“นายสอนกังฟูให้พวกเราได้ไหม?” ซูจือฉิงถาม
หวังเย้านิ่งไป เขาตอบ “เวลาแบบนี้พี่ก็ยังไม่ลืมเรื่องนั้นอีก”
“ก็เพราะเกิดเรื่องนี้ขึ้นยังไงล่ะ ฉันถึงได้รู้สึกว่าการเชิญนายเป็นเรื่องเร่งด่วนมาก” ซูจือฉิงพูด
“ฮาฮา สิ่งที่ผมเรียนมาอาจจะไม่เหมาะกับพวกพี่ก็ได้นะ” หวังเย้าพูด
“นายรู้ได้ยังไงว่าไม่เหมาะ ทั้งที่ยังไม่ได้ลองเลย?” ซูจือจึงถาม
“เดี๋ยวก็รู้” หวังเย้าพูด เป็นอีกครั้งที่เขาเอ่ยปฏิเสธแบบอ้อมๆ
….
ในเมืองเต๋าที่ห่างไกลออกไปหลายพันไมล์
“นายหมายความว่ายังไง?” หลี่ฟางจับจ้องใบหน้าของเจียจื้อจายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ฉันขอโทษ หมอที่ฉันรู้จักเพิ่งจะเดินทางไปรักษาคนที่จังหวัดอื่นแล้วน่ะสิ” เจี๋ยจื้อจายพูด “ลูกชายของนายคงต้องรอต่อไปอีกหน่อย”
“ได้ ฉันจะรอ” หลี่ฟางพูด
เขาไม่ได้แสดงท่าที่ไม่พอใจ บางทีอาจเป็นเพราะเขาไม่ได้คาดหวังไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เขาก็แค่ต้องรอ และเลี้ยจื้อจายก็ต้องรอเหมือนกัน
“ความรู้สึกให้ความหวังคนอื่นแบบนี้ไม่ดีเลยสักนิด” เจี่ยจื้อจายพูด
“อย่างน้อยหมอหวังก็เชื่อถือได้” หูเหมยกระซิบ
เจี้ยจื้อจายพยักหน้าเห็นด้วยและพูดว่า “แล้วฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาไปที่ไหน หรือทําไมเขาถึงต้องรีบร้อนขนาดนั้นด้วย”
เขารู้ว่าที่หวังเย้าเดินทางมาที่เมืองเต่ก็เพราะเรื่องของพวกเขาเอง แต่เขากลับเดินทางออกจากเมืองทั้งที่ยังจัดการเรื่องที่นี่ไม่เสร็จ แถมยังไม่ยอมบอกพวกเขาด้วยว่าจะไป ในเมื่อเขารีบขนาดนั้น แสดงว่าต้องเป็นเรื่องเร่งด่วนจริงๆ ตอนนี้คนที่พวกเขายึดถือไม่อยู่แล้ว พวกเขาก็ทําได้แค่รอเท่านั้น
ปักกิ่ง หลังผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน พิษส่วนใหญ่ในร่างกายของซูจือฉิงและเมิ่งหวูชวงถูกขับออกไป การฟื้นตัวของทั้งสองอยู่เหนือจินตนาการของแพทย์ทั้งหลายไปมาก
“นี่มันยาอะไรกัน?” แพทย์คนหนึ่งถาม “ทําไมถึงได้วิเศษขนาดนี้?”
“หมอคนนั้นเป็นใครกันคะ?” นางพยาบาลถาม “เขามาจากโรงพยาบาลไหน?”
