บทที่ 337 – วันสิ้นโลก (13)
ในขณะนี้ดาเรย์กับเอิร์ธยังคงกำลังรวมเข้าด้วยกันอยู่ มีเพียงแค่เมืองลอยฟ้าเท่านั้นที่ยังลอยอยู่ออกมาเพียงลำพัก ในที่แห่งนี้ไม่ใช่แค่มีสมาชิกดราก้อนเนสเท่านั้น แต่ยังมีคนที่ยูอิลฮานได้พากลับมาจากโลกต่างๆทั้งหลายเช่นกัน
เพราะแบบนี้พวกเขาทุกคนก็เลยได้เห็นกระบวนการเปลื่ยนแปลงของเอิร์ธ และการไหลของเวลาที่เปลื่ยนแปลงไป
“เขาคือพระเจ้าสินะ!”
“ในเมื่อได้เห็นสิ่งที่น่าทึ่งแบบนี้ ตอนนี้ต่อให้ตายก็ไม่เสียใจแล้ว”
“เวลาถูกหยุด.. ไม่สิ เราถูกทิ้งไว้ในช่องว่างของเวลาต่างหาก”
หลังจากได้เห็นฉากที่น่าทึ่งนี่ต่อให้เป็นพวกโง่เง่าที่สุดในหมู่มนุษยชาติก็ยังรู้สึกอยากจะเคารพบูชายูอิลฮานกับพรรคพวกของเขา โลกทั้งสองใบกำลังหลอมรวมเข้าด้วยกัน เมืองยักษ์กำลังลอยอยู่บนท้องฟ้า แค่โบกมือก็สร้างเวทย์ที่ปกคลุมทั่วทั้งโลกได้… มันไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะรู้สึกชื่นชมยูอิลฮาน
ตอนอยู่อิลฮานในตอนนี้คือตัวตนที่สามารถจะหายไปได้ตลอดเวลา แต่ว่าตัวเขาก็เปล่งประกายยิ่งกว่าใครๆ การมีอยู่ของเขาในตอนนี้มีความขัดแย้งในตัวเองอยู่ เพราะงั้นหากไม่เรียกเขาว่าพระเจ้าจะเป็นอะไรไปได้อีกล่ะ?
“ตอบเราทีเถอะพระเจ้า”
“ท่านต้องการอะไรจากเรา”
ยูอิลฮานได้เตรียมทุกอย่างนับจากนี้โดยไม่สนใจว่าใครจะเรียกเขายังไงอยู่แล้ว เขาได้มองไปที่คนพวกนี้และตอบกลับไปสั้นๆ
“จะไปที่ไหนก็ไปตามใจ แค่จงมีชีวิตอยู่ต่อไป อย่าได้ไปตายในรูก็พอ”
“มีชีวิต…”
ยูอิลฮานได้ค่อยๆลดระดับเมืองลงมาและส่งทุกๆคนกลับลงไปบนโลก โลกที่ดูเหมือนทั้งเอิร์ธและดาเรย์ในเวลาเดียวกัน แม้ว่ามันจะดูวุ่นวายเพราะเอกลักษณ์ทัศนียภาพเดิมของทั้งสองโลกได้รวมกันและยังมีอารยธรรมของมนุษยชาติอยู่ แต่ว่ามันก็ยังดูงดงามในแบบของมันอยู่เช่นเดียวกัน
“อยากไปไหนก็ไปเถอะ การต่อสู้สุดท้ายจะไม่ได้เกิดขึ้นที่นี่ แค่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้พวกนายก็เป็นแหล่งพลังให้กับฉันได้แล้ว”
“ตามที่เราต้องการ…”
