700 สำรวจและทำแผนที่เนินเขาหนานชาน
เรื่องที่เหลือทั้งหมด เจิ้งเหว่ยจวินและซุนหยุนเชิงจะเป็นคนจัดการเอง หรือคงจะเป็นกลุ่มคนที่ติดตามพวกเขาที่ทำแทน
ในตอนเย็น หวังเย้าและเจิ้งเหว่ยจวินได้แลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับเรื่องบริษัทยาและการจัดการในเรื่องของธุรกิจ
หวังเย้าไม่ได้เชี่ยวชาญในด้านนี้ แต่เขาเชี่ยวชาญในเรื่องยาแทน ความคิดของเขาจึงค่อนข้างเรียบง่าย บริษัทจะผลิตเฉาพะยาสมุนไพรจีนเท่านั้น และจะไม่เข้าไปยุ่งกับยาของทางแพทย์แผนตะวันตก ส่วนเจิ้งเหว่ยจวินก็ไม่ได้มีความคิดเห็นที่ต่างไปจากเขา
ส่วนเรื่องสูตรยานั้น ทั้งหมดจะถูกจัดเตรียมโดยหวังเย้า
“หมอสามารถเสนอสูตรยามาได้สักกี่สูตรครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม
“ประมาณหกหรือเจ็ดสูตร” หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง หวังเย้าก็พูดออกมา สูตรยาเหล่านี้ไม่ได้รวมสมุนไพรรากเอาไว้
“เยอะขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินประหลาดใจ
“เยอะไปเหรอ?” หวังเย้าถาม
“เราไม่จำเป็นต้องใช้สูตรยาเยอะขนาดนั้นหรอกครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “หมออาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจในอุตสาหกรรมการผลิตยาสักเท่าไหร่ ความจริงแล้ว บริษัทยาส่วนใหญ่จะไม่ผลิตยาออกมาหลายสูตร เพราะยาหลายสูตรก็หมายถึงอุปกรณ์ผลิตที่ต่างกัน อย่างที่สองก็คือ การผลิตยาแต่ละตัวจะต้องได้รับอนุญาตทางด้านการผลิตด้วย โดยปกติ บริษัทยาเลยเน้นไปที่การผลิตยาแค่ไม่กี่ตัว แล้วก็คาดหวังกำไรจากตรงนั้นแทนน่ะครับ”
เขายังอธิบายอีกว่า ในประเทศยังไม่มีกฎหมายป้องกันการจดสิทธิบัตรภายในประเทศ เพราะถ้าเป็นต่างประเทศ พวกเขาก็จะไม่สามารถผลิตยาเหล่านี้ได้เลย
“ความหมายของผมก็คือ เราควรทำการโปรโมทยาตัวหลักของทางบริษัทเป็นตัวแรก” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “หลังจากตัวยาได้ผลดี และกลายเป็นที่จดจำของตลาดแล้ว เราก็ค่อยปล่อยยาตัวอื่นออกไป”
“อืม ตกลงตามนั้นครับ” หวังเย้าพูด
“แล้วยาตัวไหนที่หมอหวังคิดจะเลือกเป็นตัวแรกดีครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม
“ผมขอคิดดูก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด
ตอนที่หวังเย้ากลับไปถึงหมู่บ้าน มันก็เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว เขาเข้าไปทักทายพ่อแม่ของเขาเพื่อไม่ให้พวกท่านต้องเป็นห่วง ก่อนที่จะกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน
เช้าวันต่อมา มีคนเดินทางมาที่หมู่บ้าน พวกเขามีเครื่องมือ, เครื่องวัด, และสีสำหรับทำเครื่องหมาย มันคือวันทำงานธรรมดาๆวันหนึ่งของพวกเขา
