Earth’s Best Gamer ตอนที่ 119 วีรบุรุษ : หยางจื้อ
ในวัดแห่งโชคชะตา เครื่องบูชายัญชิ้นสุดท้ายก็คือ “เซ็ต” ของเครื่องบูชายัญ
มันคือเซ็ตของเกราะเต็มตัวสีดําที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วยบนผิวเกราะ และเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาอย่างชัดเจน
[เกราะภูเขาทมิฬ]
[ระดับ : วิสามัญอันดับ 5]
[ขั้น : เหนือชั้น (เครื่องบูชายัญ)]
[รายละเอียด : เกราะนี้ติดตามภูเขาทมิฬตลอดการต่อสู้ครึ่งชีวิตและหลับไหลไปกับเขาหลังจากที่เขาเสียชีวิต โดยเป็นสักขีพยานในวัยอันรุ่งโรจน์ของเขาและการสิ้นสุดที่น่าเสียใจ มันยังคงเป็นส่วนหนึ่งของเจตจํานงการต่อสู้ของเขา เฉพาะวีรบุรุษที่ถูกยอมรับเท่านั้นจึงจะคู่ควรที่จะสวมเกราะนี้]
เกราะภูเขาทมิฬทั้งหมดสิบเซ็ตถูกนําออกมาจากสนามรบแห่งโชคชะตา พวกมันเป็นเกราะของผู้พิทักษ์ทั้งหมด ยกเว้นชุดเกราะตัวนี้
จีเย่ได้พิจารณาที่จะละลายเกราะภูเขาทมิฬสองชุดและสร้างเครื่องบูชายัญขั้นสมบูรณ์อีกหนึ่ง
แต่สุดท้าย เขาก็ล้มเลิกความคิดนั้น
มีเหตุผลสองข้อ ข้อแรกมีไอเทมที่รอการผสานมากเกินไป ข้อสองเกราะภูเขาทมิฬนี้เคยเป็นของแม่ทัพ และมันมีรูปแบบและวัสดุที่แตกต่างจากเกราะของผู้พิทักษ์
หากพวกมันผสานเข้าด้วยกัน ผลิตภัณฑ์สุดท้ายอาจไม่ใช่ “ขั้นสมบูรณ์”
ในกรณีนี้ เขาจะสูญเสียเกราะของผู้พิทักษ์ไปหนึ่งชุด
รูปขบวนภูเขาทมิฬ เป็นอีกหนึ่งรางวัลที่เขาได้รับจากภูเขาทมิฬ มันต้องการคนอย่างน้อยสิบคนจึงจะสามารถใช้พลังของมันได้อย่างเต็มที่!
ดังนั้นหลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว จีเย่ก็เลือกเกราะภูเขาทมิฬให้กับพิธีกรรมในคุณภาพขั้นเหนือชั้น
อย่างไรก็ตามแม้ว่ามันจะเป็นเพียงขั้นเหนือชั้น แต่ภูเขาทมิฬที่แท้จริงนั้นก็น่าจะอยู่ระดับเหนือธรรมชาติ ด้วยการเปิดใช้งานจากพลังแห่งโชคชะตา เกราะจึงเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในวัดเหมือนกับฟันมังกรลวงตา
ในสนามรบที่มีไฟและควันกับเสียงคํารามดังก้อง ชายร่างสูงที่สวมเกราะภูเขาทมิฬกําลังนั่งอยู่บนหลังสัตว์ร้ายที่แปลกปลาดซึ่งมีกีบที่เท้าและดวงตาที่เปล่งประกาย เขาถือดาบสีดําและแดงยาวประมาณ 2 เมตรซึ่งอยู่ตรงใจกลางสนามรบ!
แม้ว่าเขาจะไม่ได้กล่าวอะไร แต่กลิ่นอายของเลือดและความน่าเกรงขามที่เป็นของนักรบที่แข็งแกร่งนั้นก็ได้สร้างความประทับใจให้กับทุกคนในภูเขามังกรคู่ที่อยู่นอกวัดแห่งโชคชะตา
มันคือการต่อสู้ของแม่ทัพภูเขาทมิฬกับวีรบุรุษจากดาวเคราะห์ดวงอื่น นอกจากนี้เขายังไม่ได้อยู่ในสถานะผีเหมือนกับตอนที่จีเย่เผชิญหน้าในสนามรบแห่งโชคชะตา แต่เป็นคนที่มีชีวิต!
เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตจํานงการต่อสู้ที่ท่วมท้น วิญญาณแห่งอารยธรรมก็มีการตอบสนองในอีกด้านหนึ่งและเริ่มเปลี่ยนแปลง
“หอกและธนูของฉันสามารถพิชิตจักรวาลได้ ฉันแข็งแกร่งราวกับเสือและคล่องแคล่วราวกับลิง ฉันขี่ม้าได้รวดเร็วราวกับมังกร…”
ในเวลาเดียวกัน การประกาศบทกวีที่ไพเราะก็ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่งและแม้แต่เสียงคํารามของการต่อสู้ก็เบาลง
คนที่มีใบหน้าเลือนลางมาถึงสนามรบ เขาสวมเกราะมาตรฐานของราชวงศ์ซ่งและขี่ม้าสีดํา บนอานม้ามีหอกที่ปลายเปล่งประกายไอเย็น และคันธนูเหล็กที่เป็นสีน้ำเงินดํา!
ในทางตรงกันข้าม ภูเขาทมิฬจากดาวเคราะห์ของผู้บ่มเพาะนั้นก็น่าสะพรึงกลัวอย่างไม่ต้องสงสัย
ท้ายที่สุดแล้ว สัตว์ขี่ที่แปลกประหลาดซึ่งมีกีบเท้าลุกเป็นไฟ และชุดเกราะและกระบี่ภูเขาทมิฬของเขาก็ดูงดงามยิ่งกว่าสิ่งของโบราณบนโลก
อย่างไรก็ตามการต่อสู้ครั้งนี้ก็เป็นการแข่งขันแห่งเจตจํานง สัตว์ขี่และอาวุธที่ปรากฏจะไม่ส่งผลต่อผลลัพธ์อย่างแท้จริง!
หลังจากที่วีรบุรุษก่อตัวขึ้นจากวิญญาณแห่งอารยธรรม ภูเขาทมิฬก็มองไปที่เขาทันที เขาฟันกระบี่ยาวสีดําของเขาและกระตุ้นสัตว์ขี่ของเขาซึ่งกีบเท้าลุกเป็นไฟเพื่อพุ่งเข้าหาวีรบุรุษโดยไม่พูดพร่ำทําเพลง!
หวูดดดด!
วีรบุรุษบนม้าดํายังไม่ได้พุ่งออกไป แต่เขากลับหยิบคันธนูขึ้นมาและยิงลูกศรสีเงินไปทางหน้าผากของภูเขาทมิฬ
สามารถอนุมานได้จากการประกาศบทกวีว่าวีรบุรุษที่มาถึงไม่เพียงแค่เก่งกาจด้านหอก แต่ยังเก่งกาจด้านธนูด้วย!
เคร้งง!
อย่างไรก็ตามภูเขาทมิฬนั้นแข็งแกร่งมากจนสามารถกําหนดวิถีลูกศรได้อย่างแม่นยําในระหว่างการพุ่ง
เขาเพียงแค่ใช้กระบี่ของเขาเป็นโล่และปัดลูกศรออกไป
ฟิ้วววปิ้ววว!
วีรบุรุษบนหลังม้าดํายิงลูกศรของเขาออกไปอีกครั้งด้วยลูกศรสองลูกติดต่อกันไปที่ภูเขาทมิฬ ซึ่งยังคงพุ่งเข้าหาเขาด้วยความเร็วสูง!
บูมม!
ไม่มีใครสามารถมองเห็นสีหน้าของภูเขาทมิฬภายใต้หมวกได้ แต่มือของเขานั้นนิ่งมาก เปลวไฟสีแดงลุกโชนออกไปไกลกว่าสิบเมตรจากกระบี่ยาวที่ยาวสองเมตรและเผาขนบนลูกศรทั้งสอง
จากนั้นเขาก็หมอบร่างกายของเขาบนสัตว์ขี่เพื่อหลบลูกศรที่สูญเสียความแม่นยํา
สัตว์ร้ายที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟนั้นเคลื่อนที่เร็วมากจนทั้งสองฝ่ายนั้นอยู่ห่างกันเพียงแค่หนึ่งร้อยเมตรหลังจากการยิงลูกศรสามนัด
วีรบุรุษเขาเหลียงซานหน้าซีดเล็กน้อย เมื่อเห็นเช่นนั้น จากนั้นเขาก็ทิ้งคันธนู คว้าหอกและพุ่งเข้าหาภูเขาทมิฬ!
เคร้งงง เคร้งงง..
