EG บทที่ 671 อารมณ์ดีก็เพราะคุณ
ทุกๆคนต่างจ้องไปที่เฝิงหยู่อย่างพร้อมเพรียง อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะมองเฝิงหยู่ด้วยความสงสัยและอีกฝั่งหนึ่งมองเขาด้วยความเทิดทูน แม้แต่เหวินตงจุนก็รู้ว่าเสียงร้องของเฝิงหยู่นั้นแย่มากแต่เพลงที่เขาเขียนแต่ละเพลงกลับไพเราะจับใจ ดูได้จากเพลงที่น่าอิงและน่านเก๋อได้นำไปร้องต่างโด่งดังเป็นพลุแตก
เฝิงหยู่ใช้ตะเกียบเคาะไปบนชามเพื่อสร้างจังหวะ
“♫♫~ การตกหลุมรักคุณก็เหมือนกับการดื่มชานมอุ่นๆ..แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปแค่ไหนความรักที่ผมมีให้ก็ไม่มีวันจางหาย..มันไม่น่ากลัวเลย..ให้ผมได้แสดงความรักในรูปแบบอื่นๆ..รักไม่ใช่เพียงแค่คำพูด..เมื่อผมมีความรัก..ความรักก็จะกลายเป็นความเข้าใจไม่ใช่เรื่องซับซ้อนแต่อย่างใด…
ผมอยากไปช้อปปิ้งกับคุณ..ผมอยากเจอคุณ..ผมคิดถึงคุณจนถึงเที่ยงคืน..ผมไม่รู้สึกเหนื่อยเลยที่หลงรักคุณมากขนาดนี้และจะรักตลอดไป…ผมอยากใช้ชีวิตทุกๆวันกับคุณ..ผมมีความสุขที่ได้ตกหลุมรักคุณ
ผมอารมณ์ดีก็เพราะคุณ..จากนี้ไปผมจะไม่ลังเล..คุณต้องการที่จะเติบโตและเรียนรู้ไปพร้อมกับผมไหม?…ผมอารมณ์ดีได้ก็เพราะคุณ…ความรักของผมไม่มีคำถามใดๆให้สงสัย..คำตอบทั้งหมดจะถูกเปิดเผยด้วยตัวมันเอง..เพราะเราเองก็เป็นแบบนี้..เพราะเราต้องการกันและกัน♫♫~”
เฝิงหยู่ได้เปลี่ยนเนื้อหาบางส่วนและสามารถนำไปใช้เพื่อการโฆษณาได้ บรรทัดแรกของเพลงที่ควรเป็น‘การดื่มชา’ เขาก็เปลี่ยนเป็น‘การดื่มชานม’แทน
เมื่อเฝิงหยู่ร้องท่อนแรกของเพลงจบ ใบหน้าของซงเหวินก็เปลี่ยนไป เสียงของเฝิงหยู่ไม่เหมาะกับการร้องเพลงเลยสักนิดแต่เขาก็ใส่อารมณ์ไปตามเนื้อเพลงที่เขาแต่งขึ้นจนทำให้เพลงนี้ดูดีขึ้นมา
เนื้อเพลงก็ไม่ได้ดูดีที่สุดและทำนองก็ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมาก เนื้อเพลงเกี่ยวกับการแสดงความรักที่ผู้ชายมีให้กับผู้หญิงที่เขารัก
พวกเขาหันไปดูหลี่นาที่นั่งอยู่ข้างๆเฝิงหยู่และรู้ได้ทันทีว่าเพลงนี้แต่งมาจากชีวิตของคนทั้งคู่ แต่เพลงนี้เฝิงหยู่แต่งมันเองจริงๆหรือ?
ถ้านี่คือการ์ตูนดวงตาของหลี่นาคงเปลี่ยนเป็นรูปหัวใจแล้ว เนื้อเพลงนี้แสดงให้หลี่นาได้เห็นว่าเฝิงหยู่รักเธอมากขนาดไหน?
หลี่นาเป็นคนขี้อาย เมื่อเฝิงหยู่ร้องเพลงนี้ให้เธอและต่อหน้าเสียวหู่ตุ้ยเช่นนี้เธอก็ยิ่งอายหนักขึ้นไปอีก ทำไมถึงมาร้องเพลงต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้? เขาควรรอตอนที่พวกเราอยู่ด้วยกันสองต่อสองสิ!
