[เผ่าพันธุ์] ก็อบลิน
[เลเวล] 5
[คลาส] ลอร์ด , หัวหน้ากลุ่ม
[ทักษะ] <<Ruler of the Horde>> <<ปฏิปักษ์>> <<คำรามอย่างรุนแรง>> <<ความชำนาญการใช้ดาบ B – >> <<ความละโมบที่ไม่สิ้นสุด>> <<การจ้องมองจากปีศาจ>> <<จิตวิญญาณของราชัน>> <<ผู้ควบคุมแห่งปัญญา>> <<ดวงตามรกตของงู>> <<การเต้นรำแห่งความตาย>> <<ดวงตาของงูสีชาด>> <<การจัดการเวทมนตร์>> <<นักรบคลั่ง>> <<Third Impact>> <<สัญชาตญาณ>> <<ผู้ควบคุมแห่งปัญญา II>>
[การคุ้มครองจากพระเจ้า] เทพธิดาแห่งนรก อัลทีเซีย
[แอตทริบิวต์] ความมืด, ความตาย
[สัตว์ใต้บังคับบัญชา] โคโบลชั้นสูง ฮาสุ (เลเวล 1) กัสต้า (เลเวล 20) ซินเธีย (เลเวล 20) บุย (Lv36)
[สถานะผิดปกติ] <<เสน่ห์ของนักบุญ>>
◇◆◇
[ก็อบลิน] กิก้า
ก็อบลินที่อาศัยอยู่ผู้นำคนก่อนพ่ายแพ้ให้กับออร์ค แต่ปัจจุบันเขาเป็นก็อบลินที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของผม เขาเป็นผู้ใช้หอก
[ก็อบลิน] กิกูว
อดีตผู้นำหมู่บ้าน เขาถูกกดดันเพื่อสละตำแหน่งให้กับผม เขาใช้ดาบยาวและค่อนข้างฉลาดถ้าเทียบกับก็อบลินแรร์ทั่วไป
[ก็อบลิน] กิกิ
เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ฝึกสัตว์ เขาเลื่อนคลาสในหลังจากการล่ากวางเอเรล เป็นความสามารถที่ค่อนข้างหายากและเขาชอบที่จะใช้ขวาน
[ก็อบลิน] กิโก
ก็อบลินที่มีบาดแผลมากมายทั่วร่าง อาหารส่วนใหญ่มักถูกขโมยโดยเกรย์วูฟ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะติดตามผม เขาเป็นคนที่มีประสบการณ์มากที่สุดในหมู่พวกก็อบลินแรร์
[ก็อบลิน] กิซาร์
ดรูอิด (ก็อบลินแรร์) ผู้ใช้เวทย์ลม ที่เพิ่งเข้ากลุ่มมา
[ก็อบลิน] กิจิ
ก็อบลินแรร์ที่เลื่อนคลาส (ตอนที่ 37) จากการออกล่ากับกลุ่มของกิก้า
[ก็อบลิน] กิโด
ดรูอิดผู้ใช้เวทย์ลม
[ก็อบลิน] กิจี
ก็อบลินแรร์จากกลุ่มของกิกูว เขามีทักษะ <<ดวงตาที่เปิดกว้าง>> ซึ่งทำให้เขาสามารถเห็นจุดอ่อนของคู่ต่อสู้
[ก็อบลิน] กิด้า
ก็ก็อบลินแรร์จากกลุ่มของกิก้า เขามีทักษะที่โดดเด่นอย่าง <<ความรู้เกี่ยวกับหอก>> และ <<ดื้อรั้นอย่างไม่มีเหตุผล>>
[ก็อบลิน] กิซู
ก็อบลินแรร์ผู้ถูกเทพเจ้าผู้บ้าคลั่ง (ซู โอรุ) คุ้มครอง มีทักษะ<< Mad Dog >>
◇◆◇
ซินเธียและกัสต้ากำลังเล่นกับหางของผม เหมือนของเล่นสำหรับแมวเมื่อผมส่ายมัน
เมื่อเร็ว ๆ นี้ซินเธียและกัสต้าโตขึ้นจนมีขนาดประมาณ 50 เซนติเมตร
แม้แต่เลเวลของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน พวกเขาตอนนี้อยู่ที่เลเวล 20
ผมปล่อยให้พวกเขาทำตัวเหมือนเด็กไปตลอดไม่ได้
ในบางครั้งทั้งพวกเขาและฮาสุจะลงเอยด้วยการต่อสู้กันเอง แต่เนื่องจากมันไม่ได้เป็นอันตรายร้ายแรง ผมจึงเฝ้าดูพวกเขาอย่างเงียบ ๆ
ผมเดาว่าถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้นพวกเขาคงกำลังตัดสินอันดับเพราะพวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่คล้ายกันมาก ผมหมายถึงโคโบลและหมาป่าต่างก็เป็นสุนัขเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?
