ตอนที่ 148 ต้องเลือก
เมื่อได้ยินคําพูดของชวี่หยาง มู่อี้ก็รู้ทันทีว่าเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์ตัวนี้มีชื่อว่าเห็ดซากศพและชื่อของมันก็ตรงไปตรงมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะร่างกายของมันก็ดูเหมือนเห็ดที่ถูกขยายขึ้นไปหลายร้อยหลายพันเท่า
ยิ่งไปกว่านั้นท่าทีของชวี่หยางก็ดูรักและหวงแหนเห็ดซากศพตัวนี้มาก เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วมู่อี้ก็อยากจะรีบช่วยเหลือต้นไผ่แห่งชีวิตของเขาทําลายเจ้าเห็ดยักษ์ตัวนี้ไปซะ
ชวี่หยางรีบวิ่งเข้าไปหาเห็ดซากศพอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันนั้นมู่อี้ก็สะบัดมือของเขาออกไปพร้อมกับแสงสีขาวที่พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
มู่อี้ไม่ได้คิดว่ายันต์ปราบปีศาจของตนเองจะสามารถทําอะไรชวี่หยางได้แต่เพียงแค่ทําให้อีกฝ่ายหยุดชะงักเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็พอแล้ว
เมื่อเห็นยันต์ปราบปีศาจที่ตรงเข้ามาหาตนเอง ชวี่หยางก็โบกมือของตัวเองออกไปรับแสงสีขาวที่พุ่งเข้ามาในตอนนี้และรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกอย่างรุนแรงทันที
แม้ว่าจะไม่มีต้นไผ่แห่งชีวิตที่อยู่ใกล้ตัวในตอนนี้ มู่อี้ก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวการต่อสู้ระยะประชิดอีกต่อไป เขาจ้องมองไปที่ชวี่หยางที่กําลังตรงเข้ามาหาตนเอง
“ปัง ปัง!”
มือและเท้าของทั้งสองฝ่ายปะทะเข้าหากันอย่างต่อเนื่องมู่ รู้สึกได้ถึงสายลมที่กําลังปะทะเข้ามาอย่างรุนแรงและในขณะเดียวกันนั้นนิ้วมือของเขาก็สะบัดยันต์ปราบปีศาจตรงเข้าไปหาชวี่หยางทันทีเพื่อทําให้ศัตรูของตนเองปั่นป่วน ดังนั้นชวี่หยางจึงไม่อาจเอาชนะมู่อี้ได้ในตอนนี้
ความจริงแล้วมู่อี้ต้องการแค่เพียงรับการโจมตีของชวี่หยางไปเรื่อยๆ เท่านั้น เพราะยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์สําหรับเขามากเท่านั้น
ความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดของเขานั้นมู่อี้ยังคงรู้สึกขอบคุณโม่หรูเยียนอยู่เสมอ ถ้าหากไม่ใช่เพราะนางเขาก็คงไม่รู้ว่าเคล็ดวิชาหมัดของตนเองนั้นสามารถนํามาใช้ในการต่อสู้ระยะประชิดได้ ก่อนหน้านี้เมื่อพลังแห่งจิตใจของเขาหมดไปนั้นก็มีเพียงความพ่ายแพ้หรือการหลบหนีเท่านั้นที่เป็นทางเลือกของเขา
แต่ในตอนนี้มันกลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
หลังจากต้นไผ่แห่งชีวิตเกาะติดอยู่กับร่างของเห็ดซากศพแล้ว เห็ดซากศพก็ดูมีอาการสั่นอย่างเห็นได้ชัดและพยายามดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา ของเหลวสีขาวไหลออกมาจากบาดแผลของมันอย่างต่อเนื่องและถูกดูดเข้าไปในต้นไผ่แห่งชีวิต ดูเหมือนว่าพลังของเห็ดซากศพกําลังถูกดูดออกไปอย่างต่อเนื่อง
