บทที่ 604 หุ้นส่วนความร่วมมือกับฉวนจวี้เต๋อ (1/2)
แบนด์เอดพบว่าส่วนแบ่งการตลาดของพวกเขาลดลง บริษัทเภสัชกรรมเมืองปิงทำการตลาดค่อนข้างดุเดือด พวกเขาไม่เพียงแต่โฆษณาในทุกๆ ที่ แต่ยังพยายามทำลายการสร้างแบรนด์ของพวกเขาด้วย แนวคิดของ แบนด์เอด = พลาสเตอร์ ที่พวกเขาสร้างขึ้นมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นเละไม่มีชิ้นดี
แต่โชคดีสำหรับแบนด์เอด อิทธิพลของแบรนด์พวกเขานั้นไม่ได้ถูกลบออกจากความคิดของผู้บริโภคไปได้ง่ายๆ พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำการวิจัยตลาดเพื่อให้รู้ว่าพลาสเตอร์ของพวกเขายังคงเป็นตัวเลือกแรกของผู้บริโภคอยู่
แต่พวกเขารู้เพียงเล็กน้อยว่าตลาดในส่วนหมู่บ้านที่พวกเขาพยายามพัฒนาอยู่นั้นถูกยึดครองโดยบริษัทเภสัชกรรมเมืองปิงไปอย่างลับๆ เรียบร้อยแล้ว พวกเขาเสียเปรียบในการควบคุมตลาดกลุ่มนี้
แม้แต่การส่งเสริมการขายริมถนนซึ่งผู้บริหารของแบนด์เอดคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกก็ทำให้ยอดขายของพวกเขาลดลงได้ด้วย แต่ฝ่ายบริหารของแบนด์เอดเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าบริษัทเภสัชกรรมเมืองปิงไม่สามารถจัดโปรโมชั่นเหล่านี้ได้ตลอดไปและจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อพวกเขา
ช่วงเวลานี้ เฝิงหยู่ ไม่ได้วางแผนกิจกรรมการตลาดใหม่สำหรับบริษัทเภสัชกรรมเมืองปิง กลยุทธ์ปัจจุบันเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดที่เขาสามารถทำได้ ตอนนี้เฝิงหยู่อยู่ในปักกิ่งและพูดคุยกับพวกผู้นำรัฐบาลเมืองปักกิ่งเกี่ยวกับการเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือของเขากับฉวนจวี้เต๋อ
ตระกูลฟู่นั้นทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมาก ภายในระยะเวลาอันสั้น พวกเขาสามารถซื้อร้านอาหารยอดนิยมในหลายประเทศและเมือง เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย มาเก๊า ฮ่องกง นิวยอร์ก เสฉวน หางโจว จินลิน เป็นต้น
ร้านอาหารที่พวกเขาซื้อมีชื่อเสียงที่ดีมากและแต่ละร้านก็มีเมนูพิเศษของตัวเอง แถมยังตั้งอยู่ในทำเลที่ดีด้วย
การได้ร้านอาหารที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ทั้งหมดมาร่วมเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือกับฉวนจวี้เต๋อคือสิ่งที่รัฐบาลเมืองปักกิ่งต้องการ พวกเขาไม่อยากเห็นร้านอาหารพวกส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของฉวนจวี้เต๋อ
แต่ก็เกิดปัญหาขึ้น หลังจากร้านอาหารพวกนั้นมารวมตัวกันและก่อตั้งบริษัท บริษัทนั้นก็มีมูลค่าสูงกว่า ฉวนจวี้เต๋อมาก!
หากพวกเขาจะจัดตั้งห้างหุ้นส่วน งั้นฉวนจวี้เต๋อก็จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย เฝิงหยู่ต้องการให้ห้างหุ้นส่วนนี้สร้างเครือข่ายร้านอาหารและใช้ประโยชน์จากแบรนด์และเป็ดย่างของฉวนจวี้เต๋อในการขยายธุรกิจและเพิ่มผลกำไร
แต่เฝิงหยู่จะไม่ยอมแพ้ที่จะเข้าควบคุมหุ้นของบริษัท!
รัฐบาลเมืองปักกิ่งอนุญาตให้ฉวนจวี้เต๋อ เป็นผู้ถือหุ้นและยอมให้บุคคลทั่วไปเข้าลงทุนในบริษัทได้ บุคคลดังกล่าวนี้รวมถึงกองทุนจากฮ่องกงด้วย แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่ว่ารัฐบาลยังคงถือหุ้นส่วนใหญ่อยู่และมีอำนาจควบคุมบริษัทอย่างเต็มที่ พวกเขาไม่ต้องการให้คนอื่นเข้ามาควบคุมฉวนจวี้เต๋อ
แม้ว่ารัฐบาลจะถือหุ้นส่วนใหญ่ แต่หากผู้ถือหุ้นรายอื่นเอาหุ้นของพวกเขมารวมกัน พวกเขาก็สามารถควบคุมบริษัทได้อย่างเต็มที่เช่นกัน ฉวนจวี้เต๋อจะถูกแปรรูปกลายเป็นเอกชนอย่างเต็มตัว!
