530 คนหนุ่มสาวควรรู้จักดูสถานการณ์
“ไม่เป็นไรครับ” หวังเย้ายิ้ม
คนขับรถรอเขาอยู่ที่ด้านนอกแล้ว เมื่อเขาไปถึงที่สนามบิน หวูถงชิ่งก็ตามมาส่งเขาขึ้นเครื่องด้วย
“คุณหวูครับ มีเรื่องบางอย่างที่ผมอยากจะขอให้คุณช่วยหน่อยน่ะครับ” หวังเย้าพูด
“เชิญพูดได้เลยครับ” เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของหวังเย้า หวูถงชิ่งก็รีบพูดขึ้นมาทันที
“ผมอยากจะขอให้คุณดูแลกู้หยวนหยวนให้หน่อยน่ะครับ อย่าให้ใครมารังแกเธอได้” หวังเย้าพูด
แค่นี้เหรอ? หวูถงชิ่งอึ้งงันไป “ได้สิครับ”
“ขอบคุณครับ” หวังเย้าพูด
เมื่อถึงเวลา หวังเย้าก็เดินไปขึ้นเครื่อง หวูถงชิ่งเอาแต่คิดถึงเรื่องที่หวังเย้าพูดกับเขา หวังเย้าอาจจะชอบสาวสวยก็เป็นได้
ตระกูลหวูไม่ต้องการให้เรื่องของผู้หญิงไปสร้างความไม่พอใจให้กับหวังเย้า หวูถงชิ่งจึงสั่งให้คนไปหาสาเหตุในทันที
“เด็กของตระกูลหวูเหรอ?” หวูถงชิ่งถาม
“ครับ” ผู้ช่วยของเขาพูด
เมื่อได้ยินว่าเป็นคนในตระกูล หวูถงชิ่งก็รู้ว่า การหาคำตอบสำหรับเรื่องนี้ง่ายขึ้นอีกมาก
หวังเย้าบินไปลงสนามบินที่เมืองเต๋า เพราะในเวลานั้นไม่มีเครื่องบินบินลงที่สนามบินในห่ายชิว ตระกูลหวูได้จัดให้คนไปรอรับเขาที่สนามบินเมืองเต๋าแล้ว และขับพาหวังเย้ากลับเหลียนชาน
…
ปักกิ่ง
“แม่ครับ แม่ไปที่ตระกูลซูมารึยังครับ” กั๋วเจิ้งเหอปอกเปลือกส้มและส่งมันให้กับแม่ของเขา
“ไปมาแล้ว ลูกกลับมาก็เพื่อเรื่องนี้ใช่ไหมจ๊ะ?” หลี่ถงซิ่วมองใบหน้าลูกชายด้วยความรัก
“ถูกต้องแล้วครับ” เขาพูด
“ลูกชอบเสี่ยวซวีมากเลยเหรอ หรือลูกแค่สนใจทรัพยากรของตระกูลเธอ?” หลี่ถงซิ่วถาม
“ทั้งสองอย่างครับ” ต่อหน้าแม่ของเขา กั๋วเจิ้งเหอไม่ได้ปิดบังอะไรเลย เขายังรู้อีกด้วยว่า ปิดบังไปก็ไร้ประโยชน์ และแม่ของเขาก็เป็นคนที่ฉลาดมากด้วย
“คำพูดน้าซงของลูกค่อนข้างจะคลุมเครืออยู่บ้าง” หลี่ถงซิ่วพูด “เธอบอกว่า ต้องการจะรอให้เสี่ยวซวีหายดีซะก่อน”
รอยยิ้มบนใบหน้าของกั๋วเจิ้งเหอชะงักไป “ผมเข้าใจครับ”
“แล้วเรื่องงานเป็นยังไงบ้างจ๊ะ?” แม่ของเขาถาม
“ดีมากครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด “แล้วเรื่องพี่สาวของผมล่ะครับ?”
“เธออยู่ที่ทางใต้ของยูนนานจ๊ะ” หลี่ถงซิ่วตอบ
“มันก็ใกล้จะตรุษจีนแล้วนะครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด “ทำไมพี่ยังไม่กลับมาอีก?”
