ตอนที่ 166 ปีศาจร้าย
ฉางชีและชุ่ยเพิ่งเคลื่อนไหวแทบจะพร้อมเพรียงกัน พวกเขาพุ่งเข้าไปหาตาหนิวอย่างรวดเร็วแต่ก่อนที่จะไปถึงตัวตาหนิวนั้นพวกเขาก็ทําตามที่ตกลงกันไว้ พุ่งแยกตัวออกจากกันผ่านตาหนิวออกไปและโจมตีไปที่มู่ลี้เป็นคนแรก
ในความคิดของพวกเขานั้นตราบใดที่สังหารมู่อี้ได้สําเร็จ ต้าหนิวย่อมไม่ใช่ภัยคุกคามอีกต่อไปแม้ทั้งสองคนจะยังไม่รู้ว่าต้องใช้วิธีใดเพื่อเอาชนะต้าหนิว แต่เพราะว่าพวกเขาเห็นว่าตาหนิวไม่ได้มีสติปัญญามากเท่าไหร่ดังนั้นสิ่งสําคัญก็คือจัดการมู่อให้ได้ก่อน
ทั้งสองคนพุ่งเข้าไปหาลู่อี้ที่ยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างพร้อมเพียงกัน
แต่ในขณะเดียวกันนั้นก็มีหลายๆคนที่เฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นจากมุมมืด
แม้ว่าม่อี้ไม่ได้คิดที่จะตรวจสอบคนเหล่านั้นทั้งหมดด้วยพลังแห่งจิตใจของเขา แต่ประสาทสัมผัสของเขาเองก็เหนือกว่าคนทั่วไปมากแล้ว การเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆของคนเหล่านั้นย่อมไม่อาจเล็ดรอดการรับรู้ของเขาไปได้แต่เขาก็เพียงแค่ยิ้มออกมาเท่านั้น ไม่ว่าคนเหล่านั้นคิดจะลงมือเช่นไร มู่อี้เชื่อว่าพวกเขาจะต้องเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองแน่นอน
เมื่อเห็นฉางชีและชุ่ยเหิงที่พุ่งเข้ามาแยกตัวออกจากกันอย่างกะทันหันก็ทําให้ต้าหนิวรู้สึกมึนงงสับสนเล็กน้อยเพราะในตอนนี้มันไม่รู้จะไล่ตามใครไปดีแต่ในขณะที่ยังลังเลใจอยู่นั้นสายตาของมันก็ยังคงจ้องมองไปที่ฉางชื่อยู่ตลอดเวลา
ในด้านความเร็วนั้นตาหนิวไม่อาจเทียบได้กับฉางชีแต่ตาหนิวยืนขวางหน้าม่อี้อยู่ในตอนนี้ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ฉางชีจะผ่านมันไปได้
การก้าวเท้าข้างหนึ่งของตาหนิวเทียบได้กับการก้าวเท้าของคนธรรมดา 3-4 ก้าว และในขณะเดียวกันมันก็ เลือกที่จะพุ่งตัวออกไปอย่างรุนแรง
ฉางชีเห็นว่าตาหนวกําลังจ้องมองมาที่เขาในใจของเขาก็คิดว่าไม่ดีแล้ว เขาช่างโชคร้ายจริงๆ แต่หลังจากนั้นเขาก็กัดฟันและพุ่งเข้าไปหาตาหนิวด้วยเช่นกันแม้รู้ดีว่ายากที่เขาจะเอาชนะมันได้
เมื่อชุ่ยเพิ่งเห็นว่าตาหนิวหันไปสนใจฉางชีสายตาของเขาก็แสดงความยินดีออกมาเล็กน้อย ในตอนนี้ไม่มีใครขวางทางเขาได้อีกแล้วและเขาจะตรงเข้าไปสังหารมู่อี้ทันที
ในขณะที่กําลังคิดอย่างตื่นเต้นนั้นสายตาของชุ่ยเหิงก็ไร้ซึ่งความเมตตาใดๆ หอกที่อยู่ในมือซ้ายของเขาแทงออกไปทันทีและจากนั้นหอกที่อยู่ในมือขวาก็แทงตามออกไปอย่างรวดเร็วดูเหมือนว่าเคล็ดวิชาหอกของเขาจะไม่ใช่เคล็ดวิชาธรรมดาเลย
สีหน้าของมู่ลี้ยังคงสงบนิ่งและไม่ได้แสดงความหวาดกลัวหรือกังวลออกมาเลยแม้จะได้เห็นหอกของชุ่ยเพิ่งที่กําลังพุ่งเข้ามาหาตนเองก็ตาม
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของมู่ลี้ยังคงสงบนิ่ง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดแต่ชุ่ยเหิงก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันทีเขารู้สึกราวกับว่าตนเองได้ทําอะไรผิดพลาดลงไปแล้ว
แต่ก่อนที่ชุ่ยเพิ่งจะได้คิดต่อนั้น มู่อี้ก็ลงมืออย่างกะทันหันมือของเขายกขึ้นมาและสะบัดออกไปเบาๆ
ชุ่ยเหิงหรี่ตาลงทันทีและร่างกายของเขาก็มีเหงื่อออกมามากมาย
“ตั้ง!”