นี่คือเหตุผลที่ยูอิลฮานปล่อยเมืองลอยฟ้าเอาไว้ลอยอยู่บนท้องฟ้า เมืองนี้คือส่วนหนึ่งของเอิร์ธและเกี่ยวพันกันแน่นอน แต่ว่าในตอนนี้มันก็สามารถจะเคลื่อนไหวตามที่ยูอิลฮานต้องการได้เช่นกัน
หากว่ายูอิลฮานต้องการถ้างั้นเขาก็จะสามารถเอาเอิร์ธไปที่ไหนก็ได้ตามใจ จะไปหาซาตาน ความโลภหรือใครก็ได้ แต่ว่าทำไมเขาจะต้องทำแบบนั้นด้วย? แค่ส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งของโลกก็พอแล้ว ส่วนของโลกมันก็เหมือนกันกับโลกทั้งใบและโลกทั้งใบก็เป็นเหมือนกันกับส่วนๆหนึ่ง
ยูอิลฮานได้กลับมาที่เมืองพร้อมกับสมาชิกตั้งต้นของเขา แน่นอนว่ามังกรที่ได้อาศัยอยู่ในเมืองก่อนหน้านี้ก็อยู่ด้วยเช่นกัน มีบางส่วนที่บอกว่าอยากที่จะไปสำรวจรอบๆโลกและกางปีกบินออกไป
“เป็นปรากฏการญ์ที่ยิ่งใหญ่จริงๆ…”
“มิเรย์ ฉันเห็นต้นไม้ที่ต้นใหญ่กว่าตึก 63 หลังซะอีกนะ ผู้คนอาจจะตัดมันทิ้งไปเพราะมันบังแสงแดดก็ได้ น่าเศร้าจังเลยเนอะ…”
“แทนที่เธอจะไปห่วงเรื่องต้าไม้ยักษ์ถูกตัด เธอควรจะกังวลว่าต้นไม้ยักษ์แบบนี้มันโตขึ้นมาได้ยังไงมากกว่านะ?”
ยูอิลฮานได้มองไปรอบๆและอธิบายให้เพื่อนๆของเขาที่พูดไม่ออกได้ฟัง
“อินเทอร์เน็ตก็น่าจะใช้งานได้เหมือนกันนะ”
“ช่วยอธิบายให้มันมีหลักการณ์มากกว่านี้ได้ไหม?”
“ถ้าเธออธิบายหลักการณ์ของมานาให้ฉันได้ ฉันก็จะอธิบายให้เธอได้เหมือนกัน”
“ถ้างั้นช่วยอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายหน่อยได้ไหม?”
“โลกทั้งโลกได้อยู่ในบาเรียของนาฬิกาทรายแห่งกาลเวลา ไม่ว่าเวลาภายในบาเรียนี่จะผ่านไปนานแค่ไหนมันก็จะเป็นแค่พริบตาเดียวเมื่อเราออกไป นี่มันต่างไปจากในตอนที่ฉันถูกทิ้งเอาไว้”
“อ่อ”
“ถูกทิ้ง…?”
ยูอิลฮานกับเลียร่าได้คุยล้อเล่นตามปกติของพวกเขา แต่ว่าคังมิรเย์ได้แสดงความสงสัยออกมาทันที นายูนาก็ยังเงยหูขึ้นมา
จริงๆแล้วพวกเธอยังไม่เคยได้ยินเรื่องราวในอดีตของยูอิลฮานจนครบเลย สิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่ยูอิลฮานปะทะด้วยต่างก็รู้กันหมดว่าเขาได้ถูกทิ้งเอาไว้เป็นพันปี เพราะงั้นพวกนั้นก็เลยไม่ได้ตกใจในจุดๆนี้ แต่ว่าคนส่วนใหญ่ที่นี่ยังไม่ได้รู้กัน
“นี่ลูกสบายดีนะ?”