อย่างไรก็ตาม มันเป็นเวลาสามวันแล้วที่ผู้ส่งสารเข้ามาและเราได้ทำการซ่อมแซมหมู่บ้านไป
ระหว่างนั้น ผมสั่งให้ออร์คที่อาศัยอยู่ทางทิศเหนือ ให้มารับศพที่หมู่บ้าน งานต่าง ๆ จึงง่ายขึ้นมาก
ครึ่งหนึ่งของกับดักที่เราทำไว้กลับมาใช้งานได้อีกครั้งและ 10% ของรั้วเพิ่งได้รับการซ่อมแซม
นอกจากนี้เรายังเริ่มหาทรัพยากรจำนวนมาก ขณะที่เราทำเช่นนั้น ผมก็ตรวจสอบแผนการที่จะทำไปด้วย
แผนคือทิ้งก็อบลินจำนวนน้อยที่สุดไว้กับมนุษย์ ในขณะที่เรามุ่งหน้าไปทางตะวันตก เมื่อไปถึงที่นั่น ผมวางแผนที่จะเปลี่ยนหมู่บ้านกันระให้เป็นฐานทัพและทำให้เผ่าอื่น ๆ อยู่ภายใต้การปกครองของผม
แน่นอนว่าผมไม่ได้พูดส่วนนั้นกับผู้ส่งสาร
เป้าหมายสุดท้ายคือการได้มาซึ่งป้อมปราการแห่งนรก ที่นั่นผมจะสร้างอาณาจักรของตัวเอง
ผมคิดว่าผมอาจจะพามนุษย์และโคโบลไปด้วย
เมื่อผมนำแผนนี้ไปสู่การปฏิบัติ หมู่บ้านจะถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีใครดูแลเป็นเวลานาน
เมื่อถึงเวลานั้น ผู้ที่จะปกป้องมนุษย์คือ …
สายตาของผมหันไปมองเกรย์วูล์ฟที่กำลังเล่นกับหางของผม ซินเธียนอนหงายทำตัวขี้เล่นเหมือนเช่นเคย ในขณะที่กัสต้าดูเหมือนจะเบื่อกับการเล่นและหาว
พวกเขาคล้ายกับโคโบลชั้นสูงฮาสุมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ปกป้องหมู่บ้าน – ปกป้องเรเชีย ปกป้องเธอไว้ให้ดีเข้าใจมั้ย?”
ผมลูบหัวเล็ก ๆ ของกัสต้าขณะที่พูดคำเหล่านั้น แล้วเขาก็เห่ากลับว่าโฮ่ง! แม้ผมจะไม่รู้ว่าเขาเข้าใจมันจริง ๆ หรือไม่
อย่างไรก็ตามผมจะต้องทิ้งก็อบลินแรร์ไว้เบื้องหลังเพื่อจัดการหมู่บ้าน
คำถามคือ …ผมควรจะเลือกใคร?
