ตลอดสามวันที่ผ่านมา หวังเข้าทํางานที่คลินิกในช่วงเช้า และขึ้นไปปลูกต้นไม้บนเขากับจงหลิวชวนในตอนกลางวัน ไม่นานป่าขนาดเล็กก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
เวลาประมาณ 3 โมงเย็น มีคนมาหาหวังเย้า เขาก็คือ ซุนหยุนเชิง ที่มาพร้อมกับอาหาว
“สวัสดี นั่งก่อนสิ” หวังเย้าพูด
จงหลิวชวนชงชาให้พวกเขา
“ขอบคุณครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
“มีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่า?” หวังเย้าถาม
“มีอยู่เรื่องหนึ่งครับ” ซุนหยุนเชิงพูด “ตอนไปเมืองเต่เมื่อครั้งก่อน เชียนเชิงกําลังสืบเรื่องบางอย่างอยู่ใช่ไหมครับ?”
หวังเข้าไม่ได้แจ้งหรือติดต่อกับตระกูลซุนในการเดินทางไปเมืองเต๋ครั้งล่าสุดของเขาหากดูจากการค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ของตระกูล เขาจึงสงสัยว่าหวังเย้าอาจจะรู้อะไรบางอย่างก็เป็นได้
“ใช่ ผมกําลังสืบเรื่องบางอย่างอยู่” หวังเย้าพูด “ถามทําไมเหรอ?”
“เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ เชียนเชิง ตอนนี้ พวกเราพบว่ามีบริษัทหนึ่งในเมืองเต่ชื่อว่าบริษัท ชื่อห่ายเทรดดิ้ง พวกเขาทําการค้ากับคนญี่ปุ่นภายนอกพวกเขาทําการซื้อขายยาและผลิตภัณฑ์ เกี่ยวกับสุขภาพแต่ความจริงเป็นการซื้อขายอวัยวะมนุษย์” ซุนหยุนเชิงพูด
“อะไรนะ?” หวังเย้าตกใจ “อวัยวะมนุษย์?”
“ใช่ครับ บริษัทของพวกเขาขายอวัยวะมนุษย์ของคนในประเทศเราให้กับคนญี่ปุ่น”ซุนหยุนเชิงพูด “เหยื่อส่วนใหญ่เป็นคนไร้บ้าน,ขอทาน,และคนงานต่างด้าว”
ก่อนจะมาที่นี่ ซุนหยุนเชิงเป็นกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่เป็นไปได้ระหว่างหวังเย้ากับบริษัทแห่งนั้น ถึงความเป็นไปได้จะน้อยมาก แต่เขาก็ต้องการยืนยันให้แน่ใจ
“ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้เข้าไปจัดการกับเรื่องเหรอ?” หวังเย้าถาม
“พวกเขาเข้าไปดูแลแล้วครับ เชียนเชิง” ซุนหยุนเชิงพูด “คุณรู้จักกับบริษัทนี้เหรอครับ?”
“ผมไปที่นั่นครั้งก่อนเพราะเรื่องของบริษัทนี้ก็จริง แต่ผมแค่ไปเพื่อตามหาคนที่อยู่ในบริษัทก็เท่านั้น” หวังเย้าตอบ
“เป็นประธานบริษัทจางเหว่ยใช่ไหมครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม
“ใช่” หวังเย้าพูด
“ระเบิดที่เกิดขึ้นครั้งนั้นเป็นฝีมือของคุณรึเปล่าครับ?” ซุนหยุนเชิงเชื่อมโยงบางอย่างได้ทันที
“มันเป็นฝีมือของผมเอง” หวังเย้าตอบด้วยรอยยิ้ม “พูดให้ถูก มันควรจะเป็นกับดักมากกว่า”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีครับ” ซุนหยุนเชิงโล่งใจเล็กน้อย นับว่าพวกเขาสามารถดําเนินการต่อได้แล้ว“เชียนเชิงเชิญทํางานของคุณต่อได้เลยครับเรายังมีเรื่องที่ต้องไปจัดการเราคงต้องกลับแล้ว”
“ไม่อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ไม่ครับ เรามีแผนอื่นแล้ว” ซุนหยุนเชิงตอบ “ไปกันเถอะ”
หวังเย้าเดินออกมาส่งชายทั้งสองที่ด้านนอกคลินิก รถหรูสองคันจอดอยู่ที่ด้านนอก
เมื่อเขากลับเข้าไปด้านใน เขาก็พูดขึ้นมาว่า “มีปัญหามากมายในบริษัทที่คุณเคยทํางานด้วยพวกเขาขายอวัยวะภายในแถมยังติดต่อกับคนญี่ปุ่นด้วย!”
“ผมรู้ว่า เขาติดต่อกับมุซาชิ แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาแอบทําเรื่องนี้ในที่มืดด้วย”จงหลิวชวนตอบ“ในทางทฤษฎี ธุรกิจควรจะทํากําไรได้ โดยที่ไม่จําเป็นต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้เลยด้วย ซ้ํา!”
“บางคนก็ไม่เคยรู้สึกพอใจกับเงินที่ได้มา” หวังเย้าพูด
“เชียนเชิง ผมอยากไปเมืองเต่สักสองสามวัน” จงหลิวชวนพูด
“คิดจะไปเพราะปัญหาเก่าก่อนเหรอ?”หวังเย้าถาม
“ใช่ครับ ผมอยากกลับไปดูสักหน่อย” จงหลิวชวนพูด
“ได้ เป็นความคิดที่ดีเหมือนกัน” หวังเย้าพูด “ก่อนไปก็บอกผมด้วย ผมจะเตรียมของบางอย่างไว้ให้”
จงหลิวชวนกลับไปเตรียมตัวที่บ้าน คืนนั้น เขาไปพบหวังเย้า
“ผมจะไปเมืองเต่พรุ่งนี้ครับ เชียนเชิง” เขาพูด
“ได้ เอานี่ไป” หวังเย้าเอากล่องที่มีขนาดเล็กถึงหนึ่งในสามของกล่องไม้ขีดไฟยื่นให้เขา
“มันคืออะไรเหรอครับ?” จงหลิวชวนถาม
“เป็นขี้ผึ้งตัวนชื่อ สามารถใช้ในช่วงเวลาที่จําเป็น กับยาอายุวัฒนะหนึ่งเม็ด” หวังเย้าพูด“ในช่วงเวลาวิกฤต มันจะช่วยให้คุณจากความตายและยืดอายุให้คุณได้”
“ขอบคุณครับ เชียนเชิง!” จงหลิวชวนรับกล่องมาจากหวังเย้า ดูจากท่าทีของหวังเย้าแล้วเขาสามารถบอกได้เลยว่ายาทั้งสองมีคุณค่ามากขนาดไหน
“ถ้ามีปัญหาอะไร ก็สามารถไปหาคนตระกูลฮุนได้” หวังเย้าพูด “นี่เป็นข้อมูลสําหรับติดต่อพวกเขาพวกเขาถือว่ามีอานาจอยู่ที่นั่น”
“เข้าใจแล้วครับ เชียนเชิง” จงหลิวชวนพูด
การเดินทางในครั้งนี้ เขาเพียงไปเพื่อดูเท่านั้น เขาไม่ได้มีความคิดที่จะไปต่อสู้กับพวกเขาเลย
เช้าวันต่อมา จงหลิวชวนขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางไปเมืองเต๋ เขาไปถึงที่นั่นประมาณ 11 โมงเมืองเต๋เคยเป็นสถานที่ที่ครั้งหนึ่งเขาคุ้นเคยที่สุด
ช่วงนี้ธุรกิจของบริษัทซื่อห่ายเทรดดิ้งไม่ดีนัก ทางเจ้าหน้าที่ตํารวจเข้ามาทําการสืบสวนและพาตัวคนสําคัญของบริษัทไปแล้วหลายคนจากเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ถ้าธุรกิจของพวกเขายัง เป็นไปได้ด้วยดีอยู่คงผิดแปลกเกินไป
จงหลิวชวนเดินไปที่คาเฟ่แห่งหนึ่งและสั่งกาแฟมาหนึ่งแก้ว เขานั่งอยู่เงียบๆจนช่วงเวลากลางวันผ่านไป เขาคิด มันว่างโล่งกว่าเดิมมาก
คืนนั้น ภายในร้านอาหารขนาดเล็กที่ดูธรรมดาๆร้านหนึ่ง เขาไปพบกับคนคนหนึ่ง
“กลับมาทําไม?” ชายคนนั้นถาม
“ทําไมฉันจะกลับมาไม่ได้?” จงหลิวชวนยิ้มถาม “บริษัทแทบไม่มีอะไรเลย”
“ใช่ มันว่างเปล่า” เขาพูด “ประธานไม่ปรากฏตัวมาเกือบเดือนแล้วฉันไม่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ รึเปล่า เมื่อไม่กี่วันก่อน มีคนโดนพาไปที่สถานีตํารวจพวกเขาถูกตั้งข้อหาอาชญากรรมตอนนี้ทุกคนตกอยู่ในอันตรายมีกี่คนในบริษัทพวกเราที่ไร้ประวัติกัน?”
“แต่นายก็ยังอยู่ที่นี่นี่นา” จงหลิวชวนพูด
“ก็เพราะยังมีเงินหลายพันหยวนในแต่ละเดือนอยู่น่ะสิ” เขาพูด
“ประธานจางอยู่ที่ไหน?” จงหลิวชวนถาม
“แถวหินโสโครก”เขาพูด
“แล้วรู้รึเปล่า ว่าใครที่ติดต่อกับเขาได้?” จงหลิวชวนถาม
เขาจิบไวน์และพูดว่า “เรื่องนี้พูดไม่ได้หรอก!”
จงหลิวชวนไม่พูดอะไร เขาจ้องมองชายที่นั่งตรงข้ามเนิ่นนาน
“มีอะไร?” เขาถาม
“เวลามาเจอฉันจําเป็นต้องใส่หน้ากากด้วยเหรอ?” จงหลิวชวนถาม
“อ้อ มันติดเป็นนิสัยไปแล้วน่ะ” เขาตอบ “อันซินเป็นยังไงบ้าง?”
“ดีมาก เธอหายจากอาการป่วยแล้ว” จงหลิวชวนพูด
คนที่นั่งตรงข้ามเขาคือเพื่อนจากในบริษัท ตั้งแต่ที่เขาเคยช่วยชีวิตอีกฝ่ายไว้ในระหว่างภารกิจความเป็นเพื่อนก็ก่อตัวขึ้นแต่การพบกันระหว่างพวกเขาเป็นไปด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด เพราะบริษัทที่พวกเขาทํางานอยู่นั้นค่อนข้างพิเศษ
“แบบนั้นก็ดีแล้ว” เขาพูด “นายไม่ควรกลับมา”
“ฉันไม่ได้อยากกลับมาหรอก แต่คนในบริษัทยังพยายามค้นหาฉันอยู่” จงหลิวชวนพูด“มีคนมาคนแล้วคนเล่า ฉันจําเป็นต้องจัดการให้จบ”
“เวลานี้ บอสคงไม่เผยตัวออกมาหรอก” เขาพูด
“อีกไม่นานหรอก” จงหลิวชวนพูด
“แล้วที่มาคราวนี้คิดจะทําอะไร?” เขาถาม
“มาดูรอบๆ” จงหลิวชวนพูด
“แค่นั้น?” เขาถามด้วยน้ําเสียงสงสัย
“แค่นั้นแหละ” จงหลิวชวนพูด
“งั้นก็ดี” เขาพูด “ดื่ม”
ทั้งสองดื่มไวน์หนึ่งขวดและพูดคุยอยู่นานกว่าหนึ่งชั่วโมง
เมื่อดื่มไวน์หมด กินอาหารก็กินไปแล้ว เขาก็ทําท่าจะกลับ “ฉันกลับก่อนล่ะฉันต้องเข้านอนเร็วไม่อย่างนั้นจะไม่ดีต่อผิวพรรณของฉัน”
“เหมือนเดิมไม่มีผิด!” จงหลิวชวนดื่มไวน์ที่เหลือเพียงล่าพัง
เขาย้ายไปนั่งตรงที่เดิมของชายที่กลับไปแล้ว มีแผ่นกระดาษเขียนเบอร์โทรวางเอาไว้อยู่
วิลล่าแห่งหนึ่งในเมืองเต
“คุณต้องหาทางให้ได้” มุซาชิพูด
“หาทางอะไร?” จางเหว่ยถาม
“เรื่องของเราถูกรู้แล้ว” มุซาชิพูดอย่างไม่พอใจ “พวกไมอยู่ๆตระกูลซุนถึงได้เคลื่อนไหวแบบนี้?”
“ผมจะไปรู้ได้ยังไง?” จางเหว่ยที่สวมหมวกเบสบอลพูด “พวกเขาจะทําอะไรต้องรายงานผมต ลอดอยู่แล้ว!”
“แสดงว่าคนของคุณจ้องทําพลาดและทําให้เรื่องธุรกิจระหว่างพวกเรารู้ไปถึงหูคนอื่นแน่” มซาชิพูด
“นั่นก็เป็นไปได้” จางเหว่ยพูด
“ทําไมถึงได้ใจเย็นแบบนี้ล่ะ?” มุซาชิถาม
“ถ้าไม่ใจเย็น แล้วจะให้ผมทํายังไง?” จางเหว่ยถาม “ถ้าผมออกไปตอนนี้ ไม่ใช่ว่าผมกําลังเรียกให้ตํารวจมาจับตัวเองหรอกเหรอ?”
“แล้วธุรกิจของพวกเราจะทํายังไง?” มุซาชิถาม
“เราคงต้องปล่อยไปก่อน” จางเหว่ยพูด “ปล่อยเวลาไปสักพัก พวกเราไม่รีบอยู่แล้ว”
“คุณรอได้ แต่คนข้างหลังผมรอไม่ได้” มุซาชิพูด
จางเหว่ยที่สวมหมวกเบสบอลหันไปหาชายที่อยู่ข้างเขา “ผมบอกว่าให้รอพวกเราก็รอ!” นําเสียงของเขาเย็นเยียบราวกับใบมีด
“ก็ได้!” มุซาชิสูดลมหายใจเข้าลึก
“อีกอย่าง ถ้าไม่มีเรื่องสําคัญอะไรก็ไม่ต้องมาหาผม” จางเหว่ยพูด “ผมจะออกจากเมืองเต่าไปสักพัก”
“เข้าใจแล้ว” มุซาชิพูด “ถ้ามีอะไรผมจะโทรหาแล้วกัน”
เช้าวันต่อมา ที่ชายหาดแห่งหนึ่งในเมืองเต๋ จงหลิวชวนและเจี้ยจื้อจายนัดพบกัน
“นายมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่?” เจียจื้อจายถาม
“เมื่อเช้าวาน” จงหลิวชวนตอบ
“หืมมม…ตั้งแต่ติดตามเชียนเชิง ท่าทีของนายก็เปลี่ยนไปเลยนะ” เจี้ยจื้อจายพูดโดยยังคาบ บุหรี่เอาไว้ในปาก
ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาพบหน้ากันเพิ่งผ่านมาได้ไม่นาน แต่เขากลับดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“ประธานจางอยู่ที่ไหน?” จงหลิวชวนถาม
“แถวแนวหินโสโครก” เจี้ยจื้อจายพูด
“นายแน่ใจเหรอ?” จงหลิวชวนถาม