ตอนที่ 53 หนึ่งคืน
มู่อี้จ้องมองเจี่ยเหรินที่นอนอยู่บนพื้นสักพักหนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
ความรู้สึกที่เขามีต่อเจี่ยเหรินถือว่าซับซ้อนอย่างยิ่ง ไม่ว่ายังไงอีกฝ่ายก็คือคนผิดและสมควรตายแต่ประสบการณ์ต่างๆในชีวิตของเขาทำให้มู่อี้ต้องรู้สึกทึ่งและประหลาดใจ
ใครกันที่ทำให้ชีวิตของเจี่ยเหรินต้องกลายเป็นแบบนี้? ตัวเขาเอง? หรือพี่สาวของเขา? หรือร้านเหล้านั่น? หรือวีรบุรุษคนนั้น?
มู่อี้ถือเหรียญตราเอาไว้ในมือ เมืองฉางโจว เขาต้องไปที่เมืองนี้ ไม่ใช่แค่คำสัญญาที่เขารับปากเจี่ยเหรินเอาไว้แต่เป็นเพราะเขาต้องไปหาเบาะแสจากที่นั่นด้วยเช่นกัน เขาต้องไปหาคนคนหนึ่งแต่ก็ยังไม่รู้เลยว่าเป็นใครรู้แค่เพียงว่าเป็นเจ้าของบ้านหลังหนึ่งเท่านั้นและเมื่อถึงตอนนั้นแล้วเขาจะได้รู้เรื่องราวของหลี่เฉียจื่อเพิ่มมากขึ้น
แม้ว่ามู่อี้จะรู้สึกเสียดายที่ตนเองไม่อาจไปที่เมืองฉางโจวได้ในตอนนี้ เขารู้ดีว่าความเร่งรีบนั้นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเลย ถ้าหากปราศจากพลังแม้เขาจะพบว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหนก็คงไม่มีประโยชน์อะไรอย่างแน่นอนนอกจากนี้มันอาจจะเป็นการเปิดเผยตัวตนของเขาออกไปด้วยเช่นกัน
“หนิวเอ้อร์ ไปกันเถอะ” มู่อี้พูดเบาๆกับเนี่ยนหนิวเอ้อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆเขา จากนั้นก็ยื่นมือขวาของเขาออกไปทันที
เนี่ยนหนิวเอ้อร์จ้องมองมาที่มู่อี้ด้วยสายตาที่ดูห่วงใยของนางแต่เมื่อเห็นสายตาที่มองมาของมู่อี้ในตอนนี้นางก็ยื่นมือออกไปช้าๆและกอดแขนของมู่อี้เอาไว้แน่นราวกับว่าไม่อยากจะปล่อยแขนของเขาไปตลอดกาล
มู่อี้กลับขึ้นมาบนภูเขาอีกครั้ง แม้ว่าศีรษะของเขาจะรู้สึกปวดและได้ยินเสียงอื้ออึงอยู่ตลอดราวกับว่ามีการระเบิดอยู่ใกล้ๆ แม้ว่าร่างกายของเขาจะรู้สึกอ่อนล้าและรู้สึกไม่สบายตัวเป็นอย่างยิ่ง แต่เขาก็ยังเลือกที่จะกลับขึ้นมาบนภูเขา ที่นี่คือบ้านของเขาและยังเป็นบ้านของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้คำพูดของเจี่ยเหรินทำให้เนี่ยนหนิวเอ้อร์ยังคงคิดมากในเรื่องนี้ ในระหว่างเดินทางกลับไปนั้นนางก้มศีรษะลงและกอดแขนของเขาเอาไว้ตลอดเวลา ซึ่งเห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ตัวตนของนางเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่าตอนที่มารดาของนางจากไปนั้นนางจะเกิดความเศร้าอยู่บ้างแต่ความเศร้าที่เกิดขึ้นในตอนนั้นกับตอนนี้มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อกลับขึ้นมาบนภูเขาแล้วนางก็ปล่อยแขนของมู่อี้ไปเงียบๆและกลับเข้าไปที่ป่าไผ่ของนางทันที
ก่อนหน้านี้นางพยายามจะขี่หลังมู่อี้อยู่ตลอดและชอบที่จะใช้แขนของนางโอกาสรอบคอของมู่อี้เอาไว้พร้อมกับเสียงหัวเราะ แต่ในตอนนี้…
