EG บทที่ 774 ท่าทีเปลี่ยน
“ … คุณเฝิงตั้งใจจะลงทุนกับAmazon เรื่องก็เป็นแบบนี้แหละ ทุกคนมีความเห็นอย่างไรครับ?” เจฟมองคณะกรรมการคนอื่นๆ
แม้จะพูดว่าการประชุมผู้ถือหุ้นถือเป็นแกนหลักของอำนาจบริษัท แต่คณะกรรมการเหล่านี้มีหุ้นสูงถึงสามในสี่ของทุนทั้งหมด หากพวกเขาเห็นด้วย ก็หมายความว่าประชุมผู้ถือหุ้นก็จะเห็นดีเห็นงามด้วย
“เจฟ คุณยังไม่บอกเลยว่าคุณเฝิงจะลงทุนเท่าใหร่ จะแลกจำนวนหุ้นเท่าไหร่ อีกอย่าง เขาเป็นนักลงทุนเก็งกําไรหรือแค่จะลงทุนทั่วไป”
ลงทุนเก็งกําไรต่างจากการลงทุนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง โดยทั่วไปแล้วการลงทุนเก็งกําไรไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานและการจัดการของบริษัท ถึงจะแลกหุ้นมาได้ก็ไม่มีสิทธิ์มีเสียง การลงทุนเก็งกําไรจะรอให้บริษัททำเงินหลังจากเข้าจดทะเบียนแล้วรับเงินปันผลต่างๆก่อน
ส่วนการลงทุนทั่วไปหมายความว่าต้องการถือครองหุ้นเป็นเวลานาน เมื่อมีสิทธิก็ตั้งใจจะมีส่วนร่วมในการดำเนินงานและการจัดการของบริษัท สิทธิและความรับผิดชอบอื่นๆไม่แตกต่างจากผู้ถือหุ้นสามัญ แต่จะไม่ได้เงินปันผลก่อน
“ความหมายของคุณเฝิงคือ เขาไม่มีปัญหาเรื่องจำนวนเงินลงทุน เขาไม่ใช่นักลงทุนเก็งกําไร แต่อยากมีสิทธิ์มีเสียงในบริษัท” เจฟอธิบาย
“ไม่มีปัญหาเรื่องจำนวนเงินลงทุนเหรอ? ผมไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร ถ้าเขาคิดจะลงทุนแค่10ล้านเหรียญแล้วลดสัดส่วนของเราลงมากกว่า90% คุณก็จะเห็นด้วยหรือ?” คณะกรรมการคนหนึ่งตอบโต้เสียงดัง
“นั่นเป็นเหตุผลที่ผมเรียกประชุมคณะกรรมการ เพื่อหารือกับทุกคนว่าจะอนุญาตให้คุณเฝิงลงทุนในสัดส่วนเท่าไหร่ เรื่องนี้ต้องพิจารณาโดยเร็ว เพื่อเราจะได้รับเงินทุนโดยเร็วที่สุด บริษัทจะได้เติบโตเร็วไวยิ่งขึ้น” เจฟเหลือบมองผู้ถือหุ้นคนนั้น คิดจะมางัดข้อกันสินะ
หลังจากเจฟถามประโยคนี้จบก็ไม่ได้รับคำตอบใดใด คณะกรรมการทุกคนเงียบไม่พูดไม่จา ไม่มีใครอยากพูดก่อน
“โรเบิร์ต คราวก่อนคุณบอกว่าจะขายหุ้นไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้พอคุณได้ยินว่ามีคนอยากจะลงทุนเพิ่มแล้ว คุณยังอยากจะขายอีกหรือเปล่า?” เจฟถามคณะกรรมการคนหนึ่ง
“ผมลงทุนเพื่อเงิน ไม่ใช่เพื่อความฝันของคุณ ตอนแรกผมมองไม่เห็นกำไร แต่ตอนนี้ผมเห็นแล้ว ผมจึงไม่ขายหุ้นในส่วนนี้แน่นอน” โรเบิร์ตพูดช้าๆ
มีแต่คุณเท่านั้นที่ยึดติดกับความฝันบ้าบออะไรนั่น คนอื่นเขาลงทุนเพื่อเงินกันทั้งนั้น แม้ว่าในตอนนี้คุณยังไม่เห็นด้วยที่จะเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อหาเงินทุน แต่มีคนสนใจลงทุนแล้ว ก็แปลว่าบริษัทจะพัฒนาได้ดียิ่งขึ้น ระยะเวลาที่ได้กำไรก็น่าจะสั้นลง
หากทำกำไรได้แล้วค่อยเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ ราคาหุ้นคงจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ตอนนั้นค่อยขายหุ้นทิ้งคงได้เงินเป็นจำนวนมาก ตอนนี้คุณอยากซื้อก็ย่อมได้ แต่ต้องเสนอราคาที่ได้กำไรสูงล่ะนะ? คุณมีเงินมากขนาดนั้นไหมล่ะ?