หลังจากเฝิงหยู่ร้องจบก็คว้ามือของหลี่นามากุมไว้ ใบหน้าของหลี่นากลายเป็นสีแดงระเรื่อราวลูกมะเขือเทศ เธอก้มหน้าเอียงอายและไม่พูดอะไรออกมา
ห๊ะ? เกิดอะไรขึ้นกับการร้องเพลงของฉัน? ถึงแม้เสียงร้องจะไม่ได้ดีแต่เขาก็ใส่อารมณ์เข้าไปในเพลงเต็มที่และมันก็ไม่เพี้ยนจนน่าหนวกหูแต่อย่างใด? เขาซ้อมร้องเพลงนี้หลายต่อหลายครั้งในห้องคาราโอเกะเมื่อชีวิตก่อนของเขา มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่นา?
แล้วเสียงปรบมืออยู่ที่ไหนกัน?
แปะ!แปะ!แปะ!แปะ!
เหวินตงจุนโตมากับเฝิงหยู่และรู้ได้ทันทีว่าเฝิงหยู่กำลังรอเสียงปรบมืออยู่ เขาจึงไม่รอช้ารีบปรบมือก่อนใครเพื่อนทันที
ซงเหวินและเสียวหู่ตุ้ยหลุดออกจากภวังค์แห่งความตกใจและเริ่มปรบมือตามทันที พวกเขายอมรับว่าเพลงนี้เขียนได้ดีทีเดียว หากนำไปแก้ไขอีกเล็กน้อยมันก็อาจกลายเป็นเพลงฮิตได้
“ผู้จัดการเฝิง..เพลงนี้คุณเป็นคนแต่งจริงๆหรือครับ?”
ซงเหวินเองก็รู้คำตอบนี้อยู่แล้วแต่ก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี นักธุรกิจที่ไม่มีประสบการณ์ทางด้านดนตรีและสามารถแต่งเพลงขนาดนี้ได้ถือว่ามันดีเกินไป ดีจนน่าเหลือเชื่อ!?
“คุณไม่เชื่อเขาหรือครับ? คุณเคยได้ยินเพลง‘กลางวันไม่รู้กลางคืน’ <The day doesn’t know the night>ของน่าอิงหรือเปล่า? แล้วก็เพลง‘ฉันเชื่อ’ <I Believe> ของซั่นหนาน เพลงพวกนี้ก็ได้เฝิงหยู่นี่ละครับที่แต่งให้พวกเขา พวกคุณคิดว่ามีแต่พวกคุณเองหรือไงที่แต่งเพลงเป็น?”
เหวินตงจุนโต้กลับอย่างอารมณ์เสียเล็กน้อย
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นครับ สิ่งที่ผมอยากถามผู้จัดการเฝิงคือคุณจะมอบเพลงนี้ให้กับเสียวหู่ตุ้ยจริงๆหรือครับ? คุณพูดจริงงั้นหรือ?”
ซงเหวินเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย
เพลงทั้งสองที่เหวินตงจุนพูดเมื่อครู่ต่างเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมในไต้หวัน มันคือเพลงที่ผู้จัดการเฝิงแต่งเองงั้นหรือ? เขาเป็นอัจฉริยะจริงๆ ไม่เพียงแต่เก่งในเรื่องธุรกิจแต่เขายังมีความสามารถในแต่งเพลงอีกด้วย!
แค่เพลงนี้เพลงเดียวก็คุ้มค่าพอที่จะบรรจุเข้าในอัลบั้มแล้ว เขาแค่ต้องหานักแต่งเพลงที่มีสไตล์คล้ายคลึงกับเพลงนี้เพิ่มขึ้น เสียวหู่ตุ้ยก็จะมีชื่อเสียงมากกว่านี้แน่นอน!
