“นายน้อยขอรับ มีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติไป”
หนึ่งในองครักษ์ของหวังเทาก็เดินเข้ามาหาเขาและกระซิบเบาๆทันที
“มีอะไรงั้นหรือ?” หวังเทารู้สึกสงสัยอย่างน้อยในตอนนี้เขาก็ไม่เห็นอะไรที่ผิดปกติเลย
“เมื่อ 1 ชั่วโมงก่อนมีผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปมาบนถนนเส้นนี้ แต่ในตอนนี้แม้จะผ่านมากว่าครึ่งชั่วโมงแล้วเรายังไม่เห็นใครผ่านไปมาแม้แต่คนเดียวเลย” องครักษ์ตอบกลับมาทันที
เมื่อได้ยินคําพูดขององครักษ์ของตนเอง สีหน้าของหวังเทาก็กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่ผ่านประสบการณ์มามากมายแต่เพราะบิดาของเขาคือขุนนางใหญ่คนหนึ่งดังนั้นเขาจึงได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่อายุยังน้อย ตั้งแต่เด็กเขาได้เรียนรู้เรื่องกลยุทธ์การทําสงครามและการวางแผนต่างๆ
ก่อนหน้านี้เพราะเขามั่นใจว่าตราบใดที่ม่อี้และเจ้ายักษ์ตนนั้นยังอยู่ที่นี่เขาไม่ต้องกังวลอันตรายที่จะมาถึงตนเองเลย ดังนั้นเขาถึงไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าใครจะปรากฏตัวขึ้นมาหรือใครจะหายไป แต่ในตอนนี้เมื่อได้ยินคําพูดขององครักษ์ของตนเองเขาก็เข้าใจแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ถนนเส้นนี้คงถูกปิดกั้นเอาไว้และทําให้ผู้คนไม่อาจผ่านไปมาได้แน่นอน ส่วนใครที่เป็นผู้ปิดกั้นถนนเส้นนี้เขามีคําตอบในใจอยู่แล้ว
แต่นั่นขึ้นอยู่กับว่าผู้ที่ทําแบบนี้คือศัตรูของเขาหรือม่อี้กันแน่
ยิ่งไปกว่านั้นพลังอํานาจของศัตรูไม่ได้ถือว่าน้อยเลยไม่อย่างนั้นแล้วคงไม่สามารถปิดกั้นถนนทั้งเส้นแบบนี้ได้แน่นอน การที่อีกฝ่ายก็ท่าแบบนี้แม้จะรู้ว่าศัตรูที่เขาต้องเผชิญหน้าด้วยคือม่อี้ถ้าไม่ใช่คนโง่ก็ต้องเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมากแน่นอน
“ท่านแน่ใจหรือ?” หวังเทาถามย้ําอีกครั้ง
“ขอรับ” องครักษ์พยักหน้าความเป็นไปได้อื่นๆในใจของหวังเทาก็หายไปทันที
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ถือหอกในมือของตนเองเอาไว้แน่น และเร่งก้าวเดินเข้าไปหามู่ที่อยู่ตรงหน้าของตนเอง “ท่านนักพรตเต๋ ดูเหมือนสถานการณ์จะเริ่มผิดปกติแล้วขอรับ ข้างหน้าต้องมีศัตรูดักรออยู่แน่นอน”
ความจริงแล้วม่อี้ก็ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาทั้งสองคนอย่างชัดเจนและเขารู้สึกได้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“ทําไมล่ะ? ท่านกลัวงั้นหรือ?” แม้ว่าจะรู้ดีแต่มู่อี้ก็จ้องมองมาที่หวังเทาและถามขึ้นมาทันที
“ไม่กลัวขอรับ!” หวังเทาตอบกลับมาโดยไม่มีความลังเลใจ
“ในเมื่อท่านไม่กลัวเช่นนั้นก็เดินทางต่อไปเถอะ ถ้าหากท่านรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา จนอยากจะแยกตัวออกไปก็เชิญเลย ไม่มีใครห้ามท่านได้แน่นอน” หลังจากม่อี้พูดจบ เขาก็เดินหน้าต่อไปโดยไม่สนใจท่าทีของหวังเทาเลย