เมื่อพิจารณาถึงมนุษย์แล้ว ผมจึงเลือกดรูอิด
“ราชาเรียกข้าหรือ?” กิซาร์กล่าวขณะที่เข้าไปในบ้านของราชา
“ใช่ มีบางอย่างที่ข้าอยากจะถามเกี่ยวกับชนเผ่า” ผมตอบ
มือของเขากอดอกและมีเสื้อคลุมบนร่างกายคล้ายนักวิชาการ ผมสงสัยว่าทำไมเขาถึงเป็นก็อบลิน
“ก็อบลินของพวกเราแตกต่างอย่างไรกับเผ่าทั้งสี่?” ผมพูดต่อ
“ท่านพูดถึงอะไรที่แตกต่างใช่มั้ย? …” ในขณะที่เขาครุ่นคิดถึงคำถาม เขาก็หลับตาลงต่อหน้าผม “ใช่ ข้าคิดว่าเคยพูดถึงเรื่องเหล่านี้มาแล้ว แต่ทั้งสี่เผ่าได้แก่กอร์ด็อบ เกิร์ดการ์ พาราดัวและกันระ แต่ละเผ่าเหล่านี้มีเลือดของบรรพบุรุษก็อบลินที่ติดตัวอยู่”
เรื่องราวนี้ผมเคยได้ยินมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำหรือสไตล์การต่อสู้ของพวกเขา ดังนั้นผมจึงเก็บมันไว้ในใจขณะที่ฟังต่อไป
“สำหรับความสามารถของพวกเขา” กิซาร์กล่าว “มันแตกต่างกันไปในแต่ละชนเผ่า”
นั่นคือสิ่งที่ผมอยากรู้ ชนเผ่าเหล่านี้ได้ผันตัวมาเป็นกลุ่มต่าง ๆ ด้วยอะไรทำนองนั้น มันคงไม่แปลก หากพวกเขาสามารถบรรลุเส้นทางวิวัฒนาการที่แตกต่างกันได้
กิซาร์พูดต่อ
“เผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดคือเผ่าเกิร์ดการ์ที่มีความแข็งแกร่งเหนือมนุษย์ ในขณะที่เผ่าพาราดัวเด่นในด้านไรเดอร์บีสต์?”
ไรเดอร์บีสต์?
“มันคืออะไร?”
“หากท่านไม่เคยเห็นมาก่อน มันอาจจะอธิบายได้ยาก แต่โดยพื้นฐานแล้วพวกมันเป็นสัตว์สี่ขา ก็อบลินของพาราดัวขี่พวกมันเหมือนกับที่ลอร์ดกิกิขี่สัตว์เลี้ยงของเขา”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไรเดอร์ก็คือผู้ขับขี่
“ชนเผ่ากอร์ด็อบเก่งในการใช้เวทมนตร์ สำหรับชนเผ่ากันระพวกเขามีความคล่องแคล่วที่สุดในบรรดาเผ่าต่าง ๆ แม้แต่ในเผ่าทั้ง 4 พวกเขาก็เป็นเผ่าเดียวที่สามารถประดิษฐ์และใช้ธนูได้”
“แล้วเผ่ากอร์ด็อบก็เป็นผู้ใช้เวทมนตร์ทั้งหมดงั้นเหรอ?”
“ข้าก็ไม่ค่อยทราบข้อมูลที่แน่ชัดเช่นกัน ลองถามผู้ส่งสารคนนั้นแทนเป็นไง?”
มันค่อนข้างยาก …แต่ก็จริง ถ้าจำเป็น ผมควรจะถามเขา
ไม่ว่าจะกรณีใดดูเหมือนว่าทั้งสี่เผ่าจะมีพละกำลัง ความเร็ว ธนูและเวทมนตร์ใช่มั้ย?
ผมต้องการพวกเขา
แนวหน้าคือก็อบลินผู้ทรงพลัง พลังเคลื่อนที่ของก็อบลินที่ขี่สัตว์อสูร ก็อบลินที่สามารถต่อสู้จากระยะไกลและก็อบลินที่มีทักษะเวทมนตร์ หากผมมีสิ่งเหล่านี้ การสร้างอาณาจักรของผมจะไม่เป็นเพียงแค่ความฝัน
ในที่สุดชิ้นส่วนที่จำเป็นในการต่อสู้กับมนุษย์ก็มารวมกัน
สิ่งที่เหลืออยู่คือการได้รับ ผมต้องได้มันมา!