“กำลังทำอะไรกันอยู่เหรอ?” มีคนในหมู่บ้านเข้าไปถามด้วยความสงสัย
“ก็ไม่มีอะไรหรอก เราแค่กำลังทำแผนที่เท่านั้นเองครับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งตอบกลับไป
“ทำแผนที่เหรอ?” ในคืนนั้น หวังเย้าก็ต้องแปลกใจ เมื่อได้ยินว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นจากปากของพ่อเขา “บางที อาจจะเป็นการเก็บข้อมูลก็ได้”
ในวันที่สาม พวกเขาก็มาอีกครั้ง ในครั้งนี้ พวกเขาได้พากันขึ้นไปบนเนินเขาตงชาน และก็เป็นอีกครั้งที่พวกเขาทำงานตลอดทั้งวัน
ชาวบ้านต่างก็พากันสงสัยในพฤติกรรมของพวกเขา
“หมู่บ้านนี่ดีนะ แต่น่าเสียดาย” คนงานพูด
“นี่ เรามีหน้าที่แค่ทำงานเท่านั้น มันไม่ใช่บ้านของเราสักหน่อย” คนงานอีกคนพูด
หวังเย้ากำลังคิดเกี่ยวกับสูตรยาอยู่ภายในคลินิกของเขาเอง เขาพิจารณาหาสูตรยาที่เหมาะจะใช้ผลิตออกสู่ตลาดเป็นตัวแรก และเขาก็ได้ทำการจดสิทธิบัตรไว้เรียบร้อยแล้วด้วย
“บนเขาลูกนั้นมีต้นไม้เยอะเลย!” คนงานที่มาทำหน้าที่สำรวจชี้ไปที่เนินเขาหนานชานจากจุดที่พวกเขายืนอยู่บนเนินเขาตงชาน
บนเนินเขาตงชานและซีชานก็มีต้นไม้อยู่เช่นกัน แต่เกือบครึ่งหนึ่งได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นพื้นที่สำหรับทำการเกษตรไปแล้ว ซึ่งต่างจากเนินเขาหนานชาน ที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม
“ไปดูกันเถอะ” คนงานคนหนึ่งพูดขึ้นมา
ถึงยังไง ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็ต้องไปสำรวจที่นั่นอยู่แล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงพากันตรงไปที่เนินเขาหนานชานด้วยกัน แต่เมื่อไปถึงทางเชื่อมต่อระหว่างเนินเขา พวกเขาก็ถูกต้นไม้หลายแถวปิดทางเอาไว้ ต้นไม้เหล่านี้เป็นเหมือนกับกำแพงหลายชั้น และขึ้นติดกันอย่างหนาแน่น
“นี่ ดูเหมือนต้นไม้พวกนี้จะดูเป็นแบบแผนมากเลยนะ” คนงานคนหนึ่งพูด
พวกเขาใช้ความพยายามอย่างมาก เพื่อที่จะผ่านกำแพงต้นไม้เข้าไป
“ต้นไม้พวกนี้คือต้นอะไรเหรอ?” คนงานคนหนึ่งถามขึ้มา
“นี่ ตรงนั้นมันต้นองุ่นนี่!” คนงานคนหนึ่งชี้ไปที่ต้นองุ่นป่า
“มีผลไม้อย่างอื่นอีกไหม?” คนงานอีกคนถาม
“นายกล้าเอามากินเหรอ?” เพื่อนอีกคนของเขาถาม
“กินได้สิ ฉันจะลองกินดู” ชายหนุ่มเลือดร้อนเดินเข้าไปเด็ดผลไม้และชิมดู “โว้ว มันหวานมากเลย!”
“ปกติตอนนี้ มันเป็นเวลาเก็บองุ่นแล้วเหรอ?” คนงานอีกคนถาม
โดยปกติ เวลานี้จะไม่ใช่เวลาสำหรับการเก็บเกี่ยวองุ่น มันควรจะเป็นอีกเดือนหลังจากนี้ แต่บนเนินเขาหนานชานกลับมีองุ่นลูกโตพร้อมเก็บในเดือนนี้แล้ว การเติบโตของพืชพรรณเหล่านี้แตกต่างไปจากปกติมาก
“ไหน เอามาลองชิมดูซิ” เหล่าคนงานเริ่มลงมือทำงานอีกครั้ง
“นี่ ตรงนั้นดูเหมือนจะมีบ้านอยู่ด้วยหลังหนึ่งนะ!” คนงานชี้ไปที่กระท่อม
โฮ่ง!