แพทย์พยาบาลที่รู้เรื่องคนไข้ทั้งสองต่างสงสัยในตัวหวังเย้า ทั้งที่เขาอายุยังน้อย แต่กลับมีฝีมือสูงมาก
“เหมือนว่าเขาจะยังไม่มีแฟนใช่ไหมนะ?” นางพยาบาลคนหนึ่งถาม
“เธอยังคิดเรื่องแบบนี้ได้อีกเหรอ?” เพื่อนพยาบาลถาม
เมื่อไหร่ที่หวังเข้ามา เหล่าพยาบาลตัวน้อยมักเป็นฝ่ายเข้าหาเขา
“น้องเขยของฉันเสน่ห์แรงจริงๆ” ซูจือฉิงพูดกลั้วหัวเราะ
“น้องเขยเหรอคะ?” นางพยาบาลตกใจ ใบหน้าของเธอแดงเต็มไปด้วยความผิดหวัง
“ใช่ น้องเขยในอนาคตของผมเอง” ซูจือฉิงพูด
“ถ้าอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ใช่น้องเขยจริงน่ะสิ” นางพยาบาลพูด
หลังจากกินยาเข้าไปได้สามวัน ซูจือฉิงและเพิ่งหรูช่วงก็สามารถลุกออกจากเตียง และเดินได้แล้ว หลังจากเข้ารับการตรวจด้วยเครื่อง พวกเขาก็พบว่าร่างกายของตน เองไม่ได้มีปัญหาอะไรมากแล้ว จากนี้ก็ต้องเข้าสู่ขั้นตอนการฟื้นฟูต่อไป
“ในเมื่อฉันหายดีแล้ว เป็นไปได้ไหมที่ฉันจะออกจากโรงพยาบาล?” ซูจือฉิงถาม
เขาเบื่อที่จะอยู่ในโรงพยาบาลแล้ว ถึงการอยู่ในห้องจะอบอุ่นและสบายแค่ไหน แต่ยังไงก็เทียบกับบ้านไม่ได้
“หนูถามหมอให้แล้วค่ะ พี่ยังต้องอยู่โรงพยาบาลต่ออีกอาทิตย์หนึ่งเพื่อดูว่าไม่มี ปัญหาอะไรตามมาอีก” ซูเสี่ยวซวีพูด
“จะมีปัญหาอะไรอีกล่ะ? ไม่ใช่ว่าน้องเขยก็อยู่หรอกเหรอ?” ซูจือฉิงถาม
“พี่จะสามสิบกว่าแล้วนะ ยังชอบพูดอะไรแบบนี้อยู่อีก” ซูเสี่ยวซวีพูด “จัดการเรื่องแต่งงานของตัวเองให้ได้ก่อนเถอะค่ะ!”
วันที่สองที่ซูจือฉิงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล หวังเย้าเห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง แค่มองครั้งแรก หวังเย้าก็มองออกว่าเธอมาจากกองทัพและเป็นคนที่สวยมาก สายตาที่ซูจือฉิงที่ใช้มองเธอก็ต่างไปจากเวลาที่มองคนอื่น
“เธอเป็นคนที่ไหนเหรอ?” หวังเย้าถาม
“เสฉวนค่ะ พวกเขาหมั้นกันแล้ว แต่ยังไม่ได้แต่งงาน” ซูเสี่ยวซวีตอบ
“เธอทํางานในกองทัพเหมือนกันเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ค่ะ เธอชื่อ เสวี่ยเสียวหยา” ซูเสี่ยวซวีพูด “ปู่ของเธอกับปู่ของฉันเป็นเพื่อนร่วมรบกันมา พวกเขาเลยถูกจับคู่กันตั้งแต่อยู่ในท้องเลยล่ะค่ะ”
“หมั้นกันตั้งแต่เด็กเลยเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ค่ะ ฉันจะบอกให้นะคะ พวกคนแก่ชอบเรื่องนี้กันมากเลยล่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“แล้วเธอไม่ได้หมั้นกับใครเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ไม่ค่ะ” ซูเสียวซวีพูดอย่างมีความสุข “ฉันเป็นเด็กผู้หญิงคนเดียวในบ้าน คุณปู่กับคุณย่ารักฉันมากและกลัวที่จะต้องเสียฉันไป”