ม่อี้สะบัดมือของเขาออกไปและชี้ไปที่ปลายหอกชุ่ยเพิ่งรู้สึกได้เพียงว่ามีพลังที่แปลกประหลาดกําลังตรง เข้ามาและร่างกายของเขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
จากนั้นมู่อี้ก็ก้าวเท้าออกมา นิ้วของเขาชี้ไปที่ระหว่างคิ้วของชุ่ยเหิงทันที
“ฉีก!”
หลังจากมีเสียงดังออกมานั้นระหว่างคิ้วของชุ่ยเหิงก็มีรูขนาดไม่ใหญ่มากนักปรากฏขึ้นมา และเลือดก็ไหลออกมาจากดวงตาหู จมูก และปากของเขาในเวลาเดียวกัน
ดวงตาของชุ่ยเพิ่งเบิกกว้างขึ้นสีหน้าของเขาดูไม่เต็มใจและรู้สึกผิดก่อนที่ร่างกายของเขาจะล้มลงไปที่พื้นทันที
ผู้คนที่เตรียมพร้อมจะลงมือก่อนหน้านี้ได้เห็นสิ่งที่น่าตกตะลึงแล้วชัยเหิงที่ทรงพลังเหนือผู้ใดในพื้นที่บริเวณนี้ทําไมถึงตายไปรวดเร็วขนาดนี้? ตั้งแต่ต้นจนจบม่อี้ชี้นิ้วออกมาแค่ 2 ครั้งเท่านั้น
ครั้งแรกชี้ไปที่หอกของชุ่ยเหิงและครั้งที่ 2 ชี้ไปที่ระหว่างคิ้วของชุ่ยเหิงหลังจากนั้นชุ่ยเหิงก็ถึงแก่ความตายทันที
“เฮือก!”
เสียงหอบหายใจของคนมากมายดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและพวกเขาก็ไม่รู้จะทําเช่นไรดีเพราะแม้แต่ชุ่ยเหงก็ตายไปแล้ว
ในตอนนี้ทุกๆคนต่างก็รู้สึกได้ถึงความกลัวที่ก่อกําเนิดขึ้นมาจากก้นบึงของหัวใจ
แม้แต่ชุ่ยเหิงก็ถูกฆ่าตายไปด้วยการชี้นิ้วเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้นแล้วพวกเขาล่ะ? ชี้นิ้วแค่ครั้งเดียวก็ตายแล้วกระมัง?
ทุกๆคนที่กําลังจะเข้าไปรุมโจมตีมอี้ก่อนหน้านี้ก็ยืนนิ่งทันทีและจากนั้นไม่ต้องให้ใครสั่งการพวกเขาก็รีบหนีออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว
ฝ่ามือสีแดงเลือดของฉางชียังคงปะทะกับตาหนิวและจากนั้นเขาก็กระเด็นลอยออกมาทันที ในด้านพลังนั้นเขาย่อมไม่อาจเทียบกับตาหนิวได้เลยและในตอนที่กระเด็นลอยออกมานั้นเขาก็ได้เห็นตอนที่มอี้ลงมือสังหารขี่ยเหิงและตัวเขาเองก็รู้ดีกว่าผู้ใดว่ามันหมายความว่าอย่างไร
“ตึง!”