และทักษะในการขับขี่ …หากแม้แต่ก็อบลินธรรมดาอย่างเราสามารถต่อสู้บนสัตว์อสูรได้ …ผมก็อยากจะได้ทักษะนั้น
นี่เป็นเรื่องสมมุติ …หากสิ่งนั้นเป็นไปได้ …แล้วก็อบลินที่สูญเสียขาจะต่อสู้ได้อีกครั้งหรือไม่?
…
กิก้า แรกซ์
มุมปากของผมบิดเป็นรอยยิ้ม
รอผมก่อน
◇◆◆
ในบรรดาอารมณ์ที่มนุษย์มี การเอาใจใส่เป็นสิ่งที่ไม่เหมือนเผ่าพันธุ์ใดมากที่สุดเมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ
มันอาจจะเรียกว่าความสัมพันธ์ เพราะนับตั้งแต่การโจมตีของออร์ค ลิลลี่ก็ไม่ต้องดูแลมนุษย์คนอื่นมากนัก
“พี่ใหญ่” เบิร์นและนอแมนเรียกเธอ พวกเขามีดาบรอบเอวของแต่ละคน
ลิลลี่อดไม่ได้ที่จะทำหน้ามุ่ยด้วยความไม่พอใจเมื่อเธอได้ยินคำพูดเหล่านั้น
“ฉันไม่ได้บอกไปแล้วหรือไง ให้หยุดเรียกฉันว่า ‘พี่ใหญ่’ !” เธอตะคอก
“ขอโทษที ผมลืมน่ะ” เบิร์นพูดขณะที่เขาเกาหัว
นอแมนทำได้แค่หัวเราะกับความผิดพลาดของเพื่อน
เมื่อลิลลี่ช่วยพวกเขาเหล่านั้น คนเหล่านี้จึงพึ่งพาเธอโดยธรรมชาติ
ก่อนหน้านี้ลิลลี่ต้องเป็นคนไปพบปะกับก็อบลินด้วยตัวเอง แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่หลังการโจมตีของออร์ค พวกเขาก็ติดต่อกันง่ายขึ้น
เบิร์นและนอแมนเป็นเพียงไม่กี่คนในหมู่ชาวบ้านที่รู้วิธีการใช้ดาบ แต่ความรู้ของพวกเขานั้นมาจากประสบการณ์เปล่า ๆ ที่ได้รับจากการเกณฑ์ทหารในอดีตเท่านั้น ความแตกต่างระหว่างพวกเขากับลิลลี่ซึ่งเป็นนักผจญภัย มันแตกต่างกันอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเบิร์นและนอแมนจะมีอายุมากกว่าลิลลี่ถึงห้าปี แต่พวกเขาก็เคารพในฝีมือดาบของเธอเป็นอย่างมาก
“พาโลนเป็นอย่างไรบ้าง? แล้วมิลล์ล่ะ? เขาไม่ได้รับบาดเจ็บใช่มั้ย?” ลิลลี่ถาม
พาโลนเป็นภรรยาของเบิร์นซึ่งกำลังตั้งครรภ์ ส่วนมิลล์นั่นคือลูกชายคนโตของเบิร์น เขาอายุห้าขวบในปีนี้
“ข้าก็คาดหวังเช่นนั้น น่าเสียดายที่แม้มันจะเป็นครั้งที่สองแล้ว แต่ไม่มีใครที่ช่วยเธอได้มากนัก สำหรับมิลล์ เขาชอบออกไปเล่นกับพวกก็อบลินเสมอ แม้ข้าจะบอกไปแล้วว่ามันอันตราย แต่เขาก็ไม่ฟัง” นอแมนทำเพียงตบไหล่เพื่อนของเขา
“มันเป็นแค่การออกไปเล่นของเด็กน่า” นอแมนกล่าว
“ข้าก็หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น …” เบิร์นตอบกลับ