“โชคดีที่เธอไม่ได้ถูกจับหมั้น ไม่อย่างนั้นผมคงจะกลายเป็นคนที่ไปแย่งคู่หมั้นคนอื่น” หวังเย้าพูด
เมื่อได้ยินคําพูดของเขา ใบหน้าของซูเสี่ยวซวีก็เผยรอยยิ้มแสนหวาน เธอเอนตัวพึงเขา
เด็กคนนี้นี่! ซงรุ่ยปิงบังเอิญมาได้เห็นเข้าพอดี
ซูเซี่ยงฮวาก็เดินทางกลับมาจากต่างประเทศและรีบร้อนมาที่โรงพยาบาล หลัง จากยืนยันจนแน่ใจแล้วว่าลูกชายของเขาปลอดภัยดี เขาก็เชิญหวังเย้าเข้าไปทานอาหาร ที่บ้านเพื่อเป็นการเลี้ยงขอบคุณ ถึงยังไงพวกเขาก็ยังไม่นับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ความหวังดีของหวังเย้าจึงเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก
ซงรุ่ยปิงกลับไปกับพวกเขา และซูเสียวซวียังลงมือทําอาหารเองด้วย
เย็นวันนั้น หวังเย้าดื่มไวน์ไปสองแก้ว ทุกคนต่างมีใบหน้าชื่นมื่น
เมื่อหวังเย้ากลับไปที่กระท่อม ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว เขาคิดอีกไม่กี่วันคงต้องกลับแล้วสินะ
หลายคืนผ่านไป ในขณะที่กําลังทานอาหารอยู่ที่บ้านตระกูลซูอยู่นั้น เขาก็ได้รับสายจากพ่อของเขาที่โทรมาถามไถ่ เขาจากบ้านมาเกือบหนึ่งอาทิตย์โดยไม่ทันได้รู้ตัว ในระหว่างนี้ เขาไม่ได้โทรกลับไปหาที่บ้านเลย ดังนั้น พ่อแม่ของเขาจึงเป็นห่วง เมื่อได้ยินว่าเขากําลังทานอาหารอยู่ที่บ้านของซูเสี่ยวซวี พวกเขาต่างยินดีและ แทนที่จะเร่งให้เขากลับบ้าน พวกเขากลับบอกให้เขาอยู่ที่ปักกิ่งต่ออีกหลายวันแทน
ส่วนซูจองและเพิ่งหรูช่วง พวกเขาอาจได้ออกจากโรงพยาบาลในอีกหนึ่งอาทิตย์ให้หลัง สองสัปดาห์หลังจากนั้น พวกเขาควรจะกลับมาเป็นปกติและกลับมาใช้ชีวิตตามเดิมได้แล้ว
ในค่ําคืนนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้น เช้าวันต่อมา หวังเย้าเจอคนคนหนึ่งที่โรงพยาบาล และเขาก็คือ กั๋วเจิ้งเหอ
“ผมได้ยินมาว่า พี่จือฉิงได้รับบาดเจ็บ ผมก็เลยมาเยี่ยมครับ” สีหน้าของกั๋วเจิ้งเหอ ยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใสและดูไร้พิษภัย “เชียนเชิง ฝีมือการรักษาของคุณยอดเยี่ยมมากเลยนะครับ”
“ชมเกินไปแล้ว” หวังเย้ารู้สึกไม่ชอบเมื่อได้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเขา เพราะมันคือรอยยิ้มที่ดูเสแสร้ง
“เสี่ยวซวีไปไหนเหรอครับ? เธอไม่ได้อยู่กับคุณเหรอ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม
“วันนี้ เธอมีเรียนน่ะ” หวังเย้าตอบ
ทั้งสองแลกเปลี่ยนคําพูดไม่กี่ประโยคและต่างก็เงียบไป กั่วเจิ้งเหอก็ได้แสดงทักษะการเข้าสังคมที่เขาเรียนรู้มาหลายปีโดยการหาหัวข้อสนทนาขึ้นมาดื้อๆ
“พี่จือฉิงหายเมื่อไหร่ ให้ผมเลี้ยงเหล้านะครับ” กั่วเจิ้งเหอพูด
“ได้สิ นายพูดแล้วนะ” ซูจือจิ้งพูด
กั่วเจิ้งเหอหันไปถามหวังเย้า “เย็นนี้ว่างไหมครับ?”
