EG บทที่ 790 ตึกเอ็มไพร์สเตต
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ไม่มีข่าวดีอะไรเป็นพิเศษปรากฏ และแน่นอนว่าไม่มีข่าวร้ายเช่นกัน เฝิงหยู่ปรับการคาดการณ์หุ้นบางอย่าง ส่วนนักวิเคราะห์เหล่านั้นก็ใช้ซอฟต์แวร์แก้ไขข้อมูลการคาดการณ์หุ้น
ผลลัพธ์สุดท้ายพิสูจน์แล้วว่าซอฟต์แวร์นี้ดีจริงๆ แต่ถ้าไม่มีโบรกเกอร์ที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนก็อาจจะมีความคลาดเคลื่อนสูง เพราะนักคณิตศาสตร์และวิศวกรที่กลายมาเป็นนักวิเคราะห์ ไม่รู้ว่าอะไรที่เรียกว่า*ข่าวดี! (ข่าวดีที่เป็นตัวแปรให้หุ้นสูงขึ้น)
เฝิงหยู่คิดจะรับสมัครโบรกเกอร์เพิ่ม แล้วเขาจะต้องสัมภาษณ์ด้วยตนเองก่อนตัดสินใจว่าจะจ้างดีหรือเปล่า ในปีหน้าเขาจะมุ่งเน้นการลงทุนที่ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ส่วนเฝิงหยู่น่ะไม่มีเวลาจ้องตลาดหุ้นอยู่ตลอดเวลา หากไม่สามารถหาคนที่เหมาะสมได้ ก็คงต้องส่งคนจากการบริษัทFengyu consultingมาแล้วล่ะ
คิริเลนโกะยอมรับข้อเสนอแนะของเฝิงหยู่ จึงตัดสินใจจ้างโบรกแกอร์เพิ่มอีกหลายราย แต่เขาจะรับคนที่พอจะมีชื่อเสียง
คิริเลนโกะเดินทางมาอเมริกาเพื่อลงทุน เขาอยากจะตบหน้าชาวอเมริกันแรงๆ แล้วแสดงให้พวกเขาเห็นว่าชาวรัสเซียก็สามารถกอบโกยเงินในอเมริกาได้ ดังนั้นเขาจะไม่ถ่อมตัว
เลือกสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดสำหรับสำนักงานแล้วเช่าทั้งชั้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้พื้นที่มากนักแต่เขาก็จะทำมันให้เอิกเกริก
เขาเคยไปที่บริษัทของเฝิงหยู่ในประเทศจีน เขาชอบสไตล์การตกแต่งที่อิสระและผ่อนคลายของเฝิงหยู่มาก น่าเสียดายที่ตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ไม่อนุญาตให้ตกแต่งเช่นนั้น สิ่งนี้ทำให้คิริเลนโกะตัดสินใจแน่วแน่ที่จะซื้อตึกเอ็มไพร์สเตต
ตึกเอ็มไพร์สเตตเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ทางวิศวกรรมของโลกสมัยใหม่ ครั้งหนึ่งเคยเป็นความภาคภูมิใจของอเมริกา และเป็นแลนมาร์คสำคัญทางประวัติศาสตร์ของอเมริกาเช่นกัน ถือเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกมานานกว่า 40 ปี
ชื่อตึกเอ็มไพร์สเตตนั้นนำมาจากชื่อเอ็มไพร์สเตตซึ่งเป็นเล่นแต่ก่อนของนครนิวยอร์ก ตึกเอ็มไพร์สเตตจึงถูกเรียกว่าตึกเอ็มไพร์สเตตแห่งนิวยอร์ก
ตอนที่ออกแบบใหม่ๆไม่ได้สูงนัก ต่อมาอดีตเจ้าของตึกเอ็มไพร์สเตตอย่างรอสคอปรู้สึกไม่พอใจ อยากจะสร้างตึกใหญ่ที่สูงที่สุดในโลก และไม่อยากแพ้ความสูงให้กับตึกไหน จึงเปลี่ยนความสูงเป็น 381 เมตร
ที่น่าสนใจก็คือ เพื่อรักษาสถิติสูงสุดในโลก ในปี1951นักออกแบบได้ติดตั้งเสาอากาศบนตึกเอ็มไพร์สเตตหนึ่งเสา ซึ่งเป็นเสาอากาศที่มีความสูง 62 เมตร
ตึกเอ็มไพร์สเตตเริ่มก่อสร้างในต้นปี2473และแล้วเสร็จจนพร้อมใช้งานในเดือนพฤษภาคม2474 ในเวลานั้นเป็นยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ในช่วงสิบปีแรกหลังจากการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ สำนักงานส่วนใหญ่จึงยังว่างเปล่า สมัยนั้นจึงมีสื่อบางรายตั้งชื่อให้ตึกเอ็มไพร์สเตตว่า——ตึก*เอ็มตี้สเตต! (*emthy ว่างเปล่า)
จากมุมมองนี้ แสดงให้เห็นว่าคนอเมริกันมีความจริงจังเรื่องเกียรติด้านสิ่งก่อสร้างยิ่งกว่าชาวจีนเสียอีก
