548 ยิ่งแก่ก็ยิ่งไร้ยางอาย
หวังเย้าพอจะมีความคิดดีดีอยู่ในหัว เขาหวังไว้ว่า ในอนาคตเขาจะสามารถเก็บรวบรวมความรู้ที่ได้จากการรักษาคนไข้และทำเป็นหนังสือขึ้นมา เหมือนกับซางกู้จื้อ เขาเป็นแพทย์ปรุงยาในระดับเชี่ยวชาญแล้ว เขาจึงหวังว่าตนจะสามารถส่งต่อความรู้ให้กับคนอื่นได้
หลังจากจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จเรียบร้อย มันก็เป็นเวลา 6 โมงเย็นแล้ว เขาจึงกลับไปทานข้าวเย็นที่บ้าน หลังจากนั้น เขาก็ขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานเพื่อเตรียมทำยา ในคืนนั้น เขาทำยาที่ใช้สำหรับรักษาโรคหัวใจของตู้เฟิง
ในตอนที่กำลังทำยาอยู่นั้น หวังเย้าก็คิดถึงขี้ผึ้งต้วนชื่อที่เขาเพิ่งจะทำเสร็จไปเมื่อไม่นานมานี้ ไม่รู้ว่า ขี้ผึ้งจะเอาไปใช้รักษาโรคแบบนี้ได้ด้วยรึเปล่า ในเมื่อมันบอกเอาไว้ว่า มันสามารถฟื้นฟูได้ ก็แสดงว่ามันน่าจะเอามาใช้กับโรคแบบนี้ได้เช่นกัน
มันเป็นค่ำคืนที่เงียบสงบ และมีแสงไฟส่องสว่างอยู่ท่ามกลางความมืดมิด
หวังเจ๋อเชิงไม่สามารถหลับตาลงได้
“เป็นอะไรไปเหรอ?” ภรรยาของเขาถาม
“พอคิดถึงเรื่องพ่อขึ้นมา ฉันก็เลยคิดว่า ฉันน่าจะพาพ่อไปตรวจที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัดดูน่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด
“งั้นก็ไปเถอะ” ภรรยาของเขาสนับสนุนความคิดของเขา
“ฉันจะลองถามเสี่ยวเย้าดู” หวังเจ๋อเชิงพูด
“ถามเขาทำไม?” ภรรยาของเขารู้สึกงุนงง
“เขาบอกว่า เขาสามารถชะลออาการป่วยของพ่อได้ และเขาไม่สามารถรักษาให้หายได้” หวังเจ๋อเชิงพูด
“แล้วจะรักษาได้ยังไงล่ะ?” ภรรยาของเขาถาม
“เขาคงจะเตรียมยาเอาไว้แล้ว ไว้ฉันจะลองถามเขาดูอีกที” หวังเจ๋อเชิงพูด
เช้าวันต่อมา หวังเจ๋อเชิงไปรออยู่ที่คลินิกแต่เช้าตรู่
“ทำไมพี่ถึงได้มาเช้าขนาดนี้ล่ะครับ?” ในตอนที่ลงมาจากเขา หวังเย้าก็ต้องแปลกใจที่เห็นหวังเจ๋อเชิงอยู่ที่หน้าคลินิก
“ฉันมีเรื่องอยากจะถามนายหน่อยน่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด “ครั้งก่อน นายเคยพูดไว้ว่า นายสามารถชะลออาการป่วยของพ่อฉันได้ใช่ไหม? แล้วนายได้ทำยาเอาไว้รึยัง?”