อยู่ๆก็มีเสียงคำรามดังขึ้น
“มีหมาอยู่ด้วย” คนงานคนหนึ่งพูด
“หมาพันธุ์อะไรกัน ทำไมถึงได้เห่าเสียงดังขนาดนี้ได้?” คนงานอีกคนถาม
เมื่อพวกเขาได้เห็นตัวสุนัข มันก็ทำให้พวกเขาต่างก็ลืมไม่ลง
“โอ้ นั่นใช่หมาพันธุ์ทิเบตันรึเปล่าน่ะ?” คนงานคนหนึ่งถาม
“ฉันว่ามันเป็นสิงโตมากกว่านะ” คนงานอีกคนพูด
“หมาอะไร ทำไมถึงได้ตัวใหญ่ขนาดนี้ได้?” คนงานแต่ละคนต่างก็ตกตะลึงกับขนาดของสุนัข
เมื่อเห็นสุนัขที่ยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าของแต่ละคนก็เปลี่ยนไป
“ถ้าเกิดเราโดนมันกัดขึ้นมาล่ะ?” หนึ่งในคนงานถาม
“อย่าขยับ ค่อยๆถอยหลังช้าๆนะ” คนงานอีกคนพูด
คนงานทั้งหมดค่อยๆถอยหลัง สุนัขก็ติดตามพวกเขาไปอย่างช้าๆ มันเดินตามไปจนกระทั่งพวกเขาโผล่ไปอีกด้านของกำแพงต้นไม้
ท่าทีของสุนัขทำให้เหล่าคนงานต่างก็ต้องเหงื่อตก
“มีหมาตัวใหญ่ขนาดนี้อยู่บนเขาได้ยังไงกัน?” หนึ่งในพวกเขาพูดขึ้นมา
“นี่ เรายังจะทำงานกันต่ออยู่ไหม?” คนงานอีกคนถาม
“ทำสิ เราต้องทำงานต่อให้เสร็จ” หัวหน้าของพวกเขาพูด” ข้อมูลยังเก็บได้ไม่ครบเลย
“ฉันไม่อยากไปเลย หมาตัวนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว” คนงานคนหนึ่งพูด
“ฉันจะไปถามหาเจ้าของหมาตัวนั้นกับผู้ดูแลหมู่บ้านดู แล้วก็ค่อยให้เขามัดมันเอาไว้” หัวหน้าคนงานพูด
พวกเขาลงไปจากเขาและไปที่บ้านของหวังเจียนหลี่ “ทำแผนที่เหรอ? คืออะไรกัน?”
“นี่เป็นใบอนุญาตของพวกเราครับ หลักๆแล้วงานของเราก็คือการเก็บข้อมูลพื้นที่” หัวหน้าคนงานพูด
“เนินเขาหนานชานอยู่ในสัญญาเช่า คนนอกไม่สามารถเข้าไปในนั้นได้” หวังเจียนหลี่พูด
“เราแค่จะเข้าไปเก็บข้อมูลเท่านั้นเองครับ” หัวหน้าคนงานพูด “ใช้เวลาไม่นานหรอก”
“ผมจะลองถามเขาดูให้นะ” หวังเจียนหลี่กดโทรออกหาหวังเย้า
“ไม่ได้ครับ” หวังเย้าตอบ
หวังเจียนหลี่ส่งต่อคำพูดของหวังเย้าให้กับคนงาน
“ทำไมล่ะครับ?” หัวหน้าคนงานถาม
“มันก็แค่ เขาไม่อยากให้พวกคุณขึ้นไปบนนั้น” หวังเจียนหลี่พูด “ตอนนี้ก็มีจานดาวเทียมแล้ว ทำไมพวกคุณยังจะต้องมาออกหาข้อมูลทำแผนที่เองด้วยล่ะ?”
เขารู้สึกไม่ค่อยจะชอบคนเหล่านี้สักเท่าไร พวกเขาเดินไปทั่วหมู่บ้านมาหลายวันแล้ว แต่พวกเขากลับไม่เคยมาพูดอะไรกับหวังเจียนหลี่เลยสักครั้ง พวกเขามาหาหวังเจียนหลี่เฉพาะในตอนที่พวกเขาเจอปัญหาก็เท่านั้น
“แบบนั้นมันไม่เหมาะน่ะครับ” หัวหน้าหมู่บ้านพูด
“โดรนก็มีนี่นา” หวังเจียนหลี่พูด “ก็ลองใช้ดูสิ!”
