ตอนที่ 141 พื้นที่บริสุทธิ์ที่หลงเหลืออยู่
ท่านลุงไฉจ้องมองมาที่โม่หรูเยียนและไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่เพียงแค่หยุดม้าของเขาไว้ข้างๆ นางเท่านั้น ส่วนขบวนรถม้ายังคงเดินทางต่อไปช้าๆและขบวนรถม้าก็เคลื่อนตัวผ่านโม่หรูเยียนที่ยังคงดูเหม่อลอยในตอนนี้ไป
พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าโม่หรูเยียนกําลังคิดอะไรอยู่ในตอนนี้และพวกเขาก็ยังคิดถึงสิ่งเดียวกับนางด้วยเช่นกัน
พวกเขากําลังจะออกเดินทางไปจากโรงเตี๊ยมที่มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ดังนั้นสิ่งที่พวกเขากําลังคิดถึงอยู่ในตอนนี้ย่อมเป็นความประทับใจที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้
“ท่านลุงไฉ ท่านคิดว่าพวกเราจะได้พบกับเขาอีกในอนาคตงั้นหรือ?” หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่งโม่หรูเยียนก็ถามขึ้นมาเบาๆ
“ใช่แล้ว” ท่านลุงไฉพยักหน้าและตอบกลับมา
“ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงๆข้าก็จะพยายามฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อให้ความแตกต่างของข้ากับเขาลดน้อยลงไปให้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นแล้วข้าคงไม่กล้าพบหน้าเขาอีกครั้งอย่างแน่นอน” โม่หรูเยียนตอบกลับมาเบาๆแต่ไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ในตอนนี้และใบหน้าของนางก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาทันที เมื่อนางยิ้มขึ้นมาความงามของนางก็เพิ่มมากขึ้นไปอีก
“นายท่าน พวกเราจะไปที่ไหนต่อหรือขอรับ?” ในโรงเตี๊ยมฉงเจียอี่จ้องมองมาที่มู่อี้ด้วยสายตาที่ดูเคารพ ท่าทีของเขานั้นไม่มีความไม่เต็มใจหลงเหลืออยู่เลยและมีเพียงความเคารพเท่านั้นที่แสดงออกมา
“ไปที่ที่เจ้าอาศัยอยู่ก่อน ข้าอยากจะพักสัก 2 วัน” มู่อี้ตอบกลับมาเบาๆ หลังจากควบคุมชีวิตและความตายของอีกฝ่ายได้แล้วเขาก็ไม่กลัวว่าฉงเจียอี่จะหักหลังตัวเองเลย ในตอนนี้ทั้งชีวิตและดวงวิญญาณของฉงเจียอี่ถือว่าเป็นทาสของเขาอย่างสมบูรณ์ ถ้าหากชายชรากล้าขัดขืนคําสั่งมู่อี้ แม้แต่น้อยมู่อี้ก็ยินดีที่จะทําให้ชายชราคนนี้ตายไปโดยไม่ลังเลเลย
แน่นอนว่าการอยู่ภายใต้การควบคุมของมู่อี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย อย่างน้อยถ้าหากพลังของมู่อี้เพิ่มมากขึ้นก็เป็นผลดีต่อฉงเจียอี่ด้วยเช่นกันและมู่อี้ยังสามารถถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆให้กับฉงเจียอี่ได้ในอนาคต รวมถึงสิ่งที่ฉงเจียอี่ต้องการมากที่สุดนั่นก็คือการได้ก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจ
แต่ไม่ว่าอย่างไรมู่อี้ก็ทําได้เพียงแนะนําเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วฉงเจียอี่จะยกระดับตนเองได้สําเร็จหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง โคลนเหลวไม่มีทางก่อตัวเป็นกําแพงได้แน่นอน เขาจะสําเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองไม่ใช่เพราะมู่อี้
ฉงเจียอี่ก็เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับตัวเขาเองเท่านั้นแม้ว่าจะมีคนอื่นที่คอยช่วยเหลือแต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ปัจจัยทางอ้อมเท่านั้น
“ได้ขอรับ!”