เมื่อเห็นทั้งสองทำตัวเช่นนี้ ลิลลี่ก็หรี่ตาลง
“พวกคุณสองคนคุ้นชินกับหมู่บ้านแล้วรึยัง?” เธอถาม
เป็นเวลาเกือบครึ่งเดือนแล้วที่พวกเขามายังหมู่บ้านแห่งนี้
“…ยังไม่ทั้งหมด แต่ที่นี่ก็ไม่เลว” เบิร์นกล่าว
“พวกเขาไม่ต้องให้เราจ่ายภาษีเหมือนมนุษย์ และพวกเขายังไม่ต้องให้เราออกไปต่อสู้” นอแมนกล่าวเสริม
เห็นได้ชัดว่าราชาก็อบลินไม่ได้มีเจตนาที่จะเรียกเก็บภาษีแต่อย่างใด ความคาดหวังของลิลลี่เกี่ยวกับชีวิตที่น่าเศร้า อย่างการถูกปฏิบัติเยี่ยงทาสนั้นถูกปิดลงโดยสิ้นเชิง
…ราชาเป็นคนใจกว้าง
ความต้องการเพียงอย่างเดียวคือผลิตสิ่งที่เขาต้องการ …นั่นคือทั้งหมด
สิ่งที่ราชาต้องการคืออาหารและวิธีการถนอมมัน
เมื่อใดก็ตามที่เธอคุยกับราชาก็อบลิน ลิลลี่จะเข้าใจผิดว่าตัวเองกำลังคุยกับราชาจริง ๆ อะไรประมาณนั้น
แต่โลกภายนอกป่านั้นอันตราย
ที่นั่นมีแต่ความโกลาหล พร้อมกับสงครามที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง คนที่ชั่วร้ายมีจำนวนเท่าเม็ดทราย มันมากเกินกว่าที่จะนับได้
เธอรู้ว่าพวกมนุษย์นั้นสกปรกแค่ไหน แต่เพราะเหตุนี้ เธอจึงไม่เข้าใจก็อบลิน
การต่อสู้กับมอนสเตอร์เป็นเรื่องปกติ
มอนสเตอร์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย
หรืออย่างน้อยที่สุดนั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น แต่คืนวันที่ผ่านมาได้ทำลายสามัญสำนึกของเธออย่างสิ้นเชิง
ถ้าเป็นอย่างนั้น เธอจะทำยังไง?
เธอนึกย้อนไปถึงเจ้านายที่เธอนับถือ
พวกเขาอาจส่งคนออกตามหาเรเชียแล้ว
“นักบุญ” เรเชีย ฟีล ซิล
นักเรียนที่อายุน้อยที่สุดของหอคอยงาช้าง อัจฉริยะรุ่นเยาว์ของคริสตจักร ผู้หญิงที่ได้รับพรจากพระเจ้า …โดยไม่คำนึงถึงความต้องการของเธอ
เธอไม่ทราบว่าเรเชียรู้หรือเปล่า แต่อิทธิพลของเรเชียนั้นมีมากพอที่จะขับเคลื่อนประเทศได้
ถึงตอนนี้มันจะเป็นสถานการณ์ปกติ
แต่เมื่อก็อบลินและมนุษย์เป็นศัตรูกัน …เรเชียจะอยู่ข้างใคร?
และลิลลี่เองก็เช่นกัน …เธอจะอยู่ข้างใคร?
แค่เพียงเล็กน้อย แต่เธอคิดว่าอยากจะอยู่ในความสงบแบบนี้ตลอดไป
“โฮ่ง!” กัสต้าเห่าขณะที่เขาแกว่งหาง
เธอจึงอุ้มเขาขึ้นมา
“เจ้าก็ต้องเติบโตขึ้นเช่นกัน” เธอกล่าว
ใครจะรู้ว่าเกรย์วูล์ฟที่ดุร้ายเหล่านั้นจะน่ารักได้ขนาดนี้?
