ตอนที่ 150 รวบรวมพลังชี่
มู่อี้ไม่ได้หนีออกมาจากชวี่ยจวงไกลมากนัก เขายังคงอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ําเหลืองและจากนั้นก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น หน้าอกของเขายังคงกระเพิ่มอย่างรุนแรงและใบหน้าของเขายังคงซีดขาว ปราศจากเลือดที่สูบฉีด
แม้ว่าครั้งนี้พลังของเขาจะสามารถยกระดับขึ้นมาได้สําเร็จแต่ร่างกายของมู่อี้ก็แทบจะรับการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นไม่ไหว ปกติแล้วการยกระดับของพลังแต่ละครั้งนั้นจะต้องหาสถานที่ที่เงียบสงบ และห่างไกลผู้คนได้มากเท่าไหร่ยิ่งดีเพื่อไม่ให้ถูกรบกวน มู่อี้เลือกที่จะยกระดับตนเองระหว่างการต่อสู้ซึ่งเป็นวิธีที่เสี่ยงมากที่สุด
แม้ว่าเขาจะมีพื้นฐานร่างกายที่แข็งแกร่งและมีพลังแห่งจิตใจที่สะสมมาอย่างมหาศาลจนสามารถยกระดับพลังของตนเองขึ้นไปได้อย่างง่ายดายและพลังชี้ก็โคจรอยู่ทั่วร่างกายของเขา แต่ช่วงเวลาที่กระชั้นชิดนั้นก็ทําให้เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะทําให้พลังต่างๆที่อยู่ในร่างกายของตนเองนั้นสงบนิ่งได้ แม้แต่พลังชี่ที่เกิดขึ้นมาในร่างกายของเขาก็ยังไม่อาจสงบนิ่งได้ในตอนนี้ และมันทําให้เขารู้สึกเหนื่อยมาก
ในตอนนี้ร่างกายของเขารู้สึกได้เพียงความว่างเปล่าเท่านั้นและมือข้างขวาของเขาก็ยังคงบาดเจ็บอยู่ แม้แต่ศัตรูที่อยู่ในระดับความยากขั้นที่ 1 มู่อี้ก็ยังยากที่จะเอาชนะได้
หลังจากแน่ใจว่าชวีหยางไม่ได้ไล่ตามมา มู่อี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที และจากนั้นเขาก็ค่อยๆเดินทางต่อไปริมฝั่งแม่น้ําเหลืองแห่งนี้จนได้พบกับสถานที่ที่เขาสามารถซ่อนตัวได้ เขาไม่ได้เข้าไปซ่อนตัวทันทีแต่กลับหยิบต้นไผ่แห่งชีวิตออกมาและตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของมันในตอนนี้
หลังจากมันได้ดูดซึมพลังของเห็ดซากศพ ต้นไผ่แห่งชีวิตก็ดูเขียวขจียิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก แต่มู่อี้ก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เขารีบส่งพลังแห่งจิตใจของตนเองเข้าไปภายในต้นไผ่แห่งชีวิตทันที
ในตอนนี้พื้นที่ว่างในต้นไผ่แห่งชีวิตนั้นเต็มไปด้วยหมอกมากมายที่กระจายตัวอยู่ เนี่ยนหนิวเอ้อร์คุกเข่าอยู่ภายในนั้นและพยายามดูดซึมพลังจากหมอกที่ลอยอยู่
เมื่อรับรู้ได้ถึงพลังแห่งจิตใจของมู่อี้ เนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็เปิดตาของนางขึ้นมาทันที
” พี่ชาย!”