คิมเยซอลได้สังเกตว่ายูอิลฮานได้เริ่มพูดถึงเรื่องนี้ด้วยความตั้งใจของตัวเองทำให้เธอมองไปที่เขาด้วยสายตาเป็นห่วง ยังไงก็ตามยูอิลฮานได้หยักหน้าออกมาด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
“ถ้าเก็บเป็นความลับเอาไว้ตลอดมันก็คงไม่ดีจริงไหมล่ะ แล้วก็ทุกๆคนที่นี่ก็มีคุณสมบัติควรที่จะได้รู้กันอยู่แล้วด้วย มันคงจะแปลกที่บางคนรู้ในขณะที่บางคนไม่รู้นี่นา การถูกทิ้งไว้มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเลย ฉันรู้เรื่องนี้ดีเพราะว่าอารมณ์นี้คือสิ่งที่ฉันได้เจอมาตลอดทั้งชีวิต”
จริงๆแล้วเหตุผลที่ยูอิลฮานกล้าจะพูดถึงเรื่องที่เขาถูกทิ้งต่อหน้าทุกๆคนนั่นก็เพราะ…
“ฉันมีความกล้าขึ้นมาแล้ว ฉันรู้สึกว่าการบอกเรื่องของตัวเองให้คนอื่นฟังมันไม่ได้แย่อะไรแล้ว เพราะแบบนี้… ฉันก็เลยอยากจะเล่าให้ทุกคนได้รู้”
“ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกัน”
“ฉันด้วย ฉันสงสัยเรื่องของนายมาตลอดเลย ฉันรอให้นายพูดมาตั้งนาแน่ะ!”
“…”
คิมเยซอลรู้สึกอึดอัดและเงียบลงไป อารมณ์ของแม่ที่ได้เห็นรู้ชายเติบใหญ่ขึ้นมาโดยที่เธอไม่ได้ช่วยอะไรเลยนี่มัน
“แล้วก็นะ”
ยูอิลฮานได้เสริมออกมาด้วยน้ำเสียงขี้เล่นด้วยความกลัวว่าแม่ของเราจะร้องไห้ออกมา
“ตอนนี้พวกเรามีเวลาอยู่อีกตั้งเยอะแล้ว เราจะมาเตรียมบทส่งท้ายแล้วก็ตอนพิเศษ บวกกับซีซั่นสองด้วยไปเลยเป็นไง?”
“ฉัน! ฉัน! ฉันอยากจะให้ซีซั่นสองเป็นเรื่องราวของลูกฉันกับนาย”
ในระหว่างที่นายูนากำลังถูกเลียร่าลงโ?ษนี้เอง ยูอิลฮานก็ได้เดินไปที่ป้อมปราการลอยฟ้าที่อยู่ภายในเมืองลอยฟ้า
ไม่สิ ก่อนหน้านั้นยูอิลฮานได้ใช้ประกาศิตกับมอนสเตอร์โดยเฉพาะทำให้พวกมันจะไม่สามารถโจมตีมนุษย์ก่อนได้
“นี่มันจะโกงไปแล้ว!?”
“การที่มอนสเตอร์ไม่ก้าวร้าวจะทำให้จิตใจของผู้เล่นผ่อนคลายเสมอ ฉันได้ตั้งความคิดเอาไว้เกี่ยวกับสิทธิในการมีชีวิตรอดกับมอนสเตอร์แล้ว”
“นายนี่ไม่เคยเปลื่ยนความคิดเลยจริงๆนะ!”
ในจุดนี้เขาไร้ยางอายจนมาถึงจุดที่ทำให้ตัวเขาเองเท่ไปแล้ว! ยูอิลฮานได้พาพรรคพวกที่พูดไปออกของเขาไปในห้องรับแขกที่อยู่ภายในป้อมปราการลอยฟ้า
เพียงโบกมือครั้งดเยวก็มีชาน้ำร้อนมาอยู่ขางตัวเขาแล้วก่อนที่เขาจะเทชาให้กับคนอื่นๆ ยูอิลฮานได้จิบชาลงไปและสูดหายใจเฮือกใหญ่
“ถ้างั้น… ฉันคิดว่าฉันคงจะต้องเริ่มตั้งแต่ตอนที่เกิดมหาภัยพิบัติขึ้นบนโลกเลยสินะ”
“ไม่ใช่ว่ามันเป็นก่อนหน้านั้นหรอกหรอ!?”
“ก่อนมหาภัยพิบัติฉันก็เป็นคนปกติ… พูดให้ฉันหน่อยก็พวก… สันโดษนั่นแหละ”
“เขายังรู้ตัวอยู่สินะ!”