“ขอโทษด้วย พอดีเย็นนี้ผมมีนัดกินข้าวเย็นกับเสี่ยวซวีแล้ว” หวังเข้าตอบ
“อ้อ โอเคครับ ถ้าอย่างนั้นไว้คราวหน้าแล้วกัน” กั่วเจิ้งเหอจากไปพร้อมรอยยิ้ม
“รู้สึกยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถามซูจือฉิง
“ดีขึ้นมากแล้วล่ะ หลังให้น้ําเกลือเสร็จ ฉันก็ลงไปเดินเล่นรอบๆ นี่ ฉันยังต้องให้น้ำาเกลืออยู่อีกเหรอ?” ในเมื่อมีเขา “หมอขั้นเทพ” อยู่ใกล้ตัว เขาก็รู้สึกว่าการให้น้ําเกลือนั้นไม่จําเป็นเลยสักนิด
“ผมดูแล้ว ทั้งหมดนั้นเป็นสารอาหารที่ช่วยให้ร่างกายของพี่ฟื้นตัว” หวังเย้าพูด
ในระหว่างนี้ เขาได้ศึกษาการแพทย์แผนตะวันตกไปด้วย โดยเฉพาะในเรื่องของยา ดังนั้น เขาจึงรู้ว่ามียาชนิดไหนบ้างที่อยู่ในถุงยาที่ถูกฉีดเข้าสู่เส้นเลือดของซูจือฉิง ตัวยาของแพทย์แผนตะวันตกนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
“นี่ หมอนั่นกลับไปแล้วใช่ไหม?” ซูจือจึงมองไปทางประตู
“เขาไปไกลแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด เขาแน่ใจในเรื่องนี้
“นายคิดยังไงกับคู่แข่งของนาย?” ซูจือฉิงถาม
“คู่แข่ง?” หวังเย้าถาม
“ก็ใช่น่ะสิ เขาก็ชอบเสี่ยวซวีเหมือนกัน” ซูจือจึงพูด
“เขาก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ” หวังเย้าพูดออกมาตามตรง
“อืมมม ฉันก็คิดเหมือนกัน” ซูจือฉิงพูด “หน้ายิ้มอยู่ก็จริง แต่กลับซ่อนเล่ห์เหลี่ยมไว้ภายใต้หน้ากากนั้น นายต้องระวังเขาให้มากล่ะ”
“พี่รู้ด้วยเหรอครับ?” หวังเข้าประหลาดใจ
“รู้สิ หลังเสี่ยวซวีอาการดีขึ้น หมอนั่นก็โผล่มาทันที” ซูจือฉงพูด “เขาอยากแต่งงานกับเสี่ยวซวี แล้วตอนนั้นพวกนายสองคนก็ยังไม่ได้คบกันด้วย สําหรับคนที่จะแต่งงานกับน้องสาวของฉัน ฉันก็ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอยู่แล้ว พอตรวจสอบแล้ว ฉันก็เจอว่าไอ้หมอนี้มันเป็นพวกเสแสร้ง”
หวังเย้าหัวเราะขํา คําพูดนั้นฟังดูเลวร้ายมาก
“เขายิ้มสดใสและดูไร้พิษสงก็จริง แต่เบื้องหลังกลับทําเรื่องสกปรกไว้นับไม่ถ้วน ซูจือฉิงพูด
“ผมคิดว่า เมื่อกี้พี่ก็ดูเข้ากับเขาได้ที่นี่ครับ” หวังเย้าพูด
“ก็แค่เบื้องหน้าเท่านั้น ฉันต้องทําตัวให้เข้าได้กับทุกคน” ซูจือฉิงพูด “ถึงฉันจะไม่ชอบเขายังไง ฉันก็ไม่คิดว่า ฉันจําเป็นต้องเป็นเขา เราไม่ควรฉีกหน้ากากรอยยิ้มนั่นออก จริงไหม?”
“พี่ใกล้จะหายดีแล้ว” หวังเย้าพูด “ผมคงต้องเดินทางกลับแล้ว เลยมาบอกให้พี่รู้เอาไว้
“จะกลับเมื่อไหร่? ทําไมถึงรีบร้อนนักล่ะ?” ซูจือฉิงถาม
“อีกสองวันครับ” หวังเย้าตอบ “ยังมีเรื่องที่บ้านที่ต้องกลับไปจัดการอีก”
“อ้อ” ซูจอฉิงพูด
หวังเย้าเอาใบสั่งยาที่ช่วยฟื้นก่าลังให้ไว้กับซูเสี่ยวซวี “นี่เป็นยาสําหรับบํารุงร่างกายของเขานะครับ”