“ผมดูเป็นคนพูดเล่นขนาดนั้นหรือครับ? ผมบอกว่าจะมอบเพลงนี้ให้กับพวกเขา ผมก็ต้องรักษาคำพูดสิครับ! ผมเองก็รู้เพียงการเขียนเนื้อเพลงและโน้ตดนตรีแค่งูๆปลาๆเท่านั้นล่ะครับ เอาเป็นว่าผมจะจดมันให้กับคุณและทางคุณก็ไปหาคนเรียบเรียงใหม่อีกทีแล้วกัน เมื่อครู่นี้ผมร้องไปแค่ท่อนแรกเท่านั้น ท่อนที่สองก็เป็นเนื้อหาเดียวกัน มันเป็นอย่างไรบ้างครับ? เพลงนี้เหมาะกับเสียวหู่ตุ้ยหรือเปล่า?”
ก่อนที่ซงเหวินจะได้ตอบอะไร ‘อู๋ฉีหลง’ หนึ่งในสมาชิกของเสียวหู่ตุ้ยผู้มีใบหน้าหล่อเหลาก็เอ่ยขึ้น
“เพลงนี้เหมาะกับพวกเราจริงๆครับ ต้องขอบคุณผู้จัดการเฝิงที่มอบเพลงนี้ให้กับเรา ท่อนแรกของเพลงก็ดูเหมาะกับโฆษณาชานมเหมือนกันนะครับ”
อู๋ฉีหลงก็อยากรู้เช่นกัน เพลงนี้ควรจะถูกเขียนไว้นานแล้วแต่ผู้จัดการเฝิงกับใส่เนื้อหาว่าดื่มชานมเข้าไปในเพลง? หากเพลงนี้ถูกเขียนขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ ผู้จัดการเฝิงก็ไม่ควรร้องเพลงนี้ได้ดีนัก เห็นได้ชัดเจนว่าเขาฝึกร้องเพลงนี้มาพอสมควร นี่มันดูแปลกเกินไป?
แต่ไม่ว่าอย่างไรเพลงนี้ก็เหมาะกับเสียงร้องและสไตล์ของพวกเขายิ่งนัก หากเสียวหู่ตุ้ยได้แสดงเพลงนี้พวกเขาก็น่าจะได้แฟนคลับเพิ่ม ผู้จัดการเฝิงเป็นอัจฉริยะจริงๆและพวกเขาก็ไม่ควรสงสัยในตัวเขาเช่นกัน
“ผมเขียนเพลงนี้เมื่อตอนที่ผมว่างนะครับ ผมได้เปลี่ยนเนื้อหาบางส่วนเมื่อคิดว่ามันเหมาะกับโฆษณาชิ้นนี้ คุณควรหานักแต่งเพลงสักคนเพื่อเรียบเรียงมันใหม่และใช้มันประกอบโฆษณาชิ้นนี้”
เฝิงหยู่กล่าว
มันเป็นเพราะ‘ซูโหย่วเผิง’หนึ่งในสมาชิกของเสียวหู่ตุ้ยที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ เฝิงหยู่จำเนื้อหาเพลงนี้ได้ขึ้นใจเพราะหลังจากที่เสียวหู่ตุ้ยยุบวงเพลงนี้ได้เป็นเพลงเดี่ยวที่มีชื่อเสียงของซูโหย่วเผิงนั่นเอง
“ไม่ต้องกังวลไปครับผู้จัดการเฝิง! ผมจะหาคนมาเรียบเรียงเพลงใหม่ในคืนนี้เลย มั่นใจได้เลยว่าเพลงนี้จะถูกบันทึกเสียงโดยเร็วที่สุด..ว่าแต่ค่าลิขสิทธิ์เพลงล่ะครับ?”
“ค่าลิขสิทธิ์เพลง? ผมไม่สนใจเรื่องนี้หรอกครับ ผมมอบเพลงนี้ให้เป็นของขวัญสำหรับพวกเขาแล้ว ขอแค่พวกเขาร้องเพลงนี้ออกมาให้ดีที่สุด ผมก็พอใจแล้วครับ”
เฝิงหยู่โบกมือปฏิเสธ ค่าลิขสิทธิ์เพลงจะได้เท่าไหร่กัน?