เรื่องราวได้ดำเนินต่อไปเลยๆจนกระทั่งถึงถ้วยชาถ้วยที่เจ็ดของนายูนา เนื่องจากว่าเวลาภายนอกได้หยุดลงไปหมดแล้วทำให้สีของท้องฟ้ายังคงเป็นเช่นเดิม เพราะงั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าเวลาผ่านไปนานแคไหนแล้ว แต่ว่าพูดได้เลยว่านี่เป็นเวลาสั้นๆที่เทียบไม่ได้เลยกับระยะเวลาที่ยูอิลฮานต้องเจอกับความลำพังบนโลก
“…เรื่องราวก็เป็นแบบนี้แหละ”
หลังจากยูอิลฮานเล่าเรื่องจบความเงียบก็ได้ดำเนินไปอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดคังมิเรย์ก็ได้เงยหน้าที่ก้มลงต่ำตลอดเวลาขึ้นมาและจ้องไปที่ท้องฟ้าที่ไม่เปลื่ยนแปลงก่อนพึมพัมขึ้น
“งั้นนายก็ต้องจ้องมองท้องฟ้าที่หยุดนิ่งแบบนี้ตลอดทั้งหนึ่งพันปี…”
“แม้กระทั่งเมฆก็ยังไม่ขยับเลย”
“เขาไม่ได้ตัวคนเดียวหรอกนะ ยังมีฉันอยู่ด้วยเหมือนกัน ฉันอยู่ข้างๆเขาตลอดเวลา”
“พี่สาวเลียร่าขี้โกง!”
ในขณะเดียวกันนายูนาก็บ่นเลียร่าหน้ามุ่ย
“ตลอดพันปีนั่นฉันสามารถจะยั่วยูอิลฮานได้สบายๆเลยนะ!”
“แล้วทำไมเธอไม่รีบเกิดและกลายมาเป็นทูตสวรรค์ก่อนฉันล่ะ?”
“ไม่เดียวสิ ถ้าอย่างงั้นฉันก็ชอบผู้ชายแก่กว่างั้นสิน้า~? ไม่แปลกเลยที่ฉันจะไม่รู้สึกอะไรกับคนรอบตัว”
“ปัญหามันอยู่ตรงนั้นหรอกหรอ?”
แม้ระหว่างคุยกันอยู่ยูอิลฮานก็ยังเป็นห่วงเรื่องทัศนคติที่ทุกคนมีต่อเขา และเพราะแบบนี้ยูอิลฮานก็เลยโล่งใจที่ทุกๆคนยังเป็นเหมือนเดิม
คังมิเรย์ได้เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่และยอมรับในตัวเขาตอนนี้ ส่วนนายูนาก็ดูจะไม่ได้สนใจเลยสักนิด เขาได้หัวเราะออกมาและปรบมือเรียกความสนใจอีกครั้งหนึ่ง
“เรื่องของฉันจบแล้วล่ะ ฉันสงสัยจริงๆว่าฉันจะใช่อัจฉริยะหรือป่าวในเมื่อฉันใช้เวลาแค่พันปีฝึกฝนในโลกที่ไร้ซึ่งมานาจนแข็งแกร่ง แต่ดูเหมือนฉันจะเป็นอัจฉริยะจริงๆนั่นแหละ นี่มันคือเรื่องของสายเลือดและพรสวรรค์นั่นแหละ”
“คำพูดตอนจบลงนายนี่แหละที่มันแย่ที่สุด! คนกำลังซึ้งกันอยู่เลย!”
“เอาล่ะถ้างั้นก็กลับไปทำงานกันเถอะ”
ยูอิลฮานได้วางนาฬิกาทรายแห่งกาลเวลาลงบนโต๊ะขนาดใหญ่ ทรายภายในนาฬิกาทรายกำลังขยับอย่างเชื่องช้าและทำให้คนต้องสงสัยว่ามันขยับอยู่จริงๆหรือป่าว หากมองไกลๆมันจะดูเหมือนกับหยุดนิ่งอยู่เลยด้วยซ้ำไป
“ฉันอนุญาติให้ทุกๆคนบนโลกได้เห็นมัน เมื่อทรายตกลงไปจนหมด เราจะรวมตัวกันภายในเมืองนีอีกครั้งหนึ่ง และจบชีวิตสบายๆของเราลง จงจำเอาไว้ว่ามันยังไม่ได้สิ้นสุด นอกจากนี้ฉันก็ไม่มีคำสั่งอะไรจะมอบให้แล้ว แต่ว่าหากจะมีก็คงจะให้ใช้ชีวิตกันโดยไม่ต้องมาเสียใจภายหลังนะ”
“ครับพ่อ ผมจะทำให้กองทัพมังกรของผมแกร่งขึ้น!”
