอทเนอร์ที่ขึ้นมาจุกอยู่ตรงคอก็ได้กลับสู่ที่เดิมของมันซักที
…………………………
เมื่อออร์คชนชั้นสูงนับพันมาถึงเหมืองมิทริล ออร์คขาวเดินออกมาจากฝูงชนอย่างช้าๆ เขาเห็นความยุ่งเหยิงด้านหน้าถ้ำ และเห็นรอยเท้าขึ้นไปทางเหนือ
ในขณะเดียวกัน
นักบวชออร์คคนหนึ่งที่แต่งตัวด้วยเสื้อคลุมสีดำเหลือให้เห็นเพียงดวงตาสีเขียวอันมืดมนก็เดินออกมา “เอลฟ์ในเมืองมาช่วยพวกมันไว้”
ออร์คขาวแกว่งค้อนไปทำลายต้นไม่ที่ไม่รู้เรื่องอันใด ก่อนจะกล่าวว่า “ข้ารู้น่า!”
“ไล่ตามพวกมันไป เราได้รับรางวัลและวัตถุดิบเวทย์มาครึ่งหนึ่งแล้ว…” นักบวชออร์คชี้ไปทางทิศเหนือ
“ไล่ตามพวกมันงั้นเหรอ? ด้วยอะไรล่ะ?” ออร์คขาวมองไปยังนักบวชด้วยรอยยิ้มที่เยือกเย็น ดึงกระชับบังเหียน แล้วหันศีรษะของเขามาพร้อมพูดว่า “เรารับรางวัลมาครึ่งหนึ่ง และคนของเราก็ตายไปหลายคนแล้ว ในเมื่อพวกมันหนีไป ก็ปล่อยให้พวกทรยศไปหาคนอื่นเอาสิ”
จากนั้นก็มองไปยังนักบวชออร์คที่มีสถานะเท่าเทียมกับตนเอง “จำไว้ด้วยว่าเราไม่ควรอยู่ที่นี่ โดยเฉพาะตอนที่ทำความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ โดยการรับรางวัลโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต”
“แม้ว่าเราจะเก็บสมบัติไว้เป็นความลับ เจ้าได้คิดไหมว่าเผ่าเราจะใช้ชีวิตยังไงหากมาสเตอร์รู้เรื่องนี้เข้า?”
ออร์คขาวขี่หมาป่าออกมา นักรบออร์คก็ตามมาโดยไม่ลังเล
ณ ขณะนั้น
นักบวชออร์คก็ขยับสายตาไปทางทิศเหนืออย่างยาวนาน จากนั้นเขาก็จำได้ว่ามาสเตอร์ของเขามีความโหดร้ายทารุณเพียงใด
ใครคือมาสเตอร์ของพวกเขา?
มังกรยักษ์จากภูเขาหิมะจากทะเลฝั่งตะวันออกยังไงล่ะ!
เขาอยู่เหนือทุกสิ่ง!
เขามีปีกขนาดใหญ่มากกว่าสิบเมตร
แค่เขาจามก็สามารถเผาคนนับร้อยได้
เขาเป็นมังกรธาตุที่มาพร้อมพลังธรรมชาติที่น่ากลัว
มาสเตอร์ของพวกเขาคือมังกรไฟ!
ในบรรดามังกรทั้งหมด มังกรไฟมีความสามารถในการต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุด
ไม่มีใครอยากถูกจ้องมองโดยมังกรไฟ คนที่ถูกมังกรไฟเกลียดชังจะเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดในโลก
เผ่าออร์คเป็นเพียงหนึ่งในหลายๆเผ่าพันธุ์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของมาสเตอร์
พวกมันไม่สามารถเทียบกับเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งกว่าได้
ทำได้เพียงเรียนรู้ที่จะเคารพยำเกรงแทนที่จะทำตัวละโมบโลภมาก
ผู้คนกว่าพันคนวิ่งผ่านป่ารกทึบ ทิ้งเสียงลมหายใจและเสียงเหยียบย่ำไว้บนผืนหญ้า
บรรยากาศของเหล่าคนแคระไม่ได้ดีนัก พวกเขาถูกโจมตีโดยออร์คขณะกำลังล่าถอยไปยังมุมหนึ่ง และนักรบคนแคระเกือบร้อยถูกฆ่าตาย
พวกเขากำลังไว้ทุกข์และระลึกถึงคนที่จากไป เพราะไม่สามารถฝังร่างกายของคนเหล่านั้นได้ ทำได้เพียงโศกเศร้าในความเงียบงัน
โอดอมเป็นเจ้าชายคนแคระที่มีสายเลือดระดับอีปิค อายุของเขาไม่น้อยนัก แต่เพราะว่าเขาได้กินเนื้อจากอสูรเวทย์และโพชั่นน้อยมาก เขาจึงมีเลเวลเพียง 43 เท่านั้น เขาไม่สามารถเผชิญหน้ากับนักรบออร์คชนชั้นสูงเลเวล 30 และผู้นำออร์คเลเวล 40 บางตนด้วยตัวคนเดียวได้
ไม่ว่าจะเป็น NPC, อสูรเวทย์หรือมังกร ก็เพิ่มความแข็งแกร่งโดยการกินและการฝึกฝนโดยไม่จำเป็นต้องมีอายุถึงจุดที่กำหนดเพื่อไปยังจุดสูงสุดของพลังการต่อสู้
ศักยภาพทางสายเลือดของ NPC จะจำกัดการเติบโตของพลังการต่อสู้และเวทมนตร์ที่ได้เรียนรู้โดยไม่มีข้อจำกัด
นั่นแหละคือสิ่งที่จะกล่าว
NPC ที่มีศักยภาพทางสายเลือดระดับสูงจะสามารถผ่านเลเวล 100 หรืออาจจะถึงเลเวล 200 เลยก็ได้ และค่าสถานะของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นไปพร้อมๆกับเลเวล
อย่างไรก็ตาม!
พลังการต่อสู้(เวทมนตร์)ที่ฝึกฝนโดย NPC จะสามารถขึ้นไปถึงขีดจำกัดสูงสุดได้
ถ้าค่าพลังต่อสู้, อานุภาพของพลังการต่อสู้, และคุณภาพของพลังต่อสู้ไม่เพิ่มขึ้นหลังจากถึงเลเวล 100 ในชีวิตนี้ก็ไม่อาจพัฒนาขึ้นต่อไปได้และ NPC จะสามารถใช้ได้แต่พลังต่อสู้ระดับสูงเท่านั้น
เพราะว่าขีดกำจัดทางสายเลือดก็เป็นขีดจำกัดของความสามารถติดตัวด้วย NPC จึงไม่สามาผ่านไประดับถัดไปได้
แต่ตราบใดที่เขายังไม่ตาย ยังไม่แก่และยังไม่อ่อนแอ ความแข็งแกร่งของเขา (การเพิ่มค่าสถานะ) จะสามารถเติบโตได้ต่อไป
สรุปแล้ว คุณภาพของพลังการต่อสู้นั้นแสดงถึงแรงค์ของคนๆหนึ่ง
แต่แรงค์ไม่ได้แสดงถึงเลเวลเพียงแค่อย่างเดียว
[เช่นนักรบวัยกลางคนระดับมาสเตอร์ ในแง่ค่าสถานะทางกายภาพ เขาต้องมีสูงกว่านักรบวัยเยาว์ระดับมาสเตอร์เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ถ้านักรบวัยกลางคนได้รับพรสวรรค์ขีดสูงสุดจากการเพิ่มคุณลักษณะทางกายภาพเพียงอย่างเดียว เขาก็ไม่สามารถไปยังนักรบระดับเอ็มเพอเรอร์ได้]
ความเร็วของการอพยพเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก
เมื่อวิลเลียมนำคนแคระ 1600 ตนกลับไปยังอาณาเขตได้แล้ว พลเมืองส่วนใหญ่ก็ออกมามองดูด้วยความประหลาดใจและเต็มไปด้วยความสงสัย
ท้ายที่สุดแล้ว เหล่าคนแคระก็ไม่ได้ชื่นชอบที่จะอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยป่าไม้
พวกเขาชอบที่ราบโล่งหรือภูเขาขรุขระ มันยากที่จะจินตนาการว่าพวกเขาได้ออกมาจากป่าแล้ว
ในเวลานี้ วิลเลียมเลือกที่จะตรงไปตรงมา “เมืองชายแดนนี้คืออาณาเขตของเรา ท่านจะอาศัยอยู่ชั่วคราว หรือว่าจะเลือกที่จะเข้าร่วมอาณาเขตของเราก็ได้!”
โอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์ยืนอยู่บนพื้นที่สูง มองไปยังเมืองที่มีประชากรเบาบาง จากนั้นก็มองไปยังคนในปกครองของเขาที่มีความคาดหวังในดวงตา ก่อนจะทำได้เพียงถอนหายใจ “ข้าจะนำคนเข้าร่วมเมืองนี้ ข้าหวังว่าการมาถึงของพวกเราจะไม่ก่อปัญหาให้กับท่านลอร์ด!”
วิลเลียมจับมือเขาอย่างสุภาพและกล่าวว่า “ถึงจะมีปัญหา แต่เราก็สามารถเผชิญกับมันได้ ไม่ใช่หรือ?”
จากนั้นเขาก็มองไปยังเมืองเล็กๆที่มีห้องว่างเพียงไม่กี่ห้อง ก่อนจะกล่าวด้วยความอับอายว่า “ที่นี่มีผู้อาศัยน้อยมาก ดังนั้น จึงมีบ้านต้นไม้จำนวนน้อยและบ้านไม่กี่หลังที่เหมาะสำหรับท่าน…”
“ข้าเข้าใจว่าบ้านของมนุษย์นั้นไม่เหมาะกับคนแคระ เราจะสร้างบ้านของพวกเราเอง!” โอดอมพยักหน้าและดึงมือกลับไป คนพเนจรเลือกอะไรมากไม่ได้แต่เขาก็ไม่ได้อยากขายร่างกายตนเองหรอกนะ
เขาเหนื่อย…
คนของเขาก็เหนื่อย…
พวกเขาวิ่งไปมายาวนานเหลือเกิน…
พวกเขาไม่กล้ามองหาพันธมิตรที่ทรงพลัง…
เช่นเมืองของเอลฟ์ตระกูลแบล็คลีฟ การดำรงอยู่ที่ทรงพลังที่สุดในป่าแบล็คลีฟ เขาไม่กล้าที่จะขอความช่วยเหลือ
เนื่องจากโอดอมรู้ว่าเอลฟ์จะไม่ช่วยให้เขากู้คืนแผ่นดิน แม้ว่าเอลฟ์จะไม่ส่งพวกเขาออกไป มันก็ไม่ได้รู้สึกดีนักที่ต้องพึ่งพาคนอื่นเพื่อมีชีวิต
เขาไม่กล้าที่จะติดต่อกับคนแคระอาณาจักรอื่นๆเช่นกัน
เพราะเขาไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้ทรยศเจ้าชายผู้ตกอับคนนี้เป็นรายต่อไป
ส่วนเจ้าชายเอลฟ์ที่อยู่ข้างหน้านั้นน่ะหรือ?
“เจ้าชายเอลฟ์ขนานแท้ที่ไหนจะมายังที่ที่ห่างไกลเพื่อสร้างอาณาเขตและครอบครองดินแดนของมนุษย์คนหนึ่งกัน?” โอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์ไม่ใช่คนโง่ เขาได้คิดเกี่ยวกับมันและรู้ว่าเพื่อนที่อยู่ข้างหน้าเขาอาจเป็นบุตรนอกสมรสของมนุษย์ระดับรีเจนดารี
สถานะของพวกเขาก็พอๆกัน
ซึ่งเป็นรากฐานที่ดีสำหรับการร่วมมือ
อย่างน้อย เขาก็วางแผนว่าจะอยู่ที่นี่ในระยะยาว หากท่านชายคนนี้ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่ไกลเกินไปนัก
โอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์เหนื่อยและสิ้นหวังจริงๆ เขาไม่มีความตั้งใจที่จะฟื้นฟูแคว้นของเขาหลังจากที่หนีมาหลายปี
เพราะเขารู้ว่ามันสิ้นหวังเพียงไรและเขาต้องการเพียงปกป้องคนของเขาเท่านั้น มันจะดีที่สุดหากเขาได้ลงหลักปักฐานในที่ซักแห่งหนึ่ง
การลงหลักปักฐานในที่ซักแห่งหนึ่งอย่างน้อยก็ไม่ทำให้ผู้ติดตามของเขาต้องละอายใจ
นามสกุลของเขามีประวัติศาสตร์ที่รุ่งโรจน์ตลอดทั้งสองยุคสมัย พวกเขาสามารถเอาชนะพวกบัลร็อกและยับยั้งการรุกรานจากพวกฝ่ายมืดได้ ดังนั้น เมื่อวิลเลียมถามเขาว่าสนใจที่จะเป็นรองเจ้าเมืองหรือไม่ เขาจึงประหลาดใจจนไปคว้ามือวิลเลียมมาจับ “จริงหรือ? ข้าสามารถเป็นรองเจ้าเมืองด้วยความสามารถของตนเองจริงๆน่ะหรือ?”
“แน่นอน เราศรัทธาในตัวท่าน!” วิลเลียมยิ้มและตบบ่าของโอดอมเบาๆ ทำให้ผมบลอนด์ของเขาเรียบลู่ลง
มันก็แค่ตำแหน่งรองเจ้าเมืองและวิลเลียมก็ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้มากนักเพราะว่าเขาก็ยังเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดอยู่ดี การให้ตำแหน่งรองเจ้าเมืองแก่โอดอมเป็นเพียงการปล่อยให้เขามีสิทธิ์มีเสียงในการพูดบ้างและเพิ่มความรู้สึกการเป็นเจ้าของดินแดนของเขา
ท้ายที่สุดแล้วรองเจ้าเมืองก็หมายความว่าเมืองแห่งนี้เป็นบ้านของเขาเช่นกัน เขาจะไม่สั่งให้คนแคระของเขาสร้างเมืองให้ดีหรอกเหรอ?
………………………..
“ท่านลอร์ดมีฝีมือจริงๆ เมื่อมองไปยังภาพลักษณ์ที่น่าหวาดกลัวของคนแคระเหล่านั้น ข้าไม่รู้เลยว่าพวกเขาถูกตามล่ามานานแค่ไหน หากมีดินแดนที่สามารถหยั่งรากลงได้ พวกเขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไว้เป็นแน่” ลอทเนอร์ชื่นชมวิลเลียม
มันเป็นเรื่องยากสำหรับลอร์ดธรรมดาสามัญคนหนึ่งที่จะแบ่งอำนาจของตนเอง
วิลเลียมนั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับเจ้าหมีสามในอ้อมแขน ส่วนหมีใหญ่กับหมีสองกำลังกอดอยู่ที่ขาของเขา เมื่อได้ยินคำสรรเสริญของลอทเนอร์ก็ส่ายศีรษะเบาๆ “นี่ไม่ใช่การแบ่งปันอำนาจ แต่เป็นการให้หน้าที่แก่คนที่เหมาะสมที่สุด”
ลอทเนอร์คิดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเข้าใจความหมายของวิลเลียมจึงพยักหน้า จากนั้นก็จับไปที่ช้างน้อยของเจ้าหมีสามโดยไม่สนใจกรงเล็บของมัน ก่อนจะออกไป
ในขณะเดียวกันนั้น
วิลเลียมที่ในที่สุดก็เพิ่งมีเวลาว่างก็เพิ่มเลเวลของตนไปยังเลเวล 15 และได้รับแต้มค่าสถานะ 6 แต้ม ค่าสถานะทุกค่าของเขาเพิ่มขึ้น 1 แต้ม รวมถึงค่าสเน่ห์จากคุณสมบัติที่ซ่อนอยู่
เขาเพิ่มค่าความว่องไวและค่าพละกำลังไปสามแต้ม
ส่วนค่าประสบการณ์ที่เหลือ ฉันจะใส่มันในกลโกงของพลังการต่อสู้และทักษะ วิลเลียมคิดและเริ่มอัพสกิลของเขา
ความแตกต่างระหว่างเลเวลส่วนบุคคลและทักษะพลังการต่อสู้คือ 10 เลเวล
ตอนนี้ เขาอยู่ที่เลเวล 15 วิธีการบ่มเพาะพลังการต่อสู้ของเขาถูกยกระดับขึ้น 5 เลเวล
แต่ทักษะพลังการต่อสู้ของเขาอยู่ที่เลเวล 2 หากต้องการเพิ่มเป็นเลเวล 6 เขาอาจจะต้องใช้ค่าประสบการณ์ทั้งหมด
หน้าต่างคุณสมบัติ
ในเวลานี้ วิลเลียมอยู่ที่เลเวล 15
หัวข้อ : ลอร์ดเมืองชายแดน (ไม่มีโบนัสค่าสถานะ)
เผ่าพันธุ์ : ครึ่งเอลฟ์
ศักยภาพทางสายเลือด : รีเจนดารี (เลเวล 15 ค่าสถานะพื้นฐาน +15%)
ความสามารถติดตัว : ดูดี (แฝง)
นอกจากคนในฝ่ายมืด คนอื่นๆ, บรรดาสรรพสัตว์และพฤกษา (ยกเว้นศัตรู) จะมีความประทับใจที่ดีต่อคุณ มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับเสน่ห์ความดึงดูดใจของคุณ ในตอนที่คุณทำการซื้อขายกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ คุณก็จะได้รับส่วนลด
ความสามารถติดตัว : ชีวิตระดับเริ่มต้น , ความแข็งแกร่ง(สเตมินา) 1 หน่วย = ค่าพลังชีวิต 20 หน่วย
ศักยภาพเลือด : รีเจนดารี (ค่าสถานะพื้นฐาน +15%)
เลเวล : 15
ค่าประสบการณ์ : (2333/15500)
อายุ : 16
พลังชีวิต : 1200 (+300+200)
ความแข็งแกร่ง : 780 (+100+200)
คุณสมบัติพื้นฐาน :
พลังกำลัง : 64 +8(+6)
ความแข็งแรงทางกายภาพ : 42 +8 (+10)
ความว่องไว : 69 +8 (+8)
ค่าสติปัญญา : 40 +5(+5)
คุณสมบัติพิเศษ :
เสน่ห์ : 58
ความโชคดี : 3
จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งรุ่งอรุณ
ระดับ : รีเจนดารี
เลเวล : Lv 5 (ค่าประการณ์ 0/1600)
พลังต่อสู้ : 550/550 หน่วย
อัตราการฟื้นฟู : 15 หน่วย/วินาที
คุณสมบัติพิเศษและทักษะที่เปิดใช้งานมีดังนี้ :
คุณสมบัติพิเศษ : ทักษะพลังการต่อสู้ใดๆ จะเพิ่มขึ้น 5%
คุณสมบัติพิเศษ : พลังโจมตี +8, ความแข็งแรงทางกายภาพ +8, ความว่องไว +8, สติปัญญา +5
คุณสมบัติพิเศษ : พลังชีวิต +450
คุณสมบัติพิเศษ : ความแข็งแกร่ง +200
โล่จิตวิญญาณ : ร่างกายสามารถสร้างโล่จิตวิญญาณให้เท่ากับค่าพลังต่อสู้ได้ ใช้ค่าพลัง 40 หน่วยต่อวินาที มีค่าป้องกันพื้นฐาน 150 หน่วย ถ้าพลังโจมตีเกินขีดจำกัดสูงสุดของการป้องกัน สามารถใช้ค่าพลังต่อสู้และทำลายโล่ได้
หลังจากโล่หายไป สามารถเปิดใช้งานได้อีกครั้งใน 5 วินาที
แสงแห่งรุ่งอรุณ : สามารถเพิ่มพลังต่อสู้ 50% และพลังโจมตี 210% ในบางทักษะ แต่จะใช้ระยะคูลดาวน์ 26 นาที
(ทุกๆ 5 เลเวลของการเพิ่มระดับ คุณสามารถเพิ่มค่าสถานะ, ทักษะพิเศษ, พลัง, ทักษะและอื่นๆ)
(ค่าสถานะที่มาพร้อมกับค่าพลังจะมีผลจากระดับสายเลือดเพิ่มเติม!)
……………………..
พรแห่งเทพเอลฟ์ (แฝง)
เลเวล : Lv 5
คุณสมบัติ : การโจมตีระยะไกลเพิ่มขึ้น 17% ไม่มีค่าพลังที่ใช้, ไม่มีคูลดาวน์
คุณสมบัติพิเศษ Lv 3 : เพิ่มความเสียหายจริง 100 หน่วย
………………………..
เฟเทล ช็อต
เลเวล : Lv 5
คุณสมบัติ : กินพลังการต่อสู้ 150 แต้ม และสามารถยิงธนูสามดอกติดต่อกันได้ ถ้าลูกธนูทุกดอกสามารถโจมตีศัตรูได้ ธนูดอกแรกจะสามารถทำความเสียหายได้ x150% ธนูดอกที่สองจะทำความเสียหายได้ x170% และธนูดอกที่สาม x190%
มีโอกาสทำให้อยู่ในสภาวะเลือดออก
คุณสมบัติพิเศษ Lv 3 : เมื่อลูกธนูทั้งสามดอกโจมตีถูกศีรษะ ธนูดอกที่สามจะสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อศัตรู(ติดคริติคอล) 150% (คูลดาวน์คุณสมบัติพิเศษ : 30 วินาที)
คูลดาวน์ : 10 วินาที
…………………..
แบทเทิล คัต
เลเวล : 5
คุณสมบัติ : กินพลังต่อสู้ 70 หน่วย สามารถแกว่งดาบไปข้างหน้า ถ้าโจมตีถูกศัตรู จะสามารถทำความเสียหายได้ x180% มีโอกาสทำให้อยู่ในสภาวะเลือดออก
คุณสมบัติพิเศษ Lv 3 : ดาบสามารถต้านทานและทำความเสียหายได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
คูลดาวน์ : 3 วินาที
คนว่างงานเกือบครึ่งเมืองถูกระดมพลไปทำการขยายเมืองเป็นเวลาเจ็ดถึงแปดวันแล้ว เพราะตราบใดก็ตามที่ได้รับเงิน ไม่ว่าจะเป็นการตัดต้นไม้ในภูเขาหรือสร้างถนนไปยังเหมืองเหล็กและเหมืองมิทริลก็ไม่เป็นปัญหาใดๆ
เหมืองมิทริลไม่ได้ถูกครอบครองโดยพวกออร์ค ดังนั้นวิลเลียมจึงต้องการที่จะขุดมัน ที่สุดแล้วมิทริลก็ไม่เคยมากพอสำหรับคนที่ต้องขยายถนนและซ่อมแซมบ้านเรือนอย่างเขา
การประสานงานการก่อสร้างทั้งหมดในเมือง เขาวางแผนพื้นที่หกพื้นที่สำหรับเป็นที่อยู่อาศัย
มนุษย์, ครึ่งเอลฟ์, เอลฟ์, คนแคระ, ค่ายทหาร, โรงตีเหล็ก และพื้นที่สำหรับการผลิตอื่นๆ
แน่นอนว่าสถานที่สำหรับกิจกรรมนันทนาการและสำหรับวัฒนธรรมก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
โรงอาบน้ำเองก็ต้องสร้าง พลเมืองหลายคนได้ออกความเห็นว่าในเมืองยังไม่มีโรงอาบน้ำสาธารณะ มีเพียงแค่แม่น้ำสายรุ้งเท่านั้น มันไม่ใช่เรื่องสำคัญว่าผู้ชายจะอาบน้ำกันที่ไหน พวกเขาอาจจะแค่หาที่ซักที่ที่ไม่มีคน, ถอดเสื้อผ้าออก, และก็เริ่มถูสบู่ได้…
มันเป็นปัญหามากสำหรับผู้หญิงที่จะต้องแบกน้ำกลับมาใช้ที่บ้าน
น้ำสำหรับการใช้ในแต่ละวันส่วนใหญ่นั้นมาจากแม่น้ำสายรุ้ง ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ดีหรือไม่สบายราวกับมีอะไรบางอย่างอยู่ในคอของพวกเขา!
สิ่งที่แย่กว่านั้นคือชายโสดมากมายรู้ว่าพวกเขาเคยทำเรื่องแย่ๆ อะไรเอาไว้บ้างที่แม่น้ำแห่งนั้น อย่างเช่น การใช้ปลา…
ในขณะเดียวกัน
วิลเลียมก็ต้องการที่จะสร้างน้ำพุกลางเมืองอันโอ่อ่าที่แม่น้ำสายรุ้ง ซึ่งการจะสร้างให้เสร็จนั้นต้องใช้ทั้งทักษะจากนักเวทย์และคนแคระร่วมกัน
เมืองชายแดนที่เจริญรุ่งเรืองยังทำให้พลเรือนในอาณาเขตรู้สึกโล่งใจอีกด้วย
มีเผ่าพันธุ์มากมายที่เข้ามาอยู่ร่วมกันในเมืองแห่งนี้และมันก็ไม่มีปัญหาอะไรในการสื่อสารกันของคนในเมือง ที่สุดแล้ว นี่ก็คือทวีปรีเจนดารี
แม้ว่าแต่ละเผ่าพันธุ์จะมีภาษาเป็นของตัวเอง แต่ก็เป็นภาษาที่ใช้สำหรับสื่อสารกันภายในเผ่าพันธุ์
ส่วนในการดำเนินชีวิตนั้นมีความไม่สะดวกใจบ้างไหมน่ะหรือ?
วิลเลียมได้พยายามอย่างสุดความสามารถของเขาในการแยกส่วนที่อยู่ของเผ่าพันธุ์ทั้งหลายแล้ว ถ้าหากมีความไม่สะดวกใจเกิดขึ้นจริงๆ พวกเขาก็สามารถพับแขนเสื้อและเริ่มสู้กันได้เลย ส่วนวิลเลียมก็จะเป็นกรรมการให้…
พรสวรรค์ในการสร้างของเหล่าคนแคระนั้นถือว่าดีเยี่ยม ถ้าไม่ทันได้สนใจเรื่องความสวยงาม อาคารทุกหลังที่พวกเขาสร้างขึ้นก็สร้างความรู้สึกปลอดภัยสู่ผู้คนอยู่แล้ว ความสามารถในการสร้างป้อมปราการของพวกเขานับได้ว่าเป็นที่หนึ่งในแผ่นดินของพระเจ้า
คนแคระนั้นเป็นที่สุดในการสร้างและมีความสามารถในการค้นคว้าวิจัยอุปกรณ์ใหม่ๆ แม้ว่าพวกเขาอาจจะเทียบกับก็อบลินไม่ได้ แต่พวกเขาก็นับได้ว่าเป็นระดับต้นๆ ทางด้านนี้
…
ดวงอาทิตย์ส่องแสงสว่างจ้า วันที่แสนสดใสถูกเติมเต็มด้วยเสียงของเหล่าแมลงและนกหลากสายพันธุ์
ไม่สำคัญว่าจะเป็นในตัวเมืองหรือในป่าที่หนาทึบ ไม่มีสิ่งใดที่สามารถสามารถนำความเย็นมาสู่ผู้คนได้
เพราะความชื้นในป่าก็ทำให้ผู้คนยิ่งรู้สึกร้อนและอบอ้าว ต้นไม้ที่ถูกตัดเพื่อสร้างถนนไม่ได้ถูกทิ้งขว้าง แต่พวกเขาขนมันกลับมาที่เมืองและใช้เป็นวัสดุสำหรับสร้างบ้านเรือน
โอดอมขนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งด้วยตัวคนเดียวและโยนมันลงไปที่พื้นทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทุกที่
เขาปาดหยดเหงื่อบนหน้าผากออก แล้วหยิบเหยือกน้ำขึ้นก่อนจะเทมันลงบนผมสีบลอนด์ของเขาที่แปล่งประกายใต้แสงแดด
นี่เป็นต้นไม้ต้นที่ 32 ที่เขาขนกลับมาแล้ว เขาต้องพูดอะไรบ้างแล้วล่ะ
ในเรื่องของการทำงานหนัก มืออาชีพนั้นจะได้เงินเยอะกว่าและมีความได้เปรียบมากกว่า
เขาสวมใส่เพียงเสื้อเชิร์ตลินินสีขาว เผยให้เห็นแผ่นอกและแผลเป็นบนกล้ามเนื้อของเขาอย่างเลือนลาง
ในขณะนี้เขากำลังของไปที่วิลเลียมผู้ซึ่งกำลังดื่มน้ำผลไม้อยู่ “การก่อสร้างของทั้งเมืองนี้มันกินเวลาเอามากๆ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะเสร็จเมื่อไหร่”
วิลเลียมจับหมีสองที่กำลังกัดกางเกงของเขาออก “นานแค่ไหน?”
“เมืองนี้มีประชาชน 4,300 คนและกองทหาร 800 นาย ซึ่งกองทหาร 300 นายนี้ไปประจำการตรวจตราและคอยควบคุมเหมืองทั้งสองแห่ง ตอนนี้มีคนเหลือแค่ 2,700 คนที่สามารถช่วยในการขยายเมืองได้”
“จากจำนวนคนในตอนนี้ แม้ว่าพวกเราจะก่อสร้างบ้านเรือนกันทั้งวันทั้งคืน มันก็ต้องใช้ถึงหกเดือนโดยประมาณสำหรับการที่จะสร้างป้อมปราการให้เสร็จ”
“นี่เป็นเพราะมีบุคลากรที่เป็นมืออาชีพอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าไม่อย่างนั้นเวลาการก่อสร้างก็จะถูกดึงออกไปมากกว่านี้อีก”
โอดอมจิบน้ำก่อนจะพูดต่อ “ข้ารู้ว่าท่านคิดอะไรอยู่ สร้างน้ำพุที่สมบูรณ์แบบพอหรืออาจจะระบบใต้ดินสักแห่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการขยายเมืองในอนาคต แต่ด้วยวิธีการสร้างแบบนี้ มันมีคนน้อยเกินไปและมันก็ใช้เวลานานมากจริงๆ”
วิลเลียมเตะหมีใหญ่ที่กำลังกัดรองเท้าของเขาออกเบาๆ แล้วพูด “ฉันจะหาวิธีซื้อทาสจากอาณาเขตปกครองหินดำเอง!”
“มีเหรียญทองเหลือเท่าไหร่ในเมืองนี้?” ปากของโอดอมกระตุกขึ้น การสร้างเมืองไม่ได้ถูกทำขึ้นฟรีๆ พวกเขาต้องจ่ายค่าแรงเช่นกัน
“มีแร่เหล็กอยู่ไม่ใช่หรอ? มีช่างเหล็กที่เชี่ยวชาญในการผลิตเหล็กอยู่ และมันก็มากพอที่จะขายได้มากกว่า 500 เหรียญทอง รวมกับมิทริล…” ตรงจุดนี้ วิลเลียมและโอดอมสลดใจลงไปเล็กน้อย
มิทริลที่ถูกขุดออกมาโดยเผ่าพันธุ์คนแคระเป็นเวลาหลายปีถูกเจียรเป็นปริมาณ 840 กิโลกรัม!
แนวคิดนี้คืออะไร?
นี่เป็นเงินจำนวนมหาศาล!
มิทริลนั้นเบาราวกับขนนกและแข็งแรงราวกับเกล็ดมังกร มันอาจจะฟังดูเกินจริงเล็กน้อย แต่ในแง่ของความแข็งแล้ว มันแข็งกว่าเหล็กหลายเท่า แต่มีน้ำหนักที่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของเหล็ก
ด้วยมิทริล 840 กิโลกรัมนี้และช่างตีเหล็กที่เชี่ยวชาญงานฝีมืออย่างดี ก็อาจจะสามารถสร้างอุปกรณ์ระดับซิลเวอร์ได้เป็นจำนวนถึง 3,360 ชิ้น
หรือมันอาจจะกลายเป็นวัสดุเวทมนต์ของนักเวทย์และสามารถนำไปใช้ได้อย่างหลากหลาย
พูดสั้นๆ ว่ามิทริล 500 กรัมสามารถนำไปแลกเปลี่ยนเป็นเหรียญทองได้อย่างน้อย 100 เหรียญ
ในภูมิภาคที่มีมิทริลน้อย มูลค่าของมันก็จะยิ่งสูงขึ้นตามนั้น สถานที่เล็กๆ อย่างเขตปกครองหินดำที่ไม่สามารถผลิตมิทริลได้เลยและต้องพึ่งการนำเข้าจากประเทศอื่นเท่านั้น ถ้ามีใครถามเรื่องราคาแล้วล่ะก็ มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่มิทริล 500 กรัมจะมีราคาราวๆ 150 เหรียญทองและก็มีคนที่พร้อมจะซื้อมันอีกด้วย
และแร่เหล็กโดยธรรมดาแล้วก็ไม่ใช่ของในท้องตลาดทั่วไป ชื่อ ‘อาณาเขตปกครองเหล็ก’ ก็บอกอยู่แล้วว่ามีเหมืองเหล็กมากมายในดินแดนและเหล็กมากมายต้องถูกโยนทิ้ง นี่เป็นเรื่องเศร้า…
ดังนั้น นี่ก็เป็นเหตุผลที่วิลเลียมเลือกที่จะค้าขายในเขตปกครองหินดำ
สถานการณ์ระหว่างสองอาณาเขตนี้ตึงเครียดเป็นอย่างมาก ราชาคนเก่าของเขตปกครองหินดำล้มป่วยจนต้องนอนติดเตียงและกำลังจะตายจากอาการบาดเจ็บก่อนหน้า ดูเหมือนว่าเขากำลังจะลงนรกไปในเร็วๆ นี้
สถานการณ์แบบนี้ยังทำให้เขตปกครองเหล็กมีความคิดชั่วร้ายอย่างการเตรียมทำสงครามอีกด้วย
ดังนั้น กุญแจสำคัญของสงครามอย่างทรัพยากรในการทำสงครามจะไม่ถูกขายให้เขตปกครองหินดำ แม้ว่ามันจะมีการซื้อขายส่วนตัว ปริมาณการขายก็น้อยมาก ดังนั้นเหมืองแร่เหล็กของเขาก็จะสามารถขายได้ในราคาที่ไม่เลวแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ไม่สำคัญว่าเจ้าชายจากอาณาเขตหินดำจะแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์กันอย่างไร หรือไม่ว่าพวกเขาจะรู้เรื่องแร่มิทริลอันล้ำค่าจากเมืองแห่งรุ่งอรุณหรือไม่ มันก็จะต้องดึงดูดความสนใจและความโลภของคนมากมายเป็นแน่
“ทำไมท่านไม่แกะสลักเครื่องหมายสักหน่อยล่ะ?”
“ฮะ?” วิลเลียมไม่เข้าใจ แต่หลังจากคำอธิบายของโอดอมเขาก็ค่อยๆ เข้าใจ
โอดอมมีเทคนิคเฉพาะตัว เขาสามารถประทับสัญลักษณ์ประเทศอื่นบนมิทริลได้ สกิลสุดยอดของเขาคือสัญลักษณ์จักรวรรดิของหุบเขาแห่งความเดียวดาย…
วิธีนี้มันจะทำให้ผู้คนคิดว่าพวกเขาได้รับแร่มิทริลมาจากที่อื่น ไม่ใช่จากการขุดเหมืองมิทริล
“แต่ถ้าพวกเราพิมพ์สัญลักษณ์ของประเทศอื่น ปริมาณของมิทริลที่จะนำไปขายก็มากเกินไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันจะทำให้เกิดความสงสัย!” ในตอนนี้วิลเลียมไม่มีความคิดดีๆ เลย
มันเป็นไปได้ที่จะขายมิทริลที่อื่น อย่างเช่นข้ามไปยังภูมิภาคอื่น ๆ
แต่เขาไม่มีทั้งเวลาหรือม้าบิน และไม่มีวงแหวนเทเลพอร์ตหรือประตูการเวลาในสถานที่ซอมซ่ออย่างที่นี่และพวกเขาก็อาจถูกปล้นระหว่างทาง
สถานที่ที่เขาอยู่ตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านสำหรับผู้เล่นเริ่มต้นและคนที่มีพลังมากที่สุดก็อยู่ที่ประมาณเลเวล 60 ถ้าเขาไปพบเจอคนๆนั้นเข้าจริงๆ เขาก็อาจจะสามารถต่อสู้และต้านทานได้สักระยะหนึ่ง ถ้าไม่อย่างนั้นวิลเลียมก็อาจจะทำการค้าขายอย่างลับๆ หรือไม่ก็ฆ่าคนๆนั้นไปซะ…
แต่ถ้าเขาออกจากหมู่บ้านสำหรับผู้เล่นเริ่มต้น แม้แต่ฝีมือและความพยายามอย่างหนักของลอทเนอร์ก็ไม่อาจปกป้องเขาได้
“ลอทเนอร์!”
“ลอทเนอร์!!!” การตะโกนอย่างกระทันหันและท่าทางอยู่ไม่สุขของวิลเลียมทำให้โอดอมถอยหลังออกไปหลายก้าว โอดอมคิดว่ามันมีความสัมพันธ์สกปรกระหว่างพวกเขาที่มากกว่าความสัมพันธ์อย่างมิตรภาพ
“ใครบอกว่าเราต้องทำธุรกิจกับมนุษย์? เราทำธุรกิจกับเอลฟ์ก็ได้นี่!” วิลเลียมเคาะหัวของเขา เขาเคยเป็นผู้เล่นมานานมากในชีวิตก่อน ซึ่งทำให้เขาติดการนิสัยการใช้ชีวิตแบบผู้เล่นคนหนึ่งมาตลอดและลืมความได้เปรียบจากตัวตนของเขาไป
แม้ว่าเมืองชายแดนจะห่างไกลจากเมืองแห่งรัตติกาล เขาก็รู้ว่ามันมีเมืองที่มั่งคั่งของเอลฟ์อยู่ไกลออกไปประมาณ 100 ไมล์ทางตะวันออกที่ซึ่งเอลฟ์แบล็คลีฟอาศัยอยู่
เขาสามารถขายมิทริลบางส่วนให้เหล่าเอลฟ์และใช้เหรียญทองสำหรับการซื้อวัสดุอื่นๆจากอาณาเขตของมนุษย์
มันอาจจะเรื่องมากไปสักหน่อย แต่ปัจจัยด้านความปลอดภัยก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ดูเหมือนคำว่า ‘ยากจน’ จะแทรกซึมเข้าไปทุกส่วนในชีวิตของวิลเลียม ณ ตอนนี้
แม้ว่าในชีวิตก่อนวิลเลียมจะเคยอาศัยอยู่ในเมืองชายแดนแห่งนี้ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าที่นี่มีเหมืองทองคำหรือไม่ เขาเคยเป็นผู้เล่น มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะให้ความสนใจกับเหมืองสักแห่งมากขึ้นเล็กน้อย แต่สำหรับเหมืองทองคำแล้ว?
อะไรคือประเด็นที่ให้ความสนใจกันล่ะ?
พวกเขาจะได้มีโอกาสในการฉกฉวยหรือไปยังเหมืองแห่งนั้นหรือไม่…?
อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่าจะมีเหมืองทองคำอยู่ เพราะคำกล่าวที่ว่าป่าแบล็คลีฟเป็นดินแดนเหมืองขนาดยักษ์นั้นไม่ใช่แค่คำพูดลอยๆ
ตราบใดที่พวกเขาสามารถหาเหมืองทองคำและควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขาก็จะสามารถหลอมทองเพื่อทำเป็นเหรียญทองของพวกเขาได้ และตราบใดที่เหรียญมีทองเป็นส่วนประกอบอย่างน้อย 90% มันก็จะสามารถใช้ได้ทั่วทั้งทวีปรีเจนดารี
เมืองชายแดนนั้นโชคดี เขายอมรับ
กำแพงธรรมชาติสูงแปดสิบเมตรเป็นกุญแจสำคัญในการหยุดยั้งการรุกรานจากอาณาจักรมนุษย์ หากพวกเขาต้องการขึ้นมาด้านบน ก็มีเพียงเส้นทางตรงหน้าผาที่สูงชันและเล็กแคบเท่านั้น ถ้ากองทัพขนาดเล็กปีนขึ้นมาที่นี่จะต้องมีผู้เสียชีวิตอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม แม้การขึ้นไปบนภูเขาจะเป็นอะไรที่ยาก แต่การลงก็ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายไปกว่ากันสักเท่าไหร่ ถ้าไม่ได้ใช้บันไดเชือกหรือเส้นทางที่มนุษย์สร้างขึ้น ก็เหลือทางเดียวคือพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วกระโดดลงไปเท่านั้น…
ท้ายที่สุดแล้ว แม่น้ำสายรุ้งเกิดขึ้นมาเป็นเวลาช้านาน
น้ำตกมีกระแสน้ำที่แรงและแอ่งน้ำด้านล่างนั้นลึกมาก แต่มันไม่กว้างมากพอที่จะมีก้อนหินวางเรียงรายอยู่ด้านข้าง
ถ้ามีความกล้ามากพอ
ด้วยการกระโดดลงไป ณ ที่แห่งนั้น จะทำให้พวกเขาลงจากภูเขาได้ง่ายดายมาก
การที่พวกเขาจะรอดหรือตายนั้นขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่พวกเขากระโดดด้วย แต่ไม่ว่าอย่างไร วิลเลียมนั้นก็เคยกระโดดลงไปมาสองสามครั้งแล้ว และ…เขาก็ไม่ได้เสียชีวิต!
อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นปัญหาของหน้าผาแห่งนี้เช่นกัน มันส่งผลให้เกิดการค้าขายน้อยมากระหว่างเมืองชายแดนและอาณาจักรมนุษย์ นอกเหนือจากการค้าขายอย่างเป็นทางการเดือนละครั้ง พวกเขาก็ได้แต่พึ่งพาวาณิชย์ที่เดินทางค้าขายเท่านั้น
แต่เหล่าวาณิชย์ที่เดินทางค้าขายมักจะเป็นคนเห็นแก่ตัวที่มองเพียงผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น พวกเขาไม่เพียงค้นหาผลประโยชน์จากอาณาจักรมนุษย์เท่านั้น แต่ยังไปในป่าด้วยเช่นกัน
จุดสำคัญคือพวกเขาไม่ได้เป็นเพียงพ่อค้า พวกเขารับบทเป็นตัวละครอื่นๆเป็นครั้งคราวและทำตัวเป็นโจรผู้ร้ายอีกด้วย
เคอรี่เป็นผู้นำกลุ่มวาณิชน์และเป็นนักรบเลเวล 41 เขาเพิ่งเข้าสู่ระดับกลาง นำกลุ่มคนมากกว่าสามสิบคนปีนไปบนทางที่แคบและสูงชัน และหลังจากที่สูญเสียม้าไป ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเมืองชายแดน
เคอรี่ผู้ขึ้นมาถึงบนหน้าผาจ้องไปที่ที่ราบตอนเหนือข้างหน้า เขาอารมณ์ดีมากจนอยากจะบรรยายออกมาเป็นบทกวี แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถพูดออกมาได้
“หัวหน้า ข้าได้ยินว่ามีเหล่าเอลฟ์มาที่เมืองชายแดน น่าจะมั่งคั่งน่าดู ท่านว่าไหม?” เมื่อเขาพูดจบ ชายผู้นั้นก็หัวเราะอย่างหยาบคาย
“เมื่อเจ้ารู้ว่าพวกเขาเป็นเอลฟ์ แล้วเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่บ้างล่ะ? แม้ว่าพวกนั้นจะไม่ใช่เอลฟ์ แต่เจ้าก็ควรได้ยินประสบการณ์เกี่ยวกับกลุ่มวาณิชย์กลุ่มอื่นที่มายังเมืองชายแดนมาก่อนบ้างสิ?” เคอรี่เม้มริมฝีปาก หลังจากชายที่ดูหยาบคายข้างๆเขาได้ยินก็ถอนหายใจ
พวกเขาอาจจะเป็นพ่อค้า แต่บางครั้งก็เป็นโจรเช่นกัน เมืองชายแดนเป็นที่ที่อาชญากรชั้นสูงมารวมตัวกัน
นอกเหนือจากชาวไร่ชาวนาบางคนและพลเมืองดีที่ไม่ค่อยก่ออาชญากรรม…ถูกแล้ว คนที่ไม่ค่อยกระทำความผิด เมื่อมายังเมืองชายแดนจะเรียกว่าพลเมืองที่ดี คนอื่นๆล้วนโหดร้ายป่าเถื่อนและมีความเป็นมืออาชีพกันทั้งนั้น
ย้อนกลับไปตอนที่มีวาณิชย์หลายกลุ่มเสี่ยงชีวิตมายังที่นี่เพื่อทำธุรกิจ ตอนนั้นไม่มีความวุ่ยวายอะไรเกิดขึ้นเนื่องจากมีผู้ปกครองเมืองที่มากความสามารถและมั่นคงที่สามารถหยุดความรุนแรงทั้งหลายได้
แต่ก็ไม่มากพอที่จะหยุดยั้งพลเมืองเหล่านั้นไม่ให้ปล้นพวกพ่อค้าหลังจากออกจากเมืองไปแล้วได้
สำหรับกลุ่มวาณิชย์ที่กล้าต่อต้านและไม่เต็มใจที่จะมอบสินค้าและเงินทองของพวกเขาให้ ตอนนี้วัชพืชรอบหลุมศพของพวกเขาคงจะสูงมากกว่าสามเมตรได้แล้ว
แน่นอนว่า
ทั้งหมดนี้เกิดเมื่อตอนเมืองเพิ่งถูกสร้างขึ้นและชาวไร่ชาวนาท้องถิ่นเคยถูกหลอกลวงโดยกลุ่มพ่อค้าวาณิชย์มาก่อน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ตอนนี้มีพ่อค้ามายังเมืองชายแดนน้อยลงเรื่อยๆ
เคอรรี่กล้ามาที่นี่เพราะเขาได้รับข้อมูลบางอย่างว่าเมืองชายแดนแห่งนี้มีเอลฟ์ผู้นำตนใหม่ และมีแม้แต่เอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์กลุ่มใหญ่ที่ติดตามเขามา
“เอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์ในป่าแบล็คลีฟได้เข้าปราบปรามเมือง สวัสดิภาพและความปลอดภัยได้ถูกยกระดับขึ้นเป็นอย่างมาก เป้าหมายหลักของเราในครั้งนี้คือการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขา ดังนั้นในการขายครั้งนี้จึงไม่สามารถเสนอราคาที่สูงเกินไปได้ หากเราสามารถทำข้อตกลงการค้าถาวรได้ เราจะต้องได้รับเงินก้อนโตอย่างแน่นอน”
“พวกเจ้าทุกคนตามข้ามา อย่ามองไปรอบๆและห้ามพูดคุยกันเด็ดขาด หากไม่อยู่ข้างหลังข้าไว้จะไม่มีใครปกป้องชีวิตของพวกเจ้าได้” เคอรี่กล่าวกับเหล่าพี่น้องที่อยู่ข้างหลังเขา ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าเมือง
วิลเลียมยืนบนต้นไม้มองกลุ่มวาณิชย์จากระยะไกล พวกเขาถูกพบตอนกำลังปีนภูเขาขึ้นมา จากนั้นวิลเลียมก็จัดการให้คนของเขาจับตาดูเส้นทางทุกเส้นที่สามารถขึ้นมายังภูเขาได้
“เราควรบอกให้โอดอมและคนแคระตนอื่นๆซ่อนตัวดีหรือไม่?” ลอทเนอร์ที่อยู่ข้างๆถามขึ้น
“เราคือเมืองฝ่ายกลาง ทำไมคนแคระถึงจะอยู่ที่นี่ไม่ได้?” วิลเลียมส่ายหัว หันไปทางน็อกซ์ก่อนจะกล่าวว่า “อย่าให้พวกเขาเข้ามายังส่วนด้านในของเมือง พาพวกเขามาพบฉัน!”
“ครับท่านลอร์ด!”
เคอรรี่มองไปยังกลุ่มนักรบเอลฟ์ที่มาหยุดยั้งพวกเขาและอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆ พวกนั้นได้แต่เบิกตากว้างเพราะไม่ค่อยได้เจอกับเอลฟ์ตัวเป็นๆเท่าใดนัก
นี่ไม่ได้พูดถึงอาวุธดีๆแต่ละประเภทที่เอลฟ์มี แต่กำลังมองถึงความอภิมหาโคตรจะหล่อของพวกเขา…
หล่อมากจริงๆ…
จนเขาอยากจะ…
แน่นอนว่านี้เป็นเพียงสิ่งที่พวกเขาคิดภายในหัวเท่านั้น
เคอรี่และกลุ่มคนของเขาไม่กล้าที่จะแสดงมันออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ดังนั้นจึงได้แต่แอบมองเหล่าเอลฟ์อย่างลับๆเท่านั้น
สิ่งที่เคอรี่ไม่กล้าดูถูกดูแคลนเผ่าเอลฟ์คือความสามารถ เพียงแค่ผู้พิทักษ์เอลฟ์ที่ชื่อน็อกซ์ตรงหน้า เขาก็รู้สึกว่าไม่มีโอกาสที่จะชนะได้อย่างแน่นอน
ส่วนเอลฟ์ที่หล่อเหลาและสุดคูลทั้งสิบที่เหลือนั้น สายตาของพวกเขาเปล่งประกายเฉิดฉายพอๆกัน และมีความมั่นใจอย่างแรงกล้าจากภายใน เคอรี่คิดว่าเหล่าเอลฟ์ตรงหน้าสามารถกวาดล้างกลุ่มวาณิชย์ของเขาได้เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ความกังวลใจของเขาหายไปเมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตรงหน้า
วิลเลียมสวมใส่ชุดคลุมสีม่วงเข้ม ผมยาวสีดำเงางามของเขาละอยู่บนไหล่พร้อมกับหูเรียวแหลมที่โผล่ออกมาจากกลุ่มผม ดวงตาของเขาสว่างไสวดุจดวงจันทร์และไม่ได้สวมใส่เครื่องประดับมากมายเท่าใดนักทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่าเขาเหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ นั่นทำให้พวกเขาชอบวิลเลียมมากขึ้น…
“สวัสดี เราคือลอร์ดแห่งเมืองชายแดน วิลเลียม แบล็คลีฟ!” วิลเลียมอุ้มลูกหมีไว้ในอ้อมแขนตัวหนึ่ง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาไม่ได้สุภาพมากเกินไปและไม่ได้สนใจมากเกินไปที่จะสร้างความประทับใจต่อวาณิชย์ธรรมดาๆเหล่านี้…
เคอรี่และพวกของเขาไม่กล้าลดท่าทางระมัดระวังลง เมื่อได้ยินวิลเลียมกล่าวทักทาย พวกเขาก็นำมือไปทาบที่หน้าอก ก่อนจะโน้มตัวลงไปข้างหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ยินดีที่ได้พบท่านลอร์ด ขอให้เกียรติยศของท่านยืนยาวนับนิรันด์!”
“ขอให้พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน!” วิลเลียมอมยิ้มเล็กน้อย
เคอรี่ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจกับคำตอบของวิลเลียมเท่าใดนัก เพราะว่าสมองของเขานั้นทำงานผิดพลาดตั้งแต่ได้ยินชื่อของวิลเลียมและเห็นบรรดาองครักษ์เอลฟ์ที่อยู่ใกล้ๆนั่นแล้ว
เขารีบเรียบเรียงประโยคก่อนจะกล่าวออกมาด้วยความเคารพ “ท่านลอร์ด ข้าชื่อเคอรี่ เป็นพ่อค้าวาณิชย์จากอาณาจักรลาวาดำ นามสกุลของข้านั้นด้อยค่าเกินกว่าจะกล่าวออกมาดังๆให้หูของท่านระคายเคือง”
“ข้าเดินทางมาที่นี่เพราะว่าต้องการทำการค้าขายกับเมืองชายแดน เช่นของจำพวกเกลือ, สิ่งทอ, ซอสและแม้แต่ของหายากบางอย่าง หากท่านประสงค์สิ่งใด ข้าก็จะเสาะหามาให้อย่างเต็มที่”
เมื่อคนอื่นๆในกลุ่มวาณิชย์ได้ยินผู้นำของพวกเขากล่าวเช่นนั้นก็ได้แต่มองไปยังหัวหน้าของพวกเขา ราวกับสับสนและสงสัยว่าเขานั้นพูดตรงไปหรือไม่
นี่เขาต้องเลียแข้งเลียขาถึงขนาดนี้เชียวหรอ?
เขาไม่รู้หรือว่าการทำเช่นนี้จะทำให้พวกเขาไม่เหลืออะไรเลย?
วิลเลียมยังคงนิ่งเงียบ เขาคอยสังเกตค่าความประทับใจของเคอรี่ที่มีต่อเขาอยู่และสับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ เพราะว่าเขายังไม่ได้ทำอะไรเลยแต่ค่าประทับใจของเคอรี่กลับขึ้นมาถึง 500 หน่วย เขาทำอะไรไปเนี่ย?
ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนว่ากำลังพบกับคนที่นิสัยไม่ดี…
อย่างไรก็ตาม วิลเลียมกำลังขบคิดเกี่ยวกับความสุภาพและความเคารพของเคอรี่
ดูเหมือนเขาจะเข้าใจว่าผู้ชายคนนี้อาจจะรู้มาจากที่ใดที่หนึ่งว่านามสกุลของเขานั้นหมายถึง…
เอลฟ์ตระกูลแบล็คลีฟมีนามสกุลที่แตกต่างกันออกไป
มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่จะสามารถใช้นามสกุลแบล็คลีฟที่ตั้งตามชื่อป่าแบล็คลีฟได้
อีกอย่าง นามสกุลก็เปลี่ยนหลังจากเอลฟ์แบล็คลีฟย้ายเข้ามาในป่าแล้ว
ย้อนไปก่อนหน้านี้ตอนที่ทวีปทั้งหลายยังไม่แยกตัวออกจากกัน นามสกุลของเหล่าเอลฟ์เชื้อพระวงศ์คือ ‘ดอว์น’ ซึ่งเป็นคำๆ เดียวกับพลังการต่อสู้แรกที่วิลเลียมฝึกฝน
ทำไมราชาแห่งเอลฟ์ถึงเลือกที่จะเปลี่ยนนามสกุลของเขานั้น มันมีข่าวลือมากมาย…
บ้างก็ว่ามันเกี่ยวข้องกับความลับบางอย่างในป่าแบล็คลีฟ บ้างก็คิดถึงขั้นที่ว่าป่าแบล็คลีฟนั้นครอบครองต้นอ่อนของต้นไม้แห่งชีวิตเอาไว้…
อย่างไรก็ตาม ถ้าถามเอลฟ์แบล็คลีฟพวกเขาก็จะตอบว่าราชาแห่งเอลฟ์ต้องการให้ผู้สืบสายเลือดจดจำความน่าอับอายจากการต้องย้ายออกจากทวีปและจดจำว่าตอนนี้พวกเขาจะอยู่ได้แค่ในป่าเท่านั้น เพื่อจดจำความอัปยศอดสูที่ไม่สามารถปรากฏบนทวีปได้อีก
ไม่ว่าพวกเขาจะเคยคิดถึงการกลับมาปกครองทวีปอีกครั้งหรือไม่ ต่างคนก็ต่างมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไป
แต่ไม่ว่าอย่างไร มนุษย์ก็ไม่อาจกล้าที่จะโจมตีผืนป่าที่มีเอลฟ์อาศัยอยู่ นอกจากการต่อสู้กันเองของมนุษย์เพื่อแย่งอาณาเขต พวกออร์คและพวกปีศาจก็นำปัญหามาให้พวกเขาเช่นกัน
ในทางกลับกัน ภายใต้กฎของราชวงศ์ ตอนนี้เอลฟ์แบล็คลีฟก็แทบจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้ามนุษย์อีกแล้ว นามสกุลของเอลฟ์ราชวงศ์เป็นแค่ตำนานสำหรับใครหลายๆ คนเพราะมีน้อยคนนักที่รู้เกี่ยวกับมัน
สำหรับข้อเท็จจริงที่ว่าเอลฟ์อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทนั้น มันก็ได้กลายเป็นเรื่องเล่าขานเรื่องหนึ่งไปแล้ว
มีราชอาณาจักรเอลฟ์อยู่สามแห่งบนทวีปรีเจนดารีแห่งนี้
ที่ป่าแบล็คลีฟทางตอนใต้ของทวีปเป็นเอลฟ์แบล็คลีฟ
ที่เกาะกลางของทวีป เอลฟ์มูนไลท์อาศัยอยู่ในป่าแสงจันทร์
ที่ป่าน้ำแข็งทางตอนเหนือของทวีปเป็นเอลฟ์สโนว์
มีราชอาณาจักรสามแห่ง, เอลฟ์ราชวงศ์สามตระกูล และแต่ละราชอาณาจักรมีเอลฟ์หลายล้านตนอาศัยอยู่
เอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์เหล่านี้เป็นเพียงเอลฟ์ที่เหลืออยู่บนทวีปรีเจนดารี มันเทียบกับอาณาจักรมนุษย์และจักรวรรดิทั้งหลายที่มีจำนวนประชากรเป็นร้อยเป็นพันล้านไม่ได้เลย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เหล่าเอลฟ์ยังคงอยู่อย่างเร้นลับ
การที่เคอรี่รู้จักนามสกุลของราชวงศ์เอลฟ์ก็หมายความว่าเขาเคยติดต่อกับเอลฟ์มาก่อนและรู้ถึงความลับบางอย่างของพวกเขา
สิ่งที่เขาคิดเป็นเช่นนี้
วิลเลียมยิ้มน้อยๆ และปล่อยให้เคอรี่เดินข้างๆเขาก่อนจะพูดตรงๆว่า “ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง เราอยากรู้ว่าเจ้ามีความสามารถในการหาซื้อข้าทาสหรือไม่?”
“ทาส?” เคอรี่เบิกตากว้าง ไม่สามารถหยุดตนเองจากการจ้องมองวิลเลียมได้เพียงนิด เขาไม่เคยรู้เลยว่าเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์สนใจที่จะซื้อทาสด้วยเช่นกัน
นั่นเป็นเพราะพวกเอลฟ์นั้นรักความเป็นอิสระที่สุด พวกเขาไม่ค่อยจำกัดเสรีภาพของเผ่าพันธุ์อื่นเท่าใดนักและไม่เคยซื้อทาสมาก่อน
วิลเลียมยักไหล่ของเขาเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาเจือด้วยความโศกเศร้า “ที่เราจะซื้อทาสเพียงเพราะต้องการให้พวกเขากลับไปเป็นชาวไร่ชาวนาอีกครั้ง เราอยากพัฒนาอาณาเขตแห่งนี้ ดังนั้นเราจึงต้องการกำลังคน”
“หากเจ้าช่วยซื้อทาสมาให้เราได้ เราจะให้พวกเขาเป็นเกษตรกรในทันที เราเพียงต้องการให้พวกเขาสร้างอาณาเขตเท่านั้น หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้สนใจว่าพวกเขาจะอยู่หรือไป”
เคอรี่เข้าใจสถานการณ์ในทันทีและพยักหน้าอย่างเร่งรีบ “ท่านช่างมีจิตใจที่เมตตา ขอให้พระเจ้าสถิตอยู่กับท่านเสมอ”
ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็กล่าวอย่างมั่นใจว่า “ข้าสามารถหาทาสได้อย่างแน่นอน ไม่ทราบว่าท่านต้องการทาสแบบไหนหรือ?”
เขาสร้างความประทับใจว่าเขาสามารถหาซื้อทาสได้ทุกประเภทตามที่วิลเลียมต้องการได้
ด้วยเหตุนี้วิลเลียมจึงมั่นใจว่ากลุ่มวาณิชย์เหล่านี้ที่ตระเวนไปทั่วทวีปรีเจนดารีนั้นมีฝีมืออยู่บ้าง บางที บางคนในนั้นอาจเป็นชนชั้นสูงก็ได้
ท้ายที่สุดแล้วนี่ก็เป็นวิธีฝึกฝนรูปแบบหนึ่ง มีขุนนางหลายคนที่ไม่ต้องการส่งลูกหลานของพวกเขาไปเป็นทหารรับจ้างหรือเสี่ยงชีวิตด้วยการเข้าร่วมกลุ่มนักผจญภัย ดังนั้นพวกเขาจึงโยนเหล่าลูกหลานเข้าสู่กลุ่มวาณิชย์ ผู้ที่สามารถมีชีวิตอยู่รอดกลับมายังครอบครัวเมื่อผ่านไปแล้วหลายปีได้ล้วนเป็นผู้ที่มีความสามารถ…
……….
แน่นอนว่าคนที่ถูกโยนออกไปมักไม่ใช่สมาชิกหลักของครอบครัว แต่เป็นคนที่ถูกครอบครัวดูหมิ่น
การพบกับเคอรี่ ผู้ที่อาจเป็นหนึ่งในชนชั้นสูงและรู้ถึงตัวตนของเขานั้น วิลเลียมไม่คิดที่จะลำพองใจเพื่อขู่ให้เขากลัว “ผู้ที่มีความสามารถ!”
“…” เคอรี่คิดอยู่สองวิก่อนจะตอบกลับ “ได้ครับ ท่านต้องการเป็นจำนวนเท่าไหร่?”
วิลเลียมคิดอีกสองวิ “พวกเขาอยู่ในระดับใด?”
มันชัดเจนมาก
วิลเลียมยังคงอยากที่จะแสดงต่อไป
“มันขึ้นอยู่กับอายุ, เผ่าพันธุ์, เพศ และอาชีพ อย่างไรก็ตามพวกเขาส่วนใหญ่เป็นหนุ่มสาวมืออาชีพที่เพิ่งเข้าสู่ระดับเริ่มต้น…”
“แน่นอนว่ามันไม่มีเอลฟ์หรือครึ่งเอลฟ์อยู่ สำหรับเผ่าพันธุ์ที่สง่างามและแข็งแกร่งอย่างเอลฟ์ พวกเขาจะไม่ไปเป็นทาสอย่างแน่นอน พวกเขาเกิดมาเพื่อเป็นชนชั้นสูง”
เคอรี่เป็นคนที่มีประสบการณ์อย่างมากกับเรื่องนี้ตั้งแต่ที่เขาทำการค้ามนุษย์มาหลายต่อหลายครั้ง สำหรับคำอธิบายช่วงหลังของเขานั้น วิลเลียมขี้เกียจเกินกว่าจะตั้งใจฟัง
เคอรี่ไม่มีทาสที่เป็นเอลฟ์จริงๆ น่ะหรอ?
เขาไม่มีจริงๆ…
ที่สุดแล้ว เขาก็มาจากประเทศเล็กๆ แห่งหนึ่ง วาณิชค้าทาสในประเทศนั้นไม่อาจกล้าพอที่จะจับเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์ ถ้าไม่อย่างนั้น เมื่อเรื่องไปถึงหูเหล่าเอลฟ์แบล็คลีฟเมื่อไหร่ มันก็จะไม่ง่ายๆอย่างการแก้แค้นแน่นอน
พวกเขาจะล้างบางประเทศแห่งนั้นออกไปทันที!
เพราะเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์นั้นอยู่อย่างซ่อนเร้นในป่ามาเป็นเวลายาวนานมากแล้ว พวกมนุษย์คิดเองเออเองไปว่าเหล่าเอลฟ์อ่อนแอลง ดังนั้นพวกเขาจึงอยากที่จะรังแกเหล่าเอลฟ์
นั่นเป็นเหตุผลที่เอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์หายตัวไปอย่างกระทันหัน พวกเขาถูกจับตัวไปโดยพวกคนค้ามนุษย์และถูกขายให้กับเหล่าขุนนางชนชั้นสูง ในกลุ่มเหล่านี้เอลฟ์สาวนั้นน่าสงสารเป็นที่สุด…
มันไม่ใช่ว่าราชวงศ์เอลฟ์จากป่าแบล็คลีฟจะไม่แก้แค้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แน่นอนที่สุดว่าพวกเขาเลือกที่จะคิดบัญชีอย่างสาสม และเป็นบ่อยครั้งที่เหล่าขุนนางพวกนั้นจะตายอย่างศพไม่สวย
อย่างไรก็ตาม คำเตือนประเภทนี้ไม่มีผลอะไรกับเหล่าขุนนาง มันจะมีพวกชนชั้นสูงที่สั่งการคนให้ไปทำการซื้อขายอมนุษย์อย่างลับๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่เป็นประจำ
ด้วยเหตุนี้แล้วเอลฟ์เป็นหมื่นจึงถูกทรมานอย่างเหี้ยมโหด และเอลฟ์จากป่าแบล็คลีฟจึงไม่อาจทนรับได้อีกต่อไปและระเบิดออกมาในที่สุด
เอลฟ์ระดับรีเจนดารีสิบสามตนทำการล้างบางเจ็ดประเทศของมนุษย์, สามราชอาณาจักรมนุษย์ และอีกหนึ่งจักรวรรดิมนุษย์ภายในเวลาสามวัน
ในวันนั้น จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นหลักล้าน
มันยังเป็นเพราะวันนั้นที่ทำให้แทบไม่มีใครที่อาจกล้าไปหาเรื่องที่ป่าแบล็คลีฟอีกครั้ง…
แล้วฝั่งมนุษย์ได้เอาคืนรึเปล่านั้น?
น้อยคนมากๆ ที่รู้…
เอลฟ์ระดับรีเจนดารีเหล่านั้นหกตนได้เสียชีวิตตามกันไป พวกเขาถูกฝังไว้ใต้ต้นไม้ดำในเมืองดาร์คไนท์ หลุมศพของพวกเขาถูกปกคลุมไปด้วยดอกไม้ ความสำเร็จจากการกระทำที่กล้าหาญของพวกเขาถูกขับร้องและยกย่องโดยเหล่าเอลฟ์… มีชีวิตตราบนานเท่าที่โลกนี้ยังคงอยู่
เรื่องพรรค์นี้ไม่ใช้ทั้งการเรียกร้องความยุติธรรมหรือความเมตตา นี่คือสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์
สำหรับเอลฟ์แบล็คลีฟ การกระทำของเหล่าเอลฟ์ทั้งสิบสามตนนี้คือความกล้าหาญอย่างวีรบุรุษ
แต่สำหรับมนุษย์ที่ตายไปอย่างบริสุทธิ์ พวกเขาเป็นปีศาจร้าย
วิลเลียมดูเหมือนจะจำอะไรได้และเคอรี่ที่กำลังกลืนน้ำลายของเขาลงคอไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียว เขาอยากจะตบหน้าตัวเองตอนนี้แรงๆ ด้วยโกรธตัวเองที่พูดเรื่องโง่ๆ ออกไป
เพราะเขารู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อันดำมืดที่บ้าคลั่งและรุนแรง
สำหรับลูกครึ่งเอลฟ์ที่เป็นทาส?
แน่นอนว่ามันมีเอลฟ์ลูกครึ่งผู้โชคร้ายที่ถูกจับตัวไปเป็นทาส
วิลเลียมถอนหายใจหนักๆ “เราต้องการนักรบ 500 คนที่มีอายุน้อยกว่า 25 ปี”
“มืออาชีพในการผลิต: ช่างเหล็ก, ช่างตัดเสื้อ, ช่างเจียระไน, วิศวกร และสถาปนิกอย่างละ 100 คน”
“เราต้องการทาสทั้งผู้ชายและผู้หญิงไม่ต้องมีฝีมืออายุตั้งแต่ 15 ถึง 20 ปีทั้งหมด 3,000 คน!”
“โดยปกติแล้วนักรบนั้นมีราคาคนละ 50 เหรียญทอง แต่เมื่อท่านใจป้ำถึงเพียงนี้ พวกเขาจะมีราคาคนละ 30 เหรียญทองแทน”
“สำหรับช่างฝีมือทั้ง 500 คน แต่ละคนราคาต่างกัน แต่ข้าพร้อมจะให้ราคาที่คนละ 20 เหรียญทอง”
“ส่วนทาสธรรมดา 3,000 คน เพราะพวกเขายังมีอายุน้อยมาก ราคาต่ำสุดจะเหลือเพียงคนละ 5 เหรียญทองเท่านั้น”
“รวมทั้งหมด 40,000 เหรียญทอง ถ้าท่านต้องการพวกเขาจริงๆ ท่านจ่ายข้าเพียง 38,000 เหรียญทองก็ได้ นี่คือราคาที่ต่ำที่สุดที่ข้าสามารถให้ได้!”
เคอรี่ค่อนข้างมีประสบการณ์กับการซื้อขายทาส ในจังหวะที่วิลเลียมพูดจบ เขาก็คิดราคาทุกอย่างจบพอดี เขาเชี่ยวชาญเรื่องนี้มากขนาดที่ทำให้หัวใจของวิลเลียมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดแทนเหล่าทาสพวกนี้…
ท่านลอร์ดยกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น เคอรี่ไม่ได้อธิบายมากนัก แต่นี่เป็นราคาต่ำสุดจริงๆ ถ้าเขาจะกดราคาให้ต่ำกว่านี้ เคอรี่ต้องขาดทุนเป็นแน่…
สำหรับนักเวทย์น่ะหรอ?
พวกเขาทั้งคู่มีไหวพริบพอที่จะไม่พูดถึงนักเวทย์ ถ้าพวกเขาพูดถึงมัน มันจะไม่เป็นการซื้อขายทาสอีกต่อไป จะกลายเป็นว่าพวกเขากำลังซื้อขาย ‘พ่อแม่’ อยู่ (พ่อแม่ในที่นี้หมายถึงนักเวทย์ เพราะนักเวทย์นั้นสำคัญและทรงพลังมากๆ เหมือนกับพ่อแม่คนนึง)
อย่างไรก็ตาม วิลเลียมไม่ได้พูดอะไรมาก ทำเพียงแค่ตบไหล่ของเคอรี่ “ถ้าเจ้านำเหล่าทาสมาให้ข้าได้ภายในเจ็ดวัน เจ้าสามารถนำกล่องเหรียญทองทั้งหลายกลับไปได้เลย”
แม้ว่าเคอรี่จะไม่ได้รายรับเท่าที่เขาต้องการ แต่เขาก็จ้องไปที่ดวงตาของวิลเลียมและโค้งให้ ก่อนจะพูด “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับท่าน ฝ่าบาท”
เมื่อได้ยินคำเรียก วิลเลียมไม่อธิบายอะไร เขาเผยยิ้มบางๆ ก่อนที่เขาจะหันหลังและเดินจากไป
เคอรี่สังเกตทุกอย่าง
หินหนักๆ ในอกของเขาในที่สุดก็กลับเข้าที่ของมัน เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ เขาเดิมพันถูกต้อง ผู้ชายคนตรงหน้าเขาเป็นเจ้าชายเอลฟ์คนหนึ่งอย่างแน่นอน!
ดังนั้น ปัญหาเรื่องเงิน…
มันจะยังเป็นปัญหาอยู่อีกรึไง?
“เงิน… เป็นปัญหาใหญ่เลยล่ะ” วิลเลียมกอดอก ตาของเขาพร่ามัวไปหมด
“ปัญหาหลักของเราตอนนี้คือเงิน พวกเขาออกไปหรือยัง?” วิลเลียมปรบมือก่อนจะถามน็อกซ์
น็อกซ์โบกขวานของเขาไปรอบๆและพยักหน้า “กลุ่มวาณิชย์เหล่านั้นได้ออกไปแล้วครับ พวกเขายังทิ้งสินค้าที่นำมาทั้งหมดเพื่อมอบให้กับท่านลอร์ดอีกด้วย”
“เขาเป็นคนฉลาด เราควรรักษาเขาไว้” วิลเลียมอมยิ้ม โบกมือให้น็อกซ์นำของฟรีทั้งหมดไปเก็บในห้องนิรภัยที่สร้างขึ้นใหม่
“ท่านขอทาสมากมาย แต่เราไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น หรือเราควรจะเป็นคนที่ไร้ความปราณี?” ลอทเนอร์วาดเส้นผ่านลำคอของเขา
วิลเลียมสังเกตการกระทำที่คุ้นเคยก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ “เมื่อทำธุรกิจเราต้องมองการณ์ไกล เรามีมิทริลจำนวนมากที่สามารถขายออกไปได้ พรุ่งนี้ตามฉันไปขายมิทริลบางส่วนที่เมืองบลูมูนที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบบลูมูน”
“ทะเลสาบบลูมูนไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าใดนัก…” ลอทเนอร์กลืนน้ำลาย
วิลเลียมสับสนเล็กน้อยและส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความงงงวยออกไป…
สำหรับเขา ทะเลสาบบลูมูนเป็นสถานที่ที่คุ้นเคยมาก ในชีวิตก่อนเขาไปที่นั่นบ่อยครั้งและไม่ค่อยเห็นปัญหามากเท่าใดนัก ตราบใดที่เป็นคนที่ดูดี พวกเขาจะสามารถได้รับส่วนลดเมื่อพวกเขาแลกเปลี่ยนกับเอลฟ์
และในชีวิตก่อนหน้านี้เขาก็หล่อเหลามาก ความดูดีของเขามีคุณสมบัติเหมาะสมมากพอที่จะเป็นเทพบุตรได้เลยด้วยซ้ำ ดังนั้น เขาจึงเป็นชายหนุ่มผู้งดงามที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
แต่มันก็น่าเสียดายที่เขาไม่ได้เป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่มีปีก เหล่าเทวดานางฟ้าทั้งหลายจึงไม่ได้มีโอกาสชื่นชมใบหน้าที่งดงามของเขาอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม คำอธิบายต่อไปของลอทเนอร์ก็ทำให้มุมปากของวิลเลียมกระตุกและรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย…
ทะเลสาบบลูมูนในป่าแบล็คลีฟไม่ได้ไกลจากที่นี่มากนัก มันมีพื้นที่มากกว่าหนึ่งร้อยตารางกิโลเมตรเล็กน้อยและเป็นเมืองเอลฟ์ที่มีประชากรราวๆสี่หมื่นคน เมืองทั้งเมืองถูกสร้างด้วยไม้ที่เปลี่ยนรูปอย่างน่าอัศจรรย์ ทะเลสาบบลูมูนไม่ใช่เพียงแค่ทะเลสาบธรรมดาๆ แต่มันยังเป็นทะเลสาบที่มีหลากหลายสีที่บางส่วนจะสูงบางส่วนจะต่ำ ทั้งหมดเรียงซ้อนกันอย่างประณีตและค่อยๆก่อตัวเป็นรูปพระจันทร์ทรงกลม
ในทุกๆคืนหากคุณยืนอยู่ด้านบนและมองลงไปยังทะเลสาบ มันจะดูเหมือนว่ามีดวงจันทร์กลมๆฝังอยู่ในพื้นดิน แต่ไม่เพียงเท่านั้น ทะเลสาบบลูมูนแห่งนี้จะสวยงามพร่างพราวยิ่งขึ้นราวกับสวรรค์บนดิน เมื่อมีหมอกจางๆที่เกิดจากอุณหภูมิของน้ำในทะเลสาบสูงขึ้นเล็กน้อย
นอกจากหมู่บ้านของเอลฟ์แบล็คลีฟแล้ว เมืองบลูมูนยังมีเอลฟ์มูนไลท์อาศัยกว่าเจ็ดพันตน
การที่เอลฟ์มูนไลท์อยู่ที่นี่เป็นเพราะที่นี่มีเจ้าหญิงน้อยของเอลฟ์มูนไลท์อยู่ เธอมีองครักษ์อยู่สามพันตนในขณะที่คนอื่นๆที่เหลือนั้นมีบทบาทและภารกิจที่แตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์หลักของพวกเขาก็ยังเป็นการติดตามเจ้าหญิงน้อยผู้นั้นอยู่ดี…
ถ้าว่ากันตามราชวงศ์เอลฟ์แบล็คลีฟแล้ว กรรมสิทธิ์ของเมืองบลูมูนเป็นของเจ้าหญิงเอลฟ์มูนไลท์น้อยเพียงชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่บังเอิญที่สุดคือ…
วิลเลียมเคยมีเรื่องกับเจ้าหญิงน้อยองค์นี้…
หากคุณคิดว่านี่อาจเป็นเรื่องการปฏิเสธพิธีหมั้นที่คร่ำครึแล้วล่ะก็?
ขอบอกเลยว่า ไม่ใช่!
ในฐานะครึ่งเอลฟ์เขาไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธใคร
เมื่อตอนที่วิลเลียมยังเด็ก เขาไล่ตะเพิดเหตุการณ์พิเศษเหตุการณ์หนึ่งที่เจ้าหญิงน้อยอาจจะไม่ได้พบเจอเลยอีกครั้ง…
ยูนิคอร์น!
ยูนิคอร์นคืออะไร?
มันไม่ใช่แค่ม้าสีขาวที่มีเขา
มันยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีปีกอันงดงาม มีเขาบนศีรษะ สามารถก้าวเดินบนสายรุ้ง และมันยังสามารถกำจัดอสูรเวทย์ที่แข็งแกร่งมากได้อีกด้วย ความงดงามของมันเทียบเท่าได้กระทั่งมังกรยักษ์!
เมื่อก่อนตอนที่วิลเลียมยังเด็กก็เคยมาเล่นที่ทะเลสาบบลูมูน…
เขาบังเอิญเห็นม้าตัวเล็กที่มีปีกเข้ามาหาเจ้าหญิงอย่างช้าๆ…
โดยปกติแล้ว การที่ถูกยูนิคอร์นลึกลับเข้าหาไม่ว่าจะเป็นมนุษย์, เอลฟ์ หรือผู้โชคดีและร่ำรวยที่สุดก็จะเทียบได้กับการได้รับพรจากเทพีแห่งโชคชะตา…
แต่วิลเลียมที่ยังเด็กกลับวิ่งเข้าหาและต้องการที่จะสัมผัสม้าตัวเล็ก
จึงทำให้ยูนิคอร์นกระพือปีกและบินหนีไป
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าหญิงเอลฟ์มูนไลท์เกือบฆ่าเขาด้วยองครักษ์ทั้ง 3000 ตนของเธอ…
“เดี๋ยวนะ หากเธอเป็นเจ้าหญิงเอลฟ์มูนไลท์ แล้วทำไมถึงมาอยู่ในป่าแบล็คลีฟ?” วิลเลียม แบล็คลีฟเลิกคิ้ว
เมื่อเห็นว่าเขาพลาดประเด็นหลัก ลอทเนอร์ที่รู้ว่าเขาสูญเสียความทรงจำไปจึงไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้มากเท่าใดนัก
ลอทเนอร์ตอบเพียงแค่ว่า “ราชวงศ์เอลฟ์แบล็คลีฟมีการเดี่ยวดองด้วยการแต่งงานกับราชวงศ์เอลฟ์มูนไลท์ เจ้าหญิงน้อยองค์นี้เป็นตัวแทนของคนรุ่นนี้”
“แน่นอนว่าการเกี่ยวดองด้วยการแต่งงานของราชวงศ์เอลฟ์ไม่ได้เคร่งครัดเมื่อเทียบกับการแต่งงานเกี่ยวดองระหว่างราชวงศ์ของมนุษย์”
“เราจะไม่บังคับให้เกิดการแต่งงานใดๆหากการแต่งงานนั้นๆปราศจากความรัก เพราะไม่อย่างนั้นอาจเป็นการผลักคนทั้งสองเข้าสู่หลุมศพที่ทำให้หายใจไม่ออก”
“นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าหญิงน้อยองค์นี้ยังคงอยู่ที่นี่เพื่อรอเนื้อคู่ของเธอ เพราะว่าเผ่าพันธุ์ของเรามีอายุที่ยืนยาว…”
“เธอน่าเกลียดใช่ไหม? ทำไมเราต้องพูดอะไรให้มากความขนาดนี้?” วิลเลียมเยาะเย้ย ความดูหมิ่นปรากฏขึ้นในสายตาของเขา มันก็แค่ยูนิคอร์นใช่มั้ยล่ะ? ทำไมเธอถึงต้องเกลียดเขาไปตลอดชีวิตด้วยล่ะ? เขาคือผู้ที่จะขี่มังกรในอนาคตเลยนะ!
“ไม่ใช่!” เป็นครั้งแรกที่ลอทเนอร์ปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว ก่อนที่เขาจะจำได้ว่า “เจ้าหญิงน้อยนั้นงดงามราวกับเทพธิดา เธอเทียบได้กับแม่ของท่าน เธอมีผู้คนมากมายและมีเจ้าชายหลายคนที่ต้องการจะจีบเธอ”
“ไม่ว่าจะเป็นการเล่นดนตรีใต้แสงจันทร์ ขับขานบทกวี หรือแสดงทักษะดาบและธนู…”
“ก็ไม่สามารถคว้าหัวใจของเธอได้”
“แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับแม่ของท่านแล้ว เจ้าหญิงน้อยยังคงขาดออร่าอยู่”
“โอ้…” วิลเลียมพยักหน้าด้วยความเข้าใจ เขาไม่สนใจผู้ดูแลเมืองที่คลั่งไคล้อยากจะเป็นพ่อเลี้ยงของเขา เพราะว่าเขารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
แต่เขาก็ไม่สามารถห้ามจินตนาการของลอทเนอร์ได้เช่นกัน…
ในชีวิตก่อน เขาเคยมาที่ทะเลสาบบลูมูน แต่เขาไม่รู้ว่าที่นี่มีเจ้าหญิงน้อยอาศัยอยู่เพราะว่าเมืองบลูมูนนั้นไม่มีข้อจำกัดสำหรับเอลฟ์ แต่สำหรับผู้เล่นอย่างเขานั้น องครักษ์ของพวกเขาเข้มงวดมาก
อาจเป็นไปได้ว่าในเวลานั้นเจ้าหญิงน้อยอาจจะแต่งงานแล้วหรือกลับไปที่ป่าแสงจันทร์
สำหรับผู้เล่น นอกจากแม่ม่ายที่สวยมากแล้ว หญิงสาวสวยที่แต่งงานไปแล้วก็ไม่น่าสนใจอีกต่อไป…
มันช่วยไม่ได้ ผู้เล่นชายฉกรรจ์ทั้งหลายช่างซื่อตรงเหลือเกิน…
ท้ายที่สุดแล้ว หญิงสาวที่แต่งงานไปแล้วนั้นไม่สามารถให้อะไรแก่พวกเขาได้อีก แล้วมีอะไรให้ต้องคิดอีกหรอ?
“พรุ่งนี้เดินทางไปที่ทะเลสาบบลูมูนกันเถอะ” วิลเลียมปรบมือขณะที่เขาตัดสินใจได้แล้ว
มุมปากของลอทเนอร์กระตุกยิกๆ “ท่านอยากเปลี่ยนสถานที่หรือไม่? ข้ากลัวว่าท่านจะไม่ได้ออกมาหลังจากเข้าไปในเมืองแล้ว…”
“ไม่ต้องกังวลไป ผ่อนคลายหน่อย!” วิลเลียมตบไหล่ของลอทเนอร์โดยไม่สนใจสิ่งที่เขาพูด
แม้แต่ลอทเนอร์ก็ยังไม่เข้าใจสิ่งเร้นลับอย่างยูนิคอร์น
แต่วิลเลียมรู้ว่า…
ยูนิคอร์นที่แท้จริงที่มีสายเลือดระดับรีเจนดารี หนึ่งในความสามารถติดตัวของมันคือการล่องหน…
ส่วนความสามารถติดตัวสิ่งที่สองคือการอ่านใจ…
ครั้งก่อนวิลเลียมไม่ได้ไล่ยูนิคอร์นไปอย่างแน่นอน บางทีเขาอาจจะทำให้ยูนิคอร์นกลัวจนล่องหนไปก็ได้ ท้ายที่สุดแล้วเมื่อยูนิคอร์นตั้งใจจะเข้าหาหญิงสาวคนไหน มันจะไม่ยอมแพ้ไปอย่างง่ายๆแน่นอน
ยูนิคอร์นแค่ไม่อยากให้คนอื่นๆเห็นหรือเข้าใกล้มัน
ถ้าไม่อย่างนั้น ทำไมเจ้าหญิงเยว่ฉีถึงได้ปล่อยเขาไปง่ายๆ?
มันจะเป็นไปได้อย่างไร…
แค่คิดถึงองครักษ์ทั้งสามพันตนของเธอ
แล้วมาคิดถึงองครักษ์แค่ห้าร้อยตนของเขา
พ่อของเธอสปอยลูกสาวตัวเองจนกลายเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย?
ถ้าเป็นไปอย่างที่เขาคิด วิลเลียมก็รู้สึกโกรธขึ้นมาจริงๆ!
หากเขามีโอกาสเขาจะชี้ไปยังหน้าของราชาเอลฟ์มูนไลท์และด่าออกมาดังๆ พ่อแม่ที่สปอยลูกตัวเองจนเคยตัวหาใช่พ่อแม่ที่ดี เขาสามารถรับแรงกดดันจากเจ้าหญิงน้อยได้อยู่แล้ว!
หากไม่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น เจ้าหญิงมูนไลท์คงไม่สามารถแยกจากยูนิคอร์นตนนั้นได้และมองผู้ชายทุกคนเป็นเพลย์บอย
เธอจะสามารถหยิบยืมความสามารถของยูนิคอร์นเพื่อมองถึงหัวใจที่สกปรกของผู้ชายเหล่านั้นได้…
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเอลฟ์ที่เป็นเพศชาย เมื่อเข้าไปจีบหญิงสาวสักคน แน่นอนว่าต้องมีความคิดที่ไม่ค่อยดีอย่างแน่นอน
และความคิดดังกล่าวนั้นสกปรกมากสำหรับยูนิคอร์น
ในกรณีนี้ หญิงสาวที่สามารถสื่อสารกับยูนิคอร์นได้จะสามารถล่วงรู้ความคิดเช่นนี้ได้เช่นกัน
ลองคิดดู แม้กระทั่งเจ้าชายเอลฟ์ที่หล่อเหลานั้นจะดูสง่างาม แต่พวกเขาก็ยังมีความคิดที่ไม่ค่อยดีอยู่ ในกรณีนี้ เจ้าหญิงน้อยที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับใคร ไม่เคยจับมือ และแม้กระทั่งจูบ จะได้รับความกลัวในทางจิตบ้างหรือไม่?
โดยทั่วไปอาจจะกล่าวได้ว่า
เจ้าหญิงเยว่ฉีพร้อมด้วยยูนิคอร์นอาจจะโสดไปตลอดชีวิต
หรือไม่บางที…
หญิงสาวทุกคนที่ได้รับการชื่นชอบจากยูนิคอร์นอาจจะได้ใช้ชีวิตที่เหลือของพวกเธอเช่นนั้น…
หากวิลเลียมไม่ได้รู้ว่ายูนิคอร์นเป็นพวกยูนิเซ็กส์และไม่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ เขาคงสงสัยว่ายูนิคอร์นเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกอินคิวบัสที่คอยล่อลวงหญิงสาวสวยเหล่านั้น…
ก่อนวันที่เขาจะมุ่งหน้าไปยังเมืองบลูมูน
วิลเลียมใช้มิทริลเพื่อเพิ่มระดับให้กับเกราะชั้นในระดับอีปิคของเขา
ประสิทธิภาพนั้นเห็นได้อย่างชัดเจน เกราะชั้นในของเขาแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆด้าน
พรแห่งความรัก
คุณภาพ: อีปิค
ประเภท: อุปกรณ์ป้องกันอย่างหนึ่งที่สามารถเจริญเติบโตได้
ส่วนประกอบ: มิทริล,ใบไม้จากต้นเวิลด์หนึ่งใบ, ผงทอง และอื่นๆ อีกมากมาย
ผู้สร้าง: อลิซ แบล็คลีฟ
พลังชีวิต: +600
ความแข็งแกร่ง (สเตมินา): +200
ค่าพลังโจมตี: +10
ค่าความแข็งแรงทางกายภาพ: +15
ค่าความว่องไว: +12
ค่าสติปัญญา: +8
ความทนทาน: 780/780
น้ำหนัก: 0.3 กิโลกรัม
การป้องกัน: ภายในพื้นที่ที่ป้องกันโดยชุดเกราะชั้นใน ค่าการถูกโจมตีจะลดลง 210 แต้ม มันจะไม่สามารถทำอันตรายแก่ชุดเกราะชั้นในและผู้ใช้ได้ หากใช้งานเป็นเวลานานเกินไป อาจมีผลกระทบต่อความเสียหายและความทนทานจะลดลง
การป้องกันธาตุ (แฝง) : การโจมตีโดยธาตุใดๆ จะถูกลดลงโดย 15%
พรแห่งความรัก (แฝง) : เมื่อพลังชีวิตของผู้ใช้ต่ำกว่า 10% ผู้ใช้จะได้รับ[พรแห่งความรัก] และได้รับแต้มพลังชีวิตคืนทันที 60% ระยะเวลาคูลดาวน์คือ 25 นาที
ข้อจำเป็นในการใช้: วิลเลียม แบล็คลีฟ
ข้อจำเป็นในการใช้: ค่าพละกำลัง 40 แต้ม
ข้อจำเป็นในการเจริญเติบโต: ใส่มิทริลและแร่ทองคำอย่างละหนึ่งกิโลกรัมลงในชุดเกราะชั้นใน จากนั้นมันจะดูดซึมและเจริญเติบโตโดยอัตโนมัติ
ข้อมูล: นี่คือเกราะชั้นในที่แม่ทำขึ้นเพื่อลูกของเธอเป็นการส่วนตัว สิ่งนี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงความรักของแม่ที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังมีพรที่อบอุ่นของแม่ที่จะโอบกอดชุดเกราะนี้อีกด้วย!
“ฮู้~” วิลเลียมผิวปากเบาๆ มิทริลที่สูญเสียประกายของตนเองไป กลายเป็นละอองสีเงินและค่อยๆหายไปอย่างช้าๆ
เกราะชั้นในที่เปล่งแสงสีม่วงจางๆไม่ได้หนักขึ้นเลย มันยังคงหนักเพียง 0.3 กิโลกรัม
ความจริงแล้วการเปลี่ยนแปลงด้านน้ำหนักนั้นไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรให้กับวิลเลียมมากนัก แต่สำหรับการเติบโตของเกราะชั้นในระดับอีปิค ค่าสถานะของมันแข็งแกร่งมากขึ้นจริงๆ
ทักษะแฝงของมันมีเพียงสองอย่างเท่านั้น
แต่ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันธาตุหรือพรแห่งความรัก มันก็เป็นทักษะที่หายากและจะมีความสำคัญมากกว่าในช่วงท้ายของเกม
มันเป็นเรื่องที่หาได้ยากที่จะได้เผชิญหน้ากับผู้วิเศษ เนื่องจากผู้วิเศษยังไม่ได้แข็งแกร่งมาก ในตอนนี้พวกเขาถูกพิจารณาว่ายังไม่ค่อยมีความสำคัญมากเท่าใดนัก
แต่ในอนาคต พวกเขาจะกลายเป็นปืนใหญ่เวทมนตร์ที่เดินได้…
หากไม่มีการป้องกันธาตุหรือการทำให้ธาตุอ่อนแอลง ผู้เล่นอาจจะตายหรือบาดเจ็บสาหัสได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ [การป้องกันธาตุ] จะลดความเสียหายจากทุกธาตุ แม้ว่ามันจะไม่ได้ต้านการโจมตีทางเวทย์ประเภทอื่นๆมากเท่าใดนัก แต่มันก็ยังคงสำคัญมากอยู่ดี
นอกเหนือจากจะลดความเสียหายจากผู้วิเศษแล้ว มันยังลดความเสียหายจากการต่อสู้ระยะประชิดได้อีกด้วย แม้ว่าโดยรวมแล้วจะยังไม่สามารถเทียบกับพ่อมดได้ แต่มันก็สามารถป้องกันกระบวนท่าบางท่าจากการโจมตีในระยะประชิดได้
“ความเชี่ยวชาญแรกในเลเวล 10 คือการเรียนรู้พลังการต่อสู้และกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับเริ่มต้น”
“ความเชี่ยวชาญที่สองจะมีในเลเวล 40 และผู้เชี่ยวชาญจะกระตุ้นค่าสถานะ, รวมถึงโลหะ, ไม้, น้ำ, ไฟ, ดิน, ลม, สายฟ้า, และอื่นๆอีก…”
“แต่ในเวลาและสถานที่แห่งนี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับมัน เว้นแต่ว่าพวกเขาจะเป็น NPC ที่มีบทบาทสำคัญหรือไม่ก็เป็นเทพในเทพอีกที” วิลเลียมเลิกคิ้ว ตอนนี้เขาไม่ได้เร่งรีบที่จะอัพเลเวล
แม้ว่าเขาจะสร้างและขยายเมือง เขาก็ยังคงสามารถได้รับภารกิจประจำวันในอาณาเขตได้อยู่
รวมถึงภารกิจการกำจัดหมาป่าตัวน้อยในละแวกใกล้เคียง ช่วยผู้สูงอายุส่งจดหมาย…อะแฮ่ม ภารกิจพวกนี้มันจะไปมีได้ยังไงกันเล่า
แต่ถึงจะมี ในฐานะลอร์ด เขาก็ไม่จำเป็นต้องลดตัวลงไปทำอะไรเช่นนั้น! ไม่มีวัน!
อย่างไรก็ตาม เขายังสามารถทำภารกิจที่มีค่าประสบการณ์นับล้านได้อยู่ เนื่องจากอาณาเขตกำลังอยู่ในช่วงพัฒนา จึงมีภารกิจให้ทำอย่างมากมาย
แต่วิลเลียมก็ยังไม่ได้ต้องการที่จะเพิ่มเลเวลของตนเองเพราะเขายังไม่มีอาชีพย่อย
Gods ไม่เคยจำกัดจำนวนอาชีพย่อยที่ผู้เล่นมี และจะไม่จำกัดประเภทของอาชีพย่อยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นอาชีพสำหรับดำรงชีวิตหรืออาชีพสำหรับการต่อสู้ก็ไม่ได้ถูกจำกัดเช่นกัน
คุณสามารถเลือกที่จะเป็นนักรบแล้วมีอาชีพย่อยเป็นผู้วิเศษ, นักธนู, นักแม่นปืน, ผู้อัญเชิญ และอื่นๆได้…
จากนั้น…
คุณก็จะลบแอคเคาท์แล้วกลับไปเริ่มต้นใหม่…
เพราะทุกๆการเพิ่มอาชีพย่อยด้านการต่อสู้ ค่าประสบการณ์ที่ใช้สำหรับเลื่อนระดับจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก เว้นแต่ว่าผู้เล่นจะไม่เพิ่มระดับให้กับอาชีพย่อย แต่นั่นก็จะทำให้การมีอาชีพย่อยนั้นไร้ประโยชน์เสียเปล่า…
อย่างไรก็ตาม ทุกๆการเพิ่มอาชีพย่อยด้านการต่อสู้ ความยากของภารกิจเฉพาะทางจะเพิ่มขึ้นสองเท่าเช่นกัน นั่นคือสิ่งที่ได้รับ
อีกอย่าง คุณสามารถฝึกความเชี่ยวชาญต่อได้ก็ต่อเมื่อหลังจากที่เติมแต้มจากคำภีร์ของอาชีพหลักและอาชีพเสริมจนครบแล้วเท่านั้น นั่นหมายความว่าเมื่อเพิ่มอาชีพเสริมอันใหม่ ค่าประสบการณ์ที่ต้องใช้สำหรับเพิ่มเลเวลก็จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าพวกเขาไม่สามารถที่จะเพิ่มเลเวลได้ พวกเขาก็ไม่อาจเพิ่มระดับความสามารถของพวกเขาได้เช่นกัน
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้เล่นอันดับต้นๆและผู้เล่นมืออาชีพที่มีทักษะและรู้จักเกมดีพอถึงเลือกอาชีพย่อยเป็นสายต่อสู้ทั้งหมด
นั่นเป็นเพราะความต้องการค่าประสบการณ์ที่มากกว่าและความยากลำบากจากการเป็นผู้เชี่ยวชาญจะไม่ทำให้พวกเขาตกจากตำแหน่งระดับท็อป
สำหรับอาชีพสายต่อสู้สองสไตล์ หากทั้งสองมีความเข้ากันได้ก็จะเกิดเป็นทักษะใหม่ๆออกมา และถ้าหากพวกเขาสามารถนำไปประสานกับทักษะอื่นๆได้ดียิ่งขึ้น ก็อาจสรุปได้ว่าคนๆนั้นจะมีสไตล์การเล่นที่แตกต่างออกไป
เพียงเพราะมีอาชีพย่อยจำนวนมาก มันก็ยังทำให้สังเวียนการต่อสู้ของเกมค่อยๆ กลายเป็นสังเวียนการต่อสู้ที่มั่งคั่งที่สุดในด้านนี้
แต่มันก็เป็นเพราะจำนวนของอาชีพย่อยเช่นกัน ที่ทำให้ไม่มีใครสามารถไปยืนที่จุดสูงสุดของสังเวียนการต่อสู้ได้
อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกเขาเป็นผู้เล่นธรรมดา โดยปกติแล้วพวกเขาจะเลือกอาชีพเสริมสายเลี้ยงชีพเท่านั้น ที่สุดแล้ว นี่เป็นตัวเลือกสำหรับผู้เล่นที่ไม่มีเงินหรือคนที่เล่นไม่เก่ง ถ้าพวกเขาต้องอธิบาย ก็จะมีเพียงน้ำตาเท่านั้น…
ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา วิลเลียมเลือกที่จะเป็นนักรบสำหรับอาชีพหลัก ในขณะที่อาชีพเสริมของเขาคือนักสะสม สำหรับทักษะการยิงธนูของเขานั้น เขาเรียนรู้มันมาจากที่อื่น
แม้ว่าในที่สุดเขาจะกลายเป็นมืออาชีพระดับรีเจนดารี เขาก็ยังไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดอยู่ดี
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมครั้งนี้ เขาถึงอยากให้อาชีพเสริมของเขาเป็นสายเวทย์
อย่างไรก็ตาม อาชีพสายเวทย์นั้นยากที่จะเรียนรู้ พวกมันยากแบบที่ว่าโครตของโครตยากในการที่จะเรียนรู้มัน
แม้ว่าเขาไม่อยากรอให้ถึงระยะกระตุ้นที่เลเวล 40 ในการที่จะเรียนรู้เวทมนต์ จุดสำคัญคือเขาหาผู้สอนเวทมนตร์ที่ว่านั่นไม่เจอเลย…
ในตอนแรกเขาอยากจะไปที่เมืองดาร์คไนท์เพื่อใช้เส้นสายของเขาในการดูว่าจะมีใครที่เขาสามารถไปเรียนรู้เวทมนต์ด้วยได้บ้างไหม อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยคิดเลยว่าคนที่จะสามารถสอนอาชีพเสริมนี้ให้กับเขาได้จะอยู่ในเมืองชายแดน!
โมเสส!
โมเสส โฮลีเวนน์ ผู้หาเลี้ยงตัวเองด้วยการทำนายอนาคตอยู่ในเมืองและสามารถทำทุกอย่างให้เป็นไปได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย
“ในเมืองแห่งนี้ ช่างตีเหล็กเช่น ตาแก่แฮงค์ และนักล่าอย่างเอริคและลูกชายของเขา ทั้งหมดนี้มีสายเลือดระดับอีปิค ตอนนี้พวกเขาน่าจะอยู่ที่ประมาณเลเวล 40 และเป็น NPC ที่มีอาชีพลับ พวกเขาแข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด!” วิลเลียมมีความทรงจำที่ชัดเจนเกี่ยวกับทั้งสามคน
“และสำหรับนักรบศักดิ์สิทธิ์ระดับอีปิคผู้ใช้ค้อน อาชีพเสริมของตาแก่แฮงค์คือช่างตีเหล็ก เขาไม่ได้มีแค่ทักษะกวัดแกว่งดาบที่เทียบเทียมกับคนแคระได้เท่านั้น แต่เขายังมีตัวตนลึกลับสุดประหลาดซ่อนอยู่อีกด้วย”
หลังจากที่เมืองชายแดนถูกยึดครองโดยอาณาจักรเหล็ก ตาแก่แฮงค์ก็ยังคงอยู่ฝ่ายกลางอย่างสบายๆ หลังจากนั้น เขาก็ออกจากอาณาจักรเหล็กและเปิดร้านตีเหล็กที่มีคุณภาพมากๆ แห่งหนึ่ง
วิลเลียมยังคงจำได้ว่าเขาเคยสั่งจองอาวุธชิ้นหนึ่งล่วงหน้า แต่เขาก็ไม่ได้รับมันจนกระทั่งปีที่สองของเบต้าที่เปิดให้เล่น…
ดังนั้น เขาจึงขายอาวุธอันนั้นให้กับผู้เล่นใหม่ที่ร่ำรวยคนหนึ่งไปอย่างลวกๆ และได้รับเงินจากมันมากโขเลยทีเดียว
“สำหรับนักล่านั่น เอริคเป็นทหารพรานดาร์คชาโดว์ ในขณะที่ลูกชายของเขาเป็นนักฆ่าดาร์คชาโดว์ พวกเขาทั้งสองเป็นผู้โชคร้ายที่หนีออกมาจากกลุ่มนักฆ่าดาร์คชาโดว์
“หลังจากที่พวกเขาออกจากเมืองชายแดน พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับองค์กรดาร์คชาโดว์อยู่เป็นครั้งคราว หลังจากที่สังหารนักฆ่าหลายคนที่มาเพื่อลอบสังหารพวกเขา ชื่อเสียงของพวกเขาก็โด่งดังเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งพวกเขาก็หายตัวไปและไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาไปซ่อนตัวอีกครั้งหรือว่าพวกเขาถูกฆ่าไปแล้ว
“อย่างไรก็ตาม เรื่องพวกนี้ก็ไม่ได้พิเศษอะไร ไม่เคยมีคนไร้ความสามารถบนทวีปแห่งนี้อยู่แล้ว อัจฉริยะล้าหลังมีอยู่ให้เห็นร่ำไป จากคำพูดของผู้เล่น เหล่าผู้ที่มีระดับรีเจนดารีนั้นมีให้เห็นกันอยู่ทุกที่ในขณะที่ระดับอีปิคนั้นไม่มีความพิเศษอะไร…”
“แน่นอน ตราบใดที่พวกเขามีอาชีพลับและอุปกรณ์ที่ดี พวกเขาก็จะแข็งแกร่งอยู่แล้วและจะไม่ถูกมองว่าเป็นพวกอ่อนแอ
“อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับโมเสสผู้วิเศษรอบด้าน พวกเขานั้นเทียบไม่ติดเลย!” วิลเลียมระบายออกมา
โมเสส
หนึ่งในผู้สืบทอดที่จะเป็นประมุขแห่งวิหารเวทมนต์!
ผู้ติดตามของนักเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่!
ชายผู้ทรยศพระเจ้า!
ผู้วิเศษรอบด้าน!
แผนที่เดินได้!
“เลเวลของชายคนนี้ต้องอยู่เหนือกว่าลิมิตสูงสุดของเวอร์ชั่นเกมอย่างไม่ต้องสงสัย” วิลเลียมแอบพูดไม่ออก สำหรับผู้ติดตามของประมุขแห่งวิหารเวทมนต์แล้ว โมเสสจะต้องมีสายเลือดรีเจนดารีอย่างแน่นอน พรสวรรค์และความสามารถติดตัวของเขาเหนือกว่าคนอื่นๆ
อีกอย่าง แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความสามารถติดตัวอย่าง ‘การเป็นคนดูดี’…
มันอาจจะเป็นเพราะเขามีความสามารถติดตัวอันเยี่ยมยอดที่คล้ายคลึงกับความสามารถติดตัวอย่าง ‘ผู้วิเศษศักดิ์สิทธิ์’ ตั้งแต่เขาเกิด ความโชคดีของเขาจึงท่วมท้นและเป็นที่สุดแห่งที่สุด
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขานั้นฉลาดรอบรู้ในเวทมนต์ทุกสาขาและแถมยังทรงพลังยิ่งกว่าอาจารย์ของเขาอีก
รอบด้านหมายถึงอะไรงั้นหรอ?
ธาตุ: โลหะ, ไม้, น้ำ, ไฟ, น้ำแข็ง, ดิน, ลม และสายฟ้า
มิติ: เวลาและสถานที่
ความลึกลับ: แสงอันศักดิ์สิทธิ์และความมืด
จิต: จิตวิญญาณและพลังจิต
อื่นๆ: การอัญเชิญ, จิตวิญญาณแห่งความตาย, นิมิต และอีกมากมาย
พูดสั้นๆ ว่ามีแต่เวทมนต์ที่คุณไม่อาจจินตนาการได้และไม่มีอันไหนเลยที่เขาไม่รู้…
ถูกต้องแล้ว
เขาทรงพลังขนาดนั้นเลยล่ะ
“อย่างไรก็ตาม ผู้ชายที่กล้าลีกหนีและกล้าคัดค้านการมีอยู่ของวิหารเวทมนต์จะต้องจบลงอย่างน่าเศร้า…” วิลเลียมอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
“ฉันสงสัยว่าพ่อของฉันแข็งแกร่งขนาดไหนกันถึงทำให้ชายคนนี้มายังที่แห่งนี้และซ่อนตัวอยู่ที่นี่” วิลเลียมเกาหัว ไม่ว่าจะคิดยังไง เขายอมตายดีกว่าที่จะเชื่อว่าคนระดับนี้จะต้องการความคุ้มครองจากพ่อเขา
เพราะโมเสสนั้นเป็นตำนานตัวจริง
เขาเป็นระดับตำนานคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งสามจักรวรรดิ
“เฮ้ แต่นั่นน่าจะเป็นโมเสสภาคหลัง เขาไม่น่าจะเป็นผู้วิเศษในตำนานตอนนี้ ใช่มั้ย?”
วิลเลียมลูบคางของเขาในขณะที่จมลงสู่ความคิด
รอยยิ้มของท่านลอร์ดค่อยๆ ฉายแววความบ้าอย่างไม่รู้ตัว…
เดิมทีสถานที่ก่อสร้างในเมืองนั้นร้อนมาก และเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อของชาวเมือง…
แต่น่าเสียดายที่สภาพอากาศวันนี้ค่อนข้างแย่นิดหน่อยและฝนก็เริ่มที่จะตกแล้ว
วิลเลียมสวมชุดคลุมสีม่วงขณะที่เดินถือร่มบนถนนกรีนสโตน
เมื่อคนงานบางส่วนที่กำลังคุยกันอยู่ท่ามกลางสายฝน เห็นสายตาการจ้องมองของเขาก็สั่นด้วยความกลัว เพราะพวกเขารู้สึกได้ว่าค่าแรงของบ่ายวันนี้ต้องหายไปพร้อมกับสายฝนเป็นแน่…
“หืม ก็แค่ฝนตกไม่ใช่หรอ? ทำไมพวกเขาถึงหยุดทำงาน?” วิลเลียมมองไปยังน็อกซ์ที่ติดตามมาข้างหลัง
“ท่านลอร์ด แค่ฝนหรอครับ?” น็อกซ์ขยับหมวกด้วยความหมดอาลัยตายอยาก เขาไม่สนใจเสียงดังปึ้งปั้งบนศีรษะ ก่อนจะชี้ไปยังลูกเห็บบนพื้นที่ยังคงมีไอเย็นลอยออกมา…
“ใครจะไปรู้ล่ะ…ก็นี่มันเขตร้อน จะไปมีลูกเห็บได้ยังไงกันเล่า?” มุมปากของวิลเลียมกระตุก เขากำลังจะไปหาโมเสส แต่ฝนก็เริ่มตกหนักขึ้นมาทันที พอเขาจะเข้าใกล้โมเสส ฝนก็ตกหนักขึ้นกว่าเดิมและเริ่มกลายเป็นลูกเห็บ ราวกับฟ้ากำลังหยุดยั้งเขาไม่ให้พบโมเสส
นอกจากนี้แล้ว หากไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น โมเสสที่มีลางสังหรณ์ก็ดูเหมือนจะรู้แล้วว่าเขามาทำไม นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้โมเสสเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและบันดาลให้เกิดฝนลูกเห็บที่หนักหน่วงเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่สามารถหยุดวิลเลียมไม่ให้ไปหาเขาได้หรอก
ผ่านไปไม่นาน วิลเลียมก็มาถึงหน้ากระท่อมทำนายโชคชะตาหลังหนึ่ง ก่อนเขาจะสะบัดมือเป็นสัญญาณให้กับน็อกซ์ “กลับไปก่อนเถอะ ข้าจะไปรับการทำนายสำหรับการเดินทางของวันพรุ่งนี้”
“ครับท่านลอร์ด” น็อกซ์มองไปยังวิลเลียมก่อนจะพยักหน้า สำหรับเขาแล้ว ท่านลอร์ดยังคงแปลกประหลาดอยู่สักเล็กน้อย และเขารู้ว่ามีโอกาสที่เขาจะไม่ได้กลับมาหลังจากการเดินทางครั้งนี้
“ก๊อก ก๊อก!” วิลเลียมเคาะประตู
แต่ไม่มีใครตอบกลับมา
“ปัง ปัง!”
ก็ยังไม่มีใครตอบกลับมาอยู่ดี
“ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง…”
“ครืดดด” ชายที่ดูชั่วร้ายมีผมสีเงินและรูปร่างสูงโปร่งเปิดประตูออกมา ดวงตาของเขางุนงงเล็กน้อยและปากก็มีคราบน้ำลายเปื้อนอยู่ เขามองไปยังด้านหลังของวิลเลียม กวาดตาไปรอบๆก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “โอ้ ท่านลอร์ด ลูกเห็บที่ไหนพาท่านมาถึงนี่ล่ะเนี่ย? แปลกจริงๆ แม้แต่ฝนลูกเห็บก็ตกที่นี่ได้งั้นหรือ?”
มุมปากวิลเลียมกระตุก เขารู้ว่าชายผู้นี้ไร้ยางอาย แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะไร้ยางอายขนาดนี้…
โมเสสเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มีระดับสูงเกินไปในเกมเวอร์ชัน 1.0
ในปีที่เปิดเบต้า เขาไม่ได้ใช้เวทมนตร์ใดๆที่เกินกว่าเลเวล 69 เมื่อเริ่มต้นเกม เขาก็ยังแสดงบทบาทที่รู้สึกเหมือนบอสลับกำลังเฝ้าดูผู้เล่นทุกๆคน
และเขาก็เป็นบอสคนนั้น…
“โมเสส ทำไมท่านถึงนอนกลางวันล่ะ? ไม่อยากทำงงทำงานบ้างเลยหรือ?” วิลเลียมหุบร่มก่อนจะเดินเข้าไปยังกระท่อมสลัวๆที่เต็มไปด้วยไอเทมเวทมนตร์ที่ถูกโยนอย่างระเกะระกะ
ลูกแก้วคริสตัล, อัญมณี, ของหายาก และของแปลกๆเกลื่อนกลาดไปหมด ในเวลาเดียวกันก็มีภาพวาดถูกแขวนอยู่บนฝาผนังที่มีสัญลักษณ์เวทมนตร์ที่อ่านไม่ได้!
และเก้าอี้ตัวเดียวที่ลูกค้าสามารถนั่งได้นั้นถูกครอบครองโดยแมวดำสกปรกตัวหนึ่ง
โมเสสดูเยาว์วัยละมุนละไมแต่ก็แฝงไปด้วยความงามที่ลึกลับ ขณะที่เขาหาว ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความงุนงง “ข้าไม่มีงานอะไรทำหรอกท่าน ถึงทำก็ไม่ได้เปิดทำการมากว่าหกเดือนแล้ว ทำครั้งหนึ่งก็เลี้ยงตัวเองได้เป็นปี ตราบใดที่อาณาเขตของท่านยังไม่ถูกยึดครอง ข้าก็วางแผนว่าจะอยู่ที่อาณาเขตแห่งนี้ของท่านจนกว่าจะจากไป…”
“…” วิลเลียมจมไปในความคิดของตนเองประมาณสองวิ ก่อนที่เขาจะตบไหล่โมเสสเบาๆ “ช่วยทำนายให้เราว่าการเดินทางไปยังเมืองบลูมูนวันพรุ่งนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่!”
“แน่นอน” โมเสสลุกขึ้นไปยังลูกแก้วคริสตัล
เมื่อโมเสสหันกลับไป วิลเลียมก็มีโอกาสตรวจสอบค่าสถานะของคนตรงหน้าสักที
เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกพบเห็นเข้า เพราะมันเป็นความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่น แม้ว่าผู้สร้างจะมาที่นี่ก็ไม่สามารถค้นพบอะไรได้
โมเสส โฮลี่เวนน์
เผ่าพันธุ์ : มนุษย์
ศักยภาพสายเลือด : รีเจนดารี
อาชีพ : ?
เลเวล : ?
พลังชีวิต : ?
เอาล่ะ นอกจากศักยภาพทางสายเลือดและเผ่าพันธุ์แล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นเครื่องหมายคำถาม
แต่ก็ยังมีบางอย่างที่โชคดีอยู่
นั่นคือการมีความสามารถติดตัวดูดีที่เป็นทักษะที่แสนทรงพลัง ทำให้เขาสร้างความประทับใจที่ดีทันทีที่พบเจอกันครั้งแรก
เสียงแจ้งเตือนดังขึ้น
ค่าความประทับใจของโมเสสเพิ่มขึ้น 80 หน่วย
เยี่ยมไปเลย
นี่เป็นการเริ่มต้นที่ดีงาม
“เอื้อมมือมาจับลูกแก้วคริสตัลกับข้า” จากลูกแก้วคริสตัลหลากหลายลูก โมเสสเลือกลูกแก้วสีฟ้าอ่อนขึ้นมาลูกหนึ่ง ก่อนจะวางไว้บนโต๊ะ
วิลเลียมวางมือไว้บนลูกแก้วคริสตัลอย่างเงียบๆ ก่อนโมเสสจะวางทับลงไปด้วยมือของเขา ความรู้สึกเย็นๆถูกส่งออกมาจากมือของโมเสสและค่อยๆแผ่เข้าไปยังลูกแก้วคริสตัล
อาจเป็นเพราะความรู้สึกเย็นที่ไหลผ่านไปตามร่างกายของเขา จึงทำให้วิลเลียมหนาวสั่นขนลุกไปถึงกระดูกสันหลัง
เขามองโมเสสแล้วมองไปยังลูกแก้วคริสตัลที่ส่องประกาย ก่อนจะรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกายของเขา
ตอนที่เขาเป็นผู้เล่นธรรมดา เขาก็เคยอ่านดวงชะตาของเขาเช่นกัน แต่ผู้เล่นไม่มีอนาคต ดังนั้นจึงไม่สามารถอ่านอะไรได้
แต่ว่า…
นักทำนายไม่ได้จับมือเขาไว้อย่างนี้!
ไม่มีอะไรเช่นนี้หรอก!
หรือว่าข่าวลือเกี่ยวกับโมเสสจะเป็นความจริง?
ว่าเขาชอบผู้ชาย…
ภาพต่างๆปรากฏขึ้นบนลูกแก้วคริสตัล
วิลเลียมไม่เข้าใจมัน แม้ว่าเขาจะเกิดใหม่ เขาก็ยังไม่สามารถอ่านมันได้ หากเขาเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ นักทำนายทั้งหลายในทวีปคงไม่มีอะไรกินแล้ว
โมเสสจ้องมองภาพในลูกแก้วคริสตัลอย่างละเอียด ผ่านไปไม่กี่นาทีเขาก็ปล่อยมือและเลียริมฝีปาก ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าไม่เห็นสิ่งเลวร้ายอันใด ทุกอย่างจะราบรื่น ไม่ได้ดีมากแต่ก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่ ”
“แล้วข้าเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้างไหม? หรือได้รับผลประโยชน์อะไรบ้างหรือเปล่า?” วิลเลียมถาม
“ไม่ ข้าบอกท่านได้เพียงแค่ท่านจะโชคดีหรือโชคร้าย หากกล่าวมากกว่านี้เหตุการณ์จะเปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้แล้ว ด้วยความสามารถของท่าน ณ ตอนนี้ ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้” โมเสสใช้นิ้วม้วนผมตัวเองไปมา ส่ายศีรษะของเขาขณะที่นั่งลงบนเก้าอี้
“แค่นั้นก็ได้!” วิลเลียมพยักหน้า ไม่ถามอันใดอีกต่อไป ก่อนจะหยิบเหรียญทองห้าเหรียญออกมาจากกระเป๋าแล้วตบมันลงบนโต๊ะ
โมเสสเก็บพวกมันด้วยความสุขใจก่อนจะยืนขึ้นและกล่าวกับวิลเลียม “ยินดีต้อนรับท่านลอร์ดในครั้งหน้า!”
“โมเสส!” วิลเลียมมองไปยังแมวดำที่เขาไม่สามารถอ่านเลเวลมันได้ อุ้มมันอย่างระมัดระวังแล้ววางมันลงบนโต๊ะก่อนจะนั่งลง
เจ้าแมวดำเดินไปทิ้งตัวลงบนตักของโมเสสด้วยความเต็มใจ มันปล่อยให้เจ้าของลูบหัวเบาๆ
ณ จุดๆนี้ ในที่สุดโมเสสก็ดูเหมือนจะได้ยินคำพูดของวิลเลียม เขาถามด้วยความสับสน “ท่านลอร์ดมีอะไรอีกงั้นหรือ? ข้าจะไม่ไปที่ไหนกับท่านทั้งนั้น ข้าทำได้เพียงทำนายเท่านั้นแล้วก็ไม่มีความสามารถทางด้านต่อสู้อีกด้วย แม้กระทั่งวิธีฆ่าไก่ข้าก็ไม่รู้…”
โมเสสไม่มีพลังการต่อสู้งั้นหรือ? ผู้วิเศษที่ฆ่าไม่ได้แม้กระทั่งไก่งั้นหรือ? หัวใจของวิลเลียมสั่นคลอน ขณะที่พยายามเรียบเรียงคำพูดเขาก็กล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าท่านดูเหมือนจะรู้เกี่ยวกับมรดกทางพลังเวทย์วิญญาณ?”
โมเสสยังคงเฉยเมย ท่าทางของเขายังคงเงียบสงบราวกับไม่เข้าใจสิ่งที่วิลเลียมกำลังกล่าว
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้วิลเลียมพูดต่อ “ท่านรู้ว่าข้าเป็นครึ่งเอลฟ์ แต่เนื่องจากข้ามีองครักษ์เอลฟ์เลือดบริสุทธิ์จำนวนมาก มันก็พิสูจน์ได้ว่าข้าเป็นคนในราชวงเอลฟ์…”
โมเสสเลิกคิ้วมองวิลเลียม “แล้วอย่างไรล่ะท่านชาย?”
ปัง!
วิลเลียมยืนขึ้น ตบลงบนโต๊ะแล้วตะโกนว่า “มีคนบอกข้าว่าท่านจะสอนเวทย์วิญญาณที่ดีที่สุดให้กับข้า”
“นอกจากนั้น ท่านลืมสัญญาของเราไปแล้วหรือ?”
“ท่านลืมสัญญาที่ให้ไว้กับคนๆหนึ่งงั้นรึ?”
“ท่านลืมคนที่บอกท่านและยินยอมให้ท่านเก็บเวทย์วิญญาณที่ดีที่สุดไว้สำหรับข้าใช่ไหม?”
“…?” ตอนนี้โมเสสสับสนไปหมดแล้วจริงๆ
วิลเลียมยื่นมือออกมาเหมือนกับว่ารอให้เขามอบอะไรบางอย่างให้
มุมปากของโมเสสกระตุก เขาไม่เชื่อว่าวิลเลียมจะสามารถมองเห็นตัวตนของเขาได้ แต่เขาก็ยังคงรู้สึกราวกับถูกหลอก เขาจึงถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “ท่านลอร์ดพบว่าข้าเป็นเจ้าของมรดกความรู้ทางเวทย์วิญญาณได้อย่างไรกัน?”
เขาไม่สามารถโมโหใส่วิลเลียมโดยตรงได้ แต่ว่าเขาตกลงอะไรไปกันนะ?
ทำไมเขาถึงไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับมันเลย…
แม้ว่าวิลเลียมจะตระหนกอยู่มาก แต่เขาก็ยังเสแสร้งแสดงต่อไป “ข้าคิดว่าท่านควรรู้ว่าข้าได้รับข้อมูลมาจากที่ใด โดยเฉพาะเหตุผลที่ท่านมาอยู่ที่นี่”
“นอกจากนั้น ข้าคือท่านลอร์ด ข้าจะปกป้องร้านทำนายของท่านได้ในอนาคต!”
โมเสสคิดอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะโยนเจ้าแมวดำออกไปและกล่าวด้วยความเด็ดเดี่ยวว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่สามารถช่วยท่านได้ แต่ท่านต้องสัญญากับข้าข้อหนึ่งก่อนแล้วข้าจะสอนมรดกความรู้ทางเวทย์วิญญาณที่สมบูรณ์ที่สุดให้กับท่าน ถ้าไม่ ก็อาจเป็นไปได้ว่าทักษะจะด้อยลง…”
วิลเลียมลูบคางเบาๆ “ชิ ท่านยังคงมีเงื่อนไขเช่นเคย อย่ามัวแต่ลังเล ว่าเงื่อนไขของท่านมา?”
“ข้ายังไม่มีมันในตอนนี้!” โมเสสบอกให้เขารออย่างอดทนขณะที่ตนเองกลับไปที่ห้องนอน มีเสียงบางอย่างเกิดขึ้นก่อนที่โมเสสจะหยิบม้วนกระดาษเวทมนตร์อันใหม่ออกมาและวางมันลงบนโต๊ะ
วิลเลียมมองไปที่มัน…
โดยไม่มีคำถามใดๆทั้งสิ้ง
นี่คือม้วนกระดาษมรดกทางเวทย์วิญญาณที่เพิ่งถูกทำขึ้น
ชื่อของมันคือเวทย์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์!
และชื่อของผู้ที่สร้างมันก็คือ…
โมเสสกำลังต่อสู้กับตัวเองอยู่ เขาอยากจะบอกวิลเลียมจริงๆว่า ไม่ มันไม่ใช่เขา อยากจะบอกว่า เขาไม่มี…
อย่างไรก็ตาม เขาคิดอยู่เป็นเวลานานและในที่สุดก็เลือกที่จะสอน ‘เวทย์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์’ ให้กับลอร์ดรุ่นที่สองคนนี้
วิลเลียมเพิ่งจะทำอะไรลงไป?
แน่นอนว่าเขากำลังพนันอยู่ เขากำลังเดิมพันว่าพ่อของเขามีความสัมพันธ์บางอย่างกับโมเสสและเขาจะสามารถได้รับอะไรบางอย่างจากมันได้ไหม
เขาไม่ได้คาดหวังว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะดีมากมายอะไร
ไม่ว่าอย่างไร ถ้าเขาต้องสรุป ต่อให้ถ้าพวกเขาเคยมีเรื่องกัน จากอุปนิสัยของโมเสสที่เขารู้มาจากชีวิตก่อน ชายคนนี้จะไม่ทำอะไรเขา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเมืองชายแดนถูกกำจัดในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา ชายคนนี้ก็ไม่ทำอะไรเช่นกัน
นั่นก็มากพอที่จะทำให้รู้ว่าโมเสสจะไม่ทำร้ายเขาและจะไม่ใส่ใจอะไรมากมายกับการช่วยเหลือเขาเช่นกัน
ความสัมพันธ์กับวิลเลียมไม่ได้สลักสำคัญอะไรสำหรับโมเสส เขาเพียงแค่ต้องการจะซ่อนตัวเท่านั้น
ในตอนที่เมืองชายแดนถูกกำจัด กรณีที่ดีที่สุดสำหรับเขาคือการหาที่อื่นเพื่อฆ่าเวลาไปวันๆ…
ทุกอย่างมันเริ่มต้นไปได้ด้วยดี
ในตอนนี้ที่วิลเลียมได้รับอะไรดีๆ จากโมเสส เขาเชื่อว่าที่เหลือก็จะจัดการได้อย่างง่ายดาย
“ที่สุดแล้ว ในโลกใบนี้ก็คงไม่มีใครรู้จักมันดีเท่าฉันอีกแล้ว ใช่มั้ยละ?” ในฐานะผู้เล่นระดับที่เล่นจนตายและฟื้นคืนชีพอีกครั้ง วิลเลียมเคยค้นคว้าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และเรื่องราวทั้งหลายของ NPC ที่เป็นระดับอีปิคและสูงกว่ามาแล้ว
เรื่องราวของระดับตำนานอย่างโมเสสถูกเขาจดจำไว้มานานแล้ว
นี่เขาทิ้งจดหมายพวกนั้นไว้ให้เจ้าชายน้อยตนนี้ เพื่อที่วิลเลียมจะสามารถมาหาผลประโยชน์จากข้าได้จริงๆ หรือนี่? โมเสสมุ่ยหน้าหลังจากที่จู่ๆ ก็นึกถึงลอร์ดคนก่อนขึ้นมา ข้าใช้เล่ห์กลกับท่านแค่ครั้งเดียวเองไม่ใช่รึไง? มันไม่ใช่ว่าท่านจะตายเสียหน่อย…
เขาไม่รู้ว่าคนๆ นั้นทำอย่างไรให้เจ้าหญิงเอลฟ์ตกหลุมรักได้ ก่อนที่เขาจะจากไป เขาได้ทิ้งเล่ห์กลสกปรกไว้และมันทำให้ความคิดในจิตใจของเขาต้องวิ่งพล่านอย่างบ้าคลั่ง
ในฐานะผู้วิเศษรอบด้านคนหนึ่ง โมเสสนั้นสงสัยเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่า เขาไม่สามารถอ่านใจของวิลเลียมได้มากกว่า แน่นอนว่านี่ทำให้เขายิ่งสงสัยและสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะตั้งแต่ที่ตัวของวิลเลียมนั้นมีรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาและมาตรฐานความดูดีก็เรียกได้ว่ายอดเยี่ยม
แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก เขาเคยเห็นผู้ชายหน้าตาดีมากมาย ดังนั้นตอนนี้จึงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เขาชื่นชมจริงๆ…
“อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ไอ้หนุ่มนี่โดนกลอุบายเข้าไป ก็ดูเหมือนว่าจิตวิญญาณของเขาน่าสนใจขึ้นมาก…” โมเสสหาวหวอด เขาทำเพียงแค่โบกมืออย่างเรียบๆ ในการปิดประตูไม้ของเขา
เขาโบกมืออีกครั้งและแมวดำตัวหนึ่งก็กระโดดเข้ามาในอ้อมแขนของเขา และตามเขาไปเพื่องีบหลับบนเตียงอีกด้วย
สำหรับนักเวทย์ธรรมดาคนหนึ่ง มันเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเขาที่จะเรียนรู้และค้นคว้าเกี่ยวกับเวทมนต์ทุกประเภทอยู่ตลอดเวลา ต้องเสียสละแม้แต่เวลาพักผ่อนของพวกเขาอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม สำหรับโมเสส การฝึกฝนเวทมนต์ของเขานั้นเรียบง่ายและธรรมดามาก
เวทมนต์ธาตุ?
โอ้ มันก็มีโลหะ, ไม้, น้ำ, ไฟ, ดิน, น้ำแข็ง, ลม, สายฟ้า…
เวทมนต์สำหรับมิติและเวลา?
โอ้ มันก็มีสถานที่และเวลา…
นักเวทย์คนอื่นๆ ก็คงจะบอกว่า “โอ้? เจ้าจะพูด ‘โอ้’ ไปเพื่ออะไร? เมื่อเจ้าทำเสร็จแล้ว เจ้าก็ไปฝึกการทำสมาธิซะ!”
โมเสสคงจะตอบว่า “โอ้? มันสามารถเรียนรู้ได้ด้วยการอ่านหนังสือเวทมนต์เพียงครั้งเดียวได้ไม่ใช่หรือ?”
นักเวทย์ทุกคนบนทวีปคงจะกลั้นใจตายในทันที
ยังไงก็เถอะ สำหรับโมเสส ไม่สำคัญว่าจะเป็นเวทมนต์อะไร เขาก็สามารถเข้าใจมันได้อย่างง่ายดาย สำหรับเขา ถ้าเขาคุ้นเคยกับมันมากพอแล้ว เขาสามารถทำได้แม้แต่การใช้คาถาสาปแช่งได้ในทันที
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปได้นัก สำหรับโมเสสที่จะใช้ชีวิตอย่างนักเวทย์คนอื่นๆ
แน่นอนว่า เรื่องนั้นก็มีส่วนเล็กน้อยกับการที่ทำให้โมเสสถูกสาป ซึ่งส่งผลต่อความจริงที่ว่า มันยากมากสำหรับเขาที่จะศึกษาเวทมนตร์อื่นๆ ในตอนนี้
“ยังเหลืออีกสองปีงั้นสินะ?” โมเสสนั่งอยู่บนเตียงของเขา เหม่อมองไปยังท่อนบนอันเปลือยเปล่าของเขาที่สะท้อนอยู่ในกระจก ร่างกายส่วนบนของเขาทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยสัญลักษณ์เวทมนต์สีแดงเข้มมากมาย
สัญลักษณ์ประหลาดพวกนี้ส่องแสงสีแดงน่ากลัวเป็นครั้งคราว ยิ่งทำให้ดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก
มันเป็นเรื่องที่แทบจะไม่อาจจินตนาการได้ว่าเขาถูกสาปด้วยอะไร!
อย่างไรก็ตาม นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากคำสาปนั่นกำลังอ่อนแอลง
ในตอนแรกที่เขาหนีออกมาจากวิหารเวทมนต์ เขาถูกปกคลุมไปด้วยคำสาปตั้งแต่หัวจรดเท้าขนาดที่ว่าไม่สามารถมองเห็นผิวของเขาได้เลย และในตอนนั้นเองที่เขามายังเมืองชายแดนแห่งนี้…
คำสาปนี้ไม่ใช่แค่ยับยั้งความสามารถของเขาเท่านั้น แต่มันยังทำให้ดวงจิตของเขาต้องทนอยู่ในความเจ็บปวดอย่างถาวรอีกด้วย ราวกับมันต้องการที่จะผลาญดวงวิญญาณของเขาให้สิ้นซาก
“มันเจ็บปวดมากเพราะคำสาปประเภทนี้ต้องการที่จะกำจัดดวงวิญญาณของข้าให้สูญสิ้น ข้าทำการค้นคว้าและค้นหาเวทมนต์ด้านจิตวิญญาณในระดับที่ลึกขึ้น เวทย์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ง่ายอย่างที่เห็น…”
“พวกเจ้าทุกคนเรียกข้าว่าผู้ทรยศพระเจ้า เจ้าลงโทษข้า, ทรมานข้า, ทำร้ายข้า และหมางเมินความตั้งใจของข้า ความตั้งใจของข้าที่จะไปเป็นพระเจ้า…” เมื่อนึกถึงอาจารย์ของเขา โมเสสก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น ก่อนจะอุ้มแมวดำไว้ในอ้อมแขน เขาปิดปากหาวขณะที่ล้มตัวลงนอนต่อ
สำหรับเรื่องความคับข้องใจและความยุ่งเหยิงระหว่างโมเสสและวิหารเวทมนต์ มันไม่ใช่อะไรที่ต้องรับมือตอนนี้
เวทมนต์ธาตุนั้นเป็นเวทมนต์ปกติทั่วไป
ตราบใดที่ผู้เล่นถึงระยะกระตุ้นที่เลเวล 40 พวกเขาจะสามารถเรียนรู้มันได้ง่ายขึ้น นักเวทย์ฝึกหัดสามารถใช้ได้แค่เวทมนต์พื้นฐาน อย่างเช่น โยนลูกไฟหรือยิงธนูน้ำ…
อย่างไรก็ตาม ลมและสายฟ้ามีความยากขึ้นมาอีกระดับ แต่ตราบใดที่ผู้เล่นเล่นสามารถเริ่มใช้คุณสมบัติทั้งสองนี้ได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากมากนักในการที่จะหาอาจารย์สักคน ดังนั้นมันจึงไม่ใช่อาชีพลับสักทีเดียว
เขาไม่ได้หมายความว่าเวทมนต์ธาตุนั้นไม่ดีพอ ผู้เล่นสามารถเป็นคนที่แข็งแกร่งมากๆ ได้ ถ้าพวกเขามีความชำนาญในเวทมนต์ด้านใดๆก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นอะไรที่มีให้เห็นได้ทั่วไป…
อย่างไรก็ตาม ดวงวิญญาณ, พลังจิต และพลังมายาก็เป็นส่วนหนึ่งของเวทมนต์ที่เกี่ยวกับจิต และตัวมันเองก็ถือเป็นอาชีพลับอยู่แล้ว
เมื่อรวมเข้ากับม้วนกระดาษมรดกที่โมเสสทำขึ้นมาด้วยตัวเอง มันทำให้คุณภาพของม้วนกระดาษนี้เป็นม้วนกระดาษระดับรีเจนดารี!
ม้วนกระดาษมรดกแห่งเวทย์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์
ระดับ: รีเจนดารี
ข้อจำเป็นในการใช้: ศักยภาพสายเลือดไม่สามารถต่ำกว่าอีปิคได้
อย่างไรก็ตาม มันมีสองวิธีของการเรียนรู้แบบมืออาชีพ
สิ่งแรกที่ต้องทำคือหาอาจารย์สักคนมาสอนเวทมนต์, ทักษะ และอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ามันจะเป็นเวทย์ต่อสู้, เวทมนต์ หรือสกิล ก็ต่างมีระดับที่แตกต่างกันไป ถ้าพวกเขาของการที่จะเรียนเวทย์ต่อสู้ เป็นธรรมดาเลยที่พวกเขาจะต้องใช้เงินมากขึ้นและต้องเพิ่มแต้มความประทับใจของอาจารย์และดูว่าเลเวลของผู้สอนนั้นดีพอกับที่ต้องการหรือไม่
โดยปกติแล้วผู้เล่นจะติดตามเวอร์ชั่นของเกมเพื่อเพิ่มแต้มความประทับใจของอาจารย์หรือไม่ก็ใช้เงินซื้อสกิลใหม่ๆ หรือคัมภีร์ลับ
และอย่างที่สองคือม้วนกระดาษมรดก
พวกเขาจะใส่ทุกอย่างลงไปในม้วนกระดาษและเลเวลต่างๆที่สูงขึ้น ทักษะที่ตามมาจะสามารถใช้งานได้ตามเลเวลนั้นๆ
เลเวลของม้วนกระดาษขึ้นอยู่กับทักษะ, พลังการต่อสู้ หรือระดับเวทมนต์ที่มีอยู่ในม้วนกระดาษ
แม้ว่าวิลเลียมจะไม่รู้ว่าโมเสสใส่เลเวลไปเท่าไหร่ในม้วนกระดาษอันนี้ แต่ ‘เวทย์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์’ นั้นต้องแข็งแกร่งมาก อย่างน้อยมันก็คงไม่อ่อนแอไปกว่า ‘ผู้รักษาการณ์แห่งรุ่งอรุณ’
วิลเลียมเปิดม้วนกระดาษเงียบๆ ในห้องนอนของเขา
แสงสีฟ้าที่ไม่อาจพรรณนาได้วิ่งเข้ามาสู่ร่างกายของเขา
ความรู้สึกสบายและนุ่มนวลแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเขาและพลังงานในจิตใจของเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันทำให้ความคิดของเขาชัดเจนขึ้น, สัมผัสต่างๆของเขาค่อยๆ เฉียบคมและว่องไวยิ่งขึ้น นั่นมันคือรูปแบบของพลังจิตที่บริสุทธิ์ที่สุด
ในเวลาเดียวกัน ลูกบอลเวทย์อันหนึ่งก่อตัวขึ้นในร่างกายของเขาช้าๆ
นี่คือระดับเวทมนต์ของเขา ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ทั้งพลังการต่อสู้และพลังจิตก็พรั่งพรูอยู่ในร่างกายเขา!
มันไม่ได้ต่อต้านกันและกัน แต่ทำงานร่วมกันด้วยวิธีการที่แตกต่างในร่างกายของเขา
ดิ๊งด่อง: คุณเลือกอาชีพเสริมสำเร็จแล้ว นักเวทย์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ฝึกหัด
ดิ๊งด่อง: ค่าคุณสมบัติของคุณทุกอันเพิ่มขึ้น 10 แต้ม
ดิ๊งด่อง: ค่าสติปัญญาของคุณเพิ่มขึ้น 10 แต้ม
ดิ๊งด่อง: คุณเริ่มการใช้งานพรสวรรค์เวทมนต์ระดับเริ่มต้น ทุกๆ แต้มของค่าสติปัญญา = 1 พลังเวทย์โจมตี
ดิ๊งด่อง: เมื่ออาชีพเสริมของคุณคือนักเวทย์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ทุดครั้งที่เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น คุณจะได้รับแต้มคุณสมบัติอิสระเพิ่ม 2 แต้ม (ทุกครั้งที่เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น คุณจะได้รับแต้มคุณสมบัติอิสระ 8 แต้ม)
เวทย์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์
ระดับ: รีเจนดารี
เลเวล: Lv 1 (0/100)
พลังเวทมนต์: 300 แต้ม
ความเร็วในการฟื้นฟู: 10 แต้ม/วินาที
เอฟเฟคพิเศษ: ความต้านทานเวทมนต์ทุกอย่างของคุณเพิ่มขึ้น 1%
เอฟเฟคพิเศษ: พลังโจมตี +2, ความแข็งแรงทางกายภาพ +2, ความว่องไว +2, สติปัญญา +4
เอฟเฟคพิเศษ: ค่าพลังชีวิต +200
เอฟเฟคพิเศษ: ความแข็งแกร่งของพลังเวทย์โจมตีเพิ่มขึ้น 3%
สังเวยชีวิต: กับศัตรูอ่อนแอที่มีพลังชีวิตน้อยกว่า 10% คุณสามารถทำการ ‘ดูดวิญญาณ’ และเพิ่มแต้มพลังชีวิตของคุณได้ 10%
ระยะ: ภายใน 3 เมตร
ความเร็วในการใช้: ทันที
คูลดาวน์: 5 นาที
ต้นไม้ทักษะแห่งนักเวทย์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์
ควบคุมจิตวิญญาณ
เลเวล: Lv 1 (ค่าประสบการณ์ 0/100)
คุณสมบัติสกิล: คุณสามารถควบคุมศัตรูอ่อนแอที่มีพลังชีวิตน้อยกว่า 10%
หลังจากการควบคุม พลังชีวิตของศัตรูพวกนั้นจะฟื้นฟูถึง 50%
ค่าพลังที่ใช้: แต้มเวทมนต์ 50 แต้ม
ความเร็วในการใช้: ทันที
คูลดาวน์: ไม่มี
ข้อจำกัด: คุณสามารถควบคุมได้แค่คนเดียวเท่านั้น
ข้อจำกัด: ยิ่งศักยภาพสายเลือดสูงเท่าไหร่ โอกาสควบคุมไม่สำเร็จก็ยิ่งสูงขึ้น ทุกๆเลเวลของศัตรูที่สูงกว่าคุณ อัตราความไม่สำเร็จก็จะสูงขึ้น
ข้อจำกัด: ถ้าคุณสามารถจัดการให้ศัตรูกลายเป็นทาสได้สำเร็จ คุณจะต้องใช้การควบคุมจิตวิญญาณทุกวันวันละครั้งเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของการควบคุม ถ้าไม่อย่างนั้นอัตราการทรยศจะเพิ่มขึ้น หลังจากการเป็นทาสเป็นเวลานาน มันสามารถเปลี่ยนเป็น ‘โซลมาร์ก’ อย่างถาวรได้
สัมผัสแห่งวิญญาณ
เลเวล: Lv 1 (ค่าประสบการณ์ 0/100)
คุณสมบัติสกิล: มือคู่หนึ่งของจิตวิญญาณจะโผล่ออกมาจากพื้นดินในทันที จับคู่ต่อสู้ข้อคุณและยึดพวกเขาไว้ได้เป็นเวลา 3 วินาที
ข้อเสีย: ยิ่งศักยภาพสายเลือดสูงเท่าไหร่ โอกาสไม่สำเร็จก็จะยิ่งสูงขึ้น
ระยะ: ภายใน 10 เมตร
ความเร็วในการใช้: ทันที
คูลดาวน์: 30 วินาที
คลื่นโซลช็อค
เลเวล: Lv 1 (ค่าประสบการณ์ 0/100)
คุณสมบัติสกิล: เมื่อคุณเป็นจุดศูนย์กลาง คลื่นโซลช็อคสามารถสร้างความเสียหาย 100+ (150% xค่าสติปัญญา) ให้กับศัตรูที่อยู่ในระยะ 5 เมตรและสร้างผลกระทบตามหลังถึง 3 เมตร นี่ยังทำให้เกิดโอกาสการสลบได้ถึง 10% เป็นเวลา 3 วินาที
ความเร็วในการใช้: ทันที
ค่าพลังที่ใช้: 50 แต้ม
คูลดาวน์: 3 นาที
ดิ๊งด่อง: คุณต้องการสร้างทักษะต้นไม้อันใหม่สำหรับนักเวทย์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์และผู้รักษาการณ์แห่งรุ่งอรุณหรือไม่?
วิลเลียมหรี่ตาของเขา “ใช่!”
เขารอมานานมากสำหรับการรวมร่างของสกิลเขา เขาเลือกเวทย์แห่งจิตเป็นอาชีพเสริมเพราะเขาเห็นถึงความโครตแข็งแกร่งของการทำงานร่วมกันระหว่างสองอาชีพนี้ในชีวิตก่อนของเขา…
ทักษะต้นไม้แห่งนักเวทย์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์
เสน่ห์แห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
เลเวล: Lv 1 (ค่าประสบการณ์ 0/100)
คุณสมบัติสกิล: สามารถเสริมอาคมอาวุธและธนูได้ เพิ่มค่าความเสียหายทางจิต (150% xค่าสติปัญญา)
ค่าพลังที่ใช้: แต้มเวทมนต์ 3 แต้ม
คูลดาวน์: ไม่มี
การจู่โจมแห่งวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
เลเวล: Lv 1 (ค่าประสบการณ์ 0/100)
คุณสมบัติสกิล: หลังจากลูกธนูหรือดาบของคุณโดนฝ่ายตรงข้าม คุณสามารถใช้จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สำหรับปกคลุมร่างกายและโจมตีคู่ต่อสู้ของคุณผ่านช่องว่างและสร้างความเสียหายทางกายภาพ 180+ (130% xความแข็งแกร่ง)
ระยะ: ภายใน 40 เมตร
ค่าพลังที่ใช้: แต้มเวทมนต์ 30 แต้ม
คูลดาวน์: 5 วินาที
“F*ck, f*ck, f*ck นี่สินะ! สังเวยชีวิต, ควบคุมจิตวิญญาณ… และการจู่โจมแห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์!” ในจุดๆนี้ วิลเลียมไม่สามารถห้ามตัวเองได้อีกต่อไป
เขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
มีคนที่ใช้เวทย์วิญญาณน้อยมากในระดับรีเจนดารี…
เพราะเวทย์วิญญาณปกติธรรมดานั้นปกติก็หายากมากอยู่แล้ว พวกเขาไม่ได้แข็งขนาดนี้และเวทย์วิญญาณก็อยู่เหนือกว่าเวทมนต์อื่นๆ ในทุกด้านอยู่แล้ว
ความบ้าคลั่งของสังเวยชีวิตนั้นเกินกว่าจะอธิบายได้ สำหรับเกมที่มีวงทักษะการรักษากว้างขวาง สังเวยชีวิตนั้นเป็นสกิลระดับพระเจ้าอันหนึ่งเลยล่ะ
สามารถพูดได้เลยว่า ทั่วทวีปรีเจนดารีนี้ไม่มีนักเวทย์วิญญาณที่มีสกิลนี้อีกแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการมีทักษะต่อสู้ระยะประชิดที่วิลเลียมมีอีกด้วย
อีกอย่าง หลังจากโจมตีฝ่ายตรงข้าม การจู่โจมแห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สามารถทำให้ผู้เล่นใช้ดวงจิตของพวกเขาในการเดินทางผ่านมิติแห่งเวลาในขณะที่ร่างกายของพวกเขาปรากฏตรงหน้าคู่ต่อสู้และโจมตีอย่างต่อเนื่อง ไม่สำคัญว่ามันเป็นการโจมตีหรือการวิ่งหนี ทักษะอันนี้มันดีล้ำเสียจนไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้อีกแล้ว…
เขาจำได้เพียงรางๆ ว่าเขาสามารถเห็นสกิลล้ำๆ แบบนี้ได้แค่ครั้งเดียวในชีวิตเขาเท่านั้น เขาเคยเห็นมันแค่ครั้งที่ว่านั่น มันเป็นสกิลที่เป็นของบุคคลที่แข็งแกร่งในตำนานจากยุคที่สอง
ในช่วงเวลานั้น ไม่มีใครมีโอกาสที่จะได้เรียนรู้สกิลแบบนั้น เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นมัน
วิลเลียมไม่เคยคิดว่าเขาจะโชคดีได้ขนาดนี้
มันยังมีคลื่นโซลช็อค…
สัมผัสแห่งวิญญาณ…
เสน่ห์แห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์…
และแม้แต่ควบคุมจิตวิญญาณ สกิลที่น่ารำคาญแต่ล้ำมากๆ…
เหล่าสกิลพลังจิตนั้นมีประโยชน์อย่างมากในสกิลการช่วยเหลือและควบคุม…
ส่วนที่สำคัญที่สุดคือ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้คิดว่าหนึ่งในเอฟเฟคพิเศษของเวทมนต์แห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะสามารถเพิ่มการต้านทานเวทมนต์ของเขาได้ทุกประเภท มันบ้ามากไปแล้ว
แม้ว่าเอฟเฟคพิเศษในตอนนี้จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะพวกมันเพิ่มการต้านทานเวทมนต์ของเขาแค่ 1% แต่เมื่อเลเวลของเขาเพิ่มขึ้น เอฟเฟคเหล่านั้นก็จะพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด
เพราะความสามารถติดตัว, ความสามารถ และอุปกรณ์รวมกับการต้านทานเวทมนต์รอบด้านนั้นเป็นอะไรที่หาได้ยาก เอฟเฟคพิเศษนี้เป็นเหมือนกับการพบเจออุปกรณ์รีเจนดารีที่เติบโตได้ อย่างไรก็ตาม มันต้องใช้เวลาไม่น้อยเลยทีเดียวในการที่จะพัฒนาอย่างเหมาะสม…
“ฉันต้องพูดเลยว่า ฉันกำลังเดินอยู่บนทางของบอสระดับตำนาน…” วิลเลียมจ้องไปที่หน้าต่างคุณสมบัติของเขาอย่างมีความสุข เขามีเลเวลแค่ 15 เป็นผู้อ่อนแอและไม่มีอุปกรณ์สำหรับการต้านทานอื่นๆ ด้วยชุดเกราะชั้นในระดับอีปิคของเขาเพียงอันเดียว พลังชีวิตของเขาก็อยู่ที่ 3021 แล้ว นี่มันบ้ามากเลยใช่มั้ยล่ะ?
ถ้าเขาสามารถสร้างเกราะเหล็กด้วยมิทริลได้ แน่นอนว่าพลังชีวิตของเขาจะต้องเพิ่มมากกว่า 5000!
ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว
นี่คือบอสระดับตำนาน
เขาแข็งแกร่ง มีทั้งความต้านทานและความอดทนสูง
นี่เป็นความเอื้ออาทรขั้นพื้นฐานที่บอสระดับตำนานมีให้สำหรับผู้เล่น!
ไม่สำคัญว่าบอสระดับตำนานคนนี้จะทำอาชีพอะไร แต่บอสต้องมีการต่อสู้ที่ทนทานเมื่อเผชิญหน้ากับผู้เล่น!
ในฐานะบอสระดับรีเจนดารี วิลเลียมไม่ได้ต้องการอุปกรณ์อะไรมากนักในตอนนี้
เพราะว่าอุปกรณ์ระดับเริ่มต้นจะใช้แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น
หลังจากที่เขาพบเหมืองมิทริล วิลเลียมก็นับได้ว่าเป็นคนที่ร่ำรวยคนหนึ่ง แต่เขาก็ไม่สนใจที่จะเสียทรัพยากรไปเพื่ออุปกรณ์ระดับต่ำแค่ไม่กี่ชิ้น
ท้ายที่สุดแล้ว วิลเลียมก็เข้าใจว่า หากเขาไม่พาตัวเองไปเจอกับปัญหา มันคงจะยากมากที่เขาจะตายภายใต้การคุ้มครองของลอทเนอร์
นอกจากนี้การเพิ่มระดับของเขานั้นค่อนข้างเร็ว จึงไม่มีเหตุผลใดๆที่ต้องสร้างอุปกรณ์
แม้ว่าอุปกรณ์จะสามารถย่อยสลายและกลับกลายเป็นวัสดุได้เหมือนเดิมก็ตาม แต่มันจะดีหรอหากได้มิทริลกลับคืนมาแค่ 1 กิโลกรัม หลังจากใช้ทำอุปกรณ์ไป 10 กิโลกรัม…
ถึงอย่างไรก็ตาม การสร้างอาวุธนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นมากนัก!
หลังจากการค้นพบเหมืองมิทริล เขาได้ให้โอดอมและลอทเนอร์ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างอาวุธให้กับเขา
พวกเขาสร้างดาบยาว, ธนู, และกริช
ทั้งโอดอมและลอทเนอร์ต่างก็มีอาชีพเสริมเป็นช่างตีเหล็ก หนึ่งในพวกเขาเป็นช่างตีเหล็กระดับแกรนด์มาสเตอร์ในขณะที่อีกคนเป็นช่างตีเหล็กระดับมาสเตอร์ อาชีพเสริมของพวกเขานั้นเหนือกว่าอาชีพหลักที่มีระดับกลางเสียอีก…
ท้ายที่สุดแล้ว อาชีพสายเลี้ยงชีพและอาชีพสายต่อสู้ก็ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้
NPC และผู้เล่นนั้นแตกต่างกันอย่างมาก NPC ไม่ได้มีการเพิ่มระดับด้วยค่าประสบการณ์ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องพึ่งพาความชำนาญของอาชีพสายเลี้ยงชีพ
ช่วงหลายปีที่โอดอมอพยพออกมา เขาเลือกที่จะอยู่ในเหมืองเพราะเป็นสิ่งที่ดีต่อคนหมู่มาก
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมงานอดิเรกของเขาถึงทำได้แค่เพียงตีเหล็กเล่นเท่านั้น…
และนั่นก็นานกว่าสี่สิบปีมาแล้วตั้งแต่เขาเกิดมา
เขาเริ่มหัดตีเหล็กตั้งแต่ยังเด็ก มันก็เป็นเวลากว่าสี่สิบปีมาแล้วที่เขาตีเหล็กมา ส่งผลให้เขาได้แขนที่แข็งแรงคู่หนึ่ง
ด้วยแขนที่ทรงพลังของเขาและสายเลือดระดับอีปิคทำให้เขาเป็นช่างตีเหล็กระดับแกรนด์มาสเตอร์ได้
[ระดับของอาชีพสายเลี้ยงชีพ คือ เริ่มต้น, กลาง, สูง, มาสเตอร์, แกรนด์มาสเตอร์, รีเจนดารี]
วิลเลียมให้ทั้งคู่ทำงานร่วมกันเพราะเขาต้องการให้ลอทเนอร์ดูแลเรื่องรูปร่างของอาวุธในขณะที่โอดอมดูแลเรื่องการใช้งานของอาวุธ เพราะเมื่อคนแคระสร้างอาวุธขึ้นมาซักชิ้นหนึ่ง พวกเขาจะจดจ่อกับการใช้งานมากกว่ารูปลักษณ์ ถึงอย่างไรก็ตาม วิลเลียมก็เป็นครึ่งเอลฟ์ที่ดูหล่อเหลา…
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมดาบของเขาถึงต้องดูเท่เช่นเจ้าของ!
ท้ายที่สุดแล้ว การมีความแข็งแกร่งหรือไม่นั้นเป็นปัญหาของเวอร์ชั่นเกม แต่ความดูดีนั้นเป็นสิ่งที่คงทนถาวร
ดาบแห่งรุ่งอรุณ
คุณภาพ : ระดับทอง
ระดับ : เริ่มต้น
ผู้สร้าง : ลอทเนอร์และโอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์
วัสดุ : มิทริล, แร่เหล็กบริสุทธิ์ และอื่นๆ
พลังโจมตี : 180 ~ 310
พละกำลัง : +7
ความว่องไว : +5
เสน่ห์ : +3
ความยาว : 148 cm
น้ำหนัก : 5.6 kg
ข้อจำเป็นในการใช้ : การใช้ดาบมือเดียวต้องการความแข็งแรง 90 หน่วย สำหรับการใช้ดาบสองมือต้องการความแข็งแรง 60 หน่วย
ข้อจำเป็นในการใช้ : ผู้เชี่ยวชาญระดับเริ่มต้น
คุณสมบัติพิเศษ : มีผลต่อการเกิดบาดแผลและมีโอกาส 30% ที่จะทำให้คู่ต่อสู้ตกอยู่ในสภาวะเลือดไหล ซึ่งจะมีผล 8 วินาที และทุกๆวินาทีจะสร้างความเสียหายแก่พลังชีวิต 50 หน่วย
คุณสมบัติพิเศษ : พลังการต่อสู้จะมีพลังโจมตีเพิ่มขึ้น 20%
ธนูแห่งรุ่งอรุณ
คุณภาพ : ระดับทอง (เริ่มต้น)
ระดับ : เริ่มต้น
ผู้สร้าง : ลอทเนอร์และโอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์
วัสดุ : มิทริล, เหล็ก, ไม้, หลอดเลือดดำของหมีป่ายักษ์
พลังโจมตี : 160 ~ 350
พละกำลัง : +3
ความว่องไว : +7
เสน่ห์ : +3
ความยาว : 110 cm
น้ำหนัก : 3.8 kg
ข้อกำหนดการใช้งาน : ต้องมีค่าความแข็งแรงอย่างน้อย 70 แต้ม
ข้อกำหนดการใช้งาน : ผู้เชี่ยวชาญระดับเริ่มต้น
คุณสมบัติพิเศษ : เมื่อโจมตีถูกศีรษะความเสียหายจะเพิ่มขึ้น 30%
คุณสมบัติพิเศษ : มีโอกาสกำจัดหรือผลักคู่ต่อสู้ออกไป 30%
กริชแห่งรุ่งอรุณ
คุณภาพ : ระดับทอง (เริ่มต้น)
ระดับ : เริ่มต้น
ผู้สร้าง : ลอทเนอร์และโอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์
วัสดุ : มิทริล, แร่เหล็กบริสุทธิ์ และอื่นๆ
พลังโจมตี : 160 ~ 330
พละกำลัง : +5
ความว่องไว : +7
เสน่ห์ : +3
ความยาว : 33 cm
น้ำหนัก : 2.1 kg
ข้อกำหนดการใช้งาน : ต้องมีค่าความแข็งแรงอย่างน้อย 60 แต้ม
ข้อกำหนดการใช้งาน : ผู้เชี่ยวชาญระดับเริ่มต้น
คุณสมบัติพิเศษ : เมื่อโจมตีคู่ต่อสู้จากทางด้านหลัง ความเสียหายจากการโจมตีพื้นฐานจะเพิ่มขึ้น 30%
คุณสมบัติพิเศษ : มีผลต่อการเกิดบาดแผลและมีโอกาส 20% ที่ทำให้คู่ต่อสู้ต่ออยู่ในสภาวะเลือดไหล ซึ่งจะมีผล 5 วินาที และทุกๆวินาทีจะสร้างความเสียหายแก่พลังชีวิต 50 หน่วย
ชุดเซ็ทอาวุธแห่งรุ่งอรุณล้วนแต่เป็นอุปกรณ์ทองระดับเริ่มต้นทั้งสิ้น
อุปกรณ์ระดับทองและแม้แต่ระดับอีปิคก็สามารถสร้างขึ้นได้เช่นเดียวกัน
สำหรับโอดอมแล้ว มิทริลและแร่เหล็กบริสุทธิ์นั้นไม่ได้มีมากพอสำหรับการสร้างอาวุธที่ทรงพลังกว่าระดับทองขึ้นไป และอาวุธคุณภาพระดับทองประเภทนี้ก็ถือว่าดีกับคนที่มีระดับเริ่มต้นมากแล้ว
อุปกรณ์ไม่ได้ตั้งค่าสถานะใดๆไว้ แต่ดาบและกริชก็สามารถทำให้ศัตรูตกอยู่ในสถานะเลือดไหลได้ สำหรับทหารธรรมดาแล้ว มันก็คล้ายกับออร์คตอนที่ทำความผิดในวัยเยาว์ และพ่อของตนก็รอใช้ฟันหมาป่าเป็นอาวุธในการลงโทษอยู่
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าความหัวรุนแรงของเหล่าออร์คนั้นเกิดจากความรุนแรงในครอบครัว
อย่างไรก็ตาม ในสังคมที่ถูกชักนำโดยชนชั้นสูง พวกเขาก็ควรคุ้มครองชาวเมืองในขณะที่พวกเขายังทำได้…
สำหรับนักรบที่ต่อสู้ระยะสั้นใน Gods นอกจากพวกที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้โล่ต่อสู้ พวกเขาก็มักจะเลือกใช้อาวุธสองชนิด
อาวุธหลักจะใช้ทำความเสียหายเป็นหลัก ขณะที่อาวุธเสริมอาจจะใช้สำหรับลอบโจมตีหรือขัดขวางการโจมตี แน่นอนว่าอาวุธเสริมก็เป็นตัวทำความเสียหายที่ดีได้อีกด้วย ความแตกต่างที่สำคัญคือสไตล์การต่อสู้ของแต่ละคน
ส่วนพวกเขาจะสามารถขัดขวางการโจมตีสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคและทักษะส่วนบุคคล…
เมื่อผู้เล่นใหม่หลายคนเห็น NPC เล่นดังนั้น พวกเขาก็เริ่มเล่นตามและจบลงด้วยการตาย…
ในช่วงสิบปีของการเล่นเกม วิลเลียมใช้อาวุธสองมือได้คล่องแคล่วมาก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเจาะจงขอกริชสั้นเป็นพิเศษ ในชีวิตก่อนเมื่อตอนเบื่อๆเขาก็อาจจะไปเป็นนักฆ่า แต่ในที่สุดการเป็นนักฆ่าก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เขาชอบและเข้ากับแนวทางของการเป็นนักฆ่าได้อย่างดี
ส่วนคทาเวทมนตร์?
นั่นเป็นสิ่งที่เขาควรแตะต้องหรอ?
เหตุผลที่เขาอยากเรียนรู้เวทมนตร์สายสนับสนุนที่ควบคุมได้เช่นเวทย์วิญญาณเพราะว่าเขาไม่ต้องการที่จะแตะต้องคทาเวทมนตร์ยังไงล่ะ…
“หลังจากที่ฉันนำค่าประสบการณ์ทั้งหมดไปเพิ่มเลเวลของเวทย์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ มันก็เพิ่มไปถึงเลเวล 5 ทันที ในขณะที่ทักษะอื่นๆถึงแค่เลเวล 3 แต่แค่นี้ค่าประสบการณ์ก็ไม่มีเหลือแล้ว…” วิลเลียมทึ้งหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด เกมนี้คือที่สุดแห่งการดูดค่าประสบการณ์แล้ว
การเพิ่มเลเวลตัวละครจำเป็นต้องใช้ค่าประสบการณ์จำนวนมาก ในขณะที่พลังการต่อสู้และหนังสือเวทมนตร์ต่างก็เป็นสิ่งที่สำคัญและต้องการค่าประสบการณ์ หรือแม้แต่ทักษะเองก็ต้องใช้ค่าประสบการณ์อีกด้วย
หากเขาตายอีกครั้ง เขาจะไม่ได้ไปสุสานของผู้เล่นอีกต่อไป แต่อาจจะกลายเป็นวิญญาณผู้เล่นแทน
“หากฉันไม่ได้รับภารกิจมาเมื่อสองวันก่อน ฉันคงกังวลนิดหน่อยเป็นแน่” วิลเลียมมองไปยังภารกิจระดับ A ในรายการภารกิจของเขาจนน้ำลายแทบไหล ถ้าได้ค่าประสบการณ์อันมหาศาลตรงหน้าเขาจะเลื่อนเลเวลได้กี่ระดับกันนะ?
สร้างเมือง
ระดับภารกิจ : A
จำนวนสิ่งก่อสร้าง : 5355/8000
กำแพง : 0/10000 เมตร กำแพงห้ามต่ำกว่า 5 เมตร และห้ามบางกว่า 1 เมตร
โถงประชุม : 0/1
ห้องตีเหล็ก : 5/5
ห้องตัดเย็บ : 5/5
ค่ายทหาร : 2/2
ขนาดกองทัพ : 800/500
โถงอาชีพ : ผู้ฝึกนักรบ 1/1 , ผู้ฝึกนักฆ่า 1/1, ผู้ฝึกอัศวิน 1/1 , ผู้ฝึกหน่วยลาดตระเวน 1/1, ผู้ฝึกนักล่า 1/1, ผู้ฝึกนักยิงปืน 0/1
อาจารย์สอนผู้วิเศษระดับเริ่มต้น 1/1, อาจารย์สอนเวทย์ระดับเริ่มต้น 1/1, อาจารย์สอนเวทย์ธาตุ 4/5, แม่มด 1/1
กลุ่มทหารรับจ้าง : 0/1
โรมแรมขนาดเล็ก : 0/3
วิหารแห่งแสง : สามารถก่อสร้างได้
วิหารเวทมนตร์ : สามารถก่อสร้างได้
ราชวังแห่งความมืด : สามารถก่อสร้างได้
จำกัดเวลา : 180 วันถึง 360 วัน
รางวัลค่าประสบการณ์ : ค่าประสบการณ์ 300000 หน่วย หากสำเร็จภายในหกเดือน คุณจะได้รับค่าประสบการณ์เพิ่มเป็นพิเศษ หากสำเร็จหลังจากหกเดือน ค่าประสบการณ์จะลดลง
รางวัลลับ : ?
การสร้างเมืองเป็นเป้าหมายเล็กๆของวิลเลียมในอีกหกเดือนข้างหน้า ส่วนรางวัลลับ เขามองไปยังมรดกที่เขาปกป้องและเลือกที่จะไม่ขอสิ่งใดอีก
“แม้ว่าเราจะมีห้องตีเหล็กเพียงห้าห้อง แต่ก็ล้วนเป็นห้องตีเหล็กขนาดใหญ่พิเศษ และมีช่างตีเหล็กชั้นดี 133 คน” วิลเลียมไม่ได้หยุดคนแคระจากการสร้างห้องสำหรับช่างตีเหล็กขนาดใหญ่พิเศษ
ท้ายที่สุดแล้ว คนแคระเหล่านี้ก็หนีหัวซุกหัวซุนมาหลายปี และเวลาส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิตอยู่ในเหมืองหรือไม่ก็ถ้ำ นอกจากการต่อสู้แล้ว พวกเขารู้ว่าพรสวรรค์ตามธรรมชาติของตนคือการตีเหล็ก
เขาต้องยอมรับว่า ในที่อื่นๆนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนแคระเป็นช่างตีเหล็กจำนวนมากแม้ว่าพวกเขาจะต้องการก็ตาม มีหลายเมืองที่อยากได้ช่างตีเหล็กระดับสูง แต่พวกเขาก็ได้แต่ฝันกลางวันเท่านั้น
แต่เมืองชายแดนแห่งนี้มีช่างตีเหล็กระดับสูงอยู่กี่คนล่ะ?
มากกว่าสามสิบ
ก็ช่วยไม่ได้นะ แม้แต่คนแคระที่ตามธรรมชาติมีเหล็กเป็นของเล่นสำหรับพวกเขาอยู่แล้วก็มีระดับที่สมเหตุสมผลตามเหตุการณ์ที่เขาต้องเผชิญ พวกเขาต้องรักษาชีวิตตัวเองจึงไม่สามารถมีงานอดิเรกอย่างอื่นได้อีก…
สำหรับช่างตีเหล็กระดับมาสเตอร์ นอกจากลอทเนอร์แล้วก็ยังมีช่างตีเหล็กคนแคระอีกมาก!
ส่วนช่างตีเหล็กระดับแกรนด์มาสเตอร์ นอกจากโอดอม ก็ยังมีเฒ่าแฮงค์ที่เป็นตัวละครลับสายเลือดระดับอีปิค
แล้วจะมีคนซื้อสิ่งที่คนแคระสร้างหรือไม่?
นี่ไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวล
ในฐานะลอร์ด วิลเลียมต้องหาทางที่จะขายพวกมันได้อย่างแน่นอน เช่นอาณาจักรลาวาดำที่ไม่มีทรัพยากรเหล็กเป็นเวลายาวนานแล้ว พวกเขาจะซื้อชุดอุปกรณ์เป็นจำนวนมากเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก
แต่ท่านลอร์ดก็ไม่ได้วางแผนที่จะขายแค่เหล็กธรรมดาอีกต่อไป เขาให้สร้างพวกมันเป็นชิ้นส่วนของอุปกรณ์ จึงจะขายได้ราคาที่สูงกว่า
การเป็นช่างตีเหล็กไม่เพียงแต่ได้รับค่าประสบการณ์จำนวนมากเท่านั้น แต่ยังได้รับเงินก้อนโตอีกด้วย
แน่นอนว่า ในฐานะพ่อค้าคนกลาง เขาจะได้รับผลประโยชน์มากที่สุด เพราะในฐานะลอร์ด วิลเลียมเป็นเจ้าของเหมืองเหล็กและคนแคระก็ทำงานให้กับเขาด้วย
วิหารแห่งแสง, วิหารเวทมนตร์ หรือราชวังแห่งความมืดนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่เป็นของฝ่ายกลางทั้งหมดจึงไม่ต้องกังวลที่จะมีสิ่งก่อสร้างเหล่านี้อยู่ในเมือง
การเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายกลาง เมืองชายแดนสามารถเลือกที่จะไม่สร้างสิ่งก่อสร้างทั้งสามได้
แต่ถึงอย่างไรพวกมันก็จะถูกสร้างขึ้นพร้อมกันอยู่ดี
สิ่งก่อสร้างเช่นนี้เป็นการกระจายความเชื่อของตนเอง ทั้งสามสิ่งนั้นต่อสู้กันตลอดเวลา
หากพวกเขาสร้างวิหารแห่งแสง อาชีพหายากเช่นอัศวินแห่งแสงและบาทหลวงก็จะปรากฏออกมา
หากพวกเขาสร้างสถานที่อื่นๆอีก อาชีพหายากบางอาชีพก็จะปรากฏออกมาเช่นกัน
“มันเป็นเรื่องยุ่งยากเล็กน้อยที่จะติดต่อกับคนเหล่านั้น หรือไม่พวกเขาก็อาจจะดูถูกเหยียดหยามเมืองของฉันจนไม่จำเป็นต้องส่งใครมา…” วิลเลียมเกาหัว เขาต้องสร้างวิหารแห่งแสงและราชวังแห่งความมืด ผลประโยชน์หลักคือการดึงดูดผู้เล่นในอนาคต
ส่วนวิหารเวทมนตร์ เขาไม่ควรสร้างมัน ไม่เช่นนั้น ชีวิตในอนาคตของโมเสสอาจจะยุ่งยากและเขาอาจจะออกจากเมืองไป
เขาไม่อยากทิ้งการเป็นบอสระดับรีเจนดารีในอนาคตแค่เพื่ออาจารย์สอนเวทมนตร์ระดับกลาง
“หรือฉันควรโยนมันทิ้งทั้งหมดแล้วไปสร้างหอคอยผู้วิเศษสำหรับโมเสสตอนนี้เลยดีไหม?” วิลเลียมเกาศีรษะอีกครั้ง การสร้างหอคอยผู้วิเศษนั้นแพงมาก แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย แค่เป็นไปได้ยากนิดหน่อยล่ะนะในตอนนี้…
โถงอาชีพไม่ได้มีไว้ใช้แค่สำหรับผู้เล่นในอนาคตเท่านั้น แต่มันยังมีไว้สำหรับ NPC ในปัจจุบันอีกด้วย
เหล่าอาจารย์ที่ทำงานที่นั่นต่างก็เป็นเอลฟ์ที่อยู่ภายใต้คำสั่งของเขาทั้งนั้น
มีมืออาชีพมากมายอยู่ในเมืองของวิลเลียม ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้เชี่ยวชาญปกติทั่วไป
สำหรับผู้สอนที่ยังมีไม่ครบ เขาไม่ได้ต้องการที่จะเร่งรัดหาคน เขาจะจ้างแค่บุคคลที่เขาต้องการให้มาเป็นผู้สอนจริงๆ เท่านั้น
ท้ายที่สุดแล้ว มันก็เหมือนๆ กันเกือบทั้งหมดสำหรับทั้ง NPC และผู้เล่น เลเวลของอาจารย์ผู้สอนต้องมากกว่าพวกเขาเล็กน้อย พวกเขาไม่ได้ต้องการให้อาจารย์แข็งแกร่งมากเกินไปนัก
แค่ทักษะและคำภีร์ลับเหล่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกอับอายกับทักษะที่ตนเองมี…
“ท่านลอร์ด อัศวิน 30 คน, นักรบ 20 คน, นักดาบเวทย์ 20 คนและทหารลาดตระเวน 30 คนพร้อมแล้วครับ!”
วิลเลียมพยักหน้าให้น็อกซ์ก่อนที่เขาจะหันหน้าไปทางโอดอมซึ่งกำลังทำท่าให้น็อกซ์ออกไป ก่อนจะกล่าวว่า “เราจะส่งภารกิจการขยายเมืองให้แก่ท่านในอีกไม่กี่วัน ลอทเนอร์และตัวเราจะกลับมาโดยเร็ว ถ้าพวกเราสามารถพัฒนาเส้นทางการซื้อขายได้ พวกเราก็จะสามารถส่งออกมิทริลได้อย่างสม่ำเสมอในอนาคต”
“ขอองค์ชายโปรดวางใจ ข้าขอใช้ชีวิตของข้าเพื่อปกป้องอาณาเขตแห่งนี้!” โอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์หลบหนีอย่างหัวซุกหัวซุนมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ในที่สุดตอนนี้เขาก็มีชีวิตที่มั่นคงเสียที แน่นอนว่าเขาจะต้องถนุถนอมมันไว้
อีกอย่าง เพราะวิลเลียมนำทหารเข้าไปช่วยเหลือพวกเขา มันจะไม่มีการก่อกบฏหรืออะไรทำนองนั้นอย่างแน่นอน
สำหรับการส่งต่อภารกิจการขยายเมือง?
มุมปากของโอดอมไม่อาจห้ามที่จะกระตุกได้ เมื่อไหร่กันนะที่ลอร์ดคนนี้เคยมีหน้าที่รับผิดชอบกับเขาด้วย?”
“เราขอฝากท่านด้วย!” วิลเลียมพยักหน้าอย่างไม่สะทกสะท้านก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนม้าขาวและจากไปพร้อมกับกองกำลังของเขา
ป่าแบล็คลีฟส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในสภาพโดยธรรมชาติของมัน ดังนั้นมันจึงแทบไม่มีทางที่กว้างขวาง แม้ว่าจะมีคนสร้างถนนในป่าไว้ แต่ถ้าไม่มีใครใช้งานถนนนั้นเป็นเวลานานๆ มันก็จะถูกวัชพืชปกคลุมอย่างช้าๆ และกลับสู่สภาพเดิมที่มันเคยเป็น
อย่างไรก็ตาม มันก็มีเรื่องที่ดีอยู่บ้าง…
สำหรับการเป็นลอร์ด วิลเลียมสามารถมองคนของเขากวัดแกว่งมีดเพื่อเปิดเส้นทางด้านหน้าให้เขา ในขณะที่เขาขี่ม้าและดื่มเหล้าผลไม้ตามไปข้างหลังอย่างช้าๆ…
ในฐานะผู้บริหารและองค์รักษ์มือขวาของวิลเลียม ลอทเนอร์ก็ติดตามอยู่ด้านหลังเงียบๆ เช่นกัน เขาต้องเก็บพลังงานของเขาไว้แทนการใช้มันไปกับงานหนักเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขาคอยมองวิลเลียมซึ่งกำลังเพลิดเพลินไปกับการทำงานของเหล่าทหารอย่างสบายใจอยู่นั้น ลอทเนอร์ก็รู้สึกราวกับว่าวิลเลียมดูเหมือนจะใช้อำนาจความเป็นลอร์ดของเขาอย่างเต็มที่จริงๆ
อย่างเช่นตอนที่พวกเขากำลังก่อสร้างเมือง วิลเลียมคิดเกี่ยวกับสถานที่สำหรับความบันเทิงมากมายที่หลายๆ เมืองไม่มี
ยกตัวอย่างเช่น มีคาสิโนมากถึง 3 แห่ง เมืองเล็กๆ อย่างนี้จะมีคาสิโนไปมากมายทำไมกัน? นอกจากเงินจากการพนัน พวกเขาสามารถพนันอุปกรณ์ของพวกเขาได้ แต่จะมีคนโง่ซักกี่คนกันที่จะทำเรื่องแบบนั้น?
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ได้ยินว่าวิลเลียมวางแผนที่จะหาอุปกรณ์ดีๆ และให้โอดอมทำอุปกรณ์ระดับอีปิคชิ้นหนึ่งเพื่อเป็นรางวัลใหญ่ในคาสิโนเหล่านั้น
แม้แต่ลอทเนอร์ก็อยากจะลองเสี่ยงโชคของเขาที่นั่นดู
มีบาร์ทั้งหมด 5 บาร์… มันมากไปสำหรับเมืองหนึ่งเมืองหรือไม่? ลอทเนอร์ไม่คิดเช่นนั้น
สำหรับหอนางโลม วิลเลียมถึงขนาดแอบสร้างมากถึง 3 แห่งอย่างลับๆ…
ลอทเนอร์ไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้คิดได้ว่า ท่านลอร์ดของพวกเขาโตเร็วเกินกว่าวัยอันควรหรือเปล่า หรือเขากำลังอยู่ในช่วงหาคู่?
ที่สุดแล้ว เอลฟ์ก็ต้องมีอายุอย่างน้อย 30 ปีที่จะเข้าสู่วัยสืบพันธุ์
แม้ลอทเนอร์จะยังไม่เคยเข้าใช้บริการ แต่เขาก็รู้ว่ามันทำงานอย่างไร เขาไม่อาจดูถูกธุรกิจหอนางโลมได้เลย ในเมืองมนุษย์ที่ใหญ่กว่านี้เล็กน้อย กำไรของหอนางโลมนั้นสูงยิ่งกว่าสองบาร์รวมกันอีก!
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขจำเป็นอันดับแรกคือวิลเลียมจะไม่บังคับผู้หญิง
วิลเลียมชำเลืองมองลอทเนอร์เงียบๆ เขารู้สึกว่าชายคนนี้กำลังวิพากษ์วิจารณ์อะไรเขาอยู่เงียบๆมาสักพักแล้ว ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่วิธีการที่ดีเช่นกัน เราต้องทำถนนระหว่างเมืองชายแดนกับทะเลสาบบลูมูน ถ้าไม่อย่างนั้น เมื่อเราเริ่มขายแร่มิทริลแล้วจะต้องมีเหรียญทองอีกตั้งมากมายหลายกล่องให้ขนกลับมิใช่หรือ?”
“ถนนก็ไม่ได้เรียบนัก ดังนั้นเราจำเป็นต้องให้คนของเราขนกล่องพวกนี้กลับงั้นหรอ? แน่นอนว่าเราจะต้องใช้รถม้าในการขน”
“อีกอย่าง ยิ่งใช้เวลานานเท่าไหร่ ก็ยิ่งอันตรายสำหรับพวกเรามากเท่านั้น แม้ว่าพวกเราจะซื้อขายกับเอลฟ์ แต่พวกเขาก็ไม่ใช่แค่เผ่าพันธุ์เดียวที่อาศัยอยู่ในป่าแบล็คลีฟ”
“ข้าเข้าใจท่าน ท่านไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ข้าฟังก็ได้” ลอทเนอร์เข้าใจโดยธรรมชาติอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่อาจเข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง ทำไมจู่ๆ ท่านลอร์ดถึงเคารพเขาขึ้นมา
“ฮึ่ม ดีแล้วที่ท่านเข้าใจ ส่วนสำคัญเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้ยังคงขึ้นอยู่กับท่าน ท่านลุงลอทเนอร์!” วิลเลียมยิ้มอย่างจริงใจ…
“นี่ท่านเรียกข้าว่าลุงอีกแล้ว?” ลอทเนอร์หันหน้าหนีก่อนจะพึมพำ ทุกครั้งที่วิลเลียมเรียกเขาว่าลุง เขามีความรู้สึกว่าเขาจะต้องลงมือทำอะไรบางอย่างอีกแล้ว
อย่างเช่น…
การต่อสู้กับออร์คขาวครั้งนั้น…
อย่างเช่น…
คราวก่อนที่เขาให้ม้วนกระดาษมรดกกับวิลเลียม…
ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว
วิลเลียมเป็นคนที่ซื่อตรงจริงๆ ในเมื่อเขายังคงเด็กและอ่อนแอ เขาจำเป็นต้องมีชายที่แข็งแกร่งและมีความสามารถสักคนมาปกป้องเขาและต่อสู้เพื่อเขาในการเดินทางที่แสนอันตราย
ร้อยกิโลเมตรไม่ได้ฟังดูไกลนัก
แต่สำหรับพวกเขาที่อยู่ในป่าธรรมชาติและต้องคอยเบิกทางเดินเอง ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
ถึงแม้ว่ามืออาชีพจะใช้พลังการต่อสู้ของพวกเขาในการเบิกทาง พวกเขาก็ต้องใช้เวลาสามถึงห้าวันเช่นกัน
เขามีนักเวทย์น้อยเกินไปและเหล่านักเวทย์ส่วนใหญ่ภายใต้อำนาจของเขาอยู่ในระดับกลาง การเบิกทางจะง่ายขึ้นเยอะถ้าเขามีนักเวทย์ธาตุดินหรือนักเวทย์ธาตุไม้สักหน่อย
ตอนขากลับจะเร็วขึ้นเยอะ ตราบใดที่ไม่มีเหตุการณ์เหนือความคาดหมายเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง พวกเขาน่าจะกลับถึงอาณาเขตภายในครึ่งวัน
…………
อาณาจักรลาวาดำมีขนาดพอๆกับมณฑลเฮย์หลงเจียงในประเทศจีน
เมืองหลวงของอาณาจักรนี้ถูกเรียกว่าเมืองลาวาดำ
สิ่งก่อสร้างทุกอย่างถูกสร้างขึ้นด้วยหินลาวาดำชนิดหนึ่งที่มีลวดลายสวยงาม ในตอนกลางคืน ถ้าพวกเขาไม่จุดไฟถนนด้วยตะเกียงเวทมนต์ พวกเขาจะไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย…
อย่างไรก็ตาม หินลาวาดำชนิดนี้แข็งแรงอย่างมากและใช้กับเวทมนต์ได้ดีในระดับหนึ่ง ตราบใดที่นักเวทย์ทำงานตลอดทั้งคืน พวกเขาก็จะสามารถเสริมความแข็งแกร่งของระดับการป้องกันของหิน และนี่เป็นเหตุผลหลักที่พวกเขาเลือกหินชนิดนี้เป็นวัสดุก่อสร้าง
บนถนนหลักอันกว้างใหญ่ เคอรี่สวมใส่เครื่องแต่งกายที่หรูหรา เขาดูดีขึ้นกว่าสภาพซอมซ่อที่เขาเป็นเมื่อไม่กี่วันก่อน
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นหนึ่งในชนชั้นสูงจริงๆเสียด้วย เขาเป็นชนชั้นสูงในอาณาจักรลาวาดำ
แม้ว่าเขาจะอายุเยอะพอสมควรแล้ว แต่ก็ยังไม่มีอาณาเขตของตนเอง
เพราะว่าอาณาจักรลาวาดำมีดินแดนที่จำกัดและมีขุนนางอยู่มากมาย ดังนั้นในตอนนี้จึงไม่มีดินแดนเหลือไว้สำหรับเขา นอกเสียจากอาณาจักรแห่งนี้จะยึดครองดินแดนใหม่มาได้ แต่จะมีชนชั้นสูงจำนวนเท่าใดกันที่อยากจะทำเรื่องน่าเหนื่อยหน่ายเช่นนั้น?
ณ ตอนนี้ มรดกเพียงอย่างเดียวที่เคอรี่อาจได้รับก็คือตำแหน่งดยุคและอาณาเขตของบิดา
แต่เขาเองก็มีพี่ชายอยู่คนหนึ่งเช่นกัน…
ตามกฏการสืบทอดมรดกในทวีปรีเจนดารีแล้ว หากไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก ตำแหน่งมักจะถูกส่งต่อไปยังลูกชายคนโต และเขาเองก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่ชายเท่าไหร่นัก ดังนั้นเขาจึงสามารถคาดเดาผลลัพธ์ที่จะออกมาได้เลย
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม เคอรี่ ผู้ที่รู้ชะตากรรมตัวเองแต่เนิ่นๆถึงรับมรดกจากแม่ของตนก่อนที่เธอจะเสียชีวิตแล้วตั้งกลุ่มวาณิชย์ขึ้นมา หลังที่ประสบกับเหตุการณ์ที่เฉียดตายมาแปดปีเต็ม กลุ่มวาณิชย์ของเขาก็ได้ขยับขยายออกไปเป็นจำนวนมาก นอกจากกลุ่มของเขาแล้ว ยังมีกลุ่มเล็กๆอีกห้ากลุ่ม ซึ่งทำให้เขาได้รับเหรียญทองจำนวนมากทุกปี
และเขาก็ได้ใช้เหรียญทองพวกนี้เพื่อจ้างผู้เชี่ยวชาญหลายคนเข้ามาในทีม และเขาวางแผนที่จะอาศัยเวลาตอนที่พี่ชายของเขาเข้าป่าแบล็คลีฟไปล่าสัตว์ เพื่อกำจัดเขาให้สิ้นซากซะ!
“ล่าสัตว์ในป่าแบล็คลีฟงั้นหรอ” เคอรี่ได้ผลัดเปลี่ยนเส้นทางในการกลับสู่เมืองลาวาดำหลายครั้ง ก่อนที่เขาจะเข้าไปในตรอกมืด
แต่อย่างไรก็ตาม…
เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานเขาก็กลับออกมาด้วยสีหน้าที่มืดมน
“ราคาที่นักฆ่าเงาเรียกร้องนี่มัน… ช่างใจดำเสียจริง!” เคอรี่ชอบที่จะเตรียมการทุกอย่างไว้ให้พร้อม โดยเฉพาะเมื่อเป็นการเตรียมการสำหรับอนาคต ดังนั้นมันคงจะดีกว่าหากเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้าแต่เนิ่นๆ
อย่างไรก็ตาม ในฐานะกลุ่มนักฆ่าชั้นนำในทวีปรีเจนดารี ราคาของนักฆ่าเงามักจะสูงมาก
“แต่เพราะว่าเขาจะไปล่าสัตว์ที่ป่าแบล็คลีฟ แล้ว… ฉันควรไปคุยกับเจ้าชายองค์นั้นดีไหมนะ? งานล่าสัตว์จะจัดขึ้นในอีกสิบวันข้างหน้าและมันก็ไม่ได้ไกลจากอาณาเขตของเขาเลยนี่”
เคอรี่ไม่ได้มีเงินมากนัก เขาเป็นแค่ชาวเมืองตัวเล็กๆ ด้วยราคาที่นักฆ่าเงาเรียกร้องมา เขาอาจจะมีเงินไม่พอจ่ายค่าปิดปากหลังจากจ่ายเงินค่าจ้างนักฆ่าเงาไปแล้วก็ได้
เป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้เขานึกถึงท่าทางที่หยิ่งยโส แต่แววตาบ่งบอกถึงความละโมบของลอร์ดแห่งเมืองชายแดน
“ท่านชื่นชอบเหล่าทาสใช่ไหมล่ะ? งั้นข้าจะเพิ่มให้กับท่านสักหน่อยแล้วกัน” เขาเลิกคิ้วขึ้นขณะที่ตัดสินใจได้แล้ว
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ
วิลเลียมและพรรคพวกมาถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย
ส่วนที่แตกต่างของทะเลสาบบลูมูนค่อยๆรวมเข้ากันอย่างช้าๆจนกลายเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ เมื่อพวกเขาเข้าใกล้เมืองบลูมูนมากเท่าไหร่ วิสัยทัศน์ก็กว้างขึ้นเท่านั้น
เมื่อมีเอลฟ์กว่าหมื่นตนอาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ ขนาดของเมืองนี้จึงใหญ่กว่าเมืองชายแดนในปัจจุบันอยู่หลายเท่านัก
นอกจากเมืองหลวงอย่างเมืองดาร์กไนท์แล้ว เหล่าเอลฟ์แบล็คลีฟมักจะอยู่ตามแนวชายแดนเพราะว่าพวกเขาชอบที่จะอยู่บนต้นไม้และชอบวิสัยทัศน์ที่สมบูรณ์อิสระ เอลฟ์ผู้วิเศษที่ใช้เวทย์ธาตุไม้มักจะมีความรู้เกี่ยวกับทักษะและมรดกตกทอดที่หายาก
พวกเขาสามารถปลูกเมล็ดพรรณเวทมนตร์บนพื้นดินและใช้เวทมนตร์ทำให้เมล็ดพรรณงอกเงยได้อย่างงดงาม และหลังจากมันเติบโตแล้วก็ยังสามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างของต้นไม้ให้กลายเป็นบ้านต้นไม้ประเภทต่างๆได้
เพราะฉะนั้น เมืองเอลฟ์ที่งดงามและน่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่งเช่นนี้จึงค่อยๆปรากฏขึ้นในสายตาของทุกๆคน
ภาพที่พวกเขาเห็นคือ…
ต้นไม้สูงชะลูดเชื่อมโยงติดต่อกันเป็นทอดๆ ขณะที่บ้านต้นไม้แต่ละหลังก็แตกต่างกันออกไปและสวยงามประณีตหยดย้อย ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นบนต้นไม้ที่สูงกว่าสิบเมตรจากพื้นดิน ตามระเบียงต่างก็มีดอกไม้สีสันสดใสนานาชนิด
กิ่งไม้แต่ละต้นเปรียบได้กับเส้นทางที่เชื่อมระหว่างบ้านต้นไม้แต่ละหลังเข้าด้วยกัน เหล่าเอลฟ์ที่อาศัยอยู่ต่างพากันเดินบนกิ่งไม้อย่างคล่องแคล่ว แม้ว่าพวกเขาจะเริ่มวิ่งก็ไม่มีทางที่จะตกลงมาได้
ราวกับลิงที่สามารถรู้วิธีปีนต้นไม้ได้ตั้งแต่กำเนิด
ภายใต้กิ่งก้านสาขาเต็มไปด้วยเถาวัลย์ขดพันกันไปมา และเมื่อเถาวัลย์เหล่านี้ถูกร่ายด้วยเวทมนตร์ พวกมันก็กลายเป็นชิงช้า, บันได, และเปลญวน
พวกเอลฟ์จะอาศัยอยู่ทางฝั่งทิศใต้ ในขณะที่ทะเลสาบบลูมูนจะอยู่ทางทิศเหนือ เมื่อเปิดหน้าต่างในทุกๆเช้าจะสามารถพบกับทะเลสาบที่เงียบสงบและเป็นประกายระยิบระยับ
การมาถึงของวิลเลียมและพรรคพวกของเขาได้ดึงดูดความสนใจของเอลฟ์หลายๆตน มีเอลฟ์น้อยบางตนที่เล่นอยู่แถวๆทะเลสาบมองมายังวิลเลียมที่เป็นผู้นำด้วยความอยากรู้อยากเห็น และพูดอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใดว่า “ลุงคะ ทำไมลุงถึงไม่มอมแมมล่ะคะ?”
“…”
วิลเลียมหันกลับไปมองคนของเขาที่ดูไม่จืดเลยสักนิด ก่อนจะใช้สายตาที่ผ่อนคลาย
จากนั้นเขาก็ลงจากหลังม้า เดินไปยังตรงหน้าของเด็กหญิงตัวเล็ก แล้วลูบหัวเธอเบาๆ “เพราะว่าเธอเตี้ยกว่าฉันถึงไม่เข้าใจยังไงล่ะ”
“…”
เอลฟ์ตัวน้อยสับสนไปหมด เธอไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าประโยคนั้นแปลว่าอะไร เธอจำไม่ได้ว่าคำตอบของคุณลุงคนนี้เกี่ยวกับคำถามของตนเองอย่างไร
แต่กว่าเธอจะเรียกสติคืนมาได้ วิลเลียมก็จากไปพร้อมกับคนของเขาเสียแล้ว
แต่เมื่อหนูน้อยกลับไปคิดถึงเหล่าฝูงปลาในทะเลสาบบลูมูนอีกครั้ง เธอก็ไปเล่นและจับปลากับเพื่อนของเธอต่อ…
เมื่อพบกับการมาถึงของเอลฟ์สวมชุดเกราะ เอลฟ์ในเมืองบลูมูนก็ไม่ได้ยินดีมากนัก
แม้ว่าเอลฟ์จะพบกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานหลายทศวรรษ พวกเขาก็จะไม่กอดและทักทายกันเสียงดัง
แน่นอนว่าถ้าความสัมพันธ์ของพวกเขาดีมาก พวกเขาก็จะแค่พยักหน้าและดื่มเหล้าผลไม้ พูดคุยกันถึงสิ่งที่น่าสนใจที่พวกเขาพบเจอระหว่างแยกทางกันเท่านั้น
ด้วยช่วงชีวิตที่ยาวนานทำให้พวกเขาคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตไปอย่างช้าๆ
พวกเขาชอบชื่นชมศิลปะ เพลิดเพลินไปกับความงามของธรรมชาติ และสนุกไปกับชีวิตอย่างเหมาะสมแทนที่จะไปไล่ฆ่าเผ่าพันธุ์อื่น
สิ่งเหล่านี้ยังทำให้เอลฟ์ที่มีอายุมากกว่า มีประสบการณ์มากขึ้นในบางแง่มุม
เอลฟ์ช่างตีเหล็กที่แท้จริงนั้นสามารถก้าวเข้าสู่ระดับแกรนด์มาสเตอร์หรือระดับรีเจนดารีได้ตราบใดที่พวกเขามีชีวิตอยู่ได้นานถึงพันปีและชอบในงานอดิเรกเช่นนี้ แม้ว่าความสามารถของเขาจะตกต่ำแค่ไหนก็ตาม
มีบางคนเคยกล่าวว่าหากหมูใช้ชีวิตอยู่ได้ราวหมื่นปี ก็อาจกลายเป็นพระเจ้าได้เช่นกัน
แม้ว่าจะไม่ได้เป็นพระเจ้า แต่หมูที่ใช้ชีวิตราวหมื่นปีก็คงกลายเป็นตำนาน
ครั้งหนึ่ง ผู้เล่นเคยคัดสรรความลึกลับอันใหญ่ของ Gods สิบข้อที่ยังไม่ถูกแก้ไข
หนึ่งในนั้นก็คือ เอลฟ์มีอาชีพระดับรีเจนดารีกี่อาชีพ?
ไม่มีใครรู้จำนวนที่แน่นอน รู้แต่ว่ามีอยู่จำนวนมาก
ไม่ต้องสงสัยเลย นักรบเอลฟ์ที่อายุมากกว่านั้นจะแข็งแกร่งกว่าเอลฟ์ที่อายุน้อย แม้ว่าประสบการณ์การต่อสู้ ทักษะ และพลังการต่อสู้หรือความสามารถทางเวทมนตร์จะไม่เปลี่ยนแปลง และไม่ได้เพิ่มระดับใดๆขึ้นอีก แต่ค่าสถานะส่วนบุคคลของพวกเขาก็ยังคงเติบโตตามกาลเวลา
คล้ายกับมังกรยักษ์แกร่งกล้าที่มีอายุยาวนานมากๆ จึงไม่ค่อยมีใครกล้ารุกรานเอลฟ์ที่มีอายุเกินกว่าพันปีเท่าใดนัก
เหล่าเอลฟ์ที่อายุยืนยาวเหล่านี้จะมีสติปัญญามากกว่าเหล่าอัจฉริยะของมนุษย์ นอกจากนั้นยังเป็นเผ่าพันธุ์ที่รวมเหล่าผู้มีสติปัญญาเอาไว้มากมาย
พวกเขาทำสงครามและเผชิญกับความท้าทายมากมายในชีวิต เมื่อต้องการทำสิ่งใดสักสิ่งหนึ่ง พวกเขาจะทำให้คู่ต่อสู้สูญเสียความหวัง
นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่เอลฟ์ไม่อยากพิชิตทวีป ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่เคยลดลงและยังคงเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่มีความสำคัญที่สุดในทวีปนี้
………………….
เมื่อกลุ่มของพวกเขามาถึงใจกลางเมืองเอลฟ์ หลังจากฝากม้าไว้เรียบร้อยแล้ว ลอทเนอร์ก็พาวิลเลียมไปพบกับผู้ดูแลเมืองบลูมูน
ส่วนนักรบตนอื่นๆนั้น เนื่องจากพวกเขาดูเลอะเทอะไม่น้อยเลย จึงถูกเชิญเข้าไปชำระกายในบ้านของเอลฟ์ที่อบอุ่นและเป็นมิตร
เอลฟ์ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในสังคมมนุษย์จะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับทรัพย์สมบัติมากนัก จึงเป็นเรื่องปกติที่จะต้อนรับผู้คนด้วยความอบอุ่น
แน่นอนว่าเอลฟ์นั้นร่ำรวย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ค่อยสนใจเรื่องใดๆมากนัก…
ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าเอลฟ์ชอบที่จะพึ่งพาตนเองเสียมากกว่า ตราบใดที่พวกเขายังอาศัยอยู่ในป่า อาหารการกินก็ไม่ใช่ปัญหาและอาจจะมีสมบัติมากขึ้นเรื่อยๆด้วยซ้ำ…
วิลเลียมและลอทเนอร์มาถึจุดศูนย์กลางเมืองบลูมูน ทั้งคู่มองสิ่งที่สูงอย่างน้อยสามร้อยเมตรพร้อมกัน
นี่คือต้นไม้ดวงจันทร์ รากของมันหนาและแข็งแรงมาก มีความยาวอย่างน้อยสิบเมตร แค่จำนวนบ้านต้นไม้บนต้นไม้ต้นนี้ก็มีไม่น้อยกว่าร้อยหลังแล้ว
สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือ…
ในทุกๆคืน…
ต้นไม้ดวงจันทร์ทั้งต้นจะเปล่งแสงรำไร…
ซึ่งมันชัดเจนมาก
ว่านี่คือสถานที่ที่เอลฟ์มูนไลท์อาศัยอยู่ บ้านต้นไม้ที่สูงและสวยงามที่สุดบนยอดไม้คงจะเป็นบ้านของเจ้าหญิงเอลฟ์มูนไลท์น้อย
“ชิ นี่คงเป็นการปกป้องดูแลเจ้าหญิงสินะ…” วิลเลียมรู้สึกขมขื่นเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะตัวเขาเองแต่เป็นวิลเลียมคนก่อน
“เธอเป็นเจ้าหญิงเอลฟ์มูนไลท์ที่อายุน้อยที่สุด ท่านคงรู้ว่าพี่น้องที่อายุน้อยที่สุดของเธอก็มีอายุมากกว่าเธออย่างน้อย 800 ปี”
“ตอนนี้ราชาเอลฟ์มูนไลท์ก็ชราภาพมากและเกือบจะกลับสู่อ้อมแขนของต้นไม้เวิล์ดแล้ว ท่านจะไม่ยินดีกับการมีบุตรสาวได้เช่นไร?” ลอทเนอร์บุ้ยปาก
ดูเหมือนว่าลอทเนอร์ต้องการให้วิลเลียมเข้าใจความแตกต่างระหว่างพวกเขา ท้ายที่สุดแล้ว นี่ก็เป็นบุตรสาวของราชาเอลฟ์คนหนึ่ง…
วิลเลียมพยักหน้าช้าๆ เขาไม่มีความสุขเลยสักนิด…
เขาเพียงเงยหน้าขึ้นมองและเดินเข้าไปยังโพรงต้นไม้ที่อยู่ถัดจากรากของมัน ในฐานะที่เป็นที่พำนักของเจ้าหญิงเอลฟ์ พวกเขาอยากให้เจ้าหญิงน้อยปีนต้นไม้ขณะที่สวมชุดกระโปรง ปล่อยให้ผู้คนจำนวนมากชื่นชมวิวภายใต้กระโปรงของเธอจริงน่ะเหรอ?
แน่นอนว่าพวกเขาต้องปีนบันได!
และต้นไม้นี่ก็หนามาก…
ทั้งสองเดินเข้าไปในต้นไม้ได้โดยที่ไม่มีใครหยุดยั้ง
เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นเอลฟ์ทั้งคู่…
ไม่มีใครบอกได้แม้กระทั่งว่าวิลเลียมเป็นครึ่งเอลฟ์…
นั่นล่ะคือสิ่งที่สำคัญ
หากเผ่าพันธุ์อื่นมาที่นี่พวกเขาจะถูกจับตาดูอย่างใกล้ชิด
แน่นอนว่าหลังจากที่พวกเขาสองคนปีนขึ้นไปบนต้นไม้ เอลฟ์มูนไลท์ที่ดูหล่อเหลาตนหนึ่งก็มาหยุดพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
เอลฟ์มูนไลท์มีผมสีเงินและดวงตาของเขาก็ประกายไปด้วยสีเงินเล็กน้อย เขากล่าวว่า “สวัสดี ข้าชื่ออาเธอร์เป็นผู้ดูแลเมืองบลูมูนแห่งนี้ ขอทราบนามของพวกท่านได้หรือไม่?”
“พวกท่านมาทำอะไรหรือต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือไม่?”
เมื่อเห็นว่าเป็นคนที่ถูกต้อง วิลเลียมจึงลังเลเล็กน้อยก่อนจะกล่าวไปตรงๆว่า “เราคือวิลเลียม แบล็คลีฟ เราอยากจะขายมิทริลประมาณสองสามร้อยกิโลกรัม!”
“มิทริลสองสามร้อยกิโลกรัมงั้นหรือ?” อาเธอร์แข็งค้างไป ในฐานะอัศวินและผู้ดูแลเมืองของท่านหญิง เขาไม่คิดว่าจะมีมิทริลมาขายเป็นหลักร้อยกิโลกรัมในวันนี้
ด้วยเหตุนี้ เขาดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง
ก่อนเขาจะเบิกตากว้างและมองไปยังวิลเลียม…
วิลเลียมยักไหล่เล็กน้อย
อาเธอร์ที่แต่เดิมมักจะยิ้มแย้มก็ค่อยๆเปลี่ยนสีหน้าก่อนจะชี้นิ้วไปทางวิลเลียมอย่างเฉียบขาด “มิทริลงั้นหรือ? รอเดี๋ยวนะ ข้าจะไปแจ้งคนให้ท่าน อย่าวิ่งหนีไปซะล่ะ…”
ลอทเนอร์และวิลเลียมมองอาเธอร์ที่รีบวิ่งไป ก่อนพวกเขาจะมองหน้ากัน
“เขาเห็นด้วยกับคำขอของข้าหรือไม่? แต่ทำไมต้องบอกข้าไม่ให้วิ่งด้วยล่ะ?” วิลเลียมเกาหัว ลำคอของเขาแห้งผากขณะที่รู้สึกราวกับว่าตนเองอยู่ในโรงเรียนประถม และมีคนบอกว่าอย่าวิ่งตอนที่โรงเรียนเลิกแล้ว
ลอทเนอร์ตบไหล่เขาเบาๆ ไม่ต้องกังวลใจไป การบอกให้ท่านไม่ให้วิ่งตอนโรงเรียนเลิกเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว
ทั้งวิลเลียมและลอทเนอร์ต่างก็ไม่ได้วิ่งหนีไป ไม่ว่าจะยังไง เขาก็ยังคงเป็นเจ้าชายคนหนึ่ง พวกเขาอยู่ในป่าแบล็คลีฟ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจที่จะอ่อนแอได้
แม้ว่าการปฏิบัติตนที่เขาได้รับจะต่างจากเจ้าหญิงน้อยแห่งเอลฟ์มูนไลท์ สถานะของพวกเขาก็ยังคงคล้ายคลึงกัน…
พวกเขาไม่จำเป็นต้องรอนาน
ผู้ดูแลเมืองอาเธอร์นำเอลฟ์องครักษ์สามตนมาด้วยใบหน้าที่มีคำว่าความไม่พอใจเขียนอยู่เต็มหน้า อย่างไรก็ตาม เขาก็พูดออกมา “องค์หญิงเชิญเจ้าชายวิลเลียมไปดื่มน้ำชา!”
“…”
วิลเลียมชำเลืองมองไปที่อาเธอร์ผู้สร้างความน่าอึดอัดให้ ไม่รู้ว่าคนๆ นี้กำลังอิจฉาอะไรอยู่ เขาไม่รู้หรืออย่างไร? เจ้าหญิงคนนี้คงอยากจะเจอเขาเพื่อสร้างปัญหาให้เขาล่ะสิ
ในฐานะผู้ดูแลเมือง มันไม่สำคัญว่าเขาเป็นคนที่เจ้าหญิงเชื่อใจมากที่สุดหรือไม่ เขาก็ยังคงเป็นอัศวินของเธอ เขาอาจกล้าที่จะคิดเกินเลยกับเธองั้นหรอ?
เขาไม่รู้รึไงว่านอกจากการแต่งงานกับเจ้าชายแล้ว เจ้าหญิงก็จะถูกลักพาตัวไปโดยมังกรชั่วร้ายเท่านั้น?
คนอย่างอัศวินต้องทำเพียงแค่การสละชีวิตเพื่อปกป้องเกียรติของเจ้าหญิงเท่านั้น!
อัศวินตัวสำรองที่มีไว้ราวกับเป็นยางสำรองก็มีปรากฏให้เห็นอยู่ตลอดๆ
นั้นมันเป็นคำกล่าวที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักเหลือเกิน…
“ดังนั้นแล้ว…”
“ลอทเนอร์”
“โปรดมากับข้า” อาเธอร์ฝืนยิ้มออกมา ก่อนจะให้คนของเขานำทางวิลเลียมไปหาเจ้าหญิง ในขณะที่เขาดูแลลอทเนอร์เป็นการส่วนตัว
เมื่อเห็นอย่างนั้น วิลเลียมจึงตามพวกเขาไปขึ้นบันไดในโพรงต้นไม้ที่โค้งเป็นเกลียววนขึ้นไปยังจุดบนสุด ในที่สุดองครักษ์ก็ผายมือออกไปด้านหน้าของเขาเป็นการบอกให้เขาเดินไปข้างหน้า
วิลเลียมพยักหน้าแล้วสาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปด้านหน้า
ในจังหวะที่เขาโผล่พ้นออกมาจากโพรงต้นไม้ที่มีแสงเวทมนต์ เขาก็มองเห็นสวนลอยฟ้า
น้ำพุไหลริน, นกและแมลงส่งเสียงเล็กๆ ของพวกมัน และที่สวนไม่มีต้นไม้ใหญ่ มีเพียงหญ้านุ่มๆ และดอกไม้หลากหลายอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา
เถาวัลย์ด้านบนที่พันเข้าหากันป้องกันแสงแดดที่ร้อนแรงส่วนใหญ่ไม่ให้ส่องเข้ามา เมื่อแสงแดดส่องเข้ามาบนหญ้า มันก็ดูราวกับมีทองแต้มอยู่บนยอดหญ้าทั้งหลาย
ห่างออกไปประมาณแปดเมตร สาวน้อยคนหนึ่งผู้มีผมสีเงินและแต่งตัวด้วยชุดเดรสยาวสีขาวกำลังนั่งอยู่บนชิงช้าราวกับเธอไม่รู้ตัวว่ามีใครบางคนเข้ามา
“หรูหรา… มันมากเกินไปแล้ว!” วิลเลียมไม่ได้เพ่งความสนใจไปที่เจ้าหญิงคนนี้นัก แต่กำลังยิ้มเยาะไปกับความตระการตาของสถานที่แทน
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังจะก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว เสียงนุ่มสบายหูก็ลอยเข้ามาในหูของเขา “ถอดรองเท้าของท่านออก อย่าทำให้ต้นหญ้าของเราต้องเสียทรง”
ในจังหวะนั้นเองที่วิลเลียมเห็นรองเท้าคริสตัลส้นสูงคู่หนึ่งอยู่ที่มุมทางเข้า เขาต้องยอมรับเลย ผู้หญิงชนชั้นสูงทุกคนที่โลกแห่งนี้ดูเหมือนจะชอบสวมรองเท้าส้นสูง พวกเธอยังสวมใส่แม้แต่ถุงน่องอีกด้วย ซึ่งดูจะทันสมัยเกินไปที่จะอยู่ในส่วนหนึ่งของโลกนี้…
วิลเลียมไม่รีรอ เขาถอดรองเท้าออกอย่างรวดเร็วและเดินเท้าเปล่าไปทางเจ้าหญิงที่หันหลังอยู่ เขาจ้องไปที่เธอเงียบๆ
วิลเลียมต้องยอมรับว่าเจ้าหญิงน้อยแห่งเอลฟ์มูนไลท์คนนี้มีวิวด้านหลังที่เด็ดมากๆ เพียงแค่มองที่แผ่นหลังของเธอ ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกว่ากำลังมองไปยังเทพธิดาคนหนึ่งได้
เอวบางของเธอดูเล็กบอบบาง, เท้าเรียวของเธอวางชิดกันขณะที่สัมผัสกับเหล่าดอกไม้ด้านล่างอย่างหยอกล้อเป็นครั้งคราว ผมยาวสีเงินของเธอยาวคลอเคลียอยู่ที่เอว…
“ไม่ใช่ว่าองค์ชายวิลเลียมไปเป็นลอร์ดที่เมืองชายแดนหรอกหรือ? ทำไมท่านจึงว่างขนาดที่มายังเมืองบลูมูนแห่งนี้ได้?” แองเจล่า มูนไลท์หันกลับมา
แองเจล่า
ชื่อนี้เป็นชื่อที่ใช้กันธรรมดาทั่วไป
แต่ชื่อนี้มีอีกความหมายว่า นางฟ้า
นางฟ้าเป็นตัวแทนที่แสดงถึงความอ่อนโยน, ความบริสุทธิ์, ความถูกต้อง…
เธอมีดวงตาคู่สวยสีสว่าง ดวงตาของเธอเปล่งประกายเป็นสีเงินเล็กน้อยราวกับมันสามารถมองเข้าไปในหัวใจของคนๆ หนึ่งได้ แทบจะเรียกได้ว่าเพอร์เฟค ด้วยใบหน้าอันไร้ที่ตินี้ที่เป็นความฝันของใครหลายๆคน
อย่างไรก็ตาม…
ในจังหวะที่เขาเห็นหน้าอกแบนๆคู่นั้น…
เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น
มโนทั้งหมดแตกละเอียดและโหมดสุขุมก็เริ่มทำงาน!
วิลเลียมยิ้มอย่างเฉยเมยในขณะที่พูด “ทำไมถึงไม่เรียกเราว่าพี่ชาย? เราจำได้ว่าเจ้าเรียกเราว่าพี่ชายมาตลอดก่อนที่เราจะทำยูนิคอร์นของเจ้าหนีไป!”
ดวงตาของแองเจล่าส่องประกายขณะที่เธอเอียงศีรษะด้วยความสงสัย ราวกับต้องการจะอ่านใจของวิลเลียม อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอย่างไร เธอก็สัมผัสได้เพียงว่าหัวใจของวิลเลียมนั้นเป็นราวกับทะเลสาบอันเงียบสงบ
“มันนานมากแล้วตั้งแต่ที่เราได้รับความรู้สึกแบบนี้…” แองเจล่าไม่ได้ตอบคำถามวิลเลียมขณะที่กระโดดลงจากชิงช้าอย่างแผ่วเบา เธอวางมือในอากาศราวกับกำลังสัมผัสอะไรบางอย่างอยู่
วิลเลียมเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับความสามารถของยูนิคอร์นมานานแล้ว
อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่ความสามารถในการอ่านใจของยูนิคอร์นสามารถใช้ได้กับ NPC เท่านั้น ส่วนสำหรับผู้เล่นจอมปลอมคนหนึ่งที่มีข้อมูลคุณสมบัติอย่างเขา การอ่านใจนั้นไม่มีผลกับเขา
โดยเฉพาะเมื่อเขาไม่ได้สนใจในตัวเจ้าหญิงน้อยที่ออกจากเมืองมาตั้งแต่อายุยังน้อย เธอไม่ได้ดูดีแบบ C++ อย่างเซียของเขา…
แองเจล่าดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างในขณะที่เธอกระพริบตาที่ดูราวกับพระจันทร์ของเธอ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มสดใส “ทำไมเราต้องเรียกท่านว่าพี่ชายด้วยล่ะ? ตอนนั้นเราเด็กเกินไปและถูกหลอกโดยท่าน ตามอายุของพวกเรา ตัวเราอายุมากกว่าท่านอีก ปีนี้เราอายุสิบแปดปีแล้วในขณะที่ท่านอายุแค่สิบหก…”
“สิบหก?” วิลเลียมเกาหัวอย่างอึกอัก อย่างไรก็ตาม เขาก็หล่ออย่างเห็นได้ชัด, สูง และดูเป็นผู้ใหญ่มาก เรื่องเดียวก็คือเขายังโตไม่ถึงช่วงสืบพันธุ์แบบผู้ใหญ่…
เมื่อเป็นอย่างนั้น เขาจึงเปลี่ยนประเด็น “อันที่จริง เราสงสัยเรื่องหนึ่งมากๆ ทำไมท่านถึงมาที่ป่าแบล็คลีฟทั้งๆ ที่ท่านยังคงอายุน้อย?”
วิลเลียมไม่เข้าใจเลยจริงๆ เพราะจากอายุที่ยืนยาวของเอลฟ์ แม้ว่าจะต้องแต่งงานกับเอลฟ์แบล็คลีฟ เธอก็ยังสามารถรอจนกว่าจะมีอายุอย่างน้อยหนึ่งร้อยปีแล้วค่อยออกจากบ้านมาก็ได้
“ไม่เป็นไร! เราไม่ได้คิดถึงบ้านขนาดนั้นซะหน่อย!” แองเจล่ากล่าวพร้อมกับส่ายศีรษะด้วยความความเศร้าเล็กน้อย
เธอกล่าวต่อ “นอกจากนี้ เราสามารถกลับบ้านได้ตลอดเวลา เพราะเรามีประตูที่เชื่อมไปยังป่าแสงจันทร์ในห้อง”
“ตอนที่เรายังเด็ก เรานอนที่นี่ไม่หลับเลย ในกลางดึกจึงแอบกลับบ้านแล้วกลับมานอนบนเตียงในวันถัดไป ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเรากลับไป”
“ท่านแม่ของเรากลับสู่อ้อมแขนของต้นไม้แห่งโลกแล้ว ขณะที่ท่านพ่อมักหลับใหลไปบ่อยครั้ง ท่านจึงไม่สามารถดูแลเราได้ตลอดเวลา”
“…”
วิลเลียมมองไปยังแองเจล่าที่จมลงไปในความคิดของตนเองอย่างช้าๆ
แต่ตอนนี้ เขาผู้เป็นเจ้าชายไม่อยากพูดคุยกับเจ้าหญิงองค์นี้ต่อไปแล้ว
แม้ว่าเรื่องราวดังกล่าวอาจจะทำให้ผู้คนส่วนใหญ่อยากจะปลอบโยนสาวน้อยตรงหน้าพวกเขา…
เรื่องราวที่โศกเศร้าที่สุดคงเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่อย่างไรก็ตาม มรดกทางสายเลือดไม่อาจปลอมแปลงได้…
จากคำพูดไม่กี่คำก็ทำให้วิลเลียมที่ช่างสังเกตบอกได้ว่าความสัมพันธ์ของราชวงศ์เอลฟ์มูนไลท์ไม่ได้ดีมากนัก
เจ้าหญิงองค์นี้ไม่ได้กล่าวถึงพี่น้องที่อายุมากกว่าเธอเป็นศตวรรษ จากความยุ่งเหยิงในป่าแสงจันทร์ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา มันไม่ยากเลยที่จะคาดเดาได้ว่าป่าแสงจันทร์กำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤติ
“แองเจล่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าเราได้พบกับมิทริลบางส่วนเข้าโดยบังเอิญหลังจากรับตำแหน่งลอร์ดแห่งเมืองชายแดน? เจ้าสนใจมันบ้างหรือไม่?” วิลเลียมไม่อยากพูดเรื่องไร้สาระกับเธออีกต่อไป
ค่าความประทับใจที่ดีต่อเขาของเจ้าหญิงที่มียูนิคอร์นไม่ได้เพิ่มขึ้น เธอสามารถปิดกั้นความสามารถติดตัวดูดีของเขาได้ ดังนั้นเขาจะพูดคุยไปทำไมอีก?
“มิทริลหรอ?” แองเจล่าเบิกตากว้าง “มีเท่าไหร่?”
“ทั้งหมดนั่นก็ 500 ปอนด์!”
“ว้าว มิทริลที่พบมีเยอะมากไหม?” แองเจล่าดูจะข้องใจ มีมิทริลมากขนาดนั้นเลยหรอ? ถ้าเขามีมิทริลมากขนาดนั้นหลังจากเจอเหมือง แล้วเหมืองมิทริลนี่จริงๆแล้วใหญ่ขนาดไหนกันนะ?
วิลเลียมอดทนอธิบายให้เธอฟังทั้งหมด
“เยี่ยมไปเลย ข้าจะเอามิทริลทั้ง 500 ปอนด์นั่นแหละ ขอบคุณสำหรับของขวัญของท่านนะพี่ชาย!” แองเจล่าพยักหน้าด้วยรอยยิ้มที่สดใส
“ห…หืม?” วิลเลียมสับสนเล็กน้อย ก่อนจะอธิบายอย่างรีบร้อนว่า “น้องหญิงที่น่ารักของเรา บางทีเจ้าอาจจะเข้าใจเหตุผลที่เรามาผิดไป?”
“ท่านไม่ได้เอามิทริล 500 ปอนด์นั่นมาให้เราเพราะต้องการที่จะพบเราหรอกหรือ?” แองเจล่าเลิกคิ้ว ท่าทางที่หยิ่งผยองของเธอทำให้เธอดูราวกับเทพธิดา
“ขาย เรามาเพื่อขายมิทริล” วิลเลียมไม่รู้ว่าเขาจะรับค่าประทับใจจากการมอบมิทริล 500 ปอนด์กี่แต้มกัน แต่ตอนนี้เขาต้องการเหรียญทองมากๆ
ตอนนี้ดูเหมือนว่าแองเจล่าจะโกรธเข้าเสียแล้ว และเธอก็ไม่ได้กักเก็บอารมณ์เสียด้วย เธอปัดมือทันทีและกล่าวว่า “ไปหาอาเธอร์ เขาจะคุยเรื่องการซื้อขายกับท่าน ลาก่อนวิลเลียม!”
“ลาก่อนน้องหญิง!” วิลเลียมเลิกคิ้ว เธอช่างเป็นเจ้าหญิงตัวจริงเสียงจริง เมื่อเธอได้ยินว่าเขาไม่ได้ให้มิทริลกับเธอ เธอก็โยนคำว่า ‘พี่ชาย’ ออกไปเลยทันที และบางทีเธออาจจะกระทืบมันสักสองสามครั้งอีกด้วยซ้ำไป
“180!”
“200!”
“ไม่ได้ครับ ราคามิทริลที่ให้ได้สูงที่สุดคือ 180 เหรียญต่อปอนด์ 200 นั้นเป็นไปไม่ได้หรอกครับ!” อาเธอร์ค้านหัวชนฝา แม้ว่าเขาจะเพิกเฉยต่อจำนวนเหรียญทองที่พวกเขามี แต่เป็นไปไม่ได้หรอกที่เขาจะไม่สนใจต่อการสูญเสียเหรียญทองไปพันกว่าเหรียญ
ในฐานะผู้ดูแลเมืองของเจ้าหญิงแองเจล่า เขาต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องผลประโยชน์และเกียรติยศของเจ้าหญิง
ในบางสิ่งที่เจ้าหญิงไม่สามารถจัดการเองได้หรือไม่คิดที่จะทำ สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดก็จะถูกจัดการโดยเขา
วิลเลียมและลอทเนอร์เหลือบมองซึ่งกันและกัน ทั้งคู่รู้ว่าพวกเขาไม่สามารถขายมิทริลที่มากกว่า 200 เหรียญต่อปอนด์ในเมืองบลูมูนได้
แต่มันก็ปลอดภัยที่จะทำการซื้อขายที่นี่ เพราะพวกเขาไม่ต้องกังวลว่าเอลฟ์จะเปิดเผยข้อมูลทางธุรกรรม หรือจะส่งคนมาขโมยหรือไล่ล่าพวกเขาหรือไม่
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่ว่านี่แหละ มิทริล 500 ปอนด์ ราคา 180 เหรียญทองต่อหนึ่งปอนด์ รวมทั้งสิ้นแล้วเป็นเงิน 90,000 เหรียญทอง!” วิลเลียมพยักหน้าให้อาเธอร์
อาเธอร์ดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้มีความประทับใจที่ดีต่อวิลเลียมเท่าใดนัก หรืออาจกล่าวได้ว่าเขาไม่ได้มีความประทับใจที่ดีต่อเจ้าชายของป่าแบล็คลีฟเลยสักนิด “ตกลงครับ หากเราต้องการแลกเปลี่ยนกันในตอนนี้ ท่านสามารถนำมิทริลมาและกลับไปได้เลย”
“มันจะดีกว่าไหมหากเราปัดเศษขึ้นเป็น 100,000 เหรียญทอง?” วิลเลียมถามด้วยความระมัดระวัง
“…”
อาเธอร์ที่ตอนแรกหันไปรอบๆก็ค่อยๆหันกลับมาอย่างช้าๆ ดวงตาเย็นชาของเขาราวกับถามวิลเลียมว่า คิดว่าเขาเป็นคนโง่หรือไง
แต่ในขณะนั้น ความสามารถติดตัวดูดีของวิลเลียมที่ทำงานอยู่ก็เกิดผล
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
ค่าความประทับใจของอาเธอร์สูงขึ้นถึง 67 หน่วย ซึ่งเกิดเพราะค่าเสน่ห์ของวิลเลียม…
อาเธอร์ไม่รู้ว่าเขาบ้าไปแล้วหรือเปล่าที่จู่ๆ ก็กล่าวอย่างกระทันหันว่า “การเดินทางมาที่นี่ของท่านก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน ข้าจะจ่ายให้ท่านเป็นเงินทั้งสิ้น 91,000 เหรียญทอง!”
การทำธุรกิจครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่นมาก
ไม่ว่าจะเป็นเอลฟ์แบล็คลีฟ, เอลฟ์มูนไลท์ หรือเอลฟ์สโนว์ ต่างล้วนมีบางสิ่งที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือความทระนงตน
เขาจะไม่คดโกงการซื้อขายดังกล่าว
นอกเสียจากจะเกี่ยวข้องกับชะตากรรมของเผ่าพันธุ์ตนเอง
แม้ว่าอาเธอร์จะเสียใจและสมองว่างเปล่าไม่น้อยหลังจากพูดอย่างนั้นออกไปกับวิลเลียมที่จากไปแล้ว…
ส่วนเจ้าหญิงที่ได้รับการสนับสนุนจากม้าขาวตัวเล็กนั้น พวกเขาคงไม่ได้พบเจอกันอีก
วิลเลียมไม่ได้เอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะเดินทางกลับเช่นกัน เขาให้คนของเขาพักผ่อนสักสองสามชั่วโมงพร้อมกับอาหารเลิศรสมื้อใหญ่ก่อนที่จะเริ่มการเดินทาง
ตามความเร็วของการขุดแร่ในตอนนี้ ทุกๆเดือนพวกเขาจะสามารถขุดมิทริลได้ 100 ปอนด์ ดังนั้น วิลเลียมและอาเธอร์จึงทำสัญญาการซื้อขายมิทริล 50 ปอนด์ต่อเดือน ทำให้เขามีรายได้ 9,000 เหรียญทองในทุกๆเดือน
“ด้วยเหรียญทองทั้ง 91,000 เหรียญที่ได้จากการทำธุรกิจครั้งนี้ ตราบใดที่ท่านลอร์ดใช้เงินอย่างสมเหตุสมผล และรวมกับเหรียญทองที่เราจะได้รับในอนาคต เราจะขยายเมืองของเราให้กลายเป็นเมืองใหญ่ได้ภายในเวลาหกเดือน!” ลอทเนอร์อุทานออกมา “ดูเหมือนว่าเมืองชายแดนจะกลายเป็นที่ที่ดี”
นับตั้งแต่ที่พวกเขามาถึงเมืองชายแดน ในฐานะลอร์ด การพัฒนาเมืองของวิลเลียมไม่ได้ช้าเลยสักนิด ตามจริงแล้วมันถือว่ารวดเร็วมากเสียด้วยซ้ำ
ตัวอย่างเช่นเหมืองเหล็กและเหมืองมิทริลที่ถูกค้นพบอย่างกระทันหัน ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของเหรียญทองทั้งหลายและรากฐานการสร้างเมือง
มีเหล่าคนแคระด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีเหล่าออร์คที่มอบประสบการณ์การต่อสู้จำนวนมากให้กับนักรบเอลฟ์ในอาณาเขตอีก
คุณต้องรู้ว่า
นอกเหนือจากการฝึกฝน, การกินเนื้ออสูรเวทย์, และการดื่มยาวิเศษแล้ว NPC ยังสามารถเพิ่มระดับผ่านประสบการณ์การต่อสู้ได้อีกด้วย หาก NPC ผ่านการต่อสู้ที่ต้องแลกด้วยชีวิตและความตาย พวกเขาจะสามารถเพิ่มเลเวลได้หลายเลเวล
การเติบโตของ NPC นักรบที่ผ่านสนามมาเป็นร้อยครั้ง แล้วไม่เคยแพ้นั้นเทียบได้กับการเติบโตของผู้เล่นเลยด้วยซ้ำ
นี่คือสาเหตุที่เลเวลของนักรบ NPC เติบโตอย่างรวดเร็วในทุกๆเพดานเลเวลของการอัปเดตเกม
ลอทเนอร์ที่เดิมมีเลเวล 56 นั้นสามารถเพิ่มไปถึง 2 เลเวล หลังจากต่อสู้กับออร์คขาวที่มีเลเวลสูงกว่าเขา และมาถึงเลเวล 58
แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญระดับกลาง แต่เขาก็มีเลเวลที่ใกล้จะถึงเพดานเลเวลที่อยู่เลเวล 70 แล้ว
ด้วยความคิดเช่นนี้ วิลเลียมอดไม่ได้ที่จะมองไปยังลอทเนอร์ เขาคิดที่จะหาสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งเพื่อให้บอดี้การ์ดของเขาไปถึงเพดานเลเวลของเกมเวอร์ชันนี้เสียที
เมื่อเห็นว่าคนมากแผนการอย่างวิลเลียมกำลังจ้องมองตนเองอยู่ ลอทเนอร์ก็ค่อยๆปิดปากตัวเองอย่างช้าๆ
แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังได้ยินคำๆนั้นอยู่ดี…
“ท่านลุง ข้าได้ยินว่ามีสัตว์ประหลาดกินคนอยู่แถวๆนี้ใช่หรือไม่?” วิลเลียมถามอย่างรอบคอบขณะนั่งบนหลังม้า
“อ่า? ที่นี่เหรอ? มีอะไรแบบนั้นที่นี่ด้วยหรือ…?” มุมปากของลอทเนอร์กระตุกยิกๆ สัตว์ประหลาดกินคนอาศัยอยู่กันเป็นกลุ่มๆ ชอบสถานที่ที่มืดและชื้น ดังนั้นพวกมันมักจะเลือกอยู่ในถ้ำใกล้กับทะเลสาบ
ความสามารถของพวกมันน่ะหรอ?
