589 กระโดด ข้าม แทะ
ในคืนนั้น ชาวบ้านหลายๆคนได้พูดถึงเรื่องที่พวกเขาไปตรวจร่างกายกัน
“หมู่บ้านของเรามีคนติดโรคระบาดเหรอ?” ชาวบ้านคนหนึ่งถาม
“ก็อาจจะเป็นไปได้” ชาวบ้านอีกคนพูด
“แล้วรู้รึเปล่า ว่าทำไมพวกหมอถึงได้ไปอยู่รอบบ้านเฉินเจียกุ้ยแบบนั้นน่ะ?” ชาวบ้านอีกคนหนึ่งถาม “เมื่อตอนกลางวัน พวกเขาก็มีตรวจสุขภาพให้พวกเราโดยที่ไม่ได้แจ้งมาก่อนล่วงหน้า ดูจากที่พวกเขาทำ เป็นไปได้ไหมว่า พวกเขากำลังพยายามจะตรวจดูว่าพวกเราติดเชื้อด้วยรึเปล่าน่ะ?”
“นี่ๆๆ เกิดอะไรขึ้นกับเฉินเจียกุ้ยเหรอ? เขาเป็นบ้าใช่ไหม? แล้วเขาตายรึยัง?” ชาวบ้านอีกคนถาม
คนที่เป็นกังวลมากที่สุดในหมู่บ้านก็คือ หวังอีเชิง แกะที่เป็นบ้าตัวนั้นมาจากบ้านของเขา เฉินเจียกุ้ยกลายเป็นบ้าก็เพราะกินเนื้อของแกะตัวนั้นเข้าไป อาการบ้าคลั่งและการตายของเขาได้ดึงดูดแพทย์เข้ามาจำนวนมาก ในตอนนี้ มีกระทั่งหมอเข้ามาตรวจร่างกายของชาวบ้านทุกคน นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ
“ถ้าเกิดพวกเขารู้ว่า การตายของเฉินเจียกุ้ยเป็นเพราะแกะบ้าตัวนั้น แล้วมาหาพวกเราขึ้นมาล่ะ? เราจะถูกจับไหม?” ภรรยาของหวังอีเชิงถามด้วยความกังวล
“เราไม่รู้นี่ ว่าแกะตัวนั้นมันติดเชื้อน่ะ ไอ้เศษสวะนั่นต่างหากที่ผิด เพราะเอาเนื้อของมันไปกิน” หวังอีเชิงพูด “พวกเขาไม่มีหลักฐานพอที่จะพิสูจน์ได้ว่า โรคที่เฉินเจียกุ้ยเป็นเกี่ยวข้องกับแกะหรอก ใช่ไหม?”
ภรรยาของเขายังคงรู้สึกไม่สบายใจ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้เธอนอนหลับไม่สนิทตลอดทั้งคืน
ภายในแปลงสมุนไพรบนเนินเขาหนานชาน หวังเย้าก็ยังไม่นอนเช่นกัน เขาจับจ้องไปที่กระต่ายในกรงหิน ที่มีอาการบ้าคลั่งมากขึ้นเรื่อยๆ
ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง กระต่ายก็เริ่มมีอาการอยู่ไม่สุข มันกัดกินดินและกรงหินที่ขังมันเอาไว้ ฟันของมันแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อย รอบริมฝีปากของมันเต็มไปด้วยคราบเลือด มันยังคงกัดกินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่นิดเดียว มันยังชอบกระโดดขึ้นลงและพุ่งชนกรงหินเป็นพิเศษ มันไม่หยุดการกระทะของมันเลย ถึงแม้ว่าศีรษะของมันจะได้รับบาดเจ็บและมีเลือดไหล
“มันบ้าไปแล้ว!” หวังเย้าตกตะลึง
โฮ่ง!
“นายก็คิดแบบนั้นเหมือนกันใช่ไหม ซานเซียน?” หวังเย้าถาม “ไปกันเถอะ!”