หลังจากเจ้าหน้าที่จีนทราบสิ่งนี้ก็เลยเปลี่ยนรสนิยม ตัวอย่างเช่น คฤหาสน์ยักษ์ที่มีชื่อเสียง ต้องสร้างให้สูงที่สุดในประเทศจีนภายใต้การแทรกแซงของรัฐบาล แปลนออกแบบถูกแก้ไขอย่างต่อเนื่อง พวกเขาใช้ตึกเอ็มไพร์สเตตเป็นตัวอย่างในการสร้าง ตอนแรกจากที่คิดว่ามันสูงมาก แต่ต่อมามันก็ไม่รู้สึกว่าสูงขนาดนั้น
ในช่วงสิบปีแรกของการสร้างตึกเอ็มไพร์สเตต แค่จ่ายภาษีเพียงอย่างเดียวก็เกือบทำให้เจ้าต้องหมดกระเป๋า พวกเขายังลดมูลค่าของตึกอย่างต่อเนื่อง จากต้นทุนที่ต้องใช้มากกว่า40ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประเมินครั้งสุดท้ายเหลือเพียง28ล้านดอลลาร์เท่านั้น จากการประเมินมูลค่านี้ทำให้มูลค่าของตึกเอ็มไพร์สเตตลดลงกว่า12ล้านดอลลาร์ จึงไม่ต้องพูดถึงค่าใช้จ่ายในการจ่ายภาษี การบำรุงรักษา และต้นทุนการดำเนินงานต่างๆเลย มันไม่ใช่จำนวนน้อยนิด
ในปี1980 อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในอเมริกาและประเทศญี่ปุ่นได้กลายเป็นอุตสาหกรรมหลักที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ช่วงปลายปี1980 อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในอเมริกาทรุดตัวลงก่อน จากนั้นผู้คนในอเมริกาประสบภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ จึงให้ประเทศญี่ปุ่นช่วยเหลือพวกเขาจากการสูญเสียครั้งใหญ่ครั้งนี้
ในเวลานี้ ผู้ประกอบการของตึกเอ็มไพร์สเตตได้ตัดสินใจขายตึกเอ็มไพร์สเตตในปี1991 ฮิเดกิ โยโกอิ เจ้าพ่อแห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ของประเทศญี่ปุ่นได้ซื้อตึกเอ็มไพร์สเตตเอาไว้ ตอนนั้น ฮิเดกิ โยโกอิยังเป็นบุคคลแบนเนอร์ด้านอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย
ฮิเดกิ โยโกอิไม่เพียงเป็นเจ้าของโรงแรมที่หรูหราที่สุดของประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังซื้อคฤหาสน์และปราสาทจำนวนมากในยุโรป ทั้งยังลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งในอเมริกา ในเวลานั้นเขายังสร้างลานโบว์ลิ่งแห่งแรกในเอเชียซึ่งมี 240 ลู่
ในต้นปี1980ได้เกิดไฟไหม้ในโรงแรมหรูของฮิเดกิ โยโกอิ ทำให้มีผู้เสียชีวิต33คน ว่ากันว่านี่เป็นข้อมูลที่เขาได้ปกปิดแล้ว ข้อมูลที่แท้จริงน่ากลัวกว่านี้
นี่ทำให้เขาต้องไปศาลพิจารณาคดีเป็นครั้งแรก แต่ทนายความช่วยให้เขาพ้นความผิดได้ จนกระทั่งปี1993เขาถูกตัดสินโดยศาลสูงสุดของประเทศญี่ปุ่นและถูกจำคุกเป็นเวลาสามปี แต่เขายังมีชีวิตอยู่ในโรงพยาบาล เขาอายุ 79 ปีแล้วสุขภาพจึงไม่ค่อยดีนัก
ในช่วงปลายปี1980เศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นก็ขยายตัวถึงจุดสูงสุด ในเวลานั้นชาวญี่ปุ่นต่างเชื่อว่าอีกสิบปีต่อจากนี้ ระดับเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นจะเทียบได้กับผลรวมของอเมริกา โซเวียต สหราชอาณาจักรและอื่นๆ
ทว่า อสังหาริมทรัพย์และหุ้นที่รุ่งเรืองที่สุดของประเทศญี่ปุ่นได้พังทลายลง หลายคนเชื่อว่าฮิเดกิ โยโกอิถูกตัดสินลงอาญาในปี1993 เพราะเขาไม่สามารถจ่ายค่าทนายความได้อีก เศรษฐกิจอสังหาริมทรัพย์ในเวลานั้นทรุดตัวลงอย่างสมบูรณ์ บริษัทประกันภัยธนาคารต่างๆที่ให้เงินกู้แก่เขาเริ่มทวงหนี้ หนี้สินรวมของเขาเกิน2พันล้านเหรียญดอลล่าห์ แต่มูลค่าของหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ของเขามีไม่ถึง1พันล้านเหรียญดอลล่าห์สหรัฐ!