ถ้าหากไม่มีเห็ดซากศพตัวนี้พลังของชวี่หยางจะลดลงไปมาก มีศพของมนุษย์ไม่น้อยกว่า 1000 ร่างที่ถูกฝังเอาไว้ภายในหลุมขนาดใหญ่แห่งนี้และเห็ดซากศพก็มีจิตวิญญาณของตัวมันเองด้วยเช่นกัน มันสามารถใช้สติปัญญาแบบง่ายๆได้
แต่สติปัญญาของมันนั้นเทียบไม่ได้กับเนี่ยนหนิวเอ้อร์แม้แต่น้อยและเห็ดซากศพทําได้เพียงเคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณของมันเท่านั้น
ก่อนหน้านี้หนวดที่เป็นเหมือนรากของมันถูกมู่อี้ตัดทําลายออกไปเป็นจํานวนมากและมันยังไม่อยากให้ต้นไผ่แห่งชีวิตเข้ามาใกล้จึงปล่อยควันพิษสีเขียวออกมาเป็นจํานวนมาก แต่ความคิดของมันนั้นก็มีผลต่อสิ่งมีชีวิตเท่านั้นย่อมไม่อาจทําอะไรต้นไผ่แห่งชีวิตหรือเนี่ยนหนิวเอ้อร์ได้อย่างแน่นอน
สําหรับสิ่งที่มีจิตวิญญาณเหมือนกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่มีคุณลักษณะเดียวกันย่อมพร้อมที่จะกลืนกินอีกฝ่ายเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับตนเอง มันเหมือนกับมนุษย์ 2 คนที่กําลังต่อสู้กันด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า ผู้ที่แพ้ต้องเสียทุกอย่างผู้ที่ชนะจะได้ทั้งหมดไป
ดังนั้นแม้ว่ามันจะมีสติปัญญาเพียงน้อยนิดเห็ดซากศพก็ยังคงรู้สึกได้ถึงความวิกฤติที่เกิดขึ้นในครั้งนี้และมันก็พยายามดิ้นรนมากยิ่งขึ้น
มู่อี้รู้สึกได้ว่าแรงกระแทกที่เขาได้รับนั้นเริ่มรุนแรงมากยิ่งขึ้นแต่เขาก็ทําได้เพียงเชื่อในตัวเนี่ยนหนิวเอ้อร์เท่านั้นเพราะในตอนนี้เปยหมิงก็เริ่มโจมตีเขาอย่างบ้าคลั่งแล้ว
มู่อี้ต้องรับมือกับศัตรูถึง 2 คนในครั้งเดียวกันและแรงกดดันที่เขาได้รับนั้นก็เพิ่มมากยิ่งขึ้นทันที แต่ในช่วงเวลาเช่นนี้เขากลับดูสงบนิ่งกว่าที่เคย เคล็ดวิชาหมัดที่เขาปลดปล่อยออกไปนั้นเป็นไปอย่างไหลลื่นและไม่มีติดขัด แต่ละหมัดที่ส่งออกไปนั้นผสานพลังแห่งจิตใจของเขาเอาไว้ด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าชวี่หยางหรือเปยหมิงเมื่อโดนหมัดของมู่อี้เข้าไปต้องมีอาการชะงักให้เห็นเล็กน้อย แม้ว่ามันจะเปลืองพลังแห่งจิตใจของเขาแต่มู่อี้ก็มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่เขาจะหยุดศัตรูทั้งสองคนเอาไว้ได้
ในระหว่างปะทะกันอยู่นั้นชวี่หยางพยายามแยกตัวออกห่างจากมู่อี้หลายครั้งเพื่อจะไปช่วยเหลือเห็ดซากศพแต่เขาก็โดนมู่เกาะติดอยู่ทุกครั้ง
“ผู้เฒ่าฉง รีบไปช่วยเหลือเห็ดซากศพเร็วเข้า” ชวี่หยางทําได้เพียงตะโกนเรียกฉงเจียอี่ที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ในตอนนี้
ในตอนที่ชวี่หยางและเปยหมิงกําลังร่วมมือกันเพื่อเอาชนะมู่อี้อยู่นั้น ฉงเจียอี่ก็ถือไม้เท้าของเขาเอาไว้แน่นและพยายามลอบโจมตีจากทางด้านหลังเพื่อช่วยเหลือมู่อี้ แต่ก่อนที่เขาจะลงมือนั้น มู่อี้ก็ส่งพลังจิตใจมาเตือนเขาว่าให้หยุดมือ
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทําไมมู่อี้ถึงสั่งให้เขาหยุดมือ แต่ฉงเจียอี่ก็ทําได้เพียงต้องเชื่อฟังมู่อี้เท่านั้น
แต่ในตอนนี้เมื่อเขาได้ยินคําสั่งของชวี่หยาง
ฉงเจียอี่ก็เข้าใจได้ทันทีว่าทําไมมู่อี้ถึงสั่งให้เขาหยุดมือก่อนหน้านี้ เพราะมู่อี้บอกกับเขาให้เข้าใจตั้งแต่แรกว่าภารกิจของเขาคือการทํายังไงก็ได้ให้ชวี่หยางเชื่อใจ เพื่อที่เขาจะได้จับตามองการเคลื่อนไหวของชวี่หยางได้ตลอดเวลา ถ้าหากหลี่เฉียจื่อปรากฏตัวขึ้นในอนาคตเขาจะสามารถแจ้งให้มู่อี้ได้ทราบในทันที
ดังนั้นตราบใดที่มู่อี้ยังไม่ออกคําสั่งอะไร ถือว่าเขายังอยู่ฝ่ายเดียวกับชวี่หยางเสมอ
หลังจากได้ยินคําสั่งของชวี่หยาง ฉงเจียอีก็ลังเลเล็กน้อย แต่เขาก็รีบวิ่งออกไปพร้อมกับไม้เท้าในมือและกระโดดเข้าไปหาเห็ดซากศพทันที
เมื่อเห็นเช่นนี้มู่อี้ก็ระเบิดพลังของตนเองออกมาทันที หลังจากใช้หมัดของตนเองกระแทกให้ชวี่หยางกระเด็นออกไปเล็กน้อยเขาก็ยกมือขึ้นมาและสะบัดยันต์ปราบปีศาจเข้าไปหาฉงเจียอี่ทันที
ฉงเจียอีรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาแต่เขาก็ยังใช้ไม้เท้าในมือของตนเองรับการโจมตีของยันต์ปราบปีศาจเอาไว้ได้ เมื่อแสงสีขาวหายไปนั้นเขาก็ต้องถอยกลับไปด้านหลัง 2 ก้าวทันที
หลังจากรับการโจมตีได้สําเร็จฉงเจียอีก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย แม้ว่าพลังของยันต์ปราบปีศาจจําไม่ได้ถือว่าอ่อนแอเลยแต่มันก็ไม่ได้ทรงพลังเหมือนกับตอนที่เขาโดนโจมตีในคืนนั้นและยันต์ปราบปีศาจแผ่นนี้ของมู่อี้ก็เป็นการบอกเขาว่าไม่ต้องทําตามคําสั่งของชวี่หยางแค่แสดงให้ดูน่าเชื่อถือก็พอ
เมื่อเห็นเช่นนี้ชวี่หยางก็ดูจะบ้าคลั่งมากยิ่งขึ้น เขาพยายามโจมตีมู่อี้ให้หนักขึ้นไปอีกเพื่อทําให้มู่อี้ไม่มีเวลาหันไปสนใจฉงเจียอีอีกต่อไป
และฉงเจียอี่ก็รีบใช้โอกาสนี้เข้าไปใกล้เห็ดซากศพทันที ตอนนี้เห็ดซากศพยังคงดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง หนวดบริเวณตําแหน่งที่ต้นไผ่แห่งชีวิตเกาะติดอยู่นั้นเริ่มมีการเปลี่ยนสีไปอย่างเห็นได้ชัดและลักษณะภายนอกก็ดูคล้ายกับเปลือกไม้เก่า
ฉงเจียอี่เหลือบมองมาที่มู่อี้ผู้ที่กําลังอยู่ในระหว่างการต่อสู้และในที่สุดเขาก็เอื้อมมือออกไปทันทีเพื่อคว้าต้นไผ่แห่งชีวิตเอาไว้แต่เขาก็คิดว่าควรจะถ่วงเวลาให้นานกว่านี้เสียหน่อย