“แม่เดาว่า พี่เขาคงจะไม่พอใจที่บ้านน่ะสิ แล้วเธอก็ไม่ยอมตกลงเรื่องการแต่งงานด้วย” หลี่ถงซิ่วนวดขมับ
ในใจของเธอนั้น เธอรู้สึกรังเกียจการแต่งงานแบบนี้มาก มันไร้ซึ่งความผูกพัน คล้ายกับการแต่งงานของเธอ ที่ไร้ความรู้สึกระหว่างคนสองคน มันเป็นการแต่งงานเพื่อตระกูลโดยแท้จริง ความรู้สึกระหว่างกันสามารถค่อยๆพัฒนาไปอย่างช้าๆได้ แต่ใครบ้างที่ไม่อยากจะค้นหาคนที่ตัวเองรักจริงๆ? เธอได้ประสบกับเรื่องนี้และรู้ดีว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน แต่บางเรื่อง เธอกฌทำอะไรไม่ได้จริงๆ
“โจวชื่อจิงก็ไม่ได้แย่อะไร แต่พี่ไม่ชอบเขา” กั๋วเจิ้งเหอพูด “ทำไมแม่ไม่ช่วยปฏิเสธเรื่องนี้ให้พี่ล่ะครับ?”
“แม่จะไปปฏิเสธได้ยังไงกันล่ะ?” หลี่ถงซิ่วถาม “ผู้ใหญ่ทั้งสองตระกูลได้คุยกันไว้มาตั้งนานแล้ว”
“พวกเขาคุยเรื่องการแต่งงานระหว่างผมกับเสี่ยวซวีเอาไว้ด้วย ใช่ไหมครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม
“นั่นมันไม่เหมือนกัน ในตอนนั้นไม่มีคนนอกตระกูลอยู่ด้วย บางทีมันอาจจะเป็นแค่การพูดเล่นระหว่างพวกเขาเท่านั้น แต่เรื่องของพี่สาวลูกกับโจวชื่อจิงมันต่างออกไป” หลี่ถงซิ่วพูด “พวกเขาได้พูดเรื่องการแต่งงานต่อหน้าคนมากมาย รวมทั้งพ่อกับแม่ และพ่อแม่ของโจวชื่อจิงด้วย เราทุกคนต่างก็รู้เรื่องกันหมด”
“ก็แล้วทำไมแม่ไม่ปฏิเสธไปล่ะครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม
“ในตอนนั้น พี่สาวของลูกยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ มันเป็นการหมั้นหมายของเด็กทารก แล้วลูกก็รู้นิสัยปู่ของลูกดี” หลี่ถงซิ่วพูด
“เรื่องของพี่เอาไว้ก่อนเถอะครับ มาพูดเรื่องของผมกันต่อดีกว่า ผมอยากจะแต่งงานกับเสี่ยวซวีจริงนะครับ แม่ช่วยผมหน่อยนะ” กั๋วเจิ้งเหอพูด
“จ๊ะ แม่รู้แล้ว แล้วลูกได้ติดต่อกับหวังเย้าบ้างรึเปล่าจ๊ะ?” อยู่ๆหลี่ถงซิ่วก็นึกถึงหน้าของเด็กหนุ่มคนนั้นขึ้นมาได้ “เขามาที่ปักกิ่ง ตอนที่แม่ไปเยี่ยมบ้านตระกูลซู แม่ก็เห็นเขาอยู่ที่นั่นด้วย เขาเคยช่วยทั้งลูกและปู่ของลูกเอาไว้ มันเป็นเรื่องที่สำหรับพวกเรา เขาเป็นคนมีความสามารถสูงมาก เราควรจะคิดหาวิธีรั้งเขามาอยู่กับเราและจ้างเขาเอาไว้นะจ๊ะ”
“ผมเคยคิดเรื่องนั้นแล้วครับ แต่จากความเข้าใจของผมตอนนี้ หมอหวังไม่ได้สนใจทั้งเรื่องชื่อเสียงและผลประโยชน์ เขาเลือกที่จะอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆกลางหุบเขา ความคิดของเขาค่อนข้างแปลกมากน่ะครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด
หวังเย้าทำให้เขารู้สึกว่า ชายคนนี้ไม่ได้มีความกระตือรือร้นและพลังของคนวัยหนุ่มสาวอยู่เลย เขาเป็นเหมือนกับนักพรตเต๋าที่มีอายุราว 60-70 ปีและอาศัยอยู่ในวัดลัทธิเต๋าบนภูเขา อะไรที่จะดึงดูดคนหนุ่มสาวได้? ชื่อเสียง, เงินทอง, สาวงาม