หลังทานอาหารเย็นเสร็จ เฝิงหยู่ก็หยิบกระดาษมาจดเนื้อเพลงพร้อมโน้ตเพลงให้กับพวกเขา เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเขาก็เดินทางกลับพร้อมหลี่นาทันที
ภายในรถที่มีเพียงหลี่นาและเฝิงหยู่ หลี่นากำลังจ้องไปที่เฝิงหยู่ด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักโดยไม่เอื้อนเอ่ยอะไรออกมา
“ทำไมมองผมแบบนั้นล่ะ? คุณดีใจหรือเปล่าที่ได้มาเจอเสียวหู่ตุ้ยตัวเป็นๆ?”
“ดีใจสิ..แต่ฉันดีใจมากกว่าที่ได้ฟังเพลงที่คุณแต่งเอง เพลงที่คุณแต่งดีมากเลยและคุณก็ร้องเพราะมาก”
“ดีกว่าเสียวหู่ตุ้ยหรือเปล่า?”
เฝิงหยู่ถามด้วยความเขิน
“ดีกว่าสิ!”
หลี่นาตอบอย่างรวดเร็ว
เฝิงหยู่สมบูรณ์แบบในสายตาของหลี่นาเสมอ แม้แต่ไอดอลในดวงใจก็ไม่สามารถเทียบกับเฝิงหยู่ได้ในทุกๆเรื่อง! นอกจากนี้เฝิงหยู่ยังรู้วิธีแต่งเพลง แล้วเสียวหู่ตุ้ยล่ะแต่งเพลงให้ตัวเองกี่เพลงกัน?
เฝิงหยู่หัวเราะและเอ่ยแซวหลี่นา
“ผมชอบหน้าตาตอนคุณโกหกจังเลย”
“เอ๊ะ..”
หลี่นากำหมัดชกไปที่ต้นแขนของเฝิงหยู่เบาๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า..เดี๋ยวผมจะร้องเพลงนี้ให้คุณฟังทีหลัง”
.
.
“…….ผมอารมณ์ดีได้ก็เพราะคุณ♫♫~”
เฝิงหยู่กำลังร้องเพลงพร้อมเล่นกีตาร์ให้หลี่นาฟัง ซึ่งหลี่นาก็ตกเข้าไปในภวังค์แห่งเพลงที่เฝิงหยู่ร้องให้ฟังเป็นที่เรียบร้อย
“เล่นอีกทีสิ”
“ตกลง..เอาอีกทีนะ”
หลังจากเล่นเพลงนี้อีกครั้ง เฝิงหยู่ก็เตรียมที่จะวางกีตาร์ลงแต่หลี่นากลับขัดขึ้นมาก่อน
“ฉันชอบเพลงนี้จัง..เล่นอีกทีน้า”
เฝิงหยู่ก้มมองนิ้วมือของตนเอง แม้ว่าเขาจะใช้ปิ๊กในการเล่นกีตาร์แต่นิ้วมือของเขาก็ยังเจ็บอยู่ดี เมื่อเงยหน้ามองหลี่น่าเขาก็ทนกัดฟันและเล่นเพลงอีกครั้ง
หลังจากเล่นจบเฝิงหยู่ก็รีบบอกหลี่นาทันทีเมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะอ้าปากพูด
“นิ้วของผมเจ็บไปหมดเลย..วันนี้ผมคงเล่นกีตาร์กับร้องเพลงให้คุณฟังไม่ไหวแล้วล่ะ..ผมจะสอนเพลงนี้ให้คุณเล่นดีมั้ย?”
หลี่นาคว้ามือของเฝิงหยู่มานวดคลึงอย่างเบามือ
“หยุดเลย..ทำไมไม่บอกฉันล่ะคะว่านิ้วคุณเจ็บขนาดนี้?”
“คุณอยากฟังเพลงนี้ผมก็เลยตั้งใจร้องให้คุณฟัง..เพราะ..ผมอารมณ์ดีได้ก็เพราะ…คุณ”
เมื่อเฝิงหยู่พูดจบก็อุ้มหลี่นาขึ้นจากโซฟาและตรงไปยังห้องนอนทันที เขาต้องการทำอะไรบางอย่างที่ทำให้ตัวเองอารมณ์ดียิ่งกว่าเดิม!