เสียงของนางดังขึ้นมาในจิตใจของมู่อี้
“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” มู่อี้ถามด้วยความกังวล
“เนี่ยนหนิวเอ้อร์ไม่เป็นอะไร แต่ก็ช่วยเหลืออะไรพี่ชายไม่ได้เลย” เด็กสาวพูดออกมาด้วยความผิดหวัง เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกผิดที่ไม่สามารถหยุดชวีหยางเอาไว้ได้
“เด็กโง่ ถือว่าเจ้าได้ช่วยเหลือข้ามากแล้ว ถ้าหากไม่มีเจ้าข้าคงบาดเจ็บหนักยิ่งกว่านี้เสียอีก” มู่อี้ตอบกลับมา
”เช่นนั้นพี่ชายก็วางใจได้เลย ข้าจะพยายามนอนหลับให้มากที่สุดเพื่อให้พลังของข้าเพิ่มมากขึ้น เมื่อถึงตอนนั้นแล้วข้าจะจัดการพวกคนชั่วทุกๆคนที่เข้ามารังแกพี่ชายเอง” เด็กสาวกําหมัดแน่นและกล่าวขึ้นมาทันที
ความจริงแล้วครั้งนี้ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีสําหรับเนี่ยนหนิวเอ้อร์ แม้ว่านางจะมีสติปัญญามาตั้ง แต่กําเนิดและได้รับความรักจากสวรรค์อย่างยิ่งจนทําให้พลังของนางสามารถเพิ่มขึ้นไปได้เรื่อยๆ แบบไม่มีติดขัด นางสามารถก้าวเข้าสู่ระดับราชันย์แห่งวิญญาณได้แน่นอนแต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
เนี่ยนหนิวเอ้อร์เป็นดวงวิญญาณที่มีอายุไม่มากนักและนางยังเป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากอยู่ในสภาวะปกตินางคงต้องการเวลาอีกนับร้อยปีเพื่อสะสมพลังไปเรื่อยๆให้กับตนเอง
แต่นับตั้งแต่นางเลือกที่จะติดตามมู่อี้มานั้นนางก็ถือว่าเติบโตขึ้นและได้รับประสบการณ์จากการต่อสู้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่มู่อี้เริ่มหยดเลือดของเขาลงบนต้นไผ่แห่งชีวิตมัน ทําให้นางรู้สึกว่าอีกไม่นานหลังจากนี้พลังของตัวเองจะต้องยกระดับขึ้นแน่นอน
บางทีเมื่อมู่อี้สามารถทําให้ต้นไผ่แห่งชีวิตกลายเป็นอาวุธวิญญาณได้สําเร็จ นางอาจจะสามารถยกระดับขึ้นไปในตอนนั้นก็ได้แต่นี่ก็เป็นเพียงการคาดเดาของนางเท่านั้น
ก่อนหน้านี้มู่อี้ได้รับบาดเจ็บ และเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็พยายามช่วยเหลือมู่อี้ทุกๆทางโดยไม่สนใจ แม้แต่แก่นแท้แห่งดวงวิญญาณของนางเพื่อทําให้มู่อี้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง แม้ว่ามันจะไม่ได้ทําให้นางได้รับบาดเจ็บแต่ก็ทําให้พลังของนางที่กําลังยกระดับขึ้นมานั้นต้องเสียเวลามากยิ่งขึ้นไปอีก
แต่ไม่คิดเลยว่ามู่อี้จะค้นพบจิตวิญญาณที่อยู่ในชวี่ยจวงและยังมีความเหมาะสมสําหรับต้นไผ่แห่งชีวิตในค่ําคืนนี้
แม้ว่าจะมีการต่อสู้เกิดขึ้นแต่ในท้ายที่สุดนั้นต้นไผ่แห่งชีวิตก็ถือว่าเป็นฝ่ายชนะและมันยังสามารถดูดซึมพลังมาเพิ่มให้กับตนเองได้เป็นจํานวนมาก
สําหรับเนี่ยนหนิวเอ้อร์นั้นแม้ว่านางจะถูกโจมตีด้วยฝ่ามือของชวีหยางเข้าไปแต่หลังจากผ่านประสบการณ์มานับไม่ถ้วนเด็กหญิงน้อยผู้นี้ก็ถือว่าเติบโตขึ้นมาก ในตอนนี้นางรู้สึกได้ว่านางต้องการหลับไปอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อนางตื่นขึ้นมาพลังของนางจะต้องยกระดับขึ้น 100% และทําให้นางเข้าสู่ระดับวิญญาณชั่วร้ายได้สําเร็จ