มู่อี้รู้ว่านางกำลังจมอยู่กับความทุกข์เหมือนกับที่เจี่ยเหรินเคยเป็นในตอนแรก มู่อี้อยากจะปลอบโยนนางแต่เขาก็รู้สึกปวดหัวมาก มันเหมือนกับว่าศีรษะของเขากำลังจะระเบิดออกมาอยู่ตลอดเวลาเมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ นี่ยังแสดงให้เห็นว่าถ้าหากเขาใช้กระแสจิตของตนเองไปจนหมดมันจะเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือการทำสมาธิ การทำสมาธิจะช่วยฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจของเขา ไม่อย่างนั้นแล้วคงต้องมีผลร้ายที่ตามมาอย่างแน่นอน
ดังนั้นมู่อี้จึงทำได้เพียงผลักปัญหาของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ออกไปก่อน ไม่ใช่ว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์ไม่สำคัญสำหรับเขาแต่เขาเองก็คิดว่าควรให้เนี่ยนหนิวเอ้อร์ได้มีเวลาคิดเรื่องนี้สักหนึ่งคืนก่อน
หลังจากกลับเข้ามาในห้องมู่อี้ก็จุดไฟในตะเกียงทองแดงขึ้นมาทันที จากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนเตียงนอนและนั่งขัดสมาธิพร้อมกับปิดตาลงทันที
ลมหายใจของเขาค่อยๆเป็นไปอย่างเชื่องช้าและช่วงเวลาของการหายใจเข้าและหายใจออกก็ยาวนานขึ้น จนในตอนนี้ใบหน้าที่ซีดจางก็ค่อยๆกลับมาเป็นปกติช้าๆ
ตะเกียงทองแดงที่อยู่บนโต๊ะนั้นก็มีเปลวไฟถูกจุดขึ้นมาหนึ่งดวงแต่ทุกๆครั้งที่มู่อี้หายใจเข้าไปนั้นเปลวไฟก็จะมีการเคลื่อนไหวด้วยเช่นกันราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของมู่อี้
ภายในเมืองในตอนนี้เมื่อไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้นแล้วและมู่อี้ก็ไม่ได้กลับมาที่นี่ แม้แต่ซูจงซานที่ปกติแล้วจะเป็นคนที่สงบนิ่งมากที่สุดก็นั่งไม่ติด เพราะในตอนนี้เผิงซ่งหลายก็ส่งคนมาถามเขาด้วยเช่นกันว่ามู่อี้กลับมาหรือยัง หรือว่าเขาควรจะส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้ดี?
ในตอนที่มู่อี้ออกไปก่อนหน้านี้ เขาได้สั่งเอาไว้แล้วว่าห้ามใครเข้าไปที่นั่นเป็นอันขาด ดังนั้นแม้ว่าเขาจะรู้สึกกังวลมากแค่ไหนแต่ก็ทำได้เพียงแค่รอเท่านั้น
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆซูจงซานก็รู้สึกกระวนกระวายใจจนแทบนั่งไม่ติดและตัดสินใจส่งคนใกล้ชิดออกไปตรวจสอบดูเรื่องนี้
คาดไม่ถึงว่าข่าวที่ได้รับกลับมาคือมู่อี้หายตัวไปแล้ว
นี่ทำให้ซูจงซานรู้สึกตกตะลึงทันที เขารู้ว่ามู่อี้เป็นคนที่ไปไหนมาไหนตามใจตนเองอยู่แล้วแต่ในตอนนี้เห็นได้ชัดว่ามันเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ร่องรอยการต่อสู้เกิดขึ้นรอบๆบริเวณนั้นและศพของเจี่ยเหรินก็ยังคงนอนอยู่บนพื้น เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นนั้นรุนแรงมากแค่ไหน
แต่ยิ่งได้เห็นมากเท่าไหร่ซูจงซานก็รู้สึกเป็นกังวลมากเท่านั้น แม้แต่ในตอนนี้เขาก็ยังสงสัยว่ามู่อี้ไม่พอใจตระกูลซูของเขาหรือเปล่า?