เขายกกรงหินขึ้นมาและวางมันลงที่กลางกอหญ้าพิษ ที่ปลดปล่อยกลิ่นเฉพาะของมันออกมา “มาดูกันซิ! ว่ากลิ่นของมันจะทำอะไรได้บ้างรึเปล่า?”
หนึ่งคนและสุนัขหนึ่งตัว หนึ่งนั่งและหนึ่งนั่งยองๆ พวกเขากำลังเฝ้ามองกระต่ายในกรงหิน ที่กำลังกระโดด ข้าม และกัดแทะไม่หยุด
“ไม่นะ!” หวังเย้าเฝ้ามองอย่างละเอียดอยู่เป็นเวลานาน และพบว่า อาการบ้าคลั่งของกระต่ายไม่ได้ลดลงเลย เขาจึงเฝ้าสังเกตต่อไป
แทนที่จะไปเข้านอน หวังเย้าเลือกที่นั่งอยู่ภายในแปลงสมุนไพร และเฝ้ามองกระต่ายที่บ้าคลั่งอยู่เงียบๆ สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงทุกที
“มันบ้าไปแล้ว ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มติดเชื้อไปจนถึงอาการกำเริบมันสั้นมากๆ และอาการเริ่มแรกยังไม่ชัดเจนอีกด้วย” หวังเย้าสังเกตการณ์และจดบันทึกลงไปด้วย
โฮ่ง!
“ยังปล่อยมันออกมาตอนนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันอาจจะเอาเชื้อมาติดนายได้นะ” หวังเย้าพูด
โฮ่ง! โฮ่ง!
“นี่ไม่ใช่การทำร้ายสัตว์ แต่มันคือการทดลองทางวิทยาศาสตร์ และมันก็จำเป็นต้องอุทิศตัวของมันให้กับการทดลองด้วย” หวังเย้าพูด
เขานั่งอยู่อย่างนั้นไปจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้น
หลังกลับไปถึงตัวจังหวัด ทีมผู้เชี่ยวชาญก็ได้รีบทำการวิเคราะห์ตัวอย่าง เพื่อเป็นการยืนยันผลการวิเคราะห์ที่ได้จากห่ายชิวมาก่อนหน้านี้ เชื้อโรคชนิดนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีการค้นพบมาก่อน มันไม่ได้เป็นที่รู้จัก ดังนั้น ความซับซ้อนจึงมากขึ้นไปด้วย
“รายงานสถานการณ์ที่นี่ให้กับทางเบื้องบนด้วย” หัวหน้าหลิวพูด “เชื้อโรคตัวนี้อันตรายมาก และเราไม่เคยพบมันมาก่อน สิ่งที่เราต้องให้ความสนใจในตอนนี้ก็คือ การแพร่ระบาดและวิธีการรักษา”
พวกเขาเหล่านี้เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านชีวการแพทย์ เมื่อหลายปีก่อน พวกเขาได้เผชิญหน้ากับโรคระบาดที่เป็นเหมือนกับพายุลูกใหญ่ มันเกือบจะแพร่ระบาดไปทั่วทั้งประเทศ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทางภาครัฐก็มักจะให้ความสำคัญกับสถานการณ์ที่คล้ายกันนี้เป็นการเฉพาะ การหยุดมันตั้งแต่เริ่มต้น คือสิ่งสำคัญที่สุด
ในเขตเหลียนชาน คนที่รู้ข่าวเรื่องนี้ต่างก็พากันนอนไม่หลับ ด้วยความกลัวว่าโรคนี้อาจจะกลายเป็นโรคร้ายที่น่ากลัว
วันต่อมา พระอาทิตย์ขึ้นเหมือนเช่นทุกวัน แสงแดดในตอนเช้านั้นอ่อนโยน อาบไล้ผืนดินและส่องลอดผ่านผืนป่าใหญ่ ภายในแปลงสมุนไพร มีหนึ่งคนกับหนึ่งสุนัข