เพราะว่าพวกมันอาศัยอยู่ใกล้กับทะเลสาบ พวกมันจึงมักหาจะสัตว์, อสูรเวทย์ และทุกๆสิ่งที่สามารถเคลื่อนไหวได้
พวกมันแข็งแกร่งมาก…
วิลเลียมอธิบายราวกับว่าเขาไม่เข้าใจอะไรเลย “จะไม่มีได้อย่างไรกัน? ท่านรู้หรือไม่ว่ามีหุบเขาสองลูกที่อยู่ทางใต้ของเมืองชายแดน? นี่นั่นมีทะเลสาบอันกว้างใหญ่อยู่ตรงกลางและเป็นต้นน้ำของแม่น้ำสายรุ้งของเราด้วย”
“ข้ามีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับมหาสมุทรและทะเลสาบนั่น”
“เราสามารถสร้างเรือประมงและท่าเรือสองแห่งไว้ตรงที่ที่ใกล้กับทะเลสาบและมหาสมุทร ถ้าทำเช่นนั้น ไม่เพียงแต่จะขยายทรัพยากรทางอาหารการกินได้ แต่ยังทำให้อาหารของพวกเราอุดมสมบูรณ์มากขึ้นอีกด้วย”
“หากเราต้องการเข้าถึงมหาสมุทร ทางที่เร็วที่สุดคือต้องผ่านทะเลสาบไป ถ้าไม่อย่างนั้น เราต้องอ้อมไปตามหุบเขาทั้งสองลูก ในกรณีนี้ เราอาจเกิดการสูญเสีย ไม่เพียงแต่การเดินทางจะยากขึ้น แต่มันยังอันตรายมากอีกด้วย!”
“หากท่านลอร์ดมีคำถาม โปรดว่ามาเถิด ไม่ต้องเรียกข้าว่าท่านลุง…” เมื่อเห็นว่าวิลเลียมกล่าววาจาเหลวไหล ลอทเนอร์จึงไม่มีทางเลือกนอกจากถามออกไป
“ท่านหาเวลาจัดการกับสัตว์ประหลาดกินคนและสัตว์ประหลาดรอบๆทะเลสาบให้หน่อยได้หรือไม่?”
“ไม่มีปัญหา”
“ดีมาก” วิลเลียมพยักหน้า ไม่สนใจลอทเนอร์ที่ทำหน้าจะร้องไห้ ไม่มีทางเลือก เขาไม่รู้ว่าจะปฏิเสธวิลเลียมได้อย่างไรจึงตัดสินใจที่จะจัดการมันเหมือนกับลูกผู้ชายตัวจริง
………………..
ระหว่างทางกลับไม่มีเหตุอันใดเกิดขึ้น
ป่าแบล็คลีฟในส่วนลึกนั้นอันตรายมาก แต่นั่นก็เป็นเพียงสำหรับคนๆเดียวหรือกลุ่มเล็กๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนกลุ่มใหญ่ อสูรเวทย์ส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจที่จะล่าพวกเขามาเป็นอาหารมากนัก
นั่นก็คล้ายกับ…
วิลเลียมที่มีเหรียญทองจำนวนมาก เขากลัวว่าอาจจะเกิดอุบัติเหตุจึงไม่ได้สนใจที่จะสู้กับอสูรเวทย์ที่พบเห็น
ในที่สุด
พวกเขาก็เห็นเมืองชายแดน
วิลเลียมและคนของเขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก โอดอมได้หยุดงานของเขาเพื่อตรงเข้ามาต้อนรับด้วยดวงตาที่สดใส
“เพิ่งผ่านไปแค่ 6 วัน ท่านลอร์ดก็เดินทางกลับมาแล้ว ช่างรวดเร็วจริงๆ!” ดวงตาของโอดอมจับจ้องไปที่กล่องและกล่องที่เต็มไปด้วยเหรียญทอง…
คนแคระและมังกรยักษ์มีความสนใจในสิ่งที่คล้ายๆกัน พวกเขาชอบเหรียญทองที่ส่องประกาย
ในเวลาเดียวกันนั้น เหล่าคนแคระก็ชอบการขุดเช่นกัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจักรวรรดิคนแคระในยุคก่อนและอาณาจักรคนแคระทั้งเจ็ดจึงเป็นประเทศที่ร่ำรวย และความมั่งคั่งของพวกเขา อาณาจักรของมนุษย์ธรรมดานั้นเทียบไม่ได้เลย
“หยุดมองได้แล้ว! เราจะเพิ่มเงินเดือนให้ท่าน!” วิลเลียมโบกมือตรงหน้าดวงตาของโอดอม แต่ขณะที่เขาเข้าไปในเมือง เขาก็เห็นใบหน้าที่ไม่คุ้ยเคยมากมาย
“พวกเขาเป็นใครกัน?” วิลเลียมสงสัยเล็กน้อย หรือเคอรรี่จะนำเหล่าทาสมาล่วงหน้า?
โอดอมชี้ไปที่พวกเขา “พวกเขาเป็นคนจนจากอาณาจักรลาวาดำและอาณาจักรเหล็กที่พบว่าเมืองชายแดนกำลังขยายเมืองและจ่ายค่าแรงงาน พวกเขาจึงมาที่นี่เพื่อหางานทำ”
“หกวันที่ท่านออกจากเมืองไป เรามีคนเพิ่มถึง 200 คน และดูเหมือนว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ด้วย!”
“พวกเขาต้องการตั้งถิ่นฐานที่นี่หรือไม่?” วิลเลียมมองไปยังคนหนุ่มสาวจำนวนมาก พวกเขาเป็นทรัพยากรที่ดี…
“ผู้คนส่วนมากนั้นคิดเช่นนั้น เพราะว่าเมืองที่กำลังเติบโตนั้นแข็งแกร่งกว่าเมืองของขุนนางที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อในอาณาจักรมนุษย์เป็นร้อยเท่า!” โอดอมกล่าว
มีผู้คนที่เข้าร่วมเมืองฝ่ายกลางเยอะขึ้นและเยอะขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าระบบสังคมชนชั้นของมนุษย์นั้นกดขี่ชาวเมืองมากเกินไป…
วันถัดมา
วิลเลียมถูกปลุกให้ตื่นโดยการเลียของเจ้าหมีสามตัวบนเตียงนอนของเขา…
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงโบกมือไปมาและโยนพวกมันออกไปแบบมัลติคิล!
“ปัง ปัง ปัง!”
ลูกหมีสามตัวถูกโยนกลับไปที่เตียงของพวกมันโดยวิลเลียมอย่างคล่องแคล่ว อย่างไรก็ตาม ลูกหมีทั้งสามนั้นยังต้องพึ่งพาคนดูแลอยู่มาก ดังนั้นเจ้าลูกหมีทั้งสามจึงโกรธอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่มันจะปีนกลับขึ้นมาบนเตียงของเขา แล้วส่งเสียงคำรามเบาๆ
“ใครก็ได้เข้ามาแล้วให้อาหารพวกมันที” วิลเลียมกรอกตาขึ้นก่อนจะลุกออกจากเตียง พระอาทิตย์เพิ่งจะโพล่พ้นขอบฟ้ามา ทำให้เขายิ่งรู้สึกขุ่นเคืองจากการถูกปลุกให้ตื่นบนเตียงของเขา
ในตอนที่เขากำลังสวมเสื้อผ้า ประตูก็ถูกเปิดออก สาวใช้สามคนรอเขาอยู่ด้านนอก
“ท่านลอร์ด ลูกหมีโตเร็วมากเลยค่ะ พวกมันจะพร้อมกินเนื้อในอีกสองอาทิตย์” หนึ่งในสาวใช้พูด
“จงบอกให้เรารู้ถ้ามีค่าใช้จ่ายใดๆ แต่ตอนนี้ให้อาหารพวกมันได้แล้ว” วิลเลียมพยักหน้าและเดินออกจากห้องไป
เขามองไปยังเหล่าคนงานที่ตื่นตั้งแต่เช้าและกำลังง่วนอยู่กับการก่อสร้าง ริมฝีปากของเขาเผยยิ้มกว้างราวกับแวมไพร์ด้วยความรู้สึกดี
“ท่านลอร์ด!”
“อรุณสวัสดิ์ท่านลอร์ด!”
“ขอพระเจ้าจงอวยพรแด่ท่านผู้ยิ่งใหญ่!” วิลเลียมเผอิญเจอเข้ากับคนที่เพิ่งมาใหม่ที่ทักทายเข้าอย่างสุภาพ ทั้งหมดที่มาเป็นคนจากอาณาจักรเหล็กและอาณาจักรลาวาดำ
พวกเขามาทำงานที่นี่และต้องการที่จะตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่อย่างถาวร ด้วยเหตุนี้แน่นอนอยู่แล้วว่าพวกเขาจะต้องประจบสอพลอวิลเลียมเมื่อเจอหน้ากัน แม้ว่าพวกเขาไม่อาจทำให้ท่านลอร์ดจำได้ว่าพวกเขาหน้าตาอย่างไร แต่ตราบใดที่พวกเขาได้ทักทายหรือสนทนากับวิลเลียม เท่านั้นก็ใช้ได้แล้ว
เมื่อเห็นแบบนี้ วิลเลียมพยักหน้าเบาๆ ให้ด้วยความเป็นมิตร
อย่างไรก็ตาม เพียงแค่เขาพยักหน้าก็ทำให้หลายๆคนรู้สึกปลื้มใจแล้ว เหล่าชนชั้นสูงทั้งหมดในดินแดนของมนุษย์หยิ่งผยองอย่างมาก ทั้งหัวที่เชิดขึ้นท้องฟ้าและมองเหล่าชาวไร่ชาวนาและทาสราวกับว่าพวกเขาเป็นมด ดังนั้นทำไมพวกเขาจะต้องตอบรับการทักทายของเหล่าคนงานกัน?
พวกเขายังได้ยินมาว่าลอร์ดของเมืองนี้เป็นเอลฟ์ที่ทั้งเป็นมิตรและใจดี นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงกล้าที่จะทักทายเขา เหล่าผู้มาใหม่รู้สึกว่าเมืองชายแดนนั้นดียิ่งกว่าทั้งสองอาณาจักรแล้วด้วยซ้ำไป
ภารกิจขยายเมืองดำเนินต่อไป
วิลเลียมไม่จำเป็นต้องทำอะไรสักอย่าง เขาไม่ได้นำคนของเขามายังภารกิจของอาณาเขตเช่นกัน
ในขณะที่เวลาผันผ่านไปซึ่งทำให้พระอาทิตย์ยามเช้าสาดแสงสว่างสดใส วิลเลียมยืนอยู่บนหน้าผาและในที่สุดก็เห็นกองทัพขนาดใหญ่บนที่ราบ
“ทำไมถึงมีคนมากมายขนาดนี้?” ลอทเนอร์สับสนเล็กน้อย พวกเขาตกลงกันว่าจะมีทาสปกติ 3,000 คนและทาสที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ 500 คน อย่างไรก็ตาม จำนวนคนที่เห็นในตอนนี้นั้นไม่ต่ำกว่าห้าพันคน เขายังเห็นว่ามีทหารอีกห้าร้อยคนคุ้มกันคนกลุ่มใหญ่นี้อยู่อีกด้วย!
หรืออาจจะเป็นเพราะพวกเขามาเพื่อกันไม่ให้เหล่าทาสหลบหนี…
“เคอรี่นี่ค่อยข้างมีความสามารถเลยทีเดียว” วิลเลียมยกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น การซื้อขายทาสนั้นถูกกฎหมายในอาณาจักรมนุษย์หลายแห่ง!
อย่างไรก็ตาม ในดินแดนแห่งนี้ มีเพียงการซื้อขายทาสภายในดินแดนเท่านั้นที่ถูกกฎหมาย และมันเป็นเรื่องผิดกฎหมายสำหรับการหลบหนีออกจากดินแดน
ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครที่ไม่ชอบเหรียญทอง แม้ว่าหลายๆดินแดนจะไม่ชอบให้ทาสถูกซื้อออกจากดินแดน แต่นโยบายการปกครองก็ไม่เพียงพอที่จะหยุดทุกสิ่งทุกอย่างให้เกิดขึ้นได้
เหล่าชนชั้นสูงในหลายๆอาณาจักร มักจะมีวิธีการที่แตกต่างในการที่จะกระทำการอะไรหลายๆอย่างเสมอ
ในตอนนี้ วิลเลียมเองก็เชื่อว่าเคอรี่ไม่ใช่คนจัดหาเหล่าทาส เขาเป็นเพียงพ่อค้าคนกลางและทาสเหล่านี้ก็คงถูกจัดหามาโดยขุนนางใหญ่สักคน
เส้นทางในภูเขาไม่ง่ายต่อการปีน แต่มันก็เป็นเพียงเส้นทางเดียว ดังนั้นคนกลุ่มนี้จึงไม่มีทางเลือกนอกจากการปีนขึ้นเขาที่สูงชันแห่งนี้ด้วยสีหน้าที่ห่อเหี่ยว
วิลเลียมยังไม่มีแผนการที่จะปรับปรุงถนนเหล่านี้ อันที่จริง เขาคิดว่ายิ่งทางเข้าปีนขึ้นมายากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งดีต่อความปลอดภัยของอาณาเขตเท่านั้น
เมื่อเคอรี่มาถึงที่เมืองชายแดนกับคนกลุ่มใหญ่ด้านหลังเขา เขาก็โบกมือให้เหล่าทหารห้าร้อยคนกลับลงไปด้านล่าง ในขณะที่ทหารของเมืองเดินมาข้างหน้าและรับตัวทาสไปอย่างธรรมชาติ
เคอรี่เหล่มองที่วิลเลียมซึ่งดูสับสนอยู่เล็กน้อย เขาไม่ได้เริ่มด้วยการอธิบาย แต่กลับหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบาน “ท่านลอร์ดที่เคารพของข้า ข้านำคนที่ท่านต้องการมาให้กับท่านแล้ว ท่านว่าคุณภาพของพวกเขาดูเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ค่อนข้างดีเลยทีเดียว พวกเขาทุกคนเป็นชายหญิงที่แข็งแรง อย่างไรก็ตาม นี่มันไม่มากไปงั้นหรือ?” วิลเลียมไม่ได้พอใจมากนักและขมวดคิ้วของเขาเล็กน้อย นี่เคอรี่วางแผนที่จะบังคับการซื้อขายที่ไม่พึงประสงค์กับเขางั้นหรอ?
อย่างไรก็ตาม กับแค่ทหารห้าร้อยคนที่เขาลงทุนจ้างมาด้วย เขาไม่มั่นใจเกินไปหน่อยหรอ?
เคอรี่ดูเหมือนจะเดาความคิดที่สับสนของวิลเลียมได้ ที่สุดแล้วมันไม่ใช่เรื่องน่าตกใจสำหรับการซื้อขายที่จะมาพร้อมของกำนัลเล็กๆ แต่นี่มันก็ค่อนข้างมากเกินไป
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเชิญวิลเลียมไปมุมที่สงบเงียบและเป็นส่วนตัว ก่อนจะพูดออกไปอย่างซื่อๆ “ท่านลอร์ดผู้ทรงเกียรติ ทาสปกติ 2,000 คนและมืออาชีพอีก 200 คนนั้นเป็นของขวัญสำหรับท่าน!”
วิลเลียมเผยรอยยิ้มกว้างอันสดใสออกมาพร้อมตบไหล่ของเคอรี่ “น้องชาย!”
“โปรดอย่าลังเลที่จะบอกเราหากเจ้าต้องการสิ่งใด! ในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เราจะพยายามทำเท่าที่ที่สุดของความสามารถของเราจะทำได้!”
มุมปากของเคอรี่กระตุก นี่มันเป็นเรื่องจริงสินะ?
อีกอย่าง วิลเลียมนั้นอายุมากกว่าเขางั้นหรอ?
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเลเวลของเคอรี่จะสูง เขาก็ไม่อาจกล้าที่จะเรียกวิลเลียมว่าพี่ชาย เขาเหล่มองรอบๆ ก่อนจะพูดอย่างระมัดระวัง “ท่านลอร์ดผู้ทรงเกียรติ ข้ามีบางสิ่งที่อยากจะขอร้องท่าน!”
วิลเลียมพยักหน้าอย่างทันที พร้อมทำท่าทางให้เขาพูดต่อ
“ข้าเป็นไวเคาท์ในอาณาจักรลาวาดำ พ่อของข้าเป็นดยุค แต่ตัวข้าเป็นลูกชายคนที่สอง…”
“ท่านพ่อของข้าต่อสู้ในสงครามมาเป็นเวลาอย่างน้อยสิบปีตั้งแต่ท่านยังอายุน้อย แต่เมื่อท่านพ่อแก่ตัวลง อาการบาดเจ็บต่างๆ และความเจ็บป่วยทางร่างกายก็ย้อนเข้าตัว ในตอนนี้ อายุขัยของท่านพ่อคงใกล้สิ้นสุดลงแล้ว แต่ข้าต้องการที่จะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งดยุคของท่านพ่อ!”
คำพูดของเคอรี่ตรงไปตรงมาอย่างมาก
ที่สุดแล้ว เขาก็ดูออกว่าลอร์ดวิลเลียมคนนี้เป็นเอลฟ์ที่ชอบความตรงไปตรงมา
แม้ว่านี่จะต่างไปจากเอลฟ์ตนอื่นที่เขาเคยเจอ แต่เอลฟ์ประเภทนี้ก็สื่อสารด้วยง่ายกว่า
“เจ้าต้องการให้ข้าฆ่าพี่ชายของเจ้า?” วิลเลียมเลิกคิ้วขึ้น
“ครับ พี่ชายของข้าจะมาออกล่าที่ป่าแบล็คลีฟในอีกสามวัน นี่เป็นโอกาสเดียวและโอกาสสุดท้ายของข้า”
“ถ้าข้าไม่สามารถคว้าโอกาสนี้มาใช้ได้อย่างเหมาะสม เมื่อพ่อของข้าจากไปแล้ว ท่านลอร์ดก็อาจจะไม่ได้เจอข้าอีกแล้ว…” เป็นเพราะทีมวาณิชของเขา เคอรี่จึงรู้เกี่ยวกับเรื่องของชนชั้นสูงเยอะ
อย่างไรก็ตาม เล่ห์อุบายและความโลภอย่างแวมไพร์ในเหล่าชนชั้นสูงนั้นยากที่จะอธิบาย เขาจึงไม่กล้าที่จะไปขอความช่วยเหลือจากชนชั้นสูงคนอื่นๆ
แม้ว่าขุนนางชั้นสูงสักคนจะช่วยเหลือเขา เขาก็จะกลายเป็นหุ่นเชิดของคนนั้นในที่สุดอยู่ดี
“นี่มันไม่ใช่เรื่องที่ดี…” วิลเลียมไม่ได้ยอมรับคำขอในทันที เขารู้สึกว่าแผนนี้มันอาจจะเป็นไปได้ แต่ที่สุดแล้วเขาก็เป็นเอลฟ์ตนหนึ่งและภาพลักษณ์ของเขาในตอนนี้ก็ไม่อาจเสื่อมเสียได้ เขาไม่อาจแสดงท่าทางละโมบโลภมากออกไป
หัวใจของเคอรี่รัดแน่นและเขาพูดออกไปอย่างทันทีทันใด “ทาสธรรมดา 5,000 คนและทาสมืออาชีพอีก 600 คน นี่จะเป็นของกำนัลจากข้าแด่ท่านลอร์ดผู้ทรงเกียรติ หลังจากที่ข้าได้รับสืบทอดตำแหน่งแล้ว”
“นั่นมันไม่ถูกต้อง…” วิลเลียมสูดหายใจเข้าลึก รู้สึกราวกับข้อตกลงนี้มันช่างง่ายดายเหลือเกิน
“ทาสธรรมดา 6,000 คนและทาสมืออาชีพ 700 คน นี่เป็นจำนวนสูงสุดที่ข้าสามารถให้สัญญาได้ในตอนนี้ ท่านลอร์ดไม่ต้องกลัวว่าท่านจะตกเป็นเป้าหมายของอาณาจักรลาวาดำหากท่านตอบตกลง ข้าจะจัดการเรื่องนั้นเอง”
“สิ่งสำคัญที่สุดคือ แม้ข้าจะได้สืบทอดตำแหน่งแล้ว ทีมวาณิชนี้จะยังคงอยู่และพวกเราจะให้ส่วนลดที่ดีที่สุดแก่ท่านลอร์ดเมื่อทำการซื้อขายกับพวกเรา” เขาเลือกที่จะเชื่อใจเอลฟ์มากกว่าจ้างนักฆ่าสักคน
ที่สุดแล้ว ความซื่อสัตย์และความสามารถในการรักษาสัญญาก็เป็นข้อเท็จจริงของเอลฟ์ที่ถูกกล่าวถึงไปทั่วโลก
สีหน้าของวิลเลียมเคร่งเครียดในขณะที่เขาลูบคางของตัวเองพร้อมกล่าวด้วยความสับสน “แล้วถ้าเราฆ่าเขา แล้วเจ้าไม่นำทาสมาให้เราล่ะ?”
“ท่านลอร์ดของข้าช่างเป็นคนที่มีอารมณ์ขันจริงๆ ข้าพร้อมที่จะสาบานต่อพระเจ้าและทำสัญญาพระเจ้า!” เคอรี่ยิ้มอย่างจริงใจ แต่รอยยิ้มนั่นก็เจือด้วยความโหดเหี้ยม
“พระเจ้าคนไหน?” วิลเลียมโพล่งถามออกมา
“…”
รอยยิ้มของเคอรี่ค่อยๆ จางหายในขณะที่มุมปากของเขากระตุก “พระเจ้าแห่งแสง”
วิลเลียมจึงหัวเราะออกมาทันที “ฮ่าฮ่า อย่ากังวลไปเลย ให้เราจัดการที่เหลือเอง”
“เคอรี่น้องชาย เจ้าเพียงบอกเวลาและสถานที่ที่พี่ชายของเจ้าออกล่ามา ไม่มีอะไรที่จะเป็นปัญหาอีก”
“ที่สุดแล้ว ในฐานะเอลฟ์ที่รักความถูกต้องและมีเมตตาคนหนึ่งแล้ว เราก็ไม่ชอบขี้หน้าพี่ชายคนที่กำลังจะสืบทอดตำแหน่งดยุคจริงๆ เขาช่างเป็นคนที่ไร้หัวใจและไม่มีมารยาทเอาซะเลย”
“ถ้าอย่างนั้นข้าต้องขอฝากท่านลอร์ดด้วย” หัวใจของเคอรี่ปวดตื้อๆ ขึ้นมาเล็กน้อยแม้เขาจะยังคงพยักหน้า แต่ท้ายที่สุดแล้วในสายตาของเขา ทาสก็มีราคาถูกกว่าเหรียญทองเป็นไหนๆ
ประโยชน์ของการขายทาสนั้นยากที่จะจินตนาการ
แหล่งที่มาของทาสนั้นธรรมดาเกินกว่าจะเชื่อถือได้…
สัญญาพระเจ้า
สิ่งนี้ยังมีประโยชน์อยู่นิดหน่อย ที่สำคัญคือต้องมีการทำสัญญา ไม่สามารถใช้คำพูดเพียงอย่างเดียวได้ และต้องทำพิธีกรรมเวทมนตร์ด้วย
อีกอย่างหนึ่ง หากมีคนไม่ทำตามสัญญา พวกเขาจะได้เจอกับโทษทัณฑ์ที่ทรมาน
วิลเลียมรู้เรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี และไม่ปล่อยให้เคอรี่เล่นแง่ใดๆเป็นอันขาด
เมื่อตกลงกันเสร็จสรรพและเคอรี่ได้ออกจากเมืองไปแล้ว วิลเลียมก็กล่าวกับลอทเนอร์ว่า “แยกทาสพวกนี้ออกเป็นกลุ่มๆให้เป็นระเบียบ ให้พวกเขาเริ่มงานให้เร็วที่สุด ถ้ามีคนก่อปัญหาล่ะก็..”
“ให้บอกพวกเขาว่าเราสามารถให้สถานะการเป็นชาวเมืองได้ทันที แต่พวกเขาไม่สามารถออกจากเมืองภายในเวลาหกเดือนได้ แต่สามารถรับเงินจากการทำงานในเมืองที่กำลังขยายนี้ได้ หากพวกเขามีพรสวรรค์ เราสามารถฝึกฝนและทำให้เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญได้โดยไม่คิดเงินแม้แต่น้อย”
“ท่านลอร์ดทรงเมตตา ขอให้พระเจ้าอวยพรแก่ท่าน” ลอทเนอร์ตบลงบนหลังม้าเบาๆ เอลฟ์ที่ปราถนาอิสระไม่ชอบการมีทาส พวกเขารู้สึกว่านอกจากพวกฝ่ายมืดแล้ว สิ่งมีชีวิตทุกๆสิ่งควรเท่าเทียมกัน…
ใช่แล้ว นอกจากพวกฝ่ายมืด เหล่าเอลฟ์จะไม่แบ่งแยกใครทั้งสิ้น!
“หยุดกล่าววาจาไร้สาระได้แล้วน่า ท่านเคยเห็นพระเจ้าตัวเป็นๆ มาก่อนหรือ?” วิลเลียมมุ่ยหน้า ณ ตอนนี้พระเจ้าได้สาบสูญไปจากทวีปรีเจนดารีแล้ว นอกจากเหตุการณ์ที่หาได้ยาก ทั่วทั้งทวีปก็ไร้ร่องรอยการปรากฏของพระเจ้า
ทิ้งพระเจ้าปลอมๆเหล่านั้นไปได้เลย การดำรงอยู่ของนักปราชญ์นั้นสูงที่สุดแล้วในทวีปรีเจนดารี
ยกตัวอย่างเช่น
ประมุขของวิหารเวทมนตร์ที่เคยเป็นอาจารย์ของโมเสส…
แน่นอนว่าเขานั้นไม่ได้เป็นพระเจ้าองค์ใดจริงๆ แต่ในอนาคตจะมีพระเจ้ามากมายปรากฏในทวีปแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ แม้แต่ร่องรอยเวทมนตร์ของพระเจ้าสักตนก็หาได้ยากมาก เหลือไว้เพียงรูปพรรณสัณฐาน
ทุกๆครั้งที่พระเจ้าปรากฏกาย จะมีบางคนที่ต้องสังเวยร่างกายของตนเพื่อรับการครอบครองของพระเจ้า
ไม่เพียงเท่านั้น สายเลือดของคนๆนั้นต้องแข็งแกร่งมาก และมีความสามารถที่เกือบใกล้เคียงกับระดับรีเจนดารี…
สำหรับจุดจบของคนที่ถูกครอบงำ หากพวกเขาไม่ตาย ทุกๆอย่างก็เป็นอันจบ…
เช่น โมเสส
เหตุที่เกิดสถานการณ์เช่นนี้ เป็นเพราะผลพวงจากสงครามของพระเจ้า
“ตอนนี้พระเจ้าและปีศาจยังคงเป็นเรื่องที่ไกลตัวจากฉันอยู่ แต่การหวนคืนของพระเจ้าและปีศาจจะเป็นหายนะที่ทุกชีวิตไม่อาจหลีกเลี่ยงได้!” วิลเลียมรู้นิสัยของพระเจ้าและปีศาจเป็นอย่างดี
“ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะเป็นผู้ที่เที่ยงธรรมและปีศาจนั้นดูชั่วร้าย นั่นแหละที่เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงมีฝ่ายมืดและฝ่ายสว่าง”
“สิ่งมีชีวิตทุกๆสิ่งเป็นเพียงมดปลวกในสายตาของพระเจ้าและปีศาจ เป็นทาสรับใช้ที่ไร้ประโยชน์ มีไว้เพียงเพื่อความบันเทิงของพวกเขาเท่านั้น”
“สงครามของสองอาณาจักรในเวอร์ชันแรกดูเหมือนว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าและปีศาจ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นตัวกระตุ้นให้พวกเขาปรากฏตัว”
“เช่นที่ราบในปัจจุบันที่ดูเขียวชอุ่มและมีชีวิตชีวาด้วยม้าที่ควบไปมา…”
“ใครจะรู้ว่าในอีกไม่นาน สิ่งมีชีวิตฝ่ายมืดจะคลานออกมาจากพื้นดินอย่างต่อเนื่อง?”
“แม้แต่อาณาจักรเหล็กที่เคยเย่อหยิ่งก็จะถูกทำลายลงเช่นกัน…”
“แต่ถึงอย่างไร การปรากฏตัวของสิ่งมีชีวิตฝ่ายมืดก็ทำให้ผู้เล่นเข้าสู่เกมเวอร์ชันที่สองอย่างเป็นทางการ หรืออาจเรียกว่า การโจมตีของฝ่ายมืด”
วิลเลียมมีสีหน้าที่มืดมน เขาไม่ได้อยากยอมแพ้ให้กับอาณาเขตของตนเอง แม้ว่าอาณาเขตแห่งนี้จะธรรมดาไปเสียหน่อย แต่เขารู้ว่าป่าแบล็คลีฟนั้นมีความสำคัญมากในอนาคต ดังนั้นเขาจะไม่ยอมแพ้ให้กับดินแดนอันมีค่าแห่งนี้ง่ายๆหรอก
นอกจากนี้ เขายังมั่นใจว่าจะทำให้เมืองแห่งนี้ตั้งตระหง่านเป็นแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิดในอนาคตได้
เขาต้องการทำให้ดินแดนของเขากลายเป็นเมืองเพียงแห่งเดียวที่ยังคงตั้งอยู่ภายในความมืด!
แต่สิ่งที่ต้องมีก่อนนั่นก็คือ…
เขาต้องมีเงินให้มากพอ มีเมืองที่แข็งแรงมากพอ คนที่แข็งแกร่งมากพอ และชาวเมืองที่มากพอที่จะบากบั่นไปพร้อมกับเขาได้
“ความสำคัญของผู้เล่นนั้นชัดเจนในตัวของมันเอง การฟื้นคืนชีพคือหนึ่งในความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขา ถึงกระนั้นผู้เล่นที่ระดับเดียวกันก็เทียบไม่ได้กับ NPC เลยด้วยซ้ำ แต่การฟื้นคืนชีพแบบไม่จำกัดก็ทำให้พวกเขามีฐานที่แข็งแกร่ง”
“ความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุดของผู้เล่นคือการเพิ่มระดับและแข็งแกร่งขึ้นได้ในเวลาอันสั้นและไม่มีการจำกัดความสามารถ”
“นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมในอนาคต เราถึงต้องรับผู้เล่นเข้ามาในเมืองให้มากพอ”
“ถ้าไม่อย่างนั้น เราก็ต้องสร้างสิ่งที่ผู้เล่นชื่นชอบตอนที่ขยายเมือง เราต้องทำให้พวกเขาทั้งหลายเข้าร่วมอาณาเขตของเราให้ได้ แทนที่จะไปยังอีกสองอาณาจักร” วิลเลียมรู้ว่าเขาไม่สามารถทำให้ผู้เล่นทุกคนเข้าร่วมอาณาเขตได้อย่างแน่นอน แต่เขาต้องทำให้ดีที่สุดในการดึงดูดเปอร์เซ็นต์ของผู้เล่น
“แต่ตอนนี้ฉันยังไม่แข็งแกร่งมากพอ ฉันต้องการชื่อเสียงและความนิยม” วิลเลียมไม่เคยชอบสายเลือดระดับรีเจนดารีของเขาเท่านี้มาก่อน
สำหรับผู้เล่นแล้ว…
เลเวลไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ
ระดับสายเลือดนั้นสำคัญที่สุด
สำหรับผู้เล่น สายเลือดระดับรีเจนดารีจะทำให้เขากลายเป็นบอสระดับรีเจนดารี และในอนาคตเขาจะเป็นซุปเปอร์บอสระดับรีเจนดารีที่แข็งแกร่งหาที่ใดเปรียบ เพราะแทนที่ผู้เล่นจะพึ่งพาวิลเลียม พวกเขาอาจจะต้องการจัดฉากฆ่าเขาแทน
ตราบใดที่เขาสามารถทำตัวเองให้แข็งแกร่งและเท่ได้อีกครั้ง ก็เชื่อได้เลยว่าเขาต้องมีอิทธิพลต่อผู้เล่นเป็นอย่างมากแน่นอน
“เราจะเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นอะไรดี? อย่างแรกเลย ชื่อเมืองชายแดนนั้นมันดูเห่ยเกินไป หลังจากเราขยายเมืองเสร็จ ก็ให้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็นเมืองแห่งรุ่งอรุณก็แล้วกัน!” วิลเลียมอดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำ
“อะไรนะ? เมืองแห่งรุ่งอรุณงั้นหรือ?” โอดอมเดินเข้ามา
“อืม เราวางแผนว่าจะเปลี่ยนชื่อดินแดนแห่งนี้ว่าเมืองแห่งรุ่งอรุณ!” วิลเลียมพยักหน้า
“เป็นชื่อที่ดีทีเดียว แล้วมันมีความหมายว่าอันใดล่ะ?”
“ท่านจะเห็นมันในอนาคต” วิลเลียมยิ้มอย่างลึกลับ แทนที่จะอธิบายอะไรสักอย่าง
โอดอมปัดผมหยิกสีทองของเขาเบาๆและเลือกที่จะไม่คิดอะไรมาก อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเรียกดินแดนแห่งนี้ว่าอะไรก็ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับเขาอยู่แล้ว ในฐานะรองเจ้าเมือง อาจดูเหมือนว่าเขามีอำนาจมาก แต่ผู้นำสูงสุดของเมืองนี้ยังเป็นวิลเลียมอยู่ดี…
ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติ แร่ธาตุ และความมั่งคั่งทั้งด้านในและด้านนอกอาณาเขต หากไม่ได้เป็นของๆใคร ทั้งหมดก็ล้วนเป็นของวิลเลียม!
อาจกล่าวได้ว่าตราบใดที่วิลเลียมยังคงขยายอาณาเขตต่อไป ป่าแบล็คลีฟทางใต้ก็จะกลายเป็นอาณาเขตของเขา
ไม่มีทางที่อำนาจของลอร์ดท่านหนึ่งจะเทียบได้กับจักรพรรดิ
ความแตกต่างระหว่างขนาดของอาณาเขตนั้นใหญ่เกินไป
ทวีปรีเจนดารีมีขนาดใหญ่เท่ากับประเทศจีนสิบเท่า…
ยังมีพื้นที่ที่ยังไม่ได้สำรวจและว่างเปล่ามากอยู่นัก
มีสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาน้อยกว่าสิบล้านชีวิต ถ้าอย่างนั้นนี่ก็เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์น่ะสิ ใช่ไหม?
“รวมถึงมหาสมุทรและหมู่เกาะน้อยใหญ่ที่ไม่ใครรู้จัก ตามข้อมูลข่าวสารจากออฟฟิเชียลของเกมแล้ว ขนาดของโลกใน Gods นั้นมีขนาดใหญ่กว่าโลกที่เราอยู่ถึงร้อยเท่า”
“ก่อนฉันตาย ฉันคงไม่สามารถไปสำรวจดินแดนที่มากมายขนาดนั้นได้” ในฐานะ NPC ที่ไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้ ความหวังหนึ่งเดียวของวิลเลียมคือการแข็งแกร่งขึ้น ไม่อย่างนั้น อย่างน้อยเขาก็คงตายด้วยน้ำมือผู้เล่น
อย่างไรก็ตาม มีหลายวิธีที่สามารถทำให้แข็งแกร่งขึ้นได้
ก่อนที่เขาจะแข็งแกร่งขึ้นนั้น เขาจะไม่เป็นทหารรับจ้าง, นักล่าเงินรางวัล, นักฆ่า หรือใดๆทั้งสิ้น และจะไม่ออกผจญภัยไปโดยรอบด้วย
แต่เขาจะสร้างขุมพลังของเขาและเป็นเจ้าของกลุ่มคนที่ทรงพลังแทน นั่นเป็นทางที่ดีที่สุด เขาจะมีความสามารถไปท่องโลกกว้างเมื่อบรรลุเป้าหมายนี้ได้แล้วเท่านั้น
โดยเฉพาะตอนนี้ที่วิลเลียมมีหน้าต่างสถานะและสามารถรับภารกิจได้ เขาเข้าใจมากขึ้นว่าจะทำให้ตนเองเพิ่มระดับได้เร็วขึ้นอย่างไร
ภารกิจอาณาเขตก็เป็นอีกทางหนึ่ง เขาต้องมีส่วนร่วมในภารกิจของทุกๆเวอร์ชันและรวมถึงภารกิจข้างเคียงอีกด้วย แต่การเพิ่มระดับด้วยวิธีนี้จะช้าลงเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายของเกม
การรวบรวมผู้เล่นมาให้มากพอและให้ภารกิจแก่พวกเขาเพื่อสะสมค่าประสบการณ์ถือเป็นหนทางที่รวดเร็วที่สุด
“ท่านลอร์ดครับ ท่านลอร์ดครับ เฒ่าแฮงค์ตัดสินใจที่จะเข้าร่วมกับร้านช่างตีเหล็กครับ” น็อกซ์เคลื่อนที่ราวกับบินมา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดวิลเลียมก็ออกจากภวังค์และพยักหน้า “ดีมาก พาเราไปพบเขาอีกครั้ง ในที่สุดของขวัญที่ฉันส่งให้ก็เห็นผลสักที…”
“เขาเป็นคนที่ชมชอบการดื่มสุรา หากเรารู้ว่าเขารักการดื่มให้เร็วกว่านี้ เราคงได้มีช่วงเวลาที่ยาวนานกับช่างตีเหล็กระดับแกรนด์มาสเตอร์ไปแล้ว!” น็อกซ์ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้
วิลเลียมไม่ได้อธิบายว่าเขาค้นพบว่าตาเฒ่าแฮงค์คนนี้รักการดื่มเป็นชีวิตจิตใจในชีวิตก่อน มีผู้เล่นบางคนเคยมอบเหล้ารสดีและราคาแพงให้กับเขา ทำให้อาวุธที่สั่งจองไว้ได้เร็วกว่ากำหนดมากนัก…
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้เป็นการสร้างอาวุธ แต่เป็นการสรรหาช่างตีเหล็กระดับแกรนด์มาสเตอร์ที่มีสายเลือดระดับอีปิค
ความแตกต่างระหว่างทั้งสองอย่างนี้มากมายนัก เฒ่าแฮงค์อาจเลือกที่จะเป็นช่างตีเหล็กเพียงเพราะตระหนักได้ว่าเมืองแห่งนี้กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว
ตาแก่แฮงค์นั่งอยู่บนเก้าอี้โยก มองไปยังกลุ่มคนแคระซึ่งมองมาที่เขาด้วยความเคารพราวกับกำลังคิดว่าจะทักทายเขาดีหรือไม่
เขายกคิ้วขึ้นและตะโกนตรงไปยังเหล่าคนแคระให้ขยับข้าวของอุปกรณ์ของเขา เพราะว่าร้านตีเหล็กร้านเดิมนั้นใช้การไม่ได้แล้ว
ขณะเดียวกันโอดอมก็กำลังขยายเมือง เขาสร้างโรงตีเหล็กขนาดใหญ่ห้าโรง ซึ่งสามารถรองรับช่างตีเหล็กกว่าร้อยคนในการทำงานและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน
เหตุผลที่คนแคระเหล่านี้ให้ความเคารพแก่เขานั้นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่าชายแก่คนนี้เป็นมนุษย์ช่างเหล็กระดับแกรนด์มาสเตอร์
แนวคิดนี้ของคนแคระนั้นบริสุทธิ์ใจยิ่งกว่าการเคารพคนที่แข็งแกร่ง
“บ้าจริง แต่เริ่มเดิมทีข้าเป็นช่างเหล็กคนเดียวในเมืองและสามารถทำงานได้ตามต้องการ แต่ตอนนี้ คนมากกว่าร้อยคนที่ทำอาชีพเดียวกันจู่ๆ ก็โผล่ออกมา แล้วตอนนี้ข้าจะทำอะไรกินล่ะนี่?”
ตาแก่แฮงค์ที่กำลังเกาหัวทรงรังนกของเขารู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมา เขาดูไม่พอใจ เขายอมรับคำเชิญของวิลเลียมเพียงเพราะในตอนนี้เขาไม่ได้ต้องการอะไรมาก
มันเป็นเรื่องดีที่เขาสามารถเป็นหนึ่งในเจ้าของโรงตีเหล็กอันหนึ่ง
“เจ้าของ? นี่ฟังดูเยี่ยมมากๆ…”
ก่อนหน้านี้เมืองชายแดนไม่ได้ต้องการอุปกรณ์หรือชุดเกราะมากนัก
ช่างเหล็กระดับแกรนด์มาสเตอร์อย่างเขาจึงทำได้เพียงช่วยเหลือชาวเมืองทำเครื่องมือเกษตรกรรมเท่านั้น
แม่ม่ายหลายคนที่โสดและไม่ต้องการเสียเงินก็จะทำเป็นตาบอด แล้วยอมให้เขาเอาเปรียบพวกหล่อน
แต่ตอนนี้มีช่างตีเหล็กมากมาย รวมทั้งการปรากฏตัวอย่างกระทันหันของช่างเหล็กระดับมาสเตอร์ อีกทั้งยังมีระดับแกรนด์มาสเตอร์อีกด้วย นี่ทำให้เขารู้สึกได้ถึงวิกฤต
อีกอย่าง ทุกๆวันรองเจ้าเมืองแคระโอดอมยังทำงานด้วยร่างกายส่วนบนที่เปลือยเปล่าพร้อมกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ซึ่งสามารถดึงดูดเหล่าแม่ม่ายสาวสวยจำนวนนับไม่ถ้วน เขามีผมเป็นลอนสีบลอนด์ทองและหน้าตาที่หล่อเหลา แม้เขาจะตัวเตี้ยแต่เขาก็มีออร่าที่ทรงพลัง
ตาแก่แฮงค์ผู้ครั้งหนึ่งเคยเป็นนักรักของเหล่าแม่ม่ายในเมืองก็ต้องการที่จะแข่งกับโอดอมเป็นธรรมดา
วิลเลียมมาที่ห้องตีเหล็กพร้อมกับถือไวน์แดงขวดหนึ่งซึ่งมีราคา 30 เหรียญเงินเพื่อมาเจอคนรู้จักเก่าแก่ของเขา
ตาแก่แฮงค์
เขาไม่มีนามสกุลอื่นๆ แต่ความเชี่ยวชาญหลักของเขาคืออาชีพลับ นักรบค้อนศักดิ์สิทธิ์
ความเชี่ยวชาญที่หายากอันนี้ทั้งพิเศษและทรงพลังอย่างมาก แถมยังเป็นที่นิยมอีกด้วย แต่ถ้าต้องทำอาชีพนี้เต็มเวลาก็หมายความว่ามันมีข้อกำหนดที่ยุ่งยากอีกมาก และหนึ่งในนั้นก็ทะลึ่งมากๆ อีกด้วย
นั่นก็พูดได้ว่า อาชีพเสริมของคนเหล่านี้ต้องเป็นช่างเหล็กและจะสามารถเปลี่ยนเป็นอาชีพนี้ได้ก็ต่อเมื่ออาชีพตีเหล็กถึงระดับแกรนด์มาสเตอร์
คำถาม
ภายใต้สมมุติฐานที่ว่าผู้เล่นไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องอาชีพลับ ดังนั้นแล้วจะมีสักกี่คนที่จะยอมละเลยอาชีพหลักและอาชีพที่ฝึกฝนมาทั้งชีวิตจนเป็นระดับแกรนด์มาสเตอร์ แล้วไปเปลี่ยนมัน?
ในช่วงสุดท้ายของยุคของเอลฟ์ ก่อนที่มนุษย์จะกลายมาเป็นลอร์ดของดินแดนต่างๆ ตอนนั้นมีการปรากฏตัวของนักบุญทั้งสิบสองเกิดขึ้น!
แต่ละคนเป็นผู้ทรงพลังซึ่งเป็นคนทำลายเมือง, อาณาจักรต่างๆ, ท้องฟ้า และแผ่นดิน
อันที่จริง นักรบค้อนศักดิ์สิทธิ์เป็นหนึ่งในพวกเขา
วิลเลียมจำได้ว่านักรบค้อนศักดิ์สิทธิ์นั้นควรจะมีอุปกรณ์ที่ครบครัน…
แต่เขาไม่รู้ว่าสหายแก่คนนี้ผู้มีเพียงสายเลือดระดับอีปิคนั้นสามารถได้รับสืบทอดความเชี่ยวชาญนี้ได้อย่างไร
ภูมิหลังของสหายแก่คนนี้เป็นความลับและเขาไม่เคยหลุดมันออกมาเลย ตั้งแต่เมืองชายแดนล่มสลายลงและถูกรวมเข้ากับเขตปกครองเหล็ก เขาก็ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาทุกวันแทนที่จะทำงานตีเหล็ก
และหลังจากเขตปกครองเหล็กถูกทำลายโดยสิ่งมีชีวิตจากความมืด เขาก็ติดตามผู้เล่นเข้าไปในราชอาณาจักรและยังคงปรากฏตัวให้เห็นอยู่เรื่อยๆ
“เอาล่ะ เราควรจะพูดอย่างไรดี ไม่ใช่ผู้เล่นทุกคนจะสามารถฆ่าเหล่าบอสได้ และไม่ใช่ผู้เล่นทุกคนจะได้มีโอกาสรู้จักกับคนแคระที่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัย หรือแม้แต่อุปกรณ์ระดับอีปิค”
“แต่ตาแก่แฮงค์ NPCคนนี้ที่ไม่เคยปฏิเสธงานจากใคร กลับสามารถสร้างอุปกรณ์ระดับทองที่มีเอกลักษณ์ และแม้แต่อุปกรณ์ระดับอีปิคได้”
“คนประเภทนี้ก็เหมือนกับNPCคนหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อถูกแต่งตั้งโดยหน่วยงานของเกม ดังนั้นจึงทำให้ผู้เล่นไม่เสียความมั่นใจในหาอุปกรณ์…” วิลเลียมเล่นจนถึงตายในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาและไม่เคยมีประสบการณ์กับเควสของตาแก่แฮงค์
บางทีเควสของตาแก่แฮงค์อาจถูกทำให้สำเร็จโดยผู้เล่นคนอื่น และตาแก่แฮงค์คนที่อยู่เหนือคลื่นลมคนนี้กลับไม่เคยตาย เขายังน่าประทับใจยิ่งกว่าโมเสส ผู้วิเศษรอบด้านอีก
มีอุปกรณ์หลากหลายระดับในเกม Gods เมื่อเทียบกับอุปกรณ์ระดับอีปิคและรีเจนดารี ค่าคุณสมบัตินั้นแทบไม่ต่างกัน เพียงแค่เอฟเฟคพิเศษบางอย่างเท่านั้นที่มีประโยชน์
ในแต่ละระดับก็มีอุปกรณ์ระดับสูงประจำระดับนั้นๆ
ยกตัวอย่างเช่น วิลเลียมยังอยู่ในระดับเริ่มต้นซึ่งก็คือก่อนระดับ 40
ไม่ว่าจะเป็นระดับเริ่มต้น, ระดับกลาง หรือระดับสูง ระดับอุปกรณ์ของอีปิคและรีเจนดารีก็เหมือนๆกัน
แต่เมื่อเลเวลเพิ่มขึ้นเร็วเกินไปภายในเลเวล 40 มันก็จะเป็นการเสียวัสดุระดับสูงเพื่อมาใช้กับอุปกรณ์ระดับต่ำ
และนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่วิลเลียมไม่มุ่งหาอุปกรณ์ที่ระดับดีกว่า
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ มันต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการหาข้อมูลของภารกิจเพื่อให้ได้รับอุปกรณ์ระดับรีเจนดารีสักชิ้น มีภารกิจที่ซับซ้อนอีกเป็นทอดๆ และถ้าคุณทำภารกิจล้มเหลวแม้แต่อันเดียว อุปกรณ์ระดับรีเจนดารีก็จะไม่มีทางเป็นของคุณ
ถ้าคุณต้องการที่จะขายข้อมูลของภารกิจ รายละเอียดที่ต้องทำในภารกิจก็จะเปลี่ยนไป…
และแม้ว่าคุณจะมีโอกาสทำภารกิจทั้งหมดนั่นสำเร็จ ในตอนที่คุณได้รับอุปกรณ์รีเจนดารีแล้ว คุณก็ต้องผ่าระดับถัดไปต่ออีก
ดังนั้นในเกม Gods อันนี้ มันจึงจะดีที่สุดถ้าไม่ไปเสาะหาอุปกรณ์ระดับรีเจนดารีตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ผู้เล่นระดับท็อปตัวจริงจะหาชิ้นส่วนของอุปกรณ์ระดับอีปิคและนำมาประกอบกันตามความเหมาะสม
“แต่สำหรับบอสระดับรีเจนดารีคนหนึ่งแล้ว ฉันไม่ได้รับอุปกรณ์ระดับรีเจนดารีติดตัวมาสักชุดหนึ่งได้ยังไงกัน?” วิลเลียมโยนขวดไวน์แดงไปที่ตาแก่แฮงค์ แล้วพูด “เฮ้ มีทั้งไวน์, เหล็ก, และของแลกเปลี่ยนสำหรับช่างเหล็กระดับแกรนด์มาสเตอร์แล้ว ทำไมท่านยังดูไม่พอใจอีก?”
ตาแก่แฮงค์กรอกตาของเขา ก่อนจะยืนขึ้นและยืดตัวขึ้นเล็กน้อย “ท่านลอร์ดแห่งข้า ท่านไม่รู้…”
“อย่าพูดอะไรเลย เรารู้!” วิลเลียมหยุดตาแก่แฮงค์จากการพูดเรื่องไร้สาระ ก่อนจะเดินไปที่เข้าข้างตัวของตาแก่และกระซิบความลับบางอย่างแก่เขา ตาแก่แฮงค์เบิกตากว้างเมื่อเขาได้ยินที่วิลเลียมพูดและเลียมุมปากของเขา
เขาจับแขนของวิลเลียมด้วยความตื่นเต้น แล้วถาม “จริงเหรอนี่? เราเป็นแค่เมืองเล็กๆ ไม่ใช่รึ?”
วิลเลียมขมวดคิ้ว “ในอีกครึ่งปี มันจะกลายเป็นเมืองที่เจริญ เมื่อถึงตอนนั้นก็จะมีประชากรเป็นสิบๆหมื่น และเราก็จะได้รับการพิจารณาให้เป็นเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง!”
“นั่นฟังดูไม่เลวเลย ท่านลอร์ด ท่านทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าแข็งแรงอย่างเต็มที่ขึ้นมา”
“จงเต็มไปด้วยความแข็งแรงอย่างนี้ตลอดครึ่งปี เรากลัวว่าถ้าพวกเราสร้างหอนางโลมตอนนี้ ผู้คนที่กำลังขยายเมืองจะไม่เหลือพลังมาทำงาน” วิลเลียมยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้
การมีหอนางโลมไว้ดีกว่าการจำกัดความต้องการของพวกเขา ชายโสดผู้หิวโหยนั้นเกินกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้
ในยุคนี้ไม่มีวิดีโอ
การเผยแพร่ของนิยายก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า
ส่วนสำหรับรูปภาพ? พวกเขาคงจะจ้องได้ไม่นานนานนัก เพราะมันมีผลกระทบอย่างมากต่อประสาทการมองเห็น
ดังนั้น
หอนางโลมจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ชายในยุคนี้
ไม่มีทางเลือก วิลเลียมไม่รู้ว่าเกมนี้ถูกมองอย่างไร…
แต่นี่มันเยี่ยมไปเลย…
แต่มันดูเหมือนว่ามันเป็นเกมสำหรับผู้ใหญ่ ที่ผู้เล่นอายุ 18 ปีขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถเล่นได้…
ในฐานะลอร์ด เขาจึงไม่จำเป็นต้องบังคับผู้คน ตราบใดที่หอนางโลมยังเปิด ผู้หญิงจากเขตปกครองข้างๆ ส่วนใหญ่จะต้องการทำงานนี้
ดูเหมือนว่าผู้คนบางส่วนในเมืองชายแดนก็ไปที่หอนางโลมในเขตปกครองทั้งสองเพื่อหางาน…
ที่สุดแล้ว มันก็ค่อนข้างอึดอัดใจอยู่ดีในการที่ต้องมาเห็นหน้าคนคุ้นเคย…
ส่วนสำหรับตาแก่แฮงค์
มันจะใช้ไม่ถึงสองนาทีด้วยซ้ำ ตาแก่แฮงค์ก็จะแอนหลังไปกับเตียงพร้อมกับคาบบุหรี่ไว้ที่ริมฝีปากอย่างแน่นอน เขาคงจะถอนหายใจว่าความเป็นชายของเขายังคงดีเหมือนเก่าอยู่
เหล่านางโลมจะได้รับ 4 เหรียญเงินจาก 5 เหรียญเงิน, และวิลเลียมก็จะได้รับ 1 เหรียญเงินเป็นส่วนแบ่งภายใน 2 นาที จะมีวิธีไหนที่หาเงินง่ายกว่านี้อีกน่ะหรือ?
ดาริอัส พี่ชายของเคอรี่ผู้เป็นอัศวินระดับกลางเป็นเป้าหมายของภารกิจนี้
ในวันนี้ เขาให้องครักษ์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลางห้าคนและผู้ติดตามระดับเริ่มต้นยี่สิบคนออกล่าเป้าหมายที่อยู่ทางทิศตะวันตกห่างจากเมืองชายแดนไป 15 ไมล์
วิลเลียมวางกระดาษสีเหลืองลงหน้ากองไฟเพื่อส่องมันให้สว่าง ก่อนข้อมูลของภารกิจจะปรากฏขึ้น
[ภารกิจกระตุ้นใหม่]
[ลอบสังหารไวเคาท์ดาริอัส]
[ระดับภารกิจ : C]
[รายละเอียดภารกิจ : กำจัดเป้าหมายของภารกิจและผู้ติดตามโดยไม่ปล่อยให้เหลือรอดชีวิตสักคน]
[รางวัลภารกิจ : ค่าประสบการณ์ 20000 หน่วย]
[ภารกิจล้มเหลว : เมื่อมีคนเหลือรอดไปได้]
“เป้าหมายภารกิจเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลาง และนี่เป็นเพียงภารกิจระดับ C ค่าประสบการณ์น้อยชะมัด!” วิลเลียมขมวดคิ้ว แต่นี่เป็นเพียงแค่สัญญากับเคอรี่เรื่องทาสเท่านั้น ไม่ใช่รางวัลภารกิจที่เขามองหา
ในกระบวนการของการขยายเมือง สิ่งที่ต้องการคือคนจำนวนมาก อาจกล่าวได้ว่าในยุคที่ไม่มีไฟฟ้าและเครื่องจักรกล กำลังคนเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดเลยก็ว่าได้ มิฉะนั้น อาณาจักรมนุษย์คงไม่มีการจำกัดการค้าทาส
นอกเสียจากว่าผู้วิเศษอย่างโมเสสจะช่วยสร้างเมืองด้วยเวทมนตร์ให้กับเขา ว่ากันแล้วผู้วิเศษที่รอบรู้คนนี้สามารถสร้างเมืองได้เร็วกว่าทาสหนึ่งแสนคน…
เนื่องจากเป็นการลอบสังหาร มันจะดีกว่าหากไม่พาคนไปเยอะเกินไป… วิลเลียมคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตะโกนออกไป “น็อกซ์ รวบรวมหน่วยลาดตระเวน 100 คน ให้พวกเขาเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม เราจะไปจัดการอะไรสักหน่อย”
“ครับท่านลอร์ด” น็อกซ์วิ่งออกไป
ไม่ต้องสงสัยกับความภักดีของเหล่าเอลฟ์เลย ไม่ว่าวิลเลียมจะสั่งให้พวกเขาไปฆ่าผู้คน หรือแม้แต่การขโมยเล็กๆน้อยๆพวกเขาก็จะยังติดตามไป ไม่อย่างนั้น จะเรียกพวกเขาว่าองครักษ์ส่วนตัวได้อย่างไร?
หากมีการต่อสู้ แล้วด้านหลังของพวกเขาเป็นแม่น้ำ พวกเขาจะไม่หลบหนี แต่จะสู้จนตัวตาย
เพื่อให้สามารถทำสิ่งที่ดีร่วมกันอย่างมีความสุขหรือแม้กระทั่งทำสิ่งที่เลวร้ายร่วมกัน นั่นคือชีวิตขององครักษ์ส่วนตัวอย่างพวกเขา
สิ่งนี้จะส่งผลต่อคุณค่าและมุมมองชีวิตของพวกเขา…
“พวกเขาจะชินกับมัน อย่างไรพวกเขาก็รู้ว่าฉันเป็นครึ่งเอลฟ์ที่มีข้อบกพร่องมากมาย” วิลเลียมยืดตัวใส่ชุดเกราะชั้นใน แล้วสวมชุดเกราะหนังสีน้ำเงินที่สวมใส่สบาย จากนั้นก็หยิบชุดอาวุธแห่งรุ่งอรุณทั้งสามชิ้นขึ้นมาและเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทาง
………………..
“ที่แห่งนี้แหละครับ นายน้อย” หน่วยลาดตระเวนระดับกลางชี้ไปยังสถานที่ใกล้เคียงและกล่าวว่า “ตามรายงานของหน่วยลาดตระเวน รังของหมาป่าดำกลายพันธุ์ควรอยู่ที่นี่”
“ข้าหวังว่ามันจะเป็นเพียงอสูรเวทย์ระดับกลาง มิฉะนั้น การล่าสัตว์ประจำฤดูใบไม้ผลิคงไร้ความหมายแล้ว!” ดาริอัสหรี่ตาเล็กน้อย
มีบางคนหัวเราะก่อนจะกล่าวว่า “ทำไมท่านไม่ให้ทาสระดับเริ่มต้นบางคนวิ่งเป็นเหยื่อล่อ แล้วท่านค่อยตามล่าทีหลังล่ะ?”
ดาริอัสปรบมือเบาๆ “ฮ่าฮ่า ความคิดดียิ่ง แต่มาดูกันว่าหมาป่าสายฟ้านั้นร้ายกาจแค่ไหน มันสามารถเอาชนะแม้กระทั่งหน่วยลาดตระเวนทั้งกลุ่มด้วยตัวของมัน!”
“ฮ่าฮ่า กลุ่มนั่นอ่อนแอเองต่างหาก!”
“มีนายน้อยเพียงคนเดียวก็เท่ากับหน่วยลาดตระเวนสิบกลุ่มแล้วครับ!”
ดาริอัสหัวเราะร่วน ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง “หยุดกล่าววาจาไร้สาระได้แล้ว เดินหน้าต่อและเบิกตาของพวกเจ้าไว้เสมอ หากเราปล่อยให้หมาป่าดำกลายพันธุ์หนีไปได้ พวกเจ้าจะกลายเป็นเหยื่อแทน”
“ครับท่านลอร์ด” นอกจากองครักษ์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลางสี่คนแล้ว คนที่เหลือต่างสั่นกลัวเพราะท่านไวเคาท์ตรงหน้านั้นดูวิปลาสจริงๆ…
หรืออาจกล่าวได้ว่า
ขุนนางของพวกมนุษย์ส่วนใหญ่มักสืบทอดลักษณะแปลกๆมาเสมอ
…………………………..
เคอรี่มองคนสิบคนตรงหน้าเขา มีผู้เชี่ยวชาญระดับเริ่มต้นแปดคนและคนที่เพิ่งขึ้นมาเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลางสองคน พวกเขาทั้งหมดถูกฝึกขึ้นมาอย่างลับๆ
เขากล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เหล่าพี่น้องทั้งหลาย ขึ้นอยู่กับพวกท่านแล้วว่าข้าจะสามารถสืบทอดตำแหน่งท่านเคาท์ได้หรือไม่”
“พวกมันมีมากกว่า 20 คน แล้วเราจะหยุดยั้งพวกมันได้อย่างไร? ทำไมเราไม่เรียกคนมาเพิ่มกัน? เห็นได้ชัดว่าเรากำลังจะไปตาย” นักรบคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด
“ข้าไม่ได้บอกว่าเราต้องจัดการด้วยตนเอง เมื่อถึงเวลาจะมีบางคนมาช่วยพวกเรากำจัดเป้าหมาย เราเพียงแค่รับผิดชอบอยู่ที่นี่และป้องกันไม่ให้พวกมันหนีออกไป” เคอรี่ส่ายศีรษะเบาๆ เมื่อเขามองไปยังคนที่กล่าวขึ้นมา ร่องรอยความเย็นชาก็ประกายขึ้นในดวงตาของเขา
…………………………….
ลอทเนอร์มองไปยังที่ที่มีคนรวมตัวกันและคิดว่าพวกเขามาล่าอสูรเวทย์หรือล้างเผ่าเล็กๆใกล้เคียงอาณาเขต แต่ตอนนี้เขาตระหนักได้แล้วว่ามันคือการลอบสังหารต่างหาก…
“ท่านลอร์ด ท่านเข้าใจคำว่า ‘ลอบสังหาร’ ผิดไปหรือไม่?” ลอทเนอร์กลัดกลุ้มเล็กน้อย
วิลเลียมยักไหล่และพูดอย่างงุนงงว่า “การลอบสังหารหนึ่งคน สองคน หรือร้อยคน มันแตกต่างกันด้วยเหรอ?”
“เอ่อ…เสียงจะไม่ดังเกินไปหรือ?”
“เสียงจะดังมากไหมน่ะเหรอ? หากท่านใช้พลังการต่อสู้และตะโกนในป่า ไม่มีใครมาช่วยท่านภายในสามร้อยเมตรหรอก แม้ว่าท่านจะตะโกนจนเสียงแหบแห้งก็ตาม!”
“แล้วทำไมข้าต้องตะโกนจนเสียงแหบแห้งด้วย? ลำคอข้าก็ยังดีอยู่มาก”
“…”
วิลเลียมเลิกคิ้ว ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าลำคอของคุณดีมากกันล่ะ?
พวกเขาทั้ง 100 คนไม่มีใครที่ขี่ม้า เหล่าเอลฟ์เดินขบวนเข้าไปในป่า ซึ่งมันจะเร็วกว่าตอนที่พวกเขาขี่ม้า
เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้ล้วนเป็นเอลฟ์หน่วยลาดตระเวน ซึ่งมีความรวดเร็ว และไม่มีใครที่สวมใส่เกราะเหล็กทั้งนั้น พวกเขาทั้งหมดสวมเกราะหนังทำให้ในขณะที่เดินบนพื้นหรือปีนต้นไม้อยู่นั้นไม่มีเสียงเลยสักนิด นอกจากนี้ความว่องไวของเหล่าเอลฟ์สูงมากและใช้ค่าสเตมินาเพียงเล็กน้อย
เมื่อใกล้จะเที่ยงวัน
ดวงอาทิตย์เหนือศีรษะของพวกเขานั้นทั้งกลมและยิ่งใหญ่ แต่มีเพียงแสงอาทิตย์เพียงเล็กน้อยที่สามารถผ่านเหล่าใบไม้และเปล่งประกายบนใบหญ้าแห้งกรอบที่พื้นดินได้
กลุ่มถูกแยกเป็นกลุ่มละ 10 คน พวกเขาสามารถสอดแนมและต่อสู้ได้ทุกเวลา
วิลเลียมกล่าวอย่างชัดเจนว่าภารกิจครั้งนี้คือสังหารคน
องครักษ์เอลฟ์ต่างประหลาดใจ แต่เขาก็ได้อธิบายไปนิดหน่อยว่าดาริอัสเป็นขุนนางมนุษย์ไร้จริยธรรมที่ฆ่าอสูรเวทย์ และพวกเราตั้งใจที่จะฆ่าเขา…
แต่ดาริอัสเป็นอย่างว่าไว้จริงหรือ?
เรื่องนี้ไม่สำคัญแม้แต่น้อย เมื่อวิลเลียมบอกว่าดาริอัสเป็น ‘ขุนนางมนุษย์ผู้ชั่วช้า’ เหล่าเอลฟ์ก็จะคิดถึงอดีตที่น่าเศร้า พวกเขาไม่เคยอ่อนข้อให้กับขุนนางมนุษย์ประเภทนี้ หากพวกมันมีหมื่นคน พวกเขาก็จะฆ่าทั้งหมื่นคน ด้วยวิธีอันแสนบ้าคลั่งมากมาย พวกเขาจะสามารถผลัดกันทรมานเหยื่อได้…
เวลาผ่านไป
วิลเลียมรู้สึกโชคดี เขาได้พบเข้ากับดาริอัสและคนของมันก่อน
“เราจะเริ่มเลยหรือ?” ลอทเนอร์, วิลเลียม, และน็อกซ์หลบอยู่บนต้นไม้ต้นเดียวกัน
มุมปากของวิลเลียมขยับเล็กน้อย “ไม่ใช่ น็อกซ์ ไปบอกให้คนอื่นๆล้อมพวกมันไว้ และปล่อยให้หมาป่าสายฟ้าระดับกลางกินแรงพวกมันซักพัก”
เขาเฝ้าดูดาริอัสตะโกนและแผดเสียงไม่ให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญรอบๆหมาป่าสายฟ้าทำลายขนของมันเสียหาย
แต่ด้วยการกระทำแบบนั้น ทำให้ผู้เชี่ยวชาญสามคนถูกหมาป่าสายฟ้ากัด
นอกจากนี้ยังมีบางคนที่ผิวหนังถูกเผาไหม้จนเป็นสีดำและมีควันสีเขียวลอยออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไฟฟ้าจากหมาป่าช็อต
หมาป่าดำแยกเขี้ยวที่เต็มด้วยเลือดที่ไหลออกจากปากของมัน ดูเหมือนว่ามันจะพ่นสายฟ้าออกมาตลอดเวลา แม้ว่าศักยภาพทางสายเลือดของหมาป่าสายฟ้าจะเฉลี่ยเท่าๆกัน แต่รูปร่างและขนของมันนั้นดูดีเป็นอย่างมาก
ในตอนแรกมีผู้เล่นหลายคนชอบที่จะจับลูกหมาป่าสายฟ้ามาเป็นสัตว์เลี้ยง
หากความภักดีของหมาป่าสายฟ้าที่โตขึ้นสูงมากพอ มันก็สามารถเป็นสุดยอดคู่หูได้อย่างแน่นอน มันเร็วและแข็งแกร่งมากเมื่อกัดคู่ต่อสู้ในระยะใกล้ แต่ค่าพลังชีวิตของมันเมื่อเทียบกับอสูรเวทย์ตนอื่นๆแล้วก็เปรียบได้กับน้องชายตัวเล็ก การเตะที่เอวของมันจะเป็นการโจมตีแบบติดคริติคอล…
การแสดงออกของดาริอัสนั้นเยือกเย็น เขามองดูหมาป่าสายฟ้าฆ่าคนของเขาไปทีละคนๆ และตอนนี้เขาก็หมดความอดทนแล้ว เมื่อเขายกคันธนูและลูกศรขึ้นมาข้างๆ เขาก็กดมือลงบนไหล่และพึมพำว่า “มีบางคนกำลังมา แม้ว่าจะไม่มีเสียงหรือเจตนาที่จะฆ่า ฉันก็ยังรู้สึกถึงมัน”
“ฮ่าฮ่า หรือว่าจะเป็นนักฆ่าที่ถูกส่งมาโดยน้องชายที่น่ารักของฉันกัน? ฉันรู้ว่าเขานั้นไม่ซื่อตรงหรอก” ดาริอัสหัวเราะก่อนจะยกมือขึ้นยิงธนู หมาป่าสายฟ้าที่ไม่เหลือพลังที่จะสู้แล้วถูกยิงเข้าที่หัวด้วยลูกศรและเต็มไปด้วยเลือดที่พุ่งออกมา
เขาเดินไปที่ผลงานของเขาและมองไปรอบๆอย่างไร้ระเบียบ “ออกมา ในฐานะนักฆ่า ข้าชื่นชมทักษะการซ่อนตัวของพวกเจ้า ทำไมพวกเจ้าไม่ไปฆ่าน้องชายของข้าแทนล่ะ? ข้าจะจ่ายให้พวกเจ้าสองเท่าเลย ดีไหม?”
ยังคงมีแต่ความเงียบ
“พวกเจ้ากลัวอะไรกันหรือ? แม้ว่าข้าจะมีคนอยู่มากมาย แต่ข้าจะไม่ทำอะไรพวกเจ้าเลย อย่างที่ข้ากล่าวก่อนหน้านั้นว่า ข้าจะจ่ายให้พวกเจ้าสองเท่าเพื่อให้ไปฆ่าน้องชายของข้า!” ดาริอัสตะโกนอีกครั้ง
ทันใดนั้นวิลเลียมก็โผล่ศีรษะออกมาจากต้นไม้และกล่าวอย่างไม่ชอบมาพากลว่า “จริงหรือ?”
ดาริอัสหรี่ตา “โอ้ เจ้าเป็นเอลฟ์หรือครึ่งเอลฟ์กันล่ะ? อย่าได้กลัวไปเลยเพื่อนตัวน้อย ข้าดาริอัสผู้ดำรงตำแหน่งไวเคาท์นั้นไม่เคยห่มเหงรังแกผู้อื่น!”
“โอ้ ออกมาทุกคน อย่าเกรงกลัวไป ไอ้ขยะนี่จะไม่รังแกผู้อื่น” วิลเลียมปรบมือ
เสียงการเคลื่อนไหวขยับไปมาดังขึ้น
เหล่าเอลฟ์ลาดตระเวนที่ติดอาวุธพรั่งพร้อมออกมาจากหลังต้นไม้
ดาริอัสตื่นตระหนกและกระวนกระวายใจ
ผู้เชี่ยวชาญระดับกลางสี่คน…
และคนอื่นๆอีกมากมาย…
“เอาล่ะ ไม่ทราบว่าระหว่างเรามีเรื่องอะไรเข้าใจผิดกันหรือไม่?” ดาริอัสเป็นขุนนางที่มีพรสวรรค์ในการรับรู้สถานการณ์ตรงหน้า ตามความแตกต่างระหว่างจำนวนคนของทั้งสองฝ่ายแล้ว เขาคำนวณผลการต่อสู้ออกมาได้อย่างรวดเร็ว…
นั่นคือ
เขาซี้แหงแก๋แน่
“เข้าใจผิด เข้าใจเรื่องอันใดผิดหรือ?” วิลเลียมเย้ยหยัน ในฐานะบอสระดับรีเจนดารีและด้วยกลุ่มคนของเขา นี่ต้องเป็นแผนการกลั่นแกล้งผู้คนเป็นแน่
ดาริอัสกระแอมอย่างกระอักกระอ่วน “ข้าคือไวเคาท์แห่งอาณาเขตของอาณาจักรหินดำ และพ่อของข้าดำรงตำแหน่งท่านเคาท์ ข้าไม่รู้ว่าตนเองได้ไปสร้างความรำคาญใจให้กับท่านลอร์ดได้อย่างไร โปรดยกโทษให้กับข้าด้วยเถิด”
ขณะที่เขากล่าวอยู่นั้น ดาริอัสรู้ว่าวิลเลียมนั้นควรเป็นเอลฟ์ตนใหม่แห่งเมืองชายแดน
เขามีความภาคภูมิใจบนใบหน้าขณะที่เขาพูด และทุกๆครั้งที่เขากล่าวถึงตำแหน่งของบิดา เขาก็จะรู้สึกถึงความภาคภูมิใจ
เมื่อกล่าวถึงภูมิหลังของครอบครัว ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถทัดเทียมกับเขาได้ ภายในใจ เขาคิดว่าตราบใดที่ยังมีความเกรงกลัวต่อลอร์ดคนใหม่นี้ เขาก็ยังสามารถมีชีวิตกลับไปได้
ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็นึกไม่ถึงจริงๆว่าวิลเลียมจะเป็นนักฆ่า
มันเป็นไปไม่ได้ที่คนเหล่านี้จะเป็นนักฆ่า ใช่ไหมล่ะ?
ท่านล้อข้าเล่นแล้ว? คิดว่าข้าโง่มากนักหรือไง?
ดาริอัสคิดว่าเขาได้เข้ามาในดินแดนของพวกเอลฟ์โดยไม่ได้ตั้งใจซึ่งทำให้เหล่าเอลฟ์ขุ่นเคือง และนี่ไม่ควรเกิดวิกฤติอะไรที่ร้ายแรงมากนัก
“โอ้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้าฆ่าหมาป่าสายฟ้าที่เป็นสัตว์เลี้ยงของเรางั้นหรือ?” วิลเลียมไม่สนใจที่จะร่ายภูมิหลังครอบครัวแข่งกับดาริอัส เขากลัวว่ามันจะทำให้อีกฝ่ายตื่นกลัวจนตายเสียก่อน
จากนั้น วิลเลียมก็ชี้ไปยังร่างของหมาป่าสายฟ้าที่น่าเศร้า “ดู ดูหมาป่าสัตว์เลี้ยงของเราที่โดนเจ้ายิงสิ และเจ้ายังยืนบนร่างมันอยู่ด้วย รีบยกเท้าออกเร็วเข้า ขนที่ถูกเจ้าเหยียบย่ำมันไม่สามารถขายได้หรอกนะ…”
“บอกมาว่าเจ้าจะชดใช้ให้กับการฆ่าสัตว์เลี้ยงของเราอย่างไร?”
“…”
ดาริอัสยกเท้าขึ้น ปากของเขากระตุกไม่หยุด เขาไม่เคยเห็นใครที่ไร้ยางอายเท่านี้มาก่อน เขาทำได้เพียงหยิบอัญมณีสีม่วงในแขนเสื้อออกมาเท่านั้น “นี่คือพลัง…”
“โยนมันออกมา เราจะมองด้วยสายตาของตนเอง” วิลเลียมขัดจังหวะดาริอัส
ขวับ
วิลเลียมคว้ามือไปจับมันเอาไว้ จ้องมองเพียงชั่วครู่ ก่อนการแสดงออกของเขาจะเปลี่ยนเป็นยินดีเล็กน้อยในขณะที่เก็บมันไว้ในแขนเสื้อ
ดาริอัสเองก็ยินดีเช่นกัน
แต่เมื่อพบกับวิลเลียมที่จ้องมองเขาด้วยสายตาราวกับหมาป่าที่จ้องมองกระต่ายสีขาวอีกครั้ง
เขาก็รู้ได้อย่างชัดเจนเลยว่า
มันไม่เพียงพอ
หากเขาไม่มอบเงินให้ เหล่าเอลฟ์ที่หน้าเลือดเหล่านี้คงฆ่าเขาเป็นแน่
ดาริอัสและองครักษ์ทั้งสี่นายต่างมองหน้ากันและนำสิ่งของออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว ท้ายที่สุดแล้วในฐานะบุตรชายคนโตของท่านเคาท์ เขาก็มีทรัพย์สมบัติเป็นจำนวนมาก
เพราะฉะนั้น…
หลังจากที่โยนทรัพย์สมบัติออกมาทั้งหมดแล้ว ดาริอัสก็ไม่เหลืออะไรนอกจากอาวุธและอุปกรณ์ของเขา
วิลเลียมบุ้ยปาก “แย่จริง!”
“ได้โปรดปล่อยพวกเราไปเถิด หากข้าได้กลับไป ข้าจะนำของขวัญมาให้ท่านอย่างแน่นอน!” ดาริอัสยิ้ม ดวงตาของเขาจริงใจ
“หึ พวกบัดซบ เจ้าคิดว่าจะสามารถมีชีวิตต่อไปได้หลังจากที่ฆ่าสัตว์เลี้ยงของเราไปงั้นหรือ? ฆ่าพวกมันซะ” วิลเลียมขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจพวกเขา ก่อนจะปัดมือเบาๆ
เหล่าเอลฟ์ต่างพากันยืนขึ้นทันทีแล้วง้างคันธนู
“แกมันเป็นเอลฟ์ที่ชั่วช้าต่ำทราม พ่อของข้าจะต้องมาแก้แค้นให้แน่ แม่งเอ้ย!!” ดาริอัสคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว พลังการต่อสู้จากองครักษ์ที่อยู่ข้างกายเขาระเบิดออกมา
“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว…”
ลูกธนูที่เปี่ยมไปด้วยพลังการต่อสู้นับร้อยพุ่งออกไป และในขณะที่มันโจมตีถูกโล่พลังงาน เสียงระเบิดก็ดังขึ้น แสงสว่างวาบ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ต้นไม้ที่อยู่รอบๆต่างถูกฉีกกระชากด้วยพลังการต่อสู้ และตามหย่อมหญ้าเต็มไปด้วยหลุมบ่อ
“ลุย!” ดาริอัสรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังการต่อสู้ในร่างกายนั้นลดลงไปอย่างบ้าคลั่ง เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลางและพลังการต่อสู้ของเขาไม่ได้น้อยไปกว่าสองเท่าของผู้เชี่ยวชาญระดับเริ่มต้น
ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ดาริอัสที่อยู่ท่ามกลางคนของเขาและถูกลูกธนูเพียงไม่กี่ดอกก็รู้ว่าเขาไม่สามารถป้องกันได้อีกนานกว่านี้แล้ว
แต่ก่อนที่เขาจะได้กล่าวอะไรออกไป ลอทเนอร์ก็ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ หยิบคันธนูสีทองอร่ามข้างกาย สะบัดสายธนูก่อนจะใส่ลูกศรแล้วง้างมันออกมา!
ฟิ้ว
แสงสีเงินที่วาววับราวกับสายฟ้าถูกยิงออกไป พุ่งข้ามผ่านท้องฟ้า ผู้คนเห็นได้แต่อากาศที่ถูกแหวกออกหลังลูกศรพุ่งผ่านไปเท่านั้น!
ต่อมา
แสงสีเงินสาดพุ่งผ่านเหล่าศัตรูในพริบตา ก่อนมันจะเจาะทะลุศีรษะของดาริอัส และในขณะที่เขากำลังจะล้มลงไปบนพื้นนั้น…
ปัง…
พลังการต่อสู้ที่บรรจุอยู่ในลำแสงสีเงินก็ได้ระเบิดออกมา
ทุกคนล้วนยกเท้าขึ้นหนี
ลอทเนอร์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลางมีเลเวลสูงกว่าดาริอัสสิบเลเวล และด้วยสายเลือดที่ทรงพลัง ไม่ต้องพูดถึงดาริอัส แม้พวกมันทั้งหมดจะรวมพลังกันก็ไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้กับลอทเนอร์ได้
เมื่อวิลเลียมเห็นดังนั้น เขาก็กระโดดลงมาจากต้นไม้ ก่อนจะเดินตรงมายังกองซากศพ และอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง “ชิ พวกเจ้าล้มก่อนที่เราจะได้ทำอะไรเสียอีก อ่อนแอเกินไปแล้ว”
“ท่านลอร์ดของพวกเราทรงพลังยิ่งนัก” น็อกซ์ยกอาวุธขึ้นยกย่องราวกับว่าวิลเลียมเป็นคนฆ่าพวกเขา
“ท่านลอร์ดของพวกเราทรงพลังยิ่งนัก” เหล่าเอลฟ์กล่าว
“หึ ข้าต่างหากที่เป็นคนฆ่าพวกมัน พวกคนไร้ยางอาย” ลอทเนอร์สาบานได้
แต่วินาทีต่อมา ลอทเนอร์ก็ยกอาวุธของเขาขึ้นก่อนจะตะโกนว่า “ท่านลอร์ดของพวกเรานั้นแสนทรงพลังและอยู่เหนือผู้คน ทันทีที่รัศมีของท่านปลดปล่อยออกมา พวกมันทั้งหมดก็พ่ายแพ้ ความแข็งแกร่งของท่านช่างน่ากลัวยิ่ง!”
เหล่าเอลฟ์พยักหน้าอย่างใช้ความคิด และตระหนักได้ทันทีว่านี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ได้เป็นผู้ดูแลเมือง…
วิลเลียมทำได้เพียงยิ้มแย้มเล็กน้อย แต่ไม่มีความภูมิใจในหัวใจของเขา ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่พวกเขาพูดก็เป็นสิ่งที่ดี แต่คนธรรมดาล้วนไม่เข้าใจความรู้สึกที่อ้างว้างที่ไม่หายไปหรอก
จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังอุปกรณ์ทั้งหลายบนซากศพ “ถอดพวกมันออกแล้วนำกลับไปหลอมแล้วสร้างใหม่”
“ครับท่านลอร์ด!”
“โอ้ใช่หมาป่า… ที่เป็นสัตว์เลี้ยงของเรา นำมันกลับไปทำสตูว์ไว้ทานเพื่อบำรุงร่างกายของพวกท่านเถิด”
“ท่านลอร์ดของพวกเราเป็นบุตรของพระเจ้าจริงๆ ขอให้พระเจ้าอวยพรให้แก่ท่านตลอดไป” เหล่าเอลฟ์มองวิลเลียมด้วยความยิ้มแย้ม พวกเขาต้องบอกว่าลอร์ดท่านนี้ดีเยี่ยมจริงๆ
ทุกครั้งที่ท่านพาพวกเขาไปขจัดวิกฤตใกล้กับอาณาเขต เขามักจะมอบอสูรเวทย์ให้กับพวกเขา
หมาป่าสายฟ้าตัวนี้ไม่ได้มีความเสียหายแต่อย่างใดและสามารถขายมันได้อย่างน้อยหลายร้อยเหรียญทองหลังจากลอกขนของมันออกแล้ว
ตอนนี้อสูรเวทย์ 150 กก.นี่เป็นของพวกเขาแล้ว เนื้อของมันสามารถนำมาทำซุปให้พวกเขาแบ่งกันดื่มได้ทุกคน และขนก็สามารถใช้เป็นเกราะโดยธรรมชาติได้
ตามสถานะองครักษ์แล้ว พวกเขาจะได้รับแม้กระทั่งมิทริลบางส่วน เมื่อเวลามาถึงพวกเขาอาจได้รับเกราะชั้นในระดับซิลเวอร์ หากพวกเขาไปหาโอดอมหรือลอทเนอร์เพื่อสร้างมันและเพิ่มวัสดุที่มีค่าบางอย่างลงไปด้วย เกราะชั้นในระดับทองอาจจะปรากฏออกมา
มันขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะตัดสินใจว่าใครจะเป็นคนสร้างเกราะชั้นในในขณะนั้น
อย่างไรก็ตาม ตามความรู้สึกของพวกเขาแล้ว ตอนนี้การใช้ชีวิตโดยการติดตามท่านลอร์ดก็ถือว่าดี พวกเขาไม่กลัวว่าจะมีสิ่งใดที่ดีกว่า…
“คนพวกนี้ชื่นชอบฉันขึ้นอย่างมากโดยไม่รู้ตัว” วิลเลียมถอนหายใจก่อนจะส่ายศีรษะ ความภักดีของผู้ใต้บังคับบัญชาของลอร์ดนั้นเกี่ยวข้องกับความน่าจะเป็นที่จะทรยศและหลบหนี
แต่ระดับของความประทับใจที่ดีนั้นแตกต่างกันเป็นอย่างมาก มันเกี่ยวว่าพวกเขาจะเข้ามารับลูกธนูแทนเขาหรือไม่…
ในช่วงเวลานี้ เขาคอยเปลี่ยนแปลงความประทับใจที่ดีต่อลูกหมีทั้งสามตัวในตอนเช้า เหล่าเอลฟ์ในช่วงบ่ายและเซียในตอนกลางคืน…
ไม่ ความประทับใจยังไม่เพียงพอที่ได้จะแลกเปลี่ยนเวทมนตร์กับเซียในตอนกลางคืน เขายังไม่สามารถได้รับความประทับใจที่ดีจากเธอได้
“เก็บกวาดร่างพวกนี้ซะ เมื่อเราออกไป คอยดูรอบๆไว้ เราจะกลับบ้านหลังจากล่าอสูรเวทย์บางตัวได้แล้ว” วิลเลียมตรวจสอบจำนวนศพอย่างละเอียด พวกเขาโกหกอย่างแนบเนียนโดยไม่ผิดพลาดแม้เพียงนิด
เขาไม่สนว่าใครจะเป็นท่านเคาท์ผู้เป็นบิดาของดาริอัส
กล่าวได้ว่ากองกำลังของอาณาเขตครึ่งหนึ่งได้ตกอยู่ในมือของขุนนาง
แต่อย่างน้อยอุปสรรคที่แท้จริงของวิลเลียมก็ควรเป็นมาร์ควิส ตำแหน่งเคาท์เพียงคนเดียวนั้นไม่อยู่ในสายตาของเขา โดยเฉพาะเป็นเคาท์ในอาณาเขตของดยุค…
เขามีองครักษ์เอลฟ์อยู่ 500 ตน ขุนนางธรรมดาไม่กล้าทำอะไรเขาหรอก
นอกจากนี้ยังไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลกับการเปิดเผยของเรื่องนี้ ตราบใดที่เคอรี่อยากสืบทอดตำแหน่งท่านเคาท์ เขาจะเก็บมันไว้
สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออาณาเขตของอาณาจักรหินดำไม่มีเวลาสนใจกับชีวิตและความตายของไวเคาท์คนหนึ่งหรอก อาณาเขตของอาณาจักรเหล็กมีปัญหากับการสั่งห้ามซื้อขายเหล็กและดูเหมือนว่ากำลังจะส่งกองทัพออกไป สิ่งที่พวกเขาสนใจคือการเปลี่ยนแปลงทางทหารของอาณาเขตเหล็ก
“ท่านลอร์ด ข้าพบของดีเข้าแล้ว!”
“อะไรหรือ?” วิลเลียมเลิกคิ้วและมองไปทางเอลฟ์ที่กำลังตื่นเต้น
“สมุนไพรเวทย์!”
วิลเลียมแหวกพุ่มไม้อย่างระมัดระวัง และอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ ตรงนั้นมีเห็ดสีฟ้าขนาดเล็กงอกเงยอยู่ใต้พุ่มไม้
หากให้เห็ดเหล่านั้นแก่คนธรรมดา พวกเขาจะไม่กินมัน
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ใช่คนโง่ ยิ่งเห็ดมีสีสันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีพิษมากเท่านั้น
แต่เวทมนตร์ที่แผ่ออกมาจากเห็ดนั่นเป็นของจริง
เวทมนตร์คืออะไรน่ะเหรอ?
เวทมนตร์ก็คือโมเลกุลไอออนิกในอากาศ…
“ฉันสร้างมันขึ้นอีกไม่ได้แน่ๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นค่าพลังการต่อสู้หรือค่าพลังเวทมนตร์ก็ล้วนต้องเสริมด้วยเวทมนตร์ ในโลกที่ถูกสร้างด้วยเกมคุณจะเอาตรรกะอะไรมาวัดได้ล่ะ…” หลังจากการตรวจสอบโดยละเอียด วิลเลียมพบว่ายังมีเห็ดที่อยู่ใต้พุ่มไม้อีกจำนวนมาก
เขาดูมีความสุข “ระวัง อย่าเหยียบมันเข้าล่ะ ดูให้ทั่วว่าที่นี่มีแฟรี่โพชั่นหรือเปล่า!”
แฟรี่โพชั่น
สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ที่กำเนิดขึ้นจากธรรมชาติ
สิ่งมีชีวิตชนิดนี้มักมีขนาดเท่าฝ่ามือ รูปร่างเหมือนมนุษย์และมีปีกที่เกือบโปร่งใสขนาดเล็กหนึ่งคู่ มันสามารถบินได้รวดเร็วและว่องไวราวกับสายลม
ในที่ที่ล้อมรอบไปด้วยสมุนไพรเวทย์มากมาย ที่นั่นจะมีเอลฟ์กำเนิดขึ้น
นิสัยตามธรรมชาติของแฟรี่ตัวน้อยคือการดูแลสมุนไพรเวทย์เหล่านี้ พวกเธอเป็นชาวสวนที่ทำงานอย่างหนักและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้สมุนไพรเติบโตและแข็งแรงขึ้น
“จะมีแฟรี่ตัวน้อยจริงๆหรือ?” ลอทเนอร์ดูมีความสุข ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ดีเพราะเราไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีโพชั่นไว้ดื่มอีก
แน่นอนว่าแฟรี่ตัวน้อยและเอลฟ์ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่ความชื่นชอบต่อแฟรี่ตัวน้อยของเหล่าเอลฟ์นั้นมักจะเกินกว่าจินตนาการของคนทั่วไปนัก
ในเมืองไนท์มีแฟรี่ตัวน้อยไม่น้อยกว่าหมื่นตน เกือบทั้งหมดในนั้นใช้ชีวิตเยี่ยงกับราชาและรอคอยการปรนนิบัติจากผู้คน
สาเหตุหลักเป็นเพราะทั้งคู่ต่างเกิดจากธรรมชาติ โดยเฉพาะความสามารถในการต่อสู้ของเอลฟ์นั้นแข็งแกร่ง ในขณะที่แฟรี่ตัวน้อยนั้นน่ารักราวกับโลลิตัวเล็กๆที่ตัวเบาและนุ่มนิ่ม ซึ่งทำให้เอลฟ์มีความปรารถนาที่จะปกป้อง…
หลังจากนั้นไม่นาน
แฟรี่ตัวน้อยที่ซ่อนตัวอยู่ในเห็ดก็ปรากฏตัวขึ้น
เพื่อนตัวเล็กขนาดเท่าฝ่ามือกระพือปีกสองข้างเบาๆ ก่อนที่เห็ดสีฟ้าดอกเล็กๆจะงอกขึ้นบนศีรษะของเธอ ปากบางๆเบะออกและเบิกตากว้างพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน “ท่านจะกินข้าไหม? ปล่อยข้าไปไม่ได้หรอ? ข้าไม่อร่อยหรอก แต่ท่านสามารถกินเห็ดนี่ได้นะ”
เธอดึงเห็ดที่มีขนาดใหญ่พอๆกับร่างกายของเธอ ยกมันขึ้นบนอากาศก่อนจะกล่าวว่า
“กินเห็ด แต่ไม่กินข้า โอเคหรือไม่?”
“พระเจ้า ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารักอะไรเช่นนี้!” เหล่าเอลฟ์เพศชายเบ่งบานหลังจากที่ได้เห็นความน่ารักของเจ้าตัวเล็กตัวนี้ ดวงตาของพวกเขาจับจ้องอยู่ที่เธอ
“น่ารัก อยากได้จัง…”
วิลเลียมมองไปยังองครักษ์คนนั้นและสั่งให้เขาปิดปากไป ก่อนจะแสดงสีหน้าที่เขาคิดว่าเป็นมิตร แล้วค่อยๆย่อตัวลงบนพื้น “เราจะไม่กินเจ้า เอลฟ์เป็นมิตรกับเหล่าแฟรี่ ทำไมเราต้องกินเจ้าด้วยล่ะ? ทำไมเจ้าต้องซ่อนตัว? หรือว่ามีสัตว์ประหลาดต้องการที่จะกินเจ้ากันล่ะ?”
แฟรี่เห็ดตัวน้อยพยักหน้าอย่างรวดเร็วและทำท่าด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนจะกล่าวว่า “มีหมาตัวใหญ่ที่มีปากกว้าง มันต้องการที่จะกินข้า!”
ปีกน้อยๆกระพือไปมา เธอซ่อนตัวอยู่ในหมู่เห็ด โผล่ศีรษะออกมาแล้วพูดว่า “หากข้าไม่ซ่อนตัวอย่างรวดเร็วในเห็ดเหล่านี้ ข้าคงจะถูกกินโดยหมาตัวใหญ่ตัวนั้นไปแล้ว”
“โอ้?” วิลเลียมสัมผัสเห็ดอย่างงุนงง ก่อนจะตระหนักได้ว่า “มันยังไม่โตเต็มที่นี่ ไม่น่าแปลกใจที่หมาป่าสายฟ้าไม่ได้เข้ามากินเจ้า มันอาจจะรอให้เห็ดโตเต็มที่แล้วกินไปพร้อมกับเจ้าก็ได้…”
“แล้วท่านจะกินข้าด้วยหรือไม่…” แฟรี่เห็ดปิดปากด้วยมือเล็กๆ ของเธอและจ้องไปที่วิลเลียม หยดน้ำตาไหลรินอย่างไม่อาจห้ามได้
ไม่มีใครรู้ว่าเพื่อนตัวน้อยนั้นเติบโตมาอย่างไร ตัวของเธอนั้นไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่น้ำตาไหลราวกับเม็ดฝนเป็นสาย…
“ไม่ ไม่ เราจะกินเจ้าได้อย่างไร? อย่าร้องไห้ หากเจ้าร้องไห้ หมาตัวใหญ่นั่นจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง!” วิลเลียมอธิบายอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดแล้ว อารมณ์ของนางฟ้าตัวน้อยนั้นก็มีผลต่อการเติบโตของสมุนไพรเวทย์…
แฟรี่ตัวน้อยจับเห็ดที่อยู่บนศีรษะของเธอก่อนจะพยักหน้าให้เขา และไม่ร้องไห้อีกต่อไป แต่เธอกลับเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในหมู่เห็ดอีกครั้ง โผล่มาให้เห็นเพียงศีรษะเล็กๆที่กำลังจ้องมองกลุ่มคนตัวสูงที่มีบรรยากาศสบายๆ
เขาต้องกล่าวว่า
เหล่าแฟรี่ก็มีหูที่เรียวแหลมเหมือนกัน
ลักษณะเพียงอย่างเดียวนั่นก็ทำให้ทั้งสองเผ่าพันธุ์รู้สึกดีต่อกันแล้ว
วิลเลียมหันไปคุยกับลอทเนอร์อยู่พักหนึ่งก่อนจะย่อตัวลงเพื่อกล่าวกับแฟรี่ว่า “ในป่าเต็มไปด้วยอันตราย ทำไมเจ้าไม่กลับบ้านไปกับเราล่ะ? เราจะช่วยเจ้าย้ายของไปอย่างไรดี?”
“ที่บ้านท่านมีอาหารอร่อยๆหรือไม่?”
“มีสิ!”
“ที่บ้านท่านสนุกหรือไม่?”
“สนุกสิ!”
“ที่บ้านท่านอันตรายหรือไม่?”
“ไม่อย่างแน่นอน!” ปากของวิลเลียมกระตุก ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดเหลือเกิน
แฟรี่เห็ดตัวน้อยกัดนิ้วของเธอ ก่อนจะพยักหน้าในที่สุด “ช่วยข้าเคลื่อนย้ายทีสิ”
วิลเลียมไม่จำเป็นต้องออกคำสั่งใดๆ กลุ่มเอลฟ์ก็เริ่มขุดดินอย่างระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำเห็ดเหล่านี้เสียหาย ส่วนแฟรี่เห็ดตัวน้อยก็ถูกเอลฟ์สาวหน่วยลาดตระเวนจับมืออย่างอ่อนโยนและอธิบายให้เธอฟังเกี่ยวกับบ้านในอนาคตอย่างยินดี
วิลเลียมยืนขึ้น หันไปทางลอทเนอร์แล้วพูดว่า “เราคิดว่าเธอเป็นแฟรี่ที่เพิ่งกำเนิดขึ้นและยังไม่ฉลาดพอ ไม่เช่นนั้น เธอคงจะรีบมาหาเราในตอนที่เห็นเราแล้ว…”
“ถูกแล้ว ตามการสืบทอดความทรงจำจากธรรมชาติ โดยทั่วไปแล้วเหล่าแฟรี่ไม่ได้รับการปกป้องจากเรา” ลอทเนอร์พยักหน้า เอลฟ์และแฟรี่เป็นที่โปรดปรานของธรรมชาติ และพวกเขาก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตลอดตั้งแต่สมัยโบราณ
“โชคดีที่เรามีมิทริล ถ้าไม่อย่างนั้น เราก็ไม่รู้เลยจริงๆว่าจะจัดอาหารให้กับเพื่อนตัวน้อยของเราได้อย่างไร!” วิลเลียมเลิกคิ้ว เหล่าแฟรี่ชื่นชอบที่จะดูดซับเวทมนตร์จากโลหะต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นมิทริล, แก่นทองคำ, โอริคัลคอส(ทองเหลือง) และอัญมณีทุกชนิด ต่างก็เป็นอาหารของแฟรี่
ถูกต้องแล้ว แฟรี่เหล่านี้เป็นตัวเผาผลาญเงินทอง ดังนั้นคนส่วนมากจึงไม่สามารถเลี้ยงดูเจ้าตัวน่ารักพวกนี้ได้
พวกเธอจะไม่กินมิทริลหรือโลหะอื่นโดยตรง แต่จะดูดเวทมนตร์เข้าไปในตัว ก่อนจะใช้เวทมนตร์ของพวกเธอไปกับการพัฒนาขนาดของสมุนไพรเวทย์
โดยทั่วไปแล้ว
การลงทุนนั้นจะไม่สูญเปล่า
และความสำคัญของโพชั่นก็ชัดเจนในตัวมันเองอยู่แล้ว
สำหรับผู้เล่นเดี่ยว โพชั่นเป็นยาที่ให้ค่าประสบการณ์สองเท่าในระยะสั้นซึ่งสามารถใช้ได้วันละครั้งเท่านั้น สำหรับเกมที่ไม่มีร้านขายอาวุธแล้ว มันก็ยากกับผู้เล่นพอสมควร
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือโพชั่นสามารถเพิ่มศักยภาพทางสายเลือดและเลเวลให้กับ NPC ได้อย่างช้าๆ
นี่เป็นวิธีสำคัญที่จะทำให้ NPC แข็งแกร่งขึ้น
“มันยากที่จะซื้อแฟรี่ได้ด้วยเงิน…” ในฐานะคนที่มีเหมือง วิลเลียมก็ร่ำรวยมากเช่นกัน
สำหรับเอลฟ์ที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ แฟรี่คือมิตรสหายญาติพี่น้อง ไม่ใช่สินค้าที่จะปล่อยให้ใครมาซื้อก็ได้ หากมีคนกล่าววาจาเช่นนี้ เอลฟ์จะถือว่าเป็นการเริ่มต้นสงคราม…
ความรู้สึกเช่นนี้ก็เหมือนกับมีเพื่อนของคุณมาบอกคุณว่า ‘ฉันขอยืมภรรยาแสนสวยของนายออกไปเดทเพื่อทำตัวเท่ๆหน่อยได้ไหม นายจะได้ไม่ต้องห่วงว่าภรรยาจะมีชู้รึเปล่าไง…’
บอกทีว่าใครจะตกลง?
สำหรับอาณาจักรมนุษย์ แฟรี่เป็นอาวุธประจำชาติ พวกเธอเป็นทรัพย์สินของชาติที่สำคัญกว่าเหล็กและม้าศึก
ไม่ว่าอย่างไร วิลเลียมก็ทำได้เพียงคว้าโอกาสนี้เอาไว้ ถ้าเขาอยากมีแฟรี่ไว้ในครอบครอง
“โอ้ใช่ เราจะตั้งชื่อให้กับเจ้านะ?” วิลเลียมกล่าวออกมาอย่างกระทันหัน
แฟรี่เห็ดตัวน้อยเงยหน้าขึ้นอย่างสงสัย
“ในอนาคตเจ้าคงจะเป็นสายสืบ… งั้นเรียกเจ้าทีโมแล้วกัน!”
“ทีโม?” แฟรี่เห็ดกระพริบตาและบินไปรอบๆวิลเลียมอย่างตื่นเต้น “ทีโม ทีโม ทีโม ทีโม~”
มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ คนเป็นลอร์ดนั้นได้รับทั้งอำนาจและความเอาใจใส่
ส่วนสำหรับเมืองแห่งรุ่งอรุณ ด้วยผู้ลี้ภัยจากทั้งสองเขตปกครองที่ไหลทะลักเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้ตอนนี้เมืองแห่งนี้มีพลเมืองกว่า 18,000 คนและทหารกว่า 800 คน จากบรรยากาศที่หดหู่ไร้ผู้คนกลายเป็นบรรยายกาศที่คึกคัก, บ้านเรือนมากมาย, น้ำพุ, และถนนที่มีไฟเวทมนต์แขวนไว้อันต่ออันทำให้เกิดความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
ทุกๆ วัน วิลเลียมจะนำทหารองครักษ์ของเขาไปกับเขาเพื่อจัดการกับอสูรเวทย์รอบๆ เมืองและปิดภารกิจต่างๆ ทีละอันๆ เพื่อกำจัดเผ่าที่อาจเป็นอันตรายได้
ป่าแบล็คลีฟมีทรัพยากรเป็นจำนวนมากและแม้ว่าบางพื้นที่ในป่าจะใช้ในการเพาะปลูก อาหารที่ได้จากธรรมชาติส่วนใหญ่ก็สามารถเลี้ยงผู้คนได้มากมาย
อย่างเผ่ามนุษย์หมาป่าและเหล่าโถวเหยินผู้ไม่เคยถอดหน้ากาก พวกเขาอาจจะปรากฏตัวออกมา
เดือนก่อน เขาทำลายล้างเผ่าของมนุษย์หมาป่าด้วยความสามารถของเขาเอง
เหตุผลที่วิลเลียมไม่จับพวกเขาไปเป็นคนขุดเหมืองเพราะสหายที่ร้ายกาจและมากเล่ห์เหล่านี้อาจจะไปทำให้ซุปทั้งหม้อเสียได้ เมื่อเหล่าออร์คที่ซื่อสัตย์และเถรตรงได้พบกับพวกเขา ไม่ช้าก็เร็วพวกออร์คจะต้องถูกหว่านล้อมให้เอนเอียงและอาจจะเข้าร่วมการก่อกบฏกับพวกเขาเสียด้วยซ้ำ
“แต่นักรบโถวเหยินผู้ไม่เคยถอดหน้ากากเป็นคนงานที่ยอดเยี่ยมจริงๆนะ!” วิลเลียมหัวเราะ
“ตามคำบอกเล่าของทหารพราน เผ่าโถวเหยินนี้อยู่เลยไปแค่ทุ่งหญ้าทางเหนือของเมือง มันเป็นพื้นที่ช่วงหุบเขาที่มีชาวโถวเหยินอย่างน้อย 1,000 คน” หลังจากรายงาน น็อกซ์ก็กระแอมไอน้อยๆ ก่อนจะพูดต่อ “ท่านลอร์ด ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา พูดจากฝั่งของฝ่ายกลางแล้ว ชาวโถวเหยินนั้นไม่ใช่ผู้ที่มีจิตใจเมตตาแต่พวกเขาก็จะไม่รังควานพวกเรา เราไม่จำเป็นต้องฆ่าพวกเขาทั้งหมด ใช่ไหม?”
วิลเลียมฟึดฟัด “เราพูดเมื่อไหร่ว่าเราจะไปฆ่าพวกเขา?”
“ก็เมื่อข้าเห็นดวงตาที่เปล่งประกายของท่าน ข้าสัมผัสได้ว่าเผ่าบางเผ่ากำลังจะถึงวาระ ที่สุดแล้ว ทุกครั้งที่ท่านได้ยินว่าพวกเราเจอเผ่าใหม่ สายตาของท่าน…” น็อกซ์ตอบแบบหยั่งเชิง
“เห็นได้ชัดว่าระดับความนึกคิดของเจ้ายังสูงไม่พอ จงกลับไปอ่านหนังสือ ‘ฟังคำพูดของท่านลอร์ด’ ที่เราเขียน 30 รอบ” วิลเลียมตบไหล่เขาเบาๆ เขาไม่ได้สนใจที่จะอธิบายนักแต่ก็อธิบาย “ลองคิดดูสิ ชาวโถวเหยินจะกินอะไรได้บ้างบนทุ่งหญ้า? พวกเขาคงไม่ได้กินเนื้อด้วยซ้ำ เราวางแผนที่จะให้พวกเขามาอาศัยในป่าแห่งนี้”
“และขุดเหมืองให้กับเมืองของเรา, ขนไม้, ขนทราย และอื่นๆ เราควรให้เนื้อบางส่วนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกเขาหรือไม่ดี?”
“!!!”
น็อกซ์ดูสับสน เขาอยากจะบอกท่านลอร์ดว่าชาวโถวเหยินเป็นมังสวิรัติ พวกเขาไม่เคยต้องอดอยากบนทุ่งหญ้าและพอใจกับชีวิตของพวกเขาที่นั่น…
แต่โชคร้ายที่ท่านลอร์ดไม่ฟัง…
วิลเลียมถามอีกครั้ง “ช่วงนี้มีทหารกี่คนที่อยู่เฉยๆ ไม่มีงานทำ?”
“ไม่เกิน 150 กองในเมือง ในตอนนี้มีทาสออร์ค 1,800 ตนและพวกเขาส่วนใหญ่เฝ้าเหมืองอยู่!” น็อกซ์พูด ท่านลอร์ดถามแบบนี้ ถ้าหากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันอะไรก็คงกำลังวางแผนจ้างทหารเพิ่ม
“น้อยขนาดนั้นเลย?” วิลเลียมยกคิ้วแต่ก็พยักหน้า “ปล่อยเผ่าโถวเหยินไปก่อนและเริ่มประกาศรับสมัครทหารพรุ่งนี้”
“ในจำนวนนี้ เราต้องการนักรบโล่ 300 คน, นักลาดตระเวน 300 คน, นักดาบ 300 คนและอัศวิน 100 คน รวมทั้งหมดเป็น 1,000 คน”
“ไม่จำกัดอายุ ผู้ชายสามารถเลือกที่จะเข้าร่วมกองทัพและมืออาชีพผู้หญิงสามารถเลือกที่จะเป็นผู้คุ้มกันของเมืองได้!”
“ครับ ท่านลอร์ด” น็อกซ์พยักหน้าและเดินออกไปเพื่อทำการจัดการตามคำสั่ง
สำหรับ NPC คนอื่นๆ การจ้างทหารและการเลือกคนที่เหมาะสมก็เป็นเหมือนกับช่วงจังหวะแห่งโชคที่ไม่น่าเชื่อ โดยปกติแล้ว พวกเขาจะเลือกผู้เชี่ยวชาญอายุต่ำกว่า 18 ปีที่มีพลังการต่อสู้
แต่ด้วยประสบการณ์ในอดีตของวิลเลียม ศักยภาพทางสายเลือดของคนๆ หนึ่งสามารถฉายออกมาได้ อายุไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยสักนิด เขาอาจจะได้คนที่มีความสามารถยอดเยี่ยมเลยด้วยซ้ำ
ในเวลาสองเดือน
ในที่สุดเขาก็ถึงเลเวล 30 แม้ว่ามันจะมีช่องว่างเล็กๆ สู่เลเวล 40 ความแข็งแกร่งของวิลเลียมตอนนี้ก็พุ่งสูงขึ้นมาก
ทักษะทุกทักษะขึ้นมาถึงขีดจำกัดสูงสุดของมันที่เลเวล 7
ระดับพลังการต่อสู้และพลังเวทมนต์ทางจิตเองก็ขึ้นมาถึงเลเวล 15!
ประสบการณ์ทั้งหมดของเขาถูกสงวนไว้สำหรับบทบาทของเขาและเขาจะสามารถเปลี่ยนอาชีพได้ภายในอีกหนึ่งเดือน
เกี่ยวกับการหาคนเพิ่ม
ผู้ที่อยู่อาศัยในเมืองแห่งรุ่งอรุณมีความกระตือรือร้นอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะหลังจากที่วิลเลียมมายังเมืองนี้เขาก็เที่ยวต่อสู้ไปทั่ว… ทำตัวเป็นคนเผด็จการและฉกฉวยที่นู่นทีที่นี่ทีไปเรื่อย ซึ่งทำให้เขาได้รับทรัพยากรจำนวนมาก แต่เขาก็ไม่เคยสูญเสียทหารไปสักคนในสงคราม
การดูแลขององครักษ์เอลฟ์นั้นดีมากจนทำให้ผู้คนอิจฉาตาร้อน
แม้กระทั่งหลังจากที่คนแคระทั้ง 300 ตนเข้าร่วมกับพวกเขาก็ได้รับการปกป้องที่ดีมากเช่นกัน
ในวันที่วิลเลียมประกาศรับสมัตร ก็มีผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ต้องการทำฟาร์มอีกต่อไปมากกว่า 3,000 คน กระตือรือร้นที่จะเข้าร่วม…
นี่รวมถึงชาวเมืองในอดีตที่แต่เดิมก็เป็นผู้เชี่ยวชาญมากกว่าครึ่งของชาวเมืองในเมืองชายแดนอยู่แล้ว
สำหรับครึ่งเอลฟ์ทั้ง 500 ตนที่ยังไม่ได้ออกจากเมืองไป ดูเหมือนว่าจะมีประมาณ 300 ตนที่ตั้งใจจะเข้าร่วมกับกองทัพ
พวกเขาแทบจะไม่ต้องคิด
วิลเลียมปล่อยให้เหล่าเอลฟ์พวกนี้ได้ตัดสินใจก่อนเพราะพลังการต่อสู้ของครึ่งเอลฟ์ไม่ได้ดีไปกว่าพวกมนุษย์นัก พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญแต่แรกอยู่แล้ว และเหตุผลที่พวกเขามาที่เมืองชายแดนแห่งนี้ก็เพราะว่าเคยทำความผิดบางอย่างมาก่อน แต่กำลังของพวกเขาก็โดดเด่นเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าสายเลือดของครึ่งเอลฟ์จะด้อยกว่าเอลฟ์เล็กน้อย แต่พวกเขาก็ล้วนมีสายเลือดระดับเริ่มต้น, ระดับกลาง, ระดับสูง และแม้แต่สายเลือดระดับแกรนด์มาสเตอร์
ศักยภาพทางสายเลือดของมนุษย์นั้นแย่กว่ามาก พวกเขาหลายคนไม่ได้มีแม้กระทั่งสายเลือดระดับเริ่มต้นและไม่สามารถก้าวเข้าสู้การเป็นผู้เชี่ยวชาญได้
แต่เมื่อคิดถึงจำนวนมนุษย์ในทวีปรีเจนดารีแล้ว ก็จะเข้าใจได้ว่าจำนวนสามารถเปลี่ยนฐานะได้…
ความสามารถติดตัวของมนุษย์นั้นแสนจะธรรมดา แต่พวกเขาก็ยังครอบครองพื้นที่ที่กว้างขวาง เจริญรุ่งเรือง และอุดมสมบูรณ์ที่สุดของทวีปรีเจนดารีด้วยจำนวนที่ทรงพลัง
“ตามจริงแล้ว เอลฟ์, เผ่าพันธุ์ที่มีปีก, และครึ่งเอลฟ์ยังถือว่าดี พวกเขามีเพียงไม่กี่ตนเท่านั้นและยังอยู่ในฝ่ายดีหรือค่ายกลาง พวกเขาสามารถเลือกที่จะอาศัยในที่ที่มีทรัพยากรเพียงพอได้”
“แต่สถานที่ที่คนแคระ, ก็อปลิน, และโนมส์อาศัยอยู่นั้น โดยทั่วไปแล้วไม่มีใครที่ต้องการไปปล้นพวกเขา”
“แต่เผ่าพันธุ์ที่เป็นกลางเผ่าพันธุ์อื่นๆเช่น โถวเหยิน, มนุษย์หมาป่า, ออร์ค, โทรล, และอื่นๆนั้น สามารถครอบครองพื้นที่ที่ห่างไกลที่ไม่มีอะไรกินมากนัก…” วิลเลียมถอนหายใจเล็กน้อย แต่นี่คือสถานการณ์ปัจจุบัน
‘พระเจ้า’ไม่มีประวัติศาสตร์จึงไม่ได้ถูกรวมเอาไว้
ยุคแรกเป็นยุคของมังกร
ยุคที่สองเป็นของเอลฟ์และคนแคระ
ส่วนยุคที่สามซึ่งอยู่ในปัจจุบันเป็นยุคของมนุษย์!
และยุคที่สี่กำลังจะปรากฏขึ้น…
หายนะที่เกิดจากเหล่าทวยเทพและปีศาจไม่ได้เกิดขึ้นในทวีปรีเจนดารีเพียงเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปทั่วโลก
ไม่ว่าพระเจ้าและปีศาจจะเป็นเช่นไร พวกเขาก็มีอยู่จริงๆและเป็นสิ่งที่มีชีวิตชนิดหนึ่ง
ตนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาจะกลายเป็นพระเจ้าและปีศาจที่มีตำแหน่ง กล่าวคือพวกเขามีสองฝ่าย กลุ่มคนที่มีชื่อเสียงที่ดีจะถูกเรียกว่าพระเจ้า ส่วนกลุ่มคนชั่วร้ายที่เต็มไปด้วยการฆ่าฟันจะกลายเป็นปีศาจ
ตัวอย่างเช่น เทพแห่งแสง, ลอร์ดแห่งเวทมนตร์ และเทพีแห่งโชคลาภเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายสว่างในสายตามนุษย์
แต่ปีศาจในโลกแห่งความมืด, เทพแห่งความชั่วร้าย, ลอร์ดแห่งปีศาจ, เทพีแห่งความพังพินาศนั้นถูกเชื่อว่าเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ
“มาเลย พี่ชายคนนี้จะทดสอบสายเลือดของเจ้าเอง!” วิลเลียมมองไปยังแถวของผู้เชี่ยวชาญหญิงสาวที่ยาวเหยียดด้านหลัง
ผู้หญิงในโลกแห่งนี้นั้นง่ายต่อการถูกเลือกปฏิบัติและมีเหล่าผู้เชี่ยวชาญหญิงสาวหลายคนที่ถูกกดขี่และได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันออกไป โชคดีที่วิลเลียมไม่ได้สนใจในเรื่องนั้น ใครบอกกันว่าผู้หญิงด้อยกว่าผู้ชาย?
เขากำลังจะสร้างกลุ่มผู้คุ้มกันสาวสวยขึ้นมา!
ถูกแล้ว
ในอนาคตผู้คุ้มกันที่ปกป้องเมืองจะไม่ใช่ผู้หญิงทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่ของพวกเขาจะเป็นหญิงสาวที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ!
มันอาจดูเป็นวิธีที่ไม่เหมาะไม่ควร แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะผลประโยชน์ที่เห็นแก่ตัวของเขาเอง เขาไม่ได้เป็นผู้ชายมากตัณหาเสียหน่อย!
เขาต้องการใช้วิธีที่พิเศษเช่นนี้เพื่อดึงดูดผู้เล่นชายจำนวนมาก…
ส่วนวิธีในการดึงดูดผู้เล่นหญิงล่ะ?
แค่การพบปะกับNPCที่เป็นครึ่งเอลฟ์ก็เพียงพอแล้ว พวกเขานั้นตัวสูงและหล่อเหลา นอกจากนั้นที่นี่ยังมีบุคคลที่หล่อเหลาที่สุดอยู่คนหนึ่ง นั่นคือเขาเอง…
เขาไม่อาจเชื่อได้ว่า…
เมื่อผู้เล่นได้เห็นอาณาเขตของขุนนางคนอื่นๆที่เต็มไปด้วยกลุ่มผู้ชายกล้ามปูที่กำลังลาดตระเวน เฝ้าระวัง และแม้แต่จ้องมองและข่มขู่ผู้คนโดยไม่มีความรู้สึกแล้ว แน่นอนว่าเหล่าผู้เล่นจะต้องโยนตัวพวกเขาเองเข้ามาสู่อ้อมแขนของวิลเลียม
คุณต้องรู้ไว้ว่า
ผู้เล่นเข้ามายังโลกแห่งนี้ในนามของการได้รับเลือกจากพระเจ้า
การได้รับเลือกจากพระเจ้าคืออะไร?
สิ่งมีชีวิตที่ถูกเลือกสรรโดยสวรรค์
สำหรับสังคมระบบศักดินาของเผ่าพันธุ์ทั้งหมด คำว่า ‘สวรรค์’ นั้นเปรียบได้กับพระเจ้าหรือแม้กระทั่งยิ่งใหญ่กว่า
แต่เหล่าทวยเทพในโลกใบนี้ต่างก็ให้ความสนใจกับทวีปรีเจนดารีแห่งนี้
แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถสืบสายเลือดและไม่ทราบว่าผู้เล่นมาจากที่ใด แต่พวกเขาก็ยังมีทัศนคติที่แตกต่างไปจากผู้เล่น และพวกเขาจะส่งจดหมายเพื่อบอกในเหล่าผู้เล่นเชื่อในลัทธิของพวกเขา เพื่อตรวจสอบ เฝ้าระวังและอื่นๆ
มันไม่ใช่แค่พระเจ้า แต่ชาวพื้นเมืองทุกคนต่างมีทัศนคติที่แตกต่างไปจากผู้เล่นเช่นกัน
“แล้วฉันเป็นใครกัน? ฉันเป็นผู้ช่วยชีวิตของคุณไง เป็นคนเดียวที่รักคุณ และไม่ได้สนใจกับการฟื้นคืนชีพของคุณ ไม่สนว่าคุณจะมาจากที่ไหนก็ตาม”
วิลเลียมเช็ดริมฝีปากของเขา แม้ว่าเขาจะน้ำลายไหล ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดเลยสักนิด
หญิงสาวตรงหน้านั้นหน้าแดงระเรื่อ แต่ความประทับใจที่ดียังคงเพิ่มขึ้น
ในขณะที่เธอคิดว่าเธออาจจะถูกท่านลอร์ดพาตัวไปและไม่ช้าก็คงกลายเป็นภรรยาของเขา
น่าเสียดายที่วิลเลียมเพียงมองไปที่ขาเรียวยาวของเธอ ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้ามีคุณสมบัติ ต่อไป”
เวลาในการรับสมัครผ่านไปรวดเร็วมาก
อาจดูเหมือนวิลเลียมเลือกคนด้วยการตบไหล่ของพวกเขา แต่จริงๆแล้วเขากำลังตรวจสอบพวกเขาอย่างละเอียด…
กล่าวโดยย่อคือเขาให้กำลังใจเล็กๆน้อยๆ เพื่อให้คนที่ไม่ได้ถูกเลือกจะได้ทำงานอย่างดีต่อไปและเพื่อให้คนที่มีคุณสมบัติทำงานอย่างหนัก…
ในที่สุดเมื่อปากเขาแห้งผาก เขาก็ได้เลือกผู้สมัครหน้าใหม่ 1,000 คน และผู้เชี่ยวชาญเพศหญิง 200 คนเพื่อเป็นผู้คุ้มกันเมืองได้สำเร็จ
ในบรรดาผู้สมัครมี 930 คนเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับเริ่มต้น และมี 270 คนเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลาง
“มีผู้สมัครจำนวนมากที่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลาง” ลอทเนอร์ดูบันทึกการรับสมัครและอุทานด้วยความประหลาดใจ
“ตอนนี้ส่วนใหญ่ขององครักษ์ทั้งห้าร้อยตนของเราได้เข้าสู่ระดับกลางและถึงแม้ว่าพวกเขาจะเพิ่งเข้าสู่ระดับกลาง แต่เราก็มีชุดเกราะและอาวุธที่ดีที่สุด”
“สำหรับสมาชิกใหม่ให้เกราะสีฟ้าที่ยอดเยี่ยมแก่พวกเขาแล้วนำพวกเขาไปฝึกซ้อม!”
วิลเลียมยิ้ม เมื่อเร็วๆนี้แฟรี่ตัวน้อยทีโมได้ทำงานอย่างหนัก การผลิตสมุนไพรเวทย์กำลังเพิ่มขึ้น และหลังจากที่ผู้วิเศษได้ทำโพชั่นออกมา องครักษ์เอลฟ์ที่เลเวลไม่ได้ต่ำมากก็ดื่มไปเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ วิลเลียมมักออกไปลาดตระเวนกับเหล่าองครักษ์ และหากพวกเขากำจัดเผ่าพันธุ์ต่างๆเช่นนี้ไปเรื่อยๆอีกหลายเดือน พวกเขาก็จะเข้าสู่ระดับกลาง
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสายเลือดเอลฟ์ส่วนใหญ่นั้นอยู่ในระดับกลาง สูง และแม้กระทั่งแกรนด์มาสเตอร์และระดับอีปิค
ในพวกเขานั้นไม่มีตนที่มีสายเลือดระดับเริ่มต้น และระดับกลางก็พบเห็นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ท้ายที่สุดแล้ว มีเอลฟ์เพียง 30 ล้านตนในทวีปรีเจนดารี หากศักยภาพทางสายเลือดของพวกเขาไม่ดีเท่าเผ่าพันธุ์อื่นๆ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะมีชีวิตรอดอยู่ได้
ลอทเนอร์ถอนหายใจให้กับผู้เข้าสมัครส่วนใหญ่ที่มีความแข็งแกร่งระดับผู้เชี่ยวชาญระดับกลาง
เขาไม่รู้ว่าทำไมทหารทุกคนที่วิลเลียมเลือก อย่างต่ำที่สุดก็มีสายเลือดระดับกลาง
นี่มันหมายความว่ายังไง?
ในสายตาของผู้เล่น คนพวกนี้ทั้งหมดเป็นมินิบอส…
NPC ที่มีสายเลือดระดับเริ่มต้นเป็นอะไรที่คุ้นเคยในสายตาผู้เล่น หรือก็คือเป็นมอนสเตอร์ธรรมดาทั่วไป
สายเลือดระดับกลางเป็นมินิบอส และเหล่าสายเลือดระดับสูงก็เป็นบอสระดับหัวหน้า
พวกคนที่มีสายเลือดแกรนด์มาสเตอร์ก็จะน่าย่ำเกรงยิ่งขึ้น พวกเขาเป็นบอสระดับผู้นำ
ส่วนสำหรับระดับอีปิคและรีเจนดารี พวกเขาเป็นซุปเปอร์บอสที่ไม่สามารถต่อต้านได้แม้ว่าคนๆ หนึ่งจะพยายามสุดชีวิตของเขาก็ตาม
วิลเลียมตั้งตารอที่จะมองสีหน้าของผู้เล่นเมื่อพวกเขาเข้าเกมและเห็นว่าทหารทุกคนของเขาเป็นมินิบอสทั้งหมด
“นอกจากพลเมืองที่ไม่ต้องการจะเปลี่ยนความเชี่ยวชาญของพวกเขา ผู้เชี่ยวชาญที่มีสายเลือดระดับกลางในเมืองก็เกือบถูกฉันกำจัดไปหมดแล้ว”
“พวกเรารอนานไปไม่ได้ เราควรจะซื้อทาสและคนงานเพิ่มโดยด่วน” วิลเลียมคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะดึงม้วนกระดาษวิเศษออกมา ลงมือเขียนบางอย่างไปบรรทัดหนึ่งแล้วจึงสัมผัสลวดลายแตรขนาดเล็กบนกระม้วนกระดาษเบาๆ
ตัวเขียนบนม้วนกระดาษค่อยๆ หายไปช้าๆ
ไม่กี่นาทีต่อมาตัวเขียนอีกบรรทัดก็ปรากฏขึ้นบนม้วนกระดาษ
“ทาส 5,000 คนและทาสผู้เชี่ยวชาญ 500 คน? ข้าจะส่งพวกเขามาในอีกเจ็ดวัน” เคอรี่ถอนหายใจ
ม้วนกระดาษเวทย์การเคลื่อนย้าย
มันสามารถย้ายเสียงและข้อความ
มันมีมูลค่าถึง 100 เหรียญทอง!
พร้อมกับข้อจำกัดในการใช้ 300 ครั้ง
สำหรับผู้เล่นในระยะเริ่มต้นของเกม นี่เป็นไอเท็มอย่างหรูชิ้นหนึ่ง มีคนไม่กี่คนที่ลังเลในการแชทกับคนอื่น แต่พวกเขาก็ส่งข้อความสุ่มไปหา NPC และผลที่ตามมาก็เห็นๆ กันอยู่
ในช่วงกลางของเกม ผู้เล่นทุกคนต่างก็มีเป็นของตน และด้วยการเปิดเวอร์ชั่นใหม่ของเกม มันก็ราคาถูกลง
วิธีที่จะใช้ม้วนกระดาษเวทย์เคลื่อนย้ายก็เหมือนกับการเพิ่มเพื่อน คนที่จะเพิ่มต้องแลกเปลี่ยนสัญลักษณ์เวทมนต์บนม้วนกระดาษล่วงหน้าก่อน
“สิ่งสำคัญที่สุดคืออุปกรณ์มิติ แต่มันยากที่จะหามาได้” วิลเลียมปวดหัวเล็กน้อย ในระยะเริ่มต้นของเกม กระเป๋าของผู้เล่นจะเต็มไปด้วยไอเท็มที่ไร้ประโยชน์ เมื่อพวกเขาไปที่สนามรบ มันก็เหมือนกับพวกเขาไปร้านขายของชำ
เมื่อผู้เล่นในระยะเริ่มต้นของเกมเข้าร่วมในภารกิจหลักขนาดใหญ่ พวกเขาจะขนของต่างๆไว้บนหลังและเมื่อพวกเขาตาย ของๆ พวกเขาก็จะหล่นกระจายลงบนพื้น อัตราการดรอปของนี่สูงยิ่งกว่ามอนสเตอร์เสียอีก…
ส่วนใหญ่แล้ว เหล่าผู้เล่นก็มักจะต้านทานไม่ไหวและตายไปก่อนที่สองฝ่ายจะเริ่มการต่อสู้
สุดท้ายแล้ว ในระยะเริ่มต้นของเกมก็ไม่มีแม้กระทั่งที่ตั้งของกิลด์หรือที่อยู่อาศัยของผู้เล่นธรรมดา ตราบใดที่เวลานั้นยังไม่มีวัสดุพิเศษขาย และไม่มีที่ให้พวกเขาเก็บของ ผู้เล่นจึงต้องขนมันไปกับพวกเขาด้วย
“อย่างน้อยก็หาอาจารย์ผู้วิเศษด้านมิติสักคนเพื่อซื้ออุปกรณ์มิติ แม้ตัวละครประเภทนี้จะเกินขีดกำจัดของเวอร์ชั่นไปก็ตาม”
“ทั้งเขตปกครองเหล็กหรือเขตปกครองหินดำก็ไม่มีอาจารย์ผู้วิเศษด้านมิติสักคน”
วิลเลียมไม่ได้ลืมโมเสส เขาแค่ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากโมเสสได้ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้น ไม่ช้าก็เร็วโมเสสก็จะรู้ว่าเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของโมเสสอยู่แล้ว
จากนั้น ความยากในการทำการซื้อขายระหว่างพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีก
“หลังจากที่ค่าความประทับใจถึง 700 แต้มแล้ว มันไม่ควรจะมีปัญหาใดๆอีก” เพิ่มเติมจากการเพิ่มเลเวล, ต่อสู้กับมอนสเตอร์ และทำภารกิจให้สำเร็จ วิลเลียมก็ยังต้องปัดฝุ่นความประทับใจที่ดีของเขาต่อ NPC ตัวหลักทั้งหลายอีกด้วย
โดยเฉพาะโมเสส
ในเวลาสองเดือน จำนวนครั้งที่เขาไปที่ห้องรับการทำนายนั้นไม่ต่ำกว่า 60 ครั้ง…
มันเป็นเรื่องจำเป็นที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่สนิทชิดเชื้อหนึ่งครั้งต่อวัน อย่างที่เคยบอกไว้ ‘การเป็นคนดูดี’ นั้น ตราบใดที่คุณประจบประแจงสักหน่อย คุณก็สามารถเพิ่มความประทับใจที่ดีได้
แม้ว่าความสามารถติดตัวนี้จะไม่มีผลเท่าไหร่ต่อNPCระดับสูงที่มีสายเลือดรีเจนดารี ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา วิลเลียมเพิ่มค่าความประทับที่ดีของเขาถึง 250 หน่วย…
“นี่ก็เหมือนกับการตกหลุมรัก คุณต้องแสดงตัว, รับประทานอาหารด้วยกันเป็นครั้งคราว และพูดคุยกันขณะที่เหงนมองสายรุ้งเพื่อให้เป็นความสัมพันธ์ที่เชื่อถือได้”
วิลเลียมชอบความสามารถติดตัวของเขาขึ้นทีละน้อยๆ อ้างอิงจากNPCผู้มีสายเลือดรีเจนดารีแล้ว คนอื่นๆ นั้นไม่สามารถที่จะได้รับความประทับใจที่ดีจากเพียงแค่ฝีปากเท่านั้น มันต้องใช้ทั้งชั้นเชิงและพรสวรรค์!
และ ทาสของเคอรี่มาจากไหน?
มันก็เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าพวกเขาบางคนเป็นทาสจากเขตปกครองหินดำ ตามมาด้วยทาสจากประเทศที่มีพรมแดนติดกับเขตปกครองหินดำ
นอกจากสงครามอันดุเดือดขนาดใหญ่ทั้งหลาย มีพวกขวากหนามจำนวนนับไม่ถ้วนในพื้นที่ชายแดนระหว่างอาณาจักรมนุษย์ มันไม่เพียงแต่ตักตวงทรัพยากร แต่ยังกักตัวพลเมืองของดินแดนอื่นไว้และทำให้พวกเขากลายเป็นทาส
ถ้าไม่อย่างนั้น ก็จะเป็นการซื้อทาสจากประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลาย
ที่สุดแล้ว ในหนึ่งประเทศที่มีประชากรจำนวนมาก พลเมืองจำนวนมากจะถูกเปลี่ยนเป็นทาสโดยไม่มีเหตุผล และส่วนใหญ่ราคาก็ถูกลงมากอีกด้วย
นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ช่วยไม่ได้เลย
เหล่าขุนนางเป็นผู้กุมอำนาจ
ส่วนใหญ่แล้วเหล่าพลเมืองจะถูกจับตัวระหว่างเดินอยู่บนถนน และขุนนางผู้หยิ่งผยองคนหนึ่งก็คงจะพูดว่า “ตอนนี้เจ้าเป็นทาส นำตัวเขาไปและขายเขา”
ขุนนาง
พลังอำนาจเพียงหนึ่งเดียวที่ควบคุมประเทศของมนุษย์
เมื่อรวมเข้ากับสายเลือดอันยอดเยี่ยม ในแต่ละชั่วอายุพวกเขาก็อยู่เหนือกว่า
เงินตราทำให้มีอำนาจ
อุปกรณ์ทำให้อยู่ในจุดที่สูงกว่า
แม้แต่ทักษะพลังการต่อสู้ก็นับว่าเป็นความได้เปรียบ
ยุคที่สามของทวีปรีเจนดารีคงอยู่เป็นพันๆปี ตั้งแต่ขุนนางมนุษย์ยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของโลก มันก็ยังไม่มีการก่อกบฏใดที่ประสบผลสำเร็จโดยพลเมืองและทาสเลย ช่องว่างนั้นกว้างเกินไป…
การล่มสลายของอาณาจักรหลายแห่ง ส่วนใหญ่เกิดจากอาณาจักรอื่นหรือการล้มล้างของขุนนางทั้งนั้น…
กล่าวสั้นๆ
มันเป็นเรื่องยากที่พลเมืองและทาสจะโค่นล้มนโยบายของขุนนางโดยปราศจากอำนาจหนุนหลัง
ยกตัวอย่างเช่น ทาสมากมายที่วิลเลียมซื้อมานั้นถูกขายจากประเทศที่อยู่ไกลออกไป
แต่!!!
เหตุผลหลักสำหรับ ‘สงครามของราชา’ ในเวอร์ชั่นแรกเกิดจากองค์กรหนึ่ง
นั่นก็คือพันธมิตรอิสระผู้ทำให้เกิดการสั่นคลอนในทวีปรีเจนดารี
ในจำนวนของพวกเขา ราชาของเขตปกครองหินดำถูกวางยาจนถึงแก่ความตาย
เหตุผลที่เขตปกครองเหล็กกล้าที่จะเริ่มสงครามเป็นเพราะว่ามีคนบางกลุ่มผลักดันพวกเขาอยู่ด้านหลัง และแม้แต่ราชาก็อยู่ภายใต้การควบคุม
เจ้าชายของเขตปกครองหินดำก็ฆ่ากันเอง, ต่อสู้เพื่ออำนาจ และกำไร มันใช้เวลาสองเดือนสำหรับใครบางคนที่จะได้สืบบัลลังก์และใครบางคนคนนั้นก็อยู่เบื้องหลัง
และคนๆ นั้นคือ โกธี นาซิส
เขาเป็นบุตรชายทางสายเลือดของราชาแห่งเขตปกครองเหล็กและใช้นามสกุลของแม่เขามาตั้งแต่สมัยเด็ก
ส่วนสำหรับแม่ของเขา เธอเป็นนางโลม แม่ของโกธีสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติหลังจากตั้งท้องและแม้ว่าเธอจะเป็นนางโลม ในช่วงเวลาสี่ถึงห้าปีมีแต่ราชาแห่งเขตปกครองเหล็กเท่านั้นที่ได้สัมผัสเธอ
หลังจากแม่ของโกธีรู้ว่าบางสิ่งผิดปกติ เธอจึงรีบหนีไปซ่อนตัว และการลอบสังหารที่เธอสังหรใจไว้ก็เกิดขึ้นจริงๆ…
หลังจากที่เรื่องทั้งหมดสงบลง เธอก็นำตัวลูกชายแรกเกิดหนีไปยังอีกฝ่ายซึ่งก็คือเขตปกครองหินดำ การพยายามลอบสังหารไม่เคยหยุดลง นำไปสู่การปกปิดตัวตนของเธอไว้เป็นความลับ
แต่สิ่งที่น่าสมเพชเวทนาที่สุดคือผู้หญิงที่พระราชาสนใจทุกคนจะต้องไม่ธรรมดา
และเพราะเรื่องนี้ ตั้งแต่โกธีอายุยังน้อยมากๆ ก็มองแม่เขาใช้ร่างกายเพื่อแลกเงินและอาหาร เธอต้องใช้เงินในการมาจุนเจือค่าเล่าเรียนของเขาและค่าใช้จ่ายจำเป็นในชีวิตประจำวันด้วยเช่นกัน…
ในฐานะเด็กคนหนึ่ง โกธี นาซิสจำได้ว่าแม่เขาซ่อนตัวอยู่ในห้องทุกวันเพื่อปล่อยให้น้ำตาได้ไหลรินออกมา
แต่ไม่ว่าผู้หญิงคนนี้จะกลัวแค่ไหน เธอก็ไม่เคยลืมใบหน้าของลูกชายที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
โกธี นาซิส ผู้ก่อตั้งพันธมิตรอิสระเป็นบิ๊กบอสตัวจริงของเวอร์ชั่น 1.0
“ดังนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องอันตรายในการซื้อทาสในขณะนี้ แถมยังน่าเชื่อถือเสียด้วยซ้ำ เหล่าทาสที่ไม่สามารถกลับไปที่บ้านเกิดของพวกเขาได้ก็ไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ถ้าพวกเขาหลบหนี”
“ตราบใดที่ฉันกู้สถานะพลเมืองของพวกเขาคืนได้ พวกเขาก็จะทำงานอย่างหนัก”
วิลเลียมรู้ว่าเขาเป็นเหมือนกับเจ้าของทาสมากกว่า แต่เขาจะยกเลิกตำแหน่งทาส และการทำงานของพวกพลเมืองก็จะได้รับค่าแรงอย่างสมน้ำสมเนื้อ
สิ่งสำคัญที่สุดคือมันไม่มีขุนนางในอาณาเขตของฝ่ายกลาง
ชนชั้นสูงเพียงคนเดียวคือลอร์ดคนนี้เท่านั้น
ฝ่ายกลางต้องการที่จะรักษาความสงบสุขของอาณาเขตไว้ นอกจากการมุ่งเน้นไปที่ทรัพยากร พวกเขาก็ยังต้องการที่จะจดจ่ออยู่ที่พลังอำนาจของพวกเขา
นั่นก็พูดได้ว่า ความแข็งแกร่งของลอร์ดต้องมั่นคง ถ้าลอร์ดมั่นคงไม่พอ เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่ซื่อสัตย์ก็ต้องมั่นคงให้มากพอที่จำทำให้ผู้คนไม่กล้าต่อต้าน
“ดังนั้นแม้ว่าอาณาเขตของฝ่ายกลางจะเล็ก แต่ความแข็งแกร่งของมันก็น่าเกรงขาม ฉันสามารถเลือกเส้นทางที่ยอดเยี่ยมได้” วิลเลียมรู้ว่าเขามีเป้าหมายระยะห้าปีและแผนระยะสิบปี ตราบใดที่เขาสามารถเป็นคนที่มั่นคงและมีอิทธิพลได้ก่อนช่วงวิกฤต เขาก็จะสามารถยืนหยัดอย่างมั่นคงที่นี่ได้
“อีกอย่าง มันก็ถึงเวลาที่จะต้องกำจัดโทรลล์ที่แม่น้ำสายรุ้งแล้ว” วิลเลียมวิ่งหาลอทเนอร์
ตอนนี้เขาอยู่ที่เลเวล 30
แม้ว่าเขายังคงห่างจากการเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลางอยู่ 10 เลเวล มันก็สามารถพูดได้ว่าห่างแค่อันดับเดียว แต่วิลเลียมผู้มีสายเลือดรีเจนดารีก็มีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
อย่างน้อยต่อหน้าโทรล์สายเลือดระดับกลาง, ระดับสูง และระดับแกรนด์มาสเตอร์ส่วนใหญ่แล้ว ตราบใดที่เลเวลของพวกเขาไม่ได้ห่างกันจนเกินไป เขาก็มีความมั่นใจในการฆ่าพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะเลเวลเกิน 40 ก็ตาม
แล้วลอทเนอร์?
แน่นอนว่าเขาชินชากับการปะทะกับบิ๊กบอส
อย่าคิดว่าพรานป่าเป็นแค่คนเบิกทาง วิลเลียมเชื่อว่าลุงของเขามีฝีมือ…
“โอ้ ใช่ ฉันไม่ได้ต้องหาลอทเนอร์แค่คนเดียว ฉันต้องพาน็อกซ์, นอร์ตัน, แม้แต่เอริคและลูกชายของเขาไปด้วย พวกเขายอดเยี่ยมด้านการล่ามากๆ และมันก็ไม่เสียหายอะไรที่จะชวนพวกเขาไปล่าด้วยกัน” วิลเลียมยกคิ้วของเขาขึ้น
ทั้งน็อกซ์และนอร์ตันมีสายเลือดระดับแกรนด์มาสเตอร์และเข้าสู่เลเวล 48 ตามๆกัน พวกเขามีอุปกรณ์ซิลเวอร์ระดับกลาง ดังนั้นความแข็งแกร่งของพวกเขาจึงไม่อ่อนแอเลยสักนิด
ส่วนสำหรับเอริคและลูกชายของเขา?
พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในเมืองในฐานะนักล่า ถ้าท่านลอร์ดเอ่ยปากชวนพวกเขาไปล่า พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลย
วิลเลียมและคนของเขาพร้อมด้วยลอทเนอร์ น็อกซ์ และนอร์ตันไปพบกับเอริคและลูกชายของเขา พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย สวมใส่เสื้อขนสัตว์ที่ตัดมาจากขนของอสูรเวทย์ พวกเขาใช้ชีวิตแต่ละวันไปกับการล่าสัตว์อย่างใสสะอาดและไม่ชอบที่จะพบปะกับผู้อื่น
เมื่อมีเหยื่อจำนวนมาก ทั้งสองก็จะอยู่ที่บ้านตลอดทั้งวัน ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาทำอะไรข้างในนั่น แต่พวกเขาเป็นพวกที่ชอบอยู่ติดบ้านอย่างมาก ทั้งพ่อและลูกชายคู่นี้มักจะอุดอู้อยู่ในบ้านเสมอ
คันธนูสีดำคันยาวที่อยู่ในมือผู้อวุโสเอริคนั้นดูธรรมดาและไม่มีแสงสะท้อนใดๆภายใต้แสงอาทิตย์
ในสายตาของผู้ที่ได้เห็นโลกมานานเมื่อเห็นธนูคันนี้ย่อมรู้ได้ว่ามันไม่ได้ธรรมดาอย่างที่ตาเห็นแน่นอนและเป็นขุมทรัพย์ที่ดีต่อนักฆ่า หรืออย่างน้อยต้องเป็นอาวุธที่มีคุณภาพระดับทอง
อเล็กซ์มีดาบสั้นสองอันที่มีสีดำสนิทและคุณภาพของธนูยาวในมือของเขานั้นดีแต่เป็นเพียงระดับเงินเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่านี่เป็นเพียงอาวุธสำรองของเขา
“หากท่านลอร์ดต้องการที่จะล่าสัตว์ ท่านไม่ต้องพาพวกเราไปเป็นตัวถ่วงพวกท่านหรอก เพียงท่านลอทเนอร์ก็แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องชีวิตท่านแล้ว” เอริคปฏิเสธคำขอของวิลเลียมโดยไม่ลังเล
อเล็กซ์ยืนเอามือวางบนเอวอยู่ข้างพ่อของเขาอย่างเงียบๆ ดวงตาของเขากวาดไปรอบๆราวกับไม่สนใจโลก แต่ตามจริงแล้วเขาพร้อมที่จะดึงดาบออกมา เพื่อดูว่าผู้คนจะล้อมรอบพวกเขาเอาไว้หรือจะมีโอกาสสังหารคนที่ขัดขวางพวกเขาและหลบหนีไปได้สำเร็จหรือไม่
นักฆ่า!
กุญแจสำคัญคือไม่ใช่แค่การสังหารศัตรู
แต่เป็นการหนีให้รอดไปด้วยต่างหาก
นักฆ่าที่สามารถสังหารผู้คนและมีชีวิตรอดมาได้ถึงจะเป็นนักฆ่ามือหนึ่งตัวจริง
ผู้ที่ฆ่าศัตรูได้ แต่ตนเองต้องตกตายตามไปนั้นไม่ถือว่าเป็นนักฆ่า แต่เป็นได้แค่คนตาย…
วิลเลียมได้คาดการณ์ปฏิกิริยาของทั้งคู่ไว้อยู่แล้ว นักฆ่าจากองค์กรเงามืดไม่ใช่บุคคลธรรมดา แต่เขาก็ยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เราได้ยินมาว่าท่านมีความสามารถ เรากำลังจะขึ้นภูเขาเพื่อไปกำจัดพวกโทรล ท่านสนใจหรือไม่?
“มีความสามารถ? ใครกล่าวกัน?” เอริคถามด้วยความระมัดระวัง
วิลเลียมยักไหล่ “ทุกๆคนต่างพูดอย่างนั้น แม้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากในเมือง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีนักล่าคนไหนที่สามารถล่าอสูรเวทย์ระดับกลางได้นอกจากพวกท่านทั้งสอง”
“ล่าอสูรเวทย์ระดับกลางงั้นหรือ? นั่นเป็นเรื่องปกติมากใช่ไหม?” เอริคยังพูดไม่จบดีก็หุบปากไปเสียก่อน
หลังจากที่พ่อลูกคู่นี้มายังเมือง พวกเขาเงียบมากและทุกครั้งที่พวกเขาออกล่า พวกเขาจะเลือกอสูรขนาดใหญ่หรืออสูรเวทย์เสมอ
พวกเขาไม่ได้ต้องการสิ่งของอย่างเสื้อผ้า, อาหาร, ที่อยู่อาศัยหรือการขนส่ง พวกเขาต้องการเพียงสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น
แม้ว่าจะเป็นอสูรเวทย์ แต่นอกเหนือจากการทิ้งเนื้อไปบางส่วนและขนสัตว์แล้ว ทั้งสองก็จะขายส่วนที่เหลือในราคาต่ำหรือนำไปแลกสิ่งจำเป็นที่ใช้ในชีวิตประจำวัน จากนั้นพวกเขาก็อยู่แต่ในบ้านตนเอง
แต่เนื่องจากพวกเขาไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากเท่าใดนัก พวกเขาจึงไม่รู้ว่าผู้คนคิดอย่างไรกับพวกเขา และค่อยๆลืมสถานการณ์ที่แท้จริงของเมืองไป
ในตอนแรกพวกเขามาเพราะพ่อของวิลเลียม และต้องการหาที่พักพิงที่ปลอดภัย แม้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเล็กๆ พวกเขาก็ดูเหมือนใช้ชีวิตอยู่ในป่า ใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่แยกตัวออกมา
“แต่เรายังไม่ได้สนใจ…”
“ท่านพ่อ” อเล็กซ์ขัดจังหวะการปฏิเสธของผู้เป็นบิดาและกล่าวกับวิลเลียมด้วยรอยยิ้ม “ได้โปรดรอสักครู่ เราจะไปเตรียมความพร้อมแล้วเดินทางไปพร้อมท่าน!”
วิลเลียมมองไปที่ชายทั้งสองที่เดินกลับเข้าไปในบ้านและปิดประตูลง
“ชิ…” นอร์ตันตีปากของเขาเบาๆก่อนจะมองด้วยสายตาแปลกประหลาด
………….
“อเล็กซ์ เจ้าก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว บอกข้าทีว่าทำไมถึงทำเช่นนั้น” เอริคไม่เข้าใจ ตอนนี้ชีวิตของพวกเขาก็มั่นคงดีและหลบหนีจากการตามล่าขององค์กรได้สำเร็จ หากพวกเขากลายเป็นคนที่มีชื่อเสียง ไม่ใช่ว่าพวกเขาเปิดเผยตัวง่ายเกินไปหรือ?
อเล็กซ์จ้องมองไปยังดวงตาของบิดาอย่างตั้งใจ ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านพ่อ เราไม่สามารถซ่อนตัวได้ตลอดไป หรือข้าควรจะพูดว่า ข้าไม่อยากใช้ชีวิตที่เหลืออย่างไร้ชื่อไปตลอดชีวิต”
“เจ้า…โตขึ้นแล้วสินะและเป็นนักฆ่าตัวน้อยเต็มตัวแล้ว” เอริคถอนหายใจ แรงของเขาหดหายไปทันทีที่นั่งลงอย่างคอตก
อเล็กซ์ค่อยๆก้มลงและจับมือของเอริคไว้ ก่อนจะกล่าวอย่างช้าๆ “ท่านพ่อยังหนุ่มยังแน่น แต่ข้าไม่ต้องการที่จะหลบซ่อนอีกต่อไปแล้ว ดาร์คชาโดว์นั้นแข็งแกร่งก็จริง แต่พวกมันเป็นองค์กรในที่มืด หาเราเจอได้ไม่ง่ายนักหรอก”
“ข้าอยากให้การมีชีวิตของข้ามีค่า แทนที่จะรออย่างไร้ความหมาย แบกความอดทนจนกระทั่งแก่เฒ่า…”
“แต่ว่า…”
อเล็กซ์ร้องออกมาอย่างกระวนกระวาย “ท่านลืมสิ่งที่พวกเขาบอกกับเราไว้หรือ?”
“ข้ายังจำสิ่งที่ครูฝึกพูดได้”
“นักฆ่าสามารถซ่อนอยู่ในเงามืดได้ตลอดกาล เมื่อนักฆ่าเปิดเผยตัวตนออกมา นั่นก็คือตอนที่นักฆ่าได้หายไปแล้ว…”
“จำไว้ว่า เราได้ฆ่าผู้คนไปมากมายในที่ลับ ทั้งลอบโจมตี วางยาพิษ และอีกตั้งหลายอย่าง”
“มีคนมากเกินไปที่ต้องการทำลายพันธมิตรของดาร์คชาโดว์ แต่เพราะว่าเราไม่มีอาณาเขตและกลุ่มฝึกฝนที่แน่นอน ทุกๆอย่างก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข…”
“มันเยอะจนเราต้องเคลื่อนไหวในที่มืดตลอดเวลาและไม่เคยได้หยุดพัก นั่นคือเหตุผลที่เราสามารถมีชีวิตอยู่ได้จริงๆ”
อเล็กซ์จำสิ่งที่ครูฝึกพูดได้ และยังคงกล่าวต่อไป “ดาร์คชาโดว์นั้นแข็งแกร่ง และเป็นองค์กรนักฆ่าระดับต้นๆของทวีปรีเจนดารี แต่พวกมันไม่ได้เป็นองค์กรข่าวกรองชั้นนำและไม่ได้มีอิทธิพลในฝั่งตะวันออกเฉียงใต้มากนัก ดังนั้นมันจึงไม่ง่ายเลยที่จะหาพวกเราเจอ”
“ตราบใดที่เราติดตามท่านลอร์ดผู้มีความทะเยอทะยานท่านนั้น ไม่ช้าก็เร็วเราจะแข็งแกร่งขึ้น”
“จากนั้น เมื่อเราทั้งคู่มีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งแล้ว พวกดาร์คชาโดว์อาจจะลบเจตนาที่จะกำจัดเราไปก็ได้”
“ถูกแล้ว เราทั้งสองก็แค่นักฆ่าผู้หลอกลวง…” เอริคพยักหน้าอย่างสับสน เขาไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน แต่อีกด้านหนึ่งก็อยากจะเห็นแสงสว่างอีกครั้ง
“ใช่แล้ว…”
………………..
เมื่อพวกเขาฟื้นความมั่นใจเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เปิดประตูออกมา
ทันใดนั้นกลิ่นอายของพวกเขาก็แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
แม้แต่ลอทเนอร์ก็เริ่มระแวดระวัง ความรู้สึกราวกับมีเงาสองเงายืนอยู่ตรงหน้าเขาและหากเขาหลับตาลง พวกเขาก็จะหายไปโดยสิ้นเชิง…
“ข้าหวังว่าท่านลอร์ดคงจะไม่ได้รอนานเกินไป” เอริคยิ้ม
วิลเลียมยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “ไม่เลย ถ้ามันทำให้ข้าได้เห็นฝีมือการล่าของท่าน”
“ฮ่าฮ่า โปรดอย่าผิดหวังเกินไปล่ะ” เอริคหัวเราะร่วน ก่อนที่พวกเขาจะเดินเข้าไปในป่าพร้อมกัน
ถ้ำโทรล
มีโทรลอาศัยอยู่นับสิบ
หากไม่มีอะไรผิดพลาด พวกมันทั้งหมดจะเป็นมอนสเตอร์สายเลือดระดับเริ่มต้น, กลาง, สูง และแกรนด์มาสเตอร์!
โทรลไม่ใช่อสูรเวทย์
พวกมันสามารถพูดได้ และเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาในฝ่ายมืด แต่นอกเหนือจากเผ่าพันธุ์พวกมันเองแล้ว ทุกสิ่งอย่างล้วนสามารถนำมาแบ่งสันปันส่วนได้
โทรลไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่พวกมันกินจะเป็นพวกออร์คและปีศาจที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน
ความสูงของโทรลอยู่ที่ประมาณ 2.6 ถึง 6 เมตร
น้ำหนักประมาณ 750 ถึง 2000 กิโลกรัม!
อาวุธที่พวกมันใช้มักจะเป็นกระบองขนาดใหญ่…
นักล่าทั้ง 6 ที่มายังทะเลสาบสายรุ้งมองไปยังอาวุธในมือพวกโทรล มันทั้งหนา, ยาว และเต็มไปด้วยหนาม ลอทเนอร์อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย ก่อนจะบ่นว่า “ใครสามารถต้านทานมันได้บ้าง?”
ในขณะเดียวกัน
คนที่เหลือทั้งห้าต่างก็มองเขาอย่างเงียบๆ…
“ข้าทำไม่ได้…” ท่าทางของลอทเนอร์ดูยุ่งเหยิง เขาไม่ได้เป็นนักรบจริงๆเสียหน่อย และยิ่งไม่ใช่นักรบโล่เสียด้วย แน่นอนว่าเขานั้นไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้
เขาเป็นนักล่าปีศาจและพลังต่อสู้แสงสว่างของเขานั้นสร้างความเสียหายให้กับสิ่งมีชีวิตฝ่ายมืดได้อย่างมาก
แต่การสังหารต้องพึ่งพาทักษะที่เชี่ยวชาญ และเขาอาจจะตายได้หากตนเองประมาท
โชคดีที่เอริคเข้ามาช่วยได้ทัน เขาชี้ไปยังกลุ่มโทรลที่ซ่อนอยู่ในเงามืดด้านล่าง “จากที่เรามองเห็นมีโทรลทั้งหมด 13 ตน 5 ตนอยู่ในระดับกลาง ส่วนที่เหลืออยู่ในระดับเริ่มต้น”
“ตอนนี้พวกนั้นกำลังเกาเท้ากับดื่มน้ำอยู่ นี่ยังไม่ใช่เวลาที่ดีในการลงมือ หากท่านต้องการล่า ท่านควรรอและดูว่ามีโทรลตนอื่นอีกหรือไม่”
“เราสามารถรอได้ เนื่องจากเราไม่ได้รีบร้อนอันใด” วิลเลียมมองไปยังท้องฟ้า พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับโทรลที่เป็นสิ่งมีชีวิตฝ่ายมืด แต่ความมืดมิดไม่ได้เป็นเพียงพันธมิตรของเหล่าโทรลเท่านั้น มันยังเป็นสหายของเอลฟ์และนักฆ่าทั้งหลายด้วย
ทะเลสาบสายรุ้งครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ ประมาณ 60 ตารางกิโลเมตร ซึ่งใหญ่กว่าเมืองแห่งรุ่งอรุณในปัจจุบันถึง 3.5 เท่า
นอกจากโทรลที่อาศัยอยู่ที่นี่แล้ว ยังมีอสูรเวทย์บางตัวที่ทรงพลังอยู่อีกด้วย
พวกเขามาจากภูเขาทางทิศตะวันออก และตอนนี้พวกเขาซ่อนตัวอยู่ตรงครึ่งทางบนภูเขาสูงทางทิศตะวันออกเหนือถ้ำโทรล ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้เปรียบเพราะยังไม่ได้ถูกพบเข้า ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถลอบโจมตีได้
แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะโจมตีเหล่าโทรลหนังเหนียวพวกนั้น
หากพวกเขาไม่ได้ใช้ระเบิดที่รุนแรงมากพอที่จะสังหารพวกมันได้สำเร็จ พวกเขาอาจติดกับพวกมันเข้า หากถูกล้อมขึ้นมาจริงๆ นี่คงไม่ใช่การลอบสังหารแล้ว แต่เป็นการรบแทน…
ศักยภาพทางสายเลือดของวิลเลียมและกลุ่มของเขานั้นสูงมาก
ไม่ต้องพูดถึงศักยภาพทางสายเลือดของพวกโทรล พวกมันมีพลังชีวิตมากกว่า และในแง่ของพลังชีวิตแบบเฉลี่ยแล้ว พวกมันนั้นมีพลังชีวิตมากกว่าสองถึงสามพันหน่วย
โดยเฉพาะเมื่อกระบองของพวกมันเป็นอาวุธหนัก หากใครไม่สามารถยับยั้งจากการถูกบดขยี้ด้วยค่าสถานะที่แข็งแกร่งได้ ไม่เพียงแต่ค่าพลังชีวิตจะลดลง หากใครโชคร้ายพอที่จะโดนระเบิดใส่ที่ศีรษะ มันจะเป็นอันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว
ไม่มีทางเลือกมากนัก มอนสเตอร์ที่มีขนาดใหญ่กว่า ค่าพลังชีวิตก็จะเยอะกว่า โทรลมีค่าพลังชีวิตมากกว่าพวกเขาอย่างน้อยสองถึงสามพันหน่วย เนื่องจากสายเลือดชั้นสูงของกลุ่มวิลเลียม
หากนำค่าพลังชีวิตของโทรลไปเทียบกับทหารธรรมดา มันจะไม่ใช่แค่สองถึงสามพันหน่วย แต่ห่างถึงหกถึงเจ็ดพันหน่วยเลยต่างหาก…
มิฉะนั้น โทรลจะเป็นหนึ่งในกองกำลังชั้นนำของฝ่ายมืดได้อย่างไร?
พวกเขาทั้งหกคนหมอบอยู่ในพงหญ้าและคอยสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ เมื่อเวลาผ่านไป คนกลุ่มนี้ก็ทำตัวไม่ต่างกับพวกถ้ำมอง เพราะพวกเขากำลังจับตาดูโทรลเพศหญิง…
ไม่มีทางเลือก
ผู้นำที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าโทรลจะเป็นตนเดียวที่ได้ครอบครองโทรลเพศหญิง
โทรลเพศชายตนอื่นๆทำได้เพียงแค่มองแต่ไม่สามารถเป็นเจ้าของพวกเธอได้ พวกเขามักจะส่งสายตาไปยังโทรลเพศหญิงอยู่เสมอ แต่ผู้นำไม่ได้สนใจมากนักและดูชอบใจเสียด้วยซ้ำ เพราะว่ามันแสดงให้เห็นว่าเขานั้นแข็งแกร่งแค่ไหนเมื่อคนของเขาทำได้แค่มองหญิงสาวเพียงไกลๆและไม่สามารถเล่นกับพวกเธอได้
อย่างไรก็ตาม
แต่ผู้นำตนนี้ไม่ได้สังเกตว่าภรรยาคนหนึ่งของเขากำลังส่งสายตาให้กับโทรลตนหนึ่งอยู่
มันชัดเจนเชียวแหละ
เวลาที่ผู้นำโทรลออกไปล่า ภรรยาของเขาก็ไม่รังเกียจที่จะให้เด็กหนุ่มผู้นี้มา… ถ้ามีลูกชายในหมู่พวกเขาขึ้นมา ใครจะไปรู้กัน?
ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเข้ม
เวลาผ่านไปถึงกลางดึก
โทรลไม่ได้ตระหนักว่ามีคนอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา
การซ่อนเร้นเป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับเอลฟ์ พวกเขามีความสามารถในการกลมกลืนเข้ากับป่าไม้และธรรมชาติ แต่หากอยู่ในเมือง ความสามารถของเหล่าเอลฟ์จะไม่ชัดเจนมากนัก และอาจจะดูหมือนแค่คล่องแคล่วว่องไวเท่านั้น ยกเว้นซะแต่เขาจะเป็นนักฆ่า…
สำหรับเอริคและลูกชาย การซ่อนตัวนั้นเป็นความสามารถโดยกำเนิด
เขาทั้งสองนั้นไม่รู้ตัวว่าตนเองได้ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาหายตัวไปกับอากาศทั้งๆที่พวกเขานั่งอยู่ตรงนี้
ไม่ว่าจะอยู่ในป่าหรือในเมืองที่มีคนหนาแน่น พวกเขาก็สามารถซ่อนตัวได้ตลอดเวลา
และเหล่าผู้เล่นทั้งหลายต่างก็ต้องการที่จะบรรลุความสามารถเช่นนี้
อันดับแรก ต้องเปลี่ยนอาชีพเป็นนักฆ่าเสียก่อน
อันดับสอง นอกเหนือจากการตามหาอาชีพลับล่วงหน้าแล้ว ต้องเลือกคุณสมบัติความมืดหากว่ามีความสามารถติดตัวที่มีพลังคุณสมบัติทางความมืด ก่อนจะถึงเลเวล 40
อับดับสาม เลือกอาชีพรองเป็นผู้วิเศษแห่งความมืด ไม่ใช่ผู้ใช้เวทย์แห่งความมืด…
โดยทั่วไปแล้วจะกล่าวได้ว่า นักฆ่าที่ไม่รู้จักการใช้เวทย์สายมืดจะถูกนับถือเป็นเพียงเบอเซอร์เกอร์เท่านั้น
เวทย์สายมืดไม่ถือเป็นอาชีพลับ แต่เป็นเพียงของหายากชนิดหนึ่ง สามารถเรียนรู้ผ่านทางสายสัมพันธ์กับผู้คนและขึ้นอยู่กับความเพียรพยายามและความมั่งคั่งของผู้เล่น
แต่ก็อาจเดาได้ว่ากลุ่มผู้เล่นที่อยากทำตัวเท่ๆเหล่านี้มักจะหลีกเลี่ยงคุณสมบัติความมืดและไปเลือกพลังอัคคีที่น่าตื่นตาตื่นใจและพลังสายฟ้าที่แพรวพราวแทน พลังการต่อสู้ที่สว่างไสวเหล่านี้ทำให้ดูเหมือนผู้เล่นนั้นกลัวว่าผู้คนจะไม่รู้ว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อต้องการสังหารใครบางคน
ความมืดกำลังคลืบคลานเข้ามา
วิลเลียมและกลุ่มของเขาค้นพบปัญหาบางอย่าง
มีโทรลทั้งสิ้น 15 ตน โทรลตัวเล็กสองตนเพิ่งกลับเข้าถ้ำไปพักผ่อนและไม่น่าจะออกมาอีกครั้ง
เป็นเพราะว่าโทรลมักจะออกล่าในตอนกลางคืน และในที่สุดนี่ก็เป็นเวลาที่พวกเขาจะแยกย้ายกันไป
ในหมู่พวกเขา ผู้นำที่ถูกสวมหมวกเขียวก็เลือกโทรลทั้งห้าตนที่ดูไม่ได้เต็มใจและนำพวกเขาออกไปล่า
สถานการณ์นี้ช่าง…
ทันทีที่ผู้นำโทรลออกไป เหล่าโทรลที่แสนขี้เกียจก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้น
เมื่อหนึ่งในโทรลที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่พบว่าผู้นำได้ออกไปแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะวิ่งเข้ามาในถ้ำ…
“เราควรลงมือตอนนี้ ผู้นำโทรลได้นำคนที่แข็งแกร่งไปเหลือแต่โทรลระดับเริ่มต้นบางตนเท่านั้น” ลอทเนอร์หรี่ตาลงและต้องการที่จะโจมตี
วิลเลียมหัวเราะ “ช้าก่อน ทำไมเราไม่ล่อผู้นำโทรลให้กลับมาล่ะ?”
“ความคิดดี แต่หากท่านล่อมันกลับมา แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเหล่าโทรลจะฆ่ากันจริงๆ?” ลอทเนอร์ถามด้วยความสงสัย
เมื่อเขากล่าวกับวิลเลียมเช่นนั้น เอริคและอเล็กซ์ก็มองเขาด้วยความประหลาดใจ
ราวกับพวกเขากำลังบอกว่าให้เขาหาภรรยาแล้วลองทำแบบนั้นดูสิ…
ลอทเนอร์สูญเสียความคิดไปชั่วขณะ
คู่รักของเอลฟ์นั้นมีชีวิตที่ยืนยาว แม้ว่าจะมีฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตลง อีกฝ่ายหนึ่งก็จะไม่แต่งงานอีกครั้ง เหล่าชายโสดอย่างลอทเนอร์, น็อกซ์, และนอร์ตันจึงไม่สามารถจินตนาการได้ในตอนนี้
“คำถามนี้ง่ายมาก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าแล้วกัน” อเล็กซ์รับหน้าที่นี้โดยไม่สนใจสายตาที่จ้องมองจากคนที่เหลือ เขากระโดดไปตรงด้านข้างของถ้ำอย่างเงียบๆ
จากนั้น ภายใต้การจ้องมองอย่างตกใจของกลุ่มคน เขาก็เข้าไปในถ้ำ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ออกมาอย่างเงียบๆอีกครั้งโดยไม่มีโทรลตนไหนพบเห็น
แต่วิลเลียมเห็นเขานำบางสิ่งออกมาด้วย มันเป็นชิ้นส่วนเสื้อผ้าส่วนล่างของโทรลเพศหญิง ใครๆก็สามารถบ่งบอกถึงกลิ่นอันรุนแรงของมันได้…
ก่อนที่อเล็กซ์จะวิ่งไปยังทิศทางของผู้นำโทรล!
วิลเลียมมองไปยังเอริค “เขาเก่งนะ…”
“มันก็แค่ทักษะพื้นฐาน พื้นฐานจริงๆ ทุกๆคนนั่งลง นั่งลงเร็วเข้า” ในฐานะผู้เป็นพ่อ เอริคเพียงเอาใจพวกเขาให้นั่งลงบนพื้นหญ้าเท่านั้น
และดูเหมือนว่าจะเห็นผลได้อย่างชัดเจน
เวลาผ่านไปอย่างน้อยห้านาที โทรลตัวเล็กทั้งสองก็ไม่สามารถทนอยู่ในถ้ำได้อีกต่อไป ก่อนจะวิ่งออกมาเล่นดินโคลนในทะเลสาบ แต่แล้วพวกเขากลับเห็น ‘ท่านพ่อ’ วิ่งกลับมาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ!
โดยปกติแล้วจะมีโทรลคอยเฝ้าอยู่ที่นี่
อย่างไรก็ตาม
โทรลพวกนั้นอุดอู้อยู่หลายหน เพราะพวกเขารู้ว่าผู้นำของตนจะออกไปล่าสัตว์เป็นเวลานาน เมื่อเขากลับมา กลิ่นทั้งหมดทั้งมวลอาจถูกปกคลุมไปด้วยปัสสาวะและอุจจาระ และความสกปรกทั้งหมดก็จะถูกดินโคลนกลบไว้
แต่น่าเสียดาย
คราวนี้ผู้นำกลับมาเร็ว
“อ้า!!!”
“ข้าจะฆ่าเจ้าไอ้เด็กเหลือขอ!”
ถูกต้องแล้ว
โทรลสามารถพูดได้
ผู้นำเผ่าโทรลมีความสูงเกือบ 4 เมตร!
เขาถือกระบองที่แวววาว และขนาดอาวุธของเขาก็เปรียบได้กับร่างกายมนุษย์เลยด้วยซ้ำ
ในเวลาเดียวกัน เขาก็มีสายเลือดระดับแกรนด์มาสเตอร์
เมื่อสักครู่นี้ได้มีอาวุธบางอย่างพุ่งเข้ามาใส่หน้าเขาอย่างกระทันหัน…
แต่ก่อนที่เขาจะได้พบกับตัวการที่ทำร้ายตนเอง กลิ่นที่โชยออกมาก็ทำให้เขาโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก!
ดังนั้น เขาจึงวิ่งมาอย่างเป็นบ้าเป็นหลังโดยไม่หันกลับไปมอง
โทรลตนอื่นๆยังตกอยู่ในความตกตะลึงโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“หัวหน้า หัวหน้า มันเป็นความเข้าใจผิดนะ เข้าใจผิดไปหมดเลย”
“ใช่แล้ว ข้าแค่แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับมาดามเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรเกินเลยไปกว่านี้เลย” โทรลตนนั้นกำชุดชั้นในแล้ววิ่งออกไปด้วยความหวาดกลัว
โดยปกติแล้วโทรลป่าจะสวมใส่แค่ชุดชั้นใน นี่คือสิ่งที่มีค่าที่สุดที่ถูกส่งต่อกันมารุ่นต่อรุ่นและจำเป็นต้องได้รับการปกป้อง
“ท่านอาจจะไม่เชื่อ แต่นี่เป็นครั้งแรกของข้ากับมาดามจริงๆ ท่านถามโทรลตนอื่นได้เลยหากท่านไม่เชื่อ” โทรลอีกตนมองไปยังผู้นำที่ถือกระบองขวางทางเข้าเอาไว้ ก่อนที่เขาจะกลืนน้ำลายและวิ่งหนีไป…
ด้านในถ้ำ มีโทรลเพศหญิงสามตนและโทรลเพศชายอีกสี่ตน
โทรลตนอื่นๆมักจะลักลอบเป็นชู้กับภรรยาของผู้นำ…
เกือบทุกตน แม้กระทั่งบุตรชายทางสายเลือดของเขาก็รับรู้ มีเพียงแต่ผู้นำโทรลเท่านั้นที่อยู่ในความมืดมิด
ผู้นำโทรลเป็นที่รู้จักในด้านความรุนแรงด้วยฉายา บลัดดี้ครัชเชอร์!
เขายังไม่ได้แตะต้องพวกโทรลโดยตรง
ดวงตาอันกราดเกรี้ยวของเขาแดงก่ำ แต่เขาก็ยังคงปล่อยตัวคนในเผ่าออกไปทีละคน
อย่างไรก็ตาม เมื่อโทรลตนอื่นๆรู้สึกว่าตนเองโชคดีที่รอดออกมาได้ โทรลเพศชายที่ออกมาล่าสุดก็ถูกมือที่เหมือนกับคีมเหล็กของผู้นำเผ่าคว้าตัวไว้!
“โอ้ไม่… ได้โปรด…”
“ตู้ม” ผู้นำโทรลคว้าคอของโทรลตนนั้นไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวโดยไม่สนใจดวงตาที่ตื่นตระหนก
ศีรษะของโทรลตนนั้นแตกกระจุยด้วยแรงกระแทก เลือดและสมองสาดกระเด็นเต็มใบหน้าของผู้นำโทรล แต่ความแค้นก็ยังไม่ลดลงแม้แต่น้อย แถมยังทำให้เขาโกรธยิ่งขึ้น
แต่โทรลไม่ได้อ่อนแอ พวกเขาแค่ไม่ได้ต่อต้าน
เมื่อโทรลอีกสามตนเห็นดังนั้น พวกเขาก็หยิบอาวุธและกระจายกันไปรอบๆเพื่อเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้
ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความรุนแรง บางทีเลือดจากร่างกายส่วนล่างของพวกเขาอาจจะไหลกลับ เลยทำให้มีแรงกระตุ้นที่ไร้เหตุผล
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็ตั้งใจที่จะสังหารผู้นำตนนี้และช่วงชิงภรรยามาเป็นของตนเอง!
“กู๊ดเนอร์ เจ้าก็จะทรยศข้าด้วยงั้นรึ?” บลัดดี้ครัชเชอร์โยนร่างในมือทิ้งไป ก่อนจะมองไปยังโทรลทั้งห้าที่กลับมาล้อมเขาไว้
“ฮ่าฮ่า ทรยศอะไรกัน? ไม่ใช่ท่านที่ฆ่าผู้นำเผ่าคนก่อนแล้วจึงมีสิทธิ์ในการผสมพันธุ์หรอกหรือ?”
“ไม่ใช่ว่าตอนที่ท่านยังเยาว์ก็นอนกับผู้หญิงของผู้นำเผ่าหรอกรึ?” กู๊ดเนอร์เป็นโทรลที่ซื่อสัตย์ที่สุดของเขา และยังได้ต่อสู้กับอดีตผู้นำร่วมกับเขาอีกด้วย
บลัดดี้ครัชเชอร์ไม่ได้กรีดร้องโวยวาย ความโกรธเกรี้ยวของเขาค่อยๆหายไปอย่างช้าๆ
เขากวาดสายตาไปยังเหล่าภรรยาที่นั่งแอบกันอยู่ด้านหลัง พวกเธอดูไม่เกะกะมากนัก ดังนั้นเขาจึงเดินไปยังเหล่าโทรลทั้งหลายก่อนจะเยาะเย้ยถากถาง “เข้ามาสิ ให้ข้าดูหน่อยว่าข้า บลัดดี้ครัชเชอร์คนนี้แก่แล้วหรือว่าเป็นพวกเจ้าที่แข็งแกร่งขึ้น!”
“กำจัดและช่วงชิงผู้หญิงของมันซะ!”
“ลุยยย”
นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาสำหรับกลุ่มโทรลที่จะรุมผู้นำของพวกเขา สิ่งที่น่าประทับใจกว่านั้นคือผู้นำโทรลตนนี้ทรงพลังมากจริงๆ
กระบองอันยักษ์ถูกกวาดไปทั่ว เสียงคำรามสั่นสะเทือนไปทั้งอากาศและทะลุไปทั้งแก้วหู!
โทรลตนแรกพุ่งเข้าไปก่อนจะถูกโจมตีใส่เข้าที่หน้าอก หน้าอกของเขาบุบเข้าไปข้างใน เลือดพุ่งกระฉูดออกมาทางปาก ก่อนที่เขาจะล้มลงไปกับพื้น ไม่มีแรงกลับมาสู้ได้อีก
บลัดดี้ครัชเชอร์นั้นทรงพลัง และแรงกดดันของเขาไม่ใช่สิ่งที่โทรลธรรมดาทั่วไปจะสามารถสู้ได้
แม้แต่โทรลที่มีสายเลือดระดับสูงก็ถูกจัดการได้อย่างง่ายดาย และยังถูกทุบไปมาด้วยกระบองของเขา
หลังจากนั้นไม่นาน
โทรลสองตนก็พิการด้วยฝีมือของบลัดดี้ครัชเชอร์
ผู้นำโทรลเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ด้วยผิวหนังที่เกือบจะเหมือนหินก็ทำให้เขามีการป้องกันที่แข็งแกร่ง
หากไม่มีการบาดเจ็บที่ถึงชีวิต การบาดเจ็บเหล่านี้ก็จะถูกฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์ต่างๆค่อยๆกลับกลายเป็นเช่นนี้
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นเช่นนี้นอกจากวิลเลียม
แต่สถานการณ์ ณ ตอนนี้ก็ยังทำให้เขาประหลาดใจ ผู้นำโทรลตรงหน้านั้นยังเยาว์วัย ความแข็งแกร่งและสายเลือดของเขาก็โดดเด่น
หากเรื่องนี้ไม่ได้ถูกเผยออกมา โทรลเหล่านี้จะเก็บกันไว้ได้นานสักเท่าใดกันก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจทำบางสิ่ง…
โดยปกติ
นอกเหนือจากเผ่าโทรลขนาดใหญ่แล้ว เผ่าโทรลที่กระจัดกระจายต่างส่งผ่านการสืบทอดด้วยวิธีเช่นนี้…
สำหรับหญิงสาวเผ่าโทรลแล้ว ไม่มีใครที่จะทำร้ายพวกเธอ
แต่เมื่อพวกเธอแก่ตัวลงและไม่สามารถมีบุตรได้อีก พวกเธอก็จะถูกฆ่า และกระดูกช่วงขาของพวกเธอก็จะถูกนำมาทำเป็นกระบองอันใหม่สำหรับให้โทรลรุ่นใหม่ใช้
บลัดดี้ครัชเชอร์นั้นแข็งแกร่งมาก แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับโทรลสายเลือดระดับสูงสองตน และอยู่ภายใต้การโจมตีของกลุ่มทหารแล้ว เขาก็เต็มไปด้วยบาดแผล แม้แต่ศีรษะก็ยังมีเลือดไหลและฟกช้ำ
แต่บลัดดี้ครัชเชอร์ยังมีไม้ตายซ่อนไว้อยู่!
ไม่มีใครรู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในกางเกงของเขา ผู้นำโทรลเอื้อมมือลงไปก่อนจะหยิบบางอย่างเข้าไปในปาก
ตู้ม!
ออร่าอันทรงพลังเข้มข้นขึ้น
ร่างกายของบลัดดี้ครัชเชอร์พองตัวขึ้น กล้ามเนื้อขยายตัวขึ้นอย่างน่ากลัวและเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง ร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีเขียวเหมือนกับปีศาจ แม้กระทั่งกระบองที่เขาถือก็ยังถูกย้อมเป็นสีเขียว
“มนต์ดำวูดู” วิลเลียมเลิกคิ้ว
“ท่านสายตาดีนะเนี่ย…” ลอทเนอร์อยากรู้อยากเห็น เขาไม่รู้ว่าวิลเลียมจำแนกมันออกได้อย่างไร
“มนต์ดำวูดูนั้นสืบทอดผ่านความทรงจำ บลัดดี้ครัชเชอร์ผู้นี้มีทักษะบางส่วน มนต์ดำวูดูจะทรงพลังยิ่งขึ้นเมื่อถูกเพิ่มด้วยพิษไฟ” วิลเลียมประหลาดใจ ตามเหตุผลแล้วจะมีเฉพาะโทรลในเผ่าขนาดใหญ่ที่จะมีโอกาสได้รับสืบทอด
“โทรลพวกนี้อาจกำลังจะตาย” เอริคเห็นว่าบลัดดี้ครัชเชอร์ทำให้โทรลเหล่านี้กลายเป็นเศษเนื้อได้อย่างง่ายดายและรู้ว่าจุดจบนั้นถูกตัดสินแล้ว
โทรลตนอื่นๆไม่ใช่คนโง่ สำหรับพวกเขาแล้ว เวทมนตร์นั้นเป็นสิ่งที่เหนือกว่าอย่างแท้จริง
เมื่อมนต์ดำวูดูปรากฏขึ้น พวกเขาก็นึกถึงความยิ่งใหญ่และการอยู่ยงคงกระพันของผู้นำ!
น่าเสียดายที่พวกเขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป
ด้วยเหตุนั้น…
โทรลที่เหลืออีกสี่ตนจึงรีบหันหลังหนี บลัดดี้ครัชเชอร์จับโทรลได้ตนหนึ่ง ก่อนจะจับศีรษะโทรลตนนั้นแรงขึ้นและกระชากมันออก
จากนั้นเขาก็ไม่ได้ไล่ล่าต่อ แต่กลับมองดูเหล่าผู้ทรยศหลบหนีไปเพราะเขาเองก็บาดเจ็บไม่น้อย
แต่วิลเลียมนั้นเป็นครึ่งเอลฟ์ที่มีความเห็นอกเห็นใจไม่น้อย เขาโบกมือครั้งหนึ่ง ลอทเนอร์, เอริค และอเล็กซ์ก็ตามโทรลทั้งสามไป…
ห้านาทีต่อมา ขณะที่ความรุนแรงในครอบครัวกำลังดำเนินอยู่นั้น วิลเลียมและคนที่เหลือก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เขามองทั้งสามที่กลับมาก่อนจะถามว่า “เสร็จแล้วหรือ?”
เอริควิเคราะห์คำพูดนั้นประมาณสองวิ “ท่านถามอะไรของท่านเนี่ย!”
“…”
“แล้วโทรลตนสุดท้ายนี่ล่ะ?” อเล็กซ์ถาม
วิลเลียมหลุบตา ก่อนจะแค่นยิ้มอย่างเย็นชา “ฆ่า ไม่ก็จับเขาซะ!”
“จับหรือ? ท่านมีวิธีควบคุมเขาใช่ไหม?” ลอทเนอร์อยากรู้เพราะว่าโทรลไม่ใช่สิ่งที่ควบคุมได้ง่ายนัก แม้แต่ปีศาจจากฝ่ายมืดที่ใช้แส้หนังขนาดใหญ่ และเครื่องมืออีกจำนวนมากเพื่อปราบปรามพวกเขา แต่ก็ยังถูกต่อต้านอยู่ดี
“ฮ่าฮ่า เจ้าเคยได้ยินเรื่องของเวทย์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาบ้างไหม?” วิลเลียมเลิกคิ้ว
ควบคุมวิญญาณ
เลเวล : Lv 7
คุณสมบัติ : ท่านสามารถควบคุมศัตรูที่อ่อนแอที่มีค่าพลังชีวิตต่ำกว่า 17%
หลังจากควบคุมพวกเขาได้แล้ว ค่าพลังชีวิตของศัตรูจะฟื้นฟูกลับมาถึง 62%
ค่าพลังที่ใช้ : พลังเวทมนตร์ 50 หน่วย
ความเร็วการใช้งาน : ทันที
ระยะคูลดาวน์ : ไม่มี
สเปเชียลเอฟเฟ็กต์เลเวล 3 : อัตราการควบคุมศัตรูสายเลือดระดับแกรนด์มาสเตอร์เพิ่มขึ้น 3%
ข้อจำกัด : คุณสามารถควบคุมได้เพียงสองบุคคลเท่านั้น
ข้อจำกัด : ศักยภาพทางสายเลือดยิ่งสูงมากเท่าใด ก็มีโอกาสที่จะล้มเหลวมากเท่านั้น ทุกๆเลเวลของศัตรูที่สูงกว่าคุณ มันจะเพิ่มอัตราความล้มเหลวมากขึ้น
ข้อจำกัด : หากคุณเปลี่ยนศัตรูให้เป็นทาสได้สำเร็จ คุณจะต้องใช้การควบคุมวิญญาณทุกวันเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับมัน หากไม่เช่นนั้น อัตราการทรยศจะเพิ่มมากขึ้น หลังจากเป็นทาสเป็นเวลายาวนาน จะสามารถกลายเป็นทาสวิญญาณถาวรได้
“สเปเชียลเอฟเฟ็กต์เลเวล 3 เป็นความมั่นใจที่สุดของฉัน…” วิลเลียมไม่ได้สนใจว่าจะต้องใช้ควบคุมวิญญาณหลายๆครั้ง
แม้เขาจะมีโชคน้อย เขาก็แค่ต้องใช้มันสักร้อยครั้ง
ถ้าไม่ควบคุมโทรล เลเวล 65 ที่มีสายเลือดระดับแกรนด์มาสเตอร์และการสืบทอดมนต์ดำวูดูนี้ไว้ก็คงจะเสียเปล่า
ในขณะนั้น
บลัดดี้ครัชเชอร์คุกเข่าลงข้างหนึ่งลงบนพื้น โทรลกล้ามโตตอนนี้อ่อนแอไม่ต่างจากกุ้งแห้ง หัวของเขาก้มต่ำ เหลือไว้เพียงแต่เสียงโอดครวญอันน่าเวทนา
โทรลหญิงสามตัวและโทรลน้อยอีกสองตัวยังอยู่ในถ้ำ พวกเขากลัวเกินกว่าที่จะกล้าออกมา
เพราะศัตรูนั้นแข็งแกร่งเกิน ไม่สิ มันแข็งแกร่งอย่างผิดปกติ…
ร่างของวิลเลียมท่วมไปด้วยเหงื่อ หลังจากเขาฟื้นแต้มเวทย์ของเขาแล้ว เขาก็เอื้อมมือไปคว้าเข้ากับคอของบลัดดี้ครัชเชอร์และยังคงใช้การควบคุมวิญญาณต่อ!
“อ๊าก, อ๊าก, อ๊าก, อ๊าก! ฆ่าฉัน แค่ฆ่าฉันทิ้ง” มันสามารถจินตนาการได้ว่าจิตวิญญาณของบลัดดี้ครัชเชอร์กำลังถูกเขย่า ในมือของวิลเลียมสามารถมองเห็นดวงวิญญาณโปร่งแสงได้อย่างเลือนลางราวกับมันกำลังถูกดึงออกจากเจ้าของร่าง
ความรู้สึกที่ถูกควบคุมมันก็ไม่ต่างอะไรจากนรกไม่ว่าจะสำหรับสิ่งมีชีวิตใดๆ!
อย่างไรก็ตาม
ด้วยร่างที่สั่นเกร็งของบลัดดี้ครัชเชอร์…
วิลเลียมปล่อยมือของเขาออกจากศีรษะของบลัดดี้ครัชเชอร์เงียบๆ
“ครั้งที่ 186 ก็ล้มเหลวอีกครั้ง” ลอทเนอร์และเอริคจับยึดตัวผู้นำโทรลไว้ เมื่อเขายังมีแรงก็แทงเข้าที่หลังของเขาเพื่อทำให้เขาอยู่ห่างเพียงพริบตาจากความตาย
อย่างไรก็ตาม เมื่อแทงเข้าครั้งที่ 186…
แม้แต่เอริคผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นนักฆ่ามากประสบการณ์ก็ยังไม่อาจแทงต่ออีกครั้งได้
เมื่อผู้นำโทรลที่ทรงพลังสูญเสียความแข็งแกร่งไปมากหลังจากใช้วูดู
หลังจากนั้น ด้วยการโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาก็ถูกซ้อมอย่างโหดร้าย แต่การฟื้นฟูของเขาก็แข็งแกร่งและเขาก็ฟื้นฟูพลังชีวิตได้อย่างรวดเร็ว จนทำให้พวกเขาต้องทำร้ายผู้นำโทรลเพื่อดึงการฟื้นฟูของเขาให้ช้าลง
ตอนนี้หลังของบลัดดี้ครัชเชอร์เต็มไปด้วยบาดแผลและสภาพของเขาก็ดูไม่ได้เอาซะเลย
“แทงแค่ที่เดียวคราวหน้า อย่าทำร้ายพี่ชาย” วิลเลียมกระแอมไอน้อยๆ
“เอ่อ… มันจะไม่เจ็บยิ่งกว่าหรือ หากเราแทงเขาตรงที่เดิม?”
“ท่านลอร์ด ท่านปู่ บรรพบุรุษ ปล่อยข้าไป ข้าจะทำทุกอย่างที่ท่านอยากให้ข้าทำ อย่าเข้ามา…” บลัดดี้ครัชเชอร์แข็งแรงและสามารถทนการอัดได้ แต่ตอนนี้เขากลับร้องขอ
เขาไม่รู้ว่าเอลฟ์ตรงหน้าของเขากำลังจะทำอะไร แต่ทุกครั้งที่วิลเลียมบีบคอเขาก็เกิดความเจ็บปวดอย่างไม่อาจบรรยายได้ในดวงวิญญาณของเขา
ทุกครั้งที่ดวงวิญญาณของเขาถูกแทงก็จะมีใครบางคนแทงเขาข้างหลังและไม่มีทางให้เขาได้ต่อรองเลย
ริมฝีปากของวิลเลียมกระตุก เขามองไปที่บลัดดี้ครัชเชอร์ผู้ที่กลัวจนฉี่ราดและกำลังร้องโหยหวน เขายังอยู่ในสถานะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีกด้วย…
ความโชคดีของเขายังไม่มากพอ
และเลเวลของก็ยังไม่สูงมากพอ
มีเพียงสายเลือดของเขาเท่านั้นที่เหนือกว่าเหล่าโทรลปกติเล็กน้อย
มันเป็นเรื่องยากที่จะควบคุมโทรลเลเวล 35 การเพิ่มอัตราการควบคุม 3% ในการควบคุมสายเลือดแกรนด์มาสเตอร์นั้นไม่ได้มากมายนัก
“ไม่ต้องกังวลเรากำลังทำการทำลองอยู่ ถ้าเรายังทำไม่สำเร็จภายใน 300 ครั้ง เราก็จะฆ่าเจ้าทิ้ง ไม่ต้องกังวลไป เราพูดคำไหนคำนั้น เมื่อเราบอกว่าเราจะฆ่าครอบครัวเจ้าทั้งหมดหมายความว่าเราจะทำอย่างที่เราพูด” วิลเลียมตบไหล่เขา
บลัดดี้ครัชเชอร์พูดไม่ออกและลังเลอยู่ขณะหนึ่ง ก่อนจะพูด “เพียงบอกว่าท่านต้องการจะทำอะไร ข้าจะให้ความร่วมมือกับท่าน ตกลงไหม?”
“เราต้องการควบคุมจิตวิญญาณของเจ้า!”
บลัดดี้ครัชเชอร์คิดอยู่สองวินาที “ถ้าอย่างนั้นก็ฆ่าข้าเสีย ท่านไม่สามารถควบคุมวิญญาณของข้าได้”
“ไม่ เราพูดว่า 300 ครั้งแปลว่า 300 ครั้ง” วิลเลียมดื้อดึงอย่างมาก ที่นี่ไม่มีใครมาขัดขวางเขาได้และแม้ว่าเขาจะพยายามควบคุมโทรลตนนี้ตั้งแต่หัวค่ำยันเช้า ถ้าไม่สำเร็จ เขาก็สามารถทำต่อไปได้จนถึงกลางคืนอีกครั้ง
“อ๊าก!!!”
“ครั้งที่ 237!”
“อ๊าก!!!”
“ครั้งที่ 299”
“อ๊าก!!!”
“ครั้งที่ 300…”
“ได้โปรดฆ่าข้าและหยุดการทรมานข้าเถิด”
“ไม่ มาลองกันอีกครั้งเถอะ เราเชื่อว่ามันยังมีโอกาสอีกครั้ง” วิลเลียมปฏิเสธ
“อ๊าก, อ๊า…”
“ครั้งที่ 366”
“อ๊าก…”
“ครั้งที่ 388”
“…”
“ครั้งที่ 399”
“…”
“ครั้งที่ 400… โอ้ มันสำเร็จแล้วหรือ?” วิลเลียมนิ่งไป เขามองไปที่มือขวาวิเศษของเขาและมองไปที่บลัดดี้ครัชเชอร์ผู้ที่ดวงตาเหม่อลอยและนิ่งเงียบ
เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะควบคุมมอนสเตอร์น่ากลัวตัวนี้ได้จริงๆ ด้วยความพยายามและความพากเพียรของเขา
“สวรรค์จะไม่ทรยศคนพยายาม อย่างที่คาดไว้ ไม่สำคัญว่าบอสจะยอดเยี่ยมแค่ไหน, เลเวลของบอสจะสูงอย่างไร, พวกเขาก็ยังคงจำนนต่อฉัน” วิลเลียมหัวเราะ
คนที่เหลือในกลุ่มอดไม่ได้ที่จะตาโต หลังจากวันที่ยาวนาน แม้แต่พวกเขาก็ไม่อาจทนแทงโทรลได้ แต่ในที่สุดท่านลอร์ดก็ทำมันสำเร็จ
พวกเขารู้สึกปวดหัวใจแทนผู้นำโทรลชิ*หาย เลือดของบรัดดี้ครัชเชอร์ไหลราวกับมีแม่น้ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา
ร่างของโทรลยังดีอยู่ ความเร็วในการฟื้นฟูพลังชีวิตก็เร็วมากๆ อีกด้วย…
“เฮ้ พูดอะไรหน่อยสิ อาการบาดเจ็บของเขาควรฟื้นฟูรวดเร็วมากๆ สิหลังจากฉันทำสำเร็จ!” วิลเลียมแคลงใจและมองไปยังสหายโทรลที่นอนหงายอยู่
พลังชีวิตของเขากำลังฟื้นฟู แต่ทำไมเขาถึงไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ เลยล่ะ?
วิลเลียมไม่รู้ว่าบลัดดี้ครัชเชอร์ที่นอนแผ่อยู่บนพื้นนั้นได้ยินเขา
เขายืนขึ้นอย่างรวดเร็วและเมื่อเขามองไปที่วิลเลียม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาคุกเข่าลงบนพื้นทันทีและจุมพิตบนรองเท้าของวิลเลียมพร้อมพูดด้วยเสียงที่สั่นกลัว “ม-มาสเตอร์ จากวันนี้ข้าคือข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ต่อท่านที่สุด”
“ดิ๊งด่อง!”
“เพราะคุณได้สร้างความชอกช้ำในหัวใจของบลัดดี้ครัชเชอร์ การตีตราควบคุมวิญญาณจึงประทับในดวงจิตของเขาสำเร็จและเขาจะถูกควบคุมโดยคุณตลอดไป ครอบครอง ½ ของสถานะการควบคุมวิญญาณ”
“ได้รับค่าประสบการณ์ 35000 เป็นรางวัล!”
“ดีละ นั่นมันก็เท่ากับการที่ฉันฆ่าเขา?” วิลเลียมตกตะลึงเล็กน้อยและตบไหล่ของข้ารับใช้วิญญาณของเขา “ลุกขึ้นและบอกภรรยาและลูกของเจ้าว่าเราจะเป็นมาสเตอร์ของเจ้าในอนาคต”
“ครับ มาสเตอร์” บลัดดี้ครัชเชอร์ผู้ทรงพลังไร้ซึ่งความคิดในการกบฏ หัวใจของเขาไม่เหลืออะไรอีกนอกจากความกลัวที่มีต่อวิลเลียม
แม้ว่าวิลเลียมจะบอกให้เขาไปตาย เขาก็จะไม่ลังเลที่จะฆ่าตัวตายในทันที…
ใครบางคนอาจถามว่าทำไมเขาถึงอยากตาย
แน่นอนว่าบลัดดี้ครัชเชอร์จะย้อนตอบกลับไปว่า “ทำไมเจ้าไม่ลองถูกแทงที่หลังสัก 400 ครั้งแล้วไม่ตายดูล่ะ แถมยังมีอมนุษย์มาคอยทรมานดวงวิญญาณอีกด้วย”
ไม่มีใครจินตนาการได้ว่าเขาผ่านอะไรมา
เขารับได้เพียงสัมผัสจากก้นบึ้งของหัวใจว่ามาสเตอร์ของเขาเป็นปีศาจยอดแย่และเป็นปีศาจที่วิกลจริตที่สุดในโลก
แต่ไม่สำคัญว่ามาสเตอร์ของเขาต้องการสิ่งใด เขาก็ไม่อาจกล้าที่จะต่อต้าน!
บลัดดี้ครัชเชอร์กลับเข้าไปที่ถ้ำ ดวงตาของภรรยาทั้งสามเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและพวกหล่อนเข้าไปกอดเขาโดยทันที โทรลน้อยสองตัวเองก็วิ่งเข้าไป สมาชิกทั้งหกคนของครอบครัวโอบกอดกันและกันพร้อมร้องไห้ราวกับพวกเขาทำผิดไป…
วิลเลียมมองไปยังกลุ่มคนที่มองฉากครอบครัวและพูด “เลิกมอง เลิกมองได้แล้ว มีอะไรน่าดูงั้นหรือ? ยังมีอสูรเวทย์อีกมากมายที่ริมแม่น้ำ ดังนั้นมาตั้งใจกำจัดพวกมันกันดีกว่า พวกที่เรายังกำจัดไม่ไหว เราจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโทรลตัวนี้มาจัดการหลังจากบาดแผลของเขาฟื้นฟูเต็มที่แล้วและพวกเราจะคอยสนับสนุนอยู่ด้านหลัง”
“นั่นเป็นความคิดที่ดี เขาก็แค่ดูน่าเวทนาไปเสียหน่อย” ลอทเนอร์พยักหน้า โทรลตัวนั้นเพิ่งจะถูกทรมานและตอนนี้ก็ต้องมาเป็นผู้ใช้แรงงาน มันช่างเป็นชีวิตที่น่าสังเวชที่สุด
“อีกอย่างน็อกซ์และนอร์ตัน เจ้าทั้งสองลอกผิวและนำกระดูกของโทรลที่ตายแล้วกลับมา!” ริมฝีปากวิลเลียมยกยิ้ม
“ห้ะ? เราจะนำมันไปให้ใคร?” น็อกซ์ดูรังเกียจแต่ก็ยังคงเดินไปลอกผิวหนังพวกโทรลแต่โดยดีพร้อมนอร์ตัน
พวกเขาไม่มีทางเลือก ท่านลอร์ดน่ากลัวเกินไป
วิลเลียมถอนหายใจ “ถ้าเอลฟ์ไม่ใช้มัน ลูกครึ่งเอลฟ์ก็ใช้ได้ ถ้าครึ่งเอลฟ์ไม่ใช้ ก็ยังมีเหล่าคนแคระอยู่ไม่ใช่หรือ?”
“ถ้าคนแคระไม่ใช้มัน พวกเราค่อยมอบมันให้เหล่ามนุษย์ เมื่อพวกมนุษย์ไม่เรื่องมาก…”
ในฐานะโทรล ชีวิตของบลัดดี้ครัชเชอร์ถือว่าดีมากแล้ว
แม้ว่าเขาจะถูกภรรยานอกใจ แต่เขาก็ได้ฆ่าคนพวกนั้นและขับไล่คนอื่นๆออกไปแล้ว
เขาคือผู้ที่ทรงพลัง ณ ทะเลสาบสายรุ้งแห่งนี้
และยังได้รับการสืบทอดมรดกมนต์ดำวูดูอีกด้วย
ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับศัตรูแบบใด เขาก็มีความกล้าที่จะต่อสู้ นอกจากนี้บริเวณทะเลสาบสายรุ้งยังไม่มีอสูรเวทย์ที่แข็งแกร่งมากเท่าใดนักและเขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลัวอีกด้วย
ดังนั้น เขาก็เปรียบได้กับผู้กุมอำนาจในทะเลสาบสายรุ้งแห่งนี้
อย่างไรก็ตาม ความหวาดกลัวที่ไม่มีจุดจบได้คลืบคลานเข้ามาในวันที่เขาถูกนอกใจ
เหล่าเอลฟ์ที่ชั่วร้ายและมนุษย์ต่างกระหน่ำทุบตีเขาอย่างไร้ความปราณีจนเขาเกือบตาย…
ทันใดนั้น เอลฟ์ตนที่น่ากลัวที่สุดก็ปรากฏตัวขึ้น
“โอ้ ไม่นะ คนที่ออกมาน่าจะเป็นมาสเตอร์ของพวกเขา” บรัดดี้ครัชเชอร์ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนอยู่ในถ้ำ เขาอยากคราฟความทรงจำลงไปในจิตวิญญาณ เพื่อที่จะส่งต่อไปยังลูกชายของเขาให้เข้าใจถึงความน่ากลัวของมาสเตอร์อย่างถ่องแท้
…………………………
“หนังของโทรลถูกลอกออกไปหมดแล้ว แต่กระดูกก็ไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่ มนุษย์ไม่ใช้ของพวกนี้เป็นอาวุธหรอก!” น็อกซ์เดินไปเดินมา มือของเขาเต็มไปด้วยเลือด เขากับนอร์ตันโยนเนื้อหนังที่แข็งเหมือนหินไปตามพื้นดิน
“เยอะมากมั้ย? ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ให้โทรลเก็บพวกมันไว้!” วิลเลียมมองไปยังกองผิวหนังโทรลขนาดใหญ่บนพื้นที่มีนำหนักประมาณ 500 กิโลกรัม และอาจจะสามารถนำไปทำสิ่งที่มีประโยชน์ได้
ขนของอสูรเวทย์หรือมอนสเตอร์บางประเภทนั้นเป็นวัตถุดิบที่ดีในการทำชุดเกราะ, เกราะชั้นใน, และแม้กระทั่งเกราะหนัง!
พื้นผิวของเกราะธรรมดานั้นแข็งเหมือนกับเหล็ก
แต่ชั้นด้านในของเกราะจะต้องมีขนสัตว์เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวทหารถูกครูด แต่ไม่ใช่ช่างตีเหล็กทุกคนจะมีทักษะระดับแกรนด์มาสเตอร์
แต่ด้านในของชุดเกราะนั้นสามารถใช้ได้แค่ขนสัตว์ แต่ไม่ถึงต้องกับใช้ขนอันมีค่าของอสูรเวทย์
ถัดไปคือเกราะชั้นในและเกราะหนัง!
วัสดุที่ใช้สำหรับสร้างเกราะชั้นในไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยการป้องกัน แต่ยังต้องเบาและบางมากเหมือนกับชุดชั้นใน ชัดเจนว่าผิวหนังของโทรลไม่สามารถสร้างเป็นเกราะชั้นในได้ แต่เป็นวัสดุที่ดีสำหรับการทำเกราะหนัง!
ผิวหนังที่สมบูรณ์ของโทรลสามารถนำมาแนบกับโล่ และเพิ่มการป้องกันได้!
กล่าวสั้นๆคือ โทรลนั้นดี โทรลนั้นยอดเยี่ยม และผิวหนังของโทรลมีประโยชน์อย่างมาก…
“ท่านลอร์ดครับ เราจะส่งโทรลพวกนี้ไปที่ไหนดีครับ?” น็อกซ์ไม่เข้าใจ ไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะเอาโทรลไปใช้ชีวิตในเมือง
“แน่นอนว่าต้องเป็นเหมืองมิทริล!”
“ให้พวกเขาขุดเหมืองเหรอครับ?”
“ไม่ใช่ ให้พวกเขาคุมเหล่าออร์คต่างหากล่ะ ถ้าเราปล่อยพวกเขาเข้าไปในเหมือง เรากลัวว่าเหมืองในถ้ำจะถล่มเอาได้ ความแข็งแกร่งของโทรลและโทรลเพศหญิงนั้นทรงพลังกว่าเหล่าทหาร และเราก็จะมีทหารที่ไม่มีความรับผิดชอบเยอะขึ้น!” วิลเลียมยกริมฝีปาก บรัดดี้ครัชเชอร์นั้นมีประโยชน์ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถทำอะไรหลายๆอย่างได้
นอกเหนือจากความสามารถในการต่อสู้ ด้วยสติปัญญาของเขาทำให้เขาเหมาะที่จะเป็นผู้คุมเหมือง…
ทันใดนั้นลอทเนอร์ก็ถามว่า “แล้วจะไม่มีอุบัติเหตุใดๆเกิดขึ้นใช่หรือไม่”
ทุกคนรู้ว่าเขาได้เรียนรู้เวทย์วิญญาณที่อ่อนหัดมาบางส่วน และพวกเขาก็กังวลว่าจะมีบางสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้น
“ไม่” วิลเลียมขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบายถึงปัญหาของการประทับวิญญาณที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บขึ้นในจิตใจ
“แล้วตอนนี้เราจะไปที่ไหน?”
“จัดการกับอสูรเวทย์ตนที่เหลืออยู่ต่อไป!” วิลเลียมตะโกนก้องถ้ำ “ครัชเชอร์ เก็บหนังเหล่านี้แล้วติดตามเราไปกวาดล้างอสูรเวทย์ตนอื่นๆซะ!”
“ครับมาสเตอร์!” บลัดดี้ครัชเชอร์เรียกภรรยาทั้งสามของเขามาอย่างรวดเร็วเพื่อจะจัดเก็บหนังทั้งหลาย ก่อนจะถือกระบองประจำตัวของเขา เขาพร้อมที่จะตายอย่างกล้าหาญ
………………………………
ณ ทะเลสาบสายรุ้ง
ในฐานะที่เป็นสถานที่ที่กว้างใหญ่ที่สุดสำหรับไว้ดื่มกินของเหล่าอสูรเวทย์ มันได้นำไปสู่วันโลกาวินาศของพวกมันทั้งหลายในไม่กี่วันที่ผ่านมา
อสูรเวทย์ 26 ตัวได้ตายลง…
อสูรผู้ไม่รู้เรื่องราวทั้ง 103 ตัว ได้โหยหวนในตอนกลางดึก…
และสิ่งมีชีวิตที่ไม่ปรากฏชื่อมากมายได้ถูกกวาดล้างอย่างป่าเถื่อน
นี่เป็นการสูญเสียศีลธรรม หรือว่าอะไรกัน…
วิลเลียมใช้เวลาเพียงแค่สามวันในการแก้ปัญหาความปลอดภัยของทะเลสาบสายรุ้ง
แม้ว่าจะเป็นเพียงวิธีแก้ปัญหาชั่วคราว ในเวลาไม่กี่วันอสูรเวทย์ต่างถูกฆ่า และนอกเหนือจากกลิ่นคาวเลือดแล้วก็ไม่มีอะไรหลงเหลือไว้อีก บรรยากาศที่น่ากลัวเช่นนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เหล่าสัตว์ทั้งหลายหวาดกลัวเกินกว่าจะออกมาดื่มน้ำที่นี่
สำหรับร่างของพวกมันนั้นได้ถูกทหารในกองทัพนำกลับไปเป็นอาหาร
วิลเลียมไม่ได้สร้างท่าเรือที่นี่ทันที
เขายังต้องการสังหารกลุ่มอสูรเวทย์และเหล่าสรรพสัตว์ที่เข้ามากินน้ำอีกสองสามกลุ่ม
เมื่อไม่มีการฆ่าอีก นั่นก็จะหมายความว่าพื้นที่นี้ปลอดภัยไป 80% แล้ว
เมื่อถึงเวลา เขาจะเปิดทางและส่งกองกำลังมาประจำที่นี่ จากนั้นพวกเขาก็จะเริ่มตกปลา
ไม่มีทางเลือกอื่น
หากเขาต้องการที่จะขยายอาณาเขต เขาต้องเริ่มสงครามและเข่นฆ่า โดยเฉพาะกับเหล่าอสูรเวทย์ทั้งหลาย มันเป็นเรื่องยากที่จะนำพวกมันไปอยู่ร่วมกับเผ่าพันธุ์ส่วนใหญ่
กลับมายังอาณาเขต
“ทีโม ทีโม ทีโม ~ ” แฟรี่เห็ดตัวน้อยบินวนรอบๆวิลเลียมด้วยวิธีที่น่ารัก นอกจากดูดซับมิทริลแล้ว เธอยังใช้เวทย์ติดตัว แม้ว่าจะมันจะเหนื่อย แต่มันก็ออกดอกออกผล
นั่นคือสิ่งที่วิลเลียมรู้สึกได้
โดยเฉพาะหญิงสาวเอลฟ์ที่ดูจะชื่นชอบเพื่อนตัวน้อยนี้มาก พวกเธอมักจะไปคลุกคลีกับทีโมเป็นประจำ
“หยุดหมุนได้แล้ว เราจะเวียนหัว” ทุกๆครั้งที่วิลเลียมกลับมาเจอกับทีโมตัวน้อย เธอมักจะบินไปรอบๆตัววิลเลียมซึ่งหมายความว่าพวกเขาได้สนิทกันแล้ว
“ท่านได้นำของขวัญมาให้เราหรือไม่?” แฟรี่เห็ดบินมาหาพร้อมมองเขาด้วยรอยยิ้ม
วิลเลียมยกยิ้มขึ้น “แน่นอน ลองเดาดูสิ!”
“ลูกอมหรอ?”
“ไม่ใช่!”
“ทีโมไม่ชอบกินลูกอม หรือว่าเป็นมิทริลชิ้นใหญ่ๆกัน?” ทีโมตัวน้อยทำท่าทางที่ดูเกินจริงก่อนจะส่ายศีรษะ ทันใดนั้นเธอก็หยุดก่อนจะกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เป็นอัญมณีหรือไม่ก็ทองคำใช่มั้ยล่ะ?”
วิลเลียมขบคิดประมาณสองวิ เขาไม่ได้ให้เธอเดาอีกต่อไป ก่อนจะค่อยๆถอดหมวกบนศีรษะออก และแฟรี่ที่นอนหลับอยู่ก็ลุกขึ้นอย่างช้าๆ!
แฟรี่ทั้งสองจ้องหน้ากันและกัน
“อ้า!!”
ทันใดนั้น!
แฟรี่ที่มีแขนและขาเล็กๆก็ได้เข้าต่อสู้กัน!
วิลเลียมปากกระตุก ก่อนจะใช้นิ้วทั้งสี่ในการดึงเพื่อนตัวน้อยที่กำลังโกรธเกรี้ยวทั้งสองออกจากกัน แฟรี่ตนใหม่ที่เขานำกลับมานั้นถูกพบบริเวณรอบๆทะเลสาบสายรุ้งและเธอก็เป็นโพชั่นแฟรี่
บนศีรษะเล็กๆของเธอมีสตรอเบอร์รี่สีแดงอยู่
ถูกแล้ว
นี่คือแฟรี่สตรอเบอร์รี่ ซึ่งแตกต่างจากสตรอเบอร์รี่ทั่วไป สตรอเบอร์รี่สุดพิเศษนี้เกิดมาจากแฟรี่ที่มีส่วนประกอบของเวทมนตร์และเป็นสมุนไพรเวทย์
“ทำไมทั้งคู่ถึงสู้กันล่ะ?” วิลเลียมมองพวกเขาอย่างเคร่งขรึม
ทีโมแค่นเสียง ก่อนจะหันหน้าหนีอย่างวางท่า จ้องมองวิลเลียมเป็นครั้งคราว ราวกับเธอกำลังถามว่าเขาจะมีแฟรี่ตนอื่นได้อย่างไร
แฟรี่สตรอเบอร์รี่ได้รับการตั้งชื่อโดยวิลเลียม เธอถูกเรียกว่าลูลู่
ลูลู่บุ้ยปาก เธอไม่คิดว่าจะมีแฟรี่ตนอื่นในครอบครัวของเขา
แต่วิลเลียมก็รู้ว่าเหล่าแฟรี่ไม่ได้อาฆาตพยาบาทมากนัก ตราบใดที่พวกเขาคุ้นเคยกัน ทั้งสองก็จะสามารถเล่นด้วยกันได้อย่างมีความสุข
เวลาผ่านไป วิลเลียมได้เข้ามาในโลกของเกมนี้กว่าห้าเดือนแล้ว เวลาที่เหลือสำหรับเขาก็ลดลงเรื่อยๆ
ทะเลสาบสายรุ้งเป็นสถานที่ยอดนิยมที่ดึงดูดเหล่าอสูรเวทย์และอสูรป่า
เขาเป็นเหมือนกับคนเลี้ยงสัตว์ที่ขยันขันแข็งที่กำลังเก็บเกี่ยวขนแกะอย่างสนุกสนาน
หลังจากที่เขากำจัดอสูรเวทย์กลุ่มล่าสุดก็ผ่านมากว่าสองอาทิตย์แล้ว และเขาก็ไม่ได้พบเห็นอสูรเวทย์ตนใหม่อีก
มันค่อนข้างเศร้านิดหน่อย เพราะว่าเนื้ออสูรเวทย์เหล่านั้นได้มอบให้กับกองทัพไปหมดแล้ว…
วิลเลียมนั่งบนเก้าอี้โยกพร้อมกับเนื้อชิ้นหนึ่งในมือ เขาโยนเนื้อไปให้ลูกหมีทั้งสามเป็นครั้งคราวเหมือนเล่นกับสุนัข ลูกหมีทั้งสามที่เมื่อยืนตัวตรงแล้วจะสูงกว่าหนึ่งเมตรกำลังกระโดดและต่อสู้เพื่อแย่งอาหารกัน เขาถามออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ “ยังไม่มีอสูรเวทย์ปรากฏที่ทะเลสาบสายรุ้งใช่ไหม?”
น็อกซ์พยักหน้า “ไม่มีแล้วครับ อสูรเวทย์ที่มีสติปัญญาต่างกลัวที่จะเข้ามาใกล้ทะเลสาบสายรุ้งอีกครั้ง”
“ดีแล้ว ส่งมนุษย์หน้าใหม่ 100 คนไปยังทะเลสาบสายรุ้ง และส่งคนไปสร้างท่าเรือและทางขึ้นภูเขาด้วย” วิลเลียมยืนขึ้น ก่อนจะไปยังระเบียงที่ถูกปกคลุมไปด้วยเถาองุ่น
เขามองไปยังเมืองที่ถูกขยายนับสิบครั้งและตอนนี้อาจได้รับการพิจารณาเป็นเมืองเล็กๆ ก่อนจะอุทานออกมาว่า “การก่อสร้างเมืองกำลังจะสิ้นสุดลง และจะมีคนอีกมากที่ไม่มีงานทำ”
“การทำฟาร์มและการตกปลานั้นเป็นเรื่องของธุรกิจ เมื่อถึงเวลา ก็แค่ประกาศเรื่องนี้ออกไป เพียงเท่านั้นก็จะมีพลเมืองไปตกปลา!”
“ท่านลอร์ดทรงเฉลียวฉลาด” น็อกซ์หัวเราะ
วิลเลียมสะบัดมือครั้งหนึ่ง ก่อนที่น็อกซ์จะออกไปถ่ายทอดคำสั่ง
“โฮก…” หมีใหญ่คำรามอย่างกระทันหัน มันสาวเท้าตรงมาด้านหน้า
“หยุดนะ!” วิลเลียมรีบหยุดยั้งมันเอาไว้
หมีใหญ่หยุดลงตรงเท้าของวิลเลียม มันเงยหน้าขึ้น ดวงตาดูงุนงงเหมือนกำลังจะกล่าวว่า “ทำไมท่านไม่อุ้มแล้วเล่นกับข้าล่ะ?”
ปากวิลเลียมกระตุก ในช่วงสี่เดือนก่อน หมีใหญ่ หมีสอง และหมีสามโตจนจะสูงเกือบหนึ่งเมตรและหนักประมาณ 50 กิโลกรัมเนื่องจากการให้อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง แล้วเขาจะอุ้มมันได้อย่างไรในเมื่อตอนนี้มันตัวใหญ่มาก?
แม้ว่าหมีที่โหดเหี้ยมเหล่านี้จะเป็นอสูรเวทย์และต้องใช้เวลาในการเติบโตถึงแปดเก้าปีเหมือนกับมนุษย์และเอลฟ์ แต่พวกเขาก็สามารถพัฒนาตนเองได้ล่วงหน้าตราบใดที่ได้ทานอาหารที่มีเวทมนตร์ทุกวัน
“เจ้าเบื่อหรอ? มานี่สิ ตามเราไปปูถนนกัน” วิลเลียมออกไปข้างนอกพร้อมกับลูกหมีทั้งสาม หมีจอมโหดเป็นอสูรเวทย์ธาตุดินและกำเนิดขึ้นด้วยเวทมนตร์ธาตุดิน พวกมันอยู่ในเลเวล 15, 14, และ 13 ตามลำดับ และทั้งสามยังเป็นอสูรเวทย์ที่เข้าสู่ระดับเริ่มต้น
พลังของพวกมันอยู่ในระดับปานกลาง แต่ก็ไม่มีปัญหาถ้าจะกลั่นแกล้งมนุษย์ในเลเวลเดียวกัน
และเวทมนตร์ธาตุดินนั้นดีต่อการทำให้ถนนมั่นคงแข็งแรง
เพื่อนตัวน้อยทั้งสามเดินตามวิลเลียมไปตามถนนที่มีคนพลุกพล่านและออกไปยังนอกเมือง
ตามคำแนะนำของท่านลอร์ดวิลเลียม หมีทั้งสามได้ทำงานอย่างหนักเพื่อร่ายเวทย์ในการสร้างถนนที่เพิ่งโค่นต้นไม้ออกไป!
ลูกหมีสามตัวตบลงบนผืนดินด้วยอุ้งมือพร้อมกัน ก่อนพื้นที่ตรงหน้าจะถูกปกคลุมไปด้วยเวทย์ธาตุดิน หลังจากนั้นไม่นานดินโคลนก็แข็งตัวและเรียบมากกว่าเดิม
ถูกต้องแล้ว
นี่คือการ ‘ปู’ ถนนแล้วจริงๆ
“ใช่ๆๆ มันต้องยื่นออกมาตรงนี้ ใช้เวทย์ตรงนี้เลย”
“เฮ้ หมีสาม ทำไมเจ้าถึงคำรามล่ะ? เราขอให้เจ้าใช้เวทย์ธาตุดิน ไม่ใช่ให้ใช้หมีน้อยคำราม เห็นมั้ย ดอกไม้กับต้นไม้ถูกเจ้าทำลายไปหมดแล้ว มันจะส่งผลต่อความสวยงามนะ”
“หมีสอง มานี่” ปากวิลเลียมกระตุก เขาวิ่งไปคว้าหูของหมีสองแล้วลากกลับมา แต่เพื่อนตัวนี้นั้นแสนซุกซนเป็นที่สุด และอยากจะเข้าไปในป่าทุกครั้งที่ออกมาข้างนอก
“ดูพี่ใหญ่ของพวกเจ้าสิว่าเขายอดเยี่ยมและประพฤติตัวดีแค่ไหน วันนี้เขาจะได้อาหารพิเศษ!”
หลังจากที่วิลเลียมพูดคำว่า ‘อาหารพิเศษ’ หมีใหญ่ก็หูผึ่งและหัวเราะคิกคักอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ใช้อุ้งเท้าขนาดใหญ่ตบลงบนพื้นเพื่อทำให้เวทมนตร์ปกคลุมไปทั่วพื้นดินและทำงานอย่างขมักเขม้น
โดยปกติแล้วเส้นทางบนภูเขาในป่ามักจะไม่ได้ใช้งานมากนัก แม้ว่าจะต้องสร้างขึ้นให้แข็งแรง แต่ปูด้วยทรายและหินก็เพียงพอแล้ว
แต่ทุกๆครั้งที่ฝนตก ล้อรถจะทิ้งรอยลึกไว้บนถนน
ลูกหมีทั้งสามนั้นกินและนอนตลอดทั้งวัน พวกมันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน วิลเลียมจึงต้องหาอะไรให้พวกมันทำ
ในตอนนี้ พวกเขาได้สร้างถนนไปสู่เหมืองมิทริลเรียบร้อยแล้ว มันกว้างประมาณเก้าเมตร แม้ว่าจะมีรถวิ่งสวนกันก็ไม่มีปัญหา
ส่วนตอนนี้พวกเขากำลังสร้างถนนไปสู่เหมืองแร่เหล็ก
สำหรับถนนในเมืองแห่งรุ่งอรุณนั้นไม่จำเป็นจะต้องใช้ลูกหมีทั้งสามในการสร้าง
สุดท้ายแล้วหินในเหมืองเหล็กก็เหมาะสำหรับการใช้เป็นแผ่นหิน นอกจากการทำเหมืองทุกวันแล้ว เหล่าออร์คที่ทำงานอย่างหนักและไม่ต้องจ่ายค่าแรงให้นั้นก็ผลิตหินก้อนใหญ่ออกมาจนนับไม่ถ้วน
ช่างฝีมือบางคนจะทำงานในจุดที่ใกล้กับเหมืองแร่และนำพวกมันกลับมาพร้อมกับรถม้า ดังนั้นถนนของเมืองแห่งรุ่งอรุณจึงต้องถูกปูด้วยแผ่นหิน
ไม่เพียงแต่จะทำให้ถนนแข็งแรงเท่านั้น ยังเพิ่มความหรูหราอลังการอีกด้วย
สามชั่วโมงต่อมา
วิลเลียมบิดขี้เกียจ ก่อนจะนำลูกหมีทั้งสามที่อ่อนล้ากลับไปยังเมือง วันนี้เขาปูถนนไปได้ 500 เมตร เขายิ้มอย่างภูมิใจที่บรรลุเป้าหมายไปได้เยอะเลยทีเดียว
เขามองไปยังกำแพงเมืองที่เสร็จสมบูรณ์ซึ่งมีความสูงถึงเจ็ดเมตรและกว้างถึงสามเมตร พื้นผิวของกำแพงดำมืดดั่งน้ำหมึก และไม่ว่าจะมองจากระยะไกลหรือระยะใกล้ ผู้คนก็จะคิดว่ากำแพงของเมืองแห่งรุ่งอรุณทำจากเหล็กกล้า…
อย่างไรก็ตาม
ข้างในกำแพงเมืองนั้นเต็มไปด้วยก้อนหินและมีเพียงด้านในและด้านนอกของกำแพงเมืองเท่านั้นที่ถูกทาด้วยน้ำมันเหล็ก มันดูน่าเกรงขามและอาจจะทำให้ศัตรูจำนวนมากที่จะเข้ามาโจมตีตกใจกลัวได้
ในความจริงแล้ว ความสามารถในการป้องกันของมันสูงกว่ากำแพงหินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ประตูจะเสร็จสมบูรณ์ตอนไหน?” วิลเลียมมองไปยังประตูทิศใต้
“ท่านลอร์ด มันจะเสร็จสมบูรณ์ภายในแปดวัน ไม่สิ ภายในห้าวันครับ” เมื่อช่างฝีมือมนุษย์เห็นว่าท่านลอร์ดมาตรวจสอบงาน เขาก็ตัดสินใจได้ทันทีที่จะทำงานให้เสร็จภายในห้าวันแม้ว่าจะต้องทำงานล่วงเวลาก็ตาม
“ดีมาก เสร็จภายในแปดวันก็พอแล้ว” วิลเลียมตบไหล่เขาเบาๆเพื่อให้กำลังใจ
วิลเลียมไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรให้มากความ
ในฐานะเจ้าเมือง, ครึ่งเอลฟ์ที่หล่อเหลา, และท่านลอร์ดแห่งอาณาเขต เขาเป็นผู้ที่ทรงเกียรติที่สุดในเมืองแห่งรุ่งอรุณแห่งนี้
เขาเป็นมาสเตอร์ของโทรลอย่างบลัดดี้ครัชเชอร์
เขาเป็นเจ้านายของเหล่าหมีจอมโหด
เขาเป็นท่านลอร์ดของเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์ห้าร้อยตน
ด้วยเกียรติยศที่ติดตัวมามากมาย เหล่าพลเรือนทั้งหลายจะไม่ยกย่องเขาได้อย่างไร?
เสมือนว่าเขามีรัศมีรอบๆกาย ในทุกๆที่ที่เขาไปชาวเมืองมักอดไม่ได้ที่จะชื่นชมสรรเสริญกิริยาท่าทางที่งดงามของเขา
เขาทำให้ผู้คนตื่นเต้นเกินกว่าจะนอนหลับเพียงแค่พูดคุยกับพวกเขา
ในโลกใบนี้เต็มไปด้วยระบบชนชั้น แม้ว่าประชาชนทั้งหลายจะมายังค่ายฝ่ายกลาง แต่พวกเขาก็ยังไม่เปลี่ยนนิสัยท่าทางเมื่อเจอกับชนชั้นสูง วิลเลียมจะไม่บอกกล่าวกับพวกเขาว่าความเท่าเทียมคืออะไร
เขาจะแผ่ขยายเกียรติยศของเขาให้ครอบคลุมไปทั้งเมืองแห่งรุ่งอรุณ และแม้กระทั่งดินแดนที่กว้างขวางขึ้น
แม้ว่าเมืองนี้จะถูกสร้างขึ้นโดยพลเมืองทุกคน แต่เมื่อเมืองทั้งเมืองเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว ผู้คนจะสรรเสริญว่าเป็นเกียรติยศของท่านลอร์ด และลืมกระทั่งว่าพวกเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งของความพยายาม เพราะพวกเขาจะคิดว่าสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ท่านลอร์ดมอบให้
พวกเขาจะมีงานที่ดีเช่นนี้ได้อย่างไร หากท่านลอร์ดไม่ซื้อพวกเขามายังที่นี่?
พวกเขาจะมีบ้านเป็นของตนเองได้อย่างไร หากไม่ได้รับความเมตตาจากท่านลอร์ด?
ยิ่งไปกว่านั้น ท่านลอร์ดยังจ่ายค่าแรงแทนการหลอกลวงพวกเขาด้วยขนมปังดำราคาถูก
และที่สำคัญที่สุด พวกเขาเกือบทั้งหมดนั้นเป็นทาสที่ถูกเปลี่ยนสถานะไปเป็นพลเรือน นี่คือสิ่งที่ท่านลอร์ดมอบให้ และเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขายอมทำงานล่วงเวลา
วิลเลียมสามารถเอาชนะใจของผู้คนจำนวนมากด้วยเงินทอง, คำพูด, และของกำนัล
สำหรับพลเมืองที่ทุกข์ทรมานจากความยากลำบากเหล่านี้ วิลเลียมจำเป็นต้องบริจาคให้บ้าง ซึ่งหลายคนจะจดจำความเอื้ออาทรนี้ไปตลอดชีวิตและพวกเขาจะสวดภาวนาให้เขาในใจ
“ระบบลอร์ดนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ…”
บทที่ 55 : ภารกิจการเปลี่ยนอาชีพ (1)
“ติ๊ง!”
“คุณมาถึงขีดจำกัดของเลเวล 39 แล้ว”
“ภารกิจการเปลี่ยนอาชีพในเลเวล 40 ถูกกระตุ้น!”
[ภารกิจการเปลี่ยนอาชีพ]
[ความยากของภารกิจ : เลเวล B+]
[คำแนะนำภารกิจ : กำจัดสิ่งมีชีวิตระดับกลางสามตนขึ้นไปด้วยตนเองและต้องมีสายเลือดระดับแกรนด์มาสเตอร์ ยิ่งคุณฆ่าได้มากเท่าไหร่ คุณก็จะสามารถเลือกค่าสถานะการต่อสู้ได้มากเท่านั้น]
[รางวัลภารกิจ : คุณสมบัติการต่อสู้สามคุณสมบัติ (เลือกได้แค่ 1 อย่างเท่านั้น)]
[รางวัลพิเศษจากภารกิจ: ???]
“คงถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนอาชีพแล้วสินะ อย่างที่คาดเอาไว้ อาชีพการต่อสู้เป็นคู่นั้นยากกว่ามาก!” วิลเลียมแกว่งดาบที่เต็มไปด้วยเลือดไปมา ก่อนจะเสียบดาบแห่งรุ่งอรุณเข้าฝัก
เบื้องหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง
บนพื้นเกลื่อนไปด้วยซากศพของมนุษย์หมาป่า, ชิ้นส่วนอาวุธ, เกราะที่แตกหัก, และทหารที่กำลังเก็บทรัพย์สินต่างๆ
เขาเพิ่งทำภารกิจลูกโซ่อันสุดท้ายเสร็จไป เพื่อกำจัดการคุกคามของอาณาเขต
ค่าประสบการณ์ที่เขาได้รับทำให้เขาไปถึงเลเวล 39 ได้ในทันที
“แต่รางวัลภารกิจลูกโซ่นั้นน่าสนใจมาก ดูเหมือนว่าจะมีประโยชน์อยู่บ้าง” วิลเลียมถือม้วนกระดาษไว้ในมือ
คำสาปของแม่มด (ครั้งเดียว)
คุณภาพ : ระดับทอง
เลเวล : ระดับกลาง
ประเภท : อุปกรณ์ประกอบฉาก
คำอธิบาย : ฉีกไอเทมนี้และสาปแช่งใส่ศัตรู แม่มดที่ดูน่ากลัวจะปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของศัตรูและเลียใบหน้าของเขาด้วยลิ้นที่เต็มไปด้วยหนอน สามารถทำให้เกิดบัฟเชิงลบ อย่างเช่น ความกลัว, สั่นสะท้าน, การกรีดร้องแก่ศัตรู
ในเวลาเดียวกัน มันจะลดค่าสถานะทั้งหมดของศัตรูลงถึง 20%-30%, ลดค่าพลังชีวิต 20%-30%, พลังเวทย์, และพลังการต่อสู้ 20%-30%
ข้อจำกัด : ไม่มีผลกับผู้เชี่ยวชาญที่มีสติปัญญามากกว่า 250
ระยะเวลา : ครึ่งชั่วโมง
ระยะเวลาร่ายเวทย์ : 1 วินาที
“เลียหน้าเลยหรอ บรื๊ออ” เมื่อวิลเลียมจินตนาการ เขาก็ถึงกับสูดลมหายใจไปเฮือกใหญ่ “จะเกิดอะไรขึ้นหากมีคนที่ชอบแม่มดที่ดูน่ากลัวแบบนั้น หรืออาจจะชอบของแปลก? แล้วผลกระทบมันจะไม่อ่อนแอไปเลยหรือไง?”
“มันจะไม่ส่งผลต่อคนที่มีค่าสติปัญญามากกว่า 250 หน่วย ซึ่งหมายความว่ายิ่งมีจิตใจที่ซ่อนไว้เข้มแข็งมากเท่าไหร่ คำสาปก็จะมีผลน้อยลงเท่านั้น”
“ดูเหมือนว่าคำสาปแช่งนี้จะไม่ส่งผลต่อผู้วิเศษระดับกลางมากเท่าไหร่ หากรวมอุปกรณ์ระดับกลางและการทำสมาธิเข้าด้วยกันแล้ว ค่าสติปัญญาจะต้องมากกว่า 250 หน่วยเป็นแน่”
“แต่น่าเสียดายที่ไอเทมชนิดนี้ใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น” วิลเลียมไม่รู้ว่าจะต้องใช้กับใครเมื่อเวลามาถึง
แต่ตราบใดที่เป็นบุคคลธรรมดา เขามั่นใจว่าจะทำให้คนๆนั้นรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจและสดชื่นหลังจากถูกสาปได้แน่
“สังหารผู้เชี่ยวชาญระดับกลางมากกว่าสามตนและพวกเขาต้องมีสายเลือดระดับแกรนด์มาสเตอร์ นั่นหมายความว่าต้องเป็นหัวหน้าเผ่าเล็กๆหรือผู้เชี่ยวชาญบางคน” วิลเลียมใช้ความคิดไปชั่วขณะก่อนจะเกาศีรษะ เผ่าเล็กๆพวกนั้นที่เป็นภัยคุกคามต่ออาณาเขตก็ถูกเขากำจัดไปหมดแล้วซะด้วย
เขาเพิ่งจะทำภารกิจลูกโซ่เสร็จไป
เขาจะไปหาผู้เชี่ยวชาญระดับกลางที่มีสายเลือดระดับแกรนด์มาสเตอร์ได้ที่ไหนบ้าง?
“นอกเสียจากว่า…” วิลเลียมคิดถึงบางสิ่ง
นักรบมนุษย์เข้ามาหาเขาและกล่าวด้วยความเคารพว่า “ท่านลอร์ดครับ บริเวณใกล้ๆกันนี้ดูเหมือนว่าจะมีเหมืองทองแดงอยู่ เพราะว่าหมุษย์หมาป่าพวกนี้มีแร่ทองแดงอยู่เป็นจำนวนมาก”
“โอ้ อยู่ๆก็ได้ลาภลอยหรอเนี่ย?” วิลเลียมไม่ได้มองหาเหมืองแร่ในช่วงเวลานี้ สาเหตุที่เขาตั้งใจจะสร้างเมืองแห่งรุ่งอรุณแห่งนี้เป็นเพราะภูเขาตอนใต้ของเมืองนั้นเต็มไปด้วยของหายากมากมายและมีแม้กระทั่งเหมืองแร่ล้ำค่า!
เหมืองทองแดงที่ถูกค้นพบนั้นไม่ได้มีมากนัก แต่การมีมันก็หมายความว่าเขาจะมีฐานในการทำเหรียญทองแดง
เหมืองทองแดงไม่เพียงทำให้สามารถผลิตเหรียญทองแดงได้เท่านั้น มันยังเป็นโครงสร้างส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมการเดินเรืออีกด้วย ไม่ใช่แค่เป็นสารต้านออกซิเดชัน แต่ยังป้องกันการถูกกัดกร่อนจากน้ำทะเล
เกลือจากน้ำทะเลสามารถกัดกร่อนวัสดุได้หลายอย่าง
อุตสาหกรรมการเดินเรือใน Gods ไม่ได้พัฒนามากนัก
นอกจากเรือเวทมนตร์ที่ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษแล้ว อายุการใช้งานของเรือธรรมดาก็สั้นมากนัก
นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ขัดขวางการสื่อสารทางทะเลของหลายๆทวีป
กล่าวคือ ทองแดงเป็นวัสดุที่จำเป็นสำหรับโครงสร้างที่สวยงามหลายอย่าง
ตัวอย่างเช่น การเปิดประตูเมืองจำเป็นต้องใช้ชุดกระบวนการที่ซับซ้อนหลายอย่าง ซึ่งรวมถึงทองแดงด้วย
ชิ้นส่วนอื่นๆสามารถนำสิ่งอื่นมากทดแทนได้ แต่ทองแดงนั้นมีความยืดหยุ่นมากกว่า โดยเฉพาะหลังจากเสริมสร้างเสน่ห์เข้าไป มันมักจะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าวัสดุอื่นๆและสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่า ดังนั้น มูลค่าของทองแดงจึงไม่น้อยเลย
“ตามหาเหมืองทองแดง แล้วส่งออร์คบางส่วนไปขุดมัน”
“ครับท่านลอร์ด” นักรบมนุษย์วิ่งออไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เขาถ่ายทอดคำสั่งออกไป คนที่เหลือก็กระจายกันไปตามหาเหมืองทองแดง
เดี๋ยวนี้เขาไม่จำเป็นต้องไปตามหาเหมืองทองแดงด้วยตนเองอีกต่อไป เขาเพียงต้องทำแค่ขยับริมฝีปาก เท่านั้นคนของเขาก็พร้อมจะทำตามแล้ว…
จำนวนทาสออร์คในตอนนี้มากกว่า 3,000 ตนแล้ว เหมืองมิทริลและเหมืองเหล็กไม่จำเป็นต้องใช้พวกเขามากขนาดนี้
แม้กระทั่งออร์คเหล่านั้นที่เป็นทาสก็ไปที่เหมืองเพียงสองกะเท่านั้น
เขาต้องกล่าวว่า ตั้งแต่ที่จำนวนของออร์คเพิ่มขึ้น เวลาในการทำงานของพวกเขาก็ลดลง ทาสออร์คกลุ่มนี้ค่อนข้างน่าพึงพอใจเลยทีเดียว…
ตอนนี้วิลเลียมห้ามไม่ให้ใครโจมตีเผ่าออร์คอย่างเคร่งครัด!
หากหน่วยลาดตระเวนค้นพบเผ่าออร์คเผ่าเล็กๆ แม้ว่าจำนวนจะน้อยและสามารถกำจัดได้อย่างง่ายดาย พวกเขาก็ห้ามทำอะไรเด็ดขาด
ตราบใดที่ร่องรอยของเผ่าออร์คถูกพบเข้า วิลเลียมก็จะนำคนไปล้อมพวกมันเอาไว้อย่างหนาแน่น หลังจากที่สังหารตัวผู้นำแล้ว เมื่อเหล่าออร์คที่เหลือเห็นว่ามีศัตรูอยู่มากมาย พวกมันก็จะคุกเข่าลงและยอมแพ้
เมืองแห่งรุ่งอรุณ ณ ตอนนี้
มีจำนวนพลเรือนมากกว่า 33,000 คน
มีจำนวนทหารทั้งหมด 3,000 คน
ในหมู่พวกเขา มีองครักษ์เอลฟ์ 500 ตนที่ไม่เคยถูกสังหาร
กองทัพคนแคระ 300 ตน
ครึ่งเอลฟ์ 300 ตน
ส่วนคนที่เหลือเป็นผู้เชี่ยวชาญมนุษย์ 1,900 คน
ตามขนาดของกองทัพบกในทวีปรีเจนดารีแล้ว การที่จะสามารถจัดตั้งกองทัพได้ต้องมีทหารอย่างน้อย 3,000 คน
นี่เป็นเพียงจำนวนของกองทัพขนาดใหญ่เท่านั้น
คล้ายกับดินแดนในอาณาจักรเหล็กที่มีกองทัพอย่างน้อย 26 กอง และดินแดนในอาณาจักรหินดำที่มีกองทัพอย่างน้อย 20 กอง!
แต่หากดูกันที่คุณภาพแล้ว…
ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3,000 คนนั้นมีสายเลือดระดับกลาง ไม่เพียงแต่ทำให้ NPC ธรรมดาตื่นกลัว แต่กระทั่งผู้เล่นยังอาจจะตกใจได้
“ท่านลอร์ด ท่านลอร์ดครับ!” วิลเลียมเลิกคิ้ว มองไปยังน็อกซ์ที่กำลังวิ่งมา เขาถาม “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“ติดต่อ เราได้ติดต่อกับ…”
“เจ้าติดต่อกับใคร?”
“วิหารแห่งแสง โอ้ใช่แล้ว ผู้ส่งสารจากราชวังแห่งความมืดก็มาด้วย พวกเขาเกือบจะสู้กันในเมือง แต่ตอนที่กำลังจะสู้กัน โชคดีที่ผู้ดูแลลอทเนอร์ได้มาหยุดพวกเขาเอาไว้” น็อกซ์กล่าวโดยไม่หยุดหายใจ
วิลเลียมเลียปากเบาๆ เขาได้ขอให้เคอรี่ติดต่อพวกเขาให้ แต่เขาไม่ได้คาดว่าผู้ส่งสารจากวิหารแห่งแสงและราชวังแห่งความมืดจะมาในเวลาเดียวกัน มันน่าอึดอัดชะมัด
คนหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายสว่าง
คนหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายมืด… ไม่ ไม่ใช่อย่างแน่นอน ราชวังแห่งความมืดศรัทธาในความมืดเท่านั้น แต่ไม่ได้อยู่ในฝ่ายมืดเต็มตัว
แต่พวกเขานั้นต่อสู้กันมาตลอดเวลาหลายปี หากมีการนับค่าความเกลียดชัง มันก็คงจะสูงทะลุเส้นขอบฟ้า
“เราจะกลับไปเดี๋ยวนี้ ให้พวกเขาสงบลงซะ…”
“ท่านลอร์ดครับ ท่านลอร์ด!” นอร์ตันวิ่งมาด้วยความเร่งรีบ
วิลเลียมยกมือห้ามไม่ให้เขาพูด ก่อนจะถามอย่างใจเย็น “พวกเขาเริ่มสู้กันแล้วหรือ? พวกเขาสร้างความเสียหายต่อเมืองหรือไม่?”
“มะ ไม่ครับ” นอร์ตันส่ายศีรษะ เพราะมีลอทเนอร์อยู่ด้วย ผู้ส่งสารทั้งสองจึงไม่สามารถอวดดีได้เกินไปนัก
“โอ้ แล้วเจ้ามาที่นี่ทำไมกันล่ะ?”
“ผู้ส่งสารจากกิลด์ทหารรับจ้างก็มาเช่นกันครับ”
“น็อกซ์และเราจะกลับไป ส่วนนอร์ตัน เจ้ารออยู่ที่นี่และดูว่าเหมืองทองแดงมีขนาดใหญ่เพียงใด” วิลเลียมจับคางและเริ่มสงสัยว่าผู้ส่งสารทั้งสามพูดคุยเรื่องต่างๆและมาที่นี่ในเวลาเดียวกัน
เมื่อวิลเลียมและน็อกซ์เข้ามายังโถงประชุมก็พบเข้ากับสถาณการณ์ที่กำลังจะเกิดการต่อสู้ขึ้นแบบที่ว่าไม่สนสิ่งอื่นใดๆ รอบข้าง…
ไม่ใช่สิ
มันควรจะเป็นผู้ส่งสารจากฝ่ายมืดที่โจมตีผู้ส่งสารฝ่ายสว่างอย่างโหดร้าย และผู้ส่งสารจากสมาคมทหารรับจ้างพยายามแยกพวกเขาออกจากกัน…
“หยุด หยุดต่อสู้กันได้แล้ว! ถ้ายังสู้กันต่อไปพวกท่านคงได้ฆ่าใครตายเข้า!”
ผู้ส่งสารจากสมาคมทหารรับจ้างเป็นนักรบที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ เขากอดแขนผู้ส่งสารจากวิหารแห่งแสงอย่างเหนียวแน่น ไม่ว่าผู้ส่งสารจากวิหารแห่งแสงจะดิ้นรนสักเท่าใด แขนที่เปรียบดั่งแท่งเหล็กก็หยุดยั้งเขาไว้ ขัดขวางไม่ให้ขยับเขยื้อนได้แม้เพียงนิด
ที่ยิ่งไปกว่านั้น คือเขายังคงตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ให้ผู้คนหยุดต่อสู้กันอย่างไม่ตั้งใจนัก…
ในขณะเดียวกัน ผู้ส่งสารจากจากราชวังแห่งความมืดก็ได้โจมตีไปทั้งสองฝ่าย…
ด้วยการใช้กำปั้นทุบตีลงไปอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่ได้ใช้พลังการต่อสู้ใดๆทั้งสิ้น ใช้เพียงหมัดเพียวๆโดยไม่ได้คำนึงถึงสิ่งใดทั้งนั้น หลังจากนั้นไม่นาน ใบหน้าของผู้ส่งสารจากวิหารแห่งแสงก็บวมเป่ง
ไม่มีใครรู้ว่าการกระทำที่รุนแรงและทรมานนี้เกิดขึ้นมานานเท่าไหร่แล้ว
แต่เมื่อพวกเขาเห็นวิลเลียมและคนของเขาเข้ามา พวกเขาก็หยุดลง
ชายผู้มีกล้ามเนื้อจากสมาคมทหารรับจ้างปล่อยมือออกทันทีโดยไม่สนใจผู้โชคร้ายที่ตกลงบนพื้นเสียงดังตุ้บ ก่อนจะทำเป็นเดินไปยังด้านข้างเพื่อชื่นชมภาพเขียนบนฝาผนังในห้องประชุม
ส่วนผู้ส่งสารจากราชวังแห่งความมืด เขานั่งลงในมุมๆหนึ่ง หรี่ตาขึ้นมองขณะที่จิบเหล้าผลไม้ สีหน้าที่ตื่นเต้นของเขาราวกับกำลังนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่…
“ลอทเนอร์ไปไหน?” มุมปากวิลเลียมกระตุกยิกๆ
“อ้ะ เกิดอะไรขึ้น…ท่านลอร์ดเรียกหาข้าหรือ?” ลอทเนอร์เพียงไปห้องน้ำมาเท่านั้น ใครจะไปรู้กันว่าจะเกิดอะไรขึ้นมากมายขนาดนี้?
“เราควรเรียกผู้วิเศษธาตุน้ำมารักษาเขาหน่อยไหมครับ?” น็อกซ์กระซิบ
แต่แล้ว…
ผู้ส่งสารจากวิหารแห่งแสงที่หูไวก็ยกมือห้ามและส่ายศีรษะช้าๆขณะที่ค่อยๆลุกขึ้น “ไม่ต้องๆ!”
พื้นของห้องประชุมเต็มไปด้วยหยดเลือด วิลเลียมเลิกคิ้ว…
แต่ผู้ส่งสารจากวิหารแห่งแสงกลับไม่ได้เห็นสายตาของวิลเลียม เพราะเขาจ้องไปยังอีกสองคนอย่างโหดเหี้ยมแทน เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่จำเป็นต้องรักษาข้าหรอก มันเป็นเพียงบาดแผลภายนอก ข้ายังสู้ได้อีกทั้งวัน”
“ท่านได้สู้ด้วยหรือ? ไม่ใช่ว่าท่านโดนเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียวหรอกรึ?” มุมปากของทุกคนกระตุก
ลอทเนอร์กระแอมเบาๆ “เอาล่ะ เนื่องจากทุกคนพร้อมแล้ว ข้าจะขอแนะนำพวกท่านทุกคนอย่างเป็นทางการ” เขาหันเยื้องเล็กน้อยเพื่อแนะนำ “นี่คือลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณ วิลเลียม แบล็คลีฟ”
“ยินดีที่ได้พบ ท่านลอร์ด!”
“ยินดีที่ได้พบ ท่านลอร์ด!”
“ยินดีที่ได้พบ ท่านลอร์ด!”
ไม่ว่าพวกเขาจะมีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งแค่ไหน ผู้ส่งสารทั้งสามก็ยังต้องคำนับเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้นำเพียงนำเพียงคนเดียวของอาณาเขต
วิลเลียมคือผู้ปกครองเมืองแห่งนี้!
นอกเสียจากว่าพวกเขาจะมีความสามารถที่จะกวาดล้างเมืองทั้งเมืองได้ ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะหยิ่งยโสได้มากเกินไปนัก
เบื้องหลังของพวกเขานั้นแข็งแกร่งก็จริง แต่พวกเขาก็ไม่ยิ่งใหญ่พอที่จะเอาชนะกษัตริย์หรือจักรพรรดิสักองค์ได้
นี่คือสิ่งที่ผู้ส่งสารทุกคนต้องจดจำไว้ให้ขึ้นใจ!
นอกจากนี้พวกเขายังตระหนักว่าความสามารถของพวกเขานั้นใกล้เคียงกับลอทเนอร์ ดังนั้น พวกเขาจะกล้าข้ามเส้นได้อย่างไร?
นอกจากนั้น นามสกุลของวิลเลียมเองก็ทำให้พวกเขาตกตะลึง ทำให้พวกเขาเลือกที่จะปฏิบัติต่อวิลเลียมด้วยใจจริง
“ยินดีต้อนรับผู้ส่งสารทั้งสาม โปรดนั่งลงเถิด” โถงประชุมของเมืองแห่งรุ่งอรุณเพิ่งถูกสร้างขึ้นใหม่ นอกจากนั้นยังมีขนาดที่ใหญ่และกว้างขวาง
เขานั่งลงบนแท่น ยกยิ้มให้กับทั้งสามคน “เมืองแห่งรุ่งอรุณเป็นเมืองของค่ายกลาง และจะไม่เอียงเอนไปทางฝ่ายสว่างหรือฝ่ายมืด”
“ดินแดนของเราจะคงความเป็นกลางเอาไว้ เราจะเลือกเข้าร่วมสงครามหากมีคนบุกรุกหรือคุกคามอาณาเขตของเราเท่านั้น เราหวังว่าทุกคนจะเข้าใจ”
“แน่นอน ข้ามีนามว่าอาคาม่า เป็นผู้ส่งสารจากราชวังแห่งความมืดทางตะวันออกเฉียงใต้ นี่เป็นครั้งแรกของข้าที่มายังเมืองแห่งรุ่งอรุณแห่งนี้ แต่ข้าประหลาดใจเป็นอย่างมากที่พบว่าเมืองนี้มีผู้คนหลากหลายเผ่าพันธุ์มากนัก ข้านับถือชีวิตเช่นนี้ ขอถามท่านได้หรือไม่ว่าท่านลอร์ดมีความคิดเห็นต่อราชวังแห่งความมืดอย่างไร?” นักรบแห่งความมืดระดับกลางถามขึ้น
วิลเลียมอมยิ้มเล็กน้อยอย่างเงียบๆ
“ท่านลอร์ดมีแผนว่าจะสร้างวิหารของทั้งสามแห่งในเวลาเดียวกันหรือ? ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็คิดว่าสมาคมทหารรับจ้างจะช่วยเหลืออาณาเขตของท่านอย่างแน่นอน”
“วิหารแห่งแสงเองก็เช่นเดียวกัน ท่านลอร์ดควรทราบว่าในหมู่สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญามากมาย มีผู้คนอีกมากที่ชอบแสงสว่างท่ามกลางความมืด” ผู้ส่งสารของวิหารแห่งแสงผู้ที่กล่าวว่าเขาสามารถต่อสู้ได้ทั้งวันก็กล่าวขึ้นเช่นกัน
เมื่อทั้งสามได้รับคำเชิญในครั้งแรก พวกเขาไม่ได้มีความประทับใจที่ดีมากนักต่อเมืองแห่งรุ่งอรุณเพราะที่แห่งนี้เคยเป็นเมืองชายแดนมาก่อน
แต่หลังจากที่ตรวจสอบแล้ว พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าเมืองที่พัฒนาอย่างรวดเร็วนี้มีศักยภาพที่ยอดเยี่ยม มันน่าจะสามารถนำความศรัทธาและผลประโยชน์มาให้พวกเขาได้
วิหารแห่งแสงและราชวังแห่งความมืดต่างก็ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว
นั่นคือเทพแห่งแสงสว่างและเทพแห่งความมืด
การดำรงอยู่ของพวกเขาคือการช่วยให้พระเจ้ารวบรวมความศรัทธาจากเผ่าพันธุ์ที่ชาญฉลาด
สมาคมทหารรับจ้างนั้นเรียบง่ายกว่ามาก เป้าหมายของพวกเขาคือการรับสมัครทหารรับจ้าง เมื่อมีคนติดประกาศภารกิจในสมาคมทหารรับจ้าง พวกเขาก็จะสามารถได้รับค่าธรรมเนียมอย่างแน่นอน ในขณะที่กลุ่มทหารรับจ้างหรือทหารรับจ้างบรรลุภารกิจ พวกเขาก็จะได้ส่วนแบ่งของรางวัลด้วยเช่นกัน
สมาคมทหารรับจ้างเป็นเหมือนสมาคมคนกลาง แต่เนื่องจากพวกเขาได้รับตำแหน่งในทวีปรีเจนดารี พวกเขาจึงแข็งแกร่งอย่างแน่นอน เพราะนักรบที่แท้จริงมักศรัทธาในเทพเจ้าสงคราม
อย่างไรก็ตาม ทหารรับจ้างไม่ได้ภักดีต่อสมาคมทหารรับจ้างนัก เพราะพวกเขามักจะจัดตั้งกลุ่มทหารรับจ้างของพวกเขาเอง
หากต้องเปรียบเทียบกันจริงๆแล้ว ในสามวิหารนี้วิหารใดจะแข็งแกร่งมากกว่า?
“เพราะที่แห่งนี้ทั้งห่างไกลและอยู่ในชนบท เราจะใช้สิ่งใดแยกแยะว่าใครอ่อนแอใครแข็งแกร่งกัน?”
“ตอนนี้ไม่มีร่องรอยการปรากฏของเหล่าทวยเทพและความศรัทธานั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ชื่อเรียกของเหล่าทวยเทพก็ถูกสร้างขึ้นมามากมายเช่นกัน”
“เหล่าผู้ศรัทธาเพียงต้องการจิตใจที่สงบเพียงเท่านั้น ผู้ส่งสารแห่งแสงและผู้ส่งสารแห่งความมืดดูเหมือนจะเป็นอาชีพที่ทรงพลังและแข็งแกร่ง แต่พวกเขาอาจจะไม่ภักดีต่อพระเจ้าที่พวกเขาศรัทธากันทุกคน!”
วิลเลียมกล่าวอย่างช้าๆ “อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะสถานการณ์เช่นนี้ถึงทำให้เราอนุญาตให้พวกท่านเข้ามายังเมืองแห่งรุ่งอรุณได้ ถ้าไม่อย่างนั้น ท่านทั้งหลายจะได้ผลประโยชน์ไปหรือ?”
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาอธิบายไปอย่างชัดเจนว่า “เราจะสร้างสถานที่ทั้งสาม ไม่ว่าจะเป็นวิหารแห่งแสง, ราชวังแห่งความมืด หรือสมาคมทหารรับจ้าง การที่พวกท่านจะรับผู้ศรัทธาหรือทหารรับจ้างหรือไม่นั้น เราไม่ได้สนใจ”
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ท่านต้องจดจำไว้ว่า ข้าต้องได้รับผลประโยชน์ทั้งหมดที่สมควรได้รับ”
“หากพวกท่านเลือกที่จะตระหนี่แม้แต่เหรียญเดียวล่ะก็ เราก็จะทำเช่นเดียวกัน!”
“ท่านลอร์ดโปรดมั่นใจ ข้าเข้าใจอย่างถี่ถ้วนแล้ว” ผู้ส่งสารของวิหารแห่งแสงยิ้ม ในขณะที่ผู้ส่งสารอีกสองคนพยักหน้า
คุณต้องรู้เอาไว้ว่าทวีปรีเจนดารีนั้นกว้างใหญ่ไพศาลมาก ดังนั้นการสื่อสารจึงไม่สะดวกเท่าไหร่ ยิ่งเป็นการสนับสนุนยิ่งยากขึ้นไปใหญ่นัก
ยกตัวอย่างเช่น นอกเหนือจากผู้ศรัทธาหลักๆที่จะแสดงความภักดีต่อวิหารแห่งแสงไปชั่วชีวิตแล้ว คนอื่นๆอาจจะสร้างวิหารแห่งใหม่ในจักรวรรดิ, อาณาจักร และชนชาติต่างๆ บางความเชื่อและอาชีพอื่นๆนั้นไม่ได้ต้องการความศรัทธาอย่างบ้าคลั่ง ดังนั้นพวกเขาจึงมีชีวิตที่อิสระ
หลังจากที่พวกเขาเลือกที่จะเป็นบาทหลวงหรืออัศวินนักบุญและได้รับการฝึกอบรมแล้ว พวกเขาสามารถเลือกที่จะอยู่ในวิหารหรือออกไปเพลิดเพลินกับชีวิตและเข้าร่วมสงครามได้
ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ละเมิดกฏของวิหารมากเกินไปนัก และไม่ได้ถูกรายงานเป็นพิเศษ ชื่อของพวกเขาก็จะไม่ถูกลบออกจากวิหาร
แม้แต่ราชวังแห่งความมืดก็เป็นเช่นเดียวกัน
“ไม่มีทางเลือกให้เดินอีกแล้วนี่ ทั้งหมดก็เป็นแค่การแสดงเท่านั้น…” ทั้งผู้ส่งสารของวิหารแห่งแสงและผู้ส่งสารของราชวังแห่งความมืดก็อดไม่ได้ที่จะใจสลาย พวกเขาไม่ได้ศรัทธาในพระเจ้าของพวกเขาจริงๆ พวกเขาต้องการเพียงที่จะแข็งแกร่งขึ้นและร่ำรวยเงินทองเท่านั้น
ผู้ส่งสารของวิหารแห่งแสงและผู้ส่งสารของราชวังแห่งความมืดนั้นรู้จักกัน พวกเขามักจะพบปะและแม้แต่ดื่มด้วยกันบ่อยๆ
พวกเขาเพิ่งจะต่อสู้กันก่อนหน้านั้นเพื่อแสดงต่อหน้าวิลเลียมเฉยๆ ให้ลอร์ดหนุ่มคนนี้คิดว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้ที่จะสามารถจัดการได้โดยง่าย เพราะผู้ที่แข็งแกร่งกว่ามักจะแสดงให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นว่าเขาสามารถจัดการกับสิ่งต่างๆได้
อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งสารของวิหารแห่งแสงไม่คาดคิดมาก่อนว่าเพื่อนเก่าคนนี้จะมีเพื่อนใหม่ และต่อยตีเขาอย่างรุนแรง
“จิตใจข้า…เจ็บช้ำยิ่งนัก” การแสดงออกของผู้ส่งสารของวิหารแห่งแสงเต็มไปด้วยความผิดหวังและความไม่เต็มใจ
วิลเลียมยิ้มอย่างเมตตา “หากไม่มีอะไรขัดข้อง เราสามารถเริ่มงานได้เลยในวันพรุ่งนี้”
ขณะที่ผู้ส่งสารทั้งสามกำลังยิ้ม วิลเลียมก็กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “เราลืมกล่าวบางอย่าง บอกคนของท่านว่าให้เตรียมเงินมาให้พร้อม ท่านสามารถใช้คนของข้าได้ ค่าแรงคือ 5 เหรียญทองแดงต่อวัน แต่ความเร็วในการสร้างของพวกเขานั้นเร็วมากๆ”
“…” ทั้งสามพูดไม่ออก
วิลเลียมเลิกคิ้ว “เราจำได้ว่าพวกท่านไม่ได้ใช้เงินของท่านเองเพื่อสร้างวิหารของตนเพราะสามารถเบิกจากวิหารหลักได้ พวกท่านต้องการรังแกเรา นึกว่าเราขาดความรู้เพราะเพิ่งออกมาจากเมืองดาร์กไนท์รึ?”
ผู้ส่งสารทั้งสามมองกันและกันไปมาก่อนจะส่ายศีรษะอย่างรวดเร็วและปฏิเสธข้อกล่าวหา
อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องการได้รับเงินทั้งหมดและใช้จ่ายมัน พวกเขาเป็นผู้ส่งสารของพื้นที่ ไม่ใช่ผู้ส่งสารประจำเมือง ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ต้องเจอหน้าวิลเลียมทุกวันในอนาคต
สำหรับเมืองหลายๆเมือง ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน ต่างก็มีผลประโยชน์กันทั้งนั้น
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมลอร์ดหรือขุนนางหลายท่ายจึงใช้เงินของตนสร้างวิหารขึ้น
พวกเขาไม่คิดว่าวิลเลียมจะขี้เหนียวขนาดนี้
“แต่ท่านก็เด็กเกินไป” ทั้งสามคิดในสิ่งเดียวกัน เอลฟ์ที่มาจากเมืองดาร์กไนท์และมีนามสกุลแบล็คลีฟ หรือว่าเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์?
วิลเลียมออกไปแล้ว
สิ่งที่เหลืออยู่ทั้งหมดถูกโยนให้ลอทเนอร์เป็นคนจัดการ
ในฐานะลอร์ดผู้ล้ำค่า เขาไม่สามารถปล่อยให้เวลาอันแสนล้ำค่าของเขาหมดไปกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ได้
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อถึงวัน…
ท่านลอร์ดของเมืองแห่งรุ่งอรุณสวมใส่เสื้อคลุมสีดำและยืนอยู่ใต้หน้าผาทอดสายตาออกไปยังทุ่งหญ้าโล่งอันไร้ที่สิ้นสุด สายลมพัดผ่านเอื่อยๆ ต้นหญ้าสูงและเหล่าดอกไม้พริ้วไหวไปตามสายลม ทำให้รู้สึกสบายใจและมีความสุข
วิลเลียมกำลังขี่ม้าสีดำมุ่งหน้าไปทางพระอาทิตย์ที่กำลังตกดินซึ่งเปลี่ยนท้องฟ้าให้เป็นสีแดง เขากระชับขาเล็กน้อยในขณะที่ควบม้าไปยังทิศเหนือ
การขี่ม้าด้วยความเร็วทำให้รู้สึกดี โดยเฉพาะเมื่อเป็นการขี่บนทุ่งหญ้าโล่งที่เขาเป็นเจ้าของเอง เขาไม่ถูกรบกวนโดยความรู้สึกน่ารำคาญอย่างการรอไฟจราจรเหมือนอย่างตอนขับรถสปอร์ต
ทั้งอาณาจักรเหล็กและอาณาจักรลาวาดำอยู่ทางตอนเหนือของทุ่งหญ้านี้ เมืองแห่งรุ่งอรุณนั้นอยู่ประมาณ 150 กิโลเมตรห่างจากชายแดนของทั้งสองอาณาจักร
ส่วนสำหรับทุ่งหญ้านั้น มีหลายสายพันธุ์อาศัยอยู่ที่นี่ เช่น ชาวโถวเหยิน, มนุษย์หมาป่า, ก็อบลิน, คนแคระ, และมนุษย์เงือกที่อาศัยอยู่ริมทะเลสาบ
อันที่จริง ไม่สำคัญว่าเมื่อไหร่ที่ทวีปทั้งหลายแยกออกจากกันหรือเมื่อไหร่ที่โลกแยกออกเป็นหลายๆ ทวีป…
ในบรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งหลายในทั้งโลกนี้ จำนวนของมนุษย์เงือกนั้นสูงที่สุด
กลุ่มคนตัวเล็กที่เหวี่ยงตรีศูนย์ไปมานั้นเลือดเย็นที่สุดแล้ว พวกเขาเป็นเผ่าที่น่าปวดหัวที่สุดเพราะพวกเขาฆ่าทุกคนที่พวกเขาเห็น ถ้าคู่ต่อสู้ของพวกเขาอยู่ในกลุ่มเล็กๆ พวกเขาจะโจมตี และถ้าอยู่ในกลุ่มใหญ่ พวกเขาจะวิ่งหนีโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น!
พวกเขายังถูกเรียกว่า ‘นักฆ่าพันธุ์ใหม่’ อีกด้วย
เมื่อเกมนี้เปิดให้ลองเล่นครั้งแรก ผู้เล่นมากมายชอบที่จะเข้าไปในป่าเพื่อการผจญภัยในตอนกลางคืน และเหล่าผู้เล่นพวกนั้นทุกคนก็ถูกฆ่าโดยมนุษย์เงือกหลายฝูง
พวกเขาจะปรากฎตัวใกล้กับทะเลสาบ, แม่น้ำ, มหาสมุทร, แหล่งน้ำทุกที่ นอกจากว่าแหล่งน้ำเหล่านั้นจะถูกครอบครองโดยสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งกว่า พวกเขาจะอยู่ในอาณาเขตของมนุษย์เงือก
ท้องฟ้ามืดลง
วิลเลียมเคลื่อนไหวไปด้วยความรวดเร็วผ่านทุ่งหญ้าบนม้าของเขา ในขณะที่เขาเคลื่อนผ่านแม่น้ำแห่งหนึ่ง เขาก็ได้ยินเสียงแหลมๆ เสียงหนึ่ง
ในเวลาต่อมา
เสียงตะโกนมากมายดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เสียงกรีดร้องเหล่านั้นแซ่ซ้องขึ้นพร้อมกันทำให้เกิดคลื่นอัลตร้าโซนิคชนิดหนึ่งขึ้น ซึ่งมีผลทำให้คนเกิดอาการเวียนหัวตาลาย ภายในเวลาสั้นๆ เสียงเหล่านั้นก็กระจายไปทั่วทุ่งหญ้าสร้างความตื่นกลัวให้ผู้คน
ม้าศึกที่วิลเลียมขี่อยู่ตื่นตกใจเล็กน้อย มันรู้สึกได้ถึงอันตรายและกำลังวิ่งเร็วขึ้นๆ เรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม
ดวงตาสีแดงคู่แล้วคู่เล่าก็ปรากฏขึ้นทั้งสองข้างของเส้นทางที่พวกเขาใช้
เขามองไปด้านหน้า
เขาไม่อาจมองเห็นปลายทาง!
ครึ่งหนึ่งของโลกใบนี้มีดวงตาสีแดง และตอนนี้มันเติมเต็มพื้นที่ทุกส่วนไปหมดแล้ว
ริมแม่น้ำในป่าตอนกลางคืนเป็นถิ่นของมนุษย์เงือก!
“โว้ว” วิลเลียมดึงเชือกและลงจากม้าอย่างมั่นใจแทนที่จะเดินต่อไปข้างหน้า
ถัดมา เขาตบก้นของม้าเบาๆ ม้าศึกหันหลังกลับและเริ่มวิ่ง วิลเลียมหัวเราะสรวลเบาๆ “วิ่งช้าๆ พวกมันไม่ได้ตามล่าเจ้า”
“ปลาน้อย เจ้าต้องการจะฆ่าเราหรอ?” วิลเลียมดึงตะขอของเขาออกมาและจ้องไปรอบๆเขาอย่างเลือดเย็น
เมื่อเงือกหลายตัวเห็นหน้าและหูของเขา พวกมันหยุดนิ่งราวกับไม่ได้คาดหวังอาหารตรงหน้าว่าจะเป็นเอลฟ์ตนหนึ่ง!
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครตอบวิลเลียม
แม้ว่ามนุษย์เงือกจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา ภาษาของพวกมันซับซ้อนและยากที่จะเรียนรู้ มีเงือกเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่ได้เรียนภาษาที่ใช้ทั่วไปบนแผ่นดิน
เสียงกรีดร้องอีกเสียงดังขึ้น
เพียงพริบตา
จำนวนของมนุษย์เงือกรอบตัววิลเลียมก็เพิ่มขึ้นราวกับน้ำท่วม ทุกตัวถือตรีศูล
เสียงตะโกน, เสียงวิ่ง, เสียงชนกัน และเสียงดังมากมายนับไม่ถ้วนเข้าสู่หัวของวิลเลียม
ทุกๆ อย่างตรงหน้าเขาดูเหมือนจะหายไป และถูกแทนที่ด้วยเงือกจำนวนล้นหลาม…
ในขณะนี้มนุษย์เงือกล้อมเขาไว้แล้ว
วิลเลียมผู้ยั่งคงยืนนิ่งจู่ๆ ก็ดีดนิ้ว
ปัง!
พลังสีฟ้าอ่อนพุ่งไปรอบทิศทางและมนุษย์เงือกกว่าร้อยหายไปในทันที
ถ้าใครได้เห็นมัน พวกเขาจะรู้ได้ทันทีว่าพวกเขาถูกทำให้ลอยตัวกลางอากาศในขณะที่วิญญาณของพวกเขาถูกผลักออกจากร่าง นอกจากวิญญาณจำนวนน้อยที่กลับเข้าร่างเดิม ที่เหลือก็กลายเป็นเถ้าถ่าน
เวทย์วิญญาณ!
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะป้องกันอีกครั้ง
มันเป็นอะไรที่น่ากลัวสุดยอด
มันไม่ใช่อะไรที่เวทมนต์ธรรมดาจะสามารถเทียบเทียมได้
โดยเฉพาะต่อมนุษย์เงือกกลุ่มนี้ มันเทียบได้กับทักษะของพระเจ้าเลยทีเดียว
“ชิ!” มนุษย์เงือกตัวหนึ่งที่สูงเกือบ 1 เมตรเปิดปากออก เผยให้เห็นฟันอันแหลมคมของเขา เขาจ้องไปยังวิลเลียมที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเดือดพล่าน พลังการต่อสู้ของเขาประทุออกมารอบตัวเขาแผ่ไปทั่วพื้นที่
วิลเลียมหรี่ตาของเขาลง ระดับกลาง!
เมื่อเห็นเช่นนี้ เขาจึงรุดไปด้านหน้าด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น มนุษย์เงือกรู้สึกแค่เพียงสายตาที่มาจากดวงตาของวิลเลียมและทุกอย่างก็ถูกแทนที่ด้วยความมืด วิลเลียมจับหัวของมันไว้แล้ว แรงผลักที่แข็งแกร่งโยนมนุษย์เงือกลงพื้นอย่างไม่ใยดี!
ปัง
กระดูกถูกบดขยี้, น้ำจากสมองกระจายเป็นชิ้นเล็กๆ สั่นหยุกหยิกและหยุดการเคลื่อนไหวในทันที…
โจมตีแบบคริติคอล
ยิงจุดตาย
ค่าความเสียหาย 2410 แต้ม
เป้าหมายตายแล้ว
ความได้เปรียบที่มาพร้อมกับแต่ละสายพันธุ์นั้นยากที่จะอธิบาย มนุษย์เงือกที่อยู่ระดับเดียวกันแน่นอนว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่อ่อนแอที่สุดในโลก ไม่สำคัญว่าสายเลือดของพวกเขาจะสูงแค่ไหน มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเพิ่มคุณสมบัติหลายๆ อย่างให้ตัวเอง…
“ร่างเล็กๆ ของเจ้ามีค่าพลังชีวิตที่เจ้าไม่ควรมี ในเมื่อเจ้าสามารถมีค่าพลังชีวิต 2410 แต้ม เจ้าก็ไม่ควรที่จะกลัวการระเบิด แต่มันช่างน่าเวทนาที่เจ้ามีเพียงแค่สายเลือดที่สูงส่ง” วิลเลียมเม้มปาก
ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางไม่ใช่แค่ความท้าทายต่อฝ่ายตรงข้ามที่เลเวลสูงกว่า มันมีทางอีกอื่นเช่นกัน
การท้าทายคู่ต่อสู้ที่เลเวลสูงกว่าไม่ใช่แค่เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่หาดูยากมากมายอะไรเช่นกัน
ถ้าอย่างนั้น ผู้เล่นใหม่จะสู้กับอะไร?
โดยปกติพวกเขาจะรับภารกิจลอบฆ่าหรือหา NPCมนุษย์สักคนที่มีเลเวลสูงกว่ามาสู้ด้วย
อย่างไรก็ตาม…
มนุษย์…
ไม่สำคัญว่าระดับสายเลือดของพวกเขาจะเป็นอะไร โดยปกติพวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในเมือง ดังนั้นหลังจากผู้เล่นฆ่า NPC พวกเขาจะถูกรุมทำร้ายจนตายโดยคนอื่น
ผู้เล่นสามารถฟื้นคืนชีพได้
วิลเลียมทำไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกวิธีที่ง่ายกว่า
เขากำลังจะจัดการเผ่าเงือกที่มีสมาชิกอย่างน้อยหลายพันตนด้วยตัวคนเดียว
ตราบใดที่ความโชคดีของเขาไม่แย่มาก แน่นอนว่าเขาจะสามารถฆ่าเงือกระดับกลางที่มีสายเลือดระดับแกรนด์มาสเตอร์สามตนได้สบายๆ แม้แต่เงือกระดับอีปิคก็เป็นแค่เงือกที่ไม่ได้เรื่อง
เขาไม่สามารถทำให้เงือกกลุ่มนี้กลัวได้ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงสองครั้ง
พวกเขารู้ความสามารถของตัวเองดี ทุกครั้งที่พวกเขาโจมตีอาหารระหว่างทาง พวกเขาก็จะสูญเสียคนไปเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามอัตราการเกิดและเติบโตนั้นเร็วยิ่งกว่าเร็ว!
ถ้ามันไม่ใช่เพราะว่าความสามารถโดยเฉลี่ยทั่วไปของพวกเขานั้นต่ำเกินไป มนุษย์เงือกเหล่านี้ก็อาจจะสามารถครอบครองทั้งจักรวาลนี้ได้เลย…
มนุษย์เงือกกลุ่มแล้วกลุ่มเล่ากระชับอาวุธของพวกมันแน่น แล้วพุ่งเข้าหาวิลเลียมอย่างเป็นฟืนเป็นไฟ พวกเขาไม่ได้สนใจว่าพวกเขาจะทิ้งบาดแผลไว้ให้เขา มันก็นับว่าดีแล้วถ้าพวกเขาจะสามารถคลานบนหลังวิลเลียมและกัดเขาได้
อย่างไรก็ตาม เกราะพลังการต่อสู้ของวิลเลียมนั้นแข็งราวกับหิน
เขาเป็นเหมือนกับหิงห้อยในความมืดที่ดึงดูดทุกความสนใจเมื่อมนุษย์เงือกตัวแล้วตัวเล่าวิ่งเข้ามาหา แต่ทั้งหมดกับถูกโยนกลับไปโดยเกราะพลังการต่อสู้ตัวแล้วตัวเล่า
เพราะความรู้สึกที่ชนกับเกราะนั้นเหมือนกับเวลาชนเข้ากับกำแพง เหล่าเงือกจึงรู้สึกตาลายหลังจากกระเด็นกลับออกมา
“เจ้าไม่สามารถแม้แต่จะพังเกราะนี้ได้ แน่นอนอยู่แล้ว มันดูแย่เกินไปที่เอลฟ์ระดับรีเจนดารีตนหนึ่งจะมาทรมานเงือกตัวน้อยๆ” วิลเลียมถือดาบของเขาด้วยสองมือส่งพลังการต่อสู้ไปบนดาบของเขาก่อนจะเริ่มหมุนไปมาอย่างรวดเร็ว
กังหันลม!
มันเป็นทักษะหนึ่งที่สร้างขึ้นด้วยตัวเอง
มันไม่มีทักษะเพิ่มเติมใดๆ
มันใช้การเปลี่ยนความเร็วของคนที่ใช้เท่านั้น…
ทักษะนี้เป็นทักษะธรรมดาๆที่สามารถใช้งานได้ง่ายมากเหมือนกับเครื่องตัดหญ้า ทุกศพล้วนถูกฟันเข้าที่เอว เลือดไหลรินลงสู่แม่น้ำ
“ฆ่า!”
“ปัง” วิลเลียมหันกลับมาและใช้มีดสั้นในการป้องกันตัว ร่างกายของเขายังคงอยู่กับที่ไม่ขยับและมนุษย์เงือกที่ตะโกนว่า ‘ฆ่า’ ถูกโยนออกไปโดยพลังการโจมตีของเขา และสลายหายกลายเป็นปลาในมหาสมุทรโดยทันที
อย่างไรก็ตาม ด้วยความรวดเร็ว วิลเลียมมองเห็นมนุษย์เงือกที่สูง 1.5 เมตร ร่างเล็กๆ ของมันเต็มไปด้วยมัดกล้าม
“ชิชะ นั่นมันปลากล้ามนี่”
เพียงการจัดการแค่ครั้งเดียว
เขาก็ได้รับข้อมูลของเงือกตนนี้
เขาเป็นระดับกลางที่มีสายเลือดแกรนด์มาสเตอร์
“เจ้าอยากจะวิ่งหนี? ไม่…” วิลเลียมรู้เกี่ยวกับมนุษย์เงือกอย่างดี การรู้ว่าสิ่งมีชีวิตตัวเล็กนี้จะโจมตีอีกครั้ง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงทำการใช้ดาบคู่ต่อไปและฆ่าเงือกตัวอื่นๆอย่างต่อเนื่อง
มนุษย์เงือกเหล่านี้ไม่สามารถฟังเกราะของเขาได้ เขามีพลังการต่อสู้และสเตมินามากเกินไป
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมหลังจากวิลเลียมฆ่าเงือกไปหลายระลอกอย่างง่ายดาย มนุษย์เงือกเหล่านั้นก็ยังคงโจมตีเขาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม วิลเลียมนั่นกระชับการป้องกันของเขาและเพียงหันกลับหลัง ก่อนจะแทงทะลุเขาไป
ดาบพุ่งทะลุร่างของมนุษย์เงือกตัวนั้น พลังจากการพุ่งผลักร่างของเขาให้กระเด็นออกไป เลือดมากมายกระจายเต็มพื้นที่โดยรอบ มนุษย์เงือกอีกที่อยู่ด้านหลังถูกสังหารในทันที
ตรีศูลที่ใช้ในการโจมตีทะลุเกราะพลังการต่อสู้และพุ่งเฉียดคอของวิลเลียมไป
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวิลเลียมจะฆ่ามนุษย์เงือกที่มีสายเลือดแกรนด์มาสเตอร์ไปแล้ว เกราะของเขาที่ใช้พลังการต่อสู้ถึง 1200 หน่วยก็ยังถูกทำลาย เขาต้องการอย่างน้อย 5 วินาทีในการเปิดใช้เกราะพลังการต่อสู้อีกครั้ง
ทันทีทันใด
มนุษย์เงือกจำนวนนับไม่ถ้วนก็กระโจนเข้าใส่เขาทันที พวกมันรุมล้อมรอบเขา และกองใส่กันจนทำให้เกิดเป็นภูเขาเล็กๆ อันหนึ่ง
ท่ามกลางความมืดมิด…
เหล่ามนุษย์เงือกนับไม่ถ้วนกรีดร้องโหยหวน มุ่งตรงไปรวมกันตรงลางอย่างบ้าคลั่ง
ช่วงที่เกราะพลังงานของวิลเลียมได้แตกออก ตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ถูกล้อมรอบไปด้วยเหล่ามนุษย์เงือกตัวน้อย มอนสเตอร์กลุ่มเล็กๆเหล่านี้อยากจะกัดเขา และใช้ตรีศูลเล็กๆนั่นแทงไปยังหน้าอกของเขาอย่างไม่หยุดยั้ง แล้วยังพยายามที่จะหักนิ้วเขาอีกด้วย…
แต่เมื่อพลังของดาบที่รุนแรงดั่งพายุได้ผ่านทะลุผืนดินเสมือนดาวตกที่พุ่งทะยานผ่านกองทัพของเหล่ามนุษย์เงือก เลือดก็สาดกระเซ็นกระจายไปตามอากาศ
พื้นดินเต็มไปด้วยร่องรอยแตกหัก ตามพุ่มไม้เกิดรอยตัดที่เห็นได้อย่างชัดเจน
เหล่ามนุษย์เงือกตัวเล็กตรงหน้าเขาถูกฉีกเป็นชิ้นๆด้วยอานุภาพของดาบเล่มนี้ เลือดและกระดูกของพวกมันกระจายออกไปเป็นหย่อมๆ
มีเพียงมนุษย์เงือกที่รูปร่างสูงตนหนึ่งเท่านั้นที่สามารถต้านทานดาบของวิลเลียมได้ แม้ว่าจะต้องถอยไปหลายก้าวและกระอักเลือดไปอึกใหญ่ๆก็ตาม
แต่ต่อมา ชายหนุ่มหล่อเหลาและแสนเท่ที่ถูกครอบคลุมไปด้วยเกราะพลังเวทย์ก็ปรากฏออกมาตรงหน้า
ก่อนจะโจมตีด้วยวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
วิลเลียมแลกเปลี่ยนร่างกายของเขากับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ จิตวิญญาณศักด์สิทธิ์ทะลุผ่านห้วงมิติและปล่อยให้ร่างกายของเขาปรากฏขึ้นอีกครั้ง ในวินาทีนั้น มันได้ทำให้ศีรษะของฝ่ายตรงข้ามกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง มนุษย์เงือกตนนั้นวิงเวียนขณะที่ล้มลงไปบนพื้น
ด้วยเหตุนี้ มีดสั้นเป็นประกายเล่มหนึ่งจึงแทงทะลุหน้าอกของมนุษย์เงือกตนนั้น ใบมีดทะลุมายังอีกด้านหนึ่งและลอยอยู่กลางอากาศ
ด้วยดวงตาสีแดงสดทำให้รู้ว่ามันยังไม่ตาย มันกอดวิลเลียมเอาไว้อย่างแน่นหนา ใช้ฟันคมๆกัดเข้าที่คออย่างโหดร้ายทำให้เลือดของเขาไหลโชกออกมา ฟัมแหลมคมของมันฉีกกระชากเนื้อวิลเลียม ตอนนี้นี่เป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะมอบโอกาสให้กับฝั่งของมนุษย์เงือกตนนี้
วิลเลียมเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดอย่างสมบูรณ์ เขาใช้มือคว้าศีรษะมนุษย์เงือกที่กำลังกรีดร้องขณะที่เขากระชากมันออกจากกัน
แควก
ศีรษะและร่างกายถูกกระชากออกจากกัน
เลือดสีเขียวกระเซ็นเต็มใบหน้าของวิลเลียม
มนุษย์เงือกระดับกลางตนที่สองที่มีสายเลือดระดับแกรนด์มาสเตอร์ได้ตายลงแล้ว!
เหล่ามนุษย์เงือกทั้งหลายกลับมาโจมตีอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เกราะพลังการโจมตีของวิลเลียมก็สามารถกลับมาใช้งานอีกครั้งด้วยเช่นกัน
และในช่วงเวลานี้เอง
มุมปากของวิลเลียมกระตุกขณะที่เดินไปข้างหน้า
ปัง!
ระเบิดพลังอันร้ายกาจพุ่งออกมาจากตัวเขา เขาที่มีความว่องไวและพลังกำลังที่แข็งแกร่งกว่าเหล่ามนุษย์เงือกทั้งหลายได้อาละวาดถล่มไปทั้งกองทัพเหมือนกับวัวตัวผู้
ภายใต้ท้องฟ้าที่มืดมิด…
ไม่ว่าใครก็สามารถเห็นได้ว่ามีร่างสีขาวระยิบระยับกำลังฟาดฟันผ่านกองทัพมนุษย์เงือกน้อยโดยที่ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเขาได้
ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งการก้าวเดินไปข้างหน้าเขาได้
ดาบคู่ของเขากวัดแกว่งไปในอากาศ ไม่ว่าเขาจะก้าวไปที่ใด ทุกอย่างล้วนถูกแยกออกเป็นสองส่วน และอากาศโดยรอบก็เต็มไปด้วยเหล่ามนุษย์เงือกที่กระเด็นออกไปทุกหนทุกแห่งราวกับเทพธิดากำลังโปรยกลีบดอกไม้
อย่างไรก็ตาม คู่ต่อสู้ตรงหน้าพวกเขานั้น…
ไม่ว่าพวกเขาจะใช้วิธีการอย่างไร…
วิลเลียมที่เป็นเสมือนหุ่นยนต์เหล็กก็สามารถระเบิดพวกเขาเป็นชิ้นๆได้อย่างง่ายดาย
ปัง ปัง ปัง ปัง…
มีเสียงปึงปังดังติดต่อกันเป็นทอดๆ
เสียงโอดครวญดังระงมไปทั่วพื้นที่
โล่พลังการต่อสู้ก็ได้แตกสลายลงอีกครั้ง
แต่เขาก็ไม่ได้เลือกที่หยุด เขาไม่แม้แต่จะเลือกใช้พลังแบทเทิล คัต
เขายังคงขจัดสิ่งที่ขวางทางตรงหน้าต่อไป
แม้ว่าจะมีกองทัพนับหมื่นนับพัน เขาก็จะจัดการมันให้หมด
นี่คือความคิดของวิลเลียมคนหัวเหล็ก
แต่ความจริงแล้ว…
ตราบใดที่วิลเลียมไม่จำเป็นต้องใช้ศีรษะในการใช้ทักษะที่แข็งแกร่ง ด้วยพละกำลังและความว่องไวของเขา เงือกหน้าไหนก็ไม่อาจหยุดยั้งเขาได้ทั้งนั้น
นี่คือความแข็งแกร่งของ NPC ระดับรีเจนดารีธรรมดาๆตนหนึ่ง
ขนาดวิลเลียมยังไม่ได้สวมใส่อุปกรณ์ที่แข็งแกร่งเท่าใดนัก แต่ด้วยเลเวล 39 ในตอนนี้ของเขา ด้วยการเพิ่มศักยภาพของระดับสายเลือด ด้วยอุปกรณ์ พลังการต่อสู้และเวทมนตร์ ก็ทำให้เขามีพลังชีวิตถึง 6430 หน่วย…
นี่คือความวินาศสันตะโร
นี่คือการนองเลือดชัดๆ
บอสระดับรีเจนดารีที่เกือบจะถึงระดับกลางแล้วกำลังสังหารหมู่ชาวมนุษย์เงือกตัวเล็กๆ เลือดสดๆไหลรินไปตามแม่น้ำ ชิ้นส่วนร่างกายที่ถูกฟาดฟันกระจายไปท้วนทั่วและพุ่มไม้ทั้งสองข้างถูกย้อมไปด้วยเลือด
หากผู้เล่นมาเห็นฉากนี้เข้าล่ะก็ พวกเขากรีดร้องอย่างสะเทือนอารมณ์อย่างแน่นอน
“เขาต้องมีความเกลียดชังมากมายถึงขนาดไหนกัน? ในเมื่อเหล่ามนุษย์เงือกไม่ได้ข่มขืนเขาเสียหน่อย เขารังแกกันมากเกินไปแล้ว! นี่มันคือผู้บังคับบัญชาที่กลับมารังแกเด็กอนุบาลในเมืองชัดๆ”
ชั่วโมงต่อมา
วิลเลียมยืนอยู่บนจุดยอดของกองภูเขาซากศพที่ถูกปกคลุมไปด้วยเลือด หากเผ่ามนุษย์เงือกที่เหลืออพยพออกไป หมู่บ้านมนุษย์เงือกเล็กๆแห่งนี้อาจจะหายไปจากทุ่งหญ้าแห่งนี้
ดวงดาวระยิบระยับ แม่น้ำที่ถูกย้อมเป็นสีเลือดจากพุ่มไม้ทั้งสองข้างกลับไม่ได้ดึงดูดอสูรเวทย์หรืออสูรป่าใดๆ
ท้ายที่สุดแล้ว กลิ่นคาวเลือดที่รุนแรงในอาณาเขตของมนุษย์เงือกเช่นนี้ก็เพียงพอแล้วที่ทำให้สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาสักเล็กน้อยเผ่นหนีไปไกล
“มีมนุษย์เงือกระดับกลางสามตนที่มีสายเลือดระดับแกรนด์มาสเตอร์ หากไม่มีอะไรผิดพลาด อีกเพียงไม่กี่เดือนต่อมาหมู่บ้านของมนุษย์เงือกก็จะปรากฏขึ้นที่นี่อีกครั้ง” วิลเลียมประทับใจเล็กน้อย มนุษย์เงือกตัวเล็กเหล่านี้ก็เปรียบเหมือนแมลงสาบในโลกจริง ทักษะการผลิตประชากรของพวกเขานั้นแข็งแกร่ง และชื่อเล่นของพวกเขาถูกเรียกว่า พวกฆ่าไม่ตาย
แต่มนุษย์เงือกตัวเล็กเหล่านี้ควบคุมจำนวนประชากรของพวกเขาเองเสียด้วยซ้ำ เพราะเผ่ามนุษย์เงือกมีเพียงสามพันตนเท่านั้น
หากไม่มีการบาดเจ็บล้มตาย พวกเขาก็อาจจะฆ่าตนที่อ่อนแอและป่วยหนัก ก่อนจะกินพวกนั้นซะเอง
ถ้าไม่อย่างนั้น พวกเขาคงเขาเข้าใจว่า หากพวกเขาผลิตประชาการโดยไม่มีการจำกัดจำนวน อาหารทั้งโลกคงไม่เพียงพอให้พวกเขากิน
พวกเขายังเข้าใจด้วยว่าหากพวกเขาผลิตประชากรต่อไปแบบนี้ ก็จะมีสิ่งที่ดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งกว่ากำจัดพวกเขาออกไปอยู่ดี
[ภารกิจกวาดล้างหมู่บ้านมนุษย์เงือกขนาดเล็ก]
[รายละเอียดภารกิจ : จัดการเลยสินักฆ่าหน้าใหม่ ฆ่าให้หมด]
[ความยากของภารกิจ : C]
[สำเร็จ]
[รางวัล : ค่าประสบการณ์ 54100 หน่วย]
[รางวัลพิเศษ : คุณสังหารมนุษย์เงือกไปมากกว่า 3,000 ตนโดยตนเองด้วยความโหดเหี้ยม คุณได้รับฉายาใหม่]
“โหดเหี้ยม? พวกมันเป็นฝ่ายเริ่มก่อนไม่ใช่รึไง?” วิลเลียมเบะปาก แต่เขาก็รับรางวัลมากแล้ว
[ศัตรูโดยธรรมชาติของมนุษย์เงือกตัวเล็ก]
[เลเวล : สีน้ำเงิน]
[คำอธิบายฉายา : หลังจากใช้ฉายานี้ คุณจะดึงดูดความเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งของเหล่ามนุษย์เงือกตัวเล็ก และสามารถสร้างความเสียหายเพิ่มขึ้น 10% ต่อมนุษย์เงือกตัวเล็กได้]
“เอาจริงดิ…” วิลเลียมไม่มีอะไรจะพูด การได้รับฉายาใน Gods นั้นยากมาก แม้ว่าคุณจะได้รับมันมาสักหนึ่งชื่อ มันก็อาจจะมีคุณภาพที่อยู่ในระดับขยะเลยก็ว่าได้
“อย่างไรก็ตาม ฉันก็จะทำเพื่อค่าประสบการณ์ 54100 หน่วย!” วิลเลียมนั่งพักอยู่ครู่หนึ่งบนกองศพ “สังหารมนุษย์เงือกมากกว่า 3,000 ตนยังให้ค่าประสบการณ์เกือบ 30000 ทำให้ตอนนี้ฉันได้รับค่าประสบการณ์ 80000 หน่วย และด้วยค่าประการณ์ก่อนหน้าที่ฉันมี ทำให้ตอนนี้ฉันมีค่าประการณ์อยู่แสนแปด”
“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำภารกิจความเชี่ยวชาญของฉันสำเร็จ” ดวงตาของวิลเลียมส่องประกายในความมืดขณะที่เขาค่อยๆจัดสรคุณสมบัติพลังการต่อสู้ทั้ง 5 ที่พึ่งได้รับมา
ภารกิจความเชี่ยวชาญของเขาเสร็จสมบูรณ์แล้ว
สังหารสิ่งมีชีวิตที่มีสายเลือดระดับแกรนด์มาสเตอร์ด้วยตัวตนเดียว 6 ตน
รางวัล : คุณสมบัติพลังการต่อสู้ 6 อย่าง (เลือก 1 อย่างเท่านั้น)
คุณจะเลือกคุณสมบัติพลังการต่อสู้หรือไม่?
“ใช่!”
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด~
คุณสมบัติพลังการต่อสู้ที่คุณสามารถเลือกได้มีดังนี้ :
คุณสมบัติพลังการต่อสู้ธาตุไฟ
คุณสมบัติพลังการต่อสู้ธาตุน้ำ
คุณสมบัติพลังการต่อสู้ธาตุสายฟ้า
คุณสมบัติพลังการต่อสู้ธาตุลม
คุณสมบัติพลังการต่อสู้ธาตุโลหะ
คุณสมบัติพลังการต่อสู้ธาตุแสง
“บ้าชะมัด…มีคุณสมบัติพลังการต่อสู้พิเศษเพียงอย่างเดียวเองหรอ?” มุมปากวิลเลียมกระตุกยิกๆ หากเขารู้อย่างนี้เสียทีแรก เขาจะยังไม่เลือกคุณสมบัติพลังการต่อสู้ตอนนี้หรอก มันคุณสมบัติพลังการต่อสู้หกอย่าง แค่คุณสมบัติธรรมดาก็ปาไปสามอย่างแล้ว อันที่หายากมีเพียงสอง เหลือคุณสมบัติพลังการต่อสู้ธาตุแสงเพียงอย่างเดียวที่เป็นคุณสมบัติพิเศษ
“แม้ว่าคุณสมบัติมิติและห้วงเวลาจะแข็งแกร่งมาก แต่ฉันไม่ได้วางแผนที่เลือก คุณไม่ปล่อยให้ฉันแม้แต่เห็นด้วยซ้ำ โหดร้ายไปรึเปล่า” วิลเลียมเย้ยหยัน
ในอารมณ์ตอนนี้ เขาเลือกธาตุสายฟ้า…
สำหรับธาตุแสงน่ะเหรอ?
แม้มันจะไม่เหมือนใคร แต่มันก็ไม่เหมาะกับเขาอยู่ดี
แล้วทำไมเขาถึงเลือกธาตุสายฟ้า?
หนึ่งในเหตุผลก็คือ…
มันดูหล่อดี แค่หล่อก็เพียงพอแล้ว…
การจะเป็นคนที่แข็งแกร่งได้หรือไม่นั้น ให้เป็นปัญหาของเวอร์ชั่นเกม แต่การเป็นคนหล่อหรือไม่นั้นจะเป็นปัญหาตลอดชีวิต
วิลเลียมมองเรื่องเหล่านี้ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ถ้าคนๆ หนึ่งไม่ได้ดูดี หลังจากนั้นไม่สำคัญว่าเขาจะทำตัวโหดเหี้ยมแค่ไหน เขาก็จะไม่สามารถหารักแท้ได้สำเร็จ
พลังการต่อสู้แห่งแสงส่งผลกระทบไม่น้อยต่อสิ่งมีชีวิตจากความมืด
ไม่ใช่แค่คุณสมบัติแห่งแสงเท่านั้น
คุณสมบัติไฟและคุณสมบัติไฟฟ้าเองก็ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตจากความมืดเช่นกัน ดังนั้นมันจะไม่ส่งผลกระทบเมื่อเขารังแกสิ่งมีชีวิตจากความมืดในอนาคต…
กุญแจสำคัญคือระดับความเชี่ยวชาญ, ทักษะพลังการต่อสู้ และคำภีร์ลับของจิตวิญญาณ รวมถึงอุปกรณ์ที่มีคุณสมบัติ ถ้ามีแต่คุณสมบัติพลังการต่อสู้ มันก็จะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อวิลเลียมสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อเขาไม่มีความตั้งใจที่จะรวมวิหารเข้าด้วยกัน ก็เขาเป็นถึงลอร์ดคนหนึ่งนี่
อีกอย่าง พลังการต่อสู้ประเภทสายฟ้าไม่ได้มีดีแค่เท่เท่านั้น แต่มันยังใช้ได้จริง มันมีบลัฟที่ส่งผลลบมากมาย อย่างเช่น การทำให้เคลื่อนไหวไม่ได้ชั่วขณะ, การเผาไหม้, การลดแรงต่อต้าน, ฉีกกล้ามเนื้อ, ทำให้ตอบสนองช้าลงและยังสามารถสร้างสายฟ้าฟาดได้อีกด้วย
เมื่อวิลเลียมกำลังเลือกที่จะเปลี่ยนอาชีพ ร่างหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นกลางดึก เขาคลืบคลานผ่านศพที่เกลื่อนกลาดอย่างเงียบเชียบ เขามุ่งหน้าไปหาวิลเลียมช้าๆ ทีละก้าว
การแทงที่รุนแรงและทรงพลัง
เกราะพลังการต่อสู้ของวิลเลียมถูกตัดผ่านราวกับเต้าหู้
“มันอยู่ตรงนี้!” วิลเลียมผู้ที่เพิ่งสัมผัสได้ถึงผู้มาเยือนเปลี่ยนสีหน้า
“คลื่นโซลช็อค”
สวบ
เพียงแค่คมดาบแทงเจ้าที่หลังของวิลเลียม พลังงานที่มองไม่เห็นก็แผ่ขยายออกไปทั่วทุกทิศทาง!
นักฆ่าและศพถูกโยนออกไปโดยคลื่นช็อคพร้อมๆ กัน ด้วยซากศพที่ปลิวว่อนไปทั่วท้องฟ้าทำให้มันดูราวกับว่าฝนตกเป็นศพ
มือสังหารคนนั้นไม่ได้รับการโจมตีที่สาหัส เขาอยากจะดิ้นหนีไปกลางอากาศเพื่อซ่อนตัวอีกครั้ง แต่วิลเลียมผู้มีรอยยิ้มอันน่าสะพรึงกลัวประดับอยู่บนใบหน้าหันกลับมาช้าๆ พร้อมกับกำลังเลียเลือดที่มุมปากของเขา
เมื่อนักฆ่าเห็นภาพตรงหน้า เขารู้สึกเย็บวาบไปทั่วหัวใจ
แต่ก่อนที่เขาจะได้โต้ตอบอะไร ร่างหนึ่งก็เหวี่ยงตัวออกมาจากท้องฟ้าและปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหลังของเขา
สวบ
ด้วยการเหวี่ยงดาบเพียงครั้งเดียว…
ดวงตาของนักฆ่าผู้ไม่สามารถหลบหนีได้เบิกกว้างและมองไปยังปลายดาบที่ยื่นออกมาจากหน้าอกของเขาก่อนจะพึมพัม “มันเป็นไปได้ยังไง…”
สวบ
มีดอีกเล่มหนึ่งแทงทะลุคอของเขา เลือดมากมายพุ่งกระฉูดออกมา
อเล็กซ์หรี่ตาของเขาลงและผลักนักฆ่าออก ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ เขาโยนร่างไร้วิญญาณลงบนพื้นอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้ดวงตาที่เบิกค้างของร่างไร้วิญญาณจ้องเขา
นี่คือนักฆ่าเงา
มือสังหารตัวจริง
แม้แต่ความตายยังบอกไม่ได้ว่าใครเป็นคนฆ่าคุณ
วิลเลียมหอบหายใจ
เขาเคยบอกไว้เมื่อนานมาแล้วว่าเขาสามารถมองเห็นชื่อสีแดงหรือเครื่องหมายคำถามสีแดงสำหรับใครก็ตามที่มีความคิดหรือกำลังเป็นปรปักษ์กับเขา!
เขาสืบรู้มาว่าใครบางคนแอบลอบเข้ามาในเมืองแห่งรุ่งอรุณเพื่อสังเกตการณ์เขาในความมืด
นี่ก็มากพอที่จะสั่นกระดิ่งเตือนภัยให้วิลเลียม
เขาสงสัยว่าคนที่ต้องการฆ่าเขาจะปรากฏตัวอีกครั้ง หรือไม่ใครคนนั้นก็อยากเลือกแผนการลอบสังหารที่รุนแรงกว่าเดิม
ดังนั้น
เขาจึงสร้างโอกาสขึ้นมา
เพื่อให้ใครคนนั้นเห็นว่าเขาไปยังทุ่งหญ้าตัวคนเดียว!
วิลเลียมปล่อยให้อเล็กซ์ติดตามเขามาเท่านั้น และบอกอเล็กซ์ว่าอย่าปรากฏตัวออกมาไม่ว่าเขาจะเจอกับสถานการณ์อะไรก็ตาม นอกจากว่านักฆ่าจะปรากฏตัวออกมาแล้ว
“ท่านลอร์ด อาการบาดเจ็บของท่าน?” อเล็กซ์มองไปยังบาดแผลบนหลังของวิลเลียม เลือดไหลทะลักราวกับว่าแผลนั้นลึกไปถึงหัวใจของวิลเลียม อเล็กซ์อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ เขาคนนี้เป็นลอร์ดตัวจริง เขาไม่อยากตายเพราะเรื่องนี้…
วิลเลียมสำรอกออกมาเป็นเลือดอยู่หลายลิตร ก่อนจะยกหัวของเขาขึ้นพร้อมโบกปัดมืด “เราสบายดี เจ้าเจอนักฆ่าคนอื่นอีกหรือไม่?”
“ไม่ครับ เพราะในตอนที่ท่านลอร์ดตอบโต้นักฆ่ากลับ นั่นเป็นโอกาสดีที่นักฆ่าคนที่สองจะเริ่มโจมตี แต่ไม่มีใครปรากฏตัวออกมา ดังนั้นมันหมายความว่าไม่มีนักฆ่าคนอื่นอีก”
วิลเลียมถอนหายใจ “ดีแล้ว”
เขาเดินไปยังร่างของนักฆ่าและมองไปยังร่างนั้นด้วยสายตาเย้ยหยัน “เมื่อเรารู้ว่าใครส่งเจ้ามา เราก็เลยยอมเล่นกับเจ้าเสียหน่อย การทำลับๆล่อๆนั่นมันมีอะไรดีงั้นหรอ? เราก็แค่เริ่มสงครามซะสำหรับในกรณีที่เลวร้ายที่สุด”
อเล็กซ์ยืนเงียบ
ไม่สำคัญว่าจะเป็นใคร เมื่ออยู่ต่อหน้านักฆ่าที่สังหารคนไปมากมาย ไม่ว่าใครก็อดไม่ได้ที่จะสูญเสียการควบคุมอารมณ์ไป
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือลอร์ดผู้หล่อเหล่าและทรงเกียรติแห่งเมืองแห่งรุ่งอรุณ!
มันมากพอสำหรับอเล็กซ์ที่จะจงรักภักดีต่อท่านลอร์ดผู้ชาญฉลาดคนนี้ ส่วนสำหรับว่าจะเริ่มสงครามหรือจะลอบสังหารนั้น เขาก็แค่รอทำตามคำสั่ง
อเล็กซ์รู้สึกซาบซึ้งมากที่ท่านลอร์ดเลือกเขามาในสถานการณ์ที่เป็นตายเช่นนี้ นั่นหมายความว่าท่านลอร์ดเชื่อในตัวเขา
ความภักดี +300!
วิลเลียมมองไปที่อเล็กซ์ซึ่งค่าความภักดีเกือบจะถึง 800 หน่วยแล้ว
ไม่มีคำถามใดๆ
สิ่งที่เขาต้องการคือสุนัขที่เพิ่มค่าความประทับใจหลังจากที่ช่วยชีวิตเขาไว้
“ปกป้องเราได้ดีเยี่ยม ตอนนี้เราไปกันได้แล้ว!”
เสียงของวิลเลียมฟังดูเย็นยะเยือก
อเล็กซ์มองไปที่วิลเลียมด้วยความแปลกใจ เขาไม่ได้คาดหวังว่าความเร็วในการไปต่อของท่านลอร์ดจะเร็วมากขนาดนี้ และความรู้สึกยกย่องชื่นชมในหัวใจของอเล็กซ์ก็ยิ่งพุ่งพล่าน…
พูดสั้นๆ ว่าลอร์ดเจ้าเมืองนั้นเต็มไปด้วยรังสีของการเข่นฆ่า โดยเห็นได้จากกองศพโชกเลือดที่กองกันเป็นภูเขาว่าท่านลอร์ดนั้นกำลังโกรธและไม่พึงพอใจอย่างมาก ดังนั้นมันจึงเพียงพอแล้วที่จะทำให้คนที่เห็นหุบปากเงียบ
[ใช่/ไม่ : โปรดเลือกสำหรับการเปลี่ยนอาชีพ]
วิลเลียมเลือก ใช่
ในพริบตาเดียว
ท้องของเขารู้สึกราวกับว่ามีไฟเผาไหม้อยู่ การเปลี่ยนคุณสมบัติของพลังการต่อสู้วิ่งผ่านร่างทั้งร่างของเขา อันดับแรก เขาต้องให้ร่างของเขาพัฒนาเพื่อรองรับพลังการต่อสู้ธาตุสายฟ้า และจากนั้นจึงเปลี่ยนคุณภาพของพลังการต่อสู้
นี่สร้างความเจ็บปวดอย่างสุดจะพรรณนาได้ให้แก่วิลเลียม
ลองคิดดูสิ
การเปลี่ยนร่างกายทั้งร่างแค่เพื่อปรับให้รับพลังการต่อสู้สายฟ้าได้
มันเจ็บปวดยิ่งกว่าการที่ผู้หญิงคนหนึ่งคลอดลูกเสียอีก และนี่ทำให้เขาอยากจะหลีกเลี่ยงมัน
ดังนั้น
วิลเลียมจึงทำได้เพียงนอนแผ่อยู่กลางซากศพของมนุษย์เงือก ร่างของเขาเปล่งแสงด้วยประกายไฟ, ชักกระตุก, ดวงตาของเขาเหลือกไปด้านหลัง และมีฟองฟูมออกมาที่ปากของเขา…
มันไม่มีทางเลือก ผู้เล่นสามารถตั้งลิมิตความเจ็บปวดได้ แต่ NPC ไม่สามารถเปลี่ยนฐานข้อมูลประเภทนี้ได้เลยจริงๆ
วิลเลียมรู้สึกสบายขึ้นทีละน้อยๆ ทำไมถึงพูดอย่างนั้นน่ะหรือ?
ถ้าคุณไม่สามารถต่อต้านได้ ก็นอนลงและทำตัวให้สบายซะ…
มันจะมีความเจ็บปวดอย่างหนักหน่วงในระยะแรกของการเปลี่ยนร่าง ตามมาด้วยความรู้สึกสบาย และจะยิ่งสบายมากขึ้นๆ ความเจ็บปวดที่ไม่มีที่สิ้นสุดทำให้เขารู้สึกพึงพอใจอย่างไม่รู้จะอธิบายยังไง ถ้าอเล็กซ์ไม่ได้อยู่แถวนี้ เขาก็อยากจะครางออกมาดังๆ
เขาแค่รู้สึกว่ามันมีความรู้สึกดีสุดยอดภายในร่างกายของเขา
เป็นโชคดีที่ความรู้สึกนั้นไม่ได้อยู่นานนัก
วิลเลียมผู้กำลังได้รับการควบคุมร่างกายของตัวเองกลับมาอีกครั้งยืนขึ้นและกำหมัดแน่น “เรารู้สึกเหมือนว่าเราสามารถฆ่าออร์คสักตัวได้ในหมัดเดียว”
จากนั้น พลังการต่อสู้สายฟ้าก็กระจายออกจากร่างของเขาและสร้างเกราะพลังการต่อสู้อันใหม่
นอกเหนือไปจากนี้แล้ว มันยังคงมีพลังการต่อสู้บางส่วนวิ่งเข้าใกล้กลับพื้นผิวของร่างกายเขาซึ่งกระจายหายไปบนฟ้าราวกับเปลวไฟ
มันเหมือนกับว่ามีเปลวไฟสีฟ้าเผาไหม้อยู่บนพื้นผิวของร่างกายเขา
คำเดียวสั้นๆ
เจ๋ง
ด้วยการผสานการอย่างสมบูรณ์ของสายฟ้าและพลังการต่อสู้ วิลเลียมก็ขึ้นไปที่เลเวล 40 ได้สำเร็จและกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลางคนหนึ่งแล้ว
สำหรับผู้เชี่ยวชาญที่มีศักยภาพสายเลือดที่แข็งแกร่ง ความต่างระหว่างระดับกลางและระดับเริ่มต้นนั้นเรียกได้ว่าเทียบกันไม่ติด!
คุณต้องจำเอาไว้…
สำหรับ NPC โดยเฉพาะเผ่าพันธุ์ที่เฉลียวฉลาดอย่างมนุษย์ที่มีสายเลือดในระดับสูง ส่วนใหญ่แล้วจะหมายความว่าเขามีพื้นเพที่ดีและสามารถเรียนรู้ทักษะที่ดีกว่าและมีอุปกรณ์ที่ดีกว่าได้
คนที่มีศักยภาพทางสายเลือดในระดับล่างจะน่าเกลียดและจน นอกจากว่าจะมีค่าความโชคดีสูง พวกเขาก็แทบไม่มีอนาคตและถูกพิจารณาให้เป็นหน่วยกล้าตาย
ในระดับเดียวกันนั้น ระยะห่างระหว่างทั้งสองนั้นช่างแตกต่างอย่างมาก
เมื่อถัดขึ้นไปอีกระดับ ระยะห่างก็จะยิ่งเห็นได้ชัดมากขึ้นๆ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้เล่นเลือกที่จะสู้ในกลุ่มของ NPC ระดับอีปิคและรีเจนดารีเท่านั้น
มันเป็นเพราะพวกเขารู้ว่ามันยากเกินไปที่จะใช้ทักษะต่างๆกับ NPC ประเภทนี้ นอกจากว่าทักษะจะถูกใช้อย่างสมบูรณ์แบบโดยไม่มีข้อผิดพลาดเลย…
“และในที่สุดฉันก็เริ่มทำอะไรได้สักที เข้าสู่ระดับกลาง…” วิลเลียมทอดสายตาออกไปไกล
“เกมนี้มันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง…”
‘คุณก้าวไปสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลางได้สำเร็จ!’
‘คุณได้กลายเป็นผู้สังเกตการณ์แห่งรุ่งอรุณ!’
‘คุณเข้าสู่เลเวล 40 ด้วยการเพิ่มคุณลักษณะห้ามิติ มิติละ 1 แต้ม(รวมถึงเสน่ห์) คุณจะได้รับค่าสถานะอิสระ 4 หน่วย และค่าสถานะจากคำภีร์ลับระดับรีเจนดารีสองเล่มทั้งหมด 4 หน่วย’
‘เนื่องคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลาง คุณลักษณะสี่มิติจะถูกเพิ่มขึ้นมิติละ 10 แต้มตามลำดับ’
‘เนื่องจากคุณมีสายเลือดของเอลฟ์ ค่าเสน่ห์จะถูกเพิ่มขึ้น 10 แต้ม’
‘ในฐานะที่คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลาง คุณได้ปลุกความสามารถติดตัวอันใหม่ขึ้น อานุภาพของสายฟ้า!’
วิลเลียมหรี่ตา ฉีกยิ้มไปถึงใบหู…
แต่ยังมีบางสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า!
‘ทักษะพลังการต่อสู้และคัมภีร์ลับจิตวิญญาณของคุณทะลุขีดจำกัดสูงสุดของเลเวล 15 และสามารถเข้าถึงเลเวลได้สูงที่สุดถึงเลเวล 30!’
‘คุณผ่านขีดจำกัดของทักษะเลเวล 7 และสามารถเข้าถึงเลเวลได้สูงที่สุดถึงเลเวล 15’
“ก่อนเลเวล 15 จะมีค่าสถานะอิสระ 4 แต้มสำหรับการเลื่อนเลเวลทุกครั้ง นี่คือข้อได้เปรียบของทักษะการต่อสู้ระดับรีเจนดารีและคัมภีร์ลับจิตวิญญาณ ซึ่งทำให้ฉันได้เปรียบเป็นอย่างมากในช่วงต้น แต่ฉันก็มาถึงขีดจำกัดในการรับคุณสมบัติอิสระแล้วสินะ” วิลเลียมหัวเราะ
สำหรับผู้เล่นและNPC หากมีอาชีพสายต่อสู้แบบคู่(ดูเอล) นอกเหนือจากการได้รับค่าสถานะอิสระฟรี 4 หน่วยเมื่อเลื่อนเลเวลแล้ว ยังได้เพิ่มคำภีร์ลับระดับสูง 2 เล่มและอาจจะได้รับค่าสถานะอิสระเพิ่มเป็นพิเศษเมื่อเลื่อนเลเวลอีกด้วย
เมื่อคัมภีร์ลับระดับแกรนด์มาสเตอร์สองเล่มเพิ่มเข้าพร้อมกัน จะได้รับค่าสถานะอิสระเพิ่มเป็นพิเศษเมื่อเลื่อนเลเวลอีกสองหน่วย และได้จากคำภีร์ลับเป็นพิเศษอีกหนึ่งหน่วย
คำภีร์ลับระดับอีปิคสามารถเพิ่มค่าสถานะอิสระได้หนึ่งแต้ม แต่คำภีร์ลับระดับอีปิคสองเล่มสามารถเพิ่มค่าสถานะอิสระได้ 3 แต้ม
แน่นอนว่านี่เป็นข้อจำกัดเฉพาะผู้เล่นที่มีอาชีพสายต่อสู้แบบคู่เท่านั้น
แล้วอาชีพสายเลี้ยงชีพล่ะ?
อาชีพสายนั้นจะสามารถเพิ่มค่าสถานะได้ตามธรรมชาติ แต่สามารถเพิ่มได้ไม่กี่แต้มเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเลือกจะเป็นช่างตีเหล็ก กล้ามเนื้อที่ได้จากการตีเหล็กอาจจะหนาและแข็งแรงขึ้นตามธรรมชาติ
และเมื่อไม่มีการพัฒนาขึ้นอีก ซึ่งความก้าวหน้าของอาชีพช่างตีเหล็กสามารถได้รับค่าสถานะอิสระจำนวนหนึ่งและสามารถแก้ไขความแข็งแกร่งของค่าสถานะได้ แต่ค่าสถานะอิสระอาจจะไม่ได้มากเท่าอาชีพสายต่อสู้
ด้วยความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องของอาชีพเสริม ค่าสถานะที่เพิ่มขึ้นนั้นจะเท่ากับคำภีร์ลับระดับแกรนด์มาสเตอร์สองเล่ม ซึ่งทำให้ผู้เล่นที่ไม่ได้เลือกอาชีพเสริมไม่อาจมาโวยวายได้ แม้ว่าอาชีพย่อยจะเพิ่มได้แค่ค่าสถานะบางอย่างเท่านั้นและมีค่าสถานะอิสระน้อยกว่า มันก็ไม่ได้แย่มากนักในการเลือกอาชีพเสริมที่มั่นคงมาอาชีพหนึ่งและพัฒนาค่าสถานะเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
ดังนั้น ค่าสถานะของผู้เล่นจึงไม่ได้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมากเท่าไหร่ สิ่งเดียวที่พวกเขาไม่อาจเทียบกับ NPC ได้ก็คือพวกเขาไม่มีโบนัสของระดับสายเลือด และมันก็ยากยิ่งนักที่จะได้ความสามารถติดตัวที่พิเศษสักอย่างหนึ่ง
วิลเลียมเพิ่มค่าสถานะ 8 แต้มไปยังค่าความแข็งแกร่งและความว่องไวตามลำดับ และใช้ค่าประสบการณ์ของเขาไปเพิ่มทั้งพลังการต่อสู้และคัมภีร์ลับจิตวิญญาณจนไปถึงเลเวล 20!
ทักษะอื่นๆและทักษะใหม่ๆถูกเลื่อนไปยังเลเวล 9 แต่เนื่องจากเขาไม่ได้มีค่าประสบการณ์เหลือมากเท่าใดนัก ทักษะใหม่สองทักษะจึงถูกเลื่อนไปเพียงเลเวล 3 เท่านั้น
อเล็กซ์ที่อยู่ข้างๆรู้สึกได้ถึงรัศมีรอบๆกายของวิลเลียมที่เพิ่มขึ้น พลังของเขาเหมือนกับรถไฟเหาะ เขาเพิ่มระดับด้วยการฆ่ามนุษย์เงือกทั้งหมู่บ้าน ความแข็งแกร่งของเขาพุ่งสูงและรัศมีของเขาก็เกือบจะกลบร่างทั้งร่างของเขา…
อเล็กซ์รู้ว่านี่คือท่านลอร์ดของเขา หากวิลเลียมไม่ใช่ท่านลอร์ด เขาก็อยากจะทึ้งเสื้อผ้าของวิลเลียมออกแล้วลองสัมผัสดู ผู้นำที่หล่อเหลาคนนี้เป็นเจ้านายของเขาจริงๆใช่ไหม?
ความแข็งแกร่งของวิลเลียมในตอนนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง คุณลักษณะสี่มิติที่น่ากลัวของบอสระดับรีเจนดารีได้ปรากฏขึ้น
วิลเลียม แบล็คลีฟ
เผ่าพันธุ์ : ครึ่งเอลฟ์
อาชีพ : ผู้รักษาการณ์แห่งรุ่งอรุณ
ศักยภาพทางสายเลือด : รีเจนดารี (เลเวล 40 ค่าสถานะพื้นฐาน +40%) (ขีดจำกัดสูงสุด เลเวล 100)
ความสามารถติดตัว : ดูดี (แฝง)…
ความสามารถติดตัว : ชีวิตระดับกลาง , ทุกค่าความแข็งแกร่งทางกายภาพจะเท่ากับพลังชีวิต 40 หน่วย
ความสามารถติดตัว : ชีวิตระดับกลาง, ทุกค่าสติปัญญาจะเท่ากับพลังโจมตีทางเวทมนตร์ 1.2 เท่า
ความสามารถติดตัว : อานุภาพของสายฟ้า คุณมีพลังโจมตีทางสายฟ้า 10% และความต้านทานทางสายฟ้า 10% (ใหม่)
เลเวล : 40
ค่าประสบการณ์ : (234/123240)
อายุ : 16
พลังชีวิต : 6200+1500+1200 (+600)
ความแข็งแกร่ง : 2680+800 (200)
คุณสมบัติพื้นฐาน :
พลังกำลัง : 200+25+18 (+10+15)
ความแข็งแรงทางกายภาพ : 78+25+18 (+15+19)
ความว่องไว : 215+25+18 (+12)
สติปัญญา : 40+5 (+5)
(ค่าสถานะที่อยู่ในวงเล็บเป็นโบนัสที่เพิ่มจากอุปกรณ์ ค่าสถานะนอกวงเล็บเป็นพลังการต่อสู้และโบนัสจากคัมภีร์ลับจิตวิญญาณ โบนัสของอุปกรณ์ยังไม่ได้รวมถึงโบนัสทางสายเลือด)
(ผลรวมของค่าสถานะทั้งหมดของค่าความแข็งแรงทางกายภาพ = พลังชีวิต เครื่องหมายบวกหลังค่าพลังชีวิตคือโบนัสของศักยภาพทางสายเลือดจากพลังการต่อสู้, คัมภีร์ลับจิตวิญญาณ, และอุปกรณ์)
(คุณลักษณะสี่มิติเป็นค่าสถานะปกติและไม่ได้รวมอยู่ในโบนัสศักยภาพทางสายเลือด)
คุณสมบัติพิเศษ :
เสน่ห์ : 93+9
ความโชคดี : 3
จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งรุ่งอรุณ
ระดับ : รีเจนดารี
คุณสมบัติ : สายฟ้า
เลเวล : Lv 20 (ค่าประการณ์ 0/57300)
พลัง : 2300/2300 หน่วย
อัตราการฟื้นฟู : 80 หน่วย/วินาที
คุณสมบัติพิเศษและทักษะที่เปิดใช้งานมีดังนี้ :
คุณสมบัติพิเศษ : ทักษะพลังการต่อสู้ใดๆ จะเพิ่มขึ้น 18% และทำความเสียหายด้วยคุณสมบัติธาตุไฟฟ้า 130 หน่วย
คุณสมบัติพิเศษ : พลังโจมตี +25, ความแข็งแรงทางกายภาพ +25, ความว่องไว +25, สติปัญญา +18
คุณสมบัติพิเศษ : พลังชีวิต +1500
คุณสมบัติพิเศษ : ความแข็งแกร่ง +800
โล่จิตวิญญาณ : ร่างกายสามารถสร้างโล่พลังงานได้เท่ากับค่าพลังการต่อสู้ ใช้ค่าพลัง 70 หน่วยต่อวินาที มีค่าป้องกันพื้นฐาน 380 หน่วย ถ้ามีการโจมตีเกินขีดจำกัดสูงสุดของการป้องกันเกินสองครั้ง โล่จะถูกทำลายได้
หลังจากโล่หายไป สามารถเปิดใช้งานได้อีกครั้งใน 5 วินาที
คุณสมบัติพิเศษ :เมื่อคุณเปิดการใช้งานโล่จิตวิญญาณ คุณสมบัติพิเศษของคัมภีร์ลับจะเปิดใช้งานแบบ x2 และเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ 25% (ใหม่)
คุณสมบัติพิเศษ : เมื่อศัตรูโจมตีโล่ จะไปกระตุ้นการสะท้อนกลับของธาตุไฟฟ้า และทำให้ศัตรูได้รับบัฟในเชิงลบ(ใหม่)
แสงแห่งรุ่งอรุณ : ในบางทักษะสามารถเพิ่มพลังต่อสู้ 50% และพลังโจมตี 250% ในบางทักษะ และเพื่อความเสียหายจากธาตุไฟฟ้า 230 หน่วย แต่จะใช้ระยะคูลดาวน์ 23 นาที
พรแห่งเทพเอลฟ์ (แฝง)
เลเวล : Lv 9
คุณสมบัติ : ความเสียหายจากการโจมตีระยะไกลเพิ่มขึ้น 21% ไม่ใช้พลังงาน ไม่มีคูลดาวน์
คุณสมบัติพิเศษเลเวล 3 : เพิ่มความเสียหาย 100 หน่วย
คุณสมบัติพิเศษเลเวล 9 : ทักษะการโจมตีระยะไกลมีการเจาะทะลุเกราะ 20%
เฟเทลช็อต
เลเวล : Lv 9
คุณสมบัติ : สามารถยิงธนูสามดอกติดต่อกันได้ ถ้าลูกธนูทุกดอกสามารถโจมตีศัตรูได้ ธนูดอกแรกจะสามารถทำความเสียหายได้ x180% ธนูดอกที่สองจะทำความเสียหายได้ x210% และธนูดอกที่สาม x240%
มีโอกาสทำให้อยู่ในสภาวะเลือดออก
คูลดาวน์ : 5 วินาที
ค่าพลังที่ใช้ : 190 หน่วย
คุณสมบัติพิเศษเลเวล 3 : เมื่อลูกธนูทั้งสามดอกโจมตีถูกศีรษะ ธนูดอกที่สามจะทำความเสียหายแบบติดคริติคอลแก่ศัตรู 190% (คูลดาวน์คุณสมบัติพิเศษ : 25 วินาที)
คุณสมบัติพิเศษเลเวล 9 : หากลูกธนูทั้งสามดอกจากเฟเทลช็อตโจมตีไปยังศัตรู 50% ของพลังการต่อสู้ของผู้ใช้จะได้รับกลับมา
ธันเดอร์ สแลช (ใหม่)
เลเวล : Lv 9
คุณสมบัติ : ทุกครั้งที่ใช้พลังการต่อสู้ 80 หน่วย จะสามารถใช้การควงดาบสายฟ้าได้ คุณจะต้องใช้พลังการต่อสู้อย่างน้อย 480 หน่วยและสามารถใช้พลังดาบได้ติดต่อกัน 6 ครั้ง แต่ละครั้งสามารถสร้างความเสียให้แก่ศัตรู x180%
คูลดาวน์ : 30 วินาที
ค่าพลังที่ใช้ : 80 – 480 หน่วย
คุณสมบัติพิเศษเลเวล 3 : โจมตีศัตรูติดต่อกัน 3 ครั้ง จะกระตุ้นให้ร่างกายของศัตรูอัมพาต 1-3 วินาที
คุณสมบัติพิเศษเลเวล 9 : โจมตีศัตรูติดต่อกัน 6 ครั้ง จะกระตุ้นให้ร่างกายของศัตรูอัมพาต 3-5 วินาที
เวทย์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์
ระดับ: รีเจนดารี
เลเวล: Lv 20 (0/57300)
พลังเวทมนต์: 2300 แต้ม
ความเร็วในการฟื้นฟู: 80 แต้ม/วินาที
เอฟเฟคพิเศษ: ความต้านทานเวทมนต์ทุกอย่างของคุณเพิ่มขึ้น 3%
เอฟเฟคพิเศษ: พลังโจมตี +18, ความแข็งแรงทางกายภาพ +18, ความว่องไว +18, สติปัญญา +32
เอฟเฟคพิเศษ: ค่าพลังชีวิต +1200
เอฟเฟคพิเศษ: ความแข็งแกร่งของพลังเวทย์โจมตีเพิ่มขึ้น 18% และจะสร้างความเสียหายต่อจิตวิญญาณ 130 หน่วย
สังเวยชีวิต: กับศัตรูอ่อนแอที่มีพลังชีวิตน้อยกว่า 10% คุณสามารถทำการ ‘ดูดวิญญาณ’ และเพิ่มแต้มพลังชีวิตของคุณได้ 30%
ระยะ: ภายใน 7 เมตร
คูลดาวน์: 5 นาที
คำอวยพรของจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ : จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะรวมอยู่ในร่างกายของคุณ มีโอกาสที่จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะขัดขวางและโต้ตอบการโจมตีระยะประชิดทุกครั้งจากศัตรู
ค่าพลังที่ใช้ : ไม่มี
คูลดาวน์: ไม่มี
ต้นไม้ทักษะแห่งนักเวทย์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์
ควบคุมจิตวิญญาณ
เลเวล: Lv 9
คุณสมบัติสกิล: คุณสามารถควบคุมศัตรูอ่อนแอที่มีพลังชีวิตน้อยกว่า 19%
หลังจากการควบคุม พลังชีวิตของศัตรูพวกนั้นจะฟื้นฟูถึง 64%
ค่าพลังที่ใช้: แต้มเวทมนต์ 70 แต้ม
ความเร็วในการใช้: ทันที
คุณสมบัติพิเศษเลเวล 3 : เพิ่มอัตราการควบคุมหากศัตรูมีสายเลือดระดับแกรนด์มาสเตอร์ 3%
คุณสมบัติพิเศษเลเวล 9 : เพิ่มอัตราการควบคุมหากศัตรูมีสายเลือดระดับอีปิค 1%
คูลดาวน์: ไม่มี
ข้อจำกัด: คุณสามารถควบคุมได้แค่สองคนเท่านั้น
ข้อจำกัด: ยิ่งศักยภาพสายเลือดสูงเท่าไหร่ โอกาสควบคุมไม่สำเร็จก็ยิ่งสูงขึ้น ทุกๆเลเวลของศัตรูที่สูงกว่าคุณ อัตราความไม่สำเร็จก็จะสูงขึ้น
ข้อจำกัด: ถ้าคุณสามารถจัดการให้ศัตรูกลายเป็นทาสได้สำเร็จ คุณจะต้องใช้การควบคุมจิตวิญญาณทุกวันวันละครั้งเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของการควบคุม ถ้าไม่อย่างนั้นอัตราการทรยศจะเพิ่มขึ้น หลังจากการเป็นทาสเป็นเวลานาน มันสามารถเปลี่ยนเป็น ‘โซลมาร์ก’ อย่างถาวรได้
สัมผัสแห่งวิญญาณ
เลเวล: Lv 9
คุณสมบัติสกิล: มือคู่หนึ่งของจิตวิญญาณจะโผล่ออกมาจากพื้นดินในทันที จับคู่ต่อสู้ข้อคุณและยึดพวกเขาไว้ได้เป็นเวลา 9 วินาที
ข้อเสีย: ยิ่งศักยภาพสายเลือดสูงเท่าไหร่ โอกาสไม่สำเร็จก็จะยิ่งสูงขึ้น
ระยะ: ภายใน 17 เมตร
ค่าพลังที่ใช้ : พลังเวทย์ 70 หน่วย
คูลดาวน์: 18 วินาที
คุณสมบัติพิเศษเลเวล 3 : หลังจากล้มเหลวในการกักขังศัตรู มีโอกาส 37% จะเกิดความกลัว หลบหนีและบัฟเชิงลบอื่นๆ
คุณสมบัติพิเศษเลเวล 9 : มือวิญญาณสองคู่สามารถโผล่ออกมาพร้อมกันเพื่อกักขังคู่ต่อสู้สองคนได้
คลื่นโซลช็อค
เลเวล: Lv 9
คุณสมบัติสกิล: เมื่อคุณเป็นจุดศูนย์กลาง คลื่นโซลช็อคสามารถสร้างความเสียหาย 350+ (270% xค่าสติปัญญา) ให้กับศัตรูที่อยู่ในระยะ 12 เมตรและสร้างผลกระทบตามหลังถึง 6-8 เมตร นี่ยังทำให้เกิดโอกาสการสลบได้ถึง 37% เป็นเวลา 5 วินาที
ค่าพลังที่ใช้: พลังเวทย์ 90 แต้ม
คูลดาวน์: 1.5 นาที
คุณสมบัติพิเศษเลเวล 3 : หลังจากใช้ทักษะนี้แล้ว ความเร็วในการเคลื่อนไหวของคุณจะเพิ่มขึ้น 36% ภายในเวลา 36 วินาที
คุณสมบัติพิเศษเลเวล 9 : หลังจากใช้ทักษะนี้แล้ว โล่พลังเวทย์ 1000 หน่วยจะถูกสร้างขึ้น หากไม่ได้ป้องกันมันจะหายไปใน 3 วินาที
หัตถ์วิญญาณ (ใหม่)
เลเวล: Lv 3
คุณสมบัติสกิล: หัตถ์วิญญาณสามารถดึง, โจมตี, สัมผัส และทำการเคลื่อนไหวต่างๆได้ และมีขนาดมากกว่ามือของคุณ 40 เท่า เมื่อไม่ได้โจมตีก็จะสามารถดึงร่างที่ไร้ชีวิตได้ ซึ่งใช้พลังเวทย์จำนวนหนึ่งและตัดสินใจว่าคุณจะสามารถดึงหรือผลักวัตถุตามขนาดต่างๆได้หรือไม่
เมื่อเลือกที่จะโจมตี ความเสียหายทางวิญญาณจะเท่ากับ 180+ (ค่าสติปัญญา x130%) และเลือกว่าจะดึงหรือขับไล่ตามความแข็งแกร่งทางร่างกายและพละกำลังของศัตรู
คูลดาวน์: 25 วินาที
ค่าพลังที่ใช้: พลังเวทย์ 30-80 หน่วย/วินาที
ระยะ: ภายใน 0-10 เมตร
คุณสมบัติพิเศษเลเวล 3 : การถูกกักขังอยู่ในหัตถ์วิญญาณจะทำให้เกิดบัฟความกลัวเป็นเวลา 30 วินาที
ทักษะต้นไม้แห่งนักเวทย์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์
เสน่ห์แห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
เลเวล: Lv 9
คุณสมบัติสกิล: สามารถเสริมอาคมอาวุธและธนูได้ เพิ่มค่าความเสียหายทางจิต (230% xค่าสติปัญญา)
ค่าพลังที่ใช้: แต้มเวทมนต์ 5 แต้ม
คูลดาวน์: ไม่มี
คุณสมบัติพิเศษเลเวล 3 : ลูกธนูที่เปี่ยมไปด้วยความลุ่มหลงจะระเบิดหลังจากโจมตีโดนศัตรู สามารถสร้างความเสียหายทางวิญญาณ (110% xค่าสติปัญญา) และระยะการระเบิดคือ 5x5x5 เมตร
คุณสมบัติพิเศษเลเวล 9 : เพิ่มโอกาศในการทำลายโล่ 10%
การจู่โจมแห่งวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
เลเวล: Lv 9
คุณสมบัติสกิล: หลังจากลูกธนูหรือดาบของคุณโดนฝ่ายตรงข้าม คุณสามารถใช้จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สำหรับปกคลุมร่างกายและโจมตีคู่ต่อสู้ของคุณผ่านช่องว่างและสร้างความเสียหายทางกายภาพ 290+ (210% xค่าสติปัญญา)
ระยะ: ภายใน 70 เมตร
ค่าพลังที่ใช้: แต้มเวทมนต์ 50 แต้ม
คูลดาวน์: 5 วินาที
คุณสมบัติพิเศษเลเวล 3 : หลังจากใช้งานการจู่โจมแห่งวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ จะสร้างเกราะเวทมนตร์สามารถคงอยู่ได้ 5 วินาที
คุณสมบัติพิเศษเลเวล 9 : หลังจากใช้งานการจู่โจมแห่งวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ความเร็วการเคลื่อนไหวของคุณจะเพิ่มขึ้น 20% เป็นเวลา 20 วินาที
ศรปีศาจ (ใหม่)
เลเวล: Lv 3
คุณสมบัติสกิล: ใช้เวทย์วิญญาณเป็นลูกศรเพื่อยิงศรปีศาจที่สามารถเจาะเกราะ, ผนัง, ต้นไม้, และสิ่งอื่นๆได้ ทำให้เกิดความเสียหายโดยตรง 180+ (180% xสติปัญญา) ต่อร่างกายของศัตรู
คุณสมบัติพิเศษเลเวล 3: ถ้าโจมตีถูกศีรษะ จะมีโอกาสสร้างความเสียหายแบบติดคริติคอลสองเท่า 10%
คูลดาวน์: 60 วินาที
ค่าพลังที่ใช้: แต้มเวทมนต์ 100 แต้ม
วิลเลียมมองไปยังค่าสถานะและทักษะของเขา และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดี ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำตาว่า “นี่สิคือบอสระดับรีเจนดารี และเป็นบอสระดับรีเจนดารีที่ไม่มีแม้แต่อุปกรณ์ที่ทันสมัย”
“ฉันต้องพูดว่า” วิลเลียมค่อยๆกำมือแล้วมองไปยังท้องฟ้า “ฉันเติบโตขึ้นแล้ว!”
วิลเลียมจับจ้องไปยังคุณสมบัติพิเศษของพลังการต่อสู้
คุณสมบัติพิเศษ: เมื่อคุณเปิดการใช้งานโล่จิตวิญญาณ คุณสมบัติพิเศษของคัมภีร์ลับจะเปิดใช้งานแบบ x2 และเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ 25% (ใหม่)
“นี่คือเหตุผลว่าทำไมผู้เชี่ยวชาญระดับกลางถึงทรงพลัง ตราบใดที่คุณเปิดการใช้งานโล่พลังงาน คุณสมบัติพิเศษของคัมภีร์ลับจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เมื่อคุณสมบัติพิเศษอื่นๆเพิ่มเข้ามาอีก ซึ่งเทียบเท่ากับแก่นแท้ของการเปลี่ยนแปลงของพลังการต่อสู้ อย่างไรก็ตาม ความรวดเร็วของการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น 25% นั้นทรงพลังกว่า คัมภีร์ลับระดับแกรนด์มาสเตอร์เล็กน้อย เหนือกว่าเล็กน้อยตริงๆ” วิลเลียมยินดี
เขามองไปยังทักษะใหม่ทั้งสาม “ธันเดอร์ สแลชนั้นแข็งแกร่งมาก ถ้าฉันสามารถกวัดแกว่งดาบได้ภายในพริบตาและเข้าถึงเป้าหมายได้ มันจะแข็งแกร่งเป็นอย่างมากแน่นอน”
“และความสามารถเสริมของหัตถ์วิญญาณจะสามารถให้ฉันแสดงการเคลื่อนไหวที่สำคัญที่สามารถดึงศัตรูหรือทำให้ศัตรูล่าถอยด้วยการชกได้ มันเพิ่มความคุกคามในระยะยาวเป็นอย่างมาก”
“สำหรับศรปีศาจนั้น ฟังก์ชันของมันก็สำคัญเช่นเดียวกัน เมื่อฉันมีค่าประสบการณ์พอที่จะเพิ่มเลเวลให้เต็ม มันก็ถือว่าเป็นทักษะที่บ้าคลั่ง ความสำคัญของการเจาะวัตถุต่างๆและโจมตีศัตรูนั้นใหญ่มาก และเป็นการเคลื่อนไหวที่ดีในการลอบโจมตี”
วิลเลียมเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าในสถานการณ์ที่ปลอดภัย ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่จะไม่เข้าไปยุ่งกับการยึดติดอยู่ที่พลังการต่อสู้ หากศรปีศาจถูกยิงออกแล้วโจมตีถูกศรีษะ มันจะทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงอย่างแน่นอน บวกกับโอกาส 10% ที่จะเพิ่มความเสียหายเป็นสองเท่า ปัญหาเดียวตอนนี้ก็คือ… เขาจะยิงถูกหัวมันได้ยังไง?
“สมองเป็นสิ่งที่ดีและเป็นที่ที่อันตรายที่สุดในGods หากไม่ได้รับการป้องกันที่ดี คนๆนั้นก็อยู่ไม่ไกลจากความตาย”
ความช่วยเหลือจากคัมภีร์ลับระดับรีเจนดารีทำให้เขาเข้าใจว่าทำไมมันถึงยากที่จะเอาชนะบอสระดับรีเจนดารีในชีวิตก่อนหน้านี้
มันไม่ใช่แค่โบนัสของระดับสายเลือด กุญแจสำคัญคือ ถ้าNPC ระดับรีเจนดารีนั้นมีคัมภีร์ระดับรีเจนดารี มันจะน่าประหลาดใจมาก นั่นคือสาเหตุที่บอสทุกชนิดถูกแบ่งออกเป็นเลเวล 3, เลเวล 6 และเลเวล 9 กุญแจสำคัญคือจะต้องมีคัมภีร์ลับ, อุปกรณ์, ทักษะ และอื่นๆที่เหมาะสม
“สำหรับคำอวยพรของจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ มีโอกาสกี่ครั้งกันที่จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะเกิดขึ้นในร่างกายของฉันเพื่อช่วยในการขัดขวางการโจมตีหรือแม้แต่ตอบโต้กลับ… ฉันจะใช้มันยังไงดี?” วิลเลียมมองดูโชคของเขา เห็นได้ว่ามันเป็นของเสียชัดๆ
บทที่ 61: ทรมาน
เอาเป็นว่า สำหรับตอนนี้ยังไม่ต้องสนใจปัญหาเรื่องการเข้าเมือง
ทันทีที่วิลเลียมพัฒนาได้สำเร็จ เขาก็นำอเล็กซ์กลับมาที่เมืองและจับตัวสายลับคนนั้น!
นักฆ่าเลเวล 62 นั้นไม่ได้เป็นที่รู้จัก อย่างไรก็ตาม เรารู้ว่านักฆ่าคนนี้มาจากไหน และใครที่นักฆ่าคนนี้ทำงานให้ ดังนั้น มันจึงไม่มีความจำเป็นสำหรับสายลับที่จะต้องซ่อนตัวอีกต่อไป
แต่เมื่อพวกเขาจากไป เงาหนึ่งก็โผล่ออกมาและเดินออกจากโพลงหญ้าช้าๆ โดยที่อเล็กซ์ไม่รู้ตัว
เงานั้นคือลอทเนอร์ เขาเพียงแค่ทดสอบว่าอเล็กซ์มีความจงรักภักดีมากพอหรือไม่
คืนนั้นพวกเขากลับมาที่เมืองแห่งรุ่งอรุณ ร่างทั้งร่างของวิลเลียมที่เต็มไปด้วยคราบเลือดทำให้ผู้พิทักษ์ตรงประตูเมืองซึ่งกำลังหย่อนสะพานลงมาด้วยความเร่งรีบต้องตกใจเมื่อประตูเมืองเปิดออก
จากนั้น ทั้งคู่ก็เข้ามาถึงที่พักส่วนตัวแห่งหนึ่ง
วิลเลียมเตะประตู คนที่อยู่ด้านในบ้านดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางอย่างและพยายามที่จะหลบหนีไปทางหน้าต่าง แต่วิลเลียมกลับยิงธนูไปที่โคนขาของเขา เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นจากผู้บุกรุกก่อนที่เขาจะล้มลง
“ท่านลอร์ด ท่านต้องการให้ข้าสอบปากคำเขาหรือไม่?” อเล็กซ์ถามในขณะที่เดินอยู่ข้างเขา
วิลเลียมหรี่ตาของเขาลง เขาจับผมและลากสายลับคนนั้นออกจากบ้าน “ไม่จำเป็น เราจะทำเอง”
“ม-ไม่ ท่านลอร์ด ท่านลอร์ด ปล่อยข้าไป… อ๊าก ไม่…” เสียงโอดครวญอันน่าสังเวชของสายลับไม่มีผลต่อวิลเลียม สายลับคนนั้นกระเสือกกระสนที่จะหลุดหนีด้วยแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ แต่มันก็เปล่าประโยชน์
วิลเลียมจ้องไปที่สายลับตรงหน้าของเขา ด้วยการโบกมือเพียงครั้งเดียว เขากระชากกลุ่มผมติดมือออกมาพร้อมกับหนังศีรษะทำให้เลือดเริ่มหยดออกมา
ความเจ็บปวดนั้นมากกว่าอะไรที่สายลับคนนั้นจะจินตนาการได้ และเขาก็ไม่อาจกลั้นเสียงร้องโอดครวญออกมาได้
แต่มันก็ไร้ประโยชน์ ในเมืองแห่งรุ่งอรุณนี้ ไม่มีใครที่จะมาช่วยเขาได้หรอก…
“พูด! ใครส่งเจ้ามา?”
“ท่านลอร์ด ท่านกำลังพูดถึงอะไร? ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ข้าแค่อยากจะเป็นคนของที่นี่…”
กรอบ!
วิลเลียมเตะสายลับและหักขาขวาของเขา ตอนนี้กระดูกขาของเขาโผล่ทะลุออกมาสูดอากาศแล้ว แต่ก่อนที่สายลับจะได้กอดขาและร้องออกมา วิลเลียมก็จับกระดูกขาท่อนล่างและดึงมันออกมาอย่างเลือดเย็น
“อ๊าก! อ๊า อ๊า อ๊า อ๊า อ๊าก!!!”
“ขา ข-ขาของข้า…” ดวงตาของสายลับเบิกกว้าง เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่าเอลฟ์ตรงหน้าผู้ที่ร่างกายโชกไปด้วยเลือดจะเป็นลอร์ดที่แสนใจดีและมีเมตตาคนนั้นที่เขารู้มา
แล้วก็อีกอย่าง นี่มันเป็นการสอบปากคำประเภทไหนกัน?
เขาจำเป็นที่จะต้องโหดร้ายขนาดนี้ด้วยหรอ?
ในจังหวะที่เขาเห็นวิลเลียมเตะประตูออก เขาก็รู้ว่าตัวตนของเขาถูกเปิดเผยแล้ว แต่นี่มันเป็นการสอบปากคำประเภทไหนกัน? มันควรจะเริ่มด้วยความสุภาพก่อนที่จะโหดร้ายสิ ใช่มั้ย?
นี่ นี่มันไม่ได้อยู่ในสคริปต์…
วิลเลียมยกกระดูกขาขึ้น ชิ้นเนื้อสดบางส่วนยังคงเผยให้เห็น เขาย่อตัวลงตรงหน้าสายสืบช้าๆ เสียงของเขานั้นเยียบเย็นราวกับน้ำแข็ง “พูด! เปิดปากเล่าทุกอย่างที่เจ้ารู้ออกมา ถ้าเจ้าไม่พูด เราจะทำให้เจ้าต้องกินเนื้อตัวเอง จากนั้น เราจะขังเจ้าไว้ในที่คุมขังจนกว่าเจ้าจะกินเนื้อของตัวเองจนหมดและตาย”
สายสืบเริ่มตัวสั่นและเย็นวาบไปถึงสันหลัง ในตอนนั้นเอง ที่เขาเชื่อว่าวิลเลียมจะทำอย่างที่พูดจริงๆ
ปีศาจตรงหน้าเขาจะทำเรื่องป่าเถื่อนอย่างว่านั้นแน่นอน
ความใจดีและมีเมตตาในอดีตทั้งหมดนั้นเป็นแค่การแสดง
ไม่สงสัยเลยที่หัวหน้าของเขาต้องการสังหารวิลเลียม
ไม่สงสัยเลยที่หัวหน้าของเขารู้สึกว่าเอลฟ์ตนนี้เป็นอุปสรรคในการแสวงหาอิสระภาพของพวกเขา
ลอร์ดของเมืองแห่งรุ่งอรุณต้องตาย!
“ท่านหัวหน้าพูดถูก ถ้าพวกเราครอบครองเมืองแห่งรุ่งอรุณ ศัตรูจากพันธมิตรอิสระจะสามารถเคลื่อนไหวได้ตามสะดวก ข้อมูลที่ข้าส่งออกไปถูกต้องแล้ว เขาควรตาย” สายสืบคิดหนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาลืมว่ายังมีบอสระดับรีเจนดารีที่ความอดทนต่ำอยู่ตรงหน้าเขา
วิลเลียมโหดร้ายไปรึเปล่าหรอ?
ไม่เลย เขาแค่กลัวความตาย
ใครจะไปคิดว่านักท่องเที่ยวคนหนึ่งผู้มีความชื่นชอบในสิ่งที่เขากลัวจะกลัวโลกนี้หลังจากที่เขาได้เดินทางจริงๆ แล้ว?
ใครจะไปคิดว่าผู้เล่นคนหนึ่งที่สามารถเกิดใหม่ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งจะรู้สึกตื่นตระหนกเมื่อเขามีชีวิตเหลืออีกแค่ชีวิตเดียวในเกม
วิลเลียมกลัวขนาดไหน?
เขาต้องมีลอทเนอร์อยู่ที่ส้นรองเท้าตลอดเวลาไม่ว่าจะเมื่อไหร่และที่ไหน นี่รวมด้วยรึเปล่า?
อันที่จริงแล้วเขากลัวมากๆ!
เขากลัวตาย
มันก็แค่ว่าเขานั้นปกปิดความรู้สึกได้ดีก็เท่านั้น เขาแสดงบรรยากาศที่ใจดีและผ่อนคลาย และเขาก็ไม่ได้สนใจ
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่กลัวตาย
เห็นๆ กันอยู่ว่าเขาหลีกเลี่ยงการติดต่อกับอาณาจักรมนุษย์ และข่มขู่ผู้คนมากมาย
แต่ก่อนที่เขาจะย้ายมาที่ร่างนี้ ใครบางคนก็ต้องการที่จะฆ่าเขาด้วยเหตุผลบางอย่าง และจนถึงตอนนี้ พวกเขาก็ยังไม่มีท่าทีที่จะหยุดเลย…
ปีศาจในหัวใจของเขาได้ถูกทำให้ใหญ่ขึ้นอย่างไม่จำกัดตลอดเวลา เขาเก็บซ่อนความเกลียดชังขนาดมหึมาเอาไว้สำหรับคนที่ต้องการจะฆ่าเขา
เมื่อเขารู้ว่าใครคือคนๆนั้น เค้าเองก็มั่นใจว่าจะไม่มีใคร แม้แต่ครอบครัวและเพื่อนทุกคนในโลกนี้จะไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยวกับคนๆนี้อีก แม้ว่าจะเป็นอย่างนั้น คนๆนี้ก็ต้องการจะฆ่าเขา
ดังนั้น
เขาก็จะไม่ลังเลที่จะใช้วิธีที่โหดร้ายทารุณที่สุดในการจัดการกับคนๆ นั้น หรือแม้แต่กับคนใต้บังคับบัญชาของเขา
วิลเลียมเหยียบลงบนขาที่หักอยู่ด้วยความโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ พรวด เลือดกระฉูดลงบนพื้น
“อ๊าก อ๊าก อ๊าก อ๊าก อ๊าก..” ดวงตาของสายสืบกลายเป็นสีแดง และเส้นเลือดดำตรงคอของเขาก็ผุดขึ้นมา เขากำหมัดแน่นและมองไปที่วิลเลียมด้วยความโกรธเคือง แต่เขายังคงปิดปากแน่น
ขาที่หักของเขาถูกลดระดับกลายเป็นเนื้อเน่า แม้แต่กระดูกขาของเขาก็ถูกดึงออกมา แต่นี่แค่ทำให้ความเกลียดชังของเขาเพิ่มขึ้นเท่านั้น
สายสืบคนนั้นกำลังใช้ความเกลียดชังเพื่อตั้งมั่นต่อต้านการทรมานของวิลเลียม
แต่ในขณะที่ผู้เล่นมากประสบการณ์คนหนึ่งมีประสบการณ์กว่าสิบปีในการเล่นเกม ด้วยความสามารถในการทนทานความเจ็บปวดได้กว่า 50% วิลเลียมชินชากับการเห็นความตายและการทรมาน โดยเฉพาะรุ่นพี่ของเขาที่ชอบความสมจริงนี้ โลกที่อิสระ
เขาเคยเป็นตำนานมาแล้วครั้งหนึ่ง
เขายังคงเป็นตำนานอยู่
วิลเลียมหัวเราะอย่างผู้อยู่เหนือกว่า จากนั้น เขาก็ค่อยๆ ยืดมือยาวๆ ของเขาออกมา…
เสียงโอดครวญร้องขึ้นและเบาลง มันก็เป็นเหมือนจังหวะ ราวกับเสียงสะท้อนที่งดงามตลอดคืน
เสียงร้องที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเสียงอ้อนวอนขอความเมตตาดังกึกก้องไปทั่วระยะ 100 เมตร
อเล็กซ์กำลังยืนคุ้มกันอยู่ด้านนอก เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียวสันหลังวาบเมื่อได้ยินเสียงโอดครวญเหล่านั้น เขาสามารถจินตนาการได้ถึงความหวาดกลัวที่มือสังหารรู้สึก คนในระแวกนั้นเองก็คงจะได้รับความกระทบกระเทือนในจิตใจเช่นกัน
โชคดีที่มีทหารยามหลายคนคอยตรวจตราพื้นที่อยู่ พลเมืองจึงสามารถรออยู่ในบ้านอย่างปลอดภัย เมื่อเหล่าทหารยามแจ้งให้พวกเขารู้เกี่ยวกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น มือสังหารที่พยายามจะฆ่าท่านลอร์ดของพวกเขาถูกจับตัวได้แล้ว
เหล่าพลเมืองเข้าใจและไม่ได้รู้สึกกลัวเสียงโอดครวญเหล่านั้น
ที่สุดแล้ว ท่านลอร์ดก็ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดีเยี่ยมอย่างที่อาณาจักรมนุษย์อื่นๆ ทำไม่ได้ ถ้าหากว่ามีการพยายามลอบสังหารท่านลอร์ดผู้มีเมตตาของพวกเขาขึ้นจริง พวกเขาก็ไม่สนใจถ้าเจ้าคนชั่วนั่นจะถูกทรมานจนตาย
แต่พวกเขาคงไม่มีทางที่จะจินตนาการได้ว่าท่านลอร์ดนั้นเป็นคนที่ลงมือทรมานด้วยตัวเอง…
ดังนั้น
เหล่าพลเมืองจึงไม่ได้ใส่ใจและฟังเสียงร้องครวญครางไปตลอดทั้งคืน
วิลเลียมไม่ได้ถามต่อ
แม้ว่าสายสืบตรงหน้าจะยอมจำนน และต้องการที่จะเปิดปากพูด
เขาก็ไม่ต้องการที่จะทำการสอบปากคำต่อไป
ทุกความคับข้องใจเกี่ยวกับการเสียชีวิตที่วิลเลียมสั่งสมไว้ตั้งแต่เขาย้ายเข้าร่างมานั้นถูกเขาระบายออกมาจนหมด การทรมานนั้นเลยเถิดไปถึงจุดที่ว่าไม่มีส่วนใดบนร่างของสายสืบที่ไม่ถูกทำร้าย ผิวของเขาถูกลอกออกและเส้นเอ็นทั้งหลายก็ถูกดึงออกมา!
ยามเช้ามาถึง
ประตูเปิดออกพร้อมวิลเลียมที่เดินออกมา
เมื่อทหารยามจำนวนหนึ่งเข้าไปทำความสะอาดศพและห้อง พวกเขาเห็นเศษเนื้อกระจายอยู่รอบบ้าน ศพหนึ่งนอนราบอยู่บนพื้นพร้อมกระดูกที่ทะลุออกมาจากร่าง พวกเขาอ้วกออกมาทันที และจากนั้นก็อ้วกออกมาอีกครั้ง…
“ใครคือทาสนั่น?” ลอทเนอร์ที่ยืนอยู่เคียงข้างวิลเลียมถามเบาๆ
วิลเลียมย่อตัวลงข้างแม่น้ำและทำความสะอาดใบหน้าของเขา เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และถอนหายใจ “เขาเพียงแค่คอยจับตามองเราเท่านั้น และคอยส่งข้อมูลให้คนอื่นๆ”
“วิธีของท่านนั้นโหดร้ายเกิดไป มันไม่สมกับเป็นท่านเลย คนแข็งแกร่งไม่ควร—”
“ไม่” วิลเลียมพูดแทรกลอทเนอร์ “เมื่อคนที่อ่อนแอเลือกที่จะท้าทายคนที่แข็งแกร่ง พวกเขาควรจะเตรียมใจมาให้เรียบร้อย ถ้าพวกเขาต้องการฆ่าเรา ทำไมเราจึงควรปล่อยให้พวกเขาตายดีล่ะ? มันฟังไม่ขึ้นเลย พวกเขาไม่ควรไปเยือนนรกง่ายๆ โดยไร้ความทรมาน”
วิลเลียมยืนขึ้นช้าๆ และมองไปที่ลอทเนอร์ “ในตอนที่เราอ่อนแอ ศัตรูของเราปล่อยให้เรามีชีวิตรอดในขณะที่เราต้องสั่นไปทั้งตัวด้วยความกลัว เราต้องฝืนอดทน ไม่กล้าแม้แต่จะผายลม เราแกล้งทำเป็นว่าเราไม่รู้อะไรเกี่ยวการลอบสังหารทั้งหลายก็ได้”
“แต่ในตอนที่เราได้รับอำนาจและพลัง การแก้แค้นของเราได้เริ่มขึ้นแล้ว”
ลอทเนอร์มีสีหน้าที่สับสน เขาไม่เคยคาดคิดว่าวิลเลียมจะเปลี่ยนไปมาขนาดนี้หลังจากที่กลับมาจากเมืองดาร์คไนท์
“ไม่สำคัญว่าจะยังไง ลอทเนอร์คนนี้จะเป็นผู้ดูแลเมืองให้ท่านเสมอ”
“ท่านลุง?”
“อ่า… ไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าลุงหรอกท่านลอร์ด ตอนนี้ข้าต้องขอตัว ลาก่อน”
ตกกลางคืน
ถึงเวลาแล้วที่วิลเลียมจะอาบน้ำและนอนบนเตียงอย่างสบายใจ
เขาเริ่มนึกถึงความทรงจำของเขา
อิสระเสรีภาพ
ไม่ว่าจะโลกไหนหรือยุคสมัยใดก็มักจะมีคนออกมาเรียกร้องอิสระภาพ พวกเขาใช้สิ่งนี้เพื่อต่อต้านสังคมที่พวกเขาอยู่…
พวกเขารู้สึกว่าชีวิตของตนในเวลานั้นไม่ยุติธรรมเมื่อเทียบกับคนอื่น
พวกเขารู้สึกว่าชีวิตแบบนั้นไม่ควรมีอยู่และควรเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ทุกคนควรเท่าเทียมกันและพวกชนชั้นสูงไม่ควรดำรงอยู่เสียด้วยซ้ำ
ในเวอร์ชัน 1.0 โกธี นาซิสได้ออกมาเรียกร้องเสรีภาพ เขาไม่ได้มีเพียงทักษะในการพูดที่สามารถล้างสมองผู้คนได้เท่านั้น แต่เขายังเป็นคนที่ทรงพลังมากที่สุดในเวอร์ชันนี้อีกด้วย
อาณาจักรเหล็กและอาณาจักรลาวาดำ เช่นเดียวกับเมืองเล็กๆตามแนวชายแดนที่เป็นของเบื้องสูงนั้นต่างก็ตกต่ำและถูกทำลายภายใต้แผนการของเขาทั้งสิ้น ในที่สุด เขาก็กลายเป็นผู้ควบคุมพื้นที่แถบนั้น หากกล่าวโดยไม่อ้อมค้อมก็จะได้ว่า เขาเป็นตัวละครหลักของเวอร์ 1.0 นั่นเอง
ราชาของอาณาจักรเหล็กเป็นได้เพียงหุ่นเชิดของเขา ภายใต้การควบคุมของเขา ขุนนางในอาณาจักรเหล็กต่างประสบเหตุการณ์ร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า อำนาจของเหล่าขุนนางต่างอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ขุนนางภายใน, แม่ทัพ และเจ้าหน้าที่ประจำหัวเมืองต่างๆได้โผล่ขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว พวกเขาแสร้งทำตัวเป็นผู้มีอำนาจและเปลี่ยนแปลงระบบไปไม่มากก็น้อย
แต่ว่า…
เมื่อชนชั้นสูงในอาณาจักรเหล็กล่มสลายไป และหลังจากนั้นอาณาจักรลาวาดำก็ถูกกำจัด เกิดอะไรขึ้นกัน? อิสระภาพนี้แสดงถึงอะไร?
อิสระภาพที่ไร้กฏเกณฑ์เช่นนี้ทำได้เพียงเปลี่ยนพลเมืองที่บ้าคลั่งให้เป็นทาสรับใช้อันธพานหัวรุนแรงเท่านั้นแหละ
ในเวอร์ชัน 1.0 ทวีปรีเจนดารีเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้เล่นผิดหวัง
พวกเขาปฏิรูประบบชนชั้นสูงเพื่อให้ได้รับอิสรภาพ พวกเขาได้ยกเลิกระบบทาสในอาณาจักรเหล็กและปลดชนชั้นของเหล่าขุนนาง เวลาไม่นาน พวกเขาก็ดึงดูดผู้เล่นมามากเกินไป
มันสามารถอธิบายได้ด้วยตัวของมันเอง เพราะมันคือระบบของอิสระภาพ
ผู้เล่นเพิ่งเข้ามาในเกม พวกเขายังไม่คุ้นเคยกับระบบชนชั้นมากนัก พวกเขาจึงยินดีที่จะต่อสู้เพื่อเสรีภาพ ผู้เล่นหลายคนที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมจึงกระจายผลประโยชน์ของเสรีภาพลงไปในฟอรั่ม
จากนั้น ด้วยความช่วยเหลือของกองทัพผู้เล่นที่สามารถฟื้นคืนชีพได้นับไม่ถ้วน อาณาจักรเหล็กจึงสามารถเอาชนะอาณาจักรลาวาดำได้
แต่ชัยชนะในครั้งนี้ไม่ได้ทำให้เหล่าผู้เล่นรู้สึกยินดีเท่าไหร่นัก พวกเขาไม่คิดว่าระบบใหม่ที่มาแทนระบบเก่านั้นนั้นยอดเยี่ยม
แต่จิตใจของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความรังเกียจแทน
เมื่อระบบชนชั้นถูกยกเลิก ทาสและชาวเมืองที่ไม่มีมาตรฐานก็เข้าไปในป่า พวกเขาทำตัวราวกับปีศาจและโหดร้าย พวกเขาตามล่าสังหารคนที่มีอำนาจมาก่อน
เด็กสาวจากครอบครัวชนชั้นสูงถูกเหยียบย่ำจนตายโดยคนนับไม่ถ้วน
หากย้อนกลับไปตอนนั้น อาณาจักรลาวาดำกลายเป็นนรกบนดิน มีทั้งการสังหารหมู่ การข่มขืน การปล้นฆ่า…
โดยเฉพาะคฤหาสน์ของเหล่าชนชั้นสูงที่เป็นที่หมายตาของพวกทาสทั้งหลาย ที่แห่งนั้นล้วนเต็มไปด้วยทาส และทุกที่ที่เหล่าทาสไป สิ่งที่ตามมากมักจะเป็นเสียงกรีดร้องที่น่าสงสารและความโศกเศร้าเสียใจ…
ไพร่ทาสจำนวนนับไม่ถ้วนพรั่งพรูขึ้นดั่งดอกเห็ด หญิงสาวต่างป้องกันชะตากรรมที่โหดร้ายด้วยการฆ่าตัวตาย
หากพวกเธอไม่ทำเช่นนั้น พวกเธอก็อาจจะถูกทรมานอีกครั้งและอีกครั้ง พวกเธออาจจะถูกจองจำเอาไว้
แม้กระทั่งหญิงสาวสวยบางคนที่ถูกทรมานจนตายไปแล้ว แต่ก็ยังมีทาสที่ต่อแถวเพื่อทรมานพวกเธออยู่…
การกระทำเช่นนี้คืออะไร? แล้วใครเป็นกันที่เป็นฝ่ายผิด?
พวกเขาเป็นชาวเมืองที่ถูกบังคับมาโดยตลอดงั้นหรือ?
พวกเขาเป็นทาสที่ถูกกดขี่มาโดยตลอดงั้นหรือ?
ไม่ใช่ ตามหลักปฏิบัติของชนชั้นสูงในโลกใบนี้ ดูเหมือนว่าการปลดปล่อยพลเมืองและเหล่าทาสทั้งหลายจะไม่ใช่สิ่งที่ผิดอะไร
ข้อผิดพลาดเพียงข้อเดียวคือ โกธี นาซิส
เขาสามารถเลือกที่จะหยุดและปล่อยให้ขุนนางทั้งหลายนั้นจากไปอย่างสงบ!
แต่เขากลับไม่สนอะไรทั้งนั้น
เขารอให้เหล่าทาสและพลเมืองได้รับการปลดปล่อย
หลังจากที่ระบบชนชั้นสูงนั้นถูกทำลายลงโดยเหล่าทาสและพังทลายลงอย่างสมบูรณ์แล้ว ขุนนางภายในที่ทำหน้าที่บัญชาการกองทัพได้เข้าควบคุมกลุ่มผู้ประท้วง
ชาวเมืองก็ยังเป็นแค่ชาวเมือง
ระบบของทาสงั้นหรือ?
โกธีได้กล่าวว่ามันจะไม่มีอีกแล้ว แต่เขาได้เปลี่ยนเหล่าคนที่ข่มขืนและฆ่าขุนนางให้เป็นทาสโดยอ้างว่าพวกเขาก่ออาชญากรรม
นี่คืออิสระภาพที่แท้จริงและความเท่าเทียมงั้นหรือ?
ไม่ใช่
มันเป็นแผนง่ายๆที่จะทำให้เขามีอำนาจ เขาใช้ประโยชน์จากสถานการณ์โดยรวมและปลุกเปลวไฟแห่งสงครามให้ลุกโชนขึ้น
แต่ความจริงแล้ว ชาวเมืองพูดว่าอย่างไรกันแน่?
พวกเขาไม่ได้ออกเสียงด้วยซ้ำ
โกธีได้ล้มระบบชนชั้นและให้ ‘เสรีภาพ’ แก่พวกเขา แต่คนที่ก่ออาชญากรรมอย่างการข่มขืนและการลักขโมยนั้น พวกเขาก็ควรกลายเป็นทาส ถูกไหม?
ท้ายที่สุดแล้ว ตามกฏหมายที่พวกเขาใช้ ถ้าหากคนใดก่ออาชญากรรม คนนั้นก็ควรกลายเป็นทาส…
นั่นเป็นเรื่องดี ตราบใดที่ตัวพวกเขาเองไม่ได้กลายเป็นทาส…
อย่างน้อยมันก็ค่อนข้างแตกต่างจากระบบทาสระบบที่แล้วมา
แต่มีพลเมืองส่วนน้อยมากที่ตระหนักได้ว่าโกธีอนุญาตให้ทาสเหล่านี้ก่ออาชญากรรม
โกธีได้เข้าควบคุมและมีอำนาจสูงสุด ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาที่ติดตามมาตั้งแต่เริ่มแรกได้กลายเป็นขุนนางและผู้บัญชากองทัพ พวกเขาได้ก่อตั้งชนชั้นสูงรุ่นใหม่ อิสระเสรีภาพที่ได้มาเป็นเพียงในนามเท่านั้น…
ความเสมอภาคและเสรีภาพได้เปลี่ยนระบบชนชั้นสูงไปเป็นระบบอำนาจอย่างหนึ่งเท่านั้น ผู้คนไม่สามารถเท่าเทียมกันได้ และไม่อาจที่จะเป็นไปได้
“ระบบในปัจจุบันนั้นไม่ได้ดีมากนัก และชนชั้นสูงพวกนั้นไม่ได้มีเมตตามากเท่าไหร่ แต่เป็นเพราะการมีอยู่ของระบบชนชั้น โลกใบนี้จึงสงบสุข มีผู้คนตายน้อยกว่าเหตุการณ์อื่นๆ”
“คุณต้องการเปลี่ยนระบบสังคมของทวีปนี้จริงหรือ?”
“มีกี่คนในทวีปรีเจนดารีที่ต้องตายจากการปฏิวัตินี้กัน?”
“นอกจากนี้ นี่คือโลกที่เคารพความแข็งแกร่ง…”
“ทำให้เกิดอิสระภาพไม่ได้หรอก แม้กระทั่งในศตวรรษที่ 23 บนโลกก็ตาม”
“อาจกล่าวได้ว่าองค์กรที่เกี่ยวข้องกับอิสระภาพเป็นลัทธิที่ชั่วร้าย” วิลเลียมแค่นหัวเราะ
หากใครสักคนต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงระบบ เขาต้องรอจนกว่าระบบจะถึงทางสิ้นสุดของมัน ระบบชนชั้นยังไม่ถึงจุดนั้น แล้วพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงมันได้อย่างไร?
มันดูเป็นไปไม่ได้
“ฉันแค่ต้องการรออย่างอดทนและดึงดูดผู้เล่นในฐานะลอร์ด ฉันเพียงต้องการพัฒนาไปอย่างช้าๆและต่อสู้กับอสูรขณะที่ชมสงครามระหว่างสองอาณาจักร แต่คุณได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตศีลธรรมของฉันเข้าให้แล้ว” วิลเลียมคิดในใจ จากนั้นเขาก็ผล็อยหลับไป
วันรุ่งขึ้น เขามายังกระท่อมทำนายดวงชะตา
หาได้ยากที่จะได้เห็นว่ากระท่อมทำนายยังคงเปิดอยู่ในตอนบ่าย โมเสสกำลังลูบขนแมวดำของเขาขณะที่อุ้มมันไว้ในอ้อมแขน เขาใช้มือกางอุ้งเท้าของแมวออกก่อนจะจุ่มหน้าไปยังหน้าอกของแมวดำและสูดหายใจเข้าลึกๆ ความพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าของเขา แต่แล้วก็เกิดรอยขีดข่วนขึ้น…
เหมียว!
แมวดำมองเห็นวิลเลียม มันดูเหมือนจะประหม่าและเขินอายขณะที่ร้องเหมียวออกมา
อย่างไรก็ตาม โมเสสไม่ได้สนใจเท่าไหร่นักเขายังคงสูดกลิ่นของเจ้าแมวดำต่อไป เขาไม่ได้สนการมาถึงของท่านลอร์ดและไม่ได้ต้อนรับเสียด้วยซ้ำ ท้ายที่สุดแล้ว วิลเลียมมาถึงนานพอควรและโมเสสก็ขี้เกียจเกินไปที่จะจัดการเขา
เหมียว…
เหมียว เหมียว…
เจ้าแมวดำเริ่มต่อสู้กลับ มันใช้ความพยายามและพลังงานไปมากโข และในที่สุดมันก็สามารถหลุดออกจากมือของโมเสสได้ มันกระโดดขึ้นมาบนโต๊ะและจ้องมองโมเสส ก่อนจะวิ่งหนีไปด้วยความกรุ่นโกรธ
โมเสสเลียริมฝีปากของเขาเพื่อลิ้มรสที่ค้างอยู่ในคอ จากนั้นเขาก็ทำเพียงมองดูวิลเลียมเท่านั้น “ดูเหมือนว่าท่านลอร์ดจะทราบเกี่ยวโชคชะตาในเวลานี้?”
เห็นได้ชัดเจนว่าเขารับรู้ว่าวิลเลียมได้ก้าวเข้าสู่ผู้เชี่ยวชาญระดับกลาง มันเร็วมาก แต่ความเร็วในการก้าวหน้าเช่นนี้เทียบไม่ได้กับโมเสสแม้แต่น้อย
เขาเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง
เขาเริ่มฝึกฝนเวทมนตร์ตอนอายุ 13 เขาใช้เวลาเพียงแปดปีในการฝึกฝนก่อนจะก้าวเข้าสู่ผู้วิเศษ (สถานะระดับอีปิค)
เขากลายเป็นผู้วิเศษด้วยอายุเพียง 21 ปี
ส่วนในปัจจุบัน
เขาอายุสามสิบหน่อยๆ ไม่ได้แตกต่างกับคนหนุ่มสาวมากนัก
หากเขาไม่ได้ถูกสาป ความเร็วในการก้าวหน้าของเขาคงไม่ล่าช้า และเขามั่นใจเป็นอย่างมากว่าจะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับรีเจนดารีที่แท้จริงภายในอายุ 25
วิลเลียมทำอะไรไม่ถูกและไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับอัตราการก้าวหน้านี้ได้…
มี NPC หลายคนที่มีสายเลือดระดับรีเจนดารี อาจกล่าวได้ว่าสายเลือดระดับก็เหมือนกับสุนัข และสายเลือดระดับอีปิคก็สามารถพบเห็นได้ทั่วไป
นี่เป็นแค่พรสวรรค์ตามธรรมชาติและไม่ได้แสดงถึงเลเวลของพวกเขา
NPC ส่วนใหญ่ที่มีสายเลือดระดับรีเจนดารีไม่มีโอกาสที่จะกลายเป็นรีระดับตำนาน คนมากมายต่างถอนตัวไปในช่วงต้นหรือช่วงกลาง แม้ว่าพวกเขาจะกลายเป็นระดับตำนานได้ มันก็ต้องใช้เวลาหลายสิบปีหรือหลายทศวรรษ
NPC ที่มีทั้งพรสวรรค์ที่พิเศษและสามารถฝึกฝนได้อย่างรวดเร็วนั้นหาได้ยากยิ่ง
วิลเลียมสงสัยอยู่ตลอดว่าโมเสส โฮลีย์เวนนั้นมีความสามารถติดตัว ‘ผู้วิเศษศักดิ์สิทธิ์’ อยู่หรือไม่
แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นมาก่อนแต่เขาก็รับรู้ได้ว่าโมเสสมีอะไรบางอย่าง
“เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำนาย แต่เรามาเพื่อถามบางสิ่ง”
“งั้นก็เข้าเรื่องเลยสิ!”
“ท่านช่วยร่ายมนต์…”
โมเสสเงยหน้าขึ้นก่อนจะบิดมันอย่างช่วยไม่ได้ “อาวุธหรืออุปกรณ์กันล่ะ? เอาออกมาให้หมด!”
แปะ แปะ!
วิลเลียมปรบมือสองสามครั้งก่อนจะหันไปส่งเสียงผ่านประตู “เอาเข้ามา มาเร็วๆ เอาอุปกรณ์ของพวกเจ้าออกมาให้หมด”
เอลฟ์ทั้ง 500 ตนเดินผ่านประตูเข้ามาและปิดกั้นทางเข้ากระท่อมทำนายโชคชะตาเอาไว้อย่างมีความสุข พวกเขาถือชุดเกราะและอาวุธระดับเงินเอาไว้ในมือ ซึ่งเป็นชุดอุปกรณ์ที่ครบครันเลยทีเดียว
ชุดอุปกรณ์ที่สมบูรณ์มีประมาณห้าถึงแปดอย่าง
องครักษ์เอลฟ์ภายใต้ปีกของวิลเลียมทั้งหมดอยู่ในระดับกลาง พวกเขาเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่อยากเปลี่ยนอุปกรณ์ของตนเองให้ไวที่สุด
ชุดอุปกรณ์คุณภาพระดับเงิน และมีแม้แต่คุณสมบัติที่เซ็ตเอาไว้
อาจกล่าวได้ว่า
ชุดเหล่านี้ล้วนทำมาจากเงินทองทั้งสิ้น!
หากวิลเลียมไม่ได้มีวัตถุดิบหายาก…
เขาก็ไม่สามารถเอามาทำเล่นเช่นนี้ได้
แต่เป็นเพราะว่าเขามีมิทริลและช่างตีเหล็กระดับสูง เขาจึงสามารถผลิตชุดด้วยแร่เงินจำนวนมากเช่นนี้ได้
โมเสสตกอยู่ในอาการงุนงง เขาไม่ได้ระวังวิลเลียมเอาไว้เลย
เขาเหมือนเป็นคนที่โง่เง่าเพราะเมื่อมองไปยังวิลเลียม เขาทำได้เพียงยกมือขึ้นและชี้ไปทางวิลเลียมเท่านั้น แต่เขาไม่สามารถหาคำพูดออกมาได้
“โมโม เรารู้ว่าท่านเก่งกาจเป็นที่สุด ในขณะที่ท่านทำท่าทางเช่นนั้นก็ร่ายมนต์ให้อุปกรณ์ของเราด้วยสิ” วิลเลียมหัวเราะคิกคัก ก่อนจะรับอุปกรณ์ระดับทองของเขามาจากทหารนายหนึ่ง แล้วยื่นให้โมเสส
โมเสสตกอยู่ในภวังค์เป็นเวลาสองวิ “ท่านเป็นใคร? แล้วข้าเป็นใคร? ข้าอยากนอนแล้ว ช่วยปิดประตูให้ด้วย ขอบคุณ”
ในเกมนี้ มีเทคนิคการลงอาคมอยู่หลากหลายประเภท
และมีเพียงสองประเภทที่นำมาใช้กันอย่างกว้างขวาง
ประเภทแรกคือเทคนิคการลงอาคมที่เมื่อนักเวทย์ร่ายเวทย์ลงในอุปกรณ์มันก็สามารถใช้ได้ และมันจะเพิ่มเอฟเฟคพิเศษให้อุปกรณ์โดยถาวร!
เอฟเฟคพิเศษอาจเป็น: การเพิ่มพลังโจมตี, พลังการป้องกัน, คุณสมบัติหรือทักษะพิเศษต่างๆ
วิธีการลงอาคมอีกอย่างหนึ่งที่ใช้กันอย่างกว้างขวางคือการฝังไอเท็มเวทมนต์บางชนิดลงในอุปกรณ์ ไอเท็มเหล่านั้นอาจจะเป็นหินล้ำค่า, หินคริสตัล และเกล็ดต่างๆ
วิลเลียมต้องการลงอาคมเป็นอย่างแรก
“เฮ้ นี่สำหรับท่าน” โมเสสโยนอุปกรณ์มาให้วิลเลียมอย่างไร้อารมณ์
วิลเลียมยิ้มและรับอุปกรณ์นั้นไว้ เขามองไปที่คุณสมบัติและไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้หัวเราะออกมาอย่างเต็มปอดได้
โมเสสมองไปที่วิลเลียมและพูดออกมาอย่างห้วนๆ “มองเสร็จรึยัง? ถ้าดูเสร็จแล้วก็ออกไปได้แล้ว มีคนอื่นรอต่อคิวอยู่อีก”
“เฮ้ เราอยากให้ลงอาคมอุปกรณ์อีกชุด มันต้องเพิ่มการโจมตี ไม่จำเป็นต้องเพิ่มการป้องกันเป็นพิเศษ อาคมที่ลงควรมีคุณสมบัติสายฟ้าด้วย!” วิลเลียมหยิบอุปกรณ์ระดับทองอีกอันออกมา…
โมเสสมองด้วยความประหลาดใจ
วิลเลียมนั้นเพิ่งจะเข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลางเท่านั้นแต่เขากลับมีอุปกรณ์คุณภาพระดับทองถึงสองชุด! และเขาก็ยังต้องการที่จะเสริมคุณภาพชุดหนึ่งเพื่อการป้องกันและอีกอันเพื่อการโจมตีอีก?
นี่เขามั่งคั่งขนาดนั้นเลยหรือ?
เขาสุรุ่ยสุร่ายขนาดนั้นเลย?
ตระกูลของเขาคงจะร่ำรวยมากๆเลยทีเดียว!
โมเสสบ่นพึมพำอยู่ในใจ เขาหยิบอุปกรณ์ขึ้นมาและเริ่มการเสริมคุณภาพของอุปกรณ์
เพียงไม่ถึง 30 วินาที…
ใช่ ไม่ได้พูดผิดไป 30 วินาที
มันเร็วขนาดนั้นเลยล่ะ
โมเสสก็เสริมคุณภาพอุปกรณ์ของเขาเสร็จเรียบร้อย!
เขาจ้องไปที่วิลเลียม
วิลเลียมรู้ถึงความหมายของสายตาและตอบกลับด้วยการพยักหน้า “เราเข้าใจแล้ว เราเข้าใจ งั้นเราไปก่อนนะ เบียร์พรุ่งนี้เลย เราเลี้ยงเอง!”
วิลเลียมออกไปแล้ว และกระท่อมทำนายดวงชะตาก็ถูกเอลฟ์พากันกรูเข้ามาจนเต็ม…
วิลเลียมไม่ได้หมดความพยายามในการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับโมเสส เพราะโมเสสไม่ได้ปฏิเสธคำขอจากเขา
แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะค่อนข้างโชกเลือดไปหน่อย แต่เขาก็ได้มอบหมายงานให้โมเสสที่กำลังเบื่อหน่ายอยู่ได้ทำอีกด้วย
“โอ้ แม่สอนฉันมาตั้งแต่เด็กว่าไม่ควรใช้เวลาให้สูญเปล่า เราต้องใช้เวลาที่มีอย่างกำจัดนี้ไปกับสิ่งที่มีความหมาย อย่างเช่น… การทำให้เมืองรุ่งอรุณแห่งนี้แข็งแกร่งขึ้น” วิลเลียมพูดไปเรื่อยเปื่อย
เขากลับไปที่บ้านก่อนจะนำอุปกรณ์ออกมาทั้งหมด เขาต้องการรู้สึกถึงพลังที่เขาได้มา!
อุปกรณ์สองชุด
ชุดเกราะสำหรับสนามรบ
ส่วนอีกชุดนั้นสำหรับการต่อสู้เบาๆในป่า
อุปกรณ์ทั้งสองชุดมีคุณภาพระดับทอง ตระกูลของวิลเลียมนั้นร่ำรวยเงินทอง เขาจึงสามารถซื้อมันได้
สำหรับองค์รักษ์เอลฟ์ ถึงแม้ว่าอุปกรณ์ป้องกันจะมีคุณภาพแค่ระดับเงิน แต่ระดับคุณภาพอาวุธของพวกเขาเป็นถึงระดับทองเลยทีเดียว!
และอาวุธของวิลเลียมก็เป็นถึงคุณภาพระดับสีทองเข้ม!
มันยากที่จะมีอาวุธและอุปกรณ์ที่มีคุณภาพระดับเดียวกัน…
“ในปัจจุบันถึงแม้ว่าเลเวลและทักษะขององครักษ์เอลฟ์จะไม่สูงมากนัก แต่ทั้งหมดนั่นก็ไปถึงจุดสูงสุดของผู้เชี่ยวชาญระดับกลางแล้ว” วิลเลียมยังไม่สามารถอัปเกรดอุปกรณ์ของเหล่าองครักษ์ให้มีคุณภาพระดับทองได้เนื่องจากค่าใช้จ่ายนั้นเกินกำลังของเขา
เขาใช้มิทริลที่มีอยู่ไม่กี่ร้อยกิโลจนหมดเกลี้ยง นอกจากนี้ยังใช้เงินเป็นจำนวนมากไปกับการซื้อละอองทอง, ผลึกคริสตัล และของหายากอื่นๆในเมืองบลูมูน
อดาแมนไทน์เป็นวัสดุหายากที่สามารถยกระดับอุปกรณ์ให้มีคุณภาพระดับทองได้ มูลค่าของมันเกือบเทียบเท่ากับมิทริล
วิลเลียมไม่ได้ขายมิทริลสองเดือนเพื่อที่จะสามารถผลิตอุปกรณ์ระดับเงินได้อย่างมีคุณภาพ
ชุดอุปกรณ์ที่สมบูรณ์ประกอบด้วยส่วนประกอบห้าอย่าง ได้แก่ หมวก เกราะอก สนับมือ สนับขา และรองเท้า
สำหรับชุดอุปกรณ์ใหม่ที่น่าหลงใหลของวิลเลียมนั้น ชุดหนึ่งถูกเรียกว่าชุดอุปกรณ์แห่งแสง ในขณะที่อีกชุดหนึ่งถูกเรียกว่าชุดอุปกรณ์สายฟ้า
หมวกแห่งแสง
คุณภาพ : ระดับทอง
ระดับ : กลาง
ผู้สร้าง : ลอทเนอร์และโอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์
วัสดุ : มิทริล, แร่เหล็กบริสุทธิ์ อดาแมนไทน์
การป้องกันศีรษะ : 130 ~ 160
พละกำลัง : +12
ความว่องไว : +4
ความแข็งแกร่งทางกายภาพ : +12
เสน่ห์ : +5
น้ำหนัก : 0.9 kg
ข้อกำหนดการใช้งาน : พละกำลัง 130 หน่วย
คุณสมบัติพิเศษ : ลดความเสียหายคริติคอลที่ศรีษะลง 20%
คุณสมบัติพิเศษ : พลังชีวิต+400
ลงอาคม : การป้องกันพื้นฐาน +40
ชุดอุปกรณ์ (หมวก,เกราะอก,สนับมือ,สนับขา,รองเท้า) คุณสมบัติพิเศษ : การป้องกันโดยรวมและพลังชีวิต +20%
มันช่วยไม่ได้จริงๆ
อุปกรณ์ระดับทองคำคุณภาพสูงแต่ละชิ้นนั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก
โบนัสชุดอุปกรณ์นั้นยอดเยี่ยมมาก การป้องกันและพลังชีวิตถูกเพิ่มขึ้นตั้ง 20%…
แต่ก็ไม่ควรลืมว่า!
ค่าการป้องกันเหล่านี้ไม่ได้เพิ่มขึ้น หมวกก็จะป้องกันเฉพาะศรีษะ ส่วนเกราะอกก็จะเป็นโล่ป้องกันให้เพียงร่างกายส่วนบนเท่านั้น
การป้องกันของอุปกรร์ทั้งห้าชิ้นนั้นแยกส่วนกันและไม่สามารถนำมารวมเข้าด้วยกันได้ ถูกแล้ว…นั่นเป็นเรื่องจริงและสมเหตุสมผลแล้ว
มีเพียงโบนัสของชุดอุปกรณ์เท่านั้นที่สามารถเพิ่มการป้องกันโดยรวมได้
การป้องกันของวิลเลียมสูงจนน่าประหลาดใจ
เขาต้องการที่จะมีชุดเกราะที่หนาที่สุดเพื่อให้เขาสามารถรับความเสียหายที่หนักที่สุดไว้ได้
เขาต้องการที่จะใช้ประโยชน์จากคุณลักษณะของบอสระดับรีเจนดารีอย่างเต็มที่ เขาต้องการเป็นบอสที่จะไม่ขยับเปลือกตาแม้ว่าคมมีดทหารธรรมดาจะเชือดเฉือนเขาอยู่ถึงร้อยครั้ง
คุณลักษณะของชุดอุปกรณ์สายฟ้า มีดังนี้:
หมวกสายฟ้า
คุณภาพ : ระดับทอง
ระดับ : กลาง
ผู้สร้าง : ลอทเนอร์และโอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์
วัสดุ : มิทริล, หินสายฟ้า, ละอองทอง
การป้องกันศีรษะ : 130 ~ 160
พละกำลัง : +12
ความว่องไว : +6
ความแข็งแกร่งทางกายภาพ : +10
เสน่ห์ : +5
น้ำหนัก : 0.9 kg
ข้อกำหนดการใช้งาน : พละกำลัง 120 หน่วย
คุณสมบัติพิเศษ : สร้างความเสียหายทางสายฟ้า +10%
คุณสมบัติพิเศษ : พลังชีวิต+300
ลงอาคม : พลังโจมตีสายฟ้า +30
คุณสมบัติพิเศษครบชุดห้าชิ้น : สายฟ้าฟาด
ทักษะคุณสมบัติพิเศษ : เมื่อใช้พลังการต่อสู้สายฟ้า มีโอกาส 30% ที่จะเกิดเอฟเฟ็กต์สองอย่าง หนึ่งคือการสร้างสายโซ่สายฟ้าที่ส่งผลกระทบต่อศัตรูทั้งหมดภายในรัศมี และอีกอย่างคือจะมำให้เกิดความเสียหายของการโจมตีของโซ่ x80%
เวลาคูลดาวน์ : 20 วินาที
พลังที่ใช้ : ไม่มี
“มันทรงพลังมากจนฉันสามารถกลายเป็นเทพเจ้าสายฟ้าได้เลยนะเนี่ย ถึงเวลาที่โอดอมผมทองจะต้องเกษียญซะแล้วสิ” วิลเลียมเลียริมฝีปาก
ชุดอุปกรณ์สายฟ้านั้นทรงพลังเนื่องจากโบนัสของค่าสถานะและพลังโจมตีสายฟ้า มันทำให้เขาสามารถโจมตีอย่างทำลายล้างและลดการป้องกันและพลังชีวิตของศัตรูได้
พลังการโจมตีสายฟ้าของชุดอุปกรณ์ทั้งห้าชิ้นคือ 170 แต้ม และพลังโจมตีสายฟ้าสะสมจากพลังการต่อสู้อีก 130 แต้ม รวมเป็น 300 แต้ม
ในขณะเดียวกัน
โบนัสความเสียหายจากการโจมตีสายฟ้าคือ 48% และอีก 10% จากทักษะติดตัวสายฟ้า ดังนั้น ความเสียหายสะสมจากสายฟ้าจึงเท่ากับ 58%
ในช่วงต้นเกม ผู้เล่นส่วนใหญ่ไม่สามารถต้านทานธาตุต่างๆได้ สำหรับพวกผู้เล่นแล้ว เขาคงเป็นเหมือนมังกรสายฟ้า!
เขาจะสร้างประกายไฟและสายฟ้าไปตามทางเดินของเขาที่ทรงพลังและไม่มีวันหยุดลง
“หากฉันมีคุกใต้ดินและโพชั่นต้านสายฟ้า สิ่งที่ฉันจะทำก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี…” วิลเลียมมองไปยังอาวุธใหม่ระดับสีทองเข้มของเขา
เขาอดคิดไม่ได้ “ต้องบอกว่าอาวุธเหล่านี้ดูเยี่ยมจริงๆ…”
ดาบแห่งรุ่งอรุณซึ่งตอนนี้กลายเป็นดาบสายฟ้าคุณภาพสีทองเข้มแทนนั้นได้รับคุณสมบัติและความแข็งแกร่งในการโจมตีเพิ่มขึ้นอย่างมาก ตอนนี้ยังมีคุณสมบัติพิเศษเพิ่มเติมอีกหนึ่งอย่าง โดยรวมแล้วมีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก
แต่ว่าอาวุธอีกสองอย่างของเขานั้นเปลี่ยนแปลงไปมากโขเลยทีเดียว
ค่าสถานะของพวกมันตอนนี้คือ
ธนูสายฟ้า
คุณภาพ : ระดับทองเข้ม
ระดับ : กลาง
ผู้สร้าง : ลอทเนอร์และโอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์
วัสดุ : มิทริล, โฮปฮอร์นบีม, หินสายฟ้า, อดาแมนไทน์
พลังโจมตี : 350 ~ 510
พละกำลัง : +12
ความว่องไว : +16
เสน่ห์ : +6
ความยาว : 120 cm
น้ำหนัก : 2.8 kg
ข้อกำหนดการใช้งาน : พละกำลังอย่างน้อย 170 หน่วย
คุณสมบัติพิเศษ : สร้างความเสียหายคริติคอลที่ศีรษะ +30%
คุณสมบัติพิเศษ : ศรแต่ละดอกมีโบนัสความเสียหายสายฟ้า 20%
ทักษะคุณสมบัติพิเศษ : ฝนธนูสายฟ้า!
จากการใช้พลังการต่อสู้และการยิงธนูด้วยสายฟ้าสู่ท้องนภา ฝนธนูสายฟ้าจะก่อตัวสร้างความเสียหายให้แก่ศัตรูในพื้นที่
ผลกระทบ : สร้างความเสียหายสายฟ้า 350+ (การโจมตีสายฟ้า x180%)
เวลาคูลดาวน์ : 20 วินาที
พลังที่ใช้ : พลังการต่อสู้ 200 หน่วย
หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ…
ด้วยลูกศรจำนวนนับไม่ถ้วนในฝนธนูสายฟ้า ทำให้มีโอกาสสูงที่จะสามารถเปิดใช้งานโซ่สายฟ้าของชุดอุปกรณ์ได้ ซึ่งเป็นวิธีที่ดีในการสังหารมอนสเตอร์จำนวนมาก
ดาบสั้นอาบพิษ
คุณภาพ : ระดับทองเข้ม
ระดับ : กลาง
ผู้สร้าง : ลอทเนอร์และโอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์
วัสดุ : มิทริล, แร่เหล็กบริสุทธิ์, อดาแมนไทน์
พลังโจมตี : 270 ~ 460
พละกำลัง : +14
ความว่องไว : +16
เสน่ห์ : +5
ความยาว : 33 cm
น้ำหนัก : 1.8 kg
ข้อกำหนดการใช้งาน : พละกำลังอย่างน้อย 150 หน่วย
คุณสมบัติพิเศษ : เมื่อโจมตีจากด้านหลัง พลังโจมตีพื้นฐานจะเพิ่มขึ้น 30%
คุณสมบัติพิเศษ : มีผลต่อการเกิดบาดแผลและมีโอกาส 30% ที่ทำให้คู่ต่อสู้ต่ออยู่ในสภาวะเลือดไหล และทุกๆวินาทีจะสร้างความเสียหายแก่พลังชีวิต 100 หน่วย ซึ่งจะมีผล 15 วินาที (นี่ไม่ใช่เอฟเฟ็กต์สะสม)
คุณสมบัติพิเศษ : ศัตรูที่บาดเจ็บจะติดพิษซึ่งสร้างความเสียหายต่อพลังชีวิต 200 หน่วยต่อวินาที และจะลดคุณสมบัติโดยรวม 10% เป็นเวลา 10 วินาที (ไม่ใช่เอฟเฟ็กต์สะสม)
“คุณสมบัติพิเศษนี้ไม่ใช่คุณบัติสะสม คุณสมบัติพิเศษก่อนหน้าจะหมดพลังก่อน ดาบสั้นเล่มนี้ถึงจะแสดงคุณสมบัติพิเศษออกมาได้” วิลเลียมหรี่ตา ความแข็งแกร่งโดยรวมของเขานั้นน่าประหลาดใจ
วิลเลียมต้องการดาบสั้นอาบพิษเพื่อทำให้ศัตรูของเขาอ่อนแอลง อาวุธอาบยาพิษอาจจะทำความเสียหายได้ในเวลาที่จำกัดและในเวลาเดียวกันก็สามารถทำให้ศัตรูอ่อนแอลง
ด้วยการอัพเกรดอุปกรณ์เหล่านี้ทำให้วิลเลียมกลายเป็นบอสที่ทรงพลังในหมู่ผู้เชี่ยวชาญระดับกลาง
และด้วยอุปกรณ์ที่แข็งแกร่งของเขา ทำให้เขาสามารถเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญระดับสูงและสามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญระดับกลางได้
“สิ่งที่น่าประใจที่สุดคือการอัพเกรดเกราะชั้นในระดับอีปิค” วิลเลียมหัวเราะกับตัวเอง
พรแห่งความรัก
คุณภาพ: อีปิก
เลเวล: ระดับกลาง
ประเภท: อุปกรณ์ป้องกันอย่างหนึ่งที่สามารถเจริญเติบโตได้
ส่วนประกอบ: มิทริล,ใบไม้จากต้นเวิลด์, ผงทอง และอื่นๆ อีกมากมาย
ผู้สร้าง: อลิซ แบล็คลีฟ
พลังชีวิต: +1000
ความแข็งแกร่ง (สเตมินา): +400
ค่าพลังโจมตี: +18
ค่าความแข็งแรงทางกายภาพ: +16
ค่าความว่องไว: +12
ค่าสติปัญญา: +10
ความทนทาน: 1300/1300
น้ำหนัก: 1.3 กิโลกรัม
การป้องกัน: ภายในพื้นที่ที่ป้องกันโดยชุดเกราะชั้นใน ค่าการถูกโจมตีจะลดลง 350 แต้ม มันจะไม่สามารถทำอันตรายแก่ชุดเกราะชั้นในและผู้ใช้ได้ หากใช้งานเป็นเวลานานเกินไป อาจมีผลกระทบต่อความเสียหายและความทนทานจะลดลง
การป้องกันธาตุ: การโจมตีโดยธาตุใดๆ จะถูกลดลงโดย 15%
พรแห่งความรัก (แฝง): เมื่อพลังชีวิตของผู้ใช้ต่ำกว่า 10% ผู้ใช้จะได้รับ[พรแห่งความรัก] และได้รับแต้มพลังชีวิตคืนทันที 60% ระยะเวลาคูลดาวน์คือ 20 นาที
ข้อจำเป็นในการใช้: วิลเลียม แบล็คลีฟ
ข้อจำเป็นในการใช้: ค่าพละกำลัง 90 แต้ม
ข้อจำเป็นในการเจริญเติบโต: เกราะชั้นในจะถูกอัพเกรดโดยอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูง และใส่มิทริล 1 กิโลกรัม , ผงทอง 1 กิโลกรัมและโอริคัลคุม 1 กิโลกรัมลงในชุดเกราะ
วิลเลียมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างเย่อหยิ่งขณะลองสวมชุดอุปกรณ์สายฟ้า “ด้วยพลังของชิ้นส่วนอุปกรณ์เช่นนี้ ฉันจะต้องทำให้เหล่าศัตรูร่ำไห้อย่างสิ้นหวัง!”
“ฉันมีพลังชีวิต 12140 หน่วยซึ่งเกินหมื่นมาแล้ว และนั่นยังไม่ได้รวมโบนัสจากสายเลือดระดับรีเจนดารี นี่มีนสูงกว่าผู้เล่นในระดับเดียวกันตั้งสามเท่า ด้วยพลังโจมตีที่โหดร้ายและพลังป้องกันอันน่าอัศจรรย์…” วิลเลียมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ก๊อก ก๊อก!”
“เข้ามา!”
เซียได้ยินเสียงหัวเราะอันน่าสะพรึงของท่านลอร์ด เธอเปิดประตูแต่กลับไม่ได้เข้ามา
แน่นอน
เธอโผล่มาให้เห็นเพียงหน้าอกที่ตั้งตระหง่าน
วิลเลียมมองมาที่เธออย่างรวดเร็วก่อนจะถาม “มีอะไรหรือ?”
“ทูตของวิหารแห่งแสง, ราชวังแห่งความมืด และสมาคมทหารรับจ้างมาที่นี่ค่ะ” เซียกล่าวอย่างอ่อนนุ่มขณะที่ยืนอยู่ตรงประตู
“โอ้! พวกเขามาทำไมกัน?” วิลเลียมยืนกันก่อนจะเดินออกไปข้างนอกห้อง
“พวกเขาบอกว่าที่ตั้งของอาคารสาขานั้นเปลี่ยวเกินไป พวกเขาต้องการหารือว่าที่ตั้งนั้นสามารถเปลี่ยนได้หรือไม่!” เซียอยากรู้อยากเห็น กองกำลังฝ่ายกลางทั้งสามเป็นที่กล่าวถึงไปเกือบทุกเมือง
เธอไม่ได้คาดคิดไว้ท่านลอร์ดจะสร้างสาขาของวิหารทั้งสามไว้ชายขอบของเมือง มันค่อนข้างไกลจากย่านการค้าทำให้ไม่มีผู้คนมากนัก
วิลเลียมขัดจังหวะเธอ “เป็นไปไม่ได้หรอก! เราไม่อนุญาตให้เปลี่ยนที่ตั้งเว้นซะแต่ว่าพวกนั้นจะยอมจ่าย เราให้พวกเขาจัดตั้งสาขาที่เขตชายเมืองฟรีๆ หากพวกเขาไม่ยินดีก็ออกไปซะ”
“บอกพวกเขาว่า แต่ละตารางเมตรใจกลางเมืองมีราคาอย่างน้อย 1,000 เหรียญทอง”
เซียนับนิ้วของเธอแต่ละนิ้วก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกใจ เธอมองไปยังท่านลอร์ดด้วยความไม่เชื่อ
“ที่ดิน 100 ตารางเมตรก็มีราคาประมาณ… 100,000 เหรียญทอง ท่านลอร์ด หากที่ดินมีค่ามากขนาดนั้น พวกเราไม่ต้องรับผลกำไรดีกว่านะคะ ท่านลอร์ดคะ ท่านช่วยจัดหาวัสดุบางอย่างในการวิจัยเวทมนตร์ของเราได้ไหมคะ?” เซียกระพริบตาที่เปล่งประกายสีทอง ราวกับดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยเหรียญทองที่ระยิบระยับ
วิลเลียมพูดเบาๆแล้วตอบกลับว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว ไม่มีใครซื้อหรอก!”
“…” มีแถบสีดำทะมึนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเซีย เธอถามว่า “ท่านลอร์ด ทำไมท่านต้องขายในราคาที่สูงเช่นนี้ด้วย?”
“เจ้าจะเข้าใจเหตุผลของเราในอนาคต”
“ในอนาคต…โอ้!” เซียพยักหน้า จากนั้นเธอก็ไปส่งข้อความให้กับทูตทั้งสาม
วิลเลียมมองเซียส่ายสะโพกเดินจากไป แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าเธอเป็นคนที่ไร้สมองอยู่บ้าง แต่พรสวรรค์การใช้เวทมนตร์ของเธอนั้นยอดเยี่ยม เธอมักจะโฟกัสอยู่ที่การวิจัยเวทมนตร์
เป็นผู้วิเศษที่หาได้ยากยิ่งในเมืองแห่งรุ่งอรุณ
มีผู้วิเศษเอลฟ์ 10 ตนที่มาพร้อมกับวิลเลียม จากนั้นผู้วิเศษกว่า 50 คนถึงมาเข้าร่วมกับเขา มีผู้วิเศษระดับกลางอยู่ 23 คนส่วนที่เหลือนั้นอยู่ในระดับเริ่มต้น
โดยทั่วไปแล้ว
ผู้วิเศษที่ไม่มีสังกัดจะเข้าร่วมกับองค์กรที่ทรงพลัง
อาจจะเป็นวิหารเวทมนตร์หรือกิลด์เวทมนตร์
หรือไม่อย่างนั้นพวกเขาก็อาจจะเป็นผู้วิเศษที่เข้าร่วมกับเมืองรุ่งอรุณ และอยู่ภายในการปกครองของวิลเลียม
วิลเลียทสนับสนุนเงินให้พวกเขาเพื่อการวิจัยเวทมนตร์
ถ้าไม่เช่นนั้น หากผู้วิเศษต้องการหารายได้ ก็เหลือแต่การขายร่างกายแล้ว…
“ด้วยผู้วิเศษที่มากกว่า 60 คน ค่าใช้จ่ายในการวิจัยจึงมีมากกว่า 600 เหรียญทอง ใครจะสามารถจ่ายค่าใช้จ่ายมหาศาลเช่นนี้ได้?” วิลเลียมอยากจะบ่น แต่เพื่อให้ NPCผู้วิเศษเลื่อนเลเวลแล้ว พวกเขาต้องการการวิจัยเกี่ยวกับวัสดุเวทมนตร์,การฝึกจิตใจ และการบริโภคเนื้อสัตว์ของสัตว์วิเศษ
การต่อสู้ไม่ได้มีผลต่อการเลื่อนระดับของผู้วิเศษมากนัก
ดังนั้น
การฝึกฝนผู้วิเศษที่ทรงพลังต้องใช้เงินทอง
เวลาผ่านไปรวดเร็วมาก
วิลเลียมทำงานหนักมากในการการก่อสร้างเมือง จนกระทั่งถึงวันหนึ่ง เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น
[ดิ๊งด่อง]
[การทดสอบภายในระยะเวลา 12 วันของ ‘Gods’ ได้เริ่มขึ้นแล้ว]
โดยที่ไม่ทันรู้ตัว
วิลเลียมก็ใช้เวลาในเกมไปครึ่งปีแล้ว และตอนนี้ก็ถึงเวลาสำหรับผู้เล่นที่มีส่วนร่วมในการทดสอบเกมจะเริ่มเข้ามายังโลกแห่งนี้
เขาคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในโลกที่แตกต่าง อย่างเช่นการนั่งยองๆ ขณะขับถ่าย หรืออย่างการยืนตอนยิงกระต่ายก็กลายเป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดา
เขาเคยเป็นผู้เล่นมาก่อนยังไงล่ะ
เขาต้องทำกิจกรรมประจำวันของเขาให้สำเร็จอย่างเช่นกิน นอน และใช้ชีวิตไปตามธรรมชาติ
แต่หลังจากที่กลายมาเป็น NPC มันแตกต่างจากสิ่งที่เขาเคยทำ เขาต้องใช้ชีวิตที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวันอย่างเมื่อก่อน…
“คงต้องจับตามองระหว่างการทดสอบภายใน ‘Gods’อย่างใกล้ชิด” วิลเลียมอ่านข้อมูลเกมอย่างละเอียด การเริ่มต้นอย่างฉับพลันของการทดสอบภายในจะมีเวลาประมาณ 12 วัน สำหรับผู้เล่น 1,000 คนและแต่ละคนจะมีเลเวลอยู่ที่เลเวล 10
พวกเขาอาจไม่สามารถเปลี่ยนแนวโน้มของเกมได้ แต่พวกเขาได้ตกเป็นเป้าความสนใจและแผนร้ายของสายตาหลายคู่
ช่วงการทดสอบภายใน ข้อมูลของผู้เล่นบางคนจะไม่ได้ถูกลบ บัญชีทั้งหมดจะถูกตั้งค่าไปไว้ที่เลเวล 10 และมีเหรียญทอง 10 เหรียญไว้ให้แต่ละคน เพื่อให้ผู้เล่นสามารถเปลี่ยนอาชีพและได้รับประสบการณ์ชีวิตแต่ละอาชีพที่พวกเขาต้องการ
ในช่วง 12 วันนี้ผู้เล่น 1,000 คนอาจจะสามารถได้รับประสบการณ์การเล่นเกมที่มีประโยชน์และข้อได้เปรียบมากมาย
ผู้เล่นจะถูกยุติอยู่ตรงใกล้ๆเมืองเพื่อให้พวกเขาสำรวจสภาพแวดล้อม หลังจากการทดสอบภายในจบลง นอกจากชื่อผู้เล่นและธุรกรรมต่างๆแล้ว ข้อมูลอื่นๆจะถูกลบ
สำหรับการทดสอบภายใน ผู้เล่นส่วนใหญ่ที่สั่งจองล่วงหน้ามักจะไม่ได้บัญชีทดสอบ จะมีเพียงผู้เชี่ยวชาญ, แองเคอร์, บอร์ดแคสเตอร์, และผู้เล่นที่ติดดาวเท่านั้นที่จะได้รับบัญชีทดสอบ
แต่เนื่องจากจำนวนคำขอจากผู้เล่นที่ล้นหลาม ผู้เล่นที่เป็นแองเคอร์หรือบอร์ดแคสเตอร์จึงได้รับการอนุญาตในการถ่ายทอดสดระหว่างการทดสอบเกม
วิลเลียมได้ดูการถ่ายทอดสดเกมนี้มาก่อนและมันทำให้เขาเสพติด Gods เข้าให้แล้ว
จากนั้น
วิลเลียมจึงได้ปิดประตูลงและลองทำการคลิกที่ตัวเลือก ‘Exit’
แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเกิดขึ้น
เขาขมวดคิ้วและพยายามเปลี่ยนบัญชีของเขา
ถึงกระนั้นก็ยังไม่เกิดปฏิกิริยาอะไรขึ้นอยู่ดี
จากนั้นเขาจึงเข้าฟอรั่มอันเดียวที่เขาสามารถใช้ได้!
“เฮ้ย…” เขาขมวดคิ้ว เขาสามารถเข้าไปในฟอรั่มได้แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้สร้างโพสต์ เขาเหมือนกับผีที่ล่องลอยไปมาในฟอรั่มที่ทำได้เพียงอ่านโพสต์และดูไลฟ์การถ่ายทอดสดได้เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม เขาจึงเข้าไปดูสิ่งที่เกิดขึ้น
บอร์ดแคสเตอร์บางคนที่มีความนิยมกำลังอยู่ในอันดับต้นๆของเทรนด์
เขาไม่ลังเลที่จะกดเข้าไปดูโพสต์การถ่ายทอดสดของ[แองกี้ แฟตตี้] เหตุผลที่เขาเลือกแฟตตี้นั้นเรียบง่ายมาก เพราะบอร์ดแคสเตอร์คนนี้กำลังอยู่ด้านนอกของเมืองรุ่งอรุณยังไงล่ะ เขากำลังปรับมุมกล้องอยู่ตรงกำแพงเมือง เขาจัดภาพให้ตัวเขาอยู่มุมด้านล่างของภาพหน้าจอขณะที่นำเสนอทิวทัศน์โดนรอบในส่วนที่เหลือ
แองกี้ แฟตตี้เป็นบอร์ดแคสเตอร์ เขาอ้วนสมชื่อ และเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้แม้ว่าเขาจะอยู่ในเกมก็ตาม เกมเสมือนจริงในปัจจุบันทำได้เพียงเปลี่ยนแปลงรูปหน้าได้เท่านั้น ดังนั้น เขาจึงสามารถทำให้ตนเองดูดีขึ้นได้ 20% หรือน่าเกลียดขึ้น 20%
หญิงสาวที่สะสวยสามารถกลายเป็นเทพธิดาภายในเกมได้
ผู้เล่นที่มีหน้าตาน่าเกลียดอาจมีรูปลักษณ์ที่น่าดึงดูดได้ในเกม
“ฉันทำให้ร่างกายที่มีน้ำหนักกว่า 300 กิโลนี่ดูดีขึ้นไม่ได้หรอกเหรอ…” แองกี้ แฟตตี้ผิดหวัง แต่เขาพยายามปรับแต่งให้ดีที่สุดเพื่อให้ได้ภาพที่ดีที่สุด
เขารู้ว่าที่เขาสามารถกลายเป็นบอร์ดแคสเตอร์ได้ไม่ใช่เพราะรูปร่างหน้าตา แต่เป็นสไตล์การนำเสนอที่น่าสนใจแทน
ดังนั้นเขาจึงปรับกล้องให้เข้ากับทิวทัศน์ที่สวยงามของเมือง และจัดสรรพื้นที่ภายในเฟรมเล็กๆให้กับตัวเขาเอง
แฟตตี้มองไปยังที่ราบตอนเหนือที่ไร้ขอบเขต “โอ้! นั่นคือที่ไหนกันเนี่ย? เมืองที่ตั้งบนหน้าผาสูงชัน เป็นสถานที่ที่น่าทึ่งทีเดียว!” เสียงของเขากระจายส่งไปยังผู้ชมเมื่อเขาชื่นชมทิวทัศน์
“กำแพงเมืองนี่ ใครสนพวกเขากัน? เพียงปืนใหญ่เวทมนตร์นัดเดียวก็สามารถทำให้มันพังยับเยินลงได้แล้ว”
“ไม่ต้องเดาเลย ถ้าหากมีปืนใหญ่เวทมนตร์ในช่วงเริ่มต้นของเกม วันนี้ผมจะถ่ายหนักแบบกลับหัวให้ดู!”
“ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์นั้นยอดเยี่ยม และกำแพงเมืองที่ดูมั่งคงแข็งแรงจากการเสริมด้วยเหล็ก ใช่มั้ย? บางทีอาจจะไม่คุ้มค่ากับกำลังคนและทรัพยากรเพื่อสร้างมันขึ้นมา? อย่างไรก็ตามแต่ นี่เป็นที่ที่ดีพอตัว”
แองกี้ แฟตตี้ยิ้มให้กับความคิดเห็นที่โพสต์เข้ามาระหว่างการถ่ายทอดสดของเขา เขาเดินไปที่ประตูเมืองและเงยหน้าขึ้นเพื่อสำรวจกำแพงเมืองที่สูงชะลูด เขาว่าจะยกย่องความคงทนของกำแพงเสียดิบดีแต่ทว่า…
เขากลับผงะ
ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวเท่านั้นแต่คนอื่นๆก็ช็อคไปตามๆกัน
กลุ่มผู้คนที่กำลังดูถ่ายทอดสดอยู่ก็ส่งอิโมจิช็อคมาตามๆกัน
ผู้คนต่างตะลึงในฉากๆนี้
ไม่มีผู้ชาย
ผู้คุ้มกันหน้าประตูเมืองล้วนเป็นทหารหญิง!
หญิงสาวที่มีรูปร่างสูงยาวสะโอดสะองสวมเกราะเงินแวววาวที่ไม่สามารถซ่อนคอยาวระหงส์ได้ ต้นขาขาวๆที่พ้นออกมาจากเกราะกระโปรง เป็นแรงดึงดูดร้ายแรงต่อผู้เล่นจนไม่อาจบรรยายอกมาได้
“เฮ้ย! บอร์ดแคสเตอร์คนนั้นไปที่ไหนน่ะ?”
“MMP เข้าไปในเมืองเลยสิ นั่นเป็นเมืองหญิงล้วนใช่ไหมน่ะ? อาณาจักรหญิงล้วนในตำนาน!”คนดูคอมเมนท์ด้วยความตื่นเต้น
“มันต้องเป็นอาณาจักรหญิงล้วนที่กำลังประสบปัญหาการขาดแคลนเพศชายอย่างรุนแรงแน่ๆ ฉะ-ฉันต้องมาวางไข่ที่นี่เสียแล้วสิ”
แองกี้ แฟตตี้ก็ไม่ลังเลเช่นเดียวกัน ในขณะที่เเขากำลังอ่านความคิดเห็นเขาก็ได้เปลี่ยนชื่อการถ่ายทอดสดอย่างรวดเร็ว ซึ่งตอนนี้มันขึ้นว่า [แองกี้ แฟตตี้ได้เข้าไปในอาณาจักรหญิงล้วนอย่างไม่รู้ตัว] ความนิยมของเขาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
วิลเลียมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะพวกมักมากเหล่านี้ในใจ “โชคดีที่ฉันเข้าใจผู้ชายพวกนี้เป็นอย่างดี…”
“อะแฮ่ม” แองกี้ แฟตตี้แสร้งทำเป็นขึงขังขณะที่เดินไปยังประตูเมือง ผู้คุ้มกันทั้งสองชักดาบออกและหยุดเขาเอาไว้ ทหารหญิงคนหนึ่งเลิกคิ้วก่อนจะยื่นมือออกมา “เจ้ามีใบอนุญาตหรือไม่? หรือแค่ผ่านทางมา? หรือว่าเป็นผู้ลี้ภัย?”
แฟตตี้สวมชุดธรรมดา เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจไม่โกหก “ผู้ลี้ภัย”
“เจ้ามาหางานทำหรือตั้งใจที่จะเข้าร่วมเมืองรุ่งอรุณแห่งนี้?”
แฟตตี้ครุ่นคิดสักพัก “อืมม ฉันจะเข้าร่วมเมืองรุ่งอรุณ” ชื่อเมืองดูเข้าท่า เหมือนว่าเขาเข้าสู่กลุ่มฝ่ายกลาง
“ในฐานะผู้เชี่ยวชาญหรือคนธรรมดา?”
“แน่นอน ฉันต้องการเป็นผู้เชี่ยวชาญ” แฟตตี้เลือกอย่างมีเหตุผล
“เยี่ยมไปเลย! งั้นข้าจะพาเจ้าไปที่โถงอาชีพ!” ผู้คุ้มกันหญิงปล่อยให้เขาเข้าเมืองมาได้
หลังจากข้ามประตูเมืองไปก็ไม่มีผู้หญิงสวยๆมาให้เล่นหูเล่นตาแล้ว ผู้เล่นที่ดูถ่ายทอดสดอยู่ก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง แต่ถ้าเทียบกับการถ่ายทอดสดอื่นๆล่ะก็ เมืองแห่งรุ่งอรุณนั้นน่าสนใจมากกว่าทีเดียว
ที่นี่ไม่มีผู้ชาย
ส่วนสำหรับความสะอาด
เมืองแห่งรุ่งอรุณนั้นสะอาดกว่าเมืองอื่นๆมาก
นั่นคือความจริง
ระบบสังมนุษย์ใน Gods นั้นเป็นระบบที่สูงส่ง
ไม่ว่าจะเป็นเมืองเล็กหรือเมืองใหญ่ มักจะเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก ถนนสายต่างๆก็เต็มไปด้วยขยะ…
เมื่อเมืองแห่งรุ่งอรุณได้รับการบูรณะใหม่ สิ่งอำนวนความสะดวกใต้ดินได้ถูกสร้างขึ้น ถนนกว้างขึ้นและถูกปูด้วยกรีนสโตนที่แข็งแรง ต้นไม้ถูกปลูกไว้ข้างๆกับถนนและสามารถเห็นพืชพรรณป่าไม้ได้ทุกที่…
ห้องน้ำถูกสร้างขึ้นทุกๆ 200 เมตร เนื่องจากห้องน้ำถูกสร้างขึ้นด้วยไม้กระดาน, มอส ,ดอกไม้ และเถาวัลย์ที่เลื้อยขึ้นมาปกคลุมพวกมันเอาไว้
ทำให้รู้สึกราวกับว่าเมืองรุ่งอรุณแห่งนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยมหาสมุทรสีเขียวในทุกๆที่
พื้นที่สีเขียวนั้นยอดเยี่ยมและน่าดึงดูดสำหรับผู้เล่นที่คุ้นเคยกับสังคมไฮเทค
แต่เมืองนี้ก็ยังมีสิ่งที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่านั้น
มีเผ่าพันธ์ุหลายๆเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ และมันสามารถดึงดูดความสนใจจากเหล่าผู้เล่นได้
มีแม้กระทั่งกลุ่มวาณิชย์ที่ประกอบไปด้วยมนุษย์, คนแคระ, เอลฟ์, ครึ่งเอลฟ์, และเผ่าพันธุ์ที่มีปีก…
หลังจากผ่านการพัฒนาที่รวดเร็วไปครึ่งปี เมืองแห่งรุ่งอรุณได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เมืองชายแดนเล็กๆนั่นไม่มีอีกต่อไป เปลี่ยนเป็นสรวงสวรรค์ที่น่าหลงใหลแทน
และแองกี้ แฟตตี้ก็ค่อยๆนำผู้ชมของเขาเข้าสู่โลกที่มหัศจรรย์แห่งนี้
เกี่ยวกับความเคารพนับถือของผู้เล่น…
วิลเลียมไม่ได้ตั้งใจที่จะตอบโต้ใดๆทั้งสิ้น
เขามีสถานะเป็นถึงบอสระดับรีเจนดารี
การบุกเข้าจู่โจมที่เขาเตรียมการมาเป็นเวลานานกำลังจะเริ่มขึ้น เขายังไม่อยากคิดถึงพวกผู้เล่นเพียงเพราะการทดสอบภายในนั้นได้เริ่มขึ้น
เขาปิดฟอรั่มก่อนจะเดินออกจากห้อง “น็อกซ์ ไปรวบรวมทหาร 2,000 นายมาซะ!”
“ครับท่านลอร์ด!” น็อกซ์โค้งคำนับก่อนจะรีบกลับไปยังค่ายทหาร
แองกี้ แฟตตี้มาถึงโถงอาชีพ เขาใช้เหรียญทองเพื่อเปลี่ยนอาชีพตนเองให้เป็นนักรบดาบคู่และยังขอรับใบอนุญาติการเป็นพลเมืองอีกด้วย!
ขณะที่เขากำลังสำรวจเมืองรุ่งอรุณอยู่ เมืองแห่งนี้ก็มีบางอย่างที่น่าทึ่งเกิดขึ้น
ฝูงชนบนถนนต่างขยับขยายหลีกไปด้านข้าง
กลุ่มทหารหุ้มเกราะเงินเปล่งรัศมีที่ดุดันกำลังเดินขบวนผ่านตรงที่แฟตตี้ยืนอยู่ แต่คนที่สะดุดตาเขาที่สุดคือคนที่กำลังขี่ม้าตัวหนึ่ง
ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน คนรอบข้างก็พร้อมที่จะคำนับและสรรเสริญแด่ลอร์ดท่านนั้น ว่าเป็นบุตรแห่งความรุ่งโรจน์
แองกี้ แฟตตี้ใช้ทักษะอินไซด์ในการสังเกตุข้อมูลทั่วไป
วิลเลียม แบล็คลีฟ (รีเจนดารี)
ฝ่าย : กลาง
เผ่าพันธุ์ : ครึ่งเอลฟ์
อาชีพ : ผู้สังเกตการณ์แห่งรุ่งอรุณ
สถานะ : ลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณ
ระดับความอันตราย : อันตรายเป็นอย่างยิ่ง
ข้อมูลคุณลักษณะอื่นๆ : ???
แฟตตี้เปิดตากว้าง
เขาแบ่งปันความประหลาดให้แก่ผู้ชมโดยการถ่ายทอดสดฉากนั้นให้พวกเขาชมอย่างรวดเร็ว
และ
การถ่ายทอดสดก็ระเบิดไปด้วยความตื่นเต้น
“นี่มันบอสระดับตำนานชัดๆ นี่นายพบเข้ากับบอสระดับรีเจนดารีที่มีอาชีพลับ ถ้าไม่ได้ฟันเขาสักที การทดลองเล่นเกม 12 วันอันนี้จะไม่เสียเปล่าหรอ?”
“ใช่ ใช่ ใช่! ให้บอร์ดแคสเตอร์ไปฟาดบอสรีเจนดารีนั่นเลย จะฆ่าเขาซะก็ไม่เป็นไรนี่ ฉันไม่เชื่อว่า NPC จะชนะผู้เล่นที่ฆ่าไม่ตายได้หรอก อย่างน้อย คุณอาจจะมีโอกาสเอาชนะบอสนั่นก็ได้ (๑◔◦◔๑)”
“แต่สนิทสนมกับเขาไว้หน่อยก็ได้นี่ เขามีถึงอาชีพลับเลยนะ!”
“ตามข้อมูลอย่างเป็นทางการของ Gods แล้ว บอสระดับรีเจนดารีไม่ได้หากันง่ายๆนะ แต่พวกเขาทั้งหมดก็ทรงพลังเป็นอย่างมาก นี่บอร์ดแคสเตอร์ บอสหนึ่งตนก็สามารถฆ่าผู้เล่นกว่า 999 คนได้ในดาบเดียวแล้ว แต่ถ้าฆ่าบอสแล้วอุปกรณ์ระดับรีเจนดารีจะออกมารึเปล่านะ?”
การสนทนาในไลฟ์พุ่งสูงถึงขีดสุด
วิลเลียมไม่ได้สนใจกับฟอรั่มมากนัก ไม่เช่นนั้น เขาจะด่ากลับด้วยความหนักแน่นว่า ‘ไม่มีทาง!’
ยิ่งเลเวลต่ำมากเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายในการสร้างอุปกรณ์ก็ยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เฉพาะผู้เล่นหน้าใหม่และผู้เชี่ยวชาญระดับกลางเท่านั้นที่จะถูกจำกัดในการสร้างอุปกรณ์ระดับอีปิคหรือระดับรีเจนดารี เรื่องนี้สำหรับผู้เล่นกว่าพันคนนั่นเป็นเรื่องที่น่าเสียดายและให้อภัยไม่ได้!
วัสดุคุณภาพระดับสูงควรใช้สร้างเพียงอุปกรณ์ระดับสูงสำหรับผู้เชี่ยวชาญระดับสูงเท่านั้น หากใช้สำหรับคนเลเวลน้อยกว่านี้ อาจจะเป็นการเสียทั้งค่าสถานะและคุณสมบัติพิเศษไปเลยก็ได้!
ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะเห็นผู้เล่นหน้าใหม่ ผู้เล่นระดับกลางและระดับสูงใช้อุปกรณ์ระดับอีปิคและระดับรีเจนดารี
ยกตัวอย่างเช่น วิลเลียมที่มีอุปกรณ์ระดับอีปิคที่เป็นเกราะชั้นในที่อัพเกรดแล้ว
แต่หนึ่งในวัสดุที่จำเป็นสำหรับการอัพเกรดคือต้นไม้แห่งโลก…
มันเป็นของที่โคตรจะแรร์
อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้นั้น
กองทหารที่เป็นระเบียบวินัยด้วยทหารทั้งสองพันคน ชุดเกราะสวยสง่า และนักรบเอลฟ์ที่งดงามทำให้เกิดความริษยาขึ้นในใจของทุกคน ทั้งหมดนี่ทำให้การถ่ายทอดสดของแฟตตี้น่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น
ผู้ชมต้องการเห็นอะไรใน 12 วันนี้?
สถานที่เกิดที่ดีเมื่อผู้เล่นเข้าสู่เกม
และจากเว็บไซด์ของออฟฟิเชียล อุปกรณ์ที่เกรดต่ำที่สุดของทหารทั้ง 2,000 คนคือคุณภาพระดับสีฟ้า ข้อมูลนี้จะเพิ่มความน่าตื่นเต้นให้เพียงคนที่เพิ่งตื่นตาตื่นใจไปแล้วเท่านั้น
ท่ามกลางคนทั้งหมด องครักษ์เอลฟ์ทั้ง 500 ตนนั้นดูโดดเด่นที่สุด
เป็นเพราะพวกเขามีชุดอุปกรณ์ระดับเงิน แม้แต่อาวุธของพวกเขาก็ยังอยู่ในคุณภาพระดับทองคำ
เซทอุปกรณ์ระดับเงิน!
และอาวุธคุณภาพระดับทอง!
นี้มันเมืองประเภทไหนกันเนี่ย?
นั่นหมายความว่าคุณภาพของอุปกรณ์ในเมืองแห่งรุ่งอรุณนั้นถือว่าสูงมาก โดยที่ไม่คำนึงถึงปริมาณ
คุณภาพอุปกรณ์ของทหารคนอื่นๆนั้นอย่างน้อยก็อยู่ในคุณภาพสีฟ้าในขณะที่อาวุธอยู่ในคุณภาพระดับเงิน
แฟตตี้ติดตามทหารกองใหญ่นี้ไปจนกระทั่งออกจากประตูเมือง เขาหยุดอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ไม่นานเขาก็สังเกตว่าจำนวนผู้ชมในไลฟ์ของเขาสูงถึง 90,000 คน!
เขาต้องการรักษาจำนวนผู้ชมในช่องของเขาเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงต้องหาสิ่งที่สดใหม่และหน้าสนใจ ทิวทัศน์ที่สวยงามนั้นไม่สำคัญมากนักสำหรับผู้เล่น มันอาจถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์เท่านั้น
ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจที่จะหาภารกิจ
จุดที่สำคัญที่สุดคือความหลากหลายของภารกิจ ไม่ว่าจะมีค่าประสบการณ์และรางวัลมากขนาดไหนก็ตาม!
ขณะที่แองกี้ แฟตตี้กำลังจะจากไป เขาก็ดันเห็นบางอย่างเสียก่อน…
“เฮ้ย! ปกติแล้วพวกเขาจะทิ้งดาบระดับอีปิคสีส้มไว้รอบๆงั้นเหรอ?”
“แม่ง! นี่มัน… หรือว่าจะเป็นดาบระดับอีปิคที่ใช้โดยผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิดระดับกลาง?”
“หมายถึงอะไรที่ต้องใช้โดยผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิดน่ะ? ผู้ใช้เวทย์อย่างเราใช้ไม่ได้หรอ?”
“…”
“คาสิโนหรอ?” แองกี้ แฟตตี้ประหลาดใจ เมืองแห่งรุ่งอรุณนี่เป็นเมืองยังไงกันเนี่ย? สมบัติของคาสิโนจริงๆแล้วเป็นอุปกรณ์ระดับอีปิคเชียวหรอ นอกจากนั้น ยังมีอุปกรณ์ระดับสีฟ้าและคุณภาพระดับเงินโดยผู้เชี่ยวชาญมือใหม่อีกด้วย
คาสิโนนั้นยอดเยี่ยมเป็นบ้า ใครเป็นเจ้าของกัน?
คงต้องเป็นคนที่มีอำนาจมากแน่ๆ
แฟตตี้มองไปยังกระเป๋าเงินของเขาที่เหลือเพียงหกเหรียญทอง นั่นหมายถึงการใช้จ่ายสำหรับ 12 วันที่เหลือและเป็นทุนในการซื้ออุปกรณ์ของเขา
ในเกม Gods นี้ อาหารและน้ำดื่มเป็นสิ่งที่จำเป็น หากไม่บริโภคก็จะประสบกับความหิวโหยและเกิดบัฟในเชิงลบต่อร่างกาย
ผู้ชมสังเกตเห็นรายละเอียดเล็ก ๆ ในกระเป๋าของเขาและเริ่มแสดงความคิดเห็นอย่างดุเดือด…
“ไปพนันเถอะ เปลี่ยนจักรยานให้เป็นมอเตอร์ไซค์ซะ!”
“ลองเสี่ยงดูสิ เผื่อจะเปลี่ยนรถของนายให้เป็นเฟอรารี่ได้!”
“ลงพนันเงินทั้งหมดไปเลยน่า หากหน้าใหม่อย่างนายชนะจนได้อุปกรณ์คุณภาพระดับเงิน นั่นมันโคตรจะเจ๋งเลยไม่ใช่หรอ”
“ถึงได้แค่ดาบมือเดียวระดับเงิน ก็น่าประทับใจจะตายแแล้ว”
แองกี้ แฟตตี้ดูความคิดเห็นก่อนจะตัดสินใจ เขาเข้าไปยังคาสิโน
ในขณะนั้น เขารู้สึกได้ว่าพลังการต่อสู่ของเขาอ่อนแรงลง
ค่าพลังการต่อสู้บนหน้าต่างค่าสถานะของเขากลายเป็นสีเทา เขาไม่สามารถใช้พลังการต่อสู้ของตนเองได้
แต่แฟตตี้ก็โล่งใจได้ในไม่ช้า เขาเห็นป้ายบอกทางตรงประตูทางเข้าว่าไม่อนุญาตให้ใช้พลังการต่อสู้หรือเวทมนตร์
มีคนไม่มากนักในคาสิโนแห่งนี้ ส่วนใหญ่พวกเขากำลังเล่นพนัน แต่ที่นี่ก็ไม่ได้มีเครื่องเล่นมากมายนัก อย่างไรก็ตาม นักพนันล้วนคิดการใหญ่ไว้เสมอ
สิ่งที่ป็อปปูลาร์มากที่สุดคือวงล้อแห่งโชคลาภ
เมื่อหมุนวงล้อ ก็มีโอกาสที่จะชนะรางวัลที่ระบุไว้บนวงล้อ
มีรางวัลอย่างเช่นเหรียญทอง 2 เหรียญ, เหรียญทอง 10 เหรียญ, เหรียญทอง 50 เหรียญ, อาวุธและอุปกรณ์คุณภาพระดับเงินและสีฟ้า
แต่ว่า!!!
สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดจากรางวัลใหญ่จากวงล้อแห่งโชคลาภนั่นก็คือดาบระดับอีปิคสำหรับผู้เชี่ยวชาญระดับกลางนั่นเอง
“คุณลูกค้าอยากเล่นวงล้อแห่งโชคลาภหรือไม่คะ?” ผู้ดูแลที่เป็นมิตรเดินมาทางแฟตตี้
แฟตตี้ที่อึกอัดใจถามด้วยความอยากรู้ว่า “หากเล่นวงล้อแห่งโชคชะตาต้องจ่ายเท่าไหร่หรอครับ?”
“สำหรับวงล้อขนาดเล็กราคาหนึ่งเหรียญทอง ส่วนขนาดใหญ่ราคา 10 เหรียญทองค่ะ ลองคิดดู หากท่านได้ดาบขึ้นมา เชื่อข้าเถอะว่า ท่านลอร์ดจะต้องจ่ายให้ดาบเล่มนี้ในราคาที่สูงมากแน่ๆ ท่านยังจะได้รับโอกาสที่หาได้ยากยิ่งในการพบท่านผู้นั้นด้วยนะคะ!
“10 เหรียญทอง? ลืมมันไปเลย ฉันจะเล่นวงล้อแห่งโชคลาภขนาดเล็ก มันไม่แพงไปหรอ?” แฟตตี้ตื่นเต้น เขาไม่ได้ตระหนักถึงคุณค่าของเหรียญทองดีนัก
ตามความคิดของเขาแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ชนะรางวัลอุปกรณ์ใดๆเลยก็ตาม เขาก็ยังคงร่ำรวยในการชนะรางวัลเหรียญทองสองเหรียญ
“ได้ค่ะ แม้ว่าท่านจะไม่สามารถชนะรางวัลอุปกรณ์ได้ หากท่านได้รับพรจากเลดี้ ลัคแล้วล่ะก็ ท่านจะได้รับเหรียญทอง 10 เหรียญ และจะต้องชนะอย่างแน่นอน” ผู้ดูแลยิ้มและล่อลวงแฟตตี้ราวกับอ่านความคิดของเขาได้
ดังนั้น แฟตตี้จึงสนใจเล่น
แต่ทว่า…
เขาชนะ!
ถูกต้องแล้ว!
หลังจากหมุนวงล้อถึงห้าครั้ง เมื่อเขาเกือบจะหมดความหวังแล้ว แฟตตี้ก็ได้รับรางวัลเป็นดาบยาวสีเงินระดับเริ่มต้น
มูลค่าของชุดอุปกรณ์เงินคือเท่าไหร่กัน?
ในเมืองแห่งรุ่งอรุณ มันอยู่ราวๆประมาณ 100 หรียญทอง
หลังจากที่แฟตตี้ถามไปรอบๆ เขาก็ตระหนักได้ถึงมูลค่าของมิทริล เขารู้สึกราวกับได้ทองคำ
จำนวนผู้ชมในสตรีมสดเพิ่มขึ้น 666 คน ในขณะที่หลายคนออกไปเพราะพวกเขารอที่จะมาคาสิโนและได้ลาภก้อนโต
แต่สำหรับเมืองแห่งรุ่งอรุณ มิทริลไม่ได้มีมูลค่ามากนัก ในการสร้างชุดอุปกรณ์เงินระดับเริ่มต้น ไม่ต้องใช้มิทริลมากมายนัก ใช้เพียงสองสามชิ้นก็พอ ไม่ว่าจะราคาเท่าไหร่ หนึ่งหรือหนึ่งร้อยเหรียญทอง มันก็เป็นกำไรทั้งหมดอยู่ดี
ยิ่งกว่านั้น ไม่ใช่ว่าแองกี้ แฟตตี้ที่มีโชคเป็นเลิศ
แต่เป็นเพราะวงล้อทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่นั้นฉ้อโกงเหล่า NPC มานับไม่ถ้วน มีเพียงผู้คนส่วนน้อยที่เล่นมัน แต่เมื่อผู้ดูแลเล็งเห็นว่าจะมีลูกค้าใหม่เข้ามายังคาสิโน พวกเขาก็จัดการปรับวงล้อเพื่อให้ลูกค้าใหม่เดินออกไปพร้อมดาบระดับเงิน…
ควรกล่าวว่าอย่างไรดี?
การทำงานลับๆนี้เป็นเรื่องปกติทั่วไปของทุกคาสิโน แค่เจ้านายของเขาสามารถทำเงินได้ ผู้ดูแลก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย
ในที่สุดแองกี้ แฟตตี้ก็หมดเงินแล้ว ในกระเป๋าของเขามีเงินน้อยกว่า 10 เหรียญเงิน แต่การเล่นวงล้อเล็กของเขาได้ดึงดูดผู้เชี่ยวชาญมากมาย ผู้ดูแลต้อนรับลูกค้าใหม่อย่างชื่นบานและโกงเงินพวกเขาอย่างต่อเนื่อง
วิลเลียมออกเดินทางไปพร้อมกับทหาร 2,000 นาย เป้าหมายของเขาไม่ใช่ใครที่ไหนไกล แต่เป็นเผ่าโถวเหยินที่จับตามองมานานแล้ว
พวกเขาทำงานให้สอดคล้องกับนโยบายในการสื่อสารอย่างสันติสุขและทำงานร่วมกัน เขาได้ส่งนักการทูตหลายคนเพื่อพยายามจะเจรจาและพยายามให้เผ่าโถวเหยินจำนนต่อเขาด้วยสันติวิธี
น่าเสียที่คนสวมหน้ากากกลุ่มนี้กลับดื้อรั้นเกินไป แทนที่จะกินหญ้าในทุ่งอย่างเก่า ไปขุดแร่ไม่ดีกว่างั้นรึ?
“อะแฮ่ม! อาณาจักรที่อ่อนแอมักไม่มีชั้นเชิงในการทูต วันนี้ เราจะแสดงให้เผ่าโถวเหยินที่โง่เขลาเห็นถึงความความแข็งแกร่งของพวกเรา!” วิลเลียมตะโกนก้องขณะอยู่บนหลังม้า
ทหารกว่า 2,000 นายร้องคำรามพร้อมกันกึกก้อง!
ครึ่งปีที่ผ่านมา ในเรื่องของการบุกรุกดินแดน วิลเลียมได้ทำลายเผ่าพันธุ์อมนุษย์เป็นจำนวนมาก
แต่ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็ได้สร้างความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับหลายเผ่าพันธุ์เช่นกัน อย่างเช่นเผ่ามีปีกที่มีประชากรมากกว่า 500,000 ตน วิลเลียมเลือกที่จะสร้างความสัมพันธ์และเปิดเส้นทางทางการค้าอย่างเด็ดขาด
ตอนนี้พวกเขากำลังจะต่อสู้กับเผ่าโถวเหยินที่แข็งแกร่งกว่า 3,000 คน เหตุผลคือพวกเขาอาจเข้ายึดครองเมืองรุ่งอรุณ ดังนั้น พวกเขาจึงเดินทัพเข้าต่อสู้
แน่นอนว่าวิลเลียมจะไม่กล่าวอะไรทั้งนั้น เขาแค่ต้องการให้ชาวโถวเหยินพวกนั้นมาขุดแร่…
แต่เขาจะต้องปรากฏตัวขึ้นซะก่อน
“นี่ไม่ใช่การเดินทางที่ยาวนาน ไม่จำเป็นต้องมีกองกำลังขนส่งมากเกินไป แต่ละคนเอาไปเพียงอาหารสี่ถึงห้าวันเท่านั้น มันจะทำให้เราเคลื่อนทัพได้เร็วขึ้น หากยังไม่มีเวลาว่างในช่วงนี้ ก็รอตอนเกมเบต้าเปิดตัว เมื่อสองอาณาจักรห่ำหั่นกัน จากนั้นช่วงก็จะกว้างขึ้นเอง” วิลเลียมขมวดคิ้วขณะที่ขี่ม้า
กองทัพมาถึงจุดสูงสุดของหน้าผา ทหารส่วนใหญ่เดินทางไปท่ามกลางทุ่งนาที่เจริญงอกงาม หากพวกเขาไม่ได้อยู่บนหลังม้า ก็คงจะไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างทิศทางได้แน่
กองทัพขนาดใหญ่ที่มีจำนวนคนกว่า 2,000 คนนั้นกลัวเหล่าสัตว์และอสูรเวทย์ ขณะที่พวกเขาเดินผ่านแม่น้ำสายเล็กๆ ก็รับรู้ได้ถึงสัญญาณของสิ่งมีชีวิต แต่กลับไม่มีวี่แววของเหล่ามนุษย์เงือก
มันชัดเจนมาก
มนุษย์เหล่านี้หนีมาเป็นเวลานานแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนมาก แต่พวกเขาก็ไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับกองกำลังมนุษย์ที่เปี่ยมไปด้วยไอสังหารเช่นนี้
ในขณะที่วิลเลียมกำลังเดินหน้าไปพร้อมกับกองทัพ
ผู้เล่น 1,000 คนที่มีการ์ดทดสอบภายใน 12 วันก็เข้ามายังเมืองเล็กๆ, เมืองต่างๆ และแม้แต่เมืองใหญ่
สถานที่เกิดของพวกเขานั้นถูกสุ่ม
สิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองคือสถานที่เกิดหลังจากเกมเบต้า เกมดังกล่าวจะทำให้ NPC รู้สึกเหมือนฝันไป
แล้วตอนนี้ล่ะ?
พวกเขาทั้งหมดถูกมองว่าเป็นคนหลบหนี…
ผู้เล่นหลายคนรวมตัวกันเพื่อก่อปัญหา
ตัวอย่างเช่น ผู้ลาภมากดีบางคนไม่ชอบผู้เล่นและต้องการเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นทาส แน่นอนว่าผู้เล่นไม่เต็มใจ หลังจากเกิด ‘สงครามครั้งใหญ่’ ผู้เล่นที่หลังจากพ่ายแพ้กลายเป็นแสงสีขาวและหายไปแล้ว พวกเขาจะเกิดใหม่ในเมืองใกล้เคียง เมื่อเหล่าขุนนางพบพวกเขาอีกครั้งพวกเขาก็ตกใจและคิดว่าผู้เล่นเป็นเทพเจ้า
ดังนั้น
การแสวงหาผู้เล่นจึงเกิดขึ้นในวงกว้าง
เพราะพวกเขานั้นสามารถฟื้นคืนชีพได้
NPC ต้องอยากรู้เกี่ยวกับสิ่งนี้อย่างแน่นอน
นอกเหนือจากขุนนางเหล่านั้น ผู้ใช้เวทมนต์และนักเวทย์หลายคนยังทำงานอยู่เบื้องหลังในการจับผู้เล่น
เมื่อถึงตอนนั้นสถานการณ์นี้ก็จะลดลงไปเอง
เกมยังอยู่ในช่วงเบต้า NPC จะสงบลงไปเองเมื่อผู้เล่นมาในโลกแห่งนี้ในฐานะคนที่สามารถเลือกเอกลักษณ์ของตนเองได้
แต่สำหรับผู้เล่นเหล่านี้ ความระแวงได้จุดประกายในใจของเหล่า NPC ผู้ใช้เวทย์จำนวนหนึ่งต้องการจับพวกเขามาทำการทดลอง
ผู้เล่นจำนวนหนึ่งถือว่าสิ่งนี้เป็นภารกิจลับของพวกเขาและต้องถูกทดลองหลายครั้ง เขาได้รับคุณสมบัติมากมายและแม้กระทั่งความสามารถติดตัว
แต่ก็มีผู้เล่นบางคนที่ตัดสินใจฆ่าตัวตาย พวกเขาไม่สามารถทนทรมานได้อีกต่อไป
ท้ายที่สุดแล้ว นี่ก็เป็นโลกที่หลากหลาย ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ความเป็นจริงนั้นแปลกใหม่กว่านิยายเสมอ!
“เห็นได้ชัดว่าในเกมเช่น Gods ค่าประสบการณ์สำคัญมาก ไม่เพียงจะทำให้ตัวละครของคุณเลื่อนระดับ แต่ทักษะก็ยังได้รับการเลื่อนเลเวลด้วยเช่นกัน ระหว่างช่วงเบต้า หากคุณต้องการให้ตัวละครของคุณเลเวลเพิ่ม ระดับทักษะของคุณจะตกไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างแน่นอน สำหรับตอนนี้ไม่มีวิธีที่ชัดเจนในการกำหนดข้อดีข้อเสียของการเพิ่มระดับอย่างแน่นอน”
“แต่ฉันได้ทำการคำนวณแล้ว ทุกครั้งที่คุณเลื่อนไปห้าเลเวล คุณจะต้องเลื่อนระดับทักษะ ถ้าไม่อย่างนั้น การโจมตีจะไม่เป็นไปตามมาตรฐานและล้มเหลว” ในฐานะที่เป็นผู้ประกาศข่าวที่มีทักษะในเรื่อง ‘มากัดฉันสิถ้าเอ็งไม่เห็นด้วย’ เขาก็สามารถค้นพบปัญหาเล็กๆน้อยๆผ่านความสามารถของตนแม้ว่าจะไม่ได้เลื่อนระดับก็ตาม
แน่นอนว่าเขาต้องอธิบายรายละเอียดบางอย่างที่ค่อนข้างไร้ประโยชน์
ไม่ว่าเขาจะถูกหรือผิด ไม่ว่าข้อมูลของเขาจะถูกต้องหรือไม่ก็ตาม ก็จะมีคนที่เข้ามาเลียแข้งเลียขาหรือพุ่งตัวเข้าใส่เขาอย่างแน่นอน
หากเขาพูดไปอย่างหูดับตาบอด เขาจะทำไปเพื่ออะไร!
ปัจจุบันเขาอยู่ในราชวังของอาณาจักรเหล็ก ความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่นี่ค่อนข้างดี ในฐานะผู้เชี่ยวชาญต่างถิ่น หลังจากผ่านการตรวจสอบเขาก็ได้รับคุณสมบัติการเป็นพลเมืองอย่างง่ายดาย และยังสามารถเปลี่ยนสถานะเป็นนักเวทย์ได้สำเร็จ
แต่มันชัดเจนมาก
ผู้เล่นเกือบทั้งหมดติดขัดในการค้นหาภารกิจ
ในโลกของ Gods ที่ถูกมองว่าเป็นโลกเสมือนจริงอีกโลกหนึ่ง
มีหัวหน้าหมู่บ้านไม่มากนักที่จะให้คุณได้รับค่าประสบการณ์ มอนสเตอร์ก็จะไม่ปรากฏอย่างพร่ำเพรื่อเพื่อให้คุณได้รับค่าประสบการณ์ที่สะดวกสบายหรอก
ที่กล่าวมานั้นไม่ได้นับรวมเหล่ามนุษย์เงือก
ผู้เล่นต้องการทำภารกิจหรือไม่?
แน่นอนสิ!
พวกเขาตระเวนไปตามถนนอย่างดุเดือดและค้นหาภารกิจทุกซอกทุกมุมซึ่งมันเป็นวิธีที่โง่ที่สุด
เพียงแค่พวกเขาไปยังสมาคมทหารรับจ้างและรับสถานะเป็นทหารรับจ้างเท่านั้นก็จะสามารถได้รับภารกิจและรางวัลแล้ว
หากพวกเขาไม่ต้องการทำเช่นนั้น พวกเขาก็ไปเข้าร่วมกับองค์กรและเก็บภารกิจจาก NPC
วิลเลียมรู้ว่าก่อนที่เกมเบต้าจะถูกปล่อยออกมานั้นมีภารกิจน้อยมาก แต่เมื่อเกมเบต้าเริ่มขึ้นและทั้งสองประเทศเข้าทำสงครามกัน จำนวนภารกิจก็แทบจะระเบิดออกมา
แต่โชคดีที่เนื่องจากอาณาจักรเหล็กและอาณาจักรลาวาดำกำลังจะเข้าสู่สงคราม จึงมีภารกิจมากมายเช่นการเก็บขนสัตว์, สินแร่, สมุนไพรและอื่นๆ กำแพงเมืองก็เต็มไปด้วยประกาศสำหรับหาช่างตีเหล็ก
นี่คือภารกิจที่หลายคนค้นพบ
คนธรรมดามักจะไม่สนใจภารกิจการเก็บขนสัตว์เหล่านี้
แต่สำหรับผู้เล่นใหม่ นี่เป็นเรื่องปกติ ใช่ไหม?
ผู้เล่นใหม่จะสามารถทำสิ่งที่อันตรายได้หรือ?
พวกเขาไม่สามารถชักดาบและฟันหัวมนุษย์ ใช่มั้ยล่ะ?
เกมทุกเกมก็มีภารกิจเช่นนี้
แต่รถไฟความคิดใน ‘มากัดฉันสิถ้าเอ็งไม่เห็นด้วย’ นั้นเกินจริงไปหน่อย
ผู้ประกาศข่าวไม่ได้รวบรวมข้อมูลมามากนัก เขาพยายามที่จะเข้าใจแก่นแท้ของภารกิจเหล่านี้หลังจากได้ทำภารกิจไปสามภารกิจ
หลังจากนั้นเขาก็ได้ตรวจสอบบ้านสองสามหลัง และเห็นว่าผู้ประกาศข่าวคนอื่นๆก็ทำภารกิจคล้าย ๆ กัน เขายังเห็นกองทหารรักษาการณ์ที่เขตแดนรวมถึงการรับสมัครทหารเกณฑ์ที่ยิ่งใหญ่
ทีละเล็กละน้อย!
ผู้ประกาศข่าวก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง
“อาณาจักรเหล็กและอาณาจักรลาวาดำกำลังเข้าสู่สงคราม สุดท้ายภารกิจโครงเรื่องก็ต้องไม่เกินไปกว่านี้ นี่มันเหมือนกับภารกิจในโลกแห่งเวทมนตร์เวอร์ชั้น 1.0 นี่คือสงคราม ส่วนเมืองแห่งรุ่งอรุณนั้น…” เขาเริ่มคุยกับตนเอง
มีคลื่นความคิดเห็นหลั่งไหลเข้ามาบนหน้าจอ
“หยุดอธิบายก่อน ไปที่เมืองแห่งรุ่งอรุณได้รึเปล่า ผู้รายงานข่าวหน้าใหม่? ถ้าไม่ ฉันจะได้ไปหาแองกี้ แฟตตี้ด้วยตัวเอง…”
“ฉันไม่สนว่าสงครามจะเกิดขึ้นหรือเปล่า แค่ไปและถ่ายทอดถนนของเมืองแห่งรุ่งอรุณก็พอ”
“แม่ง ดูสภาพอาณาจักรมนุษย์แล้วดูที่เมืองแห่งรุ่งอรุณสิ ช่างแตกต่างกันลิบลับ สำหรับผู้เล่นสายนักเดินทางอย่างฉัน เมืองแห่งรุ่งอรุณเป็นที่ที่ต้องไปอย่างแน่นอน”
นี่คือคอมเมนต์ทั้งหมด
มันแสดงให้เห็นว่ามีผู้เล่นส่วนหนึ่งชอบเมืองแห่งรุ่งอรุณมาก
กิลด์สงครามบางแห่งวางแผนที่จะเข้าสู่อาณาจักรมนุษย์ ซึ่งน่าจะเกิดสงครามขึ้น
พักไว้ก่อนเถอะ
เกมเบต้าต้องมีภารกิจเรื่องราวอย่างแน่นอน
ไม่ว่าภารกิจโครงเรื่องจะรวมถึงสงครามหรือไม่ สำหรับกิลด์แล้วก็ควรอยู่ตั้งอยู่ในอาณาจักรที่มีอาณาเขตกว้างกว่าเมืองใหญ่ ขีดจำกัดสูงสุดสำหรับการเลื่อนเลเวลก็จะสูงขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะบางกิลด์มีความทะเยอทะยานอย่างมาก พวกเขาหวังว่าจะสามารถได้รับที่ดินผืนใหญ่และสร้างเมืองหรือสหภาพแรงงานของตนเอง
แต่เร็วๆนี้…
แฟตตี้ได้ตระหนักถึงข้อมูลที่ผู้หลายเล่นหลายคนยากที่จะยอมรับ…
สมาคมทหารรับจ้างต่างกระจายตัวออกไปทั่วทั้งทวีปรีเจนดารี กิลด์หรือสมาคมนั้นค่อนข้างแตกต่างไปจากวิหารศักดิ์สิทธิ์และราชวังแห่งความมืดเล็กน้อย แต่ทั้งสามนั้นก็ทำหน้าที่เดียวกัน
แต่ผู้เชี่ยวชาญที่วิหารศักดิ์สิทธิ์และราชวังแห่งความมืดเลือกให้เป็นผู้ศรัทธาก็ถือว่าเป็นคนของพวกเขาครึ่งหนึ่ง
ในทางตรงกันข้าม สมาคมทหารรรับจ้างเป็นสมาคมที่อิสระและมีอำนาจอยู่ที่ส่วนกลางเท่านั้น สมาคมนี้มีเครือข่ายพันธมิตรที่กว้างขวาง แพร่ขยายไปตามอาณาจักรและเหล่าค่ายต่างๆจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเมืองเล็กหรือเมืองใหญ่ กลุ่มทหารรับจ้างจะถูกสร้างขึ้นจากพรานท้องถิ่นและทหารรับจ้าง
สมาคมทำหน้าที่ในการแจกจ่ายภารกิจและเก็บส่วนแบ่งของค่าจ้าง หรืออาจจะคัดเลือกนักรบให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งหรือสมาชิกหลักของสมาคมรับจ้าง
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สมาคมทหารรับจ้างก็สามารถทำงานร่วมกับเมือง, อาณาจักร, และค่ายฝ่ายใดก็ได้ กลุ่มรับจ้างต่างๆก็ไม่ได้อยู่ใต้บังคับบัญชาของสมาคมรับจ้างอีกด้วย
หากพวกเขาต้องการใช้กองกำลังทหารรับจ้างทำอะไรบางอย่าง พวกเขาต้องพึ่งพาธุรกรรม PY หรือธุรกิจทางการเงิน…
ณ ช่วงเวลาที่สมาคมทหารรับจ้างเข้ามายังเมืองแห่งรุ่งอรุณ
วิลเลียมใช้ชื่อเสียงยศศักดิ์ของเขาเพื่อจัดตั้งกลุ่มทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณขึ้น!
มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ไม่ชอบการเป็นทหาร นอกจากนี้ยังมีคนที่ไม่ผ่านการคัดเลือกเพราะศักยภาพทางสายเลือดไม่ผ่านข้อกำหนด ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ไม่ต้องการที่จะไปทำไร่ไถนาหรือเป็นคนรับใช้ของคนอื่น ดังนั้น เส้นทางเดียวที่เหลือสำหรับพวกเขาคือการเป็นทหารรับจ้าง
มีบางคนที่วางแผนจะสร้างกลุ่มทหารรับจ้างและพัฒนาพลังของตนเอง
แต่ในตอนที่สมาคมทหารรับจ้างเปิดประตูต้อนรับพวกเขา
หลายคนหรี่ตาลง
มีกลุ่มทหารรับจ้างอยู่แล้ว
กลุ่มทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณ!
นั่นคือชื่อของทหารรับจ้างกลุ่มนี้
มีหน่วยลาดตระเวนหลายรายมาสืบข่าว มันเป็นเรื่องจริง
กลุ่มทหารรับจ้างถูกจัดตั้งโดยลอร์ดของเมืองพวกเขาเอง
เหตุผลของการเคลื่อนไหวในครั้งนี้คือ
วิลเลียมอยากจะรวมอำนาจทั้งหมดในเมืองรุ่งอรุณแห่งนี้ เขาต้องการทำให้ทั้งเมืองตกอยู่ภายใต้อำนาจของเขา
ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังแบบใด ก็ต้องตกเป็นของเขาให้หมดทั้งสิ้น
อยากจัดตั้งกลุ่มทหารรับจ้างรึเปล่า?
ควรจัดตั้งกลุ่มทหารรับจ้างขึ้นมาหรือไม่?
หรือสถานะเขาจะลดลงเพียงเพราะการจัดตั้งกลุ่มทหารรับจ้างหรือไม่น่ะหรอ?
ทั้งหมดนั่นน่ะไม่สำคัญหรอก!
ในเมืองรุ่งอรุณแห่งนี้ คำพูดของเขาคือกฏหมาย วิลเลียมเป็นเจ้าเมืองเพียงคนเดียว เป็นนายเหนือหัวเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่มีใครกล้าพอที่จะต่อต้านเขา
นอกจากนั้นแล้ว ชาวเมืองล้วนไม่สนใจเรื่องนี้ และส่วนใหญ่ไม่มีความคิดเห็นเป็นของตนเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ
แต่วิลเลียมก็ได้จับตามองคนที่มี หากมีปัญหาใดๆเกิดขึ้น ผลลัพธ์คือความตาย
ความจริงที่ว่ากลุ่มทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณถูกจัดตั้งขึ้นทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายต่างคลั่งที่จะเข้าร่วม พวกเขาไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังปกติได้และเริ่มที่จะตกต่ำ แต่ในตอนนี้พวกเขามีโอกาสในการเข้าร่วมกองกำลังทหารรับจ้างที่อยู่ภายใต้ลอร์ดของเมืองแล้ว
มันเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แม้ว่ากองกำลังปกติจะได้รับการดูแลที่ดีกว่า แต่ก็ไม่ได้มีอิสระมากเท่ากองกำลังทหารรับจ้าง และในขณะเดียวกันพวกเขาก็มีเวลาพักผ่อนน้อยกว่าด้วย
ถ้าพวกเขาไม่อยากสู้ พวกเขาจะอยากเป็นทหารรับจ้างไปทำไมกัน?
มันเป็นเพราะภารกิจ ใช่ไหม? หากพวกเขาไม่อยากทำภารกิจ พวกเขาก็อาจจะได้พักผ่อนและเดินเล่นไปเรื่อยใช่ไหม?