ระดับวิญญาณชั่วร้ายนั้นเทียบได้กลับระดับความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจ เมื่อถึงตอนนั้นนางจะสามารถช่วยเหลือมู่อี้ได้อย่างเต็มที่
“ได้สิ ข้าเชื่อในตัวเจ้าเสมอ ไปนอนเถอะ ข้าจะรอจนกว่าเจ้าจะตื่นขึ้นมาเอง” มู่อี้ตอบกลับมาเบาๆ
“อื้ม!” เด็กหญิงน้อยพยักหน้า จากนั้นก็ปิดตาลงและหลับไปทันทีแต่หมอกที่อยู่รอบๆตัวนั้นก็ยังคงซึมเข้าไปในผิวหนังของนางอย่างต่อเนื่องและพลังในร่างกายของเด็กน้อยนั้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วยเช่นกัน
มู่อี้เปิดตาของเขาขึ้นมาอีกครั้งและรู้สึกโล่งอก ตราบใดที่เนี่ยนหนิวเอ้อร์ไม่เป็นอะไรเขาก็ย่อมรู้สึกดี นี่คือเรื่องที่ดีที่สุดสําหรับเขาแล้ว
เมื่อคิดถึงคําพูดของเด็กหญิงน้อยก่อนหน้านี้มู่อี้ก็หิวขึ้นมาทันทีและเขาไม่ลังเลอีกต่อไปที่จะกรีดนิ้วตนเองและหยดเลือดลงไปบนต้นไผ่แห่งชีวิตอีกครั้งหนึ่ง
ในตอนนี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการหยดเลือดลงไปบนต้นไผ่แห่งชีวิต แม้ว่ามู่อี้เพิ่งจะผ่านการต่อสู้มาและพลังที่อยู่ในร่างกายของเขาก็ยังไม่เข้าที่เข้าทาง แต่เขาก็ไม่ยอมพลาดโอกาสนี้ไปแน่นอน เพราะการหยดเลือดลงไปบนต้นไผ่แห่งชีวิตนั้นเขาต้องพยายามไม่ให้ผิดเวลาตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้..
มู่อี้กลับมาสงบนิ่งช้าๆ จังหวะการหายใจเข้าและหายใจออกของเขาสอดคล้องกับพลังที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในต้นไผ่แห่งชีวิต พลังแห่งจิตใจของเขาถูกส่งเข้าไปภายในนั้นอย่างต่อเนื่องจากนั้น พลังแห่งจิตใจที่ส่งเข้าไปนั้นก็จะกลับเข้ามาในร่างกายของเขาอีกครั้งหนึ่งเป็นวัฏจักรเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
ในตอนนี้พลังแห่งจิตใจของมู่อี้ดูเหมือนจะบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น เขารู้สึกราวกับว่าตนเองสามารถเชื่อมต่อกับต้นไผ่แห่งชีวิตได้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น และต้นไผ่แห่งชีวิตที่ปรากฏอยู่ในใจของเขานั้นก็ชัดเจนมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้มู่อี้แทบจะรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับต้นไผ่แห่งชีวิตแล้ว
ภายนอกเหมือนลมหายใจของมู่อี้เริ่มสงบนิ่งมากขึ้นเรื่อยๆจนดูเหมือนกับก้อนหินที่ไร้ชีวิต แม้แต่คนที่เดินผ่านไปมาริมฝั่งแม่น้ําเหลืองแห่งนี้ ก็อาจจะเดินผ่านเขาไปทันทีโดยไม่ได้รู้สึกเลยว่ามีคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ด้วย
ด้วยเหตุนี้ความปลอดภัยของมู่อี้จึงเพิ่มมากขึ้นไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าไม่ใช่เพราะว่าที่นี่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านมากนัก มู่อี้คงไม่เลือกที่จะหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ เพราะตอนนี้สถานการณ์ยังคงวิกฤตอยู่เขาต้องหาสถานที่ที่เงียบสงบและไม่มีใครมารบกวนเขาได้
โชคดีที่มู่อี้หาสถานที่หลบซ่อนตัวได้อย่างรวดเร็วและไม่มีใครมารบกวนเขาเลยจนกระทั่งตอนเช้า
