ตอนที่ 175 ยอมรับปาก
ม่อี้ไม่ได้รู้สึกไม่ดีต่อฉือเล่อเลย อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ถือเป็นคนดีคนหนึ่งและยังไม่ได้คิดร้ายอะไรต่อเขาด้วย
“ข้ารู้ดีว่าคําขอที่กําลังจะพูดไปหลังจากนี้มันอาจจะเป็นการรบกวนท่านนักพรตเต๋มากเกินไปสักหน่อย ดังนั้นข้าจึงไม่กล่าขอร้องให้ท่านนักพรตเต๋ตกลงรับปากข้าทันทีและหวังเพียงว่าท่านนักพรตเต๋จะยอมยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเพียงเล็กน้อย เช่นนั้นข้าก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว”ฉือเล่อยืนขึ้นและมอบสิ่งตอบแทนชิ้นใหญ่ให้กับมู่ลี้จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาช้าๆ
“โปรดพูดมาเถอะขอรับ” สีหน้าของมู่ลี้ยังคงสงบนิ่งในขณะที่เขาพูดออกมาเบาๆ
“ข้ามีมิตรสหายที่สนิทสนมอยู่คนหนึ่ง เขามีนามว่า หวังเทา บิดาของเขาเคยเป็นขุนนางเจิ้งโจวตําแหน่งใหญ่คนหนึ่งและทําหน้าที่อย่างซื่อสัตย์มาโดยตลอด น่าเสียดายที่บิดาของเขานั้นถูกคนทรยศใส่ร้ายและสังหารมิตรสหายของข้านั้นต้องรีบหลบหนีไปด้วยการคุ้มกันขององครักษ์ในตระกูลแต่คนทรยศคนนั้นก็ไม่ยอมปล่อยให้เขารอดไปได้ง่ายๆและยังส่งคนไปตามไล่ล่าเขาด้วยเช่นกันเดิมที่มิตรสหายคนนี้มาขอซ่อนตัวอยู่กับข้าแต่เมื่อไม่นานมานี้เริ่มมีคนรู้แล้วว่าเขาอยู่ที่นี่ดังนั้นเขาจึงต้องหาวิธีอื่นในการหลบซ่อนตัว”ฉือเล่อพูดออกมาและอดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปที่อี้
“แล้ว? ท่านต้องการให้ข้าปกป้องเขางั้นหรือ?” มู่อี้ก็จ้องมองมาที่ฉือเล่อและถามทันทีด้วยคําพูดไม่กี่คําของฉือเล่อก่อนหน้านี้ม่อี้ก็รู้สึกยอมรับในตัวอีกฝ่ายขึ้นมาไม่น้อย การยอมช่วยเหลือมิตรสหายของตนเองที่ถูกศัตรูใส่ร้ายและไล่ล่าสังหารไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยในฐานะมิตรสหายคนหนึ่งแล้วอย่างน้อยฉือเล่อก็ถือเป็นคนที่ดีมากเลยทีเดียว
“ข้าไม่กล้าร้องขอให้ท่านทําเช่นนั้น แต่สหายของข้าคนนี้ยืนกรานที่จะเดินทางไปยังเมืองหลวงปักกิ่งเดิมทีในฐานะมิตรสหายคนหนึ่งข้าย่อมพาเขาไปที่นั่นได้อยู่แล้วแต่ในตอนนี้แขนของข้าได้รับบาดเจ็บจนขยับไม่ได้เลยแล้วจะทําเช่นไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรู? ก่อนหน้านี้เมื่อข้าได้รับรู้ว่าท่านนักพรตเต๋กําลังเดินทางไปที่ เมืองฉางโจวและเมืองฉางโจวก็อยู่ห่างจากเมืองหลวงปักกิ่งเพียงแค่ 400 ลี้เท่านั้นดังนั้นข้าน้อยจึงอยากร้องขอให้ท่านนักพรตเต๋ช่วยพาหวังเทาเดินทางไปพร้อมกับท่านด้วยเถอะขอรับ” ฉือเล่อพูดขึ้นมาช้าๆ
“ข้าคิดว่าเรื่องนี้คงไม่ใช่เพราะท่านบาดเจ็บหรอกใช่ไหม?” ม่อี้จ้องมองมาที่ฉือเล่อและยิ้มขึ้นมาทันที
เมื่อฉือเล่อเห็นว่าม่อี้พูดขึ้นมาเช่นนี้เขาก็นิ่งไปทันทีแต่จากนั้นเขาก็พูดออกมาด้วยความสัตย์จริงว่า “ใช่ขอรับข้าคงปิดบังเรื่องต่างๆจากท่านนักพรตเต๋ไม่ได้อีกแล้ว นอกจากเรื่องที่แขนของข้าได้รับบาดเจ็บแล้วบิดาของข้าก็ไม่ยอมให้ข้าทําเรื่องนี้ด้วยเช่นกันเขาบอกว่าตราบใดที่ข้ากล้าเดินทางไปส่งมิตรสหายคนนี้ที่เมืองหลวงปักกิ่งเขาจะตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกับข้าทันทีแต่ในฐานะมิตรสหายคนหนึ่งข้าก็ไม่อยากทําให้หวังเทาต้องรู้สึกลําบากใจดังนั้นจึงคิดหาทางออกได้เช่นนี้ขอรับ”