ฉางชีกระเด็นลงมาที่พื้นและจากนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในร่างกายของตนเองเลยเขารีบยืนขึ้นมาและวิ่งหนีออกไปทันที
แม้แต่ผู้คนที่กําลังเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่รอบๆบริเวณนี้ต่างก็รีบหนีออกไปจากที่นี่จนเกิดการปะทะกันหลายครั้งและสายตาของทุกๆคนนั้นต่างก็จ้องมองมาที่มู่อี้ด้วยความหวาดกลัว
มู่ลี้ลงมือเพื่อต้องการให้ข่าวเรื่องนี้กระจายออกไปยุทธภพจะต้องกลับมาดุเดือดอีกครั้งอย่างแน่นอนแต่ไม่มีใครรู้เลยว่ามู่อี้เป็นใครมาจากไหนและพลังของเขานั้นก็ไม่ชัดเจนว่ามีมากเพียงใดก่อนหน้านี้สิ่งเดียวที่ทุกคนได้รับรู้ก็คือมู่อี้มียักษ์ตนหนึ่งที่เป็นองครักษ์ของเขาคนจํานวนมากที่พยายามปล้นชิงกุญแจก่อนหน้านี้ต่างก็ถูกเจ้ายักษ์ตนนี้ลงมือสังหารอย่างง่ายดาย
ส่วนมู่อี้ในสายตาของทุกๆคนนั้นเขาดูไม่มีภัยคุกคามใดๆทั้งสิ้น มีเพียงเจ้ายักษ์ที่เป็นองครักษ์ของเขาเท่านั้นที่ต้องระวังแต่ในวันนี้ทุกๆคนก็ได้รู้ว่าข่าวลือก่อนหน้านี้เป็นเรื่องโกหกเสียแล้วมู่ไม่ได้ไร้ซึ่งภัยคุกคามใดๆตามข่าวลือเลยแม้แต่พลังของเขาถือว่าน่าสะพรึงกลัวมาก
แม้แต่ยอดฝีมืออย่างชุ่ยเหิงก็ยังไม่อาจทําอะไรได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วพวกเขาจะทําอะไรได้อีกล่ะ?
ต้าหนิวเห็นว่าฉางชีที่โดนโจมตีก่อนหน้านี้รีบหนีออกไปอย่างรวดเร็ว สายตาของมันก็แสดงความไม่พอใจออกมาและจากนั้นมันก็หันไปมองผู้คนที่ยังอยู่รอบๆบริเวณนี้ด้วยความตื่นเต้น
“หนีเร็ว!”
ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมาแต่ดูเหมือนว่าคนคนนั้นจะหวาดกลัวต่อตาหนิวจนพยายามหนีออกไปจากที่นี่ ผู้คนต่างก็อยู่ในความตื่นตระหนกและไม่มีใครรั้งรอดูสถานการณ์ที่นี่อีกต่อไป
ทันใดนั้นผู้คนจํานวนมากที่ล้อมรอบม่อี้เอาไว้ก่อนหน้านี้ก็หายไปอย่างรวดเร็วและเหลือเพียงศพเดียวเท่านั้นที่นอนอยู่ตรงหน้าเขา
“พวกเจ้าทุกๆคนจงส่งต่อคําพูดของข้าออกไป หลังจากนี้ใครก็ตามที่กล้ามาสร้างความวุ่นวายให้กับข้า ข้าจะสังหารพวกมันทุกๆคน!”