ความจริงแล้วม่อี้ก็ทราบดีถึงวิกฤตการณ์ที่กําลังเข้ามาใกล้นี้ตั้งนานแล้ว ครั้งนี้เขารู้สึกได้ว่ามันอันตรายยิ่งกว่าการต่อสู้กับศาลาแปดทิศเสียอีกแต่เขาก็ไม่ได้พยายามหลบเลี่ยงหรือหนีไปจากที่นี่เพราะเขารู้ดีว่าถ้าหากเขาเลือกที่จะหนีไป คงเป็นการบอกกับทุกๆคนว่าเขารู้สึกหวาดกลัวศัตรูที่ต้องเผชิญในครั้งนี้
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วศัตรูมากมายที่เคยหวาดกลัวเขาก่อนหน้านี้ก็คงพร้อมที่จะกลับมาหาเรื่องเขาอีกครั้งแน่นอน
ดังนั้นจะถอยไม่ได้เด็ดขาดแม้ว่าเขาไม่อยากสู้แต่สถานการณ์ก็บีบบังคับให้เขาต้องสู้ ผู้ที่ปิดกั้นถนนที่เขากําาลังเดินทางอยู่ในวันนี้ย่อมต้องเป็นศัตรูของเขา ซึ่งนั่นคือเหตุผลอีกข้อนึ่งที่เขาเลือกที่จะเดินเท้าไม่เดินทางด้วยรถม้า
เขาแค่ต้องการบอกกับทุกๆคนว่าเขาอยู่ที่นี่แล้ว!
ในขณะเดียวกันก็เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่ามีเพียงการใช้พลังทั้งหมดของตนเอง เข่นฆ่าศัตรูเท่านั้นปัญหาของเขาถึงจะหมดไปได้ เขาไม่มีทางหนีพ้นจากการไล่ล่าของศัตรูมากมายได้เลย นอกเสียจากเขาจะแยกตัวกับตาหนิวและสวมหน้ากากหนังมนุษย์ ไม่อย่างนั้นแล้วปัญหามากมายคงจะถาโถมเข้ามาหาเขาอย่างไม่มีทางจบสิ้น
ถ้าหากไม่ถึงที่สุดจริงๆม่อี้คงไม่มีทางเลือกวิธีนั้นแน่นอน
หวังเทาจ้องมองไปที่แผ่นหลังของม่อี้และรู้สึกตกตะลึงขึ้นมาทันที
“นายท่านขอรับ” องครักษ์อีกคนก็กระซิบเบาๆเห็นได้ชัดว่าเขาอยากพูดอะไรบางอย่าง
“ไม่จําเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว” หวังเทารู้ดีว่าองครักษ์ของตนเองต้องการจะพูดอะไรไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดออกมาเขาก็ส่ายศีรษะทันที “ชีวิตนี้ข้าซ่อนตัวมามากเกินพอแล้ว หลังจากนี้ยังจะต้องซ่อนตัวอีกหรือไง?”
หลังจากพูดจบหวังเทาก็ก้าวต่อไปทันที และการก้าวเท้าแต่ละครั้งของเขาก็หนักแน่นยิ่งกว่าก่อนหน้านี้
องครักษ์ทั้งสองคนหันมามองหน้ากันและเดินตามไปโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา เมื่อหวังเทาตัดสินใจแล้วไม่ว่ามันจะดีหรือไม่ดีพวกเขาก็ย่อมต้องทําตาม และในขณะเดียวกันพวกเขาก็รู้สึกได้ว่านายน้อยที่อยู่ตรงหน้าของตนเองนั้นหนักแน่นดุจปราการเหล็ก หวังเทาเดินตามหลังม่อี้โดยไม่มีการหวาดกลัวแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มผู้นี้สามารถทําลายศาลาแปดทิศได้ด้วยตัวคนเดียว เขาสามารถควบคุมสายฟ้าเพื่อโจมตีศัตรูได้ พวกเขาได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตัวเองในตอนที่เจ้าสัตว์ประหลาดปรากฏตัวออกมาและโจมตีเรือของพวกเขานั้น มู่ลี้ยืนอยู่ที่หัวเรือเพียงคนเดียว และเรียกสายฟ้าออกมาโจมตีเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นและช่วยชีวิตพวกเขาทุกๆคนเอาไว้