“เรือลํานี้เป็นของท่าน ดังนั้นท่านจึงเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะรับใครขึ้นมาบนเรือบ้าง เหตุใดท่านถึงรับข้าขึ้นมาบนเรือลํานี้? และการที่สหายของท่านยืนกรานที่จะไปเมืองหลวงปักกิ่งคงไม่ใช่เรื่องง่ายดายแน่นอนหรือว่าเขามีหลักฐานอะไรในมือ? เขาพิสูจน์ได้หรือไม่ว่าบิดาของตนเองนั้นคือผู้บริสุทธิ์และผู้ทรยศที่แข็งแกร่งจนสามารถสั่ง หารตระกูลขุนนางตําแหน่งใหญ่ได้คงไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอนบิดาของท่านไม่ยอมให้ท่านทําเรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าเขาก็ย่อมรู้ดีว่ามันมีผลต่อตระกูลของตนเองด้วยเช่นกันดังนั้นจึงสั่งให้ท่านถอยห่างจากเรื่องนี้ให้มากที่สุดแต่ท่านก็ยังใช้ความโง่และความดื้อรั้นของตนเองพยายามเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ต่อไป”มู่อี้พูดพร้อมกับส่ายศีรษะ
เมื่อฉือเล่อได้ยินเช่นนี้ก็หน้าซีดขึ้นมาทันที แต่สายตาของเขาก็ยังแสดงความหนักแน่นออกมา
“บางครั้งชีวิตนี้ก็มีอะไรหลายๆอย่างที่ไม่สมควรทํา ตอนนี้สหายของข้ากําลังเผชิญอยู่กับปัญหา ถ้าหากว่าขายังทิ้งเขาให้เผชิญความทุกข์เพียงตัวคนเดียวเช่นนั้นแล้วข้าจะแตกต่างอะไรจากคนทรยศคนนั้น?ถ้าหากไม่ใช่เพราะกลัวว่าครอบครัวและวงศ์ตระกูลของข้าจะเดือดร้อนไปด้วย ข้าก็พร้อมที่จะฟันฝ่าอันตรายต่างๆไปพร้อม มิตรสหายของข้า”
ฉือเล่อตะโกนออกมาเสียงดัง สายตาของหลี่ชิงที่มองมาที่เขาก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดและนางก็แสดงความชื่นชมออกมา
“ยอมช่วยเหลือมิตรสหายของตนเองแม้รู้ว่ามันจะอันตราย” มู่อี้ก็จ้องมองมาที่ฉือเล่อด้วยความชื่นชมเขาไม่คิดเลยว่าฉือเล่อจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา สิ่งสําคัญก็คือเขาไม่ใช่คนหน้าซื่อใจคดที่ให้ความช่วยเหลือเพียงลมปากเท่านั้นเมื่อรับปากว่าจะช่วยเหลือแล้วเขาก็เลือกที่จะช่วยเหลือจนถึงที่สุด
มันช่างคุ้มค่าสําหรับหวังเทาจริงๆที่มีมิตรสหายเช่นนี้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทําไมตอนที่พวกเขาบุกเข้าไปที่ชวี่ยจวงในวันนั้น ฉือเล่อจะได้เป็นผู้นําแม้ว่าจะมีผู้สืบทอดคนปัจจุบันของสํานักเหมาซานอยู่ในกลุ่มด้วยเช่นกันแต่เขาก็ยังได้เป็นผู้นํา
“ก่อนหน้านี้ข้าอาจจะพูดอะไรออกไปเพราะอารมณ์ของตัวเองบ้างหวังว่าท่านนักพรตเต๋จะไม่โกรธเคืองข้าในเรื่องนี้นะขอรับ” ฉือเล่อไม่ได้นิ่งนอนใจเพราะคําชมของมู่อี้และรีบพูดต่อทันที
“ไม่เป็นไรหรอก ท่านยังเด็กนัก” เมื่อลู่อี้พูดออกมาเช่นนี้เขาก็ลืมไปเลยว่าตนเองยังอายุน้อยกว่าฉือเล่ออยู่หลายปี แต่ฉือเล่อหรือหลี่ชิงที่นั่งอยู่ตอนนี้ก็ไม่คิดว่าประโยคที่เขาพูดออกมาก่อนหน้านี้มันฟังดูแปลกประหลาดเลย
“เพียงแต่ดูเหมือนว่าท่านจะลืมอะไรบางอย่างไปเรื่องหนึ่ง” มู่อี้พูดต่อ