ดังนั้น มันจึงไม่สำคัญเลยหากเทียบกับการเข้าร่วมกลุ่มทหารรับจ้าง
ผู้ช่วยผู้นำของกลุ่มนี้คืออเล็กซ์ พรานในเงามืดที่มีอาชีพลับเป็นผู้รับผิดชอบหน้าที่นี้ วิลเลียมอยู่เพียงในนามเท่านั้น แม้ว่าเขาจะเป็นคนจัดตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมา
แต่เป็นเพราะการก่อตั้งเช่นนี้เองที่ทำให้เหล่าพรานป่าและนักรบต่างๆที่ต้องการสร้างขุมอำนาจของตนเองต้องอดทนอดกลั้นและทำได้เพียงเข้าร่วมกลุ่มทหารรับข้างรุ่งอรุณเท่านั้น
มันก็ช่วยไม่ได้หรอกนะ
ในขณะนี้วิลเลียมมีอำนาจและอิทธิพลที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองรุ่งอรุณ เขาเป็นที่รู้จัก และไม่มีใครกล้าที่จะยั่วยุเขา
และ ณ วันนี้ มีกลุ่มทหารรับจ้างเพียงกลุ่มเดียวในนามของสมาคมทหารรับจ้างเท่านั้น นั่นก็คือกลุ่มของเขา
กลุ่มทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณ!
ในกลุ่มประกอบด้วยคนมากกว่า 800 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับเริ่มต้น แต่สมาชิกบางคนก็เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลาง
ทหารรับจ้างเหล่านี้สามารถรับภารกิจที่ออกโดยผู้ดูแลหรือเป็นภารกิจที่ไม่อันตรายมากนั้น
ลอทเนอร์เป็นผู้ประกาศภารกิจ ภารกิจเหล่านี้บางทีก็เป็นภารกิจที่กองกำลังธรรมดาไม่มีเวลาทำหรือขี้เกียจเกินกว่าจะไปทำ จึงส่งภารกิจเหล่านั้นมาที่สมาคมทหารรับจ้าง นี่ทำให้กองกำลังทหารรับจ้างของเขาได้รับผลประโยชน์บางอย่าง
ยกตัวอย่างเช่น การหาขนสัตว์ กองกำลังธรรมดาไม่สามารถเสียเวลาในการฝึกฝนไปได้ พวกเขาจะมีเวลาไปล่าสัตว์ได้อย่างไรกัน? นี่เป็นประเภทของงานที่ทิ้งไปให้กองกำลังทหารรับจ้าง
นอกจากนี้ ด้วยกลุ่มทหารรับจ้างที่จัดตั้งขึ้นโดยท่านลอร์ดของพวกเขาเองแล้ว ยังต้องการทหารรับจ้างกลุ่มอื่นอีกงั้นเหรอ? แล้วจำเป็นต้องขโมยงานหรือภารกิจจากคนอื่นอีกเหรอ?
ไม่มีทางซะหรอก…
เหล่านักรบและพรานป่าที่มีความทะเยอทะยานเหล่านี้เข้าใจดี…
แองกี้ แฟตตี้ก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน เขาพบผู้เล่นคนอื่นด้วยการ์ดการทดสอบภายใน พวกเขารวมตัวกันนับสิบหรือมากกว่านั้น ก่อนจะจับกลุ่มคุยกัน อดไม่ได้หรอก เชื่อสิ
“เขากำลังพยายามใช้อำนาจ ทุกๆคนในเมืองแม้แต่คนที่มีกำลังเพียงน้อยนิดก็ตกอยู่ภายใต้คำสั่งของเขา” นักรบคนหนึ่งกล่าวขึ้น เขาชื่อฉางหลี จิ่วเกอ เขาเป็นผู้เล่นมืออาชีพจากสโมสรที่รุ่งโรจน์ ผู้เล่นที่เหลือต่างพยักหน้าเห็นด้วย
“แม้ว่านี่จะเป็นสิ่งที่พวกเขาพูด แต่จากข้อมูลที่รั่วไหลของเครือข่ายการปกครองแล้วล่ะก็ จะพบได้ว่าเหตุการณ์การขัดแย้งภายในได้ลดลงแล้ว ลอร์ดท่านนี้ได้จัดตั้งค่ายที่แตกต่างไปจากอดีตตรงที่กุมอำนาจและขุนนางในอาณาจักรไว้เพียงผู้เดียว”
“แล้วเราจะทำยังไงกันดี? เข้าร่วมกลุ่มทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณ? หรือจะสร้างกลุ่มทหารรับจ้างของพวกเราเอง?”
ทันทีที่เขาพูดจบทุกคนก็มองเขาด้วยความกังวล ผู้เล่นคนนั้นจึงก้มศีรษะแล้วเริ่มคุยกับตนเองราวกับเขาไม่ใช่คนที่เพิ่งพูดออกไป
ฉางหลี จิ่วเกอถอนหายใจ “พวกเรานับสิบถือว่าเป็นหน้าใหม่ ทักษะของพวกเราก็นับว่าอ่อนแอ เราไม่คุ้นเคยกับพื้นที่และไม่ได้มีคนรู้จักมากมายนัก เราไม่มีแม้แต่เหรียญทอง 100 เหรียญในการจัดตั้งกลุ่มทหารรับจ้าง”
“เป้าหมายของเราในระยะเวลา 12 วันนี้คือการก้าวหน้าเหนือผู้เล่นคนอื่นๆและทำความเข้าใจเกี่ยวกับเกมนี้ให้มากขึ้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างกลุ่มทหารรับจ้าง”
แองกี้ แฟตตี้พยักหน้า “พี่ฉางกล่าวถูกแล้ว ทำไมทุกคนในที่นี้ถึงสามารถได้รับการ์ดทดสอบภายในได้ เพราะเราเป็นหมู่ชนชั้นสูงในหมู่ผู้เล่นยังไงล่ะ เป็นมือเก๋าในวงการเกม แต่ในตอนนี้เราต้องลืมความสำเร็จที่ผ่านมาก่อน เพราะในที่แห่งนี้เรายังคงเป็นหน้าใหม่”
“ข้อมูลที่ถูกปล่อยออกมาจากเครือข่ายมีไม่มากนัก เราต้องรวบรวมข้อมูลด้วยตัวเอง”
“ทำไมเราไม่เข้าร่วมกลุ่มทหารรับจ้างรุ่งอรุณซะล่ะะ? วางทุกอย่างลงไปก่อนแล้วมามองดูผลประโยชน์นี่กัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม นี่ก็ยังเป็นกลุ่มทหารรับจ้างที่ถูกสร้างขึ้นโดยลอร์ดของเมืองนี้อยู่ดี”
“จริงๆก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่นะ แม้ว่าจะมีกลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มอื่นสร้างขึ้นมาฉันก็คงไม่เอาด้วย เพราะกลุ่มทหารรับจ้างที่สร้างขึ้นโดยบอสระดับรีเจนดารีคงไม่ใช่กลุ่มทหารที่ใครจะเป็นคู่แข่งได้หรอก!”
ไม่มีใครสามารถหาข้อผิดพลาดในสิ่งที่เขาพูดได้
ทุกคนพยักหน้า พวกเขาไม่ได้คุยอะไรที่ไม่จำเป็นกันอีก ชื่อในฐานะ NPCระดับรีเจนดารีเป็นสิ่งที่ดึงดูดพวกเขาให้เข้าร่วมกับกลุ่มทหารรับจ้างรุ่งอรุณ
หลังจากนั้น เมื่อเวลาผ่านไปตั้งแต่การทดสอบภายในเริ่มขึ้น ผู้เล่น 1,000 คนเข้ามาในเกม บางคนได้รู้ว่าวิลเลียมเป็นบอสระดับรีเจนดารี แต่นอกเหนือจากนั้น พวกเขาไม่เคยเห็นบอสที่น่าประทับใจขนาดนี้มาก่อน
ทั้ง 13 คนไม่ลังเลที่จะเดินเข้าไปในสมาคมทหารรับจ้าง
พนักงานที่แผนกต้อนรับของสมาคมทหารรับจ้างสุดแสนจะเอื่อยเฉื่อย เขามองมาที่พวกเขาก่อนจะถามว่า “พวกท่านต้องการที่จะเข้าร่วมกลุ่มทหารรับจ้างหรือไม่ครับ?”
“ใช่ครับ มีข้อกำหนดอะไรไหมครับ?” ฉางหลี จิ่วเกอตอบ
“เฮ้ อย่าหลับ พวกท่านเป็นคนในสมาคมทหารรับจ้างนะ” พนักงานต้อนรับคนนั้นหันไปเตะเก้าอี้
ผู้นำของสมาคมทหารรับจ้างตื่นขึ้น ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร ในฐานะพนักงานของสมาคม เขาไม่เคยเห็นกำลังส่วนกลางที่ไร้เหตุผลขนาดนี้มาก่อน
ลอร์ดของเมืองนี้จัดตั้งกลุ่มทหารรับจ้างขึ้นมาแต่กลับไม่ให้ทางสมาคมได้รับผลประโยชน์ที่มากกว่า
สำหรับสมาคมทหารรับจ้างนั้น ยิ่งมีกลุ่มรับจ้างมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีการแข่งขันกันมากขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุนั้นก็จะทำให้ทางสมาคมได้รับผลประโยชน์ที่มากขึ้น แต่ตอนนี้รู้สึกราวกับว่าสมาคมทหารรับจ้างทำงานให้กับเมืองแห่งรุ่งอรุณแทน พวกเขาแทบไม่มีตัวตนอยู่…
“อา…” ปีเตอร์เช็ดน้ำลาย เขามองไปยังแองกี้ แฟตตี้และคนที่เหลืออย่างงุนงง จากนั้น เขาถึงค่อยเข้าใจและพยักหน้า “พวกท่านสามารถเข้าร่วมกับเราได้ ถ้าพวกท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดก็ไม่มีข้อกำหนดอะไรมากกว่านี้แล้ว ตอนนี้ก็ตามข้ามาเถอะ!”
ฉางหลี จิ่วเกอและคนอื่นๆต่างมองกันไปมา ทันใดนั้นพวกเขาก็มีลางสังหรที่ไม่ดีเกิดขึ้น
มันเป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติ
หากแผนกต้อนรับเลอะเทอะเช่นนี้ก็อาจหมายความว่ากลุ่มทหารรับจ้างนั่นไม่ได้ดีเด่อะไรน่ะสิ!
ความเป็นจริงนั้นตรงกันข้ามกับความคาดคิดของกลุ่ม
การดูแลของกลุ่มทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณนั้นวิเศษมาก
แองกี้ แฟตตี้ได้ระบุถึงสวัสดิการบางส่วนลงในสตรีมสด กลุ่มผู้เล่นพากันคอมเมนต์ ‘666’ อย่างดุเดือด หากมีคีย์บอร์ดอยู่รอบๆล่ะก็ บางส่วนต้องถูกทำลายไปแล้วเป็นแน่
‘สวัสดิการของกลุ่มทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณ’
‘สมาชิกใหม่จะได้รับเครื่องแบบทหารรับจ้าง รวมถึงที่อยู่อาศัยที่หอพักทหารรับจ้างฟรี’
‘สมาชิกใหม่จะได้รับส่วนลดและสามารถซื้อชุดอุปกรณ์ระดับสีขาวระดับเดียวกันในราคาที่ต่ำกว่าได้ และยังได้รับอุปกรณ์หรืออาวุธระดับสีฟ้าฟรีอีกด้วย’
‘เมื่อทำภารกิจสำเร็จ จะได้รับคะแนนสะสม จำนวนเงินที่ได้รับจะถูกกำหนดโดยความยากของภารกิจ คะแนนสะสมสามารถนำไปแลกเปลี่ยนเป็นอุปกรณ์หรือเงินก็ได้ และยังสามารถใช้สำหรับการเลื่อนสถานะในกลุ่มทหารรับจ้างอีกด้วย’
‘สมาชิกจะได้รับสิทธิพิเศษเมื่อซื้ออุปกรณ์, ยา, ของตกแต่ง, และอื่นๆในเมืองแห่งรุ่งอรุณ (เฉพาะในปริมาณที่กำจัดต่อวัน!)
‘สมาชิกสามารถมาหมุนวงล้อแห่งโชคลาภ(เล็ก)ที่คาสิโนในครึ่งราคาได้สองครั้ง (สองครั้งต่อสัปดาห์)’
‘สมาชิกสามารถมาหมุนวงล้อแห่งโชคลาภ(ใหญ่)ที่คาสิโนในครึ่งราคาได้หนึ่งครั้ง (หนึ่งครั้งต่อสัปดาห์)’
‘ระดับในกลุ่มทหารรับจ้างมีดังนี้ : สมาชิกธรรมดา, สมาชิกชั้นสูง, สมาชิกหลัก, สมาชิกอันดับสูง, ผู้ช่วยผู้นำ (ยิ่งระดับสูง ยิ่งได้รับสิทธิพิเศษมากขึ้น)’
‘สมาชิกกลุ่มทหารรับจ้างสามารถใช้คะแนนสะสมในการแลก : คัมภีร์ลับระดับเริ่มต้น, คัมภีร์ลับระดับกลาง, คัมภีร์ลับระดับสูง, คัมภีร์ลับระดับมาสเตอร์, คัมภีร์ลับระดับอีปิค และคัมภีร์ลับระดับรีเจนดารี (คัมภีร์ลับพลังการต่อสู้และคัมภีร์ลับเวทมนตร์แลกได้ด้วยชิ้นส่วนคัมภีร์ลับเลเวลเดียวกันเท่านั้น)’
‘ผู้นำกลุ่มสามารถแนะนำภรรยาให้แก่สมาชิกได้ (สมาชิกหลักและระดับที่สูงกว่าสามารถเลือกที่จะปฏิเสธได้)’
สิทธิพิเศษทั้ง 9 อย่างนั้นสามารถเอาชนะใจผู้เล่น 13 คนที่มีการ์ดทดสอบภายในและผู้ชมทั้งหลายได้ทันที
ช่องคอมเมนต์กำลังจะระเบิด
จากสิทธิพิเศษเก้าข้อ หนึ่งในนั้นที่กล่าวว่าหัวหน้ากลุ่มอาจจะแนะนำภรรยาให้นั้นได้สร้างความเชื่อมั่นต่อผู้เล่นจำนวนนับไม่ถ้วน และนี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้กลุ่มทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณมีรากฐานที่มั่นคงมาก
“พี่ชาย ฉันอยากไปเมืองแห่งรุ่งอรุณ ในที่สุดก็มีเมืองที่แจกภรรยาซักที罒ω罒”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า…คัมภีร์ลับระดับรีเจนดารีพวกเขาก็ยังมีเหรอ? กลุ่มของท่านผู้นำจะแจกหนังสือภรรยาด้วยเลยมั้ยล่ะ?”
“เราสามารถวางทุกอย่างลงก่อนได้ เมืองแห่งรุ่งอรุณช่างน่าประทับใจ ผู้นำของกลุ่มทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณก็น่าประทับใจ ฉันจะรอไปรับภรรยาจนกระทั่งเกมเบต้าเปิด!”
“สามารถหมุนวงล้อแห่งโชคลาภอันใหญ่ได้ในครึ่งราคา ขโมยชัดๆ! ถ้าเป็นสมาชิกหลัก จะสามารถหมุนวงล้อได้หลายๆครั้งต่อสัปดาห์รึเปล่านะ?”
“ฮ่า ฮ่า ด้วงดินที่ไม่มีเงินอย่างแกยังจะไปหมุนวงล้ออีกเรอะ รอดูฉันหมุนวงล้อ 100 ครั้งในสตรีมสดแทนเถอะ!”
“แม่*แกสิ”
ผ่านไปสักพักหัวข้อของคอมเมนต์ก็เปลี่ยนไป เป็นการตอบโต้ระหว่างเจ้าพ่อกับด้วงดินแทน…
ประโยชน์ที่วิลเลียมได้จากเว็บเพจคือการที่เรียกความรู้สึกกลับมาได้อีกครั้งเหมือนกับเดจาวู และสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้เล่นนับไม่ถ้วนได้ทันที
แองกี้ แฟตตี้หัวเราะเยาะความขัดแย้งในสตรีมสดแต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไร
ยิ่งคอมเมนต์ร้อนแรงมากเท่าไหร่ ก็จะส่งผลประโยชน์ต่อสตรีมสดของเขาเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการสนทนาเกี่ยวกับเกมหรือความขัดแย้งระหว่างผู้ใช้ มันก็ส่งผลเพียงเพิ่มความนิยมให้กับเขาเท่านั้น
ปาร์ตี้ของเขาทั้งสิบสามคนไม่ลังเลและกลายเป็นสมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณทันที นอกเหนือจากแองกี้ แฟตตี้แล้ว ทุกคนต่างก็เปลี่ยนอุปกรณ์ของตนเองกันทั้งสิ้น พวกเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ไม่มีค่าสถานะและแทนที่พวกมันด้วยอุปกรณ์ระดับเริ่มต้นคุณภาพสีขาวที่ซื้อด้วยราคาต่ำ และยังมีอุปกรณ์ระดับสีฟ้าอยู่ในมืออีกด้วย
หากผู้เล่นได้รับตัวเลือกในการได้รับอุปกรณ์ระดับเริ่มต้นคุณภาพสีฟ้าแล้วล่ะก็ ไม่ว่าใครก็ต้องเลือกอาวุธเช่นนี้อยู่แล้ว
สำหรับแองกี้ แฟตตี้ เขามีอาวุธระดับเงินอยู่แล้ว ดังนั้น เขาจึงเลือกชุดเกราะในชุดอุปกรณ์ระดับสีฟ้าฟรีแทน อาวุธระดับเงินนั้นเป็นที่นิยมมาก แม้กระทั่งผู้เล่นมืออาชีพอย่างฉางหลี จิ่วเกอก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาผู้เล่นธรรมดาได้
“นั่นเป็นระดับเงินเลยนี่ มันสวยมาก! ขอลองจับหน่อยได้ไหม?” มีบางคนถามอย่างร่าเริง
“ทำอะไรน่ะ? มันหนักไปหน่อย พอผ่านไป 12 วันมันก็หายไปแล้ว” แฟตตี้ที่หนักกว่า 200 กิโลกรัมกวัดแกว่งอาวุธระดับเงินในมือราวกับไม่ได้เกิดอะไรขึ้น มันสุกสว่างและเปล่งรัศมีออร่าที่ทรงพลัง…
ผู้เล่นที่ร่าเริงค่อยๆหุบยิ้มลง!
การแสดงออกที่ใจแคบที่ให้คนอื่นเริ่มโกรธ พวกเขาอยากจะโจมตีแฟตตี้
ต้องขอบคุณที่พวกเขามีเวลาเพียง 12 วันในเกมเท่านั้น มันไม่คุ้มกับเวลาเท่าไหร่ที่จะมีเรื่อง
“เหลือไม่กี่คนในหอพักของทหารรับจ้าง บางคนก็ออกไปทำภารกิจ ไปเลือกรับภารกิจด้วยล่ะจะได้เพิ่มเลเวล ในเวลาเดียวกัน เราก็สามารถตามหาว่าผู้นำกลุ่มพากองกำลังทหารปกติไปที่ไหน” สำหรับผู้เล่นมืออาชีพ ฉางหลี จิ่วเกอค่อนข้างมีชื่อเสียง ซึ่งแตกต่างจากการถ่ายทอดสดของแฟตตี้ เมื่อเขาพูด ผู้เล่นทุกคนก็พยักศีรษะรับ
แองกี้ แฟตตี้ตัดสินใจที่จะทำภารกิจพวกหน้าใหม่พวกนี้ด้วย
มันช่วยไม่ได้นี่
สิ่งที่ทำกับอาวุธระดับเงินก็แค่การแสดง
ทำไมผู้ประกอบการต่างๆถึงต้องจ่ายเงินเพื่อเล่นเกมด้วยล่ะ?
เพราะพวกเขาจะมีเลือดมากขึ้นเวลาต่อสู้กับมอนสเตอร์ยังไงล่ะ ผู้คนจะมองเขาอย่างชื่นชมและคอมเมนต์ว่า บอส 666!
นั่นเป็นเรื่องปกติ
หากพวกเขาไม่แสดงแกล้งทำ มันก็จะไม่ตรงจุดประสงค์ในการจ่ายเงินเพื่อเล่นเกมน่ะสิ!
บังเอิญว่า
ในขณะที่พวกเขากำลังจะเดินออกจากหอพักทหารรับจ้างดันไปชนเข้ากับผู้ช่วยผู้นำอเล็กซ์เข้า!
ตั้งแต่อเล็กซ์ได้กลายเป็นผู้ช่วยหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้าง เขาก็มีงานทำล้นมือ แต่เขาก็สนุกกับมันเช่นกัน เขาไม่เคยมีชีวิตอยู่อย่างเปิดเผยเช่นนี้นับตั้งแต่ออกจากจากการเป็นมือสังหารเงา ตอนนี้เขากลายเป็นคนมองโลกในแง่ดีมากขึ้น
เขาพยักหน้าให้ก่อนจะรีบเดินเข้าไปยังห้องโถงของทหารรับจ้าง เขาไม่ได้มีความคิดเห็นอะไรกับทหารรับจ้างหน้าใหม่
แต่ฉางหลี จิ่วเกอกับคนอื่นๆนั้นตกตะลึงไปเรียบร้อย!
“แค่ฉันที่เห็นหรอ?” คนหนึ่งถาม
“ไม่!”
“ผู้ช่วยหัวหน้าระดับอีปิค ไม่ทราบคลาสที่แน่นอน แต่เขาอันตรายมาก!”
“ข่าวใหญ่! เรื่องนี้ต้องร้อนแรงแน่” แองกี้ แฟตตี้ดีอกดีใจ เขาอัพโหลดข้อมูลของอเล็กซ์ขึ้นบนสกรีนอย่างรวดเร็ว
คอมเมนต์หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ผู้เล่น 1,000 คนที่มีการ์ดประสบการณ์ได้หลั่งไหลเข้ามาในเกม ในหมู่พวกเขาก็มีผู้ประกาศข่าวมากมายเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นนักข่าวหรือผู้เล่น พวกเขาก็ไม่เคยเห็น NPC ที่น่าประทับใจเช่นนี้มาก่อน
ส่วนมาก พวกเขาอาจจะค้นพบ NPC ระดับแกรนด์มาสเตอร์
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ในเมืองแห่งรุ่งอรุณก็ปรากฏ NPC ระดับรีเจนดารีและระดับอีปิคออกมา ผู้คนต่างถูกดึงดูดเข้าไปในเมืองแห่งนั้น
“ไปกันเถอะ เราควรทำภารกิจให้สำเร็จ”
“โอ้! ภารกิจอาบน้ำให้ลูกหมีของท่านหัวหน้า ฉันคิดว่ามันง่ายมาก รางวัลก็สูงด้วย ทำไมไม่มีใครรับภารกิจนี้ไปเลยล่ะ?” ฉางหลี จิ่วเกอเลิกคิ้ว ในฐานะผู้เล่น พวกเขาไม่รู้ว่ามีอะไรให้กลัว แต่เมื่อพวกเขาไปอาบน้ำให้หมีเท่านั้นแหละ!
“แหะๆ บางทีคนเหลืออาจจะขี้เกียจเกินกว่าจะไปอาบน้ำให้กับลูกหมีน่ารักๆก็ได้ ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า ฉันจะอาบน้ำให้สะอาดไปเลย!” แองกี้ แฟตตี้หัวเราะฝืดๆ ส่วนที่เหลือก็ว่าไปตามนั้น…
……………..
กองทัพของวิลเลียมมาถึงเผ่าโถวเหยิน
สงครามนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้
โถวเหยินไม่ใช่เผ่าที่ขี้ขลาด ตราบใดที่ยังหนุ่มและแข็งแรง เมื่อถือขวานพวกเขาคนใดคนหนึ่งก็จะกลายเป็นนักรบ
ในช่วงเวลาหนึ่ง กองทัพ 1,500 คนจึงได้รวมตัวกัน
เมื่อวิลเลียมเห็นเช่นนั้น เขาก็รู้ว่าคงเป็นเรื่องยาก คนเหล่านี้แข็งแกร่งและไม่ยอมจำนนอย่างแน่นอนนอกจากต่อสู้ เขาออกคำสั่งทันที “พลธนู 100 นายแยกแถวออกไปรอบๆ นักรบเกราะไปด้านหน้า นักดาบเวทย์อยู่ตรงกลาง หน่วยลาดตระเวนไปอยู่ด้านหลัง ปีกแต่ละข้างจะต้องมีทหารประจำ 200 นาย ไปเลย!”
เมื่อทหารทั้ง 2,000 นายได้ยินเขากู่ร้อง พวกเขาก็ย้ายแยกกันไปทันที
นักรบเกราะ 500 คนถือโล่ของพวกเขาตั้งขึ้นและตั้งแถวสองแถว เกราะของพวกเขาสดสว่างและเป็นประกาย พวกเขาก้าวไปข้างหน้าที่เต็มไปด้วยพลัง
นักดาบเวทย์ 300 นายอยู่ตรงกลาง
พลหน่วยลาดตระเวน 300 นายที่เป็นพลธนูต่างซุ่มอยู่ด้านหลัง
ทหาร 200 ปกป้องปีกทั้งสองข้าง ส่วน 100 กำลังเดินทางออกไปด้านนอก!
สำหรับองครักษ์เอลฟ์ที่เหลืออีก 400 ตน พวกเขาเป็นทางเลือกสุดท้าย สุดท้ายแล้วเราก็ควรรักษาทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดเมื่อจำเป็นที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น วิลเลียมเองก็กลัวว่าเขาจะสูญเสียองครักษ์ของตน นั่นจะเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
การต่อสู้ระหว่าง 200 คนและ 2,000 คนนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน
200 คนจะเป็นการต่อสู้ขนาดเล็ก แต่เมื่อมีคน 2,000 คนและม้าเข้าร่วมมันจะกลายเป็นสงครามที่แท้จริง
ทุกคนไม่สามารถกลายเป็นนายพลในสนามรบได้ วิลเลียมไม่มีประสบการณ์ใดๆเลยด้วยซ้ำ
แต่เขาเป็นเจ้าชาย เขาจะต้องไม่ยอมแพ้!
ดูเหมือนว่าขบวนทหารที่มั่นคงนี้จะไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ในฐานะที่เป็นรูปแบบทางทหารดั้งเดิมที่สุดในประวัติศาสตร์โบราณมันก็เป็นรูปแบบที่ง่ายที่สุดแล้ว
มันไม่มีอะไรอีกแล้ว
พวกเขาต่อสู้อย่างไม่หยุดหย่อนและก้าวหน้าไปทีละขั้น
องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของการสร้างรูปขบวนนั้นสามารถสรุปได้ในคำเดียว
คือความมั่นคง!
หกคำ
มั่นคงดั่งสุนัขแก่
วิลเลียมไม่ได้ทำอะไรโอ้อวดกับเผ่าโถวเหยิน
ในขณะเดียวกัน
เขาขี่ม้าของเขาและพุ่งไปที่ด้านหน้าของขบวน เขาเห็นทหารจากเผ่าโถวเหยินก่อนจะชี้ดาบใส่พวกมัน ใช้เสียงต่ำสั่ง “ยอมแพ้หรือสู้!”
“ยอมแพ้หรือสู้!”
“ยอมแพ้หรือสู้!”
ทหารกว่า 2,000 นายพร้อมกับม้าศึกก้าวไปข้างหน้าพร้อมโจมตี เสียงคำรามดังกึกก้อง รัศมีของพวกเขาท่วมท้นพื่นที่แห่งนี้!
เมื่อทหารธรรมดาจากเผ่าโถวเหยินเห็นดังนั้น พวกมันก็ไม่สามารถต่อสู้ได้ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
กองทัพคนกว่า 2,000 คนยกทัพออกมาด้วยความเย่อหยิ่ง วิลเลียมชักนำพวกเขาให้ก้าวไปข้างหน้า ทุกครั้งที่พวกเขาก้าวเท้าจะเต็มไปด้วยจิตวิญญาณในการต่อสู้พร้อมกับเสียงคำรามแห่งความโกรธเกรี้ยว
เมื่อขบวนหยุดลง
ราวกับกองทัพทั้งหมดได้ระเบิดออก พลังการต่อสู้ที่เปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขามถูกปลดปล่อยไปทั่วบริเวณ ทุ่งหญ้าภายระยะ 500 เมตรล้วนกลายเป็นไอในทันที ไม่เหลือร่องรอยแม้แต่น้อย
ฉากนี้ทำให้ผู้คนในเผ่าโถวเหยินหวาดกลัว พวกเขาต่างกลืนน้ำลายไปตามๆกัน บางคนถึงกับเริ่มแทะเล็มหญ้าไปเงียบๆ รอวันที่ที่กองทัพแห่งรุ่งอรุณจะปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนกับวัวธรรมดา
พวกเขาเป็นเพียงแค่เผ่าเล็กๆ ทหารส่วนใหญ่อายุยังน้อย กองทหารปกติไม่ได้รับการฝึกอบรมที่พิเศษ ไม่มีใครรู้ว่ามีโถวเหยินกี่คนที่สามารถถืออาวุธได้
อย่างไรก็ตาม
เสียงคำรามของวัวดังออกมาจากท้ายขบวนเผ่าโถวเหยิน
ทั้งเผ่าตกอยู่ในความเงียบ
พวกเขาประหลาดใจ ก่อนจะเปิดทางและมองผู้นำด้วยความเคารพ
เขาเป็นโถวเหยินที่ตัวใหญ่และสูง แข็งแกร่งและมีกล้ามเนื้อ มีแขนและกำปั้นที่แข็งดั่งหิน เขาค่อยๆเดินออกมาด้วยก้าวย่างที่หนักอึ้ง ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับหัวใจของพวกเขากำลังสั่นเทา
วิลเลียมเลิกคิ้ว ชื่นชมโถวเหยินผู้นั้นเล็กน้อย พยักหน้าก่อนจะกล่าวว่า “อย่างที่คาดไว้เลย ชาวโถวเหยินผู้สามารถแบกม้าทั้งตัวได้ด้วยมือเดียว เมื่อยืนด้วยความสูงเกือบ 2.3 เมตรนั่นทำให้เรารู้สึกถูกกดขี่ไปเลย แต่เมื่อมองไปยังกล้ามเนื้อที่แสนพิเศษของเจ้าแล้ว เราก็เบาใจ เจ้าจะต้องทำงานในเหมืองแร่ได้ดีเป็นแน่!”
“ศักยภาพทางสายเลือดของเขาคือระดับอีปิค น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าจะควบคุมเขาไม่ได้ แต่เราแค่ต้องกำจัดเขาไปซะ!”
“ท่านลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณ ท่านนำทัพมาที่แห่งนี้แล้วยังแทรกซึมเข้ามายังอาณาเขตของข้า ท่านคิดว่าเผ่าโถวเหยินจะถูกรังแกได้ง่ายมากนักหรือ?” ผู้นำเผ่าโถวเหยินคำรามเสียงต่ำ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย แม้ยามเผชิญหน้ากับกองทัพเหล็กที่นำโดยวิลเลียม
วิลเลียมเลิกคิ้ว เขายังไม่อยากโจมตี หลายครั้งที่เขาส่งคนไปเกลี้ยกล่อมพวกเขา แต่เผ่าโถวเหยินกลับไม่ยอมจำนน น่าเสียดายซะจริง คนกลุ่มนี้โง่พอที่จะปฏิเสธข้อเสนอที่มอบให้ วิลเลียมจึงไม่มีทางเลือกได้แต่นำกองทัพเข้าปราบปรามพวกเขา
“หึ เราจะไม่โจมตีผู้บริสุทธิ์ หากเจ้าไม่อยากให้คนของเจ้าต้องได้รับอันตราย เราสามารถมาประลองกันได้ หากเจ้าตาย คนของเจ้าก็มากับเรา แต่หากเราตาย กองทัพของเราก็จะถอนทัพออกไป”
เมื่อผู้นำโถวเหยินได้ยินดังนั้น เขาก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างหนัก ดวงตาของเขาแดงก่ำขณะที่เดินมาตรงหน้าวิลเลียม เขาก้มศีษะก่อนจะหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ข้ามีนามว่าฟิว (Fiu) โรสเซอร์ ตอนเจ้าตายก็อย่าลืมชื่อข้าไปเสียล่ะ จำไปจนถึงในนรก!”
“…” ใบหน้าของวิลเลียมเต็มไปด้วยความสับสน ฟิว(Few) โรสเซอร์ กุหลาบน้อยงั้นเหรอ?
“ฮึ่ม! หยุดเหลวไหลได้แล้ว”
“อย่าหาว่าเราโหดร้ายเกินไปแล้วกัน” วิลเลียมหรี่ตา ชักดาบออกอย่างดุเดือด พลังการต่อสู้สีน้ำเงินหมุนรอบตัวเขาอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะระเบิดออกคล้ายกับเสียงฟ้าผ่า
แต่ก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าไปต่อสู้นั้น
ฟิว โรสเซอร์ก็ยื่นมือออกมาเพื่อส่งสัญญาณให้หยุด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
วิลเลียมหยุดอยู่ตรงครึ่งทาง เขาเลิกคิ้วขึ้น ไม่เข้าใจการกระทำของฟิว โรสเซอร์
ไม่ได้มีเพียงเขาเท่านั้น แต่ผู้สังเกตการณ์อยู่รอบๆก็สับสนเช่นเดียวกัน
ฟิว โรสเซอร์หัวเราะเสียงเย็น เขาขว้างขวานเพลิงในมือทิ้งไป ก่อนจะหัวเราะ “ผู้ชายต้องต่อสู้อย่างผู้ชาย”
“โอ้? ไม่ใช้อาวุธงั้นเหรอ?” วิลเลียมพยักหน้า เขาเล่นเกมมาสิบปี แต่เขาไม่รู้ว่ามีประเพณีแบบนี้ในหมู่โถวเหยินมาก่อน แต่ไม่เป็นไร เขาโอเคที่จะทำตามความปรารถนาก่อนที่คนผู้นั้นจะตาย ตราบใดที่เขาสามารถนำโถวเหยินที่เหลือไปได้อย่างมั่นคง
ดังนั้น เขาจึงโยนดาบลงไปบนพื้น
แต่ในตอนที่เขาจะเข้าชาร์ตอีกครั้ง
มือของฟิว โรสเซอร์ก็ยกขึ้นมายับยั้งไว้อีกครั้ง วิลเลียมหยุด
เสียงตะโกนดังขึ้นมาจากทุกหนทุกแห่ง ทหารของเผ่าโถวเหยินเริ่มคำราม “โจมตีเขาเลย โจมตีเขา!”
อย่างไรก็ตาม!
ฟิว โรสเซอร์คือใครกัน?
“ข้าไม่ได้เป็นเพียงผู้นำของเผ่าโถวเหยินเท่านั้น แต่ยังเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเผ่าอีกด้วย”
“ทำไมข้าต้องส่งคนไปตายเพื่อเจ้าด้วย? มีกี่เผ่าแล้วที่ต้องถูกเจ้าทำลายลง? ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ลอร์ดของเมืองแห่งรุ่งอรุณได้ทำสงครามทุกด้าน และได้กำจัดกองกำลังจำนวนมากออกไป คนที่ท้าทายเขาด้วยตนเองจะต้องพบกับจุดจบ” ฟิว โรสเซอร์หัวเราะพอใจกับตนเอง
จากนั้นเขาก็ก้มศีรษะด้วยสีหน้าที่เย็นชา เขามองวิลเลียมด้วยความรังเกียจ “การต่อสู้ระหว่างลูกผู้ชายที่แท้จริงไม่ใช่การต่อสู้ตัวต่อตัว แต่มันคือ…”
“คืออะไร?”
“งัดข้อ!”
“…” ลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณ ผู้นำกลุ่มทหารรับจ้างรุ่งอรุณ เจ้าชายแห่งเอลฟ์ตระกูลแบล็คลีฟ วิลเลียม แบล็คลีฟพูดไม่ออก
ความเงียบคลืบคลานเข้ามาท่ามกลางผู้สังเกตการณ์สนามรบทั้งสองฝ่าย
ผู้คนในเผ่าโถวเหยินก็ตะลึงไปเช่นกัน งัดข้องั้นเหรอ! นี่เป็นสิ่งที่โถวเหยินหนุ่มสาวเล่นกันในบ้าน มันกลายเป็นการต่อสู้ไปเมื่อไหร่กัน?
โถวเหยินที่แท้จริงควรพกขวานและเล็งหัวศัตรูไม่ใช่หรอ?
วิลเลียมสูดหายใจเข้าลึกๆ เขามองไปยังคนผู้นั้น ฟิว โรสเซอร์ ก็ไม่ใช่ชื่อที่แย่อะไรนี่
“ถ้าอย่างนั้นก็มาสิ”
“อ้ะ….อ้ะ…โอ้ย… ข้าแพ้แล้ว” ตอนที่แขนของฟิว โรสเซอร์ถูกดันลง มันก็คล้ายราวกับลูกระเบิด ร่างกายของเขาระเบิดออก บินไปไกลกว่าสิบเมตร ไม่มีใครรู้ว่ามีกี่คนที่เขากระเด็นไปชนและทำให้คนเหล่านั้นบินไปตามๆกัน
เขากระอักเลือดออกมา ร่างกายของเขาสั่นเทาขณะที่ค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้นราวกับเขาได้ใช้พละกำลังของเขาทั้งหมดไปแล้ว
ไม่ได้สนใจคนที่มาพยุงแขนเขาไว้ เขาพึ่งพาพละกำลังของตนเองและค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ…
ในขณะเดียวกัน
เขาก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ร่างกายของเขาสั่นไหว แต่เขากลับยกนิ้วขึ้นชี้ไปยังวิลเลียม “ลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณ ความแข็งแกร่งของท่านช่างน่าประทับใจ ข้ายอมรับความพ่ายแพ้”
“หากท่านต้องการที่จะฆ่าข้า ข้าฟิว โรสเซอร์อยู่ที่นี่แล้ว หากคิ้วของข้าขมวดสักเส้นก่อนตาย ก็เขียนชื่อข้ากลับหัวได้เลย”
“แต่ถ้าท่านกล้าทำร้ายคนของข้าล่ะก็ แม้มีแต่ร่างกายที่ไร้ประโยชน์ ข้าก็จะสู้กับท่านจนตัวตาย”
ตาของวิลเลียมเบิกกว้าง เขาสับสนจนถึงขีดสุด
เขายังไม่ได้ออกแรงเลยด้วยซ้ำ โรสเซอร์คนนี้ก็กระเด็นไปด้วยตัวของเขาเอง?
นอกจากนี้ สารรูปของเขาก็ราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่สามารถรักษาให้หายได้ ช่างเป็นนักแสดงที่ดีอะไรเช่นนี้!
เขาเป็นลูกชายนักแสดงชื่อดังรึเปล่าน่ะ?
เป็นผู้ได้รับรางวัลอคาเดมี่ใช่มั้ย?
แต่ถึงแม้ว่าจะไม่รับรู้ถึงเรื่องที่น่าช็อค ผู้คนในเผ่าโถวเหยินก็ดูประทับใจจนน้ำตาแทบไหล เมื่อพวกเขามองไปยังท่านผู้นำ ย่อมมองด้วยความชื่นชม ไม่ว่ากลุ่มทหารรับจ้างรุ่งอรุณจะทำสิ่งใด ฟิว โรสเซอร์ก็ชนะใจพวกเขาไปแล้ว
วิลเลียมสูดลมหายใจเข้าลึกๆสองครั้ง ก่อนจะเดินเข้าไปยังฟิว โรสเซอร์ช้าๆ เขาไม่สนใจโถวเหยินพวกที่เหลือและยกมือขึ้น
ตกอยู่ในความเงียบงันกว่าสามวิและจากนั้น…
ฟิว โรสเซอร์สั่นไปทั้งร่าง เขาคุกเข่าลงบนพื้น ก่อนจะกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
วิลเลียมยิ้มเยาะ เลือดของผู้นำโถวเหยินเหลือเพียง 10% ช่างยากเย็นเหลือเกิน
เขาวางมือลงบนไหล่ของฟิว โรสเซอร์ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเบาๆ “เรา… ขอชื่นชม… นิสัย… ที่กล้าหาญ… ปราศจากความกลัว… ความมุ่งมั่นที่จะปกป้องคนของเจ้า เราจะยอมรับความภักดีของเผ่าเจ้า!”
ฟิว โรสเซอร์แอบดีใจ ขณะที่เขาแอคติ้งอยู่ เขาก็กลัวการถูกเปิดโปงมากที่สุด แต่ไม่เพียงไม่ถูกเปิดโปงเท่านั้น สถานการณ์ยังกลับกลายเป็นดีอีกด้วย แน่นอนว่าเขาต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้และรับความภักดีเอาไว้อย่างรวดเร็ว “ลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณ ขอบคุณที่ท่านเมตตาข้า ข้าจะนำคนของข้าและจะจงรักภักดีต่อลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณตลอดไป!”
“ลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณ ขอบคุณที่เมตตา” เผ่าโถวเหยินต่างคุกเข่าลงบนพื้นเหมือนกับคลื่น พวกเขาให้คำมั่นสัญญาและตกอยู่ในอำนาจของเมืองแห่งรุ่งอรุณ
ถูกต้องแล้ว
เรียบง่ายเช่นนี้นี่แหละ
ที่สำคัญที่สุดคือ วิลเลียมได้เผชิญหน้ากับคนขี้ขลาดตาขาวเข้า แล้วยังเป็นคนขี้ขลาดที่ไม่เหมือนใครอีกด้วย คนขี้ขลาดเช่นนี้ที่อธิบายชื่อของเขาไว้ได้อย่างสมบูรณ์…
ส่วนคนของเขาน่ะเหรอ?
ผู้คนในเผ่าทั้งหมดให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่อเขา แต่สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะรวมเข้ากับเมืองแห่งรุ่งอรุณ
สองอย่างนี้แตกต่างกันเป็นอย่างมาก
การให้คำมั่นสัญญากับคนๆหนึ่งหมายความว่าถ้าวิลเลียมสิ้นชีวิตพวกเขาอาจจะจากไปและกลับสู่ธรรมชาติ พวกเขาสามารถใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนในการกินหญ้าต่อไปได้ …
นอกจากนี้ ฟิว โรสเซอร์ยังใช้ ‘ความพ่ายแพ้ที่เด็ดขาด’ เพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งของวิลเลียม เมื่อชนเผ่านี้อยู่ภายใต้อำนาจของท่านลอร์ด เขาไม่เพียงมีทางลงเท่านั้น แต่ยังได้รับความภักดีจากคนในเผ่าอีกด้วย
สำหรับฟิว โรสเซอร์แล้ว นี่เป็นกำไรอย่างมหาศาล
มีชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังขี่ม้าอย่างห้าวหาญ เขาหล่อเหลาราวกับเทวดาที่ตกลงมาจากสรวงสวรรค์ หากหน้าตาทำให้คนตาบอดได้ ก็คงมีคนหลายคนตาบอดเพราะคนผู้นี้มามากมายแล้ว
แต่เขากลับกำลังหนักใจและถอนหายใจออกมา
ตอนนี้ไม่มีอะไรอีกแล้ว ทุกๆอย่างล้วนเป็นไปได้ด้วยดี
หลังจากที่เผ่าโถวเหยินให้คำมั่นสัญญาว่าจะจงรักภักดีเพราะความหล่อเหลาของเขา ความนิยมของเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ…
ในตอนนี้เขาได้เปิดใจรับความสามารถติดตัวที่แข็งแกร่งอย่าง “ดูดี” แล้ว ช่างเป็นความสามารถติดตัวที่เหมาะสมกับลอร์ดอย่างเขาเสียจริง
ฟิว โรสเซอร์นำเหล่าโถวเหยินกว่า 3,000 ตนอพยพไปยังทะเลสาบสายรุ้งซึ่งเป็นสถานที่ที่โทรลเคยอาศัยอยู่
พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน ใกล้ๆกับทะเลสายรุ้งมีทุ่งหญ้าค่อนข้างกว้างใหญ่อยู่ นอกจากนั้น หญ้าในป่าก็เพียงพอสำหรับให้พวกเขากินแล้ว
นอกจากนี้ ชาวโถวเหยินไม่ใช่สัตว์กินพืชซะทีเดียว แต่ยังสามารถกินสัตว์ตัวเล็กๆได้ ถึงแม้ว่าปากพวกเขาจะบอกว่าไม่ต้องการ แต่พวกเขาก็จะร้องเพลงสรรเสริญถึงความหอมหวนในใจของพวกเขา!
ที่สำคัญกว่านั้น
เหล่าโถวเหยินดูตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ดั่งยางอะไหล่สำรอง… พวกเขาถูกหลอก แต่ชาวโถวเหยินก็ไม่ได้ย้ายเข้าไปใกล้กับเมืองแห่งรุ่งอรุณ ไม่ช้าก็เร็วคงมีคนวางแผนหนีไป
ในช่วงครึ่งปีมานี้ เมืองแห่งรุ่งอรุณได้เข้าต่อสู้และกำราบเผ่าต่างๆไปมากมาย
แต่ในฐานะที่จะกลายเป็นอาณาจักรที่สำคัญและมีลอร์ดที่ยิ่งใกญ่ ความสำเร็จเล็กน้อยแค่นี้ไม่คุ้มค่าที่จะโอ้อวดเท่าไหร่นัก แต่กลับกลายเป็นเรื่องน่าอายที่จะพูดถึงแทน
แต่ที่นี่ยังเป็นที่ที่เล็กและห่างไกลทางตะวันตกเฉียงใต้ในทวีปรีเจนดารีอยู่
พื้นที่ยากจนข้นแค้นเหล่านี้ผลิตคนที่แสนดื้อรั้น และในหมู่พวกเขานั้น วิลเลียมเป็นคนหนึ่งที่แสดงออกทางนิสัยดื้อรั้นมากที่สุด
บางอาณาจักรมนุษย์ไม่ได้สนใจว่ากองทัพจากเมืองแห่งรุ่งอรุณจะมีอานุภาพมากเท่าใด พวกเขายังไม่ได้เคลื่อนไหว
อย่างไรก็ตาม เผ่าบางเผ่าที่มีสติปัญญาที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงล้วนรู้ดี ทั้งเผ่าที่คอยก่อกวนและเผ่าที่เป็นศัตรูด้วยพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง พวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างไร?
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เผ่าพันธุ์มีปีกที่ได้ยินข่าวมาจากหลายๆเมือง พวกเขาเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในภูเขาทางฝั่งทะเลตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองรุ่งอรุณ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะสร้างความสัมพันธ์และสร้างพันธมิตรกับเมืองแห่งรุ่งอรุณ
นี่แสดงให้เห็นว่าวิลเลียมไม่ได้เป็นที่รู้จักต่อสาธารณะอย่างในชีวิตที่แล้ว อย่างน้อย ฟิว โรสเซอร์ก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะต่อต้านเขา
ในตอนแรก ฟิว โรสเซอร์ยังคงปฏิเสธข้อเสนอของวิลเลียมในการเข้าร่วมพันธมิตรของเขา แต่จากนั้นพวกเขาก็มาถึงจุดต่อที่สำคัญ เขาไม่มีทางเหลือเหลืออยู่ ได้แต่ยอมจำนน
การย้านถิ่นฐานไม่ใช่เรื่องง่าย
เหล่าสัตว์วิเศษและอสูรล้วนอาศัยอยู่ทุ่งหญ้า นอกจากนี้ยังมีมนุษย์หมาป่าและมนุษย์เงือกทั้งหลาย พื้นที่ส่วนใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ถูกครอบครองโดยกลุ่มอำนาจต่างๆ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาไม่สามารถย้ายเผ่าของเขาไปยังผืนดินอื่นและหลีกเลี่ยงแรงกดดันจากเมืองแห่งรุ่งอรุณได้
เนื่องจากการหลบหนีไม่ใช่ทางที่ถูกที่ควร เหล่าโถวเหยินจึงถูกบังคับให้ภักดี
แม้ว่าจะต้องมีบางส่วนจากเผ่าของพวกเขาต้องไปขุดเหมืองก็ตาม!
โอ้! พวกเขากลายเป็นคนงานเหมืองหรือผู้ควบคุมแรงงานออร์คระหว่างขุดเหมือง แต่สำหรับฟิว โรสเซอร์แล้วก็ไม่ถือว่าหนักหนาอะไร
หลังจากที่เผ่าออร์คทุกเผ่าภายในรัศมี 50 กิโลเมตรได้พ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์
เหมืองทั้งสี่ก็มีออร์คอย่างน้อย 3,000 ตนที่กำลังทำงานอย่างไม่หยุดพัก!
มีทหารประจำการกว่า 600 นายคอยเฝ้าระวัง
แผนของวิลเลียมคือการควบคุมเผ่าโถวเหยินให้มาแทนที่ทหารเหล่านี้อีกด้วย ความหมายอีกอย่างหนึ่งก็คือทหารเหล่านี้ก็จะมีเวลาฝึกฝนที่มากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวิลเลียมกล่าวว่าจะช่วยเผ่าของพวกเขาฝึกฝนและพวกเขาจะได้รับโอกาสในการเข้าร่วมกองกำลังทหาร นั่นทำให้ฟิว โรสเซอร์แอบสุขใจเลยทีเดียว
แม้ว่าโรสเซอร์จะรู้ว่ากองกำลังโถวเหยินต้องรับใช้ลอร์ดของเมืองรุ่งอรุณ และเขาก็ยังคงได้กลายเป็นแม่ทัพ เขาไม่อาจยิ่งใหญ่ไปได้มากกว่านี้ แต่มันก็ดีแล้ว
วิลเลียมเห็นฟิว โรสเซอร์กำลังเดินมาก่อนจะเอื้อมมือตบไหล่เขาเบาๆขณะนั่งอยู่บนม้า “เจ้าทำได้น่า อนาคตสดใส”
“มาสเตอร์ ท่านแข็งแกร่งมาก ท่านได้เอาชนะข้าไปแล้วจริงๆ” ฟิว โรสเซอร์พูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้
“อืม” วิลเลียมพยักหน้า เขาไม่ได้พูดอะไร
…………………
“ตู้ม!” เงาดำขนาดใหญ่ทุบลงมา คนที่อยู่ข้างหน้าไม่สามารถหลีกหนีได้ทันท่วงที ร่างกายของเขาจึงถูกทุบเป็นชิ้นๆ จากนั้นเขาจึงเปลี่ยนเป็นแสงสีขาวและหายไป
“เราล้างเสร็จแล้ว ล้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว พี่ชาย! หนีเร็วเข้า เฮ้ๆ เก็บชุดสีฟ้านั่นมาด้วย แฟตตี้เป็นคนดรอปมันใช่มั้ย?” ผู้เล่นที่เหลือต่างโกยอ้าวกันไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่กล้าอยู่ที่นี่นานไปกว่านี้
พวกเขามารวมตัวกันในระยะที่ปลอดภัย…
ผู้เล่นคนหนึ่งถอนหายใจอย่างเงียบๆ “เจ้าตัวน่ารักนั่นกลายไปเป็นสัตว์ประหลาดยักษ์ ใครที่บ้าเลือดไปทำภารกิจนี้ในอนาคตคงถูกขัดขวางแน่ๆ”
“แต่หมีสามตัวของท่านลอร์ดช่างน่าประทับใจ มันตบฉันเหมือนกับตบลูกชายของตัวเองซะอย่างงั้น…”
“แต่พวกมันเป็นหมียักษ์ที่โหดร้ายมาก อย่างกับชนชั้นสูงกับเฮดบอส” แองกี้ แฟตตี้ไม่มีอะไรจะพูดตอบ พวกเขาเกือบสัมผัสกับความตายเพราะพยายามจะอาบน้ำหมีพวกนี้สองครั้ง
โชคดีที่พวกเขาทั้งหมดไปถึงเลเวล 10 และเปลี่ยนอาชีพเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าประสบการณ์ของเขาจะลดลง แต่มันก็ไม่ค่อยมากนัก แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะเป็นผู้เล่นระดับบรอนซ์ แต่พวกเขาก็เป็นผู้เล่นมากประสบการณ์ที่อยู่ในการจัดอันดับ!
การทำภารกิจในครั้งนี้สำเร็จทำให้พวกเขาเลเวลเพิ่มไปอีกหนึ่งระดับ ซึ่งมาถึงจุดสูงสุดของเลเวล 11 แล้ว ไม่ถือว่าเป็นการสูญเสียเลยแม้แต่น้อย
แค่ความทนทานของอุปกรณ์ลดลงฮวบฮาบ แต่พวกเขาสามารถถอดอุปกรณ์ออกก่อนได้ แต่ผู้โชคร้ายที่ดรอปอุปกรณ์ทิ้งไว้ คนอื่นๆก็ช่วยเก็บไว้ให้แทน
สำหรับผู้เล่น
เมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับ NPC สายเลือดระดับเริ่มต้นจะเหมือนกับมอนสเตอร์ธรรมดา สายเลือดระดับกลางจะเหมือนกับมอนสเตอร์ชั้นสูง และสายเลือดระดับสูงจะเหมือนกับเฮดบอส
แต่เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับอสูรเวทย์ ตราบใดที่มีสายเลือดอย่างน้อยระดับกลาง พวกเขาก็สามารถเรียกว่ามินิบอสได้แล้ว
คุณสมบัติตามธรรมชาติของมอนสเตอร์พร้อมด้วยคุณสมบัติเพิ่มเติมที่ได้รับจากการก้าวหน้า นั้นสูงกว่าสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาอื่นๆ
ท้ายที่สุดแล้ว มันก็เป็นเรื่องยากที่มอนสเตอร์จะได้รับอุปกรณ์ ดังนั้นลักษณะทางธรรมชาติของพวกเขาจึงดียิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ
ฉางหลี จิ่วเกอพยักหน้าตามขณะที่ฟังคนอื่นพูด อย่างไรก็ตาม เขาก็กล่าวออกมา “เราไม่ควรดูเฉพาะรูปร่างหน้าตาและเพียงผิวเผินนะ”
“ในฐานะผู้เล่นมากประสบการณ์ หากเรามองลึกลงไป เราจะตระหนักได้ว่าท่านลอร์ดของเมืองนี้แข็งแกร่งเกินผิดปกติ ไม่ยากที่จะวิเคราะห์เรื่องนี้”
“คิดดูสิ หากสัตว์เล็กๆเหล่านี้ดุร้ายอยู่แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นหากพวกมันโตขึ้นกัน? ถ้าต้องเผชิญหน้ากับพวกมันเราต้องเสียคนไปกี่คนกัน?”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วพลังที่เขาซ่อนเร้นเอาไว้อีกล่ะ? มันคุ้มค่าที่เราจะรู้หรอ?”
“นายหมายความว่ายังไง?” แองกี้ แฟตตี้รู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง
“เราจะตามหาอาชีพลับในเมืองแห่งรุ่งอรุณ แล้วค่อยออกไป!” ในฐานะผู้เล่นมืออาชีพ ฉางหลี จิ่วเกอต้องการต่อสู้แบบมืออาชีพ ผู้เล่นมืออาชีพมักจะมีอาชีพลับ!
เวลาส่วนใหญ่ กิลด์ในเครือของสโมสรจะตามหาภารกิจลับและส่งพวกเขาไปยังสโมสรเพื่อให้ผู้เล่นมืออาชีพทำภารกิจให้เสร็จสิ้น
จากนั้นสมาคมในเครือก็จะให้รางวัลแก่ผู้เล่นที่ค้นพบภารกิจ ที่นอกเหนือจากการให้เกียรติและการให้กำลังใจ
แม้แต่ผู้เล่นที่ไม่สนใจรางวัลก็จะมีส่วนร่วมในการทำธุรกรรม PY กับผู้เล่นมืออาชีพ มันไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้
แต่ก่อนที่ฉางหลี จิ่วเกอจะกลายเป็นผู้เล่นมืออาชีพ เขาก็ถือเป็นผู้เล่นสายสำรวจธรรมดาๆ เขาสนใจในการวิจัยพื้นหลังของเกมเป็นพิเศษ
เขามักจะหาอาชีพลับผ่านทักษะของเขา
แต่ประเด็นสำคัญก็คือ
พื้นที่ในการพัฒนาที่ดีนั้นสำคัญต่อกิลด์ย่อยและสโมสรเป็นอย่างมาก
หากเมืองรุ่งอรุณนั้นแข็งแกร่งจริง และมีแม้แต่อาชีพลับที่น่าสนใจ สโมสรกลอรีคงสมัครใจที่จะเข้าร่วมอย่างเป็นธรรมชาติ
ผู้เล่นคนอื่นมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์เดียวกัน มันไม่สำคัญว่าบัญชีทดสอบของพวกเขาจะก้าวหน้าหรือไม่ การวางแผนและการพัฒนาในอนาคตเป็นกุญแจสำคัญยิ่งกว่า
ดังนั้นทุกคนจึงพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะออกไปในทุกทิศทาง พวกเขาจะมองหาผลประโยชน์ที่ซ่อนอยู่ในเมืองนี้!
ส่วนเมืองแห่งรุ่งอรุณจะมีความสามารถในการทำให้ผู้คนเคารพรึเปล่านั้น พวกเขาก็คงต้องรอคอยที่จะรู้คำตอบ
การย้ายถิ่นฐานของเผ่าทั้งเผ่าไม่ใช่งานที่จะทำให้สำเร็จได้ภายในวันเดียว
วิลเลียมให้น็อกเป็นนำคน 1,000 คนและม้าไปเพื่อติดตามช่วยเหลือพวกเขาในการอพยพ เขานำฟิว โรสเซอร์และคนอื่นๆ บางคนกลับเป็นการส่วนตัว ด้วยฟิว โรสเซอร์อยู่ในกำมือของเขา เผ่าโถวเหยินก็นับว่าสูญเสียผู้นำไปแล้ว พวกเขาจึงไม่อาจกล้าที่จะก่อกบฏขึ้นง่ายๆ
และข้อเท็จจริงที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาเพิ่งจะกล่าวคำปฏิญาณความจงรักภักดีไป สำหรับผู้คนในยุคนี้ ความภักดีนั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
แต่เขาก็ต้องคอยระวังเจตนารมณ์ของพวกเขาไว้ นี่เป็นนิสัยหนึ่งที่วิลเลียมคงไว้ตั้งแต่เริ่มต้น
แต่ก็น่าสนใจตรงที่
การเดินทางของวิลเลียมดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้เล่น
ฉางหลี จิ่วเกอลอบสังเกตจากพุ่มหญ้าข้างถนน เขาตรวจความสามารถของพวกเขาทุกคน
แต่คุณสมบัติก็ไม่ได้มีอะไรให้น่าติดตามมากนัก
เขารู้สึกว่านักรบชั้นสูงที่ตามติดอยู่ด้านหลังวิลเลียมนั้นเป็น NPC เอลฟ์ทั้งหมด ในพวกเขานั้นยังมี NPC หัวหน้าและ NPC มาสเตอร์อีกเล็กน้อย…
นี่คืออะไร?
กองทัพของเหล่าบอสหรอ?
สายตาของเขาเลื่อนไปที่โถวเหยินและเขาก็ได้รู้ว่ามันมีทหารโถวเหยินระดับอีปิคอยู่คนหนึ่ง!
“ชิๆ กำแพงเมืองอันนี้สูงสง่าราวกับหน้าผา ถนนนี้…” ฟิว โรสเซอร์หยุด เขาไม่อาจหาประโยคดีๆ สักประโยคได้เลย เขาผงกหัวขึ้นลงก่อนจะพูดขึ้นอีก “มันทั้งสว่างและกว้างขวาง เท้าทั้งสองของข้าไม่รู้สึกเสียดสีกับพื้นเลย ข้ารู้สึกดีกับการเดินที่นี่ ท่านลอร์ด ท่านรู้ว่าต้องบริหารอย่างไร!”
ฟิว โรสเซอร์นั้นคงขยันหมั่นเพียรในการประจบประแจงตลอดทาง
วิลเลียมจ้องไปที่กีบม้าของเขา เขาหัวเราะแต่ไม่ได้พูดอะไร
ที่สุดแล้ว โถวเหยินคนนี้ก็ประจบเขาได้อย่างนุ่มนวลน่าฟัง แม้แต่โถวเหยินที่ไร้มารยาทอย่างโรสเซอร์ก็สามารถประจบประแจงได้ แน่นอนว่านี่ก็เพื่อทำให้เขาพอใจ!
แม้ว่าวิลเลียมจะไม่เคยยอมรับว่าเขาเป็นผู้นำที่เห็นแก่ตัวที่หากว่ามีใครสักคนมาเลียแข้งเลียขา เขาก็อาจจะให้ประโยชน์ต่อคนๆนั้น!
แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูด “การประจบประแจงเป็นทักษะอย่างหนึ่ง เจ้าจะได้รับรางวัลจากสิ่งนี้ ฉันจะบอกให้คนนำเจ้าไปที่โรงเหล็ก เจ้าจะเลือกชุดอุปกรณ์เงินหนึ่งชุดและจะสร้างอาวุธระดับทองสำหรับเจ้า!”
“น-นั่นมันเยี่ยมไปเลย ขอขอบคุณความเมตตาของท่าน ท่านลอร์ด!” ฟิว โรสเซอร์โค้งด้วยความเคารพในขณะที่เขาประจบประแจงวิลเลียม
“การประจบประแจงเป็นทักษะอย่างหนึ่ง?” เมื่อฉางหลี จิ่วเกอได้ยิน ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปาก
“ไปและทำมันสิ!”
“ฮึ่ม… ฮึม?” ฉางหลี จิ่วเกอพยักหน้าอย่างไม่คิด จากนั้นเขาก็หันกลับไปด้วยความรอบคอบ แองกี้ แฟตตี้อยู่แค่ข้างๆ เขา เขาเองก็กำลังมองไปที่กองทัพที่เพิ่งจะกลับมา
“แก…” ฉางหลี จิ่วเกอชี้ไปที่แฟตตี้ด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรที่ไม่น่าฟังออกไป
“มองไปข้างหน้าสิ แกเห็นสัญลักษณ์ไลฟ์สดมั้ย? รีแลกซ์หน่อย!”
“โอ้!” ฉางหลี จิ่วเกอตบหน้าอกของเขาเบาๆ เขาอดกรอกตามองบนไม่ได้ “แกทำให้ฉันกลัวเกือบตาย”
“แต่ฉันก็เริ่มอัดไปแล้ว!” แฟตตี้ยักคิ้วของเขา
“พี่ชาย/พี่ใหญ่ ฉันผิดไปแล้ว”
“เด็กดี” แฟตตี้อยากจะหัวเราะ แต่เขาเห็นว่าฉางหลี จิ่วเกอไม่ได้แสดงสีหน้าอารมณ์ดีอยู่ เขาจึงรีบอธิบาย “แกอยากให้ฉันประจบเขารึไง ถึงจะอย่างนั้นฉันเองก็คิดเหมือนกัน แต่สิ่งสำคัญคือเขาเป็นบอสในตำนานคนหนึ่งเลย บอสระดับอีปิคสามารถประจบเขาได้เพราะทักษะของพวกเขา ผู้เล่นอย่างเรา ระดับมันต่ำเกิน เราคงไม่มีแม้แต่โอกาส”
“ฉันเองก็รู้เรื่องนั้น แต่ถ้าเราไม่ลอง มันก็ไม่คุ้มที่จะทิ้งโอกาสนี้ไป!” ฉางหลี จิ่วเกอมองไปที่กองทัพซึ่งเพิ่งจะกลับมาและได้รับเสียงเชียร์ดังสนั่นจากพลเมืองในทันที
“ฉันมีไอเดีย แต่มันคือ…”
“แกหมายความว่ายังไง?”
“พวกเราพุ่งไปข้างหน้าและตบเขา เราเป็นทหารรับจ้างของเขา พวกเราจะไม่ตายแม้ว่าเราจะบุ่มบ่ามเข้าหาเขา แม้ว่าระดับความสัมพันธ์ของพวกเราจะลดลง มันก็ไม่สำคัญ เรามีโอกาสได้รับมันกลับในอนาคต” ฉางหลี จิ่วเกออยากลองใจจะขาด
ที่สุดแล้ว NPC แต่ละคนก็มีนิสัยไม่เหมือนกัน
NPC บางคนก็โหด ในขณะที่คนอื่นหัวรั้น
NPC บางคนก็เป็นมาโซคิส พวกเขาจะมีความประทับใจต่อคนอื่นก็ต่อเมื่อคนๆ นั้นทำการตีพวกเขา
ไม่มีใครรู้ว่าบอสระดับรีเจนดารีคนนี้สนใจสิ่งใด
มีเกมโลกสมมุติมากมาย ผู้เล่นหลายคนที่ตั้งหน้าตั้งตารักษาความสัมพันธ์อันดีกับ NPC ที่เชี่ยวชาญในทักษะต่างๆ พวกเขามีประสบการณ์มากมาย วิธีการเปิดเผยตัวตนในวิธีหนักแน่นและอันตรายนั้นไม่ใช่วิธีที่แนะนำ แต่ความแตกต่างระหว่างพวกเขานั้นมากเกิน พวกเขาจะมีโอกาสแค่ครั้งเดียวถ้าพวกเขาลองทำ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ” แฟตโซ (Fatso) กำหมัดของเขา เขาเองก็ยังตัดสินใจที่จะรับความเสี่ยงนั้น
“โอเค แต่ปิดการอัดวิดีโอซะ!”
“โอเค”
“หนึ่ง!”
“สอง!”
“สาม!”
ผู้คนที่คอยเฝ้าสังเกตในที่ลับจู่ๆ ก็มาหยุดกองทัพ การแสดงออกที่ไร้ความปราณีนั้นเกิดขึ้นกับทั้งทหารและพลเรือนจำนวนมาก พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าจะใครจะทำตัวไร้เหตุผลและวิ่งเข้าใส่กองทัพที่กำลังกลับมา
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด…
พวกเขาทั้งสองได้ยินเสียงแจ้งเตือนถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาที่ลดลง
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดยังไม่เกิดขึ้น
ไม่มีการแจ้งเตือนเรื่องการเพิ่มความสัมพันธ์กับวิลเลียมท่านลอร์ดเจ้าเมืองถึงพวกเขา
แต่เมื่อฉางหลี จิ่วเกอกล้าที่จะเสนอ ชื่อเสียงในการเป็นมาสเตอร์แห่งการประจบของเขาก็ต้องได้ใช้อะไรบ้างแหละ
เขามองไปที่วิลเลียมผู้ซึ่งกำลังมองพวกเขาทั้งสองด้วยความสนใจอย่างสุดใจ เขาดึงแฟตตี้และคุกเข่าลงบนพื้นกับเขา เสียงของฉางหลี จิ่วเกอเต็มไปด้วยความกตัญญู “ยินดีต้อนรับการกลับมาพร้อมชัยชนะ ท่านลอร์ด เมื่อพวกเราทั้งสองเห็น พวกเราก็เต็มไปด้วยความความปิติยินดี พวกเราไม่อาจห้ามตัวเองได้เลย”
ในขณะที่ฉางหลี จิ่วเกอพูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นสีหน้าที่ดูราวกับว่าเขาทำอะไรผิดและควรจะได้รับโทษ
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงนำอาวุธของเขาออกมาด้วยความเศร้าหมองและเล็งไปที่แขนของเขาเอง เขาพูดด้วยความรู้สึกผิด “พวกเรารีบรุดออกมาเพราะความตื่นเต้นที่ไม่ทันได้ห้ามใจ ข้า ฉางหลี จิ่วเกอ รู้สึกสำนึกผิด ข้าจะตัดแขนของข้าออกเพื่อชดใช้ความเลินเล่อ ข้าหวังว่าท่านลอร์ดจะทรงเมตตาพอที่จะให้อภัยข้า”
“น่ากระอักกระอ่วนจริง…” แองกี้ แฟตตี้ตกตะลึง เขารู้สึกเสียใจที่ไม่ได้อัดฉากนี้ไว้
“เดี๋ยว…”
“ท่านลอร์ด”
“เจ้าเป็นทหารรับจ้างของเรารึเปล่า?” วิลเลียมที่อยู่บนหลังม้าโน้มตัวไปด้านหน้า เขามองไปที่คนทั้งสอง ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้จักคนที่เป็นที่รู้จักเหล่านี้ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
ฉางหลี จิ่วเกอโชว์ตราบนหน้าอกของเขา เราตอบอย่างสุขใจ “ครับท่านลอร์ด พวกเราเป็นทหารรับจ้าง พวกเราต้องการเข้าร่วมกับกองทัพ แต่พวกเราไม่มีทรัพยากรมากพอ พวกเราจึงเป็นได้เพียงกลุ่มรับจ้างในกลุ่มทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณ แต่ตราบใดที่พวกเราอยู่ภายใต้การปกครองของท่าน พวกเราก็พอใจแล้ว!”
วิลเลียมหัวเราะ มันเหมือนกับว่าเขาได้เห็นรุ่นน้องที่น่าประทับใจ “โอ้ งั้นหรือ การผลีผลามออกมาต่อหน้าลอร์ดเจ้าเมืองไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก แต่เจ้าก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการลงโทษได้ ติดตามเราไปที่ภูเขาพรุ่งนี้ ถ้ามีโอกาสให้เจ้าแสดงฝีมือ อย่าทำให้เราผิดหวัง”
“ขอบคุณ ท่านลอร์ดเจ้าเมือง ขอบคุณท่านลอร์ด!” ทั้งคู่พูดขอบคุณซ้ำไปซ้ำมา จากนั้นพวกเขาจึงถอยไปด้านข้างและมองกองทัพเดินผ่านเมืองไป
การถอนหายใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา การเสี่ยงครั้งนี้คุ้มค่า
พลเมืองคนอื่นๆ ลืมเหตุการณ์นี้ไปอย่างรวดเร็วและเริ่มโห่เชียร์กองทัพอีกครั้ง
ทุกครั้งที่กองทัพแห่งเมืองรุ่งอรุณกลับมาพร้อมชัยชนะ พวกเขาจะโบกธงของเมืองและเดินไปรอบๆ เมือง นี่เป็นสิ่งที่วิลเลียมวางแผนไว้แล้ว
เขาต้องการใช้กองทัพเพื่อกระชับความรู้สึกของผู้คนและความปลอดภัยในที่สาธารณะ
ผลลัพธ์ของมันที่ผ่านมามากกว่าครึ่งแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่ดี ผู้คนมากมายถึงกับมองวิลเลียมว่าเป็นความศรัทธาของพวกเขา
ที่สุดแล้ว ลอร์ดเจ้าเมืองก็ไม่สามารถทิ้งระยะห่างจากการพัฒนาเมืองได้
วิลเลียมให้อาหารและน้ำแก่พวกเขา รวมถึงเงินทองและความเจริญรุ่งเรือง พวกเขาจะไม่ปลื้มปิติวิลเลียมได้ยังไงกัน?
แต่สิ่งหนึ่งก็คือ
ความสามารถติดตัวโดยธรรมชาติของวิลเลียมนั้นมีผลอย่างมาก ผลลัพธ์อาจจะไม่ดีเสมอไป แต่ความสัมพันธ์ของพลเมืองก็ดีขึ้นตลอดมา
“พวกเขาสามารถปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ของเขาได้? น่าสนใจ” วิลเลียมยิ้มและกลับบ้านไป เขาไม่ได้เพิ่มความสัมพันธ์ของเขากับสองคนนั้น
การกระทำของพวกเขาเว่อร์ไปหน่อย เขาไม่ได้อยากให้ผู้เล่นคนอื่นทำตามอย่างทั้งสองและมาทำให้ความเจริญก้าวหน้าของเขาในอนาคตยุ่งเหยิง
แต่เผชิญหน้ากับทั้งสองครั้งนี้ทำให้เขาได้โอกาสเติมเต็มความต้องการของเขาในการกระจายข่าวถึงความแข็งแกร่งของเขา จากนั้นผู้เล่นจำนวนมากก็จะมาที่เมืองแห่งรุ่งอรุณ
ไม่สำคัญว่ามันจะเป็นแองกี้ แฟตตี้หรือฉางหลี จิ่วเกอ พวกเขาก็ต่างเป็นคนดังในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา
ผู้ประกาศข่าวพร้อมฐานผู้ชมที่หนาแน่น และผู้เล่นมืออาชีพที่มาพร้อมกับทักษะที่ไม่ธรรมดาผู้ที่เคยได้เป็นถึงแชมป์ระดับโลกมาแล้ว พวกเขาเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมที่วิลเลียมสามารถใช้ในการกระจายข่าวถึงความแข็งแกร่งของเขาได้…
เช้าวันใหม่มาถึง
การถ่ายทอดสดของแองกี้ แฟตตี้เริ่มขึ้นแต่เช้า ผู้ชมหลายคนรู้แล้วว่าเขาและฉางหลี จิ่วเกอจะติดตาม NPC ระดับรีเจนดารีออกไปทำภารกิจ โดยธรรมชาติแล้วคนดูเหล่านี้มักจะซุบซิบเพื่อรอดูว่าสองคนนี้จะสามารถจัดการกับบอสระดับสูงได้อย่างไร
แม้ว่าคอมเมนต์จะเต็มไปด้วยเรื่องไร้สาระก็ตาม…
“PY ต้องเป็นPYแน่ๆ พวกเขาต้องขายตัวเองอย่างนี้เลยเหรอ?”
“ออกไปให้พ้น! ถึงจะพยายามขายตัวเองยังไง ท่านลอร์ดสุดหล่อของพวกเราก็ไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก!”
“ถูกแล้ว เขาไม่ใช่คน เขาเป็นครึ่งเอลฟ์ต่างหากเล่า ฮ่า ฮ่า”
“ฉันรู้ว่าฉางหลี จิ่วเกอผูกสัมพันธ์กับ NPC ได้แน่ แต่เขากำลังทำอะไรอยู่เนี่ย?”
“ปู๊น ปู๊นน! รถไฟกำลังออกเดินทาง ปู๊น ปู๊นน! จิ่วเกอกำลังร้องตะโกน ปู๊น ปู๊น ฉึกฉักๆ…”
การถ่ายทอดสดเต็มไปด้วยเสียงเชียร์และเสียงหัวเราะ ฉางหลี จิ่วเกอลอบมองไปยังการถ่ายทอดสด สีหน้าพลันมืดครึ้ม เขาไม่แน่ใจว่าแฟตตี้ได้เผยแพร่ข้อมูลนี้ออกไปหรือไม่
แต่มันเป็นความจริงที่เขาประจบเอาใจเหล่า NPC ทั้งหลาย…
เขาไม่มีทางเลือกนี่นา!
ในยุคของเกมคอมพิวเตอร์ ผู้เล่นจะต้องส่งของขวัญไปให้ NPC เป็นจำนวนมาก!
ตัวอย่างเช่น คุณอาจจะให้ขนมปังแก่ขอทาน… อาจจะสัก 100 หรือแม้กระทั่ง 1,000 ชิ้น…
คุณอาจจะให้ทิปแก่บริกร…
แน่นอนว่าคุณจะต้องส่งดอกไม้ให้กับลูกสาวของตระกูลที่ร่ำรวยและมีอำนาจ รวมทั้งอุปกรณ์เสริมความงามต่างๆ มากมาย…
ในเกมเสมือนจริง ตราบใดที่ผู้เล่นสามารถเข้าใจภาษาที่ NPC พูดได้ พวกเขาก็มักพูดจาเลียแข้งเลียขาให้มากที่สุด
แต่เนื่องจากเกมเสมือนจริงได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง NPC จึงมีกระบวนการคิดที่แตกต่างจากคนทั่วไป ซึ่งในเกมประเภทนี้นั้น การประจบสอพลอยังคงมีอยู่บ้าง แต่วิธีที่ใช้กลับแตกต่างออกไป ความพยายามของผู้เล่นในการประจบประแจงต่อ NPC นั้นเรียกได้ว่าอยู่ในจุดสูงสุดแล้ว
ฉางหลี จิ่วเกอก็จัดอยู่ในผู้เล่นประเภทนั้น เขาเล่นเกมสวมบทบาทมาสองเกมและได้รับทักษะนี้มา ซึ่งผู้เล่นประเภทนี้มักจะประจบประแจงผู้คนและประสบความสำเร็จในการได้รับอาชีพและทักษะลับมาสองสามอย่าง และทักษะที่ได้รับนั้นก็เปรียบได้กับพระเจ้าเลยทีเดียว…
ดังนั้น เขาจึงสามารถอดทนได้เมื่อความผิดพลาดในอดีตถูกเปิดเผยออกมา
มีอะไรที่เขาสามารถทำได้อีกงั้นเหรอ? แต่เขาไม่ได้สนใจหรอก
สุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่เคยอยากจะเปิดเผยทักษะการประจบขั้นเทพให้คนไปเรียนรู้กันอย่างลับๆหรอก แม้ทั้งชีวิตก็ไม่เคยอยาก
พวกเขาทั้งสองมาถึงประตูเมืองก่อนเวลา หลังจากรอไปประมาณครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็มองเห็นลอร์ดของเมืองนี้กำลังตรงมา วิลเลียมสวมชุดเกราะสีทองคล้ายกับมีสายฟ้าเล็กๆกระพริบไปมาบนตัวเกราะ และด้วยดาบยาวที่สะพายอยู่บนหลังและดาบสั้นห้อนไว้ตรงข้างเอวทำให้เขาดูราวกับวีรบุรุษคนหนึ่ง
ร่างกายของเขาถูกอาบไปด้วยแสงแดดยามเช้า ดวงตาคมกล้าที่หล่อเหลาทำให้แฟตตี้และจิ่วเกอทำได้เพียงชำเลืองมอง พวกเขาไม่กล้ามองไปตรงๆ…
แต่ผู้คุ้มกันข้างกายทั้งสองของวิลเลียมก็ทำให้การถ่ายทอดสดเริ่มร้อนระอุไปด้วยความตื่นเต้น!
พวกเขาเป็นใครกัน?
สถานะของพวกเขาคือ ผู้ดูแลเมืองลอทเนอร์ และผู้ช่วยของท่านลอร์ดโอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์!
“เชี่*ไรล่ะนั่น! เขาไม่ใช่มนุษย์แล้ว สองคนด้านข้างของท่านลอร์ดเป็นถึงบอสระดับอีปิค ทำไมถึงได้รู้สึกว่าพวกเขาธรรมดามากกัน?”
“นี่จะเป็นการยกระดับการถ่ายทอดสดให้สูงขึ้นไปอีก พลังลึกลับแห่งเมืองรุ่งอรุณได้ถูกเปิดเผยแล้ว มีNPC ระดับอีปิคเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ถูกค้นพบโดยการถ่ายทอดสดของคนอื่นๆ ซึ่งเทียบกับไลฟ์นี้ไม่ได้เลย”
“ท่านลอร์ดหล่อไม่ไหว! ท่านผู้นำหล่อมาก! วิลเลียมโคตรหล่อ! มา! พวกเรามาต่อแถวเร็วเข้า!”
“ท่านลอร์ดของเมืองนี้หล่อเป็นบ้าเลย…”
ผู้ชมเริ่มรวมกลุ่มกัน และเห็นได้ชัดว่าพวกเขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะเข้าร่วมกลุ่มทหารรับจ้างรุ่งอรุณ
หรือ…
การตามเทรนด์เป็นธรรมชาติของมนุษย์…
แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกมากนัก วิลเลียมเป็น NPCระดับสูงที่โดดเด่นที่สุด และยิ่งไปกว่านั้นในเมืองรุ่งอรุณก็มีบอสและรวมกำลังกันมากเกินไป พวกเขาทำให้ผู้เล่นต้องจดจ่ออยู่กับการถ่ายทอดสดนี้
แต่วิลเลียมอยากจะบอกว่า “ต้องขออภัยอย่างสุดซึ้ง” ไม่ใช่ว่าที่อื่นไม่มีบอสระดับรีเจนดารี แต่พวกเขาแค่ไม่ได้เป็นอย่างเขาต่างหาก มีNPCระดับรีเจนดารีห้าตนอาศัยอยู่ในทั้งสองอาณาจักรมนุษย์
การถ่ายทอดสอดในวันที่สองทำให้แองกี้ แฟตตี้โกรธจัด
โดยเฉพาะชื่อหัวข้อที่เขาตั้งว่า ‘ติดตามการผจญภัยกับบอสระดับรีเจนดารี!’
“ติดตามงั้นเหรอ ชิๆ” วิลเลียมแอบดู เขารู้สึกว่าแฟตตี้ไม่ได้พยายามที่จะหยาบคาย ในอดีต เมื่อเขาเป็นผู้เล่น เขาไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้เลย แต่ตอนนี้เขาได้กลายเป็น NPCและมีเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ เขาจึงตระหนักได้ว่าการถ่ายทอดสดเหล่านี้สร้างชื่อเสียงได้ไม่ธรรมดาเลย…
วิลเลียมไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องไร้สาระกับผู้เล่นสองคนนี้ เขาพยักหน้าก่อนจะนำพวกเขาไปยังภูเขา
ในอดีต ถ้าพวกเขาต้องการเข้าไปยังป่าภูเขา ไม่ว่าพวกเขาจะไปทางไหนก็ตาม สำหรับผู้เล่นธรรมดาแล้วการเดินทางก็มักจะเต็มไปด้วยความยากลำบาก
แต่ในตอนนี้ ถนนที่ตรงและแข็งแรงทั้งสามเส้นปูเข้าไปยังในป่า วิลเลียมไม่ได้วางแผนที่จะพาพวกเขาไปยังเหมือง แต่เขามุ่งหน้าไปยังทะเลสาบสายรุ้งแทน เขาไม่ได้มีความตั้งใจจะมาทำอย่างอื่นนอกจากเดินไปรอบๆ เขาแค่อยากจะแสดง…
ทะเลสาบสายรุ้งในปัจจุบันได้รับการพัฒนาอย่างสวยงาม ตอนนี้เรือตกปลากว่า 20 ลำกำลังลากอวนจับปลา นอกจากนี้ สิ่งเหล่านี้ยังปรับปรุงคุณภาพชีวิตในเมืองแห่งรุ่งอรุณอีกด้วย
แน่นอนว่า เมื่อปริมาณปลาลดน้อยลง ชาวเมืองก็จะซื้อปลาลดลง โดยทั่วไปแล้วจะมีก็แต่ทหารที่มีรายได้ค่อนข้างสูงหรือเจ้าหน้าที่เท่านั้นที่จะสามารถซื้อปลาได้
ระบบลอร์ดและระบบขุนนางนั้นแตกต่างกัน
ปัจจัยหลักอยู่ที่ หากลอร์ดท่านนั้นสิ้นใจไปแล้ว อาณาเขตก็จะตายตาม!
ทั้งอาณาเขตจะขึ้นอยู่กับอิทธิพลของลอร์ดเท่านั้น เขาสามารถควบคุมได้ทุกสถานการณ์ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อเจ้าเมืองของเมืองเล็กๆตามชายแดนหายตัวไป ทั้งอาณาเขตจึงระส่ำระส่าย นอกจากนั้นยังมีคนที่ออกจากเมืองไปอีกด้วย…
ในโลกที่พลังการต่อสู้ส่วนบุคคลอยู่ในระดับสูง ระบบลอร์ดนั้นเป็นผลลัพธ์ตามธรรมชาติ
เขาเป็นเหมือนผู้บริหารระดับสูงในบริษัทที่มอบตำแหน่งระดับสูงให้คนแต่ละคน อำนาจของผู้ใต้บังคับบัญชาจะขึ้นอยู่กับความไว้วางใจของลอร์ดของพวกเขา มันอาจถูกริบคืนด้วยประโยคเพียงประโยคเดียว
ในทางกลับกัน ระบบขุนนางก็เหมือนกับระบบจีนโบราณที่ตำแหน่งจะถูกกษัตริย์ประทานให้
ชนชั้นสูงจะมีอาณาเขตและผู้ติดตามเป็นของตนเอง
ขุนนางเป็นคนของกษัตริย์ แต่สิ่งสำคัญที่ต้องรู้เอาไว้คือคนของขุนนางจะภักดีต่อขุนนางไม่ใช่กษัตริย์
กษัตริย์ผู้มีอำนาจสามารถทำให้ทั้งประเทศขับเคลื่อนไปได้อย่างรวดเร็ว แต่กษัตริย์ที่อ่อนแอกลับสามารถรวบรวมภาษีได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น อาณาจักรไม่ได้ถูกทำลายไปได้อย่างง่ายดายนัก เพราะท้ายที่สุดแล้ว การปลิดชีพกษัตริย์ก็ฟังดูไม่ดีนัก ตราบใดที่องค์ชายสามารถจัดการผู้ติดตามของตนเองและสืบทอดอำนาจของกษัตริย์มาผู้เดียวได้ มันก็ไม่ได้ยากเกินไปในการควบคุมอาณาจักรอีกครั้ง
แต่ทว่า
หากท่านลอร์ดจากไปแล้ว มันไม่ง่ายเลยที่ลูกหลานจะดำรงอยู่ต่อไปได้…
เหตุผลหลักๆคืออะไร?
ในระบบลอร์ด ความแข็งแกร่งคือที่สุด
เมื่อก่อนวิลเลียมไม่สามารถดูแลเมืองเล็กๆตามขอบชายแดนได้หากไม่มีองครักษ์เอลฟ์ 500 ตนที่แข็งแกร่ง
โชคดีที่วิลเลียมไม่ได้คิดเกี่ยวกับการสืบทอดรุ่นต่อไป ตราบใดที่ความแข็งแกร่งของเขาน่าประทับใจ ก็เพียงพอแล้ว
“ธุรกิจกับเมืองบลูมูนเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าหญิงดื้อด้านนั่นไม่ได้สร้างปัญหาอะไรใช่ไหม?” วิลเลียมถามรองเจ้าเมืองโอดอม ขณะเดิน
โอดอมส่ายศีรษะ “ที่ผ่านมาการผลิตมิทริลเองก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก ปริมาณที่ตกลงในธุรกิจก็ไม่เลว ด้านเจ้าหญิงก็ไม่มีปัญหาอะไร”
“ดีแล้ว แม้ว่าเราจะไม่รู้ว่าเธอคิดจะทำอะไรอยู่ก็ตาม” วิลเลียมถอนหายใจก่อนจะส่ายศีรษะ
“ฝ่าบาท…อืมม ท่านลอร์ด ทำไมท่านไม่ลองไปดูเองเลยล่ะ?” ดูเหมือนว่าโอดอมจะพูดอะไรผิดไป เขาเปลี่ยนน้ำเสียงของเขาอย่างรวดเร็ว เขาต้องซ่อนอะไรบางอย่างไว้ในคำพูดของเขาเป็นแน่
ฉางหลี จิ่วเกอและแองกี้ แฟตตี้ลอบมองกัน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับข้อมูลใหม่ที่นี่!
เจ้าชาย?
ฝ่าบาท?
สถานะรีเจนดารี?
ผู้ติดตามระดับอีปิคหลายคน?
องครักษ์ของบอส?
“ตัวเอกของเรื่องถูกตัดสินแล้วใช่ไหม?”
“เมืองรุ่งอรุณเผยความลับออกมาแล้ว ท่านลอร์ดวิลเลียมอาจจะเป็นเจ้าชายงั้นเหรอ?”
“บางทีเขาอาจจะมีความสัมพันธ์กับเจ้าหญิงบางองค์?”
“พระเจ้า! ถ้าฉันไม่ไปเมืองรุ่งอรุณ ฉันจะไม่ไลฟ์สตรีม!”
แองกี้ แฟตตี้มองดูคอมเมนต์ เขาถอนหายใจอย่างเงียบงัน เช่นเดียวกับที่พวกเขาคาดเอาไว้ บอสระดับรีเจนดารีตรงหน้าอาจจะเป็นตัวเอกของเบต้า
ท้ายที่สุดแล้ว มันก็คือเกมๆหนึ่ง
เบต้าต้องมีเนื้อเรื่อง และด้วยเหตุนี้เอง แน่นอนว่าต้องหลากหลายด้วยเช่นกัน อาจจะพบคนอื่นในไม่ช้า แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้หยุดยั้งไม่ให้เหล่าผู้เล่นประจบประแจงวิลเลียม
มีคนเปิดกระทู้ไว้สำหรับสนทนาเรื่องของวิลเลียมแล้ว
มันมีชื่อว่า ‘ท่านลอร์ดวิลเลียมจะครองตำแหน่งอะไรในอนาคต?’
กระทั่งบางคนถึงกับไปขุดคุ้ยข้อมูลโดยตรงเกี่ยวกับวิลเลียม
คำตอบแรก “วิลเลียม แบล็คลีฟ : ลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณ, หัวหน้าสมาคมทหารรับจ้างรุ่งอรุณ มีผู้ติดตามระดับอีปิคสี่คน, มีสัตว์เลี้ยงเป็นอสูรเวทย์สามตัว”
“กำลังทหารโดยประมาณ : 2000+
สถานะลับ : คนในราชวงศ์???
ความสัมพันธ์ลับ : เจ้าหญิง???
‘ไม่ทราบความสัมพันธ์และความสามารถอื่นๆของเขา!’
เผ่าพันธุ์ : ครึ่งเอลฟ์”
“เนื้อเรื่องไม่สามารถย้อนกลับได้ เพราะจากข้อมูลที่รั่วไหลของเว็บทางการผู้เล่นไม่สามารถทำอย่างนั้นได้จริงๆ”
“แต่มีโอกาสสูงที่วิลเลียมจะเป็นเจ้าชายของเผ่าเอลฟ์”
“นอกจากนี้แล้ว เป็นที่แน่นอนแล้วว่า NPC ระดับรีเจนดารีมักจะมีความเชื่อโยงกับภารกิจเนื้อเรื่องในอนาคต”
“ผลสรุป : ประจบเขาซะ!”
คำตอบที่สอง “ฉันต้องบอกพวกคุณทั้งหมดว่า อย่าไปเลียแข้งเลียขาเขาเข้าล่ะ คุณจะตายอย่างน่ากลัวหากทำอย่างนั้น!”
คำตอบที่สาม : “ช่างน่ากลัวจริงๆ! ข้าจำเลข ID เอ็งได้แล้ว หากเอ็งกล้าอยู่ในเมืองรุ่งอรุณล่ะก็ ข้าจะฆ่าเอ็งซะ!”
คำตอบที่ห้า : “…”
เมืองแห่งรุ่งอรุณตั้งอยู่ไม่ไกลจากทะเลสาบสายรุ้ง ห่างกันเพียงแค่ไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น ตอนนี้การเดินทางเองก็ใช้เวลาน้อยลงด้วยถนนที่สร้างเสร็จทั้งหมดแล้ว
ถนนบนภูเขาเองก็ปลอดภัยขึ้นมากเช่นกัน อสูรป่า, อสูรเวทย์, และชนเผ่าพื้นเมืองที่เป็นอันตรายก็ถูกกำจัด แม้แต่พลเมืองทั่วไปสามารถเดินทางขึ้นลงได้สะดวกขึ้น
ถ้าเป็นกรณีนี้ ชาวประมงจะไม่สามารถขนส่งปลาที่พวกเขาจับกลับมาได้ กองกำลังลาดตระเวนในป่าไม่สามารถตรวจตราดูทุกที่ในเวลาเดียวกันได้
วิลเลียมนำแองกี้ แฟตตี้และฉางหลี จิ่วเกอไปยังทะเลสาบสายรุ้ง ในขณะที่เหล่าผู้เล่นที่ไม่เคยเห็นโลกนี้มาก่อนนั้นเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นในทัศนียภาพ พวกเขาทั้งสองต่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้นต่อการผจญภัยในป่าแบล็คลีฟ
เมื่อพวกเขาเดินทางข้ามเนินเขา ตรงทางลาดตอนเดินลงที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าทำให้มองเห็นทะเลสาบสีสวยที่แซมไปด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวขจีได้จากด้านบน
แสงอาทิตย์โปรยปรายกระทบคลื่นในทะเลสาบสายรุ้งส่องประกายวิบวับ เรือลำเล็กสิบสองลำลอยอยู่บนผิวน้ำของทะเลสาบ ภาพตรงหน้าดูราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดที่สวยงามรูปหนึ่ง
บ้านไม้หลายหลังถูกสร้างขึ้นบนพื้นหญ้าข้างทะเลสาบ นักรบโถวเหยินที่เพิ่งอพยพมากำลังสร้างบ้านของพวกเขาอย่างแข็งขัน
เมื่อวิลเลียมมาถึง พวกเขาก็โค้งตัวทักทายความเคารพ แม้ว่าพวกเขาจะสงสัยว่าทำไมฟิว โรสเซอร์ถึงยังไม่กลับมา แต่พวกเขาก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย
สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าฟิว โรสเซอร์นั้นเรียกได้ว่าแทบจะใช้ชีวิตอยู่ในโรงเหล็กไปแล้ว เพื่อที่เขาจะได้สามารถผลิตอุปกรณ์ของเขาได้เร็วมากขึ้น มันไม่เว่อร์เกินไปเลยถ้าจะพูดว่าเขาได้ลืมคนของเขาไปเสียสนิทเรียบร้อยแล้ว
เขามีวิธีพูดของเขา เขาไม่ได้ต้องการหมวกเกราะ แต่เขาต้องการให้เขาที่แหลมคมของเขาสร้างขึ้นจากทอง ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาถึงอยากจะทำตัวให้เปล่งประกาย เขาคิดทำอะไรอยู่กัน…
มีกลุ่มทหาร 50 นายหนึ่งกลุ่มประจำอยู่ที่ท่าเรือสายรุ้ง
มนุษย์ระดับกลางผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ระยะประชิดคนหนึ่งเป็นหัวหน้า เขาได้รับตำแหน่งนี้มาทั้งที่ยังหนุ่มอยู่ เมื่อเขาเห็นผู้มาเยือน เขาก็รีบรุดไปข้างหน้าและโค้งตัวแสดงความเคารพ “สวัสดีครับ ท่านลอร์ดเจ้าเมือง”
“เลิกทำท่าทางเป็นทางการนั่นได้แล้ว มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นในช่วงนี้บ้างรึเปล่า?”
“ช่วงนี้ไม่มีอะไรครับ ส่วนสำหรับข้อมูลที่ท่านบอกให้ข้ารวบรวม…” ในตอนที่หัวหน้าหนุ่มพูดอยู่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะจ้องไปยังผู้เล่นทั้งสอง
วิลเลียมย่นคิ้ว แล้วพูด “เข้าไปข้างในกันก่อนเถอะ แล้วค่อยพูด!”
“ครับ ท่านลอร์ด!”
ฉางหลี จิ่วเกอและแฟตตี้มองทั้งคู่เดินเข้าไปในบ้าน พวกเขาไม่กล้าที่จะตามทั้งสองเข้าไป
ที่สุดแล้ว ผู้ช่วยลอร์ดเจ้าเมืองโอดอมและผู้ดูแลลอทเนอร์ที่เคารพเองก็เลือกที่จะไม่ตามเข้าไป มันคงจะเป็นการยิงเท้าตัวเองถ้าพวกเขาเลือกที่จะเข้าไปข้างใน ใช่มั้ย?
ทั้งสองเต็มไปด้วยความสงสัยและความอยากรู้อยากเห็น แต่พวกเขารู้ว่ามันก็ดีพอแล้วที่พวกเขาได้ติดตามดูใกล้ชิดขนาดนี้
โดยที่ไม่ต้องสงสัย
จากพฤติกรรมของท่านลอร์ด แน่นอนว่าเขาไม่ใช่บอสที่จะพึงพอใจกับตำแหน่งนี้ตำแหน่งเดียว เขามีความต้องการที่จะพัฒนาและเพิ่มความก้าวหน้าของพลังของเขา
แองกี้ แฟตตี้มองไปยังฉางหลี จิ่วเกอ พวกเขาหัวเราะให้กันและเริ่มออกสำรวจไปรอบๆ ในไม่ช้า ทั้งคู่ก็พ้นระยะสายตาของบอสระดับอีปิคทั้งสองคนไป
โอดอมและลอทเนอร์มองผู้เล่นทั้งสองจากไป พวกเขามองหน้ากันแล้วหัวเราะ “พวกเขาได้รับเลือกโดยพระเจ้ารึเปล่านะ?”
“ใช่ พวกเขายังอยู่ในร่างอมตะในตำนานนั้นอีกด้วย” โอดอมพยักหน้า ตอนที่วิลเลียมจากไป เขาก็สั่งให้พวกเขาคอยดูสหายทั้งสองคนนั้นไว้ พฤติกรรมที่วิลเลียมปฏิบัติต่อสองคนนี้ต่างจากที่ทำกับพลเมืองธรรมดาๆ
“ท่านลอร์ดของพวกเราไปได้ยินข้อมูลนี้จากที่ไหนกัน? เขาไม่ได้ถูกหลอกหรืออะไรแบบนั้นใช่มั้ย?” ลอทเนอร์แอบกังวลเล็กน้อย
“ไม่ ไม่ เมื่อวานนี้ พวกเขาพยายามอาบน้ำให้หมีที่ท่านลอร์ดเลี้ยงไว้ ข้าแอบอนุญาตให้หมีใหญ่แสดงฤทธิ์ของมันและฟาดพวกเขาให้ถึงตายสองครั้ง คนหนึ่งกลายเป็นแสงขาวและหายตัวไป แต่เจ้านั่นก็กลับมาในเมืองอีกครั้ง อีกคนหนึ่งเกิดใหม่อีกครั้งที่เดิม ความตายไม่ได้มีความหมายอะไรกับพวกเขา…”
“ไม่ใช่แค่ข้าที่ได้เห็นมันกับตาตัวเองเท่านั้น แต่คนอื่นๆ เองก็เห็นเหมือนกัน แต่ข้าสั่งให้พวกเขานิ่งไว้” โอดอมเองก็เป็นกังวล ผู้ถูกเลือกได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามีร่างที่เป็นอมตะ?
จากที่ท่านลอร์ดบอกไว้ พวกเขาเป็นนักรบผู้กล้าหาญที่ถูกส่งมาโดยสวรรค์…
“แต่ทำไมพวกเขาดูเหมือนกับกลุ่มลูกกระจ๊อกที่มีดีแค่ไม่ตายล่ะ?”
ลอทเนอร์นั้นกำลังสงสัยบางอย่างเป็นอย่างมาก แต่เขาเองก็เก็บมันเงียบไว้
เขาไม่ได้กังวลว่าวิลเลียมจะทำอะไรไม่มีเหตุผล ความสำเร็จตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาและเมืองแห่งรุ่งอรุณทั้งเมืองเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถและวิสัยทัศน์ของเขา
แม้แต่เอลฟ์ราชวงศ์ในเมืองดาร์คไนท์ก็ยังให้ความสนใจกับการพัฒนาการของที่นี่ พวกเขาดูสงสัยอย่างมาก ทำไมวิลเลียมถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้?
ในเขตปกครองหลายอาณาเขต มีผู้เล่น 1,000 คนที่เข้าร่วมการทดสอบภายในและไม่สามารถตายได้ พวกเขาดึงดูดความสนใจของ NPC ในเขตปกครองพระเจ้า
แต่พื้นที่ที่พวกผู้เล่นเกิดนั้นต่างก็เป็นดินแดนใหม่
พวกเขาไม่ได้สร้างความตื่นตกใจอะไรมากนัก
เมื่อเบต้าเกมมาถึง ผู้เล่นเป็นล้านๆคนรอบโลกก็จะมาถึงในเวลาเดียวกัน ตอนนั้นแหละ ที่มันจะสะสมความสนใจของ NPC ได้
แต่ตอนนี้ สรวงสวรรค์อันลึกลับจะทำการบัญชาการผ่านความฝันของNPC ทุกคนจะถูกบอกว่าผู้เล่นเหล่านี้ได้ถูกเลือกโดยพระเจ้า!
แต่ทำไมพวกเขาถึงถูกเลือกโดยพระเจ้ากัน?
ทำไมพวกเขาถึงมีร่างกายที่เป็นอมตะ? แน่นอนว่ามันต้องสร้างความกระสับกระส่ายบ้างแหละ
แต่ในขณะที่เวลาผ่านไป ทุกคนก็ค่อยๆ ลืมเกี่ยวกับบัญชาการลับนั้นไป พวกเขายังค่อยๆ ชินชากับคนที่ไม่ตายเหล่านี้และยอมรับโลกใหม่ไป
แต่ NPC ส่วนใหญ่ก็ยังคงเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจต่อผู้ถูกเลือกเหล่านี้ วิธีที่ผู้เล่นปฏิบัติตัวเองก็ทำให้ NPC ไม่เชื่อใจพวกเขาเช่นกัน ไม่ใช่แค่พวกเขาเป็นอมตะเท่านั้น แต่พวกเขายังเติบโตอย่างรวดเร็วมากๆ อีกด้วย
NPC ทั้งหมดต่างก็คิดถึงวิธีที่จะใช้งานพวกผู้เล่น พวกเขาสู้กันเพื่อให้ได้เหล่าผู้ถูกเลือกพวกนั้นมาเป็นหนึ่งในไพ่ไม้ตายของพวกเขา
วันแล้ววันเล่า แองกี้ แฟตตี้และฉางหลี จิ่วเกอติดตามวิลเลียมไปยังที่สองที่ เขาเพิ่มค่าความสัมพันธ์สามแต้มและหยุดไว้แค่นั้น
ยิ่งไปกว่านั้น เบื้องหลังของ Gods ,เลเวลของ NPC, และพลังอำนาจต่างๆ ก็ค่อยๆ ปรากฏออกมาต่อหน้าเหล่าผู้ชม
ในขณะเดียวกัน
ผู้เล่นที่รอการเปิดของเกมค่อยๆ เข้าใจอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง
บอสระดับรีเจนดารีนั้นมีน้อยมาก! (นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด ระดับรีเจนดารีนั้นมีอยู่ทุกที่ มันเป็นความจริงที่ว่าระดับอีปิคนั้นเห็นได้ทั่วไป)
จนถึงตอนนี้ พวกเขาเพิ่งพบเจอแค่หนึ่งตนซึ่งก็คือลอร์ดของเมืองแห่งรุ่งอรุณผู้เปิดเผยตัวตนของตัวเอง
มีบอสระดับอีปิคถูกพบเพียงจำนวนน้อยเท่านั้น เมื่อบวกกับสี่ตนจากเมืองแห่งรุ่งอรุณและอีกสามคนที่ผู้เล่นคนอื่นค้นพบ รวมทั้งหมดก็มีเพียงเจ็ดคนเท่านั้นที่ถูกพบ
แต่ผู้เล่นเองก็ค่อยๆ ค้นพบอย่างหนึ่ง เมืองรุ่งอรุณนั้นมีบอสมากมายหลายคน อาจเป็นเพราะว่าเมืองนี้มีพื้นที่ปกครองขนาดเล็ก ความหนาแน่นของประชากรจึงสูง
ในทางกลับกัน อาณาจักรเหล็กและอาณาจักรลาวาดำปกครองพื้นที่ขนาดใหญ่ เมืองเล็กๆ หลายเมือง, เมืองใหญ่หลายแห่ง, จักรวรรดิต่างๆ, และแม้แต่ราชวังก็มี เหล่าบอสจึงแยกย้ายกันไปแต่ละที่ซึ่งทำให้การหาพวกเขาเป็นเรื่องยากมากๆ บวกกับเรื่องที่ว่าถ้าเลเวลของผู้เล่นสูงไม่พอ พวกเขาจะไม่สามารถมองเห็นเหล่าบอสได้
นอกจากนี้ ผู้เล่นก็ไม่ควรคาดหวังอะไรมากจาก NPC ระดับรีเจนดารี, อีปิค, และมาสเตอร์ พวกเขาทั้งหมดเป็นบอสทั้งนั้น
เมื่อผู้เล่นที่ชอบผจญภัยเริ่มโจมตี NPC มากขึ้น ปัญหาก็จะเริ่มผุดขึ้น
ผู้เล่นที่เลเวลเดียวกันสามารถต่อสู้กับ NPC ธรรมดาได้ พวกเขาจะเผชิญหน้ากับความยากลำบากถ้า NPC มีสายเลือดที่ดีกว่า
แน่นอนว่า นี่ก็อยู่ภายใต้กรณีที่ว่าอุปกรณ์ของพวกเขา, คำภีร์ลับ, และทักษะที่ยังไม่ได้เพิ่มเลเวล
นี่สามารถทำให้เห็นได้ว่าการเล่นของ “Gods” นั้นยากเกินไป มันไม่มีทั้งการล็อกเป้าหมายโจมตี, และแม้แต่ทหารพรานก็มีเพียงสายตากว้างไกลเท่านั้น ข่าวนี้ทำลายความกระตือรือร้นของผู้เล่นทหารพรานมากมาย
ผู้เล่นได้ดูห้องสมุดบางแห่งและตระหนักว่าข้อมูลที่พวกเขาพบนั้นน่าประทับใจมาก มันดูเหมือนกับว่า ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะเป็นคนธรรมดา, ชั้นสูง, ผู้นำ, หรือ NPC ระดับอีปิค พวกเขาทั้งหมดก็มีจุดอ่อนที่เป็นจุดตายอยู่ นั้นก็คือหัวของพวกเขา!
หากผู้เล่นมีเทคนิคที่ยอดเยี่ยมและนำมาใช้ในการป้องกัน พวกเขาอาจสามารถสร้างการโจมตีไปยังจุดตายของเหล่าบอสได้
แต่ประเด็นหลักก็คือ พวกเขาจะหาโอกาสนั้นได้รึเปล่า? พวกเขาจะต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อมันเลยล่ะ!
เพียงครู่หนึ่ง
เหล่าผู้เล่นมือเก๋าในฟอรั่มนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกชื่นชม พวกเขาดูเหมือนจะเป็นพวกฮาร์ดคอร์
อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นธรรมดาก็รู้สึกว่ามันยากเกินไปและไม่สามารถยอมรับได้ แต่นี่ก็เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เมื่อ “Gods” เริ่มโด่งดัง มันจึงมีผู้เล่นทั่วไปแค่ 30 ล้านคนและผู้เล่นที่ฝึกฝน จริงจังถึง 60 ล้านคน
แต่ผู้เล่นบางคนเปิดเผยว่าสามารถเลือกอาชีพต่อสู้ที่สองได้ และถูกค้นพบว่าแต่ละเผ่าพันธ์ุมีอาชีพพิเศษ พวกเขาสามารถเรียนรู้ทักษะจากเผ่าพันธ์ุอื่นได้ นี่ก็มีไว้เพื่อทำให้ “Gods” โด่งดังมากขึ้น
แล้วอาชีพต่อสู้อาชีพที่สองและทักษะอื่นๆที่เรียนรู้จากเผ่าต่างๆได้ มันหมายความว่าอะไร?
มันหมายความว่ามีความเป็นไปได้จำนวนนับไม่ถ้วนสำหรับผู้เล่นในการต่อสู้ พวกเขาจะไม่ตื่นเต้นได้ยังไงล่ะ?
สรุปก็คือ…
12 วันผ่านไป และผู้เล่นทุกคนของการทดสอบภายในก็ออฟไลน์ไป
ฟอรั่มปิดตัวลง
หลังจากวิลเลียมไม่สามารถหาข้อมูลจากผู้เล่น ความทะเยอทะยานของเขาก็เปล่งขึ้นมาอีกครั้ง
เขาค่อยๆ หันไปมองมหาสมุทรฝั่งใต้ เช่นเดียวกับภูเขาหิมะทางตะวันออก!
วิลเลียมรู้ว่าข้อบกพร่องของตัวเขาเองคืออะไร
ไม่ใช่พลังการต่อสู้เพราะมันต้องใช้ประสบการณ์และเวลา แล้วก็ไม่ใช่อัตราเร็วของการก้าวหน้าของเขาที่ช้าเช่นกัน สิ่งที่เขาขาดคืออิทธิพลและอำนาจ
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะพึ่งพาผู้เล่นในช่วงเริ่มต้นของเกม เขาเคยเป็นผู้เล่นมาก่อน เขาจะไม่รู้จิตใจของผู้เล่นได้อย่างไรล่ะ?
นอบน้อมกับคนที่แข็งแกร่ง ข่มขู่คนอ่อนแอ เข้าร่วมกับใครก็ตามที่ให้ผลประโยชน์ นี่ล่ะผู้เล่น…
วิลเลียมคิดอยู่เสมอว่าเขานั้นหล่อเหลาและเป็นที่นิยมกับผู้คนเสมอ
แต่ทว่า…
หากจะพึ่งพาแต่ใบหน้าที่งดงามก็ดูจะไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่ และมันก็อาจจะดึงดูดเฉพาะผู้เล่นที่เป็นผู้หญิงที่มีกำลังรบต่ำเท่านั้นอีกด้วย มันไม่ค่อยทำให้แผนการอันทะเยอทะยานของเขาก้าวหน้าเท่าไหร่นัก
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุผลว่าทำไมวิลเลียมจึงได้มุ่งเน้นความพยายามทั้งหมดของเขาในการพัฒนาเมืองแห่งรุ่งอรุณ
ยังมีอะไรที่อันตรายต่อเมืองแห่งรุ่งอรุณอยู่อีกหรือเปล่า?
ประการแรก พื่นที่ที่ครอบครองอยู่มีขนาดเล็กเกินไป ส่วนใหญเป็นป่าไม้ และพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูกนั้นมีกำจัด
ประการที่สอง มีแหล่งแร่มากมายในเมือง แต่เขาไม่ต้องการเปิดเผยข้อมูลส่วนนี้ออกไป อย่างที่ผู้เล่นหลายคนต่างพูดถึงเหล่าบอสที่มากมายในเมืองรุ่งอรุณ เพราะประชากรนั้นหนาแน่นเกินไป ดังนั้นผู้เล่นสามารถค้นพบเหมืองได้ง่ายดายนัก
วิลเลียมรู้ขีดจำกัดของตนเองดี ทั้งสองอาณาจักรมนุษย์นั้นมีผู้เชี่ยวชาญที่ยอดเยี่ยมและเจ็ดNPCระดับรีเจนดารีและอีปิคก็เพียงพอแล้ว…
พลังของเขายังเทียบไม่ได้กับสองอาณาจักรมนุษย์ หากพวกเขารู้เกี่ยวกับเหมืองแร่อันล้ำค่าของเขา ดินแดนของเขาคงหนีไม่พ้นสงครามและการทำลายเป็นแน่
ประการที่สาม จำนวนประชากรของเมืองนั้นน้อยเกินไป แม้ว่าเขาจะซื้อทาสมาทุกเดือน ในเมืองรุ่งอรุณก็มีคนแค่ประมาณ 60,000 คนเท่านั้น กองทัพมีทหาร 4,000 นาย และทหารรับจ้าง 800 นาย แม้ว่าจะนับนักรบโถวเหยิน 800 นายที่มาใหม่ ก็มีทหารเพียง 5,600 คนเท่านั้น
แม้ว่าเลเวลและอุปกรณ์ของกองทัพนั้นจะน่าเกรงขาม แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะศัตรูที่มีคนจำนวนมากกว่าเป็นเท่าตัวได้
ประการที่สี่ ทหารจำนวนมากของเขามีพื้นฐานที่อ่อนแอ หากวิลเลียมไปถึงขีดกำจัดสูงสุดของเวอร์ชันเกมอย่างผู้เชี่ยวชาญระดับสูงแล้ว เขาก็คงสามารถปกป้องรักษากองทัพขนาดใหญ่เพียงลำพังได้
“ถ้าเป็นวิธีนี้ล่ะ…” วิลเลียมนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะของโถงประชุมมองผู้ใต้บังคับบัญชาของตน เขากล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “มีสองเส้นทางวางอยู่เบื้องหน้า มีให้เลือกระหว่างการพัฒนาชนชั้นสูงหรือเพิ่มจำนวนทหารเพื่อขยายกองทัพ”
“เมื่อทั้งสองประเทศเริ่มสงคราม เราไม่สามารถหนีพ้นไปได้ เนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเรานั้นจะต้องเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งของพวกนั้นแน่ ไม่ว่าเราต้องการหรือไม่”
อเล็กซ์มองไปที่วิลเลียมอย่างชืานชม ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านลอร์ดกล่าวถูกแล้ว หน่วยข่าวกรองที่ท่านต้องการให้ข้าจัดตั้งขึ้นได้รับข้อมูลบางอย่างมา อาณาจักรเหล็กและอาณาจักรลาวาดำกำลังจะเริ่มสงครามกันจริงๆ”
“แม้ว่าสถานการณ์จะก่อให้เกิดความล่าช้าในการทำสงครามไม่น้อย แต่ก็จะเริ่มกันจริงๆจังๆในอีกครึ่งปีถัดไป เรายังคงมีช่องโหว่ในทุกกรณี อาณาจักรทั้งสองต่างก็มีความทะเยอทะยาน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะบังคับให้เราเลือกข้าง หากเราเลือกอย่างไม่ระมัดระวัง เราต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่อย่างแน่นอน”
“นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง อาณาจักรเหล็กได้นำสายลับมากมายแฝงเข้ามาในเมืองแห่งรุ่งอรุณ แต่เราไม่รู้เจตนาของพวกเขา”
อเล็กซ์มองไปยังโอดอมที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยและการขนส่งของเมือง ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะตำหนิโอดอม
“ท่านลอร์ด ข้าไม่รู้ว่าสายลับได้แทรกซึมเข้าไปในเมืองของเรา นี่เป็นความผิดของข้าเอง ข้ายินดีรับการลงโทษ” โอดอมมองไปยังอเล็กซ์ขณะที่ยืนขึ้นและคำนับด้วยความเคารพ
วิลเลียมผงกศีรษะอย่างไร้อารมณ์ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านผิดพลาด ถูกปรับเงินเดือนสามเดือน แต่ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสายลับที่แฝงตัวมา ตราบใดที่ท่านจัดการผู้อยู่อาศัยใหม่อย่างถูกต้องเราจะเพิ่มค่าจ้างของท่านในปีหน้า”
“ขอบคุณสำหรับความกรุณาของท่าน ท่านลอร์ด” โอดอมยิ้มก่อนจะเลิกคิ้วอย่างพึงพอใจไปทางอเล็กซ์
ด้วยอัปกิริยาที่แสดงออกมา โอดอมได้บอกว่าเขาเป็นคนสนิทของท่านลอร์ด อเล็กซ์ควรไปเข้าคิวหากต้องการมาแทนที่เขา
โอดอมสะบัดผมสีทองอร่ามของเขา ก่อนจะนั่งลงช้าๆ
ผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่จะต้องสร้างความสมดุลระหว่างความมีเมตตาและวินัยในการลงโทษที่เหมาะสม
พลังอันยิ่งใหญ่สามารถปกครองผู้คนได้ แต่มันไม่สามารถเอาชนะใจได้
วิลเลียมเชื่อว่าเขามีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม แต่มันไม่ใช่ทุกสิ่ง เขาไม่สามารถอ่านความคิดของคนอื่นได้ หากคิดเอาเองก็คงไม่แม่นยำมากพอ เว้นซะแต่ว่า…
ลอทเนอร์กล่าวด้วยความกังวลว่า “หากเราขยายกองทัพ เมืองรุ่งอรุณคงไม่สามารถรับค่าใช้จ่ายได้!”
“งั้นเราก็ต้องหาทางอื่น” วิลเลียมคลี่แผ่นผ้าด้านหลังของเขา มันเป็นแผนที่ใหม่
มันครอบคลุมพื้นที่ขนาดเล็ก แต่มีรายละเอียดมาก มีการกล่าวถึงเมือง, ภูเขา, แม่น้ำ, ทะเลสาบและขุมพลังต่างๆที่มุมตะวันออกเฉียงใต้
เขาชักดาบสายฟ้าออกจากฝัก ก่อนจะชี้ไปยังชายหาดตรงชายทะเลที่อยู่ทางตอนใต้ของทะเลสาบสายรุ้ง “การขยายเมืองรุ่งอรุณในอนาคตจะเป็นตรงแถวๆนี้และภูมิภาคตามแนวทะเล”
เมื่อได้ยินคำพูดของวิลเลียม ลอทเนอร์, โอดอม, อเล็กซ์ และเอริค พนักงานระดับอีปิคทุกคนต่างตกตะลึง
การขยายอาณาเขตนั้นพวกเขาสามารถเข้าใจได้
แต่กับทะเลนั้น?
จะขยายไปยังไงล่ะ?
วิลเลียมสังเกตเห็นการแสดงออกของทุกคน เขารู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ เขาพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “บางทีพวกท่านอาจลืมสิ่งนี้ไป แต่จำไว้ว่า เมื่อนานมาแล้วทวีปรีเจนดารีของเราก็เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของทวีปใน Gods
“สงครามที่เกิดขึ้นได้แบ่งทวีปของ Gods ออกเป็นทวีปที่กว้างใหญ่ต่าง ๆ แล้วก็ยังมีเกาะมากมายในทะเล”
“ทิศทางการพัฒนาของเราในอีกหกเดือนข้างหน้าคือการเดินเรือและการตกปลา”
“การผลิตอาหารของเราไม่สูงพอที่จะสนับสนุนกองทัพขนาดใหญ่ แต่เราพบแผนที่ท่านพ่อและเขาบอกอะไรบางอย่างว่ามีเกาะที่เต็มไปด้วยทรัพยากรตั้งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยไมล์ทางตอนใต้ของเมือง”
“การพัฒนาอุตสาหกรรมการเดินเรือและการประมงจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับเรา นอกจากนี้อาหารทะเลที่ได้รับจะช่วยลดปัญหาการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรงของเราได้อีกด้วย”
พวกเขาทั้งสี่มองหน้ากันและยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เนื่องจากวิลเลียมได้กล่าวถึงพ่อของเขา ในขณะนี้พวกเขาไม่สามารถปฏิเสธข้อเสนอของเขาได้ เนื่องจากจะไม่สุภาพต่อผู้เสียชีวิต
ลอทเนอร์ถามอย่างระมัดระวัง “ท่านลอร์ดพอจะแนะนำอะไรได้หรือไม่?”
“หากเราต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมทางทะเล เราต้องสร้างเส้นทางภูเขาทางใต้จากทะเลสาบสายรุ้ง เริ่มงานพรุ่งนี้เลย!”
“แต่เราไม่มีคนที่สามารถสร้างเรือได้ในเมืองแห่งรุ่งอรุณเลยนะครับ มันจะทำให้เรือรบสร้างออกมาจากความสับสน…” ผู้ที่มีประสบการณ์ในทะเลมักจะถูกคลื่นยักษ์สาดซัด
ทะเลที่ไร้พรมแดน สภาพอากาศที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ อสูรทะเลระดับรีเจนดารีเพียงตนเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างความหวาดกลัวให้กับเผ่าพันธุ์บนพื้นดิน ลอทเนอร์ที่เป็น NPC ระดับอีปิคนั้นหวาดกลัวยิ่งนัก
“เราต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากท่านลุงลอทเนอร์แล้ว…” วิลเลียมยิ้มขณะมองไปยังลอทเนอร์
ลอทเนอร์ตื่นตระหนก วิลเลียมพูดว่าอะไรนะ?
เขากลัวคำนั้นมากที่สุด คำว่าท่านลุงน่ะ…
น่าเสียดายที่เขานั้นถูกขังอยู่ในห้องประชุมและไม่อาจหลีกหนีออกไปได้
เขาถามด้วยเสียงแหบห้าวว่า “ท่านลอร์ด ข้าจะช่วยท่านได้อย่างไร?”
“พรุ่งนี้พาเราไปที่เมืองดาร์คไนท์ ไม่ว่าจะเป็นการลักพาตัว, ขโมย หรือปล้น เราต้องเอาพิมพ์เขียวการต่อเรือหรือนักต่อเรือมาให้ได้” ลอทเนอร์สีหน้ามืดครึ้มไปทันตา ขณะที่มือของเขาพยายามควานหาจุดที่ปลอดภัย…
อีกสามคนจ้องมองเขาด้วยดวงตาที่แวววาว!
เมืองดาร์คไนท์ในตำนาน
เมืองที่มีเอลฟ์หลายล้านตน
ถ้านับเพียงในป่าแบล็คลีฟที่เดียว เมืองแห่งนั้นก็มีเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์อาศัยอยู่อย่างน้อยหนึ่งในสามแล้ว
มีโพชั่นแฟรี่กว่าหมื่นตน…
มีมังกรเพชรขนาดมหึมา, มังกรโลหะ และมังกรเงิน…
และต้นไม้แบล็คลีฟศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นความภาคภูมิใจของเหล่าเอลฟ์แบล็คลีฟทั้งหมด
มีข่าวลือว่าต้นไม้แบล็คลีฟศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกตั้งอยู่ในเมืองนั้นเป็นต้นไม้ที่สูงนับหมื่นเมตร
อย่างไรก็ตาม
ไม่ว่านิทานปรัมปราและตำนานจะส่งเสียงออกไปสู่คนภายนอกได้อย่างไร มันก็เป็นเพียงปรากฏการณ์ที่หาได้ยาก
คนทั่วไปไม่สามารถค้นหาเมืองนี้ได้พบ!
วิลเลียมแสดงความตั้งใจออกมาในคำพูดของเขา!
เขาต้องการสร้างความสัมพันธ์กับเมืองดาร์คไนท์!
แต่มันช่างยากลำบากยิ่งนัก…
ดูได้จากสีหน้าที่บูดเบี้ยวของลอทเนอร์
ตกดึก
ดวงจันทร์สีฟ้าจางสามดวงลอยเด่นบนฟากฟ้า
โลกแห่งนี้ที่วิลเลียมอาศัยอยู่ใหญ่เกินไป เพื่อลดแรงดึงดูดของแรงโน้มถ่วงจึงจำเป็นต้องมีดาวบริวารขนาดใหญ่ไว้เป็นจำนวนมาก ดวงจันทร์หลายดวงจึงต้องล้อมรอบดาวเคราะห์ดวงนี้เอาไว้
แต่การที่ดวงจันทร์ทั้งสามดวงจะปรากฏให้เห็นพร้อมกันนั้นมีโอกาสเห็นได้ยากมากนัก มันจึงเป็นโอกาสที่ดีที่ผู้คนจะออกมาเฉลิมฉลองกับวิวที่ดีเช่นนี้
แสงจันทร์และตะเกียงเวทย์ส่องสว่างไปทั่วทั้งเมืองรุ่งอรุณ ถึงเมืองจะมีขนาดเล็ก แต่มันก็น่าดึงดูดมากกว่าเมืองมนุษย์อื่นๆ แต่อย่างไรก็ตาม เมืองรุ่งอรุณแห่งนี้ก็ไม่สามารถนำไปเทียบกับราชวังของกษัตริย์สักองค์ได้
ในเวลานี้ ไม่รู้ว่ามีเหล่าสรรพสัตว์และเผ่าพันธุ์ต่างๆมากมายเท่าไหร่ที่เงยหน้ามองเมืองที่อยู่ริมผาเมืองนี้อยู่
แม่น้ำสายรุ้งที่ไหลผ่านเมืองรุ่งอรุณนั้นขยายกว้างมากขึ้น แม่น้ำหลายสายถูกสร้างขึ้นตามผังเมืองเพื่อให้แม่น้ำแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมือง จากนั้นแม่น้ำสาขาเหล่านั้นก็จะมาบรรจบกัน ก่อนที่จะไหลตกลงมาจากหน้าผา
ตั้งแต่ที่หน้าผาทำหน้าที่เป็นกำแพงปกป้องเมืองแห่งรุ่งอรุณไว้ วิลเลียมก็ไม่ไม่มีความตั้งใจที่จะสร้างกำแพงสูงตามแนวหน้าผา
แน่นอนว่า
แม่น้ำสายรุ้งสายหลักคือใจกลางของเมืองรุ่งอรุณที่แท้จริง
ศาลาหลังเล็กๆถูกสร้างขึ้นข้างๆแม่น้ำ ตั้งอยู่ตรงท้ายลานเมืองทางทิศใต้ มันจึงเป็นสถานที่ที่ใครๆก็สามารถไปเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ของที่ราบทางเหนืออย่างสบายใจได้
วิลเลียมนั่งอยู่ในศาลาและกำลังค่อยๆละเลียดจิบไวน์ผลไม้ช้าๆ ไม่มีใครอยู่รอบๆ ยกเว้นเด็กสองสามคนที่ลอบมองท่านลอร์ผู้น่าเคารพนับถือคนนี้
มีสุภาพสตรีสองสามคนที่หน้าแดงก่ำกำลังยืนเฝ้ามองเขาอย่างสุขุมขณะที่กำลังจินตนาการถึงคนรักในฝัน หากในยามค่ำคืนพวกเธอนอนไม่หลับ พวกเธอก็จะปลดปล่อยจินตนาการไปเรื่อย…
วิลเลียมสำรวจผู้คนในลานกว้าง พวกเขาพูดคุย, เต้นรำ, จิบไวน์หรือไม่ก็ร้องเพลงกันอย่างมีความสุขอยู่ที่น้ำพุกลางเมือง
เขายิ้มอย่างสุขใจก่อนจะเพลิดเพลินไปกับไวน์ของตน
เสียงฝีเท้าปรากฏจากทางด้านหลังของเขา
แต่วิลเลียมไม่ได้หันกลับไปมอง
ลอทเนอร์ถอนหายใจแล้วถามว่า “ท่านลอร์ด ท่านกำลังคิดจะไปพบแม่ของท่านหรือ?”
“อะไร?”
“ท่านไม่รู้หรือ? ท่านแม่ของท่านน่ะ…”
“เข้าเรื่องมาเลยเถอะ พูดให้มันตรงประเด็นหน่อย” วิลเลียมหันไปมองลอทเนอร์ด้วยสายตาเย็นชา เขามีความรู้สึกซับซ้อนกับแม่คนนี้แปลกๆ ในขณะที่เขาได้รับร่างนี้มา เขาก็ยังได้รับความรู้สึกที่ลูกชายมีต่อแม่มาอีกด้วย และเขาเชื่อว่ามันควรจะถูกเก็บไว้ในลักษณะนี้
ดังนั้นถ้าแม่ของเขาได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดล่ะก็ วิลเลียมก็ไม่ทราบว่าจัดการกับมันอย่างไรดี
“ท่านลอร์ด ตั้งแต่ที่ข้านำไลฟ์โพชั่นกลับมา เจ้าชายหลายคนก็เสนอต่อราชาเอลฟ์ให้…ราชาแบล็คลีฟได้สั่งห้ามไม่ให้ท่านหญิงอลิซเข้าพบหรือไม่ให้ความช่วยเหลือใดๆแก่ท่าน”
“ไม่ว่าสิ่งใดที่เกี่ยวกับท่านล้วนถูกสั่งห้ามทั้งหมด” ลอทเนอร์พูดเน้นทีละคำ
เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
ราวกับว่าลอทเนอร์กำลังอ่อนแรงจนจะพังทะลาย
เขาไม่กล้าคิดว่าวิลเลียมในวัยสิบหกปีจะพังทลายแค่ไหนหลังจากที่ได้ยินประโยคนั้น และไม่รู้ว่าวิลเลียมจะเต็มไปด้วยความทุกข์และสิ้นหวังแค่ไหน
ไม่ว่าวิลเลียมในวัยเด็กจะทำอะไรลงไป
มันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาที่มีสายเลือดของครึ่งเอลฟ์ เจ้าชายเอลฟ์ในเมืองดาร์คไนท์นั้นมีมากเกินไป…
อย่างไรก็ตาม
วิลเลียมไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมา เขายังคงเป็นท่านลอร์ดที่โดดเดี่ยวและยังคงรัษาท่าทีของตนเองไว้ได้
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน
วิลเลียมหัวเราะกับตนเองก่อนจะกล่าวว่า “เลือดเย็นซะจริง แผนที่จะไปยังเมืองดาร์คไนท์ของเราถูกปัดทิ้งไปแล้วใช่มั้ย?”
“นั่นมัน…” ลอทเนอร์พูดไม่ออก เขาไม่สามารถตำหนิหรืออธิบายต่อวิลเลียมในโถงประชุมได้
หากบุคคลภายนอกรับรู้เรื่องนี้ อำนาจของท่านลอร์ดจะสั่นคลอนเป็นอย่างมาก
แต่ลอทเนอร์กลับรู้สึกเสียใจที่ตนเองไม่ได้บอกความจริงกับวิลเลียมในโอกาสก่อนหน้านี้ บางทีเขาอาจจะไม่เคยมองวิลเลียมในฐานะท่านลอร์ดที่โตเต็มตัวแล้ว และยังคงปฏิบัติต่อวิลเลียมเหมือนกับเขาเป็นเด็กๆ
“ท่านไปได้แล้ว เราอยากคิดทบทวนกับตนเองอีกสักพัก” วิลเลียมที่ระบายอารมณ์ออกมาโบกมือขณะที่เอนกายพิงเสาหินเย็นเฉียบ เขาปล่อยให้ความคิดของตนล่องลอยไปยังที่ที่แสนไกล
“เราจะหาพิมพ์เขียวการต่อเรือได้จากที่ไหนกันนะ? เมืองชายทะเล, เมืองป้อมปราการทะเลตะวันออก, จักรวรรดิทั้งสาม หรือเมืองคนแคระที่อยู่ใกล้ทะเล…ใครกัน…ใครกันที่มีพิมพ์เขียว?” วิลเลียมเกาหัว
เนื่องจากเขาไม่สามารถไปยังเมืองดาร์คไนท์ได้ เขาจึงต้องคิดหาวิธีอื่น
เขาเชื่อว่าทุกอย่างต้องมีทางออกเสมอ
มีเพียงคนเฮงซวยเท่านั้นแหละที่ไม่ยอมทำอะไรซักอย่าง สักแต่จะพล่ามไปเรื่อย
เขาคิดไปถึงเมืองอื่นๆ แต่เมืองและศูนย์กลางของอำนาจเหล่านี้นั้นออกจะอยู่นอกขอบเขตของเกมเวอร์ชัน 1.0 ไปบ้าง
การไปเยือนเมืองดาร์คไนท์สำหรับวิลเลียมนั้นง่ายดายมาก อย่างน้อยก็รับประกันความปลอดภัยของเขาได้ แต่สำหรับที่อื่นนั้น มันก็ยากที่จะพูด…
หากเขาไปเจอศัตรูที่อารมณ์ร้อนและทรงพลังเข้า เขาอาจจะถูกฝังไว้ในใต้ดินที่ลึกหกเมตรเลยก็ได้
“ในเวอร์ชัน 1.0 ทั้งอาณาจักรเหล็กและอาณาจักรลาวาดำต่างก็ไม่ได้พัฒนาอุตสาหกรรมการเดินเรือของตนมากนัก แม้ว่านี้จะเป็นเกมที่สมจริง แต่ฉันก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการต่อเรืออยู่ดี คงจะดีถ้าฉันมีเรือเล็กๆ…” วิลเลียมรู้สึกเป็นทุกข์
อย่างไรก็ตาม
เขาต้องทำเป็นว่าไม่ได้เป็นอะไร
แม้ว่ามันจะทุกข์ทรมาน เขาก็ต้องไม่แสดงมันออกไป
เขาจะรักษาอำนาจในฐานะลอร์ดได้อย่างไร?
หากเขาไม่สามารถเอาพิมพ์เขียวการต่อเรือมาได้ คนของเขาจะมองเขาอย่างไร?
ทุกอย่างมีขั้นตอนแรกเสมอ หากเขาเริ่มทำอุตสาหกรรมการเดินเรือ ในช่วงเริ่มต้นจะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาในอนาคต วิลเลียมมีแผนการอันทะเยอทะยานสำหรับอนาคตของเขาแล้ว…ไม่สิ มันไม่จำเป็นต้องให้เขาทำก็ได้นี่…
วิลเลียมยืนขึ้นก่อนจะมองไปยังทิศทั้งสี่เขม็ง ภาพในชีวิตก่อนหน้าประกายขึ้นในใจของเขา เขามองดูเหล่าพลเมืองในลานกว้างแยกย้ายกลับไปบ้านเพื่อพักผ่อนในขณะที่เวลาผ่านไปเรื่อยๆ
วิลเลียมมองไปยังป่าแบล็คลีฟอีกครั้ง
สิ่งที่เขามองไม่ใช่เมืองดาร์คไนท์
แต่มันคือเมืองบลูมูน
“ในบรรดาอาณาจักรเอลฟ์ทั้งสาม ไม่อาจกล่าวได้ว่ามีเพียงเอลฟ์แบล็คลีฟเท่านั้นที่มีทักษะการต่อเรือ เอลฟ์มูนไลท์นั้นอาศัยอยู่บนเกาะกลางทวีปรีเจนดารี”
“เอลฟ์มูนไลท์ถูกล้อมรอบไปด้วยทะเลสาบที่ไร้ขอบเขตซึ่งมีขนาดใหญ่เท่าๆกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของโลกเลยด้วยซ้ำ เอลฟ์มูนไลท์เองก็ได้รับการสืบทอดทักษะจากบรรพบุรุษและมีทักษะการต่อเรือที่ยอดเยี่ยม”
วิลเลียมหรี่ตา การที่จะได้ทักษะการต่อเรือของเอลฟ์มูนไลท์มานั้นไม่ง่ายเลย เขาต้องทำอะไรสักอย่างให้เธอเพื่อแลกมันมา
อย่างการเลียแข้งเลียขาประจบประแจง…
ก็มันช่วยไม่ได้ล่ะนะ
การประจบน่าจะเป็นวิธีเดียวในการเข้าถึงหนังสือดีๆของเจ้าหญิงมูนไลท์
“ไม่คิดว่าในวันหนึ่งตัวเองจะกลายเป็นสุนัขที่ส่ายหางไปมา…” วิลเลียมรู้สึกขุ่นเคืองไม่น้อย โชคดีที่เขามีโอกาสได้เป็นสุนัขของเจ้าหญิงที่คนอื่นไม่มีโอกาสนั้นด้วยซ้ำ
เขารู้สึกดีขึ้นหลังจากปลอบใจตนเองไปแบบนั้น และอาจจะเหนือกว่าเล็กน้อย
“อืมม 30 แต้ม ค่ามิตรภาพของเธอต่อฉันมีค่าเท่านั้นเองเหรอ?” วิลเลียมลูบคาง วิลเลียมพบเจ้าหญิงแอนนี่เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และเราไม่ได้ถือว่าเป็นเพื่อนกันด้วยซ้ำ คะแนนมิตรภาพเหล่านี้สะสมระหว่างธุรกิจการขายมิทริลครึ่งปีที่ผ่านมาเท่านั้น
เจ้าหญิงคิดว่าตนเองเป็นนางฟ้า เธอภูมิใจมากและยากที่ทำอะไรให้ถูกใจ
แต่มีปัญหาอื่นอยู่
นางฟ้าตัวน้อยองค์นี้ชื่นชอบสิ่งของทางโลก!
เธอชอบสิ่งของต่าง ๆ เช่น มิทริล ผงทองคำ หินล้ำค่า และสิ่งมีค่าและเงางามอื่น ๆ
จากคำพูดของเธอแล้ว เธอใช้สิ่งของเหล่านี้ตกแต่งบ้านของเธอที่เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่
วิลเลียมพบว่ามันยากที่จะจินตนาการว่าห้องนอนของเธอจะหรูหราแค่ไหน เขามีความปรารถนาที่จะใช้เวลาหนึ่งคืนในห้องนั้น …
ดูเหมือนจะจริงที่ผู้หญิงและมังกรมักจะชอบสิ่งของคล้ายๆกัน
“เพื่อเพิ่มค่ามิตรภาพการเลียแข้งเลียขาอย่างเดียวคงไม่พอ ฉันมีพรสวรรค์การกระดิกหางที่ดีที่สุดในโลกแต่… แต่ถ้าคะแนนความชอบของฉันเพิ่มขึ้นช้าเกินไปล่ะ …” วิลเลียมเลิกคิ้ว ก่อนจะมองไปยังทางตอนใต้อีกครั้ง
“ถึงเวลาที่จะหาทรัพยากรแร่ใหม่แล้ว ดี…ฉันจะใช้มันนี่แหละ มันมีมูลค่าสูงและสะดุดตามาก ฉันไม่เชื่อว่าฉันจะไม่สามารถเอาชนะเจ้าหญิงน้อยด้วยสิ่งนี้ได้ ฉันจะทำให้แอนนี่รบกวนพ่อของเธอเรื่องพิมพ์เขียวต่อเรือให้ได้” เสียงหัวเราะที่น่ากลัวดังขึ้นขณะที่วิลเลียมเลียริมฝีปากของตน
วิลเลียมไม่ได้รีบร้อนออกเดินทางในเช้าวันถัดไป
เขาคิดข้ออ้างที่ดีขึ้นมาว่าเขาต้องเวลาในการหาของขวัญดีๆ สักเจ็ดวันเพื่อจะนำไปยังเมืองดาร์คไนท์
เมื่อพวกเขาได้ยินดังนั้น
เหล่าคนใต้บังคับบัญชาของเขาไม่ได้ตกใจอะไร แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าไอเท็มอะไรที่เมืองดาร์คไนท์จะพิจารณาเป็น ‘ของขวัญชิ้นดี’ อันหนึ่ง
หรือว่าจะเป็นมิทริลชนิดพิเศษ?
มันจะล้ำค่าสำหรับราชวงศ์เอลฟ์ปกครองป่าแบล็คลีฟไปกว่าครึ่งงั้นหรอ?
วิลเลียมไม่ได้อธิบายอะไรอีก เขาพาพวกเขาเข้าไปในป่าลึก เดินทางกว่าสิบกิโลเมตรไปยังหุบเขาที่ปกคลุมไปด้วยสายหมอก เขาสั่งให้องครักษ์ส่วนตัวให้เริ่มการขุดค้น
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมท่านลอร์ดถึงสั่งให้เอลฟ์องครักษ์ทำงานใช้แรงงานพวกนั้น
ในขณะที่พวกเขาขุดไปถึงข้างในประมาณ 10 เมตร แสงสีม่วงจางๆ ก็ส่องประกายออกมาจากพื้น
ทันทีที่เขาเห็นแสงแปลกประหลาดนั่น
ลอทเนอร์ก็กระโดดลงไปในหลุมและกลบที่มาของแสงนั้นด้วยดิน เขายังคงกังวลและกระทืบเท้าลงบนพื้นอีกครั้ง เขากลัวว่าไอเท็มที่ฝังอยู่จะถูกเปิดเผย
คนอื่นๆ เองก็ตกอยู่ในความเงียบ พวกเขาถึงกลับกลั้นหายใจด้วยซ้ำ…
“พวก… พวกนั้นคือเวทย์… คริสตัลเวทมนต์หรอ?” โอดอมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากด้วยความไม่เชื่อ
เขาสำรวจพื้นที่โดยรอบแล้วจึงรู้ว่าไม่มีคนนอกอยู่ เพียงหลังจากที่ยืนยันสิ่งๆ นั้น เขาก็ขุดคริสตัลสีม่วงที่ฝังอยู่ในหินออกมาช้าๆ และรู้สึกได้ถึงพลังเวทมนต์ที่เปล่งประกายออกมา พลังนั้นแผ่ซ่านออกมาอย่างไม่จำกัด!
เขาจำคริสตัลนี้ได้จากหนังสือโบราณ
ในช่วงสุดท้ายของยุคเอลฟ์ นอกจากนักรบที่ทรงพลังผู้ทำลายทวีปก็อด คริสตัลเวทมนต์เองก็มีส่วนในเรื่องนี้
จักวรรดิหุบเขาเดียวดายในตอนนั้นเป็นจักรวรรดิของคนแคระ พวกเขาครอบครองคริสตัลเวทมนต์ไว้เป็นจำนวนมากและยังสร้างอาวุธเวทย์ทำลายล้างอีกด้วย เมื่อเวลาผ่านล่วงเลยไป คริสตัลเวทมนต์จำนวนมากเหล่านั้นก็ถูกใช้จนหมด ด้วยเหตุนี้ คริสตัลเหล่านั้นจึงกลายเป็นของหายากมากๆ
ความหายากของคริสตัลเวทมนต์ทำให้มันเป็นสิ่งล้ำค่าที่มีส่วนให้การก่อกบฏของเจ้าชายคนแคระทั้งเจ็ดไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อไร้การสนับสนุนจากอาวุธเวทมนต์ คนแคระทั้งเจ็ดตระกูลก็ไม่มีใครกล้าเริ่มเดินเกม
ในยุคปัจจุบัน คริสตัลเวทมนต์ก็กลายเป็นวัสดุสิ้นเปลืองที่หายากมาก
แน่นอนอยู่แล้วว่ามันจะต้องมีคริสตัลเวทมนต์อยู่ในเมืองดาร์คไนท์ แม้แต่เอลฟ์ทั้งสามตระกูลก็มีมันไว้ในครอบครอง
จักรวรรดิมนุษย์ทั้งสามและราชอาณาจักรคนแคระบางที่เองก็ครอบครองคริสตัลนี้อยู่ อย่างไรก็ตาม ขุมพลังแห่งอื่นไม่มีคริสตัลที่ทรงพลังเช่นนี้อยู่ในครอบครอง
แม้ว่าพวกเขาจะมีคริสตัล พวกเขาก็จะไม่แพร่งพรายข้อมูลหรือสร้างอาวุธเวทมนต์ในจำนวนมาก
เหตุผลนั้นธรรมดา
มันคืออาวุธนิวเคลียร์ของทวีปรีเจนดารี!
หากอาณาจักรไม่แข็งแกร่งพอ อาวุธอาจเป็นสาเหตุของการล่มสลายของอาณาจักรนั้น!
ทรราชทั้งห้าของโลกแห่งความจริงนั้นโหดเหี้ยมอำมหิต
อย่างไรก็ตาม เหล่าทรราชระดับท็อปของทวีปก็อดนั้นเหี้ยมโหดยิ่งกว่าทั้งห้าคนอีกร้อยเท่า
“มันเป็นวัสดุหลักที่จำเป็นในการสร้างปืนใหญ่เวทมนต์, เรือเหาะเวทมนต์ และเมืองลอยฟ้าของชาวมีปีกทั้งหลาย คริสตัล… เวทมนต์?” เอริคเต็มไปด้วยความแปลกใจ อย่างไรก็ตามความรู้สึกนั้นก็แปลเปลี่ยนเป็นความกังวล
อารมณ์ของลอทเนอร์เปลี่ยนมืดหม่นทันที เขาไม่รู้ว่าวิลเลียมค้นพบคริสตัลนั่นได้อย่างไร และมันก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาถามคำถาม เขาแค่อยากรู้ว่าคริสตัลเวทมนต์จะถูกเก็บรักษาได้หรือไม่และจะป้องกันข่าวการค้นพบนี้ไม่ให้แพร่กระจายอย่างไร
วิลเลียมรู้สึกถึงสีหน้าที่เปลี่ยนไปของลูกน้องของเขา เขารู้ว่าครั้งนี้เขาใจร้อนเกินไป แต่เขาก็ยังคงอยู่ภายใต้ความสำรวม…
เขาสามารถเห็นระดับความภักดีของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาได้!
วิลเลียมเข้าใจว่าเมืองแห่งรุ่งอรุณนั้นไม่สามารถผลิตปืนใหญ่เวทมนต์ได้ในตอนนี้ เขายังขาดวัสดุจำเป็น, คนสร้าง, พิมพ์เขียว และนักเวทย์อยู่
นอกจากปืนใหญ่เวทมนต์แล้ว วิลเลียมก็ยังไม่สามารถนำคุณสมบัติอื่นของคริสตัลเวทมนต์ไปใช้ประโยชน์อะไรได้!
มันทำให้เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เหตุการณ์การค้นพบคริสตัลเวทมนต์นี้ก็เป็นเหมือนกับการที่เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งได้พบเจอกับหญิงสาวที่มีขาเรียวยาวยั่วยวน พวกหัวงูทั้งหลายที่ซ่อนตัวอยู่ก็กำลังเฝ้ารอโอกาสที่จะขโมยรางวัลนั้นไป
อย่างไรก็ตาม
ยิ่งคุณค่าและระดับความขาดแคลนของคริสตัลเวทมนต์สูงเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้มันเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมมากขึ้นในการจะนำมาเป็นของขวัญ
วิลเลียมสามารถใช้คริสตัลเวทมนต์เล็กๆ เหล่านี้มาสร้างความประทับใจที่ดีให้กับตัวเขาได้
อย่างไรก็ตาม การติดสินบนด้วยสมบัติที่หายากระดับนี้ หลายๆ ครั้งมันกลับไม่ทำให้ได้รับผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
นอกจากเจ้าหญิงแอนนี่ การให้คริสตัลนี้กับคนอื่นๆ ก็จะเป็นการชักนำความโลภอันไม่มีที่สิ้นสุดของพวกเขาออกมาเสียมากกว่า
วิลเลียมสำรวจฝูงชนและพูดอย่างใจเย็น “มีอะไรที่น่ากลัวอยู่ตรงนั้นหรอ? พวกเจ้าทุกคนเป็นคนสนิทและญาติมิตรของเรา เราเชื่อในพวกเจ้าทุกคน”
เอริคและคนที่เหลือยิ้มออกมาแห้งๆ พวกเขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ สิ่งที่กวนใจพวกเขาคือเหล่าสายลับในเมืองที่ยังระบุตัวตนไม่ได้ อย่างไรก็ตาม คำพูดของวิลเลียมทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นและค่าความสัมพันธ์ของพวกเขาที่มีต่อท่านลอร์ดก็เพิ่มขึ้น
วิลเลียมหัวเราะอย่างพึงพอใจอยู่ในใจ ระดับความภักดีของเอริคพุ่งขึ้นจาก 850 ไปที่ 930 เขาเป็นคนที่สนับสนุนวิลเลียมอย่างกระตือรือร้นมากที่สุด ก่อนหน้านี้ ระดับความภักดีของเขาขึ้นไปถึง 999 ถ้าวิลเลียมไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆต่อเหล่าคนใต้บังคับบัญชา ระดับความภักดีของพวกเขาก็จะไม่คงที่อยู่ที่จุดสูงสุด
วิลเลียมไม่เคยต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับความภักดีของลอทเนอร์และความภักดีของเหล่าเอลฟ์องครักษ์ที่มากกว่า 950
จากการตั้งค่าของเกม Gods เมื่อค่าความสัมพันธ์ (ความภักดี) สูงกว่า 700 แต้ม ตัวละครนั้นก็จะกลายเป็นคนสนิทและช่วยเก็บความลับ
พวกเขาก็จะเป็นภักดีอย่างมากด้วยแต้ม 800 ถึงมากกว่า
และค่าความภักดีที่มากกว่า 900 แต้มนั้นหมายความว่าตัวละครนั้นจะยินยอมพร้อมใจที่จะสละชีวิตของพวกเขาเพื่อท่านลอร์ดของพวกเขา!
ข้อยกเว้นประการเดียวสำหรับผู้ติดตามของวิลเลียมคือโอดอม!
เขาเป็น NPC ระดับอีปิคที่ระดับความภักดีต่ำที่สุดเพียง 730 แต้มแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ติดตามคนแรกของวิลเลียมก็ตาม มันอาจเกี่ยวข้องกับสถานะของเขาจากการที่เขาเป็นเจ้าชายคนแคระ
แต่ความเชื่อของวิลเลียมที่มีต่อผู้ติดตามของเขายิ่งเพิ่มความภักดีของเขาไปที่ 900…
“ในการจะทำให้ผู้ติดตามภักดี ลอร์ดจะต้องเชื่อในพวกเขา ดูเหมือนเคล็ดลับเล็กๆ นี้ของฉันได้สร้างผลลัพธ์ที่ต้องการให้”
ตำแหน่งของแร่คริสตัลเวทมนต์นั้นเป็นความลับเล็กๆของวิลเลียม
ความลับที่ยิ่งใหญ่นั้นยังคงเก็บเงียบอยู่ในหัวใจของเขา
วิลเลียมหัวเราะอีกครั้งและพูด “เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล เราไม่มีแผนที่จะขุดคริสตัลเวทมนต์เหล่านี้ออกมาในจำนวนมาก เราแค่ต้องการคริสตัลบางส่วนเพื่อเป็นของขวัญเท่านั้น ในขณะเดียวกัน เราได้แบ่งปันความลับที่ลึกล้ำที่สุดของเรากับพวกเจ้าทุกคน”
“ขอบคุณท่านลอร์ด สำหรับความเชื่อใจในพวกข้า ชีวิตของพวกเราเป็นของท่านลอร์ด” เหล่าคนใต้บังคับบัญชาของเขาโค้งตัวและตบหน้าอกเพื่อเป็นการแสดงถึงความเคารพ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความกตัญญู
วิลเลียมยิ้ม “ดีมาก โอดอม เราเชื่อว่าเจ้าจะทำการคุมองครักษ์ของเราได้ดีในขณะที่พวกเขาขุดคริสตัล เจ็ดวันหลังจากนี้ นำมันกลับมาที่นี่ที่เดิมของมัน มันไม่ถึงเวลาที่จะเปิดเผยการค้นพบคริสตัลให้คนอื่นได้รู้”
“ครับ ท่านลอร์ด” โอดอมที่กำลังหน้าแดงกำค้อนสายฟ้าที่มีสายฟ้าประกายจางๆ ของเขาแน่น เขารู้สึกตื่นเต้น
มันต้องได้รับการอธิบาย
หลังจากนำเผ่าของเขาเข้าร่วมกับเมืองแห่งรุ่งอรุณ เขาก็ต้องกลัดกลุ้มอยู่ทุกวัน โอดอมต้องการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขาให้วิลเลียม
บางครั้ง เขาก็ถึงกับครุ่นคิดว่าถ้าเขาสามารถให้อำนาจของเมืองแห่งรุ่งอรุณมาโค่นราชอาณาจักรคนแคระและฟื้นคืนจักรวรรดิภูเขาแห่งความเดียวดายของเขา
ความรู้สึกสลดใจอัดแน่นอยู่ในอกของเขา แต่ในจิตใจที่สู้กันอยู่ของเขา โอดอมผู้รักความยุติธรรมอยู่เหนือกว่าโอดอมผู้รอบคอบ
“ท่านลอร์ด ขอข้าคุยกับท่านได้หรือไม่?” โอดอมขอด้วยเสียงนุ่มขณะที่เขาเดินมาอยู่ข้างวิลเลียม
“คุยกับเรา? โอ้!” วิลเลียมตบไหล่โอดอมเก้ๆ กังๆราวกับเขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จากนั้นเขาจึงนำทางโอดอมเข้าไปในป่าลึก
เจ็ดวันผ่านไป
วิลเลียมออกไปทางตะวันตก ไม่มีใครไปกับเขา
สัปดาห์ที่แล้ว โอดอมได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา วิลเลียมไม่ได้ลงโทษเขา แต่กลับสัญญากับโอดอมว่าจะช่วยให้จักรวรรดิหุบเขาเดียวดายของเขารวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง
แต่อย่างไรก็ตาม เมืองแห่งรุ่งอรุณยังไม่มีพลังอำนาจมากพอที่จะช่วยเหลือโอดอมได้
แต่เมื่อได้ยินท่านลอร์ดพูดด้วยวาจาที่อบอุ่นเช่นนี้ โอดอมก็เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง เขาทุบหน้าอกตนเองก่อนจะแผดเสียงดัง เขาต้องการตอบแทนท่นลอร์ดด้วยความภักดีตลอดกาล
ความสัมพันธ์ระหว่างวิลเลียมและโอดอมแข็งแกร่งขึ้น การเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันเช่นนี้ทำให้ผู้คนตกใจเมื่อพวกเขาออกมาจากป่า
ช่วงปลายฤดูร้อนอุณหภูมิในป่าแบล็คลีฟกลับคืนสู่ปกติ แม้ว่าในช่วงฤดูหนาวก็ยังคงอยู่ในช่วงที่คาดหวัง
ป่าแบล็คลีฟให้ความรู้สึกคล้ายกับป่าดงดิบ
แต่นี่ไม่ใช่ป่าดงดิบนี่?
ไม่ มันไม่ใช่หรอก
แม้ว่าจะมีฝนตกค่อนข้างมาก แต่ปริมาณก็ยังไม่มากพอที่จะมีคุณสมบัติเหมือนกับป่าดงดิบ
แต่ฝนกำลังจะตกในอีกไม่ช้า
เมื่อวิลเลียมออกจากเมืองรุ่งอรุณมา ก็ถึงเวลาหว่านเมล็ดรอบที่สองแล้ว
ในที่แห่งนี้ ที่ซึ่งหนึ่งปีจะมีอุณหภูมิสูง 330 วัน มันจึงเป็นไปได้ที่จะหว่านเมล็ดสามรอบต่อปี
แต่วิลเลียมไม่เห็นด้วยที่จะทำเช่นนี้ มันจะทำให้พื้นที่เพาะปลูกเสียหายมากเกินไป
ภายใต้การปกครองของเขา วิธีที่ชาวไร่ชาวนาใช้นั้นแตกต่างจากเมื่อก่อน
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการใช้ ‘ปุ๋ย’
ในเมืองรุ่งอรุณนั้นมีที่อาบน้ำหลายแห่ง มีผู้คนขับถ่ายมากกว่า 60,000 คนทุกวันซึ่งเป็นจำนวนที่ค่อนข้างมาก แต่พลเมืองปกติไม่เชื่อว่าการใช้อุจจาระที่มีกลิ่นเหม็นนี้จะทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูง
พวกเขารู้สึกหมดหนทางเมื่อคิดว่าท่านลอร์ดฟังคำเท็จของผู้วิเศษบางคน
พลเมืองไม่มีทางเลือกนอกจากปิดจมูกตนเองแล้วใส่อุจาจาระเน่าเหม็นนี่ลงไปซะ
ฝนตกหนัก
และเต็มไปด้วยเสียงที่ไพเราะของสิ่งแวดล้อม
วิลเลียมอยู่ในชุดอุปกรณ์สายฟ้า เขาไม่กล้าฝ่าพายุเพื่อเดินทางต่อไป เขาเดินไปตามถนนและพบเข้ากับต้นไม้ที่มีใบขนาดใหญ่สามารถใช้เป็นที่กำบังสำหรับม้าและตัวเขาเอง
“พวกเขาพูดผิดตรงไหน? ฉันแค่ไม่อยากจะแพร่งพรายออกไปเท่านั้น” วิลเลียมรู้ขอบเขตของเขา เกมดังกล่าวสมจริงมาก ดังนั้นวิธีการที่ใช้ในโลกแห่งความจริงสามารถนำมาใช้ในเกมได้เช่นกัน
หากเขาไม่ได้มีสถานะ NPC เขาคงเชื่อไปแล้วว่าตัวเองเกิดใหม่ในโลกอื่น
และไม่ได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในโลกของเกม
หากสิ่งที่ไม่ได้เป็นของโลกนี้จะปรากฏขึ้น
หวังว่าคนอื่นๆจะไม่สอดรู้มากนัก
บางทีผู้เล่นในอนาคตอาจจะค้นพบประวัติและผู้ที่ให้ใช้ปุ๋ยอุจจาระ
จะเป็นผู้เล่นแบบใดกัน?
คนที่พบน่าจะเป็นผู้เล่นประเภทอยากรู้อยากเห็นไปทั่วและพวกผู้เล่นขี้เบื่อที่ทำให้พวกเขามักจะคอยสอดส่องทุกสิ่งทุกอย่างเอาไปไว้ซุบซิบและทำแต่เรื่องนอกคอก
วิลเลียมไม่กล้าเปิดเผยข้อมูลขั้นสูงใด ๆทั้งสิ้น เขาสามารถใช้เทคนิคในโลกแห่งความจริงได้อย่างรอบคอบ
โชคดีที่โลกในเกมนั้นมีการผลิตกระดาษ, การบ่มไวน์ และการใช้เข็มทิศ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องใช้ความพยายามมากเกินไปในการเพิ่มการผลิตอาหารในอาณาเขตของเขา
“คนปกติคงไม่สามารถเข้าใจได้ว่าฉันที่เป็นผู้เล่นได้เปลี่ยนไปเป็น NPC อย่างไรความปลอดภัยดีกว่าเสียใจแหละน่า ฉันคงต้องให้เครดิตการใช้ปุ๋ยอุจจาระเป็นของ ‘คำเท็จของผู้วิเศษ’ ซะแล้วสิ” วิลเลียมกินอาหารแห้ง ก่อนจะจิบน้ำไปสองครั้ง เขาจ้องมองสายฝนที่ตกในป่ามาจะชั่วโมงหนึ่งแล้วก่อนมันซาลง
จากนั้นก็นำม้าของตนเดินทางต่อไปในเส้นทางที่เต็มไปด้วยดินโคลน
เส้นทางที่ถูกสร้างขึ้นด้วยความยากลำบากได้กลายเป็นเรื่องยากที่จะเดินหลังจากฝนตก
เขาเดินไปทีละก้าวๆในขณะที่คอยกลับไปดูด้านหลังของตนเสมอ มันให้ความรู้สึกถึงความหนักหน่วง
เป็นเพราะเขาพยายามอย่างหนักเพื่อความอยู่รอด
เขาเป็นคนที่เกิดใหม่พร้อมกับความลับที่ไม่อาจเปิดเผยออกไปได้
ในโลกที่งดงามและเต็มไปด้วยความวิเศษอย่าง Gods วิลเลียมมีทางเลือกเพียงแค่ปลงและเอาชีวิตให้รอด เขาต้องใช้เวลาไปกับการทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นและได้รับความมั่นคงในโลกนี้
เขาต้องอยู่ให้เป็น
อาจเป็นเพราะเขากลัวตาย เขาต้องหาที่หลบภัยในขณะที่เขาอ่อนแอและเปราะบาง
เขาจะต้องมีความอดทน
เพราะเขาต้องให้ผู้ติดตามของเขารู้สึกถึงพลังของท่านลอร์ดของพวกเขา
เขาไม่ต้องการเป็นแกะบูชายัญในสงครามของอาณาจักรมนุษย์
เขาไม่ต้องการถูกครอบงำจากความมืดมิดที่กำลังจะมาถึง
เขาไม่ต้องการที่จะเป็นใครก็ได้ในเวอร์ชันเกมในอนาคต เขาไม่ต้องการเป็นเหมือนกับทาสที่ขอความเมตตาจากเจ้านายเหล่านั้น!
เพราะเขาเป็นคนเกิดใหม่ที่เต็มไปด้วยความลับมากมายมหาศาล หากเขาถูกจับได้ เขาอาจจะถูกจับ นำไปทรมานและศึกษา!
ดังนั้น
เขาจะต้องกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งและทรงพลัง
ในโลกแห่งนี้ มีมังกรที่สามารถกางปีกและครอบครองผืนฟ้าได้
ในอีกมิติหนึ่ง มีทั้งพระเจ้าและปีศาจรอที่จะปรากฏออกมายังโลกภายนอกอยู่!
ในใต้พื้นพิภพที่น่ากลัว มีสิ่งมีชีวิตในความมืดจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังคิดที่จะบุกรุกทวีปใหญ่
“หากฉันกลายเป็นตัวตนที่ทรงพลัง ฉันจะสามารถกำหนดโชคชะตาของตนเองได้ไหมนะ” ความมั่นใจของวิลเลียมเป็นเหมือนกับรอยเท้าที่ย่ำลงไปแต่ละครั้ง ที่หนักแน่นและกระชับขึ้นในแต่ละก้าว
ตัวตนที่ฟื้นคืนชีพและย้ายร่างทุกคนที่พบว่าตนเองอยู่ในโลกอื่นนั้นไม่ง่ายเลยที่จะอยู่ได้รอด
ผู้อยู่รอดนั้นจะต้องมองโลกในแง่ดีขณะเผชิญหน้ากับผู้อื่น
พวกเขาต้องใช้น้ำเสียงและท่าทางเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนนั้นว่าแข็งแกร่ง
ใครกันล่ะที่จะเข้าใจเหล่าคนที่ย้ายร่าง? ว่าพวกเขารู้สึกยังไง, มีความสุข, โดดเดี่ยวหรือสิ้นหวัง?
“ดังนั้น…นั่นคือเหตุผลว่าทำไมฉันถึงต้องการเป็นหมาขี้ประจบ อืมม แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!” วิลเลียมยิ้ม
เขาชอบที่จะออกแบบตัวละครของเขาและใช้จินตนาการเพื่อทำให้มันสมบูรณ์แบบ มันจะเป็นรากฐานสำหรับทิศทางในอนาคต
สำหรับคนที่จะเติบโต
เขาต้องการมากกว่าเป้าหมาย
เขาต้องมีจิตใจที่กล้าหาญ
แน่นอนว่าสมองชาญฉลาดก็จำเป็นเช่นกัน
มันยากที่จะเดินทางบนเส้นทางที่ชุ่มไปด้วยสายฝนเช่นนี้
วิลเลียมเดินทางคนเดียวและเกิดอุบัติเหตุอย่างไม่หยุดหย่อน ฝนตกลงบนตัวเขาราวกับว่ามีเมฆฝนติดตามเขาไปทุกที่ ในขณะที่แห่งอื่นนั้นไม่มีฝนเลยซักหยด
เขาค้นพบปรากฏการณ์ประหลาดนี้เมื่อเขาปีนขึ้นไปบนต้นไม้
ท่านลอร์ดรู้ดีว่าตนเองมีค่าโชคเพียงแค่สามแต้ม หากเขาไม่เดินทางกับกลุ่มคนที่มีค่าโชคเยอะกว่า เขาก็อาจจะประสบเข้ากับอุบัติเหตุหลังจากอุบัติเหตุก่อนหน้า
“แล้วฉันควรทำยังไงดี?”
วิลเลียมไม่ต้องการให้ใครก็ตามพบเขาในสภาพสกปรก…
โชคดีที่เขามาถึงจุดหมายเพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น
ก่อนจะมีใครพบเขาเข้า วิลเลียมที่เต็มไปด้วยโคลนก็รีบพุ่งเข้าไปยังทะเลสาบเล็กๆเพื่อทำความสะอาดตนเอง
เขาต้องดูเรียบร้อย ด้วยโบนัสของอุปกรณ์และรูปร่างทำให้ค่าสเน่ห์ของเขาเกือบ 140 แต้ม
ชิ้นส่วนของอุปกรณ์ที่เต็มไปด้วยโคลนไม่ได้ลดพลังการต่อสู้ของพวกมันแต่อย่างใด แต่ค่าเสน่ห์จะลดลงอย่างมาก
หลังจากที่ทำความสะอาดในส่วนที่จำเป็นต้องทำมากพอแล้ว
เมื่อเขาก้มศีรษะลงและจ้องมองลงไปในทะเลสาบ เขาก็ตกใจ
“ ฉันหล่อขึ้นนะเนี่ย…”
เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัย ความดูดีของตัวเขาเองนี่ไม่มีขีดจำกัดเลยสินะ?
โชคดีที่ท่านลอร์ดเต็มไปด้วยความสงบ เขาหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเข้าไปในเมืองบลูมูนด้วยท่าทางที่หล่อเหลาและสง่างามที่สุด
วิลเลียมจะสามารถเอาชนะใจเจ้าหญิงในเพียงเวลาสั้นๆได้อย่างไร
ก็เห็นๆ กันอยู่
มันเป็นคำถามที่ไม่ง่ายเลย
แต่สำหรับวิลเลียมผู้หล่อเหลา…
“เอ่อ มันก็ยากพอๆ กัน เธอมียูนิคอร์นที่สามารถทำลายแผนการของฉันได้อยู่” วิลเลียมขบคิดและคิดแผนขึ้นหนึ่งมาได้ เขาเดินอาดๆ ไปด้วยความมั่นใจ
ทิวทัศน์ของเมืองบลูมูนสวยงดงามเหมือนภาพวาด ทะเลสาบสีฟ้ากระเพื่อมเป็นประกายในขณะที่สิ่งก่อสร้างดูสง่างามและหรูหรา เมืองแห่งนี้อยู่ในระดับที่สูงกว่าเมืองแห่งรุ่งอรุณ
มันก็ช่วยไม่ได้
ภายในส่วนลึกของป่าแบล็คลีฟที่ๆ เอลฟ์อาศัยอยู่นั้นไม่ได้ถูกสร้างให้เป็นเมือง มันถูกพัฒนาเป็นเมืองเล็กๆ ที่ไร้กำแพงแทน ดังนั้น มันจึงดูน่ามองยิ่งขึ้น
เอลฟ์เด็กทั้งหลายไม่ต้องแบกรับภาระกับการศึกษาภาคบังคับเก้าปี พวกเขามีอิสระของพวกเขา และก็สามารถเล่นเรื่อยเปื่อยได้จนถึงอายุ 13 พวกเขาถูกปล่อยให้โตอยู่กับธรรมชาติและใช้ชีวิตอยู่กับมัน เนื่องจากเอลฟ์มีอายุยืนยาวมาก
หลังจากที่อายุของพวกเขาไปถึง 13 ปี พ่อแม่ของพวกเขาก็จะปล่อยให้ลูกๆ ของพวกเขาเลือกทางเดินชีวิตเอง มันไม่สำคัญว่าพวกเขาจะเป็นอะไร ตราบใดที่ลูกๆของพวกเขารักในสิ่งที่ทำ พ่อแม่ของพวกเขาก็จะสนับสนุนพวกเขาอย่างเต็มที่
แล้วเด็กเหล่านั้นจะเลือกที่จะเป็นมืออาชีพรึเปล่า?
เอิ่ม…
เหล่าเอลฟ์ไม่เหมือนกับมนุษย์ ความสามารถและศักยภาพของพวกเขาก็เพียงพอที่จะให้พวกเขากลายเป็นมืออาชีพแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พยายามอะไรมากมายเลย การเรียนเวทมนต์และการเรียนรู้พลังการต่อสู้มันง่ายเกินไปสำหรับพวกเขา
มันไม่เหมือนกับอาณาจักรมนุษย์ที่สร้างวิทยาลัยสำหรับการศึกษาพลังการต่อสู้และเรียนรู้ทักษะเวทมนต์
อายุขัยของเอลฟ์คือพันกว่าปี พวกเขามีเวลาทั้งหมดในการเป็นนักวิชาการ, นักรบ, ศิลปินและกวีที่น่าเคารพนับถือ
“โอ้ ท่านนั่นเอง ผ่านมานานมากเลยนะท่านลุง” เด็กหญิงตัวเล็กน่ารักคนหนึ่งที่เล่นอยู่ริมทะเลสาบเดินเข้ามาเมื่อเธอเห็นวิลเลียม หูทรงแหลมทั้งคู่ของเธอแดงเถือกราวกับเธอกำลังเขินอาย
“ฮี่ๆ เจ้านั่นเอง…” วิลเลียมพยายามไม่ยิ้ม มันเป็นพรหมลิขิตของเขาที่ได้พบกับสาวน้อยเจื้อยแจ้วคนนี้ เขาเองก็เคยเจอเธอมาก่อนแล้ว
“ชื่อของข้าคือ เอลิยา ซีลล์ ท่านลุงชื่ออะไร?” เด็กหญิงตัวน้อยน่ารักคนนี้กลัวคนแปลกหน้า แต่เธอก็จำคำพูดของแม่เธอ ‘จงกล้าหาญ’
เธอพิจารณาคุณลุงผู้หล่อเหลาและเลือกที่จะเผยนิสัยเป็นมิตรออกไป เขาหล่อเกินกว่าที่จะเป็นคนไม่ดี
เธอเองก็เคยเห็นเขามาก่อน ตอนนั้นทั้งคู่ยังเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน แต่ตอนนี้พวกเขากลายเป็นคนสนิทคุ้นเคย
“เอลิยา ซีลล์?” วิลเลียมช็อค สถานะค่าความโชคดีของเขาเปลี่ยนแล้วหรอ?
เขาเริ่มเปิดใช้งานการดูหน้าต่างตัวละครและ…
เขาก็เจอเข้ากับแจ็คพอต
เด็กผู้หญิงที่ทำให้เขาล้มคะมำคนนี้ไม่ใช่เด็กผู้หญิงธรรมดา เขาคงต้องได้รับการอวยพรด้วยโชคดีเป็นแน่สำหรับที่การพบเจอนี้ได้เกิดขึ้น
“เอลิยา ซีลล์ นักธนูแห่งรุ่งอรุณระดับรีเจนดารีในอนาคต หรือที่เรียกกันในชื่อ ธิดาแห่งรุ่งอรุณ…” วิลเลียมเริ่มนึกข้อมูลของเธอออก ในเวอร์ชั่น 1.0 และ 2.0 เด็กน้อยคนนี้ไม่ได้โด่งดังเป็นที่รู้จักอะไรขนาดนั้น
แต่เพียงในเวอร์ชั่น 3.0 ที่ตัวตนที่แท้จริงของเธอก็ได้เปิดเผยออกมา
เธอได้รับชื่อเสียงมากขึ้นและมากขึ้นในเวอร์ชั่นถัดๆ ไปจนกระทั่งเธอกลายมาเป็นระดับรีเจนท์ที่แท้จริง
“ท่านลุง?” เด็กหญิงตัวน้อยถอยหลังกลับด้วยความระมัดระวัง เธอพบว่าลุงรูปหล่อกำลังยิ้มอย่างร้ายกาจ
ความคิดที่ยาวเป็นขบวนรถไฟของวิลเลียมพังลง เขากระแอมไอกลบเกลื่อนแล้วพูด “เรียกเราว่า วิลเลียม แบล็คลีฟ นี่เป็นการพบกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกของพวกเรา สวัสดี”
ในเวลาเดียวกัน เขาก็กำลังขยายกรงเล็บของเขา…
เด็กหญิงตัวน้อยถอยหลังกลับด้วยความกลัวก่อนที่สายตาของเธอจะเหลือบไปเห็น ในมือขวาของวิลเลียมที่กางออกเผยให้เห็นลูกกวาดที่ห่ออยู่ในกระดาษไข
เอลิยาเลียริมฝีปากและทำจมูกฟุดฟิด ดวงตาของเธอขยายกว้าง ก่อนจะถามอย่างไม่อยากเชื่อ “นี่… ลูกกวาดนี้สำหรับข้าหรอ? นั่นมันคือลูกกวาดของมนุษย์ใช่มั้ย?”
“ใช่ สำหรับเจ้า” วิลเลียมยิ้มอย่างเป็นอบอุ่น เขาพยายามทำให้ดูจริงจังที่สุดที่เขาทำได้
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะลักพาตัวเธอ แต่เขายังคงมีโอกาสที่จะชนะใจเธอได้!
“ฮึ่มม” เอลิยาประสานมือทั้งสองข้างของเธอเข้าด้วยกันและลังเลอยู่นานก่อนที่จะยอมจำนนให้กับลูกกวาดตรงหน้าในที่สุด จากนั้นเธอก็มองหน้าวิลเลียมด้วยใบหน้าทะเล้นแล้วพูด “ท่านเป็นเจ้าชายรึเปล่า? ท่านมาที่นี่เพื่อจีบเจ้าหญิงแอนนี่หรอ?”
“เอ่อ นี่มันอะไร?” วิลเลียมส่ายหัวอย่างกระอักกระอ่วน เด็กผู้หญิงคนนี้รู้เรื่องไม่น้อยเลย
“ท่านคงมีศัตรูหัวใจแล้วล่ะ เมื่อวานนี้เจ้าชายอีกคน จู่ๆ ก็มาที่นี่” เอลิยาหัวเราะและวิ่งไปยังทะเลสาบ เธอดำลงไปในน้ำราวกับปลาคราฟ
หลังจากนั้นสักพัก เอลิยาก็โพล่ออกมาจากน้ำและเสยผมของเธอไปด้านหลังในขณะที่ระลอกคลื่นกระเพื่อมไปรอบๆ
แก้มทั้งสองข้างของเธอป่อง ไม่รู้เลยว่าเธอกินลูกกวาดเหล่านั้นเข้าไปตอนไหน เธอโบกมือให้วิลเลียม “แบล็คลีฟ… นามสกุลราชวงศ์ ฮึ่มม พี่วิลเลียม ท่านไม่ได้กำลังรีบไปและไปสู้กับศัตรูหัวใจท่านหรอ?”
วิลเลียมมองเด็กหญิงตัวน้อยที่เพิ่งจะดำลงไปในทะเลสาบราวกับปลาด้วยความประหลาดใจ เธอว่ายไปรอบๆ ทะเลสาบอย่างพริ้วไหว เขาจำได้ว่าครั้งที่แล้วเอลิยาก็เล่นน้ำอยู่แค่ตรงริมทะเลสาบเท่านั้น แต่ตอนนี้เธอเป็นเหมือนกับเอลฟ์แห่งน้ำตนหนึ่งเลย
เขายิ้มกว้างอย่างจริงใจและพยักหน้าไปที่เอลิยาก่อนจะหันหลังจากไป
“ติดผู้หญิง? ศัตรูหัวใจ?” วิลเลียมพึมพัมกับตัวเอง “ฉันแค่จะเข้าหาหนังสือดีๆ ของเธอและพิมพ์เขียวสำหรับการต่อเรือ อันที่จริงมันคือโมโม่… แค่ก”
“แอนนี่ ทำไมเธอถึงไม่ยอมเจอข้า? ข้าจริงจังกับเรื่องนี้นะ หัวใจของข้าเป็นเหมือนกับดวงจันทร์ที่อยู่บนท้องฟ้า ทุกๆคืนจะปรากฏอยู่เหนือหัวเจ้า…”
“หัวใจของข้าเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ ทุกๆเช้าจะทำให้เจ้าพร่างพราวด้วยแสงอาทิตย์”
“หัวใจของข้า…”
“หุบปาก!” เสียงนุ่มตะโกนขัดจังหวะการรำพันรักที่ไม่มีท่าทีจะหยุด
มันก็เห็นได้ชัดอยู่แล้ว
มันเป็นช่วงหน้าร้อนและฤดูสำหรับการสืบพันธ์ุ เอลฟ์หนุ่มตนหนึ่งกำลังเล่นเกมสืบพันธุ์อยู่
เอลฟ์มูนไลท์มากมายอาศัยอยู่บนต้นไม้จันทร์ที่สูงโด่ง พวกเขามองลงมายังเจ้าชายเอลฟ์แบล็คลีฟด้วยความสงสัยเมื่อเขายังคงตามจีบเจ้าหญิงของพวกเขาไม่หยุด
ที่ยืนอยู่ข้างต้นไม้จันทร์ก็เป็นเอลฟ์แบล็คลีฟหลายตนที่กำลังดูโชว์ตรงหน้าอยู่
มันเป็นเรื่องชายหญิงระหว่างเจ้าชายและเจ้าหญิง มันก็ต้องคุ้มค่าที่จะดูอยู่แล้วสิ
ไม่สำคัญว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นสักกี่ครั้ง เหล่าเอลฟ์ก็ไม่เคยเบื่อที่จะดู เหล่าเอลฟ์ผู้มีอายุขัยยืนยาวรักที่จะดูละครที่น่าตื่นเต้นประเภทนี้
เจ้าชายแบล็คลีฟคนนี้ชื่อ เทเลอร์ แบล็คลีฟ เขาเป็นลูกชายคนสุดท้องที่เพิ่งจะมีอายุได้ 30 ปีของราชาเอลฟ์
ด้วยตำแหน่งราชวงศ์ของเขา เขาเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแอนนี่ และเขาก็ยังเป็นหนึ่งในสมาชิกคนโปรดของราชวงศ์ดอลล์…
ลูกชายของเจ้าหญิงถูกเรียกว่าเจ้าชาย และลูกชายของราชาเองก็เรียกว่าเจ้าชายเช่นกัน
มันไม่ใช่เรื่องใหญ่
นอกจากราชาเอลฟ์ เจ้าหญิงและเจ้าชายทุกคนก็จะอยู่ในระดับเดียวกันถ้าพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด พวกเขาจะเรียกกันด้วยชื่อแทนการใช้คำเรียกตามอายุ
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการสืบพันธุ์สำหรับเอลฟ์เป็นเรื่องยาก
เทเลอร์กำลังอยู่ในความเดือดดาลเมื่อเขาถูกปฏิเสธและถูกตะโกนใส่หน้า ยังดีที่เขาเชื่อว่าเวลาจะทำให้เขาสามารถเอาชนะใจแอนนี่ได้ด้วยรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาของเขาและคุณสมบัติที่ดีอื่นๆ อีก
เพียงแต่ก่อนที่เขากำลังจะตะโกนตอบ
แขกที่ไม่ได้รับเชิญคนหนึ่งก็เดินผ่านเขาไปและเดินหน้าไปยังต้นแสงจันทร์
ไม่มีใครรู้ว่าสหายคนนี้พูดกับเอลฟ์องครักษ์ว่าอะไร
แต่เขาก็ได้รับอนุมัติให้เข้ามาในทันที…
ในขณะเดียวกัน
วิลเลียมก็หันศีรษะของเขาและยิ้มให้กับเทเลอร์…
โอ้!
มันเป็นรอยยิ้มที่ผู้ชายทุกคนรู้จักดี
เมื่อเทย์เลอร์เห็นดังนั้น เขาก็ไม่ได้หัวเราะแต่กลับหน้ายับยู่ยี่แทน
เขาแค่อยากจะยื่นมือออกมาทักทาย แต่ว่ามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังของเขาเสียก่อน
เขาเดินโคลงเคลงเข้ามาหาเทย์เลอร์ เป็นเอลฟ์เด็กอายุสามขวบ ปากของเขาเปื้อนน้ำลายเหมือนกับมีอะไรอยู่ข้างใน เขาเคี้ยวหยุบหยับก่อนจะกล่าวว่า “อืม…ฝ่าบาท คนๆนั้น…เขาขอให้ข้ามอบหมวกฟางใบนี้ให้ท่าน”
เทย์เลอร์เข้าใจ เขาหยิบหมวกฟางสีเขียวขึ้นมา ไม่รู้ทำไมเหมือนกันแต่เขาก็สวมมันลงไปบนศีรษะ
“หืม? รู้สึกดีมากเลยหนิ ค่อนข้างสบายเลย… ” เทย์เลอร์ทำท่ามีความสุข เขาอดคิดไม่ได้ว่าคนๆนั้นวางแผนที่จะยกยอเขารึเปล่านะ?
“โอ้ ไม่ต้องสงสัยเลย ข้าคือองค์ชาย คนผู้นั้นต้องรู้ตัวตนของข้าและอยากจะเข้ามาประจบเป็นแน่ แต่ทำไมเขาดูค่อนข้างคุ้นเคยกันนะ?” เทย์เลอร์ลูบคาง ความทรงจำค่อยๆผุดขึ้นในจิตใจของเขา…
เพราะฉะนั้น
เวลาจึงผ่านไปอย่างช้าๆ
รอยยิ้มของเทย์เลอร์ก็หายไปก็เช่นกัน
เขาโยนหมวกฟางทิ้งอย่างไม่ใยดี แต่ก็ยังมีเศษหญ้าติดอยู่บนศีรษะของเขาประปราย เขาตะโกนด้วยความโกรธ “วิลเลียม! ใครกันที่ทำให้เจ้ากล้าเข้ามายังหมู่บ้านบลูมูน?”
……………………………
น้ำไหลเอื่อยๆลงมาจากน้ำพุ, เหล่าวิหคขับขานร้องเพลง และหมู่ดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอม
การตื่นเต้นกับความงดงามของสวนกลางเวหานั้นเป็นเรื่องปกติ
เด็กหนุ่มและเด็กสาวที่นั่งอยู่บนศาลาในสวนนั้นดูเหมือนว่าจะได้ยินอะไรบางอย่าง แต่พวกเขาก็เลือกที่จะไม่สนใจแม้ว่ามันจะดังขึ้นเรื่อยๆก็ตาม…
“ว้าว คริสตัลเวทย์นี่งดงามมาก ท่านพี่วิลเลียมจะให้น้องจริงๆหรอคะ?” แอนนี่สวมชุดกระโปรงสีชมพูอ่อน ท่าทางดูเป็นคนขี้เหนียว ดวงตากลมโตของเธอคล้ายกับพระจันทร์เสี้ยว เธอกระพริบตาปริบๆพร้อมกับกอดคริสตัลเวทย์ทั้งสามที่อยู่บนโต๊ะไว้
วิลเลียมหัวเราะ “นี่คือของขวัญสำหรับน้องสาวแอนนี่ตัวน้อย ทำไมถึงต้องเก็บเงินด้วยล่ะ!”
ขณะที่วิลเลียมพูด เขารู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นอย่างรุนแรง เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่งราวกับถูกตัดแขนขาก็ไม่ปานเมื่อแอนนี่จับคริสตัลเหล่านั้น
“พรึ่บ” คริสตัลเวทมนตร์สองอันหายไปในอากาศ และอันสุดท้ายอยู่ในมือของแอนนี่ เธอสังเกตมันใกล้ๆ
วิลเลียมเลิกคิ้ว สมบัติหายไปในอากาศ!
แอนนี่ไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ เธอจ้องไปที่มืออย่างมีความสุข ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเช่นกัน “มันเป็นคริสตัลเวทมนตร์จริงๆ ข้างในมีเวทย์มนตร์เต็มไปหมด มันมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนเวทย์มนตร์หรือการสร้างเครื่องมือมากเลยค่ะ”
“ดิ๊งด่อง”
“ความสัมพันธ์ของแอนนี่ที่มีต่อคุณเพิ่มขึ้น 50 แต้ม”
แอนนี่วางคริสตัลเวทมนตร์ลงบนโต๊ะแต่เธอดูหมดอาลัยตายอยาก เธอมองไปยังวิลเลียมอย่างไร้ประโยชน์ “น่าเสียดายซะจริง! มันมีน้อยเกินไป จำนวนเท่านี้ไม่ได้มีประโยชน์มากเท่าไหร่ เราอยากจะใช้พวกมันประดับตกแต่งห้องนอน คงจะดีหากเราสามารถเสกเวทมนตร์ขนาดยักษ์ได้!”
เทพธิดาหัวเราะขณะที่เหยียดแขนเหยียดขา “จะดีที่สุดหากเราสามารถแช่ในมหาสมุทรแห่งเวทมนตร์ได้ อัตราการฝึกฝนของเราก็คงจะเร็วมาก และเมื่อฉันกลายเป็นรีเจนท์ที่แท้จริงพ่อของฉันก็จะ…”
เมื่อเธอพูดจบแอนนี่ถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ เธอไม่ได้มองวิลเลียม แต่กลับจ้องมองไปยังผืนฟ้าแทน “ท่านรู้รึเปล่า…”
“รู้อะไรหรือ?” วิลเลียมหูตั้ง ครั้งนี้เขาตัดสินใจที่จะเป็นผู้ฟัง
ราวกับว่าคริสตัลวิเศษเหล่านี้ไม่ได้ทำให้แอนนี่มีความสุขมากขึ้น แต่มันกลับเรียกความทรงจำที่น่าเศร้าเข้ามาแทน นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่ารำคาญเล็กน้อย
“ท่านพ่อกำลังจะกลับไปที่ต้นเวิร์ล แต่ท่านไม่อนุญาตให้เรากลับไป… ท่านไม่ต้องการให้เราเจอท่านเป็นครั้งสุดท้าย เราคิดถึงท่าน … เราอยากกลับบ้าน เราอยากกลับบ้านจริงๆ….” เด็กสาวเศร้ามาก ดวงตาของเธอประกายไปด้วยน้ำตาขณะที่เธอกำลังจะร้องไห้
ตอนนี้แอนนี่อายุ 18 เธอถูกส่งไปยังป่าแบล็คลีฟตอนที่ยังเด็กมากนัก
องครักษ์นับพันได้ติดตามเธอไปในเวลานั้น
แต่เจ้าหญิงองค์นี้ไม่ได้ขาดวัตถุสิ่งของ สิ่งที่เธอต้องการคือความรักที่แท้จริงจากครอบครัวของเธอ
หลังจากพูดออกมาเธอก็เริ่มร้องไห้ เธอทำเช่นนั้นจนกระทั่งดวงตาของเธอกลายเป็นสีแดงก่ำ น้ำตาที่ดูเหมือนไข่มุกของเธอยังคงร่วงหล่นจนกระโปรงของเธอเปียกชื้น
วิลเลียมรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไม่ได้สูงมากนัก เขาไม่เข้าใจว่าทำไมแอนนี่ถึงได้พูดเรื่องนี้กับเขา
“หืม เธอไม่สามารถอ่านความคิดของฉันได้งั้นเหรอ?” ทันใดนั้นวิลเลียมก็เข้าใจ
แอนนี่ผู้มีทักษะของยูนิคอร์นที่สามารถอ่านใจคนได้ มันเป็นทักษะที่แข็งแกร่งมาก เธอสามารถมองเห็นความคิดของคนอื่นในระดับเดียวกับเธอยกเว้นแค่ไม่กี่คนที่มีความแข็งแกร่งทางจิตใจมากๆเท่านั้น
ในสายตาของเธอ มีเพียงท่านพ่อที่มีอายุยาวนานผู้เดียวเท่านั้นที่แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่และความรักต่อเธอ ส่วนคนอื่นๆล้วนซ่อนเร้นความคิดที่ชั่วร้ายหรือไม่ก็ล้วนแต่ปรารถนาในตัวเธอกันทั้งนั้น
วิลเลียมนั้นมีลักษณะของทั้ง NPC และผู้เล่น มันทำให้เธอไม่สามารถมองความคิดของเขาได้เลย มันจึงดึงดูดความสนใจของแอนนี่
นอกจากนี้เขาไม่รู้ว่าหลังจากการพบปะกันครั้งก่อน เธอได้ค้นหาบันทึกโบราณบางอย่าง ข้อความในบันทึกเหล่านั้นกล่าวว่าคนที่ไม่สามารถใช้ทักษะการอ่านใจมองความคิดได้คือคนที่ใจดีและบริสุทธิ์
ด้วยเหตุนั้น
แม้ว่าแอนนี่จะยังไม่มีความสัมพันธ์ต่อวิลเลียมสูงมากนัก แต่เธอก็ยังอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเขามาก
โอ้ ให้ตายสิ
เทย์เลอร์นั้นอยู่ในช่วงหาคู่ แต่ข่าวของท่านพ่อของเธอเพิ่งมาถึงหูเธอไม่นานนัก นี่ก็ดีถมแล้วที่เจ้าหญิงไม่ได้ระเบิดออกมาซะก่อน…
“นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากในการเพิ่มความสัมพันธ์!” วิลเลียมมีแผนในใจของเขา แต่จิตใจของเขากลับล่องลอยไปที่อื่น
เขาจำได้ว่าแอนนี่ไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้เล่น เธอจะเกิดอุบัติเหตุตอนแอบกลับไปยังป่ามูนไลท์รึเปล่านะ?
หากเขาเพิ่มความสัมพันธ์ไปจนถึงขีดสุดแล้วล่ะก็ เขาจะสามารถนำพิมพ์เขียวกลับมาได้ไหมนะ?
“ถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ฉันคงต้องฝืนให้คริสตัลเวทมนตร์ไปอย่างแน่นอน” มุมปากวิลเลียมกระตุก ดีที่เขาไม่ได้คำนวณไว้มากนัก และรู้สึกเจ็บปวดหัวใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“เฮ้อ ฉันจะเล่นเป็นคนแสนดีจนจบและปลอบเธอหน่อยก็ได้”
เมื่อคิดอย่างนั้นแล้ว
วิลเลียมตบไหล่หญิงสาวเบาๆอย่างไม่คาดคิด
แอนนี่มองเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ วิลเลียมกล่าวว่า “หากเจ้าอยากร้อง ก็ร้องดังๆเถอะ ไหล่นี่เป็นของเจ้าแล้ว”
“ฮึก…” เสียงร้องไห้ของเธอดังและชัดเจนยิ่งขึ้นดูเหมือนว่ามันจะเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและคิดถึง
วิลเลียมเหลือบมองไปที่แอนนี่ที่ยังคงพิงไหล่ของเขาอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอย่างไร้เดียงสา ขณะนั้นความคิดของเขาก็บินไปไกลแสนไกล ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ไม่มีองครักษ์เข้ามารบกวนพวกเขา
ไม่มีเสียงดังออกไปภายนอก
ด้วยเหตุผลบางอย่าง
เขตแดนป้องกันเสียงได้ถูกสร้างขึ้น
ไม่มีใครรู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าใดแล้ว
แอนนี่ยืนขึ้น ดวงตาของเธอแดงเล็กน้อย แต่เธอไม่ได้ดูเหมือนเด็กสาวที่เพิ่งร้องไห้มา เธอกลับมาเป็นตัวเองตามปกติก่อนจะยิ้มแย้มอย่างเช่นเจ้าหญิง “ท่านพี่วิลเลียม ท่านให้คริสตัลเวทมนตร์กับเรามากกว่านี้ได้หรือไม่?”
“แน่นอนสิ เราเอามา 99 ชิ้น เราหวังว่าเจ้าจะได้รับพรและมีความสุขไปนานๆนะ”
วิลเลียมไม่ลังเล เขาได้วางแผนที่จะมอบคริสตัลเวทย์มนตร์เหล่านั้นให้กับเธออยู่แล้ว เขาไม่ได้สนใจว่าเขาอาจไม่ได้บรรลุวัตถุประสงค์อื่นก็ตาม
สุดท้ายแล้ว เขาก็มีกำลังจ่าย เขาเป็นเจ้าของเหมืองหลายแหล่งและมีเงินทองมากมาย
“ท่านพี่วิลเลียม แล้วท่านต้องการอะไร?” แอนนี่ยิ้ม
รอยยิ้มของเธอแสดงออกถึงความสุขแต่ก็เจือไปด้วยความอ่อนเพลีย เธอไม่โง่ ถึงเธอจะไม่สามารถอ่านความทรงจำของวิลเลียมได้ แต่ก็รู้ว่าเขามีแผน …
วิลเลียมสังเกตเห็นและเป็นกังวลเล็กน้อย หากในตอนนี้เขาขอร้องอะไรไป แอนนี้ก็จะตกลง ใช่มั้ย?
บางทีมันอาจจะสร้างความมั่นใจให้เธอกลับไปที่ป่ามูนไลท์?
ดังนั้น…
เขาตัดสินใจ ก่อนรอยยิ้มสบายๆจะปรากฏบนใบหน้าของเขา “เราแค่อยากนำมามอบให้แก่น้องสาวตัวน้อย เรามีเหมืองคริสตัลเหล่านี้อยู่ที่เมืองของเรา แม้ว่าจะมอบให้เจ้าอีกสัก 999 ชิ้นก็ไม่เป็นปัญหาเลยสักนิด!”
“แต่ว่า…”
“แต่อะไร?” แอนนี่ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
วิลเลียมหัวเราะ “เราหวังว่าเจ้าจะไปเมืองแห่งรุ่งอรุณกับเราและดูมันสักหน่อย เราอยากพาเจ้าเดินไปรอบๆเพื่อแสดงให้เห็นความสวยงามของมัน องค์หญิงคงเป็นใบ้แน่หากอุดอู้อยู่ในบ้านตลอดทั้งวัน”
และในตอนนี้เอง
เขาเอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็กๆเบาๆ
เด็กสาวรู้สึกราวกับว่าเธอได้รับการฟื้นฟู
แอนนี่รู้สึกว่าวิลเลียมที่แม้ว่าจะอายุน้อยกว่าแต่ก็ทำให้เธอเรียกเขาว่าพี่ชายได้ และเป็น… เป็นแสงสว่างยามเช้าของเธอ
บางที
อนาคตของเธอคงจะไม่ตกอยู่ในความมืดมิด มันอาจจะสดใสมากก็เป็นได้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า…
วิลเลียมเป็นคนหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ เขาไม่หวั่นในการใช้วิธีที่ไร้ยางอายเพื่อบรรลุเป้าหมายของตนเอง
แต่ก่อนที่เขาจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง จิตใจที่ดีในหัวใจของเขาจะก็จะแผ่ขยายและไม่ถูกทำลายลง
“มันก็แค่พิมพ์เขียวเรือ คิดสิ คิดสิ…”
วิลเลียมที่สมองจะระเบิดยืนอยู่ใกล้กับม้าของตนและมองเหล่าเอลฟ์ที่กำลังจะย้ายบ้าน
เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังตกเป็นเป้าหมาย ว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นเพียงการพยายามหรือแผนการครั้งใหญ่ในการที่จะทำลายแผนการของเขา
แต่ใครจะไปรู้กันว่าแอนนี่จะตอบรับคำขอของเขาอย่างกระทันหันล่ะ?
“อะไรนะ!!!” เทย์เลอร์เสียงดัง เขาตกตะลึง
องครักษ์ที่เพิ่งส่งข่าวให้เขาได้หายไปแล้ว เขากลับไปจัดระเบียบเอลฟ์ที่กำลังจะย้ายบ้าน
เทย์เลอร์ตกใจมากเมื่อได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้ดูแลที่ชื่ออาเธอร์เพิ่งบอกเขาว่าทั้งเมืองบลูมูนกำลังจะย้ายไปยังเมืองรุ่งอรุณ เจ้าหญิงแอนนี่ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในชีวิตของเธอ เพราะเธอไม่สบายเมื่ออาศัยอยู่ในเมืองบลูมูน!
เอลฟ์มูนไลท์ทุกตนก็จะไปเช่นกัน ทั้งองครักษ์ชายหญิงใช้ชีวิตในที่แห่งนี้เป็นเวลานาน แต่ชีวิตใหม่จะต้องเกิดขึ้น และองครักษ์เหล่านี้ก็ใกล้ชิดกับเจ้าหญิงมากที่สุด พวกเขาจึงต้องติดตามเธอไป
ส่วนเอลฟ์แบล็คลีฟตนอื่นๆนั้น พวกเขาสามารถติดตามมาได้หากพวกเขาต้องการ แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาต้องการที่จะอยู่ที่นี่ก็ไม่เป็นไร แอนนี่ไม่ได้บังคับใคร
แต่…
เธอแค่ทำตัวเป็นลอร์ดของเมืองบลูมูนเพียงชั่วคราว
ช่างมันเถอะ เหล่าเอลฟ์ต่างชื่นชอบเจ้าหญิงแอนนี่เป็นอย่างมาก
อาจกล่าวได้ว่าพวกเขามีชีวิตอยู่มาพร้อมกับเฝ้าดูเจ้าหญิงต่างถิ่นองค์เติบโตนี้…
เธอทั้งน่ารัก ใจดี บริสุทธิ์ หยิ่งทนง แต่ก็มีชีวิตชีวาและนำความสุขไปทุกๆที่
กล่าวโดยย่อก็คือเธอคือเจ้าหญิงที่ไร้ที่ติองค์หนึ่งที่เป็นที่รักของคนทั้งหลาย
ดังนั้น เมื่อเอลฟ์แบล็คลีฟได้ยินข่าวว่าเธอจะย้ายออกไป พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะออกไปกับเธอ
สุดท้ายแล้ว
พวกเขาก็ไม่ได้ออกจากป่าแบล็คลีฟ และพวกเขายังคงเป็นเอลฟ์แบล็คลีฟ
แล้วเมืองแห่งรุ่งอรุณล่ะ?
หลังจากที่ทั้งสองเมืองเริ่มมีความสัมพันธ์ทางการค้า บางคนพบว่าท่านลอร์ดวิลเลียมเป็นเจ้าชายในราชวงศ์เอลฟ์
แต่สายเลือดจะช่วยให้คุณปักหลักได้เพียงชั่วขณะเท่านั้น
มีเพียงราชวงศ์เอลฟ์เท่านั้นที่มองว่าสายเลือดมีความสำคัญมาก
พวกเอลฟ์ทั่วไปก็รู้สึกว่าสายเลือดนั้นสำคัญ แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็ไม่ได้มองว่ามันมีความสำคัญเท่ากันพวกเขาหลายคนปรารถนาที่จะเป็นมนุษย์
ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิลเลียมก็ไม่ได้ทำความผิดร้ายแรงอะไรนี่?
แล้วจะเป็นไรไปหากพวกเขาจะไปอยู่ที่นั่น?
สำหรับเอลฟ์แล้ว การย้ายที่อยู่ควรเป็นเรื่องปกติใช่ไหม?
มีเอลฟ์หลายตนที่พอใจกับการอาศัยอยู่ในเมืองบลูมูน ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆที่สร้างขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน แต่ก็มีเอลฟ์ที่ย้ายที่อาศัยบ่อยครั้ง พวกเขาไม่สามารถอาศัยอยู่ในที่เดียวเป็นเวลา 100 ปีได้…
“เป็นไปไม่ได้! ไม่จริงหรอก นี่เป็นบททดสอบจากแอนนี่ใช่มั้ย?”
“ตอนนี้เราจะทำอย่างไรดีครับ องค์ชาย?” องครักษ์ของเทย์เลอร์เดินไปเดินมา พวกเขาไม่สามารถหยุดยั้งเรื่องนี้ได้และก็ไม่มีสิทธิ์จะทำอีกด้วย
ราชาเอลฟ์ได้มอบทั้งตำแหน่งเจ้าหญิงและอำนาจให้แก่แอนนี่ด้วยพระองค์เอง เทย์เลอร์เปรียบได้แค่เจ้าชายเท่านั้น เขาไม่มีอำนาจอันใดที่จะไปหยุดยั้งเธอได้
เธอสามารถไปได้ทุกที่ที่เธออยากจะไป…
เทย์เลอร์ยังคงคิดว่านี่เป็นบททดสอบจากแอนนี่ เขาเชื่อว่าแอนนี่ยังคงชอบเขาอยู่ เอลฟ์ล้วนมีอายุขัยยืนยาว เธออาจเป็นหนึ่งในคนที่คิดว่าระยะทางทำให้หัวใจเติบโตขึ้น!
แต่เขาโทษวิลเลียมเพราะแค้นที่แอนนี่จากไป
“ให้ตายสิ ต้องเป็นมันแน่ๆ สมควรตาย” เทย์เลอร์อดไม่ได้ที่จะด่าทอ องครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างๆดูเหมือนว่าอยากจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่สามารถหยุดเทย์เลอร์ได้
โชคดีที่เทย์เลอร์รู้สถานะและขีดจำกัดของตัวเองดี เขาหายใจลึกๆ และยิ้มอย่างเย็นชา “บอกคนอื่นๆ ว่าเราจะออกไปจากที่นี่ หลังจากเรากลับมา เราจะบอกท่านพ่อว่าวิลเลียมลักพาตัวเจ้าหญิงแอนนี่ไป และในฐานะเจ้าหญิงของเธอนั้นทำให้เหล่าเอลฟ์ทั้งหมดในเมืองบลูมูนอพยพไปยังเมืองแห่งรุ่งอรุณ”
“เจ้าจำได้หรือไม่?”
“ครับองค์ชาย ข้าจำได้คำต่อคำ!”
“อืม นำไปบอกองครักษ์ตนอื่นด้วย อย่าให้ผิดพลาดล่ะ”
เทย์เลอร์ที่แต่งกายด้วยชุดหรูหราและงดงามมองไปยังวิลเลียมที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เขาสวมชุดเกราะนั่งอยู่บนหลังม้า ทั้งลูกธนูและอาวุธสะพายอยู่บนหลังของเขา
“ดูเขาสิ ดูเหมือนเจ้าชายเอลฟ์ไหมล่ะ? เขาดูเหมือนอัศวินมากกว่าอัศวินจริงๆซะอีก สายเลือดสกปรกเช่นนั้นไม่ควรมีอยู่บนโลกด้วยซ้ำ ทำไมอลิซถึงไปตกหลุมรักมนุษย์แล้วยอมให้สืบทอดนามสกุลของราชวงศ์กัน? น่าละอายยิ่งนัก”
เทย์เลอร์อวดดีมากเกินไป
แค่นามสกุลของเขาก็เพียงพอแล้วที่จะแทนทุกสิ่ง มันเป็นความภาคภูมิใจของเขา
นอกจากนี้ ทั้งมรดก ชื่อเสียง และศักดิ์ศรีของเอลฟ์แบล็คลีฟก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาภาคภูมิใจได้
เทย์เลอร์จ้องมองไปยังวิลเลียม
วิลเลียมก็หันกลับมามองเขาเช่นกัน พวกเขาไม่ได้สื่อสารกัน ไม่จำเป็น พวกเขาไม่ได้กล่าวสาบานและเริ่มต่อสู้กันอย่างไร้เหตุผล เพราะมันจะเป็นเพียงความอับอายต่อตัวตนในฐานะเอลฟ์ของพวกเขา
“การกระทำที่กล้าหาญและเกียรติภูมิในตำนานของบรรพบุรุษนั้นคุ้มค่ากับความภาคภูมิใจ”
“แต่การดำรงอยู่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะพักผ่อนได้อย่างสบายอกสบายใจได้ตลอดไป”
“การทำลายและการเกิดใหม่นั่นคือจุดสิ้นสุดของเนื้อเรื่องในทุกๆเวอร์ชันของ Gods”
“ฉันผู้ที่ฟื้นคืนชีพกำลังมีชีวิตอยู่อย่างเลวทรามต่ำช้าเพื่อที่ฉันจะได้อยู่ต่อไปในอนาคต แล้วคุณล่ะ คุณมีอะไร? คุณคิดว่าเผ่าพันธุ์เอลฟ์แบล็คลีฟนั้นปลอดภัยเพราะแค่คุณมีตัวตนเช่นนี้น่ะเหรอ?”
“ไม่ใช่ว่าคุณอาศัยแต่เกียรติและมรดกของบรรพบุรุษหรอกหรอ?”
“เหอะ เหอะ…” วิลเลียมทำเพียงหัวเราะและนิ่งเงียบ
เทย์เลอร์นำองครักษ์ 100 ตนจากไปอย่างหดหู่ นี่คือป่าแบล็คลีฟ อาณาเขตของเอลฟ์แบล็คลีฟ ไม่จำเป็นต้องนำองครักษ์ไปมากมายนัก
นอกจากนี้เขายังเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลางที่มีสายเลือดรีเจนดารี เขาค่อนข้างแข็งแกร่งเลยที่เดียว
อย่างไรก็ตาม…
มี NPC จำนวนมากที่มีสายเลือดระดับรีเจนดารีในทวีปรีเจนดารี
แต่มากกว่าครึ่งหนึ่งจะตายในอนาคต พวกเขาจะถูกสังหารโดยผู้เล่นเนื่องจากเวอร์ชันของเกมยังคงดำเนินต่อไปจะมี ‘รีเจนด์’ มากขึ้นเรื่อย ๆ
สายเลือดก็ยังคงเป็นแค่สายเลือด
ไม่ได้หมายความว่าคนที่มีสายเลือดรีเจนดารีจะกลายเป็นรีเจนด์ หากพวกเขาไม่มีโอกาส ก็ไม่สามารถเป็นได้!
วิลเลียมที่สังหารบอสระดับรีเจนดารีมาอย่างน้อยห้าตนมีสิทธิ์ที่จะกล่าวเช่นนั้น
“นี่มัน…” ทันใดนั้นดวงตาของวิลเลียมเบิกกว้าง เขาเห็นผู้วิเศษเอลฟินวัยกลางคนกำลังร่ายเวทมนต์บนต้นไม้แสงจันทร์ขนาดใหญ่
อากาศผันผวนและคลื่นเวทย์มนตร์ก็พุ่งออกไปทุกทิศทาง
ต้นไม้แสงจันทร์ที่สูงหลายร้อยเมตรนั้นค่อยๆหดตัวลง มันถูกย่อได้ถึง 100 เมตร จากนั้นก็เหลือไม่กี่สิบเมตรและในที่สุดก็เป็นต้นไม้ขนาดเท่าต้นปาล์มเท่านั้น!
ผู้วิเศษเช็ดเหงื่อ เขาเดินไปหยิบ“ บ้าน” ของพวกเขาขึ้นมา แล้ววางไว้ในกล่องเล็ก ๆ จากนั้นก็เสร็จเรียบร้อย …
“จอมเวทย์มิติ?” วิลเลียมเอามือปิดปาก เขาค้นพบสิ่งที่น่าสนใจเข้าให้แล้ว
แบนด์ วอซเนียร์
อาชีพ: ผู้วิเศษมิติ
เผ่าพันธ์ุ : เอลฟ์มูนไลท์
ศักยภาพทางสายเลือด : อีปิค
ระดับ : ???
เลเวล : ???
ค่าสถานะอื่นๆ : ???
“แบนด์คนนี้น่าสนใจนัก เขาต้องเป็นจอมเวทย์อย่างแน่นอน ด้วยขีดจำกัดของเวอร์ชันนี้ยังไปถึงระดับนั้นไม่ได้ แต่เขากำลังจะไปยังเมืองแห่งรุ่งอรุณแล้ว เขาต้องเป็นบอสของขีดจำกัดเวอร์ชันอย่างแน่นอน ใครจะไปรู้กันว่าเขาอยู่ห่างไกลจากการเป็นจอมเวทย์ผู้วิเศษแค่ไหน?”
“ไม่ มันไม่ถูกต้อง มีผู้อาศัยอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้มากกว่าขีดจำกัดของเวอร์ชันเกินไป นี่เป็นเพียงแค่ส่วนน้อยของพวกเขา และนี่ยังเป็นพื้นที่ห่างไกลและเขตพัฒนาแห่งใหม่ เป็นไปได้รึเปล่าว่า….”
วิลเลียมเลิกคิ้ว ด้วยการคาดเดาเช่นนี้ ทำให้เขายืนยันได้ว่าเขาไม่จำเป็นจะต้องตื่นตระหนก
แอนนี่นำเอลฟ์ 45,000 ตนออกเดินทาง แต่พวกเขาทั้งหมดก็ไม่ตกอยู่ใต้อาณัติของเขาในทันที
พวกเขาเพียงแค่ย้ายไปอยู่อาศัยที่เมืองแห่งรุ่งอรุณเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องภักดีต่อท่านลอร์ดอย่างเขา
แน่นอนว่าคนทั่วไปจะต้องไม่ยินยอมให้กลุ่มคนขนาดใหญ่มาตั้งถิ่นฐานในอาณาเขตของพวกเขา…
แต่วิลเลียมกลับสะบัดผมยาวๆนี่ใส่ เขามั่นใจเป็นอย่างมาก!
เขาจะจับกระต่ายขาวทั้งหมดนี่ไปไว้บนลานบ้านของเขาให้ได้
สำหรับการย้ายถิ่นอย่างกะทันหันนี้ โดยธรรมชาติแล้วเมืองแห่งรุ่งอรุณ … ไม่สามารถสนับสนุนพวกเขาได้ แต่วิลเลียมได้วางแผนมาแล้วเขาจะอนุญาตให้พวกเขาอาศัยอยู่นอกเมืองทางตอนใต้
วิลเลียมได้วางแผนไว้สำหรับห้าปี สิบปี และมีแม้กระทั่ง 100 ปีในอนาคต
เป้าหมายสุดท้ายของเขาคือการสร้างเทือกเขาตลอดแนวทิศเหนือจรดทิศใต้ให้เป็นเมืองของเขา!
เขาจะขยายเมืองแห่งรุ่งอรุณอย่างต่อเนื่อง แผนการของเขานั้นรวมถึงการเชื่อมทะเลตอนใต้กับทุ่งนาตอนเหนือ จากนั้นเขาจะสร้างอาณาเขตขนาดใหญ่
“ท่านพี่วิลเลียม!”
“ห้ะ?” วิลเลียมหันไปมององค์หญิงที่ปรากฏอยู่ด้านหลังเขาอย่างกระทันหัน
“เรื่องคริสตัลเวทมนตร์ทั้ง 999 ชิ้นนั้นพี่พูดจริงหรือเปล่า?” แอนนี่เดินข้างๆเขาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะกระซิบข้างหู
วิลเลียมกลืนน้ำลายก่อนจะพยักหน้า
ท้ายที่สุดแล้ว ในสายตาของเขามันไม่สำคัญว่าเขาจะให้คริสตัลเหล่านี้ไปจำนวนเท่าไหร่ เพราะพลังงานของพวกมันนั้นไม่สามารถใช้ในปริมาณมากได้ มันเป็นประโยชน์สำหรับเขาที่จะใช้พวกมันแทนเงินในขณะที่เขาไม่สามารถใช้มันเพื่อเพิ่มพลังการต่อสู้ได้ และเขาก็สามารถค้นหาผลึกเวทมนตร์ได้อย่างง่ายดาย
เงินที่ไม่สามารถใช้จ่ายได้นั้นไร้ค่า ถ้าเขาใช้เงินก้อนใหญ่ บางทีเขาอาจจะได้รับผลประโยชน์ที่เขาไม่เคยจินตนาการไว้ก็ได้
เห็นแก่ตัว? แล้วมันทำไมล่ะก็เขาเป็นลอร์ดนี่? มันจะดีแค่ไหนกันถ้าเขาสามารถครอบครองขุมทรัพย์ของเหล่าขุนนางในอาณาจักรมนุษย์ได้!
แน่นอนว่าเขาต้องเจ็บปวดหัวใจ
แต่แอนนี่ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เมื่อเธอยิ้ม ก็ดูเหมือนว่าตาเสี้ยวพระจันทร์ของเธอจะทำให้รอยยิ้มนั้นดูหวาดหยดย้อยมากยิ่งขึ้น
เมื่อผู้ดูแลอาเธอร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นดังนั้นก็รู้สึกโศกเศร้า มือกำดาบแน่น
อัศวินกับเจ้าหญิง?
แล้วยังไง
เขาอาจจะอยู่รับใช้จนกระทั่งถึงจุดจบ จนกระทั่งไม่เหลืออะไร
แต่ทว่า
มันช่างแตกต่างจากเจ้าชายรูปงาม
ในวันธรรมดา เมืองบลูมูนก็เป็นสถานที่ที่สงบเงียบ ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่ามีเอลฟ์จำนวนเท่าไหร่อาศัยอยู่ที่นั่น
แต่นี่เป็นวันที่ไม่ปกดิวันหนึ่ง เอลฟ์จำนวนมากปรากฏตัวขึ้นและทำให้เกิดความชุลมุนวุ่นวายไปทุกที่
การเคลื่อนไหวของคนมากกว่า 4 หมื่นคนไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่จะทำให้สำเร็จได้เลย ภาพความเร่งรีบและความหนาแน่นของจำนวนคนค่อยๆ ปรากฏต่อหน้าของวิลเลียม
เนื่องจากเอลฟ์มีการสืบพันธุ์ค่อนข้างแย่ ภาระทางครอบครัวของพวกเขาจึงมีแค่เล็กน้อย แต่พวกเขากลับขนสิ่งของจำนวนมากมาด้วยแทน
การมีชีวิตอยู่เป็นร้อยๆ ปี เอลฟ์สะสมของและเฟอร์นิเจอร์ที่พวกเขาชอบเอาไว้มากมาย พวกเขายังเก็บอาวุธและอุปกรณ์มากมายอีกด้วย
ในอาณาจักรมนุษย์ เอลฟ์ที่มีอายุมากกว่า 100 ปีเกือบทุกคนเป็นชนชั้นสูงหรือผู้ดีเก่าทั้งนั้น พวกเขาถูกมองว่ามีฐานะมั่งคั่งร่ำรวย
แต่ก็มีจุดที่ต้องยกขึ้นมาพูดอยู่จุดหนึ่ง
เอลฟ์ที่อายุยืนยาวนั้นล้วนแต่ใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
พวกเขาชอบทิวทัศน์และสิ่งใหม่ๆ แต่จะยังจำสิ่งดีๆ จากหลายร้อยหรือพันๆ ปีที่ผ่านมาไว้ได้อยู่ ไอเท็มเหล่านี้เป็นไอเท็มที่พวกเขาหวงแหน หรือเป็นสิ่งที่พวกเขาเป็นเจ้าของมาแล้วหลายร้อยปี เช่นเดียวกันกับสิ่งของที่ตกทอดมาในตระกูล
ด้วยอายุขัยที่ยืนยาวความเฉื่อยชาก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างช้าๆ พวกเขากลายเป็นคนเกียจคร้านด้วยซ้ำไป พวกเขาชอบนั่งสบายๆ บนเก้าอี้โยกและพักผ่อนตลอดทั้งวันราวกับคนแก่
แต่เลือดของพวกเขาก็ยังคงทำงาน มันทำให้พวกเขาได้รับโอกาสในการลองสิ่งใหม่ๆ ราวกับเด็กๆ!
ชีวิตที่ยืนยาวทำให้พวกเขาได้สัมผัสประสบการณ์ที่มากกว่า พวกเขามีชีวิตอยู่นานกว่าคนอื่นๆ แค่มันก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ยกตัวอย่างเช่น พวกเขามีความทรงจำที่มากถึงพันๆ ปี อ้างอิงจากลักษณะของ ‘ชีวิต’ พวกเขาคงเลือกที่จะลืมหลายๆอย่างไป แต่ในหมู่ความทรงจำอันเจ็บปวดเหล่านี้ มันก็มีอีกหลายความทรงจำที่เหล่าเอลฟ์ไม่สามารถลืมได้
ดังนั้น เมื่อพวกเขาย้ายบ้าน มันจึงลำบากมากกว่านักรบโถวเหยิน
ไม่เหมือนเหล่าทาสที่วิลเลียมซื้อมาซึ่งไม่มีอะไรเลยนอกจากเสื้อผ้าบนร่างกายของพวกเขา!
แล้วส่วนชาวเมืองทั่วไปน่ะหรอ? พวกเขาต้องการแค่กระเป๋าสองใบ
แต่ในกลุ่มนี้ แต่ละคนต้องใช้อย่างน้อยหนึ่งรถม้าในการขนย้ายข้าวของทั้งหมดของพวกเขา
น่าเศร้า เหล่าเอลฟ์ที่อาศัยอยู่ในป่าไม่ได้มีม้ามากมายเท่าไหร่นัก แค่ 300 ถึง 400 ตัวเท่านั้นในเมืองบลูมูนทั้งเมือง
มีอสูรเวทย์จำนวนหนึ่งที่ถูกเลี้ยงไว้เป็นสัตว์เลี้ยงโดยเหล่าเอลฟ์นักล่า แต่ก็มีเพียงจำนวนน้อยเท่านั้น และถึงแม้จะใช้แรงทั้งหมด พวกมันก็ไม่สามารถขนอะไรได้มากมายนัก
ดังนั้น วิลเลียมจึงไม่มีทางเลือกนอกจากใช้ม้วนกระดาษเวทมนต์เคลื่อนย้ายและส่งรถม้าจากเมืองแห่งรุ่งมา
ในเวลาเดียวกัน เขาก็บอกให้โอดอมรวบรวมคนบางส่วนไว้ พวกเขาจะเริ่มวางแผนสำหรับการขยายเมืองและเริ่มงานทันที
[แจ้งเตือน: ทำภารกิจลับสำหรับอนาคตของเจ้าหญิงแอนนี่ให้สำเร็จ]
[ค่าความสำเร็จ: 100%]
[รางวัล: เอลฟ์ 45,000 ตนจะย้ายไปยังเมืองแห่งรุ่งอรุณ]
[รางวัล: ค่าประสบการณ์ 98000 แต้ม]
[คอมเม้นต์: คุณมีวาทะศิลป์ที่ดีเหมาะสำหรับการเป็นนักการทูต]
เมื่อวิลเลียมเห็นรางวัลที่เพิ่งจะได้รับจากภารกิจ เขาก็ยิ้มออกมา
ดูเหมือนรางวัลของภารกิจนี้จะไม่ได้มีความหมายอะไรจริงๆ ค่าประสบการณ์ที่ได้รับก็ไม่เยอะ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเขาได้รับเอลฟ์ 45,000 ตน ในจำนวนนั้นก็รวมถึงรีเจนด์ในอนาคตอย่าง เอลิยา ซีลล์
“ถ้าฉันได้มันก็เป็นเพราะฉันก็โชคดี แต่ถ้าฉันไม่ได้มันก็เป็นเพราะโชคชะตา ใครจะไปคิดว่าหลังจากฉันทิ้งแผนการตามล่าพิมพ์เขียวของเรือไปแล้ว ฉันจะได้รับกำไรที่มากกว่าเดิมเสียอีก?” วิลเลียมหัวเราะอย่างภูมิใจ โดยที่เขาไม่ทันรู้สึกตัว เขาก็ได้เริ่มตั้งตารออนาคตที่สดใสไปแล้ว
ไม่มีใครคิดว่าวิลเลียมเดินทางมาครั้งนี้เพื่อตามหาพิมพ์เขียวสำหรับต่อเรือ
และด้วยการกลับมาของเขา เขาได้นำเจ้าหญิงของเอลฟ์มูนไลท์กลับมากับเขาด้วย เช่นเดียวกับเอลฟ์อีก 45,000 ตน!
โอดอม หัวหน้าเลขาของเมืองผู้มีผมหยิกสีทองทั้งช็อคและมีความสุขไปพร้อมๆ กัน ความเคารพที่เขาทีต่อท่านลอร์ดของเขามีแต่เพิ่มขึ้นๆ
เอริค ผู้ช่วยหัวหน้าทีมทหารรับจ้างเคารพนับถือวิลเลียมอย่างยิ่ง เขารู้สึกว่าถ้าเขาติดตามท่านลอร์ด เขาจะมีอนาคตที่ดียิ่งขึ้น, มีเนื้อให้กิน, และมีเหล้าให้ดื่ม
ความรู้สึกของอเล็กซ์สามารถสรุปได้สั้นๆหนึ่งประโยค “ท่านลอร์ดผู้ยิ่งใหญ่คือบุตรแห่งความรุ่งโรจน์ของที่สุดแห่งความรุ่งโรจน์ ทุกคนจะต้องคุกเข่าและตะโกนคำว่าเจ๋งเป้งไปที่การกระทำของเขา!”
ส่วนสำหรับตาแก่แฮงค์ช่างเหล็กและโมเสส พวกเขาไม่ชอบมีส่วนร่วมในเรื่องการเมือง และไม่อยากออกความคิดเห็นของพวกเขา แม้ในขณะที่ผู้คนกำลังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องนี้ตามถนนอยู่ก็ตาม…
ที่สุดแล้ว ในฐานะช่างเหล็กผู้ได้รับการสืบทอดมาจากนักบุญคนหนึ่ง ตาแก่แฮงค์ก็กำลังจะกลายมาเป็นผู้วิเศษรอบด้านระดับรีเจนดารีคนหนึ่ง และโมเสสก็เป็นคนหนึ่งที่มีสายเลือดระดับรีเจนดารี พวกเขาไม่สนใจเกี่ยวกับเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ พวกเขามีความคิดเป็นของตัวเองและรอคอยอยู่ในเมืองแห่งรุ่งอรุณเพราะขี้เกียจเกินกว่าที่จะย้ายถิ่นฐาน พวกเขารู้สึกว่าวิลเลียมนั้นน่าสนใจ
มีแค่ลอทเนอร์เท่านั้นที่กังวล เมื่อเขารู้ว่าการกระทำของวิลเลียมจะทำให้ใครบางคนเกิดความอิจฉาและไม่พอใจอย่างแน่นอน
เจ้าหญิงแอนนี่ได้กลายมาเป็นพันธมิตรคนหนึ่งจากการแต่งงานกับราชวงศ์แห่งเอลฟ์แบล็คลีฟ
มันไม่ใช่ว่าเจ้าชายคนอื่นจะมีโอกาสหรือต้องการเวลามากกว่านี้กว่าที่พวกเขาจะสามารถแต่งงานกับเจ้าหญิงคนนี้ได้
แต่สถานการณ์ปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงเป็นอะไรที่ซับซ้อนมากขึ้น
การมาถึงของแอนนี่เป็นสัญญาณให้กับผู้คน
เธอไม่ได้เลือกเจ้าชายเอลฟ์คนอื่น เธอเลือกวิลเลียมให้มาเป็นคู่ชีวิตของเธอในอนาคต…
จุ๊ๆ แม้ว่าวิลเลียมจะมีสายเลือดราชวงศ์ เขาก็ไม่ใช่คนที่ได้รับการยอมรับจากคนอื่น
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังลักพาตัวเจ้าหญิงผู้นี้มาอีก…
สถานการณ์นี้จะนำพาปัญหามากมายเข้ามา
“แต่มันก็มีข้อดีอีกหลายข้อสำหรับสถานการณ์นี้เหมือนกัน ถ้าวิลเลียมได้ครองคู่กับแอนนี่จริงๆ ปัญหาเกี่ยวกับสายเลือดของเขาก็จะไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป วิลเลียมก็อาจจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่สำคัญกับเอลฟ์มูนไลท์ได้!” ลอทเนอร์ยืนอยู่ที่ประตูเมืองและทอดสายตาออกไปไกล
หลังจากนั้นไม่นาน
คนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมาทางหางตาของเขา เขาออกคำสั่งทันทีและทักทายคนกลุ่มนั้น “ยินดีต้อนรับการกลับมา ท่านลอร์ด ยินดีต้อนรับเจ้าหญิงแอนนี่ ยินดีต้อนรับท่านผู้มาจากแดนไกล”
ด้านหลังของเขาคือทหาร 3,000 นายที่ยืนอยู่ ทหาร 500 นายอยู่บนม้าสีขาวและมุ่งออกมาด้านหน้า
พวกเขายกธงของเมืองแห่งรุ่งอรุณอยู่ ธงประกอบด้วยแสงสีขาวที่ตัดผ่านเมฆสีเทา
จากการที่ตัวธงนั้นทำมาจากวัสดุเวทมนต์…
ในพริบตานั้นเอง
แสงอาทิตย์สาดส่องไปรอบด้าน!
ทัศนียภาพนี้ช่างเปล่งประกาย
ทหารอีก 2,500 นายที่เหลือวาดดาบยาวของพวกเขาออกมาและชี้มันขึ้นไปยังท้องฟ้า เสียงกู่ร้องของพวกเขากังวาลไปรอบด้าน “ยินดีต้อนรับท่านลอร์ด ยินดีต้อนรับเจ้าหญิง ยินดีต้อนรับมิตรสหายจากเมืองบลูมูน!”
วิลเลียมเฝ้าดูขณะที่เหล่าทหารเกรียงไกรเข้าขนาบทั้งสองข้างอย่างรวดเร็วและปกป้องเอลฟ์ขณะที่พวกเขาเข้ามาในเมือง ดวงตาของเขาเปล่งประกายขึ้นเมื่อเขาคิดเกี่ยวกับมัน ลอทเนอร์ไม่ได้เสียเวลาหกเดือนไปกับเขาอย่างไร้ความหมาย เขาเป็นคนเจ้าระเบียบเอามากๆ…
“ท่านรู้ว่าเราต้องการอะไร ท่านเข้าใจถึงสิ่งที่เราต้องการจริงๆ …”
ผลลัพธ์นั้นยอดเยี่ยม
ไม่ว่าใครก็สามารถมองเห็นความยอดเยี่ยมนี้ได้ ดูได้จากการแสดงออกของเอลฟ์จากเมืองบลูมูนก็รู้
พิธีต้อนรับที่ยิ่งใหญ่และอบอุ่นนี้ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยและสุขใจอย่างไม่ต้องสงสัย
“ชุดเกราะป้องกันระดับมาตรฐานของพวกเขาทุกคนทำมาจากมิทริล ดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมาก พวกเขาดูกล้าหาญและทรงพลังมาก!”