ภายในกรงหิน กระต่ายกำลังนอนอยู่ภายในนั้นพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง พื้นดินโดยรอบเต็มไปด้วยคราบเลือด ในเวลานี้ ความบ้าคลั่งที่มันแสดงออกมาเมื่อคืน ได้หายไปจนหมดแล้ว พลังงานที่ใช้ไปตลอดทั้งคืนได้หมดลง
กรงหินได้รับความเสียหายอย่างหนัก จากการถูกกัดกินและกระโดดย้ำไปมา ถ้าหากไม่ได้มาเห็นกับตาตัวเอง คงเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อได้ว่า กระต่ายที่แสนอ่อนโยนและน่ารักน่าเอ็นดูจะแสดงความบ้าคลั่งได้มากมายขนาดนี้ เรื่องของกระต่ายกัดคนอาจจะมีให้ได้ยินอยู่บ้าง แต่กระต่ายกัดหินและพุ่งชนกำแพงนั่น เป็นเรื่องที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน
แกะบ้า, เฉินเจียกุ้ย, และกระต่ายบ้า…พวกเขาทั้งสามต่างสายพันธุ์กัน แต่มีอาการแบบเดียวกัน ทั้งสามบ้าและต่อมาก็กลายเป็นคลุ้มคลั่ง หวังเย้าจดบันทึกสิ่งที่เขาได้ค้นพบ และพิจารณาว่า อาการของพวกเขาจะสามารถรักษาได้ด้วยสมุนไพรทั่วไปหรือไม่
เมื่อเห็นกระต่ายที่หายใจรวยรินอยู่ภายในกรงแล้ว หวังเย้าก็ตัดสินใจที่จะเฝ้าดูมันต่อไป ร่างกายของกระต่ายซูบผอมลง และขนกำลังมีการหลุดร่วงออกมา ช่วงชีวิตของมันไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“พอ! หยุดได้แล้ว!” หวังเย้ากำหมัดแน่น
เกิดเสียงแตกหักดังขึ้น แล้วศีรษะของกระต่ายที่อยู่ภายในกรงหินก็ถูกบีบจะเละโดยที่ไม่มีอะไรไปแตะต้องมันเลย หวังเย้าเปิดกรงหินและนำร่างกระต่ายที่ตายแล้วออกมา
โฮ่ง!
ฉันรู้ ซานเซียน ฉันจะระวัง” หวังเย้าพูด
เขาเดินเข้าไปในกระท่อมพร้อมกับร่างของกระต่าย และหามีดมาเล่มหนึ่ง เขาจัดการผ่าร่างกายของกระต่าย มันส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมา อวัยวะภายในและเนื้อเยื่อกลายเป็นสีม่วงคล้ำ มันดูไม่ต่างจากแมงกะพรุนเลย
หวังเย้าผ่าเปิดกะโหลกของกระต่าย มันดูคล้ายกับแป้งเปียกก้อนหนึ่ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะถูกเขาบีบจนแตก แต่สีม่วงคล้ำที่เห็นไม่ใช่ฝีมือของเขาอย่างแน่นอน สมองของกระต่ายถูกทำลายจนไม่เหลือ
เขาทำการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนที่สุดท้ายจะนำร่างของกระต่ายไปเผาในกองไฟ ในเมื่อมันเป็นเพียงกระต่ายไม่ใช่มนุษย์ ดังนั้น มันจึงมีข้อจำกัดในการใช้วิธีการวินิจฉัยทั้งสี่วิธี แต่มันก็ตรงเป้ากว่าวิธีการวินิจฉัยแบบอื่น
หลังจากวุ่นอยู่กับงานได้พักใหญ่ หวังเย้าก็กลับเข้าไปในกระท่อมและทำการบันทึกรายละเอียดทั้งหมดที่เขาค้นพบ อยู่ๆก็มีเสียงประกาศดังขึ้นภายในหมู่บ้าน