สายตาที่เย็นชาของมู่กวาดมองทุกๆคนที่กําลังออกไปจากที่นี่ หลังจากพูดจบเขาก็จากไปทันที
ถ้าหากม่อี้พูดแบบนี้ตั้งแต่ก่อนการต่อสู้จะเริ่มต้นขึ้นทุกๆคนคงคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องตลกและคงไม่มีใครสนใจแน่นอนแต่ในตอนนี้เมื่อมอี้สามารถสังหารชุ่ยเหิงได้อย่างง่ายดายทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไปทันทีผู้คนจํานวนมากต้องหนีตายอย่างชุลมุนวุ่นวายและหลังจากได้ยินคําพูดเช่นนี้พวกเขาก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาอีกครั้ง
พวกเขารู้ดีว่ามู่อี้เหมาะสมที่จะพูดเช่นนี้ออกมาได้และอีกไม่นานหลังจากนี้คําพูดของมู่อี้ก็จะกระจายออกไป อย่างรวดเร็วและนับจากนี้เป็นต้นไปชื่อเสียงของนักพรตเต๋น้อยคนหนึ่งที่มีความโหดเหี้ยมก็จะถูกผู้คนในยุทธ ภพจดจําเอาไว้ในใจ
แต่มู่อี้ก็ไม่คิดว่าปัญหาของเขาจะจบลงเพียงเท่านี้แน่นอน แม้ว่าครั้งนี้เขาจะทําให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวจนหนีไปได้แต่ไม่ได้หมายความว่ายอดฝีมือคนอื่นๆจะต้องรู้สึกหวาดกลัวในทางกลับกันศัตรูกลุ่มต่อไปที่เขาต้องเผชิญนั้นก็จะต้องเป็นคนที่มั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเองพอสมควร
เพราะท้ายที่สุดแล้วถ้าหากวัดความแข็งแกร่งของชุ่ยเหิงตรงๆพลังของเขาก็ไม่ได้มีมากเท่าไหร่นักยังมีใครหลายๆคนที่สามารถเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดาย
ม่อี้กลับมาที่ห้องของตนเองอีกครั้งและในตอนนี้เขาก็ได้เห็นชายในชุดดําคนหนึ่งนอนตายอยู่ที่พื้นห้องเห็นได้ชัดว่าต้องเป็นเด็กสาวที่ลงมือแน่นอน ม่อี้ทิ้งต้นไผ่แห่งชีวิตเอาไว้ในห้องนี้ก่อนจะออกไปเพราะในกระเป๋าใบใหญ่ของเขานั้นมีสิ่งของล้ําค่าอยู่เป็นจํานวนมาก
แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรที่ล้ําค่ามู่อี้ก็ไม่อยากให้ใครมาตลบหลังตนเองได้ในตอนที่เขาออกไปต่อสู้
“ต้าหนิว โยนมันออกไป” มู่อื้ออกคําสั่งทันที
ต้าหนิวก้าวออกไปข้างหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรจากนั้นก็คว้าศพของชายชุดดําเอาไว้และโยนออกไปนอกห้องทันทีเสียงพูดคุยกันรอบๆโรงเตี้ยมเงียบลงอีกครั้งและหลังจากนั้นตาหนิวก็เดินกลับเข้ามาในห้องและนั่งลงทันที
ด้วยร่างกายที่ใหญ่โตของตาหนิวจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาเตียงที่เหมาะสมกับมันได้ในโรงเตี้ยมแห่งนี้แต่ตาหนิวก็ไม่ชอบนอนบนเตียงด้วยเช่นกันถ้าไม่ใช้ผ้าห่มของมู่อี้ปูพื้นมันก็จะนอนลงไปบนพื้นทันที
ม่อี้ไม่สนใจมัน เขานั่งลงบนเตียงและหยิบหนังสือของตนเองขึ้นมาอีกครั้งต้นไผ่แห่งชีวิตที่ตั้งอยู่บนโต๊ะก็ ลอยมาตั้งอยู่บนขาของมู่อี้ทันทีพร้อมกับส่องแสงออกมา
ม่อี้เหลือบมองลงมาในแสงสว่างที่ส่องออกมานั้นเขาเห็นใบหน้าของเด็กสาวอยู่ภายในนั้นเขายิ้มมุมปากขึ้นมาเล็กน้อยจากนั้นก็หันไปสนใจหนังสือในมือของตนเองอีกครั้ง
ค่ําคืนนี้เป็นค่ําคืนที่ใครหลายๆคนไม่กล้านอน
ภายในอาคารหลังใหญ่ใจกลางเมืองนั้นมีชายคนหนึ่งที่มีอายุประมาณ 50 ปีเดินไปมาอยู่ภายในนั้นภายในอาคารหลังนี้มีคนอยู่ 2 คนคนหนึ่งสวมชุดที่เหมือนกับขุนนางส่วนอีกคนสวมชุดแนบลําตัวที่ดูคล่องแคล่วว่องไว
“เจ้าได้เห็นด้วยตาของตัวเองใช่ไหม? เช่นนั้นแล้วชุ่ยเหิงถูกฆ่าตายไปจริงๆหรือ?” ชายที่แต่งตัวเหมือนกับขุนนางก็เอ่ยถามขึ้นมาทันที