“ไม่เลวเลย ไม่เลวเลยซักนิด จากที่เห็น พวกเราก็มั่นใจได้แล้วว่าสภาพความเป็นอยู่ในเมืองแห่งรุ่งอรุณจะต้องดีมากแน่ๆ”
“ใช่ ท่านลอร์ดวิลเลียมได้ส่งคนของเขาให้ไปจัดเตรียมสถานที่สำหรับบ้านใหม่ของพวกเรา เขายังบอกพวกเขาว่าเราสามารถสร้างบ้านต้นไม้ของพวกเราเองได้อีกด้วย แค่นี้ก็สร้างความประทับใจให้ข้าแล้ว เจ้าชายที่มีสายเลือดมนุษย์นี่น่าสนใจจริงๆ” เอลฟ์มากมายชี้นิ้วไปมาและพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
แอนนี่เองก็ถอดกระโปรงออกเปลี่ยนไปสวมใส่ชุดเกราะที่ไม่ได้ใส่มานาน เธอกระโดดขึ้นบนหลังม้า เธอดูองอาจและกล้าหาญ
วิลเลียมคอยอยู่เป็นเพื่อนเธอ เมื่อพวกเขามาถึงประตูเมือง เขาก็ลงจากหลังม้าและเดินเข้ามาหาแอนนี่ วิลเลียมส่งมือของเขาออกและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ยินดีต้อนรับสู่บ้านใหม่ของเจ้า เราหวังว่าน้องสาวแอนนี่จะชอบมัน”
แอนนี่หลุบตาและมองไปด้านหลัง เธอนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง แต่ก็เอื้อมจับมือของวิลเลียมไว้แน่นก่อนที่จะลงจากหลังม้าของเธอ จากนั้นทั้งคู่ก็เดินเข้าไปในเมืองด้วยกัน
โอดอมรอให้คนใต้บังคับบัญชาของเขาออกไปหลังจากเข้าพบวิลเลียมและเจ้าหญิงแอนนี่ จากนั้นเขาจึงเดินออกไปเช่นกัน เขาต้องคอยดูแลการขยายเมืองของเมืองนี้
ผู้วิเศษสายมิติอย่างแบนด์ไม่ได้ต้องการให้เจ้าหญิงของเขาอาศัยอยู่ในสถานที่ทรุดโทรมในเมืองแห่งรุ่งอรุณ
เขาเลือกจุดตั้งดีๆ ในเมืองใหม่แห่งนี้ จากนั้นเขาก็หยิบกล่องใบเล็กกล่องหนึ่งที่เก็บต้นแสงจันทร์ย่อส่วนเอาไว้ด้านในออกมา เขาปลูกต้นแสงจันทร์อีกครั้งบนที่ตั้งนั้น
อย่างที่คาดไว้
เพียงไม่นาน ต้นไม้ขนาดเท่าฝ่ามือก็เติบโตขึ้นเป็นต้นไม้ยักษ์สูง 300 เมตร มันทำให้พลเมืองแถวนั้นตกตะลึงอย่างไม่ต้องสงสัย
ความเคารพของพวกเขาต่อท่านลอร์ดเพิ่มขึ้น พวกเขาเข้าใจว่า แม้แต่นักเวทย์ที่ทรงพลังก็ยังฟังคำสั่งของท่านลอร์ด…
แอนนี่ไม่ได้พูดคุยอะไรมากมายกับวิลเลียม แม้ว่าระดับความสัมพันธ์ของพวกเขาจะเกิน 600 แต้มไปแล้ว ความคิดแปลกๆก็ไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างพวกเขา
ที่สุดแล้ว หากนับตามอายุของเอลฟ์ พวกเขาก็ยังเป็นเด็กน้อยกันอยู่ มันยังต้องใช้เวลากว่าพวกเขาจะโตเป็นผู้ใหญ่ เรื่องของความรักยังคงไกลออกไป
แล้วท่านลอร์ดวิลเลียมผู้ยิ่งใหญ่ล่ะ ท่านลอร์ดของเมืองแห่งรุ่งอรุณ?
เขาก็ยังไม่เป็นผู้ใหญ่
เขามีอายุแค่ 16 ปีเท่านั้น
เขายังคงเป็นลูกครึ่งเอลฟ์หนุ่ม
ดังนั้น สำหรับตอนนี้… เขายังไม่สามารถแข็งได้…
เป็นโชคดีที่วิลเลียมไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก สำหรับตัวเขาในปัจจุบัน ความแข็งแกร่งของเขาและการพัฒนาของอาณาเขตเขาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
“ท่านลอร์ด แล้วพิมพ์เขียวต่อเรือล่ะ? ไม่ใช่ว่านี่มันต่างจากจุดประสงค์ของพวกเราไปหน่อยหรอ?” ลอทเนอร์ดูเป็นกังวล
“พิมพ์เขียว? พิมพ์เขียวอะไร? เราเคยบอกว่าเราต้องการพิมพ์เขียวหรอ?” วิลเลียมยกคิ้วของเขาขึ้น
“…” ลอทเนอร์ครุ่นคิด เขากำลังคิดว่าเขานั้นจำผิดไปงั้นหรือ แต่เขาก็เงียบไว้ การโต้แย้งไม่ใช่สิ่งที่คนใต้บังคับบัญชาที่ดีควรทำ
เมื่อวิลเลียมเห็นสีหน้ายุ่งเหยิงของลอทเนอร์ เขาก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “อย่าเครียดไป เรารู้ว่าท่านกังวลอะไรอยู่ เราคิดไว้แล้ว แต่ตอนนี้ สิ่งที่เราต้องทำคือการตั้งตารอ”
“พวกเรายังคงสร้างท่าเรือเหมือนเดิม แต่เราไม่จำเป็นต้องใช้พิมพ์เขียวอีกต่อไป”
“ทำไมล่ะ?” ลอทเนอร์งง เขาไม่สามารถเข้าใจความคิดของท่านลอร์ดของเขาได้ เขาคิดแผนแยบยลอะไรอีกล่ะคราวนี้?
“มีช่างหลวงที่รับใช้แอนนี่อยู่ หนึ่งในนั้นเป็นนักต่อเรือระดับมาสเตอร์!” วิลเลียมตบโต๊ะด้วยความตื่นเต้น เขาไม้ได้คาดหวังว่าแอนนี่จะมีคนมากมายอยู่ใต้อำนาจของเธอ
ราชาของเอลฟ์มูนไลท์เป็นชายที่อยู่เบื้องหลัง เขาทำเช่นนั้นเพื่อปูทางให้อนาคตของแอนนี่ คนที่อยู่ใต้อำนาจเธอเหล่านี้จะกลายเป็นสินสอดทองหมั้น หากเธอเลือกที่จะแต่งงานกับเจ้าชายสักคน!
“ราชาเอลฟ์เฒ่านั่นไม่โง่เลย ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ถึงปัญหาของเหล่าลูกชายของเขาแล้ว แต่เขาก็ไม่ใช่คนโหดร้าย เขาไม่ได้เด็ดขาดเหมือนตอนที่เขายังหนุ่มเช่นกัน”
เอลฟ์มูนไลท์อาศัยอยู่บนเกาะตรงกลางของทวีปรีเจนดารี ที่ล้อมรอบพวกเขาคือทะเลสาบอันไร้ขอบเขตที่ดูกว้างราวกับมหาสมุทร
แต่เอลฟ์มูนไลท์ที่ดูเหมือนจะอยู่ในที่ๆ อันตรายน้อยที่สุดเหล่านี้กลับเป็นเผ่าพันธ์ุแรกที่ถูกจู่โจมในทวีปรีเจนดารี
เมื่อราชาเอลฟ์ตนใหม่ โครนอส ขึ้นครองบัลลังก์ ป่ามูนไลท์ก็ดูสงบปลอดภัยมากขึ้น แต่เอลฟ์ที่แข็งแกร่งบางตนก็ค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในความมืด แม้แต่รีเจนด์ตัวจริงบางคนยังต้องจมลงไปในความมืดมิด
ใช่แล้ว
ในเวอร์ชั่นที่สอง ความมืดไม่ได้ปรากฏในชายแดนของทวีปรีเจนดารี
มันก็เหมือนกับสิ่งที่ชีวิตจากความมืดที่เมืองแห่งรุ่งอรุณพบเจอ ทั้งอ่อนแอและไม่มีค่าให้พูดถึง
แต่ในไม่ช้าความมืดที่ทำให้ผู้คนสิ้นหวังก็ได้แทรกซึมเข้ามาในอาณาจักรมนุษย์ และเลยมาถึงแม้แต่ที่ป่ามูนไลท์ สถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่เหนือสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดอีกด้วย
นั่นมันคือสมรภูมิที่แท้จริง และเป็นสถานที่ที่เกิดดันเจี้ยนนับไม่ถ้วนให้ผู้เล่นในอนาคต
มันเป็นเพราะสิ่งนี้ที่ทำให้ทวีปรีเจนดารีเกิดความไม่ลงรอยกันในทางสงคราม ส่งผลให้อาณาจักรเหล็กไม่สามารถจัดหากองกำลังสำรองได้ พวกเขาถูกลดจำนวนลงโดยสิ่งมีชีวิตจากความมืดเรื่อยๆ!
โครนอส เขาเป็นราชาแห่งเอลฟ์ผู้ที่ถูกกลืนกินโดยความมืด
เขาเป็นคนที่ใช้กระดูกจากคนของเขามาสร้างบัลลังก์กระดูกขึ้น
เขาใช้เลือดจากคนของเขาเพื่ออัญเชิญกองทัพแห่งความมืด
เขาทำการบูชาดวงวิญญาณจากคนของเขากว่าพันดวงเพื่อสร้างดาบแห่งเสียงร่ำไห้สำหรับตัวเขา เขาเป็นราชาของยุคนั้น เขาเป็นเทพเจ้าแห่งความตายผู้ไม่เคยล้มแม้จะผ่านไปหลายเวอร์ชั่น… โครนอส!
ความมืดมิดยังคงแผ่ขยายไปทั่วและ เอลฟ์มูนไลท์หลายล้านตนถูกกำจัด
แม้ว่าโครนอสจะเป็นสาเหตุหลักของเรื่องนี้ สาเหตุอีกอย่างที่ทำให้เกิดความตายอันเลวร้ายนี้ก็คือเจ้าชายตนอื่นๆ ที่ไม่หลีกเลี่ยงสงคราม
พวกเขาคิดว่าแสงสว่างจะเอาชนะปีศาจได้ และเริ่มสงครามมากมายที่ไม่มีใครเข้าใจเหตุผลที่แท้จริง จำนวนผู้เสียชีวิตของเอลฟ์มูนไลท์นั้นเกินกว่า 5 ล้านตน
“เอลฟ์เหล่านี้ใช้เลือดและชีวิตของพวกเขาในการพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าพวกเขาไม่กลัวสงคราม แม้ว่าหากศัตรูของพวกเขาจะเป็นพระราชาที่พวกเขากล่าวคำสัตย์ปฏิญาณต่อก็ตาม พวกเขาก็จะยังคงเคลื่อนกองกำลังไปด้านหน้า”
“แม้ว่าเหล่าศัตรูจะแข็งแกร่งมากขนาดที่พวกเขาไม่อาจป้องกันตัวเองได้”
“พวกเขาก็จะยังคงรีบรุดไปสู่สนามรบโดยไร้ซึ่งความกลัว พวกเขาจะไม่หันหลังหนี…”
“แต่ความตายของพวกเขานั้นน่าเศร้าเหลือเกิน!” ในขณะที่วิลเลียมคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า
มันไม่มีทางเลือก
เขาหมกมุ่นอยู่กับเกมในตอนนั้นมากเกินไปความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่นั้นหนักหนาเกินไปสำหรับเขา
ในพริบตาเดียว ผู้เล่นทุกคนก็พ่ายแพ้ให้กับสนามรบระดับล่าง พวกเขาไม่แม้แต่จะมีโอกาสเข้าร่วมการต่อสู้ที่อารีน่าหลัก
เมื่อนักข่าวจำนวนหนึ่งได้ข่าว พวกเขาก็ใช้วิธีมากมายในการรีบรุดเข้าไปที่นั่นอย่างเร็วที่สุดที่พวกเขาทำได้ พวกเขาแค่ต้องการชื่อเสียงความโด่งดังจากมัน
แต่พวกเขาใช้วิธีที่แตกต่างในการบันทึกสถานการณ์ที่ยากจะลืม
การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่และพลุ่งพล่าน ห้องโถงจักรพรรดิที่ถูกย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือด ความกล้าหาญที่แสดงโดยเอลฟ์มูนไลท์ผู้ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ต่อสู้อย่างกล้าหาญเพื่อไปสู่ชัยชนะ
สิ่งนี้ได้กินใจเหล่าผู้เล่นที่ดูการต่อสู้นี้อยู่ ถ้าผู้เล่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการต่อสู้กับความมืด มีคนไม่มากนักที่จะเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่นี้
เพราะพวกเขาจะตาย
แต่ผู้เล่นก็ไม่ได้กลัวความตายขนาดนั้น
พวกเขากลัวมากกว่าที่จะเห็น NPC ที่มีชีวิตถูกส่งไปตายทีละคนๆ
สิบปีกับการเล่นเกม แต่ภายในเกม มันยิ่งกว่าสิบปี วิลเลียมไม่สามารถไล่ประวัติการณ์ที่เขาเคยเห็นได้ รวมถึงความทรงจำที่เขาได้สร้างขึ้นด้วย
ลอทเนอร์เห็นว่าวิลเลียมจมลงไปความคิดอีกครั้ง เขาจึงยืนอยู่ด้านข้างเงียบๆ…
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
น็อกซ์เปิดประตูออกและวิ่งเข้ามาในห้องประชุม เขาพูดขึ้นทันที “ท่านลอร์ด คนส่งสารจากอาณาจักรเหล็กมาที่นี่ครับ”
“คนส่งสาร?”
“ครับ เขามาพร้อมทหารม้า 100 นายอยู่นอกเมืองและอ้างว่าเป็นทูตจากอาณาจักรเหล็กครับ เขาบอกว่ามีเรื่องที่ต้องสนทนากับท่าน ท่านลอร์ด” น็อกซ์อธิบาย
“เรื่องที่ต้องคุยกับเรา แค่นั้นเองหรอ?” วิลเลียมหัวเราะ “รอให้เรากินอาหารเที่ยงเสร็จก่อนหลังจากนั้นก็นำตัวพวกเขามาเจอเรา”
“ครับ ท่านลอร์ด!” น็อกซ์เดินออกจากห้องประชุมไป
ลอทเนอร์พูดเสียงต่ำ “ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้มาด้วยเจตนาที่ดีเท่าไหร่ เราควรเตรียมตัวเริ่มสงครามหรือไม่?”
“เราไม่เคยเป็นเพชณฆาต เราไม่อยากเริ่มสงคราม นอกจากว่าพวกเขาจะนำทั้งกองทัพมาจ่ออยู่ที่ประตูเมือง ในกรณีนั้น เราจะสั่งสอนพวกมันให้สาสมไปเลย” วิลเลียมยกคิ้วขึ้นและพูดต่อ “พวกเขาน่าจะเห็นบรรยากาศนอกเมืองแล้ว ท่านลุงคิดว่าอาณาจักรเหล็กจะกล้าโจมตีเราจริงๆ หรอ?”
เมื่อลอทเนอร์ได้ยินดังนั้น เขาก็เข้าใจขึ้นมาทันที เขาตกอยู่ในอาการช็อคและทำได้เพียงพยักหน้าขณะที่เดินออกไป
“เพชณฆาต? ไม่มีอะไรจะพูดเลย คำพูดทุกคำที่ท่านลอร์ดพูดช่างลึกซึ้งกินใจจริงๆ” ลอทเนอร์นึกภาพเผ่าหนึ่งที่วิลเลียมทำการสำเร็จโทษไป ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์และรู้สึกพึงพอใจ ตามที่คาดไว้ มีเพียงลอร์ดที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมเท่านั้นที่จะทำให้เขาพัฒนาได้อีกมาก
“ทูตคนใหม่จากอาณาจักรเหล็ก ออกัสติน มาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยียนท่านลอร์ดของเมืองแห่งรุ่งอรุณ!” คนพูดเป็นหนุ่มหล่อผู้มีผมยาวสีทอง เขาแต่งตัวในชุดยาวสีม่วงอ่อนที่ดูหรูหราอย่างมาก แต่มันก็ไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ บนปลอกแขนและปกเสื้อ
เห็นได้ชัดว่าแม้ว่าเขาจะแต่งตัวเหมือนขุนนาง แต่เขาก็ไม่ได้มีสถานะเป็นขุนนาง
หลังจากออกัสตินคารวะ เขาก็ฉีกยิ้มทรงเสน่ห์ สำหรับใครหลายๆ คนแล้ว เขาดูไม่มีอันตราย
การกระทำของเขานั้นสุภาพและดูมีการอบรม เขาดูเรียบร้อยและเป็นคนมีระเบียบมาก และยังมีความองอาจที่ขุนนางไม่ค่อยมีและเปล่งประกายไปด้วยออร่าความสง่างาม
แต่วิลเลียมรู้ ออกัสตินผู้ไร้พิษภัยนั้นสร้างผลงานได้ดียิ่งกว่าโกธี นาซิสในเวอร์ชั่น1.0 เสียอีก
ไม่ใช่แค่เขามีสายเลือดรีเจนดารีเท่านั้น เขาทั้งแข็งแกร่งและเป็นกบฏคนหนึ่งอีกด้วย!
โกธี นาซิส บุตรนอกสมรสของอาณาจักรเหล็กผู้สร้างพันธมิตรอิสระ แต่เขาทำได้เพียงแค่อวดความเชื่อและอิทธิพลในชีวิตอันแสนสั้นของเขา
สามารถพูดได้เลยว่าโกธีนั้นก็เหมือนกับราชาธรรมดาทั่วไปที่ต่อสู้เพื่ออำนาจของตนเท่านั้น เขาไม่ได้คิดเกี่ยวกับผลกระทบที่พันธมิตรอิสระของเขาจะมีต่อทวีปรีเจนดารี
ถ้าใครสักคนมองให้ลึกลงไปอีกสักหน่อย
ก็จะรู้ได้เลยว่าแผนการของโกธีนั้นเล็กเกินไป…
แต่ออกัสติน เขาไม่ใช่แค่ทายาทตัวจริงเท่านั้น แต่เขายังพัฒนาเครือข่ายพันธมิตรอิสระต่อหลังจากอาณาจักรเหล็กพังพินาศ เขายังเปล่งประกายเจิดจ้าอยู่ในทวีปแห่งตำนานอีกด้วย
คนประเภทนี้น่ะ?
วิลเลียมจะไม่เห็นค่าของเขาได้ยังไง?
“เชิญนั่งเถิด” วิลเลียมผายมือ
“ขอบคุณ” ออกัสตินนั่งลงบนที่นั่งที่อยู่ทางด้านซ้ายของห้องประชุม เขาสังเกตภาพวาดและประติมากรรมในห้อง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม เขาฉีกนิ้ม แล้วพูด “ข้ามาเพื่อเยี่ยมเยียนท่านลอร์ดวิลเลียม การรู้จักคนผ่านชื่อเสียงของเขานั้นเทียบไม่ได้กับการพบเจอตรงหน้าเลยจริงๆ”
“ราชาของข้าให้ข้านำของหายากและของขวัญมากมายมามอบให้ ท่านต้องการให้ข้านำมันมาที่นี่ให้ท่านได้เชยชมหรือไม่?”
วิลเลียมส่ายหัว “ไม่จำเป็น แค่วางมันไว้ตรงนั้นก็พอแล้ว เราได้ยินมาว่าเจ้าหน้าที่และขุนนางส่วนใหญ่ในอาณาจักรเหล็กเป็นคนแก่จากกลุ่มอนุรักษ์นิยม แล้วอย่างเจ้าก็เป็นหนึ่งในชนกลุ่มน้อยนี้ด้วยหรือไม่ล่ะ?”
“ท่านลอร์ดรู้เรื่องเกี่ยวอาณาจักรเหล็กดีไม่น้อยเลย ในอดีต แน่นอนว่ามันเป็นเช่นนั้น แต่ไม่นานมานี้ ราชาของเราได้มุ่งมั่นที่จะปรับปรุงการพัฒนา ขุนนางหัวโบราณจำนวนมาก คนที่รับสินบนและละเมิดกฎหมายตลอดจนผู้ที่กล้ายึดแร่ทรัพยากรของชาติได้ถูกปลดจากตำแหน่งไป”
“เจ้าหน้าที่หน้าใหม่อย่างเราที่เพิ่งเริ่มก้าวขึ้นมาไม่มียศเป็นชนชั้นสูงแต่อย่างใด ดูเหมือนว่าราชาของเราต้องการให้เกิดการปฏิวัติอย่างค่อยเป็นค่อยไปและนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ระบบขุนนาง”
“ตอนนี้ ราชาของเราต้องการสนับสนุนคนอย่างท่าน ท่านลอร์ด เขาบอกให้ข้าเรียนรู้จากท่านให้มากกว่านี้” หลังจากออกัสตินพูด เขาก็สังเกตวิลเลียมเพื่อดูว่าการแสดงออกช่วงหลังจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่”
เขายิ้มและพูดต่อ “ราชาของข้ายังบอกอีกว่า ในฐานะอาณาจักรแห่งหนึ่งที่มีจุดมุ่งหมายสู้อิสระภาพและความเท่าเทียม อาณาจักรเหล็กจึงควรมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเมืองแห่งรุ่งอรุณ ท่านมีความคิดเห็นอันใดเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ ท่านลอร์ด?”
“สร้างความสัมพันธ์ทางการทูต?” วิลเลียมหัวเราะ เขาค่อยๆลุกขึ้นและเดินออกไปจากบัลลังก์ของเขา
“ทำไมท่านไม่พูดถึงเงื่อนไขในการสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตก่อนล่ะ?”
ออกัสตินถอนหายใจเงียบๆ อย่างที่คาดไว้ ว่ามันจะไม่เป็นไปโดยง่าย นอกจากนี้เขายังเคยเห็นเอลฟ์จำนวนมากเคลื่อนไหวอยู่นอกเมือง เขารู้ว่ากลยุทธ์ที่เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้เปลี่ยนเป็นการยั่วยุ
แต่เขาก็สามารถเปลี่ยนแผนของเขาได้ เขาแค่ต้องพูดอย่างมีชั้นเชิงเท่านั้น “ความสัมพันธ์จะก่อให้เกิดประโยชน์มากมายแก่ทั้งสองฝ่ายโดยธรรมชาติอยู่แล้วครับ”
“ราชาของเราทราบว่าท่านยังขาดกำลังคนสำหรับการพัฒนา พวกเรายินดีที่จะยกทาส 30,000 คนให้ท่านฟรีๆ”
“พวกเราต้องการที่จะเปิดเส้นทางการค้าและลดภาษีนำเข้าลง 8%”
“พวกเราสามารถผลิตอาหารที่เพียงพอสำหรับให้พลเมืองจำนวน 30,000 คนของเมืองแห่งรุ่งอรุณได้ครึ่งปี”
“พูดต่อสิ อย่าพูดแต่ข้อดีและผลประโยชน์ บอกเรามาด้วยสิว่าคำขอของราชาคืออะไร” วิลเลียมยืนอยู่ที่ประตู มือสองข้างไพล่หลัง เขาพยักหน้าโดยไม่ได้หันหน้ากลับมา
“เพิ่มเติมจากนี้คือการที่อาณาจักรเหล็กกำลังวางแผนที่จะสร้างป้อมปราการทางทหารออกไปทางตะวันออก 30 กิโลเมตรจากเมืองแห่งรุ่งอรุณ ท่านอย่าเข้าใจผิดไป เราต้องการเป็นพันธมิตร เราไม่มีแผนต่อต้านเมืองแห่งรุ่งอรุณแต่อย่างใด” ออกัสตินไม่รู้ว่าทำได้อย่างไร แต่เขาสามารถหาทางพูดเรื่องนี้ออกไปได้
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้มาก ใครจะคิดได้ว่าเมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ตรงชายแดนจะกลายเป็นเมืองฝ่ายกลางที่ผู้คนไม่อาจเพิกเฉยได้?
“นอกจากนี้ ด้วยการย้ายเข้ามาของเอลฟ์นับพัน เมืองนี้จะกลายเป็นเมืองที่ง่ายต่อการคุ้มกัน แต่ยากที่จะโจมตี…”
“โอ้? เมื่อเจ้าไม่ได้มีเป้าหมายเป็นเมืองแห่งรุ่งอรุณ เจ้าจึงวางแผนที่จะยึดครองอาณาจักรลาวาดำแบบที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัวและโจมตีพวกเขาเมื่อสงครามเริ่มขึ้นงั้นหรือ?” วิลเลียมพูดออกไปแบบนั้น แต่ในหัวใจของเขานั้นเข้าใจทะลุปรุโปร่งราวกับมองผ่านกระจกใส พันธมิตรอิสระกำลังทิ้งเส้นทางหลบหนีของพวกเขา
แน่นอนอยู่แล้ว พวกเขาได้วางแผนที่จะดูดกลืนเมืองแห่งรุ่งอรุณ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ อาณาจักรเหล็กกำลังเตรียมการสำหรับสงครามที่อาจจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนเร็วๆ นี้
มันแทบจะพูดได้ว่าถ้าพวกเขาให้อาณาจักรเหล็กสร้างป้อมปราการทางทหารที่แข็งแกร่งขึ้นที่นี่ โอกาสที่จะเกิดสงครามก็จะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้มันยังเป็นการง่ายต่อการที่จะแทรกซึมเข้าไปในอาณาจักรลาวาดำ นอกจากนี้พวกเขายังสามารถกำจัดเมืองแห่งรุ่งอรุณได้อย่างง่ายดายเมื่อพวกเขาไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเมืองนี้ต่อเพราะเมืองก็จะสูญเสียปราการตามธรรมชาติไปแล้ว
แต่แผนการฆ่านกสามตัวด้วยหินลูกเดียวนี้ขึ้นอยู่กับว่าวิลเลียมจะให้โอกาสในการสร้างป้อมปราการทางการทหารหรือไม่
เมื่อออกัสตินได้ยินสิ่งที่วิลเลียมพูด เขาก็รู้ว่าความน่าจะเป็นในการเกิดสงครามระหว่างทั้งสองอาณาจักรเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้เกือบหมด เขาจึงหยิบหัวข้อนี้ขึ้นมาและพูดต่อ “เรากำลังวางแผนที่จะทำเช่นนั้น แต่ความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามขึ้นนั้นไม่สูงนัก ที่สุดแล้วเป้าหมายของอาณาจักรเหล็กก็คือความสงบสุขและเสรีภาพ”
“ถ้าเกิดเรื่องเกินเลยขึ้นกับอาณาจักรลาวาดำ เมื่อจบสงคราม อาณาจักรเหล็กก็ยินดีที่จะมอบสมบัติที่มีมูลค่าเทียบเท่ากับดินแดนที่เราได้รับให้กับท่าน”
“ที่สุดแล้ว เราก็มองเห็นว่าท่านไม่ได้วางแผนที่จะโจมตีอาณาจักรมนุษย์”
ออกัสตินพูดได้ดี แต่เขาไม่ได้รักษาความคาดหวังใดๆ ลอร์ดวิลเลียมกำลังพัฒนาและขยายเมืองแห่งรุ่งอรุณอย่างต่อเนื่อง เขาจะไม่เชื่อการใส่ร้ายนี้ตราบเท่าที่เขาไม่ได้โง่ ถ้าเขาอนุญาตให้พวกเขาสร้างป้อมปราการทางทหาร มันก็เหมือนกับคนเลี้ยงแกะที่ปล่อยแกะของเขาไว้ข้างถ้ำหมาป่า
พันธมิตรอิสระยังแข็งแกร่งไม่พอ พวกเขาเพิ่งได้ควบคุมอาณาจักรเมื่อหนึ่งเดือนก่อน เท่านั้น สถานการณ์ปัจจุบันภายในอาณาจักรซับซ้อนมาก ขุนนางบางคนไม่ต้องการเก็บเกี่ยวข้าวสาลีเพื่อ “กษัตริย์” ของพวกเขา สถานการณ์นี้ไม่ใช่อะไรที่สามารถแก้ไขได้โดยง่าย
ถ้าพวกเขาไม่ระวัง พวกเขาจะต้องประสบกับความตกต่ำ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องผลักดันแผนการนี้สำหรับเส้นทางหลบหนี
แต่ด้วยอำนาจของเมืองแห่งรุ่งอรุณในปัจจุบัน มันเป็นหลักฐานว่าพวกเขาได้ปฏิเสธเส้นทางหลบหนีของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยคาดคิดว่าประโยคถัดไปของวิลเลียมจะเติมเต็มความหวังอันไร้สิ้นสุดของเขา!
“เจ้าสามารถสร้างป้อมปราการทางการทหารได้!”
ในตอนนี้
วิลเลียมหันหลังกลับมา ดวงตาของเขาฉายแววความโลภ แม้จะมีความขัดแย้งอยู่บนสีหน้าของเขา แต่ก็มีความแน่วแน่ที่มาจากการตัดสินใจนี้อยู่ เขาพูดด้วยเสียงที่แหบพร่า “แต่เราต้องการทาส 50,000 คน เราไม่ต้องการคนแก่ นำทาสมาให้เราเท่าๆ กันทั้งสองเพศ มันจะดีมากถ้าพวกเขาเป็นมืออาชีพที่เคยก่ออาชญากรรม เจ้าสามารถนำคนเหล่านั้นมาให้เรา”
“เรายังต้องการเหรียญทอง 100,000 เหรียญ, ธัญพืช 1.2 ล้านกิโลกรัม, วัว 1,000 ตัว, แกะ 3,000 ตัว, เช่นเดียวกับไก่ 10,000 ตัว, เป็ด, และห่านตามลำดับ ถ้าเจ้าทำตามทั้งหมดนี้ไม่ได้ก็ลืมมันไปซะ!”
ออกัสตินแทบไม่อยากจะเชื่อ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง
เขาได้รับอำนาจบางส่วนมา แม้ว่าคำขอของวิลเลียมจะมากเกิน เขาก็เชื่อว่าเมืองแห่งรุ่งอรุณในตอนนี้ยังไม่กล้าพอที่จะตลบหลังอาณาจักรเหล็ก ความแตกต่างในเรื่องพลังการต่อสู้ของพวกเขามีมากเกินไป นอกจากนี้… นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากอีกด้วย!
เขายืนขึ้นและตอบทันที “ข้าให้สัญญาทั้งหมดนั่นกับท่านได้ ท่านลอร์ด แต่ข้าหวังว่าท่านจะไม่กลับคำพูดของท่าน!”
“เจ้าตกลง?” วิลเลียมดูช็อค เขาดูเหมือนกับว่าเขาฟังผิดไป แต่ก็ดูโล่งใจเช่นกัน แม้จะมีความเสียดายเจืออยู่บนใบหน้าของเขาราวกับว่าเขาขอน้อยเกินไปเสียหน่อย
แต่เมื่อออกัสตินเห็น เขาก็ยิ้มออกมา ท่านลอร์ดเป็นคนโลภสินะ…
ดังนั้นมันจึงง่ายต่อการที่จะสนทนากับเขา
เขาไม่กลัวว่าศัตรูของเขาจะแข็งแกร่ง
เขากลัวแค่ว่าศัตรูของเขานั้นไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ให้
“หึๆ เขาต้องการทาสจำนวนมากโขเลย กล้ามากจริงๆ” ออกัสตินหัวเราะอย่างมีความสุข
“หึๆ ถ้าเจ้าไม่ได้สวมชุดเกราะใดๆอยู่และไม่ให้ความร่วมมือ เราคงจะคิดสังหารเจ้า” วิลเลียมเองก็หัวเราะกลับอย่างมีความสุข
จนถึงตอนนี้
เมืองแห่งรุ่งอรุณเจอสายลับไปแค่คนเดียวเท่านั้น
นั่นคือสายลับที่วิลเลียมทรมานไป
ทุกๆ คนรู้สึกว่าพวกเขานั้นซ่อนตัวอย่างดีอยู่
แต่พวกเขาไม่รู้
เพียงแค่การมองโดยใช้หน้าต่างสถานะ พวกเขาก็จะถูกเปิดเผยทันที สีเหลืองหรือสีแดงก็ตาม ตราบใดที่ค่าสถานะไม่เป็นสีเขียว ทุกคนจะถูกมองว่าเป็นสายลับ!
เป็นเพราะทักษะที่แม่นยำนี้ เขาจึงไม่กลัวสายลับ แม้ว่าทหารจำนวนมากจะปกปิดตัวเองท่ามกลางทาส 50,000 คนและกำลังรอโอกาสที่จะร่วมมือกัน สิ่งที่เขาต้องทำก็คือใช้คนในของเขา
และพวกที่ไม่ภักดีกับเขาทั้งหมดก็จะต้องถูกฆ่า!
หลังจากเจรจากับออกัสตินเสร็จ ก็ได้มีการประชุมกันในห้องหิมะขาว
ลอทเนอร์กับคนที่เหลือตะลึงงัน “ท่านลอร์ด เอาจริงหรือ? ท่าน… ท่านจะสร้างป้อมปราการทางทหารที่อาณาจักรเหล็กเสนอมาจริงๆหรอ?”
ด้วยสถานการณ์ที่จริงจังเช่นนี้ โอดอมกล่าว่า “หากเราปฏิเสธเสียแต่ตอนนี้มันจะไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่มากนัก แต่หากเราตกลง เมื่อกองทัพใหญ่ของพวกเขามาถึง เราจะตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง”
วิลเลียมยกมือเพื่อให้ทุกคนหยุดพูด เขายิ้มขึ้นมาแทนที่จะทำท่าทางจริงจัง “บอกเรามาว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ในการสร้างฐานทัพที่สามารถจุคนได้พันคน?”
“เอ่อ…ขึ้นอยู่กับจำนวนคนที่สร้างครับ หากมีคนงานน้อย ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปี” ในฐานะของรองเจ้าเมือง โอดอมต้องรับผิดชอบการก่อสร้างอยู่เสมอ เขารู้ระดับความยากของงานนี้
การสร้างป้อมปราการทางทหารนั้นแตกต่างจากการสร้างเมืองโดยเฉพาะ
อาคารที่ก่อสร้างทั้งหมดในป้อมปราการจะต้องสร้างให้มีความป้องกันในระดับหนึ่ง กำแพงจะต้องสูงและหนา ต้องมีพื้นที่มากพอและสะดวกในการยิงธนู นอกจากนี้ยังต้องสร้างโกดังอีกสองแห่งเพื่อเก็บผลผลิตและแบ่งสันปันส่วน หากผู้คนไปอยู่ข้างในนั้นอย่างว่าง่าย พวกเขาก็ไม่ต้องมีปัญหามากมายนัก
“แล้วอาณาจักรเหล็กจะใช้คนของเราเพื่อสร้างป้อมปราการหรือเปล่า?”
“แน่นอนว่าไม่อย่างไม่ต้องสงสัย”
“แม้ว่าเขาจะสามารถรวบรวมคนหลายพันคนมาสร้างฐานทัพทางทหารได้ แต่ก็ยังต้องใช้เวลาสามถึงสี่เดือน นอกจากนี้พวกเขายังต้องการการสนับสนุนเกี่ยวกับการดำเนินการอีกด้วย ไม่เพียงแต่การจะเดินทางจะยาวนานเท่านั้น แต่สิ่งของต่างๆก็จะเสียหายทุกครั้งเมื่อขนส่งอีกด้วย”
“จะไม่มีปัญหาแน่หากเราอนุญาตให้เขาสร้างฐานทัพ”
“เมื่ออาณาจักรเหล็กสร้างฐานเสร็จและไม่สามารถละทิ้งสถานที่นี้ได้อีกต่อไป จากนั้นเราจะเริ่มเก็บค่าคุ้มครองทุกเดือน”
“พวกเขาจะต้องมอบทั้งเหรียญทอง, ทาส, และอาหารการกินให้กับเรา”
“หากพวกเขาไม่จ่าย เราก็แค่ตัดอาหารและคนของพวกเขาซะ”
“พวกท่านคิดว่าพวกเขาจะจ่ายหรือไม่?” ดวงตาของวิลเลียมเต็มไปด้วยความโลภและความโหดร้ายเหมือนกับแผนการของเขา
เหล่าคนของเขาตกตะลึงเนื่องจากพวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าวิลเลียมจะมีความคิดเช่นนี้ แต่โอดอมลังเลเล็กน้อย เขากล่าวอย่างกังวลว่า “พวกเขาจะต่องจ่ายให้ท่านแน่หากพวกเขาต้องการสร้างฐานทัพ แต่การตอบโต้ที่เราจะต้องเผชิญในอนาคตนั้น…”
“นั่นจะเกิดก็ตั้งอีกห้าถึงหกเดือน!” วิลเลียมค่อยๆหรี่ตา “หากป้อมปราการไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในตอนนั้น เราก็แค่กำจัดและขโมยของพวกเขาซะ”
“นี่… เราจะดำเนินการตามแผนนี้จริงๆหรือ?” ลอทเนอร์ไม่แน่ใจ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมท่านลอร์ดถึงต้องทำเช่นนี้ มันหมายถึงการประกาศสงครามอย่างชัดเจน
วิลเลียมหัวเราะอย่างเยือกเย็น “เป็นไปได้หรือที่พวกเขาจะปักหลักอยู่ใกล้กับเมืองรุ่งอรุณ? เชื่อเราเถอะ เมื่อเราให้บ้านใหม่แก่พวกเขา เราจะได้กำไรเป็นอย่างมาก จากนั้น เรายังสามารถสร้างความสูญเสียอย่างแสนสาหัสให้แก่อาณาจักรเหล็กได้”
“นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ที่พวกเขาจะต้องเผชิญในตอนนั้น พวกเขาจะไม่สามารถบุกโจมตีเราได้อย่างง่ายดายแน่”
อเล็กซ์ไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร
แต่ในตอนนี้ พวกเขาทำได้เพียงฟังคำสั่งเท่านั้น
พวกเขาไม่ทราบว่าแผนของอาณาจักรเหล็กจะต้องเสร็จสิ้นภายในครึ่งปี
ในช่วงเวลานั้น วิลเลียมจะส่งคนไปทำลายฐานทัพ ในเวลานั้นฐานทัพจะว่างเปล่าอย่างแน่นอน อาจดูว่ามีทหารจำนวนมากอยู่บนกำแพงเมือง แต่มันจะเป็นแค่การจัดฉากของพลังที่ว่างเปล่า
ฐานทัพที่ถูกทำลายจะเป็นจุดเริ่มต้นของเกมเบต้า นอกจากนี้สถานการณ์ระหว่างอาณาจักรหล็กและอาณาจักรลาวาดำจะตึงเครียดเป็นอย่างมาก การเกิดสงครามจะห่างออกไปเพียงผมเส้นเดียว อาณาจักรเหล็กจะกล้าโจมตีเมืองแห่งรุ่งอรุณง่ายๆ เหรอ?
สำหรับโอกาสในการโจมตีป้อมปราการนั้นไม่ควรเป็นปัญหาใหญ่
หน่วยลาดตระเวนเอลฟ์มีทักษะการสังเกตการณ์ที่ยอดเยี่ยม หากพวกเขาไม่รู้แม้กระทั่งว่ามีคนพร้อมม้าจำนวนมากออกจากป้อมปราการไป นั่นก็เป็นปัญหาแล้ว
ในขณะเดียวกัน
เขายังต้องคอยติดตามกลุ่มของบุตรนอกสมรถและแกะรอยของพวกนั้นอีก พวกเขาอาจจะต้องมุ่งหน้าไปยังภูเขาหิมะใกล้กับทะเลตะวันเพื่อดูว่าจะได้รับผลประโยชน์อะไรได้อีกหรือไม่
สรุปแล้วนี่คือการต่อสู้ที่สำคัญที่สามารถชี้ชะตาการพัฒนาของเขาในอนาคตเลยก็ว่าได้
หากทำสำเร็จเขาจะถูกเรียกว่าราชา แต่ถ้าล้มเหลวเขาจะกลายเป็นโจร ทำไมไม่ลองเสี่ยงดูสักหน่อยล่ะ?
เวลาผ่านไป
วิลเลียมเสร็จสิ้นภารกิจที่เขามีอย่างเช่นเคย
หากเขาไม่มีภารกิจที่ต้องทำแล้ว เขามักจะไปเพิ่มความสัมพันธ์กับผู้คน
เมื่อเร็วๆนี้ คุณสมบัติสามมิติของเซียได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง วิลเลียมรู้สึกสับสนนิดหน่อย
โดยเฉพาะเธอได้ไปสนใจการวิจัยในการพัฒนาเครื่องมือเวทย์ที่สามารถไว้ใช้สังหารได้!
“เธอเป็นผู้วิเศษสองสายอย่างชัดเจน ได้แก่ธาตุน้ำและธาตุไม้ เธอคงไม่สนุกกับสิ่งนั้นจริงๆ เธอจะเปลี่ยนทิศทางอีกหรือเปล่า? หากเธอทำวิจัยเกี่ยวกับปืนใหญ่เวทมนตร์ในอนาคตก็คงดี”
ในวันนั้น
วิลเลียมได้เดินไปรอบๆเมืองและได้พบเข้ากับทาสกลุ่มใหม่ โอ้ พวกเขาควรถูกเรียกว่าชาวเมืองกลุ่มใหม่
ทาส 50,000 คนจากอาณาจักรเหล็กได้มาถึงแล้ว
เขาโบกมือและกำจัดสถานะของพวกเขาในฐานะอาชญากรและทาส เขาอนุญาตให้พวกเขาเป็นพลเรือน พวกเขากลายเป็นผู้อยู่อาศัยในเขตใหม่ อย่างไรก็ตาม เขตใหม่นี้ถูกแยกออกเป็นสองพื้นที่คือเขตเอลฟ์และเขตมนุษย์
เขตแห่งใหม่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง เมื่อชาวเรือนพักผ่อน พวกเขาชอบมายังเมืองและเดินไปรอบ ๆ
แน่นอนว่าเหรียญทองและสินค้าที่เหลือก็ถูกส่งมาด้วย
อาณาจักรเหล็กยังส่งกองทัพและทาสนับพันมาสร้างป้อมปราการทางทหารอีกด้วย
เมื่อวานวิลเลียมได้ส่งสัญญาณเวทย์ไปยังออกัสตินเพื่อขอ ‘ค่าคุ้มครอง’ ของเดือนนี้ ซึ่งหมายความว่าวิลเลียมจะส่งกองกำลังไปโจมตีมนุษย์เงือกและมนุษย์หมาป่าให้ พวกเขาจะปกป้องพันธมิตรของพวกเขาและป้องกันไม่ให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บ และด้วยเหตุนี้พวกเขามีเหตุผลในการเรียกค่าคุ้มครองชดเชยความช่วยเหลือ
วิลเลียมยังกล่าวอีกด้วยว่าหากเขาไม่ส่งกองกำลังป้องออกไป อาณาจักรเหล็กจะต้องเสียหายอย่างแสนสาหัสเป็นแน่…
สรุปแล้วในทุกๆเดือนพวกเขาก็ต้องจ่ายทั้ง 10,000 เหรียญทอง ธัญพืข 50,000 กิโลกรัม และทาส 2,000 คน
หลังจากที่พวกเขาได้รับสารจากวิลเลียม ออกัสตินและโกธี นาซิส ต่างสาปแช่งเขาไม่หยุด
โดยเฉพาะโกธีที่สาปแช่งบรรพบุรุษเขาถึง 18 รุ่นไปหลายครั้งเลยทีเดียว
พวกเขาตำหนิว่าวิลเลียมนั้นเป็นคนโลภมากที่น่ารังเกียจ
แต่พวกเขาก็ต้องถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนโลภอย่างวิลเลียม พวกเขาก็แค่ต้องเลี้ยงเขาให้ดีเสียก่อน แต่ไม่นานหรอก พวกเขาจะเอากำไรและเมืองคืนมาทั้งหมด ในขณะเดียวกัน เมืองรุ่งอรุณก็จะตกอยู่ในกำมือของพวกเขาอีกด้วย นี่คือผลประโยชน์ที่แท้จริงของพวกเขา
นี่เป็นวิธีที่พวกเขาจัดการกับชนชั้นสูงบางคนในที่ลับ
พวกเขาจำเป็นต้องอดทน จะได้ไม่เกิดการสูญเสีย!
ดังนั้น
อาณาจักรเหล็กจึงจ่ายค่าคุ้มครองเดือนนี้ให้กับเมืองรุ่งอรุณอย่างโดยดี
วิลเลียมมายังกระท่อมพยากรณ์ลึกลับอีกครั้ง โมเสสกำลังกอดจูบแมวของตนเองเช่นเคย เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา สีหน้าของโมเสสก็ยังคงเป็นธรรมชาติ
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเกิน 500 แต้มไปแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้พูดคุยกันมากนัก มีคำกล่าวไว้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างลูกผู้ชายนั้นร้อนแรงดั่งสุรา นี่เหมาะสำหรับนักดื่มแอลกอฮอล์อย่างพวกเขา
มันชัดเจนมาก
วิลเลียมค้นพบหนึ่งในความสนใจของโมเสสแล้ว
เพื่อความแม่นยำว่าเขาได้ทราบถึงความสนใจของโมเสสแล้ว อย่างไรก็ตามค่าความสัมพันธ์และเลเวลของเขายังไม่สูงมากพอ เขาจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะดื่มกับโมเสส
แต่ตอนนี้ค่าความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นเกิน 500 มาแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้ดื่มเสียที
“ทาสเยอะเกินไปแล้ว! ท่านไม่กลัวว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นในเมืองงั้นหรือ?” โมเสสอยากรู้
วิลเลียมโบกมือของเขาอย่างเมินเฉย “ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมน่า”
โมเสสดื่มสุราในจอกเดียว เขาไม่ได้พูดอะไรอีก
เขายังอยากรู้ว่าวิลเลียมจะพัฒนาเมืองรุ่งอรุณไปได้ไกลเท่าไหร่
หากอัตราการพัฒนาในปัจจุบันถูกนำมาพิจารณา เมืองแห่งรุ่งอรุณนั้นมีศักยภาพมากมาย แต่ความคืบในการพัฒนาหน้าเร็วมากเกินไป อาจเป็นอันตรายได้ มันจะเปลี่ยนพวกเขาให้เป็นเป้าหมาย…
โมเสสลูบคาง “เขายังเด็กเกินไป แต่ถ้าเมืองนี้กำลังเผชิญกับการถูกกวาดล้างและผู้คนกำลังถูกฆ่าตาย ฉันควรช่วยเขาดีหรือไม่? แต่ฉันก็มีความรู้สึกที่ดีต่อเพื่อนคนนี้ เขามีศักยภาพบางอย่าง บางทีเขาอาจจะช่วยฉันได้ในอนาคต”
“เฮ้! เฮ้! เฮ้!”
“เฮ้! เฮ้! เฮ้!” เผ่าโถวเหยินของฟิว โรสเซอร์ได้จัดพิธีกรรมขึ้นเพื่อรำลึกถึงผู้วิเศษที่จากไป
สำหรับชนเผ่านี้แล้ว นี่เป็นสิ่งสำคัญและควรค่าแก่การเฉลิมฉลอง
วิลเลียมก็สนใจที่จะมาชมดูเช่นกัน เพราะฝันในวัยเด็กของเขาคือการได้เที่ยวเล่นไปทั่วโลก!
แต่ความฝันนี้ก็ได้เปลี่ยนแปลงไป เมื่อเขาเป็นวัยรุ่น…
จากนั้นเขาก็ได้ค้นพบเกมสวมบทบาท และตระหนักได้ว่าทัศนียภาพในโลกแห่งความจริงนั้นแสนจะธรรมดา และสวยงามน้อยกว่าในเกมมาก
ดังนั้น ความฝันใหม่ของเขาคือการได้สวมใส่อุปกรณ์ระดับรีเจนดารีไปเดินตามถนน เขาต้องการจุดประกายความอิจฉาขึ้นในหัวใจของผู้เล่นคนอื่นๆ
หรือไม่ก็ต้องการที่จะมีทักษะทุกอย่างในโลกแห่งเกมและเดินทางไปรอบๆ เขาอยากจะกลายเป็นฮีโร่ที่ไม่เคยทิ้งชื่อของเขาไว้เบื้องหลัง ผู้คนจะเห็นแต่เพียงแผ่นหลังของเขา และร้องสรรเสริญผู้เล่นในตำนานคนนี้
วิลเลียมไม่ได้รู้สึกว่าความฝันของเขานั้นผิดปกติ
เขาเชื่อว่าผู้เล่นชายทุกๆคนนั้นมีความฝันที่มหัศจรรย์!
ตอนนี้ฟิว โรสเซอร์มีเขาสีทองและสวมชุดอุปกรณ์ระดับเงินระยิบระยับน่าตื่นตา มีเพียงขวานอันเปล่งประกายของเขาเท่านั้นที่เด่นสะดุดตาออกมา
นี่เป็นอาวุธระดับทองเข้มที่สืบทอดกับมาหลายชั่วอายุ พลังการต่อสู้ที่ลุกโชติช่วงได้รวมเข้ากับอาวุธเอาไว้ มันไม่ใช่อาวุธกิ๊งก๊องเลยด้วยซ้ำ
สีหน้าของฟิว โรสเซอร์เคร่งครัดมาก แต่ใบหน้าเขายังมีสีเลือดอยู่ เขาและนักรบโถวเหยินวัยเยาว์หลายตนล้อมรอบนักรบโถวเหยินอีกตนที่ถือไม้เท้าเวทย์ พวกเขาที่รายล้อมเริ่มสวดภาวนา “เฮ้! เฮ้! เฮ้!”
“จงตื่นขึ้นเถิด! ท่านผู้วิเศษโถวเหยิน!” ฟิว โรสเซอร์คำรามดังกึกก้อง
“มอ~~~” ผู้วิเศษโถวเหยินคำรามเสียงต่ำ ทันใดนั้นเขาก็ยืนขึ้นและกระแทกไม้เท้าเวทย์ลงบนพื้น
ไอเวทย์สีเขียวกระเพื่อมออกไปทุกทิศทาง พืชพรรณต้นไม้ทุกชนิดที่สัมผัสเข้าก็กลายเป็นของเหลวสีดำ มีเพียงนักรบโถวเหยินเท่านั้นที่ไม่เป็นอะไรและตะโกนด้วยความตื่นเต้น ผู้วิเศษตนใหม่ปรากฏขึ้นแล้ว มันควรค่าแก่การเฉลิมฉลอง!
คนที่ต้องการจะกลายเป็นผู้วิเศษแห่งเผ่าโถวเหยินอย่างน้อยจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลาง เผ่าโถวเหยินนั้นยินดีที่นักรบโถวเหยินตนนี้ได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลางได้ในที่สุด เขาสามารถกลายเป็นผู้วิเศษของนักรบโถวเหยินได้อย่างเป็นทางการแล้ว
วิลเลียมเลิกคิ้ว “เวทย์พิษ ช่างเป็นการสืบทอดที่แปลกประหลาด! มันต้องเป็นพิษแน่ ไม่เช่นนั้นก็คงเป็นไฟ หรือไม่ก็เป็นคำสาป!”
เขาเห็นว่าฟิว โรสเซอร์ดูเหมือนว่าจะไม่มีความสุขมากนัก โดยธรรมชาติแล้ว เขาเข้าใจว่าทำไม หัวหน้าเผ่าทุกคนคาดหวังว่าจะมีผู้วิเศษ แต่เมื่อผู้วิเศษปรากฏขึ้น พวกเขาก็ดูเหมือนจะไม่มีความสุขมากนัก
เหตุผลคือผู้วิเศษเปรียบได้กับนักปราชญ์ของชนเผ่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาอาจจะใช้อำนาจบางอย่างกับผู้นำ
แน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็นผู้นำหรือผู้วิเศษ เป้าหมายของพวกเขาก็เป็นสิ่งเดียวกัน คือการพัฒนาเผ่าและทำงานอย่างหนักเพื่อมัน
เผ่าโถวเหยินทั้งเผ่าเป็นของวิลเลียม พวกเขาไม่มีสิทธิ์ใดๆอีกต่อไป พวกเขาแค่ต้องฝึกฝน, ในกำเนิดบุตร, ปกป้องชาวประมงที่ทะเลสาบสายรุ้ง, และทำให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้นกับอสูรที่ทำงานในเหมือง
โดยรวมแล้ว ชีวิตของพวกเขาก็ไม่ได้ถือว่าแย่
ไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อพวกเขาได้ยินว่าวิลเลียมจะทำการขยายเมืองรุ่งอรุณอีกครั้ง และอำนาจของเขาได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แผนการต่างๆที่พวกเขาวางไว้เพื่อต่อต้านวิลเลียมก็ถูกละทิ้งไป
ในตอนกลางวันนั้นพวกเขาทำงานอย่างหนัก ส่วนในตอนกลางคืนพวกเขาก็ทำงานเพื่อภรรยาของพวกเขาเช่นกัน จากนั้นก็ไม่อะไรที่ต้องทำอีก เนื่องจากไม่มีกลุ่มคนที่พวกเขาต้องต่อสู้
เมื่อพิธีเสร็จสิ้น ฟิว โรสเซอร์ก็นำผู้วิเศษคนใหม่มาพบวิลเลียม
ทั้งคู่คุกเข่าลงเมื่อวิลเลียมจ้องมองพวกเขา “เจ้าชื่ออะไร?”
“มาสเตอร์ โปรดเรียกข้าว่าวอลเทอร์!” ผู้วิเศษของนักรบเผ่าโถวเหยินเงยหน้ามองวิลเลียมด้วยความเคารพราวกับเป็นคำตอบของเขา
“ระดับมาสเตอร์?”
วิลเลียมตบไหล่เขาเบาๆ “หืม ไม่เลวนี่ พรุ่งนี้เราจะพาเจ้าไปหาช่างตีเหล็กในเมืองเพื่อสร้างอุปกรณ์ให้เจ้า”
“ขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่าน มาสเตอร์!” สีหน้าของวอลเทอร์เต็มไปด้วยความยินดี เขาเป็นผู้วิเศษ แต่เขาไม่ชอบเสื้อคลุมเวทย์และหมวกวิเศษ เขาชอบชุดเกราะที่กระฉับกระเฉง มันสะดวกสำหรับเขามากกว่า หากเขาไม่ชอบไม้คฑา เขาสามารถเปลี่ยนอาวุธได้
“ฟิว โรสเซอร์” วิลเลียมเรียกเขามาถาม “ชนเผ่าของเจ้าจุคนได้กี่คน?”
“ท่านพูดถึงจำนวนทหารที่สามารถต่อสู้ได้หรอครับท่านลอร์ด?” ฟิวโรสเซอร์รู้สึกตื่นเต้น ตั้งแต่ที่เขาย้ายออกมาจากเผ่า เขาได้สวมชุดเกราะที่น่าประทับใจ แต่ไม่มีโอกาสที่ได้ใช้มัน เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“ใช่ เราจะให้ภารกิจแก่เจ้า!”
“ท่านลอร์ดสามารถวางใจได้เลย เรายังมีทหาร 500 ตนที่เตรียมพร้อมอยู่ นี่คือกองทหารชั้นยอดของทหารที่ยอดที่สุด แค่อุปกรณ์ของพวกเขา…ไม่ได้ดีมากนัก…” ท้ายที่สุดแล้วฟิว โรสเซอร์ก็คือผู้นำ เขาก็ต้องเห็นแก่คนของเขาอยู่แล้ว
วิลเลียมพยักหน้า เขาไม่ได้คิดมาก “เราจะมอบชุดเกราะคุณภาพสูง 500 ชุดเป็นไง? แต่จงจำไว้ว่า เจ้าต้องใช้ต่อสู้เพื่อเราเท่านั้น เข้าใจหรือไม่?”
“ครับท่านลอร์ด!” ฟิว โรสเซอร์คุกเข่าลงบนพื้น มันแสดงให้เห็นถึงความภักดีอย่างแท้จริงต่อวิลเลียม
“ดีมาก เจ้าจะเป็นทัพหน้าของเรา หลังจากนี้เจ็ดวัน รุดหน้าไปทางใต้ เจ้าสามารถฆ่าหรือจับใครก็ตามที่ไม่เข้าร่วมกับเรา ไม่ว่าจะเป็นอสูรเวทย์หรือผู้คน เราต้องการสร้างถนนไปสู่มหาสมุทรในหนึ่งเดือน แต่เราก็ไม่ต้องการที่จะเห็นชาวเมืองได้ได้รับอันตราย เจ้าทำได้ไหม?”
วิลเลียมมองฟิว โรสเซอร์ด้วยสายตาที่ดูเหมือนเต็มไปด้วยความมั่นใจและยกย่อง
ในฐานะผู้นำของนักรบโถวเหยิน ฟิว โรสเซอร์รู้สึกราวกับได้รับความไว้วางใจ เขาจึงตบหน้าอกและตะโกนเสียงดัง “ท่านลอร์ดไม่จำเป็นต้องกังวล นักรบโถวเหยินจะมุ่งไปข้างหน้าด้วยความตั้งใจอย่างไม่ย่อท้อ จากทะเลสาบสายรุ้งไปยังมหาสมุทร แม้แต่วิญญาณศัตรูก็จะถูกสังหารด้วยขวานของข้า!”
“แค่ฆ่าพวกมันซะ เราไม่ต้องการเห็นวิญญาณของพวกมัน” มุมปากของวิลเลียมกระตุก
ฟิว โรสเซอร์กล่าวเสียงต่ำ “ครับมาสเตอร์ ข้าจะฆ่าวิญญาณพวกมันให้หมด!”
“…” วิลเลียมโบกมืออย่างช่วยไม่ได้และให้เขาไปได้
เขารู้สึกว่าเจ้าตัวเหลวแหลกคนนี้จะไม่นำผลลัพธ์ที่ดีกลับมายังไงก็ไม่รู้ นี่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจและหัวใจดุ่มๆด่อมๆ
“ฉันควรกลับไปให้เร็วที่สุด แล้วไปสนทนากับองค์หญิงเพื่อที่จะสามารถควบคุมโชคร้ายนี้ได้” วิลเลียมตัดสินใจอย่างมีความสุข เขาไม่ได้อ้อยอิ่ง ก่อนจะขี่ม้าออกจากที่แห่งนี้ไป
กล่าวได้ว่า NPC ในเมืองรุ่งอรุณนั้นไม่ได้โชคดีมากนัก ก่อนหน้านี้ พวกเขาทั้งหมดจะต้องตาย
ทั้งลอทเนอร์, อเล็กซ์, และคนที่เหลือนั้นมีค่าโชคเริ่มต้นเพียง 20 แต้มเท่านั้น
โอดอมไม่ได้ตายในเหมืองมิทริล ค่าโชคของเขาจึงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงมีค่าหัวแสนเหรียญติดอยู่บนหัวของเขาอยู่ดี คงไม่ได้ดีไปกว่านี้แล้ว
ส่วนโมเสสน่ะเหรอ?
ค่าโชคในปัจจุบันของเขาคือหนึ่ง เลวร้ายกว่าวิลเลียมเสียอีก หากเขาไม่เป็นจอมเวทย์ วิลเลียมคงไม่สนใจที่จะสร้างความสัมพันธ์กับเขา แล้วโมเสสก็ไม่ได้นำค่าโชคหน่วยเดียวออกไปจากเขาอีกด้วย นั่นล่ะคือค่าเฉลี่ยโชคของพวกเขา
โชคดีที่ความแตกต่างระหว่างสามกับสองไม่ได้กว้างมากนัก ตอนนี้เขาก็ไม่ได้แคร์อะไรมากนักหรอก…
ในเมืองที่น่าสมเพชเช่นนี้ วิลเลียมที่อยู่กับพวกเขาทั้งวันก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง การช่วยเหลือผู้อื่นไม่ได้เพิ่มค่าโชคของเขาสักนิดและมันก็ไร้ประโยชน์…
แต่ค่าโชคของแอนนี่นั้นสูงกว่าปกติ
หลังจากที่วิลเลียมเปลี่ยนแปลงชะตาของเจ้าหญิงแอนนี่ ค่าโชคของเธอก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอได้รับความสามารถติดตัวอีกครั้ง นี่สิคือโชคดีอย่างแท้จริง!
นี่เรียกได้ว่า?
เธอเป็นผู้เล่นที่โชคดีอย่างยิ่งยังไงล่ะ?
เนื่องจากเขาไม่สามารถทำอะไรได้อยู่แล้ว ดังนั้นในฐานะผู้เล่นที่มีสถิติค่าโชคเพียงสามแต้ม เขาจึงต้องเพิ่มมันอย่างแน่นอน
ระหว่างทางกลับเขาเห็นชาวประมงหลายคนเดินทางไปมา พวกเขาใช้รถม้าเพื่อขนปลาจำนวนมากกลับไปยังเมืองแห่งรุ่งอรุณ
เมื่อพวกเขาเห็นวิลเลียมพวกเขาทั้งหมดก็รีบลงจากรถม้าและทักทายเจ้านายของเมืองด้วยความเคารพ
ชาวประมงเหล่านี้เป็นคนของวิลเลียม
เขาเป็นคนที่สร้างถนนในป่า เขาเป็นคนที่พัฒนาทะเลสาบสายรุ้ง และยังเป็นผู้รับผิดชอบทหารที่อารักขาโดยรอบ
ชาวประมงมีหน้าที่จับปลาเท่านั้น หลังจากจับปลาได้แล้วทหารที่ท่าเรือจะทำการตรวจสอบ
ในแต่ละครั้ง ชาวประมงสามารถเก็บปลาที่จับได้ไว้ 10% นี่คือเงินเดือนของพวกเขา แต่หากจับปลาได้น้อยเกินไป พวกเขาจะได้รับการชดเชย
ท้ายที่สุดแล้ว ส่วนใหญ่ของชาวเมืองที่สามารถจับปลาได้เป็นทาสที่เปลี่ยนเป็นพลเมือง
พวกเขาไม่มีความต้องการสูง
วิลเลียมจัดรถม้าให้พวกเขาขนส่งปลา เขายังสร้างเรือและอวนปลาให้พวกเขาอีกด้วย หากชาวประมงสามารถหารายได้ได้ พวกเขาก็ไม่มีข้อร้องเรียนอันใด
ในอดีตทะเลสาบสายรุ้งไม่เคยมีการหาปลาที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน มีปลาจำนวนมากในทะเลสาบ ชาวประมงเหล่านี้สามารถทำกำไรได้ในระยะเวลาอันสั้น
แต่เพื่อที่จะดำเนินการพัฒนาต่อไป จำนวนของปลาก็ยังจำเป็นต้องมีอยู่ในทะเลสาบสายรุ้ง นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขากังวลในการพัฒนาทรัพยากรในทะเล
ขณะที่เขาพูดอยู่นั้น
วิลเลียมก็ได้เดินเข้าไปในสวนลอยฟ้าของแอนนี่ภายใต้สายตาที่เค็มไปด้วยความอิจฉาของอาร์เธอร์ ในตอนที่วิลเลียมปิดประตูนั้น
องครักษ์หลวงอาร์เธอร์รู้สึกราวกับชีวิตของเขาได้ก้าวเข้าสู่ความมืด…
ณ ตอนนี้
ในที่สุดวิลเลียมก็ได้เห็นยูนิคอร์น มันมีปีก เมื่อมันก้าวเดินจะมีสายรุ้งและแสงศักดิ์สิทธิ์เปล่งประกายออกมาจากร่างกาย!
แสงศักดิ์สิทธิ์อาบลงบนร่างของเขา ยูนิคอร์นยืนอยู่ข้างแอนนี่ในขณะที่มันจ้องไปที่วิลเลียม มันดูสับสนมาก
“ยูนิคอร์น?” ทันใดนั้นวิลเลียมก็เข้าใจว่าสิ่งมีชีวิตนี้คืออะไร เขาเคยเห็นสัตว์ลึกลับนี้แค่ในวีดีโอเท่านั้น เขายังรู้เกี่ยวกับยูนิคอร์นและพลังติดตัวของมันผ่านวีดีโออีกด้วย
ยูนิคอร์นนั้นหายากยิ่งกว่ามังกรเสียอีก
ค่าของสัตว์ลึกลับประเภทนี้จึงสูงยิ่งกว่าค่าของมังกรเสียอีก
แอนนี่ที่ยืนเท้าเปล่าพูดขึ้นมา “ใช่ ลูลู่ดูเหมือนจะสนใจในตัวท่านมาก ดังนั้นเธอจึงมาเพื่อเจอท่าน!”
“ลูลู่?” วิลเลียมถอดรองเท้าของเขาออก แต่ในขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไป ดวงตาสีขาวที่ไร้มลทินของยูนิคอร์นขยายกว้างขึ้นทันที มันมองตรงไปที่ขาของเขา
“โอ้ พี่ชาย! มีอะไรงั้นหรือ?” เจ้าชายดูไม่พอใจ พวกเขาทั้งคู่เป็นเอลฟ์ และแม้ว่าเขาจะเป็นครึ่งเอลฟ์ เท้าของเขาก็ไม่ได้เหม็น
“นี่มันบ้าอะไร! สายตานั่นหมายความว่ายังไง?” วิลเลียมพยายามจะลูบหัวยูนิคอร์น แต่ก่อนที่เขาจะได้สัมผัสมัน ยูนิคอร์นนั่นก็เอนหัวหลบและจามออกมา มันเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ
“…” วิลเลียมตกอยู่ในห้วงความคิด เขาสำรวจยูนิคอร์นและทำให้รู้ว่ามันเลเวลสูงกว่าเขาแค่เล็กน้อยเท่านั้น ถ้าให้พูดตามตรง พวกเขาทั้งคู่มีสายเลือดรีเจนดารี ถ้ามันมีทักษะแต่ไม่ได้ซ่อนตัว งั้นก็มาสู้กันเถอะ!
“อย่าใส่ใจเลยนะ ลูลู่ก็เป็นแบบนี้แหละ มันไม่ชอบให้คนอื่นนอกจากเรามาสัมผัส มันไม่ยอมแม้แต่จะให้คนอื่นเห็นตัว!” แอนนี่ยิ้ม “เราคิดว่ามีแค่ตาแบนด์เท่านั้นแหละที่เคยเห็นมัน”
วิลเลียมไม่ได้ให้ความสนใจไปที่ยูนิคอร์น แต่เขากลับถาม “เธอเป็นม้าตัวเมียหรอ?”
“ฟิ้ว!”
แสงสีขาวปัดผ่านวิลเลียม การโจมตีที่รวดเร็วทำให้เกิดลมแรงซึ่งทำให้ผมของเขาปลิวไปตามสายลม
วิลเลียมมุ่ยหน้าอย่างดูถูก เขารู้ดีว่าการโจมตีครั้งนี้ไม่โดนเป้าหมายของมัน…
แอนนี่โอ๋ยูนิคอร์น เธอทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะอธิบาย “ฉันแค่ตั้งชื่อของผู้หญิงให้ ยูนิคอร์นไม่มีเพศหรอก อีกอย่าง ลูลู่ไม่ใช่ม้านะ”
“ใช่แล้ว ข้าไม่ใช่ม้า ยูนิคอร์นผู้ยิ่งใหญ่จะไปเทียบกับม้าธรรมดาๆ ได้เยี่ยงไร?”
จู่ๆ
เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ยูนิคอร์นพูดออกมาเป็นภาษามนุษย์
แต่ที่น่าสนใจคือ ม้าขาวตัวนี้ไม่ได้เปิดปากของมัน…
วิลเลียมนิ่งไปพักหนึ่ง โชคดีที่เขาเคยมีประสบการณ์มากมายและรู้ว่าอสูรเวทย์เกือบทุกตัวที่มีสายเลือดรีเจนดารีมีความสามารถนี้
ดังนั้นเขาจึงเริ่มพูดเชิดชูยกย่อง “ใช่แล้วๆ เจ้าไม่ใช่ม้า เราคิดว่าเจ้าไม่มีความเกี่ยวข้องกับม้าเลย เจ้าดูแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง!”
ยูนิคอร์นค่อยๆ หรี่ตาของมันลง มันรู้สึกราวกับว่าเจ้าครึ่งเอลฟ์ตรงหน้ามันกำลังโกหก…
แต่มันไม่สามารถมองเข้าไปในความคิดของเขาได้ ช่างน่าชิงชังเหลือเกิน!
อีกอย่าง มันไม่เชื่อว่าชายคนนี้จะบริสุทธิ์ผุดผ่องและมีเมตตากรุณา แต่… มันก็ไม่สามารถใช้ความสามารถในการอ่านใจของมันได้
วิลเลียมขี้เกียจเกินกว่าที่จะอธิบายให้เจ้าม้าขาวฟัง มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ถ้ายูนิคอร์นตัวนี้จะไม่สนใจเขา สิ่งที่เขาต้องการคือการเพิ่มระดับความสัมพันธ์ของเขากับแอนนี่
เพียงแต่ในขณะที่เขากำลังจะเดินไปหาแอนนี่ บางอย่างก็เกิดขึ้น เขาบังเอิญไปโดนเข้าที่บั้นท้ายของยูนิคอร์น
นั่นทำให้เจ้ายูนิคอร์นโกรธอย่างไม่อาจควบคุมได้ มันยกขาหน้าทั้งสองขึ้นและพุ่งไปยังวิลเลียม
แต่แอนนี่ก็ก้าวเข้ามาระหว่างพวกเขา เธอดูไม่พอใจและพูดด้วยเสียงต่ำ “ลูลู่ อย่าสร้างปัญหา!”
เจ้ายูนิคอร์นทำเสียงฟึดฟัดและส่ายหัวของมันไปมา จากนั้นมันก็ปัดหางของมันไปทั่วส่วนที่โดนสัมผัส สุดท้ายมันก็ล่องหนหายตัวไป
“ฮึ่ม เราแค่โดนตัวมัน ไม่ใช่ว่าเนื้อมันจะหลุดออกมาสักหน่อย” วิลเลียมหัวเราะ เขารู้สึกว่าการได้สัมผัสยูนิคอร์นนั้นเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าการคุยกับแอนนี่เสียอีก
เขาไม่ได้รับข้อมูลอะไรมากมายจากการดูหน้าต่างสถานะ แต่สิ่งมีชีวิตในตำนานแบบนี้มีค่าความโชคดีสูงเป็นปกติอยู่แล้ว
เขาไม่สามารถยกเลิกผลลัพธ์เชิงลบที่ฟิว โรสเซอร์จะนำกลับมาได้ แต่บางทีผลลัพท์อาจออกมาตรงกันข้ามก็ได้
แน่นอนที่สุด ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความไม่แน่นอน
“แต่เราขอเลือกที่จะเชื่อว่ามันมีจริง เรายังไม่เคยพบคนที่ตายเพราะขุดหลุมศพของตัวเองเลย!” วิลเลียมและแอนนี่พยายามหาเรื่องคุย ที่สุดแล้วเขาก็ได้บรรลุเป้าหมายของเขาแล้ว อีกอย่างเขาก็ไม่ได้มีเรื่องที่คุยกันได้กับเจ้าหญิงคนนี้มากมายเช่นกัน
ไม่นานหลังจากนั้น แอนนี่ก็ได้รับคริสตัลเวทมนต์จำนวนหนึ่งและมองวิลเลียมจากไป สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเซอร์ไพรส์
หรือไม่ มันก็มีเหตุผลอื่นภายใต้สายตานั้น
เธอไม่อาจเข้าใจความตั้งใจของวิลเลียมในการมาที่นี่ได้
“หรือมันเป็นเพราะคำสัญญาของเขาในตอนนั้น?” แอนนี่พูดกับตัวเอง ในตอนนั้น เธอเพียงแค่ล้อเล่น คริสตัลเวทมนตร์ 999 ชิ้นไม่ได้มีค่ามากมายสำหรับเมืองแห่งรุ่งอรุณในปัจจุบัน
เธอรู้สึกซาบซึ้งขนาดที่ว่าไม่มีคำใดสามารถอธิบายความรู้สึกของเธอได้ เธอรู้สึกท่วมท้น…
ยูนิคอร์นปรากฏตัวอีกครั้ง และครั้งนี้มันออกมาอย่างเงียบๆ มันไม่สามารถเข้าใจเจตนาของวิลเลียมได้เช่นกัน โดยพื้นฐานแล้ว ยูนิคอร์นรู้สึกว่าครึ่งเอลฟ์ตนนี้แตกต่างจากเจ้าชายเอลฟ์ตนอื่น ๆ มาก
ในความมืดมิดของค่ำคืน
ที่แนวชายแดนของป่าแบล็กลีฟมีคนสามคนกำลังวิ่งอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาทุกคนปกคลุมไปด้วยเลือด สองในสามคนนี้มีท่าทางหวาดกลัวและดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
อัศวินที่ยังคงรักษาภาพลักษณ์ที่เปล่งประกายดึงเพื่อนของเขาไปด้วยและมุ่งมั่นวิ่งไปข้างหน้า
มันเหมือนกับว่าภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่กำลังไล่ตามพวกเขาอยู่
แต่ในป่าเก่าแก่นั้นมองไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเองที่อยู่ตรงหน้า ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเห็นสิ่งที่ไล่ตามพวกเขาอยู่ได้
แต่ถึงแม้พวกเขาจะได้เห็นเมืองแห่งรุ่งอรุณที่น่าตื่นตา พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าภัยคุกคามที่อยู่เบื้องหลังพวกเขานั้นได้ขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น
อัศวินผู้กล้าหาญหยุด เขาค่อยๆหันกลับมาและตะโกนบอกพวกที่เหลือ “ไปที่เมืองแห่งรุ่งอรุณ เร็วเข้า พวกมันไม่กล้าก้าวข้ามไปในเขต นอกจากนั้น ในเมืองยังมีป้อมปราการของวิหารแห่งแสงอยู่ ข้าจะรั้งพวกมันไว้ให้เอง”
“อย่าลืมบอกท่านแม่ของข้าว่าข้าตายอย่างมีเกียรติเหมือนกับท่านพ่อ!”
“แลนเซล็อต… เจ้าเสียสติไปแล้วหรอ? นี่มันบ้ามากๆ เจ้าไม่สามารถหยุดพวกมันได้หรอก” หนึ่งในอัศวินหยุดและตะคอก แต่เขาไม่ได้ยินเสียงตอบใดๆ เขากำหมัดด้วยความประหม่า จากนั้นเขาก็หันกลับไปและวิ่งต่อด้วยความเศร้า
เขารู้
พวกเขาทั้งสามคนรู้
ต้องมีใครบางคนรั้งพวกมันไว้
ถ้าไม่มีใครยอมตาย พวกเขาหมดทั้งสามคนก็ต้องตาย…
อัศวินอีกสองคนตอนนี้เต็มไปด้วยความกลัว พวกเขายังเกลียดตัวเองที่ไม่กล้าหาญพอ
พวกเขาทรยศกฎของอัศวิน!
พวกเขาไม่อาจเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งโดยไร้ซึ่งความกลัวได้ พวกเขาทั้งไม่กล้าหาญและไม่ภักดี เพราะพวกเขากลัวความตาย
พวกเขาเป็นอัศวินที่วิหารภาคภูมิใจ แต่เมื่อศัตรูได้ทำการสังหารสหายไปหลายสิบคน
พวกเขาก็คิดแต่ว่าจะหนีออกมายังไง หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความกลัว
แลนเซล็อตไม่ได้ว่ากล่าวอะไรที่สหายของเขาทิ้งทุกอย่างไว้และวิ่งหนีไป แม้แต่ในกลุ่มอัศวินเอง หลายคนก็กลัวที่จะตาย แต่พวกเขาทำมามากพอแล้ว
“ข้า แลนเซล็อตแห่งวิหารอัศวิน จะต่อสู้กับความมืดมิดให้สมเกียรติ!”
เมื่อพูดคำนี้
แลนเซล็อตก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เขากำดาบของเขาแน่นด้วยมือสองข้าง ก่อนจะพุ่งไปในความมืดพร้อมสร้างแสงสว่างสุดท้าย!
“อา! ในที่สุดท่านก็อนุญาตให้เขาออกมาจากเมืองแห่งรุ่งอรุณได้” เสียงแปลกๆที่แทบจะได้ยินดังมาจากเงามืดราวกับมีบางอย่างกำลังเคลื่อนเข้ามา
ออร์คขาวปรากฏตัวขึ้น ก่อนจะค่อยๆลดความเร็วลง เขามีรูปร่างที่ใหญ่โตแต่ว่องไว
เขาเหลือบมองไปยังคนที่ขวางทางแต่ไม่ได้พุ่งเข้าโจมตี เขากล่าวต่อไปโดยไม่สนใจคนผู้นั้น “ลอร์ดวิลเลียมนั่นช่างน่ารังเกียจ ข้าล่ะอยากจะฆ่าเขาเสียจริง นอกจากนี้ยังมีรองเจ้าเมืองโอดอม เงินค่าหัวของเขานั้นไม่น้อยเลย”
“แท้จริงแล้วในฐานะครึ่งเอลฟ์ ข้าก็ไม่ได้ยินดีเมื่อเห็นเขานักหรอก” ครึ่งเอลฟ์ตนหนึ่งค่อยๆเดินออกมาจากเงามืด เขามีรอยแผลเป็นสามรอยบนใบหน้า และดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโหดร้าย
จากนั้น
ก็มีอีกสามร่างเดินออกมาอยู่ด้านหลังของเขา
หนึ่งในนั้นคือชายลึกลับสวมเสื้อคลุมเวทย์สีดำขลับ เขาค่อนข้างเงียบขรึม
อีกคนเป็นนักรบที่ร่างกายปกคลุมไปด้วยเกล็ดหนาทึบ เขาแลบลิ้นยาวตวัดเลือดที่อยู่บนใบหน้าของตนราวกับถูกครอบงำ
คนสุดท้ายเป็นนักรบมนุษย์ที่ถูกเผาด้วยเปลวไฟสีดำ
เพียงแค่ห้าคน
พวกเขาก็ได้ทำการสังการอัศวินศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่ไปเรียบร้อย
พวกเขาเป็นนักล่าค่าหัวที่เดินทางไปในโลกแห่งเงามืด…
พวกเขาไม่ได้แบ่งแยกเชื้อชาติหรือเพศ ในดินแดนอันมืดมิดแห่งนี้มีเพียงแต่คนที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้รับความเคารพ
เป้าหมายงานของพวกเขาคือสังหารใครก็ตามที่สามารถฆ่าได้
คนเหล่านี้ต่างไปจากทหารรับจ้างอย่างมาก ทหารรับจ้างจะไม่กล้าฝ่าฝืนกฏหมายแม้เพียงนิด กระทั่งเมื่อรับภารกิจลอบสังหาร เป้าหมายของพวกเขาก็มักจะเป็นอาชญากร แต่นักล่าค่าหัวจะไม่สนใจว่าใครที่เป็นเป้าหมายของพวกเขา พวกเขาไม่ได้สนใจว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำนั้นชอบธรรมหรือชั่วช้า
แลนซ์ล็อตเห็นคนเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้นทีละคนๆ เขาจับดาบยาวที่ลุกโชนไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ แล้ววาดมันไปข้างหน้า
สายตาของเขามั่นคงและพร้อมที่จะต่อสู้
เขาไม่ได้เกรงกลัว หากทั้งห้าคนนั่นต้องการจะผ่านเขาไป ก็คงต้องข้ามศพเขาไปก่อน
“หากพวกเจ้าไม่โจมตี ข้าจะเริ่มแล้วนะ แม้ว่ากระดูกของเขาจะแข็งไปสักหน่อย แต่ก็ยังถือว่าบอบบางอยู่ดี” คนที่เป็นมนุษย์หรี่ตา ดินใต้ฝ่าเท้าเขากระเพื่อมขณะที่เขาพุ่งตัวออกไปราวกับปืนใหญ่
แลนซ์ล็อตไม่แพ้สิ่งมีชีวิตใดในแง่ของความเร็ว เขาเบี่ยงร่างออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหวดฟันเข้าไปยังทิศทางหนึ่งเห็นเพียงประกายไฟในอากาศ
ในขณะเดียวกัน เกล็ดสีเขียวเข้มก็ถูกซัดผ่านอากาศเข้ามา
บาดแผลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของแลนซ์ล็อตและเลือดก็เริ่มไหลซึมออกมา ใบหน้าของเขาบาดเจ็บ เขาไม่สามารถใช้พลังการต่อสู้เพื่อปกป้องร่างกายของเขาได้ พลังงานการต่อสู้ใด ๆ ก็ตามที่เขามีอยู่ในร่างกายถูกผสานลงไปยังอาวุธ เขามุ่งที่จะทำความเสียหายให้กับศัตรูของเขามากที่สุด
“ตาย!” สัตว์ประหลาดที่เต็มไปด้วยเกล็ดร้องคำราม มันเป็นการโจมตีอย่างเฉียบพลันขณะที่มันแยกเขี้ยวอันแหลมคมและพยายามที่จะเข้ามากัดแลนซ์ล็อต
แต่อัศวินตรงหน้ากลับไม่ได้ใช้ดาบ เขาต่อยเข้าที่ฟันของฝ่ายตรงข้ามแทน
แลนซ์ล็อตไม่ได้สนใจควาเจ็บที่มือ เขาเตะไปที่สัตว์ประหลาดที่เต็มไปด้วยเกล็ด แต่กลับไม่สามารถต้านทานพลังอันมหาศาลของมันได้ การโจมตีไม่สามารถทำให้สัตว์ประหลาดถอยไปได้ เนื่องจากขาของมันปักลงบนพื้นดินอย่างมั่นคง มันตอบโต้และใช้กรงเล็บอันแหลมคมแทงทะลุเกราะของแลนสล็อตล็อตผ่านร่างกายของเขา
“เพื่อศักดิ์ศรี!” แลนซ์ล็อตตะโกนอย่างมุทะลุ เขารวบรวมพลังงานการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ก่อนจะพยายามจะเอาสัตว์ประหลาดไปกับเขาด้วย
แต่ทว่า…
ไม่ว่าใครก็สามารถเห็นได้ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอที่จะฆ่าสัตว์ประหลาดตนนี้ได้
แต่ทันใดนั้น
แสงไฟสีน้ำเงินก็ปรากฏขึ้นและเสียงคมของดาบได้ทำลายความเงียบงันใน ณ ที่นั้น ปรากฏการณ์นี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายแยกจากกันในทันที และยังได้สร้างร่องรอยขนาดใหญ่ไว้บนพื้นดินอีกด้วย
นักล่าค่าหัวทั้งห้ามองไปยังทิศทางเดียวกันพร้อมกัน สายตาของเขาเต็มไปด้วยความระมัดระวัง…
ผู้มาเยือนคือใครกัน?
ก็เป็นแค่เพียงคนที่ไม่สามารถนอนหลับได้ในเวลากลางคืนและคอยตรวจตราดินแดนของเขาด้วยตัวเอง
ไม่ใช่เพราะเหตุใด
แต่เป็นเพราะว่าเมื่อวิลเลียมเห็นดินแดนและเมืองของเขา เขาก็คิดถึงวันที่ดีในอนาคต เขารู้สึกมีความสุขมาก
บังเอิญว่ามีผลประโยชน์ที่ไม่คาดคิดจากการตรวจตราในครั้งนี้
“บังเอิญอะไรเช่นนี้! นักล่าค่าหัวทั้งห้า แล้วทั้งหมดยังอยู่ในระดับอีปิคอีก ทำไมพวกเขาถึงมารบกวนฉันกันล่ะ?” วิลเลียมรู้สึกเสียใจที่เขายิงลูกธนูออกไปจริงๆ
เขาไม่ได้นำม้วนกระดาษสื่อสารมาด้วยในตอนที่เขาตื่นขึ้นเพราะนอนไม่หลับ
ตอนนี้ถึงแม้ว่าเขาจะตะโกนก็ไม่มีใครมาช่วยได้อีกแล้ว มีเพียงกองกำลังลาดตระเวนนอกเมืองรุ่งอรุณยามค่ำคืนไม่กี่คนเท่านั้น นอกจากนี้พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่อีกด้วย …
โชคดีที่วิลเลียมเก่งด้านการแสดงและการต่อสู้ก็เหมาะกับเขามาก เขาไม่กลัว เขากระโดดลงมาจากต้นไม้และเชิดหน้าขึ้นขณะที่เดินไป สีหน้าของเขาดูสับสน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวว่า “ตอนกลางดึกเช่นนี้ ท่านไม่ได้ฝึกฝนพลังการต่อสู้ ไม่ไปหาหญิงสาว ท่านกำลังตรวจตราในนามของท่านลอร์ดอยู่หรอกเหรอ?”
“ท่านลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณ?” นักล่าค่าหัวทั้งห้าตกตะลึง พวกเขาไม่เพียงเต็มไปด้วยความระมัดระวัง แต่ยังเต็มไปด้วยความโลภ
“ท่านชื่ออะไร?” วิลเลียมไม่ได้สนใจทั้งห้าคนนั้น เขามองไปยังอัศวินศักดิ์สิทธิ์ผู้โด่งดัง แลนซ์ล็อต!
ถูกต้องแล้ว
หลังจากหน้าต่างข้อมูลของเขา วิลเลียมพบว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดาเลย ในอนาคตเขาจะเป็นหัวหน้าของเหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์และในไม่ช้าแลนซ์ล็อตก็จะกลายเป็นไอดอลของผู้คน
โดยเฉพาะ เขานั้นจัดว่าเป็นมาตรฐานของเหล่าอัศวินทั้งหมด
สุภาพ, ซื่อสัตย์, เห็นอกเห็นใจ, กล้าหาญ, ยุติธรรม, เสียสละ, มีสง่าราศีและมีจิตวิญญาณ!
เขาไม่มีความกลัวต่อหน้าศัตรูที่แข็งแกร่ง เขาเป็นคนที่กล้าหาญและภักดี เป็นคนที่อุทิศตนและชอบธรรม เขามีมโนธรรมชัดเจนและยอมตายกว่าที่จะยอมแพ้ เขาปกป้องคนอ่อนแอและทำตามกฎเกณฑ์!
ฉันสัญญาว่าจะปฏิบัติต่อผู้อ่อนแอเป็นอย่างดี
ฉันสัญญาว่าจะต่อต้านความรุนแรงด้วยความกล้าหาญ
ฉันสัญญาว่าจะต่อสู้กับความเลวร้ายทุกๆอย่าง
ฉันสัญญาว่าจะต่อสู้เพื่อปกป้อง
ฉันสัญญาว่าจะช่วยเหลือทุกคนที่ขอความช่วยเหลือ
ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายภรรยา
ฉันสัญญาว่าจะช่วยเพื่อนอัศวินของฉัน
ฉันสัญญาว่าจะปฏิบัติต่อเพื่อนด้วยความจริงใจ
ฉันสัญญาว่าจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะตายและไม่หวาดกลัวต่อความตาย
มันง่ายมาก
อัศวินคนนี้บริสุทธิ์มาก!
เขาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ
นอกจากนี้เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์กับราชินีคนใด เขารักษาวินัยของอัศวินจนตัวตาย
ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นคู่รักในฝันของผู้เล่นหญิงจำนวนมาก พวกเธอฝันถึงเขา พวกเขาตะโกนและบอกทุกคนว่าเขาเป็นมาตรฐานสำหรับคู่รักในอนาคตของพวกเธอ…
“แต่เขาจะมีจุดจบอย่างไรในสถานการณ์ที่ร้ายแรงเช่นนี้? ฉันต้องช่วยเขา ถ้าไม่ใช่เพราะ…” วิลเลียมคิดเรื่องนี้คร่าวๆ ก่อนจะเข้าใจ มันคือปรากฏการณ์บัตเตอร์ฟลาย เอฟเฟ็กต์!
“แลนซ์ล็อตแห่งอัศวินศักดิ์สิทธิ์” อัศวินที่คุกเข่าอยู่บนพื้นตอบอย่างอ่อนแรง เขาไม่ได้สลบไปเพราะความเชื่อในใจของเขาไม่ยอมให้เขาทำ
เขาไม่สามารถดูลอร์ดของเมืองแห่งรุ่งอรุณต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีจากศัตรูของเขา
วิลเลียมมองเขา ก่อนจะถอนหายใจ อัศวินระดับกลางที่มีสายเลือดระดับรีเจนดารีมีเลเวลเพียง 41 เท่านั้น เขาเพิ่งก้าวไปถึงระดับกลางเท่านั้น การที่ถูกล้อมรอบไปด้วยห้านักรบระดับอีปิคก็เหมือนถูกรังแก
“สามคนเลเวล 49 และมีสองคนเลเวล 50 ค่อนข้างโหดร้ายเลยทีเดียว” วิลเลียมยังอยู่ที่เลเวล 46 มันไม่ใช่ว่าเขาใช้เวลานานในการก้าวไปข้างหน้า เขาแค่ต้องการประสบการณ์อีกมากมายในการเพิ่มเลเวล!
ทันใดนั้นวิลเลียมก็หัวเราะ “งั้นพวกเจ้าก็เข้ามาสิ!”
นักล่าค่าหัวห้าคนก้าวออกมาในเวลาเดียวกัน
พวกเขาไม่กลัวท่านลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณ วิลเลียมไม่ได้มีความสำเร็จในการต่อสู้เดี่ยวที่โดดเด่น
แต่พวกเขากลัวเหล่าองครักษ์เอลฟ์ที่ไม่เคยห่างกายวิลเลียมรวมถึงองครักษ์เอลฟ์อย่างลอทเนอร์ที่คอยปกป้องเขาอยู่เสมอ
“ไม่เข้ามางั้นหรอ? ฉันจะเริ่มเอง!” เมื่อวิลเลียมพูดเสร็จเขาก็ยกมือขึ้นแล้วยิงศรธนูแสง ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้ตอบโต้ มันก็เจาะทะลุหน้าอกของสัตว์ประหลาดที่เต็มไปด้วยเกล็ดเสียแล้ว
[แสงแห่งรุ่งอรุณ : สำหรับทักษะพลังการต่อสู้บางอย่างมันสามารถเพิ่มพลังงานการต่อสู้ขึ้นได้ 50% , เพิ่มพลังโจมตีเป็น 250% และเพิ่มความเสียหายสายฟ้า 230 หน่วย เวลาคูลดาวน์ 23 นาที]
ทักษะที่บ้าคลั่งนี้ทำให้เขาสามารถเสริมกำลังการยิงธรรมดาและฝ่าแนวป้องกันได้
การระเบิดที่รุนแรงได้รับการจัดการแล้ว!
แต่ไม่หยุดเพียงแค่นั้น
ยังมีการโจมอย่างฉับพลันด้วยจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์!
วิลเลียมเดินข้ามผ่านช่องว่าง แล้วมาถึงยังด้านหน้าของสัตว์ประหลาด ก่อนที่มันจะหนีไปได้…
เขาแทงสัตว์ประหลาดด้วยดาบแห่งสายฟ้าและดาบสั้นอาบพิษพร้อมกัน!
มันถึงแก่ความตายทันที
มันเป็นพลังที่อธิบายไม่ได้
มีหลุมขนาดใหญ่ปรากฎขึ้นบนร่างกายของสัตว์ประหลาดที่เต็มไปด้วยเกล็ด อวัยวะของมันถูกฉีกออก เลือดพุ่งกระฉูดออกจากร่างกายของมัน
จากนั้นไม่ถึงสองวินาที
วิลเลียมผลักศพไร้ชีวิตออกไปและมองไปยังคนที่เหลือ รูปลักษณ์ของเขาเป็นหนึ่งในความอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก
“แข็งแกร่งมาก?” นักล่าค่าหัวที่เหลืออีกสี่คนกลืนน้ำลาย
ลอร์ดแห่งเมืองหรี่ตา แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมรับว่าเขาได้ใช้กลอุบายของเขาหมดแล้ว หากพวกเขาต่อสู้กับเขาจริงๆ แน่นอนว่าเขาเองก็ต้องวิ่งหนี!
“ตายแล้ว?” นักล่าค่าหัวที่เหลืออีกสี่คนอดที่จะกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้
ครึ่งเอลฟ์ที่มีรอยแผลเป็นกลัวจนตัวแข็งและพึมพำออกมา “นั่นคือลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณหรือ? เขาทรงพลังขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“นี่มันไม่ดีเลย ถ้าเขาสามารถฆ่าผู้ติดตามมังกรหนังหนานั่นง่ายๆ ขนาดนี้ เขาก็สามารถฆ่าพวกเราได้เหมือนกัน!” ชายลึกลับและเงียบขรึมในชุดคลุมสีดำตัดสินใจที่จะไม่สู้ แม้ว่าเขาจะมีทักษะในการต่อสู้ระยะประชิด เขาก็ยังไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ
นักรบมนุษย์ที่ตัวลุกเป็นไฟด้วยเปลวไฟสีดำได้ปลดปล่อยพลังการต่อสู้บางส่วนออกจากร่างกายของเขา เขาส่งเสียงฟึดฟัดออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ อย่างไรก็ตามดวงตาของเขาแสดงให้เห็นถึงความระมัดระวัง
มีเพียงออร์คขาวเท่านั้นที่จ้องมองวิลเลียมอย่างดุร้ายราวกับว่าเขาต้องการจะฆ่าวิลเลียม
แต่คำพูดประโยคต่อมาของวิลเลียมทำให้พวกเขาต้องเซไป
“โดรอน ครึ่งเอลฟ์แห่งความมืด, คาซ่า จอมเวทย์แห่งความมืด, อดอล์ฟ นักรบปีศาจ และออร์คขาว… ออสตัน ใครยุยงให้พวกเจ้าทุกคนมาที่เมืองของเรา?”
วิลเลียมชักทั้งดาบยาวและดาบสั้นออกมา เขาเยื้องย่างทีละก้าวในขณะที่เดินเข้าไปหาพวกเขา เขาดูน่าเกรงกลัวอย่างมาก
เขาสวมชุดอุปกรณ์สายฟ้าสีทองที่พลุ่งพล่านไปด้วยพลังแห่งการต่อสู้สายฟ้า ประกายไฟฟ้าซึ่งเป็นศัตรูของสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดถูกปล่อยออกจากชุดอุปกรณ์อย่างต่อเนื่อง
อาวุธระดับทองเข้มสองชิ้นของเขาดูยอดเยี่ยม ดาบแห่งสายฟ้าเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม
ดาบสั้นอาบยาพิษสีเขียวเข้มเต็มไปด้วยแสงประหลาด มันให้ความรู้สึกเหมือนงูพิษที่กำลังจะโจมตี
ทั้งสี่คนตัวสั่น นี่มันน่ากลัวเกินไป อุปกรณ์ของศัตรูก็ทรงพลัง แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขากลัวที่สุดก็คือการที่วิลเลียมรู้จักชื่อของพวกเขา สำหรับพวกเขาแล้ว มันน่ากลัวมาก…
ทำไมพวกเขาถึงมาเป็นนักล่าฆ่าหัว?
พวกเขาไม่ได้ทำเพื่อเพิ่มความสามารถของพวกเขาหรอ?
แต่เมื่อพวกเขาเหลือบไปที่วิลเลียม…
“ชุดเกราะทั้งตัวเขาเต็มไปด้วยกลิ่นสาบของผงทอง ช่างน่ารังเกียจจริงๆ!”
“ฮึ่ม ข้าล่ะเกลียดศัตรูประเภทนี้!” แม้ว่าเขาจะใช้อาวุธระดับทองเข้ม แต่เขาก็มีชุดเกราะที่น่าเกรงขาม เขาถอยหลังกลับอีกครั้งและพูดโพล่งออกไปว่า “วันนี้ข้าจะปล่อยเมืองแห่งรุ่งอรุณของเจ้าไปก่อน อย่าบังอาจที่จะต่อต้านพวกเรา ถ้าเจ้าทำ เราจะ… แค่ก… เจ้าจะต้องตาย!”
นักล่าค่าหัวคนอื่นๆ พยักหน้าอย่างเห็นด้วยและทั้งหมดก็หายเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว
วิลเลียมรู้สึกโล่งใจมากที่เห็นพวกเขาสี่คนจากไป เขาแค่บลัฟพวกเขา หากพวกเขาโจมตีเขาจริงๆ เขาอาจไม่สามารถเอาชนะพวกนั้นได้
เขาหันหน้าไปมองแลนเซล็อต “พวกเขาไปแล้ว เจ้าสามารถยืนขึ้นเองได้หรือไม่?”
“ครับ!” แลนซ์ล็อตที่คุกเข่าอยู่พยักหน้าและลุกขึ้นยืนในทันที…
แต่ทันทีที่ยืนนั้นเอง
แลนซ์ล็อตก็หมดสติวูบไป
อัศวินศักดิ์สิทธิ์คนนี้ถูกฝึกฝนมาในด้านพลังการต่อสู้กำลังประสบกับสภาวะขาดเลือดในสมอง
เขาหมดสติไปอีกครั้ง
“บ้าเอ้ย! ตอนนี้เลยฉันต้องทำให้เขาฟื้นขึ้นมา”
วิลเลียมคว้าข้อศอกของแลนซ์ล็อตด้วยมือขวา ขณะที่เขาลากผู้ติดตามมังกรด้วยมือซ้าย เขาพาทั้งสองคนเข้าไปในเมือง
[ภารกิจสำเร็จ: คุณได้สังหารนักล่าค่าหัว ‘ผู้ติดตามมังกรคลั่ง’]
[ความสำเร็จของภารกิจ: 73%]
[รางวัล: คุณจะได้รับร่างกายอันอบอุ่นของเขา]
[รางวัล: ค่าประสบการณ์ 56,300 หน่วย]
[คำแนะนำ: ผู้ติดตามมังกรคลั่งเป็นนักโทษหลบหนี คุณอาจเลือกที่จะแลกเปลี่ยนเขากับรางวัล]
“การฆ่า NPC ระดับอีปิคที่เลเวลเหนือกว่าฉันจะต้องได้รับค่าประสบการณ์จำนวนมากแน่ๆ ฉันไม่ต้องการเหรียญทอง การแลกหัวของเขากับรางวัลมันไม่คุ้มค่าเอาซะเลย เกล็ดบนร่างของเขาน่าจะมีประโยชน์มากกว่า…” วิลเลียมจ้องไปที่ผู้ติดตามมังกร เห็นได้ชัดว่าผู้ติดตามมังกรเป็นแค่คนปัญญาอ่อนคนหนึ่ง
ทำไมน่ะหรอ?
มันมีหลายวิธีที่สามารถสร้างผู้ติดตามมังกรได้
วิธีที่เสถียรที่สุดคือการใช้เวทมนตร์โดยการให้ผู้วิเศษอาบ NPC ด้วยเลือดมังกร มันไม่มีผลข้างเคียงมากนักและสามารถรักษา DNA ของมนุษย์และพลังการต่อสู้ไว้ได้ นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จะได้รับเสียงกระซิบของมังกรอีกด้วย
มันธรรมดามาก
ผู้ติดตามมังกรประเภทนี้เลเวลต่ำกว่าสาวกมังกรแค่ระดับเดียว
มีเกณฑ์และข้อจำกัดที่เข้มงวดสำหรับทั้งนักเวทย์และนักรบที่จะได้ชุบเลือดมังกร เสียงกระซิบของมังกรที่ได้รับจากกระบวนการนี้จะไม่ทรงพลังเท่าไหร่
วิธีที่สองเป็นการทำให้เลือดมังกรบริสุทธิ์โดยผู้วิเศษ เลือดที่บริสุทธิ์จะถูกดื่มโดยบุคคล มันจะช่วยให้คนๆนั้นสามารถครอบครองร่างที่ทรงพลังของผู้ติดตามมังกรได้ เกล็ดอาจขึ้นบนร่างกาย พลังการต่อสู้ของคนๆนั้นจะถูกเก็บรักษาไว้ในกระบวนการ
ส่วนสำหรับวิธีที่สาม…
มันเป็นวิธีการที่เป็นเหมือนกับคนโง่ผู้โชคดี
เขาคงจะได้อาบร่างในเลือดมังกรและดื่มอีกสักสองสามจิบ ดังนั้น DNA ในร่างกายของเขาจึงแตกสลายหลังจากถูกรุกรานโดยเลือดมังกร โชคดีที่เขามีความมุ่งมั่นเข้มแข็งและอดทนต่อการเปลี่ยนแปลงที่เจ็บปวด อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นเหตุที่เขากลายเป็นคนปัญญาอ่อน
เขากลายเป็นมอนสเตอร์ที่มีเกล็ดมังกร…
ด้วยเหตุผลบางอย่าง
ประตูเมืองก็ถูกเปิดไว้อยู่แล้ว
อัศวินศักดิ์สิทธิ์จากวิหารแห่งแสงกลุ่มหนึ่งวิ่งออกจากเมือง
กลุ่มทหารที่เป็นสมาชิกของเมืองแห่งรุ่งอรุณก็ติดตามออกมาอย่างใกล้ชิดเพื่อให้การสนับสนุน
ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นใกล้กับเมืองแห่งรุ่งอรุณมาก มันจึงถูกมองว่าเป็นภัยคุกคาม
แต่ก่อนที่พวกเขาจะเดินออกไปไกล หลายคนได้เห็นร่างหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาที่ประตูเมือง อัศวินศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองที่หนีไปก่อนหน้านี้อีกครั้งก็ต้องตกใจ พวกเขาต้องการลดดาบลง แต่อัศวินวัยกลางคนหยุดพวกเขาไว้
ผู้ส่งสารของวิหารประหลาดใจ ก่อนจะรีบก้มหัวทำความเคารพและพูด “ท่านลอร์ด ทำไมท่านถึงอยู่ที่นอกเมืองได้?”
“เรานอนไม่หลับเราก็เลยไปเดินเล่น แต่ระหว่างทาง เราก็ได้ช่วยชีวิตคนๆ หนึ่งไว้และสังหารนักล่าค่าหัวไปคนหนึ่ง แต่เราไม่ได้คาดคิดว่าเราจะไปเจอเข้ากับนักล่าค่าหัวระดับกลางจำนวนมากเข้าใกล้ๆนี้…” วิลเลียมถอนหายใจอย่างไม่ไยดี เขาเริ่มรู้สึกง่วงนอนขึ้นมาหลังจากการเดินเล่น
“พาตัวเขาไป เร็วๆ เข้าสิ บาทหลวง…บาทหลวง…” อัศวินวัยกลางคนรีบออกคำสั่ง เขาเป็นผู้ส่งสารแห่งวิหารจากเมืองรุ่งอรุณ อาชีพของเขาคืออัศวินศักดิ์สิทธิ์
“ขอบคุณท่านลอร์ดที่ช่วยพวกเราไว้!” อัศวินสองคนที่หนีออกมารีบแสดงความสำนึกคุณ
ถูกแล้วล่ะ…
นักล่าฆ่าหัวมีหลากหลายเลเวล ทุกเลเวลจะถูกจัดลำดับเป็น 1-9 ดาว
นักล่าค่าหัวทั้งห้าอยู่ที่ระดับกลางด้วยเจ็ดดาว พวกเขาทรงพลังอย่างมาก
พวกเขาเป็นนักล่าค่าหัวเพียงไม่กี่คนในฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปรีเจนดารีแห่งนี้ อย่างไรก็ตามพวกเขาจะกลายเป็นนักล่าค่าหัวระดับเก้าดาวหลังจากการเปิดการทดสอบเบต้าของเกม
เหล่าอัศวินปล่อยให้จินตนาการของพวกเขาโลดแล่น นักล่าค่าหัวทั้งห้าที่สามารถสังหารอัศวินศักดิ์สิทธิ์เป็นจำนวนมากได้ แต่หนึ่งในนั้นกลับถูกสังหารโดยลอร์ด และนักล่าค่าหัวอีกสี่คนที่เหลือก็หนีไปด้วยความกลัว นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพลังอำนาจของท่านลอร์ด
“พลังของท่านลอร์ด… ช่างน่าเหลือเชื่อ” ผู้ส่งสารแห่งวิหารเต็มไปด้วยความชื่นชมที่มีต่อวิลเลียมสำหรับการช่วยเหลือพวกเขาไว้
เนื่องจากเขาต้องรักษาบาดแผล เขาจึงไม่เสียเวลาอีกต่อไปและจากไปด้วยความรวดเร็ว
วิลเลียมพยักหน้าอย่างไม่ไยดีและมองไปยังลอทเนอร์และคนอื่นๆ ที่เดินเข้ามาหาเขาอย่างเร่งรีบ เขาไล่อัศวินศักดิ์สิทธิ์และบอกพวกเขาให้มาคุยกันอีกทีในวันพรุ่งนี้
แล้วแลนเซล็อตล่ะ?
เขาแค่ช่วยแลนเซล็อตเพราะสถานการณ์พาไปก็เท่านั้น
เขาไม่ได้วาดฝันว่าแลนเซล็อตจะมาเป็นผู้ติดตามของเขาแต่อย่างใด…
เพราะแลนเซล็อตเป็นผู้ติดตามที่ศรัทธาในวิหารแห่งแสง และเขายึดถือในเกียรติของอัศวิน
เขาทำได้แค่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับแลนเซล็อตเท่านั้น ในอนาคต เขาอาจต้องการความช่วยเหลือจากแลนเซล็อต
แต่เขาต้องแน่ใจว่าคำร้องขอนั้นไม่ขัดต่อมาตรฐานของอัศวิน
ไม่อย่างนั้น แลนเซล็อตก็จะไม่มีทางยอมรับคำขอดังกล่าว และความสัมพันธ์ของพวกเขาก็อาจจะเปลี่ยนจากหวานเป็นเปรี้ยวแทน
“อัศวินศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ไปทำอะไรกันมา? ทำไมถึงมีการตายเกิดขึ้นมากขนาดนี้?” วิลเลียมครุ่นคิด บางทีอาจมีบางอย่างเกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียงโดยที่เขาไม่รู้ตัว
เช้าวันใหม่ก็มาถึง
แลนเซล็อตตื่นแต่เช้าเพื่อไปเยี่ยมวิลเลียม เขาต้องการไปขอบคุณท่านลอร์ดที่ช่วยชีวิตของเขาไว้โดยเฉพาะ
เขาจะไม่กล่าวถึงเรื่องอื่นๆ
ค่าความสัมพันธ์ของแลนเซล็อตที่มีต่อวิลเลียมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วไปถึง 600 หน่วย พวกเขาเป็นสหายที่ดีต่อกัน
เริ่มแรก วิลเลียมต้องการรู้ถึงบทสนทนาของผู้ส่งสารในวิหาร เขาต้องการรู้ว่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์กำลังทำอะไรอยู่ใกล้ๆเมืองแห่งรุ่งอรุณ
ทำไมนักล่าค่าหัวหลายคนถึงมาที่นี่กัน? พวกเขาเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อเมืองรุ่งอรุณเป็นอย่างมาก
แลนเซล็อตลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่เพื่อความปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัยในเมืองรุ่งอรุณ เขาจึงยอมเปิดเผยออกมาว่ามีถ้ำปีศาจอยู่ใกล้ที่แห่งนี้ และแท่นบูชาแห่งอเวจีอยู่ภายในนั้น
ในขณะที่เขาฟังข้อมูลใหม่
วิลเลียมก็เริ่มเป็นกังวล
ในชีวิตก่อนเขาไม่เคยรับรู้ข้อมูลนี้มาก่อนเลย และไม่เคยได้ยินเรื่องพรรณนี้ด้วย
ถ้ำปีศาจไม่ใช่เรื่องใหญ่มากนัก ในเกมเวอร์ชันนี้ แผนที่ของพื้นที่ขนาดเล็กนี้ไม่สามารถมีถ้ำปีศาจขนาดใหญ่ได้ ถ้ำปีศาจเล็กๆ แบบนี้มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก สิ่งมีชีวิตในความมืดอาศัยอยู่ในถ้ำเหล่านี้และมันก็เป็นสถานที่ที่ดีสำหรับผู้เล่นในการต่อสู้กับมอนสเตอร์ …
อย่างไรก็ตาม แท่นบูชาแห่งอเวจีกลับเป็นเรื่องใหญ่ ถ้ำเช่นนี้จะมี NPC ที่ต่อต้านมนุษย์อย่างน้อยหนึ่งคนคอยปกป้องคุ้มครองถ้ำเอาไว้
ยิ่ง NPC ทรงพลังมากเท่าไรก็ยิ่งมีจำนวนสิ่งมีชีวิตที่จำเป็นต้องปกป้องถ้ำน้อยลงเท่านั้น
ในเวอร์ชัน 2.0 การแพร่หลายของพ่อมด ผู้วิเศษ และผู้ใช้เวทย์ที่ต่อต้านมนุษย์ทำให้เกิดการรุกรานของกองกำลังมืด
พวกเขาเข้าสู่ด้านมืดและสร้างแท่นบูชาแห่งอเวจีขึ้นในถ้ำปีศาจ พวกเขาสังเวยสิ่งมีชีวิตสู่ความมืดมิดเพื่อแลกกับพลังมืด
หากพวกเขาไม่ได้อัญเชิญปีศาจออกมา เงามืดจะบุกรุกพื้นโลกได้รวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ท่านเกือบจะพบที่ตั้งของถ้ำปีศาจแล้วหรือยัง?”
แลนเซล็อตมองไปที่วิลเลียมที่จิตใจที่หนักแน่น แล้วพยักหน้าด้วยความสิ้นหวัง เขาพูดว่า “ใช่ครับ มันตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองห่างไป 50 กิโลเมตร หากท่านช่างสังเกตก็จะสามารถค้นพบเส้นทางได้”
“ข้าได้นำพรรคพวกเข้าสู่หุบเขาก่อนเราจะถูกซุ่มโจมตีโดยนักล่าค่าหัว…”
“แน่นอนว่าข้ากล่าวได้อย่างมั่นใจว่ามีถ้ำปีศาจอยู่ในหุบเขา แต่ข้าก็แน่ใจเช่นกันว่าสัญชาตญาณของข้าถูกต้องเนื่องจากการปรากฏตัวของเงามืด”
“เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ! แต่ท่านไม่ได้เป็นอัศวินของเมืองรุ่งอรุณใช่ไหม?” วิลเลียมงงงวย
“โอ้…ข้าเป็นคนของวิหารแห่งแสง ณ อาณาจักรเหล็ก บ้านของข้าอยู่ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ!”
“…” วิลเลียมจมไปในความคิด บ้านของแลนเซล็อตอยู่ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนืองั้นหรือ?
แลนเซล็อตมีสายเลือดของจักรวรรดิ หลังจากเข้าร่วมกับวิหาร เขาก็มาที่นี่เพื่อฝึกฝนและเพิ่มพูนประสบการณ์
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ตำแหน่งของแลนเซล็อตสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด แม้ว่าเขาจะเป็นอัศวินที่เต็มไปด้วยความชอบธรรม แต่เขาก็ยังต้องพึ่งพาความสัมพันธ์เพื่อปีนขึ้นจุดสูง
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่วิลเลียมจินตนาการไว้และไม่มีใครได้สัมผัสประสบการณ์ชีวิตของแลนสล็อตในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา
ในวิหารแห่งแสงนั้นมีอัศวินอยู่มากมาย มีเพียงอัศวินบางคนเท่านั้นที่มีทั้งความชอบธรรมและสายเลือดที่น่านับถือ
แต่ทำไมแลนเซล็อตถึงได้เป็นผู้มีชัยในตอนจบกัน…
แลนเซล็อตจะต้องมีบางสิ่งที่ดีเกี่ยวกับเขาเป็นแน่…
วิลเลียมอยากจะค้นหา แต่แลนเซล็อตยังไม่สามารถต่อสู้ได้
ไม่ใช่เพราะว่าเขาบาดเจ็บ แต่อัศวินคนนี้ทำภารกิจได้ดี เต็มไปด้วยความยุติธรรมและรู้วิธีที่จะเสียสละเพื่อเพื่อนร่วมงานของเขา แน่นอนว่าผู้ส่งสารในวิหารย่อมให้การการสนับสนุนเขาอย่างแน่นอน และตอนนี้ปัญหาของถ้ำปีศาจก็ได้รับการยืนยันแล้ว
วิหารต้องการจับคนทรยศท่ามกลางคนของพวกเขา และค้นหาว่าทำไมนักล่าค่าหัวถึงซุ่มโจมตีพวกเขาล่วงหน้าได้!
จากนั้นวิหารจึงจัดการปัญหาของถ้ำปีศาจ
ในทวีปรีเจนดารีมีถ้ำปีศาจอยู่หลายแห่ง วิหารแห่งแสงไม่สามารถทำลายพวกมันทั้งหมดได้ แม้ว่าแลนเซล็อตจะไม่ได้บอกเขาเกี่ยวกับถ้ำปีศาจ ผู้ส่งสารของวิหารก็ยังคงแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับถ้ำปีศาจในวิลเลียมทราบเพื่อที่เขาจะได้จัดการกับปัญหาอยู่ดี
ในขณะเดียวกัน
นักล่าค่าหัวก็แยกย้ายกันไปราวกับว่าพวกเขาไม่รู้จักกัน พวกเขาเป็นเพียงนักล่าที่ถูกจ้างโดยนายจ้างคนเดียวกันเพื่อทำภารกิจ หากพวกเขาเป็นทีมพวกเขาจะไม่ยอมให้ผู้ติดตามมังกรคลั่งตายลงอย่างเด็ดขาด
นักล่าค่าหัวต่างระแวงซึ่งกันและกัน
เช้าวันใหม่มาถึง
มีฝนตกปรอยๆ
เหล่าพงไพรถูกปกคลุมไปด้วยป่าหนาทึบ ไม่มีใครสังเกตว่าพ่อมดดำคาซ่ากำลังมุ่งหน้าไปทิศทางไหน
ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
คาซ่าก็ได้ปรากฏตัวขึ้น ณ หุบเขาที่แลนเซล็อตบอกกับวิลเลียม
ท่ามกลางหมอกหนาเช่นนี้ สำหรับคนอื่นมันยากมากนักที่จะมองเห็นเส้นทาง แต่สำหรับคาซ่านั้น สถานที่นี้เป็นสถานที่อันแสนจะคุ้นเคย
สิ่งมีชีวิตจำนวนมากซ่อนตัวอยู่ในความมืด ดวงตาสีแดงเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนดูน่าพิศวง แต่คาซ่ากลับไม่ได้รับผลกระทบแม้เพียงนิด
เขาเดินในหุบเขาที่คดเคี้ยวเลี้ยวลดเป็นเวลานานก่อนจะถึงพุ่มไม้พุ่มหนึ่ง เขาย้ายมันออกแล้วเดินเข้าไปในถ้ำอันแสนมืดมิด เขาได้พบเข้ากับพ่อมดที่สวมเสื้อคลุมสีดำขลับ ก่อนจะทักทายเขาด้วยความเคารพ
พ่อมดดำอาวุโสกล่าวด้วยเสียงแหบห้าวและสุขุม “ภารกิจเป็นอย่างไรบ้าง?”
คาซ่าส่ายศีรษะ แล้วพูดว่า “คนกลุ่มนี้มีจิตใจที่กระตือรือร้นในงาน พวกเขามีโอกาสฆ่าศัตรูสามคนสุดท้าย แต่กลับปล่อยพวกมันไป”
“จากนั้น พวกเขาก็ได้เผชิญหน้ากับลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณที่สามารถฆ่าผู้ติดตามมังกรคลั่งลงได้ พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะล่าถอย และตอนนี้คงคาดหวังเงินรางวัลจากเราอีกครั้ง”
พ่อมดดำหัวเราะอย่างเยือกเย็น ก่อนจะกล่าวว่า “ฮึ! พวกโลภมาก!”
ใบหน้าของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเสื้อคลุมสีดำแวววับด้วยแสงสีเขียวขจีอันน่าขนลุก เขาถามอย่างสงสัย “ท่านคิดอย่างไรกับลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณ ข้าประหลาดใจนักที่เขาสามารถฆ่าผู้ติดตามมังกรคลั่งได้!”
“ยากที่จะพูดออกมาอยู่บ้าง เขามีการเคลื่อนไหวที่ทรงพลังซึ่งสามารถก้าวข้ามช่องว่างและมิติได้ ไม่เช่นนั้นผู้ติดตามมังกรคลั่งอาจสามารถหลบหลีกการโจมตีที่รุนแรงด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งและคล่องตัวของเขา
“แต่ข้ารู้สึกได้ถึงการคงอยู่ของจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง…” คาซ่างงงวย
“ เขาเป็นคนที่น่าสนใจ” พ่อมดดำอาวุโสกล่าวขณะที่ดวงตาของเขาเปล่งประกายสีเขียว เขาไม่ได้คาดคิดว่าวิลเลียมจะรอดชีวิตจากการโจมตีของเขาได้
ในเวลาเพียงครึ่งปีวิลเลียมก็กลายเป็นคนละคน เมืองแห่งรุ่งอรุณขยายตัวอย่างรวดเร็วภายใต้การปกครองของเขา
พลังของเมืองรุ่งอรุณได้เติบโตขึ้นสู่สถานะที่ผู้ใช้เวทย์ไม่กล้าเคลื่อนไหวอันใดที่ต่อต้านเมืองอีกต่อไป
“เนื่องจากเมืองแห่งรุ่งอรุณรู้ว่าเราอยู่ที่นี่ พวกเขาจะเข้ามาโจมตีเราอย่างแน่นอน นั่นก็เพียงพอแล้ว…” พ่อมดดำใต้เสื้อคลุมสีเข้มยกยิ้มบาง ๆ ก่อนที่เขาจะหายตัวไปในความมืดขณะกำลังใคร่ครวญถึงเรื่องนี้
คาซามองดูพ่อมดดำอาวุโสจากไป เขาโน้มตัวพิงผนังก่อนจะพ่นลมหายใจ
“ เราคือพ่อมดดำ”
“แต่ระดับของเรานั้นแตกต่างกันมาก”
พ่อมดดำที่เพิ่งจากไปนั้นเป็นนักล่าค่าหัวแปดดาว!
และเป็นพ่อมดดำที่กำลังจะขึ้นสู่ระดับสูง …
การขยายเมืองแห่งอรุณได้กวาดล้างเหล่าอสูรเวทย์, สรรพสัตว์และเผ่าพันธุ์มากมาย
มีสิ่งมีชีวิตที่อาภัพเพียงไม่กี่แห่งที่สามารถหลบหนีจากการตามล่าเมืองแห่งรุ่งอรุณได้ แต่ชะตากรรมที่รอคอยพวกเขากลับกลายเป็นเครื่องสังเวยเสียแทน
คาซาไม่รู้ว่าพ่อมดดำอาวุโสจะทำอะไร
เขาถวายเครื่องสังเวยทั้งวันทั้งคืน แต่เขากลับไม่ได้รับอำนาจใด ๆ แต่สิ่งมีชีวิตแห่งความมืดกลับเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ และแข็งแกร่งขึ้น
โดยไม่กล่าวสิ่งใด
จุดสิ้นสุดที่ลึกที่สุดของถ้ำปีศาจก็แสดงให้เห็นถึงเหล่าผู้เล่นที่ไม่มีวันตายนับพันแล้ว
“อาจารย์ของฉันกำลังก่อสงครามหรือ? นี่… สิ่งนี้ไม่เป็นผลดีต่อพ่อมดมนต์ดำเลยสักนิด” คาซาไม่เข้าใจ เป้าหมายหลักของพวกเขาในฐานะพ่อมดดำคือการได้รับอำนาจจากการสังเวย
สิ่งมีชีวิตแห่งความมืดสามารถถูกอัญเชิญไปยังทวีปในรีเจนดารี แต่มันก็เป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขา
คาซาในวัยเยาว์ยังไม่มีประสบการณ์มากนัก
เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าพ่อมดดำอาวุโสจะถวายกองทัพรุ่งอรุณเป็นเครื่องสังเวย?
หากวิลเลียมรู้เกี่ยวกับแผนของพ่อมดตนนี้ เขาจะบอกให้พ่อมดมาหาเขาแทนเหล่ากองทัพ
“มาและส่งเมืองแห่งรุ่งอรุณมาสังเวย ข้ากำลังรอท่านเริ่มสงครามอยู่ ข้าจะปล่อยให้ท่านบูชาผู้วิเศษรอบด้านและนักเวทย์ด้านมิติเช่นเช่นกัน ข้าขอต้อนรับท่านในดารถวานเครื่องบูชา…”
“ปัญหาของถ้ำปีศาจไม่อาจรีรอไปกว่านี้ได้ เราต้องทำลายมันเดี๋ยวนี้!” วิลเลียมไม่ยอมให้ถ้ำปีศาจอยู่ด้านหลังเมืองแห่งรุ่งอรุณอย่างเด็ดขาด
ป้อมปราการทางทหารของอาณาจักรเหล็กนั้นเป็นภัยคุกคามอันร้ายแรงและอาณาจักรเองก็กำลังจะเข้าสู่สงครามอย่างจริงจัง ยิ่งไปกว่านั้น หากถ้ำปีศาจลุกลามขยายตัวต่อไปได้ เมืองแห่งรุ่งอรุณอาจถึงคราวจบสิ้นเลยก็ว่าได้
ทางด้านหนึ่งก็มีปัญหาของถ้ำปีศาจ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็จะมีสงครามที่กำลังจะมาถึงในเวอร์ชั่น 1.0 ดังนั้น เมืองแห่งรุ่งอรุณจึงจะถูกคั่นกลางระหว่างฝ่ายศัตรูทั้งสองด้าน
โดยเฉพาะเมื่อเขาไปกระตุ้นภารกิจและยอมรับที่จะทำมันด้วยแล้ว …
[ภารกิจลับ : วิกฤตการณ์ในดินแดนพร้อมกับการค้นพบถ้ำของปีศาจ]
[ข้อมูลภารกิจ : ถ้ำปีศาจเป็นสัญลักษณ์การรุกรานของเงามืดและมันเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดมิดที่พร้อมจะคุกคามอยู่มากมาย ในฐานะลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณคุณจะทำอย่างไร?]
[เป้าหมายของภารกิจ: ทำลายถ้ำปีศาจ]
[เสร็จสิ้นภารกิจ: 0%]
[รางวัล : ค่าประสบการณ์130000 หน่วย]
[รางวัล: ???]
“ท่านลอร์ด โปรดอนุญาตให้เหล่าทหารไปกำจัดรังถ้ำปีศาจเถิด ข้ายินดีที่จะเป็นทัพหน้า” อเล็กซ์รัผู้ดูแลหน่วยข่าวกรองกล่าวเสียงดัง
“ …” วิลเลียมมองไปยังอเล็กซ์ที่กำลังกระวนกระวาย ก่อนจะโบกมือเป็นสัญญาณให้เขาสงบลง
หากเขาอนุญาตให้อเล็กซ์เข้าสู่สงครามและส่งนักฆ่าหลายคนที่มีระดับเดียวกับเขาไป เขาจะสังหารได้เท่าไหร่กัน?
เนื่องจากเขาเป็นมือสังหารที่คอยรวบรวมข่าวสาร มันจึงไม่เหมาะสมที่อเล็กซ์จะเป็นผู้นำทัพ
เขาไม่ใช่นักรบระดับอีปิคที่แท้จริง หากเขาพบนักรบในระดับเดียวกับตัวเขาเอง เขาอาจจะหมดหนทางสู้ไปเลยก็ได้
ทรัพยากรที่ขาดแคลนจะต้องใช้อย่างระมัดระวังโดยเฉพาะสิ่งที่ต้องการมากที่สุด มือสังหารไม่ควรถูกส่งไปยังสนามรบ พวกเขามีภารกิจสำคัญที่ต้องทำ แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถสังหารตัวบอสได้ แต่ก็สามารถขัดขวางศัตรูที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขาได้
หากขวัญกำลังใจของกองทัพสั่นคลอนก็จะพ่ายแพ้ได้ง่าย
สงครามใน “ Gods” ไม่ได้หมายถึงการกำจัดศัตรูทั้งหมดเพื่อชัยชนะ หากผู้บัญชาการของข้าศึกเสียชีวิต ทหารฝ่ายศัตรูก็จะยอมแพ้ และก็จะสามารถคว้าชัยชนะได้สำเร็จ
มีแต่ผู้เล่นเท่านั้นที่ไม่กลัวที่จะตาย พวกเขาไม่สนใจแม้ว่าพวกเขาจะเสียชีวิต …
ในช่วงที่เกิดการปะทุขึ้นของสงครามกิลด์ ผู้เล่นแต่ละคนอาจจะตายอย่างน้อยสามถึงสี่ครั้ง
วิลเลียมกวาดตามองคนสนิททั้งสี่ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกว่า “เราต้องปรับกำลังทหาร แต่ต้องวางแผนอย่างเหมาะสมและรอบคอบ อาณาจักรเหล็กอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก หากเราใช้กำลังทหารทั้งหมด พวกเขาอาจใช้โอกาสนี้บุกเราได้”
สถานการณ์เริ่มที่จะซับซ้อน
นอกจากทาส 50,000 คนและชาวเมืองที่สร้างป้อมปราการทางทหารแล้ว อาณาจักรเหล็กยังนำกำลังทหารไปอีก 3,000 นาย
มันสร้างความรู้สึกตึงเครียดระหว่างเมืองแห่งรุ่งอรุณและอาณาจักรเหล็ก
ไม่มีใครรู้ว่าพันธมิตรระหว่างทั้งสองจะถูกทำลายลงอย่างไร
หากวิลเลียมนำทหารของเขาไป อาณาจักรเหล็กก็จะรู้ข่าว ถึงแม้ว่าม้วนกระดาษเวทย์จะมีราคาแพง แต่สายลับระดับสูงก็มักจะมัมันพหตัดตัวไว้ และวิลเลียมก็ไม่สามารถสร้างกำแพงเวทย์ขนาดใหญ่ครอบคลุมทั้งเมืองไว้ได้
ดังนั้นเขาไม่สามารถหยุดการรั่วไหลของข้อมูลข่าวสารได้
ยิ่งไปกว่านั้นทาสที่เป็นกลางประมาณ 2,000 คนนั้นยังเต็มไปด้วยสายลับที่แฝงตัวมา หากพวกเขาแอบลอบช่วยคนภายนอก ประตูเมืองอาจจะพังเมื่อไหร่ก็ได้
“ ในสายลับ 2,132 คนที่แฝงตัวอยู่ 800 คนในนั้นมีพลังการต่อสู้ระดับกลาง อาณาจักรเหล็กช่างไร้ยางอายจริงๆ” วิลเลียมเพิ่งจดชื่อ รูปพรรณสัณฐานและที่อยู่ของพวกเขาไป
เมื่อมีการประกาศสงคราม เวลาของสายลับที่แฝงตัวมาก็จะสิ้นสุดลง พวกเขาจะถูกควบคุมตัวเอาไว้
เวลาในการเข้าจับกุมยังไม่แน่ชัด
เขาต้องให้ความมั่นใจกับอาณาจักรเหล็กว่าพวกเขาสามารถยึดครองเมืองแห่งรุ่งอรุณได้อย่างง่ายดาย
หากวิลเลียมทำอะไรให้ศัตรูรู้ตัวเข้า ความตายก็รอเขาอยู่ไม่ไกลแล้ว อาณาจักรเหล็กสามารถส่งกองกำลังทหารหลายสิบหน่วยมากำจัดเมืองแห่งรุ่งอรุณได้แม้ว่าจะมีการป้องกันมากขนาดไหนก็ตาม
“ทำไมเราไม่ขอความช่วยเหลือจากเจ้าหญิงแอนนี่ล่ะ เราสามารถขอให้ท่านหญิงส่งทหารมาปกป้องเมืองได้หรือไม่? อาณาจักรเหล็กไม่ได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของท่านลอร์ดกับเจ้าหญิงสักหน่อย” โอดอมให้เสนอแนะ
“ความสัมพันธ์? ความสัมพันธ์อะไร เจ้าไปรู้อะไรมา?” วิลเลียมเลิกคิ้ว เขามีความคิดเช่นเดียวกัน
ท่านลอร์ดสามารถควบคุมบทสนทนาได้ แต่เขาก็ต้องเปิดโอกาสให้คนใต้บัญชาพูดด้วย ทำให้พวกเขาคิดว่าพวกเขามีค่าต่อเจ้านายของพวกเขา
มันไม่สำคัญว่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะถูกหรือไม่
ไม่สำคัญว่าคำพูดของพวกเขาจะไพเราะต่อหูของท่านลอร์ดหรือไม่
มันไม่สำคัญเลย!
ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ก็คือท่านลอร์ดจะต้องคิดถึงข้อสรุปและเป้าหมายไว้ล่วงหน้า เขาจะต้องไม่ถูกชักนำโดยผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา
การโต้เถียงระหว่างผู้ใต้บังคับบัญชามีความสำคัญเนื่องจากมันจะกระตุ้นให้พวกเขาทำงานหนักขึ้น
ถ้าผู้ใต้บังคับบัญชามีความคิดเหมือนกับวิลเลียม เขาก็จะให้กำลังใจคนเหล่านั้นทันที หากมีใครที่ไม่เข้าใจ วิลเลียมก็จะรับฟังโดยไม่ตำหนิ แต่เขาจะไม่ยอมรับข้อเสนอแนะอะไรที่ไร้สาระ
ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้มีสภาพแวดล้อมระหว่างการอภิปรายที่สร้างสรรค์
วิลเลียมเต็มไปด้วยความชื่นชมเมื่อเขามองไปยังโอดอม เขาสังเกตคนสนิทและมองดูว่ามีกี่คนที่เห็นด้วยกับข้อเสนอของโอดอม ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เราจะทำตามคำแนะนำของโอดอม เตรียมกองกำลังทหารอย่างน้อยจำนวนหนึ่งให้พร้อม เราจะไปคุยกับเจ้าหญิงแอนนี่เอง แล้วก็เรียกฟิว โรสเซอร์ และเหล่าที่อยู่ในเหมืองมาด้วย!”
โอดอมยิ้มแย้มอย่างอิ่มอกอิ่มใจ เขาดีใจที่ความพยายามของเขาไม่สูญเปล่า!
ลอทเนอร์ออกไปรวบรวมทหารให้พร้อมทันที
วิลเลียมรีบไปยังต้นไม้แห่งดวงจันทร์ เขาต้องการพูดคุยกับแอนนี่ตัวน้อย ยูนิคอร์นนั้นยากที่จะแตะต้อง นอกจากนั้นยังไม่ได้ให้โชคอะไรกับเขาได้ แต่กลับกลืนกินโชคของวิลเลียมที่เหลือแค่สามแต้มแทน โชคดีที่แต้มค่าโชคของวิลเลียมไม่ติดลบ…
“ น่าโมโหซะจริงมองไปทางไหนก็มีแต่ทางตัน”
…………………………………..
ยามเช้าผ่านไป ยามบ่ายมาเยือน
ทหารของเมืองรุ่งอรุณได้รวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียงและพร้อมที่จะออกเดินทาง องค์รักษ์ส่วนตัวของแอนนี่และทหารของเมืองบลูมูนเข้ามาปักหลักป้องกันเมือง
การซ้อมรบทางทหารขนาดใหญ่เช่นนี้ไม่สามารถปิดกั้นสายลับภายในเมืองได้
แต่วิลเลียมก็ไม่สนใจ เขาไม่มีอะไรจะซ่อน เขาออกคำสั่งให้กองทัพออกเดินทางทันที!
กองทัพประกอบด้วยทหาร 4,000 นาย รวมถึงองครักษ์ส่วนตัวอีก 500 นาย นี่คือกองกำลังที่มีความแข็งแกร่งในการรบมากกว่า +1,000 หน่วย
ลอทเนอร์, โอดอม, เอริค, อเล็กซ์, โถวเหยิน, ฟิว โรสเซอร์ และโทรลบลัดดี้ ครัชเชอร์ได้ติดตามวิลเลียมไปในการเดินทางครั้งนี้ เซียเองก็ติดตามมาด้วย เธอทำหน้าที่รับผิดชอบเหล่าผู้วิเศษระดับกลาง 20 คนและผู้วิเศษระดับฝึกหัด 50 คน
NPC ระดับรีเจนดารี!
และเจ็ด NPC ระดับอีปิค!
“ถ้าเรายังเอาชนะถ้ำปีศาจไม่ได้ ฉันจะยืนกลับหัวกลับหางให้ดู… แค่กๆ” วิลเลียมไม่ได้เลือกที่จะยกธงของเขา
นอกจากวิลเลียมและผู้ติดตามของเขาแล้ว ยังมีสมาชิกวิหารแห่งแสงของเมืองรุ่งอรุณ และผู้ส่งสารของวิหารก็ได้นำอัศวินศักดิ์สิทธิ์ 20 นายและบาทหลวงอีก 5 องค์มาเข้าร่วมอีกด้วย
แม้แต่ทหารรับจ้าง 500 นายจาก 800 นายของเขาก็เข้าร่วมด้วย!
นี่จะเป็นสงครามที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เมืองแห่งรุ่งอรุณกำเนิดขึ้น
แต่วิลเลียมไม่ได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริงบางอย่าง
พ่อมดดำของถ้ำปีศาจไม่เกรงกลัวเมื่อเขารับรู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้
เขากลับหัวเราะด้วยความตื่นเต้นแทน
คาซ่าอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย เมื่อเขามองไปยังเหล่าอันเดด อัศวินแห่งความตาย ทหารโครงกระดูก และอสูรเวทย์มืด พวกเขาช่างน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
คาซ่าเหลียวมองชายคนที่สอนให้เขารู้จักเวทย์มืด แต่ห้ามไม่ให้คาซ่าเรียกเขาว่าอาจารย์ …
“เขากำลังจะทำอะไร?”
“สิ่งมีชีวิตในเงามืดเหล่านี้ไม่สามารถเอาชนะกองทัพรุ่งอรุณได้” คาซ่ารู้เรื่องนี้ แต่เขาไม่กล้าพูดออกมาดังๆ
แต่พ่อมดดำอาวุโสที่เตรียมการมาเป็นเวลานานรู้ดีว่าคาซ่ากำลังคิดอะไรอยู่ในหัว เขาหัวเราะอย่างน่ากลัวและกล่าวว่า “เจ้าจำสายเลือดสุดท้ายของจักรวรรดิหุบเขาเดียวดายได้ไหม? ลาภก้อนโตอย่างโอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์ยังไงล่ะ!”
“อะไรนะ?” คาซ่าเบิกตากว้างเมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น
ดังนั้น…
มันจึงกลายเป็นเช่นนี้…
มีออร์คมากมายอยู่ทางตะวันออกของป่าแบล็คลีฟ นั่นคือสิ่งที่ทุกคนรู้
เผ่าออร์คบางเผ่าได้รวมเข้ากับเผ่ามังกรไฟ อย่างไรก็ตาม ก็มีเผ่าที่ไม่ได้เข้าร่วมเผ่ามังกรอยู่เช่นกัน
แต่พวกเขาถูกบังคับโดยเผ่ามังกรไฟ
นั่นทำให้เผ่าออร์คที่โดนกดขี่ตัดสินใจรวมตัวกันเป็นหนึ่ง!
ใช่แล้วล่ะ
มันเกิดจากการชักชวนของออร์คขาว
เขามีพลังการต่อสู้ที่เหนือกว่าออร์คปกติมากและเขาก็ได้เอาชนะเผ่าออร์คทั้งหมดที่ยอมจำนนต่ออำนาจ จากนั้นรวบรวมออร์คที่แยกย้ายกันไปทั้งหมดเขารวมพวกมันไว้ภายใต้ธงผืนเดียว
ไม่นานเขาก็กลายเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัว เป็นคนที่แม้แต่เผ่ามังกรใหญ่ก็ไม่กล้าที่จะต่อต้าน แต่นั่นคือช่วงที่มังกรใหญ่ยังคงหลับใหลอยู่…
และตอนนี้
ออร์คเผ่านี้ใช้ชื่อว่า เฮฟวี่ สเฟียร์ ภายใต้การนำของออร์คขาว ออร์คเผ่านี้จึงทำพันธมิตรกับเมืองแห่งรุ่งอรุณและได้กลายเป็นคู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวมีปีก
เผ่าๆนี้มีจำนวนประชากร 110,000 ตน ในจำนวนนี้ ออร์คอย่างน้อย 60,000 คนสามารถใช้อาวุธและต่อสู้ได้
ชาวมีปีกมีอุปลักษณะที่คล้ายกับเอลฟ์ และพวกเขาก็มีอายุขับเกือบพันปี
แต่โดยธรรมชาติแล้วพวกเขาไม่ได้เป็นพวกก้าวร้าวใช้ความรุนแรง แม้ว่าคุณสมบัติของพวกเขาจะค่อนข้างสูงและเป็นมืออาชีพ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไปเป็นทหารจริงๆ ดังนั้นชาวมีปีกจึงไม่ถือว่าการมีอยู่ของเผ่าเฮฟวี่ สเฟียร์นั้นเป็นภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงแต่อย่างไร พวกเขาไม่มีความตั้งใจที่จะกำจัดออร์คเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้พวกเขาจะมีความตั้งใจที่ว่า ชาวมีปีกก็ไม่สามารถเอาชนะเหล่าออร์คได้…
ก็เหมือนกับเอลฟ์จากเมืองบลูมูน ชาวมีปีกทุกคนสามารถเป็นทหารได้
เว้นแต่ว่ามันจะเป็นสถานการณ์สำคัญ ชาวมีปีกก็จะไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในความขัดแย้ง พวกเขาไม่ชอบสงคราม สำหรับพวกเขาแล้วอายุขัยพันปีของพวกเขาจะเสียเปล่าหากพวกเขาเสียชีวิตในสนามรบ
ถ้าพวกเขามาเป็นทหาร พวกเขาก็จะใส่ความมุ่งมั่นตั้งใจทั้งหมดไปที่ความเชี่ยวชาญนั้น
แม้แต่ในตอนที่ชาวมีปีกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ
พวกเขาก็จะพยายามปรับปรุงเพื่อพัฒนาอยู่เสมอ พวกเขามีสมาธิสูงและไม่วอกแวก
ชื่อของออร์คขาวคือ อัลทาอิก
บรรพบุรุษของเขาเป็นนักรบระดับรีเจนด์ที่มีชื่อว่า แอสซ็อก…
ดี
แอสซ็อกที่แขนพิการต้องการฆ่าคนแคระ โดยเฉพาะคนแคระจากภูเขาแห่งความเดียวดาย พวกเขาเป็นศัตรูของแอสซ็อก
ที่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปรีเจนดารร ใครมีค่าหัวสูงที่สุดในโลกใต้ดินน่ะหรือ?
มันก็ไม่ใช่ใครนอกจากรองเจ้าเมืองของเมืองแห่งรุ่งอรุณ โอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์นั่นเอง เขาติดอยู่ที่ระดับท็อปสามของรายการค่าหัว
ค่าหัวของโอดอมอยู่ที่ 100,000 เหรียญทอง และถ้านักล่าค่าหัวสามารถนำศีรษะของเขากลับมาได้ คนๆนั้นก็สามารถของรางวัลเพิ่มเติมได้ด้วย
โดยทั่วไปแล้ว เงินรางวัลจะถูกจ่ายโดยเหล่าผู้ร่ำรวย ถ้ามีคนฆ่าโอดอมได้จริง พวกเขาก็ไม่ว่าอะไรในการที่จะมอบอาวุธระดับรีเจนดารีให้เป็นรางวัล…
ผู้ที่ถูกจัดอันดับในรายการค่าหัวเป็นตัวละครที่นับว่าฆ่าได้ยากมาก พวกเขามีอิทธิพลมีไม่ก็อำนาจการรบที่เหนือกว่าหรือยากที่ต่อการระบุตำแหน่ง
โอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์เป็นรองเจ้าเมืองของเมืองแห่งรุ่งอรุณ เขามีผู้ติดตามจำนวนมากและพลังการต่อสู้ของเขาก็น่าทึ่งมากๆ คนปกติจะไม่มีทางทำอะไรเขาได้แม้แต่ปลายเล็บ
แต่โอกาสหายากและไม่คาดฝันก็แสดงตัวต่ออัลทาอิก
เขาได้เจอกับนักเวทย์สายมืดผู้ลึกลับ นักเวทย์มืดต้องการร่วมมือกับเขาเพื่อเอาชนะกองทัพแห่งรุ่งอรุณทั้งกองทัพ เขากำลังคิดเกี่ยวกับการสร้างแท่นบูชานรก
รางวัลก็คือโอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์ที่อยู่ลำดับสามของรายการค่าหัว
อัลทาอิกรู้ว่าความเป็นไปได้ที่จะฆ่าโอกาสโอดอมจะยากขึ้นเรื่อยๆ และโอกาสก็อาจจะไม่เกิดขึ้นอีกครั้ง เขาจึงเลือกที่จะเข้าร่วมกับเวทย์มืดอย่างจริงจัง
เขาไม่ได้กังวลว่าพ่อมดมืดจะโกงเขาเรื่องหัวโอดอม
เพราะอัลทาอิกไม่กลัวพ่อมด!
เขานำออร์คชั้นสูง 3,000 ตนจากเผ่าของเขา เขาต้องพยายามหลบเลี่ยงการตรวจจับของพวกมีปีกและพรรคพวกของเขาก็ต้องลอบเคลื่อนตัวไปตามชายฝั่ง เขาต้องการฆ่าโอดอมในตอนที่กองทัพรุ่งอรุณเริ่มต่อสู้กับสัตว์มืด
เมื่อกองทัพรุ่งอรุณอยู่ห่างจากถ้ำปีศาจไม่ถึง 5 กิโลเมตรเหตุการณ์ๆ หนึ่งก็เกิดขึ้น ข้อมูลใหม่มาแล้ว วิลเลียมที่อยู่บนหลังม้าศึกของเขามองดูหน่วยสืบราชการลับเวทย์ด้วยความสนใจ
“มีการค้นพบรอยเท้าใหม่บนแนวชายฝั่ง?” วิลเลียมโยนม้วนเวทมนตร์กลับไปที่ฟิว โรสเซอร์ หน่วยสอดแนมโถวเหยินคนหนึ่งค้นพบข้อมูลนี้
ฟิว โรสเซอร์เพิ่งจะได้รับข่าวกรอง เขาไม่สามารถบอกได้ว่านี่เป็นข่าวสำคัญหรือไม่ เนื่องจากพวกเขาอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เขาจึงรายงานให้วิลเลียมทราบทันที
แม้ว่าม้วนกระดาษเวทมนตร์จะมีราคาแพง แต่วิลเลียมก็ยังคงจ่าย 10,000 เหรียญทองเพื่อซื้อม้วนกระดาษ 100 เล่ม หน่วยสอดแนม, สายสืบและคนสนิทของเขาทั้งหลายจึงมีม้วนกระดาษคนละหนึ่งอัน
“นี่เป็นข้อมูลสำคัญหรือไม่ ท่านลอร์ด” ลอทเนอร์ถามอย่างสงสัย
“ลองดูม้วนกระดาษด้วยตัวเองในขณะที่เราครุ่นคิด!” วิลเลียมโบกมือเพื่อส่งหน่วยสอดแนมออกไปดูสภาพโดยรอบ กองทัพจึงได้หยุดพัก
“เราไม่สามารถดำเนินสงครามต่อไปได้” ผู้ส่งสารส่ายหัว เขาอ่านข่าวและเชื่อว่ารอยเท้านั้นมาจากการเสริมกำลังของถ้ำปีศาจ
วิหารแห่งแสงได้รับผลกระทบสาหัสจากการที่อัศวินเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมากเมื่อไม่นานมานี้ ถ้าอัศวินศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองรุ่งอรุณต้องประสบชะตากรรมเดียวกัน ผู้ส่งสารแห่งวิหารจะถูกลงโทษอย่างหนัก
โอดอมยังคงเงียบ เขารู้สึกว่ามีการซุ่มโจมตีรอกองทัพอยู่และมันอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เขารู้สึกว่ามีสัญญาณที่เป็นลางไม่ดีแขวนอยู่เหนือหัวของเขา
ในขณะที่คนอื่นๆ เข้าร่วมกับการถกเถียงที่ร้อนแรง
พวกเขาเปรียบเทียบข้อดีของการโจมตีและการถอยทัพ
แม้แต่เซียที่ปกติจะเงียบก็ยังแสดงความเห็นคิดเห็นของเธอ…
ในที่สุดก็ลงมติที่การถอยทัพ แม้ว่าการเดินทางจะล้มเหลว แต่พวกเขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ค่าเกียรติยศของกองทัพรุ่งอรุณจะไม่ลดลงนักในสายตาของพลเมือง ชาวบ้านก็จะไม่บ่นซุบซิบท่านลอร์ดเช่นกัน
แต่!
วิลเลียมไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนั้น
เขาสำรวจทหารของกองทัพรุ่งอรุณที่แข็งแรงกว่า 4,000 คน 2,000 คนมีชุดอุปกรณ์ระดับเงินและอาวุธคุณภาพระดับทอง
ทหาร 2,000 นายที่เหลือมีอุปกรณ์คุณภาพระดับสีฟ้า
แม้แต่ทหารรับจ้าง 800 นายก็มีอุปกรณ์คุณภาพระดับสีฟ้า
โรงตีเหล็กไม่สามารถผลิตอุปกรณ์ที่มีคุณภาพเงินได้เพียงพอ ดังนั้นทหาร 2,000 นายจึงไม่ได้รับการอัปเกรดเป็นระดับกลาง
จากกองทหารที่แข็งแกร่งกว่า 4,000 คน อย่างน้อย 2,300 คนเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลาง แม้ว่าพวกเขาจะเพิ่งกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลาง แต่พลังการต่อสู้และทักษะของพวกเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก
แต่พวกเขาเป็นทหารที่ถูกคัดเลือกมาเป็นพิเศษโดยวิลเลียม
สายเลือดของพวกเขาสูงกว่าระดับกลาง บางคนเป็นระดับสูงและระดับมาสเตอร์ด้วยซ้ำ!
แล้วจะทำไม?
พวกเขาเป็นระดับสูงในสายตาของผู้เล่น บอสทั้งหลาย!
เหตุผลที่วิลเลียมไม่อยากถอยทัพคือเขาอยากให้กองทัพมีขวัญกำลังใจที่อยู่ยงคงกระพัน!
และจะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อกองทัพยังไม่พ่ายแพ้
หากสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ กองทัพก็จะได้รับบัฟกองทัพ!
ผู้เล่นได้ค้นพบข้อมูลนี้ในเกมเวอร์ชัน 2.0
สิ่งที่เกิดขึ้นในกลุ่มอัศวินศักดิ์สิทธิ์ของวิหารแห่งแสง
หัวหน้ากองทหารคือแลนเซล็อต
ในเวอร์ชั่นเกมที่ความมืดเข้ามารุกรานโลก แลนเซล็อตเป็นคนนำกองทัพอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งกว่า 3,000 คนและชนะในทุกการต่อสู้ มันเหมือนกับว่ากองทหารของเขาได้รับพลังจากพระเจ้า
ขวัญกำลังใจของกองทัพที่แข็งแกร่งมั่นคงทำให้กองทัพได้รับชัยชนะ!
แต่กองทหารที่สร้างขึ้นโดยผู้เล่นไม่ได้รับประโยชน์แบบนี้ ผู้เล่นนั้นขี้เกียจโดยธรรมชาติอยู่แล้ว พวกเขาไม่ชอบที่จะสร้างกองทหารที่แข็งแกร่งกว่า 3,000 คนและคิดค่าหัวของพวกเขาเป็นตัวเลข…
กองทหาร NPC เพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่จะได้รับขวัญกำลังใจของกองทัพที่อยู่ยงคงกระพันและได้รับบัฟกองทัพ
หากประเทศใดส่งกองทัพออกไปเล่นเกม ตอนนั้นพวกเขาก็จะมีโอกาส อย่างไรก็ตาม โอกาสที่ประเทศหนึ่งจะส่งทหารออกไปเล่นเกมแฟนตาซีเวทมนต์นั้นมีน้อยมาก นี่เป็นโอกาสมากกว่าที่พวกเขาจะได้เล่นเกมราวกับอยู่ใน Star Wars สมัยนี้มันต่างกัน…
โลกยังเริ่มตั้งรกรากบนดาวอังคาร บางทีอาจมีผู้เล่นจากดาวอังคารหลังจากเปิดเบต้า
“เราเลือก… เลือกที่จะโจมตี!” วิลเลียมยืนขึ้นอย่างกะทันหัน
“ถ้าถ้ำปีศาจไม่ถูกทำลายและความมืดยังไม่ลดลง เราจะไม่สามารถวางใจได้เลย!”
“แต่เราจะไม่ปล่อยให้ทหารของเราไปตายทั้งเป็น!”
วิลเลียมปลดดาบยาวของเขาและชี้ไปที่ถ้ำปีศาจ “เรายินดีที่จะเป็นไปก่อน เราจะนำไปก่อนและสำรวจถ้ำปีศาจ สำหรับพวกเจ้าที่เหลือ… ใครจะกล้าไปกับเราบ้าง?”
เสียงของวิลเลียมไม่ดัง แต่ทหารทุกคนได้ยินเขา
ขณะนั้นเอง
เสียงโห่ร้องที่ดังเป็นเอกฉันท์ก็ดังมาจากทหารที่หิวโหยสงครามการต่อสู้
“พวกเราเต็มใจ… เราจะไปกับท่านลอร์ดและเมื่อถึงเวลา เราก็พร้อมจะสละชีวิตเพื่อท่าน!”
ฟิว โรสเซอร์กับร่างสูงกำยำของเขาผู้กำลังนอนแผ่อยู่บนพื้นเริ่มที่จะเคี้ยวหญ้า เขาทำราวกับเขาเป็นแค่กระทิงธรรมดาตัวหนึ่งเท่านั้น
วิลเลียมพาผู้คนติดตามเขามายังถ้ำปีศาจมากเกินไป
การเดินทางครั้งนี้อันตรายยิ่งนัก การส่งนักรบเพียงไม่กี่คนนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าการส่งทหารจำนวนมากไปสู่ความตาย
เขาเลือกนักรบระดับอีปิคมากับเขาสองคน นั่นก็คือลอทเนอร์และเอริค
ที่เขาไม่ได้เลือกโอดอม เพราะว่าโอดอมต้องควบคุมกองทัพเพื่อสร้างแนวป้องกัน และหากไม่มีสัญญาณของวิลเลียม เขาก็จะไม่เข้าโจมตี
แม้ว่าอเล็กซ์จะเป็นนักฆ่า แต่วิลเลียมก็ไม่ได้นำเขามาด้วย เขาสั่งให้อเล็กซ์ลาดตระเวนหาที่ซุ่มโจมตีแทน
นอกจากนั้น…
วิลเลียมยังนำเอริคมาร่วมภารกิจเป็นตายกับเขาด้วย หากวิลเลียมไม่จัดการลูกชายของเขาอย่างอเล็กซ์ให้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย คนเป็นพ่ออย่างเอริคก็จะพะวงและไม่ทุ่มสุดตัวให้กับภารกิจ
แม้จะมีคำกล่าวไว้ว่าเมื่อบิดาและบุตรจับดาบสู้ศึกร่วมกันในสนามรบ ย่อมไร้พ่าย
แต่ไม่มีพ่อคนไหนที่อยากให้ลูกตนเองเอาชีวิตมาเสี่ยงหรอก
หากไม่ได้เป็นเช่นนั้น แล้วทำไมเอริคและลูกชายของเขาถึงซ่อนตัวอยู่ในเมืองชายแดนหลังจากหลบหนีออกมาจากองค์กรมือสังหารเงามืดล่ะ?
ส่วนโถวเหยินอย่างฟิว โรสเซอร์…
มันไม่คุ้มที่จะพูดถึงหรอกน่า!
เขาสามารถต่อสู้กับศัตรูที่อ่อนแอกว่าได้ แต่หากวิลเลียมเลือกเขามาทำภารกิจด้วย ค่าความสัมพันธ์ของฟิว โรสเซอร์ต่อวิลเลียมคงลดลงไปทันตา เขาอาจจะหนีไปครึ่งทางแล้วก็ได้…
แน่นอนว่า ยังมีทาสพันธะวิญญาณอย่างโทรลบรัดดี้ ครัชเชอร์อยู่ สายเลือดของเขาเป็นเพียงระดับมาสเตอร์ แต่เลเวลของเขาสูงมาก น่าเสียดายที่ครัชเชอร์ไม่เหมาะกับการลอบโจมตี แต่ความแข็งแกร่งและความดุร้ายเมื่อใช้กระบองของเขาทำให้เขาเป็นตัวเลือกที่ดีในการรับดาเมจโดยตรง
ผู้ส่งสารจากวิหารไม่มีคำถามอันใด วิลเลียมอาจจะพิจารณาแลนเซล็อตหากเขาอยู่ที่นี่
ท้ายที่สุดแล้ว วิลเลียมก็อยู่ในตำแหน่งลอร์ดมาเป็นเวลานาน เขาได้เรียนรู้ความซับซ้อนของธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเขาไม่ได้มีอานิสงส์จากอำนาจที่ล้นเหลือ หากถึงตอนนั้นเขาคงต้องระวังเป็นพิเศษ
สำหรับวิลเลียม ‘Gods’ นั้นไม่ใช่เกม
มันเป็นโลกแห่งความจริงที่เดิมพันด้วยชีวิตและความตาย
ผ่านไปครึ่งวัน วิลเลียมตัดสินใจที่จะไม่ใช้ชุดอุปกรณ์แสงของเขา
เขาสวมชุดอุปกรณ์สายฟ้า สายฟ้านั้นเป็นศัตรูของสิ่งมีชีวิตในความมืด เขาเลือกที่จะละทิ้งการป้องกันแล้วเลือกที่จะเอาชนะบอสด้วยชุดอุปกรณ์สายฟ้าแทน
“ฉันมีพลังชีวิต 14000 หน่วย ซึ่งมากเกินพอ ตราบใดที่รักษาหัวของตัวเองไว้ได้ ฉันก็ไม่เชื่อหรอกว่าการโจมตีแค่ครั้งเดียวจะฆ่าฉันได้ นอกจากนี้ยังมีโบนัสจากเกราะชั้นในระดับอีปิคและพลังการรักษาจากไลฟ์โพชั่นอยู่…” วิลเลียมยิ้มอย่างน่าขนลุก เขานำสหายร่วมรบเข้าไปในหุบเขาที่ปกคลุมด้วยหมอกหนาอย่างระมัดระวัง
พวกเขาแอบลับลอบเข้ามา ด้วยความสามารถโดยธรรมชาติของวิลเลียมที่ช่วยทำให้ไม่มีใครค้นพบคนกลุ่มนี้
แต่พวกเขาเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตในถ้ำปีศาจนั้นรู้ว่ากองทัพของวิลเลียมได้มาถึงแล้ว
สิ่งมีชีวิตในถ้ำปีศาจยังคงไม่ตอบสนอง พวกเขาต้องการให้การต่อสู้เกิดขึ้นในถ้ำปีศาจภ ายในหุบเขาที่ปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบแห่งนี้
วัตถุประสงค์ของวิลเลียมและพรรคพวกในการเข้าไปในหุบเขาคือการสอดแนมหาข้อมูล แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ แต่พวกเขาก็สามารถเส้นทาง เพื่อที่ว่ากองทัพจะได้ไม่ประสบปัญหาระหว่างการโจมตี
หมอกส่งกลิ่นเหม็นสาบน่าสะอิดสะเอียน ใบไม้ใบหญ้าเน่าเปื่อยก่อตัวเป็นของเหลวเหนียวเหนอะหนะสีดำคล้ำ แต่ละย่างก้าวราวกับเหยียบลงไปบนกองอุจจาระที่อาจจะเป็นของเหล่าสิ่งมีชีวิตในความมืด …
วิลเลียมขมวดคิ้ว กลิ่นเหม็นนี้ยืนยันได้ถึงการมีอยู่ของถ้ำปีศาจ จะต้องมีสิ่งมีชีวิตในความมืดมากมายอยู่แถวนี้เป็นแน่
เป็นเพราะเขาคุ้นเคยกับกลิ่นเหม็นดังกล่าวเป็นอย่างดี
ในอดีตเขาเคยนำผู้เล่นที่ร่ำรวยไปกำจัดถ้ำปีศาจ เขาทำมันจนแทบจะอาเจียน
แต่มันไม่ได้เป็นเพราะกลิ่นเหม็น
เหตุผลก็คือเขาเบื่อหน่ายกับการอาเจียนของผู้เล่นที่ร่ำรวยและผู้เล่นหญิงสาว …
โลกของสิ่งมีชีวิตมืดอยู่ใต้ทวีปของ “Gods” ไปหลายหมื่นเมตร
สิ่งมีชีวิตในถ้ำปีศาจเป็นมอนสเตอร์จากโลกแห่งความมืด
การดำรงอยู่ของถ้ำปีศาจนั้นแปลกประหลาดในตัวของมันเอง
มันเป็นประตูมิติที่ก่อตัวขึ้นหลังจากการชนกันของสองมิติ มันทำหน้าที่เป็นประตูที่อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตจากทั้งสองมิติเข้ามาได้ตามที่ต้องการ
แต่ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งมีชีวิตในความมืดเหล่านี้คลานออกมาจากที่แห่งใด หลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่ในยุคของพระเจ้า สิ่งมีชีวิตที่มืดมิดได้เริ่มปรากฏตัวขึ้น บางทีสิ่งมีชีวิตในความมืดเหล่านี้อาจมีอยู่ในยุคของพระเจ้า แต่ถูกซ่อนอยู่ใต้ผืนพิภพด้วยเหตุผลบางประการที่ไม่ทราบสาเหตุ
วิลเลียมไม่สามารถคิดออกได้เนื่องจากไม่มีบันทึกทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้
ไม่มีใครรู้ว่าทวีปของพระเจ้านั้นลึกแค่ไหน บางทีคนแคระแห่งหุบเขาเดียวดายอาจมีความรู้อยู่บ้าง ทักษะการขุดลึกของพวกเขาอาจทำให้พวกเขาค้นพบสิ่งมีชีวิตในความมืดมากมาย …
ไม่มีใครรู้ว่าแกนกลางของทวีปพระเจ้าคืออะไร อาจเป็นโลกที่แตกต่างกันหรือแม้แต่เป็นมิติอื่น
อย่างไรก็ตาม มันเป็นความจริงที่ทราบกันดีว่าสิ่งมีชีวิตมืดไม่สามารถขุดทางขึ้นสู่ผิวน้ำได้
ราวกับว่ามีกำแพงกั้นไม่ให้พวกเขาเข้าสู่โลกแห่งแสงสว่าง พวกเขาต้องพึ่งพาถ้ำปีศาจเพื่อเข้าสู่ทวีป
และในเวลากลางวันคุณสมบัติของสิ่งมีชีวิตในความมืดจะลดลงอย่างรวดเร็ว นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ถ้ำปีศาจโดยทั่วไปตั้งอยู่ในหุบเขาที่ปกคลุมไปด้วยหมอก
แต่สิ่งมีชีวิตใดที่ยิ่งทรงพลังมากเท่าไหร่ การจะเข้าสู่ประตูมิติก็จะยิ่งยากมากขึ้นเท่านั้น
นี่คือจุดที่พ่อมดดำที่ตั้งแท่นบูชาแห่งอเวจีเข้ามามีบทบาทอีกครั้ง พวกเขาใช้เวทมนตร์แห่งความมืดและขยายประตูมิติเพื่อสร้างเส้นทางให้กับสิ่งมีชีวิตในความมืดที่ทรงพลัง
ประตูมิติเหล่านี้สามารถปิดลงได้ แต่มันต้องใช้วิธีพิเศษที่วิหารแห่งแสงใช้
วิธีนี้ต้องใช้จอมเวทย์มิติหรือผู้ใช้เวทย์เสริมพลังที่มีความเชี่ยวชาญด้านอื่นๆ…
อย่างไรก็ตาม วิหารแห่งแสงในเมืองแห่งรุ่งอรุณไม่ได้ก้าวหน้าขนาดนั้น วิหารไม่ได้ตั้งอยู่ในเมืองแห่งรุ่งอรุณมาเป็นเวลายาวนาน ดังนั้น จึงไม่มีความสามารถในการปิดถ้ำปีศาจลงได้ เว้นซะแต่ว่าวิหารแห่งแสงจะขอความช่วยเหลือจากสาขาของพวกเขาในอาณาจักรเหล็กและอาณาจักรลาวาดำ
แต่วิลเลียมไม่มีความตั้งใจที่จะชะลอไปนานกว่านี้ แต่ความสัมพันธ์ของเขากับสหายแบนด์นั้นแปลกประหลาด และโมเสสอาจจะไม่ยื่นมือมาช่วยเหลือวิลเลียม ดังนั้นวิลเลียมจึงเหลือเพียงทางเลือกเดียว
ระเบิดถ้ำปีศาจทิ้งซะ!
วิลเลียมกำลังจะสร้างรูปแบบเวทย์มนตร์ด้วยคริสตัลเวทย์มนตร์จำนวนมากแล้วระเบิดมันซะ…
เขากำลังจะทำลายประตูมิติโดยใช้ระเบิดอันทรงพลังของรูปแบบเวทมนตร์!
วิลเลียมโชคดีที่ได้ขุดคริสตัลเวทมนตร์ก่อน เขานำคริสตัลเวทมนตร์ 18 ชิ้นมาด้วย แม้ว่าจะใช้แค่เพียง 9 ชิ้นในการสร้างรูปแบบเวทมนตร์ก็ตาม แต่วิลเลียมชอบที่จะอยู่ในด้านของความระมัดระวังไว้เสียมากกว่า
รูปแบบเวทมนตร์ได้รับจากแบนด์นั้น วิลเลียมต้องใช้โอกาสในการติดตั้งรูปแบบเสียก่อน
มิฉะนั้นพ่อมดดำในถ้ำปีศาจอาจจะผลักเขาลงสู่นรกเอาได้
ขณะที่พวกเขาเข้าไปในหุบเขาที่เต็มไปด้วยหมอกหนา
ลอทเนอร์และเอริคตามหลังวิลเลียมมาอย่างใกล้ชิด
แต่ทันใดนั้น
อยู่ดีๆวิลเลียมก็ได้หายตัวไป จากนั้นก็เป็นลอทเนอร์ แม้แต่เอริคที่อยู่ข้างหลังลอทเนอร์ก็หายตัวไปเช่นกัน
ลอทเนอร์ไม่ใช่คนเดียวที่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
ทั้งวิลเลียมและเอริคก็ประสบกับปรากฏการณ์เดียวกัน
ทั้งสามคนคิดในสิ่งเดียวกันทันที “ใจเย็น!”
“พ่อมดดำ? บัดซบ นี่เราพบกับผู้ใช้ภาพลวงตาเข้าให้แล้ว” วิลเลียมยิ้ม เขารู้ดีว่าพวกเขากำลังเจอกับใครอยู่
มัคฮู เรดด์!
เขาเป็นมนุษย์ที่มีสายเลือดปกติ แต่เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์แห่งความมืดและเวทมนตร์ที่หายากอย่างภาพลวงตาผ่านโอกาสที่แสนพิเศษ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็หลงเข้าสู่ด้านมืด
เขาสละชีวิตเข้าสู่ใต้ผืนพิภพเพื่ออัพเกรดศักยภาพทางสายเลือดของเขา และในท้ายที่สุดเขาก็ได้รับสายเลือดระดับรีเจนดารี…
เขาเป็นตำนานในโลกของเหล่าพ่อมดดำ
“นี่มันผิด มัคฮู เรดด์ยังไม่ควรกลายเป็นพ่อมดดำที่ยิ่งใหญ่ เขาควรมีสายเลือดระดับกลางหรือระดับสูงเท่านั้น”
“ระดับของเขาสูง แต่ศักยภาพของเขาไม่แข็งแกร่ง ดังนั้นค่าสถานะของเขาไม่ควรเพิ่มขึ้นไปเยอะมากนัก แต่ถ้าเขาเป็นจอมเวทแห่งความมืดเราจะต้องเดือดร้อนแน่!”
วิลเลียมตบหัว เขาจะไม่ตาย แต่พวกเขาได้พบกับสถานการณ์ที่อันตรายและยุ่งยากเข้าแล้ว
จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา
ในเกมเวอร์ชัน 2.0 เมื่อใดก็ตามที่มัคฮู เรดด์เคลื่อนไหว เมืองหรืออาณาจักรจะถูกทำลาย…
“บัดซบ! ทำไมฉันถึงคิดไม่ถึงก่อนหน้านี้นะ เขาเป็นศัตรูคู่อาฆาตของแลนเซล็อต ฉันน่าจะรู้ว่าพวกเขาจะเจอกันเร็วขนาดนี้?” วิลเลียมคิดในใจขณะที่จับดาบยาวของเขาแน่น วิลเลียมไม่เชื่อว่าตัวละครระดับรีเจนดารีเลเวล 46 จะไม่สามารถเอาชนะพ่อมดดำระดับกลางได้
ลอทเนอร์และเอริคเองก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่ไม่ปกติ พวกเขารู้สึกประหม่า แต่ก็ยังระมัดระวังเพื่อที่จะไม่ทำผิดเรื่องง่ายๆ
ในเวลาเดียวกัน
ทั้งคู่ก็ซ่อนตัวอยู่
หนึ่งในนั้นเป็นหน่วยลาดตระเวนล่าปีศาจ ในขณะที่อีกคนเป็นหน่วยลาดตระเวนดาร์คชาโดว์
หน่วยลาดตระเวนล่าปีศาจทำอะไรงั้นหรอ?
พวกเขาเป็นนักล่ามืออาชีพที่มีเป้าหมายอยู่ที่สิ่งมีชีวิตจากความมืด มันหมายความว่าลอทเนอร์มีสกิลพิเศษมากมายในการต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตจากความมืด
อาชีพนี้มีความสำคัญอีกอย่างหนึ่งซึ่งก็คือลอทเนอร์ เขาต้องได้รับการฝึกฝนพิเศษและฝึกซ้อมในถ้ำสัตว์ประหลาด ดังนั้นสถานการณ์แบบนี้ที่อาจเกิดขึ้นในถ้ำสัตว์ประหลาดจึงไม่ใช่เรื่องไม่คุ้นเคยสำหรับเขา เมื่อสิ่งมีชีวิตจากความมืดสองตัวพุ่งเข้าใส่เขา เขาก็กระโดดและหายไปในอากาศ…
ในอีกด้านหนึ่ง หน่วยลาดตระเวนดาร์คชาโดว์ก็เป็นหน่วยลาดตระเวนวันยังค่ำ นักธนูระเบิดที่ยังคงซ่อนตัวอยู่ในความมืด ในยุคของเวทมนต์ เอริคเคยเป็นฆาตกรจากระยะยาวคนหนึ่ง
การใช้ชีวิตในความมืดเป็นความสามารถของสิ่งมีชีวิตจากความมืด แต่เอริคนั้นเฉียบคม ทันทีที่เขาเห็นดวงตาสีแดงเลือดสองดวง เขาก็มุดเข้าไปในหญ้าอย่างกล้าหาญ… เขาหายตัวไปแล้ว!
ทำไมทั้งสองคนถึงมีทักษะนี้ได้?
ผู้สร้างอาชีพเหล่านี้ได้เข้าใจอะไรบางอย่าง
เฉพาะผู้ที่อยู่จนถึงจุดจบเท่านั้นที่จะชนะอย่างแท้จริง
ผู้สร้างอาชีพเหล่านี้เข้าใจบางสิ่งบางอย่าง
มีแค่คนที่ยังอยู่จนตอนจบเท่านั้นที่เป็นผู้ชนะตัวจริง
ตอนที่มัคฮู เรดด์เห็นสิ่งนี้อยู่นอกภาพนิมิต ดวงตาสีเขียวของเขาก็เปล่งประกาย มันดูราวกับว่าเขากำลังจะตาบอด…
มีเพียงวิลเลียมเท่านั้นที่เดินไปรอบๆ อย่างกล้าหาญในภาพนิมิต พลังการต่อสู้สีน้ำเงินล้อมรอบตัวเขาอยู่ เขาดูเหมือนจะเป็นศัตรูที่ทรงพลังและน่ากลัว
แต่การกระทำนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่อยากอยู่รอดจนถึงตอนจบ
แค่ว่าเขาไม่มีทักษะ…
สิ่งมีชีวิตจากความมืดปรากฏตัวขึ้นรอบตัวเขามากขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาสีแดงเลือดเหล่านั้นจดจ้องไปที่วิลเลียม
ลอร์ดเจ้าเมืองรู้ว่าไม่มีที่ไหนที่เขาจะวิ่งไปได้ เขาทำได้เพียงก้าวเดินยาวๆ และเดินต่อไปบนเส้นทางของเขา
วิลเลียมไม่ได้มีความสามารถพิเศษในการซ่อนตัว แต่เขามีวิธีเผชิญหน้ากับภาพลวงตาเหล่านี้!
แสงสามารถผ่านได้!
“ไปให้พ้น” วิลเลียมเห็นสิ่งมีชีวิตจากความมืดตัวหนึ่งที่พุ่งมาจู่โจมเขาและเปิดใช้พลังของดาบสายฟ้าของเขา
สิ่งมีชีวิตจากความมืดทั้งหมดที่สัมผัสกับแสงจากดาบถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โดยเฉพาะร่างกายของพวกเขาที่ยังคงมีประกายจากไฟฟ้าช็อตอยู่แม้ว่าจะถูกตัดขาดจากกันแล้วก็ตาม ประกายไฟทำให้ร่างกายของพวกเขาสว่างขึ้น
“แค่กลุ่มทหารโครงกระดูก? พวกเขาดูถูกฉันอยู่รึเปล่า?”
วิลเลียมกำลังจะยิ้มเมื่อ… เขาหันกลับไปและตวัดดาบของเขา
วืด!
ดาบที่เต็มไปด้วยพลังหั่นสิ่งมีชีวิตที่น่าขยะแขยงออกเป็นสองส่วน เลือดสีเขียวกระเซ็นไปทั่วทุกทิศและมีเสียงของบางสิ่งที่สึกกร่อนดังขึ้น
“หมาปีศาจ?” วิลเลียมอดไม่ได้ที่จะตวัดดาบของเขาขึ้น เขารู้ว่าเขาจะต้องเจอกับอะไรต่อไป
และในตอนถัดไปนั้นเอง
สุนัขปีศาจสีดำหลายสิบตัวปรากฏตัวขึ้น พวกมันมีสีหน้าดุร้าย และแน่นอนว่าพวกมันไม่กลัวความตาย พวกมันว่องไวและกระโจนเข้ามาจากทุกทิศทาง พวกมันมีอาวุธประจำตัวที่มีประโยชน์มากมายไม่ว่าจะเป็นกรงเล็บหรือฟัน
แต่สิ่งที่อันตรายที่สุดคือเลือดของพวกมันที่มีความเป็นกรอสูง ถ้า NPC ธรรมดาสัมผัสเข้ากับเลือดของพวกมัน มันจะส่งผลให้เกิดการกัดกร่อนระยะยาว
วิลเลียมไม่ได้รอความตาย เกราะที่สร้างจากพลังการต่อสู้สีฟ้าปรากฏขึ้นรอบตัวเขาในขณะที่เขาพุ่งใส่พวกมัน
การพุ่งของเขาเหมือนกับหมียักษ์ที่เริ่มวิ่งอย่างไม่ระมัดระวัง เมื่อเข้ามาสัมผัสโดนเขา สุนัขปีศาจทั้งห้าตัวต่อหน้าเขาก็ถูกส่งกระเด็นไปไกล
เลือดสีเขียวสาดลงบนเกราะพลังการต่อสู้ เสียงดังฉ่าของการกัดกร่อนปรากฏขึ้น แต่เลือดสีเขียวไม่สามารถทะลุเกราะได้เข้าไปได้อย่างสมบูรณ์
สุนัขปีศาจแสดงลักษณะที่น่ารังเกียจอย่างมาก ของพวกมันออกมา แม้จะถูกส่งกระเด็นไป พวกเขาก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้งและพวกเขาก็โผเข้าหาวิลเลียมพร้อมกันอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาพร้อมที่จะฆ่าและเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นเนื้อสับ
วิลเลียมก้าวถอยหลังจนมาถึงกำแพง เมื่อไม่ไม่มีทางให้ถอยไปได้อีกแล้ว เขาก็มองดูสุนัขปีศาจหลายสิบตัวพุ่งเข้าใส่เขา
แต่เขาใช้ขาเตะกำแพงและบิดตัวไปกลางอากาศ จากตำแหน่งนั้นเขายิงลูกศรที่เต็มไปด้วยพลังการต่อสู้สายฟ้าบริสุทธิ์ออกไป
เมื่อเวลาผ่านไป
ลูกศรก็แยกออกเป็นสิบและตกใส่สุนัขปีศาจราวกับอาบน้ำด้วยลูกศรสายฟ้า!
ในขณะเดียวกัน
ธนูสายฟ้าทำให้เกิดทักษะฝนธนูสายฟ้า และเปิดใช้งานชุดคุณสมบัติ ห่วงสายฟ้า!
เปาะแปะ เปาะแปะ!
กระแสไฟฟ้าไหลผ่านสุนัขปีศาจ ความเสียหายที่เกิดจากสายฟ้าที่แข็งแกร่งทำให้พวกมันกระตุกราวกับว่าพวกมันกำลังเต้นรำกับปีศาจ ไม่นาน พวกมันก็ถูกเผาจนไหม้เกรียมอย่างสมบูรณ์
ที่สุดแล้ว สายฟ้าก็ไม่ได้มีพลังต่อสิ่งมีชีวิตจากความมืดมากนัก ต้องเป็นแสงศักดิ์สิทธิ์ต่างหากที่ทำให้สิ่งมีชีวิตจากความมืดอ่อนแอลง
ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่สายฟ้าส่องประกาย แสงจากสายฟ้าก็ส่องสว่างและเผยให้เห็นสิ่งมีชีวิตจากความมืด อัศวินที่ตายแล้ว, ทหารโครงกระดูก, และสิ่งมีชีวิตจากความมืดที่น่าขยะแขยง ทุกตัวค่อยๆ คืบตัวเข้าหาวิลเลียมภายใต้แสงสลัว
เมื่อสายฟ้าเส้นสุดท้ายจางหายไป รอบตัวเขาก็มืดสลัวอีกครั้ง
สิ่งมีชีวิตจากความมืดเข้ายึดครองทุกที่ระยะ 10 เมตรรอบตัววิลเลียม
“น่าสนใจ แต่มีแค่นี้เองหรอ?” วิลเลียมเลิกคิ้ว เขาไม่เชื่อว่านี่คือทั้งหมดที่มัคฮู เรดด์คิดได้
และในขณะที่เขากำลังสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ มัคฮู เรดด์ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ตำแหน่งนั้น เขาสวมชุดคลุมสีดำ เขามองไปที่วิลเลียมจากนั้นเขาก็โบกมือของเขา กลุ่มก๊าซสีดำไหลออกมาจากแขนเสื้อของเขาและเทลงบนสิ่งมีชีวิตจากความมืด
ในเวลาเพียงครู่เดียว
สิ่งมีชีวิตจากความมืดทั้งหมดก็ขยายใหญ่ขึ้น…
ในเวลาถัดมา
วิลเลียมเพิ่งหยุดตัวเองจากการสบถได้
สิ่งมีชีวิตมืดระดับเริ่มต้นทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าเขาเพิ่มระดับขึ้นมากกว่าห้าระดับ!
หลังจากที่มันเกิดขึ้น สิ่งมีชีวิตมืดก็รวมตัวกันและเริ่มคำรามอย่างดุร้าย พวกมันพุ่งเข้าใส่เขาราวกับคลื่นซัด
เขาไม่มีทางเลือกมากนัก
วิลเลียมปลดปล่อยพลังของดาบเขาออกมา…
แต่เขาพบว่าตัวเองกำลังจมอยู่ใต้สิ่งมีชีวิตมืดจำนวนมาก…
สิ่งมีชีวิตมืดจำนวนมากยื่นมือที่ชั่วร้ายออกมาและแยกเขี้ยวเขี้ยวแหลมของพวกมัน พวกมันถึงกับโบกดาบไปมาและย่ำลงบนวิลเลียมอย่างรุนแรง…
โล่พลังงานการต่อสู้แตกออกทันที…
วิลเลียมขดตัวและกุมหัวของเขาไว้แน่น ค่าพลังชีวิตของเขายังคงลดลงอย่างบ้าคลั่ง
แต่มันถึงเวลาแล้ว เขาก็สามารถใช้ทักษะในการโต้กลับได้ในที่สุด!
ปัง!
คลื่นช็อคที่มองไม่เห็นระเบิดออกมาจากร่างกายของเขา
สัตว์มืดหลายร้อยตัวถูกส่งกระเด็นออกไป ส่วนกว่าหลายสิบตัวก็ถึงกับหายไปในอากาศ
ดวงตาของมัคฮู เรดด์เบิกกว้างเมื่อเขาเห็นฉากนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะพ่นคำด่าออกมา “บ้าอะไรวะ? เขาเป็นนักเวทย์วิญญาณงั้นหรือ? ใครบอกว่าเขาเป็นแค่ทหารพรานคนหนึ่ง?”
“ทำไมความทนทานของเขาถึงแข็งแกร่งมาก เขาอยู่นานขนาดนี้ได้ยังไง? และเขายังสามารถใช้เวทมนตร์แห่งวิญญาณได้ด้วย?”
ในฐานะพ่อมดดำคนหนึ่งแล้ว เขาต้องเคยทำการค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องของจิตวิญญาณอย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะไม่ได้เชี่ยวชาญในเรื่องของเวทย์วิญญาณ แต่เขาก็ได้เรียนรู้ทักษะวิญญาณที่สำคัญมาบ้าง
คลื่นโซลช็อค: เมื่อคุณอยู่ตรงกลางคลื่นวิญญาณจะถูกสร้างขึ้น ศัตรูที่อยู่ในรัศมี 12 เมตรจะได้รับความเสียหาย 350+ (270% ของค่าความฉลาด) และจะถูกผลักไปด้านหลัง 6-8 เมตร มีโอกาส 37% ที่จะทำให้เป็นลมเป็นเวลา 5 วินาที
ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับความเสียหายมากนัก!
แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ความยับยั้งชั่งใจในเกมไม่สามารถแสดงเป็นตัวเลขได้
วิลเลียมสามารถอดทนได้จนกว่าสิ่งมีชีวิตมืดทั้งหมดจะเข้ามาโจมตีเขา และคลื่นโซลช็อคชนิดนี้จะสามารถสร้างความเสียหายในบริเวณที่ใหญ่ที่สุดได้
นอกจากนี้ สิ่งมีชีวิตมืดไม่มีความต้านทานต่อความเสียหายจากวิญญาณ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทหารโครงกระดูกที่มีเจตจำนงอยู่ในหัวและทหารแห่งความมืดธรรมดาสามารถฟื้นขึ้นมาได้แม้จะตายไปแล้วก็ตาม แต่พลังวิญญาณของพวกเขาอ่อนแอลงมาก เมื่อพวกเขาได้รับความเสียหายทางจิตวิญญาณก็เหมือนกับการโยนก้อนหิมะลงในหม้อทอด พวกเขาจะถูกกำจัดทันที
โดยพื้นฐานแล้ว ถ้าวิลเลียมมีการโจมตีทางวิญญาณที่มากพอ เขาสามารถทำลายพวกมันได้อย่างสมบูรณ์!
แต่เขาไม่มี ดังนั้นเขาจึงอาจจะเป็นคนที่ถูกทำลายแทน…
วิลเลียมไม่เชื่อว่ากลุ่มสิ่งมีชีวิตจากความมืดนั้นไม่มีที่สิ้นสุด
เขาอยากรีบออกจากภาพลวงตานี่สักที ร่างกายของเขาแทบถูกปกคลุมไปด้วยเลือดและเหลือพลังชีวิตเพียง 10,000 หน่วยเท่านั้น ชุดเกราะที่เคยสว่างผุดผ่องและแวววาวของเขาสกปรกไปหมด ความทนทานก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ถ้าเขาทนอยู่อย่างนี้ต่อไป อาจจะไม่ใช่แค่ตัวเขาเอง แต่อุปกรณ์ระดับทองคำของเขาก็จะเสียหายตามไปด้วย
“ข้าไม่เชื่อว่าหรอกว่าจะฆ่าเจ้าไม่ได้” มัคฮู เรดด์โบกมืออีกครั้ง สิ่งมีชีวิตในความมืดหลายร้อยตัวต่างก็พุ่งออกมา
ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงสิ่งมีชีวิตในความมืดเท่านั้น แต่ยังมีปีศาจระดับกลางที่มีสายเลือดระดับมาสเตอร์ออกมาอีกด้วย
“เลเวล 55?” วิลเลียมเลิกคิ้ว
ปีศาจตนนั้นบนศีรษะของมันมีเขาสีดำที่บิดเบี้ยว ลักษณะของมันคล้ายกับนักรบโถวเหยิน ผิวของมันมีสีดำสนิทและบนหลังของปีศาจมีปีกคู่หนึ่งที่ดูเหมือนกับค้างคาว มีแผลเป็นทั่วทั้งร่างกาย มันเป็นนักรบที่มีประสบการณ์ในโลกแห่งความมืด… ร่างกายของมันต้องทนทุกข์ทรมานอย่างไม่หยุดยั้ง
วิลเลียมมองไปที่ปีศาจที่กำลังถืออาวุธสีดำ เขาไม่สนใจการโจมตีจากสิ่งมีชีวิตตนอื่น อดทนต่อความเจ็บปวดและพุ่งเข้าใส่ปีศาจ
ช่วงเวลาที่พวกเขาเข้าปะทะกันนั้น
พลังสายฟ้าและพลังมืดได้พุ่งชนเข้าใส่กัน การปะทะครั้งนี้ได้สร้างคลื่นสั่นสะเทือนที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าขยายออกเป็นวงกว้าง
การชนกันครั้งนี้ทำให้พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาจมลงลึก
ร่องรอยแตกระแหงปรากฏขึ้นตามผืนดินเนื่องจากดาบของทั้งคู่
การต่อสู้เข้มข้นขึ้น สิ่งมีชีวิตในความมืดระดับเริ่มต้นเพียงไม่กี่ตัวไม่สามารถเข้าใกล้พวกเขาได้
“หากเอลฟ์ยอมจำนนต่อข้าและกลับสู่เงามืด พลังของเจ้าจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”
เสียงทุ้มต่ำของมันดังก้องไปทั่วหุบเขา ปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาด มันถูกเรียกตัวโดยมัคฮู เรดด์และรู้ว่าต้องช่วยเขา
แต่ปีศาจตนนี้ไม่ใช่ทาสของมัคฮู เรดด์ มันไม่ต้องทุ่มแรงทั้งหมดเพื่อจัดการกับวิลเลียม ถ้าเป็นไปได้มันไม่รังเกียจที่จะล่อลวงคู่ต่อสู้ มันจะหลอกล่อให้วิลเลียมไปใต้ผืนพิภพกับมัน ก่อนที่จะกินเขาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง
แต่วิลเลียมกลับชี้ดาบยาวไปที่มัน “หากปีศาจยอมจำนนต่อเราและกลับสู่แสงสว่าง พลังของเจ้าจะยิ่งอ่อนแอลง”
ปีศาจเริ่มกราดเกรี้ยว มันเหวี่ยงดาบยาวที่ปกคลุมไปด้วยไอสีดำต้องสาปซึ่งกำลังส่งเสียงฟ่อๆใส่วิลเลียม
วิลเลียมรีบก้าวถอยหลัง ธันเดอร์สแลช!
รัศมีคมดาบที่คล้ายกับพระจันทร์เต็มดวงพุ่งผ่านท้องฟ้าและตัดผ่านพลังแห่งความมืดพร้อมกับโจมตีร่างของปีศาจ
ตู้ม ตู้ม ตู้ม
โล่ที่สร้างจากพลังแห่งความมืดแตกสลาย
ประกายสายฟ้าฉีกร่างของมัน และมีบาดแผลฉกรรจ์ปรากฏขึ้น แต่ปีศาจดูเหมือนจะไม่สนใจ มันส่ายหัวแล้วพุ่งออกไปอีกครั้ง
พวกเขาปะทะและแลกเปลี่ยนกระบวนท่าครั้งแล้วครั้งเล่า พื้นดินสั่นสะเทือน ความหยิ่งผยองของพวกเขาก่อให้เกิดลมพายุ
นี่เป็นการวัดความสามารถและพลัง
นี่คือการต่อสู้ของการเคลื่อนไหวและระยะการโจมตี
แม้ว่าพลังของวิลเลียมจะเทียบไม่ได้กับปีศาจ แต่เขาก็เป็นเหมือนนักเต้นที่เดินบนปลายดาบ แม้ว่าขาของเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาก็ไม่ตาย …
ถูกต้องแล้ว
ปีศาจนั้นได้เปรียบในตอนแรก
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความโกรธเกรี้ยวของมันก็เพิ่มขึ้นเมื่อมองไปยังวิลเลียม มันได้โจมตีวิลเลียมอย่างรุนแรง ร่างกายของวิลเลียมเต็มไปด้วยบาดแผล นอกเหนือจากศีรษะแล้ว หากมีใครมองไปยังร่างกายส่วนอื่นๆของเขา ก็จะพบเพียงบาดแผลเท่านั้น
แต่วิลเลียมยังมีชีวิตอยู่ เขาเคลื่อนไหวอย่างแข็งขันในขอบเขตการมองเห็นของปีศาจ…
สิ่งนี้ทำให้ปีศาจรู้สึกว่าศัตรูของเขาไม่สามารถถูกฆ่าหรือหมดสภาพได้
แต่เจ้าชายเอลฟ์ผู้นี้รู้เรื่องปีศาจมากกว่าที่ปีศาจรู้เกี่ยวกับเขาซะอีก
วิลเลียมมีสายเลือดระดับรีเจนดารีรวมทั้งคุณสมบัติของชุดอุปกรณ์ระดับทอง พลังงานชีวิตของเขาไม่ได้ต่ำกว่าปีศาจมากเท่าไหร่ เมื่อเขาถูกโจมตี เขาจึงถือโอกาสสังเวยสิ่งมีชีวิตในความมืด สิ่งนี้ทำให้เขาสามารถฟื้นฟูพลังชีวิตได้ 30%
เขารู้ว่าตราบใดที่เขาปกป้องส่วนสำคัญของเขาได้ เขาไม่จำเป็นต้องกลัวสิ่งใด
เพียงระยะเวลาสั้นๆ
เขาสามารถต่อสู้ได้อีกสิบนาที
ไม่ต้องกล่าวถึงปีศาจตนนั้นเลย ร่างกายของมันก็เต็มไปด้วยบาดแผลสาหัสเช่นกัน…
เมื่อมัคฮู เรดด์เห็นปีศาจที่ถูกเปลี่ยนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เขาก็เริ่มสงสัย แม้ว่าปีศาจที่เขาอัญเชิญมาจะไม่ถือว่าเป็นไพ่ตายของเขา แต่ทำไมแม้แต่ครึ่งเอลฟ์อายุ 16 ก็ไม่สามารถเอาชนะได้ ไอ้กระจอกเอ้ย!
“หรือว่าสัญลักษณ์อัญเชิญจะมีอะไรผิดพลาดไป? หรือเครื่องสังเวยมีปัญหากัน?”
“นั่นไม่ถูกต้อง ปีศาจควรจะแข็งแกร่งมาก” มัคฮู เรดด์ไม่กล้าคิดเรื่องนี้ต่อ เขาแน่ใจว่าทั้งสองคนที่เหลือได้ออกจากภาพลวงตาแล้วและกำลังรอโอกาสที่จะโจมตี
“ทำไม!” ดาบแทงทะลุอกปีศาจ เลือดจากบาดแผลถูกสายฟ้าผ่าไหม้ แต่ประกายไฟยังคงอยู่และทำให้มันเจ็บปวดแปล๊บๆ
ในฐานะทหารที่น่าภาคภูมิใจในหมู่ปีศาจมันไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะแพ้พวกพรานป่าในการต่อสู้ระยะประชิด
วิลเลียมขี้เกียจเกินไปที่จะอธิบายตัวเองกับปีศาจ เขามีข้อได้เปรียบจากอาชีพลับระดับรีเจนดารี ปีศาจธรรมดาจะเข้าใจมันได้อย่างไร?
“หากเจ้าล้มลงก็ถือว่าเจ้าพ่ายแพ้แล้ว ยอมรับความพ่ายแพ้ที่ยุติธรรมของเจ้าซะเถิด!”
แต่ทว่า!
ปีศาจซึ่งดูเหมือนกำลังจะล้มลงก็ปรากฏรอยยิ้มที่เย็นชา มันกำมือแน่นแล้วเล็งหมัดไปที่ใบหน้าของวิลเลียม
ราวกับระเบิดแรงสูงได้ระเบิดออกในภายใน
วิลเลียมต้องเผชิญกับความเจ็บปวดอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตาม
เขาได้เปิดใช้งานโล่พลังงานของเขาได้ทันท่วงทีและมันช่วยเขาจากความเสียหายอย่างหนัก
อย่างไรก็ตาม วิลเลียมยังคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดทรมานจากอาการบาดเจ็บได้ จมูกของเขาหัก และบนใบหน้าอันงดงามของเขาในตอนนี้ก็มีบาดแผลขนาดใหญ่ที่ถูกแผดเผาด้วยพลังแห่งความมืด
แต่ในขณะนั้นดาบแห่งสายฟ้าก็ได้แทงทะลุคอของปีศาจด้วยเช่นกัน!
ปีศาจที่หายใจได้เฮือกสุดท้ายแล้วเบิกตากว้าง เขามองวิลเลียมอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า… นี่คือสิ่งที่เอลฟ์ผู้รักความงามจะสามารถทำได้…
วิลเลียมดึงดาบยาวของเขาออกมา ศพของปีศาจก็ล้มลงต่อหน้าเขา
เขามีแผงหน้าต่างหลายช่อง เขายอมที่จะต้องเจ็บตัวเพื่อให้อีกฝ่ายเสียหายมากกว่า เขาต้องการที่จะหยุดยั้งมันเอาไว้ให้ได้
เขามีสิ่งที่สำคัญกว่าต้องทำ
[คุณได้สังหารปีศาจระดับกลางเลเวล 53 คุณได้รับค่าประสบการณ์ 63000 หน่วย]
[คุณบรรลุเป้าหมายการสังหารเดี่ยวเลเวล 7 แล้ว คุณได้รับค่าประสบการณ์พิเศษ 150% จากค่าประสบการณ์ 31500 หน่วย]
[คุณได้รับค่าประสบการณ์ทั้งหมด 94500 หน่วย]
วิลเลียมมองดูข้อมูล เลเวล 47! เขาเลื่อนไปแค่เลเวลเดียว แค่เลเวลเดียวเท่านั้น!
เขายื่นมือออกมาดับเปลวไฟสีดำบนใบหน้า จากนั้นก็ดึงผิวหนังที่เน่าเสียออกจากใบหน้าเผยให้เห็นกระดูกสีขาวของเขา อ๊ะไม่! ตรงนี้ไม่ใช่กระดูกแต่เป็น … ฟันของเขา …
ทันใดนั้นเขาก็หันไปมองสิ่งมีชีวิตในความมืดตัวอื่นๆ จากนั้นเขาก็ยกศพปีศาจที่มีความยาวสองเมตรขึ้นด้วยมือข้างเดียวและทำราวกับว่าเขากำลังแกล้งสุนัข เขาทำท่าจะโยนศพไปไกลๆ “พวกเจ้าอยากกินนี่ไหม”
ดวงตาสีแดงจำนวนมากจากสิ่งมีชีวิตในความมืดกลุ่มใหญ่ส่องแสง ก่อนพวกมันเหล่านี้จะกระพริบตาตอบคำถาม
วิลเลียมเลิกคิ้ว เขาถามอีกครั้งว่า “พวกเจ้าอยากกินไหม”
สิ่งมีชีวิตในความมืดเริ่มไม่อดทน พวกมันกระพริบตาอีกครั้ง
ทันใดนั้นวิลเลียมก็โยนสิ่งในมือออกไปด้านนอก เหล่าสิ่งมีชีวิตในความมืดวิ่งไป แต่ศพยังอยู่ในมือของเขา…
โชคดีที่วิลเลียมรู้สึกตัวว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาสังเกตเห็นว่าสุนัขเริ่มเปิดเผยลักษณะที่ทรยศของพวกมัน เขาโยนศพของปีศาจไปไกล กลุ่มของสิ่งมีชีวิตในความมืดรีบวิ่งเข้าหาศพทันที แม้แต่สัตว์ในเงามืดที่ซ่อนอยู่ก็ทำเช่นเดียวกัน
พวกมันล้วนลืมคำสั่งของมัคฮู เรดด์ไปแล้วโดยสิ้นเชิง…
“มัคฮู เรดด์วันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า!” วิลเลียมกระซิบ เขาไม่สนใจบาดแผลบนใบหน้า
เขาหยิบม้วนกระดาษออกมาและยกมันสูงขึ้น
พรึ่บ
แสงสีขาวพร่างพราวส่องออกมาจากมือของวิลเลียม…
กระจกที่ดูเหมือนจะทำมาจากแก้วก็แตกกระจายออก…
ทิวทัศน์ของภูเขาเข้ามาเติมเต็มมุมมอง มันดูงดงามราวกับจะเอื้อมไปถึงสวรรค์ …
มันคือทักษะ ‘แสงศักดิ์สิทธิ์อันเงียบงัน’
นี่เป็นวิธีการขั้นสูงในการทำลายภาพลวงตา
การใช้งานหลักของเวทมนตร์นี้คือการสร้างดันเจี้ยนภาพลวงตา แต่วิลเลียมไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับมัคฮู เรดด์
โชคดีที่เขาสร้างดันเจี้ยนมามากมาย เขารู้ว่าความฝันและเวทมนตร์มักจะปรากฏอยู่ในนั้น ในขณะเดียวกันหมอกอาจปรากฏขึ้นและปิดกั้นการมองเห็น
และแม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าความน่าจะเป็นที่จะพบกับภาพลวงตานั้นต่ำ แต่เขาก็ยังคงระมัดระวังตัว มันเป็นจุดแข็งอย่างหนึ่งของเขา ด้วยเหตุนี้วิลเลียมจึงขอให้โมเสสสร้างม้วนคัมภีร์แสงศักดิ์สิทธิ์อันเงียบงันที่แข็งแกร่งขึ้น
โอ้
แม้จะอยู่ในกรณีที่เขาไม่พบกับภาพลวงตา เขาก็สามารถใช้มันเป็นสัญญาณในการโจมตีหมู่ได้…
แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอเข้าจริงๆ …
ใบหน้าของมัคฮู เรดด์เปลี่ยนเป็นสีเขียว ในเวลาเดียวกันคาซาที่ให้ความสำคัญกับภูเขาด้านนอกอย่างยิ่งก็วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก “แย่แล้วๆ ตำแหน่งของออร์คถูกเปิดเผยแล้ว ตอนนี้พวกมันกำลังต่อสู้กับกองทัพรุ่งอรุณ!”
“พวกออร์คเวร! พวกมันไม่รู้ว่าการรอคืออะไรรึไงกัน คนโง่เหล่านั้นลืมไปหรือเปล่าว่าสนามรบของพวกเขาควรจะอยู่บนภูเขา” มัคฮู เรดด์ตะโกน เขายังคงต้องการที่จะพูดต่อไป แต่แล้วเขาก็หลับตาลงและหายใจเข้าลึก ๆ ไม่ว่าในกรณีใดเขาไม่ได้คาดหวังให้ออร์คเหล่านั้นมาช่วย
เขาจ้องมองวิลเลียมอย่างดุร้าย จากนั้นเขาก็หันหลังและเดินเข้าไปในถ้ำปีศาจโดยมีคาซาตามหลังเขามาอย่างใกล้ชิด
พ่อมดดำและผู้ติดตามของเขามาถึงแท่นบูชาที่เต็มไปด้วยเลือด
มัคฮู เรดด์เผยรอยยิ้มโหดเหี้ยม ดวงตาของเขาเป็นประกายเมื่อเขาหันไปมองที่คาซา “ผู้ชายต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น”
“อาจ-… อาจารย์… ไม่… อาจารย์ไม่อย่าทำแบบนี้…” มันคือทั้งหมดที่พ่อมดดำคาซ่าสามารถพูดได้ก่อนที่เขาจะถูกสังหาร
โอดอมอ้าแขนรับการต่อสู้ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตเขา
อีกฝ่ายคือออร์คขาวที่มีสายเลือดระดับรีเจนดารี
แต่โอดอมก็ยังเปี่ยมไปด้วยศักดิ์ศรีแห่งเทพเจ้าทางเหนือ… คนแคระแห่งหุบเขาเดียวดาย
แม้ว่าเขาจะอยู่เพียงแค่เลเวล 54 และไม่สามารถเทียบกับอัลทาอิกได้แม้แต่น้อย แต่เขาก็มีสายเลือดของตระกูลเฮฟวี่แฮมเมอร์ที่แสนกล้าหาญ
เขาสวมชุดอุปกรณ์สายฟ้าระดับอีปิค มือโบกสะบัดค้อนสายฟ้าระดับอีปิคคู่ใจ… เขาตั้งใจที่จะต่อสู้จนตัวตายไปพร้อมกับออร์คขาวตนนี้
เนื่องจากเลเวลที่แตกต่างกันมากเกินไป โอดอมที่พึ่งพาเพียงอุปกรณ์ไม่สามารถต่อกรไปได้นานมากกว่านี้และพ่ายแพ้หลังจากผ่านไปห้านาที แต่ยังดีที่อเล็กซ์พบโอกาสตอบโต้อัลทาอิกและสามารถช่วยเหลือโอดอมไว้ได้
แต่ไม่ว่าในกรณีใด กองกำลังออร์คที่ถูกค้นพบล่วงหน้าก็ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง
แต่ถึงอย่างนั้น หากเหล่าออร์คไปไกลมากกว่านี้ กองทัพรุ่งอรุณคงจะตกที่นั่งลำบาก
และด้วยการต่อสู้กับหน่วยลาดตระเวน ไม่เพียงแต่จะทำให้พบร่องรอยของพวกมันเท่านั้น แต่ยังทำให้อเล็กซ์ค้นพบที่ซ่อนของพวกมันอีกด้วย คงต้องบอกว่าเหล่าออร์คนั้นโชคร้ายจริงๆ
กองทหารชั้นยอดทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด หลังจากนั้นไม่นานกองทัพของอัลทาอิก ซึ่งเป็นออร์คระดับรีเจนดารีก็ต้องถอยทัพครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความพ่ายแพ้
เขาไม่สามารถคว้าโอกาสไว้ได้ เขาไม่เข้าใจจังหวะในการบุกโจมตี
ด้วยจำนวนทหารที่เท่าๆกัน มันเป็นเรื่องยากที่กองทัพออร์คจะเอาชนะกองกำลังของมนุษย์ได้
แม้ว่าในแง่ของพลังการต่อสู้ของแต่ละบุคคล อัลทาอิกซึ่งอยู่ในเลเวล 65 นั้นแข็งแกร่งมากและสามารถเอาชนะคนที่อยู่ในระดับอีปิคได้ แต่หากถูกโจมตีหลายๆทิศทางในเวลาเดียวกันล่ะก็… ซึ่งมันกำลังเกิดขึ้นในสถานการณ์นี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายตรงข้ามที่เขากำลังเผชิญอยู่นั้นมาจากกองทัพรุ่งอรุณที่วิลเลียมคัดสรรมาอย่างดี องครักษ์เอลฟ์ที่กล้าหาญและทรงพลัง ทุกคนถือเป็นมินิบอสเลยก็ว่าได้ สำหรับชนชั้นสูงในหมู่ออร์คที่มีสายเลือดระดับกลาง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่พวกเขาจะรับมือได้
บรัดดี้ ครัชเชอร์ที่สูงกว่าสามเมตรทำตัวสมชื่อ
โทรล์ที่มีเขี้ยวแหลมคมขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่กองทัพของเหล่าออร์ค ไม่มีใครขวางเขาได้ เปรียบเหมือนกับรถถังหนักแล่นผ่าน แค่เขาคนเดียวก็สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ของสงครามขนาดย่อมๆนี่ได้แล้ว
รองแม่ทัพของอัลทาอิกซึ่งมีสายเลือดยระดับอีปิคพุ่งเข้ามาทันที แต่เขาดันเลือกศัตรูผิด…
เมื่อเผชิญหน้ากับโทรลเลเวล 70 สายเลือดของเขาก็ใช้การอะไรไม่ได้มากนัก โจมตีได้เพียงไม่กี่ครั้งก็ถูกสังหารไป
แม้แต่ฟิว โรสเซอร์ก็ยังแสดงให้เห็นถึงความองอาจห้าวหาญและแสดงพลังต่อสู้ที่เขาควรจะมี เขาเป็นมือใหม่ที่ปราบศัตรูลงได้อย่างง่ายดาย ยิ่งเขาต่อสู้มากเท่าไหร่ เขาก็ดุร้ายมากขึ้นเท่านั้น และแสดงให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมของนักรบโถวเหยิน เขาสีทองของเขาดูวิบวับแวววาวในสนามรบ หากใครปฏิเสธที่จะยินยอม เขาก็จะเข้าโจมตี
อัลทาอิกผู้มีเลเวล 65 เป็นเสาหลักของกองทัพ แต่หลังจากที่รองแม่ทัพของเขาตายไปก่อนเวลาอันควร เขาก็พบว่าตนเองกำลังเผชิญหน้ากับบอสระดับอีปิคโดยตรงมากเกินไป
ด้วยจำนวนทหารที่มากมายเขาทำได้เพียงแค่ถอยหนีเท่านั้น
เช่นเดียวกับตอนที่วิลเลียมเผชิญหน้ากับนักล่าค่าหัวทั้งสี่ อัลทาอิกก็ไม่อยากรีบตายเช่นกัน
แต่ด้วยความดื้อรั้น ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เหลือออร์คแค่ 500 กว่าตนและนำไปสู่การถอยทัพ นี่ทำให้เขารู้สึกสลดใจ
โอดอมไม่ได้ไล่ตามพวกเขา เป้าหมายภารกิจของการต่อสู้ครั้งนี้ชัดเจนมาก และนั่นก็คือถ้ำปีศาจ
จากการต่อสู้ครั้งนี้เขาได้ค้นพบสิ่งหนึ่ง เขากลายเป็นเป้าหมายของภารกิจ นอกจากนี้เขายังสร้างความเกลียดชังอย่างรุนแรงต่ออัลทาอิก
แต่เขาก็เกลียดมันเช่นกัน ที่บรรพบุรุษของเขาต้องพินาศลงก็เพราะเหตุนี้ โอเคไหม?
แต่นี่เป็นผลกรรมของอัลทาอิกที่นำกองทหารของเขาเข้าเปิดการโจมตี
แม้ว่าโอดอมจะมีค่าหัวถึง 100,000 เหรียญทอง แต่มันก็เพียงทางผ่านสำหรับอัลทาอิกเท่านั้น
โอดอมแน่ใจว่ากองทัพรุ่งอรุณต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา แต่ทันใดนั้นภูเขาที่เต็มไปด้วยหมอกก็สว่างขึ้น เมื่อโอดอมเห็นดังนั้น เขาก็เข้าใจทันทีว่านั่นเป็นสัญญาณจากท่านลอร์ด เขาพาคน 3,000 คนไปกับเขาและรีบวิ่งเข้าไปในภูเขาโดยปล่อยให้ทหารและกองทหารรับจ้างที่เหลือเฝ้าอยู่ด้านนอก
ภูเขาที่เต็มไปด้วยหมอกแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก กองทัพรุ่งอรุณที่มีคนกว่า 3,000 พุ่งเข้าไปในภูเขาโดยมีโล่อยู่ตรงหน้า
แต่ฉากที่พวกเขาเข้ามาเห็นนั้นสะเทือนใจเป็นอย่างมาก!
มีสิ่งมีชีวิตจากความมืดเหลือเพียงไม่กี่ตนอยู่ในภูเขาและพื้นดินก็ปกคลุมไปด้วยซากศพ ไม่มีพื้นที่แม้แต่จะวางเท้าลง
ปีศาจส่วนใหญ่ถูกกินหมดแล้ว
ออร่าอันทรงพลังของมันยังคงอบอวลอยู่
แต่สิ่งสำคัญที่พวกเขากังวลมากที่สุดก็คือเจ้าเมืองของพวกเขา… วิลเลียม แบล็คลีฟ
ชุดอุปกรณ์ธันเดอร์ที่สว่างและแวววาวของเขาถูกทำลายจนหมดสิ้น มันอาจจะถูกนำกลับมาหลอมใหม่และสร้างขึ้นอีกครั้ง แต่มันก็ไม่สามารถใช้ในการฝึกฝนได้อีกต่อไป
โดยเฉพาะใบหน้าหล่อเหลาของเขาที่ทำให้สาวๆ ทั้งเมืองตกหลุมรักเขาจนพากันอกหักไปเป็นแถบๆ…
มันยากที่จะจินตนาการถึงสิ่งที่ท่านลอร์ดของพวกเขาพบเจอ
ตรงกันข้ามกับวิลเลียม
ลอทเนอร์และเอริคไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส มีเลือดสาดบนร่างกายของพวกเขา แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร
ทั้งคู่พบว่าสหายของพวกเขากำลังมองมาที่พวกเขาด้วยความเกลียดชัง แต่พวกเขาทำได้เพียงแค่อยู่เงียบๆ พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะแสดงความกระวนกระวายออกไป พวกเขาอยากจะอธิบายตัวเองจริงๆ ว่าพวกตนคุยกันเรื่องนี้แล้ว หากไม่มีการขอความช่วยเหลือ ก็ไม่ต้องเข้าไปช่วยเหลือใดๆทั้งสิ้น
นี่เป็นคำสั่งจากท่านลอร์ด …
ลอทเนอร์มีความชำนาญในการเล่นลิ้น เขารีบบอกคนที่เหลืออย่างรวดเร็วว่าวิลเลียมกล้าหาญและกวาดล้างสิ่งมีชีวิตในความมืดอย่างไร เขาบอกว่าไม่มีใครเทียบวิลเลียมได้และมองไปยังศัตรูด้วยความรังเกียจ เขากำจัดสิ่งมีชีวิตมืดในภูเขาเกือบทั้งหมด
คำพูดยกย่องสรรเสริญยังคงกล่าวต่อไป
ทุกคนหันมาสนใจวิลเลียม ในที่สุดลอทเนอร์และเอริคก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
อย่างไรก็ตาม
หลังจากวิลเลียมพบกับคนที่เหลือแล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่าคู่ต่อสู้คนต่อไปของพวกเขาคงจะไม่เรียบง่ายเหมือนที่ผ่านๆมา!
………………………….
ในโพรงขนาดใหญ่ภายในถ้ำปีศาจ
มีแท่นบูชาที่สร้างจากหินออบซิเดียนบริสุทธิ์ มันถูกปกคลุมไปด้วยสัญลักษณ์ลึกลับและร่องรอยของเลือดบนสัญลักษณ์บางอย่างได้
ทั้งแท่นบูชาเป็นประกาย ราวกับว่ามันกำลังแผ่รัศมีความชั่วร้าย
ตรงหน้าแท่นบูชาคือประตูพื้นแคบๆบานหนึ่ง เบื้องหลังวังวนแห่งความมืดคือโลกแห่งความมืด
บางครั้งสิ่งมีชีวิตมืดระดับต่ำก็จะปรากฏขึ้น
แต่เนื่องจากการสะท้อนกับแท่นบูชาประตูมิติจึงขยายใหญ่ขึ้นและมั่นคงมากขึ้น
พ่อมดดำคาซ่าที่มีเลเวล 50 ถูกถอดเสื้อผ้า เขาถูกมัดด้วยเชือกหวายสีดำ
คาซ่าแค่ต้องการให้มัคฮู เรดด์ฆ่าเขา แต่เขาก็ถูกปิดปากเช่นกันและไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
“ช่างเป็นร่างกายที่สูงและแข็งแรงอะไรอย่างนี้!” มัคฮู เรดด์เดินไปรอบๆ ‘ลูกศิษย์’ ของเขาสองสามรอบ เขากรีดร่างกายของคาซ่าอย่างไร้ความปรานีหลายต่อหลายครั้ง
มันทำให้คาซ่าเจ็บปวดมากจนไม่สามารถหยุดร้องไห้ได้ มัคฮู เรดด์ตีไปที่ร่างกายของคาซ่าอย่างรุนแรง “ทำไมเจ้าถึงร้องไห้? เจ้ากำลังจะถูกสังเวยให้กับปีศาจ จากนั้นข้าก็จะได้รับประโยชน์จากร่างกายของเจ้า ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ทำไมข้าถึงต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อดูแลเจ้าด้วย”
รอยฝ่ามือสีแดงปรากฏขึ้น
คาซ่าไม่ตะโกนอีกต่อไป เขารู้แล้วว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น เนื่องจากเขาไม่สามารถต่อสู้กลับได้ เขาจึงยอมรับชะตากรรมเมื่อมันมาถึง
มัคฮู เรดด์ยิ้มอย่างชั่วร้ายขณะหยิบไม้เท้าออกมาและเริ่มสวดมนต์
เมื่อเขาสวดมนต์เลือดบนแท่นบูชาก็ค่อยๆลอยขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะค่อยๆก่อตัวเป็นตัวอักษรนับหลายสิบ
เมื่อคาถาปรากฏขึ้นคลื่นกระแทกก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ!
ขณะนั้นเอง!
ตัวอักษรเลือดก็เลือนหายไป
ราวกับว่า… พวกมันข้ามผ่านประตูมิติเข้ามาแล้ว!
มัคฮู เรดด์หลับตา
เขากำลังรอการตอบรับจากปีศาจ
เขารู้ว่าศิษย์ของเขามีความโดดเด่น และมีพรสวรรค์สูงกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ
แม้ว่าเขาไม่ได้อยากที่จะสังเวยลูกศิษย์คนนี้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้นั้นยุ่งยากเกินไป
เขาไม่สามารถรอต่อไปได้อีก
เวลาผ่านไป
สิบวินาที
30 วินาที
40 วินาที!
กลิ่นที่น่ากลัวลอยอบอวนอยู่ในอากาศ!
มัคฮู เรดด์คุกเข่าบนพื้นด้วยความตื่นตระหนก และตะโกนด้วยความประหลาดใจว่า “ขอต้อนรับ… อันดู มาลิผู้ยิ่งใหญ่!”
ปีศาจที่แสนหล่อเหลาค่อยๆย่างก้าวออกมา เขายิ้มอย่างมีเสน่ห์และพูดช้าๆว่า “ไม่ใช่ ข้าเป็นแค่บุตรของเขา”
มัคฮู เรดด์ไม่กล้าขยับ เขารู้ว่าเขาพูดผิดไปแล้ว แม้ว่าเขากำลังพยายามจะเลียแข้งเลียขาก็ตาม
ปีศาจผู้หล่อเหลาเหยียดนิ้วออกมากวาดเลือดบนผิวของคาซ่าโดยไม่สนใจว่าคาซ่าจะดิ้นรนและตะโกนแค่ไหน เขาชอบลิ้มรสเลือดที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน
ปีศาจรูปหล่อยกยิ้มให้คาซ่าก่อนจะพูดว่า “ข้าชอบเจ้า!”
จากนั้น
ทันใดนั้นเขาก็อ้าปากและกลืนคาซ่าลงไป!
ในเวลาไม่นาน
คาซ่าก็หายไป เขากินจนหมด…
ปีศาจรูปหล่อแลบลิ้นงูออกมาเลียริมฝีปากของเขา “อร่อยดีหนิ ข้าชอบรสชาติของเขา แน่นอนว่าข้าต้องกินเขา”
จากนั้นเขาก็พ่นลูกบอลพลังงานสีดำออกมาและขว้างมันไปที่มัคฮู เรดด์ เขาเดินจากไปโดยไม่หันกลับมา
“การสังเวยของเจ้าไม่ได้แย่ แต่ข้าแค่อยากกินอะไรที่อร่อยกว่านี้”
มัคฮู เรดด์มองเห็นอมนุษย์และทหารแห่งความมืดที่เขาเรียกมา พวกเขาไม่สนใจคำสั่งของเขาอีกต่อไป พวกเขาเดินตามปีศาจและเดินจากไปพร้อมกับเขา
เขาหรี่ตาไม่ได้ขยับเขยื่อนไปไหน
เมื่อปีศาจหายไปจากสายตาของเขา มัคฮู เรดด์ก็ยิ้ม เขาค่อยๆกลับสู่เงามืดและหายไป!
ในตอนที่คลื่นกระแทกปรากฏขึ้น
วิลเลียมและคนอื่นๆ รู้สึกได้ถึงพลังที่ทำให้หายใจแทบไม่ออก
“ไม่ ไม่ มันไม่มีทางเป็นศัตรูระดับสูงได้” วิลเลียมพูดย้ำกับตัวเอง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สั่งให้ทหารของเขาถอยทัพออกไป
เขาเดินนำผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาและปิดกั้นทางเข้าของถ้ำปีศาจ เขามองเข้าไปในถ้ำอย่างระมัดระวัง แต่ก็ไม่ได้รีบรุดเข้าไป
หลังจากนั้นไม่นาน
พวกเขาก็เห็นอะไรบางอย่างกำลังออกมา มันเป็นปีศาจตัวสูงที่หน้าตาหล่อเหลาผู้มีสัญลักษณ์อยู่ทั่วทั้งร่างกายของเขา ปีกและเขาของมันถูกปกปิดเอาไว้ รูปร่างหน้าตาของมันดูราวกับมนุษย์ที่ถูกสาป แต่กล้ามเนื้อและร่างกายของเขาให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนมนุษย์
แม้ว่าจะมีกองทัพ 3,000 คนอยู่ที่นี่ แต่ปีศาจก็ไม่สนใจเหล่าคนที่อยู่ตรงหน้า!
เขามองไปรอบๆและสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นเขาก็เพ่งมองไปที่วิลเลียม “ข้าชอบเจ้า เจ้าครึ่งเอลฟ์”
“ …” วิลเลียมพูดไม่ออก ปีศาจตนนี้พูดสิ่งที่อาจทำให้เข้าใจผิดได้ออกมา
แต่ปีศาจก็จ้องมองวิลเลียมอย่างนิ่งๆ เขายิ้มและพูดว่า “ให้ข้าแนะนำตัวข้าก่อน ข้ามีนามว่า อันดู ดานา หนึ่งในทายาทของอันดู มาลิ!”
ในตอนที่เขาพูดจบ กองทัพทั้งหมดก็เข้าสู่ความโกลาหล ลอทเนอร์และลูกน้องที่เหลือรู้สึกราวกับว่าพวกเขาเหยียบลงบนขี้หมา
แต่ไม่ใช่ว่าสถานการณ์นี้เหมือนกับอย่างอื่นอยู่หรอกหรือ?
มันเหมือนกับว่าปีศาจมาที่นี่เพื่อแสวงหาคู่ครอง
อันดู มาลิเป็นหนึ่งในผู้นำของปีศาจจากโลกแห่งความมืดใต้พิภพ
เขาเป็นปีศาจในตำนานที่มีชื่อเสียง ชื่อของเขาแพร่กระจายไปทั่วทวีปตั้งแต่ตอนต้นของยุคนี้ เขามีชื่อเสียงมากขึ้นเมื่อเขาให้กำเนิดบุตรธิดาหลายตน มันเป็นเพราะว่าเด็กเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้เข้าไปในทวีปก็อดและสร้างความหายนะให้กับโลก
วิลเลียมจ้องมองเขาและเปิดดูหน้าต่างสถานะ!
อันดู ดานา
เผ่าพันธุ์: ปีศาจเบอเซอเกอร์
สายเลือด: อีปิค
ระดับ: ระดับกลาง
เลเวล: 69
พลังชีวิต: …
“ปีศาจเบอเซอเกอร์ที่มีพลังชีวิต 23,000 หน่วย?” วิลเลียมอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
และสิ่งสำคัญที่ควรรู้ไว้ก็คือการที่อันดู ดานาอยู่ที่เลเวล 69 เขาเป็นปีศาจเบอเซอเกอร์ระดับสูง เขาเองก็คงจะดุร้ายไม่น้อยเลย…
ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่าเขามีสายเลือดของอันดู มาลินั้น วิลเลียมไม่ได้สนใจกับเรื่องนี้มากนัก
อันดู มาลิมีลูกหลานมากมาย แม้ว่าสายเลือดของเขาจะมีเพียงระดับอีปิค เพียงปรายตามองแค่ครั้งเดียวก็พอที่จะทำให้สังเกตได้ว่า ‘ทายาทตนนี้’ อยู่ห่างจากอันดู มาลิหลายรุ่น
แม้ว่าศักยภาพทางสายเลือดของเขาจะดีก็ตาม
แต่ศักยภาพของเขาก็ค่อยๆเปลี่ยนไปจากการสังเวยโดยพ่อมดดำ ใช่ไหม?
ศักยภาพของระดับอีปิคที่แท้จริงกับศักยภาพแบบนี้มันมีความแตกต่างกันอยู่
เมื่อฟิว โรสเซอร์เห็นอันดู ดานา เขาก็ได้เหลือบไปเห็นเหล่าอัศวินมรณะและอัศวินแห่งความตายที่ปรากฏตัวออกมาจากถ้ำปีศาจ จู่ๆเขาก็เลิกคิ้วขึ้น ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกอยากกลับบ้านและไปเล่นสนุกกับลูกๆ ของเขาขึ้นมาทันที
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามวิลเลียม “เรายังจะสู้อยู่หรือเปล่า? แม่ของข้าคงอยู่ที่บ้าน รอข้ากลับไปเพื่อจะได้เริ่มทานอาหารพร้อมๆกัน ลูกชายของข้าอายุเพียงแค่ห้าขวบเท่านั้น กำลังเป็นช่วงที่ดีที่สุดที่จะสอนเขาเกี่ยวกับพลังการต่อสู้…”
วิลเลียมยิ้ม เขากระแอมไอเบาๆ “เจ้ากำลังวางแผนที่จะไม่ต่อสู้รึเปล่า? เจ้ากำลังรอให้ปีศาจเปลี่ยนถ้ำปีศาจขนาดเล็กแห่งนี้ให้กลายเป็นขนาดกลางงั้นหรือ?”
จากนั้น วิลเลียมก็ออกตัวอย่างดุเดือดและตะโกนว่า “มาสู้กันตัวต่อตัวเถอะ!”
อันดู ดานาประหลาดใจ เขาไม่ได้คาดคิดว่าลูกครึ่งเอลฟ์ตนนี้จะกล้าหาญขนาดนี้ แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะรับคำท้า เขาพยักหน้า…
แต่ในเวลาเดียวกันอันดู ดานาก็ตระหนักถึงบางสิ่ง มีใครบางคนกำลังเพิ่มเวทมนตร์ของวิลเลียมอยู่
อย่างไรก็ตาม เขาก็แอบมั่นใจในตัวเองอยู่ไม่น้อย เขาจึงเลือกที่จะไม่หยุดมัน
เขาปล่อยให้ผู้ส่งสาร, อัศวินและนักบุญที่ซ่อนตัวอยู่ในกองทัพออกมาที่หน้าสนามรบ
เขาเปิดโอกาสให้พวกเขาใช้แสงศักดิ์สิทธิ์และเวทมนตร์ให้วิลเลียม
ในทันใดนั้น ร่างกายของวิลเลียมก็เริ่มเปล่งประกาย
ก่อนการต่อสู้
ผู้วิเศษและนักบุญทั้งหมดที่มีอยู่ในกองทัพทำให้วิลเลียมได้บัฟ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนที่อยู่ข้างๆวิลเลียมก็มอบบัฟให้เขาอย่างว่าง่าย
วิลเลียมที่เพิ่งเข้าสู่เลเวล 47 ได้เพิ่มพลังบัฟสูงสุดกับตัวเขา คุณสมบัติหลายอย่างของเขาเพิ่มขึ้นอีกห้าระดับ
นอกจากนี้ เขาก็ยังว่องไวขึ้นราวกับผี เขายังรู้สึกแข็งแรงมาก รอยเท้าลึกถูกทิ้งไว้บนพื้นจากทุกย่างก้าวของเขา มันดูราวว่าพื้นดินจะทรุดตัวลงไปด้วยซ้ำ…
เมื่อถูกเติมพลังจากการเพิ่มบัฟเหล่านี้ วิลเลียมก็เป็นเหมือนมังกรเมื่อเขาเข้าโจมตี เขาเล็งดาบยาวไปที่หน้าอกของเป้าหมาย…
แต่อันดู ดานายิ้ม เขาเร็วกว่ายิ่งกว่าวิลเลียม เขาใช้มือจับใบมีดและหยุดดาบแห่งสายฟ้าไม่ให้แทงทะลุหน้าอกของเขา
อย่างไรก็ตาม…
สีหน้าบนใบหน้าของอันดู ดานาดูเศร้าใจเมื่อเขาตระหนักว่าไม่มีอะไรที่น่านับถือเกี่ยวกับครึ่งเอลฟ์ตรงหน้าเขา…
นอกจากฟิว โรสเซอร์ที่ขอกลับบ้านไปเล่นกับลูกชายแล้ว
ผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆ ล้วนเป็นทหารที่ยอดเยี่ยมและเข้าใจกันและกัน
เมื่อวิลเลียมโจมตี พวกเขาเข้าใจชัดเจนว่าเจตนาของท่านลอร์ดคืออะไร
ในตอนนั้นเอง พวกเขาทั้งหมดเลือกที่จะใช้การโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของพวกเขา
การต่อสู้แบบตัวต่อตัว?
พวกเขาเป็นคนโง่?
ในสถานการณ์แบบนี้ ใครจะไม่สู้เป็นกลุ่มบ้าง
ในฐานะทหารพราน ลอทเนอร์และเอริคยกคันธนูสีทองเข้มขึ้นแล้วยิงออกไป ที่สำคัญกว่านั้นคือ ลูกศรเหล่านั้นมีคุณภาพระดับทอง
อันดู ดานาเห็นพวกเขาในตอนที่พวกเขายกมือขึ้น
แต่พวกเขายิงเร็วเกินไป
ลูกศรบินผ่านอากาศราวกับดาวตกสองดวงที่เล็งมายังศีรษะของเขา!
อันดู ดานาปล่อยมือด้วยความโกรธ พลังงานสีดำแผ่ออกมาจากร่างกายของเขาและพยายามสกัดกั้นลูกธนูที่พุ่งมาอย่างไม่ทันตั้งตัวที่อาจส่งผลถึงชีวิต…
แต่ดาบแห่งสายฟ้าในมือของวิลเลียมยังคงเปล่งประกาย พลังแบทเทิล คัทถูกใช้ในจังหวะที่เหมาะสม ในขณะนี้พลังงานดาบถูกปลดปล่อยและพุ่งไปที่หน้าอกของอันดู ดานา
แต่เลเวลของอันดู ดานานั้นสูงเกินไปสำหรับวิลเลียม พลังแบทเทิล คัทไม่ได้ทำให้เกิดอันตรายกับอันดู ดานามากนัก มันทำให้พลังงานสีดำบางส่วนรอบตัวของเขาหายไป เจ้าปีศาจเพียงแค่สะดุดถอยหลังไป
“ตุ๊บ ตุ๊บ!”
เกิดระเบิดสองครั้ง
ตอนนี้หน้าอกของอันดู ดานามีสองรู
การโจมตีที่ดูเหมือนซับซ้อนใช้เวลาเพียงแค่สองวินาที
แต่ก่อนที่อันดู ดานาจะได้ตะโกนออกไปเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หลัง กริชยาวและบางถูกใช้แทงทะลุกระดูกสันหลังของเขา มันแทงทะลุอวัยวะของเขาด้วยซ้ำ!