ขณะที่เธอคิดอย่างนั้น เธอจึงสวดอ้อนวอนอย่างเงียบ ๆ
ขอให้วันคืนแบบนี้คงอยู่ตลอดไป
◇◇◆
เมื่อลมยามเย็นลูบไล้แก้มของผมเบา ๆ เสียงร้องของจิ้งหรีดก็สามารถได้ยินจากระยะใกล้และไกล
แม้ผมจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับวันเวลา แต่ผมก็บอกได้ว่าฤดูกาลกำลังเปลี่ยนไป
เมื่อผมจ้องมองดวงจันทร์อย่างเหม่อลอย ผมก็รู้สึกได้ถึงการปรากฏตัวของคนใกล้ชิด
“ดูพระจันทร์อยู่เหรอคะ?” เรเชียถาม
ผมเพียงแค่ยกหางขึ้นเพื่อตอบสนอง
“ถ้าคุณขี้เกียจขนาดนั้น คุณจะถูกผู้หญิงเกลียด คุณรู้มั้ย?” เธอพูด
“น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้อยากอยู่ร่วมกับใคร” ผมยิ้ม
“ยังไงก็ตาม ฉันขอนั่งข้าง ๆ คุณได้ไหมคะ?”
“ทำในสิ่งที่เจ้าต้องการ หมู่บ้านนี้จะเป็นของพวกเจ้าในไม่ช้า”
“คุณหมายถึงอะไรกัน คุณล้อเล่นใช่มั้ย?”
นั่นเป็นเรื่องจริง
เราเฝ้ามองดวงจันทร์ร่วมกันโดยไม่รู้ตัว
“กิก้าเป็นยังไงบ้าง?”
“ฉันไม่เคยรักษาก็อบลินมาก่อน แต่ตอนนี้เขาน่าจะปลอดภัยดี”
ดี …เหรอ?
“…คุณเสียใจไหมคะ?” เธอถาม
“ไม่ …ข้าไม่เสียใจ”
ถ้าผมเสียใจ ผมก็คงไม่คิดที่จะสู้ตั้งแต่แรก
ความเจ็บปวดในอกของผม มันเป็นเพราะผมไม่สามารถทำใจกับการเอาตัวรอด ทั้ง ๆ ที่คนอื่นยอมเสียสละตัวเองเพื่อผม
สิ่งนั้นควรจะชัดเจนตั้งแต่แรก แต่ผมอดไม่ได้ที่จะใจสลายเพราะมัน
วิถีการใช้ชีวิตแบบนี้ …ราวกับว่าผมถูกสาปให้ไม่สามารถอยู่ได้โดยไม่ทำร้ายคนที่อยู่ใกล้ตัว
แต่ผมต้องทน …
ผมต้องอดทนและก้าวต่อไป มิฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจะไร้ความหมาย
“ฉันสงสัยว่าทำไมคุณถึงแข็งแกร่งขนาดนี้ …ใคร ๆ ก็ร้องไห้ถ้าพวกเขาเศร้า ใคร ๆ ก็วิ่งหนีเมื่อพวกเขาเจ็บปวด มันไม่มีใครดูถูกหรอกนะ ถ้าคุณทำเช่นนั้น” เรเชียกล่าว
“…มันเป็นเพราะข้าเป็นสัตว์ประหลาด” ผมพูดกลับไป “ข้าจะไม่ให้อภัยความอ่อนแอใด ๆ ของตัวเอง ความแข็งแกร่ง …ความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่จะแกะสลักประวัติศาสตร์ไว้บนโลกใบนี้ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันการมีชีวิตอยู่ของข้า จนถึงตอนนั้น …ข้าจะไม่หลั่งน้ำตาและจะไม่วิ่งหนี”
ผมเป็นลูกผู้ชาย? หรือเป็นสัตว์ประหลาด?
ผมมีความทรงจำและความคิดของมนุษย์ แต่มีร่างกายของสัตว์ประหลาดที่ผิดปกติ
ผมตัดสินใจแล้วในชีวิตนี้ …ผมไม่ต้องการความอ่อนแอของมนุษย์
“ไม่ว่าจะมีใครมายืนอยู่ต่อหน้าคุณเหรอคะ?” เรเชียถาม
“ใช่ “
ดวงตาของเรเชียปิดลง …เธอกำลังคิดอะไรอยู่?
เด็กสาวที่ฉลาดเฉลียวคนนี้ เธอได้รับการยกย่องว่าเป็นนักบุญและถูกผูกมัดด้วยโซ่แห่งโชคชะตากรรม …?