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วแม้ว่าพวกเขาอยากจะหนีเอาชีวิตรอดแต่ก็คงต้องละอายใจกับความขี้ขลาดของตนเองไปตลอดชีวิต
ความจริงแล้วในฐานะที่เป็นองครักษ์พวกเขาทั้งสองคนไม่เคยหวาดกลัวต่อความตายเลย พวกเขาเพียงแค่กลัวว่าจะไม่ได้ทวงคืนความยุติธรรมให้กับนายท่านของตนเองเท่านั้น พวกเขากลัวว่าเมื่อตายไปแล้วตนเองจะไม่มีหน้าไปพบกับนายท่านอีก
ไม่นานหลังจากนั้นอี้ หวังเทา และองครักษ์ทั้งสองคน ก็ได้รู้ว่าศัตรูที่พวกเขาว่ากำลังเผชิญหน้าด้วยในตอนนี้เป็นใคร
“กองทัพ!” เมื่อยืนอยู่บนยอดเขาหวังเทาสามารถมองเห็นคนจํานวนมากที่ยืนอยู่เป็นระเบียบและธงที่สะบัดไปมาตามสายลมได้
แม้แต่องครักษ์ทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังของเขาก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที เมื่อได้เห็นศัตรสีหน้าของทั้งสองคนก็ดูไม่พอใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
พวกเขาเติบโตขึ้นมาในกองทัพดังนั้นพวกเขาจึงรู้เรื่องกองทัพดีกว่าทุกๆคนที่อยู่ที่
กองทัพที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขานั้นมีคนไม่น้อยกว่า 500-600 คนและทุกๆคนต่างก็ยืนอย่างเป็นระเบียบ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือพวกเขากําลังเผชิญหน้ากับทหารทั้งกองพันและบนธงของกองทัพเหล่านี้เป็นตราของราชวงศ์ชิง แม้ว่ากองทหารที่อยู่ตรงหน้าจะมีเพียงทหารราบและไม่มีทหารม้าแต่ก็ทําให้ทุกๆคนรู้สึกหนักใจอย่างยิ่ง
ทหารเหล่านี้แตกต่างจากจอมยุทธที่อยู่ในยุทธจักร พวกเขาต่างก็หนักแน่นและมีระเบียบวินัยนอกจากนี้ยังมีความกล้าหาญและไม่ได้หวาดกลัวสิ่งใด แม้ว่าในตอนนี้กองทัพส่วนใหญ่จะเริ่มเสื่อมถอยลงไปแล้วแต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังถือว่าแข็งแกร่งและอยู่ในระเบียบวินัย
เหมือนกับกองทัพที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานี้
แม้ว่าจอมยุทธ 1 คนสามารถสังหารทหารในกองทัพ 5 ถึง 10 คนได้อย่างง่ายดาย แต่จอมยุทธ 10 คนย่อมไม่อาจเอาชนะทหาร 100 คนได้แน่นอนและถ้าหากเปลี่ยนเป็นจอมยุทธ 100 คนเผชิญหน้ากับทหารในกองทัพ 1,000 คนเช่นนั้นแล้วเหล่าจอมยุทธจะเป็นฝ่ายที่โดนไล่ล่าสังหาร
นี่คือความน่ากลัวของการเป็นกองทัพ แม้แต่จอมยุทธที่อยู่ในระดับยอดฝีมือเมื่อต้องตกอยู่กลางวงล้อมของกองทหารก็ทําได้เพียงหาทางเอาตัวรอดเท่านั้น
ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับทหารหนึ่งกองพันที่อยู่ตรงหน้าแม้แต่มอี้ก็รู้สึกได้ถึงภัยพิบัติที่กาลังคุกคามชีวิตของตนเอง
คนทั้ง 100 คนของศาลาแปดทิศนั้นเทียบไม่ได้เลยกับทหารในกองทัพที่มากกว่า 500 คนตรงหน้าเขาในตอนนี้ แม้จะเพิ่มคนของศาลาแปดทิศอีกสัก 10 เท่าพวกเขาก็ไม่มีทางเอาชนะกองทัพที่อยู่ตรงหน้าได้แน่นอน