“ไป” ในที่สุดอันดู ดานาก็ตะโกนออกมา อัศวินมรณะและอัศวินแห่งความตายที่อยู่ข้างหลังเขาพุ่งออกไปข้างหน้าอย่างดุเดือด
แต่แค่ในจังหวะต่อมา
อันดู ดานาตระหนักว่าเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป
ทันใดนั้นมือวิญญาณก็ปรากฏขึ้นที่ใต้เท้าของเขา แล้วจับขาของเขาเอาไว้แน่น
มือวิญญาณซึ่งมีพลังในการดักจับศัตรูเป็นเวลาเก้าวินาทีสามารถคงอยู่ได้เพียงแค่หนึ่งวินาทีภายใต้แรงกดดันอันยิ่งใหญ่จากอันดู ดานา แต่ก็มันดีพอแล้ว เพราะอย่างน้อยมันก็ไม่ล้มเหลว
ถึงอย่างไร สำหรับวิลเลียมและคนที่เหลือ เพียงวินาทีเดียวก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
บลัดดี้ ครัชเชอร์ถือเขี้ยวหมาป่าอันหนักอึ้งของเขาและโจมตีไปที่ศีรษะของอันดู ดานา กะโหลกศีรษะส่วนหนึ่งแตก เขารู้สึกหวิวเล็กน้อยและทรุดลงไปบนพื้น…
สมาชิกกองทัพทำให้พลังชีวิตของอันดู ดานาลดลงไปครึ่งหนึ่ง เขาเต็มไปด้วยไฟแห่งความโกรธ แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น เขาก็พบว่าตัวเองกำลังจ้องมองไปที่นักบุญสิบคนที่มาพร้อมดาบและโล่ซึ่งล้วนเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา
ด้วยความเอื้ออำนวยจากความแคบของ ถ้ำปีศาจทำให้พวกเขาปิดกั้นกองทัพแห่งความมืดเอาไว้ได้ ด้านหลังพวกเขา กองทัพแห่งรุ่งอรุณระดับสูงปรากฏตัวออกมาด้านหน้า
ในขณะเดียวกัน ผู้ส่งสารของวิหารก็นำเหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดมา พวกเขายกดาบขึ้นพร้อมกันและอัญเชิญดาบศักดิ์สิทธิ์จากท้องฟ้า ดาบเล่มนี้แทงทะลุหลังของอันดู ดานาทำให้เลือดของเขากระเซ็นไปไกลหลายสิบเมตร
ร่างกายของปีศาจนั้นแข็งแกร่ง และการฟื้นตัวและความอดทนของเขาก็สูง
แต่กระดูกสันหลังของเขาที่เป็นเป้าหมายก็ยังคงมีความสำคัญมาก
ด้วยอาการตกใจของอันดู ดานา เขาไม่สามารถยืนขึ้นได้ กระดูกสันหลังของเขาดูเหมือนจะร้าว…
“เจ้าเด็กไร้เกียรติ ข้ามีสายเลือดของอันดู มาลิ เจ้ากล้าดูถูกได้อย่างไร…”
แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ
ลูกศรสามดอกที่เปล่งประกายไปด้วยสายฟ้าได้แทงทะลุศีรษะของเขาทีละลูกตามๆ กัน
จุดตาย!
ธนูสายฟ้าที่มีคุณภาพระดับทองเข้มและลูกศรที่มีคุณภาพระดับทองเมื่อรวมกันแล้ว พลังของพวกมันก็เป็นราวกับระเบิด
พลังที่รวมตัวกันพุ่งทะลุผ่านพลังงานสีดำที่อันดู ดานารวบรวมเอาไว้ ลูกศรที่สร้างขึ้นจากเกล็ดของผู้ติดตามมังกรแทงทะลุกะโหลกของเขา…
แต่อันดู ดานาก็ยังไม่ตาย!
เขาเป็นปีศาจ
พลังชีวิตของเขาน่ากลัวและกะโหลกของเขาก็แข็งเป็นบ้า
อย่างไรก็ตาม
การโจมตีที่มองไม่เห็นทั้งหมดมุ่งเป้าไปที่เขา ความเสียหายสามารถมองเห็นได้บนร่างกายของเขา
ครึ่งเอลฟ์ที่ดูน่าอร่อยมากสำหรับอันดู ดานา จู่ๆ ก็กลายเป็นเงาที่เหมือนกับยมทูตถือเคียว วิลเลียมปรากฏตัวต่อหน้าอันดู ดานาในพริบตา เขาแทงดาบสีเขียวเข้าที่คอของอันดู ดานาอย่างรวดเร็วและรุนแรง!
ลึกอีก!
ลึกลงไปอีก!
ของเหลวสีเขียวไหลออกมาจากปากของเขา
“โออ…” ดวงตาสีแดงเลือดของเขาเบิกกว้างและร่างกายของเขาก็สั่นไม่หยุด เขาชักกระตุกและทรุดลงบนเข่า…
ชายบึกบึนหลายคนเข้าล้อมรอบเขาและเริ่มรุมกระทืบเขา…
วิลเลียมเลิกคิ้วและพึมพำกับตัวเอง พลังชีวิตของปีศาจตนนี้สูงเกินไป ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องโจมตีครั้งสุดท้าย
ดังนั้นเขาจึงดึงดาบสั้นอาบยาพิษออกมาอย่างดุดัน
จากนั้น เขาก็แทงอีกครั้งอย่างดุเดือด!
พรืด…
เลือดสีเขียวพุ่งออกมา…
วิลเลียมไม่สนใจเกี่ยวกับเลือดที่มีฤทธิ์กัดกร่อนในมือของเขา เขายิ้มให้อันดู ดานา “เป็นอะไรไปพี่ชาย? ท่านจะไม่สู้กลับเหรอ? โอ้! การต่อสู้ตัวต่อตัวที่เราพูดถึงมันหมายถึงพวกเรากับท่าน…”
“…” อันดู ดานา ปีศาจที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับบอสหลายตัวได้เสียชีวิตไปแล้ว
อันดู ดานาเสียชีวิตหลังจากถูกแทง
แต่วิญญาณของเขาก็ไม่สามารถจากไปอย่างสงบได้เช่นกัน มันถูกชะล้างโดยเหล่านักบุญและสลายกลายเป็นฝุ่นเมื่อสัมผัสกับแสงศักดิ์สิทธิ์ มันไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะฟื้นขึ้นมา
เป็นอีกครั้งที่วิลเลียมได้รับคะแนนประสบการณ์หลายพันแต้ม น่าเสียดายที่มีคนจำนวนมากเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ แม้แต่เจ้าโทรลล์ก็ยังได้รับประสบการณ์มาจำนวนหนึ่งมา วิลเลียมไม่ได้รับรางวัลมากเท่าที่เขาเคยได้รับแบบตอนที่เขาฆ่าปีศาจด้วยตัวเอง
แต่การต่อสู้ที่ถ้ำปีศาจก็มาถึงจุดจบในที่สุด
ทหารมรณะและทหารแห่งความมืดที่เหลืออีก 2,000 นายไม่มีโอกาสแม้แต่จะเดินออกจากถ้ำปีศาจ วิลเลียมส่งพวกเขาทั้งหมดกระเด็นไปที่มุมหนึ่ง
“มัคฮู เรดด์ฉลาดมาก เขารู้สึกตัวว่าเขาสู้กับพวกเราไม่ได้ เขาจึงเรียกเพื่อนคนนี้มาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเราและชิ่งหนีไป” วิลเลียมเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เขาพลาดโอกาสที่จะฆ่ามัคฮู เรดด์
เขาเป็นศัตรูที่คุกคามยิ่งกว่าอันดู ดานา
ในด้านความคิด ปีศาจที่มีความได้เปรียบทางสายเลือดดั่งเช่นอันดู ดานานั้นแย่ยิ่งกว่าปีศาจระดับต่ำเสียอีก
พวกเขาเป็นลูกของจ้าวปีศาจ แต่ละคนมีคฤหาสน์ขนาดใหญ่, และมีปีศาจ, โครงกระดูก รวมทั้งทหารแห่งความมืดหลายพันอยู่ภายใต้อานัตถ์ของพวกเขา
ปีศาจระดับต่ำต้องต่อสู้ถ้าพวกเขาต้องการที่จะเลียแข้งเลียขา แต่อันดู ดานาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น
อาณาเขตของพวกเขาในโลกแห่งความมืดนั้นกว้างใหญ่มาก เขาไม่จำเป็นต้องต่อสู้เพื่อสิทธิอำนาจกับพี่น้องของเขา สิ่งที่เขาต้องทำคือรออย่างเงียบๆ ในอาณาเขตของตัวเองที่มีอาหารมากมายให้เขาเพลิดเพลินระหว่างรอ
นอกจากนั้น พวกเขามักจะได้รับเครื่องสังเวยจากผู้วิเศษ, พ่อมดดำ, และนักเวทย์ทั้งหลาย
ท้ายที่สุดอันดู มาลิและคนอื่นๆ ก็แข็งแกร่งเกินไป
แต่การสังเวยธรรมดาๆ ไม่ได้กระตุ้นเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงแจกจ่ายเครื่องบูชาส่วนใหญ่ที่มีให้กับลูกๆ ของเขา
แต่มัคฮู เรดด์นั้นต่างออกไป พ่อมดดำคนนี้ทั้งมีเล่ห์เหลี่ยม, ร้ายกาจและไร้ซึ่งความรู้สึก เขาสามารถใช้ใครก็ได้และจะใช้วิธีใดก็ได้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครั้งนี้เขาได้เตรียมวิธีการมากมายเอาไว้ หนึ่งในนั้นคือกองทัพออร์คของอัลทาอิก หากพวกเขาสามารถซุ่มโจมตี กองทัพแห่งรุ่งอรุณได้ ทหารเหล่านั้นก็จะกลายเป็นเหยื่อสำหรับพิธีบูชายัญแทน
วิลเลียมและกองทัพของเขาออกจากหุบเขาหมอกและทันใดนั้นแสงสีขาวที่ส่องออกมาจากภูเขา
ครืน!
ครึ่งหนึ่งของหุบเขาหมอกก็ถูกส่งกระเด็นออกไป!
ดิน, ต้นไม้และแม้แต่ก้อนหินหนักที่มีน้ำหนักเป็นตันก็ปลิวไปในอากาศ จากนั้นพื้นก็สั่นสะเทือน ผู้คนอดไม่ได้ที่จะตื่นกลัว
กองทัพแห่งรุ่งอรุณรู้ล่วงหน้าว่าวิลเลียมต้องการทำลายกองทัพแห่งรุ่งอรุณ แต่พวกเขาส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าวิลเลียมใช้อะไรทำ พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรที่ทำให้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่เช่นนี้
ผู้ส่งสารอดไม่ได้ที่จะคิดอะไรบางอย่าง
แต่เมื่อเขาสบตากับวิลเลียม เขาก็รีบแตะแขนของเขาเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่รู้เรื่องใดๆ เขาและลูกน้องคนอื่นๆ ทำตัวตาบอดและหูหนวก พวกเขามาที่ถ้ำปีศาจเพื่อต่อสู้กับศัตรูพิเศษบางตัวจากโลกแห่งความมืด
ผู้ส่งสารตัดสินใจที่จะไม่รายงานเรื่องนี้ ไม่ว่าเมืองแห่งรุ่งอรุณจะมีไม้หรือคริสตัลเวทย์มนตร์สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขามากนัก…
วิหารแห่งแสงก็ไม่กล้าที่จะขโมยของๆ เมืองแห่งรุ่งอรุณอยู่แล้ว
แม้ว่าเขาจะได้รับข้อมูลที่แจ้งว่าจะหาผลึกเวทมนต์ได้ที่ไหน เขาก็ไม่ได้เป็นมากไปกว่าแค่ผู้ส่งสาร แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่เหลือไว้ให้เขา?
รางวัลชมเชย?
ผู้ส่งสารในเมืองเป็นเหมือนเจ้าหน้าที่ของเมืองมากกว่า เขาควบคุมผู้ส่งสารคนอื่นและนักบุญในวิหารแห่งแสงในเมือง เขายังเผยแพร่ความเชื่อเรื่องวิหารแห่งแสง
แต่เขายังต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าเมืองเอาไว้ ถ้าไม่อย่างนั้น ตัวเขาก็คงจบ
แต่ผู้ส่งสารคนนี้ตระหนักรู้ดีมาก เขารู้ว่าวิลเลียมเป็นลอร์ดที่ทรงพลังมากและถ้าเขาต้องการมีชีวิตที่ดีในเมืองนี้ เขาต้องทนกับวิลเลียม ถ้าเขาไม่ทำเช่นนั้นเขาจะได้ตายเร็ว แม้ว่าเขาจะทำทุกอย่างเพื่อวิหารแห่งแสง …
[ภารกิจที่ซ่อนอยู่: วิกฤตในดินแดนกับการค้นพบที่ซ่อนของปีศาจ]
[รายละเอียดภารกิจ: เสร็จสมบูรณ์]
[ภารกิจสำเร็จ: 86%]
[รางวัล: 111800 หน่วย]
[รางวัล: หุบเขาหมอก คริสตัลดันเจี้ยนส่วนบุคคล]
วิลเลียมมองดูคริสตัลสีขาวในมือของเขา แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสุข “คริสตัลดันเจี้ยนส่วนบุคคล? เยี่ยมไปเลย ตอนนี้ฉันสามารถนำคริสตัลไปที่เมืองแห่งรุ่งอรุณได้แล้ว พวกผู้เล่นไม่จำเป็นต้องวิ่งไปวิ่งมาอีกต่อไป พวกเขาสามารถเข้าสู่ดันเจี้ยนส่วนตัวได้ที่นี่เลย แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดคือ ในที่สุดฉันก็มีแหล่งเก็บค่าประสบการณ์แล้ว”
ระหว่างการทดสอบภายใน
วิลเลียมค้นพบปัญหาๆ หนึ่ง…
เมื่อผู้เล่นตอบรับภารกิจของเขา พวกเขาจะได้รับค่าประสบการณ์ แต่เขาไม่สามารถทำอย่างนั้นได้…
ย้อนกลับไปตอนนั้น เขาไม่ได้กังวล
เขารู้ว่าในโลกแห่งเทพเจ้ามีผลึกดันเจี้ยนส่วนตัวอยู่…
ในตอนแรกนั้น มันไม่มีดันเจี้ยนส่วนบุคคลในทวีปก็อด
อย่างน้อยก็ไม่มีบันทึกการมีอยู่ของดันเจี้ยนที่ว่าก่อนการทดสอบภายในเลย
แต่หลังจากเกมเบต้า
ในสนามรบเก่าบางแห่ง, ถ้ำปีศาจ, และแม้แต่แคมเปญสงครามที่เพิ่งเกิดขึ้นก็เป็นสถานที่ที่สามารถพบคริสตัลดันเจี้ยนส่วนตัวได้ สิ่งต่างๆ ที่ NPC เคยประสบมานั้นถูกรวมเข้ากับดันเจี้ยนส่วนตัวอย่างสมบูรณ์
หลังจากที่ผู้เล่นพบคริสตัลดันเจี้ยนส่วนตัวแล้ว พวกเขาต้องจ่ายเงิน, เครื่องมือ, หรือแม้แต่ค่าประสบการณ์ จากนั้นพวกเขาจึงจะสามารถเข้าสู่ดันเจี้ยนส่วนตัวและต่อสู้กับมอนสเตอร์ได้
โดยทั่วไปแล้วจะมีคริสตัลดันเจี้ยนส่วนตัวอยู่สองชนิด นั่นก็คือคริสตัสที่สามารถเคลื่อนย้ายได้และคริสตัลที่เคลื่อนย้ายไม่ได้
ผลึกดันเจี้ยนส่วนตัวที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้นั้นมีขนาดใหญ่มาก สามารถพบได้ง่ายตามสถานที่ที่มีสงครามเกิดขึ้น
อีกด้านหนึ่ง คริสตัลดันเจี้ยนส่วนตัวที่ วิลเลียมได้รับมานั้นสามารถเคลื่อนย้ายได้ เขาเป็น NPC หลักในดันเจี้ยนส่วนตัวนี้ คริสตัลดันเจี้ยนส่วนตัวเป็นรางวัลสำหรับเขาเพื่อรักษาความทรงจำนี้ไว้
สำหรับคริสตัลดันเจี้ยนส่วนตัวที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ นั่นเป็นเพราะมี NPC หลักมากเกินไป มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะแจกจ่ายคริสตัลให้กับทุกคน
สรุปแล้วมันเป็นเหมือนรางวัลจากสวรรค์…
ตอนนั้นเองที่วิลเลียมรู้สึกราวกับว่าเขาได้รับคริสตัลดันเจี้ยนส่วนตัวที่เป็นของๆเขาแต่เพียงผู้เดียว
ไม่เพียงแต่มันเป็นแหล่งหาประสบการณ์ที่สำคัญ แต่มันยังเป็นข่าวดีสำหรับผู้เล่นด้วย
ที่สุดแล้ว พวกเขาก็สามารถเข้าดันเจี้ยนส่วนตัวได้โดยไม่ต้องวิ่งเต้น
ช่างเป็นการช่วงชิงที่ดีอะไรเช่นนี้!
NPC คนอื่นมีความสามารถนี้รึเปล่า?
ใช่ แต่มี NPC เพียงไม่กี่คนที่เริ่มการต่อสู้แบบตัวต่อตัวทางทหาร ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถรับคริสตัลดันเจี้ยนส่วนตัวได้
ท้ายที่สุด หลังจากคริสตัลดันเจี้ยนส่วนตัวถูกมอบให้กับ NPC แล้ว มันก็เป็นเหมือนกับรางวัลมากกว่าสำหรับพวกเขาที่จะระลึกถึงความทรงจำของการต่อสู้…
ดันเจี้ยนส่วนตัวอื่นๆ ราคาถูกหรือไม่?
แน่นอนว่าไม่
หากต้องการพัฒนาคริสตัลป่าของดันเจี้ยนส่วนตัว ราคาของมันมักจะสูงมาก
ในทางกลับกัน คริสตัลดันเจี้ยนส่วนตัวสามารถสร้างกำไรได้อย่างสูงเมื่อมันมีผลประโยชน์ต่อการค้นพบของผู้เล่น
อย่างไรก็ตาม สำหรับการเข้าสู่ดันเจี้ยนส่วนตัวในหุบเขาหมอก วิลเลียมวางแผนที่จะเก็บค่าประสบการณ์เท่านั้น เขาวางแผนที่จะไม่เรียกร้องเหรียญทองหรือเครื่องมือใดๆ
อะแฮ่ม แน่นอนว่าอาจต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย แล้วถ้าเขามีเงินไม่เพียงพอ?
ท้ายที่สุด ในตอนที่เขากลายเป็นระดับรีเจนด์ในชีวิตก่อนหน้านี้ เขาเคยขอขนนกฟีนิกซ์สำหรับดันเจี้ยนส่วนตัวชั้นนำ พวกเขาไม่ใช่แค่ดันเจี้ยนส่วนตัวธรรมดา เขาไม่สามารถช่วยให้ผู้คนเพิ่มเลเวลได้เช่นกัน
ดันเจี้ยนส่วนตัวอันปัจจุบันที่เขาเพิ่งได้รับสามารถแบ่งออกเป็นสี่ประเภท
ตัวอย่างเช่น ในดันเจี้ยนธรรมดาผู้เล่นจะไม่ถูกกองทัพออร์คซุ่มโจมตี พวกเขาจะไม่เผชิญหน้ากับบอสพ่อมดดำใดๆ เช่นกัน นับประสาอะไรกับบอสปีศาจ
ภารกิจของพวกเขาคือการฆ่าสิ่งมีชีวิตมืดเพียงไม่กี่ตัวในถ้ำปีศาจ
สำหรับดันเจี้ยนขั้นสูงพวกเขาจะได้พบกับมินิบอส หากพวกเขาโชคดี
ถัดจากระดับขั้นสูงคือระดับอีปิค
หลังจากนั้นคือระดับรีเจนด์
หากผู้เล่นพบกับดันเจี้ยนส่วนตัวระดับรีเจนด์ มันจะเป็นสถานการณ์เดียวกันกับที่วิลเลียมเพิ่งเผชิญมา หากผู้เล่นยังไม่ถึงระดับกลางและไม่มีกองทัพนับพัน มันก็จะเป็นการเดินขบวนไปสู่ความตาย ผู้เล่นในอนาคตจะต้องใช้ความพยายามกี่ครั้งในการที่จะผ่านดันเจี้ยนส่วนตัวในระดับรีเจนด์?
ท้ายที่สุด บอสตัวสุดท้ายคือปีศาจระดับอีปิคเลเวล 69 แม้ว่าเขาจะไม่สามารถทนการโจมตีได้หลายครั้ง มันก็เป็นเพราะบอสจำนวนมากที่เขาเคยเผชิญจากเมืองรุ่งอรุณ…
ในตอนที่เกมเบต้าจะเริ่ม เทคนิคแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งความเงียบ ตลอดจนเครื่องมือและยาเพื่อต้านทานคุณสมบัติแห่งความมืดก็จะขายได้ดี
แน่นอนว่าอาชีพของอัศวินศักดิ์สิทธิ์และนักบุญก็เป็นที่นิยมเช่นกัน
“ที่สำคัญที่สุด ในฐานะ NPC ฉันจะไปปรากฏตัวในดันเจี้ยนส่วนตัวอย่างแน่นอน ผู้เล่นจะได้ชื่นชมความกล้าหาญของฉันอย่างใกล้ชิด” วิลเลียมลูบคางของเขา อาการบาดเจ็บของเขาได้รับการเยียวยาอย่างเต็มที่และรูปลักษณ์ที่น่ากลัวก็หายไปแล้ว
ผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขาไม่กล้าพูดเหมือนกัน
มีเพียงลอทเนอร์เท่านั้นที่คิดว่าวิลเลียมแอบดื่มไลฟ์โพชั่น แต่วิลเลียมไม่ได้เหลือให้เขา…
“น่าเสียดาย แม้ว่าในอดีตฉันจะกำจัดเผ่าออร์คไปแล้วมากมาย แต่ฉันก็ไม่ได้รับคริสตัลดันเจี้ยนส่วนตัวเลย…” วิลเลียมยังเข้าใจด้วยว่าการต่อสู้เหล่านั้นมีระดับต่ำมาก
แต่นี่ก็พิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งเช่นกัน มันเป็นเรื่องยากมากที่จะได้รับคริสตัลดันเจี้ยนส่วนตัวสักอัน
มันก็แค่มีผลประโยชน์มากมายที่จะได้รับหากได้รับคริสตัลดันเจี้ยนส่วนตัว
ตัวอย่างเช่น ในคริสตัลดันเจี้ยนส่วนตัวจากหุบเขาหมอก วัสดุแห่งความมืดมากมายตลอดจนอาวุธและอุปกรณ์สามารถพบได้ในหุบเขานี้
ปีศาจนิรนามที่วิลเลียมฆ่าด้วยมือของเขาดรอปอาวุธต้องสาปคุณภาพระดับทอง อาวุธพร้อมกับร่างของปีศาจสามารถเปลี่ยนเป็นวัสดุได้ ผิวหนังที่หนาของพวกเขาสามารถใช้เพื่อผลิตเกราะชั้นในได้
แต่วิลเลียมร่ำรวยมาก เขาไม่สนใจเรื่องนี้
เขาไม่ได้สนใจอันดู ดานาเลย นับประสาอะไรกับข้าวของของอันดู ดานา
นั่นทำให้เขานึกขึ้นมาได้ อันดู ดานาดรอปอะไร?
วิลเลียมอดไม่ได้ที่จะมองไปที่แหวนสีดำสนิทในมือของเขา “ฉันไม่เคยคาดคิดว่าสมบัติมิติชิ้นแรกที่ฉันได้รับจะมาจากปีศาจ ปีศาจอย่างเขาในตอนนั้น ลองคิดดูเขาไม่ได้มีโอกาสใช้สมบัติมิติของเขาด้วยซ้ำ ช่างน่าเศร้าเสียจริง…”
ช่องว่างภายในวงแหวนมีขนาดเล็กมาก มีความสูงและความกว้างเพียงห้าเมตรเท่านั้น ภายในมีคริสตัลแห่งความมืด 30 ชิ้น, เหรียญทอง 13,000 เหรียญ, ดาบต่อสู้ระดับอีปิค นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก
“ช่างน่าสงสาร…” วิลเลียมหยิบดาบต่อสู้แห่งความมืดและโบกมันไปมาสองสามครั้ง มันยาวและค่อนข้างหนัก แต่ก็ให้ความรู้สึกที่ดีมากที่ได้ถือ
ท้ายที่สุดแล้ว ปีศาจก็สูงและสง่า เขาสูงกว่าสองเมตรและเป็นผู้ชายที่มีกล้ามเนื้อ
แม้ว่าดาบต่อสู้ระดับกลางจะมีคุณภาพระดับอีปิค แต่ก็มีคุณสมบัติและพลังโจมตีที่ดี
แต่มันไม่มีประโยชน์กับวิลเลียมมากนักเพราะเขาไม่ชอบใช้มัน และยังไม่มีประโยชน์สำหรับเอริคและอเล็กซ์เช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะฝึกฝนพลังการต่อสู้แห่งความมืด แต่พวกเขาก็ไม่ใช่ทหาร
แน่นอนว่ามืออาชีพระดับกลางธรรมดาๆส่วนใหญ่คงไม่สนใจส่วนที่อื่นๆมากนัก จุดสนใจของพวกเขาก็คือ
มันเป็นระดับอีปิค!
การมีของใช้มันก็ดีพออยู่แล้ว แม้ว่าคุณสมบัติพลังการต่อสู้จะไม่เหมาะสม แต่นี่ก็เป็นเพียงสิ่งที่เขาได้รับมาฟรีๆ
“ยังไงมันก็ยังคงเป็นสมบัติ เก็บไว้ก่อนค่อยคิดทีหลังแล้วกัน” วิลเลียมยัดดาบยาวสองเมตรเข้าไปในวงแหวนมิติ
ความคิดของเขาที่มีต่อผู้เชี่ยวชาญที่ฝึกฝนพลังการต่อสู้แห่งความมืดนั้นไม่ได้สูงส่งมากนัก สำหรับเขา พวกเขาก็เปรียบเหมือนกับเวทย์มืด
ยกเว้นผู้เล่น NPC ที่ฝึกฝนพลังการต่อสู้แห่งความมืด(เวทมนตร์) ที่จะต้องจมดิ่งลงไปในความมืดอย่างเต็มที่ ในการใช้พลังนั้น พวกเขาต้องเข้าใจ วิเคราะห์ และสำรวจความมืด
ด้วยวิธีนี้ผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณสมบัติด้านความมืดจะสามารถบรรลุความก้าวหน้าและเพิ่มเลเวลได้
แต่เมื่อพวกเขาอยู่ในความมืด พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะมีความปรารถนาในการที่จะไปยังโลกแห่งความมืด
ทุกคนรู้ดีว่าโลกแห่งความมืดที่อยู่ใต้เหวนั้นมีความมืดที่บริสุทธิ์ที่สุด หากมีใครบางคนต้องการเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง การเข้าใจโลกแห่งความมืดจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ผู้ฝึกเวทย์มืดส่วนใหญ่รู้สึกว่าพวกเขามีพลังจิตที่แข็งแกร่งและจะไม่ถูกล่อลวงโดยความมืดได้โดยง่าย
ดังนั้นพวกเขาจึงไปตรวจสอบสิ่งมีชีวิตในความมืดและแม้กระทั่งปีศาจ พวกเขาพยายามหาวิธีที่จะพัฒนาโดยใช้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม
NPC เหล่านี้หมกมุ่นอยู่กับคุณลักษณะแห่งความมืดและใช้วิธีการต่างๆเพื่อติดต่อกับโลกแห่งความมืด เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะตกเป็นเป้าหมายของปีศาจเป็นอันดับต้นๆ ปีศาจจะใช้วิธีต่างๆเพื่อดึงดูดมนุษย์แล้วเปลี่ยนให้เป็นสาวกแห่งความมืดบริสุทธิ์ทีละขั้นตอน
เมื่อเวลาผ่านไปหลายคนกลายเป็นสาวกของโลกแห่งความมืด
มัคฮู เรดด์เป็นตัวอย่าง เขายอมละทิ้งตัวตนของเขาในฐานะมนุษย์เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้นและเขาใช้วิธีการที่ชั่วร้ายทุกรูปแบบเพื่อทำให้ปีศาจพึงพอใจ
ปีศาจทำเช่นนั้นเพื่อที่จะได้เครื่องสังเวยและได้รับโอกาสเข้าสู่โลกแห่งความสว่างในระยะยาว
พวกปีศาจเริ่มวางแผนเรื่องนี้มาตั้งแต่ยุคแรกๆ และมันได้เวลาย้ายถิ่นฐานแล้ว
เรื่องนี้ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
และผลลัพธ์ของสงครามนั้นถือได้ว่าเยี่ยมยอด!
จุดแข็งหลักของโลกแห่งความมืดนั้นประกอบด้วยปีศาจ พวกเขาก่อตั้งกองทัพแนวหน้าและแทรกซึมเข้าไปในทวีป Gods!
สงครามแทรกซึมที่เต็มไปด้วยความอยุติธรรมนั้นกินเวลาไปหลายพันปี
การแทรกซึมของความมืดเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เอลฟ์ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์หลักในทวีป Gods มีจำนวนลดลง ในที่สุดทั้งทวีป Gods ก็ต้องทนทุกข์ทรมาน มันเป็นราคาที่พวกเขาต้องจ่าย
เอลฟ์ได้ล่าถอยออกจากทวีปและมนุษย์กลายเป็นตัวเอกของยุคใหม่ ปีศาจพ่ายแพ้และประตูแห่งความมืดสู่ทวีป Gods ได้ถูกทำลายลง พวกมันไม่มีโอกาสกลับไปยังโลกแห่งความมืด แต่พวกมันก็สามารถอาศัยอยู่ในทวีปก็อดได้ชั่วชีวิต
แต่ชีวิตของพวกมันในโลกแห่งแสงสว่างนี้ แม้ว่าครั้งหนึ่งพวกมันเคยเกือบเทียบเท่ากับปีศาจ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย สิ่งมีชีวิตในความมืดต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกที่สดใดแห่งนี้ พวกมันต้องลดศักยภาพของสายเลือดลง และยิ่งสายเลือดของพวกมันแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ พวกมันก็ยิ่งไม่สามารถอาศัยอยู่โลกแห่งแสงสว่างได้ เว้นซะแต่ว่าโลกนี้จะตกสู่ความมืดมิด ชีวิตของพวกมันนั้นถูกลิขิตให้อยู่ในความยากลำบาก!
ตอนนี้ในทวีปรีเจนดารีมีปีศาจเพียงสามล้านตัวเท่านั้น
พวกมันซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ที่หนาวเหน็บห่างไกลหรือในป่าฝนที่พวกเอลฟ์ไม่ชอบอาศัยอยู่ พวกมันซ่อนตัวอยู่ลึกเข้าไปในถ้ำ เพื่อให้ไม่เห็นแสงสว่างของวัน แม้แต่ออร์คก็มีชีวิตที่ดีกว่า
แม้ว่าปีศาจบางตัวจะสร้างเมืองในพื้นที่ที่ห่างไกลในทวีปรีเจนดารี แต่พื้นที่ที่พวกเขายึดครองนั้นน่าสงสารมาก และมีทรัพยากรน้อยมากเช่นกัน
ทวีปรีเจนดารีนั้นกว้างใหญ่มาก อาณาจักรมนุษย์ไม่ได้พัฒนาหลายๆพื้นที่ที่อุดมด้วยทรัพยากร แล้วพวกเขาจะใช้กำลังทางทหารเพื่อต่อสู้กับเมืองปีศาจได้อย่างไร?
“ผลึกแห่งความมืด? ใช้ในการฝึกฝนพลังการต่อสู้แห่งความมืด (เวทมนตร์) มันให้ค่าประสบการณ์มากกว่าปกติถึงสองเท่า แถมยังราคาแพงด้วย เราจะดูว่ามีโอกาสขายมันหรือเปล่า?” วิลเลียมรู้ด้วยว่ามีราชวังแห่งความมืดอยู่ในดินแดนของเขา เหล่านักรบและนักเวทย์แห่งความมืดน่าจะสนใจไอเท็มเช่นนี้
ท้ายที่สุดแล้ว เราไม่สามารถเลือกคุณลักษณะที่พวกเขาปลุกขึ้นมาได้ บางคนปลุกคุณลักษณะแห่งความมืดโดยไม่ได้ตั้งใจ พวกเขาไม่ได้ทำผิดศีลธรรมของความเป็นมนุษย์ นักเวทมืดบางคนเลือกที่จะฝึกฝนเวทมนตร์แห่งความมืดและไม่ได้กลายเป็นราชาปีศาจที่ชั่วร้าย
เมืองแห่งรุ่งอรุณยินดีกับชัยชนะอีกครั้ง
เมื่อกองทัพรุ่งอรุณกลับมาที่เมือง เสียงกู่ร้องยินดีจากผู้คนกว่าพันคนได้รอคอยพวกเขาอยู่
วิลเลียมได้วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว แม้กระทั่งก่อนที่กองทหารจะออกเดินทาง เขาก็ล้างสมองประชาชนโดยการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อ
‘มีถ้ำปีศาจอยู่ใกล้เมือง หากไม่กำจัดให้รวดเร็ว ปีศาจและสิ่งมีชีวิตในความมืดนับไม่ถ้วนก็จะปรากฏตัวขึ้น จากนั้นเมืองแห่งรุ่งอรุณก็จะตกอยู่ในอันตราย ‘
นั่นหมายความว่าเมืองแห่งรุ่งอรุณกำลังต่อสู้เพื่อเหตุผลที่ถูกต้อง
ท้ายที่สุดเขาก็พูดคล้าย ๆ กันทุกครั้งที่เขาโจมตีเผ่าอื่น ๆ ว่าพวกเขาเป็นภัยคุกคามต่อเมืองแห่งรุ่งอรุณ …
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์
วิธีนี้ค่อนข้างได้ผล มันไม่เคยล้มเหลวเนื่องจากพลเรือนส่วนใหญ่ไม่ชอบใช้สมอง ส่วนใหญ่เป็นพวกงี่เง่า
คนฉลาดมีอยู่จริงในหมู่พวกเขา แต่พวกเขามักเลือกที่จะไม่พูด
กองทัพรุ่งอรุณกลับมาด้วยชัยชนะ พวกเขาได้รับรางวัลอย่างงดงาม
เมื่อกองทหารออกรบ พวกเขาจะได้รางวัลและเงินบำนาญ
เมื่อไม่นานมานี้เมืองแห่งรุ่งอรุณมีการต่อสู้หลายครั้ง พวกเขายังคงมีเงินที่จัดไว้ในส่วนนี้ แต่ก็เหลือไม่มากนัก
มีการจัดพิธีมอบรางวัลใหม่
บรรดาทหารทหารรับจ้างและผู้วิเศษที่เข้าร่วมในการรบตลอดจนอัศวินศักดิ์สิทธิ์และนักบุญจากวิหารแห่งแสงยืนอยู่อย่างเป็นระเบียบที่ลานกลาง เพื่อเอาชนะใจผู้คนวิลเลียมไม่รังเกียจการใช้เงิน เขาพยายามที่จะได้รับความโปรดปรานจากผู้คนในวิหารแห่งแสง
ถนนบ้านและแม้แต่หลังคาในบริเวณใกล้เคียงก็เต็มไปด้วยพลเรือนที่ต้องการชมฉากที่กำลังเกิดขึ้น
เอลฟ์หลายคนในเมืองใหม่ก็มาร่วมชมพิธีด้วย มีผู้คนราวๆเจ็ดถึงแปดหมื่นคนมารวมตัวกัน นี่กลายเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในเมืองแห่งรุ่งอรุณ
วิลเลียมถอดชุดเกราะที่ขาดออก ดาบสายฟ้าที่ผุพังในมือของเขาหายไปในพริบตา เขาค่อยๆเดินออกไปด้วยฝีเท้าหนักๆ ขณะที่ทุกคนหันมามองเขา
ทันทีที่เขาเดินขึ้นไปบนเวทีเขาก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น!
“เรามาที่นี่เพื่อพบท่านลอร์ดของเรา!”
“เรามาที่นี่เพื่อดูบุตรแห่งความรุ่งโรจน์!”
“เรามาที่นี่เพื่อดูบุตรแห่งเทพเจ้าสงคราม!”
ทหารตะโกนชื่อเหล่านี้เสียงดังและชัดเจน พวกเขาได้เห็นการกระทำอันทรงพลังของท่านลอร์ดของพวกเขากับตาแล้ว เขาเป็นลอร์ดที่ควรค่าแก่การเคารพ เป็นผู้เชี่ยวชาญที่พวกเขาเต็มใจที่จะยอมจำนนโดยธรรมชาติ
วิลเลียมแสดงท่าทางให้พวกเขาเงียบลง เขาไม่ได้กล่าวคำพูดที่ยืดเยื้อ แต่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมแทน “มีทหาร 330 นายเสียชีวิต มีทหาร 64 นายบาดเจ็บสาหัส และอีก 1351 นายได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย”
“นี่คือจำนวนผู้บาดเจ็บสูงสุดนับตั้งแต่สร้างเมืองแห่งรุ่งอรุณมา”
เมื่อทหารได้ยินดังนั้นก็เศร้าใจ การเสียชีวิตของสหายของพวกเขาทำให้พวกเขารู้สึกเสียใจ ทุกคนรู้ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการเข้าร่วมกองทัพ ไม่มีสงครามที่ไม่มีผู้เสียชีวิต พวกเขาต้องเตรียมพร้อมเพื่อต้อนรับการมาถึงของความรุ่งโรจน์
แต่พลเรือนบางคนไม่สามารถหยุดร้องไห้ได้ ทหารส่วนใหญ่ 330 นายยกเว้นเด็กกำพร้าสองสามคนมีครอบครัว…
ในครอบครัวปกติการตายของผู้ชายที่โตเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถเลี้ยงดูทั้งครอบครัวได้เปรียบเสมือนการสืบเชื้อสายจากแสงสว่างสู่ความมืด
เมื่อวิลเลียมเห็นว่าบรรยากาศสงบลงเล็กน้อยเขาจึงพูดต่อ “ในฐานะทหารพวกเขาจากไปอย่างมีสง่าราศี พวกเขาตายเพื่อเกียรติยศ พวกเขาตายเพื่อครอบครัวของพวกเขา พวกเขาตายเพื่อพวกท่าน เพื่อความปลอดภัยของเมืองแห่งรุ่งอรุณ”
“เราไม่สามารถชุบชีวิตพวกเขาได้ แต่สำหรับทุกคนที่เสียชีวิตในสงครามเพื่อเมืองแห่งรุ่งอรุณ”
“เราสามารถทำให้ความรุ่งโรจน์ของพวกเขาคงอยู่จนถึงวันที่โลกาล่มสลายได้!”
ณ ตอนนี้
เขาชี้ไปทางทิศใต้และตะโกนว่า “ที่นั่นมีภูเขากว้างใหญ่และหน้าผาสูงชัน ด้านล่างมีคูน้ำของเมืองแห่งรุ่งอรุณ หน้าผานั้นจะเป็นหลุมศพของทหารที่เสียชีวิตลงของเรา เราจะสลักชื่อของพวกเขาไว้ในหินนั้น ชื่อของพวกเขาจะไม่สูญเปล่า มันจะคงอยู่ไว้ให้ทุกคนเคารพนับถือ”
เมื่อเขาพูดจบ
ไม่ว่าจะเป็นทหารกองทหารรับจ้าง ชาวเมือง หรือแม้แต่เอลฟ์และคนแคระคนอื่นๆ ก็อดไม่ได้ที่จะกลั้นหายใจ นี่คืออะไรกัน?
นี่คือความรุ่งโรจน์ที่แท้จริง!
การปล่อยให้ทหารที่เสียชีวิตในสนามรบได้รับการจดจำตลอดไปและเป็นที่จดจำของทุกคนถือเป็นความรุ่งโรจน์ที่แท้จริง!
คำพูดของวิลเลียมได้กระแทกเข้าไปยังหัวใจของทหารจากกองทัพรุ่งอรุณและกองทหารรับจ้าง ความภักดีที่ไม่มีวันสิ้นสุดของพวกเขาไม่ใช่เรื่องตลก ทุกอย่างเป็นของทหารที่เสียชีวิตเพื่อเมืองแห่งรุ่งอรุณรวมถึงกองทหารรับจ้าง อัศวินศักดิ์สิทธิ์และนักบุญจากวิหารแห่งแสง…
วิลเลียมชี้ดาบขึ้นฟ้า เสียงของเขาดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ “เรา วิลเลียม แบล็คลีฟขอสัญญาว่าจะรักษาเกียรติของทหารที่เสียชีวิตในสงครามตลอดไป สำหรับครอบครัวของพวกเขา เมืองแห่งรุ่งอรุณจะดูแลพวกเขา หากเราไม่ตาย เราจะไม่ยอมให้คนของเราอดอยาก”
“เกียรติของเราก็เปรียบได้กับเกียรติของท่านทุกๆคน!”
ขณะนั้น
เสียงกู่ร้องตะโกนดังลั่น
มันอึกทึก
มันดังก้องไปทั่วท้องฟ้า
ความสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้นของพวกเขา เกือบทำให้การแจ้งเตือนของวิลเลียมระเบิด…
อย่างไรก็ตาม
นั่นไม่ใช่ตอนจบ
เสียงก้องกู่ร้องกินเวลาเพียงไม่กี่นาที จากนั้นวิลเลียมก็ประกาศสิทธิพิเศษเพิ่มอีก ครอบครัวของผู้เสียชีวิตสามารถขอรับเหรียญทอง 3 เหรียญจากห้องโถงการเงินได้ ผู้สูงอายุสามารถสมัครงานง่ายๆ เช่น การตัดแต่งกิ่งไม้ทั้งสองข้างของถนน หรือทำความสะอาดทางเดินได้
เมื่อถึงเวลาที่ผู้อาวุโสจะเกษียณอายุเมืองแห่งรุ่งอรุณจะดูแลยามเกษียณ
นักรบที่บาดเจ็บก็จะได้รับรางวัลเช่นกัน
และแม้แต่นักรบที่ไม่ได้รับบาดเจ็บก็ได้รับรางวัลเช่นเดียวกัน
พิธีดำเนินไปจนถึงเวลาเย็น
วิลเลียมเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงใหญ่ในภายหลัง เพื่อนและญาติของนักรบสามารถเข้าร่วมรับประทานอาหารและดื่มไวน์ได้
เขาได้ตอบแทนกองทัพของเขาอย่างงดงามจริงๆ เขาไม่ได้ทำเล่นๆ
วันนี้เขาจ่ายเงินไปแล้วอย่างน้อย 5,000 เหรียญทอง แต่มันไม่ใช่การขาดทุนเมื่อเขาได้รับมากกว่า เขาได้รับผลกำไรมหาศาลจากอาณาจักรเหล็ก ที่ในคลังมีเกือบ 150,000 เหรียญทองซึ่งมากพอที่จะเลี้ยงวิลเลียมได้ในระยะหนึ่ง
แต่การเฉลิมฉลองไม่ใช่ค่าใช้จ่ายเพียงอย่างเดียวของเขา
เมื่อใดก็ตามที่วิลเลียมไปสำรวจทางทหารไม่ว่าจะล้มเหลวหรือได้รับชัยชนะ เขาต้องใช้เงินเพื่อตอบแทนทหารของเขาสำหรับการบาดเจ็บและความกล้าหาญ
ผู้คนในทวีปรีเจนดารีมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?
คนทุกคนในโลก พวกเขามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?
ส่วนใหญ่ก็มีชีวิตอยู่เพื่อชื่อเสียงและโชคลาภ
ชื่อเสียงที่ดีเป็นศรีแก่ตัว
และเงินตราก็เป็นโชคลาภ
ตราบเท่าที่เขาเข้าใจการทำงานของชื่อเสียงและโชคลาภ เขาก็สามารถยึดมั่นในความเป็นลอร์ดของเขาได้
พูดสั้นๆ
วิลเลียมใช้ประโยชน์จากโอกาสเหล่านี้ในการแจกจ่ายเงินเพื่อที่เขาจะได้ครองใจคนของเขา
มันยังล่อลวงสายลับจากทั้งอาณาจักรเหล็กและอาณาจักรลาวาดำที่กำลังสังเกตการณ์อยู่
เพราะประโยชน์ของเมืองแห่งรุ่งอรุณนั้นเหลือเชื่อมาก …
สายลับบางคนมีความปรารถนาที่จะสร้างความเสียหายให้กับวิลเลียม
อย่างไรก็ตามวิลเลียมไม่รู้ แต่ถึงทำ เขาก็ไม่สน
ใบของต้นจันทร์ส่องแสง มันเป็นเหมือนประภาคารที่ส่องสว่างในตอนกลางคืน และทุกๆคืนพวกเอลฟ์ที่นอนดึกจะมารวมตัวและพูดคุยกันพร้อมกับจิบไวน์
แอนนี่ยืนอยู่ในสวนกลางอากาศของเธอ เธอสวมชุดเจ้าหญิงสีขาวบริสุทธิ์เดินเท้าเปล่าบนพื้นหญ้า เธอพิงเสาศาลาและสำรวจจัตุรัสกลางที่สวยงาม
งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปและวิลเลียมก็ไม่ได้จากไปเช่นกัน เขากำลังแข่งขันกับผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อดูว่าใครสามารถดื่มได้มากกว่ากัน
ชาวบ้านหลายคนจัดโต๊ะบนถนนด้านนอกจัตุรัสกลาง มีอาหารและไวน์หวานอยู่บนโต๊ะ และชาวบ้านเองก็มาร่วมสนุกด้วย
“ความรุ่งโรจน์ของท่านจะอยู่ต่อไป…” แอนนี่พึมพำกับตัวเอง เธอหันไปมองผู้วิเศษมิติอย่างตาแก่แบนด์และถามว่า “ท่านปู่แบนด์ ท่านเคยเห็นคนแบบเขาไหม? ตอนพ่อฉันยังเด็กเขาก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน”
แบนด์รู้สึกปวดร้าวแทนแอนนี่ เขามองเธอแล้วส่ายหัว “ตอนที่พ่อของท่านยังเด็ก ข้ายังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ แต่วิลเลียมเป็นคนแรกที่ใช้มาตรการดังกล่าวในทวีปรีเจนดารีแห่งนี้”
“คนแรก มันเป็นไปได้อย่างไร” แอนนี่ถามอย่างสงสัยว่า “การระลึกถึงทหารผู้เสียชีวิตมันเป็นเรื่องง่ายไม่ใช่หรือ?”
ตาแก่แบนด์ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่เขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย การที่ทหารที่เสียชีวิตได้รับการระลึกถึงนั้น มันมีประโยชน์อะไร?
การระลึกถึงจะถูกลืมเมื่อหนังสือผุพังไปตามอายุ
ยิ่งกว่านั้น จักรพรรดิ, ราชา และขุนนางไม่สนใจทหารที่ตายไปแล้ว ผู้ที่มีอำนาจสูงจะไม่สนใจมดที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า
สำหรับผู้ปกครองที่อยู่ด้านบนของพีระมิด นักรบธรรมดาเป็นเพียงเครื่องมือของพวกเขาที่สามารถเสียสละได้
มีใครคาดหวังให้พวกเขาจำชื่อของเครื่องมือได้บ้าง?
ฮีโร่เท่านั้นที่จะได้รับการจดจำ
ตาแก่แบนด์ไม่เคยเข้าข้างวิลเลียม
แน่นอนว่าเรื่องสายเลือดครึ่งเอลฟ์ของเขามีส่วน
นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงที่ว่าวิลเลียม แบล็คลีฟไม่สามารถเป็นสมาชิกที่ถูกต้องของราชวงศ์แบล็คลีฟได้
อย่างไรก็ตาม ตาแก่แบนด์เป็นเพียงนักเวทย์หลวงเท่านั้น เมื่อเขาได้รับคำสั่งของจักรพรรดิ เขาก็เข้าใจว่าเมื่อเขาจากไปกับเจ้าหญิงแอนนี่ เขาก็ต้องภักดีต่อเธอ
เขามีความตั้งใจสูงสุดในการเลือกคู่ครองที่ดีกว่าให้กับแอนนี่
น่าเสียดายที่เจ้าชายแบล็คลีฟที่มีความสามารถต่างก็มีอายุหลายร้อยปีหรือแต่งงานแล้ว…
และเจ้าชายที่ยังไม่ได้แต่งงาน แอนนี่ก็เกลียดชังพวกเขา แม้แต่ตาแก่แบนด์เอง ก็ยังไม่ชอบขี้หน้าพวกเขาด้วยซ้ำไป
แต่การปรากฏตัวซ้ำๆ ของวิลเลียม แบล็คลีฟดึงดูดความสนใจของเขา
ตาแก่แบนด์ไม่ได้คัดค้านความปรารถนาของแอนนี่ที่จะย้ายมาที่นี่ เขาต้องการเห็นว่าความสามารถของวิลเลียมผู้เป็นลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณนั้นเป็นอย่างไร
แต่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้พบว่าเอลฟ์วัยสิบหกปีที่มีไหวพริบและมีความสามารถในการเอาชนะใจผู้ใต้บังคับบัญชา เขายังมีทั้งความกล้าหาญและพลังการต่อสู้ที่โดดเด่น
วิลเลียมมีความทะเยอทะยานสูง และมันเป็นอะไรที่สามารถสังเกตได้อย่างง่ายดายจากการพัฒนาของเมืองแห่งรุ่งอรุณ
เขาไม่ใช่คนไร้ความสงสาร พลเมืองของเขาที่มีชีวิตดีขึ้นมากเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า
เขาไม่ได้ขาดความอดทนเช่นกัน แม้ว่าการพัฒนาของเมืองแห่งรุ่งอรุณจะดำเนินไปอย่างรวดเร็ว แต่รากฐานของเมืองก็มั่นคงมาก ความภักดีของพลเมืองและผู้ใต้บังคับบัญชาแสดงให้เห็นถึงความอดทนของเขา
เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเอาชนะใจผู้คน เพียงแค่ใช้กลยุทธ์ไม่กี่อย่างเขาก็สามารถทำให้กองทัพแห่งรุ่งอรุณสละชีวิตเพื่อเขาได้
“ถ้าเขาไม่หลุดจากความดีงามนี้ เขาก็เหมาะมากที่จะเป็นเพื่อนในอนาคตของแอนนี่ เขายังสามารถเป็นสมาชิกที่ถูกต้องของราชวงศ์แบล็คลีฟได้จากความช่วยเหลือของเจ้าหญิง นอกจากนี้ เขายังมีสิทธิในการพูดในระหว่างพิธีครองราชย์ของราชาเอลฟ์องค์ใหม่ได้อีกด้วย”
ตาแก่แบนด์เริ่มคิดไปไกล เขาต้องคิด
เพราะในที่สุดราชาของเอลฟ์มูนไลท์…
ก็กลับเข้าสู่อ้อมแขนของต้นไม้แห่งโลกแล้ววันนี้…
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้แอนนี่ไม่อยู่ในงานเลี้ยง
แอนนี่ไม่ได้กลับไปที่ป่ามูนไลท์ที่มีสถานการณ์ตึงเครียดเพราะแบนด์ไม่เปิดโอกาสให้เธอได้เปิดประตูมิติ
แต่ตาแก่แบนด์ไม่เข้าใจได้ว่าเหตุใดกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่จึงส่งบัลลังก์ของเขาให้กับรัชทายาท เขาไม่รู้หรือไรว่าเจ้าชายองค์นี้ถูกครอบงำขนาดไหน?
โดยความมืด!
เขากำลังเรียนรู้พลังการต่อสู้และเวทมนตร์มืด!
นอกจากนี้
เขาลืมไปหรือเปล่าว่ารัชทายาทได้ทำการสังเวยสิ่งมีชีวิตให้กับปีศาจในถ้ำปีศาจ?
องค์ราชาเชื่องั้นหรือว่ารัชทายาทที่เงียบหายไปหลายสิบปีจะไม่ตกอยู่ในอำนาจมืด? องค์ราชาเชื่องั้นหรือว่ารัชทายาทจะกลับสู่แสงสว่างอีกครั้ง?
ตาแก่แบนด์ยิ้มอย่างขมขื่น เขารู้ว่าราชาเอลฟ์ส่งต่อบัลลังก์ให้กับรัชทายาทเพราะราชินี อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นการเดินหมากที่อันตราย
เมื่อราชาเอลฟ์ล้มลงจากความรุ่งโรจน์ของเขา แอนนี่เองก็สูญเสียคนหนุนหลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอไป
แม้ว่าเธอจะยังเป็นเจ้าหญิง แต่เอลฟ์มูนไลท์ก็ไม่ยอมให้เธอทำร้ายเผ่าพันธุ์ของพวกเขาแน่นอน
แอนนี่จะค่อยๆ ถูกกีดกันออกจากป่ามูนไลท์ …
ลูกสาวที่แต่งงานแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป แม้แต่เผ่าพันธุ์เอลฟ์แห่งทวีปรีเจนดารีก็เข้าใจเรื่องนี้
“พักผ่อนก่อนนะเจ้าหญิง ข้าจะออกไปแล้ว!” ตาแก่แบนด์มองไปที่แอนนี่ซึ่งไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว เขาไม่ได้พูดอะไรมากและกำลังจะออกไปแต่เมื่อ…
แอนนี่พูดอย่างกะทันหันว่า “เมืองแห่งรุ่งอรุณเป็นเมืองที่ดี เรารู้สึกโปรดปรานวิลเลียม นอกจากองครักษ์ส่วนตัวของเรา บอกเอลฟ์จากเมืองมูนไลท์ทุกคนว่าพวกเขาสามารถเลือกที่จะเข้าร่วมกับกองทัพของเขาและต่อสู้เพื่อลอร์ดวิลเลียมได้!”
แบนด์หันมามองแอนนี่ เขาหยุดชะงักไปสองสามวินาทีก่อนจะพยักหน้า “ดี ข้าจะทำการประกาศวันพรุ่งนี้ แต่มันจะไม่ง่ายเกินไปสำหรับวิลเลียมหรือ ถ้าคุณทำตามความปรารถนาของเขา?”
“มันก็ไม่มีอะไร เราแค่อยากเห็นว่าวิลเลียมจะทำอย่างไรต่อ” แอนนี่ไม่เคยตัวคนเดียว
หากเธอออกคำสั่ง เหล่าทหารของแม่อย่างน้อยครึ่งหนึ่งก็จะติดตามเธอ
แอนนี่เข้าใจว่าพี่ชายของเธออันตรายแค่ไหน
แต่เธอไม่มีความตั้งใจที่จะปล่อยให้สมาชิกจากตระกูลแม่ของเธอเดินทางข้ามทวีปรีเจนดารีมาเพียงเพื่อมาเป็นกำลังให้กับเธอ
การแต่งงานสามารถทำให้เป้าหมายนั้นบรรลุได้
หากเอลฟ์มูนไลท์นับแสนมาที่นี่
เอลฟ์แบล็คลีฟจะคิดอย่างไร?
จะคิดว่าคนของเธอมาบุกรุกหรือเปล่า?
วิลเลียมต้องใช้เวลากว่าครึ่งปีในการทำงานอย่างหนักและพัฒนาเมืองอย่างต่อเนื่อง ถึงสามารถทำให้เมืองรุ่งอรุณแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้
เมื่อแอนนี่ออกคำสั่ง เหล่าเอลฟ์จากเมืองบลูมูนก็เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและความคาดหวัง
เอลฟ์ทั้ง 45,000 ตนเหล่านี้เคยอาศัยอยู่ในเมืองบลูมูน แม้ว่าพวกเขาจะย้ายไปที่เมืองแห่งรุ่งอรุณ แต่พวกเขาก็ยังแตกต่างจากคนในท้องถิ่นอยู่มาก
แอนนี่ทิ้งกฎระเบียบการปกครองของเธอที่มีต่อเอลฟ์จากเมืองบลูมูนและเปิดทางเลือกให้พวกเขาร่วมเข้ากับเมืองแห่งรุ่งอรุณได้ หากพวกเขาต้องการ
หากไม่มีคำสั่งของแอนนี่แม้ว่าผลประโยชน์ของเมืองแห่งรุ่งอรุณจะล่อตาล่อใจหรือว่าสถานะของวิลเลียมน่าเกรงขามขนาดไหน แต่วิลเลียมก็ไม่สามารถปกครองเอลฟ์ 45,000 ตนได้
แต่ตอนนี้
เหล่าเอลฟ์จากเมืองบลูมูนตัดสินใจที่จะเข้าร่วมกับเมืองแห่งรุ่งอรุณ
สำหรับเอลฟ์ตนอื่นๆ นี่ถือเป็นข่าวดี พวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังสำหรับอนาคตที่ดีกว่าจากการพัฒนาของเมืองแห่งรุ่งอรุณและความสามารถอันยิ่งใหญ่ของลอร์ดวิลเลียม
วิลเลียมไม่ปล่อยให้โอกาสได้หลุดลอยไปง่ายๆ
เขากระจายคำสั่งรับสมัครทหารใหม่, ผู้วิเศษประจำกิลด์เวทมนตร์และอาชีพอื่นๆ อีก
ในเวลาเดียวกันเขาก็แจ้งให้พวกเอลฟ์และชาวเมืองมนุษย์ทราบว่า หากพวกเขาไม่ต้องการที่จะเข้าร่วมกับกองทหาร พวกเขาก็สามารถเลือกที่จะเข้าร่วมกับกองทัพทหารรับจ้างที่เล็กกว่าได้
แน่นอนว่าเกณฑ์การคัดเลือกนั้นเข้มงวด ทุกคนต้องได้รับการอนุมัติจากวิลเลียม
มีใบสมัครจำนวนมากส่งเข้ามาหลังจากคำสั่งเกณฑ์ทหาร
ข่าวแพร่กระจายไปยังสายลับ และจากสายลับต่อไปยังเหล่าผู้ปกครองจากอาณาจักรเหล็กและอาณาจักรลาวาดำ
พลังของเมืองรุ่งอรุณกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วและความเป็นภัยคุกคามก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
อาณาจักรเหล็กมีการเตรียมพร้อมที่ดีอยู่แล้ว ดังนั้นเหล่าผู้ปกครองอาณาเขตทั้งหลายจึงไม่กังวล
อย่างไรก็ตาม อาณาจักรลาวาดำกลับไม่พร้อมรับมือกับข่าวนี้ อาณาจักรนี้จึงห้ามการขายทาสทั้งหมดต่อเมืองแห่งรุ่งอรุณ
เคอรี่กลายเป็นท่านเคานต์ที่ควบคุมทหารชั้นยอดมากกว่าหนึ่งพันคน
และหลังจากตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาพบว่าเส้นทางคมนาคมทั้งหมดถูกควบคุมโดยทหารของพระราชาและทำให้การที่จะติดสินบนนั้นยากมากขึ้น
เคอรี่ไม่มีทางเลือกนอกจากบอกวิลเลียมว่าเขาไม่สามารถค้าทาสได้ ผู้สนับสนุนของเคอรี่ไม่กล้าฝ่าฝืนกฎหมายของอาณาจักร ไม่อย่างนั้นเคอรี่และผู้สนับสนุนของเขาจะถูกศัตรูทางการเมืองต้อนเข้ามุมและถูกประณามว่าเป็นคนทรยศ
ผู้สนับสนุนของเขาคือขุนนางระดับสูงของอาณาจักรลาวาดำ มาร์ควิสคริสผู้โด่งดังซึ่งควบคุมกองทัพของอาณาจักรไปเกือบครึ่ง!
เขายังเป็นผู้สนับสนุนที่มั่นคงของเจ้าชายองค์ที่สาม
เมื่อราชาแห่งลาวาดำสิ้นพระชนม์ เขาไม่เหลือความหวังใดๆ เนื่องจากรัชทายาทมีอิทธิพล เจ้าชายที่เป็นศัตรูของรัชทายาทจึงไม่กล้าขึ้นครองบัลลังก์ เขาจึงทำได้แค่ทำหน้าที่ในการจัดการกิจการของอาณาจักรเท่านั้น
และรัชทายาทยังเฝ้าติดตามมาร์ควิสคริสอย่างใกล้ชิด ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการที่จะเป็นผู้นำและเป็นปรปักษ์กับรัชทายาท
ภัยคุกคามจากอาณาจักรเหล็กไม่ได้ลดลง และยิ่งไปกว่านั้นวิลเลียมยังอนุญาตให้อาณาจักรเหล็กสร้างป้อมปราการทางทหารบนยอดหน้าผาอีกด้วย ดังนั้นอาณาจักรลาวาดำจึงเพิ่มความระมัดระวังอย่างยิ่งต่อเมืองแห่งรุ่งอรุณ
แม้แต่มาร์ควิสคริสเองก็เชื่อว่าเมืองแห่งรุ่งอรุณกำลังจะเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรเหล็ก
เขาไม่ได้สนับสนุนรัชทายาท
แต่ขุนนางของอาณาจักรลาวาดำรู้ดีว่าอาณาจักรเหล็กกำลังมีการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เช่น การเลิกทาสและการเรียกร้องอิสรภาพ
หากอาณาจักรเหล็กบุกเข้ามาในอาณาจักรลาวาดำ พวกเขาจะไม่รักษาชีวิตของขุนนางนักโทษ
เนื่องจากภัยคุกคามทั้งจากภายในและภายนอก อาณาจักรลาวาดำจึงกลายเป็นปึกแผ่นอย่างน่าประหลาด…
ผู้สังเกตการณ์ที่ชาญฉลาดจะสามารถมองเห็นปมของปัญหาเหล่านี้ ตราบใดที่ไม่มีการคุกคามที่ชายแดน ความขัดแย้งภายในเพื่อชิงบัลลังก์ก็จะปะทุขึ้นและไม่มีใครหยุดยั้งมันได้
เมืองแห่งรุ่งอรุณจะไม่เคลื่อนไหวด้วยความประมาทเพราะอำนาจทางทหารของวิลเลียมยังด้อยกว่า นอกจากนี้ยังมีป้อมปราการทางทหารของอาณาจักรเหล็กที่คอยจับตาดูพวกเขาอยู่ และเมืองแห่งรุ่งอรุณก็เต็มไปด้วยสายลับมากมาย เมืองแห่งรุ่งอรุณจึงยังคงเต็มไปด้วยภัยคุกคามทั้งจากภายในและภายนอก
สถานการณ์ภายในของอาณาจักรเหล็กก็ไม่มั่นคงเช่นกัน องค์ราชาถูกควบคุมโดยโกธี นาซิส แต่ขุนนางรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามและเข้าร่วมกับฝ่ายของราชา นั่นคือเหตุผลที่ขุนนางไม่ก่อกบฏ!
ในอาณาจักรลาวาดำเองก็กำลังอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน…
สถานการณ์ในสองอาณาจักรและเมืองรุ่งอรุณก็เหมือนกับกำลังวิ่งอยู่บนสะพาน หากใครไม่ระวัง ก็อาจมีคนตกหน้าผาและสูญเสียทุกอย่างได้
ในสถานการณ์เช่นนี้ ทั้งสามฝ่ายกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมการสู้รบและการรักษาเสถียรภาพของปัญหาภายใน
“สถานการณ์นี้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาของฉันมากที่สุด”
“การพัฒนาของทั้งสองอาณาจักรค่อนข้างอิ่มตัวแล้ว พวกเขาไม่สามารถขยายกองทัพได้ เป็นเพราะขุนนางและกษัตริย์ไม่ได้ช่วยกันแบ่งเบาภาระในการรักษากองทัพ
“พวกเขาทำได้เพียงสร้างกำแพงสูง, จัดเก็บปันผลและฝึกทหารของพวกเขา”
“ไม่อย่างนั้น พวกเขาก็คงจะไม่ขายทาสและทำให้เราได้รับโอกาสที่หายากนี้”
“ฉันเพียงแค่ต้องเปลี่ยนทาสเหล่านี้ให้เป็นไพร่และปล่อยให้พวกเขากลายเป็นแรงงานของฉัน หรือแม้แต่เข้าร่วมกับอำนาจทางทหาร จากนั้นฉันก็จะสามารถเพิ่มขีดความสามารถของเมืองแห่งรุ่งอรุณได้เรื่อยๆ ”
วิลเลียมสำรวจทางเหนือ แม้ว่าคุณภาพของกองทัพของเขาจะเหนือกว่า แต่จำนวนของพวกเขาก็ยังด้อยเกินกว่าจะเอาชนะวิกฤตการณ์ในอนาคตได้
ความทะเยอทะยานของเขาไม่ใช่การยึดครองดินแดนของมนุษย์
แต่เมื่อสงครามจะเริ่มขึ้น
แผนการของเขาคือการยึดครองความมั่งคั่ง, อาหารและประชากรของทั้งสองอาณาจักร
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เขาไม่สามารถรับทาสจากอาณาจักรลาวาดำได้อีกต่อไป
และอีกอาณาจักรที่ยังสามารถส่งทาสได้อย่างอาณาจักรเหล็กก็มีสายลับมากมายอยู่ปะปนอยู่!
มีแค่ไม่กี่คนที่เท่าที่ใช้ได้
“แต่ฉันยังมีโอกาสสุดท้าย” สายตาของวิลเลียมเลื่อนไปที่ภูเขาหิมะในทะเลตะวันออก ในชีวิตก่อนหน้านี้ การเดินทางเพื่อสังหารมังกรแห่งอาณาจักรเหล็กจบลงด้วยความล้มเหลว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าวิลเลียมจะไม่สามารถทำการสำรวจแบบเดียวกันให้สำเร็จได้
การปราบมังกร?
มีไว้เพื่ออะไร?
มันมีไว้เพื่อแย่งชิงสมบัติของมังกรไฟรึเปล่า?
เปล่าเลย!
มันมีไว้เพื่อเลือดทุกหยด, เนื้อทุกชิ้น, กระดูกและเกล็ดทุกชิ้นของมังกร
คุณค่าของมังกรนั้นยิ่งใหญ่มาก
ไม่ว่าจะเป็นในทวีปก็อดยุคก่อนหน้านี้ที่ยังคงสภาพสมบูรณ์
หรือทวีปรีเจนดารีในปัจจุบัน
มังกรใหญ่ที่เป็นสัตว์ในตำนานก็เป็นที่ต้องการของมนุษย์เสมอมา ไม่สำคัญว่ามังกรจะถูกทำให้อ่อนแอลงหรือถูกฆ่า มันก็จะก่อให้เกิดประโยชน์มหาศาลต่อมนุษย์ไม่ว่าในกรณีใด
เนื่องจากอาณาจักรเหล็กมีความตั้งใจที่จะฆ่ามังกร
นั่นหมายความว่าพวกเขามีวิธีการใช้ประโยชน์จากเลือดของมังกร
พวกเขาสามารถใช้เลือดมังกรสร้างกองทัพผู้ติดตามมังกร แม้ว่าจะสามารถสร้างได้เพียงร้อยตน แต่นั่นก็ยังคงเป็นหน่วยที่ทรงพลังและลึกลับ
“ฉันต้อง… กำจัดมังกรตัวนี้ให้ได้” วิลเลียมกำหมัดแน่น
มันเป็นโอกาสที่หาได้ยาก
มุมทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นพื้นที่รกร้าง ผู้คนไม่เข้าใจกฎของทวีปรีเจนดารีและพลังอันมหาศาลของมังกรยักษ์
ภายในดินแดนของอาณาจักรมนุษย์มีมังกรยักษ์อาศัยอยู่มากมาย
เหตุใดพวกเขาจึงไม่ใช้เลือดของมังกรยักษ์ในการสร้างผู้ติดตามมังกร?
ด้วยพลังของจักรวรรดิมนุษย์ การสร้างผู้ติดตามมังกรสิบกลุ่มไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกหรือ?
แต่พวกเขาไม่กล้า!
มนุษย์มีทั้งนักรบในตำนาน, ผู้วิเศษและนักเวทย์
เผ่าพันธุ์มังกรเองก็มีมังกรระดับรีเจนดารี
มังกรระดับรีเจนดารีเหล่านี้ปกป้องมังกรหลายพันธุ์ที่ยังไม่โตเต็มที่
ครั้งหนึ่งมังกรเคยปกครองยุคแรก และถึงแม้จะพ่ายแพ้ไปแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นพลังที่แข็งแกร่ง
ในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น มนุษย์มีมือปราบมังกร แต่มือปราบมังกรเหล่านี้ฆ่าแต่มังกรที่ชั่วร้ายเท่านั้น
หลังจากมังกรชั่วร้ายเหล่านี้ถูกสังหาร
มังกรยักษ์ระดับรีเจนดารีผู้ไร้อารมณ์จะปรากฏขึ้นราวกับว่ามันซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ใกล้เคียง เมื่อมือปราบมังกรฆ่ามังกรชั่วร้าย มังกรยักษ์ระดับรีเจนดารีตนนี้ก็จะปิดการใช้งานพลังของเลือดมังกร ก่อนที่มือปราบมังกรจะจากไปพร้อมกับรางวัลการต่อสู้ของพวกเขาอย่างเลือดมังกร
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ติดตามมังกรในทวีปถึงมีจำนวนน้อยมาก…
มังกรไฟอาศัยอยู่บนภูเขาหิมะของทะเลตะวันออก พวกเขาจะกินและนอนตลอดทั้งปี และแม้ว่าพวกมันจะอยู่ในองค์ประกอบที่ชั่วร้ายของเผ่าพันธุ์มังกร แต่พวกเขาก็ไม่ได้เป็นศัตรูกับมนุษย์…
เหล่าสมุนของมังกรไฟจะตามแก้แค้นอย่างแน่นอน หากมีอะไรเกิดขึ้นกับมังกร…
แต่ที่สำคัญกว่านั้น
มังกรยักษ์ระดับรีเจนดารีทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้ไปรบกวนมังกรป่าในพื้นที่รกร้าง
เป้าหมายหลักของพวกเขาคือการป้องกันไม่ให้อาณาจักรมนุษย์แข็งแกร่งขึ้น…
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
นี่ก็เป็นเวลาห้าเดือนแล้ว
ฤดูหนาวเข้ามาเยือน แต่ฝนก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย เมืองรุ่งอรุณที่ตั้งอยู่ในกึ่งเขตร้อนอ้าแขนต้อนรับฤดูการเก็บเกี่ยวครั้งที่สอง
พืชที่ปลูกครั้งที่สองได้โตเต็มที่แล้ว ไม่นานมานี้ชาวเมืองได้นำผลผลิตที่เก็บเกี่ยวครั้งแรกไว้ในยุ้งฉาง วิลเลียมใช้เงินจำนวนมากในการซื้อยุ้งฉางขนาดใหญ่นับสิบที่ตอนนี้เต็มไปด้วยข้าวสารและธัญพืชจำนวนมาก
นั่นเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ
ห้องอาบน้ำสาธารณะถูกปรับปรุงใหม่ และเริ่มมีการใช้อุจจาระเป็นปุ๋ยซึ่งทำให้ผลผลิตที่ได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 เท่า
เมืองรุ่งอรุณมีประชากรอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น และได้มีการขยายพื้นที่เพาะปลูกตรงที่ราบฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกข้างๆกับเมืองเพื่อไว้เป็นอาหาร และยังมีอาหารที่ได้จากป่าและสัตว์ป่ามาเสริมอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เมืองรุ่งอรุณที่มีประชากรกว่า 200,000 คนจึงมีอาหารเพียงพอตลอดทั้งปี
ในโลกที่มหัศจรรย์แห่งนี้ สารอาหารในดินนั้นอุดมสมบูรณ์กว่าในโลกแห่งความจริงเป็นอย่างมาก
เมื่อเขตเมืองแห่งใหม่ถูกสร้างเสร็จ มันก็มีขนาดพอๆกับเมืองเก่า
ผู้ที่อาศัยในเขตนั้นมีเพียงเอลฟ์ 40,000 ตนเท่านั้น พื้นที่และอาคารหลายแห่งยังคงว่างเปล่า
กำแพงของเมืองเขตใหม่ก็ถูกสร้างเสร็จแล้ว มันสูง 15 เมตรและกว้าง 6 เมตร ซึ่งสูงกว่ากำแพงเมืองอันเก่าถึง 5 เมตรและดูแข็งแรงทนทาน
พื้นผิวของกำแพงเมืองถูกปกคลุมด้วยชั้นของโลหะและทองแดงเพื่อความแข็งแรง
นอกจากประตูทางทิศเหนือแล้ว ยังมีการสร้างประตูเมืองเล็กอีกสามแห่งเพื่อเชื่อมระหว่างเมืองเขตเก่าและเขตใหม่ ซึ่งไว้ใช้อำนวยความสะดวกในการขนส่งและสื่อสารกันระหว่างเขตทั้งสอง
หลังจากการค้าทาสกับอาณาจักรลาวาดำหยุดลง วิลเลียมก็ทำได้เพียงฉกฉวยทาสบางส่วนจากอาณาจักรเหล็กเท่านั้น นอกจากนี้ก็ไม่มีแหล่งอื่นในการเพิ่มจำนวนประชากรแล้ว
วิลเลียมเชื่อว่าจนกว่าป้อมปราการจะเสร็จสมบูรณ์ เขาก็จะไม่สามารถหาทาสที่ไหนมาเพิ่มได้ในขณะนี้
โชคดีที่ครึ่งเอลฟ์ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางฝั่งตะวันออกห่างจากเมืองประมาณ 70 กิโลเมตรถูกพวกออร์คโจมตีอย่างหนักเมื่อเดือนที่แล้ว ในขณะที่ป้อมปราของอาณาจักรเหล็กกำลังจะสร้างเสร็จ ผู้นำของครึ่งเอลฟ์ก็ได้ตัดสินใจนำผู้ติดตามของเขามาเข้าร่วมกับวิลเลียม
แต่ปัจจัยสำคัญในการเข้าร่วมครั้งนี้คือสายเลือดครึ่งเอลฟ์ของวิลเลียม
โดยเฉพาะเมื่อวิลเลียมมีสายเลือดของราชวงศ์ที่ไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป
เอาตรงๆเลยล่ะก็
มีครึ่งเอลฟ์ระดับรีเจนดารีมากมายในทวีปรีเจนดารี แต่กลับไม่มีใครก่อตั้งอาณาจักร สายเลือดของพวกเขาเป็นเลือดผสม ซึ่งยากนักที่จะพบครึ่งเอลฟ์อย่างวิลเลียมที่มีสายเลือดของราชวงศ์…
จากการตัดสินใจครั้งนี้ เมืองรุ่งอรุณก็ได้ต้อนรับครึ่งเอลฟ์เพิ่มอีก 23,000 ตน
เมืองนี้แข็งแกร่งกว่าหกเดือนก่อนอย่างน้อยๆ ถึงสองเท่า
มีประชากรโดยรวมเป็นตัวเลขกลมๆก็เกือบแตะสองแสน
อำนาจทางทหารก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นเดียวกัน จากจำนวนทหารที่มีเพียง 4,000 นายก็เพิ่มขึ้นเป็น 15,000 นาย เทียบได้กับทหารห้ากองรบเลยด้วยซ้ำ
ห้ากองในนั้นประกอบด้วยทหารเอลฟ์สองกอง ทหารมนุษย์สองกอง และทหารครึ่งเอลฟ์อีกหนึ่งกอง
ในที่สุดวิลเลียมก็สามารถถอนองครักษ์ส่วนตัวและนักรบคนแคระออกจากกองทหารได้ เพื่อให้พวกเขาเป็นอิสระ
และเขาได้มอบนามให้แก่กองทัพแต่ละกองอีกด้วย
ก่อนหน้านี้กองทัพกองแรกนั้นประกอบไปด้วยเผ่าพันธุ์ที่หลากหลาย แต่ตอนนี้มีเพียงมนุษย์ระดับผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
เขาตั้งชื่อให้ว่า [ทัพแห่งเกียรติยศ]
วิลเลียมตั้งความหวังกับกองทัพกองนี้ไว้สูง ทหารใหม่จำนวนมากเข้ามาแทนที่ทหารเก่าและทหารที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งกองทัพนี้มีผู้นำคือวิลเลียม และได้คว้าชัยชนะมาได้หลายครั้งหลายคราและนำความรุ่งโรจน์มาสู่เมืองแห่งรุ่งอรุณ วิลเลียมได้เลือกทหารคนต่อคนโดยทุกคนต้องมีสายเลือดระดับกลางเป็นอย่างน้อย
หากกองทัพได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่สักสองสามครั้ง พวกเขาก็จะมีขวัญกำลังใจยาวนานและมีบัฟประจำกองทัพ
ทัพกองที่สองประกอบด้วยมนุษย์และเอลฟ์ที่ยังสาว, สวยงาม, และสูงเพรียว
เขาตั้งชื่อว่า [กองทัพการ์เดี้ยน]
จุดประสงค์ของกองทัพกองนี้ไม่ใช่การรบ หากเป็นไปตามที่เขาคิดไว้ เหล่าผู้เล่นทั้งหลายจะต้องตายเพราะกำเดาพุ่งกระฉูดไปตามๆกัน
ภารกิจของกองทัพนี้คือการป้องกันเมืองแห่งรุ่งอรุณ
ทหารของกองทัพการ์เดี้ยนจะทำหน้าที่ลาดตระเวนดูแลประตูเมืองและรักษาความสงบเรียบร้อยภายในเมือง
เมื่อกองทัพการ์เดี้ยนถูกสร้างขึ้นมาใหม่ๆ ทหารหญิงทั้งหลายที่สวมกระโปรงห้อยสายโซ่ถูกส่งไปประจำการที่ลานส่วนกลาง ชายหนุ่มกว่าครึ่งในเมืองต่างตื่นเต้น พวกเขากระจุกกันอยู่บนถนนจนแทบจะเดินผ่านไปมาไม่ได้…
กองทัพที่สามและสี่เป็นกองทัพที่ทรงพลังที่สุดของวิลเลียม
เพราะว่ากองทัพแห่งนี้ประกอบไปด้วยเอลฟ์เลือดบริสุทธิ์ อายุขัยของเอลฟ์นั้นยาวนานเกินไป และพวกเขาก็ไม่ได้มีประสบการณ์ในการทำสงครามมานานมากแล้ว
แต่พวกเขามีพลังการต่อสู้ที่เหนือชั้นกว่า
และการเลื่อนระดับไปเป็นผู้เชี่ยวชาญของพวกเขานั้นง่ายดายมาก ในปัจจุบันพวกเขามีเลเวลสูง และทุกๆคนต่างเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับกลางที่มีเลเวล 40 หรือมากกว่านั้น ด้วยพลังที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ สิ่งที่พวกเขาต้องมีก็เพียงแค่ประสบการณ์ในการต่อสู้
สำหรับเอลฟ์ผู้ภักดี หากพวกเขามีประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ในการต่อสู้เพียงไม่กี่ครั้ง พวกเขาก็จะกลายเป็นกองทหารชั้นยอดที่สมบูรณ์แล้ว
วิลเลียมตั้งชื่อให้พวกเขาว่า [กองทัพไนท์] และ [กองทัพมูนไลท์] เพราะว่ากองทัพประกอบไปด้วยเอลฟ์ทั้งสองเผ่า
กองทัพที่ห้าประกอบไปด้วยครึ่งเอลฟ์ มีชื่อว่า [กองทัพแห่งความกล้า]
วิลเลียมได้ทดสอบความภักดีของผู้นำครึ่งเอลฟ์ และหลังจากที่ได้ผลอันเป็นพอใจแล้วเขาก็แต่งตั้งให้เขาเป็นผู้บัญชากองทหารของกองทัพแห่งความกล้า
ผู้นำครึ่งเอลฟ์คนนั้นเป็นนักรบเลเวล 61 มีสายเลือดระดับอีปิค เขาเลือกที่จะเข้าร่วมกับเมืองรุ่งอรุณ วิลเลียมจึงให้โอกาสเขาพิสูจน์ตนเอง
นอกจากกองทัพปกติแล้ว ยังมีทหารรับจ้างอีก 2800 นาย ในปัจจุบันยังใช้งานพวกเขาไม่มากนัก แต่ก็สามารถใช้งานเป็นหน่วยรบที่มีประโยชน์ได้ในเวลาที่ต้องการ
“เลเวล 55… ไม่ใช่ว่าต้องมีภารกิจมาให้ฉันทำหรอกหรือ?” วิลเลียมรู้สึกหดหู่ ในปีที่ผ่านมา เขาได้กวาดล้างชนเผ่าใกล้เคียงที่เป็นศัตรูไปทั้งหมดแล้ว ตราบใดที่มีภัยคุกคาม เขาก็จะนำทหารไปกวาดล้าง
ทำไปเพื่ออะไรล่ะ? ค่าประสบการณ์ไง!
หลังจากที่เมืองเขตใหม่เสร็จเรียบร้อย วิลเลียมก็ได้รับค่าประสบการณ์จำนวนมาก
แต่เลเวลของเขาเลื่อนไปเพียงเลเวล 55 เท่านั้น มันยังห่างไกลกับเลเวล 69 ที่ต้องการอีกมาก
เขาไม่กล้าไปหาภารกิจในอาณาจักรเหล็กและอาณาจักรลาวาดำ ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถปลอมตัวเข้าไปยังสองอาณาจักรนั้นได้
แต่สถานการณ์ของสองอาณาจักรนั้นตึงเครียดเกินไป เขากลัวจะไปสร้างปัญหาและก่อสงครามขึ้นระหว่างสองอาณาจักร มันจะไปทำลายแผนการของเขาซะเอง
“ฉันไม่มีทางเลือก ดูเหมือนว่าต้องรอให้เปิดเบต้าเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยใช้คริสตัลของดันเจี้ยนส่วนตัวเพื่อเอาค่าประสบการณ์ ฉันจะหาภารกิจในการอัพเลเวลได้ยังไงกันนะ?” วิลเลียมลูบใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาไปมา NPCที่มีสายเลือดเหนือกว่าจะอัพเกรดเลเวลในอัตราที่เร็วขึ้นมาก
หากวิลเลียมไม่เลื่อนเลเวลของตน โบนัสจากค่าสถานะจะหมดลง
ในขณะที่เขาจมอยู่ในภาวะเศร้าซึม
เขาก็เห็นลอทเนอร์เดินเข้ามาด้วยความกรุ่นโกรธ!
วิลเลียมมองจนลอทเนอร์เดินมาถึงและพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “กองทหารสองกองจากป้อมปราการของอาณาจักรเหล็กเดินทางไปยังฝั่งตะวันออก ทูตของอาณาจักรเหล็ก ออกัสติน เป็นผู้นำกองทัพด้วยตนเอง”
“เขามีผู้ติดตามที่ทรงพลังมากมาย เขาจะต้องกำลังทำอะไรสักอย่างเป็นแน่!”
“อะไรนะ?” วิลเลียมเด้งตัวลุกขึ้นยืนอย่างลิงโลด
จากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึกๆก่อนจะถามว่า “ใครเป็นคนพบ?”
“อเล็กซ์”
วิลเลียมหรี่ตาลงก่อนจะกล่าวว่า “แจ้งผู้บัญชาการทหารคนอื่นๆ ให้พวกเขาเตรียมทหารพรานและนักรบที่ดีที่สุด”
“เรียกมือสังหารทั้งหมดของอเล็กซ์ออกมา ถึงเวลาทำความสะอาดสัตว์ร้ายในเมืองแล้ว”
ศึกสังหารมังกร…
อยู่ไม่ไกลมากแล้ว…
เวลากลางคืนก็มาถึง
ถ้าใครมองมาจากระยะไกลก็จะเห็นได้ว่าเมืองที่สร้างอยู่บนหน้าผากำลังส่องสว่างราวกับแสงอรุณที่ส่องผ่านความมืด
ตะเกียงเวทย์นับพันถูกแขวนบนต้นไม้ที่เรียงรายกันตามถนนและอาคารสิ่งปลูกสร้างต่างๆ
พลเมืองที่ร่ำรวยบางส่วนซื้อตะเกียงเวทย์ไปแขวนบนชั้นสองของบ้านพวกเขา การกระทำเช่นนั้นเป็นการตั้งใจอวดอย่างชัดเจน
ผับทั้งหลายเต็มไปด้วยเหล่าพวกขี้เหล้าเมายา ชายแก่หลายคนเดินเข้าออกหอนางโลม เมื่อพวกเขาเผอิญเจอเข้ากับคนที่พวกเขารู้จัก ความรู้สึกที่พวกเขาแสดงออกมาคือความภูมิใจและสบายใจ ท่าทางนี้หมายความว่าพวกเขาประทับใจเป็นอย่างมาก
ส่วนคาสิโนน่ะหรอ?
ผู้คนนั้นหลั่งไหลเป็นสายเข้ามาไม่หยุด พวกเขาต้องการที่จะร่ำรวย และแม้ว่าคำแนะนำเกมในคาสิโนจะมีน้อยมาก เป้าหมายของพวกเขาคือการทำเงิน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สนใจเกี่ยวกับคำแนะนำเหล่านี้เลย
เมืองแห่งรุ่งอรุณปิดประตูเมืองของพวกเขาในตอนกลางคืน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีเคอร์ฟิว ดังนั้นพลเมืองมากมายจึงออกมาข้างนอกในตอนกลางคืน ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะกลับบ้านในตอนเที่ยงคืน…
แต่ในเที่ยงคืนนั้น
ไม่มีใครรู้ว่าในเขตเก่าอย่างค่ายทหารที่มุมของกำแพงเมืองได้ถูกจัดเตรียมสำหรับการปะทะ ค่ายทหารอีกสองแห่งในเขตใหม่เองก็อยู่ในสถานะเดียวกัน…
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่สามารถแต่งตัวอย่างเต็มยศได้ในครั้งนี้ มันจะทำให้เกิดความปั่นป่วนมากเกินไป อีกอย่างคือไม่ทำให้สะดุดตาผู้คนจำนวนมาก ทหารที่ต้องปฏิบัติภารกิจเองก็อยู่ในชุดลำลอง
แต่ผู้บัญชาการทหารผู้มีเกียรตินั้นกำลังขุ่นเคือง เขามองไปยังสายลับที่ถูกจับตัวมาขณะยังหลับ จำนวนของเหล่าสายลับนั้นพุ่งเกิน 500 คน
ในขณะนี้
ในสนามฝึกของค่ายทหารมีทาสกว่า 500 คนคุกเข่าเปลือยกายอยู่ พวกเขาถูกมัดและยังถูกปิดปากอีกด้วย
ฉากนี้ทำให้เหล่าทหารตกตะลึงกันไป
แม้ว่านี่จะเป็นคำสั่งจากท่านลอร์ดของพวกเขา การเคลื่อนไหวขนาดใหญ่ในการกำจัดทาสทำให้สหายทาสด้วยกันหลายคนต้องรู้สึกไม่ไว้วางใจ พวกเขาไม่อยากเชื่อเลยว่าอดีตสหายของพวกเขาจะเป็นสายลับ อีกอย่าง ทำไมถึงมีสายลับมากมายขนาดนี้ได้…
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนี่คือกองทัพแห่งเกียรติยศ…
กองทัพแรกในเมืองแห่งรุ่งอรุณ…
“ผู้บัญชาการ… ทำไม… นี่มันเป็นไปได้ยังไง?” ในขณะที่ใครคนหนึ่งมองไปที่ ‘สหาย’ ที่กำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้น เขาก็จำได้ว่าพวกฝึกมาพร้อมกัน แม้แต่ทำการสังหารด้วยกันอีกด้วย ใครคนนั้นยังรับการโจมตีแทนเขาอีกด้วย พวกเขาจะทำใจเชื่อได้อย่างไรว่าคนเหล่านี้เป็นสายลับ?
“อลาวรี่, แจ็ค, คลีเซีย…” ผู้นำคนหนึ่งประกาศรายชื่อของเหล่าสายลับ เขามองไปที่ผู้ช่วยผู้บัญชาการของพวกเขาผู้มีใบหน้าบึ้งตึง เขากลืนน้ำลาย “มันเป็นไปได้ไหม… ที่บางที… ท่านลอร์ด… เข้าใจผิด พวกเขา…”
ผู้บัญชาการของกองทัพแห่งเกียรติยศเป็นมนุษย์ที่มีสายเลือดระดับมาสเตอร์ เขามีเลเวลถึง 58
จูลิโอกำหมัดของเขาแน่นและมองไปที่เหล่าทหารที่กำลังคุยกันเองอยู่ ทันใดนั้นเขาก็ตะโกนออกมา “หุบปาก! พวกเจ้าทุกคน หุบปาก! ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทุกคนมีความสงสัย แต่ท่านลอร์ดจะมาอธิบายด้วยตัวท่านเอง ตอนนี้ พวกเจ้าจะเงียบเสียงลง หรือจะให้ข้าสั่งโทษทหารให้เจ้า?”
“ลูอิส นำพี่ชายน้องชายเหล่านี้ไปที่ๆ พวกเขาสมควรอยู่ พวกเจ้าที่เหลืออยู่ที่นี่ อย่าขยับ!” ในตอนที่จูลิโอพูดจบ ทหารคนอื่นรู้ว่าผู้ช่วยผู้บัญชาการโกรธมากขนาดไหน พวกเขาเดินเข้าไปในขบวนและยืนตามลำดับอย่างเรียบร้อยในทันที
แต่พวกเขาไม่ได้เข้าไปเติมเต็มที่ว่าง…
พวกเขาไม่เชื่อว่าพี่ชายน้องชายของพวกเขาเป็นสายลับ…
เมื่อเหล่าสายลับที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นเห็นฉากนี้ บางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ พวกเขาเกลียด พวกเขาเป็นสปายจริงๆ พวกเขามาพร้อมกับภารกิจ แต่พวกเขาก็ไม่ทันได้คิดว่าพวกเขาจะค่อยๆ รวมเป็นหนึ่งกับกองทัพนี้
แต่หลายๆ คนก็เริ่มที่จะรู้สึกว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของเมืองแห่งรุ่งอรุณ
พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพแห่งเกียรติยศ…
แต่ตอนนี้ พวกเขารู้ตัวแล้วว่ากบฏไม่เหมาะที่จะเป็นทหารของกองทัพแห่งเกียรติยศ…
ไม่มีใครรู้ว่าความกลัวขนาดไหนจะเข้ามาเยือนเมืองแห่งรุ่งอรุณจากการประหารชีวิตทาสกว่า 3,500 คน
หรือ
พวกเขาทั้งหมดจะถูกประหารชีวิตในเวลาเดียวกัน!
มันไม่มีโอกาสให้พวกเขากระจายข่าวเลย
ในขณะนั้น
มันเป็นเวลาเที่ยงคืนตรง
เสียงของระฆังดังสะท้อนไปทั่วทั้งเมืองอยู่หลายวินาที
วิลเลียมไม่ได้ทำการประหารนี้ด้วยตัวเขาเอง
ลอทเนอร์, เล็กซ์, เอริค, และโอดอมถูกส่งมาเพื่อการนี้ ถ้าพวกเขาไม่สามารถทำได้ พวกเขาจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่อย่างดีได้อีก…
วิลเลียมโฟกัสไปที่เหล่าสายลับที่เขาเลือกให้มาอยู่ในกองทัพของเขา…
ในขณะที่ประตูของค่ายทหารเปิดออก
ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนก็หันกลับมามอง
พวกเขาต้องการให้ชายหนุ่มหล่อเหลาผู้มีรูปร่างสูงโปร่งมาให้คำอธิบายดีๆ…
จูลิโอยืนเงียบๆ อยู่ข้างเขา เขาไม่ได้พูดอะไร
วิลเลียมมองไปที่ทหารจากกองทัพแห่งเกียรติยศ เขาพูดด้วยเสียงต่ำ “ปลดเชือกที่ปิดปากพวกเขาอยู่ออก!”
เชือกถูกปลดออกด้วยความรวดเร็ว
แต่ไม่มีใครกล้าที่จะส่งเสียงใดๆออกมา และก้มหัวต่ำมองพื้น พวกเขาไม่กล้าที่มองไปที่ดวงตาท่านลอร์ดของพวกเขา
“เงยหน้าขึ้น!”
เสียงที่เต็มไปด้วยไฟโกรธดังขึ้นแทรกความเงียบของความมืดและสะท้อนก้องไปทั่วสนาม
หวืด
ไม่ว่าพวกเขาจะกำลังคุกเข่าหรือยืนอยู่ มันก็เป็นราวกับคำสั่ง พวกเขาทั้งหมดรีบเงยหน้าขึ้นและมองไปยังท่านลอร์ดของพวกเขาผู้ที่นำพวกเขาไปสู่ความรุ่งโรจน์
“บอกเรา สายลับจากอาณาจักรเหล็ก เราปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่ยุติธรรมหรือไม่”
ทั้งสนามฝึกตกอยู่ในความเงียบ
ผู้ชายหลายคนที่คุกเข่าเปลือยกายอยู่บนพื้นก็อดน้ำตาซึมไม่ได้ แต่พวกเขาไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมา พวกเขาเอาแต่สะอื้น
“เจ้าร้องไห้เพราะอะไร? บอกเราที ทำไม?”
จู่ๆ วิลเลียมก็เกรี้ยวกราดขึ้น แต่ทุกคนก็เห็นได้ว่าเขาเงยหน้าขึ้นราวกับว่าเขาพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้…
การกระทำของเขา…
มันทำให้ทหารชั้นยอด 500 นายลดศีรษะของพวกเขาลง
เมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้
ทหารปัจจุบันคนอื่นๆ ไม่ได้โง่ พวกเขารู้ว่าท่านลอร์ดปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างยุติธรรมมาโดยตลอด พวกเขาเริ่มก่นด่าตัวเองด้วยซ้ำไปที่กล้าสงสัยคำสั่งของท่านลอร์ด …
แต่พวกเขาไม่อาจจินตนาการได้ว่าคนโง่ประเภทไหนที่ผันตัวเองไปเป็นสายลับของอาณาจักรเหล็ก
มันเป็นความจริงง่ายๆ
ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรเหล็กหรือลาวาดำ
ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นพลเรือน, ทหาร หรือเจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่รับใช้ชาติ ทุกคนจะได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน…
ถึงแม้ว่าทหารชั้นยอดบางคนจะได้รับการปฏิบัติที่ดี แต่เมื่อเทียบกับเมืองแห่งรุ่งอรุณแล้ว มันก็เหมือนกับการเปรียบเทียบอุจจาระในโถชักโครกกับไข่มุก…
ชีวิตในเมืองแห่งรุ่งอรุณนั้นเต็มไปด้วยความสุข การมองดูทาสที่มีสถานะเป็นพลเรือนในเมืองแห่งรุ่งอรุณก็พอทำให้ทุกคนเห็นภาพแล้ว
วิลเลียมมองไปที่พวกเขาทุกคน
เขาตรวจสอบทุกคน
พวกเขาจะไม่เป็นภัยคุกคาม
ทีละเล็กทีละน้อย
พวกเขาเริ่มกลับตัวกลับใจ…
เขาหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้งและพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ไปซะ เราจะแสร้งทำเป็นว่าเราไม่เคยมีพี่น้องอย่างพวกเจ้า!”
“เราไม่เคยตัดผมเลยตั้งแต่เกิดมา เราจะคิดซะว่านี่คือการสังหารพวกเจ้า!” วิลเลียมหยิบดาบอันแหลมคมของเขาขึ้นมาพร้อมกับรวบผมด้านหลังของเขา เขาพร้อมที่จะตัดมัน
“ท่านลอร์ด อย่าเลย นี่มันเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้” ทหารหนุ่มคนหนึ่งเดินไปด้านหน้าและตะโกนขณะที่กำลังร้องไห้
พวกเขาทุกคนรู้ดีว่าผมของเอลฟ์ไม่ควรถูกตัด…
พวกเขารู้ดีว่าผมของเอลฟ์ก็ไม่ต่างจากแขนและขาเลย…
ใครเคยเห็นเอลฟ์ผมสั้นบ้าง?
ชีวิตของพวกเขาที่อยู่ตรงหน้าท่านลอร์ดคืออะไร!
มิตรภาพอะไรกัน! ท่านลอร์ดปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนกับเป็นแขนและขาของตัวท่านเอง แต่พวกเขากำลังจะทรยศท่านลอร์ดของพวกเขาเพื่ออาณาจักรเหล็กงั้นหรือ? พวกเขาจะทรยศพี่ชายน้องชายของพวกเขาหลังจากถูกจับตัวเอาไว้เหมือนกันหรือ?
“ท่านลอร์ด ฆ่าพวกเราเถอะ!!” เหล่าทหารก้มหัวลงด้วยความเจ็บปวด
“ผู้บัญชาการ พวกเรามีความผิดในคดีที่แม้แต่ความตายก็ไม่อาจชดเชยได้ ฆ่าเรา พวกเราสมควรตาย” ทหารบางคนเพียงแค่หลับตาและรอคอยการมาถึงของสรวงสวรรค์
“อย่าทำอย่างนั้น! ท่านลอร์ด ได้โปรดฆ่าพวกเราแทนเถอะ” คน 500 คนคุกเข่าลงบนพื้นและตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด
แต่วิลเลียมตวัดดาบของเขา!
ผมที่ไหล่ของเขาสั้นลงในทันที
ทหารทุกคนในกองทัพกำหมัดแน่นด้วยความเกลียดชังและขมขื่น…
คนทั้ง 500 ร้องไห้ไม่เหลือเสียงให้ร้อง บางคนถึงกับนอนลงไปบนพื้นด้วยซ้ำ
ผมของวิลเลียมลอยอยู่ในอากาศ กลุ่มผมค่อยๆหลุดออกจากมือของเขาและตกลงบนพื้น
เขามองไปที่มือของเขาด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ไม่มีใครรู้ว่าหัวใจของเขาปวดร้าวเพียงใด
ท่านลอร์ดของพวกเขาหลับตาลงและลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทันทีที่เขาลืมตาขึ้น เขาก็ตะโกนว่า “พวกเจ้ายังไม่ไปอีกหรอ? ทำไมเจ้าไม่กลับไปที่ตำแหน่งของพวกเจ้าล่ะ? เจ้าจะคุกเข่าอยู่ทำไม?”
“ครับท่านลอร์ด” เหล่าชายที่ถูกมัดไว้จู่ๆก็มีพละกำลังที่จะกระเด้งกระโดดและคลานราวกับไส้เดือน
ในขณะเดียวกัน
ระฆังก็ดังขึ้น
ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองแห่งรุ่งอรุณได้รับการแก้ไขด้วยวิธีที่สมบูรณ์แบบที่สุด!
ค่ำคืนแห่งความหวาดกลัวไม่ได้ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นในเมืองรุ่งอรุณ
ภารกิจกำจัดหนอนบ่อนไส้ไม่ได้ถูกเผยให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์รับรู้ สายตาอันเฉียบคมของวิลเลียมไม่ใช่เรื่องตลก เขาสามารถบอกอย่างชัดเจนได้ว่าใครเป็นสายลับที่แฝงตัวเข้ามา
จากที่ผ่านมา มีสายลับจำนวนมากเริ่มเข้ามาผูกมิตรกับเขาอย่างช้าๆ แต่เขาก็ขี้เกียจเกินกว่าจะควบคุมพวกเขา หาไม่แล้ว เขาจะมีความสามารถติดตัวไปทำไมกัน?
สาบลับที่แฝงตัวมาไม่ได้อันตรายมากนัก ก่อนที่สงครามจะเริ่ม พวกเขาก็จะทำตัวเป็นกลางเหมือนกับเผ่าพันธุ์ที่มีปีกที่เมืองรุ่งอรุณเป็นพันธมิตรด้วย แต่นอกเหนือจากเผ่าพันธุ์มีปีกเพียงไม่กี่เผ่าแล้ว เมืองรุ่งอรุณไม่มีเหล่าวาณิชย์หรือกลุ่มคนอื่นๆที่เป็นกลาง ดังนั้น ตราบใดที่พวกเขาอยู่ฝ่ายกลาง พวกเขาจะต้องตาย
สายลับที่แฝงตัวอยู่ในทัพแห่งเกียรติยศนั้นสามารถควบคุมได้ง่ายเพราะหลังจากที่วิลเลียมเลือกพวกเขาเข้ามา พวกเขาก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งรุ่งอรุณเป็นระยะเวลาหนึ่ง นโยบายต่างๆและความพยายามที่จะสร้างเกียรติยศให้คงอยู่ยืนยาวเป็นแผนการที่น่าประทับใจและทำให้พวกเขาต้องมนต์เสน่ห์ที่น่าหลงใหลนี้อย่างแน่นอน
ด้วยการดูแลผู้คนเป็นระยะเวลานาน จึงทำให้วิลเลียมมีความสัมพันธ์ต่อผู้คนดียิ่งขึ้น คนเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นกลางแต่อีกทางหนึ่งพวกเขาเป็นคนของอาณาจักรเหล็ก
ที่สำคัญที่สุดหากค่าความสัมพันธ์ไม่ถึง 1,000 แต้ม ก็จะไม่สามารถพิจารณาถึงความภักดีที่แท้จริงได้ ความภักดีที่แท้จริงไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่กบฏ ขนาดสัตว์เลี้ยงที่มีค่าความสัมพันธ์กว่า 1,000 แต้ม หากมันถูกทำร้ายโดยเจ้าของ ความภักดีของมันก็จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด และอาจจะหนีไปด้วยซ้ำ มันเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
วิลเลียมมีความสามารถติดตัว แต่เขาไม่สามารถควบคุมทุกคนได้ นอกจากนี้หัวใจของผู้คนไม่ใช่สิ่งที่สามารถแสดงเป็นตัวเลขได้ มีหลายสิ่งที่ต้องพิจารณา
มีสายลับมากกว่า 3,000 คน จะมั่นใจได้ยังไงว่าพวกเขาอย่างน้อย 700 คน จะมีความภักดี?
และแม้ว่าความภักดีของพวกเขาจะมากกว่า 700 แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความสามารถติดตัวของวิลเลียมก็จะอ่อนแอลงอยู่ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถติดตัวของวิลเลียมนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมากในสงครามที่ไม่มีจุดจบชัดเจนครั้งนี้
เมื่อผู้คนในเมืองตื่นขึ้นมาในตอนเช้า พวกเขาก็พบเข้ากับศีรษะเปื้อนเลือดแขวนอยู่บนกำแพงด้านทิศตะวันออก ศีรษะมนุษย์กว่า 2,000 คนถูกนำมาโชว์ ภาพยามเช้าตรู่ของวันนี้ดูเหมือนกับฉากสยองขวัญจากหนังเรื่อง Apocalyse มีชาวเมืองหลายคนหวาดกลัวจนแทบจะฉี่ราด
เมื่อพวกเขาเห็นประกาศก็เข้าใจว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น
และในเช้าวันนั้น กองทัพสามในห้าของเมืองรุ่งอรุณได้หายตัวไป
เหลือเพียงทัพแห่งเกียรติยศและกองกำลังการ์เดี้ยนอยู่ในเมืองเท่านั้น
ค่ายทหารถูกสร้างขึ้นที่ชายแดนของเมืองเพื่อที่จะได้ไม่รบกวนการใช้ชีวิตของประชาชนในเมือง นอกจากนี้ยังสะดวกในการรวบรวมและส่งกำลังทหารได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย เหล่าทหารสามารถปีนขึ้นไปบนกำแพงเมืองและปกป้องเมืองได้
ทำให้แทบไม่มีใครสังเกตเห็นตอนกองทัพทั้งสามออกจากเมืองเมื่อเวลาตีสามเลย
สาเหตุหลักๆที่ไม่ส่งทัพแห่งเกียรติยศออกไปเนื่องจากต้องการปิดหูปิดตาสายลับ 500 คนในนั้น พวกเขาถูกส่งไปยังเหมืองเพื่อคุ้มกัน มันจะทำให้อาณาจักรเหล็กคิดว่าพวกเขาตายไปแล้วและสายลับเหล่านี้อาจสามารถนำครอบครัวของพวกเขาไปได้ในอนาคต
กองทหารทั้งสามรวมทั้งผู้ใต้บังคับบัญชาของวิลเลียมนำทหารกว่า 9500 นายเดินทัพซึ่งเห็นทหารเป็นแถวยาวกว่าหมื่นเมตรมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกผ่านหน้าผา
พวกเขามุ่งหน้าไปยังป้อมทหารที่อยู่ห่างออกไป 15 กิโลเมตร พวกเขาไม่สามารถซ่อนการเคลื่อนไหวจากสายลับได้นานนัก เพราะสายลับไม่ได้ส่งข่าวเป็นม้วนกระดาษเวทย์ไปเป็นเวลานานแล้ว จึงทำให้อาณาจักรเหล็กเริ่มสงสัยว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ดังนั้นเวลาจึงเป็นสิ่งสำคัญและทำให้พวกเขาต้องลงมือทำในทันที
“ป้อมปราการทางทหารของอาณาจักรเหล็กยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่กำแพงเมืองที่สร้างขึ้นมีความสูง 20 เมตรและหนา 7 เมตร ทหารสามารถยืนบนนั้นได้ประมาณสองแถว”
“นอกจากนี้ความยาวของกำแพงยังสั้นมาก แม้ว่าจะมีกองทหารเพียงกองเดียวในป้อมปราการพวกเขาก็สามารถป้องกันป้อมทหารได้อย่างเต็มที่หากพวกเขาเข้าแถวคุ้มกัน”
“ถ้าเราต้องการที่จะทำลายป้อมทหารนี้เราจะต้องได้รับบาดเจ็บหนักแน่” ในฐานะหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับของเมืองแห่งรุ่งอรุณ อเล็กซ์อธิบายรายละเอียดให้วิลเลียมฟัง
วิลเลียมไม่ได้แสดงความคิดเห็น เขายกมือขึ้นและหรี่ตา “ประตูเมืองหนาแค่ไหน? เราจำได้ว่ามันหนาเพียง 23 เซนติเมตร มีชั้นเหล็กหนาเพียงสามเซนติเมตรเท่านั้น มันไม่ได้ร่ายเวทย์ไว้ใช่ไหม”
“ประตูเมือง?” อเล็กซ์ตะลึง เขาพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ท่านลอร์ดพูดถูกแล้ว พวกเขาไม่ได้ร่ายเวทย์ประตูไว้ แต่ท่านให้เรานำแค่บันไดมาบุกโจมตี ไม่ได้เอาค้อนมาโจมตี…”
“ค้อนโจมตีเมือง? เฮ้เฮ้!” จู่ๆวิลเลียมก็ออกคำสั่ง “เจ้าทึ่มสองตัวที่สมควรตายนั่นอยู่ไหน? ออกมา!”
จากนั้น
พื้นดินก็สั่นสะเทือน
แล้วสองร่างยักษ์ก็เดินออกมาจากฝูงชน
หนึ่งในนั้นคือบรัดดี้ ครัชเชอร์ เลเวล 65 อีกตนเป็นโทรลที่ดูโหดร้ายและมีร่างกายที่แข็งแกร่ง
แต่ทว่า
โทรลมีหมวกเกราะคุณภาพเยี่ยมรูปตัว A ขนาดใหญ่อยู่บนหัวของเขา!
ลอทเนอร์และคนอื่นๆ ต่างตกตะลึง เกิดอะไรขึ้นกัน?
วิลเลียมงับนิ้วของเขาและชี้ไปที่โทรลเลเวล 55 “ตุ๊กตาเหล็กถล่มเมือง คุณคิดว่าถ้าผู้วิเศษอวยพรให้แก่เขา เขาจะสามารถทะลุประตูที่ดูไร้เทียมทานนี้ได้หรือไม่? เขาต้องวิ่งมาซัก 100 เมตรเพื่อให้ได้โมเมนตัม”
คนกลุ่มหนึ่งกลืนน้ำลายและมองไปที่โทรลตนนั้น
เขาสูงเกือบสี่เมตร
และหนักกว่า 3000 กิโลกรัม เขาสวมชุดเกราะที่ทนทานเช่นเดียวกับหมวกที่สั่งทำพิเศษ
พวกเขาแทบจะกลั้นขำเอาไว้ไม่ได้
นี่ก็อาจเป็นไปได้นะ!
แต่ว่า
การวิ่งชนกำแพง แม้ว่าโทรลจะไม่ตาย แต่เขาก็คงจะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก
แต่วิลเลียมไม่สนใจ…
เขาปฏิบัติต่อโทรลที่เขากดขี่โดยใช้เวทย์วิญญาณเป็นสิ่งของที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว
แม้ว่าโทรลตนนั้นจะมีสายเลือดระดับมาสเตอร์ แต่เขาก็ขาดทักษะ เขาด้อยกว่าบรัดดี้ ครัชเชอร์มากเลยทีเดียว
อาจกล่าวได้ว่าวิลเลียมได้เตรียมไพ่ตายทั้งหมดของเขาไว้โค่นป้อมทหารให้ได้รวดเร็วที่สุด เขาใช้โทรลที่มีสายเลือดระดับรีเจนดารีและหมวกระดับอีปิค มันเป็นราคาหนักที่ต้องจ่าย
การประกาศสงครามของวิลเลียมจะไปถึงหูของออกัสตินและโกธี นาซิสอย่างแน่นอน แต่เขาไม่สนใจ
อาณาจักรเหล็กได้เตรียมพร้อมสำหรับสังหารมังกรนี้มานานเกินไปแล้ว
ออกัสตินยังเป็นบุคคลในตำนานที่ไม่ยอมถอยจนกว่าเขาจะบรรลุวัตถุประสงค์
เขาจะไม่ยอมแพ้ในภารกิจสังหารมังกรและรีบกลับไปให้การสนับสนุนเพียงเพราะป้อมปราการของเขาถูกโจมตี
เนื่องจากเขาเตรียมการมานานมาก เขาจึงจะต้องสังหารมังกรและนำศพของมันกลับมาอย่างมีชัย และหลังจากนั้นพวกเขาจะส่งกองทหารใหม่พร้อมกับอาณาจักรเหล็กมาเพื่อโจมตีเมืองแห่งรุ่งอรุณ
เพราะฉะนั้น วิลเลียมต้องรีบดำเนินการ!
ออกัสตินออกเดินทางไปแล้วเมื่อคืนก่อน เวลายังคงเดินต่อไป ไม่ว่าออกัสตินจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวในการสังหารมังกร หากเป็นเพราะบัตเตอร์ฟลาย เอฟเฟ็กต์ วิลเลียมจะเสียประโยชน์และโอกาสมากเกินไป
เมื่อกองทัพแห่งรุ่งอรุณอยู่ห่างจากป้อมปราการทหาร 2.5 กิโลเมตร หน่วยสอดแนมจากอาณาจักรเหล็กก็ได้สังเกตเห็นกองกำลังทหารแล้ว พวกเขาไม่ใช่กองกำลังที่องครักษ์เอลฟ์พรานจะสามารถป้องกันได้
แต่ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาไม่ได้เดินผ่านป่า แต่พวกเขาเดินไปตามหน้าผา
ด้วยรูปแบบการเดินทางที่ชัดเจนนี้กองทัพรุ่งอรุณจึงไม่หยิ่งผยองเกินไป…
ในขณะนั้นทหารได้เรียงรายอยู่บนกำแพงเมือง ด้านหน้ามีทหารรักษาการณ์และด้านหลังพวกเขาเป็นพลธนูเตรียมพร้อมที่จะยิงและมีการเคลื่อนย้ายหน้าไม้ที่หนักไปที่กำแพงอีกด้วย
พวกเขาไม่มีทางเลือกเนื่องจากหอคอยโจมตียังไม่ได้ถูกสร้างขึ้น พวกเขาสามารถวางหน้าไม้ที่หนักบนกำแพงได้เท่านั้น
ในฐานะผู้บัญชาการกองทหารที่ 13 แบรนต์ขมวดคิ้ว เขาสาปแช่งหน่วยข่าวกรองของอาณาจักรเหล็กว่าเป็นคนงี่เง่า
เขาเคยได้ยินมาว่าผู้นำของอาณาจักรเหล็กได้ส่งสายลับหลายพันคนเข้าไปในเมืองแห่งรุ่งอรุณ และในหมู่พวกเขาอย่างน้อย 20 คนมีม้วนกระดาษส่งสาร!
หากเมืองแห่งรุ่งอรุณส่งกองกำลังไปโจมตีป้อมปราการทหาร สายลับในเมืองต้องได้รับการแจ้งเตือนอย่างแน่นอนรวมถึงสายลับในทัพแห่งเกียรติยศอีกด้วย
“พวกงี่เง่าเหล่านี้มาถึงหน้าประตูบ้านเราแล้ว แต่ข้ายังไม่ได้รับข้อมูลอะไรเลย เจ้ากำลังบอกข้าว่ากองทัพรุ่งอรุณกำลังจะมาช่วยเราฆ่ามังกรงั้นเหรอ?” แบรนต์กำหมัดแน่น เขาเพิ่งส่งข่าวออกไป แต่เขารู้ว่าออกัสตินจะไม่กลับมาช่วยอย่างแน่นอน
และต้องใช้เวลาอย่างน้อยแปดชั่วโมงกว่ากองกำลังสนับสนุนจากอาณาจักรเหล็กจะมาถึง นั่นหมายความว่าเขาต้องนำทหาร 3000 นายให้อดทนจนถึงตอนนั้น
เขามองไปที่ทาสหลายพันคนที่กำลังสั่นสะท้านอยู่ในเมือง เขาไม่ได้คิดถึงพวกเขามากนัก
บางทีอาจมีผู้เชี่ยวชาญอยู่ในหมู่พวกเขา
แต่พวกเขาไม่ได้ผ่านการฝึกฝนใดๆมาเลย และพวกเขาก็ไม่มีอุปกรณ์ไว้ใช้ด้วย พวกเขามีกำลังรบต่ำและไม่สามารถปีนขึ้นไปบนกำแพงเมืองได้ และแม้ว่าพวกเขาจะปีนขึ้นไปบนกำแพง ก็มีแต่จะสร้างปัญหา พวกเขาทำได้เพียงส่งลูกศรและใช้แรงงานเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงจ้องมองพวกเขาและคำราม “กองทหารจากเมืองรุ่งอรุณกล้าที่จะต่อสู้กับเรา ฆ่าพวกมันซะ! อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว!”
“ลุยย!” ทหารทั้ง 3000 นายตะโกนพร้อมเพรียงกัน เสียงของพวกเขาดังอึกทึก
กองทัพรุ่งอรุณซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายพันเมตรสามารถได้ยินพวกเขาอย่างชัดเจน
วิลเลียมมองไปที่ป้อมปราการของทหารซึ่งสร้างจากหินและเหล็ก มันให้ออร่าที่บีบคั้นราวกับมีสัตว์วิเศษตัวใหญ่นั่งอยู่บนหน้าผา
เขาโบกมือเบา ๆ ธงถูกยกขึ้น
ทัพทั้งสามเข้าสู่ตำแหน่งอย่างรวดเร็ว
ทหาร 3000 นายเดินไปด้านหน้าและก้าวไปอย่างสง่างามตามคำสั่ง!
วิลเลียมที่ผมสั้นนำพวกเขา
เขาเหมือนแรดที่กำลังพุ่งเข้าใส่ เขาวิ่งเร็วขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อยๆ …
พื้นใต้เท้าของเขาเริ่มแตก เสียงหวีดหวิวปรากฏขึ้นในอากาศในขณะที่เขาเคลื่อนที่เร็วขึ้นและเร็วขึ้น ราวกับว่าเขากลายเป็นสายฟ้า ราวกับพายุกระแทกประตูเมือง!
ปัง!
เขาแทงดาบที่หุ้มด้วยพลังการต่อสู้แห่งสายฟ้าด้วยความกรุ่นโกรธใส่ประตูเมืองเหล็ก
ประตูเมืองสูงห้าเมตรเริ่มสั่นสะเทือน
รอยแตกที่มองเห็นได้ปรากฏขึ้นที่ประตู!
แต่เมื่อแบรนต์เห็นดังนั้น อัตราการเต้นของหัวใจที่พุ่งสูงขึ้นก็ลดลง เขาหัวเราะอย่างเหยียดหยาม “ท่านมีพลังมากแค่ไหนกัน? ท่านจะสามารโจมตีมันได้อย่างไร?”
วิลเลียมยักไหล่และลูบมือที่ชาของเขา เขายืนพิงประตูเมืองอย่างเงียบ ๆ
ด้วยเหตุนั้น…
ยักษ์สวมชุดเกราะเหล็กเดินออกจากขบวน เช่นเดียวกับวิลเลียมเขาวิ่งไปที่ประตูเมืองอย่างดุเดือด
ทันใดนั้นแบรนต์ก็เข้าใจ เขาขยี้ตา “นั่นมันอะไรน่ะ?”
“ยิงเขาซะ! พลธนูและหน้าไม้ยิงไปที่เขา อย่าปล่อยให้โทรลตัวนั้นเข้าใกล้ประตูเมือง” แบรนต์กระชากเสียง
นักธนูปล่อยธนูออกไป แต่ลูกธนูก็กระเด้งออกหลังกระทบกับเกราะของโทรลล์อย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนบนชุดเกราะด้วยซ้ำ
แต่พลังของหน้าไม้หนักก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม!
ลูกศรของหน้าไม้หนักยาวหนึ่งเมตรและหนักถึง 2.3 กิโลกรัม มันต้องใช้คนถึงสามคนในการเตรียมลูกศรให้พร้อมก่อนที่จะใช้ยิงได้อย่างแม่นยำ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า
นี่เป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับใช้ในการปกป้องเมืองในเวอร์ชัน 1.0 เปรียบได้ว่าหน้าไม้หนักจอมทำลายล้างนี้สามารถทำศัตรูให้กลายเป็นเนื้อบดได้…
และถ้าหน้าไม้เหล่านี้ได้รับการเสริมอาคม มันก็จะกลายเป็นอาวุธเทพชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว
หน้าไม้หนักสิบอันเล็งไปที่เจ้าโทรลป่าเถื่อน
ฟุบ…
ฟิ้วว…
สายธนูที่ทำจากอสูรเวทย์สั่นไหวอย่างรุนแรง
ลูกศรเหล็กติดระเบิดสิบลูกที่วิ่งผ่าสายลมจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าได้พุ่งลงไปข้างโทรลล์ตัวเดิม
ในเวลาเดียวกัน
ลอทเตอร์, อเล็กซ์, เอริค และผู้บัญชาการครึ่งเอลฟ์หน้าใหม่แห่งกองทัพแห่งความกล้าอย่างคริสเตียนก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังโทรล พวกเขาควงโล่หนักพิเศษและใช้มันป้องกันร่างของพวกเขาไว้
ตูม, ตูม, ตูม…
ลูกศรเหล็กสามดอกที่ตอนแรกเล็งไปที่เจ้าโทรลเปลี่ยนเป้าหมายพุ่งไปยังลอทเนอร์, อเล็กซ์, และเอริค พวกเขากระอักเลือดหลังถูกระเบิดผลักกระเด็นออกไปหลายสิบเมตร โทรลไม่โดนลูกศรเลยสักดอก และเขายังคงพุ่งไปข้างหน้าต่อไปอย่างป่าเถื่อน
หน้าไม้หนักไม่สามารถรีโหลดได้ทันเวลา แบรนต์กำหมัดแน่นและจ้องไปที่ประตูเมืองด้านล่าง
เสียงหนึ่งดังขึ้น
ปึง…
บนประตูเมืองที่ถูกหล่อขึ้นมาด้วยเหล็ก ตอนนี้ปรากฏรอยแยกใหญ่ขนาดเท่ามนุษย์
หลังจากนั้น
หมวกระดับอีปิคของตุ๊กตาเหล็กเสียรูปอย่างแรง และเขาก็ล้มลงบนพื้นพร้อมฟองสีขาวฟูมปาก…
“ทุกคน โจมตี! ยึดกำแพงเมือง!” ลอทเนอร์ตะโกนพร้อมกับยืนขึ้นช้าๆ ขณะที่ไอเป็นเลือด แม้ว่าโล่หนักที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษจะไม่ได้ถูกเจาะด้วยลูกศรจากหน้าไม้ แต่แรงที่ส่งผ่านก็มากจนทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสภายใน
ทั้งหมดนั้นมันคุ้มค่ามาก
เมื่อมีการสร้างรอยแยกบนประตูเมืองที่แข็งแรง การมีอยู่ของป้อมปราการทหารก็ไม่ต่างอะไรกับไม่มี
ลูกหินและลูกธนูสำหรับหน้าไม้หนักไม่ได้เป็นปัญหามากนัก
วิลเลียมซึ่งอยู่ที่ประตูเมืองกระโดดเข้าไปข้างใน เขาสังเกตเห็นเพื่อนผู้โชคร้ายสองสามคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโดนประตูเมืองทับ
ทหารหลายสิบคนถูกปิดตายอยู่ตรงประตูเมืองที่ถูกทำลาย
ทหารเหล่านั้นงงงวยเพราะการต่อสู้ยังไม่ทันได้เริ่มขึ้นเลย
ไม่มีเสียงร้องประกาศสงครามใดๆ บนป้อมปราการ
แต่ประตูเมืองกลับถูกพังลง ทหารบนป้อมปราการทำงานพลาดกันงั้นหรอ?
ทหารที่อยู่บนป้อมปราการกำลังทำให้ทหารที่อยู่ด้านล่างดูโง่!
เมื่อเหล่าทหารเห็นว่าวิลเลียมอยู่คนเดียวและเขาเข้ามาด้านในเมืองแล้ว ทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีก็ชักดาบขึ้นและเข้าโจมตีวิลเลียมทันที
“พวกต่ำช้า!” วิลเลียมกำหมัดแน่นและชกทหารซึ่งพุ่งเข้าใส่เขาด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อนที่ดาบของทหารจะร่วง ศีรษะของทหารคนนั้นก็ถูกกระแทก และนั่นทำให้เขาก็ล้มลงบนพื้นอย่างแรงในขณะที่ขาทั้งสองของเขาลอยชี้ฟ้า
“ฆ่าเขาซะ” กองกำลังเสริมปรากฏออกมาอย่างต่อเนื่องจากป้อมปราการ
วิลเลียมตวัดดาบยาวสายฟ้าระดับอีปิคที่หลอมใหม่ออกมา แล้วพุ่งไปข้างหน้า
เขาฟันและตัดอาวุธ, ร่างกาย, และหมวกเกราะของทหารตรงหน้าเขาออก เลือดสดๆพ่นอยู่ในอากาศ การกระทำนี้ทำเพื่อสร้างความหวาดกลัวขึ้นในจิตใจของทหารฝ่ายศัตรู
ทหารคนหนึ่งเข้าโจมตีวิลเลียมจากทางซ้าย วิลเลียมเตะทหารคนนั้นอย่างแรงและพลังการต่อสู้ที่ป้องกันเขาอยู่ก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทหารคนนั้นลอยไปด้านหลังและชนเข้ากับกำแพงเมือง กะโหลกศีรษะด้านหลังของเขาก็กระแทกกับกำแพงและนั่นทำให้เขาประสบกับความตายที่น่าเศร้า
นักรบหลายสิบคนล้อมวิลเลียม แต่แล้วคลื่นโซลช็อคก็ถูกปล่อยออกมาจากวิลเลียม
ทหารทั้งหมดลอยไปด้านหลังราวกับกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่น พวกเขากระเด็นไปบนกองกำลังเสริมที่อยู่ด้านหลัง นั่นยิ่งทำให้เกิดความโกลาหลมากขึ้นอีก ม้าที่พวกเขานั่งมาล้มลงและทหารที่ขี่ม้าเหล่านี้อยู่ก็ตกจากหลังม้า
แม้ว่าการโจมตีของวิลเลียมจะไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ทหารก็มีอาการวิงเวียนศีรษะราวกับวิญญาณของพวกเขาถูกกระแทกออกจากร่าง…
เมื่อนักรบคนอื่นๆ ของอาณาจักรเหล็กเห็นฉากนี้ พวกเขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง
วิลเลียม เจ้าแห่งแสงที่เป็นเหมือนมังกรดุร้ายที่พุ่งเข้าใส่อย่างไม่ลังเล แถมเขายังไม่ได้ยิงธนูออกจากคันธนูของเขาเลยแม้แต่ดอกเดียว เขาไม่สามารถถูกเรียกว่าเป็นทหารพรานได้เพราะเขาไม่ได้ทำตามวิถีสู้แบบที่ทหารพรานปกติทำ…
แบรนต์มองอย่างหมดหนทางในขณะที่วิลเลียมสังหารเหล่าทหารของเขาที่อยู่ตรงประตูเมือง
เขาไม่สามารถหยุดวิลเลียมได้เพราะทหารโล่ 3,000 นายได้ยกบันไดไปปิดล้อมฐานประตูเมือง
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของการปิดล้อมครั้งนี้คือการที่ทหารในชุดเกราะคุณภาพพร้อมรบเหล่านี้ล้วนเป็นเอลฟ์หรือไม่ก็ครึ่งเอลฟ์กันหมด!!
พวกเขาสามารถหลบหลีกหินจากเครื่องยิงได้อย่างง่ายดาย และแม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถหลบลูกธนูจากคันธนูยักษ์ได้ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายอะไร
นอกจากนี้ เนื่องจากชุดเกราะเงางามของชาวเอลฟ์ถูกร่ายด้วยมิทริลแล้ว ดังนั้นแม้ว่านักธนูของเขาจะใช้ลูกศรที่เพิ่มพลังการต่อสู้ แต่มันก็ไม่สามารถทำอันตรายต่อเอลฟ์ได้
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเอลฟ์ยังมีโล่ ลูกธนูสำหรับหน้าไม้หนักไม่ได้มีประสิทธิภาพมากนักเมื่อมันพลาดเป้าเสียส่วนใหญ่…
“เอลฟ์, ครึ่งเอลฟ์… ข้าจะเอาชนะกองทัพทั้งสามนี้ได้อย่างไร” แบรนต์ด่าในใจ
ตู้ม ตู้ม ตู้ม
เสียงฝีเท้าหนักคล้ายกับก่อนหน้านี้ดังก้องอีกครั้ง
โทรลล์ที่พร้อมไปด้วยอุปกรณ์และโล่รบมาที่ฐานประตูเมือง เขาโบกคทาเวทย์สีเขียวแวววาวและทุบมันเข้าที่ประตูเมือง!
เพียงสิบครั้งเท่านั้น
และรอยแยกบนประตูเมืองก็ขยายกว้างยิ่งขึ้นอีก
นักรบโล่อีกสองสามคนพุ่งเข้าไปในเมืองเพื่อเป็นกำลังเสริมให้วิลเลียม
นอกจากนี้
พวกเขาเป็นทหารที่ทรงพลังมาก ถูกแล้วล่ะ ทหาร…
พวกเขาปีนบันไดและกระโดดขึ้นไปบนป้อมปราการอย่างง่ายดาย จากนั้นก็เริ่มเพลิดเพลินไปกับการฆ่าของพวกเขา
ทหารที่ทรงพลังเหล่านี้เป็นแม่ทัพเอลฟ์ที่อยู่ที่เลเวล 40 ถึง 50 พวกเขามีสายเลือดที่ทรงพลังและถือได้ว่าเป็นปรมาจารย์…
ขณะนั้น
หัวใจของแบรนต์ก็หล่นวูบ
เขาหมดความตั้งใจที่จะต่อสู้…
ทหารที่อยู่ข้างหลังเขาพ่นน้ำลายและชี้ไปที่โกดังด้านหลังพร้อมพูด “ท่านลอร์ด เผาโกดังแล้วถอยออกไปโดยใช้ทางลับด้านหลัง”
แบรนต์หันไปมององครักษ์ส่วนตัวของเขา เขาเหล่ตาและแทงทหารองครักษ์ส่วนตัวที่ติดตามเขามาหลายปีโดยที่ไม่สนใจท่าทางประหลาดใจของทหารที่อยู่รอบข้าง เขาตะโกนออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว “อาณาจักรเหล็กที่ไร้ความชอบธรรมได้ทำการกดขี่สามัญชนและทาส และยังทำการสังหารขุนนาง ข้า แบรนต์เต็มใจที่จะนำผู้ติดตามของข้าและเข้าร่วมกับลอร์ดแห่งแสง!”
ขณะนั้นเอง
แบรนต์กระโดดไปที่ฐานประตูเมืองและขับไล่ทหารที่ขัดขวางเขาออกไป เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงและพูดด้วยท่าทางที่เย่อหยิ่งกับวิลเลียม “ผู้บัญชาการกองพันที่ 13 แห่งอาณาจักรเหล็ก แบรนต์ ขอต้อนรับท่านลอร์ดวิลเลียมเข้าสู่เมือง”
เสียงของเขาดังลั่น
เขาใช้พลังการต่อสู้เพื่อส่งเสียงไปยังสนามรบครึ่งหนึ่ง
ชั่วขณะหนึ่ง
นักรบที่สับสนหลายคนหยุดการต่อสู้
วิลเลียมถือดาบยาวเปื้อนเลือดและก้าวเดินช้าๆ ไปที่แบรนต์ วิลเลียมเอียงคอเล็กน้อยและพูดว่า “ดีมาก แต่เราไม่ชอบคนทรยศ”
ฟุ่บ!
พลังสีฟ้าของดาบปรากฏขึ้นและพลังการต่อสู้ของแบรนต์ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ!
แบรนต์เต็มไปด้วยความกลัวในขณะที่เขากำลังคิดแผนสำรอง
แต่วิลเลียมคว้าแขนของแบรนต์เอาไว้และทุบหัวของแบรนต์แขนของเขาเอง
เลือดจำนวนมากไหลออกมาจากจมูกของแบรนต์ ในขณะที่ศีรษะอันมึนงงของเขาพับไปข้างหลัง
การเจาะผ่านครั้งหนึ่ง
แสงสีเขียวพุ่งผ่านไป
ดาบสั้นอาบยาพิษที่ได้รับการพัฒนาโดยแสงแห่งรุ่งอรุณตัดเข้าที่คอของแบรนต์
ศีรษะที่มีเนื้อยังติดอยู่ร่วงลงบนพื้น ร่างที่ไร้ศีรษะดูราวกับน้ำพุเลือด…
แบรนต์ นักรบที่มีค่าพลังชีวิตนับหมื่นเสียชีวิตภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีหลังถูกเชือดคอ การตายของเขาเป็นเรื่องที่ไม่น่าพอใจ…
“ช่างโง่เขลาที่ไม่หมวกเกราะและที่เกราะคอแค่เพื่อให้ดูเท่”
วิลเลียมเลิกคิ้วก่อนมองไปยังเหล่าทหารที่อ้าปากค้าง เขาชี้ดาบไปที่พวกเขาและพูดว่า “ถ้าเจ้าบอกเราว่าใครเป็นคนใช้หน้าไม้ เราจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิต!”
หลังจากทหารโลเลคนหนึ่งโยนอาวุธลงทหารคนอื่นๆ ก็ทำตาม เหล่าทหารผู้โชคร้ายที่ใช้อาวุธเหล่านี้ถูกแยกออกมา
วิลเลียมเหวี่ยงดาบยาวของเขา พลังงานดาบสว่างวาบในขณะที่เสียงวิ้งๆ ดังขึ้น ทหารเหล่านั้นศีรษะหลุดออกจากบ่าในทันที
“เราสามารถไว้ชีวิตพวกเจ้าที่เหลือได้ แต่เจ้าจะต้องไปขุดแร่” วิลเลียมตะโกนด้วยความโหดร้ายและประกาศการเปลี่ยนธงในป้อมปราการทางการทหารของอาณาจักรเหล็ก
“เหอะ เอลฟ์นั้นต่อสู้ด้วยอัตราที่มีความต่างมากมาโดยตลอด อาณาจักรเหล็กประเมินเอลฟ์ต่ำไปมาก” วิลเลียมเย้ยหยัน ตามที่คาดไว้วิลเลียมเข้ายึดป้อมทหารได้อย่างง่ายดาย
แต่เขาไม่คาดคิดว่าผู้บัญชาการกองทหารจะยอมจำนน…
สาเหตุที่ทำให้อาณาจักรเหล็กพ่ายแพ้แค่เพียงฝ่ายเดียวคือการที่มนุษย์ไม่ได้ต่อสู้กับเอลฟ์มาเป็นเวลานานแล้ว พวกเขาลืมไปแล้วว่าผู้ปกครองเอลฟ์ของทวีปนั้นแข็งแกร่งเพียงใด…
[การโจมตี: ต่อสู้กับป้อมปราการทางทหารของอาณาจักรเหล็ก]
[ระดับความยาก: A-]
[อัตราสำเร็จของภารกิจ: 95%]
[ความคิดเห็น: คุณชนะการต่อสู้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ได้มีการสูญเสียไปมากนัก ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จในการยั่วยุอาณาจักร ขอชื่นชมความพยายามของคุณ!]
[รางวัล: ค่าประสบการณ์ 95000 หน่วย]
[รางวัล: คริสตัลดันเจี้ยนป้อมปราการทหาร]
วิลเลียมถือคริสตัลไว้ในมือ เขาไม่คาดคิดว่าภารกิจนี้จะตอบแทนเขาด้วยคริสตัล
“ลองคิดดูสิ แม้ว่าความยากของภารกิจคือ A- แต่ดูเหมือนว่าการจัดอันดับนี้มุ่งเป้าไปที่ผู้เล่น สำหรับพวกผู้เล่นแล้วภารกิจ A- ยากพอๆ กับภารกิจเรื่องย่อยเลยด้วยซ้ำ”
“อาณาจักรเหล็กใช้กองกำลังทหารเพื่อปกป้องป้อมปราการทางทหาร หากผู้เล่นในระดับเดียวกันลองทำภารกิจนี้จะต้องใช้ทหารอย่างน้อยสามหรือสี่หรือห้าเท่าของจำนวนทหารในการโค่นป้อมปราการทหารนี้”
“ที่ฉันได้รับชัยชนะอย่างง่ายดายเพราะผู้ประดิษฐ์ไม่เคยปฏิบัติกับฉันในฐานะ NPC เลย”
วิลเลียมยิ้มและถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาเก็บคริสตัลไว้ในวงแหวนมิติของเขา
ด้วยคริสตัลดันเจี้ยนอันนี้ผู้เล่นจะสามารถรับอุปกรณ์จากดันเจี้ยนได้ หากไม่มีอะไรผิดพลาด ดันเจี้ยนนี้จะได้รับความนิยมมากกว่าดันเจี้ยนในหุบเขาหมอกเป็นแน่
อัตราการระเบิดของอาวุธในดันเจี้ยนสงครามเช่นนี้นั้นสูงมาก มันเป็นแรงดึงดูดที่ดีสำหรับผู้เล่น
นอกจากนี้หลังจากผู้เล่นเข้าสู่ดันเจี้ยนแล้วพวกเขาจะมีโอกาสได้ NPC มาร่วมต่อสู้ด้วย ไม่ว่าดันเจี้ยนจะยากแค่ไหนผู้เล่นก็สามารถเปลี่ยน NPC และทำภารกิจได้
แต่ผู้เล่นจะไม่เห็นถึงการสังหารหมู่ของวิลเลียม
หลังจากที่วิลเลียมเข้าประตูเมืองแล้วเขาก็แค่ยืนอยู่ข้างๆและนำทาง NPC เขาจะเฝ้าดูผู้เล่นกลุ่มใหญ่เข้ามาในเมืองและเดินไปสู่ความตาย…
กุญแจสำคัญในการเอาชนะดันเจี้ยนแห่งนี้ คือการกำจัดแบรนต์และมอนสเตอร์ที่อยู่รอบตัวเขา
วิลเลียมเคาะศีรษะเบาๆ นี่ไม่ใช่เวลามาฝันกลางวัน เขาใช้ค่าประสบการณ์ทั้งหมดในการเลื่อนระดับตัวละครของเขา
ชิ้ง
แสงสีขาวสาดส่อง วิลเลียมเลื่อนไปอยู่เลเวลที่ 56 และตอนนี้เขาใกล้ถึงขีดจำกัดของเวอร์ชันแล้ว
ในขณะที่เขาสำรวจเลเวลของตนอยู่นั้น
น็อกซ์ก็วิ่งเข้ามา เสียงของเขาฟังดูไม่แน่ใจนัก “ท่านลอร์ดครับ โทรลยังมีชีวิตอยู่!”
“ตุ๊กตาเหล็กนั่นยังมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ?” วิลเลียมรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เขาวิ่งไปที่ประตูเมืองและพบว่าโทรลยืนอยู่อย่างงง ๆ ร่างกายของเขาซวนเซไปมา ราวกับว่าโลกทั้งใบกลับหัวกลับหางและเขาไม่สามารถแยกแยะทิศทางได้
แต่รูปร่างของหมวกที่เขาสวมนั้นบิดเบี้ยว …
วิลเลียมไม่คาดคิดว่าหัวของเขาจะแข็งขนาดนี้ เขาเดินไปรอบๆ โทรล แล้วชื่นชมเขาและพยักหน้าเห็นด้วย “ไม่เลวเลย ไม่เลว เราเพิ่งได้รับข่าวเมื่อครู่นี้ คิดว่าเจ้าตายไปแล้วซะอีก เราไม่ได้คาดคิดเลยว่าผลกระทบคือแค่สร้างเสียหายกับเจ้า แต่มันก็ค่อนข้างสาหัสเอาเรื่องอยู่ทีเดียว”
แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการให้ตุ๊กตาเหล็กของเขาเป็นของใช้ครั้งเดียว มันจะดีที่สุดถ้าเขาสามารถใช้ประโยชน์ได้อีกครั้ง หมวกระดับอีปิคที่เสียไปจึงจะคุ้มค่ากว่า
ท้ายที่สุดแล้วในการต่อสู้แบบนี้อุปกรณ์ระดับสูงก็เปรียบได้กับปัจจัยรอง
วิลเลียมออกคำสั่ง “น็อกซ์ไปหาคนมาพาเขากลับไป ขอให้บาทหลวง… โอ้ไม่ๆ ขอให้นักเวทย์ช่วยรักษาบาดแผลและให้ยาแก่เขาด้วย”
บาทหลวงกล้ามปูนั่นไม่สามารถรักษาบาดแผลของโทรลล์ได้อย่างแน่นอน
แสงศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขามีแต่จะทำให้บาดแผลของโทรลล์แย่ลงไปอีก …
“ข้าให้พวกเขาออกไปแล้ว!” ลอทเนอร์วิ่งเหยาะๆมาและรีบพูดว่า “มีทาสที่ถูกทิ้งเอาไว้ 60,000 คน ในโกดังมีธัญพืช 600,000 กิโลกรัม แล้วยังมีชุดเกราะชั้นเยี่ยม (สีน้ำเงิน) 3000 ชุด ลูกธนู 100,000 ดอก สัมฤทธิ์อย่างน้อย 200,000 กิโลกรัมและหิน 800,000 กิโลกรัม “
“แล้วยังมีหน้าไม้ยักษ์อีกสิบอันบนกำแพงและอีกสิบอันที่ทางเข้าโกดัง พวกเขาอาจไม่มีเวลามากพอที่จะย้ายพวกมันไปที่กำแพงเมืองก่อนที่เราจะบุกโจมตี”
ลอทเนอร์หยุดไปชั่วครู่ ก่อนความกลัวที่แฝงอยู่จะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ท่านต้องคาดไม่ถึงแน่ว่ามีเครื่องยิงกระสุนกว่า 30 อันในโกดังที่ยังไม่ได้ติดตั้ง ถ้าศัตรูรู้เกี่ยวกับการโจมตีของเราก่อนและรวบรวมเครื่องยิงกระสุนเกือบทั้งหมด 100 อัน การต่อสู้ครั้งนี้จะต้องเสียหายมากกว่านี้เป็นแน่!”
วิลเลียมบีบกำปั้นของเขาอย่างมีความสุขผลกำไรจากการต่อสู้อาจทำให้เขาร่ำรวยได้เลยด้วยซ้ำ
แต่เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างเงียบๆ โชคดีที่เขามีความสามารถในการมองค่าสถานะหากเขาไม่ได้ใช้มันเพื่อจดจำสายลับในทันทีแล้วจับพวกมันทั้งหมดในเวลาเดียวกันผลที่ตามมาก็คงคิดไม่ถึง
ทุกคนรู้ดีว่ากระสุนปืนในป้อมปราการทหารไม่ได้มีไว้ป้องกันผู้บุกรุกเท่านั้น แต่เดิมมันมีไว้เพื่อใช้กับเมืองแห่งรุ่งอรุณต่างหาก อาณาจักรเหล็กมีความทะเยอทะยานมากจริงๆ
แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ
วิลเลียมชอบการต่อสู้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆแบบนี้ เขาไม่สามารถรับความเสียหายหนัก ๆ ได้เนื่องจากการสูญเสียจะทำลายกองทหาร และการสูญเสียกองทหารจะเป็นหายนะมากกว่าการที่อาณาจักรเหล็กสูญเสียทัพทั้งสามเนื่องจากเสบียงทางทหารของเขามีค่ามาก …
“แล้วเราเสียอะไรไปบ้าง?” วิลเลียมเห็นว่ามีคนจำนวนมากถูกโจมตีด้วยหน้าไม้หนัก โล่พลังงานการต่อสู้ไม่สามารถสกัดกั้นธนูระเบิดได้
แม้ว่าเหล่าทหารชั้นยอดจะสวมชุดเกราะสีเงินและใส่โล่ แต่ลูกศรก็ยังแทงทะลุพวกมันได้อย่างง่ายดายราวกับว่ามันแทงทะลุมันเทศ
“ทหาร 117 นาย ถูกสังหารด้วยหน้าไม้หนัก และอีก 389 คน ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยไม่มีอาการบาดเจ็บรุนแรง” ลอทเนอร์ถอนหายใจตราบใดที่ยังมีการต่อสู้ผู้คนก็จะตาย
มันเป็นเรื่องยากที่จะมีการสูญเสียเพียงเล็กน้อย
หากพวกเขาไม่มีตุ๊กตาเหล็ก
หากพวกเขาไม่มีพลังต่อสู้สูงพอที่จะปกป้องตุ๊กตาเหล็กได้อย่างมากพอ
หากวิลเลียมไม่วิ่งออกไปทุบประตูเมือง
กล่าวคือ
หากไม่มีสิ่งเหล่านี้ การสูญเสียของพวกเขาจะมากกว่าปัจจุบันถึงเจ็ดแปดเท่า
วิลเลียมพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “บอกให้ผู้บัญชาการที่เหลือรู้ และแจ้งเจ้าหน้าที่ทุกคนที่มีตำแหน่งหัวหน้าขึ้นไป”
“ครับ” ลอทเนอร์รับคำสั่งและแจ้งคนที่เหลือทันที
หลังจากนั้นไม่นาน
ผู้ช่วยผู้บัญชาการสามคนก็นำทหาร 1500 นายไปหาวิลเลียม
ไม่จำเป็นต้องพูดก็รู้ดีว่า ทั้ง 1,500 คนเหล่านี้เป็นตัวหลักของทั้งสามกองทัพ!
พวกเขาส่วนใหญ่มีสายเลือดระดับสูงมีเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่มีสายเลือดระดับมาสเตอร์ สำหรับผู้เล่นพวกเขาทั้งหมดถือได้ว่าเป็น NPC ระดับบอส
อย่างไรก็ตามประชากรของเอลฟ์มีจำนวนน้อย ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ศักยภาพทางสายเลือดของพวกเขาก็สูงตามธรรมชาติ
หากไม่เป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ไม่มีความสามารถที่จะเอาชนะกองทัพของอาณาจักรมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย
นอกจากนี้ในอนาคตคงจะไม่มีกองทัพที่มีบอสมากมายขนาดนี้…
ไม่ว่าจะเป็นเมืองของดยุก, แกรนด์ดัชชี, อาณาจักรหรือจักรวรรดิ พวกเขาล้วนมีกองกำลังที่มีบอสมากมาย กองกำลังเหล่านี้เรียกอีกอย่างว่ากองกำลังประหารชีพ
วิลเลียมได้ตัดสินใจเลือกเป้าหมายต่อไปของเขาแล้ว นั่นคือการเข้าไปในภูเขาหิมะแห่งทะเลตะวันออก ด้วยเหตุนี้เขาอาจต้องเผชิญหน้ากับกองทหารชั้นยอดจากอาณาจักรเหล็กและแม้แต่กลุ่มที่อยู่ภายใต้คำสั่งมังกรยักษ์
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะนำกองกำลังที่มีกำลังรบสูงร่วมกับเขาเพื่อปฏิบัติการล่ามังกร แน่นอนว่าจะมีกองทหารอื่น ๆ ด้วย พวกเขามีบทบาทอื่น ๆ ที่ต้องทำเช่นกัน
เขามองไปที่ผู้บัญชาการของกองทัพไนท์และกองทัพมูนไลท์
“เลโกลัสและอัลเบิร์ต พวกท่านจะต้องนำทหาร 1,500 นายและผู้ใต้บังคับบัญชาของฉันไปตามเส้นทางเส้นนี้และมุ่งหน้าไปยังภูเขาหิมะแห่งทะเลตะวันออก”
“กองทหารที่เหลือจะเป็นส่วนของลอทเนอร์ เขาจะนำคนที่เหลืออีก 4000 คนไปที่ท่าเรือทะเลใต้!”
“สำหรับท่าน คริสเตียน ท่านต้องดูแลทัพแห่งความกล้า และปกป้องป้อมทหารแห่งนี้ งานของท่านคือต้องป้องกันไม่ให้อาณาจักรเหล็กเอาคืนไปได้!”
วิลเลียมยังไม่จบเพียงเท่านั้น เขากล่าวต่อ “เอริคกับอเล็กซ์ตามเราไปที่ภูเขาหิมะฝั่งทะเลตะวันออก”
“ครับท่านลอร์ด” ทุกคนพูดพร้อมเพรียงกันด้วยเสียงทุ้มต่ำ พวกเขายืนตัวตรงและตบหน้าอกด้วยมือขวาในขณะที่พูดจบ
“ถ้าอย่างนั้นตรวจดูธัญพืชและน้ำของพวกท่านซะ เราจะออกเดินทางในทันที” เมื่อวิลเลียมพูดจบทุกคนก็ลงมือทันที
ลอทเนอร์นำกองกำลังที่เหลือจากสองกองทัพออกเดินทางด้วยความเร็วเต็มที่ พวกเขามุ่งตรงไปที่ท่าเรือทางทะเลใต้และขึ้นเรือขนาดใหญ่ตามเส้นทางเดินเรือ
กลายเป็นหน่วยที่ทรงพลังและลึกลับ!
หากทีมประหารของวิลเลียมพบกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ภารกิจของลอทเนอร์นั้นจะสำคัญมาก!
พวกเขาจะเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า?
คุณล้อเล่นหรือเปล่าทุกคนมีพลังในการต่อสู้ … ร่างกายของพวกเขาอยู่ในสภาพที่ดี
เลโกลัสเป็นเอลฟ์แบล็คลีฟ ในขณะที่อัลเบิร์ตเป็นเอลฟ์มูนไลท์ ทั้งคู่มีสายเลือดระดับอีปิค
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างวิลเลียมรู้สึกว่าชื่อเลโกลัสฟังดูคุ้นหูมาก…
อาจเป็นไปได้ว่า?
บริษัทที่อยู่เบื้องหลังการผลิต Gods จะละเมิดกฎหมายลิขสิทธิ์อีกรึเปล่านะ?
อัลเบิร์ตเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการของทัพมูนไลท์ เขาเป็นทหารไฟเลเวล 53 และอาชีพเสริมของเขาคือช่างเหล็ก
อาชีพเสริมระดับอีปิคของเขาคือทหารแห่งไฟ เขามีสายเลือดระดับอีปิค และยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีอุปกรณ์ที่สืบทอดต่อกันมาในตระกูล และเขายังสามารถผลิตอุปกรณ์เองได้อีกด้วย อุปกรณ์ที่แพรวพราวของเขาดูน่าประทับใจกว่าของวิลเลียมเสียอีก
เขาไม่ได้แค่ทรงพลังมากๆ เท่านั้น แต่เขายังมีรูปร่างกำยำอีกด้วย
ในทางกลับกัน เลโกลัสเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการของทัพไนท์ เขามีเลเวลถึง 55 และอาชีพลับของเขาคือแรนเจอร์แห่งความมืด เขาสามารถเปิดการใช้งานคุณสมบัติธาตุลมและอาชีพเสริมของเขาคือนักเวทย์ธาตุลม
แต่นักเวทย์คนนี้ไม่ชอบใช้ทักษะเวทมนตร์ของเขา เขาเป็นเรนเจอร์อย่างเต็มตัวและเรียนรู้เวทมนตร์เพื่อความสนุกเพียงเท่านั้น
โดยเฉพาะความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดของเขาที่โดดเด่นอย่างยิ่ง เขามักจะชักดาบที่เขาถือไปมาตลอดเวลาออกมาและใช้มันเพื่อโจมตีจุดตายของศัตรูเขาเป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วเขาชอบใช้ธนูเพื่อสังหารศัตรู แม้ว่าศัตรูของเขาจะเข้ามาใกล้เขา เขาก็จะยังคงง้างธนูยิงทะลุหัวศัตรูอยู่ดี
พูดง่ายๆ คือ
เลโกลัสไม่ได้ใช้เวทมนตร์และทักษะการต่อสู้ระยะประชิดและอาชีพลับอย่างแรนเจอร์แห่งความมืดที่น่าประทับใจของเขาบ่อยนัก เขามีทักษะอื่นๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน เช่น การยิงรวม, การยิงติดต่อกันกลางอากาศ, ฝนธนู และอื่นๆ เขาสามารถใช้ลูกธนูของเขาในการเผชิญหน้ากับศัตรูที่ต่อสู้กันในระยะประชิดได้อย่างง่ายดาย
วิลเลียมจำได้ว่าเพื่อนคนนี้เป็นใครและสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เลโกลัส เจ้าชายเอลฟ์และหนึ่งในตัวละครหลักจากเดอะลอร์ดออฟเดอะริง บริษัทที่ผลิตเกม Gods นี้ช่างหน้าไม่อายจริงๆ!
เมื่อเขาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เขาก็ตระหนักได้ เขามีเจ้าชายเอลฟ์, เจ้าชายคนแคระและตัวเขาเองเป็นลอร์ดที่ยอดเยี่ยม ในตอนนี้พวกเขาสามารถสร้างมิตรภาพได้หรือไม่?
ในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังจุดหมาย จู่ๆ วิลเลียมก็มองขึ้นไปยังภูเขาหิมะแห่งทะเลตะวันออก มันสูงถึง 13,000 เมตร เขาอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเองว่า “ต้องอย่างนี้สิ ถึงจะน่าสนใจ น่าเสียดายที่โอดอมอยู่ที่เมืองแห่งรุ่งอรุณ และเราก็ไม่ได้ทำลายแหวนด้วยเช่นกัน เรามาเพื่อปราบมังกร และพอมาลองคิดดูแล้ว ภูเขาลูกนี้เป็นภูเขาไฟที่ดับแล้วอีกด้วย”
เลโกลัสที่อยู่ข้างๆ เขาดูเหมือนจะได้ยินอะไรบางอย่าง เขาจึงเอ่ยถามขึ้นในทันที “ท่านลอร์ด ท่านคิดว่าอาณาจักรเหล็กกำลังวางแผนที่จะสังหารมังกรหรือไม่?”
วิลเลียมพยักหน้า สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ถูกต้อง ออกัสตินได้นำสองกองทัพชั้นยอดจากอาณาจักรเหล็กและผู้เชี่ยวชาญหลายคนมากับเขาด้วย เป้าหมายของพวกเขาน่าจะเป็นมังกรไฟตัวนั้น และภารกิจของเราคือการทำลายแผนการของพวกเขา”
อัลเบิร์ตเข้าใจ จากนั้นเขาจึงพยายามที่จะเข้าประจบด้วยความร่าเริง “ท่านลอร์ด ท่านสามารถคาดเดาวัตถุประสงค์ของพวกเขาได้จากข้อมูลเพียงเล็กน้อย สายตาอันเฉียบคมของท่านไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถเทียบได้เลย”
“เจ้าเองก็สามารถเดาได้เช่นกัน เจ้าแค่ต้องฝึกกล้ามเนื้อและใช้สมองให้มากขึ้น!” วิลเลียมเหลือบมองอัลเบิร์ตที่มีส่วนสูงกว่าสองเมตร แม้ว่าเขาจะเป็นเอลฟ์ แต่ร่างกายของเขาก็แข็งแรงและบึกบึน ไหล่ของเขากว้างมากจนสามารถยืนบนนั้นได้ หรือไม่ก็อาจเป็นเรื่องที่น่ากังวล…
พูดสั้นๆ ก็คือเขาไม่สามารถถูกเรียกได้ว่าเป็นเอลฟ์มูนไลท์ธรรมดาๆ อย่างแน่นอน แถมการปีนต้นไม้ยังเป็นอะไรที่ยากสำหรับเขาอีกด้วย…
อัลเบิร์ตไม่ได้ออกความเห็นใดๆ เกี่ยวกับคำพูดของวิลเลียม เขายังคงรู้สึกว่าท่านลอร์ดของเขาต้องการให้เขายอมแพ้ในอาชีพช่างเหล็ก ดังนั้น เขาจึงเบ้ปากพูด “ถ้าข้าไม่ได้ทำงานกับเหล็ก มันก็ไร้ความหมาย”
ในตอนที่อัลเบิร์ตพูดจบนั้น เขาก็ขโมยกระบองจากบรัดดี้ ครัชเชอร์ออกมาและโบกแขนของเขาไปมา เขาทำฝึกกล้ามเนื้อแขนของเขาอย่างไม่มีที่มาที่ไป
เมื่อโทรลที่สูงกว่าสี่เมตรเห็นว่ากระบองของเขาถูกโบกไปมากลางอากาศ ตาของเขาก็กระตุก เขาตัดสินใจที่จะไม่ขอกระบองของเขาคืน เขาเป็นแค่ทาสตนหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้ว อัลเบิร์ตก็คืนอาวุธของเขาให้เมื่อเขาเล่นจนพอใจแล้ว
เอริคยังคงความเงียบตลอดทั้งการเดินทาง… เหมือนปกติ
อเล็กซ์นำลูกน้องของเขาไปสำรวจเส้นทางด้านหน้าของพวกเขา และตรวจสอบว่ามีอะไรที่อาจเป็นกับดักในเส้นทางของพวกเขา
มันช่างเป็นคณะเดินทางที่แปลกประหลาด วิลเลียมเป็นบอสระดับรีเจนดารีที่นำบอสระดับอีปิคสี่คน, โทลล์เลเวล 66 และนักสู้มีฝีมือ 2,000 คน เขามั่นใจอย่างยิ่งว่าความเป็นไปได้ในการได้รับผลประโยชน์ทุกประเภทจากการต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นของเขา
สามวันเต็มนับตั้งแต่ออกัสตินนำกองทหารทั้งสองไปที่ภูเขาหิมะแห่งทะเลตะวันออกผ่านไป
การเดินทางโดยไม่หยุดการพักระหว่างทาง การเดินทางครั้งนี้เหมือนเรียกได้ว่าพวกเขาต้องเร่งรีบแทบตลอดการเดินทาง
ออกัสตินได้รับข้อมูลทั้งหมด ตั้งแต่เมื่อป้อมปราการทหารค้นพบศัตรูตอนแรกจนถึงตอนที่ป้อมทหารถูกทำลายและพ่ายแพ้ให้กับกองกำลังข้าศึก
แต่เป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้เขาไม่ส่งกองกำลังกลับไป
ถ้าเขาทำเช่นนั้นเขาจะต้องเผชิญหน้ากับกองทัพรุ่งอรุณที่เต็มไปด้วยพลัง และไม่ว่าผลจะออกมาแพ้หรือชนะ กองทัพอาณาจักรเหล็กก็จะต้องเผชิญกับการบาดเจ็บอย่างหนักไม่ว่าในกรณีใดก็ตามอยู่แล้ว
ออกัสตินไม่รู้ว่ากองทัพรุ่งอรุณจะไล่ตามพวกเขาหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าจะมีคนมากี่คน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวิลเลียมรู้เรื่องแผนการสังหารมังกรหรือไม่
แต่สิ่งที่สำคัญก็คือถ้ากองทัพรุ่งอรุณเลือกที่จะไล่ตาม พลังของพวกเขาจะต้องอ่อนแอลงเนื่องจากการเดินทางต่อเนื่องหลายวัน
ในกรณีนี้เมื่อพวกเขาเริ่มต่อสู้ ผลลัพธ์ก็อาจมีลุ้น
และหากกองทัพรุ่งอรุณไม่ไล่ตามพวกเขา เขาจะนำศพของมังกรกลับคืนมาอย่างผู้ชนะ
นอกจากนี้ เขาก็กลับมาพร้อมกับกองกำลังจากอาณาจักรเหล็ก เขาไม่เชื่อว่าพวกเขาจะไม่สามารถยึดป้อมทหารกลับคืนมาได้จากความช่วยเหลือของสองกองทัพ
หากพวกเขายึดป้อมทหารคืนได้เมืองแห่งรุ่งอรุณซึ่งไม่กล้าแยกกองกำลังของพวกเขาก็จะล่มสลายโดยสิ้นเชิง
ใกล้แค่เอื้อมแต่ก็ช่างแสนไกลเหลือเกิน แต่นี่ก็คือเรื่องจริง
ออกัสตินเลือกเส้นทางที่ยากต่อการเดินทาง เขาหลีกเลี่ยงเส้นทางที่เดินทางง่ายกว่านี้เนื่องจากมีกลุ่มชนที่อยู่ใต้อำนาจของมังกรยักษ์อาศัยอยู่ที่นั่นเป็นจำนวนมาก มันจะดีที่สุดสำหรับเขาหากสามารถหลีกเลี่ยงกลุ่มเหล่านี้ได้
แม้ว่าผู้คนที่อยู่ใต้อำนาจของมังกรยักษ์อาจไม่ได้ภักดี แต่ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจต้องเผชิญกับการต่อสู้ระหว่างการเดินทางครั้งนี้ และเขาไม่ต้องการเสียกำลังรบไปกับการกำจัดพวกเขา
การสังหารมังกรคือหัวใจสำคัญ
ถ้าพวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงผู้คนของมังกรยักษ์ได้ด้วยวิธีอื่น พวกเขายินดีที่จะเปลี่ยนเส้นทาง
มังกรอาจส่งสายลับเข้ามาอีกด้วย!
ท้องฟ้าค่อยๆมืดลง
ออกัสตินและคนของเขายังคงเดินทางต่อไป เมื่อดวงจันทร์ดวงที่สองปรากฏบนท้องฟ้า เขาออกคำสั่งให้กองกำลังพักผ่อน พวกเขาสามารถกินและดื่มได้ตราบเท่าที่ไม่ทำให้เกิดความวุ่นวาย
แต่ทันใดนั้น
จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงลึกลับ
ออกัสตินหรี่ตา เขาละทิ้งผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาและเดินเข้าไปในป่าเพียงลำพัง
เขายืดตัวและผลักต้นไม้ตรงหน้าออกไป แต่ทันใดนั้นเองก็มีร่างๆ หนึ่งในชุดสีดำปรากฏตัวต่อหน้าเขา
ออกัสตินไม่ตกใจ เขายิ้มกว้างออกมา “มัคฮู เรดด์! ไม่ได้เจอกันนานเลย”
ร่างนั้นสวมชุดคลุมวิเศษสีดำ เขาเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังถ้ำปีศาจ มัคฮู เรดด์
เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมดวงตาสีเขียวที่เปล่งประกายของเขา “ใช่ นานจริงๆ ห้าปี แต่ในที่สุดเจ้าก็มา ข้าเคยคิดว่าเจ้าล้มเลิกแผนการที่จะสังหารมังกรไปเสียแล้ว”
“และข้าได้ยินมาว่าเจ้าพึ่งมังกรไฟตัวนั้นมาหลายปีแล้ว ด้วยความสามารถของเจ้า เจ้าไม่สามารถเสนอมันเป็นเครื่องบูชางั้นหรือ?” ออกัสตินรู้ดีว่ามัคฮู เรดด์เป็นคนโลภมากกว่าที่ผู้คนคิดว่าเขาเป็น
ถ้าเขามีความสามารถในการสังเวยมังกร เขาจะไม่คิดที่จะร่วมมือกับพวกนี้ด้วยซ้ำ
นอกจากนี้พวกเขาได้ทำข้อตกลงกันไว้แล้ว
ตราบที่พวกเขาฆ่ามังกรได้สำเร็จ
มัคฮู เรดด์จะได้รับวิญญาณของมังกรยักษ์
ออกัสตินและที่เหลือจะได้รับศพของมังกรยักษ์
ในภาพรวมก็ดูเหมือนว่าออกัสตินดูเหมือนจะได้รับผลประโยชน์มากกว่า แต่สำหรับพ่อมดดำ วิญญาณของมังกรยักษ์นั้นมีค่ามากกว่า
พวกเขาสองคนเดินเข้ามาหากันในป่ามืด พวกเขาหันหลังและเดินลึกเข้าไปในป่า
นอกเหนือจากเสียงสนทนาที่อยู่ห่างออกไปแล้ว ก็มีเพียงเสียงหัวเราะ…
ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาวางแผนอะไร
ออกัสตินเดินออกมาจากป่าทึบและหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง บทสนทนาเมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดมาก เขาไม่ชอบรับมือกับพวกใช้เวทย์มืดอย่างมัคฮู เรดด์เพราะพวกมันทำให้รู้สึกบีบคั้นกดดัน
ในขณะที่เขาคิดเรื่องนี้ดวงตาของเขาก็หรี่ลง “มัคฮู เรดด์ไม่เคยพูดมาก่อนว่าจะต้องสังเวยชีวิตเพื่ออัญเชิญเวทย์มนตร์ที่ร้ายแรงต่อมังกรยักษ์ด้วย”
“สมควรตาย มันให้ข้าส่งทหารไปตายหรอกเหรอ” เมื่อคิดเช่นนั้น ใบหน้าของออกัสตินมืดครึ้มทันที
แม้ว่าเขาจะไม่ได้มาจากอาณาจักรเหล็ก แต่ตอนนี้คนเหล่านี้ล้วนเป็นทหารของเขา พวกเขาอยู่ภายใต้คำสั่งของเขา เขาจะไม่ยอมให้พวกเขาตายโดยเปล่าประโยชน์อย่างแน่นอน
แม้ว่าจะต้องฆ่ามังกร เขาก็จะไม่ฆ่าห่านที่ออกไข่ทองคำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การยึดครองเมืองแห่งรุ่งอรุณและเผชิญหน้ากับอาณาจักรลาวาดำที่เป็นประเด็นสำคัญ ยิ่งกว่านั้นการรักษาอำนาจทางทหารของพวกเขานั้นสำคัญยิ่งกว่า เขาต้องจัดลำดับความสำคัญ การสังหารมังกรอาจจัดการในภายหลังได้ แต่ในตอนนี้อาณาจักรลาวาดำกำลังอยู่ในความสับสนวุ่นวาย มันเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวที่จะโจมตีและแทรกซึมเข้าไปในอาณาจักรลาวาดำ และถ้าเขาพลาด โอกาสนี้จะไม่หวนกลับมาอีก
“อืม มันอาจจะได้ผล เราสามารถดึงดูดคนของมังกรยักษ์และเสนอให้พวกเขาเป็นเครื่องบูชาแทน!” ออกัสตินเลิกคิ้ว สำหรับตอนนี้นี่เป็นสิ่งเดียวที่เขาคิดได้ เขาไม่สามารถคิดแนวทางแก้ไขอะไรได้มากมายนัก
แต่มัคฮู เรดด์บอกว่าเขาได้วางเวทมนตร์กันเสียงไว้ที่ทางเข้าของถ้ำมังกร
ตราบใดที่ภูเขาอันเงียบสงบเริ่มเคลื่อนไหว แม้ว่าผู้คนของมังกรไฟจะถูกฆ่า หมูก็จะไม่ตื่น นี่คือสิ่งที่มัคฮู เรดด์หมายถึง แต่เมื่อถึงเวลาพวกเขาจะสูญเสียทหารไปไม่กี่คนอย่างแน่นอน
ออกัสตินปีนขึ้นไปบนยอดไม้และมองไปที่ภูเขาหิมะฝั่งทะเลตะวันออกในระยะไกล เขายิ้มกว้าง “เรายังมีเวลาอีกหนึ่งวัน”
ในที่สุดวิลเลียมและทหารชั้นยอดกว่า 2,000 นาย ก็พบเข้ากับเส้นทางของอาณาจักรเหล็ก สถานที่ที่พวกเขาพักในเวลานี้คือที่ที่ออกัสตินพักผ่อนเมื่อคืนที่ผ่านมา
พวกเขาพบว่าดอกไม้และหญ้าที่อยู่บนพื้นนั้นโค้งงอ บางส่วนถูกถอนออกไป มีรอยตัดปรากฏบนต้นไม้รอบๆ อาจเป็นฝีมือของทหารที่เบื่อหน่าย พวกเขาวาดภาพที่ไม่เหมาะสมบนพื้นโดยใช้กิ่งไม้…
แน่นอนว่านี่เป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วไป การกระทำนี้ไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไร
ขณะที่วิลเลียมเดินทางตามเส้นทางของพวกเขาไป เกือบทุกที่ที่พวกเขาพักก็มักจะพบร่องรอยของทหารมากมาย
ออกัสตินนำกองทหารมา 2 กอง เป็นไปไม่ได้ที่ทหารทุกคนในหมู่ของพวกเขาจะได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี นอกจากนี้ การเข้ามาในป่าพร้อมกลุ่มคนจำนวนมาก มันยากที่จะไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้
ดูเหมือนว่าอัลเบิร์ตจะฝึกพลังแบทเทฺิล คัทตอนที่เขาไม่มีอะไรทำ…
เห็นได้อย่างชัดเจนจากต้นไม้ที่ล้มลง
แน่นอน
ที่สำคัญที่สุดคือไม่มีกองทัพใดไล่ตามวิลเลียม เขาไม่จำเป็นต้องระมัดระวังขนาดนั้น ทุกคนก็รู้ดีเช่นกัน
“ดูเหมือนว่าออกัสตินไม่ได้ใช้กลวิธีป้องกันใดๆ กับเรา เขามั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ?” วิลเลียมเกาหัว เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมการเดินทางของพวกเขาถึงง่ายขนาดนี้
ทำไมออกัสตินถึงไม่ทิ้งสายลับเอาไว้? หรือเขาทิ้งบางสิ่งที่วิลเลียมไม่ทันได้สังเกตเห็น?
เขานึกถึงความทรงจำจากชีวิตก่อนหน้านี้ ออกัสตินไม่เพียงแต่มีพลังพิเศษในการต่อสู้เท่านั้น แต่เขายังแสดงให้เห็นถึงความมีไหวพริบที่ยอดเยี่ยม หลังจากที่อาณาจักรเหล็กจบสิ้นลงด้วยความมืด เขาก็ได้ก่อตั้งพันธมิตรอิสระขึ้นมา
แต่วิลเลียมลืมไปอย่างหนึ่ง…
ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนหรือ NPC ทุกคนต้องเติบโตเพื่อไปให้ถึงจุดสูงสุด!
ออกัสตินคนปัจจุบันไม่ใช่สิ่งที่เขาจำได้จากความทรงจำ ปัจจุบันเขาเป็นเพียงชายหนุ่มที่ภาคภูมิใจในตนเอง
เขารู้จักโกธี นาซิสตั้งแต่ยังเด็ก พวกเขาก่อตั้งพันธมิตรอิสระขึ้นด้วยกัน แม้ว่าทุกอย่างจะไม่ได้ราบรื่นมากนัก แต่พวกเขาก็สามารถทำงานร่วมกันและควบคุมอาณาจักรเหล็กได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี ออกัสตินจะไม่ภาคภูมิใจได้อย่างไรกัน?
นอกจากนี้ออกัสตินยังมีผู้เชี่ยวชาญระดับอีปิคมากมายอยู่ภายใต้ปีกของเขาและเขายังมีกองกำลังมากกว่าวิลเลียมอีกด้วย
เขายังต้องกลัวอะไรอีก?
นอกจากนี้เขามีข้อตกลงกับมัคฮู เรดด์อีกด้วย
ทำไมออกัสตินยังต้องกลัวอีกล่ะ?
เขาประสบความสำเร็จอย่างมาก เขาควบคุมทั้งอาณาจักรได้ตอนอายุเพียง 28 ปี ทำไมเขาถึงจะไม่มั่นใจ?
มันเป็นความคิดที่ชัดเจน
ความล้มเหลวเท่านั้นที่จะทำให้คนๆ หนึ่งเติบโตหรือล้มลง ออกัสตินยังไม่พบกับความพ่ายแพ้ที่ร้ายแรง เขายังไม่ประสบความสำเร็จในการคิดที่ละเอียดอ่อนและความมีไหวพริบที่เขามีในชีวิตก่อนหน้านี้
แน่นอน
ที่สำคัญกว่านั้นคือออกัสตินไม่เคยต่อสู้กับกองทัพเอลฟ์มาก่อน
อาจกล่าวได้ว่ามนุษย์หลายอาณาจักรในทวีปรีเจนดารีลืมพลังการต่อสู้ของกองกำลังเอลฟ์ไปแล้ว
เอลฟ์เคยปกครองทวีปแห่งเทพเจ้าในยุคที่สอง แต่มนุษย์ปกครองในยุคที่สาม!
มนุษย์เป็นผู้ชนะในปัจจุบันและผู้ชนะได้เขียนประวัติศาสตร์
นักประวัติศาสตร์หลายคนกล่าวถึงพลังต่อสู้ของเอลฟ์ที่ทำให้มนุษย์หลายชาติประเมินเอลฟ์ต่ำไป
ในท้ายที่สุด เมืองของดยุคผู้ยิ่งใหญ่และแม้แต่บางอาณาจักรก็สามารถใช้หนังสือประวัติศาสตร์เพื่อทำความเข้าใจเอลฟ์ เนื่องจากพวกเขาไม่ได้มีโอกาสสัมผัสถึงเหล่าเอลฟ์ได้ และทำได้เพียงเรียนรู้ว่าเอลฟ์นั้นลึกลับ แต่ไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของเอลฟ์ว่ามีมากมายเพียงใด…
แน่นอนว่า
ราชวงศ์และอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่ทรงพลังบางแห่งมีประสบการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องแน่นอนพวกเขายังจำพลังของเอลฟ์ได้ พวกเขารู้จุดแข็งและรู้จุดอ่อนของพวกเขา พวกเขาใช้ความรู้เพื่อให้แน่ใจว่าเอลฟ์จะไม่สามารถออกจากป่าได้
หลังจากพักผ่อนไม่นานวิลเลียมก็นำทหารทั้ง 2,000 นายไล่ตามกองกำลังของออกัสตินต่อไป
เขาเชื่อว่าตราบใดที่เขาไม่ทำอะไรเสี่ยงๆ เขาก็จะไม่แพ้อย่างแน่นอน
หากพวกเขาชนะการต่อสู้กับมังกร
เขาจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเวอร์ชัน 1.0 เขาจะสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับเวอร์ชันต่อๆ ไป
เวลากระชั้นชิดเข้ามา
ลอทเนอร์นำทหาร 4500 นายไปในเรือ 13 ลำ พวกเขาเดินทางไปตามแนวชายฝั่ง ซึ่งทำให้เดินทางได้เร็วกว่าปกติ พวกเขากำลังจะไปถึงภูเขาหิมะฝั่งทะเลตะวันออก
การเดินทางของพวกเขาไม่ได้ถูกปกปิด พวกเขาไม่กล้าที่จะเข้าสู่มหาสมุทรลึกด้วยเรือเหล่านี้เนื่องจากเรือขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นสามารถใช้เป็นเรือประมงขนาดใหญ่เท่านั้น ท้ายที่สุดพวกเขาไม่สามารถใช้มันเป็นเรือรบได้
แต่พวกเขาสร้างเรือรบระดับอีปิคไปได้ครึ่งทางแล้ว โครงสร้างพื้นฐานนั้นสมบูรณ์ไม่มากก็น้อย
ขาดเพียง…
กระดูกมังกร!
ในขณะนั้น ลอทเนอร์ก็เข้าใจในที่สุดว่าทำไม วิลเลียมถึงไม่ใช้วัสดุที่ดีอื่นๆ แทนกระดูกมังกร ถ้าเป็นเช่นนั้นเรือรบระดับอีปิคก็จะเสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว
“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว… เป้าหมายที่แท้จริงของเขาคือการสังหารมังกร!” ลอทเนอร์อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น เลือดของเขาเดือดพล่าน
สังหารมังกร!
นี่คือความฝันของชายโสดทุกคนในทวีปรีเจนดารี!
ชื่อเสียงอันรุ่งโรจน์ของผู้กล้าที่สังหารมังกรจะติดตามพวกเขาไปตลอดชีวิต
เขานึกไม่ออกว่าวิลเลียมวางแผนนี้เมื่อไหร่กัน
“ครึ่งปีที่แล้วเขามองหาช่างสร้างเรือทุกหนทุกแห่ง แต่เนื่องจากเราพบผู้สร้างเรือระดับรีเจนดารีในหมู่เอลฟ์มูนไลท์จึงมีการสร้างเรือประมงขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ลำ…”
“เรือรบถูกสร้างขึ้นแล้ว แต่ราคาของวัสดุนั้นเหนือจินตนาการของเรา!”
ในฐานะผู้บริหารของวิลเลียม ลอทเนอร์เข้าใจทุกอย่างที่วิลเลียมรู้
ครึ่งปีที่ผ่านมาเมืองรุ่งอรุณมีรายรับเกือบ 200,000 เหรียญทองจากร้านค้าภายในเมือง
แต่วิลเลียมใช้เงินเกือบ 80,000 เหรียญทองไปกับเรือรบมหากาพย์!
วัสดุทั้งหมดอย่างมิทริล, สัมฤทธิ์และเหล็ก ถูกโยนเข้าไปในอาคารของเรือรบแม้แต่ไม้ฮอปฮอร์นบีมดำราคาแพงก็ยังถูกใช้ …
กระบวนการคิดของวิลเลียมคืออะไร ถ้าคุณภาพของมันไม่ดีพอล่ะ?
ใช้เงินแก้ปัญหาไงล่ะ!
วิลเลียมยืนยันที่จะสร้างเรือรบระดับมหากาพย์นี้เขาต้องการบรรลุขีดจำกัดของสิ่งที่ผู้สร้างเรือระดับรีเจนดารีจะทำได้
มันง่ายมาก
ราคาของเรือรบมหากาพย์ลำนี้มีมูลค่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของเมืองรุ่งอรุณเลยด้วยซ้ำ
“เรือรบเช่นนี้ถ้าเราเพิ่มกระดูกมังกรหลังจากที่สังหารมันได้แล้ว…” ลอทเนอร์เข้าใจในทันใด
เขามองไปที่ภูเขาหิมะฝั่งทะเลตะวันออกและพึมพำกับตัวเอง “ถ้าเราทำได้จริงๆ สิ่งนี้จะกลายเป็นเรือรบที่อยู่ยงคงกระพันในทะเลแห่งนี้…”
ค่ำคืนอันเงียบสงบผ่านไป
และเมื่อดวงอาทิตย์โพล่พ้นขอบฟ้า เสียงกลองของการต่อสู้เพื่อสังหารมังกรก็ดังขึ้น
ระดับความสูงที่แม้ว่าจะอยู่ที่เชิงภูเขาหิมะของทะเลตะวันออกก็นับว่ายังสูง และด้วยเหตุนี้จำนวนของพืชจึงค่อนข้างร่อยหรอ การเดินทางไปยังภูเขาให้ความรู้สึกเหมือนออกจากป่าที่อุดมสมบูรณ์เข้าไปในพงป่าเล็กๆ ยิ่งระดับความสูงสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้พบกับป่าโปร่งเช่นนี้มากขึ้น
อย่างไรก็ตามในเวลานี้
ออร์คและมนุษย์หมาป่ากว่า 8,000 ตัวถูกมัคฮู เรดด์นำไปสู่กับดัก
การหลอกลวงกำลังดำเนินการต่อไปตามที่มัคฮู เรดด์ได้บอกพวกเขาว่าโคเรียวทรัสซ์ ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ตื่นขึ้นแล้วและต้องการมอบหมายงานให้กับผู้นำของทั้งสองเผ่าพันธุ์ โคเรียวทรัสซ์ต้องการให้ผู้นำทั้งสองนำนักรบชั้นยอดของพวกเขาไปด้วย
ตามเหตุและผลแล้ว ผู้นำของทั้งสองเผ่าพันธุ์จะต้องสงสัยในคำสั่งแปลกๆ เช่นนี้
เพราะเมื่อมาสเตอร์ออกคำสั่ง เขาจะไม่ให้ความบันเทิงกับตัวละครคนกลางที่น่าสงสัยอื่นๆ และมาสเตอร์จะมาพบกับผู้นำโดยตรงเอง
แต่มันเป็นเพียงความสงสัย
และผู้นำก็ไม่กล้าที่จะกระทำการสงสัยและปฏิเสธคำสั่งของมาสเตอร์ เพราะนั่นอาจนำมาซึ่งความพินาศ
โคเรียวทรัสซ์เป็นมาสเตอร์ของพวกเขา เป็นกษัตริย์และผู้ปกครองเพียงคนเดียวของดินแดนนี้!
อำนาจของเขาทำให้เผ่าพันธุ์ทั้งหมดกลัวหัวหด
ดังนั้น ออร์คและมนุษย์หมาป่าจึงมีแต่งตัวมาอย่างเต็มยศเมื่อพวกเขาก้าวเข้าสู่กับดัก ทันใดนั้นกองทัพมนุษย์สองกองก็ปรากฏตัวขึ้นจากรอบด้านและเริ่มสังหารพวกเขา!
มัคฮู เรดด์ไม่สามารถโน้มน้าวให้พวกออร์คและมนุษย์หมาป่าทิ้งอุปกรณ์ได้…
แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะนำอุปกรณ์มา แต่พวกออร์คและมนุษย์หมาป่าที่ไม่ได้เตรียมตัวมาอย่างดีก็ตกอยู่ในการซุ่มโจมตีของคมมีดจากกองทัพมนุษย์
ออร์คและมนุษย์หมาป่าเผชิญหน้ากับสองกองทัพที่ยอดเยี่ยมที่สุดของอาณาจักรเหล็ก เมื่อจำนวนของทั้งสองฝ่ายเท่าๆ กัน ออร์คและมนุษย์หมาป่าไม่สามารถป้องกันกองทัพมนุษย์ได้และรูปแบบการต่อสู้ของพวกเขาก็ถูกทำลายลง
เสียงคำราม, เสียงร้องคร่ำครวญและเสียงร้องโหยหวนดังลั่นสนามรบ!
นี่เป็นการสังหารหมู่ฝ่ายเดียว!
การต่อสู้ลุกลามไปยังภูเขาหิมะทั้งลูกของทะเลตะวันออก
เมื่อเผ่าพันธุ์อื่นได้ยินเกี่ยวกับการต่อสู้พวกเขาก็มาช่วยเหลือเหล่าออร์คและมนุษย์หมาป่าทันที
ออกัสตินต้องการการบูชายัญสดแทนการบูชาซากศพของเผ่าพันธุ์ต่างๆ ของมังกรยักษ์ กองทัพมนุษย์ทั้งสองไม่มีคุณสมบัติพอที่จะทำงานดังกล่าวนี้ให้สำเร็จได้
ออร์คและมนุษย์หมาป่าหนีเข้าไปในป่าพร้อมอาการบาดเจ็บ
ซากศพและผู้บาดเจ็บที่เหลือถูกลากออกไปโดยกองทัพมนุษย์ กองทหารที่นำโดยออกัสตินรีบไปที่ถ้ำมังกรที่อยู่บนไหล่เขา มันเป็นถ้ำเปิดที่มีระดับความสูงถึง 5,000 เมตร
เมื่อเขานำกองทัพไปที่ถ้ำมังกร ในที่สุดพวกเขาก็ได้สัมผัสสภาพการณ์ที่มังกรยักษ์อาศัยอยู่
ถ้ำนี้เป็นถ้ำลาวาที่มีความยาวและความสูงเพียงไม่กี่ร้อยเมตร
พวกเขารู้สึกได้ถึงคลื่นความร้อนที่เล็ดลอดออกมา และภายในถ้ำสีแดงเข้มสลัวก็ให้ความรู้สึกบีบคั้นอึดอัด
ภูเขาหิมะในทะเลตะวันออกเป็นภูเขาไฟที่ดับไปแล้ว
สาเหตุของปรากฏการณ์ดังกล่าวคือมังกรไฟโคเรียวทรัสซ์ ขณะที่เขาอยู่ในถ้ำ เขาก็ได้ดูดซับพลังงานของลาวาเข้าไป ภูเขาไฟอาจจะเริ่มทำงานอีกครั้งก็ได้ แต่เมื่อมังกรดูดซับเวทย์ไฟทั้งหมด ภูเขาไฟก็ดับลง
มังกรไฟจะยังเติบโต แม้ว่ามันจะอยู่ในห้วงนิทราก็ตาม
สำหรับมังกรยักษ์ ไม่ว่าจะยามหลับหรือยามตื่น…
เวลาที่ผ่านไปหลายสิบปีได้ส่งผลให้เจ้ามังกรอัพเกรดขึ้นหลายสิบเลเวล…
การเป็นผู้แข็งแกร่งนั้นเป็นเรื่องง่ายสำหรับมังกร
มันอาจเรียกได้ว่าเป็นวิธีขี้เกียจสำหรับการแข็งแกร่งขึ้น…
“เจ้าแน่ใจเหรอว่ามังกรไม่ได้ยินเรา” ออกัสตินสำรวจความลึกภายในของถ้ำ แต่ไม่พบกับมังกร ความกลัวบางอย่างคลืบคลานเข้ามาในตัวเขา
เป้าหมายของเขาคือมังกรไฟ มันยากมากในการที่จะสังหารมังกรสักตัว แม้แต่มังกรไฟที่อ่อนแอที่สุดก็ตาม
มัคฮู เรดด์เองก็กังวลเช่นกัน และเศษส่วนของความรู้สึกร้อนใจนั้นก็สามารถสัมผัสได้เมื่อเขาพูดว่า “ไม่ต้องกังวล มังกรไฟไม่ได้ยินเราหรอก แต่เกราะป้องกันของข้าทำได้แค่ปิดกั้นเสียงเท่านั้นไม่ใช่กลิ่นเลือด ข้าต้องการให้ทหารของเจ้าหามศพไปที่แท่นบูชาโดยเร็ว ข้าต้องเตรียมเวทมนตร์ให้เสร็จก่อนที่มังกรจะตื่น”
“เร็วเข้า นำศพทั้งหมดไปที่แท่นบูชา” ออกัสตินรีบตะโกน
ในขณะเดียวกัน
ก็มีร่องรอยต่างๆ ของเผ่ามังกรยักษ์อยู่ที่เชิงเขา
แต่พวกเขาไม่ได้พุ่งขึ้นไปบนภูเขา แต่กลับมารวมตัวกันและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้!
ออกัสตินกำหมัดแน่นและมองไปที่มัคฮู เรดด์ เขาพูดอย่างเย็นชา “ข้าจะส่งกองทหารไปที่ปากถ้ำ หากการสร้างเวทมนตร์ของเจ้าล้มเหลว เราทุกคนก็จะถึงวาระที่จะต้องตาย แต่ก่อนที่ข้าจะตาย ข้าจะฆ่าสังหารเจ้าก่อนแน่นอน”
“อย่ามาใช้กลวิธีสร้างความหวาดกลัวกับข้า เราอยู่บนเรือลำเดียวกัน และข้ามีชีวิตอยู่มาหลายสิบปีและต่อสู้กับอันตรายมามากมาย ตอนนี้จงจำไว้ว่าเมื่อข้าเปิดใช้งานเวทมนตร์แล้ว มังกรจะตื่นขึ้น”
“อย่าลืม แม้ว่าเจ้าจะต้องสละกองทัพทั้งหมด เจ้าก็ต้องยับยั้งมังกรเอาไว้ให้ได้ ถ้าข้าไม่สามารถเปิดใช้งานแท่นบูชาได้ เจ้าจะถูกลมหายใจของมังกรเผาตาย!”
มัคฮู เรดด์หัวเราะอย่างเย็นชา เขาไม่สนใจว่าออกัสตินจะคิดอย่างไรกับเขา
เขาเดินไปที่แท่นบูชา จากนั้นก็ใช้มือทั้งสองข้างยกไม้เท้าขึ้นก่อนจะทุบลงที่ใจกลางของแท่นบูชา!
ปัง!
คลื่นมนตร์ดำที่แข็งแกร่งแผ่ออกมา
หนวดสีดำมากมายโผล่ออกมาจากแท่นบูชา หนวดสีดำเหล่านี้เป็นเหมือนพลังงานที่ไร้รูปแบบซึ่งดูดกินจิตวิญญาณและเนื้อของเหล่าออร์คและมนุษย์หมาป่า
และในตอนที่แท่นบูชาเพิ่งจะเปิดใช้งาน
เสียงระเบิดก็ดังมาจากด้านในของถ้ำลึก มันฟังดูเหมือนว่าบางสิ่งที่มีร่างกายขนาดใหญ่ได้เพิ่งหมุนตัว
ออกัสตินขมวดคิ้วและตะโกนว่า “ผู้ถือโล่ก้าวไปข้างหน้า พลธนูเลื่อนไปอยู่ข้างหลัง พวกเจ้าที่เหลือเตรียมหน้าไม้ยักษ์”
จากนั้นเขาก็มองไปยังกองกำลังเล็กๆ ที่ยังไม่เคยเข้าร่วมในศึกรบ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ประกอบด้วยมนุษย์ร้อยคนที่มาพร้อมกับอุปกรณ์ที่แตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม มันมีคุณภาพสูงมาก แต่พวกเขาได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มจำนวนสามถึงห้าคนและคอยระมัดระวังภัยให้กันและกัน
หนึ่งในนั้นคือชายที่สวมชุดเกราะสีดำซึ่งเต็มไปด้วยพลังการต่อสู้ที่ลุกเป็นไฟสีดำ เขาหัวเราะและพูดว่า “ไม่ต้องกังวล พวกเราจะแสดงฝีมือเมื่อถึงเวลา เราเองก็ตั้งใจที่จะฆ่ามังกรตัวนี้ แต่เราไม่ต้องการที่จะเป็นคนยิงปืนใหญ่”
“อดอล์ฟพูดถูกแล้ว พวกเรานักล่าค่าหัวไม่ได้มาที่นี่เพื่อตาย เราจะเข้าโจมตีเมื่อถึงเวลา จอมพลแห่งอาณาจักรเหล็ก ท่านกำลังกังวลว่าเราจะทำผิดข้อตกลงงั้นหรือ” ครึ่งเอลฟ์ที่มีรอยแผลเป็นสามจุดบนใบหน้าของเขาหัวเราะเยาะออกัสติน
ออกัสตินครุ่นคิดในความเงียบ ด้านหลังของเขาคือทีมชั้นยอดที่ประกอบด้วยชาย 50 คน มันเป็นทีมบอสในตำนาน
ผู้บัญชาการกองทหารที่อยู่ข้างหลังเขาพูดกับออกัสตินที่ลูบคางของเขาอยู่อย่างสุขุม ดวงตาของเขาหรี่ลงขณะกล่าวว่า “กองกำลังประหารของข้าจะต่อสู้ร่วมกับท่าน ท่านจะไม่เป็นปืนใหญ่ แต่ถ้าท่านหนีไป ก็อย่าหวังว่าข้าจะแสดงความเมตตาให้!”
เขาปัดหมวกลงกับพื้นเผยให้เห็นชุดเกราะสีม่วงเข้มและดาบโค้งยาวสำหรับสังหารมังกรห้อยอยู่ข้างเอวของเขา
เมื่อนักล่าเงินรางวัลเห็นออร่าที่อยู่รอบตัวออกัสติน พวกเขาก็กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
ทุกคนรู้ว่าออกัสตินแข็งแกร่งมาก แต่พวกเขาก็เพิ่งจะตระหนักถึงขอบเขตของพลังของเขาวันนี้ อัตราการเติบโตของออกัสตินเร็วกว่าพวกเขามาก เขากลายเป็นมืออาชีพระดับสูงไปแล้ว
ในขณะที่ออกัสตินกำลังยุ่งอยู่กับการออกแรง
ไม่มีใครสังเกตเห็นเอลฟ์ที่ว่องไวหลายตนกำลังปีนภูเขาสูงชัน พวกเขาหลบเลี่ยงการตรวจจับของเผ่ามังกรและมาถึงด้านบนของปากถ้ำ
จำนวนของพวกเขาไม่มากเท่าไหร่นัก
130 ตนเท่านั้น แต่มันยากที่จะหาเอลฟ์ที่มีความว่องไวพิเศษเช่นนี้ ผู้ที่วิลเลียมเลือกคือ NPC ที่มีสายเลือดระดับสูง
วิลเลียมและเอลฟ์นอนแผ่หลาบนหิมะและกลั้นหายใจขณะเฝ้าดูอย่างตั้งใจ พวกเขาเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้
วิลเลียมกำลังรอ
เขาไม่เชื่อว่ามังกรยักษ์จะตายเร็วขนาดนั้น
เขาต้องการฆ่ามังกร แต่เป้าหมายของเขาไม่ใช่แค่ร่างกายของมังกร
“แม้ว่าจะไม่มีค่าประสบการณ์ในการเป็นคนสุดท้ายที่การฆ่ามังกร แต่ก็ยังมีชื่อเป็นดราก้อนสเลเยอร์และชื่อเสียงระดับรีเจนดารี ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ฉันต้องการ” วิลเลียมกำหมัดแน่น
แน่นอนว่าวิลเลียมไม่ต้องการส่งเหล่าเอลฟ์ไปตายในเรื่องนี้
วิลเลียมมั่นใจว่าเขาทำได้คนเดียว
หากเขาประสบความสำเร็จก็จะได้กำไรสูง แต่ถ้าเขาล้มเหลว มันก็ไม่มีอะไรเสียหาย
การตื่นขึ้นของมังกรยักษ์โคเรียวทรัสซ์นั้นตรงกับเวลาที่สมุนของมังกรยักษ์เริ่มการโจมตี
ทหารโล่ราวหนึ่งพันนายของอาณาจักรเหล็กตั้งแถวประมาณสามชั้นเพื่อหยุดยั้งออร์ค, มนุษย์หมาป่า, โนมส์และเผ่าพันธุ์เวทย์บางเผ่าที่หาได้ยาก
แต่สิ่งที่เปล่งประกายในการต่อสู้ไม่ใช่กองทัพและผู้นำของพวกเขา
แต่กลับเป็นผู้ติดตามมังกรที่ได้รับการถ่ายทอดจากสายเลือดมังกร
คนหนึ่งเป็นมนุษย์ในขณะที่อีกสองคนเป็นครึ่งเอลฟ์
พวกเขาไม่ได้ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดมังกร แต่ดวงตาของพวกเขาได้กลายเป็นสีเหลืองน่าสะพรึงกลัว
เมื่อพวกเขาจ้องมอง รูม่านตาของพวกเขาจะดูเหมือนว่ามีเปลวไฟลุกโชนอยู่ภายในและเปล่งแสงสีทองออกมา
คนที่ดูแลทางเข้าถ้ำคือกองทหารลำดับที่สาม ผู้บัญชาการกองทหารแอรอนเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ที่ถือดาบคู่
เขาจ้องมองไปที่เผ่ามังกรอย่างใจเย็นขณะที่พวกเขาพุ่งไปข้างหน้า
ทหารของกองทัพที่สามยังแสดงความสงบเหมือนผู้บังคับบัญชาของพวกเขา
ในฐานะที่เป็นกองทหารชั้นยอด พวกเขามีความเข้มแข็งของจิตใจที่น่าเหลือเชื่อ
เมื่อกองทัพมังกรนับหมื่นเข้ามาใกล้
แอรอนก็ตะโกนเสียงดัง “ยิงธนู!”
ฟิ้ว!
ทหารโล่ที่อยู่ด้านหน้าเปลี่ยนรูปแบบเพื่อให้สามารถยิงลูกศรจากหน้าไม้ยักษ์ได้ หน้าไม้สิบอันยิงใส่ศัตรู
ลูกศรเหล็กยาว 2 เมตรพุ่งผ่านอากาศและทะลุทะลวงศัตรูนับสิบ ลูกธนูพาร่างของพวกมันไปและทำให้เลือดของพวกมันพ่นไปในอากาศขณะที่พวกมันปลิวไปไกลถึง 100 เมตร
แต่หน้าไม้หนักสิบอันนั้นโจมตีกองทัพศัตรูทั้งหมดไม่ได้ มันสามารถโจมตีศัตรูได้หนึ่งถึงสองร้อยคนเท่านั้น
แต่ลูกศรเหล็กสิบอันได้สร้างรอยเลือดและเว้นที่ว่างไว้ในตำแหน่งของศัตรู สิ่งนี้สร้างภาระทางจิตใจให้กับกองทัพของมังกร
หน้าไม้ยักษ์ช่วยในการลดขวัญกำลังใจของศัตรูได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากลูกธนูเหล็กจากหน้าไม้ยักษ์แล้ว ธนูธรรมดาหลายพันดอกที่ยิงโดยนักธนูยังโจมตีเหล่าสมุนของมังกร แม้ว่าพวกเขาจะมีโล่พลังต่อสู้ แต่ลูกธนูก็ยังเป็นสิ่งที่จัดการได้ยาก เพราะพลังการต่อสู้ของพวกเขานั้นอยู่ในระดับปานกลาง…
นอกจากกองทหารพิเศษบางส่วนที่มีเครื่องแบบทหาร
กองทหารอื่นๆ ประกอบด้วยทหารอย่างน้อยสามประเภท
ทหารโล่และทหารพราน
ไม่มีนักธนูเฉพาะในทวีปก็อด เนื่องจากทหารพรานถือเป็นนักธนูที่มีพลังต่อสู้ใกล้เคียงกัน
ทหารโล่อาจกล่าวได้ว่าเป็นพลพรรคปืนใหญ่ที่นำไปใช้ในแนวหน้า พวกเขาต้องดูดซับความเสียหายจำนวนมากจากศัตรูจนกว่าศัตรูจะพังทลายจากนั้นทหารโล่จะได้รับชัยชนะ
บลาเดอร์จะฆ่าศัตรูทิ้งทันทีเมื่อศัตรูออกนอกขบวน พวกเขายังสามารถยึดตำแหน่งของทหารโล่ได้หากสหายของพวกเขาเสียชีวิตเพื่อป้องกันการแตกขบวนนั่นเอง
บลาเดอร์จะใช้อาวุธและอุปกรณ์ที่เหมาะสมตามประเภทของศัตรู
ตัวอย่างเช่นหากศัตรูของพวกเขาเป็นทหารม้า อาวุธหลักของพวกเขาคือหอกและอาวุธรองของพวกเขาคือดาบต่อสู้
ทหารพรานถูกนำไปใช้ในแถวสุดท้ายเพื่อยิงธนู พวกเขาจะยิงจนกว่าลูกธนูจะหมดหรือเมื่อผู้บัญชาการกองทหารสั่งให้หยุดยิงเท่านั้น หลังจากนั้นพวกเขาจึงจะสามารถยิงได้ตามประสงค์หรือใช้อาวุธต่อสู้ระยะใกล้เพื่อช่วยเหลือสหายของพวกเขาได้
เพียงแค่ทหารโล่อยู่ในตำแหน่งด้านหน้า บลาเดอร์อยู่ตรงกลางในขณะที่ทหารพรานอยู่เป็นอันดับสุดท้าย
ตราบใดที่ยังมีผู้บัญชาการกองทหารที่มีความสามารถคอยนำพวกเขา กองทหารที่แข็งแกร่งกว่า 3,000 นายสามารถพิสูจน์ได้ว่าทรงพลังมาก
กองทัพที่สามของอาณาจักรเหล็กเป็นกองทหารเช่นนี้
รูปแบบของพวกเขาแน่นหนามากและสร้างเกราะที่แข็งแกร่งดั่งกระดองเต่าที่ทางเข้าถ้ำ ทหารโล่ 1,000 คน, ทหารราบ 1,000 คนและทหารพราน 1,000 คนสร้างรูปแบบการป้องกันสามชั้น พวกเขามีความได้เปรียบทางภูมิประเทศและสามารถโจมตีด้วยพลังการต่อสู้จากจุดที่ได้เปรียบสูง
ครู่ต่อมา
สมุนของมังกรที่ต่อสู้กันบนภูเขาถูกผลักกลับ พวกเขากลิ้งตัวลงและนำสหายผู้โชคร้ายมาด้วยในระหว่างนั้น
เลือดสดเปื้อนกระเซ็นไปบนหิน หิมะค่อยๆละลาย
พลังในการต่อสู้ได้ก่อให้เกิดห้วยน้ำลึก ขณะที่แสงวาบที่ส่องประกายถูกสร้างขึ้นในอากาศ
การต่อสู้ถึงจุดสูงสุดภายในระยะเวลาสั้น ๆ
วิลเลียมไม่รู้สถานการณ์ในถ้ำมังกร
แต่เอลฟ์ที่อยู่ด้านบนสุดของช่องถ้ำรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่มาจากข้างใน ราวกับว่ามังกรใหญ่กำลังร้องโหยหวนและต้องการพุ่งทะยานขึ้นฟ้า แต่มันถูกทุบลงกับพื้น
วิลเลียมคลุมศีรษะด้วยหิมะขณะคลานไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง เขาลอบเฝ้าดูสถานการณ์และสามารถละสายตาได้ครั้งหนึ่งเท่านั้น
แต่เมื่อเขารับรู้ถึงสถานการณ์เขาก็อดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเย็นๆ เข้าไป กองทัพที่สามของอาณาจักรเหล็กนั้นทรงพลังหรือไม่?
ในขณะที่เขาสูดหายใจเสร็จ
ร่างสูงในชุดเกราะเซ่อซ่าสามตัวก็พุ่งออกมาจากกองทัพของมังกร
“นั่นมันโทรลนี่!” วิลเลียมหรี่ตา
โทรลล์ผู้ทรงพลังทั้งสามเหวี่ยงกระบองที่หนักและใหญ่ของพวกเขาไปที่ทหารโล่และส่งพวกมันบินไปในอากาศ ทหารโล่ปลิวมาตกในขบวนของพวกเขาดังตุ้บ
โทรลไม่สามารถหลบลูกธนูและการโจมตีบางส่วนได้
แต่สำหรับพวกเขามันไม่ได้สร้างความเสียหายมากเท่าไหร่นัก
โทรลบุกเข้าไปในรูปแบบการป้องกันของกองทัพชั้นที่สองก่อนที่จะตาย กองทัพอยู่ในสภาพยุ่งเหยิง ผู้บัญชาการแอรอนตะโกนเสียงดัง “เติมช่องว่างซะ!”
แต่มันก็สายเกินไป เหล่าพรรคพวกของมังกรที่จำนวนเยอะราวกับตั๊กแตนจากด้านหลังของโทรลเข้ามาแทรกช่องว่างในขบวนกองทัพอย่างรวดเร็ว
แอรอนกำหมัดแน่น ก่อนจะเหวี่ยงหมัด!
เนื่องจากความพยายามของเขา นักดาบหลายร้อยคนที่สวมชุดอุปกรณ์คุณภาพระดับเงินจึงเหยียบศีรษะของผู้ถือโล่และกระโดดออกไป พลังดาบทะลุไปข้างหน้าหลายสิบเมตร
เพียงไม่กี่วินาที
ช่องโหว่ที่ถูกยึดโดยกองทัพของมังกร ตอนนี้กลับมาถูกยึดครองโดยกองทัพแล้ว
แต่การก่อตัวของกองกำลังที่สามไม่สามารถมั่นคงได้ เนื่องจากเจอวิกฤตอีก
ผู้นำของเผ่ามังกรพุ่งไปข้างหน้าและพวกเขาก็กระแทกผู้ถือโล่ไปทั่ว
เมื่อพวกเขาเข้าโจมตีกองทัพที่สาม แต่บรรดาผู้นำต่างก็ฝ่ากองทัพเข้าไปไม่ได้
เนื่องจากดาวเด่นของสนามรบแห่งนี้ไม่ใช่พวกเขา
แต่เป็นผู้ติดตามมังกรทั้งสาม
แอรอนต้องการเข้าไปช่วย แต่เขาเป็นผู้บัญชาการกองทหารที่ต้องสั่งการทหารของเขา
เขามองดูอย่างหมดหนทางในขณะที่ผู้ติดตามมังกรทั้งสามพุ่งเข้าไปในขบวนทหารดั่งมังกรที่ดุร้าย ไม่มีเกล็ดที่มองเห็นได้บนร่างกายของผู้ติดตามมังกร เนื่องจากเกล็ดนั้นซ่อนอยู่ใต้ผิวหนังของพวกมัน มันทำหน้าที่เหมือนเกราะเสริมอีกชั้น ราวกับว่าผู้ติดตามมังกรมีร่างกายที่อยู่ยงคงกระพัน
ออร่าเวทย์มนตร์หนาแน่นกลืนกินร่างของผู้ติดตามมังกรทั้งสาม จากนั้นพวกเขาก็อาเจียนออกมา!
บูม!
งูไฟสามสิบตัวยาวหลายสิบเมตรปรากฏขึ้นและเริ่มสร้างความหายนะในกองทัพที่สาม
ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม
ขณะนั้น
พลังการต่อสู้ของทหารหลายสิบคนดับลงและเผาไหม้เป็นเปลวไฟ
ทหารคนอื่น ๆ หลายสิบคนกลิ้งไปบนพื้น ขณะที่พวกเขาร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดในขณะที่พยายามดับเปลวไฟเวทย์มนตร์ที่ไม่สามารถดับลงได้
“พวกผู้ติดตามมังกรเวรนี่มัน” แอรอนดึงดาบยาวที่แทงลึกลงไปที่พื้นแล้วเดินไปข้างหน้า
องครักษ์ส่วนตัวคว้าตัวเขาและพูดด้วยเสียงต่ำ “ผู้บัญชาการ ท่านไม่ควรไป ท่านต้องรักษาขวัญและกำลังใจของทหาร รองแม่ทัพไปช่วยแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการฆ่ามังกรไฟและหน้าที่ของเราคือป้องกันไม่ให้ใครเข้ามาในถ้ำและรบกวนมัน!”
“ตราบใดที่มังกรไฟตายกองทัพของมันจะหนีไปด้วยความกลัว”
แอรอนจับลำคอขององครักษ์ส่วนตัวของเขาแล้วดึงเข้ามาใกล้
องครักษ์ส่วนตัวดิ้นรนด้วยความตื่นตระหนก แอรอนจ้องมองเขาก่อนจะโยนเขาไปด้านหนึ่ง จากนั้นเขาก็พึมพำว่า “ข้าหวังว่าพวกเขาจะฆ่ามังกรได้โดยเร็ว มิฉะนั้นทหารชั้นยอดของข้าต้องตายหมดแน่…”
แอรอนเป็นทหารที่แท้จริงที่ภักดีต่ออาณาจักรและยังเป็นผู้บังคับบัญชาที่ดูแลทหารของเขาอีกด้วย!
แต่จากนั้น!
ตูม! ทางเข้าถ้ำถล่ม ราวกับว่ามีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ทุบทางเข้าถ้ำอยู่
โฮกกก!!!
ทหารครึ่งหนึ่งหันศีรษะด้วยความตื่นตระหนก แม้แต่แอรอนก็หันหน้าไปมอง
แต่ภาพที่รอคอยคือมังกรเพลิงที่เปื้อนเลือดซึ่งสูญเสียเกล็ดส่วนใหญ่กำลังเคลื่อนร่างอันใหญ่โตมาทางพวกเขา
แอรอนพยายามหลบ!
แต่ทหารหลายร้อยคนที่ไม่สามารถออกนอกลู่นอกทางได้ถูกทับยับเยิน
“ตอนนี้แหละ” วิลเลียมกระโจนออกไป
เขาลงมาจากท้องฟ้าราวกับเป็นเทพเจ้าสายฟ้า
ขณะนั้น
ดั่งเวลาหยุดเดิน หลายคนเงยหน้าขึ้นมองการปรากฏตัวของ… ผู้สังหารมังกร
แสงวาบของพลังแบทเทิล คัทที่แสนอันตรายพุ่งลงมาจากท้องฟ้า มันมีพลังที่จะทำลายทุกสิ่ง
มันเป็นเหมือนกับว่า
ความยุติธรรมได้ลงมาจากฟ้าด้วยตัวเอง!
ทุกคนเบิกตากว้างและมองด้วยความไม่เชื่อ…
เมื่อโคเรียวทรัสซ์กลิ้งออกมาจากถ้ำ เขาก็เต็มไปด้วยความหวังใหม่ เขาเชื่อว่าเขาจะไม่ตายและสามารถมีชีวิตรอดออกไปได้สำเร็จ
เขาเห็นสมาชิกเผ่าของเขา ตราบใดที่เขามีเวลาฟื้นตัว เขาก็สามารถปกครองทวีปรีเจนดารีได้ เขาจะเผาทั้งอาณาจักรเหล็กและอาณาจักรอื่นๆ ของมนุษย์ด้วยเปลวเพลิงอันเกรี้ยวกราดของเขา
เมื่อเขาล้มลงกับพื้นและกำลังจะยกศีรษะอันมหึมาของเขาขึ้น
จู่ๆ ออร่าแห่งการสังหารที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า
เจ้ามังกรสามารถหลบได้ทันเวลา เขารู้สึกว่าหัวของเขาหนักขึ้นและความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็ทำให้สติของเขาขุ่นมัว
ปัง!
สายฟ้าระเบิดเป็นพลังต่อสู้
ทุกคนต่างเป็นพยานในการเห็นภาพกะโหลกของมังกรไฟที่ถูกระเบิดโดยพายุสายฟ้า เกล็ดแวววาวของมันที่เต็มไปด้วยกระแสไฟฟ้าร่วงหล่นลงมาทับทหารจำนวนมากเสียชีวิต
เวลาผ่านไปสักพัก
และด้วยเสียงดังตูม ผู้ยิ่งใหญ่แห่งท้องฟ้า มังกรไฟโคเรียวทรัสซ์ก็ทรุดตัวลงกับพื้นอย่างแรง รูม่านตาสีเหลืองเพลิงของเขาดับลง เจ้ามังกรได้ถูกปลิดชีวิตลงแล้ว…
ในขณะเดียวกัน
ครึ่งเอลฟ์ที่ดูเหมือนเทพเจ้าสายฟ้ายืนอยู่บนหัวของมังกร และดึงดาบยาวที่ฝังอยู่ในหัวออกมา เขามองไปที่ใบหน้าของทุกคนและหัวเราะออกมาเบาๆ “มังกรตัวนี้เป็นของเรา”
หลังจากดาบแห่งสายฟ้าระดับคุณภาพทองเข้มของเขาถูกทำลาย วิลเลียมก็ได้รับ ดาบแห่งสายฟ้าใหม่ระดับอีปิค
มันไม่ได้แตกต่างจากก่อนหน้านี้มากนัก เฉพาะคุณสมบัติและลักษณะพิเศษเท่านั้นที่เพิ่มระดับขึ้นมา
ดาบอันใหม่นี้มีเอฟเฟกต์พิเศษเพิ่มเติมอีกสี่แบบ
พายุสายฟ้า: การโจมตีครั้งต่อไปของคุณจะทำให้เกิดพายุสายฟ้า ความเสียหายจากสายฟ้าจะเป็น X5
พลังที่ใช้: ไม่มี
คูลดาวน์: 10 นาที
วิลเลียมได้ประหารชีวิตมังกรด้วยการลงดาบเพียงครั้งเดียว นั่นคือพลังแบทเทิล คัท
อย่างไรก็ตาม
พลังแบทเทิล คัทนี้ได้รับการปรับปรุงด้วย แสงแห่งรุ่งอรุณ มันเพิ่มพลังงานการต่อสู้ทั้งหมดขึ้น 50% และด้วยเหตุนี้ความเสียหายจึงขยายกว้างมากขึ้น
มันเพิ่มพลังให้พายุสายฟ้าเพียงเท่านั้น แต่กลับสร้างความเสียหายอย่างไม่น่าเชื่อ
การเฉือนเพียงครั้งนั้นครั้งเดียวทำให้กะโหลกศีรษะระเบิด!
แต่การเฉือนครั้งนั้นสร้างความเสียหายโดยใช้สายฟ้า การเฉือนจึงรุนแรงและสร้างความเสียหายจากการระเบิด วิลเลียมสร้างความเสียหายไปทั้งหมด 27340 แต้ม!
และมันเป็นเพียงฟางเส้นสุดท้ายที่ปลิดชีวิตมังกร งานหลักในการสร้างบาดแผลนั้น คนอื่นได้ทำให้แล้ว
ออกัสติน, มัคฮู เรดด์และเหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บมองดูมังกรไฟที่ตายแล้วด้วยความไม่เชื่อ พวกเขาทั้งหมดลุกโชนด้วยไฟโกรธ
“ลอร์ดแห่งแสงวิลเลียม เจ้าสมควรตาย !!!” ออกัสตินคำราม
ดราก้อนสเลเยอร์ที่แท้จริงปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนนับหมื่น มันเป็นจุดกำเนิดของตำนานที่แท้จริง
อาจกล่าวได้ว่า
การโจมตีมังกรที่ร้ายแรงของวิลเลียมทำให้การต่อสู้ครั้งก่อนไร้ความหมาย…
ณ เวลานี้
ไม่มีใครจดจำหรอกว่าใครเป็นคนทำให้มังกรได้รับบาดแผล พวกเขาจะยกยอแต่ชื่อของคนที่ฆ่ามังกรเท่านั้น
“ขอโทษด้วย แต่เรากำลังขโมยแสงสปอร์ตไลท์” วิลเลียมยักไหล่ เขาอยากจะบอกพวกเขาว่าตัวเขาเป็นผู้เล่นระดับบอสรีเจนดารีที่มีค่าหัวมหาศาลในชีวิตก่อนหน้านี้
เขากระโดดลงมาจากหัวมังกรและโบกมือภายใต้การจ้องมองของทุกคน
จากการกระทำนี้ของเขา ร่างขนาดมหึมาของมังกรก็หายวับไป
“โอ… พระเจ้า?” สมาชิกเผ่าของมังกรยักษ์เบิกตาของพวกเขาด้วยความประหลาดใจพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอ
“…” ออกัสตินและมัคฮู เรดด์มองหน้ากันและกัน พวกเขาจำมันได้ สมบัติมิติที่มีมิติขนาดใหญ่เป็นของตัวเอง
วิลเลียมก้มหัวต่ำลงพร้อมกับลูบแหวนวงที่สองของเขา เขายืมมันมาจากโมเสส และเขาก็ต้องคืนมันให้กับโมเสสเมื่อสงครามนี้จบลง!
แต่เขากลับตกอยู่ในอันตรายทันที แอรอนที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นได้นำทหารของเขาเข้าล้อมวิลเลียม
ทหารหลายพันคนล้อมวิลเลียมเอาไว้ ไม่มีทางให้เขาหนีไปได้
กองทัพของมังกรยักษ์ถอยกลับและแม้แต่ ผู้ติดตามมังกรที่แสนภักดีก็เลือกที่จะถอยทัพ
มันเป็นเพราะเจ้านายของพวกเขาถูกสังหาร เจ้านายเขาถูกลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณตัดหัว!
แม้แต่ร่างกายของเขาก็หายไปและพวกเขาก็ไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ใดๆ ได้เลย พวกเขาทำได้เพียงถอยหนีและระบายความคับข้องใจลงที่อื่น
ฝูงชนผิวดำถอยลงจากภูเขา พวกเขาไม่ได้นำศพของสหายที่เสียชีวิตลงไปด้วย
ออกัสตินเดินเข้าไปในวงล้อมด้วยสีหน้าเย็นชา สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขณะที่เขาพูดว่า “เจ้าทำการสังหารมังกร ตอนนี้เป็นไงล่ะ เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถหลบหนีออกไปได้?”
แต่วิลเลียมไม่ได้กังวลและเดินเล่นอยู่ภายในวงล้อม เขาไม่ได้สนใจออกัสตินหรือนักล่าค่าหัวเถื่อน แต่เขายืนอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่และสำรวจสภาพรอบๆ…
วิลเลียมจะกลัวไหม?
ไม่ วิลเลียมไม่มีวันอ่อนข้อ!
เขายิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดว่า “ประโยคนั้นควรเป็นของเรา… เจ้าไม่สามารถหนีได้แล้ว”
“เจ้าหมายถึงอะไร? เจ้าจะมาดักรอเราได้อย่างไร? ด้วยกองทัพทหาร 2,000 นายที่อ่อนแอของเจ้างั้นหรือ?” ออกัสตินไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่าวิลเลียมมีทหารกี่นาย แต่ด้วยจำนวนที่นับว่าน้อย เขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องนี้
วิลเลียมยกดาบแห่งสายฟ้าของเขาขึ้นและชี้ดาบไปยังทหารที่ปิดล้อมหลายพันคนขณะที่เขาพูดว่า “ถูกต้องแล้ว เจ้ากำลังถูกล้อม”
นักรบปีศาจที่ร่างกายถูกกลืนกินด้วยพลังการต่อสู้สีดำเกือบจะสูญเสียการควบคุม เขากลัวว่าพลังแห่งการต่อสู้สีดำจะพุ่งออกมาจากปากของเขา เขาจึงกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ แต่เขาก็ไม่วายเหน็บแนมวิลเลียม “นั่นเจ้าล้อเล่นอยู่หรอ”
“ลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณกลายเป็นคนปัญญาอ่อนหลังจากสังหารมังกรไปแล้วงั้นหรือ” ใครบางคนพูดน้ำเสียงเอ็นดู
ก่อนที่จะมีคนได้เหน็บแนมวิลเลียมต่อไป
ทหารคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาและตะโกนว่า “พวกเราถูกล้อมอยู่จริงๆ ศัตรู 2,000 นายกำลังปีนภูเขาและศัตรู 4,000 ถึง 5,000 นายก็มุ่งหน้ามาจากทางใต้เช่นกัน!”
ในเวลาเดียวกัน เหล่าเอลฟ์ชั้นยอด 130 ตนที่อยู่ด้านบนของถ้ำก็กระโดดลงบนพื้นและรวมตัวกันอย่างรวดเร็วรอบวิลเลียม
ออกัสตินตกลงสู่ห้วงความคิด…
มัคฮู เรดด์เองก็ครุ่นคิด…
แอรอนลูบหน้าและพูด “ดี ไม่เจ็บดี!”
ทหารคนอื่นๆ กำลังสับสน พวกเขาไม่เข้าใจว่าพวกเขาถูกล้อมรอบได้อย่างไร
“เป็นไปได้อย่างไร? ทางใต้คือมหาสมุทร…” ออกัสตินพึมพำ เขาอดไม่ได้ที่จะตบหน้าตัวเองเพื่อปลุกตัวเอง
ไม่ใช่เวลาที่จะคิดว่ากองทหารเพิ่มเติมเข้ามาได้อย่างไร
เขาต้องตัดสินใจว่าแนวทางปฏิบัติต่อไปของเขาจะเป็นอย่างไร ..
เขามองไปที่วิลเลียมที่ถูกล้อมอยู่ เขารู้ว่านี่อาจเป็นโอกาสเดียวของเขาที่จะฆ่าวิลเลียม
แต่เขาเหลือบมองไปยังทหาร 3,000 นายของเขาและอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว…
แต่ในช่วงถัดมา
เขาก็ตะโกนออกมาอย่างขุ่นเคือง “บ้าเอ้ย ฆ่าวิลเลียมปัญญาอ่อนคนนี้ซะ!”
ออกัสตินพุ่งไปข้างหน้าเหมือนประกายไฟที่บดขยี้โลก เขาชนเข้ากับวิลเลียม!
ทหารอีกหลายคนเลือกที่จะเข้าโจมตีเอลฟ์ 100 ตนที่พวกเขาล้อมไว้
ออกัสตินทำเช่นนี้ในขณะที่เขาไม่สามารถทนต่อการสูญเสียมังกรและต้องการที่จะฆ่าวิลเลียม
“โอกาสมีแค่ครั้งเดียว วิลเลียม ข้าเต็มใจที่จะเสียสละกองทัพของอาณาจักรเหล็กทั้งสองกองเพื่อฆ่าเจ้าและทหารของเจ้า” ออกัสตินและวิลเลียมต่อสู้กับพวกเขาและได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
ทั้งสองมีอุปกรณ์ที่ทรงพลังซึ่งประกอบด้วยชุดอุปกรณ์คุณภาพระดับทองและอาวุธระดับอีปิค
แต่วิลเลียมไม่ต้องการให้มีผู้บาดเจ็บเสียชีวิตมากเกินไป
ในระหว่างการต่อสู้ เขาก็หัวเราะออกมาและพูดว่า “แทนที่จะถูกฆ่า มันน่าจะดีกว่าถ้าเราตายไปด้วยกัน ระวังม้วนกระดาษปืนใหญ่เวทมนตร์ของเราเอาไว้!”
เมื่อมัคฮู เรดด์ได้ยินคำพูดเหล่านี้ เขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ออกัสตินเห็นว่าอัจฉริยะมัคฮู เรดด์หนีไปแล้ว เขาก็ตื่นตระหนก เขาตะโกนอย่างหวาดกลัวและถอยกลับไปอย่างต่อเนื่องพร้อมกับกองทหารของเขา
อย่างไรก็ตาม…
อย่างไรก็ตามคัมภีร์สีดำไม่ได้ระเบิด
มันหายไปพร้อมกับควันดำ…
เมื่อออกัสตินที่เต็มไปด้วยความโกรธและความต้องการที่จะเฆี่ยนร่างกายของวิลเลียมร้อยๆ ครั้ง
เขารู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังเลียใบหน้าของเขา…
เขารู้สึกได้ถึงลางไม่ดีและหันหน้าไปมอง
เขาพบแม่มดหน้าตาน่ากลัวนอนแผ่อยู่บนหลังของเขา มันเลียใบหน้าของเขาด้วยลิ้นที่เต็มไปด้วยหนอน
“อา!!!”
เสียงกรีดร้องที่น่ากลัวดังก้องท่ามกลางภูเขาหิมะของทะเลตะวันออก
“อ้ากก…” เสียงกรีดร้องที่น่ากลัวดังออกมาจากปากของออกัสติน
บอสระดับรีเจนดารีที่หล่อเหลาและทรงพลังคนนี้เกือบจะบ้าคลั่ง
ทหารที่อยู่ข้างๆส่งสายตาดูหมิ่น ก่อนจะหนีออกไปให้ไกลจากเขามากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เป็นเพราะมีแม่มดอยู่ด้านหลังของออกัสติน ร่างกายของเธอเน่าเหม็นและมีหนอนสีดำน่าเกลียดพุ่งออกมาจากร่างของแม่มด เธอใช้ลิ้นที่เน่าเปื่อยของเธอเลียใบหน้าของออกัสติน …
ออกัสตินตกใจมากที่พลังการต่อสู้ของเขาลุกเป็นไฟ ราวกับว่าเขากลายเป็นสัตว์ประหลาดนรก แต่กลับไม่ได้ส่งผลใด ๆ ต่อแม่มดเลย
แม่มดทำได้เพียงระงับความแข็งแกร่งและค่าสถานะของเขาเท่านั้น และถึงแม้ว่ามันจะไม่ทำอันตรายต่อออกัสติน แต่มันก็ยังน่ากลัวอยู่ดี …
“นี่มันอะไรกันเนี่ย?” ออกัสตินพยายามอย่างมากที่จะไม่ให้หัวของเขาหมุน แต่เขารู้สึกว่าใบหน้าของตนเฉอะแฉะและรู้สึกได้ถึงหนอนที่คลานอยู่บนนั้น เขาสามารถหยุดหัวไม่ให้หมุนได้ แต่ก็ไม่สามารถหยุดตัวเองจากการจินตนาการอันน่าสยดสยองได้เลย
“ผู้บัญชาการนั่นมัน…คำสาปหรือเปล่าครับ” ความหวาดกลัวได้เข้าโจมตีเหล่าทหารไปอีกคน
ในขณะเดียวกันนักรบก็วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก เขากล่าวพูดทั้งๆที่ยังหายใจไม่ทั่วท้องเลยด้วยซ้ำ “ผู้บัญชาการ…สหายของเรา…สหายของเราทั้งสองฝ่ายไม่สามารถรั้งได้อีกต่อไป ทหารของเราหลายร้อยคนถูกสังหารไปแล้วครับ”
สถานการณ์แย่ลงกว่าเก่า แม้แต่นักล่าค่าหัวก็ไม่มีความตั้งใจที่จะต่อสู้ต่อไป
พวกเขาได้รับค่าหัวเพียงครึ่งเดียว แต่หากมังกรหายไปพวกเขาก็จะไม่ได้รับเงินอีกครึ่งหนึ่ง
หากพวกเขายังคงต่อสู้กับกองทัพรุ่งอรุณต่อไป มันจะไม่ดีสำหรับพวกเขา
แม้ว่าพวกเขาจะสามารถฆ่าวิลเลียมได้ แต่พวกเขาก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัส กองทหารของอาณาจักรเหล็กก็จะมีโอกาสกดขี่และกลั่นแกล้งนักล่าค่าหัว
นักรบปีศาจอดอล์ฟเป็นคนแรกที่หนีไป เขาแปลงร่างเป็นสายฟ้าสีดำก่อนจะหนีลงจากภูเขาไป…
นักล่าค่าหัวที่รอดชีวิตก็ไม่ได้อยู่เจรจากับออกัสติน พวกเขาทั้งหมดหนีไปเหมือนอดอล์ฟ
นักรบปีศาจไม่เพียงแต่ทรงพลัง แต่เขายังฉลาดมากอีกด้วย เมื่อสิ่งต่างๆดูท่าจะไม่ดี เขาก็เป็นคนแรกที่หนี แต่บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาสามารถเอาตัวรอดมาเป็นเวลายาวนาน
เพราะเขา…ไม่โลภ!