หลังจากหยดเลือดลงไปบนต้นไผ่แห่งชีวิตตลอดทั้งคืนนั้นมู่อี้กลับไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า นอกจากนี้จิตใจของเขายังรู้สึกหนักแน่นราวกับว่ามีพลังเข้ามาเติมเต็ม ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของเขาก็เฉียบคมมากยิ่งขึ้นน่าจะเป็นเพราะพลังแห่งจิตใจของเขาที่บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น
ทันทีที่เขาลองทดสอบดูนั้น มู่อี้ก็รู้สึกได้ว่าพลังแห่งจิตใจของเขาไหลเวียนไปทั่วร่างกายได้อย่างอิสระ และยังสามารถควบคุมได้ง่ายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วพลังแห่งจิตใจของเขานั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือร่างกายของเขามากกว่า
ภายในร่างกายของมู่ในตอนนี้มีแสงจางๆที่ส่องออกมาเหนือประตูแห่งจักระบริเวณท้องน้อยของเขา แม้ว่าแสงที่ส่องออกมาจะไม่ได้สว่างมากนัก แต่ก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ตําแหน่งจักระบริเวณท้องน้อยคือตําแหน่งที่เก็บรวบรวมพลังที่สําคัญในร่างกายของมนุษย์
พลังชี่ยังคงโคจรไปทั่วร่างกายของเขาและจากนั้นร่างกายของเขาก็ค่อยๆดูดซึมพลังชี่เข้าไปช้าๆ นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมมู่อี้ต้องการเวลาที่ทําให้ร่างกายของตัวเองกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง การเคลื่อนไหวของพลังชื่นั้นทําให้กระดูก เนื้อหนัง เลือด และอวัยวะภายในส่วนที่สําคัญของเขาค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นช้าๆ
พลังชีนั้นโคจรไปทั่วร่างกายและกลับมาที่ตําแหน่งจักระบริเวณอวัยวะเพศอีกครั้งหนึ่งก่อนจะหมุนวนออกไปทั่วร่างกายของเขาอีกครั้ง
“ร่างกายของมนุษย์คือสิ่งที่ลึกลับมากที่สุดในโลกใบนี้” มู่อี้ยิ้มและเปิดตาของเขาขึ้นมาพร้อมๆกัน ร่างกายของเขาดูดซึมพลังชี้ส่วนใหญ่เข้าไปแล้วและตําแหน่งจักระบริเวณท้องน้อยของเขาก็มีพลังชี่ที่ควบแน่นอยู่เป็นจํานวนมากและยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
” พลังชี่ มองไม่เห็น ซ่อนตัวอยู่ในทุกๆส่วนของร่างกายมนุษย์”
มู่อี้เริ่มเข้าใจประโยคนี้ขึ้นมาทันที
“ในหัวใจของมนุษย์นั้นคือตําแหน่งที่มีพลังชีพลุกพล่านมากที่สุด”
มู่อี้ก็เคลื่อนไหวตามความคิดทันทีและพลังชี้ที่กระจัดกระจายไปทั่วร่างกายของเขาก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง แม้ว่ามันจะมีขนาดเล็กมากแต่พลังที่อัดแน่นอยู่ภายในนั้นก็มากกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก
ก่อนหน้านี้มู่อี้ได้โจมตีชวีหยางด้วยหมัดของเขา เพียงแค่หมัดเดียวก็ทําให้ชวีหยางต้องกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง แต่มู่อี้ก็สามารถปล่อยหมัดพลังชี่ของเขาออกไปได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น
แต่มู่อี้เชื่อว่าเมื่อเขาแข็งแกร่งขึ้น พลังในร่างกายของเขาก็จะเพิ่มมากขึ้น และอีกไม่นานหลังจากนี้เขาคงสามารถควบคุมพลังชีของตนเองได้แน่นอน