“ครับ เข้ามาเอาข้างในนี้ได้เลย” หวังเย้าพูด
“โอ้ ดีเลย” หวังเจ๋อเชิงเดินตามหวังเย้าเข้าไปในคลินิก
หวังเย้าหยิบยาที่เตรียมเอาไว้ออกมา มันอยู่ในขวดกระเบื้องสีขาวและยังคงอุ่นๆอยู่
“เท่าไหร่เหรอ?” หวังเจ๋อเชิงถาม
“10,000 หยวน” หวังเย้าพูด
“เท่าไหร่นะ?” หวังเจ๋อเชิงตกตะลึง ตอนที่หวังเย้าบอกกับเขาว่า ยามีราคาแพงมาก เขาก็ได้เตรียมใจเผื่อเอาไว้บ้างแล้ว แต่เขาก็ไม่คิดเลยว่ามันจะแพงได้ขนาดนี้
“ทำไมครับ? มันแพงเกินไปเหรอ?” หวังเย้าถามด้วยท่าทีสงบ
“พูดตามตรงนะ มันแพงกว่าที่ฉันคิดเอาไว้มากเลยล่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด
คนทั่วไปจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ก็ไม่แปลก เพราะพวกเขาไม่ใช่เจ้าของบริษัทที่มีเงินเป็นล้านๆอย่างเทียนหยวนถูหรือเว่ยห่าย และคนเหล่านี้ก็เชื่อในความสามารถของหวังเย้าโดยไร้ข้อกังขา
หากพูดตามจริงแล้ว ชาวบ้านหลายๆคนรู้แค่เพียงว่า หวังเย้าคือหมอคนหนึ่งเท่านั้น พวกเขาคิดว่า หวังเย้าสามารถรักษาได้แค่โรคทั่วไปอย่าง อาการปวดศีรษะ, ไข้หวัด, ปวดหลัง, และปวดขา แต่ถ้าหากพวกเขาป่วยหนักกว่านี้ ทุกคนก็ยังเลือกที่จะไปโรงพยาบาลอยู่ดี
“จะเอาหรือไม่เอาครับ?” หวังเย้าถาม “พี่เลือกได้เลยครับ” ยาของเขาคุ้มค่ากับราคาอยู่แล้ว
หวังเจ๋อเชิงคิดอยู่ครู่หนึ่งและถามขึ้นมาว่า “เอาแบบนี้ได้ไหม? ฉันจ่ายให้นาย 5,000ก่อน แล้วก็ดูผลของมันอีกที”
“ในเมื่อเราก็เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน ผมจะหยวนๆให้ก็แล้วกันครับ” หวังเย้าพูด ในความจริง การที่หวังเจ๋อเชิงตัดสินใจซื้อยา มันก็ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมากอยู่แล้ว
“เอ่อ งั้นรอเดี๋ยวนะ ฉันจะไปถอนเงินมาก่อน” หวังเจ๋อเชิงรีบร้อนออกไปจากคลินิก และกลับมาหลังจากนั้น 30 นาที
“นี่เงิน” เขาวางเงิน 5,000 หยวนลงบนโต๊ะ
“นี่ครับยา ส่วนนี่ก็คือวิธีการกินและข้อควรระวังครับ” หวังเย้าส่งกระดาษแผ่นหนึ่งและขวดกระเบื้องให้กับเขา
“โอเค ขอบคุณมาก” หวังเจ๋อเชิงกลับบ้านไปพร้อมกับยาในมือ
เขาบอกกับภรรยาเรื่องราคายา และมันทำให้เธอต้องตกใจ
“เสี่ยวเย้าใจจืดใจดำจริงๆ” เธอพูด “ยาอะไรถึงได้มีราคา 5,000 หยวน? เขาต้องหลอกเราแน่ๆ”
“ไม่ต้องห่วง เราลองให้พ่อกินดูก่อน แล้วเธอก็ห้ามบอกพ่อเรื่องนี้ด้วยนะ” หวังเจ๋อเชิงพูด
“ฉันรู้” ภรรยาของเขาพูด เธอพึมพำออกมาว่า “ทั้งๆที่อยู่หมู่บ้านเดียวกัน ทำไมถึงได้คิดเงินแพงขนาดนี้ได้? เห็นหน้ากันอยู่ทุกวันแท้ๆ!”