“ครับๆ อย่าโมโหเลยนะครับ เราจะลองกลับไปที่นั่นดูก่อน” หัวหน้าคนงานพูด
เหล่าคนงานเดินออกมาจากหมู่บ้าน
“เป็นแค่คนดูแลหมู่บ้านเล็กๆแค่นี้แท้ๆ ยังจะมาทำตัวอวดดีอีก” หนึ่งในคนงานพูด
“เรื่องนี้เราเองที่ผิด” หัวหน้าคนงานพูด “เรามาที่หมู่บ้านนี้ได้หลายวันแล้ว แต่กลับไม่มีใครในหมู่พวกเราที่ไปแจ้งเขาเลย”
“หัวหน้าไม่ได้บอกพวกเขาไว้แล้วเหรอ?” คนงานถาม
“หัวหน้าน่าจะไม่ได้บอกนะ” หัวหน้าคนงานพูด
“แล้วตอนนี้ พวกเราจะทำยังไงกันดี? ไปคุยกับหัวหน้าดูก่อนไหม?” คนงานคนหนึ่งถาม
“พวกเขาคงไม่อยากทำให้มันยุ่งยากหรอกด” หัวหน้าคนงานพูด “นายมีโดรนรึเปล่า? เราเอามาลองใช้ดูดีกว่า”
ในตอนเย็น หวังเจียนหลี่ไปที่บ้านของหวังเย้า และบอกเรื่องที่เขาได้พบกับพวกคนงานในวันนี้
“บนเนินเขาหนานชานน่ะเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“อืม พวกเขาโดนหมาของเธอไล่ออกมาน่ะ” หวังเจียนหลี่รับบุหรี่มาจากหวังเย้า
หวังเย้าเงียบไปพักหนึ่ง “ลุงครับ พวกเขาคิดจะทำอะไรเหรอครับ?”
“ลุงก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกเขาแค่อยากจะทำแผนที่ แล้วก็เก็บข้อมูลเท่านั้น” หวังเจียนหลี่พูด
เก็บข้อมูลอย่างนั้นเหรอ? หวังเย้าเริ่มรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้
หวังเจียนหลี่อยู่คุยกับหวังเฟิงฮวาที่บ้านของหวังเย้าอยู่ยี่สิบกว่านาที ในความคิดของหวังเย้านั้น หวังเจียนหลี่ถือเป็นคนที่พูดเก่งคนหนึ่ง
สองสามวันต่อมา คนงานก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับโดรน
“นี่ มีไอ้นี่อยู่ทำงานได้ง่ายขึ้นเยอะเลยนะ” คนงานคนหนึ่งพูด
“ระวังด้วยล่ะ การใช้งานมันยากนะ” หัวหน้าคนงานพูด
“รู้แล้วน่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย” คนงานตอบ
โดรนบินขึ้น คนงานที่อยู่ด้านล่างก็เริ่มการบันทึกข้อมูล
“นี่ ทำไมที่นี่ถึงได้ดูแปลกๆ?” เมื่อโดรนบินขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน ภาพทุกอย่างก็กลายเป็นพล่าเลือน ภาพที่ส่งกลับมาไม่มีความชัดเจนเลย
บังคับให้บินต่ำลงดูซิ” หัวหน้าพูด
โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง! มีเสียงเห่าดังมาจากเขา
“หมาตัวใหญ่ตัวนั้นนี่” คนงานคนหนึ่งพูด
“ไม่ต้องไปกลัว” หัวหน้าพูด “หมามันบินไม่ได้อยู่แล้ว!”
“ใช่!”
กี๊ซ!
“อะไรน่ะ?!”
การสื่อสารกับโดรนถูกรบกวน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นที่นั่นกันน่ะ?”
“มันโดนทำลายแล้ว มันพังแล้ว!”
“อะไรพัง?”
“ก็โดรนน่ะสิ!”
พวกเขามองหน้ากันโดยที่พูดอะไรไม่ออกสักคำ
“เป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน?”
“เร็วเข้า รีบไปเอาโดรนกลับมา!”
“ล้อเล่นใช่ไหมเนี่ย? มันมีหมาอยู่ที่นั่นด้วยนะ!”
เหล่าคนงานไม่มีทางเลือก จึงต้องกลับไปขอความช่วยเหลือที่บ้านของหวังเจียนหลี่
“นี่เอาโดรนมาใช่จริงๆเหรอเนี่ย!” หวังเจียนหลี่พูดไม่ออก หลังจากที่ได้ยินพวกเขาพูด
“ครับ เลขาหวัง โดรนเป็นของหลวง แล้วตอนนี้มันก็ตกลงบนเขา คุณช่วยไปเอากลับมาให้เราได้ไหม?”