“นี่ลูกพูดเหมือนครูใหญ่โรงเรียนชื่อดังเลยนะ…”
คนเดียวที่พูดคำพูดแบบนี้ออกมาก็คือยูมิลลูกชายของเขาเอง นอกจากยูมิลแล้วคนอื่นๆทั้งหมดล้มตัวลงนอนโดยไม่ได้ตอบกลับมาเลย
“เอาล่ะ ถ้างั้น… [นาฬิการทรายแห่งกาลเวลาจะถูกทุกๆคนมองเห็นได้]”
สกิลประกาศิตของยูอิลฮานได้ถูกใช้งานออกมาแล้วและฉายภาพนาฬิกาทรายแห่งกาลเวลาขึ้นบนท้องฟ้า เนื่องจากว่าทุกๆอย่างมันเป็นไปตามที่เขาต้องการเพราะงั้นมันจึงไม่อาจจะเรียกว่าปาฏิหาริย์ได้อีกต่อไปแล้ว
“เจ้านี่คงจะไม่ใช่มีระยะเวลาพันปีอีกหรอกนะ?”
“ในเมื่อครั้งหนึ่งฉันเคยมีประสบการณ์มาแล้วมันไม่เป็นไรหรอก”
ยูอิลฮานได้เขกหน้าผากเลียร่าเบาๆและลุกขึ้นมา
แม้ว่าเขาจะให้อิสระกับทุกๆคน แต่ตัวเขาเองยังมีอีกหลายต่อหลายอย่างที่ต้องทำ ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าตัวเขาเองได้สมบูรณ์แบบในฐานะพระเจ้าแห่งเอิร์ธแล้ว แต่ว่านั่นก้ไม่ได้ทำให้เขามีพลังในทุกๆด้าน พ่อครัวที่เก่งที่สุดไม่อาจจะเอาชนะนักสู้ที่แกร่งที่สุดได้ ความเชี่ยวชาญทั้งสองอย่างมันต่างกัน
แต่แน่นอนว่าพ่อครัวที่เก่งที่สุดก็สามารถจะเอาชนะนักสู้ได้ด้วยการทำให้เขาท้องเสียด้วยพิษจากอาหาร นี่คือสิ่งที่ยูอิลฮานกำลังจะทำในตอนนี้ – สร้างสภาพแวดล้อมที่เขาจะเอาชนะได้ นี่แหละคือความเชี่ยวชาญของเขา
“ดีล่ะ งั้นมาเริ่มกันจากร่างกายเร็กน่าระดับสูงกับร่างราฟาเอลกัน โอ้ น่าสนุกแหะ”
“ฉันก็จะเฝ้าดูอิลฮานเหมือนอย่างที่เคยทำนั่นแหละ เหมือนกับเมื่อพันปีนั้นที่ฉันทำมาตลอด!”
“ว้าว มันชัดเจนว่าเธอกำลังจะผูกขาดเขาเอาไว้พันปี”
“ถ้างั้นฉันก็จะอยู่ข้างๆที่รักด้วยเหมือนกัน ฟุฟุ”
“คุณยังสามารถพัฒนาขึ้นได้อีกนะคิมเยซอล คุณอยากจะไปร่วมกันค้นคว้าเวทมนต์กับฉันไหม?”
“ได้สิเอิลต้า”
เนื่องจากเรื่องเล่าที่ยาวนานได้จบลงและและทุกๆคนต่างก็มีหน้าที่ของตัวเองทำให้พวกเขาไม่มีเหตุผลอะไรให้อยู่ที่นี่อีก ทุกๆคนต่างก็ไปทำในหน้าที่ของตัวเอง ยูอิลฮานก็ยังไปที่ที่ทำงานของเขาพร้อมกับเฮเรียน่าและเลียร่าที่เกาะติดเขาเหมือนแมลง
“แล้วมิเรย์ล่ะ?”
คิมเยซอลที่กำลังจะออกไปจากห้องรับแขกพร้อมกับเอิลต้าได้สังเกตเห็นว่าคังมิเรย์ยังคงนั่งอยู่
“พวกเรามีหลายๆเรื่องที่จะให้เธอสอนนะมิเรย์ มาช่วยเราหน่อยได้ไหม?”
“ได้ค่ะแม่ แต่ว่าตอนนี้… หนูขอพักซักนิดนะคะ”
คังมิเรย์ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้แสดงอารมณ์ออกมา คิมเยซอลได้หยักหน้าด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“ได้สิ”
“ฟุฟุ ในตอนที่เธอได้กลายเป็นเจ้าแห่งเวทมนต์ ออร่าของเธอได้เปลื่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ฉันอยากจะเข้าใจถึงความจริงของเวทมนต์จริงๆ…”
นับตั้งแต่คิมเยซอลกับเอิลต้าได้ออกไปซักพักหนึ่ง คังมิเรย์ก็มองขึ้นไปบนฟ้า เธอได้จ้องมองอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆในเวลาที่หยุดลง
‘ฉันคิดว่าฉันเข้าใจทุกๆอย่างแล้ว แต่ท้ายที่สุด… ฉันก็ไม่ได้รู้เลยว่าเขาเป็นยังไง ฉันเอาแต่มองตัวเองในร่างของเขา อ่า นี่มันน่าอายและน่าสมเพช… ‘
น้ำตาได้ไหลลงมาที่ข้างแก้มของเธอและหล่นลงไปบนถ้วยชาที่ว่างเปล่า คังมิเรย์ได้นั่งอยู่ตรงนี้จนกระทั่งคิมเยซอลได้กลับมาเรียกเธอ
ในเวลาเดียวกันนายูนาก็ขยี้ตาอยู่บนเตียงของเธอ ใบหน้าของเธอในตอนนี้ได้ซ่อนอยู่ภายในหมอน แม้ว่าเธอจะคิดว่าเธอจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้ยูอิลฮานต้องเป็นห่วงแล้ว แต่เธอก็ไม่อาจจะหยุดอารมณ์ที่เอ่อร้นออกมาของเธอได้
“ฮึก ฉันจะปล่อยให้ตาบวมไม่ได้ ถ้าตาฉันบวมฉันคงจะน่าเกลียดแน่…”
ดูเหมือนว่าถึงแม้ว่าเธอจะร้องไห้แต่เธอก็ยังห่วงหน้าตาอยู่ เธอจะไปหายูอิลฮานไม่ได้หากว่าเธอเอาแต่ร้องไห้อยู่ทุกวัน! แม้ว่ามันจะไร้ประโยชน์แต่เธอก็ยังคงขยี้ตาเธออยู่ดี ในท้ายที่สุดเธอได้ใช้เวลาไปเกือบทั้งวันถึงจะสงบใจออกมาจากห้องได้
ในเวลาเดียวกันผู้ปกครองเมืองและเป็นเจ้าของป้อมปราการลอยฟ้าอย่างยูอิลฮานก็รู้สึกอายมากๆหลังจากที่ได้เห็นการกระทำทั้งหมดของพวกเธอโดยไม่ตั้งใจ แม้ว่าเขาจะตัดการเชื่อมต่อไปในทันทีที่เขาเห็น แต่ว่าเขาก็ได้เห็นมาส่วนเข้าแล้ว
“อิลฮานทำไมถึงไปกลิ้งอยู่บนพื้นแบบนั้นล่ะ?”
“ฉันกำลังใช้ร่างกายเป็นไม้ถูพื้นทำความสะอาดพื้นอยู่น่ะเพราะงั้นอย่างเพิ่งมาพูดกับฉันในตอนนี้”
หลังจากกลิ้งไปกับพื้นจนทั่วแล้วยูอิลฮานถึงได้เริ่มลุกกลับมาทำงานของเขา