“ถ้าอย่างนั้น โรเบิร์ต คุณบอกมาสิว่าคุณยอมให้อีกฝ่ายเพิ่มทุนได้กี่เปอร์เซ็นต์ คุณเป็นคณะกรรมการของบริษัท ก็ควรจะแสดงความคิดเห็นออกมา ผมจะได้ไม่รู้สึกว่าบริษัทมีคณะกรรมการน้อยลงสักคนก็ไม่เป็นไร”
เจฟพุ่งเป้าไปที่โรเบิร์ตโดยเฉพาะ เมื่อใดที่โรเบิร์ตพูดสัดส่วนออกมาแล้วถูกคณะกรรมการคนอื่นๆคัดค้าน เขาก็จะใช้โอกาสนี้ตะเพิดโรเบิร์ตออกจากการเป็นคณะกรรมการ! ถ้าโรเบิร์ตไม่พูด ก็สามารถดักคอได้ว่าโรเบิร์ตทำงานได้ไม่ดี ใช้เป็นข้ออ้างเตะเขาออกจากการเป็นคณะกรรมการ
โรเบิร์ตจ้องเจฟด้วความโกรธ แต่เขาจำต้องต้องพูดว่า “การพัฒนาของบริษัท ต้องใช้เงินอย่างน้อยสิบล้านดอลลาร์ ผมคิดว่าคงไม่เหมาะที่จะมีคนลงทุนแค่คนเดียว ไม่อย่างนั้นเขาจะได้ควบคุมหุ้นของบริษัทมากกว่า50% แล้วเราจะหมดอำนาจในการแสดงความเห็นทันที ผมเลยคิดว่าจำนวนเงินลงทุนของเขาควรมากกว่า10ล้าน เพราะบริษัทต้องการเงินจำนวนเท่านั้น แต่ไม่เกิน30ล้าน เช่นนั้นเราก็จะยังสามารถตัดสินใจอนาคตของบริษัทกันเองได้ “
คำตอบของโรเบิร์ตนั้นค่อนข้างเซฟ ไม่มีช่องโหว่และไม่มีปัญหาใหญ่ เพียงแต่เขายังเผยเป็นนัยๆว่าเขาหวังให้บริษัทหาเงินหมุนเวียนจากตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต
แน่นอนคนอื่นๆทั้งหมดเห็นด้วย การเข้าตลาดหลักทรัพย์ต่างหากจึงจะมีเงินหมุนเวียน และสามารถสร้างกำไรจากเงินทุนของพวกเขาได้เร็วที่สุด พวกเขาจึงเห็นด้วยกับอัตราส่วนที่โรเบิร์ตกล่าว พวกเขาเองก็ไม่ให้คนนอกกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แล้วเตะพวกเขาออกไปเหมือนกัน
เจฟขมวดคิ้วแล้วรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ตอนนั้นเขาควรไปพบคุณเฝิงเองจะดีกว่า พอคุณเฝิงที่เป็นผู้ถือหุ้นของMicrosoftต้องการลงทุนในAmazon ผู้ถือหุ้นรายย่อยเหล่านี้เลยไม่มีท่าทีจะขายหุ้น ทั้งที่ไม่กี่วันที่ผ่านมาพวกเขายังถกเถียงเรื่องจะถอนหุ้นกันอยู่เลย!