จนถึงตอนนี้ฉงเจียอีก็ไม่เคยขัดคําสั่งของมู่เลย หลังจากมู่อี้พูดอะไรออกมาเขาก็จะรีบทําตามทันที
ในที่สุดโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้นและบางทีหลังจากนี้อาจจะมีผู้ที่เข้ามาเป็นเจ้าของมันอีกครั้งหนึ่ง หลังจากเจ้าของโรงเตี๊ยมคนเก่าและเสียวเอ้อที่ทํางานอยู่ที่นี่ตายไปผู้คนที่ผ่านไปมาคงจะลืมเลือนพวกเขาไปในไม่ช้า
แต่เขาเชื่อว่าคงมีหลายๆคนที่ไม่อาจลืมเลือนโรงเตี๊ยมแห่งนี้ไปได้ โม่หรูเยียน ท่านลุงไฉ ผู้คุ้มกันทั้งหลายที่รอดชีวิตจากที่นี่ไปได้ รวมไปถึงมู่อี้ก็ด้วยเช่นกัน
” ท่านผู้เฒ่าแมลงกลับมาแล้ว”
” ท่านผู้เฒ่าแมลง!”
“ท่านผู้เฒ่าแมลง ท่านกลับมาแล้วหรอ”
“ท่านผู้เฒ่าแมลง มีแขกมาด้วยหรอ? เช่นนั้นเดี๋ยวข้าจะนําไก่มาให้ท่าน 2 ตัวนะ”
มู่อี้เดินตามฉงเจียอี่เข้าไปยังสถานที่ที่อีกฝ่ายอาศัยอยู่ แต่สิ่งที่เขาได้เห็นในตอนนี้ก็ทําให้เขารู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย
ที่นี่คือหมู่บ้านเล็กๆ ที่ไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรมากนัก หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเหลืองมีคนประมาณ 10 กว่าคนเท่านั้นที่อาศัยอยู่ที่นี่ วิถีชีวิตของผู้คนก็ดูเรียบง่ายอย่างยิ่ง แม้ว่าจะมีหลายคนที่ดูหวาดกลัวเล็กน้อยเมื่อได้เห็นตาหนิวแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเพราะเป็นชายชราที่นําพวกเขาเข้ามาที่นี่
ท่าทีของคนในหมู่บ้านที่มีต่อฉงเจียอี่ก็ทําให้มู่อี้ต้องรู้สึกประหลาดใจด้วยเช่นกัน
เดิมที่มู่อี้คิดว่าคนอย่างฉงเจียอื่นั้นถ้าไม่ได้อยู่คนเดียว ก็ต้องเป็นที่เกลียดชังของคนอื่นๆ แต่ตอนนี้มู่อี้รู้แล้วว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นผิดไปทั้งหมดเลย
“นายท่านคงรู้สึกแปลกประหลาดใช่หรือไม่ขอรับ?” ฉงเจียอี่เห็นท่าทีของมู่อี้จึงถามออกมาเบาๆ
“ก็นิดหน่อย” มู่อี้พยักหน้าตอบ
“ที่นี่คือบ้านของข้า ไม่ว่าอยู่ข้างนอกข้าจะก่อกรรมทําชั่วมากเพียงใด มือของข้าจะเปื้อนเลือดมากมายขนาดไหน แต่เมื่ออยู่ที่นี่ข้าก็กลายเป็นชายชราคนหนึ่งที่มีความรู้ในด้านสมุนไพรเล็กน้อยเท่านั้น และถ้าหากว่าท่านมีความรู้สึกที่ไม่สบายใจใดๆในช่วง 2 วันนี้ โปรดบอกข้ามาได้เลย ข้าพร้อมที่จะช่วยท่านเท่าที่ข้าทําได้” ฉงเจียอียิ้มขึ้นมาในขณะที่จ้องมองออกไปยังหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ สีหน้าของเขาแสดงอารมณ์หลายๆอย่างออกมา
ท่าทีของเขาในตอนนี้ดูไม่ออกเลยว่าจะเป็นคนเดียวกับผู้ที่สังหารเจ้าของโรงเตี๊ยมและเสี่ยวเอ้อของที่นั่นอย่างเลือดเย็น ในตอนนี้ฉงเจียอี่เป็นเพียงแค่ชายชราธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
ไม่ว่าเขาจะเป็นคนที่ชั่วร้ายมากเพียงใดก็ย่อมมีพื้นที่บริสุทธิ์ที่หลงเหลืออยู่ในจิตใจเสมอ บางทีสําหรับฉงเจียอี่แล้วหมู่บ้านเล็กๆที่สงบสุขแห่งนี้คงเป็นพื้นที่บริสุทธิ์ที่หลงเหลืออยู่ในจิตใจของเขา
ฉงเจียอี่เป็นคนดีหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ แต่สําหรับผู้คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ชายชราผู้นี้ย่อมเป็นคนดี เป็นคนที่ดีมาก
เมื่อได้สัมผัสถึงความรู้สึกที่ซับซ้อนมู่อี้ก็เดินตามฉงเจียอี่เข้าไปในบ้านของเขา บริเวณลานหน้าบ้านนั้นมีสมุนไพรที่ปลูกเอาไว้มากมายเห็นได้ชัดว่าชายชราเป็นผู้ที่ปลูกเอาไว้ นอกจากนี้ยังมีต้นอ่อนของสมุนไพรที่กําลังงอกขึ้นมาจากพื้นดินอีกด้วย
ฉงเจียอี่มีชีวิตที่สุขสบายเช่นนี้แล้ว เหตุใดเขาต้องทําเรื่องแบบนั้นด้วย นี่เขาโง่หรือเปล่า?