“ท่านนักพรตเต๋โปรดสั่งสอนมาได้เลยขอรับ” ฉือเล่อถามขึ้นมาด้วยความรู้สึกสับสน
“ในตอนนี้ข้ามีกุญแจของเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลืองอยู่กับตัว เกรงว่าการเดินทางต่อจากนี้คงต้อง เผชิญกับปัญหามากมาย เช่นนั้นแล้วข้าจะมาคอยดูแลสหายของท่านได้อย่างไรกัน?คงเป็นข้าเองที่ทําให้เขา ต้องซวยไปด้วยมากกว่า” มู่อี้พูดออกมา
“ท่านนักพรตเต๋กังวลใจมากเกินไปแล้วขอรับ ข้าเชื่อว่าด้วยพลังของท่านนักพรตเต๋ไม่ว่าศัตรูจะเป็นภูตผีปีศาจหรือมนุษย์ก็คงไม่อาจเอาชนะท่านได้แน่นอน มีศาลาแปดทิศเป็นบทเรียนแล้วเกรงว่าใครหลายๆคนคงไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งหรอกใช่ไหมขอรับ?” ฉือเล่อพูดขึ้นมาทันที
ม่อี้สามารถทําลายล้างศาลาแปดทิศด้วยตัวคนเดียว เมื่อเขาได้ยินข่าวเรื่องนี้เขาก็รู้สึกตกตะลึงไปครู่หนึ่งแต่ก็ยิ่งมั่นใจในตัวของมู่อี้มากยิ่งขึ้น
“ท่านคิดว่ายุทธภพแห่งนี้จะไร้ซึ่งยอดฝีมือเลยหรืออย่างไรกัน? แม้ว่าโลกใบนี้ทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่เคยเพียงพอแต่จํานวนคนโง่ที่มั่นใจในตัวเองนั้นข้าคิดว่าคงมากพอแน่นอน” ม่อี้ส่ายศีรษะและแสยะยิ้มออกมา
แม้ว่าเขาเคยคิดจะใช้ศาลาแปดทิศเป็นบทเรียนให้กับทุกๆคนก่อนหน้านี้แต่เขาก็ยังต้องรําคาญกับกลุ่มคนโง่ที่คอยมาขวางทางอยู่หลายครั้ง แม้เขาจะได้แสดงพลังของตัวเองออกไปแล้วแต่คนโง่เหล่านั้นก็ไม่เคยสนใจอะไรเลยคิดถึงแต่ว่าตนเองอาจจะโชคดีและสามารถเอาชนะได้ด้วยจํานวนคนที่มากกว่า
มันก็เป็นอย่างที่เขาพูดโลกใบนี้มีจํานวนคุณโง่มากเกินพอและคนโง่เหล่านั้นยังมั่นใจในพลังของตนเองมากอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นมู่อี้เชื่อว่าหลังจากที่เขาเดินทางออกมาจากเมืองไคเฟิงแล้ว เขาจะต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือกลุ่มคนอื่นๆอีกแน่นอน
แน่นอนว่าทุกๆคนย่อมรู้ดีว่าศาลาแปดทิศต้องประสบกับชะตากรรมเช่นไร เพราะโลกใบนี้ก็ยังมีคนฉลาดอยู่บ้างไม่ได้มีแต่คนโง่ไปเสียทั้งหมด
“สิ่งที่ท่านนักพรตเต๋พูดออกมานั้นล้วนเป็นความจริง แต่ข้าก็ยังเชื่อมั่นในตัวท่านนักพรตเต๋ขอรับ” ฉือเล่อตอบกลับมา
“เชื่อในตัวข้างั้นหรือ?” ม่อี้มองไปที่ฉือเล่อด้วยรอยยิ้มจากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาว่า”เช่นนั้นแล้วข้าขอยืมเรือของท่านเพื่อเป็นที่พักพิงของสหายของท่านและข้ารับปากว่าจะคอยปกป้องเขาเองแต่หลังจากไปถึงเมืองฉางโจวแล้วสหายของท่านจะเป็นเช่นไรต่อ?ข้าคงไม่ต้องไปส่งเขาถึงเมืองหลวงหรอกใช่ไหม”
“ขอบคุณท่านท่านนักพรตเต๋มากขอรับ” ฉือเล่อรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ในความคิดของเขาตราบใดที่ม่อี้รับปากหวังเทาก็สามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัยแน่นอน แต่หลังจากถึงเมืองฉางโจวแล้วถ้าหากหวังเทายังไม่อาจเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางของเขาได้เช่นนั้นก็ต้องโทษที่ตัวหวังเทาแล้วแม้ว่าจะไปถึงเมืองหลวงได้ก็มีอันตรายอีกมากมายที่หวังเทาต้องเผชิญ