หวังเจ๋อเชิงเข้าไปในห้องของพ่อเขาพร้อมกับยา ชายชรากำลังนอนขมวดคิ้วอยู่บนเตียงนอน
หลายวันที่ผ่านมานี้ อาการของชายชราแย่ลงกว่าเดิมมาก ชายชรารู้สึกทรมานอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าลูกชายของเขาเดินเข้ามา ชายชราก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ
“พ่อ?” หวังเจ๋อเชิงส่งเสียงเรียกพ่อของเขาเบาๆ
“มีอะไรเหรอ?” ชายชราลืมตาและมองไปที่ลูกชายของเขา
“นี่เป็นยาที่พ่อต้องกินนะ” หวังเจ๋อเชิงพูด
“อ่อ ได้ๆ” ชายชราพูด “ยาจีนเหรอ?” เมื่อเห็นยาที่เทออกมาจากขวดกระเบื้อง ชายชราก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“ใช่ มันเป็นยาจีน” หวังเจ๋อเชิงไม่ได้พูดอะไรมาก
ชายชราดื่มยาเข้าไปถ้วยหนึ่ง มันมีรสขมเล็กน้อย เมื่อเขาดื่มมันเข้าไปแล้ว เขาก็รู้สึกได้แค่ว่า ในท้องของเขาอุ่นขึ้น แล้วมันก็กระจายไปตามแขนขาของเขาอย่างรวดเร็ว และมันทำให้เขารู้สึกสบายมาก
เฮ้อ! ชายชราถอนหายใจออกมาอย่างปลอดโปร่ง
“พ่อรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” หวังเจ๋อเชิงถาม
“มันร้อน แต่ก็รู้สึกสบายมากเลยล่ะ” ชายชราพูด
ถึงยังไงมันก็เป็นแค่ยาถ้วยเดียว ไม่ใช่ยาวิเศษ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะเห็นผลในทันที
“อ่อ ถ้าพ่อรู้สึกไม่สบายตรงไหน ก็รีบบอกผมเลยนะ” หวังเจ๋อเชิงยังคงกังวลว่า ยาที่พ่อของเขาดื่มเข้าไปอาจจะมีผลข้างเคียงอย่างอื่นอยู่ด้วย
“อ้อ ได้สิ ไม่ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนพ่อหรอก” ชายชราพูด
“ผมจะอยู่เป็นเพื่อนพ่ออีกเดี๋ยวก็จะไปแล้ว” หวังเจ๋อเชิงอยู่ดูอาการพ่อของเขาอีกสักพัก
“พ่อเป็นยังไงบ้าง?” ภรรยาของเขาถาม
“ตอนนี้ยังไม่มีอะไรผิดปกติ เธอต้องคอยดูด้วยนะ” หวังเจ๋อเชิงพูด
“ได้” ภรรยาของเขาพูด
ชายชราที่นอนอยู่บนเตียง รู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาเบาสบายขึ้น ราวกับได้นอนแช่อยู่ในน้ำร้อน ความเจ็บปวดภายในช่องท้องก็ค่อยๆลดลงไป
ฮ้า! เขาพ่นลมหายใจออกมาเพราะรู้สึกได้ถึงความสบาย แล้วจึงค่อยหลับลึกลงไป
ตอนเที่ยง อาหารถูกเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว หวังเจ๋อเชิงเดินไปเรียกพ่อของเขามาทานอาหาร เขาเดินย้ำเท้าเบาๆตรงไปที่ห้องและเห็นว่า ชายชรากำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เขาหลับไปแล้วจริงๆ ใบหน้าของเขาดูสงบ คล้ายกับว่า ไม่เคยเป็นแบบนี้มานานมากแล้ว เขาได้ฟังมาจากหมอที่โรงพยาบาลว่า โรคนี้จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกทรมานอยู่ตลอดเวลา และทำให้นอนหลับได้ยากมาก
“ยานี่ได้ผลจริงๆด้วย” หวังเจ๋อเชิงยืนอยู่เงียบๆและเฝ้ามองพ่อของเขาที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่ ก่อนที่เขาจะเดินออกไป
“แล้วพ่อล่ะ?” ภรรยาของเขาถาม
“พ่อหลับอยู่ แล้วก็ดูเหมือนจะหลับสนิทมากด้วย เรากินกันก่อนเถอะ แล้วแบ่งกับข้าวเอาไว้ให้พ่อด้วย” หวังเจ๋อเชิงแบ่งอาหารเอาไว้อีกส่วนหนึ่ง แล้วสองสามีภรรยาก็เริ่มลงมือทานอาหาร
…
ปักกิ่ง
“พ่อเป็นยังไงบ้างครับ เฉินเหล่า?” หวูถงชิ่งถาม
“อาการของหวูเหล่าคงที่ดีมาก และยังดีขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย ประสิทธิของยามันสุดยอดมากจริงๆ” หมอชราถอนหายใจออกมา
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีครับ” หวูถงหรงพูด
หลังจากผ่านตรุษจีนไปแล้ว น้องชายคนเล็กของเขาได้เดินทางไปที่เหลียนชานเป็นการเฉพาะ ตอนนี้ พ่อของพวกเขาก็สามารถลุกนั่งและเคลื่อนไหวได้บ้างแล้ว และมันทำให้ทุกคนในครอบครัวยินดีกันถ้วนหน้า
“แล้วเขาจะมาอีกเมื่อไหร่เหรอ?” เฉินเหล่าถาม
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เขาบอกว่า เขาจะกลับมาหลังจากผ่านตรุษจีนไปแล้ว” หวูถงหรงพูด
“แค่เขารับปากว่าจะมาก็ถือว่าดีมากแล้ว” เฉินเหล่าพูด
หลังออกมาจากบ้านตระกูลหวูแล้ว เฉินเหล่าก็แวะไปที่บ้านเพื่อนของเขา หมอหลินกำลังเล่นกับนกอยู่ภายในบ้านของเขา
“โอ้ นายดูผ่อนคลายดีนะ” เฉินเหล่าพูด
“อ้าว! นายเพิ่งไปที่บ้านตระกูลหวูมาเหรอ?” หมอหลี่ถาม
“อืม ข่าวนายไวดีจริงนะ” เฉินเหล่าพูด
“เขาโทรหาฉันด้วยเหมือนกันน่ะสิ” หมอหลี่พูด
“จริงเหรอ?” เฉินเหล่ารู้สึกแปลกใจ
“มาเร็ว มาเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ” หมอหลี่พูด
“วันนี้นายเป็นอะไรไป?” เฉินเหล่าถาม “นายดูกระตือรือร้นจริงนะ!”