“บ้านของข้าอาจจะดูต่ำต้อยไปหน่อยสําหรับนายท่านขอรับ” ในตอนที่เปิดประตูบ้านเข้าไปนั้นฉงเจียอี่ก็ดูอับอายเล็กน้อย ในตอนที่เขาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากนักแต่เมื่อต้องพาคนที่เป็นเจ้านายของตนเองเข้ามาที่นี่ด้วยเขาก็รู้สึกอับอายขึ้นมาทันที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้าหนิวที่เดินเข้ามาภายในบ้าน มันต้องย่อตัวอยู่ตลอดเวลา
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าเองก็ไม่ใช่คนสูงศักดิ์อะไรนัก ที่ข้าอาศัยอยู่เลวร้ายยิ่งกว่านี้อีก” มู่อี้ยิ้มแต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรอยู่แล้วเพราะบ้านที่เขาอาศัยอยู่ในตอนนี้ก็คือวัดร้าง เมื่อเทียบกันแล้วที่นี่ยังดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเห็นว่าอี้พึงพอใจ ฉงเจียอี่ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที
มู่อี้ตัดสินใจพักอยู่ที่นี่สัก 2 วัน ในขณะเดียวกันนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้ควบคุมชีวิตและความตายของคนอื่นๆ แม้ว่าพิธีกรรมจะสําเร็จไปได้ด้วยดี แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่ามันจะมีผลต่อตนเองมากแค่ไหนดังนั้นเขาจึงต้องใช้เวลาเพื่อตรวจสอบดูก่อน และถ้าหากฉงเจียอี่สามารถทําตามที่เขาสั่งได้เป็นอย่างดีเช่นนั้นอีกฝ่ายก็ถือเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดคนหนึ่งของเขาเลย
อีกเรื่องหนึ่งก็คือมู่อี้ยังต้องทําการหยดเลือดใส่ต้นไผ่แห่งชีวิตและรอคอยให้เนี่ยนหนิวเอ้อร์ตื่นขึ้นมา ครั้งนี้เนี่ยนหนิวเอ้อร์ดูเหมือนจะสูญเสียพลังของนางไปมากจนกระทั่งตอนนี้นางก็ยังไม่ตื่นขึ้นเลย ดังนั้นมู่อี้จึงเริ่มรู้สึกกังวลใจขึ้นมาบ้างแล้ว
แน่นอนว่าท้ายที่สุดเขาก็ต้องการให้ฉงเจียอี่จับตาดูชวี่หยางเอาไว้แต่เรื่องเช่นนี้มู่อี้ย่อมไม่มีทางประมาทแน่นอน
ใน 2 วันที่ผ่านมานั้นมู่อี้ไม่ได้นิ่งเฉยเลยเขาหยดเลือดใส่ต้นไผ่แห่งชีวิตและบอกเล่าประสบการณ์ของตนเองให้ฉงเจียอี่ได้ฟัง ในเวลาเดียวกันมู่อี้ก็เริ่มมีความคิดที่จะฝึกฝนต้าหนิวอย่างจริงจัง แม้ว่าต้าหนิวจะมีพละกําลังมหาศาลแต่มันก็เชื่องช้าเกินไป ถ้าหากได้เจอกับศัตรูที่รวดเร็วไม่มีทางที่มันจะสัมผัสร่างกายของศัตรูได้เลย
เหมือนกับตอนที่มันได้ปะทะกับแฝดผีแห่งเหอเจี้ยนก่อนหน้านี้ ถ้าหากความเร็วของมันตาม 2 คนนั้นได้ทันการต่อสู้คงจะจบลงอย่างรวดเร็วแต่ในตอนนี้มู่อี้มีเพียงแค่ความคิดริเริ่มในใจของเขาเท่านั้น ส่วนวิธีการฝึกฝนต้าหนิวนั้นเขาต้องรอให้เนี่ยนหนิวเอ้อร์ตื่นขึ้นมาก่อน