“นายกเทศมนตรีหลิวครับ เราเห็นด้วยกับเงื่อนไขและลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงแล้ว ซึ่งไม่ได้ระบุว่าถ้ามูลค่าโดยรวมของร้านอาหารผมสูงกว่าฉวนจวี้เต๋อ ข้อตกลงนี้จะไม่ผ่าน ซึ่งมันคือสิ่งที่คุณต้องการ และเราพยายามอย่างเต็มที่ในการเพิ่มขนาดธุรกิจของเราเพื่อเพิ่มแบรนด์ของฉวนจวี้เต๋อให้ดีขึ้น เราดำเนินการไปแล้วและตอนนี้คุณกำลังตำหนิเราเนี่ยนะ? แบบนี้มันไม่สมเหตุสมผลไปหน่อยหรอครับ? “เฝิงหยู่โกรธมาก
แน่นอนว่าตระกูลฟู่ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อร้านอาหารในประเทศจีนในตอนแรก เฝิงหยู่เป็นคนแนะนำเอง เฝิงหยู่ต้องการให้มูลค่าของบริษัทร้านอาหารของพวกเขาสูงกว่าของฉวนจวี้เต๋อมาก
เฝิงหยู่และฟู่กวางเจิ้งต่างก็รู้ว่าถ้าพิจารณาจากเอกสาร มูลค่ารวมของร้านอาหารพวกเขาสูงกว่าฉวนจวี้เต๋อมาก แต่ถ้าฉวนจวี้เต๋อรวมมูลค่าแบรนด์ของพวกเขาไปด้วย มูลค่าของฉวนจวี้เต๋อรวจะยังคงสูงกว่าอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม เฝิงหยู่ และฟู่กวางเจิ้งจะไม่ปล่อยให้รัฐบาลเมืองปักกิ่งรู้เรื่องนี้เด็ดขาด รองนายกเทศมนตรีหลิวคนนี้ไม่เหมือนจางรุ่ยเฉียง เฝิงหยู่จะไม่ยอมให้โอกาสนี้เอาเปรียบเขาได้
“นั่นคือสิ่งที่เราพูดกัน และก็มีการระบุไว้ในสัญญาด้วย แต่มูลค่าของร้านอาหารคุณไม่ควรสูงกว่าของเรามากนัก ถ้าเรายังอยากที่จะควบคุมสัดส่วนการถือหุ้น เราจะต้องลงทุนเพิ่มอีก 100 ล้านหยวนงั้นหรอ? ถ้าเรามีเงิน ทำไมเราต้องทำงานให้คุณด้วยล่ะ? เราก็สามารถขยายธุรกิจเองได้” รองนายกเทศมนตรีหลิวขมวดคิ้วและพูด
บริษัทอาหารและเครื่องดื่มสองแห่งได้ติดต่อมาหาฉวนจวี้เต๋อก่อนหน้านี้ หนึ่งในนั้นคือบริษัทเสฉวน และเป็นบริษัทในรูปแบบผู้ถือหุ้นซึ่งรัฐเป็นเจ้าของหุ้นส่วนใหญ่ บริษัทอื่นเป็นบริษัทห้างหุ้นส่วนและบริษัทเอกชน
บริษัททั้งสองแห่งนี้มีอิทธิพลค่อนข้างมาก แต่เมื่อเทียบกับเฝิงหยู่และตระกูลฟู่แล้ว ก็ยังถือว่าน้อยอยู่ แม้ว่าทั้งสองบริษัทจะรวมกัน แต่มูลค่ารวมก็ยังคงเทียบไม่ได้ ที่ผ่านมาร้านอาหารที่ซื้อโดยตระกูลฟู่ก็มีมูลค่ามากกว่าร้านอาหารของประเทศจีนอยู่มาก นอกจากนี้ เนื่องจากคำแนะนำของเฝิงหยู่ที่ต้องการให้เข้าซื้อกิจการร้านอาหารอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ตระกูลฟู่ต้องจ่ายเงินในราคาสูงมากสำหรับร้านอาหารพวกนั้น
เฝิงหยู่คิดไว้แล้วว่าจะต้องเป็นแบบนี้ ถ้าเขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของฉวนจวี้เต๋อ และมีคนอยากซื้อหุ้นที่มีอำนาจควบคุมบริษัท เขาก็คงจะไม่ยอมเหมือนกัน
เฝิงหยู่ได้หารือกับฟู่กวางเจิ้งว่าจะให้รัฐบาลเมืองปักกิ่งเห็นด้วยกับการเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือของพวกเขาได้อย่างไร ทางออกก็คือการขยายขนาดธุรกิจให้มากขึ้นและเพิ่มจำนวนผู้ถือหุ้น นอกจากนี้ พวกเขาต้องแสดงการสนับสนุนให้แก่รัฐบาลเมืองและยอมให้พวกเขาดำรงตำแหน่งประธานในบริษัท
เฝิงหยู่และฟู่กวางเจิ้งไม่มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการบริษัทอาหารและเครื่องดื่ม พวกเขาอยากสร้างรายได้เท่านั้น ดังนั้นในฐานะนักลงทุนพวกเขาจะต้องเข้าร่วมการประชุมผู้ถือหุ้นและคอยนั่งรับผลกำไร
แน่นอนว่าเฝิงหยู่และฟู่กวางเจิ้งไม่โง่ที่จะสละสิทธิ์ของผู้ถือหุ้นทั้งหมด หากรัฐบาลเมืองปล่อยให้คนโง่มาเป็นผู้นำบริษัท พวกเขาจะต้องมีสิทธิ์ยับยั้ง
“นายกเทศมนตรีหลิวครับ ผมว่าปัญหานี้แก้ไขได้ง่ายมากเลย ผมได้ยินมาตอนที่เราเข้าไปติดต่อบริษัท ฉวนจวี้เต๋อ มีบริษัทอีกสองแห่งก็สนใจลงทุนในฉวนจวี้เต๋อด้วยเหมือนกัน ทำไมเราไม่ติดต่อพวกเขาให้มารวมอยู่ในการเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือครั้งนี้ด้วยล่ะครับ?”