ในขณะที่นักล่าค่าหัวหนีไปขวัญกำลังใจกองทหารของอาณาจักรเหล็กก็เริ่มลดลง
ทหารที่ดูแลฝั่งปีกข้างไม่สามารถยืนยันได้ว่าผู้ที่หนีไปเป็นนักล่าเงินรางวัลหรือสหายของพวกเขาเอง
ออกัสตินตระหนักถึงแรงกดดันของสถานการณ์ ก่อนจะจ้องมองไปยังวิลเลียม โดยไม่เสียเวลาเขาโบกมือและตะโกนว่า “กองทัพทั้งหมดถอยไปทางทิศตะวันตก”
“แอรอนขอทหารไปป้องกันศัตรูสักสิบนาที” ออกัสตินออกคำสั่งและหนีไปด้วยความตื่นตระหนก แม่มดยังคงติดอยู่ที่หลังของเขาและเขาเริ่มกังวลว่าจะสามารถลบคำสาปไปได้หรือไม่ มันจะเป็นนรกสำหรับเขาแน่หากเขาทำไม่ได้
แอรอนกำหมัดแน่น เขายังสังเกตเห็นว่าถ้าทุกคนหนีไปจะทำให้มีผู้เสียชีวิตมากขึ้น เขาต้องใช้กองกำลังที่สามเป็นคนรับหน้า เขาสั่งว่า “กองกำลังที่สามยึดแนวไว้เพื่อให้สหายของเราล่าถอย”
“ให้ตายสิ รักษาแนวไว้ให้ดีบ้าอะไร เหล่ากองกำลังที่สาม ออกัสตินละทิ้งพวกท่านไปแล้ว ถอยทัพซะเถอะ”
เสียงดังกึกก้องไปทั่วสนามรบ
เสียงนี้ทำให้ทหารที่มีความคิดที่จะหลบหนีรู้สึกโล่งใจ พวกเขาหนีไปพร้อมกับกองทัพที่สองทันที …
เสียงของการล่าถอยก็แข็งแกร่งและดังขึ้น
เสียงประณามออกัสตินท่วมท้นไปทั่ว
แอรอนหาทิศทางของเสียงที่ก่อกวน เขาพบว่ามันมาจากลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณ เขาตะโกนอย่างสบาย ๆ ในขณะที่ได้รับการปกป้องจากคนของเขานับร้อย
“ไร้ยางอาย!” แอรอนกำหมัดแน่นพลางสาปแช่งไปด้วย
แต่มันก็สายเกินไปแล้วที่จะเปลี่ยนสถานการณ์
ตอนนี้เขาทำได้แค่ถอย ส่วนพวกทหารที่ขัดคำสั่ง เขาต้องเอาตัวรอดก่อนเพื่อกลับไปจัดการกับพวกมัน …
เมื่อกองทัพของอาณาจักรเหล็กถอยทัพกลับไป พวกเขาก็หลีกเลี่ยงวิลเลียมที่อยู่ตรงกลาง วิลเลียมไม่ได้สั่งให้โจมตีพวกเขาเช่นกัน
แต่มีทหารบางคนที่ไม่สามารถวิ่งได้เร็วพอและพวกเขาก็ผ่านพวกเอลฟ์ไป
วิลเลียมเดินออกจากเกราะป้องกันของทหาร เขาชี้นิ้วไปที่ทหารผู้โชคร้าย “เจ้าจะวิ่งไปที่ไหนกันเหรอ”
หัวหน้ากองหยุดวิ่ง ก่อนจะพบว่ามีสายตาอันเยือกเย็นจากฝูงชนกำลังจ้องมองมาที่เขา ริมฝีปากของเขาก็สั่นขณะที่พูดว่า “โอ้ ชิบหายละ”
หัวหน้าทีมโยนอาวุธลง ก่อนจะนอนลงกับพื้นโดยอ้าขาให้กว้าง เขาเหนื่อย…
ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดของเขาก็หยุดวิ่งเช่นกัน พวกเขายังทิ้งอาวุธและถอดอุปกรณ์ให้เหลือเพียงกางเกงใน ทหารที่ตัวสั่นก็พากันกอดกันพร้อมกับถูมือเพื่อสร้างความอบอุ่น
พวกเขาไม่มีทางเลือก มันเป็นความผิดของพวกเขาที่ช้าและไม่สามารถหลบหนีได้ พวกเขายอมจำนนเพราะยังไม่อยากตาย
ในที่สุดกองกำลังของวิลเลียมก็มาถึงทางเข้าถ้ำ ลอทเนอร์รู้สึกโล่งใจที่เห็นว่าวิลเลียมไม่มีตรงไหนบุบสลาย เขากล่าวว่า “ข้าดีใจที่เห็นท่านสบายดี เราควรไล่ตามทหารที่กำลังถอยทัพออกไปหรือไม่”
“แน่นอน เรากำลังไล่ตามพวกเขาอยู่ เราจะไล่ล่าพวกเขาประมาณหนึ่งชั่วโมง และไม่ว่าเราจะฆ่าหรือจับทหารกี่คนในครั้งนี้ หลังจากนั้นเราก็จะล่าถอยไปที่ชายฝั่ง” วิลเลียมสั่ง ปล่อยให้องครักษ์ส่วนตัวของเขา ทหารเอลฟ์ชั้นยอด 130 นาย และกองทหารที่แข็งแกร่งทั้งหมด 5,000 นายที่เหลือไล่ตามศัตรู
ฉลาดหรือไม่ที่ไล่ตามศัตรูที่จนมุม?
ความกังวลหลักในนั้นคือการถูกลอบโจมตีโดยศัตรู
แต่กองทัพของอาณาจักรเหล็กไม่สามารถซุ่มโจมตีได้ ในกรณีนี้ไม่ว่าวิลเลียมจะเลือกจับหรือฆ่าก็มีแต่ผลกำไร
“น่าเสียดายที่เราไม่ได้ตัวออกัสตินและมัคฮู เรดด์” วิลเลียมรู้สึกงุนงง เขาไม่คาดคิดว่ามัคฮู เรดด์จะปรากฏตัวที่นี่เลย แต่ก็น่าเสียดายอย่างยิ่งที่พลาดโอกาสในการฆ่านักเวทมืดที่เอาแต่สร้างปัญหาเช่นกัน
“พวกเจ้าที่เหลือเฝ้าทางเข้าถ้ำเอาไว้ หน้าที่ของพวกเจ้าคือป้องกันไม่ให้กองทัพของมังกรเข้ามาขัดจังหวะการช่วงชิงทรัพย์ของเรา” วิลเลียมรีบเข้าไปในถ้ำทันที เขาต้องการปล้นสมบัติของมังกร
เขาเชื่อว่าออกัสตินไม่ได้มีเวลามองหาสมบัติของมังกรตอนกำลังต่อสู้อยู่หรอก
แต่วิลเลียมไม่สามารถอยู่ในถ้ำได้นานเกินไป
แม้ว่าเผ่ามังกรจะล่าถอยไปแล้ว แต่เมื่อพวกเขาเอาชนะความกลัวและความตกใจเนื่องจากการตายของมังกรได้ พวกเขาก็จะกลับมาหาสมบัติ
วิลเลียมลงมืออย่างรวดเร็วมาก เขาเข้าไปปล้นภายในถ้ำและลงลึกเข้าไปข้างใน
เมื่อเขาเข้าไปลึกขึ้น อุณหภูมิก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ
หากปราศจากตัวยับยั้งอย่างมังกรยักษ์แล้ว ลาวาภูเขาไฟก็กลับมาทำงานอีกครั้ง วิลเลียมรู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าไปในทะเลเพลิง
แต่เขาก็เร่งรีบและหลบเลี่ยงลาวาที่พ่นออกมาระหว่างทางด้วยความช่วยเหลือจากสัมผัสที่หกของเขา
จากนั้นเขาก็หยุดอยู่ตรงหน้าธารลาวากว้าง ก่อนจะกระโจนร่อนลงบนก้อนหินสีดำกลางธารลาวา
เขาไม่ได้หยุดเป็นเวลานานนัก
เมื่อเขากระโดดอีกครั้งลาวาได้กลืนหินด้านล่างเขา วิลเลียมร่อนลงบนหินอีกอันหนึ่ง
ควันสีเขียวปรากฏที่เท้าของวิลเลียม เขากระโดดจากหินไปอีกก้อนหนึ่งจนกระทั่งข้ามธารลาวา
สุดท้าย
ไม่มีอุปสรรคใดแล้ว วิลเลียมมาถึงห้องเก็บสมบัติของมังกรไฟ!
“โชคดีที่ฉันมีประสบการณ์มากมายจากการตายในธารลาวาจากชีวิตที่แล้ว…” วิลเลียมยิ้ม ในชีวิตก่อนหน้านี้เขามีส่วนร่วมในการสังหารมังกรในภูเขาหิมะทางฝั่งทะเลตะวันออก
แต่มันเป็นผ่านการสังหารผ่านดันเจี้ยนระดับรีเจนดารี มีเพียงดันเจี้ยนในตำนานเท่านั้นที่มีโอกาสหนึ่งในหนึ่งพันในการได้รับเลือดจากมังกร ส่วนใหญ่แล้วดันเจี้ยนภูเขาหิมะทางฝั่งทะเลตะวันออกจะมีเพียงเกล็ดมังกรเท่านั้น
เกล็ดมังกรก็ยังถูกแบ่งออกเป็นหลายเกรด ยิ่งดันเจี้ยนยากขึ้นคุณภาพของเกล็ดมังกรก็จะยิ่งสูงขึ้น
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงต้องสำรวจดันเจี้ยน มันก็เพื่อการสร้างอุปกรณ์ที่ดีขึ้น!
และถ้าหากว่าถ้ำแห่งนี้ได้กลายเป็นดันเจี้ยน นั่นก็หมายความว่ามังกรไฟได้ถูกฆ่าไปแล้ว แม้ว่าผู้เล่นจะสำรวจสถานที่หลายครั้งก็จะไม่ได้รับรางวัลมากนัก
สมบัติของมังกรจะรวมถึงหีบสมบัติ …
อาจมีอัญมณี อุปกรณ์และเหรียญทองคุณภาพสูง
วิลเลียมเดินไปยังมุมหนึ่ง
เมื่อเขาเห็นภูเขาเหรียญทอง หีบสมบัติและอัญมณีล้ำค่า เขาก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง เขาเอาแต่จ้องมองมันด้วยสายตาลุกวาว “โอ้มายก็อด! …”
สีหน้าของวิลเลียมเมื่อเขาเห็นสมบัติก็เหมือนกับสีหน้าของผู้หญิงเมื่อเห็นเครื่องสำอาง
เขาพุ่งหัวเข้าไปในกองเหรียญทอง เขาเริ่มโยนเหรียญจำนวนหนึ่งเข้าไปในวงแหวนมิติ
“ฉันรู้มานานแล้วว่าการฆ่ามังกรจะเป็นการทำกำไรสูง แต่ฉันไม่คาดคิดว่าจะรวยได้ขนาดนี้” แม้แต่ดวงตาของวิลเลียมก็เปลี่ยนเป็นสีทอง มันยากมากในการจะสังหารมังกรในชาติก่อนของเขา ที่นั่นผู้เล่นจะสามารถสังหารมังกรได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาอยู่ในระดับสูงสุดและมีทีมที่น่ากลัวอยู่ด้วย
มิฉะนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่ผู้เล่นตัวคนเดียวหรือกลุ่มผู้เล่นธรรมดาจะเอาชนะมังกรยักษ์ระดับสูงได้
แม้ว่าสมาชิกกิลด์ระดับสูงจะต่อสู้กับมังกร แต่ความเป็นไปได้ในการชนะมันก็ยังน้อยอยู่ มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย โอกาสที่จะชนะในลีกอาชีพนั้นยังสูงกว่าการฆ่ามังกรเสียอีก
อาจกล่าวได้ว่า
สำหรับกลุ่มผู้เล่นแล้ว การเอาชนะ NPC ระดับรีเจนดารีอย่างวิลเลียมยังง่ายยิ่งกว่าการสังหารมังกรถึง 100 เท่า…
คุณสมบัติของผู้เล่นไม่ได้น่าประทับใจมากนัก นอกจากการมีทักษะที่ทรงพลังแล้ว ผู้เล่นก็ไม่มีอะไรพิเศษที่จะสามารถเอาชนะมังกรได้
วิลเลียมทำการชิงทรัพย์สมบัติตรงหน้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตราบใดที่สถานที่นั้นอ่อนแอต่อเวทมนตร์และพลังงานในการต่อสู้ เขาก็สามารถยัดสิ่งของเข้าไปในวงแหวนมิติได้ ภายในห้านาทีห้องเก็บสมบัติก็ถูกวิลเลียมกวาดจนสะอาด แม้แต่เหรียญทองแดงเหรียญเดียวเขาก็ไม่เหลือเอาไว้
ความตระหนี่ถี่เหนียวเป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาในวัฒนธรรมจีน การทิ้งขว้างทรัพยากรนั้นถือว่าเป็นบาป
วิลเลียมเดินไปรอบๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรทิ้งไว้ข้างหลัง เขาออกไปหลังจากที่เขาแน่ใจแล้วว่าเขาไม่ได้พลาดอะไรไป
ตอนนี้เขาสามารถกลับมาได้อย่างสบายใจ
ตอนที่เขาไปถึงทางเข้าถ้ำ พวกสมาชิกเผ่ามังกรยังไม่กลับมา เขาไม่ปล่อยให้เวลาเสียเปล่าแต่อย่างใด และนำผู้ติดตามของเขาไปทางชายฝั่งด้วยความรวดเร็ว
วิลเลียมรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นเรือขนาดใหญ่หลายสิบลำจอดอยู่กลางทะเล
ถึงเวลาแล้วที่เขาสามารถตรวจสอบการปล้นสะดมที่เขาได้รับจากการสังหารมังกรได้
[แจ้งเตือน: คุณสร้างความเสียหาย 27340 หน่วยให้กับโคเรียวทรัสซ์ คุณสังหารโคเรียวทรัสซ์!]
[แจ้งเตือน: คุณสร้างความเสียหายให้กับโคเรียวทรัสซ์ 9% คุณจะได้รับค่าประสบการณ์ 78300 แต้ม]
[แจ้งเตือน: คุณได้สังหารมังกรไฟระดับรีเจนดารีเลเวล 69]
[แจ้งเตือน: คุณได้รับฉายาผู้สังหารมังกรมือใหม่]
[แจ้งเตือน: คุณได้รับคะแนน 1 แต้มสำหรับสถานะระดับรีเจนดารี (ภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้)]
[แจ้งเตือน: คุณได้รับความสามารถติดตัว ‘สายฟ้าพิโรธ’]
วิลเลียมอ่านรางวัลของเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วนและหายใจเข้าลึกๆ เขาเอามือวางบนหน้าผาก วิลเลียมนั่งยองๆ ที่ริมทะเลอยู่ครึ่งวันก่อนที่เขาจะฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์
ผู้สังหารมังกรมือใหม่ (ตำแหน่ง)
ข้อกำหนดของตำแหน่ง: ผู้เล่นจะต้องจัดการกับความตายของมังกรยักษ์ระดับรีเจนดารีและสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาจำนวนตั้งแต่ 100 ตนขึ้นไปจะต้องเป็นพยานในความสำเร็จนี้
คุณภาพ: ทอง (โลหะดำ, บรอนซ์เขียว, เงิน, ทอง, ม่วง, ส้ม)
พลังโจมตี: +15
ความว่องไว: +15
ความแข็งแรงทางกายภาพ: +20
สติปัญญา: +10
เสน่ห์: +30
เอฟเฟกต์พิเศษ: คุณจะสร้างความเสียหายเพิ่มเติม 15% ต่อสิ่งมีชีวิตด้วยเลือดมังกร
เอฟเฟกต์พิเศษ: คุณจะมีอำนาจเหนืออสูรเวทย์ที่อยู่ต่ำกว่าระดับสูง ตอนนี้อสูรจะถูกขัดขวางหากทำการโจมตีคุณโดยตั้งใจ
เอฟเฟกต์พิเศษ: เมื่อคุณเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดมังกร คุณจะเต็มไปด้วยเสน่ห์
(รายละเอียด: แม้ว่าคุณจะกลายเป็น ‘ดรากอนสเลเยอร์’ แต่วิธีที่คุณได้รับตำแหน่งนี้คือจากการใช้ประโยชน์จากการลงแรง NPC คนอื่นๆ ตอนนี้ NPC หลายพันคนจึงเกลียดคุณเข้ากระดูกดำแล้ว)
วิลเลียมไม่สนใจคำร้องเรียนของเกม เขาเองก็เป็นNPCคนหนึ่ง การที่NPCเกลียดเขาเข้ากระดูกดำนั้นมันหมายความว่าอะไร?
เขาสนใจรึเปล่า?
ไม่
วิลเลียมทิ้งชื่อ ดรากอนสเลเยอร์’ไว้เหนือหัวอย่างมีความสุข NPCจะไม่สามารถมองเห็นชื่อของเขาได้ แต่พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงการอำนาจของเขา พวกเขาคงคิดว่าเอลฟ์ที่หล่อเหลาคนนี้ไม่ใช่ตัวละครธรรมดา หากพวกเขาจำมันได้อย่างถูกต้อง เผลอๆ พวกเขาอาจจำเขาได้ในฐานะผู้สังหารมังกรระดับรีเจนดารีก็เป็นได้?
“NPC ทำไม่ได้ แต่ผู้เล่นสามารถเห็นชื่อของฉันได้ เมื่อเกมออกจากเบต้าแบบเปิด ผู้เล่นสามารถใช้การดูหน้าต่างสถานะกับฉันได้ ชื่อผู้สังหารมังกรที่แวววาวนี้จะทำให้ตาของพวกเขาตาบอดอย่างแน่นอน
“ไม่จำเป็นต้องสะกดมันออกมา”
“ผู้เล่นจำนวนมากจะต้องมาเลียแข้งเลียขาฉันอย่างแน่นอน…”
วิลเลียมหัวเราะอย่างน่ากลัว จากนั้นตรวจสอบสถานะรีเจนดารีของเขา
[คะแนนสถานะผู้สังหารมังกรระดับรีเจนดารี +1]
[ข้อจำกัด : สถานะระดับรีเจนดารีมีผลเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น]
[รายละเอียด: ในยุคที่สาม เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 2333 วิลเลียม แบล็คลีฟ ลอร์ดแห่งแสงได้สังหารมังกรไฟในตำนานที่ภูเขาหิมะทางทะเลตะวันออก]
[รายละเอียด: การสังหารมังกรตัวนี้มีสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญานับหมื่นเป็นพยาน ความสำเร็จในตำนานนี้จะแพร่กระจายไปยังภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้อย่างแน่นอน]
“ฉัน…ไม่ต้องสงสัยเลย ฉันได้รับโชคแล้ว เมื่อความสำเร็จในตำนานของฉันเผยแพร่ออกไป บางทีมันอาจส่งผลให้ NPC ที่ทรงพลังจำนวนหนึ่งมาอยู่ใต้ปีกของฉัน!” วิลเลียมลูบคางของเขาขณะที่เขาพินิจเงินที่เพิ่งได้รับมา
[ความสามารถติดตัว: ‘สายฟ้าพิโรธ’ เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่มีระดับสูงกว่าคุณ 10 ระดับ คุณอาจเสียสละแต้มพลังชีวิต 50% เพื่อกระตุ้นสายฟ้าพิโรธ]
[ภายในสามวินาทีการโจมตีครั้งต่อไปของคุณมีโอกาส 20% ที่จะมีปัจจัยโจมตี x300% และสร้างความเสียหายจากสายฟ้า x300%]
“มัน… มันทรงพลังขนาดนั้นเลยเหรอ” วิลเลียมครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งหลังจากตรวจสอบพลังที่เขาเพิ่งได้รับมาซึ่งเปิดใช้งานอยู่
มันเห็นได้ชัดมาก
สายฟ้าพิโรธเป็นพลังที่น่าประทับใจ ดูเหมือนว่ามันถูกปรับแต่งเป็นพิเศษโดยเกมเพื่อวิลเลียม และยังมีพื้นฐานอยู่บนการโจมตีของเขา
พูดง่ายๆ คือเขาได้รับการโจมตีครั้งที่สองซึ่งมีความสามารถในการฆ่าทันที
แต่เขาต้องเสียสละค่าพลังชีวิต 50% เพื่อโอกาส 20% ที่เรียกได้ว่าต่ำ สำหรับวิลเลียมแล้ว มันไม่ใช่ข้อตกลงที่ดีมากเท่าไหร่นัก!
“มันไม่ค่อยมีประโยชน์เลย” วิลเลียมถอนหายใจ เขาชอบการโจมตีที่มีความเสียหายที่เขารู้ มันจะดีที่สุดถ้าสถิติทั้งหมดจะถูกเปิดเผยต่อหน้าเขา
ตัวอย่างเช่น
เขารู้ว่าการโจมตีที่ศีรษะจะมีโอกาสเพิ่มความเสียหายคริติคอลเป็นสองเท่า!
ตัวอย่างเช่น การตีเข้าที่ตรงกลางกระโหลกจะสร้างความเสียหายร้ายแรง ค่าความเสียหายอาจจะไม่เป็นที่รู้อย่างแน่ชัด แต่เป็นที่รู้กันดีว่าความเสียหายจะยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน
วิลเลียมไม่ชอบพลังที่เขาได้รับ เขาไม่รู้สึกว่ามันมีค่าพอที่จะต้องเสียสละพลังชีวิตครึ่งหนึ่งเพื่อแลกกับโอกาสเล็กน้อยที่จะโจมตีสำเร็จ
“แน่นอนว่ามันอาจมีประโยชน์เมื่อฉันไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับมอนสเตอร์ระดับสูงได้ ฉันจะเพิ่มมันไว้บนของสายฟ้าพิโรธ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะสาหัสถึงแก่ชีวิต” วิลเลียมลูบคางของเขา พลังนี้ไม่สามารถใช้ได้ในสถานการณ์ปกติ
เฉพาะตอนที่เขาพบกับบอสที่เขาไม่สามารถสร้างความเสียหายใดๆได้ มันจึงจะคุ้มค่าที่จะเสี่ยงเช่นนี้
“โอ้! ตอนนี้ฉันรู้สึกอยากฆ่ายูนิคอร์นตัวนั้น…” วิลเลียมกำลังครุ่นคิดว่าเขาสามารถฆ่ายูนิคอร์นของเจ้าหญิงน้อยได้หรือไม่
ทันใดนั้น สายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับผู้ชายกลุ่มใหญ่ที่เดินออกมาจากป่า
ไม่ต้องสงสัยเลย
พวกเขาอยู่ในกองทัพรุ่งอรุณ
วิลเลียมเห็นว่าจำนวนของพวกเขาไม่ได้ลดน้อยลง แต่จำนวนสมาชิกของพวกเขากลับมีมากขึ้นเนื่องจากพวกเขาจับตัวนักโทษเปลือยกายเป็นจำนวนมากเอาไว้
“ขึ้นเรือ นำพวกเขามาด้วย และเมื่อเราไปถึงเมืองก็โยนพวกเขาไปที่เหมือง เราจะมีงานเลี้ยงฉลองสำหรับการสังหารมังกรในคืนนี้!” เมื่อวิลเลียมพูดจบกองทัพรุ่งอรุณทั้งหมดก็เริ่มส่งเสียงเชียร์ นี่ไม่ใช่แค่ชัยชนะธรรมดา แต่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ท่านลอร์ดของพวกเขากลายเป็นผู้สังหารมังกรคนหนึ่งเชียว
ไม่ต้องสงสัยเลย
งานเลี้ยงนี้จะถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่!
คริสตัลดันเจี้ยนปรากฏขึ้นอีกครั้งในมือของวิลเลียม มันเป็นอันที่สร้างขึ้นจากถ้ำมังกร!
มันแสนจะวิบวับระยิบระยับไปทั่ว…
เหรียญทอง, อัญมณีและหินล้ำค่าที่ส่องประกายทั้งหมดร่วงหล่นจากวงแหวนมิติไปยังห้องเก็บสมบัติของเมืองรุ่งอรุณ
ก่อนหน้านี้ห้องเก็บสมบัติของเมืองแห่งรุ่งอรุณยังคงว่างเปล่า แม้ว่าวิลเลียมจะปล้นเหรียญทองจำนวนมากจากอาณาจักรเหล็ก แต่ก็หมดไปกับการขยายกองทัพและการสร้างเรือรบ ห้องเก็บสมบัติแทบไม่มีเงินทุนเหลืออยู่
แต่หลังจากการสังหารมังกร การช่วงชิงทรัพย์สมบัติก็ได้ทำให้ห้องเก็บสมบัติของเมืองเต็มอีกครั้ง
ลอทเนอร์และโอดอมอ้าปากค้าง เมื่อเห็นภูเขาเหรียญทองขนาดย่อมๆที่วิลเลียมเทลงมา
โอดอมเลียริมฝีปาก ก่อนจะพูดด้วยความงุนงงว่า “อย่างน้อยก็ต้องมีประมาณ 130,000 เหรียญทอง และนั่นยังไม่รวมอัญมณีและโลหะหายากอีก”
ลอทเนอร์พยักหน้าและตอบกลับ “ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเหรียญทอง 180,000 เหรียญในห้องเก็บสมบัติก็เพียงพอที่จะสนับสนุนการพัฒนาของเราได้ในระยะหนึ่ง”
“ถูกต้อง ตอนนี้เราควรมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงความสัมพันธ์ของเรากับเผ่าพันธ์มีปีกที่อยู่ใกล้ ๆ พวกครึ่งเอลฟ์และชาวเมืองบลูมูน เราควรทำธุรกิจกับกลุ่มวาณิชย์ให้มากขึ้นและขยายการค้า” วิลเลียมออกคำสั่ง โอดอมและลอทเนอร์ต่างพยักหน้าแล้วเดินออกจากห้องเก็บสมบัติ
ช่วงเย็นวันที่วิลเลียมนำทัพกลับไปที่เมือง
ขณะที่ผู้ติดตามของเขาสรรเสริญเกี่ยวกับการสังหารมังกรให้ผู้คนนับหมื่นคนได้ฟังและรู้สึกยินดี ตามที่วิลเลียมประกาศว่าจะมีการจัดงานเลี้ยงเกิดขึ้น และนอกจากงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการแล้ว ชาวบ้านยังเอาอาหารและไวน์รสเลิศออกมาเฉลิมฉลองตามท้องถนน
งานเลี้ยงและงานเฉลิมฉลองดำเนินไปจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น
เมื่อวิลเลียมมาถึงห้องเก็บสมบัติ ไม่ว่าจะเป็นผู้อยู่อาศัยจากเขตใหม่หรือเก่า ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เอลฟ์ ครึ่งเอลฟ์หรือคนแคระทุกคนต่างก็มองวิลเลียมในมุมที่ต่างออกไป
ก่อนหน้านี้พวกเขากลัวหรือสงสัยเกี่ยวกับวิลเลียม
แต่ตอนนี้เมื่อพวกเขามองดูท่านลอร์ดของพวกเขา สายตาต่างก็เต็มไปด้วยความเคารพและยำเกรง ผู้ที่เฝ้าดูอย่างกระตือรือร้นบางคนถึงกับกลายเป็นแฟนของวิลเลียมซึ่งเป็นสาวกที่ซื่อสัตย์ของเขา
ตัวอย่างคืออเล็กซ์ …
สามัญชนเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่มีความรู้หรือได้รับการสั่งสอน เป้าหมายหลักในชีวิตของพวกเขาคือการอยู่รอดและสืบเชื้อสายต่อไป
วิลเลียมล้างสมองสามัญชนเหล่านี้ทุกสามถึงห้าวัน
ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ยินเกี่ยวกับความสำเร็จในการสังหารมังกรของเขา
วิลเลียมก็ชนะหัวใจของพวกเขาไปเต็ม ๆ !
วิลเลียมเหลือบมองหน้าต่างสถานะ
[นับถอยหลังสู่เบต้าเวอร์ชัน 1.0 เปิดในเวลา : 12 วัน 13 ชั่วโมง 22 นาที]
“การเปิดเบต้าใกล้เข้ามาแล้ว อุปกรณ์ของผู้เล่นอาจจะมีปัญหาได้” วิลเลียมเลิกคิ้ว ก่อนจะเรียกโอดอมเข้ามา
“ท่านลอร์ด มีอะไรให้ข้ารับใช้หรือ?” โอดอม อดีตเจ้าชายคนแคระแห่งหุบเขาเดียวดาย ที่ตอนนี้กลายเป็นพ่อบ้านของเมืองแห่งรุ่งอรุณไปเสียแล้ว เขารับผิดชอบงานด้านโลจิสติกส์ต่างๆ
อาจกล่าวได้ว่า
งานของโอดอมอยู่ภายใต้สถานะของเขาในฐานะเจ้าชายคนแคระ…
แต่เมืองนี้ขาดแคลนกำลังพล วิลเลียมพยักหน้าให้โอโดมและกล่าวว่า “แจ้งให้ช่างตีเหล็กทุกคน ทำชุดเกราะและอาวุธปกติ 30,000 ชุดและชุดเกราะและอาวุธชั้นเยี่ยม 20,000 ชุด”
โอโดมรู้สึกประหลาดใจ “นี่เป็นโอกาสในการทำธุรกิจที่ยิ่งใหญ่งั้นหรือ”
“โอ้ใช่! ท่านรู้อะไรเกี่ยวกับผู้ถูกเลือกที่หายตัวไปหรือไม่”
“ข้าหาพวกเขาไม่เจอ พวกเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย ถ้าข้าไม่ได้ออกแบบและสร้างเมืองด้วยตัวเองคงคิดว่ามีถ้ำลึกลับที่ข้าไม่รู้ซ่อนอยู่เป็นแน่” โอดอมนึกไม่ออกว่าทำไมวิลเลียมถึงเรียกพวกเขาว่าผู้ถูกเลือก
วิลเลียมทำท่ามือเพื่อกวักมือเรียกโอโดมให้เข้ามาใกล้
จากนั้นเขาก็โน้มตัวเข้าไปใกล้หูของโอดอมและกระซิบบางอย่างอย่างลึกลับ …
การแสดงออกทางสีหน้าของโอดอมเปลี่ยนไปจากไม่เชื่อ เป็นตกใจ เป็นเหลือเชื่อ …
เขาใช้เวลาพอสมควรในการตั้งสติของตัวเอง
แล้วโอโดมก็กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากและพูดเสียงต่ำว่า “จริงหรือท่านลอร์ด?”
“เราฝันเมื่อครึ่งปีก่อนและในนั้นเราได้พบกับผู้ถูกเลือกที่ไม่มีวันตาย”
“เชื่อหรือไม่ว่าหลังจากผ่านไปหลายสิบวันผู้ถูกเลือกก็ลงมาหาเรา ถ้ามันเกิดขึ้นจริงเราก็พูดถูก”
“เราเชื่อว่าสวรรค์จะส่งไปยังความคิดของทุกคน!”
“ผู้ถูกเลือกเหล่านี้คือใคร? พวกเขามาจากไหน?” โอดอมงงงวย
แม้ว่าผู้ถูกเลือกจะประกอบไปด้วยเผ่าพันธุ์ต่างๆ แต่พวกเขาก็แตกต่างจากโอดอมมาก …
วิลเลียมยิ้มอย่างมีเลศนัยและตบไหล่โอดอมเบาๆ “เราไม่รู้คำตอบของคำถามนี้อย่างแน่ชัด แต่ท่านต้องจำไว้ว่าคำถามนี้นั้นไม่สำคัญในระยะสั้น ท่านสามารถพึ่งพาโชคชะตาของตัวท่านเอง ผู้ถูกเลือกจะไม่มีวันตายและเราต้องใช้ประโยชน์จากข้อเท็จจริงนี้ให้เกิดประโยชน์”
“ข้าเข้าใจแล้วท่านลอร์ด” โอดอมออกจากห้องประชุมอย่างเคร่งขรึม ในขณะที่เขาก้าวไปยังโรงฝึกช่างตีเหล็ก สีหน้าของเขาปรากฏร่องรอยคำถาม
ความรู้สึกที่หลากหลายถูกฝังอยู่ในหัวใจของเขา ถ้าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงท่านลอร์ดคงไม่ใช่…ผู้ส่งสารจากสวรรค์ใช่หรือไม่?
เขารู้ความลับมากมายขนาดนี้ได้ยังไง?
ผ่านไปครู่หนึ่ง
โอโดมปิดปากอย่างรวดเร็ว เขาต้องมีความรอบคอบ ความเพ้อฝันเกี่ยวกับวิลเลียมทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับวิลเลียมเพิ่มขึ้นเป็น 980+ เหลือเพียง 20 แต้มก็จะถึงค่าสูงสุดแล้ว…
“โฮกกก โฮกกก~” หมีป่าตัวใหญ่ร้องคำรามในป่าทึบ หมู่ภมรบินว่อนไปในอากาศในขณะที่สัตว์ป่าวิ่งหาที่กำบัง
วิลเลียมขี่หมีมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ ชาวเมืองสองสามคนที่ลากเกวียนเห็นวิลเลียมเข้าพอดี จึงหลีกทางให้ทันที พวกเขามองดรากอนสเลเยอร์ด้วยความเคารพ ขณะที่วิลเลียมเร่งความเร็วจากไป
เด็กหนุ่มอายุสิบหกปีมองไปที่ลอร์ดผู้เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ก่อนจะส่ายหัวเบาๆ “ข้ารู้สึกเหมือนได้จูบรองเท้าของท่านลอร์ด…”
ชายวัยกลางคนละสายจากวิลเลียม ก่อนจะเตะก้นของเด็กหนุ่มนั่น เขาเย้ยหยัน “หึหึ เจ้าคิดว่าตัวเองคู่ควรกับการจูบรองเท้าของดรากอนสเลเยอร์งั้นหรือ? ไปตกปลาแล้วเอาตาข่ายไปตากที่บ้านด้วยล่ะ”
เด็กหนุ่มหัวเราะขณะที่เขายืนขึ้น “ท่านพ่อ ข้าก็อายุเกือบจะสิบหกแล้ว ข้าอยากเป็นผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับใช้ท่านลอร์ด แล้วข้ายังสามารถตกปลาในทะเลได้อีกด้วย ข้าไม่อยากอยู่ที่ทะเลสาบสายรุ้งเพื่อจับกุ้งและคางคกไปวันๆหรอกนะ…”
พ่อวัยกลางคนขมวดคิ้วและมองไปที่ลูกชายของเขาที่จ้องมองกลับมาที่เขาอย่างแน่วแน่ ผู้เป็นพ่อถอนหายใจ “มาดูกันว่าเจ้ามีความสามารถแค่ไหน เราได้รับเงินจำนวนมากจากความช่วยเหลือของท่านลอร์ด หากเจ้ามีความสามารถข้าก็จะช่วยสนับสนุนคู่มือลับในการฝึกฝนเป็นระดับสูงอย่างแน่นอน”
“ขอบคุณท่านพ่อ ข้าจะต้องกลายเป็นนักรบที่แท้จริงให้ได้”
นี่เป็นความใฝ่ฝันของเยาวชนหลายคนในเมืองแห่งรุ่งอรุณ พวกเขาต้องการเป็นผู้เชี่ยวชาญ แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถถูกเกณฑ์เข้าสู่กองทัพได้ แต่พวกเขาก็มีโอกาสสูงที่จะเป็นทหารรับจ้าง
แม้ว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นเยาวชนก็ยังตกปลาในทะเลได้ ชาวประมงต้องการความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ วิลเลียมสนับสนุนผลประโยชน์ในทะเลมาโดยตลอดหลายคนจึงถูกล่อลวง
หมีป่ายักษ์อายุหนึ่งปีเป็นอสูรเวทย์เลเวล 31 เมื่อหมีลุกขึ้นยืนมันมีความสูงเกือบ 2.5 เมตร มันมีความเร็วในการวิ่งที่ยอดเยี่ยมและมีการโจมตีที่รุนแรง อย่างไรก็ตามมันมีข้อบกพร่องอย่างหนึ่ง มันขี้เกียจไปนิดหน่อย…
โชคดีที่หมีทั้งสามตัวไม่ยอมอ่อนน้อมต่อผู้อื่น แต่พวกมันจะทำตามคำสั่งของวิลเลียมเสมอ
มันไม่ได้เกิดจากความใกล้ชิดของสัตว์เลี้ยงกับวิลเลียม
แต่เป็นเพราะตอนนี้วิลเลียมมีตำแหน่งเป็นดรากอนสเลเยอร์ หมีทั้งสามไม่กล้าที่จะไปต่อต้านเขา
วิลเลียมขี่หมีอยู่พักหนึ่ง
ใช้เวลาสองชั่วโมงวิลเลียมก็มาถึงใต้สุดของทวีป เขาสังเกตเห็นมหาสมุทรที่ไร้ขอบเขตและแสนจะมหัศจรรย์
มองไปที่ภาพที่สวยงาม
ก่อนวิลเลียมจะมุ่งหน้าไปยังอู่ต่อเรือขนาดใหญ่
ถ้าไม่เคยเห็นโรงงานสำหรับสร้างเรือและท่าเรือในเมืองแห่งรุ่งอรุณแล้วล่ะก็ คนๆ นั้นคงไม่มีทางเชื่อคำบอกเล่าของมัน
ไม่มีใครจินตนาการได้ถึงสุดยอดโรงงานสร้างเรือที่สูงและกว้างขนาดเท่าสนามฟุตบอลสิบสนามรวมกัน พวกเขาอาจไม่เข้าใจว่าทำไมเมืองรุ่งอรุณถึงได้สร้างโรงงานสร้างเรือขนาดใหญ่ไว้
โรงงานแห่งนี้มีทหาร 2,000 คนเฝ้าไว้ ทหารเหล่านี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพและหน้าที่ของพวกเขาคือการคุ้มกันโรงงาน แน่นอนว่า หน้าที่ของพวกเขายังรวมถึงการดูแลท่าเรือซึ่งอยู่ห่างจากโรงงานออกไปสามกิโลเมตร ถ้ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น นักรบโถวเหยินและเหล่าทหารที่ทะเลสาบสายรุ้งจะสามารถเข้ามาเสริมได้ในทันที
ไม่มีหาดทรายสีทองที่ทางใต้ มีเพียงแนวปะการังที่แข็งราวกับหินซึ่งตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล
แต่ด้วยสภาพภูมิศาสตร์ที่ตั้งของมัน ลมทะเลส่วนใหญ่จึงค่อนข้างสงบ และยากที่จะเกิดพายุ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพวกเขาอยู่ในเขตร้อนชื้นตามแนวชายฝั่งจึงทำให้มีฝนตกอยู่เรื่อยๆ
เมื่อวิลเลียมผ่านประตูเมืองเข้าไปในเมือง ท้องฟ้าก็มืดลง
เขารู้ว่าฝนกำลังจะตก เขาจึงตบบั้นท้ายของหมีใหญ่และให้มันตามองครักษ์ไปหลบฝน จากนั้นเขาก็เดินไปที่ห้องสร้างเรือที่ใหญ่ที่สุดในโรงงาน
ในขณะที่เขาเข้าไปในห้อง เขาก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองสุดยอดเรือรบที่เป็นของเขา นั่นก็คือเรือรุ่งอรุณ
ใช่แล้วล่ะ
เขาสังเกตเรือรบขนาดใหญ่ มันมีสามชั้นและเสากระโดงเรือสามอัน มันถูกทาด้วยสีดำทั้งหมดและมันก็เปล่งประกายราวกับเงิน นี่คือสุดยอดเรือรบของเขา
มันมีความยาวถึง 121 เมตร กว้าง 32 เมตร สำหรับการเดินทางระยะสั้น มันสามารถรองรับกองทัพทั้งหมดได้ และส่วนสำหรับการเดินทางระยะยาว มันสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 1,200 คน
ดาดฟ้าและส่วนลำตัวของเรือส่วนใหญ่ประกอบด้วยฮอร์นบีมดำคุณภาพระดับทองที่ผสมกับมิทริล แม้ว่าเรือเกือบทั้งลำจะถูกทาเป็นสีดำ แต่มันก็ยังคงส่องแสงสีเงินเป็นประกาย
เรือขับเคลื่อนด้วยพลังลม นอกเหนือจากเสากระโดงเรือที่ยังไม่ได้ติดตั้งแล้ว เรือยังสามารถพึ่งพาคริสตัลเวทย์มนตร์ 99 ชิ้นเพื่อเสริมพลังได้อีกด้วย มันสามารถเร่งความเร็วได้ระหว่าง 180 ถึง 260 นอตต่อชั่วโมง
นอกจากนั้นยังมีรูปืนใหญ่ 108 รูที่ด้านข้างของเรือ
ท้ายที่สุดแล้ว โลกนี้มีดินปืนและสไนเปอร์…
โดยเฉพาะปืนใหญ่เวทย์ที่เป็นอาวุธระดับสูงมาก นอกจากอาณาจักรมนุษย์ที่ทรงพลังและอาณาจักรเอลฟ์อีกสองสามอาณาจักรแล้ว ก็ไม่มีใครครอบครองปืนใหญ่เช่นนี้อีก
พวกโนมส์และคนแคระได้พัฒนาปืนใหญ่เช่นกัน แต่ปืนใหญ่เหล่านี้ถูกใช้เพื่อเสริมกำลังโจมตีของอาณาจักรและราชอาณาจักร พวกเขานั้นถือเป็นอาวุธเชิงกลยุทธ์ในช่วงกลางของเกม
นอกจากนี้แร่ไนเตอร์ยังจัดเป็นทรัพยากรของชาติ มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถซื้อขายหมุนเวียนได้ตามท้องตลาด
“โชคดีที่เป็นเวอร์ชัน 1.0 และหมู่บ้านเหล่านี้เป็นเพียงระดับเริ่มต้นเท่านั้น หากอาณาจักรเหล็กและอาณาจักรลาวาดำมีปืนใหญ่เมืองแห่งรุ่งอรุณก็จะไม่มีโอกาสพัฒนา” วิลเลียมถอนหายใจ
ไม่ใช่ว่าเมืองแห่งรุ่งอรุณไม่สามารถป้องกันปืนใหญ่ได้
แต่ปัญหาคือการป้องกันเช่นนี้จำเป็นต้องมีกำแพงเมืองที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นและวิลเลียมไม่มีนักเวทย์เพียงพอที่จะร่ายมนต์ให้กับกำแพงเมืองดังกล่าว
เขาสามารถทำการซื้อขายลับกับโมเสสได้หรือไม่?
เป็นไปไม่ได้! โมเสสจะไม่ทำอะไรสักอย่างแน่นอน และวิลเลียมก็ไม่ต้องการขายตัวเขาเช่นกัน…
โชคดีที่เมืองแห่งรุ่งอรุณตั้งอยู่ทางตอนใต้ซึ่งเป็นแหล่งที่มีแร่มากที่สุดในทวีปรีเจนดารี แน่นอนว่าไนเตอร์ก็รวมอยู่ในอุปกรณ์เหล่านี้ อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายที่ในบรรดา โนมส์ที่โอดอมได้นำมาไม่มีใครสืบทอดทักษะการทำดินปืนหรือปืนใหญ่เลย แม้ว่าพวกเขาจะมีภูมิปัญญาในอดีต แต่ทักษะเหล่านี้ก็สูญหายไปแล้ว
ดังนั้นหลุมปืนใหญ่ 108 รูจึงสามารถใช้เป็นรูสำหรับยิงธนูได้เท่านั้น
แต่พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น วิลเลียมยังไม่พบมือปืน มันเป็นอาชีพที่ลับ ที่สุดแล้วสไนเปอร์ก็เป็นอะไรที่ดุร้ายแต่หายาก
ขณะที่เขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้
เอลฟ์วัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีเทาวิเศษก็ก้าวเข้ามาในห้อง วิลเลียมเลิกคิ้วและยิ้ม “แอนดรูว์ เรือรุ่งอรุณใกล้เสร็จแล้วหรือยัง”
“โอ้ ท่านลอร์ด” แอนดรูว์เป็นช่างสร้างเรือหลวงและเอลฟ์มูนไลท์ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สามารถสร้างเรือรบระดับอีปิคได้
การสร้างเรือรบไม่ใช่เรื่องง่าย ไอเท็มเชิงกลยุทธ์เช่นเรือรบเหล่านี้แตกต่างจากอุปกรณ์ทั่วไป พวกมันไม่มีระดับ แม้แต่ในอาณาจักรมนุษย์ มันก็ถือเป็นของล้ำค่า
หากไม่เป็นอย่างนั้น วิลเลียมก็คงไม่ได้ใช้จ่ายไปกับเรือรบมากมาย ทรัพยากรทั้งหมดที่เขาใช้ไปนั้นมีมูลค่าหลายแสนเหรียญทอง ถ้าเขาไม่ได้ใช้มันไปกับเรือรบ เขาก็คงจะสามารถซื้ออุปกรณ์รีเจนดารีระดับกลางได้ครึ่งหนึ่งชุดเลยทีเดียว…
อาจกล่าวได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายแม้แต่กับอาณาจักรมนุษย์ที่จะสร้างเรือรบแบบนี้
ปัญหาใหญ่คือการหาคนต่อเรือ การรวบรวมวัสดุยังทำให้เกิดปัญหา ที่สำคัญกว่านั้นคืออาณาจักรมนุษย์ในทวีปรีเจนดารีมักไม่ลงทุนกับเรือ
แอนดรูว์เป็นนักเวทย์ธาตุไม้เลเวล 56 แต่อาชีพเสริมของเขามีความสำคัญกว่าอาชีพหลักของเขามาก นอกจากนี้เขายังฝึกฝนอาชีพหลักเพื่อสนับสนุนอาชีพเสริมของเขาอีกด้วย หากเขาไม่ทำเช่นนั้นแอนดรูว์ซึ่งมีอายุถึง 100 ปีก็คงจะไม่อยู่ในเลเวลที่ต่ำเช่นนี้
“มาสเตอร์ มันไม่ง่ายอย่างที่ท่านพูดเลย” แอนดรูถอนหายใจ “ท่านขอให้เราสร้างตัวเรือด้วยกำลังทั้งหมดของเรา เรามั่นใจว่าจะใช้วัสดุที่ดีที่สุดที่เรามี”
“ดังนั้นเราจึงเลือกต้นไม้เหล็กสีดำจากป่าแบล็คลีฟซึ่งเหมาะสมที่สุด…”
“หลังจากที่เราซื้อต้นไม้เหล็กดำอันล้ำค่าแล้ว เราต้องร่ายมนต์ให้มันแปรรูป ทำให้แห้ง และใส่มิทริลเข้าไป จากนั้นเราต้องร่ายมนต์อีกครั้งและจัดให้…”
“แต่โครงของเรือลำนี้แข็งแรงมาก ข้าไม่สามารถควบคุมมันได้อีกต่อไป กระดูกมังกรธรรมดาคงไม่สามารถทนได้”
“กระดูกมังกร?” วิลเลียมหัวเราะอย่างมีเลศนัย ดูเหมือนว่าแอนดรูว์และคนอื่นๆ จะไม่รู้เรื่องการสังหารมังกร
เมื่อคิดได้ถึงเรื่องนี้ เขาจึงขอให้พนักงานในโรงงานต่อเรือขยับออกไปข้างนอกและจัดที่ว่าง แอนดรูว์และพนักงานทำตามที่ได้รับคำสั่ง
จากนั้น ด้วยการโบกมือของวิลเลียม
ศพของมังกรไฟความยาวหลายสิบเมตรก็โผล่ขึ้นมาจากอากาศ!
“มังกร!!!”
“พระเจ้า มังกรยักษ์ นั่นคือมังกรยักษ์งั้นหรือ?”
“มังกรตัวนี้มาจากไหน? มันตายแล้วเหรอ?”
แอนดรูว์ไม่สนใจเสียงตะโกนจากคนอื่น ๆ เขาเดินเข้าไปอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองกับศพของมังกรไฟ เขาสัมผัสเกล็ดที่หักของมังกร, เปลือกตาของมัน, หรือแม้แต่ปากและฟันของมัน…
ต่อจากนั้น
แอนดรูกลืนน้ำลาย หูที่แหลมคมของเขาอ่อนลงและเขาก็ตกอยู่ในความตะลึง “มาสเตอร์ ท่านเป็นผู้สังหารมังกรหรือเปล่า”
“ใช่ เราเผลอฆ่ามังกรไฟที่ภูเขาหิมะแห่งทะเลตะวันออกไป” วิลเลียมยักไหล่เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่
ในขณะที่เขาพูดจบ
ทั้งโรงงานก็เกือบจะกลายเป็นฉากวุ่นวาย
นักต่อเรือทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะคุกเข่าลง พวกเขามองไปที่ลอร์ดของพวกเขาอย่างชื่นชมผู้ซึ่งตอนนี้เป็นถึงดราก้อนสเลเยอร์!
ทันใดนั้นแอนดรูว์ก็เข้าใจ เขากำลังจะคุกเข่าลงบนพื้นแต่วิลเลียมดึงเขาขึ้นมาเสียก่อน “เรือยาว 121 เมตร มังกรไฟตัวนี้จะเล็กเกินไปสำหรับมัน เจ้าจะสามารถหลอมรวมกระดูกมังกรเข้าด้วยกันและเพิ่มวัสดุหายากเพื่อให้เหมาะกับเรือรบได้หรือไม่?”
“ได้แน่นอน แต่เราต้องการมิทริลมากกว่านี้” ดวงตาของแอนดรูว์เป็นสีแดง เขาต้องการที่จะกลืนมังกรไฟเข้าไปในอึกเดียว
ดวงตาของเขามัวราวกับว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ยังพูดต่อ “มาสเตอร์ ถ้าท่านไม่ต้องการปีกเหล่านี้ ข้าสามารถทำให้มันเป็นเสากระโดงเรือได้ ท่านต้องการเกล็ด, เลือด, ผลึกมังกร…”
“อะแฮ่ม นอกเหนือจากกระดูกมังกรแล้วเราต้องการทุกอย่าง…” วิลเลียมหยุดเขาจากการฝันกลางวันอย่างรวดเร็ว
แอนดรูว์เข้าใจ เขายอมให้วิลเลียมเก็บเลือดและผลึกมังกรเอาไว้อย่างแน่นอน เขาเผลอละโมบเกินไป
วิลเลียมเคารพจิตวิญญาณของแอนดรูว์ในด้านการค้นคว้า เรือรุ่งอรุณมีความสำคัญมาก แต่ส่วนอื่นๆ ของมังกรก็สำคัญไม่แพ้กันสำหรับเขา เขาจึงทำได้เพียงยักไหล่ “เราให้ได้แค่กระดูกมังกร สิ่งที่เจ้าต้องทำคือนำกระดูกมังกรออกให้หมด”
“แต่ปีกมังกรมันหนามาก ท่านจะสร้างเสากระโดงจากพวกมันได้อย่างไร”
“พวกมันหนามาก นอกจากนี้ยังมีเกล็ดที่หนาเป็นชั้นๆ มันต้องหนักมากอย่างแน่นอน แต่มาสเตอร์ ท่านได้คิดถึงเรื่องนี้หรือไม่? พวกมันคือปีกของมังกรยักษ์ มันเป็นวัสดุเวทย์”
“เมื่อมังกรยักษ์กระพือปีกมันไม่ได้อาศัยพลังจากปีกเพียงอย่างเดียว”
“ปีกอาศัยลมเพื่อให้มังกรยักษ์บินขึ้นไปในอากาศได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเมื่อปีกมังกรสัมผัสกับลมพวกมันจะเบามาก”
“ดังนั้นถ้าเราตัดและยืดปีกมังกร และเสริมอาคมสักหน่อย เราก็สามารถเปลี่ยนมันให้เป็นเสากระโดงคุณภาพสูงได้ มันจะมีพลังป้องกันสูงอีกด้วย นี่จะเป็นสิ่งที่เสากระโดงอื่นเทียบไม่ได้” แอนดรูว์มองไปที่ศพของมังกรยักษ์และอดไม่ได้ที่จะสัมผัสศพมังกร พฤติกรรมของเขาเหมือนกับเด็กตอนที่ได้ของเล่นใหม่ เขาไม่สามารถปล่อยมันลงได้เลย
วิลเลียมหัวเราะทันที “แล้วเจ้าจะรออะไรอีก? กระดูกและปีกของมังกรเป็นของเจ้า แค่อย่าแตะต้องส่วนที่เหลือและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเรา”
“จริงๆหรือ?”
“แอนดรูว์ เราเชื่อใจเจ้า” วิลเลียมตบไหล่ของเขาอย่างจริงจัง
สักพัก
ดวงตาของแอนดรูว์ก็เปล่งประกาย มันดูราวกับว่าเขาได้เห็นชีวิตใหม่ของเขา ดูเหมือนว่าเขาจะพบภารกิจของเขาแล้ว
ดังนั้น เขาจึงโยนเสื้อคลุมวิเศษทิ้งและกำกริชของเขา เขาคำราม “เริ่มทำงานกันเถอะ ทุกคน กลับไปทำงาน ข้าจะแล่มังกรไฟเอง และจำเอาไว้ว่าใครก็ตามที่กล้าขโมยเนื้อมังกรไฟ ข้าจะทำให้มันจมลงในมหาสมุทรด้วยตัวข้าเอง!”
เรือรุ่งอรุณสร้างจากกระดูกมังกรจริงๆ แม้ว่ามังกรไฟจะยังเยาว์และมีข้อบกพร่องอยู่บ้างก็ตาม…
มังกรไฟผู้น่าสงสารได้ถูกนำตัวเป็นเครื่องสังเวยได้สำเร็จ นั่นหมายความว่าศักยภาพของเรืองรุ่งอรุณนั้นหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเรือรบชั้นนำในบรรดาเรือรบระดับอีปิค
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะถือได้ว่าเป็นระดับอีปิคในแง่มุมอื่น ๆ แต่ศักยภาพในการโจมตีของมันก็ยังไม่ถึงมาตรฐาน
เว้นซะแต่ว่าพวกเขาจะติดตั้งปืนใหญ่เวทย์ แม้แต่ปืนใหญ่ธรรมดาก็สามารถปรับปรุงได้ …
สำหรับเรือรุ่งอรุณจะมีโอกาสที่จะกลายเป็นเรือรบในตำนานหรือไม่วิลเลียมก็รอคอยที่จะเห็นผลลัพธ์ของมันเช่นกัน
แต่แอนดรูว์ได้แต่พูดอย่างเดียวว่ามันเป็นไปไม่ได้ ข้อกำหนดของเรือรบระดับรีเจนดารีนั้นสูงเกินไปและเมืองรุ่งอรุณในปัจจุบันนั้นยังไม่สามารถรองรับได้
โชคดีที่วิลเลียมดื้อรั้นที่จะมีเรือรบระดับรีเจนดารี การมีเรือรบระดับอีปิคก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา
“ตราบใดที่เราสามารถก้าวไปสู่เกาะเล็ก ๆ ทางใต้ได้ก็เพียงพอแล้ว” วิลเลียมหลบฝนและหรี่ตา เขามองไปที่มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ทางตอนใต้ มีลมทะเลและคลื่นซัดสาด
ทะเลปกคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในทวีป Gods พื้นที่ของแผ่นดินทั้งหมดรวมกันไม่ถึง 10% ของพื้นที่ที่ถูกครอบครองโดยน้ำ
มีเกาะเล็กเกาะน้อยนับร้อยนับพันเกาะ
สัตว์ทะเล
อสูรเวทย์ทะเล
พระราชวังใต้น้ำ
มีนางเงือก ไซเรน มังกรทะเล และนางเงือกที่วิวัฒนาการแล้วอยู่ในทะเล พูดง่ายๆคือทะเลกว้างใหญ่และไม่มีที่สิ้นสุด นอกจากนี้ยังมีทรัพยากรมากมาย นี่คือเหตุผลที่กระตุ้นให้วิลเลียมมีความปรารถนาที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมการเดินเรือ
“ลูกผู้ชายที่แท้จริงควรสำรวจทะเล” วิลเลียมนั่งไขว่ห้างและฝึกฝนพลังต่อสู้ของเขา เขาอดทนรอขณะที่มังกรยักษ์ถูกถลกหนังและกล้ามเนื้อของมันก็ถูกกำจัดออกไป หลังจากนั้นเขาต้องนำส่วนที่เหลือกลับไปด้วย
เขาต้องคืนวงแหวนมิติให้กับโมเสสเช่นกัน…
“ถ้าใครส่งคืนสิ่งที่ยืมมาตรงเวลา เราสามารถยืมได้อีกในครั้งต่อไป ที่สำคัญที่สุดคือถ้าผู้ให้กู้เป็นบอสหรือผู้ร่ายมนต์ฉันคงไม่กล้าเป็นคนหลบหนีหนี้…” วิลเลียมพึมพำอย่างเงียบ ๆ เขานั่งหลับตาต่อไป
มันค่อนข้างยากสำหรับคนๆ หนึ่งที่จะถลกหนังและเอากล้ามเนื้อออกจากมังกรไฟ 17 เมตร
แอนดรูว์ไม่ได้โง่ เขาใช้ม้วนกระดาษเวทย์ส่งสารในการค้นหานักล่าที่มีประสบการณ์สองสามคนเพื่อขอความช่วยเหลือ
แต่ถึงอย่างนั้นวิลเลียมก็นั่งเฉยๆอยู่ที่อู่ต่อเรือเป็นเวลาสองวัน
ในที่สุดกระดูกมังกรก็ถูกนำออกไปอย่างสมบูรณ์วิลเลียมนำส่วนที่เหลือซึ่งเป็นร่างที่เกือบสมบูรณ์ของมังกรกลับไปที่เมืองแห่งรุ่งอรุณ เขาใช้เวทมนตร์แช่แข็ง ก่อนจะเดินทางไปยังกระท่อมแห่งโชคชะตา
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เข้ามา ประตูไม่ได้ล็อก”
ตามปกติแล้ว โมเสสนั้นขี้เกียจเกินกว่าจะไปเปิดประตู วิลเลียมผลักประตูให้เปิดออก แต่ห้องกลับมืดสลัวจนต้องใช้เวลาปรับตัวสักพัก เขาเลิกคิ้ว โมเสสยังคงลูบคลำแมวของเขาและห้องของเขาก็ยังเหมือนเดิม
“ โอ้ นั่นไม่ใช่ท่านลอร์ดของเราหรือยังไง เชิญนั่งๆ ชิ ชิ ขอแสดงความยินดีที่ได้เป็นดรากอนสเลเยอร์ผู้กล้าหาญ นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ”
โมเสสกล่าวชื่นชมเขาอย่างร่าเริง จากนั้นเขาก็หันไปมองนิ้วของวิลเลียม
“แหวนมิติวงนี้ค่อนข้างดี…” วิลเลียมถอดแหวนออก เขาสัมผัสมัน ท่าทางของเขาดูไม่เต็มใจที่จะแยกทางกับแหวนวงนี้
ท้ายที่สุดแล้ว มันก็เป็นวงแหวนมิติที่มีพื้นที่ 10,000 ลูกบาศก์เมตร ในชีวิตก่อนหน้านี้ถือเป็นวงแหวนมิติชั้นยอด
“ท่านชอบมันไหม?” โมเสสถาม
“ชอบสิ” วิลเลียมมองไปที่การแสดงออกของเขา เขาพยักหน้าอย่างรวดเร็วเหมือนกระรอกตัวเล็ก ๆ
“ โอ้ แต่นี่เป็นของข้า…” โมเสสเหยียดแขนออกด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
วิลเลียมกลอกตา เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากวางแหวนไว้ในมือของโมเสส
อย่างไรก็ตาม ด้วยความตกใจเขารู้สึกราวกับว่าฝ่ามือของเขาถูกข่วน…
ตุ้บ
อึก
เจ้าชายที่แสนหล่อเหลาและมีเสน่ห์ที่สามารถพิชิตใจสาว ๆ ทุกคนในเมืองได้รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลก ๆ
แต่หลังจากที่โมเสสถอนมือออก เขาก็เกาฝ่ามือของตัวเองเหมือนกันราวกับว่าไม่ได้ตั้งใจ
โมเสสยังคงมีหน้าตาเฉยเมยเช่นนั้น เขากล่าวว่า “ถ้าท่านต้องการใช้มันอีก ข้าจะให้ท่านยืมอีกครั้งก็ได้ แต่คราวนี้จะท่านลอร์ดจะต่องจ่ายค่าเช่า”
“ท่านต้องการอะไร? เพียงแค่บอกเรามา!” วิลเลียมโบกมือ ตอนนี้เขาเต็มไปด้วยวิญญาณที่กล้าหาญ
“ผลึกมังกร”
วิลเลียมเบิกตากว้างทันที เขาอดที่จะชี้ไปยังโมเสสไม่ได้ “ผลึกมังกร! มากเกินไปแล้ว ถ้าท่านขอเกล็ดมังกรครึ่งหนึ่ง ข้าสามารถยกให้ท่านได้ แต่ท่านต้องการผลึกมังกร? ท่านล้อเราเล่นหรือเปล่า”
ผลึกมังกรไฟในตำนาน วิลเลียมจะทนให้มันไปได้อย่างไร?
โมเสสไม่สนใจคำร้องเรียนของวิลเลียมมากนัก เขายักไหล่ “ท่านต้องการผลึกมังกรไปเพื่ออะไร?
“เป็นอาหารให้หมีสามตัวนั่นน่ะเหรอ? ท่านไม่กลัวหรือว่าคุณสมบัติของมันจะไม่เหมาะสม? ท่านไม่กลัวหรือว่ามันอาจจะทำเจ้าตัวขนนั่นระเบิดได้”
“ท่านใช้มันเลี้ยงมังกรได้ แต่ท่านมีมังกรไหมล่ะ”
“ท่านจะใช้มันทำอุปกรณ์หรือ? ให้ใครล่ะ? โทรลสองตัวภายใต้การควบคุมของท่านน่ะเหรอ?
“หรือท่านวางแผนที่จะทำให้มันเป็นสมบัติประจำตระกูลของท่าน? หรือกินมันเข้าไปเอง?”
“ …” วิลเลียมพูดไม่ออกขณะที่โมเสสกระหน่ำถามคำถามเหล่านี้ เขาพูดถูก วิลเลียมไม่ได้ใช้คริสตัลมังกรในตอนนี้
แต่เขายังไม่ต้องการที่จะให้มันไปเนื่องจากมูลค่าของมัน จะมีผู้ซื้อมันในทวีป Gods แม้ว่ามันจะเป็นเพียงผลึกมังกรจากมังกรไฟระดับกลางก็ตาม
หากมันถูกป้อนให้กับสัตว์เวทธาตุไฟมันสามารถเพิ่มศักยภาพทางสายเลือดของพวกมันและทำให้พวกมันเลื่อนเลเวลได้ คุณสมบัติทั้งหมดก็จะเพิ่มระดับขึ้นเช่นกัน มีประโยชน์มากมาย
สามารถใช้สร้างอุปกรณ์และอาวุธวิเศษ
ในระยะสั้นมันมีประโยชน์มากมาย …
แต่ในปัจจุบันวิลเลียมไม่มีทางเอื้อมแตะศักยภาพของมันได้
เมื่อวิลเลียมคิดถึงเรื่องนี้เขาก็แน่วแน่ เขาไม่ลังเลอีกต่อไป เขาหยิบผลึกมังกรสีแดงเข้มออกมาจากวงแหวนมิติ อุณหภูมิห้องเริ่มสูงขึ้น เวทมนตร์รอบตัวก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกันเพราะผลึกมังกรในมือของเขา
ผลึกมังกรถูกปกคลุมด้วยชั้นของพลังต่อสู้ของเขาเช่นกัน นี่เป็นการป้องกันไม่ให้เขาถูกเผาโดยผลึกอันนี้
กระท่อมแห่งโชคลาภที่มืดสลัวกลายเป็นสีแดงจากผลึกมังกร แสงพร่างพราวดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย
ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก สมบัติอย่างผลึกมังกรนั้นน่าดึงดูดมาก
วิลเลียมหายใจเข้าลึก ๆ และโยนผลึกมังกรใส่โมเสสที่ดูตกใจอย่างเด็ดขาด …
หลังจากนั้น
โมเสสไม่เคยคาดคิดว่าวิลเลียมจะทำอะไรแบบนี้ …
นี่คือผลึกมังกร …
แม้ว่าเขาจะไม่เคยครอบครองผลึกมังกรมาก่อน มันเป็นสมบัติที่ทำให้พี่น้องหันมาต่อต้านกันและสร้างความไม่พอใจให้กับทวีปรีเจนดารี!
โมเสสยิ้มและเก็บมันไว้ในกล่องเล็ก ๆ จากนั้นเขาวางกล่องลงในวงแหวนมิติ “ขอบคุณมาก หากในอนาคตถ้าท่านต้องการใช้วงแหวนมิติก็บอกข้าได้นะ”
วิลเลียมถอนหายใจและนั่งลงบนเก้าอี้ เขาพูดว่า “ต่อไปก็ช่วยเหลือเราด้วยล่ะ!”
“ท่านอยากอาบเลือดมังกรไหม?” โมเสสถาม
“อยากสิ นอกจากนี้ยังต้องมีเยอะๆด้วย แล้วเราก็อยากได้รูปแบบเวทมนตร์ของท่านเช่นกัน” วิลเลียมหรี่ตาและพยักหน้า ไม่ว่าเขาจะประหลาดแค่ไหนโมเสสก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ไม่ใช่แค่ในเมืองรุ่งอรุณ แต่เป็นพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด
“ ของง่ายๆ… ข้ารับรองได้เลยว่าคนที่ท่านเลือกทั้งหมดจะกลายเป็นสาวกมังกรหรือแม้แต่ผู้ติดตามมังกร” โมเสสพยักหน้าด้วยความมั่นใจ
แต่เมื่อวิลเลียมเห็นว่าโมเสสโอ้อวด อย่างไรเขาก็ไม่วางใจ “เราจำได้ว่าสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับร่างกายและความมุ่งมั่นของคน ๆ หนึ่ง การสร้างเวทมนตร์ของนักเวทย์มีความสำคัญ แต่มันก็ไม่สำคัญใช่ไหม? นอกจากนี้ มังกรยักษ์เท่านั้นที่สามารถสร้างผู้ติดตามมังกรได้ใช่ไหมล่ะ?”
โมเสสมองเขาอย่างดูถูกเหยียดหยาม “นั่นจะเป็นกรณีที่ไม่มีผลึกมังกร ด้วยผลึกมังกรเป็นของที่ระลึก ท่านคิดว่าความเป็นไปได้ที่ผู้ติดตามมังกรจะตายนั้นสูงมากหรือไม่? นอกจากนี้ข้าเป็นใครกัน…”
“ได้ ส่งม้วนกระดาษเวทย์หนึ่งปีมาสิบม้วนและม้วนกระดาษเวทย์สิบวันมา 300 ม้วน” วิลเลียมหรี่ตาของเขาลง
โมเสสเลิกคิ้ว ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนว่าวิลเลียมไม่ได้มีเจตนาที่ดี อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงผลึกมังกรแล้ว เขาพยักหน้าและไล่วิลเลียมออกไป เขาอยากจะปิดโลก เขาอยากเลี้ยงแมวของเขา … เขาอยากฝึกฝน…
วิลเลียมเดินออกมา เขาปิดประตูระหว่างออกไป
เขาไม่ใช่ผู้ติดตามมังกรในชีวิตก่อนหน้านี้ เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากได้รับผลึกมังกรมาแล้ว
“เป็นไปได้ไหมว่าถ้าฉันไม่ได้มอบผลึกมังกรให้เขา แม้ว่าเขาจะตกลงที่จะช่วยฉัน เขาก็จะไม่บอกว่าอัตราความสำเร็จของการเป็นผู้ติดตามมังกรจะอยู่ที่ผลึกมังกรมากแค่ไหน” วิลเลียมกำหมัดแน่น เขาต้องรับมือกับโมเสสให้ดี
“สำหรับคัมภีร์เวทมนตร์นั้นเป็นการเลื่อนระดับของ God เพื่อตัดสินผู้ชนะและผู้แพ้ในอนาคต…”
ข่าวของวิลเลียมที่ว่าเขาสร้างนักรบเลือดมังกรเป็นจำนวนมากได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองแห่งรุ่งอรุณภายในเวลาเพียงหนึ่งวัน
มันเป็นข่าวที่น่ายินดี และมันได้สร้างกระแสขนาดใหญ่ภายในกองทหารมนุษย์และครึ่งเอลฟ์
แต่เอลฟ์ส่วนใหญ่ไม่ได้ตื่นเต้นกับข่าวนี้ พวกเขาไม่ได้ลงทะเบียนเพื่อเป็นนักรบเลือดมังกร
เอลฟ์กังวลที่สุดเกี่ยวกับเรื่องรูปลักษณ์ที่ดีมากกว่าการได้รับพลังเพิ่ม
มันธรรมดามาก
การเป็นคนแข็งแกร่งหรือไม่นั้นไม่ใช่ปัญหาของเกมเวอร์ชั่นนี้ แต่การเป็นคนหน้าตาดีหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญตลอดการมีชีวิต
เอลฟ์เชื่อว่าบุคลิกภายนอกเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
เกล็ดมังกรของสาวกมังกรและผู้ติดตามมังกรสามารถซ่อนไว้ใต้ผิวหนังได้ แต่เมื่อเลือดมังกรเริ่มทำงาน เกล็ดมังกรก็จะโผล่ขึ้นมาบนผิว
คนที่โชคร้ายจริงๆ คือผู้ติดตามมังกรที่เกล็ดมังกรนั้นจะงอกขึ้นทั่วทั้งร่างกายของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงดูราวกับสัตว์ประหลาด…
วิลเลียมทำให้ทุกคนรู้ว่าผู้ติดตามมังกรทุกคนจะมีเกล็ดมังกรบนร่างของพวกเขา แต่เขาไม่ได้เปิดเผยเรื่องที่โมเสสเป็นผู้วิเศษรอบด้าน ดังนั้นเอลฟ์ส่วนใหญ่จึงไม่สนใจที่จะเป็นผู้ติดตามมังกร
วิลเลียมขี้เกียจเกินกว่าจะมายุ่งกับเหล่าเอลฟ์ที่กังวลแต่เรื่องภาพลักษณ์ภายนอกของพวกเขา เขาเลือกมนุษย์จำนวน 200 คนและครึ่งเอลฟ์ 100 ตนที่มีค่าความจงรักภักดี 900+ สายเลือดของพวกเขาถือว่าต่ำ แต่พวกเขาเป็นนักรบหนุ่มสาวที่พร้อมจะสละชีวิตของตน
แต่มันก็มีสิ่งจำเป็นที่ต้องมีอยู่!
พวกเขาต้องมีคุณสมบัติธาตุไฟในการที่จะใช้งานเลือดมังกรได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ดังนั้นแล้วทำไมวิลเลียมถึงไม่เลือกคนที่มีสายเลือดสูงงั้นหรือ?
มันเป็นเพราะเลือดมังกรมีเอฟเฟ็กต์ที่จำกัดต่อคนที่มีสายเลือดที่สูงขึ้น
NPC ที่มีสายเลือดต่ำจะเปลี่ยนเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงได้ และพวกเขายังมีโอกาสที่แน่นอนในการบรรลุเป็นระดับมาสเตอร์หรือระดับอีปิคอีกด้วย
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเลือดสดๆ ของมังกรจึงล้ำค่ามาก
ไม่ว่าจะเป็นผู้ติดตามมังกรหรือสาวกมังกร เมื่อพวกเขาเปลี่ยนร่าง พลังของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง
ระหว่างการต่อสู้ที่ภูเขาหิมะทางทะเลตะวันออก สาวกมังกรสามคนก่อนเปลี่ยนร่างได้แสดงพลังที่เปรียบได้กับพลังของนักรบจำนวนหนึ่งร้อยคน
ถ้าวิลเลียมไม่ได้สังหารมังกรไฟในทีเดียว
พวกเขาคงจะอาละวาดต่อไป และทุกคนก็จะได้เห็นความสามารถที่แท้จริงของสาวกมังกร!
อย่างไรก็ตาม นักรบเลือดมังกรก็มีจุดอ่อนอยู่
หลังจากช่วงการเปลี่ยนร่างผ่านไปก็จะเป็นช่วงเวลาอ่อนแอ ในสภาพเช่นนี้ พลังการต่อสู้ของพวกเขาจะลดลงอย่างมาก ดังนั้นหากการต่อสู้ยังไม่สิ้นสุดในเวลานั้น พวกเขาก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลม
ความอ่อนแอของเลือดมังกรไม่สำคัญพอที่จะพูดถึง
ป้อมปราการทหารที่อาณาจักรเหล็กสร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ในตอนนี้ได้กลายเป็นฐานที่มั่นทางทหารที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองรุ่งอรุณ
แน่นอนว่าอาณาจักรเหล็กได้ทำการประท้วงและเรียกร้องขอให้คืนป้อมปราการทหาร ไม่เช่นนั้นเมืองแห่งรุ่งอรุณจะต้องเผชิญกับผลกระทบเพราะอาณาจักรเหล็กจะเปิดการโจมตีเพื่อยึดป้อมปราการทางทหารกลับคืนมาด้วยกำลัง
แต่เมืองรุ่งอรุณโต้กลับว่าอาณาจักรเหล็กไม่ได้รับการอนุมัติจากเมืองแห่งรุ่งอรุณ ก่อนที่จะสร้างป้อมปราการทางทหาร ดังนั้นเมืองแห่งรุ่งอรุณจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยึดป้อมปราการทหารนี้
อย่างไรก็ตาม จะไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้นระหว่างเมืองแห่งรุ่งอรุณและอาณาจักรเหล็ก
หลังจากการสังหารมังกร อาณาจักรเหล็กก็ได้สูญเสียผู้บัญชาการและกองทหารที่ทรงพลังไป ยิ่งไปกว่านั้นศัตรูอย่างอาณาจักรลาวาดำเองก็กำลังจะเริ่มการโจมตี ดังนั้นอาณาจักรเหล็กจึงไม่สามารถละความสนใจมาที่เมืองรุ่งอรุณได้…
วิลเลียมทำการจัดการกับป้อมทหารอย่างเรียบง่าย
เขาตั้งชื่อมันว่าป้อมปราการแห่งแสงและสั่งให้คริสเตียนคอยปกป้องป้อมปราการด้วยกองทัพกล้าหาญ กองทหารที่เฝ้าป้อมปราการจะผลัดกันไปเปลี่ยนทุกเดือน
ทาส 60,000 คนที่สร้างป้อมปราการได้รับการปลดปล่อยโดยวิลเลียม พวกเขาส่วนใหญ่กลับไปที่เมืองแห่งรุ่งอรุณ
วิลเลียมประกาศคำสั่งรับสมัครทหารอีกครั้ง เขามีความตั้งใจที่จะสร้างกองทัพมนุษย์ใหม่
อาจารย์ของพวกเขาจะเป็นองครักษ์เอลฟ์ของวิลเลียม 500 คน กองทหารอื่นๆ ทั้งหมดได้รับคำแนะนำจากพวกเขาเช่นกันในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา
วิลเลียมยังส่งทหารองครักษ์ประจำตัวของเขา 100 นายออกไปเพื่อปกป้องป้อมปราการแห่งแสงและฝึกทหารใหม่ 3,000 นายที่เขาเลือกไว้
โดยทั่วไปแล้ว
คุณภาพของกองทหารในอาณาจักร, ราชอาณาจักรและจักรวรรดิของ [Gods] นั้นดีมาก มีเพียงแค่เปอร์เซ็นต์เล็กๆ ของกองทัพเท่านั้นที่คุณภาพไร้ความน่าเกรงขาม
แต่เมื่อเทียบกับเอลฟ์แล้ว ความแตกต่างนั้นต่างกันมากเกินไป
สาเหตุคืออะไร?
ขึ้นอยู่กับคุณภาพการฝึกของนักรบ, ชุดเกราะและคุณภาพอาวุธ, และผู้บัญชาการกองทหารว่าเก่งหรือไม่ หากเป็นไปตามเกณฑ์ทั้งหมด ทหารก็จะสามารถเอาชนะศัตรูได้ในระหว่างการต่อสู้
ในสถานการณ์เช่นนี้ หากกองทัพมีระเบียบวินัยและวัฒนธรรมที่ดี มันก็อาจสร้างความเสียหายได้มากยิ่งขึ้นไปอีก
และไม่ว่าจะเป็นอย่างไร
ระเบียบวินัยและวัฒนธรรมของกองทัพมนุษย์นั้นก็ด้อยกว่าเหล่าเอลฟ์มาก
หากกองทัพมนุษย์ได้รับการฝึกฝนโดยเอลฟ์ เหล่าเอลฟ์จะใส่วิธีการฝึกของพวกเขาเข้าไปในกองทัพมนุษย์
นอกจากนี้อาจารย์ผู้สอนยังเป็นองครักษ์ส่วนตัวของวิลเลียม พวกเขาจะเผยแพร่คุณสมบัติที่ดีของวิลเลียม เช่น ความยิ่งใหญ่, ความมีสง่าราศี และความยุติธรรมที่เขามีต่อทุกคน
โอดอมใช้ประโยชน์จากความสามารถในการสังหารมังกรของวิลเลียมเพื่อดำเนินนโยบาย “เรียนรู้จากท่านลอร์ดเพื่อเป็นฮีโร่”
นโยบายคือให้คนทั่วไปได้เรียนรู้คุณสมบัติที่ดีและบุคคลอย่างขุนนางของท่านลอร์ด เช่น การไม่ยอมแพ้ต่อศัตรูที่ทรงพลังและใช้ประโยชน์จากผู้อ่อนแอและไร้ทางสู้…
“ โอโดม… ทำดีมาก” วิลเลียมพอใจอย่างยิ่งกับการยกยอของโอโดม
พิธีกรรมของผู้ติดตามมังกรตั้งอยู่ที่จตุรัสกลาง ดอกไม้สดมากมายตระการตาและยังมองเห็นสะพานเล็กๆ ข้ามลำธารอีกด้วย
นักรบที่ได้รับการคัดเลือกจำนวน 300 คนที่สวมเพียงกางเกงชั้นในยืนอย่างเรียบร้อยเป็นกองทหารขณะที่พวกเขามองไปข้างหน้าอย่างเคร่งขรึม
พิธีกรรมของผู้ติดตามมังกรดึงดูดผู้คนมากมาย บนถนน, บ้านใกล้เคียงและแม้แต่บนหลังคาก็เต็มไปด้วยผู้ชมที่อยากรู้อยากเห็น
นับเป็นครั้งแรกที่โมเสสปรากฏตัวต่อหน้าฝูงชน คนส่วนใหญ่จำเขาได้ว่าเป็นหมอดู แต่พวกเขาคงไม่คิดว่าโมเสสจะรู้จักเวทมนตร์เช่นนี้ด้วย พวกเขาเองก็อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับโมเสส
นักเวทย์มิติอย่างตาแก่แบนด์ก็แอบดูฉากนั้นด้วย เขาเองก็อยากรู้เพราะเขาไม่คาดคิดว่าวิลเลียมจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นแทนเขา
ตาแก่แบนด์ไม่พอใจนัก เขาอยากเห็นว่าโมเสสจะมีความสามารถแค่ไหนกัน
จากนั้น
โมเสสก็หาวอย่างเกียจคร้านและชี้นิ้วไปด้านหน้า
กระแสของเวทมนตร์สีฟ้าที่ดูซับซ้อนและลึกลับได้กลืนกินร่างของนักรบ 300 คน!
ขณะนั้นเอง!
เวทย์มนตร์ก็ซึมเข้าไปในร่างกายของพวกเขาและประทับลงบนพื้นอย่างแน่นหนา
ในขณะเดียวกัน
โมเสสโบกมือเบาๆ ก่อนที่ถังไม้โอ๊กหกถังซึ่งจุเลือดของมังกรไว้ก็ปรากฏให้เห็นเลือดสีแดงเข้ม เลือดรวมตัวกันและบินขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับมังกรเลือด
เมื่อพลเมืองเห็นเช่นนี้
พวกเขาเริ่มมึนงง
มังกรเลือดดูราวกับว่ามีใครบางคนปลุกมังกรไฟขึ้นมา มันยาวหลายสิบเมตรและปีกของมันกว้างถึงยี่สิบเมตร มังกรเลือดมีการปกครองแบบเดียวกับที่มังกรไฟมีและยังปล่อยแรงกดดันอีกด้วย
โมเสสหยิบผลึกมังกรออกมาและโยนเข้าไปในปากของมังกรเลือด
ฝูงชนได้ยินเสียงร้องอึกทึก
มังกรเลือดเปิดรูม่านตาสีทองของมันและก้มหัวลงก่อนจะพุ่งเข้าใส่ทหาร 300 นาย!
แต่ในตอนนั้น
มังกรกลับหายไปในอากาศ
และทหาร 300 คนถูกทิ้งให้ชุ่มไปด้วยเลือด…
ตาแก่แบนด์ที่เห็นฉากนี้แล้วถึงกลับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เขาหมุนตัวและเทเลพอตไปที่เขตแดนใหม่ จากนั้นเขาก็รายงานสิ่งที่เขาเห็นให้แอนนี่ฟัง วิลเลียมได้ทำการจ้างผู้วิเศษ…
โมเสสใช้ผลึกมังกรในพิธีเปลี่ยนเป็นผู้ติดตามมังกรเพื่อลดความเจ็บปวด, ความทรมานและอันตราย
นักรบที่ได้รับการคัดเลือก 300 คน รู้สึกได้ถึงเลือดที่ไหลเวียนเข้าสู่ผิวหนังของพวกเขาผ่านทางรูขุมขน แต่พวกเขาไม่สามารถหยุดเลือดของมังกรไม่ให้ไหลซึมเข้ามาได้
ที่สำคัญกว่านั้นคือ
เลือดของมังกรจะเปลี่ยนเป็น DNA ของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ
ผู้ติดตามมังกรโดยปกติจะดูเหมือนมนุษย์ ตราบใดที่ DNA ของเขาถูกยับยั้งได้อย่างสมบูรณ์ เกล็ดมังกรจะปรากฏขึ้นหลังจากการแปลงร่างเท่านั้น อย่างไรก็ตามผู้ติดตามมังกรจะมีรูม่านตาสีเหลืองอยู่ตลอดเวลา
เมื่อ DNA ของเลือดมังกรมีความสำคัญเหนือ DNA ของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ เขาก็จะกลายเป็นสัตว์ประหลาด ตัวอย่างเช่น ผู้ติดตามมังกรพิการที่วิลเลียมเคยพบมาก่อนนั้น นอกจาก DNA ของมนุษย์จะถูกยับยั้งแล้ว แม้แต่พลังการต่อสู้และทักษะเวทย์มนตร์ที่ DNA ของมนุษย์ครอบครองอยู่ก็จะถูกปิดการใช้งานโดยเลือดของมังกรอีกด้วย
ผู้ติดตามมังกรที่ยอดเยี่ยมควรมี DNA ของมนุษย์ 50% และ DNA ของเลือดมังกร 50%!
โชคดีที่รูปแบบเวทมนตร์ของโมเสสนั้นไม่ธรรมดา
ผลึกมังกรลอยอยู่กลางอากาศในขณะที่เปล่งแสงสีแดงเข้มลึกลับบนร่างของนักรบแต่ละคน
เวทมนตร์ของโมเสสให้ความรู้สึกเย็น รังสีของแสงสีน้ำเงินที่ไม่สามารถจับต้องได้ไหลขึ้นมาตามขาเข้าสู่ร่างกายของผู้เข้าร่วมพิธีและรังสีสีน้ำเงินเหล่านี้ช่วยลดความเจ็บปวดลงได้มาก
พิธีเปลี่ยนเป็นผู้ติดตามมังกรดำเนินไประยะหนึ่ง
การรวม DNA ของมนุษย์และมังกรใช้เวลาเป็นชั่วโมง
ในระหว่างนั้นนักรบ 300 คน ล้มลงกับพื้นพร้อมกับร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด พวกเขาคลานและกลิ้งไปบนพื้น แต่ก็มีนักรบที่แข็งแกร่งบางคนอยู่เช่นกัน พวกเขานั่งในท่าดอกบัวและค้ำยันตัวเองด้วยพลังต่อสู้
วิลเลียมรู้สึกยินดีที่ทราบว่ามีนักรบที่มีความมุ่งมั่นมากมาย
ด้วยความสามารถในการใช้หน้าต่างสถานะ เขาสามารถตรวจสอบศักยภาพของสายเลือดและความภักดีของพวกเขาได้ แต่เขาไม่สามารถเข้าใจถึงความมุ่งมั่นของพวกเขาได้
เขาสั่งให้ผู้บัญชาการกองทหารคัดเลือกนักรบเหล่านั้นจากความเข้มแข็ง หลังจากนั้นวิลเลียมก็เลือกหัวกะทิแต่ละคนออกมา
ในสภาพที่เลวร้ายเช่นนี้มีนักรบที่นั่งฝึกฝนพลังต่อสู้ของพวกเขาโดยใช้เลือดมังกรเพื่อกระตุ้นช่องทางลมปราณของพวกเขา พวกเขาแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความทะเยอทะยานและมีความคิดที่ก้าวหน้า พวกเขาคู่ควรกับการเป็นนักรบเลือดมังกร
อย่างน้อยก็โชคดีที่มีนักรบเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เจ็บปวดสาหัส
เวทมนตร์ของโมเสสมีประโยชน์อย่างมากในการลดทอนความเจ็บปวด
หลังจากเวลาผ่านไปชั่วโมงหนึ่ง มีการสร้างนักรบเลือดมังกรขึ้นใหม่ 300 คน และไม่มีใครเสียชีวิต!
พวกเขาลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคง จากนั้นพวกเขาก็คุกเข่าลงต่อหน้าวิลเลียมและตะโกนว่า “ขอบคุณท่านลอร์ดวิลเลียม ขอบคุณที่มอบเลือดมังกรและให้ชีวิตใหม่กับเรา เพื่อเกียรติยศแด่ท่านลอร์ดวิลเลียมของเรา”
“เพื่อเกียรติยศแด่ท่านลอร์ดวิลเลียมของเรา!”
“เพื่อเกียรติยศแด่ท่านลอร์ดวิลเลียมของเรา!”
ราวกับคลื่นที่โหมกระหน่ำ เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญดังซ้ำไม่หยุดหย่อน พวกชาวเมืองก็ตื่นเต้นเมื่อเห็นการสร้างผู้ติดตามมังกรและตะโกนกันอย่างตื่นเต้น
การอาบเลือดมังกรเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์!
นักรบเลือดมังกรเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์!
แต่เกียรติยศครั้งนี้ได้รับการประทานจากท่านลอร์ดวิลเลียม
วิลเลียมยืนอยู่บนแท่นสูงและโบกมือให้กับผู้คนที่อยู่ด้านล่าง เสียงกู่ร้องที่ดังไม่หยุดหย่อนพลันหยุดลงโดยทันที จากนั้นวิลเลียมก็ใช้พลังการต่อสู้ของเขาและพูดเสียงดังว่า “ขอให้เกียรติยศสถิตอยู่กับเรา เกียรติยศของเราก็เปรียบได้กับเกียรติยศของพวกท่านทั้งหลาย!”
“มีทหารเก้านายเป็นสาวกมังกร ส่วนคนที่เหลือเป็นผู้ติดตามมังกร ผลลัพธ์ออกมาค่อนข้างดีเลยทีเดียว” วิลเลียมมีความสุข เช่นเดียวกับที่โมเสสเคยพูดเอาไว้ว่ามีโอกาสที่สาวกมังกรจะปรากฏขึ้น มันเกินความคาดหมายของเขาไปมากเลย
ในบรรดาสาวกมังกรเก้าคน มีสามคนที่มีสายเลือดระดับอีปิคในขณะที่คนอื่นๆ มีสายเลือดระดับมาสเตอร์ ผู้ติดตามมังกรมีนักรบระดับอีปิคสองคนและนักรบระดับมาสเตอร์ 188 คน นักรบที่เหลืออยู่ในสายเลือดระดับสูง!
พูดง่ายๆว่า
นักรบเลือดมังกร 300 กลายเป็นทหารพิเศษไปแล้ว
“ยอดเยี่ยม!” ลอทเนอร์พยักหน้าด้วยความอิ่มเอมใจ เขาไม่สามารถหยุดคิดได้ว่า “ในการต่อสู้ ถ้านักรบ 300 คนเหล่านี้แปลงร่าง พวกเขาคงจะสามารถเอาชนะกองทหารอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดายโดยต้องไม่คำนึงถึงการป้องกันของพวกเขาเลย”
“ข้าไม่ได้คาดคิดว่าโมเสสจะมีทักษะที่สูงขนาดนี้” โอดอมครุ่นคิด เขาหัวเราะอย่างชั่วร้าย “ถ้าราชาแห่งอาณาจักรเหล็กรู้ข่าว เขาจะไม่ขาดใจตายด้วยความโกรธไปเลยเหรอ?”
วิลเลียมพยักหน้าเห็นด้วย เขามองไปยังห้องประชุมที่เต็มไปด้วยคนสนิทของเขาและยิ้มขณะที่พูดว่า “เลือดมังกรปกติถูกใช้หมดแล้ว มีเพียงเลือดมังกรที่เหนือกว่าซึ่งหลงเหลืออยู่ในหัวใจของมังกร ใครอยากลองบ้าง”
เลือดธรรมดาของมังกรไฟระดับกลางระดับรีเจนดารีนั้นมีคุณภาพที่ยอดเยี่ยม
แต่เลือดสดในหัวใจนั้นมีคุณภาพระดับรีเจนดารี มันยอดเยี่ยมมาก
ลอทเนอร์, โอดอม และเอริครู้เรื่องนี้อยู่แล้ว และในวันนี้พวกเขามีโอกาสที่จะกลายเป็นผู้ติดตามมังกรหรือสาวกมังกร พวกเขามองหน้ากันไปมา
พวกเขาต่างรู้ดีว่าตำนานของนักรบเลือดมังกรนั้นเหลือเชื่อเกินไป พวกเขาเคยได้ยินเรื่องนักรบอาบเลือดมังกรและมีพลังมากจนนึกไม่ถึง …
อย่างไรก็ตาม
พวกเขายังภูมิใจในร่างกายและความสามารถของตนเอง
และพวกเขาได้เห็นการสร้างผู้ติดตามมังกรและสาวกมังกรเป็นการส่วนตัวแล้ว พวกเขารู้สึกได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของเลือดมังกร
มันไม่ใช่ทางเลือกง่ายๆ
ในท้ายที่สุด โอดอมและลอทเนอร์ต่างรู้สึกว่าด้วยสายเลือดที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา พวกเขาก็ยังคงเป็นอัจฉริยะอยู่ดี พวกเขาจึงปฏิเสธทางเลือกในการที่จะเป็นนักรบเลือดมังกร
โอดอมมีสายเลือดราชวงศ์ของหุบเขาเดียวดายไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือดของเขา แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีศักยภาพระดับอีปิค แต่มันเป็นผลมาจากการขาดสารอาหารของเขา เขายังมีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นระดับรีเจนดารีได้!
สำหรับลอทเนอร์ เขาเชื่อว่าตัวเขาเองนั้นหล่อมาก…
เอริคและลูกชายของเขาก็ปฏิเสธทางเลือกนี้เช่นเดียวกัน พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาอาบเลือดมังกรไปแล้ว ความสามารถติดตัวธาตุไฟอาจจะเปิดใช้งาน และมันจะยับยั้งพลังใจของพวกเขา มันจะแย่มากในตอนที่พวกเขากำลังทำการลอบสังหารและการเคลื่อนไหวในเงามืด
ผู้บัญชาการกองทหารของ [กองทัพไนท์] เลโกลัสเลิกคิ้วและเย้ยหยัน เขาจะพิจารณามันสักครั้งสองครั้งถ้ามันเป็นมังกรลม …
คนสนิทของวิลเลียมไม่ชอบเลือดมังกร
แต่คนอื่นไม่คิดเช่นนั้น
ฟิว โรสเซอร์ นักรบโถวเหยินเกิดความสับสน เขาประกาศความปรารถนาที่จะเป็นนักรบเลือดมังกรโถวเหยินคนแรกในทวีปตำนาน …
คริสเตียนเองก็รีบกลับจากป้อมปราการแห่งแสง ในฐานะผู้บัญชาการกองพลของ [กองทัพแห่งความกล้า] เขาสนใจที่จะแข็งแกร่งขึ้นด้วยการใช้เลือดมังกร
ผู้บัญชาการกองทหารของ [กองทัพแห่งเกียรติยศ] จูลิโอซึ่งมีเพียงสายเลือดระดับมาสเตอร์เท่านั้นก็ต้องการอาบเลือดมังกร
ผู้บัญชาการกองทหารของ [กองทัพมูนไลท์] อัลเบิร์ตเป็นเอลฟ์มูนไลท์ที่มีสายเลือดระดับอีปิค
แต่อาชีพลับของเขาคือทหารเพลิง ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องการเป็นสาวกมังกร มันจะทำให้คุณสมบัติไฟของเขาแข็งแกร่งขึ้น
“แค่สี่คน? พวกเจ้ามาแค่สี่คน?” วิลเลียมลูบคางของเขา เขามีสายเลือดระดับรีเจนดารีอยู่แล้ว ดังนั้นผลกระทบเดียวที่เลือดของมังกรจะมีต่อเขาก็คือทำให้เขาแปลงร่างและอัพเกรดคุณสมบัติของเขา
แต่เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้
มังกรไฟมีธาตุไฟ ในขณะที่วิลเลียมมีธาตุสายฟ้า
สาวกมังกรจะได้รับความสามารถติดตัวเพิ่มและกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณสมบัติคู่ มันน่าประทับใจมาก แต่ก็เป็นงานที่ยากลำบาก ต้องใช้คะแนนประสบการณ์มากขึ้นในการเลื่อนระดับและเขาจะต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ มากมายในกระบวนการนี้
มันมีทักษะมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาต้องทำซ้ำ ๆ มันไม่ใช่สิ่งที่ดี
วิลเลียมไม่ได้สนใจจริงๆ เขาคงจะทำถ้ามันเป็นธาตุสายฟ้า หากมีโอกาสเขาก็อยากที่จะสังหารมังกรสายฟ้าเพื่อเพิ่มคุณสมบัติของธาตุสายฟ้าและพลังโจมตีของเขา
“ดี เราจะปล่อยให้พวกเจ้าทั้งสี่ได้ลิ้มรสเลือดมังกร สำหรับเลือดมังกรที่เหลือเราจะตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับมันในภายหลัง”
วิลเลียมพยักหน้า เลือดของมังกรเพียงพอสำหรับการใช้ 10 ครั้งและหลังจากนี้เขาจะเหลือใช้งานอีก 6 ครั้ง เขาต้องวางแผนอย่างถูกต้องเพื่อให้เลือดมังกรมีประโยชน์สูงสุด
มันง่ายมาก
ทุกส่วนของมังกรไฟล้วนเป็นสมบัติ แม้ว่าส่วนนั้นจะเป็นทวารหนักก็ตาม
วันรุ่งขึ้นโมเสสทำพิธีเปลี่ยนเป็นผู้ติดตามมังกรให้ทั้งสี่คน เขาวางคริสตัลมังกรลงตรงกลางวงแหวนอีกครั้งและทั้งสี่ก็เปลี่ยนเป็นสาวกมังกรได้อย่างง่ายดาย
จูลิโอถึงกับทะลุขีดจำกัดทางสายเลือดของเขากลายเป็นบอสระดับอีปิค
แต่อีกสามคนไม่โชคดีอย่างนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้รับสายเลือดระดับรีเจนดารีและศักยภาพทางสายเลือดของพวกเขายังไม่ได้รับการอัพเกรด พิธีเพียงแค่อัปเกรดคุณสมบัติและระดับของพวกเขา แต่ในจำนวนมหาศาลเท่านั้น พวกเขาได้รับความสามารถในการเปลี่ยนร่างและตอนนี้ก็สามารถกลายเป็นสัตว์ประหลาดในร่างมนุษย์ได้
พูดง่ายๆว่า
พลังการต่อสู้ของจูลิโอและอัลเบิร์ตได้รับการอัปเกรดแบบก้าวกระโดด ก่อนหน้านี้หนึ่งในพวกเขามีสายเลือดที่มีศักยภาพต่ำและอีกคนหนึ่งมีคุณสมบัติเกี่ยวกับไฟและพลังงานการต่อสู้
ใครๆ ก็สามารถจินตนาการได้ว่าอัลเบิร์ตจะทรงพลังเพียงใดหลังจากได้รับเสียงกระซิบของมังกรไฟในขณะที่เขามีพลังการต่อสู้เพลิงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
อีกสองคนได้รับความสามารถในการแปลงร่างและคุณสมบัติคู่
พลังของโมเสสผู้ลึกลับได้เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้คนในเมืองแห่งรุ่งอรุณ
วิลเลียมเลือกที่จะไม่พูดถึงเรื่องนี้ เขาไม่ได้อธิบายถึงความสามารถและภูมิหลังของโมเสสดังนั้นทุกคนจึงยังมืดแปดด้านเกี่ยวกับตัวโมเสส
โมเสสเองก็ไม่ได้สนใจคนอื่นๆ เขาใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างการถอนคำสาป, ซุกไซร้แมว, นอน, กินและรอวันตาย
คนอื่นๆ ก็ไม่กล้าสอบสวนโมเสสลับหลังวิลเลียม พวกเขาเพียงแค่ยกย่องวิลเลียมที่ค้นพบผู้วิเศษที่ซ่อนอยู่และทรงพลังเช่นนี้
วิลเลียมแทบไม่ได้สำรวจอุโมงค์ใต้ดินของเมืองแห่งรุ่งอรุณเลย เขาไม่ชอบพวกเขาเท่าไหร่
นี่เป็นสถานที่หลักสำหรับการฝึกอบรมช่างตีเหล็ก ส่วนคนที่อยู่บนพื้นดินนั้น พวกเขาเป็นของปลอม คนแคระในโรงฝึกเหล่านั้นเป็นเพียงช่างตีเหล็กมือใหม่ระดับกลางและระดับสูง และคุณภาพของอาวุธปลอมก็ด้อยกว่า คุณภาพที่ดีที่สุดที่สามารถหาซื้อได้คือคุณภาพระดับเงิน
แต่โรงฝึกช่างตีเหล็กใต้ดินที่สร้างขึ้นริมแม่น้ำสายรุ่งนั้นเป็นแหล่งผลิตอุปกรณ์ที่มีคุณภาพสูง
ลำน้ำสายหนึ่งของแม่น้ำสายรุ้งไหลลงใต้ดิน
และบนสองฝั่งของแม่น้ำที่แยกออกจากกันก็เป็นที่ที่โรงฝึกช่างตีเหล็กเหล่านี้ตั้งอยู่
รอบตัวของพวกเขาสว่างไสวด้วยตะเกียงเวทมนต์เพื่อไม่ให้โลกใต้ดินมืดสลัวจนเกินไป
ในห้องช่างตีเหล็กที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งมีการแขวนเกล็ดมังกร, ผิวและเลือดมังกรจำนวนเล็กๆ ไว้ที่ผนังโดยรอบ
นักรบค้อนศักดิ์สิทธิ์ถือค้อนเรืองแสงสีม่วงและตอกลงบนเกล็ดมังกรชิ้นใหญ่
ตาแก่แฮงค์ผู้มีสายเลือดระดับอีปิคและเป็นช่างตีเหล็กระดับปรมาจารย์ที่มีทักษะพิเศษมากมาย
แต่การตอกเกล็ดมังกรก็ยังเป็นงานที่ยากลำบากสำหรับเขา
เขาสังเกตเห็นว่าวิลเลียมเข้ามา แต่เลือกที่จะไม่สนใจเขา ดวงตาของเขาเป็นประกายในขณะที่เขายังคงตอกเกล็ดมังกรต่อไป เขาพุ่งสมาธิไปที่การสร้างชิ้นงานที่น่าพึงพอใจ
โอดอมสังเกตเห็นเกล็ดมังกรในมือของตาแก่แฮงค์แล้วยิ้ม “เกล็ดมังกรในมือของเขาคือเกล็ดด้านในของมังกรไฟ ท่านลอร์ด”
“นี่คือเกล็ดที่แข็งที่สุดในร่างกายของมังกรไฟ ตาแก่แฮงค์กำลังทำตามคำสั่งของท่านในการสร้างเกราะป้องกันหัวใจที่แข็งแกร่งที่สุดที่สามารถเพิ่มเข้าไปในเกราะอื่นได้”
วิลเลียมยิ้มกลับ เขาพยักหน้าด้วยความชื่นชมและพูดว่า “เขาทำได้ดี ใช้เกล็ดมังกรให้หมดและสร้างเป็นชุดอุปกรณ์สำหรับนักรบเลือดมังกร เราจะทำให้พวกเขากลายเป็นดาบที่ไม่มีใครต้านได้ของเมืองแห่งรุ่งอรุณ”
“ข้าเข้าใจท่านลอร์ด แต่คุณภาพของเกล็ดมังกรเหล่านี้สูงเกินไป ดังนั้นหากไม่มีช่างตีเหล็กหลัก เกล็ดมังกรนี้ก็ไม่สามารถถูกตอกออกมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นการตอกยังใช้เวลานานอีกด้วย” รองเจ้าเมืองแห่งเมืองรุ่งอรุณโอดอมเองก็เป็นช่างตีเหล็กที่เชี่ยวชาญ แต่เขายุ่งอยู่กับงานธุรการประจำวัน ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลาทำงานเหล็ก
วิลเลียมพยักหน้าเห็นด้วย เขาเดินไปที่ริมแม่น้ำและสังเกตห้องช่างตีเหล็กที่สว่างไสวไปด้วยโคมไฟทั้งสองด้าน ช่างตีเหล็กระดับสูงหลายคนกำลังยุ่งอยู่กับการตอกและการดัดชุดอุปกรณ์คุณภาพเงิน เมื่อส่วนหนึ่งเสร็จ ชิ้นงานนั้นก็จะถูกส่งต่อไปยังช่างตีเหล็กคนถัดไปตามแนวการตี
นี่คือเวอร์ชันสายการประกอบของกระบวนการตีเหล็ก มันมีประสิทธิภาพมากกว่าการที่ช่างตีเหล็กหนึ่งคนมาสร้างชุดอุปกรณ์ทั้งชุดทีละชุดๆ
เมืองแห่งรุ่งอรุณมีหกกองทัพพร้อมทหารจำนวน 18,000 นาย
มีทหารระดับกลางเพียง 9,000 นายเท่านั้นที่มีอุปกรณ์คุณภาพระดับเงิน ทหารมือใหม่ยังคงใช้อุปกรณ์คุณภาพสีน้ำเงินอยู่
มันก็ช่วยไม่ได้ วิลเลียมสามารถสั่งให้สร้างอุปกรณ์คุณภาพระดับเงินสำหรับทหารระดับมือใหม่ก็ได้ แต่มันจะเป็นการผลาญมิทริลมากเกินไป และแม้ว่าเมืองแห่งรุ่งอรุณจะมีเหมืองแร่มิทริล แต่ก็มีปริมาณแค่เพียงพอสำหรับการผลิตอุปกรณ์ให้ทหารระดับกลางเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น กองทัพการ์เดี้ยนซึ่งเป็นกองทหารใหม่ล่าสุดและผู้เชี่ยวชาญมือใหม่ของกองทัพอื่นๆ เองก็ไม่มีชุดอุปกรณ์คุณภาพระดับเงิน อย่างมากพวกเขาก็จะมีอาวุธคุณภาพระดับเงินเท่านั้น
วิลเลียมไม่จำเป็นต้องใช้เงินใดๆ สำหรับ [กองทัพไนท์] และ [กองทัพมูนไลท์]
เหตุผลคือพวกเขาเป็นเอลฟ์ที่อยู่ในตระกูลใหญ่หรือสถาบันต่างๆ ดังนั้นพวกเขาจึงนำอุปกรณ์ประจำตระกูลคุณภาพเงินมาด้วยเมื่อเข้าร่วมกองทัพ บางคนมีทอง, ทองเข้ม และแม้แต่อุปกรณ์ระดับอีปิคด้วยซ้ำไป…
ตระกูลเอลฟ์ส่วนใหญ่มีอุปกรณ์และอาวุธที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน
เมื่อเข้าร่วมกองทัพพวกเขาจะนำอุปกรณ์และอาวุธที่ได้รับสืบทอดมาด้วย
นี่คือวัฒนธรรมของเอลฟ์
มันจะถูกให้ความสำคัญ
รูปแบบอุปกรณ์ของเอลฟ์นั้นค่อนข้างสม่ำเสมอ ส่วนใหญ่จะได้รับการปรับปรุงและตกแต่งด้วยการแกะสลักด้วยใบไม้ของต้นเวิร์ล ดังนั้นอุปกรณ์ส่วนใหญ่จึงดูคล้ายกันและไม่ไปทำลายภาพลักษณ์โดยรวมของกองทัพ
วิลเลียมสำรวจโรงตีเหล็กของช่างตีเหล็กที่กำลังดำเนินการผลิตอย่างเต็มรูปแบบ จากนั้นเขาก็ได้ตรวจสอบอุตสาหกรรมการผลิตหลักในเมือง เมื่อเสร็จสิ้น เขาก็ทำได้แค่รออย่างอดทนอยู่ที่บ้าน
เนื่องจากอุปกรณ์ของเขาไม่ได้รับการอัพเกรด
เขาก็ยังมีชุดอุปกรณ์คุณภาพระดับทอง ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสายเลือดระดับรีเจนดารีของเขาชุดอุปกรณ์คุณภาพระดับทองยังช่วยเพิ่มคุณสมบัติมากมายของเขาอีกด้วย
ดาบแห่งสายฟ้ากลายเป็นอาวุธระดับอีปิคที่เรียกว่า อาวุธใหญ่สีส้ม
อาวุธคุณภาพทองเข้มถูกเรียกว่า อาวุธเล็กสีส้ม
อาวุธคุณภาพระดับทองถูกเรียกว่า อาวุธทอง
เกราะหัวใจที่ถูกตีขึ้นมาจากเกล็ดด้านในระดับรีเจนดารีจะกลายเป็นชิ้นส่วนอุปกรณ์ระดับอีปิคหรือไม่ก็ระดับรีเจนดารี
หากวางไว้ที่ด้านบนของชุดเกราะก็จะสามารถป้องกันหน้าอกจากความเสียหายได้ โอกาสรอดชีวิตจากการถูกแทงทะลุหัวใจเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เนื่องจากเกมกำลังจะเข้าสู่เบต้าเปิด
วิลเลียมต้องการพัฒนาขีดความสามารถของเขาในช่วงเวลานี้ เขาไม่ต้องการสร้างปัญหาใดๆ
อาณาจักรเหล็กได้ส่งกองทหารชั้นยอดสองกองซึ่งประกอบด้วยทหาร 6,000 นายเพื่อสังหารมังกร แต่ในจำนวนนี้กลับได้กลับบ้านไม่ถึง 1,000 คน
ยิ่งไปกว่านั้น ป้อมปราการทางทหารของพวกเขายังถูกยึดครองโดยวิลเลียม อุปกรณ์, อาหารและหน้าไม้ยักษ์ในโกดังก็ถูกยึดโดยวิลเลียม เรียกได้ว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของอาณาจักรเหล็ก
อาณาจักรเหล็กกำลังคิดที่จะครอบครอง อาณาจักรลาวาดำอย่างค่อยเป็นค่อยไป
แต่อาณาจักรเหล็กล้มเหลวในการได้รับบัฟจากมังกรและกองทัพสองกองของพวกเขาก็เกือบจะถูกกำจัด อาณาจักรลาวาดำจึงถือไพ่ได้เหนือกว่าไปอย่างฟรีๆ ที่พรมแดนระหว่างอาณาจักรเหล็ก
การโจมตีของเมืองแห่งรุ่งอรุณในอาณาจักรเหล็กทำให้อาณาจักรลาวาดำพึงพอใจเป็นอย่างมาก การค้าเชิงพาณิชย์ระหว่างอาณาจักรลาวาดำและเมืองแห่งรุ่งอรุณจึงได้เริ่มต้นขึ้น แต่การค้าทาสยังคงปิดอยู่เช่นเดิม
ทาสและขุนนางร้องขอให้การค้าทาสกลับมาดำเนินการต่อ แต่เสียงร้องของพวกเขาก็ไม่มีผล
เมืองแห่งรุ่งอรุณ อาณาจักรเหล็กและอาณาจักรลาวาดำเป็นเหมือนความโรแมนติกของสามก๊ก พวกเขาอยู่ในสภาวะสมดุล ไม่มีใครกล้าทำลายสภาพที่เป็นอยู่
ทุกคนรอโอกาสที่จะเริ่มสงคราม!
วิลเลียมได้อัปเกรดไปยังเลเวล 57 ซึ่งอยู่ห่างจากขีดจำกัดของเวอร์ชันอีก 13 เลเวล คุณสมบัติของเขาสูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ…
เขายังคงกินเนื้อมังกรต่อไปจนกว่าเขาจะไม่สามารถเพิ่มคุณสมบัติของเขาได้อีกต่อไป
เนื้อของมังกรไฟให้คุณสมบัติที่เพิ่มขึ้นดังต่อไปนี้
พลัง + 25, ความว่องไว+ 18, ความแข็งแกร่งทางกายภาพ + 33, สติปัญญา + 10
เขาเข้าไปยังแผงคุณสมบัติของเขาและรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น เขากำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ…
[วิลเลียม แบล็คลีฟ]
[อาชีพ: ผู้สังเกตการณ์แห่งรุ่งอรุณ]
[เผ่าพันธุ์: ครึ่งเอลฟ์]
[ตำแหน่ง: ดราก้อนสเลเยอร์มือใหม่]
[ศักยภาพทางสายเลือด: รีเจนดารี (เลเวล 57 คุณสมบัติพื้นฐาน +57%)
[ความสามารถติดตัว: ดูดี]
[ความสามารถติดตัว: พลังชีวิตระดับกลาง]
[ความสามารถติดตัว: พลังเวทมนต์ระดับกลาง…]
[ความสามารถติดตัว: พลังแห่งสายฟ้า…]
[ความสามารถติดตัว: สายฟ้าพิโรธ…]
[ข้อจำกัด: ใช้งานได้ 1 ครั้งต่อ 24 ชั่วโมง]
[เลเวล: 57]
[ค่าประสบการณ์: (23333/163240)]
[อายุ: 17]
[พลังชีวิต: 1800+2500+2000 (+2600)
[สเตมินา: 4780+1500 (+400)]
คุณสมบัติพื้นฐานมีดังต่อไปนี้:
[พลัง: 434+37+26 (+135)]
[ความแข็งแกร่งทางกายภาพ: 171+37+26 (50)]
[ความว่องไว: 442+37+26 (+112)]
[สติปัญญา: 146+24+48 (+10)]
[คุณสมบัติพิเศษมีดังนี้]
[เสน่ห์: 163+42]
[ความโชคดี: 3]
“มันช่างน่าเสียดาย ฉันได้เลื่อนระดับแล้ว แต่เพราะไม่มีคะแนนประสบการณ์ เลเวลของทักษะจึงไม่สามารถอัปเกรดได้อย่างเต็มที่”
“ถ้าฉันพิจารณาสายเลือดระดับรีเจนดารีของฉัน แต้มพลังชีวิต 14,900 แต้มของฉันก็มีค่าเท่ากับ 19,724 แต้ม” วิลเลียมตรวจสอบข้อมูลบนหน้าต่างสถานะเสร็จแล้ว เขารู้สึกว่าคะแนนพลังชีวิตของเขาอยู่ในค่าสถิติที่น่าทึ่ง เหลืออีกเพียงไม่กี่คะแนนจาก 20,000 แต้มเท่านั้น…
และทั้งหมดที่ว่ามานี้ แม้ว่าเขาจะยังเป็นเพียงเด็กอายุ 17 ปีก็ตาม
วิลเลียมนั่งบนเก้าอี้โยกที่ระเบียง เขาเหมือนปลาเค็มที่กำลังตากแดดอยู่ด้านหนึ่งและกำลังจะตากแดดอีกด้านหนึ่ง
สองวันนี้เขาออกอาการแปลก ๆ เขารู้สึกกระสับกระส่ายและมีความรู้สึกหลากหลาย..
เหตุผลน่ะเหรอ? เกมเบต้ากำลังจะเปิดตัวยังไงล่ะ
“ในเวลาเพียงหนึ่งปี เมืองชายแดนแห่งนี้ซึ่งมีประชากรเพียงไม่กี่พันคนได้พัฒนาเป็นเมืองใหญ่ที่สามารถแข่งขันกับอาณาจักรมนุษย์ทั้งสองได้ ตอนนี้ช่วงเวลาที่สำคัญที่จะกำหนดชะตากรรมของเมืองรุ่งอรุณมาถึงแล้ว”
วิลเลียมกลอกตาและลุกขึ้นยืนช้าๆ เขาละสายตาไปที่การตกแต่งภายในเมือง
ยุคที่สาม 1 มีนาคม 2333 เป็นเวลา 2333 ปีแล้วที่มนุษย์เริ่มปกครองทวีปแห่งนี้
ในขณะเดียวกัน
ผู้เล่นชาวจีนเต็มไปด้วยความคาดหวัง พวกเขาได้สร้างบัญชีและเลือกเผ่าพันธุ์แล้ว แต่พวกเขาไม่สามารถปั้นรูปลักษณ์ของพวกเขาได้ พวกเขาสามารถปรับตกแต่งให้สวยงามหรือน่าเกลียดได้เพียง 20% เท่านั้น
นอกจากคนส่วนน้อยแล้ว ผู้เล่นส่วนใหญ่เลือกที่จะตกแต่งรูปลักษณ์ภายนอกให้สวยงามขึ้น 20%
เมื่อเกมเบต้าเริ่มเปิดตัว
ผู้เล่นชาวจีนหลายหมื่นคนที่รอล็อกอินเข้าสู่เกมถูกกลืนหายไปในความมืด เมื่อพวกเขาลืมตาขึ้นพวกเขาพบว่าตัวเองมีร่างกายใหม่และยืนอยู่ในพื้นที่สีขาวไร้ขอบเขต
ทันใดนั้น
ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความสดใส
ฉากคัทซีนปรากฏขึ้น เป็นวิดีโอโปรโมตเกมที่กำลังแนะนำมุมตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปรีเจนดารี
วิดีโอแรกแสดงให้เห็นถึงราชาแห่งลาวาดำที่กำลังจะตาย เขานอนอยู่บนเตียงพร้อมกับลมหายใจเฮือกสุดท้าย
กล้องโฟกัสไปที่การแสดงออกทางสีหน้าของเจ้าชายแต่ละคน
ดูเหมือนว่า
เจ้าชายแต่ละคนจะดูมีความสุข เมื่อพ่อของพวกเขากำลังจะตาย …
การกบฏสว่างขึ้นในใจของเหล่าผู้เล่น
ในทางตรงกันข้าม วิดีโอที่สองของเกมเบต้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาณาจักรเหล็ก
แต่กลับเกี่ยวกับบุตรนอกกฎหมายของหญิงโสเภณีที่ต้องทนกับความยากลำบากเพื่อเอาชีวิตรอด วิดีโอยังแสดงให้เห็นว่าเขามองหาอาหารในถังขยะอย่างไรและเขาพบเพื่อนที่ดีที่สุดของเขาได้อย่างไร
ภาพเคลื่อนไหวเร็วมากและรวบรวมข้อมูลได้ยาก
อย่างไรก็ตามฉากสุดท้ายเป็นฉากที่น่าสนใจ
ความมืดมิด สนามรบที่ชั่วร้าย
ชายที่เต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าของเขาเน่าเฟะจนแทบจะเห็นฟันของเขา เขากำลังพุ่งเข้าหาปีศาจราวกับว่าเขาต้องการที่จะต่อสู้กับความตาย
ในกรณีถัดไปภาพจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง
ทิวทัศน์ตอนนี้คือท้องฟ้าโปร่งและภูเขาหิมะที่ไม่มีขอบเขตทอดยาวเหนือพื้นดิน
เสียงร้องคล้ายเสียงคำรามของมังกรใหญ่ดังก้อง การต่อสู้ระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่ามังกรปะทุขึ้น
ทันใดนั้นมังกรสีแดงเพลิงก็โผล่ออกมาจากถ้ำ
ชายที่ใบหน้าเสียโฉมก่อนหน้านี้มีใบหน้าที่หล่อเหลา เขากระโดดลงมาจากช่องถ้ำที่มีความสูงร้อยเมตรและเฉือนเข้าที่มังกรยักษ์ราวกับเทพเจ้าสายฟ้า …
ฉากตัดจบลง ในขณะที่ผู้เล่นกำลังครุ่นคิดถึงฉากคัตซีนและคิดว่ามันจบแล้วและถึงเวลาเข้าเกมก็ปรากฏภาพสีน้ำมันสามภาพ
ภาพแรก
ฉากหลังคือพระราชวังของอาณษจักรลาวาดำ!
เจ้าชายของอาณาจักรลาวาดำที่เต็มไปด้วยหยาดเลือดได้เหยียบย่ำซากศพและขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ที่ทำจากกระดูกสีขาวได้สำเร็จ จากนั้นเขาก็มองเหยียดทุกคน
ภาพที่สอง
แสดงให้เห็นถึงบัลลังก์เหล็กที่เปื้อนไปด้วยเลือด กษัตริย์กำลังกล่าวสุนทรพจน์ในขณะที่ลูกนอกสมรสของโสเภณีกำลังนั่งอยู่หลังบัลลังก์เหล็ก เด็กคนนี้โตขึ้นเป็นเด็กหนุ่ม
เขาผ่อนคลายหมัดที่กำแน่น ถือด้ายที่พันรอบคอของกษัตริย์อย่างแน่นหนา
ภาพที่สาม
เป็นภาพของเด็กหนุ่มรูปหล่อที่สวมชุดเกราะเปื้อนเลือด ข้างตัวเขามีดาบยาวที่ส่องประกายด้วยสายฟ้าที่กำลังฟาดลงไปที่พื้น มือทั้งสองของเขาวางอยู่บนด้ามดาบขณะที่เขาจ้องมองไปทางทิศเหนือ
เบื้องหลังเขาคือเมืองแห่งรุ่งอรุณที่เปล่งประกายเจิดจรัสในคืนที่มืดมิด
ความทะเยอทะยานของวิลเลียมถูกเปิดเผยโดยปัญญาประดิษฐ์ของเกม [Gods]
ในเวลาเดียวกัน
วิลเลียมก็กำลังจ้องมองท้องฟ้าที่ระเบียง
แผงข้อมูลของเขากำลังแสดงการนับถอยหลัง
5, 4, 3, 2, 1…
ดิ๊งด่อง!
[เบต้า Gods เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ]
[เปิดใช้งานฟอรัมของผู้เล่น]
[เริ่มเปิดตัวเบต้าเวอร์ชัน 1.0 สงครามราชา]
ขณะนั้น
ท้องฟ้ามืดลงเนื่องจากแสงสีขาว ไม่ว่าจะเป็นเมืองแห่งรุ่งอรุณหรืออาณาจักรใดๆของมนุษย์ เมื่อผู้คนเห็นแสงสีขาวเหล่านั้น คำเดียวที่ปรากฏในใจของพวกเขาก็คือ –
“ผู้ถูกเลือก”
ขณะนั้น
หลายคนลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นตระหนกและมองไปที่แสงสีขาวที่ตกลงมา
จากนั้นแสงสีขาวก็หายไป
เมืองนี้เต็มไปด้วยผู้เล่นใหม่ที่สวมเสื้อผ้าดิบๆ
แต่ชาวเมืองกลับไม่ได้กลัวพวกเขามากขึ้น แต่พวกเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนที่ถูกเลือกจะเป็นเพื่อนที่นุ่มนวลและเป็นมือใหม่
ขุนนางเปลี่ยนจากความกลัวไปสู่ความโลภ เมื่อพวกเขาพบว่าเพื่อนเหล่านี้ไม่มีภัยคุกคาม พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าผู้ถูกเลือกเหล่านี้จะเป็นตัวเลือกในการเป็นทาสที่ดี …
ผู้ถูกเลือก?
ใครกันคือผู้ที่ถูกเลือก?
เหล่าขุนนางที่มีแต่หวังผลกำไรเชื่อว่าเจตจำนงของสวรรค์เป็นเรื่องไร้สาระ
แต่ขุนนางไม่ได้เคลื่อนไหวในทันที จะเป็นอย่างไรถ้าคนที่มีหน้าตาเป็นมนุษย์มีพลังอย่างคาดไม่ถึง?
การเริ่มต้นอย่างกะทันหันของการเปิดเบต้าส่งผลกระทบต่ออาณาจักรมนุษย์อย่างมาก เหตุการณ์การทรมานผู้เล่นเกิดขึ้นได้ยาก เว้นแต่ว่าผู้เล่นเลือกที่จะเกิดในพื้นที่ของขุนนางชั่ว …
ไม่ใช่ว่าพวกเขาต้องการที่จะสงบสุข แต่ขุนนางที่มีอำนาจและผู้เชี่ยวชาญกำลังยุ่งอยู่กับการค้นหาความหมายของผู้ที่ถูกเลือก
ทำไมผู้ที่ถูกเลือกจึงลงมาในทวีปนี้?
พวกเขาเป็นนักสู้ที่ดุร้ายงั้นหรือ?
อย่างไรก็ตามขุนนางจะไม่สนใจผู้เล่นมือใหม่เหล่านี้และปล่อยพวกเขาไป
เมื่อเบต้าเปิดตัว ฟอรัมก็เต็มไปด้วยกิจกรรมมากมาย
ผู้เล่นหญิงชื่อลิตเติลแฟรี่ผู้น่ารักสร้างโพสต์พร้อมภาพหน้าจอ เธอบอกว่า “ฉันกลัวมาก NPC เหล่านั้นจ้องที่หน้าอกของฉัน โดยเฉพาะพวกขุนนางที่แต่งตัวดีๆ การแสดงออกของพวกเขาน่ารังเกียจอย่างยิ่ง”
“โชคดีที่เสื้อผ้าของฉันไม่สามารถถอดออกได้ ไม่อย่างนั้นฉันจะรู้สึกหนาวมาก…”
“เป็นไปไม่ได้ฉันคาดเดาว่ามันน่าจะร้อนกว่านี้…”
“น้องสาวคุณอยู่ที่ไหน? ให้พี่ใหญ่ปกป้องคุณไหม มาเล่นเกมด้วยกัน ฉันจะพาคุณไปที่…”
“หากผู้เล่นชายสัมผัสหน้าอกของผู้เล่นหญิงโดยที่ไม่ได้รับการอนุญาติก็จะเหมือนกับการสัมผัสต้นกระบองเพชร พวกเขาจะเสียพลังงานชีวิต”
“ฉันสามารถยืนยันได้ ตอนที่แอบจับ 100 ครั้ง พลังงานชีวิตของฉันก็ลดลง แม้แต่คุณสมบัติของฉันก็เหลือแค่ 1 …”
“เฮ้ พวกตัณหากลับ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปิดเบต้าเท่านั้น แต่คุณกลับได้ลวนลามใครบางคนไป 100 ครั้งแล้วหรอ?”
“ใช่น่ะสิ ฉันไม่สนใจเรื่องเสียพลังชีวิตและค่าสถานะหรอก ฉันสนใจการแสดงออกของผู้เล่นหญิงที่กรีดร้องมากกว่า…”
ในเมืองรุ่งอรุณ
ผู้เล่นสำรวจเมืองแห่งรุ่งอรุณด้วยความเหลือเชื่อ การเปลี่ยนแปลงของเมืองนั้นมากจนเขาอดไม่ได้ที่จะบ่นว่า “เอ้ย ฉันเคยเป็นผู้เล่นเบต้าแบบปิด มันเพิ่งครึ่งปีที่แล้วเอง เมืองแห่งรุ่งอรุณไม่ได้ใหญ่ขนาดนี้นี่นา”
“พระเจ้า ช่วยฟังสิ่งที่ NPC กำลังคุยกันสิ ท่านลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณกลายเป็นดรากอนสเลเยอร์ไปแล้วหรือ?”
“ลองดูสิ องครักษ์ในเมืองรุ่งอรุณล้วนเป็นพี่น้องมนุษย์และครึ่งเอลฟ์…”
“ขาเรียวยาวพวกนั้น…ฉันรู้สึกอยากได้สัมผัสมันสักครั้งจัง”
“อา…”
แสงสีขาวสว่างโชติช่วง
ร่างกายของผู้เล่นเสียชีวิต
เป็นอย่างที่วิลเลียมคาดไว้ ผู้เล่นประมาณ 40,000 ถึง 50,000 คนได้ปรากฏตัวนอกเมืองรุ่งอรุณ ผู้เล่นมือใหม่เหล่านี้ได้เข้าคิวเพื่อเข้าเมืองหรือเกิดในเมือง
มันเกือบจะเหมือนกันสำหรับอาณาจักรมนุษย์อีกสองแห่ง ผู้เล่น 40,000 ถึง 50,000 คนอยู่แค่หน้าประตู
ในช่วงแรกของเกมเบต้ามีผู้เล่นเพียง 15 คนเท่านั้น แต่ในปีถัดมา จำนวนผู้เล่นก็เพิ่มขึ้นและมากถึง 300,000 คน มันจะทำให้จำนวนผู้เล่นทั้งหมดทั่วโลกขึ้นเป็นตัวเลข 7 หลัก
พฤติกรรมที่น่าตื่นตาของวิลเลียมในเกมเบต้าทำให้ผู้เล่นกลุ่มใหญ่สนใจเมืองแห่งรุ่งอรุณ
ผู้อยู่อาศัยเดิมได้รับข่าวจากสวรรค์ ดังนั้นมันจึงเลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับผู้ถูกเลือกเหล่านี้ พวกเขาสังเกตการกระทำของผู้เล่นราวกับว่าพวกเขากำลังดูลิง
ท้ายที่สุดผู้เล่นก็แสดงออกอย่างบ้าคลั่ง
บางคนเริ่มเต้นรำตามท้องถนน พวกเขาโยก, ร่อน, ยืด, เตะและแม้กระทั่งเต้นบีบอย…
ผู้เล่นเผ่ามีปีกต้องปีกหักเนื่องจากพวกเขาไม่สามารถพับปีกได้
การแสดงออกของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง และเขาก็ถอนปีกออกเพราะตั้งใจที่จะฆ่าตัวตาย เขาก็หายไปในท้องฟ้าหลังจากกลายเป็นแสงสีขาว เงินในกระเป๋าของเขาถูกทิ้งไว้ที่พื้นและผู้เล่นกลุ่มหนึ่งก็รีบรุดไปขโมยทันที…
NPC รู้สึกซาบซึ้งและเต็มไปด้วยความชื่นชมต่อการพยายามฆ่าตัวตาย พวกเขาแสดงความคิดเห็นว่า “บอสช่างน่าทึ่งจริงๆ” และ “เจ๋งไปเลย”
หลังจากนั้นไม่นานนัก ผู้เล่นเผ่ามีปีกที่ฆ่าตัวตายก็ฟื้นขึ้นมา เขากลับไปที่ถนนและเริ่มเต้นรำอีกครั้ง และไร้ซึ่งความสนใจต่อเงินที่เสียไป
ใช่ ราวกับว่าเขาเป็นมหาเศรษฐี…
“ผู้เล่นเหล่านี้ ความจริงก็คือพวกเขาไร้ความระมัดระวัง สิ่งที่สำคัญที่สุดของพวกเขาคือการยืนอยู่รอบๆ ถนน…” วิลเลียมแสดงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ “แต่มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอ? อย่างน้อยพวกเขาก็ควรเป็นมืออาชีพและสวมเสื้อผ้าที่เหมาะสมก่อนที่จะมายืนอยู่บนถนนแบบนี้”
โชคดีที่ผู้เล่นไม่ได้ไร้สาระไปทั้งหมดทุกคน เหล่าคนที่ใจร้อนบางคนก็เริ่มหาภารกิจทำแล้ว
เมื่อพลเรือนพบว่าทหารยามไม่ได้หยุดเหล่าผู้ถูกเลือก พวกเขาก็โล่งใจ พวกเขายังคงสังเกตเหล่าผู้ถูกเลือกอย่างลับๆ
พวกเขาตระหนักว่าผู้เล่นมีความคิดที่จะช่วยเหลือ ดูเหมือนว่าถ้าคุณไม่ยอมให้ช่วย พวกเขาจะฆ่าตัวตายภายในไม่กี่นาที…
ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ชาวเมืองสามารถออกภารกิจได้มากมาย
ณ ทางเข้ากิลด์ทหารรับจ้างในเมืองรุ่งอรุณ
ฉางหลี จิ่วเกอและแองกี้ แฟตตี้ได้พบกันอีกครั้ง ในฐานะผู้เล่นเก่าจากการทดสอบภายในพวกเขาต้องการยืนยันว่าพวกเขายังอยู่ในกองทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณอยู่หรือไม่
มันเป็นไปโดยไม่ต้องพูด
พวกเขายังคงเป็นสมาชิกของทีมทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณ แต่เนื่องจากปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับระดับของพวกเขา พวกเขาจะไม่สามารถรับภารกิจใดๆ ได้ชั่วคราว พวกเขาจะกู้สถานะในอดีตได้ก็ต่อเมื่อกลับมาเป็นมืออาชีพอีกครั้ง
“อัพเลเวลกันก่อน หลังจากนั้น ในฐานะมืออาชีพจากสโมสรกลอรี เราก็จะสามารถเข้าร่วมทีมทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณได้” ฉางหลี จิ่วเกอยืนยันอีกครั้งถึงผลประโยชน์จากทีมทหารรับจ้างก่อนจะจากไป แผนของเขาคือการค้นหาภารกิจ, เพิ่มเลเวลไปที่เลเวล 10, แล้วก็เปลี่ยนอาชีพ
ดวงตาของแฟตตี้เป็นประกาย “ช่างเป็นแผนที่ดีอะไรแบบนี้ เราต้องใส่ให้สุดเพื่อสิ่งนี้ แล้วกิลด์ย่อยภายใต้สโมสรของคุณล่ะ?”
“…ก็ ถึงฉันจะบอกคุณไปก็ไม่เป็นไรหรอก พวกเขาจะเข้าร่วมด้วย” เมื่อฉางหลี จิ่วเกอพูดจบเขาก็วิ่งออกไป
ผู้เล่น 40,000 ถึง 50,000 คนได้มารวมตัวกันในเมืองแห่งรุ่งอรุณ พวกเขาทำการกดรับและปฏิบัติภารกิจง่ายๆ ต่างๆ
ท้ายที่สุด ภารกิจการก่อสร้างในเมืองแห่งรุ่งอรุณก็ไม่เคยหยุดนิ่ง ดังนั้นผู้เล่นที่ไม่มีทักษะใดๆ ก็เลือกทำได้แค่ภารกิจเหล่านี้เท่านั้น
งานนี้เรียกได้ว่าเป็นงานของกรรมกร
ผู้เล่นแสดงความขยันขันแข็งในการขนส่งอิฐ, ไม้และแอลกอฮอล์ ความตั้งใจในการทำงานและความสามารถในการแบกรับความยากลำบากซาบซึ้งลงไปในใจของ NPC จำนวนมาก หลายคนก็คิดว่าเหล่าผู้ถูกเลือกเป็นเหมือนเด็กมีปัญหาที่ปีนหนีออกมาจากสถานที่ยากจน
“ฉันได้ยินมาว่า NPC ในเมืองแห่งรุ่งอรุณนั้นยอดเยี่ยมมาก” ผู้เล่นเอลฟ์ถอนหายใจขณะที่เขาเคลื่อนย้ายอิฐ
“ใช่เลย บนถนนเต็มไปด้วย NPC ระดับสูงทั้งนั้น ใช่แล้วล่ะ คุณเคยไปทางทิศใต้ของเมืองหรือยัง? ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยเอลฟ์ การสำรวจครั้งหนึ่งเปิดเผยว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นบอสที่มีข้อมูลซ่อนไว้อยู่”
“เอลฟ์เหล่านี้มีผมสีเงิน และบางคนก็มีผมสีดำ ฉันจำไม่ได้เลยว่ามีเอลฟ์แบบนี้อยู่ระหว่างการทดสอบภายในด้วย”
“เหอะๆ พวกเขาไม่ได้อยู่ ฉันรู้บางอย่างเกี่ยวกับมันมา เอลฟ์ผมสีเงินคือเอลฟ์มูนไลท์และด้านบนของต้นไม้ต้นที่สูงที่สุดคือเจ้าหญิงเอลฟ์!” จู่ๆ ก็มีใครคนพูดขึ้นมา
ข้อมูลนี้ทำให้ผู้เล่นจำนวนมากมารวมตัวกัน พวกเขากระซิบกระซาบพูดคุยเกี่ยวกับข้อมูลอยู่พักหนึ่ง ราวกับว่าพวกเขาพยายามเชื่อมโยงสิ่งนี้กับวิดีโอโปรโมต
ในขณะเดียวกัน
ฟอรัมก็กำลังคุยกันในหัวข้อนี้เช่นกัน
ผู้เล่นจากเมืองรุ่งอรุณและอาณาจักรมนุษย์เริ่มต่อสู้กัน
สาเหตุเป็นเพราะเมืองแห่งรุ่งอรุณนั้นได้กลายเป็นเมืองที่ไม่เหมือนเมืองทั่วไป
ตัวแทนจากเมืองแห่งรุ่งอรุณกล่าวว่า “ปีที่แล้วฉันซื้อลิสต์มาอันหนึ่ง NPCระดับสูงในอาณาจักรมนุษย์มีน้อยมาก ถ้าคุณอยากจะไปบ่นกับผู้พัฒนาเกี่ยวกับเมืองรุ่งอรุณและให้พวกเขาแก้ไข Gods ทำไมไม่ไปฆ่าตัวตายในห้องน้ำซะเลยล่ะ?”
“คุณไม่เห็นเหรอว่าในอาณาจักรมนุษย์มีประชากรตั้งกี่คน? เมืองรุ่งอรุณเป็นเมืองที่ดีอยู่แค่เมืองเดียวรึไง? พวกเราผิดหรอที่เรามี NPC หนาแน่นกว่า?”
ตัวแทนจากอาณาจักรเหล็กกล่าวว่า“เสน่ห์ของฉันไม่ใช่อันดับ ฉันได้รับข้อมูลลับๆบางอย่างมาว่า อาณาจักรเหล็กไม่พอใจเมืองแห่งรุ่งอรุณอยู่ พวกคุณทุกคนก็แค่รอวันตายอยู่เท่านั้น”
ตัวแทนจากอาณาจักรลาวาดำกล่าวว่า “นอกจากนี้ฉันยังรู้สึกว่ามี NPC ที่มีเลเวลสูงมากเกินไปในเมืองแห่งรุ่งอรุณ มันต้องมีการร้องเรียนแล้วล่ะ”
“แต่ถ้าคุณจำวิดีโอสลับฉากได้ ในเวอร์ชัน 1.0 จะมีตัวละครหลักอยู่สามตัวในการต่อสู้ เห็นได้ชัดว่าเป็นตัวแทนของสามอาณาจักร เราจะได้เห็นกันอีกครั้งในสนามรบ อย่าไปกลัวเลย”
การต่อสู้ที่ดุเดือดในการดูหมิ่นได้เริ่มขึ้น
ผู้เล่นไม่มีเสียงสะท้อนและความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งสถานที่ที่พวกเขาเกิด
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าผู้คนจากหมู่บ้านใหม่สามารถบ่นสบถหรือแม้แต่จะดูถูกพวกเขาได้
สรุปแล้วผู้เล่นจากเมืองแห่งรุ่งอรุณก็สามารถบ่นเมืองของตัวเองได้ แต่เมืองที่เหลือนั้นไม่สามารถทำได้…
เหมือนกับว่านักศึกษาในมหาวิทยาลัยสามารถว่าโรงเรียนเก่าของตัวเองได้ แต่นักศึกษาคนอื่นว่าไม่ได้ มันเป็นเหตุผลเดียวกัน
วิลเลียมชอบดูการต่อสู้ในฟอรัมและเขาคิดว่าผู้เล่นกลุ่มนี้ควรค่าแก่การเลี้ยงดู แต่ตอนนี้เขาดูจะทำท่าหมดหวังไม่ได้
ดังนั้น
เขารอถึงสามวัน
ลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณ, ดราก้อนสเลเยอร์, ราชันแห่งเอลฟ์ วิลเลียมปรากฏตัวอย่างเป็นทางการที่จัตุรัสกลาง เขาออกมาประกาศเป็นการส่วนตัว
มันถูกส่งไปยังเมืองแห่งรุ่งอรุณทั้งหมดผ่านลำโพง นั่นทำให้ผู้เล่นทั้งหมดมารวมตัวกัน
เมื่อกลุ่มมือใหม่ที่ยังแต่งตัวด้วยอุปกรณ์ใหม่ได้ยินการแจ้งเตือนพวกเขารู้ว่าภารกิจสำคัญกำลังจะถูกปลด พวกเขารวมกลุ่มกันอย่างรวดเร็วและมาที่จัตุรัสกลาง
เมื่อไปถึงก็พบเอลฟ์สุดหล่อยืนรอพวกเขาอยู่บนเวที
ในขณะที่ผู้เล่นหญิงบางคนมองไปที่วิลเลียม พวกเธอก็อดไม่ได้ที่จะกรีดร้อง “หล่อจริงๆ หล่อไปไหน นี่เป็นสามีของฉัน…”
“เขาเป็นสามีของฉัน ไปให้พ้นคุณผู้หญิง!”
“ถอดดาบของหล่อนออกมา เขาเป็นผู้ชายของฉัน” ชายกล้ามโตหัวเราะอย่างเย็นชา เขามองไปที่ลอร์ดเจ้าเมืองด้วยความหลงใหลเช่นเดียวกับผู้เล่นหญิง
เมื่อวิลเลียมเห็นทั้งหมดนี้สีหน้าของเขายังคงความนิ่งไว้อยู่ แต่เขาก็ยิ้มเยาะอยู่ข้างในเมื่อเขาเห็นว่าผู้เล่นเกือบทั้งหมดมารวมตัวกันแล้วเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงใสๆว่า “เหล่าผู้ถูกเลือก เราได้ทำการจับตาดูพวกท่านทุกคนในสามวันนี้ ในตอนนี้ เราพบว่าท่านทุกคนเป็นคนที่มีความสามารถ, ทำงานหนักและกระตือรือร้น”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรายอมรับในความกล้าหาญของท่านที่ไม่กลัวความตาย เราขอถามท่าน ท่านยินดีที่จะช่วยเราหรือไม่?”
ในขณะเดียวกัน
ภารกิจที่วิลเลียมเตรียมไว้ล่วงหน้าถูกส่งออกไป
[ช่วยสร้างเมือง: ลอร์ดเจ้าเมือง วิลเลียม แบล็คลีฟคิดว่าคุณทุกคนทำงานหนักมาก คุณเป็นคนโชคร้ายที่ถูกสวรรค์ทอดทิ้ง เขาต้องการช่วยคุณสร้างบ้านใหม่ แต่เนื่องจากมีกำลังคนไม่เพียงพอเขาจึงต้องการให้คุณทำงานกับ NPC และสร้างเขตใหม่ที่จะเป็นบ้านในอนาคตของคุณ]
[ความยากของภารกิจ: C-]
[งานแรก: สร้างรังเล็ก ๆ ที่เป็นของคุณ]
[รางวัลภารกิจ: 3000 ประสบการณ์]
“ภารกิจลูกโซ่? เหตุใดภารกิจแรกจึงน่าประทับใจขนาดนี้” มีคนตะโกนออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ เฮ้ ภารกิจที่ลอร์ดของเรากล่าวถึงนั้นน่าประทับใจ เพียงแค่เคลื่อนย้ายก้อนอิฐส่งข้อความและขุดสมุนไพรเพียงวันเดียวก็ได้รับประสบการณ์มากกว่า 1,000 หน่วย ฉันอยู่แค่เลเวล 3 เท่านั้นประสบการณ์ที่เราจะได้รับจากภารกิจนี้ช่างยอดเยี่ยมมาก…”
“หยุดพูดก่อน มาสร้างกลุ่มกันดีกว่า มีใครอยากสร้างบ้านใหม่กับฉันไหม? ฉันสามารถช่วยคุณปลดล็อกตำแหน่งต่างๆได้”
เมื่อวิลเลียมเห็นว่ามีผู้เล่นหลายพันคนเลือกรับภารกิจในที่สุดเขาก็ยิ้มอย่างมีความสุข ภารกิจแบบนี้เรียกว่าอะไร?
เรียกว่ากลวิธีการผูกมัด!
หากเขาต้องการรักษาผู้เล่นเหล่านี้ไว้ก่อนอื่นเขาต้องให้พวกเขามีบ้านพักเสียก่อน
ผู้เล่นแสดงความเห็นชอบในการมีบ้านของตัวเองในเกม
นอกจากนี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้เงินของตัวเองเพื่อซื้อบ้าน พวกเขาสามารถสร้างมันขึ้นมาเอง มันจะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของมากขึ้น
แน่นอนว่าผู้เล่นไม่ทราบวิธีการสร้างบ้านอย่างแน่นอน แต่สำหรับสิ่งนั้นมี NPC ที่ช่วยออกแบบพิมพ์เขียว ผู้เล่นแค่ต้องย้ายอิฐ …
ต่อจากนั้น
วิลเลียมยืนอยู่บนเวทีที่จัตุรัสกลางและรอให้ผู้เล่นมารับภารกิจเช่นเดียวกับ NPC ทั่วไป
วิลเลียมคิดว่าหลังจากที่ผู้เล่นทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้วพวกเขาคงจะกลับไปทำงานเคลื่อนย้ายอิฐต่อ
แต่เขาประเมินผู้เล่นต่ำไป เขาประเมินความอยากรู้อยากเห็นของผู้เล่นต่ำเกินไป
เหล่าหน้าใหม่เดินขึ้นไปบนเวทีอย่างกล้าหาญ ดูเหมือนพวกเขาจะไม่สนใจความจริงที่ว่าวิลเลียมเป็นถึงเจ้าเมือง ในขณะที่พวกตนนั้นมาหาเขาด้วยความตั้งใจที่จะสัมผัสเขา
โชคดีที่ศักดิ์ศรีของท่านลอร์ดไม่สามารถละเมิดเอาได้ง่ายๆ ก่อนที่วิลเลียมจะพูดอะไรองครักษ์สองคนก็พร้อมที่จะชักดาบของพวกเขาออกมา
“ชิๆ ก็ไม่อยากจะพูดหรอกนะ แต่รูปลักษณ์ของท่านลอร์ดก็พอๆกับฉันเลยนะเนี่ย” ผู้เล่นคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยวิลเลียมหลังจากสังเกตเห็นเขา
“พี่ชาย คุณกลับไปมองตัวเองในกระจกดูก่อนไหม? หากใบหน้าของคุณไม่ได้ปรับความอัปลักษณ์ลง 20% พ็อดเกมของคุณคงมีกลิ่นคาวไปชั่วชีวิตแล้ว”
ผู้เล่นบางคนเริ่มบ่นผู้เล่นคนนั้นและมองวิลเลียมอย่างชื่นชมในระยะใกล้
ไม่ใช่ว่ามีแต่ผู้เล่นชายที่มาที่เมืองรุ่งอรุณเท่านั้น แต่ยังมีผู้เล่นหญิงหลายคนที่มายังเมืองแห่งรุ่งอรุณแห่งนี้อีกด้วยด้วย หลายคนไม่ได้คลั่งไคล้การอัพเลเวล
แต่จุดมุ่งหมายหลักของพวกเขาคือการค้นพบความสวยงามของเมืองแห่งรุ่งอรุณ พวกเขาได้ดูทิวทัศน์จากการถ่ายทอดสดของการทดสอบภายในและวิดีโอก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ยังมีเอลฟ์มากมายที่นี่ สำหรับพวกเขามันเป็นสถานที่ที่ดีในการพักอาศัย
แน่นอนว่ารูปลักษณ์ของวิลเลียมนั้นสำคัญที่สุด เขาเป็นเหมือนป้ายของเมืองแห่งรุ่งอรุณ!
ผู้เล่นหญิงบางคนไม่กล้าเข้าใกล้วิลเลียม พวกเธอเข้ามา ก่อนจะสร้างภาพลวงตาผ่านภาพถ่ายและแม้แต่วิดีโอ
จากนั้นพวกเธอก็จะโพสท่าจูบและกอด
เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาของวิลเลียมเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาก็ทำได้เพียงอดทน ท่านลอร์ดของพวกเขาไม่ได้ว่าอะไร แถมยังดูเหมือนเขาจะสนุกกับมันเสียด้วยซ้ำ และด้วยเหตุนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายจึงไม่ได้ลงมือทำอะไร…
ท่านลอร์ดไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้และยิ้มต่อไป ตั้งแต่ศตวรรษที่ 21 NPC บางคนในเกมมีแฟนคลับเป็นของตัวเอง พวกเขาดึงดูดผู้ชมจำนวนมาก
ตั้งแต่ Sword Heroes 3: Deep Sword Heart เมื่อหลายร้อยปีก่อน
Anduin Lothar ผู้ปกครองอาณาจักร Stormwind ใน Warcraft
และไม่นานมานี้เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วก็ยังมี Blackstar จาก Starcraft
ดังนั้น ตอนนี้การกลายเป็นไอดอลและ NPC ตัวหลักจึงเป็นจุดมุ่งหมายของวิลเลียม
เขาสามารถใช้ประโยชน์จากตำแหน่งนี้เพื่อเผยแพร่ตัวตนของเขาเข้าไปให้ทั่วฟอรัม
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีทางเลือกอื่น
ในฐานะหนึ่งในสามตัวหลักของเวอร์ชัน 1.0 วิลเลียมไม่เพียงจะปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนบ่อยครั้งเท่านั้น แต่เขายังหล่อที่สุดอีกด้วย สิ่งนี้จะไปกระตุ้นความสนใจของผู้คนจำนวนมาก
ในทางกลับกัน โกธี นาซิสและรัชทายาทแห่งอาณาจักรลาวาดำได้เฝ้าสังเกตผู้เล่นอย่างเงียบ ๆ พวกเขาไม่กล้าที่จะปรากฏตัวอย่างผลีผลาม
ตลอดช่วงบ่าย
วิลเลียมยืนอยู่ในจัตุรัส เขาอนุญาตให้ผู้คนถ่ายภาพเขาหรือถ่ายวิดีโอ และเขายังออกภารกิจให้กับผู้เล่นทางออนไลน์อีกด้วย
เมื่อกลางคืนมาถึง ก็เหลือเพียงแค่เขากับลูกน้องอีกสองคน แน่นอนว่าผู้เล่นยังสามารถรับภารกิจได้ แต่ตอนนี้ผู้เล่นต้องไปที่ป้ายประกาศที่ทางเข้าเมืองหรือห้องโถงประกาศ
สถานที่ทั้งสองนี้เป็นสถานที่ที่ดีในการรับภารกิจ
อีกวิธีหนึ่งคือการค้นหา NPC และรับภารกิจจากพวกเขา แน่นอนว่าพวกเขานั้นสามารถสัมผัสใกล้ชิดกับวิลเลียมได้ …
ท้องฟ้าค่อยๆมืดลง
ดวงดาวส่องแสงเป็นประกาย พร้อมกับดวงจันทร์สีน้ำเงินสองดวงที่ส่องประกายบนท้องฟ้า
เมื่อถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ต่ำกว่าขอบฟ้า ตะเกียงเวทย์หลายแสนดวงก็สว่างขึ้นในเวลาเดียวกัน
ในพริบตาเมืองทั้งเมืองก็กลายเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล กลับส่องสว่างด้วยโคมไฟ
ผู้เล่นหลายคนใช้ความอดทนในการขนย้ายอิฐ พวกเขาตัดสินใจที่จะพักผ่อน เมื่อมองไปที่ฉากนี้รอบๆ การแสดงออกของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความสุข พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าทิวทัศน์ในเมืองรุ่งอรุณแห่งนี้นั้นน่าทึ่งเกินไป
ตะเกียงเวทย์ห้อยลงมาจากต้นไม้ริมถนนที่ประดับด้วยดอกไม้ด้านล่าง มันเป็นภาพที่แสนจะตระการตา
ผู้เล่นหลายคนเริ่มถ่ายภาพถ่ายวิดีโอและแม้กระทั่งถ่ายทอดสด
เหลือเพียงไม่กี่คนที่กำลังชื่นชมทิวทัศน์ ดูเหมือนว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ดี
“ชิๆ ผู้เล่นในอาณาจักรมนุษย์ช่างกล้าที่จะอัพโหลดรูปภาพบนฟอรัม บนถนนก็ไม่มีห้องน้ำ ถนนและตรอกซอกซอยเต็มไปด้วยปัสสาวะและอุจจาระ ความปลอดภัยสาธารณะก็ต่ำเตี้ยเช่นกัน”
“นี่เป็นเพียงวันที่สามของเกมเบต้า ผู้เล่นหลายพันคนถูก NPC ทุบตี เพื่อนผู้โชคร้ายบางคนถูกผู้วิเศษจับไปทดลอง เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว เมืองรุ่งอรุณของเราดีกว่าชัดๆ” กลุ่มผู้เล่นห้าคนคุยกันขณะที่พวกเขาเดินไปตามถนน
คนอื่นๆ ก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ มีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับทั้งสองอาณาจักร
ในอาณาจักรเหล่านี้มีพลเรือน, ทาสและกองทหารมากมาย อย่างไรก็ตามคุณภาพโดยรวมนั้นต่ำกว่าเมืองแห่งรุ่งอรุณมาก
“เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ เพราะวิลเลียมเป็นเจ้าชายเอลฟ์ยังไงล่ะ ทั้งการกระทำและคำพูดของเขาดีกว่ามนุษย์พวกนั้นมาก” ผู้เล่นเอลฟ์คนหนึ่งหัวเราะ
ผู้เล่นอีกสี่คนมองมาที่เขาราวกับว่าเขาไม่ใช่ผู้เล่นเหมือนพวกเขา เด็กผู้หญิงคนหนึ่งพูดว่า “รู้สึกยังไงที่หาค่าประสบการณ์มากกว่าคนอื่นถึงสองเท่าล่ะ”
ผู้เล่นเอลฟ์ยิ้มกว้าง เขามาถึงเลเวล 5 เท่านั้น ในขณะที่คนที่เหลืออยู่ที่เลเวล 7 แต่เขาไม่ยอมแพ้ “แค่ค่าสถานะของฉันแข็งแกร่งก็พอแล้วหนิ นอกจากนี้คุณยังไม่รู้อีกเหรอ? ว่าหน้าตาของฉันดีกว่าพวกคุณทุกคน”
“นอกจากนี้ เมืองรุ่งอรุณยังให้ภารกิจมากกว่าที่อื่น ๆ มีโอกาสมากมายที่จะได้รับค่าประสบการณ์!”
“นั่นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่เอลฟ์ในอาณาจักรมนุษย์นั้น…”
“หืม? มีขาใหญ่คนหนึ่งจากฟอรัมใช้สกุลเงินในชีวิตจริงเพื่อซื้อเหรียญทอง เขากำลังวางแผนที่จะหมุนวงล้อ 100 ครั้งในคาสิโน ไปดูกันเลย!”
“ให้ตายสิ! ไปกันเถอะ! เราต้องไปดูแล้ว”
มีกิจกรรมบันเทิงมากมายจัดขึ้นในเมืองแห่งรุ่งอรุณตอนกลางคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อป้อมทหารถูกยึด ประตูเมืองก็ไม่ได้ปิด มี NPC หลายคนจัดปาร์ตี้แคมป์ไฟนอกเมือง ในบางครั้งก็มีผู้เล่นที่หน้าด้านและไม่มีเหตุผลที่ดื่มแอลกอฮอล์ในแคมป์ไฟ …
ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ได้รับคำเตือน
ความสัมพันธ์ของพวกเขากับ NPC นั้นลดลง …
แน่นอนว่าผู้เล่นใหม่ไม่เพียงแต่จะสามารถออกไปนอกเมืองได้ แต่พวกเขายังสามารถเลือกที่จะเดินไปรอบ ๆ และค้นหาภารกิจลับได้อีกด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โมเสสจากกระท่อมนักทำนาย ซึ่งเป็นบอสลับระดับรีเจนดารีถูกค้นพบโดยผู้เล่นได้สำเร็จแล้ว!
ดังนั้น
เป็นอีกครั้งที่ฟอรัมคร่ำครวญด้วยความปวดร้าว
“เมืองแห่งรุ่งอรุณมีอำนาจมากเกินไปแล้ว มันต้องอ่อนแอกว่านี้สิ นี่คือบอสระดับรีเจนดารีตนที่สองแล้วนะ ใครจะรู้ว่าเขามีธุรกิจลับอะไรกับลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณ”
ตัวแทนจากเมืองรุ่งอรุณกล่าวว่า “ถ้าคุณกินองุ่นไม่ได้ ก็อย่าบอกว่าองุ่นมีรสเปรี้ยว เรามีบอสระดับรีเจนดารีมากมายในเมืองรุ่งอรุณ ส่วนบอสระดับอีปิคมีอยู่ทั่วไป ระดับมาสเตอร์ก็หาได้ง่ายเหมือนหมา NPC ระดับสูงก็มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง”
“ถ้าคุณเป็นคนขี้อิจฉาก็ช่างมันเถอะ สิ่งที่คุณทำคือบ่นราวกับว่าเจ้าหน้าที่ของ Gods แคร์งั้นแหละ”
“หยุดทะเลาะกัน หากไม่เห็นด้วยมาสู้กัน อาณาจักรลาวาดำไม่กลัวใครหรอกเว้ย” ตัวแทนจาก อาณาจักรลาวาดำกล่าว
ผู้สัญจรผ่านไปมากล่าวว่า “พี่ชาย ท่านว่าผู้คนสนใจเรื่องของอาณาจักรลาวาหรือไม่…”
ตัวแทนจากอาณาจักรลาวาดำถูกปล่อยให้พูดไม่ออก
เป็นอีกครั้งที่คาสิโนในเมืองรุ่งอรุณเต็มไปด้วยผู้เล่นกลุ่มใหญ่
พวกเขารวมตัวกันเพื่อดูผู้เล่นคนหนึ่งหมุนวงล้อแห่งโชคลาภ 100 ครั้ง ก็เท่ากับใช้เงินไปทั้งหมด 100 เหรียญทอง ตามอัตราปัจจุบันผู้เล่นคนนี้ต้องจ่ายอย่างน้อย 10,000 เหรียญเงินก่อนถึงจะสามารถรับเหรียญทองจำนวนมากจากผู้เล่นได้
เขาดึงดูดความสนใจของแองกี้ แฟตตี้อีกด้วย เขาวิ่งมาทันทีและเริ่มการถ่ายทอดสด เขายังอยากเห็นว่าคนอื่นโชคดีแค่ไหน
นอกจากนี้ชื่อผู้ใช้ของขาใหญ่คนนี้ยังน่าประทับใจมาก เขาตั้งชื่อตัวเองว่า ‘แกจะทำอะไรฉันได้’ เผ่าพันธุ์ที่เขาเลือกคือเอลฟ์และเขามาถึงเลเวล 6 แล้ว
เมื่อพิจารณาว่าเอลฟ์นั้นอัพเลเวลยากเพียงใด เพราะพวกเขาต้องใช้ค่าประสบการณ์สองเท่า เขาจึงทำงานหนักและมีชีวิตชีวามาก
เขาเห็นว่ามีฝูงชนมารวมตัวกันแล้ว มันทำให้เขาพอใจมากจนแทบจะระเบิด
เขาเดินไปที่ทางเข้าของคาสิโนและพูดอย่างฟุ่มเฟือยว่า “เอาวงล้อแห่งโชคลาภออกมา ฉันต้องการหมุนมัน 100 ครั้ง”
ตาของผู้ดูแลสว่างขึ้น คนรวยแบบนี้หายากนัก เขาไม่เสียเวลา ก่อนจะหยิบวงล้อแห่งโชคลาภออกมาทันที
การทำธุรกิจสกปรกจึงเกิดขึ้น
จากนั้นผู้ดูแลก็ยื่นมือออกมาและหรี่ตา นี่เป็นสัญญาณว่าผู้เล่นคนนี้สามารถเริ่มเล่นได้
ด้วยเหตุนี้ ‘แกจะทำอะไรฉันได้’ จึงเริ่มหมุนวงล้อท่ามกลางเสียงตะโกนจากผู้เล่นคนอื่น ๆ …
“100 เหรียญทองแดง!”
“ 1 เหรียญทอง!”
“ 10 เหรียญเงิน!”
“ 10 เหรียญเงิน!”
“ 10 เหรียญเงิน!”
“ 100 เหรียญทองแดง!”
“หมวกของชุดต่อสู้ระยะประชิด (สีน้ำเงิน) ระดับเริ่มต้น!”
“ 10 เหรียญเงิน!”
ผ่านไปไม่นานหลังจากหมุน 100 ครั้ง เขาได้รับอุปกรณ์เงินหนึ่งชุด อุปกรณ์สีน้ำเงินห้าชุด และได้รับกลับมา 13 เหรียญทอง
แต่เขายังใส่มันไม่ได้
นอกจากนี้ผู้ดูแลจากคาสิโนยังยิ้มและบอกเขาว่า เขาสามารถเก็บอุปกรณ์ของเขาไว้ในคาสิโนชั่วคราวได้ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับมัน
ดังนั้น
วงล้อแห่งโชคลาภที่คาสิโนจึงได้รับความนิยมอย่างมาก!
ผู้เล่นที่เคยไปเยี่ยมช่างตีเหล็กได้ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง ชุดอุปกรณ์เงินจากช่างตีเหล็กจะมีราคามากกว่าถึง 200 เหรียญทอง แต่‘แกจะทำอะไรฉันได้’ใช้เงินไปแค่ 100 เหรียญทอง กลับได้รับอุปกรณ์เงินหนึ่งชุดและอุปกรณ์สีน้ำเงินห้าชุด มันเป็นการขโมยกันชัดๆ …
ในช่วงเวลาหนึ่ง
ผู้เล่นกลุ่มใหญ่มาหมุนวงล้อแห่งโชคลาภขนาดเล็ก
ท้ายที่สุดแล้ว วงล้อแห่งโชคลาภขนาดใหญ่ที่มีราคาสิบเหรียญทองต่อการหมุนครั้ง ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถจ่ายได้
คาสิโนในเมืองรุ่งอรุณกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก
แต่สิ่งที่ตามมาของกระแสนิยมก็คือความปวดร้าว …
การพนันรูปแบบนี้ส่งผลให้ผู้เล่นหลายพันคนหมดตัวจนไม่เหลือแม้กระทั่งกางเกง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถคว้าอุปกรณ์ระดับเงิน อุปกรณ์สีน้ำเงินหรือเงินทองได้สำเร็จ
ส่วนมากไม่ได้รับอะไรเลย พวกเขาหลายสิบคนถึงกับอดตาย …
แต่บางคนก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ ถ้าเขาหมุนวงล้อ 100 ครั้งเขามีโอกาส 80% ที่เขาจะได้รับชุดอุปกรณ์สีน้ำเงินอย่างน้อยหนึ่งครั้ง!
“ให้ตายเถอะฉันเสียเหรียญทองไปหมดแล้ว ชีวิตมีขึ้นมีลงมากเกินไป ฉันไม่สามารถรับได้อีกแล้ว!”
“พี่ชายพูดถูก ชีวิตของนายนั้นขึ้นสูงก่อนจะต่ำลง ต่ำลง ต่ำลง… “
“ …” คนที่ได้รับการปลอบประโลมคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ มือขวาของเขาจับดาบของเขาช้าๆ
“เฮ้ เป็นไปได้ไหมว่าใครบางคนกำลังควบคุมวงล้อแห่งโชคลาภจากเบื้องหลัง?” ผู้เล่นบางคนเริ่มพูดคุยกัน
“ไม่น่านะ แต่เราควรไปที่สำนักงานของเจ้าเมืองและแจ้งปัญหานี้หรือไม่ บางทีอาจขอให้ท่านลอร์ดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้…”
ทันใดนั้น แองกี้ แฟตตี้ก็ปรากฏตัวขึ้นและหัวเราะ “อย่าคิดมากเลยน่า เมืองทั้งเมืองเป็นของท่านลอร์ด ทั้งโรงแรม บาร์และคาสิโน ทุกอย่างเป็นของเขา เงินทั้งหมดนี้จะไปที่ห้องเก็บสมบัติของเขา นายยังต้องการไปหาเขาเพื่อแสดงความคิดเห็นอีกหรือไม่?”
“ …” กลุ่มผู้เล่นเริ่มพูดไม่ออกกับคำพูดของแฟตตี้
แต่นี่คือการพนัน
มันไม่ได้ถูกบังคับ เป็นการตัดสินใจที่จะเล่นต่อไป
แม้ว่าจะเป็นที่น่าพอใจที่ได้รับเงิน แต่มันจะดีกว่าถ้าได้รับเงินต่อไป …
แน่นอนว่าหากไม่มีทรัพยากรในการหมุนวงล้อ 100 ครั้งก็ไม่ควรฝืนตัวเอง จากนั้นพวกเขาจะต้องรับความเสี่ยงและต้องพิจารณาด้วยว่าโชคของตนเองนั้นสูงแค่ไหน
นอกจากนี้เกม Gods ยังสมดุล ไม่มีค่าสถานะใดที่สามารถซื้อได้จากตลาด
ที่น่าสนใจคือระบบจับรางวัลนี้ดูเหมือนจะปรากฏในเมืองแห่งรุ่งอรุณ แต่ในที่อื่นไม่มี…
ควรกล่าวว่าอย่างไรดี? ผู้เล่นจากอาณาจักรมนุษย์มีความรู้สึกว่าพวกเขามีชีวิตที่แตกต่างมากเมื่อเทียบกับผู้เล่นในเมืองแห่งรุ่งอรุณ ราวกับว่าพวกเขากำลังเล่นเกมอื่นอยู่!
ผู้เล่นจากเมืองรุ่งอรุณมีอิสระในการท่องเที่ยวในยามค่ำคืน มีทั้งการเล่นการพนัน ปีนกำแพง ซ่องและชื่นชมผู้คุ้มกันเมืองในระยะใกล้ พวกเขาสามารถจัดปาร์ตี้แคมป์ไฟนอกเมืองได้อีกด้วย…
แล้วคนในอาณาจักรมนุษย์ล่ะ
พวกเขาไม่มีเงินเหลือและต้องแบกรับความหิวโหยขณะหาอาหาร พวกเขาเร่ร่อนมองหาภารกิจ
NPC เป็นศัตรูกับพวกเขามาก ในทุกวันผู้เล่นใหม่จะถูกผู้วิเศษและนักเวทผู้ชั่วร้ายจับและนำพวกเขาไปทดลอง
เมื่อพวกเขาถูกลักพาตัวไป แต่ด้วยความไร้เดียงสาของพวกเขา ผู้เล่นจึงคิดว่าพวกเขาได้รับภารกิจลับ พวกเขาไม่ได้ต่อต้าน ตรงกันข้ามพวกเขาร่วมมือกับผู้จับกุมด้วยซ้ำ
ในท้ายที่สุดพวกเขาพบว่านักเวทต้องการที่จะตัดตัวเขาออกเป็นชิ้น ๆ พวกเขาต้องการจับวิญญาณของพวกเขาและค้นคว้าความลับเบื้องหลังความเป็นอมตะของพวกเขา
สิ่งนี้ทำให้ผู้เล่นหลายคนตกอยู่ในความเศร้าโศกมากจนพวกเขาอยากตาย พวกเขาเริ่มฆ่าตัวตาย …
ขุนนางบางคนต้องการจับผู้เล่นเป็นทาส ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดความขุ่นเคืองต่ออาณาจักรมนุษย์ในหัวใจของผู้เล่น
โชคดีที่สิ่งนี้มักเกิดขึ้นในสถานที่ที่การรักษาความปลอดภัยสาธารณะไม่ดี ถ้าไม่เช่นนั้นผู้เล่นหลายคนก็จะลบบัญชีและฝึกฝนอีกครั้ง …
นอกจากนี้ผู้เล่นมีทักษะสองอย่างตามธรรมชาติ อย่างแรกคือการอ่านค่าสถานะของฝ่ายตรงข้าม และอย่างที่สองคือการฆ่าตัวตาย
ราวกับว่าผู้บงการที่อยู่เบื้องหลัง Gods ได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าผู้เล่นจะต้องเสียใจมากหลังจากที่พวกเขาเข้าสู่เกมครั้งแรก ดังนั้นพวกเขาจึงเตรียมทักษะอย่างการฆ่าตัวตายให้กับผู้เล่น
ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ อัตราการฆ่าตัวตายของผู้เล่นในอาณาจักรมนุษย์สูงถึง 10,000 คน แม้ว่าพวกเขาจะโชคดี หากผู้เล่นฆ่าตัวตายก่อนถึงเลเวล 10 ค่าประสบการณ์จะไม่ลดลง หากไม่เป็นเช่นนั้นพวกเขาจะลบบัญชีของตนเอง
แต่การฆ่าตัวตายและการฟื้นขึ้นมาในภายหลังก็ทำให้ความอยากรู้อยากเห็นของนักเวทหยุดชะงัก
พวกเขาตระหนักว่าไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรพวกเขาไม่สามารถหยุดผู้ถูกเลือกจากการฆ่าตัวตายได้ …
โชคดีที่นักเวทไม่ใช่คนโง่เง่า เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถบังคับให้ผู้เล่นทำการวิจัยได้พวกเขาจึงหลอกล่อพวกเขาแทนโดยเสนอผลกำไร!
ท้ายที่สุดแล้ว ลักษณะนิสัยของผู้เล่นก็ปรากฏชัดเจนในสองสามวันที่พวกเขาอยู่ในเกม ตราบใดที่พวกเขามีค่าประสบการณ์และเงิน พวกเขาก็จะทำทุกอย่างรวมถึงขายร่างกาย …
ดังนั้นผู้เล่นหลายคนจึงยอมรับภารกิจลับ
พวกเขาอนุญาตให้นักเวทสัมผัส…เอ่อ ค้นคว้าร่างกายของพวกเขา พวกเขาเข้าร่วมกับธุรกิจที่สกปรกเหล่านี้
เมื่อวันเวลาผ่านไป
เช่นเดียวกับลูกไก่ ผู้เล่นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ด้วยความช่วยเหลือของ NPC การก่อสร้างของพวกเขาเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นภารกิจมากมายเริ่มปรากฏขึ้นและค่าประสบการณ์ที่ได้รับก็ระเบิดขึ้น ผู้เล่นยังทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างพื้นที่เขตใหม่ของพวกเขา
หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ผู้เล่นบางคนถึงเลเวล 10 แล้ว ตอนนี้พวกเขาสามารถเปลี่ยนอาชีพและกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับเริ่มต้นได้แล้ว
แต่ทว่า
นอกจากนี้ยังเป็นทางเลือกที่ยากสำหรับหลาย ๆ คน ผู้เล่นที่ไม่เด็ดขาดเกิดความลังเล
มีอาชีพมากเกินไป …
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาค้นพบข้อมูลสำคัญ
ว่ามันไม่มีขีดจำกัด ในการเปลี่ยนอาชีพ …
ดังนั้นในระยะหนึ่งจึงมีคนเพียงไม่กี่คนที่เลือกเปลี่ยนอาชีพ พวกเขาสงสัยว่ามีแผนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ เมื่อพิจารณาว่าเกม Gods นั้นน่ารำคาญแค่ไหนมันก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
แต่…
มีคนเริ่มบ่นในฟอรัม ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากแกจะทำอะไรฉันได้ ขาใหญ่ที่หมุนวงล้อแห่งโชคลาภ 100 ครั้ง
ทันทีที่เขาส่งภาพหน้าจอของค่าประสบการณ์ที่เขาได้รับเธรดก็ระเบิด …
ประสบการณ์ที่เขาต้องการในการอัพเกรดตัวละคร พลังการต่อสู้ หนังสือลับและทักษะทีละระดับมีจำนวนถึง 64,000 …
ดูเหมือนว่าผู้คนจะเข้าใจ แต่ผู้เล่นหน้าใหม่ที่แสนไร้เดียงสาก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ลูกพี่ คุณทำอย่างนั้นได้อย่างไร? เป็นไปได้ไหมว่าคุณมีอาชีพแฝง”
“ไม่ ฉันใช้พลังการต่อสู้ทั้งหมดของฉันเพื่อเปลี่ยนอาชีพเพียงครั้งเดียว…”
“คุณต้องใช้เงินมากแค่ไหนกันเนี่ย…”
แกจะทำอะไรฉันได้ก็เงียบลง จากนั้นเขาก็ส่งข้อความสุดท้าย “ฉันจะกลับมา ฉันจะลบบัญชีของฉันและเริ่มใหม่อีกครั้ง…”
แน่นอน
สถานการณ์แบบนี้ไม่ได้มีเฉพาะเขาเท่านั้น
ผู้เล่นเอลฟ์หลายคนก็ตัดสินใจที่จะลบและเริ่มใหม่อีกครั้ง มันยากเกินไปที่จะได้รับค่าประสบการณ์สองเท่าในการเลื่อนระดับ …
นอกจากนี้หากพวกเขาเลือกอาชีพการต่อสู้สองอาชีพ ค่าประสบการณ์ที่พวกเขาต้องการในการเลื่อนระดับก็จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น ผู้เล่นที่ไม่กระตือรือร้นในเรื่องนั้นก็เลือกที่จะลบบัญชีของพวกเขาและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
ในระยะสั้นองค์ประกอบการสำรวจของ Gods ทำร้ายผู้เล่นหลายคน
แต่เนื่องจากเป็นช่วงแรกของเกมจึงไม่ได้สำคัญอะไรมาก
ในฐานะเจ้าเมืองวิลเลียมทำได้เพียงกระตุ้นให้ผู้เล่นเหล่านี้ลองสำรวจ …
สำหรับแองกี้ แฟตตี้ เขาเป็นผู้ประกาศข่าวที่ยอดเยี่ยมและเคยมีส่วนร่วมในการทดสอบภายใน เขาเตรียมแผนการเปลี่ยนอาชีพและกำลังจะแนะนำเรื่องนี้
“อะแฮ่ม ทุกคนฉันคือแองกี้ แฟตตี้!”
เขายังไม่ปรากฏบนหน้าจอ แทนที่จะเป็นใบหน้าที่ไม่หล่อเหลาของเขา หน้าจอแสดงแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพ ท้ายที่สุดเขาไม่ใช่วิลเลียม ไม่มีใครสนใจที่จะเห็นใบหน้าของเขา …
เขาพูดต่อ “ในฐานะผู้เล่นที่ช่ำชองในเมืองรุ่งอรุณซึ่งเคยอยู่ที่นี่ในการทดสอบภายใน ฉันขอเสนอแผนการเปลี่ยนอาชีพให้กับคุณ
“แต่ฉันไม่ใช่ผู้นำเสนอเพียงคนเดียว ฉางหลี จิ่วเกอจากสโมสรกลอรีก็มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วย”
“อย่างแรกเกม Gods นั้นไม่จำกัดจำนวนอาชีพ นั่นหมายความว่าคุณสามารถเรียนรู้อาชีพทั้งหมดได้
“แต่ยังมีบางอย่างที่ไม่ชัดเจนมากนัก ฉันจะอธิบายให้พวกคุณทั้งหมดฟัง หากคุณมีอาชีพหลักในการรบและคุณต้องการเลือกอาชีพการรบอาชีพที่สอง จำนวนค่าประสบการณ์ที่จำเป็นในการเลื่อนระดับจะทวีคูณขึ้นเป็นสองเท่า นอกจากนี้หนังสือและทักษะลับด้านพลังต่อสู้จะไม่เพิ่มระดับด้วยคะแนนทักษะ มันยังต้องใช้ค่าประสบการณ์
“เมื่อรวมสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน คุณก็จะได้จำนวนค่าประสบการณ์ที่จำเป็นในการเพิ่มเลเวลตัวละครของคุณ!
“ดังนั้นจึงไม่ควรมีอาชีพสายต่อสู้สองอาชีพขึ้นไป สิ่งนี้จะทำให้คุณต้องใช้จำนวนค่าประสบการณ์เป็นสองเท่าในการอัพเลเวล นอกจากนี้ยังลดอัตราที่คุณจะเพิ่มเลเวลอีกด้วย
“ถ้าคุณเป็นผู้เล่นเอลฟ์ มันจะแย่ยิ่งกว่านี้ จำนวนค่าประสบการณ์ที่คุณต้องการจะเพิ่มเป็นสี่เท่า …
“ดังนั้น ฉันจะให้คำแนะนำง่ายๆแก่คุณ
“คนที่ร่ำรวยและเต็มใจที่จะทำงานหนักสามารถเลือกที่จะมีอาชีพสายต่อสู้สองอาชีพ คุณจะมีเงินเพียงพอสำหรับหนังสือลับที่ใช้ในการเปลี่ยนอาชีพตลอดจนทักษะและอุปกรณ์”
“เป็นไปได้ที่จะอดทนต่อประสบการณ์สองครั้งที่จำเป็น ฉันได้ค้นพบว่าร้านขายยาขายของที่ให้ค่าประสบการณ์สองเท่า พวกเขาดูเหมือนจะเรียกว่าอาหารเม็ด พวกเขาสามารถลดระยะเวลาที่ต้องใช้ในการเลื่อนระดับได้อย่างมาก”
“สำหรับผู้เล่นทั่วไปที่ต้องการเปลี่ยนอาชีพให้เลือกอาชีพสายต่อสู้หลักหนึ่งอาชีพและอีกอาชีพหนึ่งเป็นอาชีพในการดำเนินชีวิต”
“หากคุณทำงานหนักในอาชีพสายดำเนินชีวิต คุณจะสามารถสร้างผลประโยชน์ที่จะช่วบสนับสนุนอาชีพหลักของคุณได้”
“ต่อไปฉันจะแนะนำลักษณะของอาชีพบางอย่าง…”
สตรีมสดดำเนินต่อไป
แองกี้ แฟตตี้ยังอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับอาชีพของ NPC ในเมืองรุ่งอรุณ
โดยส่วนใหญ่คล้ายกับแผนการของแฟตตี้ สำหรับผู้เล่น NPC จำนวนมากมีอาชีพสายต่อสู้สองอาชีพ หรืออาชีพสายต่อสู้หนึ่งอาชีพและหนึ่งอาชีพเป็นสายดำเนินชีวิต
แม้แต่ลอร์ดวิลเลียมก็เช่นเดียวกัน
ในขณะเดียวกันเมื่อผู้เล่นกลุ่มแรกก้าวไปสู่เลเวล 10
สงครามขนาดย่อมก็เกิดขึ้นที่พรมแดนของอาณาจักรเหล็กและอาณาจักรลาวาดำ…
ทะเลปุยเมฆกว้างใหญ่ค่อยๆเคลื่อนเข้ามาในระยะสายตา
วิลเลียมไปถึงหน้าผาที่คั่นภูเขากับทะเล เขาจ้องมองไปที่มหาสมุทรอันไร้ขอบเขต ก่อนจะหายใจเข้าลึก ๆ ทิวทัศน์ทำให้เขาดูเหมือนทวยเทพผู้เป็นอมตะที่ถูกเนรเทศลงมายังโลกมนุษย์
“มีบางอย่างผิดปกติ…” ทันใดนั้น วิลเลียมก็มองไปยังกองทัพของตน แล้วพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“ท่านลอร์ด ท่านอยากคุยเรื่องอะไร? เรามาที่นี่ทำไมกันหรือ?” ลอทเนอร์มองลงไปที่ภูเขา ก่อนจะกลืนน้ำลาย
ภูเขาสูงประมาณ 2,000 ถึง 3,000 เมตร ถือว่าไม่สูงมาก แต่เมื่อพิจารณากับร่างกายของเขาแล้ว ถ้าเขาตกลงไป จะต้องตายอย่างแน่นอน …
ทำไมเขาถึงคิดเรื่องนี้กัน? เขารู้สึกว่าวันนี้วิลเลียมไม่ปกติ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าวิลเลียมวางแผนที่จะผลักเขาลงจากภูเขา?
“อา! ไม่มีอะไรหรอก เราแค่อยากเห็นทะเลและผืนน้ำ…” วิลเลียมยิ้ม เขาดูหนักใจ
เขาไม่ได้สนใจความรู้สึกที่ไม่สบายขณะที่เขานั่งอยู่บนยอดเขา เขาถามว่า “มีการโจมตีเกิดขึ้นในเมืองเล็ก ๆ ใกล้พรมแดนของอาณาจักรเหล็กหรือไม่”
“ดูเหมือนว่าจะมี และสาเหตุของมันก็แปลกมาก…”
“ว่ามา!”
ลอทเนอร์ลูบเคราที่สากและยาวเล็กน้อย เขาดึงปอยผมออกและยิ้มอย่างเจ็บปวด “ว่ากันว่าแพะตัวหนึ่งหายไปจากค่ายทหารในอาณาจักรลาวาดำ คิดว่านักล่าจากอาณาจักรเหล็กเอามันไป
“ดังนั้นในเวลากลางคืนอาณาจักรลาวาดำ จึงส่งกองทัพ 1,000 นาย ไปทำลายเมืองทั้งเมือง อาณาจักรเหล็กจึงพยายามต่อสู้กลับ…”
“หึหึ ช่างเป็นแผนการที่น่าประทับใจ” วิลเลียมลูบคางของเขา เขาไม่คาดคิดว่าอาณาจักรเหล็กจะมีแผนเช่นนี้และกล้าโจมตี
ที่ถูกต้องคือ
เป็นอาณาจักรเหล็กที่โจมตีเมืองเล็ก ๆ ในดินแดนของตนเอง
พวกเขาวางแผนที่จะใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างและส่งกองกำลังไปยังอาณาจักรลาวาดำ
นอกจากนี้รัชทายาทแห่งอาณาจักรลาวาดำก็ไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนมารองรับ มันปรากฏชัดเจนว่าเป็นความผิดของเขา สิ่งนี้ส่งผลกระทบมาจากการเที่ยวกลางคืนของเขา และเขาไม่อาจแม้แต่จะโทษคนอื่นได้
แต่เมืองแห่งรุ่งอรุณในปัจจุบันมีผู้คนเป็นจำนวนมาก มีทั้งเงินและธัญพืชมากมาย ทหารเองก็แข็งแกร่งมาก ไม่ใช่กองกำลังที่เมืองเล็ก ๆ ตามชายแดนจะสามารถมาแข่งขันได้
นอกจากนี้ยังมีความไม่พอใจและความเกลียดชังระหว่างอาณาจักรเหล็กและอาณาจักรลาวาดำ วิลเลียมไม่เข้าใจว่าอาณาจักรเหล็กไม่กลัวว่าเขาจะใช้โอกาสนี้เพื่อช่วยอาณาจักรลาวาดำหรอกเหรอ?
หรือพวกเขาควรนั่งเฉยๆและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในภายหลัง?
“ท่านลอร์ดคิดว่ายังไง?” ลอทเนอร์ตระหนักดีถึงสถานการณ์ตึงเครียดที่เกิดจากอาณาจักรมนุษย์ทั้งสองนี้ เมืองรุ่งอรุณไม่ควรเฝ้าดูหนึ่งในนั้นแข็งแกร่งขึ้นหรือปล่อยให้หนึ่งในนั้นกำจัดอีกฝ่าย
ทั้งสองกรณีจะไม่เป็นประโยชน์ต่อเมืองรุ่งอรุณ
แต่มีความจริงอย่างหนึ่งที่วิลเลียมต้องยอมรับ เมืองรุ่งอรุณไม่สามารถส่งกองกำลังออกไปได้
ปัจจุบัน เมืองรุ่งอรุณทำหน้าที่เป็นฝ่ายที่เป็นกลาง มันก็ดีถ้าเขาโจมตีอาณาจักรเหล็กใกล้เขตแดนของพวกเขาหรือขโมยป้อมปราการทางทหารของพวกเขา
แต่การเข้าสู่อาณาจักรมนุษย์หมายถึงการประกาศสงคราม พวกเขาจะไม่เป็นกลางอีกต่อไป พวกเขาจะต้องเข้าร่วมกับฝ่ายมืดหรือฝ่ายสว่าง
มนุษย์ต่างอยู่ในค่ายสว่าง
หากอาณาจักรต่างๆต่อสู้กัน ผลลัพธ์ไม่ว่าจะเป็นการกำจัดหรือการปล้นสะดมก็ไม่สำคัญกับจักรวรรดิที่พวกเขาให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดี พวกเขาจะไม่กังวลกับเรื่องนี้มากนัก ตราบเท่าที่การทำลายล้างครั้งใหญ่ยังไม่เกิดขึ้น วิหารแห่งแสงก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวเช่นกัน
แต่ถ้าดินแดนที่เป็นกลางเช่นเมืองรุ่งอรุณไปแทรกแซงในการต่อสู้ระหว่างอาณาจักรมนุษย์ มันจะไม่ใช่การต่อสู้ภายในอีกต่อไป มันจะเปลี่ยนเป็นการต่อสู้ระหว่างค่าย
อาจกล่าวได้ว่าอาณาจักรมนุษย์มีบิดามารดา…
แต่ฝ่ายที่เป็นกลางอย่างวิลเลียมไม่มีใครดูแลเขา…
เว้นซะแต่ว่าวิลเลียมจะประกาศความภักดีต่ออาณาจักรมนุษย์ …
แน่นอนคำมั่นสัญญาดังกล่าวจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ เช่นเดียวกับนายทหารที่อยู่เหนือกองทหารเขาสามารถส่งพวกเขาออกไปได้โดยไม่เต็มใจ …
แต่ก็มีข้อเสียที่เกี่ยวกับการย้ายฝ่ายเช่นกัน แหล่งที่มาของแรงกดดันต่างๆเช่นภาษีประจำปี การหมุนเวียนของทาสและการจัดหาสมบัติ พวกเขาจะสูญเสียอิสรภาพ
“แต่ถ้าพวกเขาคิดว่าเราจะทำอะไรไม่ถูก พวกเขาก็ดูถูกเรามากเกินไป เราเตรียมการไว้หมดแล้ว!” วิลเลียมหรี่ตา เขาหยิบม้วนกระดาษเวทมนตร์ออกมาและส่งข้อมูลให้ผู้ส่งสารกิลด์ทหารรับจ้าง โรเดอริค วิลเลียมอยากพบเขาที่ที่เก่าของพวกเรา
หลังจากนั้นไม่นาน
โรเดอริคก็ตอบกลับมา “ที่เก่าคือที่ไหน?”
“ห้องประชุม สถานที่ที่ท่านล็อคตัวผู้ส่งสารของราชวังแห่งความมืดไว้ และให้ผู้ส่งสารของวิหารแห่งแสงโจมตีเขาได้”
“ ……” โรเดอริคจำได้ทันที เขาตอบด้วยจุด 12 จุด
ที่กิลด์ทหารรับจ้างในอาณาจักรลาวาดำ
ในฐานะผู้ส่งสารของทหารรับจ้างในพื้นที่ตะวันออกเฉียงใต้ โรเดอริคมีอำนาจมาก
เขาเป็นหัวหน้าของพื้นที่นี้ ตำแหน่งของเขาสูงกว่าผู้สื่อสารคนอื่น ๆ ในเมือง เขานั่งบนเตียงและแตะผู้หญิงที่เปลือยเปล่าข้างๆเขาเบาๆ
แปะๆ
ภรรยาของผู้ส่งสารของกิลด์ทหารรับจ้างในราชวังลาวาดำลูบบั้นท้ายของเธอ เธอลุกขึ้นด้วยท่าทางที่น่ารักและค่อยๆใส่ถุงน่อง กระโปรงและรองเท้าส้นสูง ก่อนจะเดินออกไป …
มุมปากของโรเดอริคกระตุก เขาสัมผัสได้ว่าเขาจะต้องจ่ายให้กับการหลับนอนกับภรรยาของผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา
“ลองโลภมากขึ้นดีไหมเนี่ย?” โรเดอริคเข้าใจดีว่าหากอาณาจักรมนุษย์ทั้งสองต่อสู้กัน กองทหารรับจ้างจะเป็นกำลังหลักในสงคราม
ผู้ส่งสารของสมาคมทหารรับจ้าง ในราชวังมีกองทหารรับจ้างหลายสิบคนอยู่ภายใต้สังกัดของพวกเขา ในฐานะคนกลางระหว่างขุนนาง กองทหารรับจ้างเขาสามารถหาเงินได้มากมาย …
ท้ายที่สุด ยิ่งสงครามใกล้เข้ามามากขึ้น ทหารรับจ้างก็ยิ่งมีภารกิจมากขึ้นตาม และเขาก็จะสามารถได้รับเงินมากขึ้นอีกด้วย
แน่นอนโรเดอริครู้เรื่องนี้ ดังนั้นเมื่อภรรยาของผู้ใต้บังคับบัญชาเข้ามาใกล้ เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ …
“ดรากอนสเลเยอร์, ท่านลอร์ดที่มีสายเลือดราชวงศ์, เจ้าชายแห่งเอลฟ์แบล็คลีฟ วิลเลียมผู้นั้นพยายามจะทำอะไรกัน? มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่เขาจะเข้าร่วมสงครามของอาณาจักรมนุษย์ เป็นไปได้ไหมว่า…” โรเดอริคเบิกตากว้างราวกับรับรู้อะไรบางอย่าง จู่ๆเขาก็ลุกขึ้นยืนโดยที่ยังเปลือยอยู่
โรเดอริคน้อยของเขาก็สั่นราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน
แต่โรเดอริคก็ขมวดคิ้วและครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง ถ้าวิลเลียมเป็นคนทำก็ไม่น่ามีปัญหา
ตามกฎของกิลด์ทหารรับจ้าง
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มทหารรับจ้างใด ๆ เมื่อพวกเขาได้รับภารกิจ พวกเขาก็สามารถเข้าร่วมในสงครามของอาณาจักรมนุษย์ได้อย่างอิสระ
“หึ หากท่านต้องการโน้มน้าวข้า ท่านก็ต้องสัญญาว่าข้าจะได้รับประโยชน์จากมันด้วย!” โรเดอริคแต่งตัวและจากไปพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
สงครามของทั้งสองอาณาจักรเพิ่งเริ่มต้น มันยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและการต่อสู้ที่แท้จริงยังไม่เริ่มขึ้น
ดังนั้นผู้เล่นจึงได้แต่พูดคุยเกี่ยวกับการต่อสู้ที่พรมแดนเท่านั้น ท้ายที่สุดพวกเขาส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ…
แต่ผู้เล่นทุกคนไม่เหมือนกัน …
จะมีผู้เล่นที่ร่ำรวย เลเวลของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเขาอัพเกรดคำภีร์และทักษะลับของพวกเขาด้วยซ้ำ
ในขณะนั้นผู้เล่นหลายสิบคนรวมตัวกันในราชวังลาวาดำ พวกเขาเป็นสมาชิกของคลับความรุ่งโรจน์แห่งสหัสวรรษ และกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับเริ่มต้น พวกเขายังมีชุดอุปกรณ์สีน้ำเงินอีกด้วย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกเขานั้นสามารถเข้ากันได้ดี เช่นเดียวกับสโมสรในเครือของพวกเขาได้ระดมทุนจากแฟน ๆ ที่ใช้เหรียญเงินมากมายเพื่อไอดอลของพวกเขา ซึ่งจะช่วยให้ผู้เล่นมืออาชีพประหยัดเวลาและความพยายามในการเพิ่มเลเวลลงได้ นอกจากนี้พวกเขายังไม่มีปัญหาเรื่องเงิน
หัวหน้าของสโมสรความรุ่งโรจน์แห่งสหัสวรรษ ฟอเอเวอร์ อโลนยืนอยู่คนเดียวที่ทางเข้าของกิลด์ทหารรับจ้าง ดูเหมือนว่าเขาจะคิดอยู่นาน เขาตัดสินใจเลือกนักรบดาบคู่เป็นอาชีพหลักและยังไม่ได้เลือกอาชีพย่อยของเขา
ตามแผนของเขา ถ้าเขายังไม่พบอาชีพย่อยลับ เขาจะรอจนกว่าค่าสถานะของเขาจะตื่นขึ้นที่เลเวล 40 จากนั้นเขาจะเลือกอาชีพเสริมที่เป็นนักเวทย์
แต่มันเป็นเรื่องยากในฐานะผู้เล่นเลเวล 12 ที่โดดเดี่ยว เขาครุ่นคิดว่าควรเข้าร่วมกิลด์ทหารรับจ้างหรือจัดตั้งกิลด์ทหารรับจ้างของเขาเอง
“แม่งเอ้ย! ไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร ก็รู้สึกว่าไม่คุ้มแน่ๆ” จู่ๆเขาก็ตะโกนออกมา
เมื่อสมาชิกคนอื่น ๆ เห็นหัวหน้าของพวกเขาตะโกนลั่นพวกเขาก็เงียบ ไม่มีใครรู้ว่าทำไมหัวหน้าของพวกเขายืนยันที่จะมาที่อาณาจักรลาวาดำ ตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงน้ำลายไหลกับการดูแลของกลุ่มทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณ…
“ลืมมันซะ มาจัดตั้งทีมทหารรับจ้างและรอ เราจะทำภารกิจให้สำเร็จและเพิ่มชื่อเสียงของเรา จากนั้นแม้ว่าทีมทหารรับจ้างจะปลดประจำการ เราก็สามารถพึ่งพาทีมทหารรับจ้างที่ใหญ่กว่าได้” ฟอเอเวอร์ อะโลนถอนหายใจ ถ้าเขาไม่ได้มาที่อาณาจักรมนุษย์ เขาคงไม่รู้หรอกว่า NPC นั้นร้ายกาจแค่ไหน…
ตอนที่เขายังใหม่กับเกมนี้ เขาถูก NPC ทำร้าย แม้ว่าจะทำภารกิจแล้วก็ตาม ตอนนี้แม้ว่าเขาจะต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมายและได้รับชุดอุปกรณ์สีฟ้า แต่ NPC ก็ยังจ้องมองเขาอย่างดุเดือด เขาอยู่ภายใต้ความกดดันมากมาย …
“ ครับท่านหัวหน้า ~”
“หัวหน้า คุณยอดเยี่ยมมาก!”
“ขี้ประจบซะจริง…”
“เวร นี่แกว่าใครกันวะ?”
“การทะเลาะวิวาทเริ่มขึ้นอีกครั้ง!”
“ชิๆ ทำราวกับว่าเป็นเรื่องจริง NPC บางคนเสียชีวิตในหมู่บ้านของผู้เริ่มต้นเท่านั้นและนั่นทำให้ผู้เล่นจากอาณาจักรเหล็กโกรธมาก” ผู้เล่นของเมืองแห่งรุ่งอรุณชอบดูละคร
ฟอรัมดังกล่าวมีการโต้เถียงอีกครั้ง
แต่หัวข้อการโต้เถียงไม่ใช่ประโยชน์ของเมืองรุ่งอรุณ
ผู้เล่นของอาณาจักรเหล็กกล่าวหาว่าผู้เล่นของอาณาจักรลาวาดำถูกบิดเบือน มันเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาจงรักภักดีต่ออาณาจักรลาวาดำ
ตัวแทนผู้เล่นของอาณาจักรเหล็กกล่าวว่า “ผู้เล่นของอาณาจักรลาวาดำเปลี่ยนไปยังหมู่บ้านของผู้เริ่มต้นใหม่ก่อนที่ขุนนางนิสัยเสียจะมาหาคุณ”
“ถูกต้อง เมื่อเทียบกับอาณาจักรที่ห่วยแตกนั่นแล้ว อาณาจักรเหล็กนั้นดีกว่ามาก ขุนนางที่ทุจริตกำลังถูกโค่นล้ม เส้นทางในอนาคตคือคนที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพมากขึ้นในสังคม นี่เป็นเหมือนกับการได้สัมผัสกับการปลดปล่อยทางประวัติศาสตร์”
“อาณาจักรเหล็กในปัจจุบันไม่ได้ยกเลิกระบบชนชั้นสูงและก้าวไปสู่ประชาธิปไตยหรือ?
“ฉันนึกไม่ออกเลยว่าการที่ชนชั้นสูงจะเปลี่ยนมาเป็นประชาธิปไตยในโลกเวทมนตร์นี้จะยากขนาดไหน”
“ฉันรู้สึกว่าผู้เล่นทุกคนที่อาศัยอยู่ที่อื่นควรมีข้อแปรพักตร์มายังอาณาจักรเหล็ก เราควรจะมุ่งมั่นเพื่อระบบเสรี”
“หากคุณยังไม่เข้าใจลองดู NPC ที่เหมือนจริงเหล่านั้น คุณจะทนเห็นพวกเขาเป็นทาสที่พวกขุนนางจะทรมานและกดขี่ได้หรือไม่”
วิลเลียมรู้สึกเบื่อหน่ายเมื่อสายตาของเขาเหลือบไปที่โพสต์ยอดนิยมที่มีชื่อว่า “สู้เพื่อเสรีภาพ” เขาถึงกับพูดไม่ออก
อาณาจักรเหล็กบรรลุชัยชนะในชาติก่อนได้อย่างไร?
ผู้เล่นได้สลัดธงแห่งเสรีภาพและศีลธรรม แล้วรวมตัวกันเพื่อให้ผู้เล่นจำนวนมากแปรพักตร์มายังอาณาจักรลาวาดำ การเบี่ยงเบนครั้งใหญ่นี้ได้ทำลายอาณาจักรลาวาดำ
แต่เมื่ออาณาจักรเหล็กได้รับชัยชนะและผู้เล่นต่างก็มีความสุข พวกเขาก็ค้นพบความเป็นจริงว่าอาณาจักรเหล็กได้เปลี่ยนรูปแบบการประชุมของพวกเขาอย่างลับๆ
แล้วการยกเลิกระบบขุนนางล่ะ?
มันเป็นเรื่องโกหกเรื่องหนึ่ง ขุนนางเพิ่งกลายมาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาล!
แล้วการเลิกทาสล่ะ?
ทาสของอาณาจักรเหล็กได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริง แต่ไพร่พลของอาณาจักรลาวาดำกลายเป็นทาสใหม่…
จากนั้นโศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นทีละเรื่องๆ
แต่ตอนนี้คงไม่มีใครวิจารณ์แล้ว
อาณาจักรเหล็กไม่ได้มีปัญหามากมาย และเมื่อการ์ดแห่งศีลธรรมเข้ามาในข้อโต้แย้ง มันก็ทำให้ผู้เล่นจากอาณาจักรลาวาดำพูดไม่ออก พวกเขาไม่สามารถโต้กลับด้วยเหตุผลได้
วิลเลียมเรียกดูฟอรัมชั่วขณะก่อนจะปิด
เพื่อนเก่าของเขาซึ่งเขาไม่ได้พบกันมาครึ่งปีได้มาถึงที่ห้องประชุม
โรเดอริคก้าวเข้ามาในห้องโถงอย่างยิ่งใหญ่โดยไม่สนใจใคร เมื่อเขาเห็นวิลเลียม เขาก็โค้งคำนับด้วยความเคารพและกล่าวว่า “ขอทำความเคารพ ท่านลอร์ดแห่งรุ่งอรุณ”
“ไม่ได้เจอกันนานเหลือเกินโรเดอริค เราคิดถึงเจ้า” วิลเลียมผายมือและส่งสัญญาณให้โรเดอริคนั่งลง
โรเดอริคผู้มีร่างสูงและบึกบึนพยักหน้าก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ เขาทำเสียงดังขณะดื่มไวน์แล้วยิ้ม “ท่านล้อเล่นหรือเปล่าท่านลอร์ด จากองค์กรในเมืองรุ่งอรุณทั้งหมด กิลด์ทหารรับจ้างของเราเป็นสมาคมที่ผ่อนคลายที่สุด ไม่ใช่ว่าเรากำลังทำอะไรที่เป็นพิเศษ…”
“แต่ท่านลอร์ด ทำไมท่านจึงเรียกหาข้า”
วิลเลียมเลิกคิ้ว วิธีนี้เป็นวิธีวิพากษ์วิจารณ์เขาของโรเดอริคหรือไม่? วิลเลียมต้องรับผิดชอบสมาคมทหารรับจ้างที่ไม่ทำเงินงั้นหรือ?
ไม่มีใครต้องการกิลด์ทหารรับจ้าง…
ที่เดียวที่ผู้คนกังวลคือทีมทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณ…
อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่ปัญหาของเขาที่วิลเลียมมองข้ามกิลด์ทหารรับจ้างเมื่อเขามอบหมายภารกิจให้กับทีมทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณ
วิลเลียมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะพูดมันออกมา “อย่างที่ทราบกันดีว่า อาณาจักรเหล็กกำลังจะทำสงครามกับอาณาจักรลาวาดำและเราก็เป็นผู้บัญชาการของทีมทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณ”
“พรืด…” โรเดอริคที่กำลังจะจิบไวน์ดับกระหายพ่นไวน์ออกมา
วิลเลียมนิ่งเงียบกับความผิดพลาดของเขาและมองไปยังพื้นที่มีหนังหมาป่าคลุมอยู่
โรเดอริคขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ขอท่านลอร์ดจงพูดอย่างตรงไปตรงมา ข้าไม่ชอบเอาชนะด้วยการซุ่มอยู่ในพุ่มไม้ ท่านคิดจะเข้าร่วมสงครามหรือไม่?”
วิลเลียมพยักหน้า
“ตกลง มันจะไม่เป็นปัญหา” โรเดอริคโบกมืออันใหญ่โตของเขาและพูดว่า “เมื่อท่านลอร์ดนำทีมทหารรับจ้างเข้าสู่อาณาจักรมนุษย์ ข้ารับรองได้ว่าท่านจะไม่ต้องเผชิญกับการถูกล้อมครั้งใหญ่ แต่ท่านอาจต้องเผชิญกับการลอบสังหาร”
“ข้อยกเว้นคือเมื่อท่านได้รับภารกิจในการต่อสู้”
“นี่คือการรับประกันงั้นหรือ?” วิลเลียมเหล่ตา
“แน่นอน ท้ายที่สุดข้าก็เป็นทูตประจำของกิลด์ทหารรับจ้าง มนุษย์ยังคงเคารพข้า มนุษย์ทั้งสองชาติไม่กล้าพอที่จะฝ่าฝืนกฎของสมาคมทหารรับจ้าง”
โรเดอริคหัวเราะอย่างเย็นชา สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งเวทมนตร์, วิหารแห่งแสง, กิลด์ทหารรับจ้างและราชวังแห่งความมืดได้สร้างศูนย์กลางอำนาจที่ใหญ่ที่สุดสี่แห่งในทวีปรีเจนดารี
ศูนย์อำนาจเหล่านี้แข่งขันกันและสร้างความสมดุล สำนักงานใหญ่ของพวกเขาตั้งอยู่ในเขตการปกครองหลักของทวีปรีเจนดารีและพวกเขาครอบครองพื้นที่ขนาดใหญ่
แม้แต่จักรวรรดิต่างๆ ก็ปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเคารพ ดังนั้นอาณาจักรต่างๆในบริเวณชายแดนจึงไม่มีเหตุผลที่จะท้าทาย
โรเดอริคจะไม่ใช้อำนาจของกิลด์ทหารรับจ้างเพื่อต่อต้านราชาหรือลอร์ด แต่ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎ ถ้าไม่มีใครทำ แล้วกิลด์ทหารรับจ้างจะอยู่รอดในทวีปรีเจนดารีได้อย่างไร?
เป็นเวลา 2,333 ปี
กษัตริย์, อาณาจักรต่างๆ และผู้คนที่ฝ่าฝืนกฎต่างก็ยอมจ่ายราคาแพงมากสำหรับมัน
วิลเลียมยิ้มขณะที่เขาพยักหน้า เขาผายมือให้โรเดอริคเพื่อให้เขาพูดต่อ
โรเดอริคพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ท่านคือลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณ ท่านสามารถมอบหมายภารกิจของทหารรับจ้างหรือให้พวกเขาเข้าร่วมในการต่อสู้”
“แต่กองทหารประจำของท่านไม่สามารถเข้าร่วมได้ ถ้ามีคนเจอ ข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”
“แน่นอน เราจะไปเข้าไปพัวพันได้อย่างไรน้องชาย”
“ …” โรเดอริคครุ่นคิดอยู่เป็นเวลาสองวินาที
เขาตัดสินใจที่จะไม่กังวลเกี่ยวกับการที่วิลเลียมจะเอาเปรียบเขา เขาหัวเราะ “ท่านลอร์ดโปรดเข้าใจ ข้าต้องติดสินบนผู้บังคับบัญชาของข้าอีกด้วย ถ้าข้าไม่ทำอย่างนั้น ก็อย่างที่ข้าพูดไว้ ข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”
วิลเลียมมองไปที่โรเดอริคผู้ซึ่งมีสายเลือดอีปิคและพลังงานการต่อสู้ไฟอย่างเงียบๆ เขาไปถึงเลเวล 65 แล้วด้วยซ้ำ เขามีศักยภาพมากมายในอนาคต แต่เขาจะพบกับความตายในรุ่นที่สาม…
“ทำไมเราไม่เดิมพันสูงกว่านี้?”
วิลเลียมเดินลงจากบัลลังก์และเดินเข้าไปหาโรเดอริค
โรเดอริครู้สึกอึดอัด เขาสูดหายใจอย่างรวดเร็วด้วยความที่เขาไม่รู้ว่าวิลเลียมเสนอผลประโยชน์อะไรบ้าง…
“เจ้าคิดอย่างไรกับเลือดคุณภาพสูงจากหัวใจของมังกรไฟ”
“อะไรนะ?” โรเดอริคลุกขึ้นยืนทันทีและจ้องไปที่วิลเลียมด้วยความไม่เชื่อ
วิลเลียมพูดช้าๆ “โรเดอริค เราสามารถให้เลือดมังกรคุณภาพสูงกับเจ้าได้ เรายังสามารถทำให้เจ้ากลายเป็นเสียงกระซิบของมังกรได้ เจ้าคิดอย่างไร?”
“นั่นเป็นเรื่องจริงหรือ” โรเดอริคกำหมัดแน่นอย่างควบคุมไม่ได้
อะไรคือเรื่องใหญ่?
วิลเลียมสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ได้ดี ยกเว้นแค่ว่าเขาเกือบตาย…
วิลเลียมตบไหล่ของโรเดอริคและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “แน่นอน มันเป็นเรื่องจริง!”
“พี่ชาย แค่บอกข้าว่าต้องทำอะไรบ้าง ท่านสามารถผสมทหารธรรมดาบางคนในทีมทหารรับจ้างได้ด้วย ข้าจะจัดการให้เอง” ดวงตาของโรเดอริคเป็นสีแดงและน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้
“ดีมากโรเดอริค เราจะจัดพิธีเวทมนต์ให้ท่านเอง” วิลเลียมมองอย่างจริงจังไปยังโรเดอริคที่ตอนนี้มีค่าความสัมพันธ์ที่สู้งเกิน 600 หน่วยไปแล้ว
เมื่อพิธีเวทมนต์เสร็จสิ้น ค่าความสัมพันธ์ของโรเดอริคที่มีต่อวิลเลียมก็จะเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
วิลเลียมจะต้องเผชิญหน้ากับสมาคมทหารรับจ้างอีกหลายครั้งในอนาคต การลงทุนนี้จะได้ผลดีกว่าการให้สินบนในอนาคต
อยู่ๆสิ่งที่ไม่ทันได้คาดคิดก็พลันเกิดขึ้น
ด้วยพิธีเวทมนตร์เช่นนี้ โรเดอริคไม่เพียงจะกลายเป็นสาวกมังกร แต่ศักยภาพระดับอีปิคของเขายังได้รับการอัพเกรดเป็นระดับรีเจนดารี …
วิลเลียมทำได้เพียงเฝ้าดู เมื่อโรเดอริคจากไป แม้ว่าระดับมิตรภาพของพวกเขาจะสูงถึง 900+ แต่วิลเลียมก็อยากจะด่าว่าโรเดอริคสักที ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถหักห้ามใจตัวเองได้ก็ตาม
เขาทนไม่ได้ที่จะทำลายมิตรภาพนี้ลง ไม่ใช่ความภักดี แต่เพราะเลเวลของความสัมพันธ์ที่กว่าจะขึ้นมาสูงขนาดนี้ต่างหาก
“ระดับรีเจนดารี นี่มันระดับรีเจนดารีเลยนะ ฉันลองมาหลายวิธีในการฝึกฝนความสามารถของตนเอง ทั้งยังได้สร้างผู้ติดตามมังกรและสาวกมังกรจำนวนมาก แต่ไม่มีใครไปถึงระดับนั้นได้”
“ปริศนาที่ดี จู่ๆคนนอกก็ได้เลื่อนเป็นระดับรีเจนดารีโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใด ๆ เลยด้วยซ้ำ”
วิลเลียมพูดไม่ออกขณะมองไปยังแผ่นหลังของโรเดอริค
เขาเดินไปที่หน้าผาสูงชัน…
แน่นอนว่าเขาไม่มีความตั้งใจที่จะจบชีวิตของตนเองลง…
เขาแค่อยากอยู่คนเดียว …
วิลเลียมลูบคางขณะที่ครุ่นคิดไปด้วย “ศักยภาพของโรเดอริคสูงมาก เขาอาจจะแข็งแกร่งขึ้นด้วยการอัปเกรดแต่ละเวอร์ชัน บางทีเขาอาจจะไม่ตายในเร็ว ๆ นี้”
“วิธีนี้จะดีกว่า ฉันจะมีพันธมิตรในกิลด์ทหารรับจ้างเพื่อให้เขาคอยช่วยฉันอีกแรงหนึ่ง”
หากเขาต้องการให้เมืองรุ่งอรุณแข็งแกร่งขึ้นในเวอร์ชันต่อไป เขาต้องร่วมมือกับขุมพลังต่างๆเหล่านี้
ดังนั้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขาจึงเป็นสิ่งที่สมควรทำ
วิลเลียมเข้าได้ดีกับวิหารแห่งแสง เนื่องจากเขาได้ช่วยเหลือแลนเซล็อตซึ่งเป็นตัวละครระดับรีเจนดารีในอนาคตอีกตัว ตอนนี้เขามีพันธมิตรในกิลด์ทหารรับจ้างแล้ว เขาจึงได้รับการสนับสนุนเป็นสองเท่า
“ฉันจะมีโอกาสมากขึ้นถ้ามีเพื่อนมากขึ้น ไม่มีทางอื่นที่จะแข็งแกร่งขึ้นแล้ว เพราะตอนนี้ฉันถูกรายล้อมไปด้วยศัตรู” วิลเลียมถอนหายใจ เขาวางแผนสำหรับสองสามวันข้างหน้า เนื่องจากเขาต้องการไปเยือนอาณาจักรลาวาดำให้เร็วขึ้น
แน่นอนว่าเขาไม่ได้นำกลุ่มทหารรับจ้างของเขาไปประกาศสงคราม
เขาไม่ต้องการส่งทหารรับจ้างไปตายอย่างแน่นอน นอกจากนี้สงครามระหว่างทั้งสองอาณาจักรยังไม่ลุกลาม ไม่มีเหตุผลที่วิลเลียมจะส่งทหารรับจ้างของเขาออกไป
เขาตั้งใจที่จะนำผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีอำนาจบางคนไปเพื่อประเมินสถานการณ์ดูเท่านั้น หากสงครามเริ่มลุกลาม เขาถึงจะใช้งานกลุ่มทหารรับจ้างของเขามากขึ้น
เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะไม่ได้รับภารกิจใด ๆ เนื่องจากอาณาจักรลาวาดำอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบ พวกเขาจึงเป็นคนที่จะจ้างทหารรับจ้างของวิลเลียม
วิลเลียมมีแรงจูงใจอีกอย่าง เขาต้องการรับสมัครทหารรับจ้าง!
เมื่อเขากดเข้าไปดูฟอรัม เขาก็พบว่ามีผู้เล่นหลายคนต้องการเข้าร่วมทีมทหารรับจ้าง แต่พวกเขาไม่สามารถทำได้เนื่องจากพวกเขาขาดหนทางในการเดินทางไปยังเมืองแห่งรุ่งอรุณ ดังนั้นพวกเขาจึงมีอาการนอนไม่หลับและรู้สึกไม่สบายตัว เนื่องจากความโหยหา …
แน่นอนว่าวิลเลียมจะไม่พลาดโอกาสที่จะปลอบใจพวกเขา
“ตั้งแต่ฉันได้ตัดสินใจที่จะช่วยอาณาจักรลาวาดำ การเดินทางไปยังอาณาจักรเหล็กจึงไม่มีปัญหาเท่าใดนัก และครั้งก่อนเราถือได้ว่าเป็นศัตรูชั่วนิรันดร์ไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเกอเธ่นาซิสยังเคยส่งมือสังหารมาฆ่าฉันมาก่อน”
“ฉันอยากจะแก้แค้นมาตลอด แต่ถ้าฉันออกเดินทางพวกเขาก็จะส่งมือสังหารตามฉันไปไม่รู้จบ”
วิลเลียมรู้ดีว่าแม้ว่าโรเดอริคจะใช้กิลด์ทหารรับจ้างมาปกป้องเขา แต่ก็จะมีผลในที่สาธารณะเท่านั้น
ในโลกแฟนตาซีที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ใบนี้มีหลายวิธีที่จะฆ่าคนโดยไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ เอาไว้
ถ้าวิลเลียมกล้าที่จะเข้าสู่อาณาจักรเหล็ก แม้ว่าเขาจะตะโกนจนกลายเป็นใบ้ก็ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้
“ยิ่งไปกว่านั้นผู้เล่นเหล่านี้ไม่ได้คิดถึงฉันมากนัก ดังนั้นฉันจึงไม่จำเป็นต้องให้ความเคารพพวกเขา กลยุทธ์เดียวของฉันคือการใช้ผู้เล่นกลุ่มหนึ่งเพื่อต่อสู้กับอีกกลุ่ม ผู้เล่นของอาณาจักรเหล็กสมควรที่จะพ่ายแพ้”
“จากนั้นฉันก็จะเดินทางไปที่อาณาจักรเหล็กเพื่อสร้างปัญหา หลังจากแสดงจุดยืนของฉันแล้ว ฉันก็จะสามารถเจรจากับรัชทายาทแห่งอาณาจักรลาวาดำได้” วิลเลียมปรบมือขณะที่สรุปแผนการของเขาเสร็จ
วันใหม่มาถึง
วิลเลียมรวบรวมคนสนิทของเขาทั้งหมดเพื่อประชุม
ผู้เล่นที่เข้าร่วมกลุ่มทหารรับจ้างรุ่งอรุณเริ่มตื่นเต้น …
สมบัติล้ำค่าปรากฏออกมาในรายการสิ่งของแลกเปลี่ยน
มันคือ ‘เลือดคุณภาพสูงของหัวใจมังกรไฟ’ ระดับรีเจนดารี สิ่งนั้นน่าดึงดูดยิ่งกว่าชิ้นส่วนคู่มือลับในเวอร์ชันเกมเสียอีก
หลังจากแลกเปลี่ยนสำเร็จผู้เล่นหรือ NPC ก็จะได้เข้าพิธีเวทย์มนตร์ฟรีที่จัดขึ้นโดยกลุ่มทหารรับจ้าง ผู้เล่นและ NPC จะถูกอาบเลือดของมังกรและพวกเขาจะกลายเป็นนักรบเลือดมังกร
มันเป็นการตลาดที่ทำให้วิลเลียมนึกถึงเมื่อวันก่อน
เขารู้สึกว่าเลือดมังกรน่าจะดึงดูดใจได้ มันจะก่อให้เกิดการถกเถียงมากมายขึ้นในฟอรัม และอาจใช้เป็นโฆษณาเชิญชวนในการเข้าร่วมทีมทหารรับจ้างรุ่งอรุณได้
วิลเลียมมั่นใจว่าเมื่อเขาเดินทางไปยังอาณาจักรลาวาดำ จะต้องมีผู้เล่นอีกมากมายที่เข้าร่วมกลุ่มทหารรับจ้าง
ฟอรัมกระดานสนทนา Gods แทบจะระเบิด
ผู้เล่นของอาณาจักรมนุษย์แทบไม่อยากเชื่อและพร่ำบ่นอีกครั้ง สิทธิประโยชน์ที่กลุ่มทหารรับจ้างรุ่งอรุณมอบให้กับสมาชิกนั้นเหลือเชื่อมาก พวกเขาเสนอเลือดมังกรระดับรีเจนดารีซึ่งเป็นไอเท็มที่มีมูลค่าการสนับสนุน 100,000 คะแนน
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฉันจะทำมันแน่” ผู้เล่นแนบภาพของเขาที่เข้าร่วมกลุ่มทหารรับจ้างรุ่งอรุณ
“เอ้ย นี่ไม่ใช่ปัญหาว่าจะทำหรือไม่ทำ แต่ฉันทำไม่ได้แม้ว่าฉันต้องการจะทำต่างหาก นอกจากนี้ยังมีภารกิจที่มอบหมายให้กับทหารรับจ้างไม่มากนัก ผู้บัญชาการวิลเลียมหายตัวไปอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับที่เขาทำหลังจากหาข้ออ้างในการตรวจสอบการก่อสร้างเมือง เขาไม่สนใจพวกทหารรับจ้างหรอก…”
“พี่ชาย วิลเลียมคือลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณและบอสระดับรีเจนดารี เขาเป็นหนึ่งในตัวละครหลักในเวอร์ชันนี้ กลุ่มทหารรับจ้างมีไว้เพื่อการแสดงเท่านั้น คุณโชคดีจะตายที่ได้รับสิทธิประโยชน์ดีๆอย่างนี้”
มีเพียงผู้เล่นของเมืองรุ่งอรุณเท่านั้นที่สามารถรวบรวมข้อมูลและสนทนากันได้อย่างมีความสุข
แต่ผู้เล่นในที่แห่งอื่นนั้นทำได้เพียงอิจฉาและอิจฉา …
ผู้เล่นมืออาชีพที่เกิดในสโมสรของอาณาจักรมนุษย์ต่างสาปแช่งและสบถไปที่โค้ชของตน …
สำหรับผู้เล่นทั่วไป “ เลือดหัวใจคุณภาพสูงของมังกรไฟระดับรีเจนดารี” เป็นสิ่งที่มีไว้เพื่อโชว์เท่านั้น มันเป็นสมบัติที่พวกเขาไม่สามารถจินตนาการได้ว่าจะได้มาครอง
สำหรับมืออาชีพ มันเป็นสมบัติที่พวกเขาต้องได้มาแม้ว่าจะหมดตัวก็ตาม มันเป็นสมบัติที่สามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ของการแข่งขันระดับมืออาชีพได้
สโมสรกลอรี่ในเมืองรุ่งอรุณได้ค้นพบสมบัติที่นำไปแลกเปลี่ยนได้
ฉู่ หลิวชิว ผู้เป็นหัวหน้าได้แจ้งให้กิลด์รองและผู้เชี่ยวชาญต้องไขว่คว้าสมบัติทั้งหมดมาครอบครองให้ได้ โดยไม่สำคัญว่าพวกเขาจะตายก็ตาม ต้องพยายามเพิ่มคะแนนในการมีส่วนร่วมให้ได้
หากมืออาชีพคนอื่นเข้าร่วมกลุ่มทหารรับจ้างและได้สมบัติไปแล้ว สโมสรกลอรี่ก็จะต้องแยกย้าย …
กลุ่มทหารรับจ้างรุ่งอรุณสามารถสะสมคะแนนการมีส่วนร่วมได้จากการทำภารกิจให้สำเร็จ
แต่มันไม่ได้ออกกฎการแลกเปลี่ยนสมบัติโดยใช้คะแนนสมทบ
หลังจากที่ฉู่ หลิวชิวพบว่าสามารถใช้คะแนนสะสมเพื่อแลกเปลี่ยนสมบัติได้ ความคิดก็จุดประกายขึ้นในใจของเขา เขาจะสะสมคะแนนสนับสนุนจากผู้เล่นในกิลด์ของเขา
กิลด์ที่อยู่ภายใต้สังกัดของสโมสรกลอรี่ถูกเรียกว่ากิลด์กลอรี่ สมาชิกในกิลด์ส่วนใหญ่เป็นแฟนคลับของสโมสรกลอรี่
แฟน ๆ และผู้เล่นไม่ได้เป็นพนักงานของสโมสรกลอรี่ ดังนั้นพวกเขาจึงมีทางเลือกในการรักษาคะแนนการมีส่วนร่วมให้กับตัวเองหรือส่งให้กับสโมสร
มีการใช้คะแนนสมทบหลายอย่าง เช่น การอัพเกรดสถานะในทีมทหารรับจ้าง การแลกเปลี่ยนอุปกรณ์และคู่มือลับ
สิ่งที่ถูกใช้ในการแลกเปลี่ยนคืออะไร?
มันไม่ใช่เงินหยวนอย่างแน่นอน
มันคือสินค้าต่างๆ รวมถึงลายเซ็นของผู้เล่นมืออาชีพ โปสเตอร์จำลองขนาด และแม้แต่ชุดชั้นใน
เป็นไปไม่ได้ที่มืออาชีพจะจ่ายเงิน เนื่องจากเป้าหมายของพวกเขาคือการได้รับเงิน แต่มันจะแตกต่างออกไปถ้าหัวหน้าสโมสรยอมควักเงินออกมา…
เมื่อฉางหลี จิ่วเกอเห็นรายการแลกเปลี่ยน ความโหยหาเลือดมังกรก็พุ่งขึ้นในใจของเขา แต่ในฐานะสมาชิกใหม่ของสโมสรกลอรี่ เขาไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันใด ๆ ดังนั้นโอกาสที่เขาจะได้รับเลือดมังกรจึงมีน้อย
“ ไม่ ฉันต้องได้รับเลือดมังกร” ฉางหลี จิ่วเกอกำหมัดแน่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ใจของเขาเต้นแรง ในขณะที่เขาไตร่ตรองว่าจะทำให้ตัวเองมีพลังมากขึ้นและมีอนาคตที่สดใสได้อย่างไร
ฤดูใบไม้ผลิมาถึง เมืองรุ่งอรุณเริ่มยุ่งอยู่กับการทำฟาร์ม
มันไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผู้เล่น
แต่สำหรับวิลเลียม การทำฟาร์มเป็นกิจกรรมที่สำคัญที่สุด ส่วนเรื่องอื่นๆ ทั้งหมดที่เหลือนับเป็นเรื่องรองลงมา พวกเขาต้องหว่านเมล็ดพืชก่อนที่ฝนของฤดูใบไม้ผลิจะมา
ชาวเมืองที่มีพื้นที่เพาะปลูกไปยังทะเลสาบสายรุ้งเพื่อตามหานักรบโถวเหยิน เหล่าชาวนาต้องการยืมควายไปทำไร่ทำนา…
ใช่แล้วล่ะ
เผ่าของฟิว โรสเซอร์พิสูจน์แล้วว่าพวกเขามีประโยชน์อย่างมากในสถานการณ์เช่นนี้ นักรบโถวเหยินต้องคอยดูแลพวกออร์คที่ขุดแร่อยู่ในเหมืองและต้องคอยให้อาหารกระบือที่เลี้ยงด้วย…
ชาวโถวเหยินมีความรู้สึกที่ค่อนข้างหลากหลายต่อกระบือ พวกมันแทบจะเหมือนครึ่งหนึ่งของพวกเขา
แม้แต่รูปลักษณ์ของพวกเขาก็คล้ายกัน
ทั้งสองมีเขาและหาง
ความแตกต่างคือกระบือเดินบนกีบทั้งสี่ขณะที่ชาวโถวเหยินเดินสองขา เนื่องจากความคล้ายคลึงกันนี้ ชาวโถวเหยินจึงดูแลกระบือเป็นอย่างดี
นอกจากนี้วิลเลียมยังสั่งห้ามการทรมานและฆ่ากระบือ สิ่งนี้ทำให้ชาวโถวเหยินพึงพอใจอย่างมาก
เมืองแห่งรุ่งอรุณไม่มีพื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่
ดังนั้นการเพาะปลูกจึงเกิดขึ้นเฉพาะในที่ราบถัดจากหน้าผาสูงชัน
แต่ด้วยการสร้างป้อมปราการแห่งแสงที่เพิ่งจะเสร็จไปเมื่อไม่นานมานี้ ชาวบ้านหลายคนจึงเริ่มการทำฟาร์มใกล้กับป้อมปราการ
“เมืองแห่งรุ่งอรุณตั้งอยู่ในเขตกึ่งร้อน ดังนั้นจึงควรมีการเก็บเกี่ยวสองครั้งในหนึ่งปี หวังว่าเราจะมีอากาศที่ดี…” ผู้เล่นอธิษฐานขอให้อากาศดี เขากำลังอินอยู่ในบทบาทของเขา
“พี่ชาย นี่คือโลกแห่งเวทมนตร์ เรามีนักเวทย์ธาตุน้ำ…”
“…” การสู้กันเกิดขึ้นขณะที่ผู้เล่นที่กำลังสวดมนต์ได้ชักดาบออกมา
เวลาผ่านไปหลายสิบวันในโลกของเกม การต่อสู้เกิดขึ้นในถิ่นทุรกันดารและสงครามกิลด์ขนาดเล็ก การฆาตกรรมและการปล้นก็เกิดขึ้นเช่นกัน
ที่สุดแล้วมันก็เป็นแค่เกม ผู้เล่นคงจะเบื่อเพราะภารกิจของพล็อตหลักยังไม่ได้ประกาศออกมา พวกเขาต้องหาวิธีสร้างความบันเทิงให้ตัวเอง
แม้แต่เมืองรุ่งอรุณที่มีกฎหมายและกฎระเบียบที่ดีก็ไม่ได้รับการละเว้น แต่ผู้เล่นไม่ได้ต่อสู้กันภายในเมือง พวกเขาออกไปจากเมืองและทำการดวลและการต่อสู้ขนาดเล็กกัน…
วิลเลียมยืนอยู่บนป้อมปราการ เขาสำรวจผู้เล่นที่ไม่ชอบทำภารกิจและชอบก่อเกิดปัญหา ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็จุดประกายขึ้นในใจของเขา
เขาเรียกหาโอดอม
เพียงไม่กี่นาที
โอดอมมาหยุดอยู่หน้าวิลเลียม โอดอมที่วิ่งมาตลอดทางจึงอยู่ในอาการหอบหายใจ เขาสะบัดผมสีทองไปด้านหลังแล้วถามว่า“ ท่านลอร์ดของข้า มีอะไรสำคัญงั้นหรือ?”
“เราแค่มองไปที่ผู้ถูกเลือกเหล่านี้ พวกเขาดูเบื่อหน่ายและอยู่ไม่สุข เจ้าคิดอย่างไรกับการสร้างเวทีต่อสู้สำหรับพวกเขา”
ดวงตาของโอดอมสว่างขึ้น เขาปรบมือด้วยความชื่นชม “นั่นเป็นความคิดที่ดีท่านลอร์ด นับตั้งแต่การมาของผู้ถูกเลือก จำนวนการบาดเจ็บล้มตายก็มีแต่เพิ่มขึ้นเท่านั้น”
“แม้จะเป็นการทะเลาะกันเอง แต่ก็สร้างความวุ่นวายให้กับสังคม หากเราสามารถสร้างเวทีการต่อสู้ได้ มันคงเป็นการดีที่สุด จากนั้นพวกเขาก็จะสามารถใช้พลังต่อสู้ได้”
“ฮิฮิ ดูภาพรวมด้วย ไม่ใช่แค่การต่อสู้ของนักสู้เท่านั้น มีคนรวยหลายคนที่สนใจดูสิ่งบันเทิงเหล่านี้ เวทีที่เราสร้างจะใหญ่ขึ้น และเราจะเรียกเก็บค่าเข้าชมเมื่อชาวเมืองเข้าชมการต่อสู้”
โอดอมครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเขาก็พยักหน้าอย่างตื่นเต้นและพูดว่า “นั่นเป็นความคิดที่ดี ทำไมเราไม่ให้รางวัลพวกเขาเป็นตำแหน่งอย่างเทพแห่งสงครามด้วยล่ะ…”
“และให้รางวัลเพื่อกระตุ้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของพวกเขา พวกเราจะได้รับกำไรจากการเก็บค่าเข้าไม่น้อยเลย”
“เราสามารถเรียนรู้ได้จากขุนนางของอาณาจักรมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ชายหรือหญิง ทุกคนต่างชอบที่จะชมการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้”
“แต่เวทีการต่อสู้ของอาณาจักรมนุษย์โหดร้ายและนองเลือดเกินไป”
“แต่สิ่งนี้จะแตกต่างออกไป ตอนนี้ผู้เข้าร่วมจะเป็นเหล่าผู้ถูกเลือก และพวกเขาเองก็ไม่มีปัญหากับการตายอีกด้วย…”
วิลเลียมพอใจอย่างมากขณะมองไปที่โอโดม โอดอม มีความสามารถในการสร้างรายได้จากคนรวย มันยอดเยี่ยมมาก
วิลเลียมตบไหล่และพูดว่า “เราจะให้เจ้าจัดการเรื่องนี้ สร้างภารกิจนี้ในเขตใหม่ จำไว้ สร้างเวทีให้ยิ่งใหญ่อลังการ”
“ในขณะเดียวกันให้จับอสูรเวทย์และเลือกออร์คที่แข็งแรงจากเหมือง มอบอาวุธดีๆให้พวกออร์ค…”
“เข้าใจแล้ว” โอดอมหัวเราะเสียงดังก่อนที่เขาจะวิ่งออกไป
“เรามีอีกวิธีหนึ่งในการทำเงิน ฉันจะต้องค้นคว้าระบบการจัดอันดับ มันอาจสร้างผลกระทบครั้งใหญ่ต่อผู้เล่น”
วิลเลียมเกาหัวและครุ่นคิด เกม Gods มีการจัดอันดับเลเวล แต่ไม่มีการจัดอันดับขั้นบันได
ระดับของผู้เล่นต่ำเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นผู้เล่นยังกระจายไปทั่วสามภูมิภาคของฝ่ายตรงข้าม อาณาจักรเหล็กและอาณาจักรลาวาดำกำลังยุ่งอยู่กับการต่อสู้ และพวกเขายากจนเกินกว่าที่จะสร้างสนามประลอง ดังนั้นการจัดอันดับแบบขั้นบันไดจึงมีให้บริการในเกมเวอร์ชันที่สองเท่านั้น
เมื่ออาณาจักรเหล็กเอาชนะอาณาจักรลาวาดำ อันดับแบบขั้นบันไดจะปรากฏในเวทีที่สร้างโดยอาณาจักรเหล็ก
ในตอนนั้น ผู้เล่นจะรวมตัวกันในอาณาจักรเหล็ก สนามประลองใหญ่ถูกสร้างขึ้นในอาณาจักรเหล็กเพื่อรองรับการแข่งขันของผู้ถูกเลือก…
ภายใต้การชี้นำของผู้สร้างเกม Gods นอกเหนือจากการจัดอันดับเลเวลแล้ว ระบบการจัดอันดับอื่นๆ ยังได้ถูกสร้างขึ้นโดย NPC
“ฉันสามารถใช้อันดับขั้นบันไดก่อนหน้าพวกเขาได้ ฉันสามารถใช้มันเพื่อพิสูจน์ความสามารถที่แท้จริงของผู้เล่น ทุกๆ เดือนจะมีฤดูการแข่งขันเกิดขึ้น”
“จะมีเทพแห่งสงครามคนใหม่ในทุกฤดูการแข่งขัน ผู้ชนะจะได้รับรางวัลเป็นอาวุธคุณภาพระดับทอง นี่จะเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่งในการดึงดูดผู้เล่น”
วิลเลียมเข้าใจว่ามืออาชีพต้องการอะไรจริงๆ
ชื่อเสียง!