2 วันที่ผ่านมานั้นทําให้ฉงเจียอี่รู้สึกเคารพในตัวมู่อี้มากยิ่งขึ้น แม้ว่าเวลา 2 วันจะไม่เพียงพอให้เขาได้มีพัฒนาการอะไรมากนักแต่อย่างน้อยมันก็ทําให้ความหวังของเขาเพิ่มขึ้นมา
ยิ่งรวมกับการถูกควบคุมชีวิตและวิญญาณทําให้ความเคารพที่เขามีต่อลู่อี้นั้นก็มากยิ่งขึ้นไปอีก
ในตอนบ่ายขณะที่มู่อี้กําลังบอกเล่าประสบการณ์ต่างๆให้กับฉงเจียอี่ได้ฟังนั้น ก็มีเสียงที่ดังมาจากนอกบ้านทันที ” ท่านผู้เฒ่าอยู่บ้านหรือเปล่าขอรับ?”
น้ำเสียงที่ตะโกนเข้ามานั้นแฝงเอาไว้ด้วยความเคารพและความหนักแน่น เพียงแค่ได้ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ได้ทันทีว่าคนคนนี้ต้องเป็นคนสําคัญในหมู่บ้านแห่งนี้อย่างแน่นอน
“นายท่านอยู่ที่นี่ก่อนนะขอรับ ข้าจะออกไปพบเขาหน่อย” ฉงเจียอี่ลุกขึ้นมาและเดินออกไปนอกบ้านทันที
” ท่านผู้เฒ่า ข้าได้ยินว่าท่านกลับมาแล้วและเจ้านายของข้าก็บอกให้ท่านไปพบ” หลังจากที่ฉงเจียอี่เดินออกมาเสียงนั้นก็พูดต่อทันที
“ข้าทราบแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถอะ บอกเจ้านายของเจ้าว่าข้าจะไปหาคืนนี้” ฉงเจียอี่พูดออกมาด้วยเสียงต่ำและดูจากคําพูดของชายอีกคนแล้วเหมือนว่าเขามาที่นี่เพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง
เมื่อได้ยินคําพูดของชายคนนั้นมู่อี้ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเขาเป็นคนที่ชวี่หยางส่งมาที่นี่อย่างแน่นอน ส่วนอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่นั้นมู่อี้ไม่แน่ใจและในเวลาเดียวกันเขาก็เข้าใจได้ว่าคําพูดของชายคนนี้หมายความว่าอย่างไร
เพราะฉงเจียอี่ก็ถือว่าเป็นคนที่ร่วมมือกับชวี่หยางก่อนหน้านี้และในตอนที่ยวหยางกําลังต่อสู้อยู่กับมู่อี้ ฉงเจียอีก็พยายามขโมยกุญแจออกไป แม้ว่าชายชราจะโดนยันต์ปราบปีศาจของมู่อี้เข้าไปแต่ชวี่หยางก็คิดว่าเขาจะต้องเอาชีวิตรอดออกมาได้สําเร็จแน่นอน
ดูจากความปรารถนาของชวี่หยางที่มีต่อกุญแจแล้ว รวมไปถึงความฉลาดเจ้าเล่ห์ของเขา เขาย่อมต้องส่งคนมาคอยจับตามองหมู่บ้านแห่งนี้เอาไว้
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้วการที่มู่อี้เข้ามาที่หมู่บ้านแห่งนี้ ชวี่หยางก็คงทราบเรื่องนี้แล้วแน่นอน
แล้วชวี่หยางส่งคนมาที่นี่เพื่ออะไรกัน? หรือว่าอีกฝ่ายก็ยังไม่แน่ใจ?