เมื่อจิตใจของเขารู้สึกผ่อนคลาย ร่างกายของเขาก็ผ่อนคลายตามไปด้วยและอาการบาดเจ็บ ต่างๆก็ค่อยๆฟื้นฟูกลับมาช้าๆ
จากนั้นมู่อี้ก็ตรวจสอบต้นไผ่แห่งชีวิตในมือของเขาทันที ในตอนนี้ต้นไผ่แห่งชีวิตไม่ได้มีสีเข้ มขึ้นเท่านั้นแต่บริเวณผิวหน้าลําต้นของมันก็มีลวดลายปรากฏขึ้นมาให้เห็น ลวดลายที่ปรากฏ นมานั้นเริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ และมันทําให้ต้นไผ่แห่งชีวิตดูลึกลับและงดงามมากยิ่งขึ้น
เมื่อตรวจสอบดูภายในอีกครั้งหนึ่งนั้นเนี่ยนหนิวเอ้อร์ยังคงหลับอยู่ในตอนนี้และหมอกที่อยู่รอบๆตัวนางก็เบาบางลงไปแล้ว กลิ่นอายของนางรู้สึกได้ว่านางพร้อมที่จะยกระดับขึ้นตลอดเวลา
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีมู่อี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา แม้ว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจะดุเดือดมากไปเสียหน่อยแต่มันก็ถือว่าคุ้มค่า น่าเสียดายที่ต้นไผ่แห่งชีวิตไม่สามารถดูดซึมพลังทั้งหมดของเห็ดซากศพมาได้ไม่อย่างนั้นแล้วเนี่ยนหนิวเอ้อร์จะต้องทรงพลังยิ่งกว่านี้แน่นอน
ส่วนเรื่องความโกรธแค้นของชวีหยางนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถแก้ไขอะไรได้ แต่เมื่อนึกถึงฉงเจียอี้ มู่อี้ก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย เพราะถ้าหากชายชราถูกจับได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา เขาคงรู้สึกเสียดายมากแน่นอน
โชคดีที่เขายังรับรู้ได้ว่าฉงเจียอี้ไม่ได้เป็นอะไร อย่างน้อยที่สุดชายชราก็ยังมีชีวิตอยู่ เขาเชื่อว่าฉงเจียอีจะต้องรอดพ้นจากข้อสงสัยของชวีหยางไปได้แน่นอน
“จ๊อก!”
ในตอนที่เขารู้สึกผ่อนคลายนั้นมู่อี้ก็ได้ยินเสียงท้องร้องที่ดังขึ้นมาทันทีและความรู้สึกหิวก็เกิดขึ้นกับเขาอย่างรวดเร็ว
มู่ลูบท้องของตนเองช้าๆและรีบออกมาจากที่ซ่อนตัวพร้อมกับต้นไผ่แห่งชีวิต เมื่อคืนนี้เขาต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้ที่ดุเดือด การเปิดประตูแห่งจักระ รวมไปถึงการหยดเลือดลงไปบนต้นไผ่แห่งชีวิต เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนมันจะเกินขีดจํากัดร่างกายของเขาไปแล้ว
ในตอนนี้พลังของมู่อี้ยังไม่อาจทําให้เขาสามารถอดข้าวอดน้ําเป็นเวลานานได้
ในตอนที่มู่อี้เดินเข้าไปในปาเล็กๆนั้น จมูกของเขาก็เหมือนจะได้กลิ่นอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที
“กลิ่นดี!”
มู่อี้จ้องมองลึกเข้าไปในป่า ทิศทางการเดินของเขาเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว
ในที่สุดมู่อี้ก็ได้เห็นที่มาของกลิ่นหอม มันมาจากหม้อขนาดใหญ่ที่กําลังตั้งอยู่บนกองเพลิง น้ําซุปที่อยู่ภายในหม้อนั้นกําลังเดือดและส่งกลิ่นหอมออกมาอยู่ตลอดเวลา
แม้ว่ามู่อี้จะรู้สึกหิวมากในตอนนี้แต่เขาก็ไม่ได้เดินเข้าไปในทันที เขาจ้องมองไปที่ผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆหม้อเหล็กที่ตั้งอยู่บนกองเพลิง และสีหน้าของเขาก็แสดงความสงสัยออกมาทันที