แต่ก่อนที่มือของเขาจะสัมผัสกับต้นไผ่แห่งชีวิตได้นั้น เขาก็เห็นแสงสว่างที่ระเบิดขึ้นมาและจากนั้นก็มีเด็กสาวอายุประมาณ 5-6 ขวบปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเขา มันทําให้เขารู้สึกตกตะลึงขึ้นมาจริงๆ
ฉงเจียอีรีบถอยกลับมาอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณของตนเอง
เนี่ยนหนิวเอ้อร์ก้าวเดินออกมาจากต้นไผ่แห่งชีวิต เสื้อผ้าที่นางสวมใส่อยู่นั้นสะบัดไปตามแรงลม แม้ว่าเห็ดซากศพกําลังดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งอยู่แต่ร่างกายของนางก็ยืนนิ่งได้อยู่ไม่ไหวติง ดวงตาที่เป็นประกายของนางหลงในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่านางจ้องมองไปที่มู่อี้ที่กําลังรับมือกับศัตรูอยู่
แม้ว่ามู่อี้จะกําลังต่อสู้อยู่ในตอนนี้ แต่เขาก็แบ่งพลังแห่งจิตใจของตนเองออกไปตรวจสอบต้นไผ่แห่งชีวิตเอาไว้ด้วยเช่นกัน ในตอนที่ชวี่หยางออกคําสั่งต่อฉงเจียอี่ เขาก็รู้ได้อย่างชัดเจนว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์กําลังจะตื่นขึ้นมาแล้ว
เมื่อฉงเจียอี่เข้าไปใกล้ต้นไผ่แห่งชีวิตนั้นนางก็ตื่นขึ้นมาทันทีและพลังของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ในตอนนี้ก็สามารถรับมือฉงเจียอีได้โดยไม่มีปัญหาอะไร
เมื่อเห็นว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์ตื่นขึ้นมาแล้วนั้น มู่อี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที อย่างน้อยที่สุด ในตอนนี้เห็ดซากศพก็สามารถช่วยให้นางตื่นขึ้นมาได้
เนี่ยนหนิวเอ้อร์จ้องมองมาที่มู่อี้และสายตาของนางก็ดูเย็นชาขึ้นมาทันที นางอยากจะเข้าไปช่วยเหลือแต่ทันทีที่นางเริ่มเคลื่อนไหวนั้นฉงเจียอี่ก็มาขวางทางนางเอาไว้
เมื่อจ้องมองมาที่ฉงเจียอี่ เนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็รู้สึกสับสนเล็กน้อยเพราะนางไม่อาจรู้สึกได้ถึงเจตนาร้ายหรือความเป็นศัตรูจากฉงเจียอีเลยแต่กลับรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่คุ้นเคยบางอย่างซึ่งมาจากมู่อี้ สิ่งเดียวที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็คือฉงเจียอื่น่าจะอยู่ฝ่ายเดียวกับนาง
แต่นางก็ไม่คิดว่าเขาจะมาขวางทางตนเองเอาไว้และเด็กหญิงน้อยผู้นี้ก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที
ทันใดนั้นเท้าของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ก้าวขึ้นไปบนอากาศทันที นางพุ่งตรงเข้าไปหาฉงเจียอี่ ในตอนนี้ร่างกายของเด็กหญิงเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด เสื้อคลุมสีขาวของนางกลายเป็นชุดสีฉูดฉาดเหมือนกับนักแสดงงิ้ว ริมฝีปากและฟันของนางกลายเป็นสีฟ้าพร้อมกับเขี้ยวยาวที่งอกออกมา พลังของนางก็เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