ในตอนนี้มู่อี้ไม่อาจรู้ได้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นอย่างไร ดังนั้นเขาจึงทําได้เพียงรอฉงเจียอี่พูดคุยกับชายที่มาในตอนนี้ให้เสร็จสิ้นก่อนจากนั้นค่อยถามคําตอบจากฉงเจียอี
“นายท่านขอรับ ชวี่หยางส่งคนมาเชิญข้าให้ไปหาคืนนี้” ฉงเจียอี่บอกกล่าวตามตรง
“เขารู้หรือยังว่าข้าอยู่ที่นี่ด้วย?” มู่อี้ถามขึ้นมาทันที
” น่าจะยังขอรับ ข้าบอกท่านไปแล้วว่าชาวบ้านทุกคนที่นี่ไม่มีทางปากสว่างแน่นอนและชายคนที่มาเมื่อครู่นี้ก็เพิ่งจะมาถึงที่นี่ นายท่านไม่ต้องกังวลไปหรอกขอรับ” ฉงเจียอี่ตอบกลับมาทันที
มู่อี้พยักหน้าและรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินคําตอบจากฉงเจียอี่ เขาได้แต่หวังว่าฉงเจียอี่จะไม่ทําอะไรผิดสังเกตจนชวี่หยางรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
ยิ่งกว่านั้นถ้าหากไม่มีฉงเจียอี่ มู่อี้ก็ไม่รู้ว่าเขาจะไปหาใครที่มาทํางานแบบนี้ให้กับตนเองได้ มีเพียงฉงเจียอี่เท่านั้นที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชวี่หยาง ถ้าหากหลี่เฉียจื่อกลับมาแก้แค้นเขาต้องการทราบเรื่องนี้เป็นคนแรก
“แม้ว่าข้าจะเคยพบกับชวี่หยางมาแค่ครั้งเดียวแต่ข้าก็รู้ดีว่าเขาเป็นคนที่ฉลาดเจ้าเล่ห์มากเพียงใด เจ้าต้องระวังตัวให้ดี” มู่อี้กล่าวเตือน
” ขอบคุณที่นายท่านเป็นห่วงข้าขอรับ เจียจะระวังตัวให้ดี” ฉงเจียอี่ตอบกลับมาทันที
“คืนนี้ข้าจะไปกับเจ้าด้วย หากมีอะไรผิดสังเกตข้าจะได้รับรู้ได้ทันท่วงที แต่เมื่ออยู่ที่นั่นแล้ว เจ้าต้องพึ่งพาตัวเจ้าเองเท่านั้น” มู่อี้คิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดออกมาด้วยความไม่สบายใจเล็กน้อ
“ขอบคุณขอรับนายท่าน” สิ่งที่มู่อี้พูดมาฉงเจียอี่ย่อมไม่อาจปฏิเสธได้อยู่แล้ว แม้ว่าเขาจะเชื่อว่าชวี่หยางจะไม่อาจรับรู้ได้ถึงเรื่องผิดปกติระหว่างเขากับมู่อี้แน่นอน แต่เขาก็ยังรู้สึกกังวลเล็กน้อยและต้องเตรียมตัวให้ดี
มู่อี้ก็รู้สึกสงสัยในชวี่ยี่จวงด้วยเช่นกัน เพราะจากที่ฉงเจียอี่พูดมาก่อนหน้านี้ที่นั่นมีผีดิบอยู่เป็นจํานวนมาก ยากที่บุคคลภายนอกจะบุกเข้าไปได้ ด้วยเหตุนี้มู่อี้จึงอยากจะรู้ว่ามีความลับอะไรบ้างที่ซ่อนอยู่ภายในนั้น
ในขณะที่รอเวลาให้ถึงตอนกลางคืนนั้น มู่อี้ก็ได้คิดเรื่องบางอย่างขึ้นมา จากนั้นเขาก็มอบไม้เท้าของผู้พิทักษ์วิญญาณให้กับฉงเจียอี
“นี่ นี่มัน”