ผู้คนมากมายพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ได้อยู่ในปักกิ่ง เพราะความคึกคักและแสงสี มันไม่มีกลางคืน มันคือสถานที่ที่เต็มไปด้วยโอกาส ในจุดที่สูงกว่านั้น อย่างจุดที่พวกเขาอยู่ พวกเขาคือผู้เล่นคนสำคัญของยุคสมัย อยู่สูงเหนือระดับน้ำขึ้นไปกว่า 3,000 ไมล์ รุ่นเยาว์ควรขึ้นไปแตะในจุดที่สูงกว่านั้น เพื่อเฝ้ามองทิวทัศน์ที่แตกต่าง ค้นหาแรงบันดาลใจ และแสดงมุมมองที่มีต่อสังคม
มีเพียงฤษีเท่านั้นที่สามารถอาศัยอยู่บนภูเขาลำธารอย่างโดดเดี่ยว แล้วมุ่งเน้นไปที่การฝึกตนและเคร่งศีลธรรม คนเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นพวกที่มีปัญหาทางจิต
อย่างน้อยๆ นั่นก็คือสิ่งที่กั๋วเจิ้งเหอคิด แต่แน่นอนว่า เขาไม่เคยพูดมันออกไปให้ใครได้ยิน ในเมื่อใบหน้าของเขานั้นประดับด้วยรอยยิ้มที่สว่างไสวอยู่เสมอ มีคนในแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้จักตัวตนข้างในของเขา แม้กระทั่งสมาชิกในตระกูลหรือคนสนิท พวกเขาก็เข้าใจเพียงส่วนน้อยของเขาเท่านั้น
“แม่จะลองเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับพ่อของลูก ดูว่าจะมีวิธีอื่นอีกไหม” หลี่ถงซิ่วพูด “สิ่งที่ลูกต้องทำในตอนนี้ก็คือต้องมั่นคงเอาไว้ และอย่าให้ใครเห็นจุดอ่อนของลูกเด็ดขาด”
“แม่ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้นเลยครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด
…
เมื่อหวังเย้ามาถึงเมืองเต๋า มันก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆแล้ว มีคนมารอรับเขาโดยไม่มีป้ายชื่อ แต่พวกเขาก็สามารถหาหวังเย้าพบ
“หมอหวังใช่ไหมครับ?” คนขับถาม
“ผมเองครับ” หวังเย้าพูด
“ผู้บัญชาการหวูได้สั่งให้ผมมารับคุณครับ” คนขับแนะนำตัวเอง
“คงจะต้องรบกวนคุณแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด การเดินทางจากเมืองเต๋าไปเหลียนชานนั้นต้องใช้เวลานานเกือบสามชั่วโมง
ตัวรถนั้นมีขนาดใหญ่และสะดวกสบาย มันเป็นรถเบนซ์รุ่นท๊อป คล้ายกับได้นั่งในที่นั่งบิสเนสคลาส นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเย้าได้นั่งในรถแบบนี้ ตำแหน่งของบอสมันสบายอย่างนี้นี่เอง
รถแล่นไปตามถนน ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดลง
“เซียนเชิงครับ คุณอยากจะหาอะไรกินก่อนไหมครับ?” คนขับถาม
“ไม่ครับ ถ้าคุณอยากจะพัก เราแวะพักที่จุดพักรถกันก่อนก็ได้นะครับ” หวังเย้าพูด “ถ้าไม่ เราก็ขับต่อไปที่เหลียนชานกันเลย”
คนขับขับรถตรงไปยังเหลียนชานโดยไม่หยุดพัก พวกเขาเดินทางไปถึงที่หมู่บ้านในตอนที่ฟ้ามืดแล้ว คนขับจอดที่ตรอกทางเข้าบ้านของหวังเย้า
“บ้านผมอยู่นี่แหละครับ ขอบคุณมาก” หวังเย้าพูด “ขับรถระวังๆนะครับ”
“ครับ ผมกลับก่อนนะครับ” คนขับกลับรถและขับกลับไปที่เมืงเต๋า
ที่บ้าน พ่อแม่ของหวังเย้าเพิ่งจะทานอาหารเย็นเสร็จ และกำลังนั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟา
“ลูกกลับมาแล้ว” จางซิวหยิงพูด “ลูกได้กินอะไรมารึยังจ๊ะ?”