“ขอบคุณอะไรกันที่ข้าทําเช่นนี้ก็เพื่อตัวข้าเอง หวังว่าท่านจะไม่เสียใจภายหลัง” มู่อี้พูดต่อ
“ข้าย่อมไม่เสียใจแน่นอนขอรับ” ฉือเล่อกล่าวยืนยัน
ม่อี้เห็นสายตาที่ดูมั่นใจของอีกฝ่ายก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ในใจ
หลังจากนั้นจือเล่อก็พาสหายของเขาขึ้นมาที่นี่ ม่อี้เห็นว่าอีกฝ่ายดูมีอายุประมาณ 20 ปีแต่ผิวหน้าของเขานั้นกลับดูหยาบกร้านอย่างยิ่งและสีหน้าของเขาก็ดูโศกเศร้าอยู่เล็กน้อย หลังจากได้พบกับม่อี้อีกฝ่ายก็กล่าวขอบคุณอยู่หลายครั้ง
ข้างๆหวังเทานั้นเป็นชาย 2 คนที่มีอายุประมาณ 30-40 ปี ทั้งสองคนต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งแค่เหลีอบมองเพียงครั้งเดียวก็รู้ว่าทั้งสองคนต้องเป็นทหารที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวดและผ่านความเป็นความตายในสนามรบมามากมาย เพราะการปกป้องขององครักษ์ทั้งสองคนนี้ทําให้หวังเทารอดพ้นจากอันตรายมาได้
ส่วนหวังเทาเองนั้นแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ฝึกยุทธคนหนึ่ง แต่พลังก็ถือว่าน้อยนิดมาก
ความจริงแล้วทั้งหวังเทาและชายวัยกลางคนทั้งสองคนนั้นต่างก็รู้สึกมั่นใจในตัวมู่ลี้ เพราะหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับศาลาแปดทิศได้กระจายออกไปนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่ในยุทธภพต่างก็ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอย่าง
เมื่อได้เห็นลู่อี้นั้นพวกเขาก็รู้สึกว่ากลัวอยู่บ้าง แม้ว่าม่อี้จะยังอายุน้อยแต่ก็ถือเป็นผู้บ่มเพาะพลังแห่งจิตใจคนหนึ่งส่วนใหญ่แล้วพวกเขาได้อ่านเรื่องของผู้บ่มเพาะพลังแห่งจิตใจจากในหนังสือต่างๆเท่านั้นเมื่อมอมาทําหน้าที่ปกป้องคุ้มครองในครั้งนี้พวกเขาก็ย่อมต้องแสดงความเคารพต่อม่อี้อยู่แล้ว
นอกจากนี้ยังมียักษ์อีกตนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ แม้ว่ามันจะไม่ได้พูดอะไรออกมาและนั่งนิ่งๆแต่ก็ทําให้ทุกๆคนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายวัยกลางคนทั้งสองคนที่ผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายมามากมายนั้นพวกเขาย่อมรู้ดีว่าเจ้ายักษ์ตนนี้ทรงพลังมากเพียงใด
ถ้าหากต้องสู้กับตาหนิวจริงๆพวกเขาคงไม่รู้เลยว่าจะเอาชนะมันได้อย่างไรและคงตายก่อนจะคิดออกแน่นอน
แม้ว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นบนเนินดินนั้นมู่อี้จะเป็นผู้ที่ได้รับความดีความชอบส่วนใหญ่ไป แต่ก็ไม่มีใครกล้าดูถูกเจ้ายักษ์ตนนี้เลย
เมื่อฉือเล่อเห็นว่ามู่อี้รับปากว่าจะดูแลหวังเทาแล้ว และทั้งสองฝ่ายก็ได้พบหน้ากันแล้วในตอนนี้เขาก็ถือว่าแยกตัวออกไปได้เสียที
ในตอนที่เขาเดินทางออกมาจากเมืองลั่วหยางก่อนหน้านี้เขารู้สึกกังวลอยู่ตลอดการเดินทางเพราะเขาไม่รู้ว่าตนเองจะรับมือกับมู่ล้ําอย่างไรดี เขาทําได้เพียงพึ่งพาเรื่องที่เกิดขึ้นในชี่ยจวงเท่านั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขา ขอบคุณมู่อี้ตั้งแต่ได้พบหน้ากันและเขาก็ยกย่องเชิดชูมู่อี้ให้เป็นผู้มีบุญคุณของตนเอง