โชคชะตาของเธอ? ชีวิตของเธอ? เจตจำนงของตัวเธอเองล่ะ?
“ฉันไม่เคยอยากเป็นนักบุญ” เธอกล่าว “ฉันอยากวิ่งหนี ฉันอยากเป็นแค่เรเชีย!”
ในขณะที่เธอยืนหันหน้ามาและวางมือลงบนหน้าอกของผม
“ด้วยสิ่งนี้จะไม่มีอะไรผูกมัดคุณอีก …คุณยังสามารถฆ่าฉันได้ทุกเมื่อถ้าคุณต้องการ” เธอกล่าว
ดวงตาของเธอมองขึ้นมาสบตาของผม
ลมหายใจของเธอปลุกพลังภายในตัวผม
––– ข้าอยากจะฆ่าและกินผู้หญิงคนนี้
–––ข้าอยากทำลายและฆ่าผู้หญิงคนนี้! เจ้ากำลังลังเลอะไรอยู่? เธอมอบร่างกายให้เจ้าแล้วไม่ใช่เหรอ!?
พลังนั้นทำให้ความคิดของผมเปลี่ยนไป ผมจึงหันกลับไปหาเธอ
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ควรสู้ ต่อต้านซีโนเบีย ต่อต้านมนุษย์ …เพราะนั่นคือความต้องการของเจ้าเอง”
เมื่อผมนึกถึงการแสดงออกที่สงบนิ่งของเทพธิดาแห่งการรักษา เมื่อเห็นใบหน้าของเรเชีย ผมก็อดไม่ได้ที่จะทำหน้าบึ้ง
“ฉันพูดไปแล้วใช่ไหมคะ” เรเชียกล่าว “ฉันอ่อนแอ”
ดวงตาสีม่วงของเธอเปียกชื้น …
“ได้โปรดฆ่าฉันเถอะ” เธอกล่าว “ถ้าคุณไม่ทำเช่นนั้น สักวันหนึ่ง …ฉันจะฆ่าคุณอย่างแน่นอน”
เพราะนั่นคือโชคชะตาของผม เธอพึมพำภายใต้เสียงที่สั่นเทา
“ข้าขอปฏิเสธ” ผมตอบ “เจ้าแค่กำลังวิ่งหนี แต่ถ้าเจ้ายังอยากจะเป็นเรเชีย จงแสดงความกล้าของตัวเองออกมา!”
“ราชา …” เธอพูด “คุณเข้มงวดจังนะคะ?”
รอยยิ้มแสนเศร้าวาดอยู่บนริมฝีปาก
ในทางกลับกัน ผมทำได้เพียงลูบศีรษะของเธอ
“พรุ่งนี้ข้ามุ่งหน้าไปทางตะวันตก เมื่อข้ากลับมา ข้าจะกลับมาในฐานะราชาแห่งก็อบลิน เมื่อถึงตอนนั้น …ช่วยดูแลกิก้าและคนอื่น ๆ ด้วย”
ผมปัดฝุ่นออกขณะที่ลุกขึ้นยืน
” …อา”
ผมรู้สึกว่าเรเชียจ้องมองด้านหลังเมื่อผมยืนขึ้น แต่ผมก็จากไปโดยไม่พูดอะไร
ผมจะกลายเป็นราชา
เพื่อประโยชน์ของผู้ที่เสียสละ …
เพื่อประโยชน์ของผู้ที่จะตายลงที่นี่ …
จนถึงเวลานั้น …ผมจะไม่เสียใจกับอะไรอีก
◆◆◇◇◆◆◇◇
[สถานะผิดปกติ] เสน่ห์ของนักบุญถูกปลดปล่อย
◆◆◇◇◆◆◇◇
หมายเหตุผู้แต่ง:
ตัวเอกไม่ต้องการละทิ้งผู้บาดเจ็บ เรเชียจึงต้องทิ้งไว้ข้างหลัง
◆◇◇◆◆◇◇◆
อ่านนิยายล่วงหน้าได้ที่เพจ Koel-Translate นิยายแปล
https://www.facebook.com/pg/Koel-Translate-%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%A5-111530443746222/posts/