“ยังเลยครับ” หวังเย้าพูด
“งั้นก็พักสักหน่อยนะ เดี๋ยวแม่จะได้ไปหาอะไรมาให้กิน” จางซิวหยิงพูดและเริ่มเข้าครัวทำกับข้าว
“เรื่องที่ปักกิ่งเรียบร้อยดีรึเปล่า?” หวังเฟิงฮวาถาม
“ครับ ตอนนี้อาการของหวูเหล่าคงที่ดี” หวังเย้าดื่มน้ำเข้าไป
“ก่อนตรุษจีนนี้ ลูกอย่าออกไปไหนอีกเลยนะ” จางซิวหยิงพูด
“ผมไม่ไปไหนแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด
ยังเหลือเวลาอีกสองสามวันก่อนจะถึงวันตรุษจีน นอกจากว่าจะมีเรื่องพิเศษบางอย่างเกิดขึ้น หวังเย้าก็จะไม่เดินทางไปที่ไหนอีก
“กับข้าวเสร็จแล้วจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว หวังเย้าก็อยู่คุยกับพ่อแม่ของเขาเรื่องที่เขาไปปักกิ่ง เพื่อคลายความกังวลให้กับคนทั้งสอง
“ตอนนี้ลูกไม่อยู่สองสามวันนี้ มีคนมาที่นี่ตั้งหลายคนแน่ะ พวกเขาบอกว่าเป็นเพื่อนของลูก แล้วก็เอาของขวัญมาให้ด้วย” จางซิวหยิงพูด
“อ่อ แล้วพวกเขาได้บอกชื่อเอาไว้ด้วยไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“แม่จำชื่อของพวกเขาได้อยู่จ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
“ดีครับ พรุ่งนี้ผมจะไปที่บ้านลุงกับป้า แล้วเอาของขวัญไปให้พวกเขานะครับ” หวังเย้าพูด
ที่บ้านมีของขวัญอยู่มากมาย และพวกเขาก็ไม่สามารถเอามาใช้ได้ทั้งหมด มันคงจะดีกว่า ถ้าเอาของพวกนี้ไปให้กับเพื่อนและญาติๆ และยังเป็นธรรมเนียมที่คนรุ่นเยาว์จะต้องไปเยี่ยมเยียนญาติผู้ใหญ่ก่อนวันตรุษจีนอีกด้วย
“จ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
เวลาสามทุ่ม เขาเดินกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน เมื่อเดินพ้นหมู่บ้านมาแล้ว ทางเดินทิศใต้ก็มืดสนิท เนินเขาหนานชานยังคงเงียบสนิทเหมือนเช่นเคย ซานเซียนวิ่งเข้ามาทักทายเขาอย่างกระตือรือร้น
“ยังไงที่นี่ก็ดีที่สุดล่ะนะ!” เมื่อขึ้นมาถึงด้านบนแล้ว หวังเย้าก็ถอนหายใจออกมา เขาไม่ได้คิดถึงปักกิ่งเลยสักนิด
บนเนินเขา มีแสงไฟส่องลอดออกมาดวงหนึ่ง หวังเย้าจดบันทึกอาการของหวูเหล่า และขั้นตอนการรักษาลงไปในสมุดบันทึกที่มีไว้สำหรับบันทึกเกี่ยวกับโรคที่รักษาได้ยากโดยเฉพาะ เมื่อตรวจดูแล้วว่าไม่ได้พลาดอะไรไป เขาก็ปิดสมุด
ใช่แล้ว รางวัลภารกิจ! แล้วเขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เขาทำภารกิจรักษาโรคที่รักษาได้ยากสำเร็จแล้ว
เพื่อที่จะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ เขาจะต้องรักษาผู้ป่วย 10 คนภายในระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งเขาจะได้รับรางวัลเป็นตำราแพทย์หนึ่งเล่มและสูตรยา 1 สูตร บทลงโทษของภารกิจนี้ก็คือ เขาจะไม่สามารถใช้งานระบบได้เป็นเวลาสามเดือน