ต้องรู้ก่อนว่าเขาไม่เคยมีความสัมพันธ์ใดๆกับม่อี้เลย ดังนั้นเขาจึงต้องหาวิธีต่างๆเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับม่อี้ขึ้นมาก่อน
และครั้งนี้ถือว่าเขาตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง
แม้ว่าฉือเล่ออยากจะเดินทางไปต่อด้วยแต่เขารู้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้แน่นอน ดังนั้นเมื่อถึงท่าเรือแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับเมืองไคเฟิงเขาก็ลงจากเรือไปพร้อมกับหลี่ชิงทันที แต่พ่อบ้านวัยกลางคนนั้นก็ยังคงอยู่บนเรือเพื่อระหว่างการเดินทางครั้งนี้จะได้มีคนคอยดูแลเรื่องเสื้อผ้าและอาหารนอกจากนี้ยังรวมไปถึงการคอยดูแลควบคุมคนขับเรือด้วยเช่นกัน
ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ม่อี้จะทําหน้าที่เหล่านี้ด้วยตัวเอง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องพวกนี้เลยดังนั้นจึงต้องเป็นหน้าที่ของพ่อบ้านวัยกลางคน
เพราะตอนนี้อยู่ในช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิดังนั้นจึงไม่ค่อยมีฝนตกลงมาสักเท่าไหร่ ระดับน้ําในแม่น้ําเหลืองก็ไม่ได้ลึกมากนักและกระแสน้ําก็ไม่ได้รุนแรง
แม้ว่ามู่อื้อยากจะรีบเดินทางไปยังเมืองฉางโจวทันที แต่เขาก็ไม่ได้สั่งให้เรือลํานี้เร่งความเร็วแต่อย่างใด
ในขณะเดียวกันเขาก็ใช้เวลาที่อยู่บนเรือลํานี้แยกแยะสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาก่อนหน้านี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้มาถึงก้าวที่ 2 ของตําแหน่งจักระบริเวณอวัยวะเพศ พลังชี่ในร่างกายของเขาก็ไม่เคยหยุดเคลื่อนไหวเลยและยังคงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องจนถึงตอนนี้มู่อี้สามารถรู้สึกได้ถึงพลังที่เคลื่อนไหวอยู่ในร่างกายได้อย่างชัดเจนและรู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ความแข็งแกร่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่อาจปรากฏให้เห็นภายนอกได้มันเป็นแค่ความรู้สึกในร่างกายของเขาเท่านั้นแม้ว่ากระบวนการนี้จะเป็นไปอย่างเชื่องช้าแต่มันก็ทําให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นมากแล้ว
และในขณะที่พลังแห่งจิตใจของมู่ยิ้มีการเคลื่อนไหวเขาก็จะสามารถใช้พลังชีในร่างกายได้มากขึ้นเรื่อยๆเขาประมาณการว่าถ้าหากตนเองใช้พลังทั้งหมดในร่างกายออกไปพลังของเขาก็จะเพิ่มขึ้นประมาณ 3 ถึง 5 เท่าแม้ว่าปริมาณของมันจะน้อยมากแต่อย่างน้อยก็สามารถช่วยเหลือเขาจากช่วงเวลาที่วิกฤตได้อย่างแน่นอน
การเดินทางครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่นและระหว่างการเดินทางนั้นมีกลุ่มโจรหลายกลุ่มที่พยายามบุกขึ้นมาบนเรือลํานี้แต่ก่อนที่พวกเขาจะขึ้นมาบนเรือได้สําเร็จก็ถูกองครักษ์ทั้งสองคนและหวังเทากําจัดลงน้ําไปทันทีแต่ในวันนี้ระหว่างที่ม่อี้กําลังพักผ่อนอยู่ในห้องของเขานั้นทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่างและจากนั้ นมันก็หายไปทันที