“เรียนนายท่าน ผู้น้อยได้เห็นด้วยตาของตนเองอย่างชัดเจน ไม่เพียงแต่ชุ่ยเหิงเท่านั้นแม้แต่ฉางชีก็ยังพ่ายแพ้ด้วยเช่นกันแต่ชุ่ยเหิงดูเหมือนจะโชคร้ายเกินไปหน่อยเขาถูกสังหารด้วยการชี้นิ้วเพียง 2ครั้งเท่านั้น… แม้แต่ฉางชีก็ไม่ใช่ศัตรูของยักษ์ตนนั้นขอรับ” ชายอีกคนพูดออกมาด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย
ในตอนนั้นเขาพาคนไปซุ่มจับตามองอยู่ตั้งใจว่าจะรอจนกว่าทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้และจะนํากองกําลังออกไปจับกุมแต่น่าเสียดายที่สิ่งที่ได้เห็นนั้นทําให้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่งแม้ว่าภารกิจที่เขาได้รับมานั้นจะสําคัญแต่ชีวิตของเขาย่อมสําคัญยิ่งกว่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าออกไปต้องตายแน่นอนเขาก็ย่อมไม่อยากออกไปตาย ตอนนี้ตําแหน่งหน้าที่การงานของเขาก็ถือว่าค่อนข้างดีเขาย่อมไม่อยากเอาชีวิตของตัวเองไปทิ้งง่ายๆ
ทั่วทั้งแผ่นดินของราชวงศ์ชิงกําลังลุกเป็นไฟมีเพียงเมืองใหญ่ๆอย่างปักกิ่งหรือเทียนจินเท่านั้นที่ถือว่ามั่นคงถ้าหากสามารถมีชีวิตที่สุขสบายได้ไม่ว่าใครก็อยากจะมีชีวิตที่สุขสบายทั้งนั้น
บางทีอาจจะมีใครหลายๆคนที่ต้องการทวงคืนความยุติธรรมให้กับบุตรชายของขุนนางใหญ่เพื่อผลประโยชน์มากมายที่ตามมา แต่นั่นก็ต้องดูด้วยว่าศัตรูที่พวกเขากําลังเผชิญหน้าด้วยในตอนนี้มีความแข็งแกร่งมากเพียงใด
“นายท่าน คิดเช่นไรขอรับ?” เขาเอ่ยถามขุนนางที่เป็นเจ้านายของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
“ในเมื่อแม้แต่ชุ่ยเหิงก็ตายไปแล้ว เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ต้องเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงหรอก เมื่อเผชิญหน้ากับปีศาจเช่นนี้พวกเราทําเป็นไม่รู้ไม่เห็นจะดีกว่า” ขุนนางคนนั้นถอนหายใจออกมาและตอบกลับมาช้าๆ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ชายอีกคนที่เป็นลูกน้องของเขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันทีและเขาก็แสดงสีหน้าที่ดูขอบคุณให้เจ้านายของตนเอง เห็นได้ชัดว่าเขาให้ความเคารพกับตําแหน่งหน้าที่ของตนเองอย่างยิ่งเมื่อเจ้านายของตนเองพูดออกมาเช่นนี้เขาก็ไม่ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อจับกุมปีศาจร้ายตัวนี้
“เช่นนั้นแล้วสิ่งที่พูดมาก่อนหน้านี้ก็ถือว่าลืมไปเถอะนะ” ขุนนางพยักหน้าขึ้นมาเล็กน้อยแต่สีหน้าของเขาก็ดูมีความผิดหวังอยู่ด้วยเช่นกัน
เดิมที่เขาคิดว่านี่เป็นโอกาสดีของตนเอง ถ้าหากเขาทําเรื่องนี้ได้สําเร็จอย่างน้อยอนาคตในเส้นทางราชการของเขาก็ต้องสว่างสดใสแน่นอน
แน่นอนว่าสิ่งที่ล้ําค่ายิ่งกว่านั้นก็คือกุญแจแห่งเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลือง มันสามารถทําให้เขาได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางระดับสูงได้เลย
แต่ในตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างกับเหลือเพียงความว่างเปล่าเท่านั้นและแม้แต่มอี้ก็ได้กลายเป็นปีศาจในใจของ เขาไปแล้ว ซึ่งอยู่ห่างให้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ไม่อย่างนั้นแล้วตําแหน่งผู้พิพากษามณฑลตัวเล็กๆอย่างเขาคงไม่อาจหนีจากความตายของตนเองได้แน่นอน