ตอนแรกฮิเดกิ โยโกอิสร้างรายได้มหาศาลจากการเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ เขายังชอบกู้เงินมาทำธุรกิจ ตอนแรกราคาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้นทุกวัน ธนาคารจึงแทบไม่กังวลว่าเขากู้เงินแล้วจะจ่ายคืนไม่ไหว แต่เมื่อเขาจ่ายคืนไม่ไหวจริงๆ มันก็สายเกินไปที่ธนาคารและบริษัทประกันภัยจะเสียใจ
ฮิเดกิ โยโกอิภูมิใจที่ได้ซื้อตึกเอ็มไพร์สเตต เขาใช้เงินไป42ล้านดอลลาร์ก็สามารถซื้อหนึ่งในตึกที่เป็นความภาคภูมิใจที่สุดของชาวอเมริกันได้ ตอนนั้นสื่ออเมริกาเล่นข่าวว่าประเทศญี่ปุ่นจะซื้ออเมริกาทั้งประเทศ
แต่เขาสนุกกับความรุ่งโรจน์นี้ได้ไม่นานนัก อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นล้มลง ฮิเดกิ โยโกอิถูกจำคุก
ในเวลานี้ ฮิเดกิ โยโกอิกำลังอยู่ในโรงพยาบาลของเรือนจำ ส่วนทรัพย์สมบัติของเขาก็ถูกมอบให้แก่คนเชื่อใจอย่างกิโกะ นากาฮาระเป็นผู้ดูแล แต่ในเวลานี้กิโกะ นากาฮาระและสามีได้ทำธุรกรรมในบริษัทต่างประเทศที่ซับซ้อน จนในที่สุดกรรมสิทธิ์ตึกเอ็มไพร์สเตตก็ตกเป็นของบริษัททรัสต์ และบริษัททรัสต์นี้เองเป็นของกิโกะ นากาฮาระและฮิเดกิ โยโกอิสองคน หากฮิเดกิ โยโกอิเสียชีวิต กิโกะ นากาฮาระจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์เพียงคนเดียว!
ไม่ใช่แค่ตึกเอ็มไพร์สเตตแห่งเดียว แต่ยังมีอสังหาริมทรัพย์อีกสิบกว่าแห่งในอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศสและประเทศอื่นๆอีก ทั้งหมดกลายเป็นชื่อของเป็นของกิโกะ นากาฮาระและฮิเดกิ โยโกอิสองคน โดยผู้รับผลประโยชน์นั้นไม่ใช่ลูกชายของฮิเดกิ โยโกอิ แต่เป็นกิโกะ นากาฮาระเพียงคนเดียว!
ลูกชายสองคนของฮิเดกิ โยโกอิแทบจะเป็นบ้า พวกเขาค้นหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าการดำเนินการทั้งหมดของยูโกะ นากาฮาระผิดกฎหมาย
ในเวลานี้ คนของคิริเลนโกะได้เจอกับคุนิฮิโกะ โยโกอิ ประโยคแรกที่เขาพูดคือ “บอสของเราต้องการซื้อตึกเอ็มไพร์สเตต!”
ติดตามเพจใหม่ได้ที่ https://www.facebook.com/ceonovel23