จากพลังของนางในตอนนี้ เด็กหญิงน้อยผู้นี้น่าจะอยู่ในจุดสูงสุดของระดับวิญญาณอาฆาตและมากยิ่งกว่าฉงเจียอี่แน่นอน
แต่ไม้เท้าในมือของฉงเจียอีก็ถือเป็นอาวุธวิญญาณชิ้นหนึ่ง ในตอนนี้เสียงกระดิ่งที่แขวนอยู่บนปลายไม้เท้าก็ดังขึ้นมาทันที นี่คือวิธีการเดียวกับที่ผู้พิทักษ์วิญญาณเคยใช้กับนางในตอนนั้น
เมื่อความโกรธจากเรื่องในตอนนี้และเรื่องในอดีตผสมผสานกัน เนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็รู้สึกไม่พอใจมากยิ่งขึ้นไปอีก
แต่ฉงเจียอี่ก็ดูเหมือนจะรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยเมื่อเขาต้องลงมือจริงๆ แม้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเนี่ยนหนิวเอ้อร์แต่เขาก็รู้ดีว่ามู่ ดูแลต้นไผ่แห่งชีวิตต้นนี้ดีแค่ไหนและทุกๆวันจะต้องหยดเลือดของตนเองลงไปเป็นจํานวนมาก
เนี่ยนหนิวเอ้อร์ออกมาจากต้นไผ่แห่งชีวิตต้นนี้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่านางจะต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมู่อี้อย่างแน่นอน
แม้ว่าฉงเจียอี่จะมีไม้เท้าในมือของเขาแต่มันก็กระเด็นออกไปอย่างรวดเร็วทันที
ชวี่หยางก็จ้องมองสถานการณ์ในตอนนี้อยู่ด้วยเช่นกันและในใจของเขาก็รู้สึกเป็นกังวลมากยิ่งขึ้น เขารู้ดีว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเห็ดซากศพของเขาจะต้องถูกทําลายจริงๆแน่นอน ดังนั้นชวี่หยางจึงกัดฟันและใช้ฝ่ามือตบลงไปที่หัวใจของตัวเองทันที
“ตู้ม!”
มู่อี้ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นมาและในตอนนี้พลังแห่งความตายที่อยู่รอบๆตัวเขานั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“ซัด!”
จากนั้นมู่อี้ก็เห็นว่าชวี่หยางกําลังเปิดปากออกและดูดอากาศที่อยู่รอบๆบริเวณนี้เข้าไปอย่างรวดเร็ว พลังแห่งความตายที่อยู่รอบๆบริเวณนี้ถูกดูดเข้าไปในร่างกายของเขาทันที
เขาเห็นว่าร่างกายของชวี่หยางเริ่มขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆและลมหายใจของเขาก็ทรงพลังมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆด้วยเช่นกัน
มู่อี้ใช้ยันต์ปราบปีศาจเพื่อทําให้เปยหมิงกระเด็นออกไปอีกครั้งจากนั้นก็จ้องมองไปที่ชวี่หยางที่ดูทรงพลังมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ มู่อี้ไม่ลังเลต่อไปและใช้ยันต์สายฟ้าของตนเองออกไปทันที ในตอนนี้เขาเหลือยันต์สายฟ้าติดตัวเพียงแค่แผ่นนี้แผ่นเดียวเท่านั้น
ยันต์สายฟ้าแผ่นนี้เขาก็วาดขึ้นมาด้วยตนเองเมื่อ 2 วันก่อน ไม่คิดว่ามาถึงวันนี้เขาจะใช้ไปจนหมดแล้ว
ชวี่หยางยังคงยืนนิ่งอยู่ไม่ขยับไปไหน เมื่อเห็นว่ามู่อี้ใช้ยันต์สายฟ้าสายตาของเขาก็หรี่ลงมาทันที
“ตู้ม!”