“ให้พวกเขามาลงทุนด้วยหรอ? เรามีร้านอาหารเกือบ 20 แห่ง และถ้าเราปล่อยให้เข้ามา ก็จะมีร้านอาหารลเกือบ 40 แห่งเลยนะ ขนาดธุรกิจจะใหญ่เกินไปหรือเปล่า?” รองนายกเทศมนตรีหลิวกังวลว่าการบริหารจัดการจะไม่ใช่เรื่องง่าย และพวกเขาไม่ได้มีพ่อครัวทำเป็ดย่างจำนวนมากขนาดนั้น หากเกิดล้มเหลวขึ้นมา มันจะกลายเป็นหายนะสำหรับฉวนจวี้เต๋อเลยทีเดียว
“นายกเทศมนตรีหลิวครับ เราแค่ก่อตั้งห้างหุ้นส่วนเพื่อเพิ่มชื่อเสียงของแบรนด์ฉวนจวี้เต๋อเท่านั้น ร้านอาหารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องล้วนเป็นบริษัทที่ทำกำไรได้ก่อนที่จะมาร่วมในกิจการร่วมค้านี้ หลังจากการเป็นหุ้นส่วนแล้ว ฉวนจวี้เต๋อและรัฐบาลเมืองปักกิ่งจะไม่ขาดทุน นอกจากนี้ หลังจากที่ก่อตั้งห้างหุ้นส่วนแล้ว เราจะสนับสนุนคนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลปักกิ่งให้เป็นประธานของคณะกรรมการบริษัทด้วย!”
ฟู่กวางเจิ้งก็แสดงท่าทีเขาอยู่ฝ่ายเดียวกับเฝิงหยู่
นายกเทศมนตรีหลิวเงียบไป หากรัฐบาลเมืองได้เป็นประธาน งั้นก็จะมีอำนาจควบคุมกลยุทธ์และทิศทางของบริษัทได้ นอกจากนี้ หลังจากการเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือครั้งนี้ ฉวนจวี้เต๋อจะกลายเป็นเครือข่ายร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของจีนและสำนักงานใหญ่ก็อยู่ในปักกิ่ง รายได้ภาษีประจำปีก็จะเป็นจำนวนมากด้วย
แต่ในขณะเดียวกัน นายกเทศมนตรีหลิวก็เป็นกังวล รัฐบาลเมืองปักกิ่งจะถือหุ้นน้อยกว่า เฝิงหยู่ยังเสนอแนะที่จะให้หุ้นบางส่วนแก่ผู้จัดการร้านอาหารและผู้บริหารระดับสูงของฉวนจวี้เต๋อด้วย นี่เป็นการตัดสินใจที่ยากมาก
“นายกเทศมนตรีหลิวครับ หลังจากการเป็นหุ้นส่วนในความร่วมมือครั้งนี้ มูลค่าของบริษัทฉวนจวี้เต๋อไม่เพียงแต่จะสูงที่สุดในประเทศจีนเท่านั้น แต่จะสูงที่สุดในเอเชียเลยทีเดียว! คุณเป็นคนที่ทำให้บริษัทธุรกิจร้านอาหารกลายเป็นอันดับหนึ่งของเอเชีย นอกจากนี้ สำนักงานใหญ่ของบริษัทยักษ์ใหญ่นี้ก็อยู่ในปักกิ่ง คุณเคยคิดบ้างไหมครับ?” อยู่ๆ ฟู่กวางเจิ้งก็พูดขึ้นมา
อันดับ 1 ในเอเชียหรอ?
รองนายกเทศมนตรีหลิวเริ่มคล้อยตามกับเรื่องนี้ …… เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยดีนะ?