“คุณลุง ถ้ามีอะไรอยากพูดก็พูดมาได้เลยนะครับ”
“ไม่มีอะไร ฉันไม่มีเรื่องอะไรจริงๆ”หวังยหลงโบกไม้โบกมือ “ฉันแค่อยากขอบคุณเธอก็เท่านั้น”
“ไม่จําเป็นหรอกครับ” หวังเย้ายิ้ม
“อืม” หวังยหลงและหวังเจ๋อเชิงเดินออกไปจากคลินิก
เฮ้อ
หวังเย้าได้ยินเสียงถอนหายใจจากชายชราที่เพิ่งเดินออกไป ทําไมเขาต้องถอนหายใจด้วย?
“พ่อ เมื่อกี้พ่ออยากบอกอะไรกับหวังเย้าเหรอ?”
“เจ่อเชิง ลูกคงจ่ายเงินค่ารักษาพ่อไปเยอะเลยสินะ”
“เอ่อ ก็ไม่มากหรอก หวังเย้าบอกว่าเราเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันและพ่อก็เป็นลุงของเขาค่ายาที่เขาคิดให้ก็เลยไม่แพงเท่าไหร่”
“พ่อรู้สึกว่าพ่อติดหนี้บุญคุณของเขาอยู่ เราไม่ต้องรักษาต่อแล้วดีไหม?”
“ไม่ได้หรอก ผมถามหวังเข้ามาแล้ว โรคของพ่ออีกไม่นานก็หาย กินยาต่อไปอีกหน่อยพ่อก็จะหายแล้วเวลานี้เราจะเลิกรักษาไม่ได้เด็ดขาด”
“จริงเหรอ?” ชายชราถาม
“จริงสิ ทําไมผมต้องโกหกพ่อด้วยล่ะ?” หวังเจ๋อเชิงพูดกลั้วหัวเราะ
“ก็ได้ พ่อจะกินยาต่อ”
“ดี พ่อทําถูกแล้ว”
สองพ่อลูกเดินพูดคุยกันไปตลอดทางที่กลับบ้าน
ชายชรากลับไปที่ห้องและมองออกไปนอกหน้าต่าง หลานชายของเขากําลังเล่นอยู่ที่สนาม
ตอนที่เขาไปคลินิกเขาปิดบังบางอย่างกับหวังเย้าเมื่อไม่กี่วันก่อนเขาพบว่ามีเลือดติดออกมาตอนที่เขาขับถ่ายรวมไปถึงตอนที่เขาก็มีเลือดติดมากับเสลดด้วยเขารู้สึกว่ามันไม่ใช่สัญญาณที่ดีแต่เขาก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับลูกชายเขากลัวว่าลูกชายจะเป็นกังวลไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ลูกชายของเขาได้เปลี่ยนตัวเองจากคนเหลวไหลกลายมาเป็นลูกชายที่ดีแค่นี้ก็ทําให้เขามีความสุขมากแล้วเพราะมันเป็นสิ่งที่เขาปรารถนามาโดยตลอดตอนนี้ลูกชายของเขาต้องทํางานหนักเขาออกบ้านแต่เช้าและกลับดึกเขาคงลําบากมากและผอมลงไปไม่น้อยในเมื่อชายชราไม่ได้แข็งแรงเหมือนแต่ก่อนแล้วเขาจึงไม่สามารถหารายได้เข้าบ้านได้แถมเขายังต้องกินยาพวกนั้นที่ต้องใช้เงินในบ้านไปเป็นจํานวนมากเขาจึงอยากลดรายจ่ายเพื่อช่วยที่บ้าน
เฮ้อ!
เขาถอนหายใจอีกครั้ง
คนแก่อย่างฉันมันไร้ประโยชน์
“อาการของพ่อเป็นยังไงบ้าง?”ภรรยาของหวังเจ๋อเชิงกระซิบถามสามีที่กลับเข้ามาในบ้านเสียงเบา
“ไม่ดีเท่าไหร่” หวังเจ๋อเชิงส่ายหน้า
“แล้วเราจะทํายังไงกันดี?”
“หวังเย้าบอกว่าเขาจะลองเปลี่ยนตัวยาดู”
“แล้วมันจะได้ผลเหรอ?”ภรรยาของเขาถาม
“เราคงต้องลองดู” หวังเจ๋อเชิงพูด“ใครจะไปรับประกันได้ว่าโรคแบบนี้จะรักษาหาย?”
“พ่อยังไม่รู้เรื่องพวกนี้เธอต้องคอยดูแล้วก็อย่าเผลอพูดให้เขาได้ยินล่ะ”หวังเจ๋อเชิงพูด
“ไม่ต้องห่วง ฉันรู้
จนถึงตอนนี้ พ่อของเขาก็ยังไม่รู้เรื่องเขาคิดแค่ว่าตัวเองเป็นหวัดหรือเจ็บไข้ได้ป่วยเล็กๆน้อยๆเท่านั้นแล้วเขายังกินยาที่หวังเย้าจ่ายให้ทําให้เขาไม่ได้รู้สึกว่าอาการของเขาย่าแย่แต่อย่างใดเขาจึงไม่ได้คิดไปถึงเรื่องอาการเจ็บป่วยที่ร้ายแรงกว่านั้น
“แล้วยาแพงกว่าเดิมรึเปล่า?
“ฉันยังไม่ได้ถามเรื่องนั้นกับเขาเลย”
“ไว้ค่อยหาเวลาไปถามเขาก็แล้วกัน”
“อืม เราต้องรักษาพ่อ ไม่ว่าเราจะต้องเสียเงินไปเท่าไหร่ก็ตาม!”
ภายในคลินิกหวังเย้ากําลังคิดเรื่องอาการป่วยของหวังยี่หลงที่มีการแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆในร่างกายแล้วในระยะสุดท้ายของโรคยาทําได้เพียงช่วยยื้อเวลาไว้ได้ชั่วคราวเท่านั้นพวกเขาต้องเปลี่ยนตัวยาการรักษาโรคนี้ซึ่งอยู่ในระยะสุดท้ายสมุนไพรทั่วไปมีประสิทธิภาพไม่มากพอจําเป็นต้องใช้สมุนไพรวิเศษเข้ามาแทนเนื้อร้าย
หลี่เฉากําจัดเนื้อร้าย
ชื่อจาน ขับความร้อน, ล้างพิษ, และกําจัดเนื้อร้าย
เขาใช้สมุนไพรเหล่านี้ในการรักษาเนื้อร้ายมาโดยตลอด
หลิงชาน ขับของเสียไม่ดีต่างๆออกไป, บรรเทาอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อ
ปาเจียวถง คลายร้อน, ล้างพิษ, และขับเลือดบรรเทาอาการปวด
สมุนไพรสองตัวนี้มีหน้าที่หลักในการบรรเทาอาการปวด เพราะโรคชนิดนี้มักทําให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวดจนทนไม่ไหวหน้าที่อื่นของตัวยาก็คือการล้างพิษและขับของเสีย
ตามทฤษฎีของแพทย์แผนจีน เนื้อร้ายถือเป็นของเสียและเป็นพิษร้อนชนิดหนึ่ง
หน้าที่ของสมุนไพรวิเศษทั้งสิ้นั้นมีความสําคัญอย่างมากเขายังต้องการสมุนไพรที่สามารถรุงร่างกายและเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกายของชายชราด้วยหลินจือ,ชานจึง,และโสมนั้นมีประโยชน์ แต่ก็ยังไม่มากพอยังต้องใช้สมุนไพรตัวอื่นทําหน้าที่ในการประสานฤทธิ์ยาเข้าด้วยกันและลดการต่อต้านของฤทธิ์จากยาสมุนไพรแต่ละตัวด้วย“หลิงเฉากยหยวน”มีความสามารถนั้นอยู่ แต่มันก็ยังเป็นแค่สมุนไพรทั่วไปประสิทธิภาพของมันเทียบกับสมุนไพรวิเศษไม่ได้
พอไหมนะ?
หวังเย้ากําลังใช้ความคิด ในขณะที่จดบันทึกสูตรยาลงไปในสมุดด้วย
สูตรยานี้จําเป็นต้องใช้สมุนไพรวิเศษอย่างน้อยหกชนิด
สมุนไพรพวกนี้น่าจะเพียงพอแล้ว
ในที่สุด สูตรยาก็เสร็จเรียบร้อย
หลี่เฉา, ชื่อจาน, หลิงชานจี, ปาเจียวถง, หลินจือ, ชานจิง, และโสม…
ฉันจะต้มยาคืนนี้
มีคนไข้มาที่คลินิกไม่มากตอนเช้ามีแค่สองคน ส่วนตอนบ่ายไม่มีใครมาเลย
มันถือเป็นวันว่างสําหรับเขา
ตอนบ่าย เมื่อหวังเย้าปิดคลินิกแล้วเขาก็ได้พบกับเจี้ยจื้อจายและหูเหมยที่กําลังวิ่งขึ้นไปบนเนินเขาสูงชาน
“เชียนเชิง”
“ออกมาวิ่งกันเหรอครับ?”
“ใช่ เราออกมาวิ่งกัน”
“ดีครับ”
หลังจากทักทายกันไปแล้ว หวังเย้าก็เดินกลับไปที่บ้าน
“ทําไมฉันถึงไม่เคยเห็นเชียนเชิงวิ่งเลยสักครั้ง?” หูเหมยยิ้มถาม
“เชียนเชิงฝึกอยู่บนเนินเขาหนานชานตอนเช้าน่ะสิ” เจี้ยจื้อจายพูด
“หนานชาน?
“ใช่ หนานชาน ฉันยังไม่เคยขึ้นไปบนนั้นเลยสักครั้ง” เจี้ยจื้อจายพูด
“ศิษย์พี่อาจจะเคยขึ้นไปบนนั้นมาก่อนก็ได้”
“มันเป็นสถานที่ฝึกของเชียนเชิง ฉันได้ยินมาว่า มันมีค่ายกลบางอย่างอยู่บนนั้นด้วยล่ะ”
“ค่ายกล?”
“ใช่ มันเป็นค่ายกลที่ถ้าเธอเข้าไปแล้ว เธอจะหาทางออกไปไม่ได้ยังไงล่ะ”
“สุดยอด!”
“ฉันไม่เคยเห็นหรอก แต่ได้ยินมาจากศิษย์พี่อีกที เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปดูป่าที่อยู่ข้างล่างเนินเขาแทนก็แล้วกัน”
ทั้งสองชะลอฝีเท้าเมื่อเข้าใกล้ป่าที่ด้านล่างเนินเขาหนานชาน พวกเขาไม่เคยมาที่นี่เพราะเรื่องกฏดีแต่ในเมื่อเขาเป็นลูกศิษย์ของหวังเย้าแล้วเขาก็สามารถมาที่นี่กับภรรยาของเขาได้
“ลองเข้าไปดูกันเถอะ
ทั้งสองเดินเข้าไปในป่า มันไม่มีทางเดินอยู่เลย พวกเขาเดินลึกเข้าไปในป่า
“เอาล่ะ เธอลองหันกลับไปมองข้างหลังดูสิ” เจี้ยจื้อจายพูดด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
หูเหมยหันกลับไปมองด้านหลังและมองเห็นป่าที่อยู่ด้านหลังเมื่อมองผ่านป่าออกไปเธอก็ยังสามารถมองเห็นด้านนอกป่าได้อยู่ไม่มีอะไรแปลกไปเลย
“ก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกน ทําไมเหรอ?”
“ลองเดินออกไปดูสิ แล้วดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
หเหมยเดินกลับไปทางเดิมที่เธอเพิ่งเดินผ่านมา หลังจากเดินไปได้หลายสิบก้าวแล้วเธอก็เจอปัญหา
โอ้ ไม่นะ!
เธอหันกลับไปมองเจี้ยจื้อจายที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมเธอจึงเดินกลับไปหาเขาที่อยู่ห่างไปไม่ถึง 10 เมตรแต่กลับพบว่าเขาอยู่ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
เธอก้มลงมองพื้นและทางเดินใต้เท้า จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเจียจื้อจายที่อยู่ตรงหน้าเธอกวาดสายตามองต้นไม้ที่อยู่รอบตัว เธอทดลองเดินไปสองก้าวและทําเครื่องหมายไว้ที่ต้นไม้ที่เธอเดินผ่าน แล้วจึงเดินหน้าต่อแต่กลับกลายเป็นว่าเธอกําลังเดินเป็นวงกลมอยู่
“เจอต้นหยางแล้วเลี้ยวขวา พอเจอต้นยูคาลิปตัสก็ให้เดินตรงมา” เสียงของเจี่ยจื้อจายดังขึ้น
หูเหมยทําตามวิธีที่เขาบอกและในที่สุดก็เดินมาถึงจุดที่เขาอยู่
“คิดว่ายังไง?”
“มันน่าอัศจรรย์มาก!” หูเหมยทอดถอนใจ
“เชียนเชิงสุดยอดมาก!”
“เราไปต่อไม่ได้แล้วล่ะ” เจี้ยจื้อจายพูด “ค่ายกลข้างล่างยังขนาดนี้ ค่ายกลที่อยู่ข้างบนคงอันตรายกว่านี้มากแน่ๆ ไปที่เนินเขาตงชานกันเถอะ”
ทั้งสองพากันออกไปจากป่าและเดินไปที่เนินเขาตงชานด้วยเส้นทางเล็กๆสายหนึ่งพวกเขาได้มาพบกับจงหลิวชวนที่กําลังฝึกฝนอยู่พอดี
“ศิษย์พี่”
“นายมาแล้วเหรอ”
“ใช่ เราออกมายืดเส้นยืดสายกันน่ะ”
พวกเขาต่างฝึกฝนและออกกําลังกายอยู่บนนั้น
เนินเขาตงชานและเนินเขาหนานชานตั้งอยู่ติดกันเมื่อมองไปก็จะเห็นเนินเขาหนานชานแต่จะไม่สามารถมองเห็นกระท่อมของหวังเย้าหรือแปลงสมุนไพรของเขาได้เลย
“เชียนเชิงนอนค้างคืนอยู่บนเขาเหรอ?”
“เมื่อไหร่ที่อยู่ในหมู่บ้าน เขาก็จะขึ้นไปนอนบนนั้นทุกคืน”
มีเสียงร้องดังขึ้นนกอิทรีย์โฉบผ่านไปบนท้องฟ้า
“อินทรีย์ตัวใหญ่มาก!”
“อินทรีย์ตัวนี้เป็นหนึ่งในสามแม่ทัพของภูเขาน่ะ” จงหลิวชวนพูด
“แม่ทัพ?”
“ใช่ เชียนเชิงบอกว่า พวกมันมีหน้าที่คอยปกป้องภูเขา แล้วพวกมันก็แข็งแกร่งมากด้วย”
“แล้วอีกสองตัวคืออะไร?”
“สุนัขที่ดูไม่ต่างจากสิงโตกับอีกหนึ่งตัวแต่ฉันยังไม่เคยเห็นงู” เลี้ยจื้อจายพูด
“เชียนเชิงไม่ธรรมดา สัตว์เลี้ยงของเขาก็คงจะไม่ธรรมดาเหมือนกันสินะ”
“เฮ้ย พูดแบบนั้นไม่ถูก”จงหลิวชวนรีบพูด“เชียนเชิงเคยพูดเอาไว้ว่าพวกมันเป็นเพื่อนของเขา”