มู่อี้ใช้ยันต์สายฟ้าออกไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่สายฟ้าผ่าลงมานั้นไม่รู้ว่าเพราะพื้นที่บริเวณนี้มีพลังแห่งความตายมากเกินไปหรือไม่พลังของสายฟ้าจึงดูอ่อนแอลงไปอย่างเห็นได้ชัด
ในตอนนี้มู่อี้เมื่อพลังจากยันต์สายฟ้าหายไปแล้ว ชวี่หยางที่ถูกโจมตีด้วยสายฟ้า นั้นก็ยังคงยืนอยู่ตรงหน้าเขา
แต่สิ่งที่ทําให้มู่อี้รู้สึกตกตะลึงก็คือผู้ที่รับการโจมตีครั้งนี้จริงๆกลับเป็นเปยหมิง
“ไม่นะ!”
ในเวลาเดียวกันนั้นชวี่หยางก็ร้องตะโกนด้วยความโศกเศร้าขึ้นมาทันทีและนี่ก็ทําให้มู่อี้รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาด้วยเช่นกัน เปยหมิงเป็นเพียงแค่ผีดิบที่เขาสร้างขึ้นมาไม่ใช่หรอ? ทําไมชวี่หยางถึงต้องดูเสียใจขนาดนี้ มู่อี้เดาได้ว่าเปยหมิงต้องทําแบบนี้ด้วยตัวเองไม่ใช่เพราะคําสั่งของชวี่หยางอย่างแน่นอน
สายฟ้าหายไปแล้วเผยให้เห็นเปยหมิงที่นอนอยู่บนพื้น ในตอนนี้ร่างกายของนางดําไหม้เกรียมและลมหายใจของนางก็เริ่มเบาบางและขาดช่วงไป
ในตอนนี้ดูเหมือนว่าร่างกายของชวี่หยางจะเปลี่ยนแปลงเสร็จสมบูรณ์แล้ว ร่างกายของเขาสูงขึ้นและกลิ่นอายที่ออกมาจากร่างกายของเขานั้นก็ดูอันตรายยิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยก็มากกว่าก่อนหน้านี้ถึง 2 เท่า
แม้ว่ามู่อี้จะมั่นใจในตนเองแต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ประมาท ในตอนนี้เขาไม่มียันต์สายฟ้าอีกต่อไปและต้นไผ่แห่งชีวิตก็ไม่ได้อยู่ข้างกายเขา สิ่งเดียวที่เขาสามารถใช้ได้ก็คือตะเกียงทองแดง แต่ปกติแล้วเขาจะใช้ตะเกียงทองแดงเป็นทางรอดสุดท้ายของตนเองเท่านั้นเพราะมันสิ้นเปลืองพลังแห่งจิตใจของเขาอย่างมาก
ความเกรี้ยวกราดของชวี่หยางในตอนนี้นั้นทําให้เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีทางที่เขาจะรับมืออีกฝ่ายได้ง่ายๆแน่นอน เขาต้องรีบหนีไปจากที่นี่แล้ว แต่ในขณะเดียวกันนั้นต้นไผ่แห่งชีวิตก็ยังคงดูดซึมพลังชีวิตจากเห็ดซากศพอย่างต่อเนื่อง ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้วคงไม่ใช่เวลาสั้นๆ มู่อี้รู้ดีว่านี่คือโอกาสที่หาได้ยากสําหรับเนี่ยนหนิวเอ้อร์
ดังนั้นเขาจึงรู้สึกลังเลขึ้นมา