ชายชราทั้งสองนั่งเล่นหมากรุกอยู่ภายในสวนเล็กๆ
“ผลวิเคราะห์ตัวยาออกมาแล้วน่ะ” หมอหลี่พูด
“ล้มเหลวเหรอ?” เฉินเหล่าถาม
“ใช่ มีแค่สมุนไพรไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่วิเคราะห์ออกมาได้ ส่วนสมุนไพรตัวหลักก็ยังวิเคราะห์ออกมาไม่ได้อยู่ดี” หมอหลี่พูด
ทั้งสองพูดคุยหยอกล้อกัน แต่มือของพวกเขาก็ไม่ได้อยู่เฉย ทั้งสองพยายามกินหมากของอีกฝ่ายให้มากที่สุด
“ฆ่าขุน!”
“กินม้า!”
“ดื่มชากันสักหน่อยนะคะ” ภรรยาของหมอหลี่ยกชามาเสริฟให้ทั้งสอง
“ขอบคุณ” เฉินเหล่ารีบรับชามาถือไว้ในมือและจิบชาเข้าไป แล้วพวกเขาก็กลับไปเล่นหมากรุกกันต่อ
“ทหารบุกเขาไป!”
“ม้าตี!W
“ฉันก็บอกนายไปตั้งนานแล้ว แต่นายก็ไม่ยอมเชื่อฉัน” เฉินเหล่าพูด
“ถ้าสามารถวิเคราะห์ส่วนผสมของตัวยาออกมาได้ มันจะเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ในการรักษาโรคนี้เลยนะ แล้วมันก็เป็นผลดีกับคนรุ่นหลังด้วย” หมอหลี่พูด
“โอ้ นายไม่จำเป็นต้องมาทำตัวเป็นคนดีต่อหน้าฉันหรอก ถ้านายเอาความรู้ทั้งหมดของตัวเองเปิดเผยให้สาธารณชนได้รู้ และให้ทุกคนได้เรียนมันแบบฟรีๆ มันก็ถือเป็นผลดีกับคนรุ่นหลังเหมือนกันนั่นแหละ นายจะทำแบบนั้นก็ดีเหมือนกันนะ” เฉินเหล่าสัพยอกเขา
“ฉันจะทำแบบนั้นได้ยังไง เรื่องพวกนี้มีกฎเกณฑ์ของมันอยู่” หมอหลี่พูด
“เหอะ!” เฉินเหล่าโบกมือแสดงท่าทีดูถูก
“นี่แน่ะ จัดการขุนของนายซะ” หมอหลี่พูด “ม้าของนายมาอยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“ก็ตอนที่นายกำลังแสดงตัวเป็นคนดีอยู่ยังไงล่ะ” เฉินเหล่าพูด “โอ้ ฉันรู้สึกว่านายนี่มันไร้ยางอายขึ้นทุกวันๆเลยนะ ฉันไม่อยู่ที่นี่ต่อแล้ว!”
เฉินเหล่าลุกขึ้นและเดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมา
“นี่ รอเดี๋ยวสิ” หมอหลี่ลุกขึ้นและคว้ามือออกไปจับแขนเสื้อของเพื่อน แต่เขาก็คล้าพลาด
“นายอายุ 70 กว่าปีแล้วนะ แต่ก็ยังคิดจะหาประโยชน์จากคนรุ่นลูกได้” เฉินเหล่าพูด “หลี่เชิ่งหรง ทำไมฉันถึงไม่รู้มาก่อนว่านายเป็นคนแบบนี้?”
เขาจากไปด้วยความโมโห และปล่อยให้เพื่อนของเขายืนโง่อยู่ที่ประตู