เขาอยากจะขึ้นไปบนภูเขาตั้งแต่คืนนี้เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับมู่อี้แต่ซูจินหลุนก็เกลี้ยกล่อมให้เขาใจเย็นลงก่อน ในตอนนี้สถานการณ์ที่เขารับรู้ได้ก็คือศพของเจี่ยเหรินอยู่ในที่เกิดเหตุและไม่มีรอยเลือดใดๆในที่เกิดเหตุซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่ามู่อี้น่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บหรือว่าถ้าหากเขาได้รับบาดเจ็บก็คงไม่สาหัสมากนัก
นั่นหมายความว่าคงมีเหตุผลอื่นที่เขาไม่ได้มาบอกลาทุกคนที่นี่
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะคาดเดาไปมากแค่ไหนก็ไม่มีใครรู้คำตอบของเรื่องนี้แน่นอน มู่อี้ไม่ได้อยากจะออกไปเฉยๆ เขาแค่ลืมเท่านั้น
ในตอนนั้นมู่อี้จมอยู่กับความคิดและอารมณ์ของตนเองเพราะเรื่องราวของเจี่ยเหริน และเขายังเป็นห่วงเนี่ยนหนิวเอ้อร์จนลืมกลับมาหาซูจงซาน ในตอนนั้นเขามีความคิดเพียงอย่างเดียวเท่านั้นนั่นคือการพาเนี่ยนหนิวเอ้อร์กลับบ้านจึงได้ขึ้นไปบนภูเขาทันที
สำหรับศพของเจี่ยเหรินนั้น ซูจงซานและเผิงซ่งหลายได้เข้ามาตรวจสอบด้วยตนเอง ในที่เกิดเหตุนั้นซ่งฉีกำลังพิสูจน์ว่าผิวหนังมนุษย์ที่กระจัดกระจายอยู่บริเวณนี้นั้นคือผิวหนังของลูกเขยของเผิงซ่งหลาย
นี่ทำให้เรื่องราวทั้งหมดจบลงได้และเผิงซ่งหลายก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที
คดีฆาตกรรมลูกเขยของเขาคลี่คลายลงไปแล้วและตัวฆาตกรก็ตายไปแล้ว ความหนักใจของเขาย่อมหายไปด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นแล้วเขาคงจดจำเรื่องที่โหดเหี้ยมแบบนี้ไปตลอดและคงไม่สามารถนอนหลับสนิทได้แน่นอน
เซี่ยเหมี่ยวยืนอยู่ด้านหลังเซี่ยเจิ้งและไม่กล้าก้าวออกมาแม้เพียงครึ่งก้าว นี่คือสิ่งที่เซี่ยเจิ้งเตือนเขาเป็นอย่างดีก่อนจะเข้ามาที่นี่และเขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของท่านลุงสาม อย่างแน่นอน
เพียงแค่ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างในที่เกิดเหตุเซี่ยเหมี่ยวก็รู้ได้ทันทีว่าความคิดของเขาผิดพลาดมากแค่ไหน
กระดาษมากมายกระจายอยู่เต็มพื้น ยังมีร่องรอยขนาดใหญ่บนพื้นที่เหมือนกับรอยฟ้าผ่า ทุกสิ่งทุกอย่างบ่งบอกว่าต้องมีการต่อสู้เกิดขึ้นที่นี่แน่นอนและมันคงเกี่ยวข้องกับแสงที่สว่างจ้าไปทั่วทั้งเมืองนี้
“โลกใบนี้มีผีอยู่จริงๆหรือ? แล้วพวกนางฟ้าล่ะ?” เซี่ยเหมี่ยวคิดขึ้นมาในใจทันที เพราะเขาไม่อาจหาเหตุผลอื่นได้เลยนอกจากเรื่องนี้
จิตใจของเขาก็ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง
ความจริงแล้วไม่ใช่แค่เซี่ยเหมี่ยวเท่านั้นแม้แต่เซี่ยเจิ้งและซ่งฉีก็รู้สึกตกตะลึงและสงสัยด้วยเช่นกัน สายตาของพวกเขาจ้องมองร่องรอยต่างๆที่เกิดขึ้นที่นี่และรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย สำหรับคนธรรมดาแล้วนี่คงเป็นการต่อสู้ที่ยุ่งเหยิงแต่ในสายตาของพวกเขานี่เป็นหลักฐานที่ระบุให้แน่ชัดว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความจริง
เวลากลางคืนผ่านไปอย่างรวดเร็วและเมื่อมู่อี้ตื่นขึ้นมา อาการปวดหัวอย่างรุนแรงที่เขารู้สึกเมื่อคืนก็หายไปแล้ว แม้ว่าสภาพจิตใจของเขายังไม่ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติแต่มันก็เริ่มกลับมาเป็นเหมือนเดิมและไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว
และมู่อี้ยังพบว่าหลังจากที่เขาตื่นขึ้นมาในวันนี้กระแสจิตของเขาดูเหมือนจะมีพลังมากขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้และเขายังสามารถควบคุมมันได้อย่างชำนาญมากขึ้น มันสามารถเคลื่อนไหวได้ตามที่มู่อี้ต้องการโดยไม่มีผลกระทบใดๆ แต่เขาก็รู้ดีว่าหากเร่งรัดใช้กระแสจิตจนเกินไปผลที่ตามมาคงได้ไม่คุ้มเสียอย่างแน่นอน
และการฝึกฝนทางจิตวิญญาณก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถเร่งรีบได้มันต้องให้ความสนใจไปทีละขั้นเท่านั้น
หลังจากลุกขึ้นมาจากเตียงมู่อี้ก็ยืดเส้นยืดสายและรู้สึกได้ว่าพละกำลังของเขากลับคืนมาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็เปิดประตูของวัดร้างแห่งนี้ออกและเห็นซูจงซานกำลังยืนอยู่หน้าวัดร้างท่ามกลางหิมะที่ตกลงมา