ในความเป็นจริงเจฟก็ไม่ต้องการให้คุณเฝิงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เหมือนกัน นี่คือบริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้น ถ้าบริษัทต้องเปลี่ยนรูปแบบไปเพราะเขาต้องการเงินทุนล่ะก็ ปล่อยไปแบบนี้น่าจะดีกว่า
“คนอื่นๆมีคำแนะนำอะไรบ้างครับ? จำนวนเงินเท่าไหร่กันแน่ ทุกคนหารือเพื่อให้ได้ข้อสรุปกัน ยิ่งตัดสินใจเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีเงินลงทุนเร็วขึ้นเท่านั้น บริษัทจะได้พัฒนาเร็วยิ่งขึ้น การสร้างเว็บไซต์และโลจิสติกส์ รวมถึงฐานลูกค้าและช่องทางนำเข้าสินค้าล้วนต้องใช้เงินนะครับ” เจฟกล่าว
“เจฟ แม้ว่าทุนจดทะเบียนของเราคือ30ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่บริษัทก็พัฒนามานานพอสมควร มูลค่าของบริษัทน่าจะเพิ่มขึ้นบ้างใช่ไหมล่ะ? ผมคิดว่าควรให้เขาลงทุนสัก25ล้านเหรียญสหรัฐ แล้วให้เขาถือหุ้น35%” คณะกรรมการคนหนึ่งกล่าว
เจฟมองคณะกรรมการคนนั้นแล้วยิ้มเยาะ พูดว่า “ถ้าเป็นคุณ คุณจะยอมตกลงหรือเปล่าล่ะ?” แน่นอนว่าเขาต้องการให้เพิ่มมูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้น แต่บริษัทขาดทุนมาโดยตลอด
“ถ้าคุณไม่ลองดูแล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ตกลง? ผมได้ยินมาว่าพวกคุณพูดคุยกันถูกคอนี่นา บางทีเขาอาจยินดีรับข้อเสนอแนะของคุณก็ได้? อย่าลืมสิ ด้วยวิธีนี้ราคาหุ้นของทุกคนจะสูงขึ้น คุณก็จะได้กำไรเช่นกัน”
โรเบิร์ตพูดทันทีว่า “ผมเห็นด้วย”
“ผมก็เห็นด้วย”
คณะกรรมการทุกคนล้วนพูดว่าพวกเขาเห็นด้วย จากนั้นก็มองไปที่เจฟ การประชุมผู้ถือหุ้นนี้พวกเขาได้เปรียบเสมอ เมื่อพวกเขาทุกคนตกลงแล้ว ถึงเจฟจะไม่เห็นด้วยก็ทำอะไรไม่ได้
“ในเมื่อทุกคนเห็นด้วย ก็แปลว่าเราหารือเรื่องการลงทุนของคุณเฝิงจบแล้ว ผมรู้สึกว่าคุณมั่นใจกว่าผมเสียอีก” เจฟพูดอย่างไม่สบอารมณ์
บริษัทไม่มีกำไรเลยแถมยังขาดทุนมาโดยตลอด แต่คุณกลับพูดว่ามูลค่าของบริษัทควรเพิ่มขึ้น ถึงอยากจะคิดอย่างนั้นแต่คนอื่นเค้าไม่ได้โง่นี่นา หากมูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้นจริงๆแล้วทำไมพวกคุณเคยคิดจะขายหุ้นในราคาเดิมล่ะ?
ทุกคนมีความสามารถกันขนาดนั้น ก็คุยกันเองแล้วกัน!
“เจฟ คุณเป็นประธานกรรมการและตัวแทนทางกฎหมายของบริษัท แน่นอนว่าคุณต้องไปเจรจาเรื่องนี้เอง เราทุกคนล้วนคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นในบริษัท คุณคงไม่มีปัญหากับคำขอของเราใช่ไหม? ยังไม่ได้ไปเจรจาเลยแล้วจะรู้ผลได้อย่างไรล่ะครับ?” โรเบิร์ตพูดอย่างมีความสุข พลางถือซิการ์ในมือ
“ใช่ โรเบิร์ตพูดถูก เจฟ ตอนที่เราลงทุนในบริษัทของคุณ คุณสัญญากับเราว่าเราจะให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของทุกคนเป็นอันดับแรก ตอนนี้เราขอคุณเช่นนี้ คุณก็ควรดำเนินการเสีย” คณะกรรมการคนอื่นกล่าว
คนอื่นๆล้วนมีความคิดเหมือนกัน ความโกรธสุมอยู่ในอกของเจฟ แต่เขาไม่สามารถระบายมันออกมาได้!
“โอเค ผมจะเจรจาเอง แต่ถ้าการเจรจาล้มเหลว นแกจากบริษัทจะไม่ได้เงินลงทุนแล้ว ทุกคนจะเสียเงินด้วยกัน!” เจฟลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธแล้วเดินออกจากห้องประชุมทันที
…
“คุณราล์ฟ ผมเองครับเจฟ เบโซส์ ผมอยากไปเยี่ยมคุณเฝิงหน่อย มีเรื่องจำเป็นจะคุยกับคุณเฝิงครับ”
ราล์ฟปิดไมโครโฟนแล้วบอกเฝิงหยู่ว่าเจฟโทรมา เฝิงหยู่จึงเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์ “คุณเจฟ มีข่าวดีอะไรจะบอกผมเหรอครับ?”
“คุณเฝิง ผมคิดว่าเราควรจะนัดคุยกันหน่อยครับ เรื่องไม่ราบรื่นสักเท่าไหร่”
เฝิงหยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เหรอครับ คืนนี้คุณมาที่บ้านผม ผมจะเลี้ยงอาหารจีน ที่อยู่คือ … “
ติดตามเพจใหม่ได้ที่ https://www.facebook.com/ceonovel23