“ประกาศ วันนี้ หมอจากโรงพยาบาลเขตจะเข้ามาตรวจสุขภาพฟรีอีกครั้ง คนที่ยังไม่ได้ตรวจให้รีบมาตรวจด้วย ทุกคนจะต้องเข้ารับการตรวจ”
ตรวจร่างกายเหรอ? เสียงประกาศดึงดูดความสนใจจากหวังเย้า เขายังไม่ได้เข้ารับการตรวจเลย
หลังเสร็จธุระบนเนินเขาแล้ว หวังเย้าก็ลงไปข้างล่างและตรงไปที่คลินิก หลี่จูฉ่ายที่ถูกเฉินเจียกุ้ยกัดกำลังรอเขาอยู่ที่นั่น ผ้าพันแผลที่คอของเขาได้แกะออกแล้ว แต่บาดแผลยังไม่หายสนิทดีและดูน่ากลัว
“เสี่ยวเย้า” หลี่จูฉ่านพูด
“มีอะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“อาการป่วยของฉันจะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?” หลี่จูฉ่ายถาม
ตั้งแต่ที่เขาถูกเฉินเจียกุ้ยกัด เขาก็รู้สึกกังวลมาก หลายวันที่ผ่านมา มีแพทย์จำนวนมากเข้ามาในหมู่บ้าน และเดินไปเดินมารอบๆบ้านของเฉินเจียกุ้ย แม้แต่คนโง่ก็ยังเดาได้ว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น เขายังได้ยินมาอีกด้วยว่า สภาพการตายของเฉินเจียกุ้ยนั้นเลวร้ายมาก
เขากลัวว่า ตัวเองจะมีสภาพแบบนั้นเช่นเดียวกัน เขาไม่มีความอยากอาหารและนอนหลับไม่สนิท เขาเอาแต่กังวลว่า ตัวเองจะกลายเป็นแบบนั้นในสักวันหนึ่ง เขาจึงต้องการให้หวังเย้ายืนยันในเรื่องนี้ เพราะเขาไม่กล้าไปตรวจกับหมอที่โรงพยาบาล เขากลัวว่า พวกเขาจะจับตัวเขาเอาไว้และกลายเป็นตัวทดลอง
“พี่รู้สึกไม่สบายตรงไหนรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม พร้อมกับวินิจฉัยโดยการมองและดมกลิ่นไปด้วย เขาไม่รู้สึกถึงความผิดปกติเลย
“ฉันกินไม่ได้ นอนไม่หลับ แล้วฉันก็ร้อนท้องมาก ปวดหัวด้วย” หลี่จูฉ่ายพูด
“อ่อ มันเป็นเพราะความวิตกกังวลและพักผ่อนไม่เพียงพอน่ะครับ มาครับ ผมขอตรวจดูหน่อย” หวังเย้ายื่นมือออกไปจับชีพจรของเขา
“มันไม่มีอะไรเลยครับ สบายใจได้ กลับบ้านไปพักผ่อนซะนะครับ” หวังเย้าพูด
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็เบาใจ ขอโทษที่มารบกวนนายนะ” ถึงจะพูดออกมาแบบนั้น แต่เขาก็ยังไม่ได้วางใจร้อยเปอร์เซนต์
“แล้วมีอีกเรื่องหนึ่ง ตั้งแต่ที่ฉันมารักษากับนายครั้งก่อน ฉันยังไม่ได้จ่ายค่ายาเลยนะ! ทั้งหมดเท่าไหร่เหรอ?” ในตอนนั้น หลี่จูฉ่ายกำลังรีบร้อนจนลืมพกเงินติดตัวไปด้วย เขาคิดว่า เขากับหวังเย้าก็อยู่หมู่บ้านเดียวกัน ยังไงก็ต้องเจอกันบ่อยอยู่แล้ว
หวังเย้าเงียบไปครู่หนึ่ง เขาได้รักษาโรคไป และใช่สมุนไพรรากไปถึงสองชนิด ถึงเขาจะดื่มยาเข้าไปแล้วก็ตามที
“10,000 หยวนครับ” หวังเย้าพูด
“หา?” หลี่จูฉ่ายตกตะลึง