การจัดอันดับเลเวลแบบปัจจุบันใช้อะไรได้?
มันแสดงให้เห็นว่าผู้เล่นมีความสามารถเพียงใด ภายในสิบวันผู้เล่นบางคนจะสามารถไปถึงเลเวล 18 ได้
แต่ก็มีข้อเสียในการจัดอันดับดังกล่าวอยู่ ผู้เล่นที่มาถึงระดับดังกล่าวนั้นจะเพิ่งใช้คะแนนประสบการณ์เพื่อเพิ่มระดับตัวละครของพวกเขา พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับการอัพเกรดคำภีร์ลับหรือระดับทักษะ
ดังนั้นการจัดอันดับดังกล่าวจึงไม่สามารถใช้ได้กับมืออาชีพที่ยังอยู่ในระดับ 12 ถึง 13
“ได้เวลาพิสูจน์คุณค่าที่แท้จริงของผู้เล่นแล้ว…”
วิลเลียมกำลังจะเดินลงจากป้อมปราการขณะที่ร่างปรากฏต่อหน้าเขา
“ทำความเคารพท่านลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณและผู้บัญชาการที่เคารพ ผมมีเรื่องจะรายงาน”
วิลเลียมมองไปที่ฉางหลี จิ่วเกอที่คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ฉางหลี จิ่วเกอเป็นนักบู๊ที่เก่งกว่าผู้ใต้บังคับบัญชา NPC ของเขา
วิลเลียมเกือบจะหัวเราะออกมา แต่เขาก็กลบเกลื่อนมันให้กลายเป็นกระแอมไอเบาๆได้ จากนั้นเขาก็พูดอย่างเย็นชาว่า “โอ้! ฉางหลี จิ่วเกอ เจ้ากำลังจะรายงานเรื่องอะไรงั้นหรือ?”
ฉางหลี จิ่วเกอสังเกตการแสดงออกที่ไร้อารมณ์ของวิลเลียมและมองไปที่ระดับความสัมพันธ์ของเขาที่มีอยู่เพียงสามแต้ม เขาหลับตาลงทันที
เมื่อดวงตาของเขาเปิดขึ้นอีกครั้ง ดวงตาทั้งสองก็เปลี่ยนเป็นสีแดงและเต็มไปด้วยน้ำตา เขาสะอื้น “ท่านลอร์ด ผมมีครอบครัวที่ยากจน…”
วิลเลียมตะลึง
“หลังจากที่กลายเป็นผู้ถูกเลือกและได้เป็นทหารรับจ้าง ท่านลอร์ด ผมก็มีความสุขมากเกินกว่าที่จะวัดได้”
“แต่ผมเป็นคนเชื่องช้าโดยธรรมชาติ แม้ว่าผมจะทำงานหนัก แต่ก็ยังไม่มีเรี่ยวแรง ผมไม่สามารถช่วยท่านลอร์ดในการต่อสู้ได้เลย ผมโกรธความไร้ความสามารถและความโง่เขลาของตนเองเหลือเกิน!” ฉางหลี จิ่วเกอคร่ำครวญขณะที่เขาทุบลงบนหน้าอกของเขา
ฉางหลี จิ่วเกอกำลังเสียเลือดและพลังชีวิต…
“ท่านลอร์ด หากท่านสามารถมอบโอกาสให้ผมแข็งแกร่งขึ้นได้ ผมก็ยินดีที่จะเป็นทาสของท่านโดยไม่มีข้อกังขาใดๆ” ฉางหลี จิ่วเกอมองไปที่วิลเลียมอย่างจริงจัง
วิวัฒนาการของเกมเสมือนจริงที่ก้าวล้ำอย่างเหนือกว่าทั้งด้านความเร็วและความฉลาดของ NPC ที่มีแต่เพิ่มขึ้นๆเท่านั้น ภารกิจไม่ได้ถูกเรียกออกมาโดย NPC อีกต่อไป แต่ภารกิจได้ถูกสร้างขึ้นจากการแสวงหาของ NPC
ฉางหลี จิ่วเกอรู้เรื่องนี้และเขาอยากจะลองดู…
วิลเลียมขมวดคิ้ว เขาครุ่นคิดถึงสองนาทีก่อนที่เขาจะพูดว่า “เราจะให้โอกาสเจ้า จงช่วยเราทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ”
[คุณได้รับภารกิจเดี่ยวลับ]
[การสำรวจถ้ำปีศาจ: มีถ้ำปีศาจที่ถูกทิ้งร้างอยู่ในหุบเขา 50 กิโลเมตรทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองแห่งรุ่งอรุณ ท่านลอร์ดต้องการให้คุณเข้าไปสอดแนมในถ้ำ และดูว่ามีสิ่งมีชีวิตมืดเกิดขึ้นใหม่หรือไม่]
[ความยากของภารกิจ: ไม่ทราบ]
[รางวัลภารกิจ: ไม่ทราบ]
ฉางหลี จิ่วเกอตกลงที่จะปฏิบัติภารกิจด้วยความดีอกดีใจ…
วิลเลียมรู้สึกโล่งใจขณะมองดูฉางหลี จิ่วเกอจากไป เขาต้องคิดอยู่เป็นเวลาสองนาทีก่อนที่เขาจะคิดภารกิจนี้ออกมาได้ มันไม่ง่ายเลย…
วิลเลียมมอบหมายให้ฉางหลี จิ่วเกอทำภารกิจถ้ำปีศาจ เพื่อนำคริสตัลออกมาจากหุบเขาสายหมอกแห่งนั้น
แม้ว่าผู้เล่นส่วนใหญ่จะถึงเลเวล 10 แล้ว แต่ในพื้นที่โดยรอบก็ยังไม่มีเผ่าศัตรู สัตว์ป่าหรืออสูรเวทย์ระดับต่ำ ในภารกิจไม่ได้มอบหมายให้ต่อสู้กับอสูรพวกนี้
ผู้เล่นต้องสร้างสิ่งปลูกสร้าง เก็บเกี่ยวสมุนไพรและแม้กระทั่งไปช่วยออร์คขุดเหมือง…
มันเป็นสถานการณ์ที่ขมขื่นสำหรับผู้เล่นไปโดยปริยาย
ผู้เล่นยังต้องทนเทปูนแบกอิฐจนกว่าพวกเขาจะถึงเลเวล 10 แต่หลังจากกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ งานเหล่านี้ก็กลายเป็นงานที่เลวร้ายสำหรับพวกเขาไปเสียแล้ว
ผู้เล่นหลายคนบ่นถึงภารกิจต่อสู้ในเมืองรุ่งอรุณที่มีน้อยแสนน้อยลงในฟอรัม ป่ารอบ ๆ เมืองก็ปลอดภัยเกินไป ผู้เล่นที่หิวโหยบางคนถึงกับคิดว่าต้องมีอะไรบางอย่างผิดพลาดไปแน่ๆ
หากว่าไม่มีผู้เล่นบางคนเข้าไปในทุ่งหญ้าและถูกเหล่ามนุษย์เงือกทุบตี แล้วอัปโหลดวิดีโอและรูปภาพไปยังฟอรัม เช่นนั้นผู้เล่นหลายคนก็คงจะวางแผนทำแบบนั้นเช่นกัน
แต่วิลเลียมต้องการบอกพวกเขาว่าเขาไม่มีทางเลือก เขากำจัดภัยคุกคามรอบข้างทั้งหมดนี้เพื่ออัพเกรดเลเวลของตนเองเช่นกัน…
ผู้เล่นไม่สามารถสำรวจลึกเข้าไปในพื้นที่ทางตะวันตกและตะวันออกได้ เพราะแม้แต่กองทัพรุ่งอรุณก็ไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่พื้นที่เหล่านี้ …
มีออร์คขาวระดับรีเจนดารีอยู่ในทางฝั่งตะวันออก เขาเป็นผู้นำของเผ่าออร์คนับหมื่น
ในภูเขาหิมะห่างออกไปยังมีหลายเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ แม้ว่ามังกรไฟจะถูกสังหารไปแล้ว แต่สาวกมังกรก็ไม่ได้พังพินาศลง หากพวกเขาไปร่วมมือกับหัวหน้าเผ่าทั้งหลายอาจจะสร้างปัญหาตามมาได้มากมาย
เวลาผ่านไปสองวันก่อนที่ฉางหลี จิ่วเกอจะกลับมาในสภาพที่ร่อแร่
เขาไม่กล้าเปิดเผยภารกิจลับกับเพื่อนร่วมทีมในสโมสร ไม่ว่าเขาจะอธิบายอย่างไร เขาก็จะได้แต่ถ้อยคำตำหนิจากคนในนั้นอยู่ดี
ในสโมสรนั้นมีการแข่งขันกันมากเกินไป แม้แต่การหักหลังกันก็เกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฉางหลี จิ่วเกอเป็นมือใหม่ที่ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันก็จะอันตรายยิ่งกว่าเก่าเสียอีก
ผู้เล่นที่มีประสบการณ์คงอยากรู้อยากเห็นว่าเขาไปพบลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณได้อย่างไร
พวกเขาจะอยากรู้มากขึ้นว่าฉางหลี จิ่วเกอได้รับภารกิจมาได้อย่างไร
จากนั้นจิตใจของพวกเขาจะถามคำถามว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ได้รับภารกิจดังกล่าว
หากผู้เล่นคนอื่นไม่ทราบเกี่ยวกับภารกิจของฉางหลี จิ่วเกอก็จะดีที่สุด เมื่อทำภารกิจเสร็จสิ้นก็จะไม่มีใครถามถึงเรื่องนี้แล้ว และมันจะไม่มีความสำคัญอีกแม้ว่าฉางหลี จิ่วเกอจะพูดถึงเรื่องนี้ในภายหลัง
หากภารกิจล้มเหลวก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้เว้นแต่ว่าท่านลอร์ดจะเป็นผู้เปิดเผยเรื่องนี้ด้วยตนเอง
ฉางหลี จิ่วเกอใช้เงิน 18,000 เหรียญเพื่อซื้อเหรียญทองที่ลดราคา ด้วยเงินที่เขาหามาได้ เขาซื้ออาวุธคุณภาพระดับเงินและอุปกรณ์บางอย่างก่อนออกเดินทาง
เขาวางเดิมพันทั้งหมดของเขาในภารกิจนี้แล้ว!
ในที่สุด เขาก็มาถึงสถานที่ที่ระบุไว้ในแผนที่
ถ้ำปีศาจได้หายไปแล้ว ที่เหลืออยู่คือหุบเขาที่ถูกทำลาย โดยรอบเต็มไปด้วยโขดหินขนาดใหญ่จำนวนมากซึ่งดูเหมือนว่าพวกมันนั้นเป็นเศษซากที่เหลือจากการระเบิด
ฉางหลี จิ่วเกอหายใจเข้าลึก ๆ และเดินเข้าไปในหุบเขา เขาค้นพบหลุมศพที่ผุพังซึ่งมีกระดูกสีขาวยื่นออกมา มันเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัว
“จะมีผีรึเปล่านะ?” ฉางหลี จิ่วเกอนั้นกล้าหาญ แต่เกมเสมือนจริงในมุมมองของพวกเขานั้นดีมาก
กราฟิกมีความสมจริงมาก!
มันดีมากจนดูเหมือนจริง ไม่อย่างนั้นทำไมเกมเมอร์ถึงติดเกมเสมือนจริงของ RA18? นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงในแคปซูลเกมแม้ว่าภายในของแคปซูลจะหุ้มด้วยถุงพลาสติกก็ตาม
ฉางหลี จิ่วเกอกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เขารั้งตัวเองให้สำรวจภายในซักหลายสิบรอบ แต่เขาก็ไม่ได้พบสิ่งผิดปกติและไม่ถูกโจมตี
ด้วยเหตุนั้น…
ภารกิจลับจึงเสร็จสมบูรณ์
“เอ้ย เสร็จแล้ว? แค่นี้เองหรอ ฉันไม่ต้องต่อสู้กับพวกผีดิบหรืออะไรทำนองนี้เลยหรอ? ฉันเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญเลยนะเฟ้ย” ฉางหลี จิ่วเกอสับสน เขาเสียเงินไปมากกับการซื้ออาวุธคุณภาพระดับเงิน
ในห้องประชุม
“ท่านลอร์ด ผมกลับมาแล้วครับ” ฉางหลี จิ่วเกอได้รับภารกิจจากท่านลอร์ด ดังนั้นเขาจึงได้รับอนุญาตให้เข้ามาได้
วิลเลียมพยักหน้าและมองไปที่ฉางหลี จิ่วเกออย่างสงสัย เขาไม่ได้คาดหวังว่าฉางหลี จิ่วเกอจะยังมีชีวิตอยู่…โอ้ ไม่สิ เขาไม่ได้คาดหวังว่าฉางหลี จิ่วเกอจะทำภารกิจสำเร็จเพราะวิลเลียมไม่รู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตในความมืดอยู่ในถ้ำปีศาจอีกหรือไม่
ฉางหลี จิ่วเกอคุกเข่าแสดงความเคารพลงบนพื้นขณะเขากล่าว “ท่านลอร์ด ภารกิจของผมสำเร็จแล้ว ไม่พบสิ่งมีชีวิตในความมืดอยู่ในหุบเขาเลยแม้แต่น้อย พบเพียงซากศพที่เน่าเปื่อยเท่านั้นครับ”
“ดีมาก เจ้ากล้าหาญมากที่สามารถเข้าไปในถ้ำปีศาจได้ เราชื่นชมนักรบเช่นท่านนัก!”
“ท่านลอร์ดกล่าวชมเกินไปแล้ว นี่คือสิ่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาควรทำ”
“ยอดเยี่ยม เนื่องจากถ้ำปีศาจถูกกำจัดจนสิ้น และไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราจึงรู้สึกโล่งใจมาก เราจะไม่ขี้เหนียวในการตกรางวัล รับสิ่งนี้เป็นรางวัลและทำงานให้หนักขึ้นเถิด” วิลเลียมครุ่นคิดสักพักก่อนจะหยิบหนังสือม้วนบาง ๆ ให้เขา
ดิงดอง
[คุณทำภารกิจ “การสำรวจถ้ำปีศาจ” เสร็จสิ้นแล้ว]
[เนื่องจากความภักดี ความเด็ดขาด และความเต็มใจที่จะกล้าเผชิญกับอันตรายเพื่อทำภารกิจของ วิลเลียม แบล็คลีฟให้สำเร็จ เขาจึงโปรดปรานคุณมาก วิลเลียมหวังว่าคุณจะได้เป็นนักรบและเป็นตัวแทนของผู้ถูกเลือก]
[รางวัล: การสืบทอดพลังการต่อสู้ของ “ทหารเพลิง” (ไม่สมบูรณ์) ระดับอีปิค]
“ นี่…นี่…” ฉางหลี จิ่วเกอพูดไม่ออก นี่เขาได้รับอาชีพลับหรือเปล่า?
แม้ว่าการสืบทอดจะเป็นเวอร์ชันที่ไม่สมบูรณ์ แต่ฉางหลี จิ่วเกอก็ได้รางวัลใหญ่
“โชคของฉันมีแค่ 3 แต้ม…”
รางวัลนี้ช่วยเพิ่มโอกาสของฉางหลี จิ่วเกอในการได้รับ “เลือดหัวใจคุณภาพสูงของมังกรไฟ” ระดับรีเจนดารีได้
วิลเลียมมองไปที่ฉางหลี จิ่วเกอที่สับสน ก่อนจะอมยิ้ม “เจ้าออกไปได้แล้ว เป็นเรื่องดีมากที่ผู้ถูกเลือกมีความสามารถในการฟื้นฟูตนเอง”
“แต่เรารู้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่มีจิตใจที่ไม่ค่อยชอบธรรมเท่าใดนัก แต่เราชอบเจ้า อย่าทำให้เราผิดหวัง”
“ครับท่านลอร์ด” ฉางหลี จิ่วเกอคุกเข่าลงข้างหนึ่งอีกครั้ง
เขาเข้าใจว่าลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณไม่ไว้วางใจผู้เล่น แต่วิลเลียมกำลังใช้เขาเป็นตัวอย่าง เขาแสดงให้เห็นว่าตราบใดที่ผู้เล่นทำภารกิจสำเร็จพวกเขาจะได้รับรางวัลตามสมควร
[ระดับความสัมพันธ์ของคุณกับวิลเลียม แบล็คลีฟเพิ่มขึ้น 3 แต้ม]
ฉางหลี จิ่วเกอก้มศีรษะลงขณะที่เขาจากไป
รอยยิ้มของวิลเลียมหายไป นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะมอบหมายภารกิจง่ายๆเช่นนี้
ภารกิจนี้บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ด้วยการสรรเสริญของฉางหลี จิ่วเกอ จะมีผู้เล่นเข้าใกล้วิลเลียมเพื่อทำภารกิจมากขึ้น
ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับวิลเลียมในการมอบหมายภารกิจ
สิ่งสำคัญที่ต้องแจ้งให้ผู้เล่นทราบก็คือ หากพวกเขาประจบประแจงวิลเลียมสักหน่อย พวกเขาก็จะได้รับผลประโยชน์มากมาย
“อาชีพลับ? ฉันมีพวกเขาอยู่เพียงไม่กี่คนเองนี่…” ผู้ใต้บังคับบัญชาของวิลเลียมที่มีอาชีพลับ ส่วนใหญ่พวกเขาจะมีสายเลือดระดับอีปิค ไม่ใช่เรื่องง่ายที่วิลเลียมจะขอคัมภีร์ถ่ายทอดมรดกจากพวกเขาได้?
อาชีพทหารเพลิงมาจากอัลเบิร์ต ที่เป็นรองผู้บัญชาการของ [กองทัพมูนไลท์]
หลังจากนั้น
วิลเลียมไม่เสียเวลาใด ๆ เขาติดตั้งคริสตัลดันเจี้ยนของ ‘หุบเขาแห่งสายหมอก’ ในค่ายทหารรับจ้างก่อนออกจากเมืองแห่งรุ่งอรุณไปพร้อมกับคนของเขา
กลุ่มทหารรับจ้างรุ่งอรุณได้ติดประกาศที่ทำให้ผู้เล่นในเมืองรุ่งอรุณเบิกบานใจ พวกเขาแห่กันไปยังค่ายทหารรับจ้าง
การเปิดดันเจี้ยนส่วนตัวที่หุบเขาหมอกทำให้ผู้เล่นท่วมท้นเข้ามาที่ค่ายของทีมทหารรับจ้าง
ผ่านไปเพียงครู่เดียว
ผู้เล่นกลุ่มแรกที่เข้าดันเจี้ยนก็กลับออกมา
พวกเขาอยู่ในดันเจี้ยนได้แค่ครึ่งชั่วโมงก็จะถูกเทเลพอร์ตออกมาจากดันเจี้ยนคริสตัลน้ำทันที …
ฉู่ หลิวชิวจากสโมสรกลอรีมีสีหน้าเคร่งเครียด และแม้แต่เพื่อนร่วมทีมของเขาก็มีสีหน้าจริงจัง พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าดันเจี้ยนที่มีความยากระดับปกติจะยากขนาดนี้
“เป็นที่ชัดเจนว่าเรากำลังขาดผู้เล่นระดับสูง วิหารแห่งแสงและนักบวชไม่มีแสงศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีประโยชน์”
“มีผู้เล่นที่มีอุปกรณ์ระดับมือใหม่และพลังการต่อสู้ที่ต่ำจำนวนมากเกินไป เราไม่มีความสามารถพอที่จะยับยั้งการโจมตีของมอนสเตอร์และเคลียร์ดันเจี้ยนได้”
ฉู่หลิวชิวงงงวย เขาเหลือบมองเพื่อนร่วมทีมที่ขุ่นเคืองและผู้เล่นหลักของสโมสรกลอรี “พวกเรามาฝึกฝนอย่างหนักและพัฒนาระดับทักษะของเรากันเถอะ บางทีเราอาจจะซื้อโพชั่นและอุปกรณ์บางอย่างที่สามารถกำจัดสิ่งมีชีวิตมืดได้จากร้านขายยา”
“ถ้าเรารอนานเกินไป ราคาของโพชั่นจะสูงขึ้นอีก ยังไงเราสามารถเก็บมันไว้ได้ มันยังทำกำไรได้อีกด้วยถ้าเราขายต่อในภายหลังหรือใช้ในดันเจี้ยน”
“ใช่ หัวหน้าทีม”
“เรากำลังจะไปแล้ว อย่าลืมโทรหาเราเมื่อคุณเข้าไปท้าทายดันเจี้ยนนั่น…” ผู้เล่นระดับสูงสองสามคนของกิลด์รุ่งโรจน์โบกมือและจากไปด้วยความผิดหวังบนใบหน้าของพวกเขา
ฉู่ หลิวชิวบอกว่าพวกเขาไม่มีความสามารถในการเคลียร์ดันเจี้ยน พวกเขาจึงต้องหาลู่ทางอื่นในการฝึกฝน
ในการท้าทายดันเจี้ยน ผู้เล่นต้องจ่ายด้วยคะแนนค่าประสบการณ์ หากพวกเขากลับมามือเปล่าสักสองสามครั้งจากดันเจี้ยน มันก็ถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ได้…
หลายคนในฟอรัมต่างอิจฉาที่เมืองแห่งรุ่งอรุณเป็นเขตแรกที่เปิดดันเจี้ยนส่วนตัว
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าดันเจี้ยนจะยากขนาดนี้ ยังไม่มีใครที่จัดการเคลียร์ดันเจี้ยนนี้ได้เลย
แม้ว่าผู้เล่นจะฉลาดและเลือกดันเจี้ยนด้วยความยากที่ต่ำที่สุด แต่พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถเคลียร์ดันเจี้ยนได้ แถมทุกคนยังถูกฆ่าด้วยซ้ำ…
หลายคนตั้งเป้าที่จะอัพเกรดเลเวลและอุปกรณ์ และพยายามที่จะเป็นคนแรกในการเคลียร์ดันเจี้ยน จากนั้นพวกเขาจะถูกพูดถึงในการประกาศระดับภูมิภาคและได้รับชื่อเสียง…
แต่ขีดจำกัดสูงสุดสำหรับความยากปกติคือ 100 คน และปัญหาก็คือไม่มีกิลด์หรือชมรมใดสามารถรวบรวมอุปกรณ์จำนวนมากพอสำหรับ 100 คนได้
เว้นแต่ทุกคนจะร่วมมือกัน!
แต่มันก็มีเรื่องซับซ้อนมากเกินไป
วิลเลียมมาถึงอาณาจักรลาวาดำแล้ว
เขาพาลอทเนอร์, อเล็กซ์, เลโกลัสและอัลเบิร์ตไปด้วย
หลังจากเดินลัดเลาะไปตามที่ราบที่เต็มไปด้วยอันตรายแล้ว ทั้งกลุ่มก็แยกย้ายกันไปที่ชายแดน วิลเลียมพยักหน้าให้สหายของเขาและมุ่งหน้าไปทางตะวันตก
ลอทเนอร์, อเล็กซ์, เลโกลัสและอัลเบิร์ตมองดูวิเลียมจากไป จากนั้นลอทเนอร์ก็กล่าวว่า “อย่าได้กังวลเกี่ยวกับท่านลอร์ดไปเลย ตั้งสมาธิไปที่งานของเราในการไปยังเมืองต่างๆของอาณาจักรลาวาดำและสร้างทีมทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณ”
พวกเขาทั้งสี่คนรู้ว่าท่านลอร์ดโปรดปรานเหล่าผู้ถูกเลือกเมื่อคนเหล่านั้นเลเวลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมีแถมโบนัสเพิ่มเติมตรงที่พวกเขาสามารถฟื้นคืนชีพได้ ท่านลอร์ดต้องการรับพวกเขาเข้าร่วมทีมทหารรับจ้าง
สายลับของวิลเลียมยังแจ้งให้เขาทราบอีกด้วยว่า อาณาจักรเหล็กกำลังสรรหาผู้ถูกเลือกเป็นจำนวนมาก
มีเพียงอาณาจักรลาวาดำเท่านั้นที่ลังเลและไม่สนใจผู้เล่น ดังนั้นอาณาจักรเหล็กและเมืองแห่งรุ่งอรุณยังคงมีทางเลือกในการรับสมัครผู้ถูกเลือกเพิ่มขึ้น
“NPC ไม่ได้โง่ NPCที่กล้าหาญจะไม่ลังเลที่จะใช้ผู้ถูกเลือกที่สามารถฟื้นคืนชีพได้เหล่านี้… ” วิลเลียมรู้สึกได้ถึงวิกฤต มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับการสนับสนุนจากผู้เล่นทุกคน
ดังนั้นเขาจึงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อเพิ่มอิทธิพลของเขาให้เหนือกว่า NPC ตนอื่นๆ เพื่อให้เขาทรงพลัง
หัวใจของผู้เล่นยากที่จะเข้าใจ พวกเขาชอบที่จะแข่งขันและต้องการเข้าร่วมฝ่ายตรงข้ามเพื่อต่อสู้ ในชีวิตก่อนหน้านี้ของวิลเลียม อาณาจักรเหล็กถือได้ว่าใจป้ำ แต่ผู้เล่นหลายคนก็ยังคงแปรพักตร์ไปหาอาณาจักรลาวาดำ
ผู้เล่นสามารถชุบชีวิตได้ ดังนั้นพวกเขาจึงประมาท
ยามวิกาลมาถึงแล้ว
วิลเลียมสามารถเข้าไปในเมืองได้ก่อนที่ประตูจะปิด
“เมืองไรน์เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในชายแดนตะวันออกของอาณาจักรเหล็ก มันยังเป็นด่านที่สำคัญที่สุดอีกด้วย!” วิลเลียมคลุมตัวเองด้วยเสื้อคลุมสีดำและใบหน้าของเขาก็ขุ่นมัวในเงามืด เขาให้ความรู้สึกไม่เป็นมิตร
การตรวจสอบความปลอดภัยที่ประตูเมืองนั้นเรียบง่าย วิลเลียมมีตัวตนปลอมมากมายที่จะหลอกผู้คุม
แต่ท่าทางลึกลับของเขาดึงดูดความอยากรู้อยากเห็น มีผู้เล่นจำนวน 7,000 ถึง 8,000 คนในเมืองไรน์ ทีมผู้เล่นเพิ่งกลับมาที่เมืองหลังจากล่าสัตว์ตัวเล็ก พวกเขากำลังสำรวจร้านค้าตามถนนเมื่อพวกเขาพบ NPC ลึกลับอย่างวิลเลียม
ผู้เล่นคนหนึ่งเปิดใช้งานหน้าต่างสถานะของเขา
ชื่อ: ??? (รีเจนดารี)
เผ่าพันธุ์: ???
เลเวล: ???
ระดับตำแหน่ง: ???
พลังชีวิต: ???
“เฮ้ย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเจอบอสระดับรีเจนดารี” ผู้เล่นกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เขาดีใจที่ได้ใช้หน้าต่างสถานะของเขาเมื่อเขาได้ค้นพบ NPC ระดับรีเจนดารี
“ใช่ เขาเป็น NPC ระดับรีเจนดารี เราตามเขาไปดูมั้ย?”
“ลืมมันซะเถอะ เขาดูเป็นศัตรู เราจะถูกฆ่าถ้าเข้าใกล้เขา ฉันไม่อยากเสียค่าประสบการณ์” ผู้เล่นขมวดคิ้ว ผู้เล่นถูกรังแกในช่วงที่ผ่านมาโดย NPC โชคดีที่คำสั่งของราชาถูกส่งออกมาและชีวิตของพวกเขาก็ดีขึ้น
วิลเลียมพบว่าผู้เล่นกำลังพิจารณาเขาอยู่ เขาจึงเหลือบมองพวกเขาจากนั้นก็หันกลับไปโดยไม่สนใจพวกเขาอีก เขารีบตรงไปที่ด้านในของเมือง
ไม่ว่าจะเป็น NPC หรือผู้เล่น ตราบใดที่คนๆ หนึ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าและคลุมหน้าก็จะไม่มีใครรู้ชื่อของใคร
ด้วยเหตุนี้ผู้เล่นหลายคนจึงเลือกที่จะเป็นมือสังหาร …
“เนื่องจากฉันมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา ฉันควรเริ่มต้นด้วยอะไรที่ยิ่งใหญ่” วิลเลียมสูดหายใจเข้าลึกๆ และเดินไปที่วังของเจ้าเมือง
มันเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างไกลเลยทีเดียว
ผู้เล่นที่กำลังเบื่อหลายคนอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นวิลเลียม พวกเขาสงสัยว่าทำไม NPC ระดับรีเจนดารีจึงมาปรากฏตัวในเมืองได้
ดังนั้นพวกเขาจึงตามรอยวิลเลียมและต้องการดูว่าพวกเขาจะสามารถกระตุ้นภารกิจใดๆ ได้หรือไม่
เมื่อฝูงชนมีจำนวนมากขึ้นจนดูเหมือนว่าเป็นขบวนติดตามวิลเลียม
เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนจึงรีบรุดเดินเข้ามาหาเพราะกลัวว่าผู้ถูกเลือกจะสร้างปัญหา
ผู้คุมคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “ผู้ถูกเลือกดูเหมือนกำลังติดตามชายในผ้าคลุมสีดำนั่น”
“ข้าตาบอดรึไร? ตัวละครที่น่าสงสัยนั่นกำลังมุ่งหน้าไปยังวังของลอร์ดเจ้าเมือง เหตุใดผู้ที่ถูกเลือกจึงติดตามเขา?” หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนเลเวล 45 ขมวดคิ้ว เขานำทหารและเข้าปิดกั้นเส้นทางของวิลเลียม
“โปรดแสดงบัตรประจำตัวของเจ้า”
“ท่านกำลังพูดอะไร?” วิลเลียมถามขณะที่เขาหันกลับมาช้าๆ
“แสดงบัตรประจำตัวของเจ้า!” หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนมองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มือซ้ายของเขาเลื่อนไปยังด้ามดาบ
“โอเค!”
วิลเลียมตอบ
วิลเลียมกดมือขวาของเขาลงบนศีรษะของหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนทันทีโดยไม่ให้โอกาสเขาขัดขืน จากนั้นเขาก็ปล่อยพลังการต่อสู้สายฟ้าใส่หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนคนนั้น
ปัง
ฝูงชนเห็นชายในผ้าคลุมสีดำกดศีรษะของหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนในขณะที่พุ่งไปข้างหน้าราวกับกระทิง
กองกำลังขนาดใหญ่ขนาดที่ไม่สามารถบรรยายถูกปล่อยออกมาและทหารทั้งหมดที่อยู่ด้านหลังหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนก็ล้มลง สายฟ้าสร้างความเสียหายให้กับศพของทหารจากการที่พวกเขาพุ่งเข้าชนร้านค้าข้างถนน
ร่างกายของหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนนั้นใหญ่โตและทรงพลังมาก แต่ต่อหน้าวิลเลียมเขาดูเหมือนเด็ก วิลเลียมเลื่อนมือขวาลงและจับคอของหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนแน่นด้วยนิ้วที่เหมือนเหล็กกล้าของเขา จากนั้นวิลเลียมโยนหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนไปด้านข้าง
โครม
หลุมขนาดใหญ่เกิดขึ้นที่ประตูขนาดใหญ่ของวังของลอร์ดเจ้าเมือง
วิลเลียมกระโจนเข้าไปพร้อมกับฝ่ามือที่เปล่งแสงสีฟ้า วิญญาณของหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนที่กำลังตายที่ถูกดูดออกไปก็เริ่มถูกกดกลับ…
ฝูงชนอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ…
ไม่นาน…
ผู้เล่นหลายคนที่กำลังถ่ายทอดสดอยู่เห็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนที่กำลังจะตายยืนขึ้นอีกครั้ง ค่าพลังชีวิตครึ่งหนึ่งของเขากลับเป็นปกติ อย่างไรก็ตาม หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนกลับเริ่มสังหารทหารของเขา …
ชายในผ้าคลุมสีดำเป็นเหมือนกับยมทูตถือเคียวผู้น่ากลัวขณะที่เขาก้าวเข้าไปในความมืดอย่างเงียบเชียบ
อำนาจทางทหารของอาณาจักรเหล็กกระจุกตัวอยู่ที่พรมแดน
มีป้อมปราการตั้งเป็นแนวป้องกันสามแห่ง ในนั้นมีกองทัพทั้งหมดเก้ากองทัพปกป้องอาณาจักรแห่งนั้นเอาไว้อยู่
โดยเฉพาะเมืองไรน์ที่อยู่หลังป้อมปราการทางทหาร ซึ่งเป็นฝ่ายจัดหาทรัพยากรสงครามของเหล่าทหารและสิ่งจำเป็นอื่น ๆ ที่ใช้ในป้อมปราการทางทหารอย่างต่อเนื่อง
เมืองแห่งนี้สามารถทำหน้าที่เป็นยุ้งฉางขนาดยักษ์แนวหน้า วิลเลียมต้องการสังหารเจ้าเมืองและสร้างความหายนะให้กับเมืองไรน์
นี่ดูเหมือนจะบ้าบิ่นไม่น้อย การแอบทำลายทรัพยากรของพวกเขาอย่างลับๆอาจจะเป็นประโยชน์มากกว่าด้วยซ้ำ
แต่จุดประสงค์ของวิลเลียมคือการปลุกระดมให้เกิดสงครามและเขาไม่ได้มีความสนใจที่จะลดกำลังรบของอาณาจักรเหล็ก การลดอำนาจของอาณาจักรหนึ่งลงไม่ได้ให้ผลประโยชน์แก่เขามากนัก
ปัจจุบัน อาณาจักรเหล็กใช้กลยุทธ์สกปรกต่างๆเพื่อดึงดูดผู้เล่น เขาต้องทำลายสิ่งเหล่านี้ลงเสียก่อน
เขาไม่ค่อยใช้เวทย์จิตวิญญาณเท่าใดนัก ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวว่าจะถูกจำได้ และแม้ว่าเขาจะโดนจับได้ พวกนั้นจะทำอะไรเขาได้?
แม้ว่าอาณาจักรเหล็กจะรู้ว่าวิลเลียมเป็นคนที่อยู่เบื้องหลัง แต่อาณาจักรลาวาดำก็ยังคงต้องเป็นคนรับผิดชอบอยู่ดี เพราะอาณาจักรเหล็กต้องหาคนมารับผิดชอบเรื่องนี้
“พวกแกเอาแต่คิดเรื่องเมืองแห่งรุ่งอรุณทั้งวัน คราวนี้ฉันมาถึงหน้าประตูบ้านแกแล้ว มาดูซิ ว่าพวกแกจะกำจัดฉันยังไง?” วิลเลียมมองไปที่คนของเจ้าเมืองที่รวมตัวกันอยู่รอบ ๆ ตัวเขา เขาเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันมองย้อนกลับไป
ลูกสมุนระดับกลางกว่า 30 คน เพิ่งจะมุ่งตรงมา คนเหล่านี้ไม่ใช่ NPC ที่ให้อาหารสัตว์ธรรมดาๆ ผู้ถือโล่เลเวล 50 ที่อยู่ข้างหน้าคำราม “กำจัดมือสังหาร ปกป้องเจ้าเมือง!”
“ปกป้องใคร?” วิลเลียมเหลือบมองชายคนที่กล่าวก่อนจะมองไปรอบ ๆ และพบว่าเจ้าเมืองแห่งนี้แอบสังเกตเขาจากทางหน้าต่าง
ทันใดนั้น เขาก็หยิบลูกศรออกมาและรวบรวมเวทย์จิตวิญญาณไว้ในมือ ก่อนลูกศรธรรมดาจะเปลี่ยนเป็นลูกศรสีน้ำเงินเข้ม แล้วยิงมันออกไป
ลูกศรสีน้ำเงินบินผ่านอากาศอย่างเงียบงันราวกับวิญญาณล่องลอยไปทั่วโลก
“สกัดมันเอาไว้!” วินาทีที่วิลเลียมเล็งไปที่หน้าต่าง ผู้ถือโล่ก็ได้ขว้างโล่ของตนไปในอากาศเพื่อขัดขวางลูกธนู
แต่มีบางอย่างที่ทำให้แปลกใจเกิดขึ้น โล่ที่ถูกขว้างออกไปนั้นมาขวางลูกศรได้ทันเวลา แต่ลูกศรสีน้ำเงินเข้มก็พุ่งทะลุโล่ไปยังเจ้าเมืองได้
“เป็นไปได้ยังไงกัน?” ผู้ถือโล่ตกตะลึง ในพริบตามือสังหารก็หายตัวไป
“มือสังหาร … มือสังหาร … ”
“ท่านเจ้าเมือง … ”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นเมื่อกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชาหันกลับมาและเห็นว่าคนผู้นั้นข้ามผ่านอากาศไปถึงเจ้าเมืองของพวกเขาแล้ว ก่อนที่เขาจะแทงเข้าไปที่หน้าอกของเจ้าเมืองอย่างรุนแรง
“หึ”
เจ้าเมืองที่ถูกแทงเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะหัวเราะอย่างเย็นชา
เขาหายใจออกอย่างรุนแรง พลังการต่อสู้อัคคีกลืนกินไปทั่วร่างกายของเขา ก่อนมือข้างขวาที่เต็มไปด้วยเลือดของเขาจะคว้าจับดาบแห่งสายฟ้า แล้วเล็งหมัดไปที่วิลเลียม
ปัง
ตุ๊กตาเหล็กทั้งสองเข้าปะทะกัน ในขณะเดียวกันนั้น ‘คนรับใช้’ ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดก็ลงมือโจมตีเช่นเดียวกัน โล่พลังต่อสู้ที่ปกป้องร่างกายของวิลเลียมถูกทำลายลง โชคดีที่โล่วิญญาณของเขาป้องกันการโจมตีได้อย่างทันท่วงที
แต่การปะทะกันครั้งใหญ่นั้นทำให้เขากระเด็นออกไป แต่เขาได้จับไหล่ของเจ้าเมืองไว้แล้วทั้งคู่ก็กระเด็นออกนอกหน้าต่าง ก่อนจะตกลงบนพื้น
“นี่มันอะไรกัน ทำไมเจ้าถึงรู้ว่าข้าเป็นตัวปลอมได้ในช่วงเวลาสั้นๆ เจ้าจะแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไง … “
“ถ้าไม่ถูกจำกัดเวลา ฉันคงจะตรวจสอบให้แน่นอนกว่านี้”
วิลเลียมเลียริมฝีปาก เขารีบลุกขึ้นแม้ว่าจะยังรู้สึกเวียนหัวอยู่เล็กน้อย เขารีบเตะเจ้าเมืองตัวปลอมอย่างรวดเร็ว และก่อนที่เจ้าเมืองตัวปลอมจะลุกขึ้นเขาก็ถูกเตะกระเด็นออกไปเหมือนกับยิงปืนใหญ่จนประตูทะลุเป็นรู
“ชิ้ง” ผู้ถือโล่ที่อยู่ข้างหลังเขาสะบัดดาบ พลังของดาบที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตรเข้าโจมตีตรงศีรษะของวิลเลียม
แต่วิลเลียมยกแขนขึ้นบังไว้ได้ทัน
โล่เวทมนตร์พังทลาย เลือดสาดกระจายในอากาศ
วิลเลียมไม่สนใจอาการบาดเจ็บที่แขน เขารีบพยุงตัวเองวิ่งเข้าไปในบ้าน ก่อนจะเตะเจ้าเมืองตัวปลอมอีกครั้ง ทำให้เกิดรูโหว่เป็นรูปคนก่อตัวขึ้นบนกำแพงจนมีรอยแตกยื่นออกมาคล้ายกับใยแมงมุมบนกำแพง มันยากที่จะจินตนาการได้ว่าการเตะของเขานั้นทรงพลังขนาดไหน
แต่คิดไปก็ปวดหัวเปล่าๆ …
แต่ในการต่อสู้ ผู้ที่ร่วมต่อสู้ไม่ได้ผลัดกันโจมตี หากมีใครล้มลงศัตรูของพวกเขาก็จะเอาถึงชีวิต!
วิธีการต่อสู้ของวิลเลียมนั้นเด็ดขาดและรวดเร็วมาก เขาเข้าหาเจ้าเมืองตัวปลอมและฟันดาบสั้นอาบยาพิษและดาบสายฟ้าในเวลาเดียวกันราวกับว่าเขากำลังข้ามผ่านอากาศ
สายฟ้าและแสงสีเขียวดูเหมือนจะก่อตัวเป็นวงโคจรที่เฉื่อยชา …
ดังนั้น
ในพริบตา
เจ้าเมืองตัวปลอมซึ่งค่อนข้างแข็งแกร่งและยังสามารถต่อสู้ต่อไปได้อีก แม้แขนของเขาจะหักไปแล้วตอนที่เขาพยายามปกป้องตัวเอง ดวงตาของเขายังคงพร่ามัวขณะที่ศีรษะของเขาถูกโจมตีจนหงายหลัง
“แข็งแกร่งขนาดไหนกัน?” ผู้ถือโล่ระดับ 50 ทำลายความเงียบ มีลูกน้องหลายคนเข้าไปในบ้าน พวกเขาไม่อยากที่จะเชื่อเรื่องตรงหน้า
เจ้าเมืองตัวปลอมเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองไรน์เป็นลำดับที่สาม
“ช่างแข็งแกร่งอะไรขนาดนี้”
วิลเลียมไม่สนใจคนที่อยู่ข้างหลัง
เขาชกกำแพงด้านซ้ายอย่างรุนแรง!
ปัง
ผนังเกิดรูขนาดใหญ่
“ เอ่อ…” มีคนเห็นชายวัยกลางคนที่หน้าซีดด้วยความตื่นตระหนก วิลเลียมชกทะลุกำแพงและคว้าเข้าที่คอของเขา ชายคนนั้นเบิกตากว้างขณะที่ขาของเขาลอยอยู่กลางอากาศ เขาไม่สามารถใช้กำลังใด ๆได้เลย
“ท่าไม่ดีแล้ว รีบช่วยท่านเจ้าเมืองเร็วเข้า” เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาเริ่มตื่นตระหนกและพุ่งออกไปโดยไม่มีเวลาคิด มือสังหารรู้ได้อย่างไรว่ามีใครบางคนซ่อนอยู่ในกำแพงลับ?
หากผู้เล่นอยู่ที่นี่พวกเขาจะตะโกนว่า “อัจฉริยะ !!!”
แต่มันก็สายเกินไปที่จะพูดอะไร วิลเลียมงอแขนของเขาและส่งหมัดออกไปจนเกือบจะทำให้เจ้าเมืองหยุดหายใจ
ไม่เพียงจะทำให้คอของเจ้าเมืองหักเท่านั้น แต่กระดูกสันหลังครึ่งหนึ่งของเขายังโผล่ออกมาให้เห็นต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาอีกด้วย
เจ้าเมืองที่มีเพียงเลเวล 30 …
วิลเลียมไม่ได้เผชิญกับความยากลำบากใดๆในการฆ่าเขา
“เวทย์วิญญาณมีประโยชน์มาก…” วิลเลียมตระหนักถึงบางสิ่งเมื่อนานมาแล้ว
หลังจากที่เวทย์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาก้าวไปสู่เลเวล 20 แล้ว เขาก็พบว่าหากคลื่นพลังงานของคนๆนั้นแข็งแกร่งมาก เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของคนๆนั้นได้ในระยะสิบเมตร ยิ่งคลื่นพลังงานแรงมากเท่าไหร่ ตำแหน่งก็ยิ่งแม่นยำมากขึ้นเท่านั้น
นี่ไม่ใช่ทักษะ แต่มันเป็นเหมือนแผนที่สามมิติที่สร้างขึ้นในใจ ซึ่งทำงานคล้ายกับอัลตราซาวนด์ที่ค้างคาวใช้
เห็นได้ชัดว่า แม้ว่าผู้เล่นจะเรียนเวทย์จิตวิญญาณ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเชี่ยวชาญได้เว้นแต่จะมีทักษะเฉพาะ
นี่เป็นทักษะที่ NPC เท่านั้นที่มี หากยิ่งแม่นยำขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะสามารถเพลิดเพลินไปกับทักษะของผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมเมื่อพวกเขารวมเข้ากับโลกนี้ได้อย่างแท้จริง
โอ้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมลูกศรถึงทะลุผ่านกำแพงได้ เพราะเขาสามารถมองทะลุกำแพงได้นี่เอง
“เจ้าเมืองตายแล้วอย่างนั้นหรือ?” ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายต่างคาดไม่ถึง ใครกันที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา?
“เขาเป็นมือสังหาร? พรานป่า? หรือนักรบกัน?” ใครบางคนพึมพำอย่างเงียบ ๆ เขาแข็งแกร่งเกินไป
ผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าเมืองไม่สามารถหยุดวิลเลียมได้
เขาเป็นบอสรีเจนดารีเลเวล 57 และเป็นนักฆ่าอันดับต้น ๆ ในเวอร์ชัน 1.0 ด้วยสายเลือดระดับรีเจนดารีรวมกับคุณสมบัติของเขาก็พอที่จะทำให้ศัตรูของเขาตกอยู่ในความสิ้นหวัง …
วิลเลียมผู้ฆ่าไม่ตายได้เข้าไปในวังของเจ้าเมืองและฆ่าเขาภายในเวลาไม่ถึงสามนาที จากนั้นในการแสดงพลังที่น่าประทับใจเขาก็ทำลายทางออก ในที่สุดเขาก็ไปถึงกำแพงเมืองและหลบหนีออกไปในเวลากลางคืน
การสังหารที่น่ารังเกียจนี้ทำให้เกิดการปะทุคลื่นลมระหว่างสองอาณาจักร
วันต่อมา
หน่วยสืบสวนที่ส่งมาจากพระราชาได้มาถึง หน่วยสืบสวนกลุ่มนี้ได้สร้างความตกใจให้กับผู้เล่นเนื่องจากมีบอสระดับรีเจนดารีสองคน
การลอบสังหารที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องร้ายแรงมาก ผู้เล่นทุกคนเข้าใจเรื่องนี้ดี
บอสทั้งสองคนคือโกธี นาซิสและออกัสติน
พวกเขามองไปที่ความยุ่งเหยิงในวังของเจ้าเมืองเช่นเดียวกับฉากการตายของเขาที่ยังไม่มีใครแตะต้อง พวกเขาเก็บเรื่องเอาไว้ให้เงียบที่สุด
ออกัสตินกำหมัดแน่น สายตาของเขาเย็นชา “ผู้ร้ายแข็งแกร่งมาก น่าจะผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระดับเดียวกับเรา”
โกธี นาซิสสัมผัสกับรอยกำแพงทะลุรูปคนบนผนัง เขาส่ายหัว “ไม่ เขาอาจจะไม่แข็งแกร่งเท่ากับท่าน”
“คนนี้ไม่ใช่มือสังหาร องค์กรดาร์กชาโดว์ไม่ยอมให้มีมือสังหารที่น่ากลัวเช่นนี้” ออกัสตินกัดฟัน
“ท่านพูดถูก แล้วเขาเป็นใครกัน? ไดอาโบลจากอาณาจักรลาวาดำ? หรือรีเนคตัน? หรือว่า…”
“ไม่ ไม่ใช่พวกเขา…” โกธี นาซิสโต้ข้อโต้แย้งของตัวเองอย่างรวดเร็ว
ไดอาโบลเป็นนักรบเหล็ก ในขณะที่รีเนคตันเป็นผู้บัญชาการภายใต้ราชวงศ์ พวกเขาจะไม่ถูกสั่งให้ทำอะไรแบบนี้ มีโอกาสมากขึ้นสำหรับคนอื่นที่จะทำเช่นนี้
พวกเขามองหน้ากัน จากนั้นเมื่อพวกเขาเริ่มบรรยายฉากต่อสู้ พวกเขาก็พูดพร้อมเพรียงกันว่า “สายฟ้า! เมืองแห่งรุ่งอรุณ”
โกธี นาซิสยิ้ม “ช่างซุกซนเสียจริง ในตอนนั้นข้าไม่ได้ฆ่าเพื่อนคนนั้น แต่กลับปล่อยให้เขาเติบโตขึ้น ตอนนี้เขากล้าที่จะยั่วโมโหข้า น่าสนใจดีนี่”
“เขาอาจจะลงมืออีกครั้ง”
“บางทีอาจจะไม่ใช่” โกธีเลิกคิ้วแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “แต่ท่านไม่ต้องสนใจเรื่องนี้ นำกำลังลอบสังหารเจ้าหน้าที่หน่วยสอดแนมและผู้เชี่ยวชาญที่ชายแดนต่อไป”
“ทิ้งปัญหาของขุนนางในอาณาจักรไว้ที่ข้า สงครามจะเริ่มในอีกสองเดือน”
“ตอนนี้สร้างบรรยากาศตึงเครียดที่ชายแดน ทำให้อาณาจักรลาวาดำคิดว่าเรากำลังจะโจมตี”
“ตกลง ทิ้งวิลเลียมไว้ให้เป็นหน้าที่ข้า ข้ายังเสียใจจากความพยายามครั้งก่อนที่จะฆ่ามังกร” ออกัสตินคิดถึงแม่มดในความทรงจำที่ยังคงชัดเจนในใจของเขา ถ้าเขาไม่ยุติความเสียใจนี้ เขาก็จะรู้สึกแย่ไปตลอดชีวิต
โกธี นาซิสพยักหน้า ทันใดนั้นเขาโบกมือขึ้นและทุกคนก็ถอยออกไป
และ…
เขามองชายผมสีทองตรงหน้า เขายื่นมือออกมาและสัมผัสใบหน้าของออกัสตินเบา ๆ “ระวังด้วย ความสามารถของเขาไม่ธรรมดา”
“งั้นเราควรออกไปหลังจากคืนนี้ดีหรือไม่?” ออกัสตินเผยยิ้มที่ยากจะได้เห็น
“ โอ้…แน่นอน!”
ฟอรั่มของ Gods คึกคักเป็นพิเศษ
ภารกิจของเรื่องกำลังจะปรากฏขึ้น
ที่สำคัญคือ ในที่สุดผู้เล่นก็ได้เห็นการโจมตีของ NPC ระดับรีเจนดารี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทู้ “บอสระดับรีเจนดารีทำการสังหารหมู่เมืองแห่งหนึ่ง” ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในหมู่ผู้เล่น
“สองคำเลย ดุเดือด”
“พลังการต่อสู้ของอาณาจักรเหล็กต่ำเกินไป กลุ่มนักรบจากนักฆ่าคนหนึ่งเกือบทำให้เมืองของพวกเขาล่มสลาย”
“ใช่แล้ว บอสระดับรีเจนดารีที่สวมเสื้อคลุมสีดำเปิดทางจากประตูเมืองไปยังวังของเจ้าเมืองอย่างโหด เขาเดินลัดเลาะไปตามถนนถึง 18 สาย เพียงพริบตาเดียว เลือดก็ไหลเป็นสายน้ำ… ”
“น้องชายอย่าได้หาทำสงคราม นักฆ่าได้แฝงตัวเข้ามาในเมืองแล้ว นอกจากนี้เขายังสวมเสื้อคลุมสีดำอีก คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเขากระพริบตา?” ผู้เล่นจากอาณาจักรเหล็กไม่พอใจอย่างมาก
“ฉันชอบแบบนั้นนะ จะโจมตีฉันหรอ? อาณาจักรเหล็กกำลังจะถูกทำลายโดยอาณาจักรลาวาดำ พวกคุณก็เปรียบได้แค่เด็กผู้หญิงที่พยายามต่อสู้กลับ…” ผู้เล่นจากเมืองรุ่งอรุณชอบปลุกปั่นปัญหา ที่สุดแล้ว การต่อสู้ก็ไปไม่ถึงเมืองของพวกเขาอยู่แล้ว หรือถ้าไปถึง มันก็จะเป็นแค่สาเหตุให้ได้เฉลิมฉลอง …
“ พวกพี่ชายจากเมืองไรน์ช่างดุร้าย คุณกล้าข้ามแม่น้ำไรน์กับฉันไหม?”
“ ไม่”
“ ไม่”
“ ไม่…”
ผู้เล่นจากอาณาจักรเหล็กไม่ได้โง่ แม้ว่าเขาอยากจะทำ เขาก็จะไม่พูดถึงมันในฟอรัม เขาปฏิบัติต่อผู้เล่นจากอาณาจักรลาวาดำราวกับพวกเขาตาบอด ถ้าเขาอยากทำอะไร พวกเขาก็จะทำอย่างลับๆ …
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรากฏตัวของโกธี นาซิสและออกัสตินที่ทำให้ผู้เล่นจากอาณาจักรเหล็กสงบลง เนื่องจากอาณาจักรเหล็กมี NPC ระดับรีเจนดารีอย่างน้อยสองคนแล้ว พวกเขาจึงไม่ต้องกังวลกับสถานการณ์นี้มากนัก
พวกเขาแค่ต้องฝึกฝนอย่างสงบและรอให้ภารกิจของเรื่องปรากฏออกมา
ในช่วงที่สงบสุข มีทหารเพียงแค่ 2,000 นายและทหารยาม 300 นายเท่านั้น แต่พวกเขาเพียงรักษาความปลอดภัยของสาธารณะ พวกเขาไม่สามารถหยุดวิลเลียมได้
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้พบกับมือสังหารที่แข็งแกร่งที่จะเข้ามาในวังของเจ้าเมืองและทำการสังหารหมู่เช่นนี้…
วิลเลียมแอบมาและจากไปอย่างอุกอาจพร้อมกับเสียงดัง คราวนี้ เขามุ่งหน้าไปยังอาณาจักรลาวาดำ
วังลาวาดำ
เขามองดูตัวเมืองจากระยะไกล มันเป็นสีดำสนิทราวกับว่ามันถูกปกคลุมด้วยหมึก เมืองนี้ไม่มีข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์มากนัก แต่เมืองที่ตั้งตระหง่านอยู่บนทุ่งที่กว้างใหญ่ดูสวยงามราวกับไข่มุกดำ
ในเวลากลางวัน หินสีดำดูแพรวพราวไปกับแสงแดดจนอาจทำให้คนมองตาบอดได้ ในเวลากลางคืน มันจะเปล่งประกายจนดูราวกับว่ามันเปล่งประกายในความมืด
แต่ความจริงที่ว่ามันเรืองแสงนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญที่สุดคือมันมีพลังป้องกันที่สูงมาก มันมีอัตราการดูดซึมเวทย์มนตร์สูง
ในอาณาจักรที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 300 ปีก่อนนี้ วังลาวาดำเป็นแนวป้องกันสุดท้าย มันได้รับการปกป้องจากสงครามที่อาจทำลายเมืองหลายต่อหลายครั้ง
ทุกๆ ปีนักเวทย์เกือบ 1,000 คนจะเสริมพลังเมืองนี้ด้วยเวทมนตร์ มันมีส่วนทำให้เมืองมีการป้องกันที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ แม้ว่ากองทัพของอาณาจักรใหญ่ๆจะโจมตีพวกเขาด้วยปืนใหญ่ก็ตาม แต่พวกเขาก็จะไม่สามารถบุกเข้าไปในเมืองภายในเวลาสั้นๆ ได้
นอกจากนี้ ในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเวอร์ชัน 1.0 นี่คือเมืองที่ปิดกั้นการโจมตีจากอาณาจักรเหล็กได้ตลอดทั้งเดือน มีผู้บาดเจ็บจำนวนนับไม่ถ้วนจากกระบวนการนี้
ในขณะเดียวกัน วิลเลียม …
เขาเป็นผู้แพ้ยืนที่ยืนอยู่บนพื้นที่ส่วนหนึ่งของอาณาจักรลาวาดำ…
“ การกลับมาที่เมืองนี้ทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้” วิลเลียมดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาก็ส่ายหัวและก้าวไปที่ประตูเมือง …
เขาสวมชุดคลุมสีดำซึ่งดึงดูดความสนใจของผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย
เมื่อยามในเมืองตรวจสอบตัวตนของเขาแล้ว พวกเขาก็อนุญาตให้เขาเข้าไป
แต่ผู้เล่นที่เดินเข้าออกเมืองไม่ลืมรูปร่างลักษณะของเขา
หลังจากนั้นไม่นาน วิลเลียมก็ถูกมองออก ชุดของเขาคล้ายกับมือสังหารในวิดีโอมากเกินไป
โชคดีที่เขาเป็นบอสระดับรีเจนดารีและไม่มีใครกล้าที่จะเข้าใกล้เขา พวกเขาเพียงแค่ซ่อนตัวและพูดคุยอยู่กันเอง
วิลเลียมไม่ได้ปกปิดตัวตนของเขา เขาเดินไปที่ทางเข้าของวังแล้วหยุด
ทหารราชองครักษ์ทั้ง 100 คนที่อยู่ที่ประตูจ้องมองเขาราวกับว่าพวกเขาสัมผัสได้ถึงอันตราย
เมื่อผู้เล่นอยากรู้เกี่ยวกับตัวตนของบอส …
จู่ๆ วิลเลียมก็ถอดฮู้ดออกและเผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา
“บ้าไปแล้ว! ออร่าเจิดจ้ามาก! ตาฉัน…”
“นั่นคือลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณจริงหรือ?”
“อะไรกัน! ลอร์ดเจ้าเมืองหันมาเป็นนักฆ่างั้นหรือ”
“ใช่แล้วล่ะ ใช่แล้ว นั่นคือเขา ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาบางคนได้จัดตั้งสาขาของทีมทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณ ถ้าฉันเข้าร่วมฉันก็จะกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาใช่ไหม?”
“ฟังดูสมเหตุสมผล ฉันจะเข้าร่วมด้วย มาหาภารกิจกัน…” ชายคนหนึ่งหัวเราะอย่างไม่สบอารมณ์
วิลเลียมไม่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นก่อปัญหา เขาอาจโจมตีพวกเขาด้วยซ้ำ เขามองไปที่ทหารองครักษ์และพูดว่า “เราเป็นหัวหน้าทีมทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณ เราต้องการเข้าเฝ้าราชา”
“หัวหน้าทีมทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณ?” ยามที่ประตูตะลึง ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจ แต่น้ำเสียงของเขายังคงเต็มไปด้วยความสงสัย “ลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณ?”
“ไม่ ตัวตนในปัจจุบันของเราคือหัวหน้าทีมทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณ” วิลเลียมเลิกคิ้ว ตัวตนของลอร์ดเจ้าเมืองจะทำให้ได้รับการเคารพอย่างสูงเนื่องจากเทียบเท่ากับกษัตริย์ของอาณาจักรมนุษย์
ถ้าเขามาคนเดียวเพื่อขอเข้าเฝ้าราชาของอาณาจักรมนุษย์ เขาคงถูกปฏิเสธ…
แต่ถ้าเขาใช้ตัวตนของเขาในฐานะผู้นำของกองทหารรับจ้าง มันก็จะไม่มีปัญหา ราชาอาจขี้เกียจเกินกว่าที่จะจัดการกับเขาด้วยซ้ำ
“อะแฮ่ม โปรดรอที่นี่…”
“ไม่จำเป็น องค์ราชาเป็นผู้ที่เชิญเขามาที่นี่” ชายวัยกลางคนในชุดเกราะสีดำเดินออกมา เขายิ้ม “ข้า เรเนคตัน เป็นผู้บัญชาการทหารองครักษ์ ข้ามาที่นี่เพื่อพบหัวหน้าทีมทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณ”
“สวัสดีผู้การเรเนคตัน” เมื่อทหารองครักษ์เห็นชายคนนี้ พวกเขาก็คุกเข่าลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว
ผู้เล่นอดไม่ได้ที่จะหันไปคุยซุบซิบกัน
“ นี่คือการพบกันระหว่างกษัตริย์ ไม่ว่าลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณจะไปที่ไหน บอสระดับรีเจนดารีก็จะปรากฏตัวออกมา”
“ ผู้บัญชาการทหารองครักษ์หล่อมาก เขาเป็นบอสระดับรีเจนดารีที่แข็งแกร่ง ฉันไม่เคยเห็นเขามาก่อนเลย”
เมื่อวิลเลียมเห็นเขา เขาก็ตะลึงเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า “รบกวนด้วย”
พวกเขาเดินเข้าไปในราชวัง สภาพแวดล้อมเงียบสงบ เรเนคตันเป็น NPC ระดับรีเจนดารีเลเวล 65 เขาเป็นนักรบประเภทลมและนักเวทย์ประเภทลม เขาแข็งแกร่งมาก นอกจากนี้เขายังเป็นมกุฎราชกุมาร แถมเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งโดยมกุฎราชกุมารอีกด้วย
มกุฎราชกุมารคนปัจจุบันกำลังดำรงอยู่ในตำแหน่งราชา เรเนคตันเป็นผู้นำของกองทหารองครักษ์จำนวน 3,000 นาย นี่เป็นกองกำลังป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดขององค์ราชา
เขามองไปที่ลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณข้างๆเขา เขาไม่เคยคาดคิดว่าวิลเลียมจะยังเด็กและเย่อหยิ่ง และเขาก็ไม่คาดคิดว่าวิลเลียมจะมาที่วังลาวาดำเพียงลำพัง
วิลเลียมไม่ได้สังเกตพระราชวัง เขาเคยมาที่นี่หลายครั้งในชีวิตที่ผ่านมาและรู้สึกเบื่อหน่ายกับการเดินเตร่ไปทั่วเมืองลอยฟ้าในตำนาน ไม่มีอะไรให้เขาประหลาดใจ
การกระทำที่เฉยเมยนี้ทำให้เรเนคตันเห็นด้วยกับข่าวลืออย่างช้าๆ เขาค่อยๆคิดเกี่ยวกับมัน “ก็อย่างที่คาดไว้สำหรับเจ้าชายเอลฟ์ที่เติบโตในเมืองดาร์คไนท์”
“ แต่ข่าวลือที่ว่าเขาเป็นลูกครึ่งอาจเป็นเรื่องจริง”
“ ด้วยความเร็วของการพัฒนาเมืองแห่งรุ่งอรุณ เขาไม่อาจมองข้ามได้เลย”
“ พวกเอลฟ์แบล็คลีฟคงจะให้การสนับสนุนเขา ถ้าไม่เช่นนั้น เขาคงไม่สามารถจัดการกับเมืองแห่งรุ่งอรุณที่ใหญ่โตได้”
เมืองแห่งรุ่งอรุณในปัจจุบันได้รับความสนใจจากมนุษย์ทั้งสองอาณาจักร พวกเขาแอบสังเกตแผนการของเอลฟ์แบล็คลีฟอย่างลับๆ แต่ก็ต้องยอมแพ้ไป พวกเขาไม่ได้ค้นพบอะไรเลย
ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที
เมื่อพวกเขาเพิ่งจะเดินเข้าไปในสวนด้านหลังพระราชวัง
วิลเลียมก็ได้พบกับราชาแห่งอาณาจักรลาวาดำในอนาคต!
เนดริก แบล็คสโตน
สีดำ
มันเป็นสีที่ได้รับการนับถือในอาณาจักรลาวาดำ
ตำแหน่งใดๆ ที่ต่ำกว่าเคานท์จะไม่ได้รับอนุญาตให้สวมชุดดำ
เนดริกสวมชุดคลุมสีดำเรียบง่ายแต่สง่างาม เขายืนอยู่ในศาลา มีโต๊ะทรายอยู่ข้างหน้าเขา เขาชี้ไปที่เมืองไรน์ซึ่งอยู่ด้านหลังป้อมทหารสามป้อมและพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ถ้าท่านต้องการเอาชนะอาณาจักรเหล็ก ท่านไม่สามารถหลีกเลี่ยงป้อมทหารทั้งสามและแม่น้ำไรน์รวมถึงเมืองไรน์ที่สำคัญที่สุดได้”
“ ถ้าเราไปจากทางใต้ เงินที่ต้องใช้จะเกินงบ นอกจากนี้ยังมีอสูรเวทย์และชนเผ่ามากมายในทุ่ง ทางเหนือเป็นเขตพรมแดนของอาณาจักร มันเป็นดินแดนต้องห้ามสำหรับทั้งสองอาณาจักร”
ในตอนนี้ เนดริกหันมาและยิ้ม “องค์ชายวิลเลียม ท่านคิดว่าข้าควรจะสู้ในสงครามนี้อย่างไร?”
ทางตะวันออกของแม่น้ำไรน์คืออาณาจักรเหล็ก ทางตะวันออกคืออาณาจักรลาวาดำ
วิลเลียมชี้ไปที่ป้อมปราการทางทหารสองแห่งที่เป็นของอาณาจักรลาวาดำ ด้านหลังป้อมปราการคือตัวเมือง
เขาหัวเราะ “ นอกเหนือจากกองทหารองครักษ์หลวง อาณาจักรลาวาดำยังมีกองทหารอีก 20 กอง ตระกูลแบล็กสโตนมีกองทัพ 16 กอง แต่ท่านกลับควบคุมได้เพียงสิบกอง นอกจากนี้ท่านได้วางตำแหน่งเกือบทั้งหมดไว้ที่ชายแดน อย่างไรก็ตาม หากท่านต้องการต่อสู้ แม้ว่าขุนนางจะไม่ก่อกบฏก็คงจะยากหากปราศจากความช่วยเหลือ … ”
“ โอ้ ก่อนหน้านั้นใครให้ท่านกล้ามาที่นี่หลังจากฆ่าเจ้าเมืองแห่งไรน์ไป” เนดริกยังคงยิ้ม แต่น้ำเสียงของเขาโหดเหี้ยม
“ เหลียง จิ้งหรู?”
วิลเลียมคิดเรื่องนี้อยู่สองวินาที แต่ไม่ได้เอ่ยชื่อของบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีพลังในการสังหารสูงออกมา เขากลัวว่าเขาจะทำให้มกุฎราชกุมารตกใจ
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ถ้าท่านยื้อเวลาต่อไปก็จะเอื้อประโยชน์ต่ออาณาจักรเหล็กเท่านั้น ใช้เจตจำนงเสรีของท่านในการข้ามผ่านอาณาจักรเหล็กสิ”
“ท่านคิดว่าจะมีโอกาสได้เผชิญหน้ากับกองทัพของอาณาจักรเหล็กที่มีความแข็งแกร่งของทหารถึง 60,000 นายจริงๆหรือ? เช่นเดียวกับมืออาชีพและผู้ถูกเลือกที่ต้องการล้มล้างระบบขุนนาง?”
“นี่คือสาเหตุที่ท่านกระตุ้นความสัมพันธ์ระหว่างสองอาณาจักรงั้นหรือ?”
“ถูกต้อง การโจมตีก่อนเป็นโอกาสเดียวที่ท่านจะชนะ ถ้าท่านไม่เข้าใจเรื่องแค่นี้ ทำไมไม่ลองโจมตีเราล่ะ?” วิลเลียมยิ้มอย่างเมินเฉย
เนดริกหรี่ตาลง เขาเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น อาณาจักรเหล็กถูกขุนนางบางคนยึดครองเข้าแล้ว
แต่เขาก็ถูกเจ้าชายคนอื่นๆ ที่ต้องการบัลลังก์รั้งไว้เช่นกัน เขาต้องการใช้วิธีการที่ยุติธรรมเพื่อตัดสินว่าใครจะได้บัลลังก์ “ ข้าต้องการหยุดความวุ่นวายของพี่น้องของข้า แต่เวลาก็สั้น และข้าได้รับความสูญเสียมากมาย…”
วิลเลียมเลิกคิ้ว “ เราจะขอให้มาควิสคริสต์ยอมแพ้และสนับสนุนท่าน”
“จริงๆ หรือ?”
มกุฎราชกุมารคิดแล้วก็ยิ้ม “ถูกต้อง ท่านเคานต์มีไมตรีกับท่าน แต่ท่านจะเปลี่ยนความคิดของเขาอย่างไร?”
“ จากสถานการณ์โดยรวม เขาไม่มีทางเห็นด้วย ที่ข้ายินดีที่จะสนับสนุนท่าน เขาไม่เข้าใจหรอว่านี่หมายถึงอะไร?”
เนดริกมองวิลเลียมด้วยสายตาที่หนักอึ้ง เขาไม่ได้คาดหวังว่าวิลเลียมจะมีความตั้งใจอย่างลึกซึ้งต่ออาณาจักรลาวาดำ
เขาคิดเรื่องนี้เป็นเวลาห้านาทีเต็มก่อนจะพูดว่า “ให้เวลาเราครึ่งเดือน เราสามารถเริ่มสงครามได้เลย แต่ท่านจะทำอะไรได้อีกนอกจากนี้?”
“ข้าสามารถนำผู้ถูกเลือกอย่างน้อย 500,000 คนเข้าร่วมในสงคราม รวมทั้งทหารรับจ้างอีก 3000 นาย” วิลเลียมเลิกคิ้ว
“ทหารรับจ้างของท่านเก่ง แต่ทหารที่ถูกเลือกก็อ่อนแอเกินไป” เนดริกไม่ไว้ใจผู้ถูกเลือก เขาไม่ยอมรับสายพันธุ์ที่ไม่ตายนี้ นอกจากนี้ผู้ที่ได้รับเลือกหลายคนเองก็เพิ่งเข้าสู่อาณาจักรเหล็ก และเขาก็ยิ่งระมัดระวังมากขึ้น
“แล้วคนที่อยู่ภายใต้ออกัสตินล่ะ?”
เนดริกมองไปที่เขา “ ถ้าท่านต้องการฆ่าเขาจริงๆ ข้าจะขอให้ผู้บัญชาการกองทหารที่อยู่แนวหน้ามาทำงานร่วมกับท่าน”
ตำแหน่งของออกัสตินเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เขายังเติบโตเร็วมาก เขานำผู้เชี่ยวชาญกว่า 50 คนเพื่อมาสังหารเนดริกในอาณาจักรลาวาดำ
ย้อนกลับไปตอนนั้น
หากผู้ใต้บังคับบัญชา 500 คนของเขาไม่ต่อสู้เพื่อปกป้องเขาจนตาย เขาคงจะไม่มีโอกาสได้สืบทอดบัลลังก์
พวกเขามาถึงข้อตกลง
มีการเปลี่ยนแปลงภารกิจของเรื่อง!
การต่อสู้แห่งอำนาจกำลังจะเริ่มขึ้นโดยอาณาจักรลาวาดำ!
“แล้วท่านต้องการอะไร” เนดริกรู้ดีว่าลอร์ดตรงหน้าเขาไม่ได้ทำเช่นนี้ด้วยความปรารถนาดี เขาต้องการบางสิ่งบางอย่างและไม่มีความอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย
“เราจะนำทุกคนในทีมทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณเข้าร่วมการต่อสู้ทั้งหมด ถ้าเราแพ้ เราก็ไม่ต้องการอะไร”
“แต่ถ้าเราชนะ เราต้องการหนึ่งในสามของเงินรางวัลจากอาณาจักรเหล็ก” วิลเลียมยิ้ม
การจ้องมองของเนดริกดูน่าเบื่อ เขายื่นมือออกมาอย่างไม่ลังเลและพูดด้วยเสียงต่ำ “ตกลง”
หมับ
พวกเขาจับมือกัน คำแถลงทางวาจาไม่สามารถรับประกันได้ แต่มันก็ได้ถูกตัดสินแล้ว!
เหตุใดวิลเลียมจึงไปที่เมืองไรน์และก่อเหตุลอบสังหาร?
เขาต้องการพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตนเอง อีกอย่างหนึ่งก็เพื่อต้องการลงมติต่อต้านอาณาจักรเหล็กอีกด้วย
การลอบสังหารที่ทุกคนรู้จักกันดีก็เป็นการพิสูจน์ความจงรักภักดีของเขา มันเป็นรากฐานของความร่วมมือของเขากับเนดริก
อาณาจักรเหล็กกำลังก่อปัญหาที่ชายแดนและได้สร้างสถานการณ์ที่ตึงเครียดราวกับว่าพวกเขากำลังจะโจมตี แต่ทั้งหมดนี้เป็นอุบายของอาณาจักรเหล็ก มันเป็นแค่กลวิธีถ่วงเวลาเพื่อต้องการที่จะชะลอการเกิดสงครามกับอาณาจักรลาวาดำ
โกธี นาซิสจำเป็นต้องจัดการขุนนางที่เหลือและเขาก็ต้องการให้คนที่ถูกเลือกเข้ามารับใช้
ในขณะที่การถ่วงเวลาดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองอาณาจักร ยิ่งอาณาจักรเหล็กได้เวลามากเท่าไหร่ สถานการณ์ในอาณาจักรของพวกเขาก็จะยิ่งมั่นคงมากขึ้นเท่านั้น ด้วยอำนาจทางทหารที่มากขึ้นอาณาจักรเหล็กจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่หากอาณาจักรลาวาดำเพิกเฉยต่อการสูญเสียเพียงเล็กน้อยและเริ่มโจมตีในเวลาปัจจุบันจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
แน่นอนว่าเนดริกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในอาณาจักรเหล็ก แต่เขาไม่กล้าและเด็ดเดี่ยวพอ เขาต้องการใช้วิธีการที่อ่อนโยนเพื่อยุติปัญหาเรื่องบัลลังก์
วิลเลียมที่เป็นคนนอกได้ชี้ให้เห็นถึงความลับนี้ แน่นอนเขารู้ว่าเวลานั้นไม่เพียงพอ หากเขาสามารถส่งกองกำลังออกไปได้สิ่งที่ไม่คาดคิดมากมายอาจเกิดขึ้น
ตัวอย่างเช่นขุนนางที่ไม่มีความสุขในอาณาจักรเหล็กอาจได้รับความกล้าหาญที่จะก่อกบฏ
ในราชวังดำ
เนดริกมองไปที่โต๊ะทราย เขายกยิ้ม “หากเราสามารถโค่นอาณาจักรเหล็กลงได้ ทำไมเจ้าเมืองรุ่งอรุณถึงคิดว่าข้าจะให้หนึ่งในสามของเงินที่ได้มาแก่เขา”
รีเนคตันกล่าวด้วยเสียงต่ำ “เมื่อพิจารณาถึงผู้ถูกเลือกจำนวนมากและตัวตนของเขาในฐานะลอร์ดที่เป็นกลาง เขาคงไม่อยากได้ที่ดินอย่างแน่นอน”
“ท่านคิดว่าหากผู้ถูกเลือก 500,000 คน ปรากฏตัวในสนามรบ พวกเขาจะสามารถทำลายกองทหารได้หรือไม่?”
รีเนคตันกล่าวว่า “ไม่ ผู้ถูกเลือกก็เหมือนเม็ดทรายที่กระจัดกระจาย พวกเขาไม่เข้ากับกองทัพใด”
“ แม้ว่าพวกเขาจะฟื้นขึ้นมาได้หลังจากตายไป แต่ข้าก็สังเกตเห็นว่าพวกเขาบางคนไม่ต้องการต่อสู้ต่อหลังจากตายไปหลายครั้ง ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ลดลงเช่นกัน นั่นหมายความว่าพวกเขาขี้ขลาด”
“แล้วคุณคิดว่ามาร์ควิสคริสจะฟังเขาจริงเหรอ?”
รีเนคตันลังเลเล็กน้อย เขากล่าวว่า “ไม่ แต่เมื่อเผชิญกับสถานการณ์โดยรวม มาร์ควิสคริสจะภักดีต่อท่านอย่างสมบูรณ์”
เนดริกหัวเราะ เขาหัวเราะอย่างมีความสุขมาก “ครึ่งเอลฟ์ที่มีสายเลือดแปดเปื้อน? เหตุใดข้าจึงต้องแบ่งปันเงินรางวัลกับเขากัน หากข้านำรางวัลทั้งหลายไว้บนดินแดนของข้า เขาจะกล้าส่งกองกำลังไปขโมยหรือไม่?”
“พระราชาทรงหลักแหลมยิ่งนัก” รีเนคตันคุกเข่าลงบนพื้น สายตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม
วิลเลียมไม่รู้ว่าเนดริกกำลังคิดอะไรอยู่ เขาไม่สนใจว่าเขาจะทำตามข้อตกลงของพวกเขาหรือไม่
เขามาถึงบ้านของท่านเคานต์
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำเรียบหรูกำลังรินชาและสุราชั้นดีให้เขา
วิลเลียมดื่มไวน์ผลไม้แล้วหัวเราะ “เคอรี่ เจ้าเป็นถึงท่านเคานต์ หากทำแบบนี้คนจะคิดกันว่าเจ้าเป็นคนไร้ยางอาย”
เคอรี่ชำเลืองมองทาสหญิงที่นุ่งน้อยห่มน้อย เขาโบกมือให้พวกเธอลงไป จากนั้นเขาก็ยิ้ม “ท่านลอร์ด ข้าเคารพท่านดั่งผู้คนนับถือเทพเจ้า นั่นไม่ใช่สิ่งที่แสดงออกได้ผ่านการรินชาและสุรา ข้าหวังว่าท่านจะเข้าใจ”
“เคอรี่!”
“ครับท่าน” เคอรี่ได้ยินน้ำเสียงที่เข้มงวดของวิลเลียม เขาจึงรีบลุกเดินไปยืนข้างๆทันที
วิลเลียมเล่นกับแก้วไวน์ ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าอยากเป็นแค่ท่านเคานต์ไปตลอดชีวิตเลยหรือ?”
“ตุบ”
เคอรี่รู้สึกซาบซึ้งก่อนจะพูดว่า “ข้ายังอยากเป็นมาร์ควิส…”
“แค่มาร์ควิส?” วิลเลียมถอนหายใจด้วยความผิดหวังและลุกขึ้น แต่ในขณะที่เขากำลังจะจากไป
“ลอร์ด!” จู่ๆเคอรี่ก็คุกเข่าต่อหน้าวิลเลียม เขากำหมัดแน่นและพูดเสียงเบาๆว่า “ข้ามีทหาร 1,000 นาย แต่พวกเขายังไม่แข็งแกร่งมาก ข้ารู้ว่าความทะเยอทะยานของคน ๆ หนึ่งเกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งของพวกเขา”
จากนั้นดวงตาของเคอรี่ก็เป็นประกายเมื่อเขามองไปที่วิลเลียม “แต่ข้าเชื่อในท่านลอร์ด หากท่านสนับสนุนข้า ข้าจะสามารถยืนอยู่บนที่สูงและมองเห็นได้ไกลกว่านี้ ข้าเชื่อว่าท่านจะไม่ยอมให้ข้าเป็นแค่มาร์ควิส”
วิลเลียมนั่งลงบนเก้าอี้ เขาครุ่นคิด “แล้วเจ้าคิดว่าเราควรทำให้เจ้าทำอะไรดี?”
“ให้ข้าเป็นสุนัขรับใช้ของท่านเถิด หากท่านต้องการให้ข้าเป็นมาร์ควิส ข้าจะกลายเป็นมาร์ควิส หากท่านต้องการให้ข้าเป็นดยุก ข้าก็จะเป็นดยุก แต่ไม่ว่ายังไงข้าก็ยังเป็นสุนัขรับใช้ของท่านเสมอ” เคอรี่คลานไปกับพื้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความปรารถนาในอำนาจ
หากเขาไม่ใช่ขุนนางที่แท้จริง เขาจะไม่มีทางรู้ว่าการมีอำนาจนั้นน่าพอใจเพียงใด
ถูกต้องแล้ว
น่าพอใจ!
มันเป็นคำง่ายๆ
แต่มันสามารถเป็นตัวแทนของทุกสิ่งได้อย่างชัดเจน
เจ้าจะได้ผู้หญิงที่สวยที่สุดในดินแดน คนที่เป็นเทพธิดาในสายตาของคนอื่นนั้น เธอสามารถยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะปีนขึ้นไปบนเตียงของเจ้าในเวลากลางคืน
เจ้าอาจตีความผิด และใครก็ตามที่มีตำแหน่งต่ำกว่าจะต้องชอบเจ้า พวกเขาต้องบอกว่าเจ้าพูดถูก พวกเขาต้องยอมรับว่ากวางที่เจ้าชี้ไปนั้นเป็นม้าหากเจ้าพูดอย่างนั้น
เจ้าสามารถประพฤติตนอย่างไร้ศีลธรรม เจ้าจะเป็นราชาแห่งดินแดน
อย่างไรก็ตามอำนาจนี้สามารถใช้ได้แค่ในดินแดนของเจ้าเท่านั้น
เคอรี่อยากมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่านี้!
วิลเลียมหัวเราะและเสียงหัวเราะของเขาฟังดูเหมือนเนดริก เขาใช้ปลายเท้าของเขายกคางของ เคอรี่ขึ้น ก่อนจะมองไปยังดวงตาของเขาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา เขายิ้ม “จำไว้ว่าในฐานะสุนัข เจ้าต้องเข้าใจว่า แม้ว่าเจ้าจะได้เป็นราชาในอนาคต เจ้าก็ยังเป็นสุนัขของเรา เจ้าเป็นเพียงสุนัขที่ไร้พลังเท่านั้น”
“แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะขึ้นเป็นราชา แต่อย่างน้อยเจ้าก็สามารถเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดนอกจากราชาได้”
ร่างกายของเคอรี่สั่นสะท้าน เขาคลานไปบนพื้นและจูบรองเท้าของวิลเลียม เขาดูเหมือนจะเลียฝุ่นออกจากรองเท้าให้ด้วยซ้ำ
วิลเลียมเตะเขาออกไปแล้วเลิกคิ้ว “ไปบอกมาร์ควิสคริสว่าเราอยากไปพบเขาที่ราชวังในคืนพรุ่งนี้ ขอให้เขามาคนเดียวเราอยากเจอเขาเท่านั้น”
“ครับ ข้าจะทำเดี๋ยวนี้” เคอรี่คลานหนี เมื่อเขาไปถึงประตู เขาก็กล้าที่จะยืนขึ้นและเดินออกไป
เมื่อเขาเดินออกจากประตูนี้ เขาก็กลายเป็นขุนนางที่คนธรรมดาไม่มีใครเทียบได้
เมื่อเคอรี่พบวิลเลียมครั้งแรก เขาได้ค้นพบความใฝ่ฝันของวิลเลียม
หนึ่งปีต่อมาเขาพบว่าความทะเยอทะยานของวิลเลียมเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและมีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเช่นเดียวกับเมืองแห่งรุ่งอรุณ มันยังตีเสมอมนุษย์ทั้งสองอาณาจักรได้
เคอรี่เข้าใจอะไรบางอย่าง
เจ้าชายครึ่งเอลฟ์ได้รับการสนับสนุนจากราชวงศ์เอลฟ์และความทะเยอทะยานของมนุษย์
อย่างน้อยเคอรี่ก็รู้สึกว่าถ้าเขาเล่นพนันอย่างถูกต้อง เขาจะกลายเป็นมาร์ควิสที่อยู่เหนือคนหมู่มากและอยู่ภายใต้คน ๆ เดียว เขาจะมีโอกาสเป็นกษัตริย์ด้วยซ้ำ
แกงยังเข้าใจอีกด้วยว่าถ้าเขาไม่คว้าโอกาสนี้ การเป็นเคานต์จะเป็นข้อจำกัดสำหรับเขา ถ้าเขาอยากจะปีนให้สูงขึ้น … มันคงเป็นเรื่องยากมาก
แต่เขามีความทะเยอทะยาน เขามีความใฝ่ฝันที่จะปีนขึ้นไป!
อำนาจ!
มันเป็นอะไรที่โดนใจหลาย ๆ คน
ตราบใดที่คนเรามีอำนาจ พวกเขาก็จะสามารถลิ้มรสชาติที่สวยงามของการมีอำนาจได้
นี่เป็นเหตุผลหลักว่าทำไมผู้คนจำนวนมากที่มีอำนาจถึงไม่ต้องการที่จะสละอำนาจแม้ว่าพวกเขาจะแก่ชราและกำลังจะตายก็ตาม
“จากท่าทางของนายท่าน ดูเหมือนว่าเขาต้องการเริ่มโจมตี เขาต้องการได้รับผลประโยชน์จากสงครามระหว่างสองอาณาจักร แต่เขาจะใช้วิธีใดในการทำให้ทั้งสองอาณาจักรตกอยู่ในกำมือของเขากัน” เคอรี่ไม่เข้าใจ
เขารู้ด้วยว่าเขาไม่ควรคิดเรื่องนี้ ความแข็งแกร่งของเขาเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นเขาจึงเหมือนสุนัข เขาต้องคิดหาวิธีหลอกล่อมาร์ควิสคริส
เมื่อวิลเลียมมองไปที่เคอรี่มุมปากของเขาก็ยกขึ้น
ระบบขุนนางไม่ได้ดีมากนัก แต่เขาชอบ เขาไม่เคยมีความตั้งใจที่จะล้มล้างระบบขุนนาง
“ตั้งแต่มาเป็น NPC ฉันก็ต้องจำไว้เสมอ ฉันมีชีวิตเดียว!”
วิลเลียมยืนขึ้นและหรี่ตา “ถ้าฉันต้องการควบคุมโชคชะตา ฉันต้องมีอำนาจเสียก่อน”
เขากำหมัดแน่น พลังในหมัดของเขาอาจทำให้กำแพงธรรมดาพังทลายได้ เขาส่ายหัว “มันยังไม่เพียงพอ ฉันมีพลังไม่เพียงพอ ฉันยังไม่สามารถทะลุออกนอกกำแพงเมืองได้ โลกนี้คืออะไรกัน?”
“สิ่งที่ฉันต้องการไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างนั้น…” วิลเลียมเดินออกไปและมองไปที่ท้องฟ้า ไม่มีใครรู้ว่าความทะเยอทะยานของเขานั้นสูงเพียงใด
บางที…
ความใฝ่ฝันของเขานั้น…
สูงเทียมฟ้า?
บางที
มันไม่ง่ายเลยสักนิด
[ประกาศ: คุณได้รับภารกิจ “สงครามแห่งอำนาจ”]
นี่เป็นภารกิจใหม่ที่วิลเลียมได้รับหลังจากคุยกับเนดริก
[สงครามแห่งอำนาจ: หลังจากการเจรจากับกษัตริย์เนดริก คุณตัดสินใจที่จะทำงานร่วมกันและต่อสู้กับอาณาจักรเหล็ก หากได้รับชัยชนะ คุณจะได้รับเงิน 33.3% ของเงินที่ได้จากสงคราม]
[แนะนำภารกิจ: ราชาแห่งทวีปก็อดเป็นตัวแทนของความปรารถนา นอกจากนี้ยังแสดงถึงพลังและความแข็งแกร่ง คุณซึ่งเป็นผู้ถูกเลือกที่อ่อนแอได้ถูกเลือกให้ทำงานร่วมกับราชาของอาณาจักรมนุษย์ นี่มันไม่เหมือนการขอหนังเสือจากเสือหรอกหรอ?]
[ความยากของภารกิจ: S]
[ภารกิจแรก: เพิ่มจำนวนคนในทีมทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณเป็น 50,000 คน (23456/50000)]
[รางวัลภารกิจ: ???]
(ความคิดเห็น: ฉันไม่รู้ว่าคุณจะสามารถขยายภารกิจนี้ได้อย่างไร แต่อัตราความสำเร็จภารกิจนี้ของคุณมีไม่ถึง 1% ขอเตือนด้วยความเป็นมิตรว่าลบบัญชีของคุณและกลับไปฝึกฝนใหม่อีกครั้งเถอะ!)
วิลเลียมมองดูความคิดเห็นที่ปรากฏขึ้น เขาไม่สนใจมัน เกมดังกล่าวแสดงความคิดเห็นตามระดับของเขาและถือว่าเขาเป็นผู้เล่นไม่ใช่บอสระดับรีเจนดารีที่มีพลังอำนาจ
“ แต่… ช่างปากเก่งจริงๆ!” วิลเลียมขี้เกียจเกินกว่าที่จะโต้กลับ
เขาออกจากบ้านที่อยู่ในวัง เมื่อเดินไปบนถนนที่เรียงรายไปด้วยหินสีดำเขามองเห็นผู้คนมากมายบนท้องถนน ร้านค้าจำนวนมากเรียงรายไปตามถนนพร้อมกับผู้เล่นจำนวนมากที่ขายสินค้าของพวกเขาอยู่ตรงทางเข้า
“ ดาบมือเดียวสีน้ำเงินคุณภาพสุดยอดราคา 230 เหรียญเงิน ขายกันถูกๆ!” ผู้เล่นระดับ 10 ที่เพิ่งเปลี่ยนอาชีพได้ยกดาบมือเดียวสีน้ำเงินระดับเริ่มต้นขึ้นแล้วตะโกนสุดปอด ผู้เล่นที่เดินผ่านไปไม่ได้แม้แต่จะเหลือบมองเขา
ยิ่งอุปกรณ์สีน้ำเงินดีเท่าไรความต้องการคุณสมบัติก็จะยิ่งสูงขึ้น ผู้เล่นระดับ 10 ธรรมดาจะไม่สามารถยกมันขึ้นมาได้ อาวุธสีน้ำเงินระดับสูงสุดไม่ได้แย่ไปกว่าอาวุธเงินขนาดเล็กในบางแง่มุม
“ ขายกระดูกมนุษย์เงือกลดราคา! ใช่ ลดราคา ยิ่งซื้อมากยิ่งถูก! 100 ชิ้นห้าเหรียญเงิน, 1,000 ชิ้น 60 เหรียญเงิน!”
ผู้เล่นแข็งแกร่งและนิสัยดีคนหนึ่งเลิกคิ้ว “ สมบูรณ์แบบ ฉันมีภารกิจที่ต้องใช้กระดูกมนุษย์เงือกอยู่ เอามาให้ฉัน 3,000 ชิ้น”
“ตกลง 180 เหรียญเงิน ฉันลดให้ 30 เหรียญเงิน” แม่ค้าโยนกระเป๋าใบใหญ่ กระดูกบางส่วนหลุดออกมาจากถุง
“ดีจริงๆ มันถูกมาก”
“ …” วิลเลียมเลิกคิ้ว ถ้า 100 ชิ้นราคา 5 เหรียญเงินทำไม 1,000 ชิ้นถึงราคา 60 เหรียญเงิน?
เขาเหลือบมองไปยังกระดูกไก่ที่หลุดออกมาแล้วยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ แต่เขาไม่กล้าพูดอะไรออกมา
แต่
เขาก็เหมือนหิ่งห้อยในท้องฟ้ายามค่ำคืน เขาดึงดูดความสนใจของคนอื่นได้แม้จากที่ห่างไกล ผู้คนจำได้ทันทีว่าเขาคือบอสระดับรีเจนดารี
แต่เจ้าชายรูปหล่อไม่ได้ให้ความสนใจกับผู้เล่นใด ๆ เขาแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและมองไปรอบ ๆ ราวกับว่าเขาอยากจะซื้ออะไรบางอย่าง ผู้เล่นหลายคนเข้ามาหาเขาและพยายามขายสิ่งของให้เขา แต่เขาทำเพียงแค่มองไปที่พวกเขาและเดินต่อไป
“ ให้ตายเถอะ นั่นหัวหน้าทีมไม่ใช่เหรอ? เขาอยากซื้ออะไรกัน?”
“ใครจะไปรู้? แค่เอาของออกมาขายให้เขา นักธุรกิจระดับรีเจนดารีอย่างเขามักจะโง่ มันน่าจะง่ายที่จะโกงเขา!”
ผู้เล่นคุยกันอย่างไม่สนใจ เมื่อพวกเขาพูด ผู้สร้างเกมส์จะกรองคำพูดของพวกเขาโดยอัตโนมัติและ NPC จะไม่ให้ความสนใจกับพวกเขา
วิลเลียมทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเดินไปตามถนนเป็นเวลานานมาก เขาชนเข้ากับสมาชิกสองสามคนของทีมทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณ เมื่อผู้เล่นเหล่านี้ทักทายเขา เขาจะพยักหน้าตอบด้วยท่าทางหยิ่งยโส
หลังจากนั้นไม่นาน
วิลเลียมลอร์ดเจ้าเมืองยืนอยู่ที่บริเวณที่มีคนพลุกพล่านที่สุดของถนนและมองไปที่ผู้เล่นที่อยู่รอบ ๆ
เขาสแกนฝูงชน ส่วนใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญเลเวล 12 หรือ 13 พวกเขามีเทคนิคการต่อสู้ระยะใกล้มากมาย แต่มีเทคนิคเวทมนตร์เพียงเล็กน้อย
เขาได้ยินผู้เล่นบางคนที่ต้องการจะรวมกลุ่มกันกำลังคุยกัน “ ไปคุยกับลอร์ดเจ้าเมืองดูว่าเราสามารถเข้าร่วมในภารกิจใด ๆ ได้หรือไม่ เมื่อเรากลับมา เราสามารถต่อสู้กับมนุษย์เงือกก็ได้ แต่อย่าไปยอมรับพวกสายเวทมนตร์พวกนั้น มันมีพวกอ่อนที่ยิงได้แค่ลูกไฟและลูกศรน้ำแข็ง…”
กลุ่มผู้เล่นสายเวทมนตร์ทำได้แค่รวมตัวกันด้วยความตะลึง พวกเขาคิดว่ามีทางหนีอะไรบ้าง
อันดับแรกคือพวกเขาสามารถลบบัญชีและฝึกอีกครั้งได้
เส้นทางที่สองคือแค่อดทนกับมัน ไม่ว่าจะแข็งแกร่งหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเวอร์ชัน หากพวกเขาไม่ตาย ในที่สุดเดี๋ยวพวกเขาก็จะสามารถออกไปได้
ในประการที่สามนั้น พวกเขาอาจพยายามรวบรวมความมั่งคั่ง หากพวกเขาร่ำรวยขึ้น การที่จะแข็งแกร่งขึ้นจะเป็นเรื่องง่าย พวกเขาสามารถสร้างชุดอุปกรณ์และอาวุธระดับทองได้ และพวกเขาจะแข็งแกร่งไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในเวอร์ชันใดก็ตาม…
ในที่สุดพวกเขาบางคนก็คิดหาวิธีต่างๆ พวกเขาส่วนใหญ่จะเป็นสายเวทมนตร์และเสริมด้วยการต่อสู้ระยะประชิด พวกเขาคงเป็นเหมือนแกนดัล์ฟ…
แต่วิลเลียมอยากจะบอกพวกเขาว่า เมื่อสวรรค์ปิดประตูให้คุณ พวกเขามักจะปิดหน้าต่างเช่นกัน …
แน่นอนว่าคำพูดนี้ใช้ได้กับคนไร้ประโยชน์และคนยากจนเท่านั้น!
ในขณะที่วิลเลียมกำลังคิดหาวิธีออกภารกิจและดึงดูดผู้คนมากขึ้น
ทันใดนั้นร่างๆ หนึ่งก็ปิดกั้นมุมมองของเขา
ร่างนั้นคือผู้เล่นหญิงคนหนึ่ง
หน้าอกใหญ่, ขายาว และบั้นท้ายงอนงามของเธอประกอบกันอย่างลงตัว นอกจากนี้เธอยังดูค่อนข้างสวยและเธอก็เป็นเผ่าพันธุ์เอลฟ์อีกด้วย
เธอทำตัวเหมือนเด็กน่ารักเอาแต่ใจและเดินเข้าไปหาวิลเลียม “คุณหัวหน้าทีม ฉันคือคิวท์ เป็นลูกน้องของคุณ คุณจำฉันได้ไหม? คุณรับฉันเป็นสมาชิกของคุณเป็นการส่วนตัวเลย หัวหน้าทีมคุณมีภารกิจอะไรที่อยากให้คิวท์ทำไหมคะ?”
วิลเลียมใช้หน้าต่างสถานะและพบว่าชื่อของเธอคือ “นางฟ้าตัวน้อยน่ารัก” เขาไม่เคยเห็นเธอในชาติก่อน แต่เขานึกไม่ออกว่าทำไมชื่อของเธอจึงฟังดูคุ้นหูสำหรับเขา?
ดังนั้นเขาจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถามว่า “โอ้ เราพาเจ้าเข้าทีมทหารรับจ้างเป็นการส่วนตัวสินะ?”
“ใช่ใช่ใช่! แน่นอน! หัวหน้าทีมคุณยุ่งตลอดเวลา คุณอาจจะลืมฉัน แต่ถ้าคุณมีภารกิจอะไรก็สามารถแจ้งให้เราทราบได้ ฉันสัญญาว่าฉันทำได้”
นางฟ้าน้อยผู้น่ารักพยักหน้าอย่างรวดเร็วเหมือนลูกเจี๊ยบที่กำลังกินอาหาร เธอไม่คาดคิดว่าบอสหัวหน้าทีมจะคุยกับเธอ เธอเกือบจะเข้าไปกอดแขนของวิลเลียมและแกว่งมันแล้ว
โชคดีที่วิลเลียมไม่ใช่เจ้านายที่หมกมุ่นกับผู้หญิง เขามองไปที่หน้าอกขนาด 36D ของเธอและพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ เรามีภารกิจสำหรับเจ้า อาณาจักรมนุษย์กำลังจะเข้าสู่สงคราม ทีมทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณไม่ควรพลาดโอกาสนี้ไป”
“ ก่อนที่ทั้งสองอาณาจักรจะต่อสู้กัน เราต้องทำการเปลี่ยนแปลงเพื่อขยายทีมของเราและเพิ่มอิทธิพลให้มากขึ้น”
“ เนื่องจากเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของกองทหารรับจ้างของเรา เราหวังว่าเจ้าจะสามารถดึงมืออาชีพมาเข้าร่วมทีมทหารรับจ้างของเราได้มากขึ้น”
ดิ๊งด่อง
[คุณได้รับภารกิจ “ดึงเข้าทีม”]
[เข้าร่วมทีมทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณ: คุณสามารถดึงดูดเพื่อนที่ดี, สหาย และ NPC ของคุณให้เข้าร่วมทีมทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณ]
[แนะนำภารกิจ: สำหรับมืออาชีพทุกคนที่คุณเชิญ คุณจะได้รับคะแนนการมีส่วนร่วมห้าคะแนน ผู้ที่ชวนคนได้มากที่สุดจะได้รับอาวุธระดับทองในระดับเดียวกัน]
[จำกัดเวลาภารกิจ: 15 วัน]
[ความยากของภารกิจ: ไม่มี]
[รางวัลภารกิจ: คะแนนสมทบ]
[รางวัลภารกิจ: ประสบการณ์]
ดวงตาของนางฟ้าผู้น้อยน่ารักเบิกกว้าง ดูราวกับว่าเธอไม่คาดคิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นและเธอก็ปิดปากของเธออย่างน่ารักและพูดออกมาในขณะที่ตัวสั่น ไม่มีใครรู้ว่าเธอจะสามารถโกงผู้เล่นได้กี่คน …
เมื่อผู้เล่นเห็นว่ามีคนได้รับภารกิจ
พวกเขาทั้งหมดมารวมตัวกัน …
แต่วิลเลียมสนใจแค่เฉพาะสมาชิกในทีมทหารรับจ้างของเขาเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้ผู้เล่นบางคนแอบก่นด่าตัวเองอย่างเงียบ ๆ
แต่เมื่อข่าวเกี่ยวกับรายละเอียดภารกิจและรางวัลแพร่กระจายออกไป
ผลประโยชน์และรางวัลมากมายจากภารกิจก็เริ่มแพร่กระจายในอาณาจักรลาวาดำ
วิลเลียมยืนอยู่ที่ถนนสองสามชั่วโมงเพื่อทำภารกิจ เขาสะสมความนิยมไว้มากมาย จากนั้นเขาก็จากไป
ในขณะเดียวกัน
เขาใช้ม้วนกระดาษเพื่อบอกให้ลอทเนอร์และคนที่เหลือกระจายภารกิจในบ้านพักของทหารรับจ้าง มันเป็นการดีที่สุดที่จะกระจายภารกิจให้เร็วที่สุดและเชิญแกะให้เข้าร่วมทีมทหารรับจ้างให้ได้มากที่สุด ตอนนั้นเขาก็จะสามารถโกนขนแกะใช้ได้อย่างสบายๆ
บี๊บ
วิลเลียมเลิกคิ้ว เขาหยิบม้วนกระดาษออกมาและมองไปที่มัน เขาพึมพำด้วยความตกใจ“ มาร์ควิสคริสอยู่ที่นี่หรือ?”
“ งั้นง่ายเลย… ฉันแค่ต้องควบคุมเขา ฉันต้องรออีกหนึ่งวัน” ขณะที่วิลเลียมพูด เขาก็มองไปที่ความสามารถในการควบคุมวิญญาณ เขายังมีพื้นที่อีกหนึ่งพื้นที่ซึ่งสงวนไว้สำหรับมาร์ควิสคริส
เช้าวันรุ่งขึ้นมาถึง
เคอรี่เดินออกมาจากห้องของตัวเอง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เขายืนพิงประตูและหอบอย่างหนักราวกับว่าเขาได้สัมผัสกับค่ำคืนที่ยากจะลืมเลือน …
ในไม่ช้าร่างที่สองก็ปรากฏขึ้น วิลเลียมกดมือของเขากับกำแพงแล้วค่อยๆเดินไปที่ประตู
แต่สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือ
มีอีกคนหนึ่งอยู่ในบ้าน มาร์ควิสคริสเดินออกจากบ้านด้วยดวงตาแดงก่ำ …
ลูกน้องของมาร์ควิสคริสกังวลว่ามีบางอย่างผิดปกติกับการสนทนาข้ามคืนนี้ จะเกิดอะไรขึ้นถ้า มาควิสคริสพบเข้ากับอันตราย? แต่เมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้พวกเขาก็พึมพำเงียบ ๆ “นี่มันอะไรกันวะเนี่ย?”
ผู้นำของพวกเขามองไปที่วิลเลียมที่ขาอ่อนแรง จากนั้นเขาก็มองไปที่เคานต์เคอรี่ที่อ้าปากกว้างและน้ำลายไหลไม่หยุด เขาทำได้เพียงแค่กลืนน้ำลายและพยุงมาร์ควิส เขาไม่กล้าปริปากสักคำ…
วิลเลียมเฝ้าดูมาร์ควิสคริสจากไป เขาหันกลับมาและพูดว่า “เคอรี่ ทำงานกับมาร์ควิสคริสให้ดีในอนาคต เข้าใจไหม?”
“ครับมาสเตอร์ ข้าจะจำคำพูดของท่านไว้อย่างแน่นอน” เคอรี่อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น เมื่อวานนี้เขาตกใจมากที่ได้เห็นวิลเลียมใช้เวทมนตร์ที่น่ากลัวดึงวิญญาณของคริสออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนที่จะใส่กลับเข้าไป
วิญญาณของเขาเข้าและออกจากร่างกาย … ความเจ็บปวดที่ไม่มีที่สิ้นสุดทำให้คริสสูญเสียการควบคุมกระเพาะปัสสาวะ การทรมานแบบนี้มันเกินกว่าจะจินตนาการถึงได้
แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจมากไปกว่านั้นก็คือแม้ว่ามาสเตอร์ของเขาจะควบคุมคริสได้แล้ว เขาก็ยังคงทรมานจิตใจของคริสต่อไป คริสร้องโหยหวนตลอดทั้งคืน จนถึงจุดที่เขาสูญเสียเสียงของตัวเอง …
ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไม่ได้ยินอะไรเลย ขณะที่พวกเขาใช้เวทมนตร์ที่ป้องกันเสียง
“พูดง่ายๆก็คือปีศาจ อสูรกาย พวกวิปลาส และครึ่งเอลฟ์นั้นชั่วร้าย ไม่น่าแปลกใจที่เอลฟ์บริสุทธิ์ไม่ยอมรับลูกครึ่งเอลฟ์” เคอรี่มองดูวิลเลียมจากไป เขาเต็มไปด้วยความกลัวและไม่กล้าที่จะต่อต้านวิลเลียม
ช่างน่าขบขัน
มาร์ควิสคริสมาที่ราชวังเพื่อให้องค์ชายสองมั่นใจ …
แต่หลังจากที่เขาปะทะกับวิลเลียมที่มีเวทย์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ทรยศต่อองค์ชาย มาควิสคริสกำลังจะทำอะไร?
แน่นอนว่าเขากำลังจะตามหาองค์ชายสองและพูดถึง ‘ความลับ’ บางอย่าง …
หลังจากวิลเลียมออกจากวัง เขาพบต้นไม้ใหญ่ก่อนจะงีบหลับเพื่อเติมพลัง จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปยังชายแดนของอาณาจักรลาวาดำที่เป็นจุดหมายต่อไป
“การมีค่าสถานะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ตราบใดที่ฉันยังมีแขนและขา ฉันก็สามารถฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว เพียงเพราะการควบคุมจิตวิญญาณตลอดทั้งคืนนั้นเหนื่อยเกินไป” วิลเลียมลูบศีรษะที่ปวดร้าว
เมื่อเขาค้นพบวิธีการควบคุม “การบาดเจ็บทางจิตใจ” เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะสามารถควบคุมจิตวิญญาณของศัตรูได้อย่างสมบูรณ์หลังจากใช้วิธีนี้วันละครั้งเป็นระยะเวลานาน
การควบคุมวิญญาณอย่างต่อเนื่องในระยะสั้นทำให้วิญญาณของมาร์ควิสคริสแตกสลาย ทำให้การสร้างโซลมาร์คสำเร็จได้
“แต่ดูเหมือนว่าวิธีนี้จะมีปัญหา หากวิญญาณที่ถูกควบคุมนั้นแข็งแกร่งเกินไป และเขามีความมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมแพ้ก็เป็นไปได้ที่โซลมาร์คจะไม่ถูกประทับตรา มันจะไม่ได้ผลแม้ว่าพวกเขาจะถูกทรมานจนตายหรือจนกว่าพวกเขาจะกลายเป็นใบ้”
“ โชคดีที่จิตของมาควิสคริสไม่แข็งแกร่งขนาดนั้น” วิลเลียมลูบคางของเขา
กบตัวหนึ่งถูกปรุงอาหารในน้ำเย็นในขณะที่มันยังแข็ง กบที่ปรุงในน้ำเย็นจะทำได้ง่าย แต่ก็ไม่สะดวกเพราะต้องใช้เวลามาก
แต่สิ่งที่วิลเลียมขาดตอนนี้คือเวลา
เขาเดินบนถนนของอาณาจักรลาวาดำ ที่แห่งนี้มีผู้เล่นไม่มากนัก และเขาก็เห็นชาวเมืองเพียงไม่กี่คนที่กำลังไถนา
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นบนท้องถนน
เมื่อเขาไปถึงชายแดนของอาณาจักรลาวาดำ เขาก็รู้ว่ามีผู้เล่นและกองกำลังลาดตระเวนจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ที่นั่น
เขาเลิกคิ้วก่อนจะก้าวเดินต่อไป
“วันที่ 13 หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนเลเวล 45 ถูกสังหารภายในไม่กี่วินาที มือสังหารจากอาณาจักรเหล็กนั้นโหดร้ายเกินไป”
“มันไม่น่าง่ายขนาดนั้น ฉันคิดว่าอาณาจักรเหล็กกำลังจะโจมตี” ผู้เล่นกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“โอ้ เจ้าแห่งเมืองรุ่งอรุณอยู่ที่นี่แล้ว” จู่ๆก็มีคนชี้ไปยังวิลเลียม
ผู้เล่นทุกคนหันมามองเขา
ผู้เล่นเข้าใจว่าเมืองแห่งรุ่งอรุณครอบครองดินแดนฝ่ายกลาง ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถส่งกองกำลังไปสู้กับอาณาจักรมนุษย์ได้
วิลเลียมไม่ใช่คนซื่อสัตย์ เขาใช้ชื่อกองทหารรับจ้างเพื่อเข้าร่วมในสงคราม
เขาจะได้รับประโยชน์อะไร?
ผู้เล่นคนอื่นไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการ แต่ผู้เล่นในอาณาจักรลาวาดำได้พบแกนนำของแผนการนี้แล้ว ราชาแห่งอาณาจักรลาวาดำไม่สนใจพวกเขา แต่พวกเขาสามารถเข้าร่วมกลุ่มทหารรับจ้างแห่งรุ่งอรุณเพื่อเข้าร่วมในสงครามได้
แม้ว่าผู้เล่นจะรวมกลุ่มกันได้ แต่กิลด์และสโมสรก็ไม่ได้รวมกัน การตัดสินใจว่าใครจะเป็นผู้นำในสงครามจะเป็นปัญหา …
ตอนนี้วิลเลียมบอสระดับรีเจนดารีปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน อาจกล่าวได้ว่าเขามาได้จังหวะพอดี
ในขณะเดียวกัน
ชายร่างสูงล่ำสันเดินออกจากเมืองด้วยสีหน้าเย็นชา เขามองไปที่ผู้เล่นที่รู้สึกว่าเป็นภาระ เขาโบกมือ “พวกเจ้าทุกคนไปให้พ้นซะ!”
“อั๊ยยะ โหดจริง บอสระดับรีเจนดารียังไม่เห็นพูดอะไรเลย คุณพี่ระดับอีปิค…”
“ถูกต้องแล้ว ฉันจะยืนอยู่ตรงนี้ โจมตีฉันเลยสิ!” ผู้เล่นคนหนึ่งดื้อดึงมาก
ปัง!
หมัดถูกเหวี่ยงออกมา
ผู้เล่นถูกส่งไปลอยห่างออกไปหลายสิบเมตร ในขณะที่เขาลงสู่พื้นเขาก็กลายเป็นแสงสีขาวและหายไป
ตุ๊กตาเหล็กตายแล้ว
ผู้เล่นข้างๆตุ๊กตาเหล็กถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วยกนิ้วโป้งให้ “ฉันยอมแพ้ ถ้าคุณมีอะไรจะพูด ก็มาคุยกันได้ อย่าโจมตี”
ผู้เล่นไม่ได้ออกไปทำภารกิจ แต่พวกเขารวมตัวกันอยู่ข้างหลังวิลเลียม
ในฟอรัม Gods ของเหล่าผู้เล่นที่พบปัญหา ลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณไม่เคยโจมตีผู้เล่นคนใด โดยเฉพาะทัศนคติของเขาที่มีต่อผู้เล่นนั้นดีมาก
“หัวหน้ากลุ่มรุ่งอรุณยินดีต้อนรับ ข้ารอพบท่านมานานแล้ว” คนตัวสูงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เขาจ้องมองด้วยความดุร้าย
เขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้บัญชาการกองทหารของเมืองซึ่งเป็นขุนนางคนหนึ่ง แต่วิลเลียมชอบเรียกเขาด้วยชื่อเล่นว่ามังกรคลั่ง
แม้ว่าวิลเลียมจะคุ้นเคยกับบุคคลนี้มาก แต่เขาก็ยังคงมองดูค่าสถานะของคนตรงหน้า
มังกรคลั่ง
เลเวล: 65
ศักยภาพสายเลือด: อีปิค
ความสามารถติดตัว : กล้ามเนื้อเหล็ก พลังป้องกันเพิ่มขึ้น 20% การโจมตีทางวัตถุใด ๆ จะลดลง 130 แต้ม
ความสามารถติดตัว : …
“เขามีเลเวลแค่ 65 แต่มีพลังชีวิตถึง 25,000 หน่วย ตามที่คาดไว้ก็นี่เป็นถึงคนที่บ้าบิ่นที่สุดในหมู่บ้านของผู้เล่นเริ่มต้น ” วิลเลียมพยักหน้าเห็นด้วย
อาณาจักรลาวาดำมีระดับรีเจนดารีเพียงสามคนเท่านั้น
อาณาจักรเหล็กมีทั้งหมดสี่คน
แต่มังกรคลั่งมีประโยชน์ในสนามรบมากกว่าบอสระดับรีเจนดารีคนอื่น ๆเสียอีก
นี่ไม่ใช่การแข่งขัน
กล้ามเนื้อเหล็กของเขามีพลังมากเกินไป มันไม่แย่เลยที่พลังป้องกันของเขาเพิ่มขึ้น 20% และความเสียหายที่เขาได้รับก็ลดลง 130 แต้ม
130 แต้มดูเหมือนจะไม่มากนัก แต่ต้องจำไว้ว่านี่คือหมู่บ้านสำหรับมือใหม่ ศัตรูส่วนใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับเริ่มต้นหรือระดับกลาง ผู้เชี่ยวชาญทั่วไปไม่ได้มีข้อได้เปรียบเหนือมังกรคลั่งเท่าใดนัก
นอกจากนี้ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเขาจะลดลง 130 แต้ม แม้ว่าพวกเขาจะโจมตีเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขาก็ไม่สามารถทะลุโล่ของเขาได้
เขามองดูศพที่พื้น เขาพูดได้แค่ว่าหน่วยปฏิบัติการจากอาณาจักรเหล็กนั้นหยิ่งผยองมาก พวกเขากล้าที่จะฆ่าคนอย่างไร้ยางอายที่หน้าประตูเมือง พวกเขาลงมืออย่างไม่ไว้หน้าอาณาจักรลาวาดำ
“ ผู้บัญชาการกองทัพมังกรคลั่ง เราดีใจที่ได้พบกับท่าน” วิลเลียมยิ้มและยื่นมือออกไป
มังกรคลั่งเลิกคิ้วแล้วยื่นมือที่แข็งดั่งเหล็กของตนออกมา เขาจับมือเล็กและเรียวของวิลเลียมไว้แน่น
กร๊อบ!
เสียงนั้นสั่นสะเทือน มันชัดเจนและเสียดแทงเข้าไปรูหู
ผู้เล่นต่างอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
สิ่งที่พวกเขาเคยกังวลก็เกิดขึ้น
แต่ว่า…
เลือดของมังกรคลั่งเริ่มไหลออกมา…
มังกรคลั่งที่สูงกว่า 2 เมตรเติบโตขึ้นมาเช่นเดียวหมีดำ การที่เขาสามารถเป็นผู้บัญชาการกองทหารได้ แสดงให้เห็นว่าสมองของเขาไม่ได้สร้างมาจากกล้ามเนื้อเท่านั้น มันยังมีรอยหยักอยู่ในนั้นด้วย
เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “อาณาจักรเหล็กได้ทำการลอบสังหารไปทั้งหมด 13 ครั้ง และทุกครั้งก็สำเร็จทั้งหมด”
“พวกเขาเดินไปรอบ ๆ ป้อมทหารทั้งสอง ผู้เสียชีวิตของเราประกอบด้วยผู้บัญชาการ 33 นายและทหาร 246 นาย”
“ข้ายังค้นพบว่า ถ้าพวกมันไม่ได้นำทหารมาด้วยจำนวนมาก ผู้ใต้บังคับบัญชาของฉันก็จะไม่ต้องสูญเสียอย่างหนักเช่นนี้”
“มือสังหารจากอาณาจักรเหล็กพุ่งเป้าไปที่ผู้บัญชาการระดับกลาง ดูก็รู้ว่าเป้าหมายของพวกมันคือกำจัดการจัดการของกองทหารและจากนั้นโจมตีแกนกลางของกองทัพของเรา”
“จากการกระทำของพวกมัน เราสรุปได้ว่าเสบียงของพวกมันมีจำกัด อาจกล่าวได้ว่าพวกมันจะโจมตีในไม่ช้า”
เมื่อเขาและวิลเลียมเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งเขาก็ไม่ขอจับมือกับวิลเลียมอีก เขาแสร้งทำเป็นราวกับว่าตนเองลืมเหตุการณ์เมื่อครู่ไป เขาเริ่มอธิบายการลอบสังหารครั้งล่าสุด
วิลเลียมเหลือบมองไปที่มือขวาของมังกรคลั่งซึ่งกำลังสั่นเทา เขาดูป้ายบนแผนที่แล้วพยักหน้า “หน่วยสอดแนมกองกำลังลาดตระเวนกองทหารขนส่งเมล็ดพืช พวกเขาล้วนเป็นเป้าหมายของการลอบสังหาร ท่านคิดจะซุ่มโจมตีมือสังหารแทนหรือไม่”
มังกรคลั่งกัดฟันของเขา “พวกเราก็คิดอย่างนั้น เราพยายามซุ่มโจมตีกองกำลังประหารที่นำโดยออกัสตินด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่เป็นผล เราจำเป็นต้องมีคนที่แข็งแกร่งซักสองสามคนสำหรับงานดังกล่าว พวกเขายังต้องเป็นคนต่างถิ่นฐาน ถ้าไม่ระมัดระวังมากพอ พวกมันคงจะเดาได้อย่างแน่นอนว่านั่นคือกับดัก”
เขาชี้ไปที่แผนที่ “เนื่องจากกองกำลังประหารนั้นว่องไวและทรงพลัง การสื่อสารระหว่างเมืองนี้กับป้อมปราการทางทหารทั้งสองจึงถูกตัดขาด หัวหน้ากลุ่มรุ่งอรุณ ท่านมีแผนอะไรไหม?”
วิลเลียมลูบคางพลางคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับพวกเขาในชีวิตก่อน กองกำลังประหารนี้ทรงพลังมาก แต่เขาไม่พอใจที่พวกเขาต่อสู้ด้วยกำลังดุร้าย เขากลัวว่าจะรังแกพวกเขามากเกินไปดังนั้นเขาจึงไม่เคยโต้ตอบกับพวกเขา
แต่ตามข้อมูลในฟอรัมเลเวลเฉลี่ยในกองกำลังประหารอยู่ที่เลเวล 50 ศักยภาพทางสายเลือดต่ำที่สุดคือระดับอีปิค พวกเขาจะไม่ถูกล้อมโดยง่าย
ในอาณาจักรส่วนใหญ่จะมีกองกำลังประหารคล้าย ๆ กัน กองกำลังชั้นเยี่ยมและกลุ่มนักฆ่าชั้นยอด คนธรรมดาไม่สามารถไปเทียบได้ พวกเขามักได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจหลักส่วนใหญ่และหากต้องสังหารเป้าหมายก็จะเป็นคนที่สำคัญที่สุด พวกเขาเป็นกลุ่มนักฆ่าที่บ้าคลั่งและรุนแรงที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้
ยิ่งไปกว่านั้นนี่ … คือทีมบอส!
พวกเขาคล้ายกับทีมที่วิลเลียมก่อตั้งขึ้นจากชนชั้นสูงจากแต่ละกองทัพเพื่อช่วยเขาสังหารมังกร
เทียบได้กับนักรบเลือดมังกร 300 คน
แต่ผู้บัญชาการของกองกำลังประหารออกัสตินระดับรีเจนดารีนั้นมีพลังมากเกินไป
ด้วยความขัดแย้งภายในที่เกิดขึ้นในอาณาจักรลาวาดำ พวกเขาไม่สามารถเลือกผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเพื่อต่อสู้ร่วมกับพวกเขาได้ชั่วคราว
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้เชี่ยวชาญไม่ได้รวบรวมแบบสุ่ม โดยทั่วไปแล้วกองกำลังประหารของอาณาจักรจะรวมกลุ่มกันจากกองทหารที่แตกต่างกัน
“ไม่ต้องกังวลไป เรารู้ว่าพวกมันซ่อนตัวอยู่ที่ไหน…” วิลเลียมผลักมังกรคลั่งที่ตกใจออกไป เขาวางธงเล็ก ๆ สามผืนไว้บนโต๊ะทราย
มังกรคลั่งมองเข้าไปใกล้และเข้าใจทันทีว่าวิลเลียมหมายถึงอะไร เขาพึมพำ “ถ้ำปีศาจที่พังทลายทางตะวันออกของแม่น้ำไรน์ ท่านจริงจังกับสถานที่สุดท้ายหรือไม่”
“ขึ้นอยู่กับท่านว่าอยากจะเชื่อเราหรือไม่ แต่ขอเตือนว่าอย่าผลีผลาม เรารู้จักสถานที่ทั้งสามนี้ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหน” วิลเลียมเลิกคิ้ว ตำแหน่งสุดท้ายคือใต้ดินของเมืองนี้
ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่ามีทางใต้ดินอยู่ใต้เมืองนี้ มันเชื่อมต่อกับสถานที่ที่ห่างออกไปห้ากิโลเมตร
“ข้าจะไม่แจ้งเตือนว่ามีศัตรู แต่เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่ได้ขุดเส้นทางนี้เมื่อเร็ว ๆ นี้แน่ หรือว่าพวกมันขุดขึ้นมานานแล้วเพื่อใช้ในอนาคต ดูเหมือนว่าอาณาจักรเหล็กจะวางแผนเรื่องนี้มานานมากแล้ว”
มังกรคลั่งตกตะลึง อาณาจักรลาวาดำและอาณาจักรเหล็กเป็นศัตรูกันมาโดยตลอดนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้น พวกเขาเริ่มโจมตีและยังทำสงครามเพื่อพิชิตดอนแดนของอีกฝ่าย
ในประวัติศาสตร์ของอาณาจักรลาวาดำ พวกเขาเกือบจะถูกกำจัดถึงสามครั้ง ภายใต้สถานการณ์เหล่านั้นพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากละทิ้งเมืองต่างๆตามชายแดนและใช้วังลาวาดำเพื่อป้องกันการโจมตี
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็พอจะเข้าใจได้ ถ้าศัตรูใช้เวลานั้นขุดทางไว้ใต้ดิน
“ที่จริงทั้งสามจักรวรรดิได้กล่าวว่าสงครามเพื่อพิชิตอาณาจักรมนุษย์นั้นไม่สามารถอยู่ได้นานเกินหนึ่งปี แต่อาณาจักรเหล็กได้วางแผนไว้แล้วและได้เตรียมการไว้แล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการยึดครองอาณาจักรลาวาดำภายในหนึ่งปี”
วิลเลียมเคารพกฎที่จักรวรรดิมนุษย์ทั้งสามได้ตั้งไว้ เหตุผลที่กฎนี้ถูกสร้างขึ้นนั้นง่ายมาก จักรวรรดิกังวลว่าพลเรือนจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก พวกเขายังกลัวว่าผู้เชี่ยวชาญมนุษย์จะเหนื่อยล้าเกินไป
นักปราชญ์ในจักรวรรดินั้นฉลาดมาก พวกเขารู้ว่ามนุษย์มีความทะเยอทะยานอย่างไม่จำกัด และไม่มีกษัตริย์องค์ใดที่ไม่ต้องการอำนาจ
หากอาณาจักรต่างๆยังคงต่อสู้กันมนุษย์ก็จะเหนื่อยมากเกินไป พวกเขาจะไม่สามารถรักษาเสถียรภาพของทวีปรีเจนดารีได้ บางทีชะตากรรมของพวกเขาอาจกลายเป็นเหมือนเอลฟ์ในอดีตและพวกเขาอาจหลบหนีจากดินแดนที่รุ่งเรืองในทวีปรีเจนดารีไป
ด้วยเหตุนี้นับตั้งแต่มีการกำหนดกฎนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่อาณาจักรมนุษย์จะเริ่มทำสงคราม
หากพวกเขาไม่สามารถกำจัดอาณาจักรต่างๆได้ภายในหนึ่งปี นอกเหนือจากสินค้าที่พวกเขาขโมยไปแล้วพวกเขายังต้องล่าถอยและคืนดินแดนและเมืองต่างๆให้อีกด้วย
แต่อาณาจักรใดจะยอมเสียเปรียบ โดยปกติก่อนที่สงครามจะเริ่มขึ้นพวกเขาจะเคลื่อนย้ายผู้คน ความมั่งคั่งและสัตว์ต่างๆไปที่เมืองใกล้พรมแดน พวกเขาไม่แม้แต่จะทิ้งขนสักเส้นไว้ให้ศัตรู
ในระยะสั้นๆ หากคุณไม่สามารถกำจัดอาณาจักรอีกฝ่ายได้ คุณจะไม่สามารถได้รับผลประโยชน์สูงสุด ในทางตรงกันข้ามคุณจะหมดความมั่งคั่งทรัพยากรและกำลังคนแทน
มังกรคลั่งปวดศีรษะเล็กน้อย มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีสายลับสองสามคนในเมือง แม้ว่าจะไม่มีสายลับอยู่ในป้อมปราการ แต่ก็จะมีคนคอยเฝ้าระวังทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขา ตราบใดที่อาณาจักรลาวาดำส่งกองกำลังขนาดใหญ่ออกไป กองกำลังประหารก็จะได้รับการแจ้งเตือนอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะล้อมรอบจุดซ่อนเร้นทั้งสามในเวลาเดียวกันโดยไม่ทำให้เกิดความสงสัย
“ถ้าท่านต้องการกำจัดกองกำลังประหาร ก็มีความเป็นไปได้อย่างหนึ่งนะ” เมื่อมังกรคลั่งกล่าวขึ้น เขาก็มองไปที่วิลเลียม
มุมปากของเจ้าชายกระตุก เขาโบกมืออย่างรวดเร็ว “ถ้าท่านต้องการใช้เราเป็นเหยื่อล่อ บอกเรามาว่ามันมีประโยชน์อย่างไร”
“เห็นได้ชัดว่าท่านได้พูดคุยกับกษัตริย์และตกลงที่จะกำจัดออกัสติน” มังกรคลั่งค่อนข้างโกรธ ด้วยความโกรธกำปั้นของเขาก็ชูขึ้นอีกครั้ง แต่เมื่อวิลเลียมจ้องมองเขาเขาก็ค่อยๆลดหมัดลง
วิลเลียมดูเหมือนจะไม่สนใจ “นั่นเป็นเรื่องที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เราได้พูดคุยกับเขาเกี่ยวกับผลลัพธ์และการชนะจากสงคราม ถ้าท่านต้องการใช้เราเป็นเหยื่อล่อในการกำจัดออกัสติน ท่านก็ควรเตรียมประโยชน์ไว้ให้พร้อม”
มุมปากของมังกรคลั่งกระตุก เขาได้รับแจ้งว่าวิลเลียมเป็นลูกครึ่งเอลฟ์และเขาเป็นคนโลภและเจ้าเล่ห์อย่างมาก ดังนั้นเขาไม่ได้วางแผนที่จะยืดยื้อต่อไป เขาพูดเพียงว่า “ถ้าอย่างนั้นหัวหน้ากองกำลังรุ่งอรุณโปรดเปลี่ยนเป็นชุดเกราะของเรา นำกองกำลังลาดตระเวนเป็นเหยื่อล่อ”
“สำหรับผลประโยชน์เริ่มจากการค้าทาสก็แล้วกัน ท่านคิดอย่างไร?” มังกรคลั่งยิ้ม เขาคิดว่าเขาจับได้ถูกจุดอ่อนของเจ้าเมืองแล้ว
“ไม่!”
วิลเลียมส่ายหัวอย่างเด็ดขาด เขาหัวเราะ “เราเป็นแค่เจ้าเมืองเล็ก ๆ ทำไมเราถึงต้องการคนจำนวนมาก”
“แล้วท่านต้องการอะไร?” มังกรคลั่งเลิกคิ้ว วิลเลียมเป็นผู้ซื้อทาสรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ไม่ใช่หรือ
วิลเลียมโบกนิ้วของเขา “เราเป็นหัวหน้าทีมทหารรับจ้าง เราจะทำสงครามในอีกไม่กี่วัน เราต้องได้รับผลประโยชน์บางอย่างสำหรับผู้ใต้บังคับบัญชาใช่ไหม? ติดต่อกษัตริย์ของท่านสิ”
“…” มังกรคลั่งมองไปที่สีหน้าทะเล้นของเขา เขาอดไม่ได้ที่อยากจะตีเขาแรงๆ ตามเหตุแล้วนี่ไม่ใช่ธุรกิจของเขาสักหน่อย
แต่วิลเลียมต้องการใช้คำขอนี้เพื่อรังเกียจเขา เขาไม่ได้หารือโดยตรงกับพระมหากษัตริย์ เขากำลังทำให้ทั้งคู่ยากลำบาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขารู้ว่า มังกรคลั่งไม่สามารถยืดยื้อได้นานเกินไป …
หลังจากต่อรองกันแล้วพวกเขาก็ตัดสินใจจ่ายเงินรายวันให้กับกองกำลังทหารรับจ้างรุ่งอรุณ!
10 เหรียญเงินต่อคนต่อวัน นี่ยังไม่รวมถึงค่าประสบการณ์
“ไม่มากไม่มาก ถ้าเราเอาเหรียญเงินสองเหรียญจากแต่ละคนกับ 50,000 คนทุกวัน เราจะได้รับ … อะแฮ่ม ภาษีอีกเท่าไหร่” วิลเลียมเหยียดนิ้วของเขาออกไปอย่างมีความสุขในการเป็นเหยื่อล่อครั้งนี้
ในฐานะบอสระดับรีเจนดารี วิลเลียมจะไม่ยอมให้ใครมายุยงเขาได้
ตัวอย่างเช่น
เขาจะไม่ใส่อุปกรณ์สั่วๆจากอาณาจักรลาวาดำออกลาดตระเวนเป็นเหยื่อล่อหรอกนะ แบบนั้นมันระดับต่ำเกินไป
พอมาถึงทางเข้าเมือง ผู้เล่นหลายพันที่รอคอยการมาถึงของเขาก็เข้าไปล้อมรอบตัวเขาทันที การได้เห็นบอสระดับรีเจนดารีไม่ใช่เรื่องง่าย ส่วนการหาบอสระดับรีเจนดารีที่ชอบออกภารกิจนั้นยากยิ่งกว่า ไม่ต้องพูดถึงผู้เล่นหญิงที่รู้สึกว่ามันคุ้มค่าที่จะปกป้อง NPC ที่หล่อเหลาเช่นนี้
“ว้าว เจ้าชายหล่อมากก ฉันอยากจะ…”
“เธออยากอะไร?”
“ฉันก็ด้วย…”
“ตู้ม…” ทันใดนั้นลูกไฟก็ถูกยิงขึ้น
เมื่อพวกเขาได้ยินว่าผู้นำของทหารรับจ้างรุ่งอรุณจะมาถึง ผู้เล่นเกือบทั้งหมดในเมืองก็มารวมตัวกันที่สถานที่จัดงาน แต่กลุ่มผู้เล่นนั้นเสียงดังมาก โดยทั่วไปแล้วการโต้เถียงกันอาจเป็นเหตุที่ทำให้เกิดการต่อยตีกันได้
แต่บังเอิญว่า
ผู้เล่นมืออาชีพจากสโมสรความรุ่งเรืองแห่งสหัสวรรษเพิ่งกลับมาจากการกวาดล้างก็อปลิน และวางแผนที่จะร่วมสนุกอีกด้วย
เดียวดายตลอดกาลมองไปที่วิลเลียม ในฐานะแรนเจอร์ พวกเขามีแนวทางที่แตกต่าง แต่มีทักษะที่เท่าเทียมกัน ทั้งคู่ฝึกฝนดาบและธนู แต่ความแตกต่างระหว่างทั้งสองนั้นมีมากมายนัก…
เมื่อมีผู้เล่นมืออาชีพเข้ามาผู้เล่นจะเปิดเส้นทางให้กับพวกเขาอย่างเป็นธรรมชาติ วิลเลียมจำได้ว่าบางคนเคยเป็นคนดังในชาติก่อน
“แต่นี่เป็นเรื่องดี ยังไงพวกเขาทั้งหมดก็จะถูกส่งไปตาย ดูเหมือนว่าจะดีกว่าที่จะส่งผู้เล่นมืออาชีพที่มีทักษะดีๆไปตาย”
วิลเลียมครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ การโจมตีจากกองกำลังประหารจะต้องอันตรายอย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถเผชิญหน้ากับกองกำลังประหารได้หรือไม่ แต่เขาก็ไม่สามารถลดการป้องกันลงได้
เขาอนุญาตให้ผู้เล่นติดตามเขาไปได้ เนื่องจากพวกเขานั้นสามารถคืนชีพได้ตลอดเวลาและไม่คิดว่าจะถูกส่งออกไปตายตราบใดที่รางวัลนั้นดีพอ พวกเขาไม่เหมือน NPC ระดับต่ำที่จะถูกโจมตีแล้วจะเสียชีวิตลง
มีหลายวิธีสำหรับผู้เล่นในการฟื้นคืนชีพและมีสองวิธีในนั้นที่ธรรมดามาก ผู้เล่นสามารถฟื้นคืนชีพได้ที่จุดฟื้นฟู อีกวิธีหนึ่งคือหากวิญญาณของพวกเขาฟื้นคืนชีพ ร่างกายของพวกเขาก็จะฟื้นขึ้นมาทันทีในที่เกิดเหตุ นอกจากนี้พวกเขายังมีพลังชีวิตถึง 70% อีกด้วย
“สิ่งสำคัญคือผู้เล่นที่ยังไม่ถึงเลเวล 30 นั้นยังไม่ถึงขีดจำกัดการฟื้นฟู หากพวกเขาตายพวกเขาจะได้รับแต่บทลงโทษเท่านั้น” วิลเลียมมองไปที่ผู้เล่นที่ยังคงสอบสวนและตั้งคำถามกับเขา
บางคนนั้นทั้งหน้าหนาและไร้ยางอาย พวกเขากล้าบอกเขาว่าพวกเขาต้องการอาชีพลับและอุปกรณ์ระดับสูง
เขาตอบได้แค่ว่า “หากไม่มีเงิน ก็ไม่มีอุปกรณ์ไม่มีอาชีพ”
อาชีพลับนั้นหายาก แต่ก็ไม่ได้ยากเกินไปนัก
NPC ทุกคนฉลาด
พวกเขาชอบสิ่งเดียวกันนั่นคือ เงิน!
ผู้เล่นหลายคนไม่ได้ทำภารกิจจาก NPC แต่ใช้เงินเพื่อเพิ่มความสัมพันธ์ บางคนถึงกับยกระดับความสัมพันธ์ของพวกเขาขึ้นมากจนได้อาชีพลับมา…
คำเตือน นี่เป็นวิธีของพวกมือเติบเท่านั้น เพราะ NPC ที่มีอาชีพลับจะเรียกเก็บเงินสูงมาก…
“เราไม่ได้คาดหวังว่าจะได้พบกับทหารรับจ้างของเราในเมืองนี้ เราต้องเลือกนักรบที่กล้าหาญเพื่อติดตามเราไปทำภารกิจ ใครเต็มใจที่จะไปกับเราบ้าง?” วิลเลียมถาม
ทันใดนั้น
ผู้เล่นทุกคนจากกองกำลังทหารรับจ้างรุ่งอรุณก็จะมีหน้าต่างคำถามขึ้นมาว่าใช่หรือไม่
พวกเขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เนื่องจากรู้ว่าตนเองได้รับภารกิจลับ พวกเขากด“ ใช่” ทันที
แต่…
มันกลับไม่มีประโยชน์อะไร
วิลเลียมเลือกผู้เล่นเลเวล 14 จำนวน 30 คนรวมถึงผู้เล่นมืออาชีพห้าคน
“พระเจ้า โชคดีชะมัด ฉันได้รับเลือกด้วย! มันจะเป็นภารกิจแบบไหนกันนะ?”
“ฉันก็ด้วย ฉันแข็งแกร่งมากขนาดนั้นเลย? นั่นคงเป็นเหตุผลที่บอสระดับรีเจนดารีเลือกฉันแน่ๆ?”
“ชิๆ NPC คนนี้กำลังเผชิญหน้ากับเรา เขาเลือกพวกเราทั้งห้าคนเพราะเราสนิทกับเขาหรือเปล่า?” มืออาชีพผู้ถือโล่ถาม
เดียวดายตลอดกาลสับสน เขาส่ายศีรษะไปมาเหมือนกับว่าเขาไม่เข้าใจ
ดิ๊งด่อง
ผู้เล่น 30 คนได้รับภารกิจในเวลาเดียวกัน
[เหยื่อ : คุณจะต้องสวมชุดเกราะของกองกำลังลาดตระเวนลาวาดำ และทำหน้าที่เป็นเหยื่อล่อกองกำลังประหารจากอาณาจักรเหล็ก]
[คำแนะนำภารกิจ: เหยื่อคืออะไร? แค่เดินไปตายยังไงล่ะ!]
[ระดับความยาก: C]
[รางวัล: ค่าประสบการณ์ 3000 ~ ??? ]
[รางวัล: เหรียญเงิน 10 ~ ??? ]
“เอ้ย รางวัลของฉันไม่มีขีดจำกัดสูงสุด ตามที่คาดไว้สมกับเป็นบอสระดับรีเจนดารี…” ผู้เล่นคนหนึ่งยิ้มไปถึงหูเมื่อเห็นรายละเอียดภารกิจ
เดียวดายตลอดกาลอ้าปากค้างด้วยความตกใจ “นี่เป็นภารกิจจำพวกรนหาที่ตายหรือป่าวเนี่ย?”
“ถูกตัอง บอสรู้อยู่แล้วว่าเราเป็นผู้ถูกเลือกที่ไม่กลัวตาย ยิ่งเราตายมากเท่าไหร่รางวัลก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น!”
“ชิๆ ภารกิจหาที่ตายแบบนี้ ฉันอาจทำให้เขาล้มละลายได้เลยนะเนี่ย…” ผู้เล่นมืออาชีพอีกคนหัวเราะ
วิลเลียมโบกมือให้พวกเขาและพาไปที่โกดังทหารซึ่งเป็นที่ที่ให้พวกเขาเปลี่ยนอุปกรณ์
เมื่อพวกเขาไปถึงเขาก็บดขยี้ม้วนกระดาษเวทมนตร์ลงกับตัว
ก่อนที่เวลาต่อมาผู้เล่นที่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนชุดเกราะจะกลายเป็นคนโง่เขลา
ทันใดนั้นวิลเลียมผู้หล่อเหลาก็กลายเป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมวิเศษ …
“นี่มันอะไรกัน!” ผู้เล่นพยายามที่จะสัมผัสเขา แต่มือของเขาผ่านเสื้อคลุมวิเศษและสัมผัสกับชุดเกราะที่เย็นยะเยือก เขาไม่ได้สัมผัสสิ่งที่เขาคิดว่าจะจับได้ …
เดียวดายตลอดกาลเบิกตากว้าง “ภาพลวงตา ช่างเป็นภาพลวงตาที่เหมือนจริงมาก!”
“หืม? ฉันตรวจสอบสถานะของเขาไม่ได้ เปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน…”
“น่าทึ่งชะมัด…”
“จำไว้ว่าพวกเจ้าต้องกลมกลืนไปกับกองกำลังลาดตระเวน เมื่อเราออกไปนอกเมืองให้ทำตัวเหมือนพวกเขา อย่าเปิดเผยตัวเอง” วิลเลียมใช้น้ำเสียงของเขาในฐานะหัวหน้าทีมรุ่งอรุณและแนะนำพวกเขา ผู้เล่นคนอื่น ๆ รีบพยักหน้า ไม่มีใครอยากให้ภารกิจล้มเหลว
เวลาผ่านไป
วิลเลียมและคนที่เหลือรออยู่ที่โกดังของทหารครึ่งชั่วโมง ก่อนจะเดินออกไปทางประตูด้านข้าง พวกเขาเข้าร่วมกองกำลังลาดตระเวน 30 นาย
พวกเขาจัดตั้งกลุ่ม 61 คน ก่อนจะก้าวไปยังป้อมปราการทหารแห่งหนึ่งเพื่อสังเกตการณ์
ถ้ำปีศาจที่พังทลายอยู่ไม่ไกลจากป้อมปราการทหารและตัวเมือง
ถ้ำปีศาจซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีสิ่งมีชีวิตในความมืดได้ปิดลงอย่างช้าๆเนื่องจากประตูมิติไม่เสถียร ตอนนี้มีสิ่งมีชีวิตมืดไม่มากนัก มันกลายเป็นที่หลบซ่อนชั่วคราวของกองกำลังประหาร
ถ้ำมืดสลัวสว่างไสวด้วยแสงจากตะเกียงเวทย์และเผยให้เห็นสมาชิก 20 คนของกองกำลังประหาร พวกเขากำลังพักผ่อนหรือฝึกพลังการต่อสู้กันอยู่
อีก 30 คนกำลังปฏิบัติภารกิจสังหาร
บี๊บ
“มีภารกิจ!” ทหารระดับอีปิคได้ยินเสียงนี้และดวงตาของเขาก็สว่างขึ้น ส่วนที่เหลือไปดูม้วนกระดาษส่งสารของออกัสติน
ออกัสตินซึ่งกำลังนั่งไขว่ห้างและฝึกฝนพลังต่อสู้ของเขาอยู่ถ่มน้ำลายด้วยความรำคาญ เขาลืมตาขึ้นและมองไปที่ม้วนกระดาษที่เอวของเขา
“กองกำลังที่ 60 และนักเวทย์วัยกลางคน?” ออกัสตินเลิกคิ้ว
“นักเวทย์? พวกเขาเป็นหน่วยลาดตระเวนใช่ไหม? พวกเขายังกล้าที่จะหน่วยลาดตระเวนออกไปในเวลานี้ ดูเหมือนว่าสภาพแวดล้อมภายในอาณาจักรลาวาดำก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเช่นกัน” หน่วยลาดตระเวรหน้ามุ่ย
ออกัสตินจ้องมองเขา เขายืนขึ้นและหยิบดาบฆ่ามังกรขึ้นมา เขาพูดด้วยเสียงต่ำ “เราจะออกไปเดี๋ยวนี้ ผู้วิเศษมีความสำคัญ เมื่อเราฆ่าเขาแล้วเราก็ไม่จำเป็นต้องสนใจส่วนที่เหลือ”
“เฮ้ แม้ว่าพวกเขาจะมี 600 คน พวกเขาจะสามารถเอาชนะเราได้หรือ?” มือสังหารระดับอีปิคหัวเราะ
ออกัสตินส่ายศีรษะ “ ระมัดระวังเอาไว้ ฉันเห็นข้อความแจ้งว่าเจ้าเมืองรุ่งอรุณไปที่เมืองนั้นด้วย เราต้องระวังอย่าทำผิดพลาด”
“ท่านกลัวเขาหรือ? เขาดุร้าย ถึงแม้ว่าเขาจะกลมกลืนไปกับกองกำลัง แต่เราก็สามารถรู้ตัวตนของเขาได้ใช่ไหมล่ะ? “
ออกัสตินเลิกคิ้ว เขาไม่ได้พูดอะไรอีก ข้อความแสดงให้เห็นว่ากองกำลังที่ 61 ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก ดูเหมือนจะมีผู้เชี่ยวชาญระดับเริ่มต้นหลายคนหรือที่เรียกว่าผู้ถูกเลือกอยู่ในนี้…
เขาเข้าใจความแข็งแกร่งของกองกำลังประหาร แต่หลังจากที่เขาล้มเหลวในการสังหารมังกร เขาก็ให้คำมั่นว่าจะไม่ล้มเหลวอีก!
กองกำลังลาดตระเวนเดินไปบนถนนสายหลักที่มีพรมแดนติดกับป่าทั้งสองด้าน ทุกคนเดินเท้าไปพร้อม ๆ วิลเลียม ดังนั้นความเร็วจึงไม่เร็วมาก
เดียวดายตลอดกาลตามไปข้าง ๆ วิลเลียมขณะที่ทำหน้าที่เป็นองครักษ์ส่วนตัวของวิลเลียม เขาเริ่มบันทึกวิดีโออย่างเงียบ ๆ ในขณะที่เขากำลังจะเป็นเหยื่อ เขาจะตกอยู่ในอันตรายได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเขาเลือกที่จะบันทึกเพื่อที่เขาจะได้รู้ว่าเขาตายอย่างไร จากนั้นเขาสามารถตรวจสอบวิดีโอหลาย ๆ ครั้งเพื่อที่เขาจะได้สามารถปรับปรุงตัวเองได้
ใช่เขารู้ดีว่าเขาจะต้องเสียสละ เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จ แต่เขาต้องการให้การตายของเขาคุ้มค่า…
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถปรับปรุงได้แม้หลังจากตรวจสอบวิดีโอแล้ว แต่ก็ยังคุ้มค่าที่จะชื่นชมพลังการต่อสู้ที่แท้จริงของหัวหน้าทีมวิลเลียม
จากนั้นเขาก็สามารถได้เห็นความแตกต่างของพลังต่อสู้ของพวกเขา บางทีเขาอาจมีโอกาสในอนาคตที่จะบรรลุระดับเดียวกับวิลเลียม…
ผู้เล่นทุกคนต่างคาดหวังอย่างมากกับการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้น
ผู้เล่นของเมืองรุ่งอรุณได้ค้นพบข้อมูลลับมากมาย ทำให้ผู้เล่นหลายคนสงสัยเกี่ยวกับพลังที่แท้จริงของครึ่งเอลฟ์วิลเลียม
ราชวงศ์เอลฟ์แบล็คลีฟ?
วิลเลียมถูกเนรเทศหรือเขาได้รับการสนับสนุนจากราชวงศ์เอลฟ์?
วิลเลียมเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการสังหารมังกร เขาเป็นดรากอนสเลเยอร์ที่แท้จริง
เขายังเป็นเจ้าเมืองที่มีกองทหารห้ากอง
เขายังนำทีมทหารรับจ้างขนาดใหญ่ที่มีความคล่องตัวสูง นอกจากนี้มีข่าวลือว่าภายใต้เขามีนักรบเลือดมังกร 300 คนที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน…
“มันชักจะลึกลับเกินไปแล้ว เนื่องจากลอร์ดวิลเลียมไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่เขาจึงไม่สามารถรุกรานอาณาจักรมนุษย์ได้ ไม่อย่างนั้นดุลอำนาจในสงครามครั้งนี้จะเอียงไปตามความโปรดปรานของเขา แม้ว่าเมืองแห่งรุ่งอรุณจะมีขนาดเล็ก แต่ก็มีบอสจำนวนมากเกินไป” เดียวดายตลอดกาลถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ
เนื่องจากผู้เล่นของอาณาจักรลาวาดำถูกละเลยโดยฝ่ายบริหารของอาณาจักรลาวาดำ พวกเขาจึงไม่เห็นจุดที่จะอยู่ต่อไป ภายในระยะเวลาอันสั้น ผู้เล่น 10,000 คนเสียชีวิตจากอาณาจักรเหล็ก
การออกเดินทางครั้งใหญ่ทำให้จำนวนผู้เล่นในอาณาจักรลาวาดำ ลดลงเหลือเพียง 40,000 คน
แม้ว่าผู้เล่นใหม่ ๆ จะปรากฏตัวเป็นประจำ แต่แนวคิดเรื่องเสรีภาพในฟอรัมก็กระตุ้นให้พวกเขาเกิดในหมู่บ้านอาณาจักรเหล็กของผู้เริ่มต้น
“ใครบอกว่าฝ่ายที่มีจำนวนมากที่สุดจะเป็นผู้ชนะในที่สุด? นี่คือระบบที่ตัวละครเวทย์มนตร์ทรงพลังเป็นที่ชื่นชอบ เป็นการดีที่จะเผยแพร่แนวคิดเรื่องเสรีภาพในอาณษจักรเล็ก ๆ แต่มันมากเกินไปที่จะใช้เป็นเหตุผลในการเริ่มสงคราม” เดียวดายตลอดกลอกตา เขาอยากลองเสี่ยงโชค แม้ว่าเขาจะแพ้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะล้าหลังในเกมเวอร์ชันนี้
เขามองไปที่หัวหน้าสโมสรกลอรีฉู่ หลิวชิว คู่ต่อสู้ของเขาฉลาดมากเพราะเขาสามารถเลือกฝ่ายที่ดีและขยายอำนาจได้ตลอดเวลา
เนื่องจากฉู่หลิวชิวได้เลือกเมืองแห่งรุ่งอรุณ ดังนั้น วิลเลียมจะต้องมีของดีอื่น ๆ ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของเขานอกเหนือจากผลประโยชน์มากมายของทีมทหารรับจ้างเป็นแน่!
“สิ่งสำคัญคือต้องทำตามเทรนด์” เดียวดายตลอดกาลเข้าใจดีว่ากองกำลังทหารรับจ้างรุ่งอรุณดีที่สุด แต่ภารกิจหลักก็สำคัญเช่นกัน ตราบเท่าที่เขาตัดสินใจถูกต้องเขาจะได้รับความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมและได้รับรางวัลมากมาย
วิลเลียมหลับตาลงเพื่อพักผ่อน
ในวินาทีถัดไป
เขาเหยียบโกลนและกระโดดขึ้นไปในอากาศ
ในขณะเดียวกันนั้น
แสงสีฟ้าสว่างวาบไปทั่วท้องฟ้า ม้าศึกที่อยู่ข้างใต้วิลเลียมได้รับบาดเจ็บสาหัสจากแรงระเบิดที่พัดเขาไปครึ่งเมตร ท้องของมันมีเลือดไหลนองและลำไส้ของมันก็กระจัดกระจายไปในอากาศ
ผู้เล่นที่โชคร้ายหลายคนก็ถูกลูกศรโจมตี…
การต่อสู้ได้เริ่มขึ้น
ไม่มีเวลาสำหรับเรื่องไร้สาระ
สมาชิกของกองกำลังประหาร 20 คนรีบวิ่งออกจากป่าทั้งสองข้างและออกมาเพื่อปฏิบัติการเคลื่อนไหวอันทรงพลังของพวกเขา
ก่อนลุยศึกรอบต่อไป
NPC ครึ่งหนึ่งของกองลาดตระเวนเสียชีวิตโดยไม่ได้รับโอกาสในการตอบโต้ใด ๆ ผู้เสียชีวิตยังรวมถึงผู้เล่นบางคนที่ไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้
เมื่อออกัสตินเห็นวิลเลียมกระโจนขึ้นมา เขาก็มีความคิดบางอย่าง เขามองไปที่ทหารที่ด้อยกว่าคนอื่น ๆ ก่อนที่จะพุ่งไปข้างหน้า
การเฉือนดาบฆ่ามังกร
พลังงานดาบที่แคบและยาวกว่าสิบเมตรระเบิดออกมา
วิลเลียมหลบกลางอากาศ รังสีดาบเพลิงขูดผ่านร่างกายของเขาและผลกระทบของมันนั้นร้ายแรงมาก ผมของเขาแทบไหม้
ตู้ม!
ม้าศึกถูกตัดออกเป็นพันๆชิ้นและเกิดหุบเหวที่ยาวและลึกลงไปในพื้นดิน
วิลเลียมปล่อยลูกธนูขึ้นบนท้องฟ้า เวทย์วิญญาณพุ่งออกมาจากร่างของวิลเลียมและปรากฏตัวต่อหน้าคู่ต่อสู้ระดับมาสเตอร์ที่กำลังถูกยิง
ด้วยการตวัดดาบ เวทย์วิญญาณทะลุเกราะพลังงานต่อสู้ของคู่ต่อสู้ระดับมาสเตอร์ที่ถอยห่างออกไปสามถึงห้าเมตร ชุดเกราะของเขาถูกทำลายและเลือดสดๆพุ่งกระจายออกมา
วิลเลียมไม่ได้ซ่อนตัวตนของเขา ก่อนจะฉีกม้วนเวทมนตร์
พลังการต่อสู้ของเขาพุ่งสูงขึ้นและเขาก็เคลื่อนไหวเหมือนสายฟ้า วิลเลียมปรากฏตัวต่อหน้าคู่ต่อสู้ระดับมาสเตอร์ในพริบตา คู่ต่อสู้แทงหน้าอกของวิลเลียม แต่ในขณะเดียวกันวิลเลียมก็แทงเข้าที่ขมับของเขาด้วยดาบสั้น
น้ำในสมองแตกกระจายและฝ่ายตรงข้ามล้มลงกับพื้นอย่างไร้ชีวิต
การโจมตีที่สำคัญ
มันเป็นระเบิดที่ร้ายแรง
ดาเมจ 9,445 แต้ม!
ณ ตอนนี้
เมื่อออกัสตินอยู่ใกล้ส้นเท้าของวิลเลียม
เดียวดายตลอดกาลที่คืนชีพมาสามครั้งแล้วก็พุ่งไปข้างหน้าและจับต้นขาของออกัสตินไว้แน่น
“หลบไปซะ” ออกัสตินเกลียดชังผู้ที่ถูกเลือกเหล่านี้ที่สามารถฟื้นคืนชีพได้ เขาเตะศีรษะคนนี้ออกไปเหมือนกับลูกฟุตบอล
วิลเลียมดึงดาบยาวออกจากอกขณะที่เขาเข้าโจมตีนักฆ่าระดับอีปิคที่คอยสังหารผู้เล่น
ฟรึบ
นักฆ่าเคลื่อนที่เร็วมากและกลายร่างเป็นภาพเลือนรางหลังจากที่เขาเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในป่า ไม่มีทางที่จะหามือสังหารได้
วิลเลียมหรี่ตาในขณะที่เขาปล่อยศรปีศาจพุ่งทะลุมิติและกิ่งก้านของต้นไม้ออกไป…
เกิดเสียงดังฟังชัด
ฉึก
นักฆ่าอยู่ในความงุนงงขณะที่เขารู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ด้านหลังศีรษะของเขา
“รูใหญ่จัง…”
จากนั้นเขาก็ล้มไปข้างหน้าในขณะที่แสงในดวงตาของเขาดับลง
จนกระทั่งเขาเสียชีวิต เขาไม่สามารถเข้าใจได้ว่าวิลเลียมรู้ได้อย่างไรว่าเขาซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้นั้นและลูกศรดังกล่าวจะระเบิดในหัวของเขาได้อย่างไร
“ฆ่าเขาซะ” ออกัสตินมองไปที่ผู้แพ้เหล่านั้นในกองกำลังประหาร เขาแทบอยากจะทรมานพวกเขาให้ตาย
แต่สมาชิกของกองกำลังประหารอยากจะบอกว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จะฆ่าผู้ถูกเลือกแม้ว่าคนที่ถูกเลือกจะฟื้นขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง…
“พวกเขาเรียนรู้ที่จะรับมือกับการฟื้นฟูของผู้เล่นแล้วหรือยัง? นับเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่” วิลเลียมขมวดคิ้ว มันน่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสได้ลงมือ
คู่ต่อสู้ระดับอีปิคเลเวล 50 สามคนสกัดเขาเอาไว้ และปล่อยทักษะพลังต่อสู้ของพวกเขาออกไปที่วิลเลียมทั้งหมด
ธันเดอร์สแลช
พลังต่อสู้ของวิลเลียมพุ่งสูงขึ้นภายในร่างกายขณะที่เขาฟาดฟันด้วยพลังต่อสู้สายฟ้า พลังดาบบางเฉียบเก้าสายฉีกผ่าอากาศไป
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
พลังต่อสู้ปะทะกัน และหลังจากที่คลื่นพลังงานเล็ดลอดออกมา แรงกดดันที่รุนแรงทำให้พื้นดินจมลงลึก พลังต่อสู้หลากสีหมุนวนอย่างต่อเนื่องในท้องฟ้าเป็นเวลานาน
วิลเลียมไม่ได้รับแรงปะทะ แต่ทั้งสามฝ่ายต่างถอยกลับไปเจ็ดถึงแปดเมตร พวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจ
ระดับ 60!
ถูกต้องแล้ว
วิลเลียมใช้คริสตัลดันเจี้ยนของหุบเขาสายหมอก เขามาถึงเลเวล 60 แล้ว
เขาไม่ใช่บอสระดับต่ำในเวอร์ชัน 1.0 อีกต่อไป เขาเป็นบอสระดับรีเจนดารีที่เกือบจะถึงระดับสูง
ผู้เล่นที่ฟื้นขึ้นมาเริ่มสิ้นหวัง เนื่องจากการตายหลายครั้ง เลเวลของผู้เล่นบางคนจึงลดลงและพวกเขาเกือบจะสูญเสียอุปกรณ์ทั้งหมดไป
เมื่อพวกเขาเห็นพลังของวิลเลียมพวกเขาก็รู้สึกเหลือเชื่อ
ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ พวกเขาได้เห็นการต่อสู้ของหนึ่งระดับรีเจนดารีกับระดับอีปิคทั้งเจ็ดและ NPC ระดับมาสเตอร์อีกมากมาย…
“หัวหน้าทีมของเราได้สังหารคู่ต่อสู้ระดับอีปิคและระดับมาสเตอร์ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ เขาทรงพลังขนาดไหนกัน” เดียวดายตลอดกาลกำหมัดแน่น เขาตัดสินใจว่าถ้าวิลเลียมไม่ตายเขาจะเกาะขาของท่านลอร์ดคนนี้ไว้อย่างแน่นอน!
“ฆ่าเขาซะ” ออกัสตินไม่อยากเปลืองน้ำลายไปกับวิลเลียม เขาเคยอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับอัศวินมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นตัวเอกหรือตัวร้าย คนที่สมควรตายก็ไม่ตายสักทีเพราะการพล่ามไปเรื่อยโดยไม่จำเป็น
เมื่อเขาเคยอ่านเรื่องราวดังกล่าวและสถานการณ์เหล่านี้ทำให้ออกัสตินโกรธ
แต่เขาจะไม่มีวันทำผิดเช่นนั้นแน่
นอกจากผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนที่วิลเลียมสังหารแล้ว กองกำลังประหารก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอื่นใดอีก
ออกัสตินใช้สมาชิกห้าคนเพื่อควบคุมผู้เล่นที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่พวกเขาที่เหลือล้อมรอบวิลเลียมเอาไว้
ออกัสตินเริ่มเคลื่อนไหว
ดาบจรัสแสง
เปลวไฟปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า
วิลเลียมนำดาบทั้งสองของเขาออกมาป้องกันขณะที่พื้นด้านล่างของเขาแยกออก
ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังและแทงเข้าที่ลำตัวของเขาด้วยใบมีด วิลเลียมหลบได้ทันแต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บ มีดาบแทงเข้าที่ท้องของเขา เลือดสดๆกระเซ็นไปบนใบหน้าของมือสังหาร
วิลเลียมไม่สนใจบาดแผลและมือสังหารที่อยู่ข้างหลังเขา แต่กลับเตะขาไปข้างหน้าอย่างโหดเหี้ยมและออกัสตินต้องกั้นมันด้วยมือของเขา เพื่อป้องกันไม่ให้ระหว่างขาหนีบของเขาบาดเจ็บ อย่างไรก็ตามลูกเตะที่รุนแรงนี้ก็ทำให้ออกัสตินกระเด็นออกไปไกลหลายเมตร
ฝุ่นคละคลุ้งไปในอากาศอย่างตลบอบอวน
วิลเลียมไม่สนใจสมาชิกกองกำลังประหารที่ล้อมรอบตนเองเอาไว้ การฟาดฟันของเขาเร็วเหมือนกับฟ้าแลบ ในขณะที่พลังดาบสายฟ้าของเขาก็กำลังข่มขวัญศัตรู ออกัสตินที่ถูกขู่ให้กลัวก็ทำให้อีกฝ่ายล่าถอยอย่างไม่อาจควบคุมได้
ในช่วงเวลานี้โล่พลังต่อสู้ของวิลเลียมถูกทำลาย
ในตอนนั้นเอง
ออกัสตินฟันดาบยาวของเขาเข้าที่มุมหนึ่ง และรังสีของแสงเพลิงก็เปล่งออกมา วิลเลียมถูกกลืนกินไปด้วยพลังของดาบ เขาต้องถอยห่างออกไปหลายสิบเมตรและร่างกายของเขาก็ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟโดยที่ไม่สามารถดับมันลงได้จนทั่วร่างของเขาไหม้เกรียม
ร่างของกองกำลังประหารเห็นได้รางๆเมื่อพวกเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
ปัง
เมื่อคลื่นโซล ช็อคถูกกระตุ้นก็มีเสียงระเบิดออกมา ทำให้คนนับสิบกระเด็นออกไปในอากาศ จนดูเหมือนวิญญาณของพวกเขาออกจากร่าง แต่การโจมตีนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก เป้าหมายถูกระเบิดออกไปเพียงบางส่วนเท่านั้น
วิลเลียมเสียพลังชีวิตไปหนึ่งในสาม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่เย็นชา เขาใช้โอกาสนี้ใช้หัตถ์แห่งวิญญาณเพื่อดึงฝ่ายตรงข้ามระดับมาสเตอร์ที่กำลังดิ้นรนอย่างหนักมา ก่อนวิลเลียมจะแทงดาบของเขา เข้าที่คอของมันจนเลือดกระเซ็นไปทั่วอากาศ
ออกัสตินพุ่งไปข้างหน้าในขณะที่วิลเลียมถอยกลับ พลางจับทหารระดับมาสเตอร์เป็นตัวประกัน
เครื่องสังเวย
วิญญาณโปร่งแสงของทหารผู้นั้นถูกสกัดและดูดเข้าไปในร่างกายของวิลเลียม ค่าพลังชีวิตของเขาเพิ่มขึ้นขึ้นทันที!
“ฆ่าเขา!” ออกัสตินตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว
ดาบจรัสแสงปรากฏขึ้นอีกครั้ง แสงอันสุกสว่างของมันทำให้มังกรไฟปรากฏกายขึ้น
วิลเลียมโยนศพที่อยู่ในมือของเขาไปยังมังกรไฟ
มังกรไฟร้องคำราม ก่อนจะกลืนกินศพแล้วพุ่งเข้าหาวิลเลียม
“สังหารมังกร”
วิลเลียมหัวเราะเยาะ ก่อนจะเปิดใช้งานโล่พลังต่อสู้ของเขา เขาฟันดาบทั้งสองเหนือศีรษะ
ปัง
ท้องฟ้าระเบิดไปด้วยเปลวไฟขนาดใหญ่ เมื่อมังกรไฟถูกลดขนาดกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
สายฟ้าสีฟ้าจาง ๆ สว่างวาบในท้องฟ้า ขณะที่คลื่นพลังงานขยายออกมา ต้นไม้สองข้างทางก็ลุกเป็นไฟ
ร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากคลื่นพลังงานที่ระเบิดออกมาแล้วปะทะเข้ากับออกัสติน ทั้งคู่กลิ้งไปบนพื้นดิน แรงปะทะนั้นสร้างร่องลึกไปหลายเมตร
พวกเขาฟื้นและลุกขึ้นยืนในเวลาเดียวกัน
แต่ด้านบนศีรษะของวิลเลียมมีดาบเล่มหนึ่งกำลังพุ่งมา
โล่พลังต่อสู้ของเขาแตกเป็นเสี่ยง ๆ และหมวกแห่งแสงที่มีโบนัสการป้องกันสูงถูกผ่าครึ่ง
วิลเลียมผู้มีผมยาวสีดำเงยศีรษะขึ้นแล้วจ้องมองมาอย่างมุ่งร้าย เขาเพิกเฉยศีรษะที่บาดเจ็บของตน ก่อนจะตอบโต้กลับไปด้วยการฟาดฟัน!
แบทเทิล เอเนอจี้ คัต และแสงแห่งรุ่งอรุณ
ดาบเล่มนั้นได้ตัดผ่านลำคอของนักรบผู้ยิ่งใหญ่
นักรบจับคอที่มีเลือดไหลออกมา เขาพยายามถอยหนีไปให้ไกล แต่ในที่สุดก็ล้มตาย
“ตู้ม!”
ผู้ถือโล่พุ่งไปข้างหน้าและทุบโล่ของเขาที่ตัวของวิลเลียม มันให้วิลเลียมกระเด็น…
ออกัสตินเหลือบมองผู้ถือโล่ที่โง่เขลา ในขณะที่เขากำลังจะพุ่งเข้าใส่วิลเลียม เขาก็ถูกลูกศรสามลูกโจมตีมาที่เขา
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว
ออกัสตินหันศีรษะหนีเพื่อหลบลูกศรดอกแรก ในขณะที่ดาบฆ่ามังกรของเขาขวางลูกศรที่สอง แต่กลับป้องกันลูกศรสุดท้ายไม่ได้
ลูกธนูเจาะเข้าไปในคิ้วของเขา ก่อนจะระเบิดออก
หัวของออกัสตินหงายหลังเนื่องจากการระเบิด ก่อนที่เขาจะลดศีรษะลงและจ้องไปที่ด้านหน้า จากนั้นเขาก็กำหมัดแน่นและเล็งไปที่ของวิลเลียม
เปลวไฟสูงหลายสิบเมตรพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าดั่งเสาไฟนรก
เวทย์ธาตุไฟ!
วิลเลียมไม่ได้ตกลงบนพื้นเมื่อเขาโดนเสานรกโจมตีให้กระเด็นออกไปอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่สามารถยิงธนูขึ้นไปในอากาศได้ เนื่องจากแรงกระแทกทำให้ธนูหลุดจากมือของเขา
ไม่มีการหยุดพักในการต่อสู้
ร่างหนึ่งกระโดดขึ้นสูงและปล่อยพลังดาบที่มีความยาวไม่กี่เมตรใส่วิลเลียม …
ปัง
วิลเลียมล้มลงกับพื้นอย่างแรง จนดูราวกับว่าเขาไม่สามารถลุกขึ้นได้อีก
แต่ก่อนที่ร่างนั้นจะสามารถฆ่าวิลเลียมได้ ก็มีคนคนหนึ่งพุ่งออกมาจากต้นไม้ที่ถูกไฟไหม้ เขาจับหัวของร่างนั้นและทุบมันอย่างโหดเหี้ยมกับพื้น
ปัง!
พื้นบริเวณนั้นแตกออกและจมลึกลงไปหลายเมตร
มังกรคลั่งมาทันเวลา เขาทุบหัวของร่างนั้นด้วยการทุบเพียงครั้งเดียว
กองกำลังประหารของออกัสตินเริ่มกังวล พวกเขาตระหนักได้ว่าวิลเลียมเป็นเหยื่อล่อและเป็นตัวอันตรายในเวลานั้น
“ถอยออกมา!” ออกัสตินปลดดาบออกและต้องการจะหนี
มังกรคลั่งหัวเราะอย่างเย็นชาก่อนจะพูดว่า “หนี? ใครจะให้โอกาสพวกเจ้าหนีกัน?”
มันง่ายมาก
ฝนกระหน่ำตกลงมาจากท้องฟ้า
นักเวทย์ธาตุน้ำกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อดับไฟ
นักรบระดับมาสเตอร์และระดับอีปิคกว่า 500 คนที่ลุกโชนไปด้วยพลังต่อสู้พุ่งออกมาจากเปลวไฟและล้อมรอบกองกำลังประหารเอาไว้
“ตามข้ามา” ออกัสตินยิ้มอย่างเย็นชา ก่อนจะฟันดาบของเขาเข้ากับพื้นดิน จนกลายเป็นแนวเพลิง
นอกจากผู้ถือโล่ที่รั้งท้ายแล้ว คนที่เหลือก็เริ่มถอยกลับ
ผู้ถือโล่ที่มั่นใจถูกผลักถอยออกไปหลายสิบเมตร โล่และร่างกายของเขาถูกตัดครึ่ง
การมาถึงของมังกรคลั่งทำให้วิลเลียมมีเวลาฟื้นตัวพอสมควร หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนและพุ่งไปข้างหน้า เขาต้องการฆ่าออกัสติน
เนื่องจากไม่ถูกยับยั้งอีกต่อไป ผู้เล่นจึงฟื้นคืนชีพขึ้นมา
แต่เมื่อพวกเขาเห็นฉากการต่อสู้ พวกเขาก็รู้สึกงุนงง จากนั้นพวกเขาก็มองหน้ากัน โดยสัญชาตญาณแล้วพวกเขาอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำพูดใด ๆ ได้
“พวกเขาไม่ได้พูดตอนต่อสู้กันหรอ? อย่างเช่นชื่อกระบวนท่าอะไรทำนองนี้?”
“ท่านลอร์ดวิลเลียมทรงพลังขนาดนี้เชียวหรือ?”
“นี่เรียกว่าทรงพลัง? ไม่ล่ะ นี่มันเกินคำว่าทรงพลังไปแล้ว ดูสิว่าเขามีทักษะในการยิงธนูและการต่อสู้มากแค่ไหน เขาควรจะเป็นเรนเจอร์หรือนักรบเสียด้วยซ้ำ”
เดียวดายตลอดกาลเงียบลงเมื่อได้ยินคำว่าเรนเจอร์ เขาก็เป็นเรนเจอร์เหมือนกัน แต่เขาต้องอาศัยการประจบประแจงบอสอีกด้วย…
วิลเลียมเป็นบอสระดับรีเจนดารีซึ่งมีสถานะใกล้เคียงระดับสูง เขาต่อสู้กับบอสระดับรีเจนดารี ระดับอีปิคทั้งเจ็ด และคู่ต่อสู้ระดับมาสเตอร์จำนวนมากก่อนที่กำลังเสริมจะมาถึงและเขายังมีพลังที่จะต่อสู้ต่อไป
“ลุยย! อย่ามาเล่นเกมเลย ถ้าคุณกลัวว่าจะตาย” ผู้เล่นคนหนึ่งตะโกนและพุ่งไปข้างหน้า
ถึงแม้ว่าพลังต่อสู้ของพวกเขาจะด้อยกว่า แต่พวกเขาก็ยังสามารถป้องกันไม่ให้กองกำลังประหารหนีไปได้
เดียวดายตลอดกาลพยักหน้าและยิ้มขณะที่เขาตะโกน “สู้เพื่อเกียรติยศของผู้นำของเรา!”
“สู้เพื่อผู้นำของเรา!”
ผู้เล่นสามสิบคนเข้าสู่สนามรบ พวกเขาถูกลดระดับเป็นเลเวล 10 และอุปกรณ์ของพวกเขาถูกทำลาย อย่างไรก็ตามแม้ว่าพวกเขาจะเสียชีวิต พวกเขาก็จะไม่ถูกลดระดับอีกต่อไป พวกเขาจะไม่สูญเสียอุปกรณ์ใด ๆ เช่นกัน
การติดตามบอสระดับรีเจนดารีผู้กล้าหาญและตายเพื่อเขานั้นคุ้มค่าหรือไม่?
อย่างไรก็ตามรางวัลไม่จำกัดกำลังรอพวกเขาอยู่ …
มังกรคลั่งนั้นโหดร้าย แม้ว่าเขาจะมีสายเลือดเพียงระดับอีปิค แต่เขาก็ยังสามารถปกครองสมาชิกระดับอีปิคของกองกำลังประหารได้
การต่อสู้ครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงข้อดีของการยึดครอง มังกรคลั่งมีคู่มือลับมวยปล้ำระดับรีเจนดารีและเขาเป็นนักมวยมืออาชีพ เขามุ่งเน้นไปที่พลังการฝึกฝนและความแข็งแกร่งทางกายภาพ นอกจากนี้เขายังมีความสามารถติดตัวพิเศษในการเป็นผู้นำระดับอีปิค
วิลเลียมไม่สนใจคนอื่น ๆ เขาติดตามออกัสตินอย่างใกล้ชิด
เมื่อคู่ต่อสู้ระดับรัเจนดารีหรือระดับอีปิคต้องการหลบหนีก็ยากที่จะหยุดพวกเขาได้
หากพวกเขาไม่ได้ถูกล้อมรอบด้วยกองทัพ มีเพียงนักรบระดับสูงเท่านั้นที่สามารถหยุดพวกเขาได้ ถึงอย่างนั้นถ้านักรบไม่ระวัง ฝ่ายตรงข้ามอาจหลบหนีได้สำเร็จ
อาชีพหลักของออกัสตินคือนักดาบมังกรไฟระดับรีเจนดารีและอาชีพย่อยของเขาคือนักเวทย์มังกรไฟระดับอีปิค เขามีคุณสมบัติที่ทรงพลังและโชคที่สืบทอดมาอย่างไม่น่าเชื่อ
เขาเปิดใช้งานโล่พลังต่อสู้และยิงออกไปเหมือนกระสุนปืนใหญ่ที่เจาะเข้าไปในกองทัพโดยรอบ ออกัสตินทิ้งร่องรอยของเปลวไฟไว้ข้างหลัง นักรบที่อยู่ตรงหน้าเขาถูกส่งขึ้นไปบนท้องฟ้าสร้างช่องโหว่ในแนวป้องกันของกองทัพ ออกัสตินหนีออกมาได้สำเร็จ
มังกรคลั่งขมวดคิ้ว ขาของเขาสั้นเกินกว่าจะไล่ตามได้ทัน…
แต่เขารู้ดีว่าวิลเลียมมีเจตนาที่จะฆ่าออกัสติน ดังนั้นมังกรคลั่งจึงพอใจที่จะให้เขาไล่ตามออกัสตินแทน
เนื่องจากผู้เล่นไม่มีความสามารถพอที่จะไล่ตามได้ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่โจมตีคู่ต่อสู้ระดับทาสเตอร์ พวกเขาจับต้นขา และหัวของฝ่ายตรงข้าม บางคนก็หันไปกัด…
สมาชิกของกองกำลังประหารถูกคุกคามโดยผู้ถูกเลือกราวกับว่าพวกเขาเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ พวกเขารู้สึกแย่มาก แต่พวกเขาก็รู้ด้วยว่ามันไม่คุ้มที่จะใส่ใจกับผู้ถูกเลือกเหล่านี้
ผู้ถูกเลือกสามารถฟื้นคืนชีพได้ แต่พวกเขามีความคิดว่า
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสมาชิกของกองกำลังประหารไม่สนใจผู้ถูกเลือก?
เมื่อคิดอย่างนี้สมาชิกของกองกำลังประหารก็หลับตา …
ถึงกระนั้นผู้ถูกเลือกก็ตะครุบและจับต้นขาของพวกเขาเหมือนโสเภณีที่ยืนตามซ่อง…
ออกัสตินวิ่งเร็วมาก พลังเพลิงที่ยังหลงเหลือจากการต่อสู้พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงและต้นไม้ที่ถูกไฟไหม้ไม่กี่ต้นก็ล้มลงในขณะที่เขาวิ่งต่อไป
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขารู้ว่ามันเป็นกับดักในขณะที่เขาจำวิลเลียมได้
แต่กองกำลังประหารได้ล้อมวิลเลียมหลังจากที่พวกเขาค้นหาพื้นที่โดยรอบเท่านั้น ออกัสตินเข้าใจดีว่ากองกำลังของวิลเลียมตั้งอยู่ไม่ไกล
ดังนั้น
เขาต้องการฆ่าวิลเลียมภายในเวลาที่สั้นที่สุด
เขาต้องการให้วิลเลียมผู้หยิ่งผยองได้ลิ้มรสความล้มเหลว เขาต้องการให้วิลเลียมเข้าใจว่าความตายกำลังรอคอยความล้มเหลวของเขา
แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าวิลเลียมจะพัฒนาขึ้นอย่างมาก
เขาพบวิลเลียมเพียงสองครั้ง แต่ทุกครั้งวิลเลียมได้พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดและเขาไม่มีความมั่นใจที่จะฆ่าตัวซวยตัวนี้ทิ้งได้
“มันน่าเสียดาย ฉันเหลือเวลาเพียงไม่กี่วิ”
ออกัสตินกำหมัดแน่นขณะที่เขาวิ่ง เขาเสียใจที่ไม่ยอมเสียสละพลังชีวิตเพื่อสร้างความเสียหายแบบเดียวกันกับวิลเลียม
เขาหันหน้าไปมองวิลเลียมที่ดื้อรั้นและรู้สึกกลัว
ดาวหายนะอย่างวิลเลียมเริ่มเข้าใกล้ขึ้นมา ความคล่องตัวของวิลเลียมนั้นดีกว่าและด้วยเหตุนี้เขาจึงมีความเร็วที่เร็วกว่า
ผ่านไปห้านาทีทั้งคู่ก็เข้าไปในป่าลึก พวกเขาพุ่งเข้าไปในถ้ำที่ปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์
ณ ตอนนี้
ทั้งคู่หยุดอยู่ในทางของพวกเขา
วิลเลียมมองไปที่ออกัสตินอย่างอยากรู้อยากเห็นและมองไปที่ดวงตาสีเขียว ราวกับว่าวิลเลียมยอมรับกับออกัสตินว่าเขาตกหลุมพรางของเขา
ออกัสตินรู้สึกงุนงง เขาวิ่งเร็วมาก แต่เขาแน่ใจว่าเขาไม่หลงทิศทาง
หลังจากผ่านถ้ำแล้วควรมีชนเผ่าหนึ่งที่ตั้งอยู่ในหุบเขา มันเป็นเหมือนสวรรค์บนสวรรค์
ก่อนหน้านี้เมื่อออกัสตินและโกเธ่ นาซิสตกที่นั่งลำบาก พวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากชนเผ่า เขารู้ว่ามีอุโมงค์ที่สับสนซึ่งเขาสามารถใช้เพื่อสลัดวิลเลียมได้
“ท – ที่นี่…มันกลายเป็นรังของปีศาจไปแล้วหรือ” ออกัสตินมองด้วยความไม่เชื่อ
สิ่งมีชีวิตที่มืดทะมึนมาข้างหน้าและก้าวเข้ามาหาพวกเขา
วิลเลียมขมวดคิ้วและต้องการถอยหนี
ในขณะที่ออกัสตินกำหมัดแน่นขณะที่เขาจ้องมองมัน
ดังนั้น
เขาพุ่งเข้าใส่สิ่งมีชีวิตแห่งความมืดในขณะที่ปล่อยพลังดาบเพลิงของเขา
ในขณะนั้นเอง
สิ่งมีชีวิตในความมืดหลายสิบตัวถูกหั่นออกเป็นชิ้น ๆ และเลือดสีดำของพวกมันก็กระเซ็นลงบนพื้น
ดาบเพลิงสว่างวาบไปทั่วบริเวณ
มีหุบเขาอยู่ข้างหน้า
“ท – ทำไมที่นี่ถึงกลายเป็นถ้ำปีศาจ” ออกัสตินเหมือนตกอยู่ในความบ้าคลั่ง เขาฟาดฟันอย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นทหารโครงกระดูกอัศวินดำหรือหมาล่าปีศาจ
วิลเลียมหยุดและครุ่นคิด…
จากนั้น
ในขณะที่สิ่งมีชีวิตมืดถอยออกไป
บุคคลหน้าตาร้ายกาจสองสามคนก็เดินออกมา
ร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยสักสีดำและมีเลือดไหลออกมาบนผิวหนัง มันให้ความรู้สึกที่น่ากลัว
ออกัสตินตกใจเมื่อเขามองไปที่ชนเผ่าที่คุ้นเคย เขาจำชื่อพวกเขาทั้งหมดได้
“แอนดี้! …ปีเตอร์! …ทำไม…ทำไมพวกเจ้าถึงกลายเป็นแบบนี้” ออกัสตินกะพริบตา เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเผ่าที่รกร้างถูกกำจัดไปแล้ว
“ทำไม?” ออกัสตินเหวี่ยงดาบของเขาอีกครั้ง
ตู้ม!
แสงของดาบตัดอากาศ
รังสีดาบเพลิงกระแทกพื้น พุ่งไปยังชาวเผ่าก่อนที่จะโจมตีไปยังสิ่งมีชีวิตในความมืดพร้อมกับเสียงดังโครมคราม
“ข้าสัญญากับผู้มีพระคุณทุกคนว่าจะตอบแทนพวกเขาด้วยเกียรติและโชคลาภ”
“ท่านคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกและไม่สนใจมัน”
“หลังจากควบคุมอาณาจักรได้แล้ว โกเธ่นาซิสก็ลืมพวกเจ้าไปเช่นกัน”
“แต่ข้ายังไม่ลืม”
“ข้าจำได้ว่าพวกเจ้าจะส่งอาหารให้หลังจากที่ข้าฝึกพลังต่อสู้”
“ข้าจำได้ว่าแอนดี้และปีเตอร์ลากเราทั้งคู่กลับไปที่เผ่าและรักษาบาดแผลฉกรรจ์ของเรา”
“ข้าจำได้ว่า…ตลอด 365 วันที่ข้าใช้เวลาฝึกที่นี่!”
“มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของข้า”
“ข้าให้สัญญากับพวกเจ้าไว้…”
“และข้าจะทำให้สำเร็จ”
“พวกเจ้าได้รับความเสียหายจากความมืด ข้าจะนำศพของพวกเจ้ากลับไปและวางไว้ในโลงศพอย่างสง่างาม” ออกัสตินกำหมัดแน่น เขาทำสัญญาและเขาจะทำมันให้สำเร็จ
เขาเดินไปข้างหน้าทีละก้าวในขณะที่เขาฉีกผ้าและปิดตา เขาจับด้ามมีดของเขาและพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ดาบของข้ารวดเร็วยิ่ง มันจะไม่เจ็บปวด”
มันไม่เจ็บปวด
คำพูดดังก้องอยู่ในหุบเขา
เป็นเรื่องที่น่าละอายเมื่อไม่มีชนเผ่า เด็กและผู้ใหญ่คนใดตอบเขา
เมื่อออกัสตินเข้าใกล้พวกเขา
รอยสักสีเข้มบนร่างกายของชาวเผ่าเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นและเส้นเลือดของพวกเขาก็ปูดออกมา บางคนอ้าปากและกลายเป็นซอมบี้ที่พุ่งเข้าใส่เขา
“หุบเขาแห่งความสิ้นหวัง?” ในที่สุดวิลเลียมก็จำได้
ออกัสตินไม่มีโอกาสที่จะรุ่งโรจน์ หลังจากสงครามจบลงในเกมเวอร์ชันแรก ถ้ำปีศาจก็ปรากฏตัวขึ้นทุกที่ ออกัสตินนำทีมของเขาไปกวาดล้าง ถ้ำปีศาจแต่เขาไม่มีโอกาสที่จะนำชาวเผ่ากลับมาร่วมงานศพอันน่ายินดี
ในตอนนั้นผู้เล่นสองสามคนได้รับภารกิจ
เพื่อนำผู้มีพระคุณของออกัสตินกลับคืนมาในนามของเขา
แต่เมื่อผู้เล่นมาถึงพวกเขาได้เห็นเพียงกลุ่มซอมบี้ที่ถูกปีศาจร้ายทำลาย ไม่มีวิญญาณที่มีชีวิตอยู่
สรวงสวรรค์จากก่อนหน้านี้กลายเป็นนรกที่มีชีวิต…
วิลเลียมยืนนิ่งมาก เขาเลือกที่จะไม่ลงมือทำ
เขาต้องการให้ออกัสตินกวาดล้างถ้ำปีศาจ!
แต่เขาก็จะไม่จากไปเช่นกัน เขาต้องการให้ออกัสตินหมดแรงก่อนที่เขาจะตัดหัวความซวยของเขา
ความแตกต่างในนิสัยของพวกเขามากเกินไป ดังนั้นออกัสตินจะไม่มีทางเปลี่ยนความคิดต่อวิลเลียม! พวกเขาไม่มีทางญาติดีกันได้
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป
ออกัสตินกลับมาพร้อมกับร่างกายที่เปื้อนไปด้วยเลือด สิ่งมีชีวิตในความมืดทั้งหมดในหุบเขาถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ
มีเพียงซากศพของชนเผ่าเท่านั้นที่ยังคงสภาพสมบูรณ์
เขาเดินช้าๆไปที่ทางเข้าถ้ำและสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะถอดผ้าที่ปิดตาออก เขามองไปที่วิลเลียมที่รออยู่และยกดาบขึ้น “มาดูซิว่าเจ้าก้าวหน้าไปไกลแค่ไหน?”
วิลเลียมเหลือบมองไปที่ออกัสตินที่ยังคงฟื้นฟูพลังการต่อสู้อยู่ เขาวางมือขวาบนด้ามดาบแล้วถามด้วยเสียงทุ้มว่า “ตอนนี้เลยหรอ?”
“หุบปากไปได้ละ”
“ฆ่า!” ออกัสตินเป็นเหมือนแสงแดดที่แผดจ้า เมื่อเขาปรากฏตัวต่อหน้าวิลเลียมก็ทำให้ร้อนจนหายใจลำบาก
วิลเลียมปลดดาบออก พลังจากดาบสีน้ำเงินสายเล็กๆพุ่งไปตัดเปลวไฟออกเป็นครึ่ง จากนั้นร่างสองร่างก็เข้าปะทะกัน
ปัง
การปะทะกันครั้งนี้ก่อให้เกิดความปั่นป่วนของอากาศที่แบ่งออกเป็นสองสีชัดเจน หุบเขาเล็ก ๆ สั่นสะเทือน ใบไม้เถาวัลย์ถูกพัดหมุนวนไปตามความปั่นป่วน ขณะที่ก้อนกรวดร่วงหล่นลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน
ต่อมา
พลังจากดาบปรากฏขึ้นมากมาย
ทั้งสายฟ้าและเปลวไฟที่ดุร้าย
สามารถมองเห็นร่างสองร่างกำลังต่อสู้กันท่ามกลางพลังต่อสู้ที่หลากหลาย เสียงควันระเบิดยังคงดังอยู่รอบตัวพวกเขา
วิลเลียมไม่สามารถเคลื่อนไหวต่อสู้กับออกัสตินได้ เขาไม่แม้แต่จะปลดดาบสั้นของตนได้ด้วยซ้า ทั้งสองคนกำลังพัวพันกับการร่ายรำแห่งความตายและในช่วงเวลาสั้น ๆ พวกเขาแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันไปนับสิบซึ่งเป็นเส้นทางสู่การเผาเครื่องหมายบนชุดเกราะของอีกฝ่าย
ปัง
ออกัสตินส่งหมัดออกไป แต่วิลเลียมหลบได้ หมัดเพลิงหมัดนั้นได้สร้างหลุมทำลายล้างที่เนินเขาและสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งพื้นดิน
ในวินาทีถัดไป
วิลเลียมชนศีรษะของเขาเข้ากับใบหน้าของออกัสตินและบังคับให้เขาถอยหลังไปหลายสิบเมตรวิลเลียมตามมาอย่างใกล้ชิดและเฉือนเข้าที่คอของออกัสติน
แกร็ก
ออกัสตินเอาแขนเข้าปัดป้อง พลังงานดาบสีน้ำเงินจึงฟันเข้าที่กระดูกของเขา ในขณะเดียวกันออกัสตินก็แทงดาบของเขาในแนวทแยงและปล่อยพลังการต่อสู้ที่ลุกเป็นไฟเข้าห้ำหั่นผ่านโล่พลังการต่อสู้ของวิลเลียมเหมือนมีดที่พุ่งผ่านเต้าหู้ เกราะพังทลายลง และเขาถูกส่งเข้าไปในถ้ำเหมือนปืนใหญ่ที่ถูกยิง
ไม่มีการหยุดพักใดๆทั้งนั้น
ออกัสตินไม่ลังเลพุ้งเข้าฟาดฟันหลายครั้งและสร้างพลังดาบไฟเพื่อฆ่าวิลเลียมในถ้ำ
แต่มีร่างปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและปล่อยพลังดาบสายฟ้าเก้าสายออกมา
พลังของดาบเข้าปะทะกัน มันสร้างความปั่นป่วนไปทั่วบริเวณพร้อมกับทำให้แผ่นดินจมลงติดต่อกันเป็นทอดๆ
ทั้งคู่ไม่ลืมความวุ่นวายในการต่อสู้ที่สร้างขึ้น พวกเขาพุ่งเข้าใส่กันและเหวี่ยงดาบของพวกเขา!
ปัง
ทั้งสองถอยหลังไปหนึ่งก้าว
แต่เนินเขาด้านหลังการระเบิดมีเพียงหุบเหวลึกเท่านั้น
พวกเขาเข้าโจมตีกันอย่างเอาเป็นเอาตาย!
ออกัสตินถือดาบด้วยมือทั้งสองข้างขณะที่วิลเลียมจับดาบด้วยมือขวา เมื่อดาบทั้งสองเข้าปะทะกัน แรงกดดันมหาศาลบังคับให้วิลเลียมคุกเข่าลงบนพื้นข้างหนึ่ง พลังดาบของอีกฝ่ายทิ้งรอยเลือดไว้ที่คอของเขา
มือซ้ายของวิลเลียมแทงดาบสั้นเข้าที่หน้าท้องของออกัสติน
จากนั้นพวกเขาก็ถอยออกจากกัน
เปลวไฟบนร่างกายของออกัสตินพุ่งขึ้นและแผลในช่องท้องของเขาก็ละลายจนเนื้อของเขาหลอมรวมกันทำให้ไม่มีเลือดออกอีก แต่ยังคงมีแผลเป็นสีเขียวจางๆอยู่
“หายไปซะ!” ออกัสตินตะโกนลั่นขณะที่ยักษ์ไฟตัวใหญ่โผล่ออกมาจากร่างของเขาและชกเข้าที่หน้าอกของวิลเลียมอย่างแรง
วิลเลียมถูกไฟลุกท่วมขณะที่เขาพยายามจะถอยกลับ
ในที่สุดเมื่อเขาหยุดโซเซ เท้าของเขาก็จมลงไปที่พื้นเกือบครึ่งเมตร ร่างของเขาเอียงไปมา ก่อนที่เขากำลังจะล้มลง แสงแฟลชเกิดขึ้นที่ตำแหน่งของวิลเลียมก่อนจะเกิดการระเบิดดังสนั่นตรงหน้าออกัสติน
วิลเลียมขว้างดาบสั้นอาบพิษของเขาออกไป เขาถือดาบสั้นเหมือนลูกศรในขณะที่ใช้ร่างกายของเขาเหมือนธนู
แม้ว่าเขาจะเสียธนูไป แต่การขว้างของเขาก็แม่นยำอย่างยิ่ง มันมีพลังทำลายล้างเช่นเดียวกับลูกศรจากคันธนู
ออกัสตินหลบเลี่ยงดาบสั้นที่ขว้างมาได้ เขาปีนขึ้นไปและปรากฏตัวต่อหน้าวิลเลียมพลางฟาดฟันใบมีดไปที่เขา
พลังดาบของพวกเขาทั้งสองปะทะกันเสียงดังลั่น
ออกัสตินต่อสู้กับพลังดาบของวิลเลียมในขณะนั้นเขาตอบโต้ด้วยการชกไปด้วย
แกร็ก!
เสาแห่งนรกพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน
ทั้งคู่ถอยกลับไปไกลหลายสิบเมตรอีกครั้ง
ร่างกายของวิลเลียมไหม้เกรียมจนผมที่ยาวสลวยของเขานั้นแหว่งไป แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขาหัวล้าน
ออกัสตินก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีเท่าไหร่นัก สายฟ้าวิ่งผ่านไปทั่วร่างกายทำให้เขาชักกระตุกเป็นพักๆ จนดูเหมือนว่าเขาเป็นชายสูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม …
แต่พวกเขายังมีพลังที่จะสู้ต่อไป
ดังนั้น
พวกเขาจึงเข้าปะทะกันอีกครั้ง!
แกร็ก!
ดาบระดับอีปิคไม่สามารถต้านทานแรงกดดันอันมหาศาลได้แตกออกเป็นชิ้น ๆ ใบดาบบางส่วนได้กรีดใบหน้าของพวกเขาจนเลือดไหลขณะที่พวกเขาเริ่มเข้าไปในบริเวณเนินเขา
ออกัสตินเหวี่ยงด้ามมีดออกไปเร็วขึ้นเล็กน้อยและชกเข้าที่วิลเลียม
วิลเลียมยกแขนขึ้นเพื่อป้องกันหน้าผากของเขา แต่ในวินาทีต่อมาเขาก็ถูกโจมตีจนไปกระแทกไหล่เขา
แต่หลังของเขาไม่ได้ชนเข้ากับเนินเขา ขณะที่ลอยอยู่ในอากาศเขาก็เปลี่ยนท่าทางเพื่อให้ร่อนลงได้ด้วยเท้าทั้งสองข้าง เมื่อเท้าแตะไหล่เขาก็เด้งตัวกลับเหมือนกับว่าตนเองเป็นน้ำพุ
เขากระโดดไปทางออกัสตินดั่งกระสุนปืนที่ออกจากกระบอก
แต่เขากลับถูกโจมตีกลับมาดังเดิม คราวนี้วิลเลียมกระเด็นจนจมลึกเข้าไปในเนินเขา
เนินเขาในหุบเขานี้ไม่แข็งแรงมากนักหลังจากการต่อสู้อย่างหนักหน่วง หุบเขาก็เหมือนจะพังทลายลงในทุกเมื่อ
แต่พวกเขาก็ยังไม่จบการต่อสู้นี้ลง
แม้ว่าดาบจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แต่ก็ยังมีเกราะ
แต่หลังจากเกราะของพวกเขาถูกทำลายจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
พวกเขาก็ยังมีร่างกาย
พวกเขาทั้งสองต่างมีสายเลือดระดับรีเจนดารีกันทั้งคู่ พวกเขาต่อสู้กันเหมือนสัตว์ป่าในขณะที่ทั้งสองต่างบีบคอกันไปมา
จนกระทั่ง
ค่าพลังชีวิตของวิลเลียมลดลงต่ำกว่า 10% แต่เกราะชั้นในของเขาช่วยเพิ่มพลังชีวิตได้ถึง 60% …
ออกัสตินฝืนต่อสู้อย่างยากลำบากในขณะที่ค่าพลังชีวิตของเขาหยุดนิ่ง
แต่แล้ว
วิลเลียมก็ชกออกัสตินลงไปนอนที่พื้น
เขาใช้ประโยชน์จากมันและต่อยออกัสตินอย่างต่อเนื่องจนหัวของเขาถูกทุบจนน่วมไปหมด
กระดูกใบหน้าของออกัสตินโผล่ออกมาให้เห็น เขาหายใจเฮือกสุดท้ายด้วยดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะมองไปที่วิลเลียมและพูดด้วยเสียงสั่นเทาว่า “ฆ่า…ฆ่าข้าที อย่าปล่อยให้ศพของข้าอยู่ในถ้ำปีศาจ”
จากนั้นเขาพยายามที่จะหันศีรษะของเขา แต่เขาก็เห็นเพียงดินที่มืดมิด เขาพึมพำเบาๆ “และ…”
“เราเข้าใจ” วิลเลียมมองไปที่ออกัสตินอย่างเงียบ ๆ
ออกัสตินหัวเราะ
จากนั้นเขาก็หลับตาลงและยอมแพ้
หมัดสุดท้ายพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของออกัสติน!
ดิ๊งด่อง
[คุณฆ่าบอสในตำนานเลเวล 66 ออกัสตินด้วยตัวคนเดียว]
[การตายของออกัสตินได้แจ้งให้เกอเธ่ นาซิสรับทราบ]
[ความสัมพันธ์ของอาณาจักรเหล็กที่มีต่อคุณลดลง 5,000 หน่วย ค่าความสัมพันธ์ปัจจุบันของคุณคือ -13,000 หน่วย]
[เกอเธ่ นาซิสมีค่าความเกลียดชังต่อคุณ 15,000 หน่วย ค่าความสัมพันธ์ที่เขามีต่อคุณคือ -21,000 หน่วย]
[คุณได้รับค่าประสบการณ์ 345,660 หน่วย]
[คุณได้รับรางวัลแบบสุ่ม 1 รางวัลคุณต้องการแลกหรือไม่?]
“ไม่”
วิลเลียมพึมพำ
เขานั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง เขารู้สึกราวกับว่ากระดูกของเขาจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ เขาจึงไม่อยากขยับตัวสักนิด วิลเลียมมองไปที่ศพของออกัสตินและหุบเขาที่กำลังจะพังทลาย เขาไม่รู้ว่าตนเองควรจะทำอย่างไร
จากนั้น
เขาลุกขึ้นยืนและวางศพของออกัสตินลงในวงแหวนมิติ จากนั้นเขาก็ส่งข้อความไปแจ้งคนที่เหลือให้นำศพของชาวเผ่าออกจากหุบเขา
เกอเธ่ นาซิสกำหมัดแน่น เขาทำพันธะวิญญาณกับออกัสติน ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องการตายผ่านดวงตาของออกัสตินก่อนที่เขาจะตาย …
เขากำลังจะระเบิดออกมาด้วยความโกรธ
แต่ทว่า
เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกับผู้คนภายนอกว่า “แจ้งคนในอาณาจักรและเลือกเยาวชนที่มีทักษะติดตัวธาตุไฟที่ดีที่สุดแล้วนำพวกเขามาให้ข้า”
“ครับท่านลอร์ด” ทหารรักษาวังรับคำสั่งและออกไปแจ้งคนที่เหลือ
เกอเธ่ นาซิสเปรียบได้กับนายกรัฐมนตรี เขามีอำนาจมากจนสามารถใช้ชีวิตในวังได้
เขายกมือขึ้น ไข่มุกสีน้ำเงินเข้มกำลังเปล่งประกายเวทมนตร์จางๆ เวทย์เหล่านั้นกำลังเชื่อมกับเวทย์มนตร์ด้านนอกไปหลายพันกิโลเมตร!
มันเป็นเวทมนตร์ที่คล้ายกับเวทมนตร์ของวิลเลียม…
เวทย์วิญญาณ!
เมื่อมังกรคลั่งค้นพบศพของออกัสติน
เขาจ้องมองวิลเลียมด้วยท่าทีที่แตกต่างจากเมื่อก่อน
มังกรคลั่งไม่กล้าขอศพ เขาแค่ยืนยันตัวตนแล้วปล่อยให้วิลเลียมจากไปพร้อมกับศพ
มังกรคลั่งมองวิลเลียมในแง่ที่แตกต่างออกไปและคิดกับตัวเองว่า “เขาดูยึดติดกับศพมาก ชิๆ ศพถูกทารุณกรรมอย่างมากจนดูเหมือนมนุษย์ไม่ได้ การเก็บรักษามันจะเอาไปใช้อะไรได้”
โชคดีที่เขาไม่ได้พูดออกมาดัง ๆ
มิฉะนั้นวิลเลียมจะทำให้เขาต้องจ่ายราคาแพงสำหรับมัน
กลุ่มผู้เล่นสังเกตเห็นว่าหัวหน้าทีมของพวกเขาเปื้อนเลือดและอุปกรณ์ของเขาได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง พวกเขาล้อมรอบเขา เดียวดายตลอดกาลถือธนูสายฟ้าอันหนักอึ้งและมอบให้เป็นเหมือนสมบัติของวิลเลียม
“ฮะๆ เราทิ้งมันไว้ที่นี่” วิลเลียมยิ้มขณะที่เขาเก็บคันธนู
จากนั้นเขาก็มองไปที่ผู้เล่น 30 คนที่ถูกลดเลเวลลงเป็นเลเวล 10 อุปกรณ์ของพวกเขาถูกทำลาย อย่างไรก็ตามพวกเขายังเหลือเพียงเสื้อชั้นในและถุงเท้าที่ทำลายไม่ได้…
“เจ้าทำได้ดี เราชอบการแสดงพลังของเจ้ามาก รับสิ่งนี้ไปมันคือรางวัลของเจ้า!” วิลเลียมมอบเหรียญทองให้เขา
[ดิ๊งด่อง]
[คุณทำภารกิจ “เหยื่อ” สำเร็จแล้ว]
[เหยื่อ: ประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมของคุณได้รับการรับรองโดยวิลเลียม แบล็คลีฟ คุณเสียสละตัวเองอย่างไม่เกรงกลัวและประทับใจต่อวิลเลียม คุณจะได้รับรางวัลที่สมควรได้รับ]
[1 x คูปองแลกรับอุปกรณ์ระดับเงินระดับมือใหม่]
[5 x คูปองแลกรับอุปกรณ์ระดับสีน้ำเงินระดับมือใหม่]
[เหรียญทอง 20 เหรียญ]
[ค่าประสบการณ์ 90,000 แต้ม]
เดียวดายตลอดกาลที่เสียชีวิตไป 46 ครั้งในการต่อสู้มองดูรางวัลด้วยความงุนงง เขาพูดไม่ออก
ผู้เล่นคนอื่นก็ตะลึงเช่นกัน อุปกรณ์คุณภาพเงิน?
เหรียญทอง 20 เหรียญ?
ค่าประสบการณ์ 90,000 แต้ม?
เดียวดายตลอดกาลมีโชคแล้ว!
เขาสามารถอัพเกรดได้อย่างน้อยสามถึงสี่ระดับด้วยค่าประสบการณ์เหล่านั้น
ผู้เล่นทั้ง 30 คนที่ฟื้นขึ้นมาหลายครั้ง พุ่งเข้าใส่กองกำลังประหารอย่างไม่เกรงกลัวแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีอุปกรณ์ใด ๆ
พวกเขาคว้าต้นขาของฝ่ายตรงข้าม
พวกเขาคว้าตา
พวกเขาจับตา จับหู หรือแม้กระทั่งรักแร้…
ก่อนที่วิลเลียมจะจากไปพวกเขาได้ควบคุมสมาชิก 20 คนของกองกำลังประหารเอาไว้ มีเพียงห้าคนเท่านั้นที่สามารถหลบหนีได้
ผู้เล่นคนอื่น ๆ ได้รับรางวัลที่คล้ายคลึงกับเดียวดายตลอดกาล เนื่องจากความพยายามอย่างไม่สิ้นสุด …
จากนั้นวิลเลียมก็มุ่งหน้าไปทางใต้
ผู้เล่น 30 คนเริ่มพูดคุยถึงโชคลาภของพวกเขา
“ท่านลอร์ด คุณกำลังจะไปไหน? ให้ฉันตามคุณไปได้ไหม” เดียวดายตลอดกาลพูดคุยกับวิลเลียม ผู้เล่นคนอื่น ๆ ก็ทำตามเช่นกัน
ผู้เล่นได้รับค่าประสบการณ์และเหรียญทอง อย่างไรก็ตามพวกเขาต้องแลกอุปกรณ์ของพวกเขาที่ด่านหน้าของทีมทหารรับจ้างรุ่งอรุณ
แต่ผู้เล่นไม่รีบร้อนที่จะแลกกับอุปกรณ์ของพวกเขา ท้ายที่สุดแล้วการอยู่กับวิลเลียมจะทำกำไรได้มากกว่านี้
วิลเลียมยังคงไม่สะทกสะท้านต่อคำขอของพวกเขาและหันหน้าไปทางอื่น ตบหน้าอกเขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “เจ้ากล้าหาญและไม่เกรงกลัว เจ้ามีทัศนคติที่ไม่ยอมแพ้ เจ้าเป็นนักรบที่มีคุณสมบัติเหมาะสม แต่เจ้าอ่อนแอเกินไป”
สายตาของวิลเลียมเปลี่ยนไปทางทิศตะวันตกและเขากำหมัดแน่น “เราจะไปที่เมืองแห่งรุ่งอรุณและพานักรบคนอื่น ๆ มาที่นี่ จงทำงานหนักและทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น บอกเพื่อนของเจ้าว่าเมื่อตะวันทอแสงมามันจะเป็นจุดเริ่มต้นของสงคราม”
“ครับหัวหน้าทีม” เดียวดายตลอดกาลตะโกนขณะที่เขาทุบหน้าอกของเขา
“ครับหัวหน้าทีม” ผู้เล่นคนอื่น ๆ เลียนแบบเพื่อนร่วมชาติ
พวกเขาเฝ้าดูวิลเลียมที่เปื้อนเลือดเดินทางไปทางใต้ พวกเขารู้สึกได้ว่าการต่อสู้ในอนาคตจะยิ่งใหญ่ขึ้นและตื่นเต้นมาก
“เฮ้ย ถ้านักรบทั้งหมดเป็นนักสู้ระดับกลางล่ะ” ผู้เล่นเริ่มกังวล
“เราจะสู้ ฉันไม่ชอบรูปลักษณ์ของอาณาจักรเหล็ก ฉันจะไม่ต่อสู้กับ NPC แต่ฉันจะต่อสู้กับผู้เล่นของอาณาจักรเหล็กแทน”
“ถูกตัอง ผู้เล่นของอาณาจักรเหล็ก พวกเขาจะเป็นเป้าหมายของเรา!”
เดียวดายตลอดกาลขัดจังหวะและพูดว่า “อย่าลืมว่าเราเป็นทีมทหารรับจ้างที่มีระเบียบและมีวินัย เราจะต้องวิ่งห… สู้กับใครก็ตามที่หัวหน้าทีมต้องการให้เราฆ่า!”
ผู้เล่นมืออาชีพสองสามคนได้ยินคำว่า ‘วิ่ง’ และอยากจะหัวเราะ แต่พวกเขาก็กลั้นไม่อยู่
พวกเขาถอนหายใจ เนื่องจากพวกเขาเข้าร่วมทีมทหารรับจ้างที่นำโดย NPC พวกเขาจึงไม่สามารถต่อสู้ได้อย่างอิสระเหมือนกับผู้เล่นที่ไม่ได้อยู่ในเครือข่าย
ผู้เล่นร่วมกับกิลด์และทีมต่างๆ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องทำตามเป้าหมายที่กำหนดไว้แทนที่จะเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ
จู่ๆผู้เล่นคนหนึ่งก็ถามว่า “เราจะทำตามข้อตกลงของหัวหน้าทีม อย่างไรก็ตามถ้าเราจะเป็นพลปืนใหญ่…หัวหน้าทีมจะจ่ายให้เราได้ไหม”
แท้จริงแล้วมีผู้เล่นจำนวนมากในเมืองรุ่งอรุณและอาณาจักรลาวาดำ ถ้าพวกเขาเข้าร่วมทีมทหารรับจ้างรุ่งอรุณและพวกเขาต้องมีส่วนร่วมในภารกิจล่าสัตว์ด้วยการเป็นพลปืนใหญ่หัวหน้าทีมคงต้องขายร่างกายของเขาเพื่อจ่ายเงินแล้ว…
แต่พวกเขาไม่รู้
ผู้เล่นยังไม่มีประสบการณ์ พวกเขาไม่รู้ถึงกลวิธีอันชาญฉลาดของ NPC…
รางวัลของภารกิจเป็นของจริงหรือไม่?
ไม่
วิลเลียมรู้เรื่องนั้น
เขาเป็นเพียงแค่พูดคุยแบบสบาย ๆ แต่ความฉลาดของเกมนั่นสามารถเปลี่ยนเป็นภารกิจได้
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจหาก NPC แสร้งทำเป็นไม่ยอมรับการมีส่วนร่วมของผู้เล่น ผู้เล่นจะได้รับเฉพาะคะแนนประสบการณ์…
ดังนั้น
ผู้เล่นไม่ควรคิดว่ารางวัลมากมายมาจากภารกิจลับ มันเป็นความคิดที่ผิดพลาด
วิลเลียมต้องกลับบ้าน
อุปกรณ์ของเขาได้รับความเสียหายมากเกินไป
ไม่ใช่ความผิดของความทนทานของอุปกรณ์หรือระดับของอุปกรณ์ เพียงแค่พลังการต่อสู้ของศัตรูแข็งแกร่งเกินไป เมื่อบอสระดับรีเจนดารีสองคนต่อสู้กัน อุปกรณ์จะได้รับความเสียหายอย่างมาก…
“ออกัสตินมีพลังมาก โชคดีที่เกราะชั้นในที่ยิ่งใหญ่ของฉันไม่ถูกทำลาย มิฉะนั้นผลลัพธ์จะเป็นความตายของฉัน” วิลเลียมเต็มใจที่จะดวลกับออกัสตินเพราะพรแห่งความรัก
ถ้าไม่มีอะไรแบบนั้นเขาคงไม่กล้าที่จะจัดการกับออกัสติน
“แต่ทำไมวิญญาณของเจ้าถึงไม่ตายกันนะ” เขาจ้องไปที่ศพของออกัสตินที่นอนหงาย
วิลเลียมยังเป็นนักเวทย์วิญญาณและนักเวทย์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าทักษะของเขาจะได้รับการปรับเปลี่ยนอย่างมากโดยโมเสส แต่เขาก็ยังคงรักษาจิตวิญญาณไว้ได้
เขาพบว่าอาการของออกัสตินแปลกมาก ร่างกายเนื้อของเขาพินาศ แต่จิตวิญญาณของเขายังไม่สลายไป
มีลิงค์ลึกลับที่เชื่อมต่อกับวิญญาณของออกัสติน มันให้พลังงานแก่จิตวิญญาณของเขาเพื่อป้องกันไม่ให้มันสลายไป
ดังนั้น
วิลเลียมได้รับรู้อะไรบางอย่างอย่างกะทันหัน!
เกอเธ่นาซิสต้องใช้เวทมนตร์เพื่อยืดอายุของออกัสติน บางทีเขายังมีวิธีที่จะทำให้เขาฟื้นขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม
มีความคิดโดดขึ้นมาในความคิดของวิลเลียม!
“ถ้าฉันเป็นคนทำให้คุณฟื้นล่ะ” วิลเลียมเร่งฝีเท้าและเร่งไปที่เมืองแห่งรุ่งอรุณ
“ฉันไม่มีความสามารถในการฟื้นฟู แต่โมเสสมีมัน!” ดวงตาของวิลเลียมเป็นประกาย แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
ภารกิจระดับ S [สงครามแห่งอำนาจ]
ในช่วงเวลาสั้น ๆ วิลเลียมได้ทำภารกิจที่สองสำเร็จ นั่นคือนำทหารรับจ้าง 50,000 นายไปสังหารออกัสติน
เขาได้รับค่าประสบการณ์มามากมาย แต่ตอนนี้มันยังไม่ค่อยมีประโยชน์สำหรับเขานัก
พระอาทิตย์กำลังลาลับฟ้า
วิลเลียมมาถึงประตูเมือง ผู้คุ้มกันสาวสวยสังเกตเห็นลอร์ดวิลเลียมที่เปื้อนเลือดจึงรีบเข้าไปช่วย
โชคดีที่มีผู้เล่นมากมายอยู่รอบ ๆ …
วิลเลียมล้มเลิกความคิดที่จะแสร้งทำเป็นหมดแรงและพิงผู้คุ้มกันหญิง เขาเข้ายึดดาบของผู้คุ้มกันเอาไว้และใช้มันเพื่อสลายฝูงชน จากนั้นเขาก็ไปยังจุดหมายต่อไปคือกระท่อมนักทำนายโดยไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า
ผู้เล่นในเมืองรุ่งอรุณเฝ้าดูวิลเลียมจากไป การถกเถียงปะทุขึ้นในฟอรัม วิดีโอของ [การต่อสู้ของบอสระดับรีเจนดารี] ถูกโพสต์บนกระดานสนทนาเพื่อให้ทุกคนได้รับชม
วิดีโอที่ถ่ายนั้นวุ่นวายและมีข้อบกพร่องมากมาย
ผู้เล่นที่ถ่ายวิดีโอนั้นได้เสียชีวิตในการต่อสู้
แต่ด้วยความช่วยเหลือของการตัดต่อ วิดีโอที่ถ่ายได้กลายเป็นภาพยนตร์ต่อสู้ที่น่าตื่นเต้น
ลอร์ดแห่งเมืองรุ่งอรุณต่อสู้กับบอสทั้ง 20 คนแห่งอาณาจักรเหล็กด้วยตัวเขาเอง
“หลังจากดูคลิปนี้จบแล้วคุณก็จะเข้าใจเอง การต่อสู้ผ่านไปเพียง 5 นาทีท่านลอร์ดก็สามารถกุมชัยชนะไว้ได้เหนือเหล่ามนุษย์ เขาต่อสู้กับบอสระดับรีเจนดารีหนึ่งคน นักรบระดับอีปิคเจ็ดคนและศัตรูอีกมากมาย เขายังฆ่าพวกมันไปหลายคนอีกด้วย”
“ออกัสตินน่าประทับใจมาก เขาเป็นไอดอลธาตุไฟของเรา แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะตาย…”
“น่าเสียดายที่การต่อสู้ระหว่างออกัสตินและวิลเลียมไม่ถูกถ่ายเอาไว้ ไม่อย่างนั้นมันจะน่าตื่นเต้นมาก”
ผู้เล่นกระตือรือร้นขณะที่พวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งนี้
กระดานสนทนาก็เต็มไปด้วยข้อโต้แย้ง ผู้เล่นของอาณาจักรเหล็กต่างสาปแช่งและก่นด่า พวกเขายืนกรานว่าวิลเลียมอาจจะใช้วิธีลับๆเพื่อฆ่าออกัสติน
แต่ผู้เล่นของเมืองรุ่งอรุณและอาณาจักรลาวาดำอยู่ฝ่ายเดียวกัน พวกเขาต่างไม่เห็นด้วยกับผู้เล่นของอาณาจักรเหล็ก
วิลเลียมเป็นหัวหน้ากองกำลังและเหนือกว่า เขาเป็นบอสที่นำพวกเขาไปสู่ชัยชนะในสงคราม
ผู้เล่นบางคนโพสต์รูปภาพและวิดีโอของลอทเนอร์เพื่อพิสูจน์ว่าไม่มีใครช่วยเหลือวิลเลียม สถานการณ์ตอนนี้กลายเป็นการสืบสวนหาความจริงตอนหนึ่งของเชอร์ล็อค โฮล์มส์ไปแล้ว
ผู้เล่นของอาณาจักรเหล็กดื้อรั้น พวกเขาปฏิเสธที่จะฟังคำอธิบายใด ๆ
ผู้เล่นชื่อ ‘แสงแห่งความอิสระ’ สร้างโพสต์ที่เป็นดั่งการจุดชนวนระเบิด!
“กองทัพอิสระจะพ่ายแพ้แก่ขุนนางหรือไม่?”
เนื้อหาของโพสต์มีความซับซ้อน
มันวิพากษ์วิจารณ์ขุนนางและชี้ให้เห็นจุดที่ไม่ดี โพสต์ยังเปิดเผยถึงการถูกกดขี่ของ NPC ที่เป็นทาสและสามัญชน
เนื่องจากผู้เล่นเป็นผู้ถูกเลือก พวกเขาจึงถือเป็นผู้กอบกู้โลก พวกเขาไม่ควรเมินต่อความทุกข์ทรมานของ NPC
ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่าวิลเลียมเป็นเพียงผู้นำทหารรับจ้างที่สู้รบเพื่อความโกลาหล
เขายังเขียนด้วยว่าแม้ว่าวิลเลียมจะเป็นลอร์ดที่เป็นกลาง แต่เขาก็สร้างกองกำลังทหารรับจ้างรุ่งอรุณนอกรีตเพื่อเก็บเกี่ยวผลกำไรจากสงคราม
ผู้เล่นจากอาณาจักรเหล็กมองว่านี่เป็นโอกาสที่จะเพิ่มกำลังใจในการทำงานและตอบกลับกระทู้ พวกเขายังใช้ประโยชน์จากโอกาสในการดึงดูดผู้เล่นให้เข้ามาในกลุ่มของตนมากขึ้น
และต่อหน้าคำวิจารณ์ใด ๆ
พวกเขาใช้หลักศีลธรรมเพื่อส่งเสริมสาเหตุของพวกเขา มันยังชักชวนให้ผู้เล่นหลายคนเข้าร่วม …
แต่โพสต์นี้สร้างขึ้นเพื่อดึงดูดผู้เล่นมือใหม่
สำหรับผู้เล่นที่เข้าร่วมกองกำลังทหารรับจ้างรุ่งอรุณแล้ว โพสต์จะไม่มีผลใด ๆ ต่อพวกเขา
ก็ช่วยไม่ได้
สิทธิประโยชน์ในกองกำลังทหารรับจ้างรุ่งอรุณนั้นมากมายเกินไป!
ดังนั้นผู้เล่นจึงไม่ต้องการออกจากกองกำลงัแห่งนั้น
สำหรับสมาชิกของสโมสรกลอรี่และสโมสรความรุ่งเรืองแห่งสหัสวรรษแล้ว พวกเขาไม่ได้สนใจโพสต์ดังกล่าว แต่พวกเขารู้สึกมั่นใจในการรับใช้วิลเลียมมากขึ้น
ผู้เล่นของเมืองรุ่งอรุณตอบโต้กลับด้วยการโพสต์วิดีโอที่แสดงให้เห็นถึงฉากที่สวยงามรวมถึงกฎหมายและระเบียบที่ดีในเมือง
พวกเขายังกล่าวว่าในเมืองรุ่งอรุณนั้นไม่มีทาส มีแต่สาวสวยๆและชายหนุ่มหล่อล่ำเท่านั้น!
วิลเลียมเปิดประตู เขาดูซีดเซียวราวกับวิญญาณจนทำให้โมเสสตกใจ เขาเกือบจะเหวี่ยงแมวใส่หน้าวิลเลียม
ขณะที่เขามองดูการกระทำของโมเสส วิลเลียมไม่รู้สึกขบขัน “ท่านจะทำอะไร? จำเราไม่ได้เหรอ?”
“ใช่… นั่นเพราะท่านน่าเกลียดเกินไป จนข้าไม่อยากจะเสวนาด้วย” โมเสสหลงใหลในความสะอาด เขาสนใจเฉพาะเรื่องที่ปรากฏไม่ใช่สถานะหรือความสามารถ
วิลเลียมไม่รำคาญที่จะตำหนิเขา เขาโยนศพของออกัสตินลงบนพื้น
โมเสสสังเกตเห็นศพ เขาเลิกคิ้วแล้วถามว่า “นั่นอะไร”
“จิตวิญญาณของเขายังไม่สลายไป ท่านสามารถชุบชีวิตเขาได้ไหม?”
“ทำไม?”
“เขาแข็งแกร่ง ถ้าท่านชุบชีวิตเขาขึ้นมา เขาอาจจะสามารถช่วยเหลือเราได้” วิลเลียมขมวดคิ้ว ตอนแรกเขาคิดว่าจะใช้การควบคุมวิญญาณ
แต่ออกัสตินที่เอาแต่ใจไม่สามารถควบคุมได้
แต่มันจะแตกต่างออกไปถ้าออกัสตินฟื้นขึ้นมา …
บางทีเขาอาจสูญเสียความทรงจำ จากนั้นวิลเลียมก็สามารถควบคุมเขาได้อย่างง่ายดาย
วิลเลียมมั่นใจว่าโมเสสมีความสามารถในการลบความทรงจำของออกัสติน
น่าเสียดายที่โมเสสจอมขี้เกียจเพียงแค่ยักไหล่ เขาโบกมือถามวิลเลียมว่า “ทำไมข้าถึงต้องพยายามชุบชีวิตเขาด้วยล่ะ”
วิลเลียมนั่งลงบนเก้าอี้ เตะใบหน้าของออกัสตินขณะที่เขาตอบว่า “ท่านต้องการอะไร?”
โมเสสยิ้มและพูดว่า “เขายังไม่ตายอย่างสมบูรณ์ ข้ายังสามารถมองเห็นวิญญาณของเขาได้…”
“ โอ้” วิลเลียมขยับขาอย่างรวดเร็ว
ในท้ายที่สุด
แกร็ก
เมื่อเขาลุกขึ้น เขาก็หักนิ้วของออกัสตินที่เผยให้เห็นกระดูกที่อยู่ใต้เนื้อ
วิลเลียมยิ้มอย่างเชื่องช้าไปยังศพของออกัสตินเพื่อแสดงความขอโทษ …
“หึๆ…” โมเสสยิ้มพลางส่ายหัว เขาแทบจะเห็นออกัสตินในสภาพวิญญาณบ้าดีเดือด
“บอกเรามาว่าท่านต้องการอะไร?” วิลเลียมนึกถึงสมบัติที่เขามีอยู่ เขาสงสัยว่าจริงๆแล้วโมเสสต้องการอะไรและการชุบชีวิตออกัสตินจะคุ้มค่าหรือไม่
“เลือดมังกรที่เหลือ? หรือร่างกายของเรา…”
โมเสสไม่สามารถอ่านใจของวิลเลียมได้ เขาเลิกคิ้วขณะเก็บศพของออกัสตินและยิ้มอย่างร้ายกาจให้วิลเลียม “ข้าจะชุบชีวิตเขาให้ฟรีๆ แต่ท่านต้องให้ข้าใช้เขาก่อน”
“ …” วิลเลียมขมวดคิ้วอีกครั้ง
“นานแค่ไหน?”
“มากที่สุดหนึ่งปี อย่างน้อยสองเดือน แต่อย่าตั้งความหวังไว้สูงเกินไป” โมเสสมีความก้าวหน้าบางอย่างในการทดลองเวทย์วิญญาณของเขา
มันจะต้องให้ความสำคัญอย่างมาก
ออกัสตินเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะเป็นหนูทดลองของโมเสส
“เขาจะกลายเป็นคนปัญญาอ่อนหรือเปล่า?” วิลเลียมถามด้วยความกังวล มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะได้นักรบระดับรีเจนดารีและจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่งหากเขาสูญเสียโอกาสที่จะใช้งานอีกฝ่ายอย่างถูกต้อง
“อืม… หากวิญญาณของเขาถูกกระชากออกไป เขาจะเป็นคนปัญญาอ่อนแน่นอน จากนั้นเขาจะกลายเป็นหุ่นเชิดที่มีประสบการณ์ในการต่อสู้” โมเสสตัดการเชื่อมต่อจิตวิญญาณของออกัสตินที่คนปกติมองไม่เห็น จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้องทดลองส่วนตัวของเขาที่วิลเลียมไม่เคยเข้ามาก่อน
วิลเลียมเหลือบมองแมวดำหน้าบึ้งก่อนจะจากไป…
การกระทำของโมเสสได้ตัดความเชื่อมโยงระหว่างเกอเธ่นาซิสและออกัสติน
เกอเธ่ นาซิสซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายร้อยไมล์จู่ ๆ ก็ถูกโจมตีอย่างหนัก เขาตัวสั่นในขณะที่เลือดออกจากปาก เขาใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการฟื้นตัว
“แม่งเอ้ย ไปปลุกใจขุนนางในอาณาจักร ข้าจะประกาศสงครามภายในหนึ่งเดือน!” เกอเธ่ นาซิสประกาศเกรี้ยว
เสียงของเขาดังก้องไปทั่วทั้งวัง
แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำ