Chapter 71 – ป่าหมอกลวงตา
เซี่ยวหยุนมาได้ถึงเทือกเขาที่ปกคลุมไปด้วยหมอกและมันก็เป็นเรื่องยากอย่างไม่น่าเชื่อที่มองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในมัน
ภายในเทือกเขา เซี่ยวหยุนห้อยอยู่เหมือนกับลิงตรงหน้าผา โดยกำลังกำก้านของหญ้าจิตวิญญาณอยู่
“ในที่สุดข้าก็ได้รับหญ้าสมาธิจิตวิญญาณ” เซี่ยวหยุนเปิดเผยท่าทีแห่งความสุขใจออกมาขณะที่เขาถือหญ้าจิตวิญญาณที่เปล่งประกายด้วยแสงสีม่วง
ตอนนี้มันก็ผ่านมา 1 เดือนแล้วนับตั้งแต่ที่เซี่ยวหยุนออกมาจากเขตเมฆาม่วง ในช่วงเดือนนี้ เขาก็เดินทางไปทั่วผ่านดินแดนและสายน้ำ ซึ่งได้จากมาหลายพันกิโลเมตรแล้ว
เขตเมฆาม่วงอยู่ไกลจากนครหลวงแห่งราชอาณาจักรอยู่มาก แต่อย่างไรก็ตาม เพราะว่ายังมีเวลาเหลืออยู่อีกพอสมควรก่อนที่การตรวจสอบของนิกายต้นกำเนิดสวรรค์จะเริ่มขึ้น เซี่ยวหยุนจึงต้องการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการเดินทางเพื่อเพิ่มความสามารถของตัวเขาเองให้สูงขึ้น
ภายในเทือกเขา เขาได้ล่าอาหารและใช้เวลาอยู่หลายคืนในที่โล่งเพื่อสู้กับสัตว์ปีศาจต่างๆ ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้ไม่ได้ทำให้แค่เขาก้าวเข้าสู่ขั้นปลายของขอบเขตต้นกำเนิดเท่านั้น แต่ยังทำให้พลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย เขาไม่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการควบคุมหอกทำลายจิตวิญญาณอีกต่อไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเซี่ยวหยุนยังไม่สามารถใช้หอกทำลายจิตวิญญาณได้ด้วยทักษะอันยอดเยี่ยมและง่ายดาย
ปัจจุบันเขาเกือบจะไปถึงขั้นสมบูรณ์ของชั้นแรกจากทักษะศักดิ์สิทธิ์ทำลายจิตวิญญาณแล้ว ซึ่งมันมีทั้งหมดเก้าชั้นแล้วแต่ละชั้นจะถูกแบ่งออกเป็นขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลายและขั้นสมบูรณ์
เมื่อตอนที่เขาไปถึงขั้นต้นของชั้นแรกมันก็ได้ทำให้พลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้น ในตอนที่มันไปถึงขั้นกลาง มันก็สามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้คนได้ ซึ่งทำให้เขาโจมตีได้ในขณะที่การป้องกันของพวกเขาลดต่ำลงได้ เมื่อเขาไปถึงขั้นปลายของชั้นแรก เซี่ยวหยุนก็สามารถควบแน่นพลังวิญญาณของเขาเป็นเส้นด้ายและยิงมันไปเข้าไปจิตใจของศัตรูเพื่อโจมตีได้ แล้วเมื่อไปถึงขั้นสมบูรณ์ของชั้นแรก เซี่ยวหยุนก็แทบจะสามารถทะลวงผ่านผนึกบนชั้นแรกของหอคอยกลืนกินสวรรค์และได้รับหอกทำลายจิตวิญญาณ แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถใช้มันจนเขาพอใจได้ – ถ้าเขาต้องการจะควบคุมมันอย่างแท้จริง เขาจะต้องก้าวหน้าสู่ชั้นสองของทักษะศักดิ์สิทธิ์ทำลายจิตวิญญาณ
อย่างไรก็ตาม การก้าวไปอีกแค่อีกก้าวเดียวไม่ใช่เรื่องง่าย มันไม่ได้จำเป็นแค่ต้องบ่มเพาะไปอีกหลายเดือน แต่มันยังต้องมีทรัพยากรจำนวนมากให้กับวิญญาณของเขาด้วยเช่นกัน หญ้าสมาธิจิตวิญญาณต้นนี้ในมือของเขาเป็นหนึ่งในสิ่งที่สามารถช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับทักษะศักดิ์สิทธิ์ทำลายจิตวิญญาณให้กับเขาได้
“หญ้าสมาธิจิตวิญญาณต้นนี้ เจ้าก็ยังขาดแค่แก่นแท้วิญญาณและไขกระดูกกล้วยไม้สีม่วงเพื่อปรุงเม็ดยาวิญญาณสวรรค์” เมื่อเห็นว่าเซี่ยวหยุนได้รับหญ้าสมาธิจิตวิญญาณ นกกระจอกกลืนกินสวรรค์ก็ปีติยินดีเพราะว่าเม็ดยาชนิดนี้มีความสำคัญอย่างเหลือเชื่อสำหรับมัน
“ก็แค่รอ” เซี่ยวหยุนกล่าวขณะที่เขากลอกตาไปยังนกกระจอกกลืนกินสวรรค์ เนื่องจากเขายังไม่ได้แม้แต่จะทะลวงผ่านทักษะศักดิ์สิทธิ์ทำลายจิตวิญญาณเลย
“เจ้าตระหนี่เกินไปแล้ว” นกกระจอกกลืนกินสวรรค์โต้ตอบ มันรู้สึกไร้คำพูดโดยสิ้นเชิง
“เจ้าไม่สามารถกลืนกินแก่นแท้สำคัญของทุกสิ่งได้?” เซี่ยวกล่าวด้วยความดูถูก “แล้วข้าจะมอบเม็ดยาระบายปราณให้กับเจ้าไปบ้างเป็นเช่นไร?”
“จะใช้เม็ดยาระบายปราณไปเพื่ออะไร?” นกกระจอกกลืนกินสวรรค์คร่ำครวญ “แม้แต่เม็ดยาระบายปราณ 10,000 เม็ดก็ไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับเม็ดยาวิญญาณสวรรค์เพียงเม็ดเดียว ข้าในตอนนี้กำลังอยู่ในร่างวิญญาณ ดังนั้นข้าไม่สามารถเก็บแก่นแท้แห่งปราณหรือแก่นแท้สำคัญได้มากนัก แต่อย่างไรก็ตามด้วยสายเลือดนกกระจอกกลืนกินสวรรค์ของเราได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับไฟ ดังนั้นถ้าเจ้าสามารถหาผลไม้วิญญาณประเภทไฟหรือเส้นโลหิตแห่งไฟให้แก่ข้าได้ ข้าก็จะสามารถฟื้นคืนความแข็งแกร่งของข้าได้อย่างรวดเร็ว”
“เส้นโลหิตแห่งไฟ?” ดวงตาเซี่ยวหยุนหดแคบลง เขาก็จำเป็นต้องหาของแบบนี้เหมือนกัน! เพราะว่าตอนนี้เขาได้หลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณการต่อสู้เปลวไฟสีม่วงไปแล้ว ถ้าเขาอยากให้จิตวิญญาณการต่อสู้พัฒนามากขึ้นยิ่งกว่านี้ เขาก็จำเป็นต้องดูดซับแก่นแท้ปราณแห่งไฟที่มากขึ้นเช่นกัน
ถ้าจิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาไปถึงสภาพที่แน่นอนแล้ว เขาก็จะสามารถต่อสู้กับพวกที่มีการบ่มเพาะสูงกว่าเขาได้ เนื่องจากผู้ใช้ไฟทั้งหมดต่างก็หายากมากในสถานที่แห่งนี้ และแม้แต่เปลวไฟลูกเล็กๆ ก็สามารถทำให้สรรพสิ่งนับไม่ถ้วนต้องสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว แต่อย่างไรก็ตามมันเป็นการยากมากที่จะก่อไฟดังกล่าวออกมา
หลังจากที่ได้รับหญ้าสมาธิจิตวิญญาณแล้ว เซี่ยวหยุนก็ไม่ได้กินมันทันที แต่หลังจากที่ไปถึงระดับนี้ของทักษะศักดิ์สิทธิ์ทำลายจิตวิญญาณแล้ว การใช้หญ้าจิตวิญญาณไปตรงๆ จะไม่ช่วยให้เขาทะลวงผ่านได้ มีเพียงแค่หลังจากปรุงมันเป็นเม็ดยาแล้วถึงจะช่วยให้เขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตต่อไปได้
ต่อจากนั้นเซี่ยวหยุนก็ยังคงเดินทางต่อไป โดยหวังว่าเขาจะค้นพบหญ้าจิตวิญญาณมากขึ้น
หลังจากเดินอยู่ชั่วครู่ เซี่ยวหยุนก็ขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ นี่เป็นเพราะว่าได้มีหมอกหนาอยู่ข้างหน้าเขา มันเป็นเหมือนกับหมอกพิษซึ่งทำให้พลังวิญญาณของเขาได้ผลกระทบหากปล่อยพลังออกมา
“เทือกเขานี้ค่อนข้างพิเศษ!” เซี่ยวหยุนเอาแผนที่ออกมาศึกษา
“เดี๋ยวนะ ที่นี่คือป่าหมอกลวงตารึ?” ทันใดนั้นเซี่ยวหยุนก็ส่ายหัว
ป่าหมอกลวงตาปกคลุมไปด้วยหมอกตลอดทั้งปีและตอนนี้เขาก็อยู่ภายในพื้นที่หวงห้ามของเทือกเขา คนนอกที่เข้าไปน้อยนักที่รอดกลับออกมา เพราะว่ามีพืชภายในที่ปลดปล่อยกลิ่นหลอนประสาทและมีอิทธิพลต่อจิตใจคนออกมา
เซี่ยวหยุนไม่ได้อยากมาที่นี่เลย แต่เป็นเเพราะว่าเขาได้รวบรวมสมุนไพรจิตวิญญาณตลอดเวลา เขาถึงได้ออกนอกเส้นทางที่เขาติดตามมา
“ทั่วทั้งเทือกเขาแห่งนี้ปกคลุมไปด้วยหมอก ข้าสงสัยว่าทางออกมันคืออะไรกัน” หลังจากที่เดินผ่านป่ามาเป็นเวลา 2 วัน เซี่ยวหยุนก็ไม่พบทางออก แต่กลับกันเขาได้ถูกโจมตีด้วยสัตว์ลวงตา – พวกมันเป็นสัตว์ปีศาจประเภทที่สามารถพ่นหมอกออกมาเพื่อสร้างภาพลวงตาและอาการประสาทหลอนได้
ถ้าคนธรรมดาได้พบกับสัตว์ปีศาจพวกนี้ จิตใจของพวกเขาก็จะถูกทำให้อ่อนลงโดยหมอก แล้วเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นอาหารสำหรับพวกสัตว์ปีศาจ แต่อย่างไรก็ตามด้วยพลังวิญญาณของเซี่ยวหยุนที่ทรงพลังพอสมควรจึงได้มีหนทางต่อต้านสัตว์ปีศาจได้
ระหว่างการต่อสู้กับกลุ่มของสัตว์ปีศาจ เขาก็ได้ใช้ฝ่ามือเมฆาปราพกเพื่อโจมตีกลับไปยังสัตว์ปีศาจจำนวนหลายตัว ดูเหมือนว่าสัตว์ลวงตาจะหวาดกลัวไฟอย่างมากและเซี่ยวหยุนก็ได้ฆ่าพวกมันไปหลายตัว เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงวิกฤติที่จะเกิดขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามด้วยเหตุนี้เองเขาจึงได้ดึงดูดสัตว์ลวงตาสองตัวที่กำลังโกรธซึ่งอยู่ในขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริง มันเกือบจะฆ่าเขาไปได้ แต่ในท้าายที่สุดเซี่ยวหยุนก็ได้บังคับใช้หอกทำลายจิตวิญญาณ และหลังจากที่ฆ่าสัตว์ลวงตาขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริงแล้ว เขาก็เกือบที่จะสามารถหลบหนีไปได้
“ดูเหมือนว่าป่าหมอกลวงตาแห่งนี้จะอันตรายอย่างเหลื่อเชื่อ ข้าควรจะออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้” เซี่ยวหยุนกล่าวขณะที่เขารีบวิ่งไปพร้อมๆ กัน
ที่นี่มันอันตรายเกินไป – เขาสามารถใช้หอกทำลายจิตวิญญาณเพื่อสู้กับสัตว์ปีศาจขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริงได้ แต่หอกทำลายจิตวิญญาณได้ใช้พลังวิญญาณของเขามากจนเกินไป มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะได้ใช้มันอย่างต่อเนื่องในการต่อสู้ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานนัก
“ข้าจำเป็นต้องฟื้นคืนความแข็งแกร่งโดยเร็ว” เมื่อยามค่ำ เซี่ยวหยุนก็เลือกที่จะปิดประตูฝึกตนภายในถ้ำ เพื่อที่จะฟื้นฟูพลังวิญญาณของเขากลับมา
เช้าวันรุ่งขึ้นในป่าหมอก แสงแห่งพระอาทิตย์สาดส่องทะลุผ่านทั่วทั้งป่า
“หยุดที่นี่และพักผ่อน” เสียงของการเดินขบวนจู่ๆ ก็สามารถได้ยินภายในหุบเขาแห่งนี้
“บาดแผลของท่านหญิงสามนั้นเป็นเรื่องร้ายแรงและมิอาจเดินทางเป็นเวลานานได้ เราควรจะพักผ่อนตรงนี้กัน” กลุ่มของผู้ฝึกตนได้ตกลงกันขณะที่พวกเขาหยุดลง
นี่เป็นกลุ่มคนที่ทำการขนส่ง มีพวกเขาอยู่ประมาณ 30 คนที่ใส่เสื้อผ้าเหมือนกัน – เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดมาจากขุมอำนาจเดียวกัน
“เฮ้อ น่าเสียดายที่เราไม่มีเม็ดยาแก้พิษ” ผู้อาวุโสถอนหายใจขณะที่พวกเขามองไปยังขบวนขนส่ง “ถ้าเรามีเม็ดยาแก้พิษ เราก็จะสามารถรักษาพิษของท่านหญิงสามได้ ดังนั้นเราจึงต้องรีบกลับไปที่เมืองหมอกเหนือโดยเร็ว”
“ฮึ่ม ไอ้พวกตระกูลชี่น่ารังเกียจ! พวกมันกล้าซุ่มโจมตีอยู่ตรงนั้นเพื่อรอที่จะขโมยเหรียญนภาอัคคีในฝันของพวกมัน!” ความหนาวเย็นได้กระพริบผ่านดวงตาของเหล่าบุรุษขณะที่พวกเขาแค่นเสียงเย็นชา รู้สึกเกลียดชัดต่อตระกูลชี่มหาศาล
“นิ่งไว้” ผู้อาวุโสที่เป็นผู้นำกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
ผู้อาวุโสคนนั้นมีอายุเกินกว่า 50 ปี แต่เขาก็ยังดูเกรียงไกรและแข็งแรง ดวงตาของเขาประกายด้วยแสง และเขาก็ปลดปล่อยบรรยากาศสุดพิเศษออกมา เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริง และหลังจากที่เขาพูดพวกผู้ชายคนอื่นๆ ก็หยุดพูดคุยกัน
หลังจากที่ทุกคนพากันหยุด พวกเขาก็ได้เริ่มตั้งเต็นท์กัน
“เราจะพักผ่อนที่นี่กันเป็นเวลาหนึ่งวันเพื่อให้ทุกคนได้พักผ่อน ตระกูลชี่มันต้องไม่ปล่อยเราไปแน่” ชายวัยกลางคนกล่าว การบ่มเพาะของเขาอยู่ที่ขั้นสมบูรณ์ของขอบเขตต้นกำเนิด และเสียงของเขาก็ดังออกมาเหมือนกับฟ้าร้อง
ภายในเต็นท์ ได้มีเด็กสาวชุดสีเขียวกำลังร้องออกมาอย่างกังวล “ผู้นำตระกูลที่สอง ท่านหญิงสามไม่สามารถยื้อได้นานกว่านี้แล้ว”
“พิษของหรงเอ๋อเริ่มแสดงอาการอีกแล้วรึ?” ผู้อาวุโสขอบเขตแก่นแท้ที่แท้จริงขมวดคิ้วขณะที่เขารีบเข้าไปในเต็นท์
“เฮ้อ ตระกูลชี่ไร้ยางอายเกินไปแล้ว ไม่ใช่แค่ลอบโจมตีพวกเราแต่พวกเขากระทั่งใช้ยาพิษด้วย”
“ตอนนี้ท่านหญิงสามถูกพิษแล้ว ถ้านางไม่สามารถทนต่อมันได้ นางคงมิอาจรอดชีวิตได้แล้ว!”
“ช่างน่าเสียดายที่โฉมงามอันดับ 1 จากเมืองหมอกเหนือของเราจะต้องตกลงสู่สถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนี้” ผู้เยาว์บางคนกำลังรวมตัวกันอยู่ข้างเต็นท์อื่น พวกเขากำลังขมวดคิ้วขณะที่มองไปยังเต็นท์ที่อยู่ตรงกลาง
โฉมงามผู้ที่บอบบางเหมือนกับดอกไม้และสละสลวยเหมือนหยกล้ำค่ากำลังจะตาย ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายอันยิ่งใหญ่ แม้แต่เหล่าชายวัยกลางคนที่กำลังลาดตระเวนอยู่รอบๆ ก็กังวลมากเช่นกัน
“มีคนมา” ในขณะนี้ ทุกคนได้มองไปยังระยะไกล ซึ่งมีเด็กหนุ่มผู้ที่กำลังเดินมาหาพวกเขาอย่างช้าๆ
“เด็กผู้ชายคนนั้นปรากฏตัวขึ้นเมื่อไหร่?” ทุกคนรู้สึกตกใจอย่างเหลือเชื่อ บุรุษหลายคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ได้ลุกขึ้นและหยิบอาวุธของพวกเขา เพื่อเตรียมตัวที่จะโจมตีได้ทุกเวลา เมื่อเห็นคนเหล่านี้ เด็กหนุ่มก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นเซี่ยวหยุน
เซี่ยวหยุนกำลังฟื้นตัวอยู่ในถ้ำบริเวณใกล้เคียงและพยายามที่จะทะลวงผ่านผนึกบนชั้นสองของหอคอยกลืนกินสวรรค์ แต่อย่างไรก็ตาม เขาได้ล้มเหลวและเขาได้ก็ได้ตรวจพบว่ามีกลุ่มคนได้เข้ามาใกล้กับถ้ำ และจากทางที่พวกเขาพูดถึง พวกเขาดูเหมือนจะคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้อย่างมาก เช่นนี้เซี่ยวหยุนจึงอยากจะออกไปกับคนเหล่านี้เพื่อออกจากป่าที่น่ากลัวแห่งนี้
เซี่ยวหยุนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเขาได้เห็นทุกคนดูตื่นตัว แต่เขาก็ไม่ได้หยุดเดินต่อ ในทางกลับกัน เขาได้ส่งพลังวิญญาณของเขาไปยังเต็นท์ที่อยู่ตรงกลางและได้ยินเสียงของหญิงสาวกำลังหายใจอยู่
“นางถูกยาพิษนี่เอง” หลังจากที่รู้สึกได้ถึงรอบๆ ด้วยพลังวิญญาณของเขา เซี่ยวหยุนก็ได้คุ้นเคยกับสถานการณ์ของกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย
“เจ้าเป็นใคร?” เมื่อผู้ชายทุกคนได้มองเห็นเซี่ยวหยุนที่ยังคงเดินมา พวกเขาก็จ้องมองเซี่ยวหยุนอย่างโหดเหี้ยม
หนึ่งในเหล่าบุรุษที่อยู่ในขั้นสมบูรณ์ของขอบเขตต้นกำเนิดได้ก้าวออกมา มันดูเหมือนว่าเขาต้องการจะหยุดเซี่ยวหยุน
“ข้าก็แค่ผ่านมาที่นี่ แต่ก็ดันหลงทางในป่า” เซี่ยวหยุนกล่าวขณะที่เขาหยุดเดิน เขายิ้มออกมาและกล่าวว่า “เจ้าสามารถช่วยข้าหาทางออกได้ไหม?”
“หลงทางรึ?” ชายผู้อยู่ขั้นสมบูรณ์ของขอบเขตต้นกำเนิดได้จ้องมองไปที่เซี่ยวหยุนและความระมัดระวังก็ได้หายไป ผู้ชายคนอื่นก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายได้เข้าใกล้กันพอสมควร และชายคนนั้นก็ได้มองไปที่รูปลักษณ์ของเซี่ยวหยุน เขาเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุ 16 หรือ 17 ปีเท่านั้น ดังนั้นมันจึงไม่อะไรที่ต้องกลัวเขา
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เห็นเซี่ยวหยุนเป็นภัยคุกคาม แต่ชายคนนั้นก็ไม่อนุญาตให้เซี่ยวหยุนเข้ามาใกล้
ชายคนนั้นถามด้วยท่าทีจริงจัง “เจ้ามาจากไหน?” พวกเขาทั้งหมดกำลังอยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีนัก ดังนั้นถ้าหากคนที่มีเจตนาน่ารังเกียจได้เข้าร่วมกลุ่มกับพวกเขา สิ่งต่างๆ ก็จะกลายเป็นปัญหาไป
“ข้ามาจากเขตเมฆาม่วงที่ไกลนับพันกิโลเมตรจากที่นี่” เซี่ยวหยุนตอบ
“เขตเมฆาม่วง?” ชายคนนั้นยกคิ้วขึ้นและมองขึ้นลงไปที่เซี่ยวหยุน “สำเนียงของเจ้าเหมือนจะไม่ได้มาจากที่นี่ แต่เราไม่สามารถเอื้ออำนวยเจ้าได้ในตอนนี้ มันจะดีที่สุดถ้าเจ้าจากไปจากที่นี่และหาหนทางอื่น”
เมื่อเขาเห็นว่าคนเหล่านี้กระทำตัวอย่างไร เซี่ยวหยุนก็ขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้
“เกิดอะไรขึ้น?” ผู้อาวุโสได้เดินออกมาจากภายในเต็นท์และมองไปด้วยสายตาที่กำลังเผาไหม้