แม้แต่เรือที่ผุพังไปแล้วก็ยังหาตะปูที่แหลมคมได้ ไม่ต้องพูดถึงราชวงศ์ชิงเลย มู่ลี้ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจที่มีกองทัพที่แข็งแกร่งปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาแต่เขาแค่ไม่คิด ว่านอกจากผู้คนในยุทธภพแล้วศัตรูของเขายังเป็นผู้ที่มีอานาจมากเสียจนสามารถสั่งการกองทัพได้ด้วยเช่นกัน
และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับศัตรูจํานวนมากมายเช่นนี้
หยางหยินยืนอยู่ด้านหน้าสุดของกองทัพ สายตาของเขาจ้องมองไปที่ร่างที่อยู่บนภูเขา เขาไม่จําเป็นต้องเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยซ้ําเพราะเขารู้ดีว่าใครหลายๆคนในเมืองจีหนานถ่าลังจับตามองเขาอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ว่าของเมืองหนานที่ต้องจับตามองเขาอยู่แน่นอน
เพราะเขานํากองกําลังเหล่านี้ออกมาจากค่ายทหารโดยพละการและไม่มีค่าสั่งเคลื่อนทัพใดๆ ใครหลายๆคนก็พร้อมที่จะใช้เรื่องนี้เล่นงานเขา นี่คือสิ่งที่เขาไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลยแต่เมื่อนึกถึงชายหนุ่มคนนั้นและกุญแจของเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลือง ในใจของเขาก็รู้สึกเกลียดชังขึ้นมาทันที
แม้เขาจะไม่เชื่อในข่าวลือพวกนั้นและคิดว่ากองทัพที่เขานํามาในวันนี้เพียงพอที่จะบดขยีศัตรูทุกๆคนได้
แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆไม่รู้ว่าทําไมเขากลับรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างและมันก็กลายเป็นความไม่สบายใจของเขา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจมาที่นี่ด้วยตนเอง
ครั้งนี้เขาได้นํากองพันทหารที่แข็งแกร่งที่สุดมาที่นี่ด้วยตนเองซึ่งนี่ถือได้ว่าเป็นไฟตายใบหนึ่งของเขาเลย เขาต้องใช้ทรัพย์สินของตนเองออกไปเป็นจํานวนมากและทําบางสิ่งบางอย่างเพื่อแก้ไขปัญหาที่ตามมาหลังจากนี้
เขาไม่ได้สนใจเรื่องที่ม่อี้ได้ทําลายศาลาแปดทิศแห่งเมืองไคเฟิงเลย มันมีอะไรกันล่ะ? ในสายตาของเขาแม้แต่ศาลาแปดทิศก็เป็นเพียงชาวยุทธกลุ่มเล็กๆเท่านั้น รวมกลุ่มกันได้ 100 คนแล้วอย่างไรจะสามารถเอาชนะกองพันของเขาได้งั้นหรือ?
และหยางหยินก็ไม่ใช่คนที่ประมาทหลงตัวเองหรือเป็นขุนนางที่ไม่คุ้นเคยกับยุทธภพเลย ในทางกลับกันเขาถือเป็นคนที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง แม้เขาจะไม่ใช่ยอดฝีมือแต่ก็มียอดฝีมือมากมายที่ต้องตายไปเพราะน้ํามือของเขาดังนั้นเขาจึงมั่นใจในตนเอง
มาก
ถ้าพูดอย่างตรงไปตรงมาในใจของเขายังรู้สึกดูถูกพวกจอมยุทธเหล่านั้นที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพเลยและแม้ว่าม่อี้จะเป็นคนที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง แต่นักพรตเต๋น้อยผู้นี้ก็ยังอายุน้อยมาก พลังของเขาจะมากได้สักแค่ไหนกันเชียว? แม้จะเป็นผู้บ่มเพาะพลังแห่งจิตใจแล้วอย่างไร? จะเรียกลมเรียกฝนมาทําลายกองทัพของเขางั้นหรือ?
ดังนั้นสําหรับข่าวลือพวกนั้น หยางหยินมีเพียงแค่ความรู้สึกเหยียดหยามตอบแทนกลับไปเท่านั้น
ในขณะเดียวกันที่หยางหยินจ้องมองพวกเขาอยู่นั้น ม่ก็หันไปถามหวังเทาที่อยู่ข้างๆเขา เพราะในฐานะที่ฝ่ายเติบโตขึ้นมาในตระกูลขุนนางย่อมคุ้นเคยกับกองทัพ
มากกว่าเขา
“กองทัพนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
ความจริงแล้วค่าถามนี้ของม่อี้เหมือนถามสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว เพราะแม้แต่คนที่ไม่รู้อะไรเลยย่อมรู้ดีว่ากองทัพที่อยู่ตรงหน้าย่อมต้องแข็งแกร่งแน่นอน
“เป็นกองทัพที่แข็งแกร่ง ถือว่าหาได้ยากในปัจจุบันนี้ขอรับ” หวังเทาตอบกลับมาด้วยความเคารพ
“ถ้าเทียบกับกองทัพของพวกต่างชาติล่ะ?” มู่ลี้ถามต่อ
เมื่อได้ยินเช่นนี้หวังเทาก็รู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อยแต่เขาก็ยังตอบกลับมาว่า “ถ้าหากอาวุธที่ใช้สู้รบมีเพียงแค่ดาบ กองทัพของพวกเราย่อมเป็นฝ่ายชนะ” (ในยุคสมัยนั้นประเทศจีนเริ่มถูกชาติตะวันตกโจมตีด้วยอาวุธปืนและปืนใหญ่)
“จริงหรือ?”
“ย่อมเป็นความจริงแน่นอนขอรับ แต่แม้ว่ากองทัพของพวกเราจะแข็งแกร่งกว่ามากเพียงใด แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องพ่ายแพ้ต่อปืนใหญ่ของพวกต่างชาติ”
หลังจากหวังเทาพูดประโยคนี้เขาก็ปิดตาลงด้วยความเจ็บปวด เพราะเขาจินตนาการได้เลยว่าอีกไม่นานหลังจากนี้ประเทศชาติจะต้องพบกับหายนะอะไรบ้าง มันคงเป็นการสังหารหมู่เพียงฝ่ายเดียวและปล้นชิงทรัพย์สินที่มีค่าไปจากพวกเขา ประเทศจีนแห่งนี้คงเหมือนกับพยัคฆ์ที่ถูกล่ามโซ่และโดนฝูงหมาป่ารุมทําร้ายกัดกินไปเรื่อยๆจนท้ายที่สุดก็ต้องเสียชีวิต
“ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเช่นนั้นหรอก” หลังจากได้ฟังคําพูดของหวังเทา ทันใดนั้นมู่อี้ก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้าทันทีเพราะในตอนนี้อยู่ๆเขาก็รู้สึกใจสั่นขึ้นมาทันทีและอาการใจสั่นนี้ยังทําให้เขารู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาด้วยเช่นกัน
“มันเกิดอะไรขึ้นกัน?” มู่อี้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน แม้ว่าเขาจะรู้สึกใจสิ้นแต่สีหน้าของเขาก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เขาแน่ใจว่าอาการใจสั่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความหวาดกลัวต่อกองทัพที่อยู่ตรงหน้าแน่นอนแต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเพราะคําพูดของหวังเทาก่อนหน้านี้ นี่มันคือสัญญาณบ่งบอกถึงอะไรหรือเปล่า?
จากนั้นลู่อี้ก็สูดหายใจเข้าลึกๆและหันไปมองหวังเทา แม้แต่การอ่านใจคนเขาก็ยังทําไม่ได้แล้วการมองอนาคตคนอื่นเขาจะทําได้อย่างไรกัน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้เลยว่า ชายหนุ่มผู้นี้จะเติบโตได้มากเพียงใดในอนาคตข้างหน้า
แน่นอนว่าพวกเขาก็ต้องเอาชีวิตรอดจากสงครามในวันนี้ให้ได้ก่อน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกองทัพที่มีมากกว่า 500 คน แม้แต่มู่ลี่ก็ไม่กล้าพูดถึงชัยชนะ เมื่อสงครามเริ่มขึ้นแล้วเขาไม่มีทางดูแลความปลอดภัยให้กับคนอื่นๆได้เลย ดังนั้นทุกๆคนจะรอดชีวิตจากสงครามในวันนี้ได้หรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับโชคชะตาและความสามารถของคนคนนั้นแล้ว