ชั่วพริบตาที่ทั้งสองฝ่ายพุ่งเข้าหากันในระยะหนึ่งร้อยเมตร พวกเขาก็โจมตีกันและกันด้วยหอกกับกระบี่
เปลวไฟสีแดงที่พุ่งออกมาจากกระบี่ของภูเขาทมิฬทําให้เป็นไปไม่ได้ที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน
จะเห็นได้เพียงว่าสัตว์ขี่ทั้งสองแยกออกจากกันภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาทีก่อนที่จะขี่ออกไปหลายสิบเมตร
จากนั้นภูเขาทมิฬก็ค่อยๆ หายไปในควันสีดําของสัตว์ร้าย!
ด้านบนของม้าดําที่อยู่อีกด้านหนึ่ง วีรบุรุษที่ถูกอัญเชิญมาตัวสั่นอย่างรุนแรง มีบาดแผลที่หน้าอกซึ่งเกือบถูกผ่าครึ่ง
แต่หลังจากที่ภูเขาทมิฬหายไป บาดแผลก็ค่อยๆ หายเป็นปกติด้วยวิญญาณแห่งอาร ยธรรมและพลังแห่งโชคชะตาของภูเขามังกรคู่
“น่าเสียดายที่แกเป็นเพียงเจตนงต่อสู้ที่เหลืออยู่ของเขา และแกสามารถโจมตีได้เพียงแค่ครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นฉันจะเป็นคนที่พ่ายแพ้!”
วีรบุรุษที่มีใบหน้าเลือนลางตั้งข้อสังเกตด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเป
“ขอบคุณมาก แม่ทัพมนุษย์จากต่างโลก!”
จากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่ภูเขาทมิฬที่หายตัวไปในควันด้วยความขอบคุณ
วีรบุรุษต้องผ่านการทดสอบของเครื่องบูชายัญเพื่อการอัญเชิญที่ประสบความสําเร็จ เครื่องบูชายัญส่วนใหญ่มาจากมนุษย์ต่างดาว และบางส่วนก็มาจากมอนเตอร์
พวกเขาทุกคนจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อต่อต้านและไม่ยอมแพ้อย่างง่ายดายในระหว่างพิธีกรรม
แต่เกราะภูเขาทมิฬนั้นแตกต่าง มันถูกสร้างขึ้นโดยพื้นฐานของพลังแห่งโชคชะตาของอารยธรรมมนุษย์แห่งอื่น แม้ว่ามันจะอยู่ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป แต่ก็ยังเป็นของมนุษย์ ดังนั้นการทดสอบของเกราะทมิฬจึงไม่เข้มงวดเท่ากับของมอนเตอร์ลวงตา
ในระหว่างการทดสอบ มันทําการโจมตีเพียงหนึ่งครั้ง เพียงเพื่อจุดประสงค์ในการยืนยันว่ามนุษย์จากโกนั้นมีคุณสมบัติที่จะสวมเกราะนี้
ไม่อย่างนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเจตจํานงต่อสู้ของผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือธรรมชาติ แม้แต่วีรบุรุษขั้นสมบูรณ์ก็อาจไม่สามารถเอาชนะได้
หลังจากที่สนามรบลวงตาหายไป วีรบุรุษคนที่หกจากเขาเหลียงซานก็ไม่เลือนลางอีกต่อไป เขาถอดหมอกออกและแสดงใบหน้ากับปานสีน้ำเงินที่ครอบครองเกือบหนึ่งในสามของใบหน้า!
[หยางจื้อ]
[ระดับ : วิสามัญอันดับ 5]
[การประเมิน : ผู้บัญชาการ]
[รายละเอียด : ฉายาอสูรหน้านิล เขาเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการกองทหารม้าในบึงเหลียง ซานและเขาเก่งกาจทั้งด้านธนูและหอก]
“น้องหยาง!”
“ผู้นําหยาง!”
หลู่จือเซินดีใจที่ได้พบกับหยางจื้อ ประชากรและทหารจํานวนมากของภูเขามังกรคู่ก็เรียกเขาเช่นกัน
นั่นเป็นเพราะหยางจื้อเป็นหนึ่งในสามผู้นําของป้อมปราการภูเขามังกรคู่ สถานที่แห่งนี้เป็นบ้านเกิดของเขา
ในที่สุดเขาก็กลับมา
“จางเหิง ซุนหนิว เป่ยซาน…”
เมื่อเดินออกจากวัดแห่งโชคชะตา หยางจื้อก็ไม่ได้ดุดันเหมือนตอนที่เขาต่อสู้กับภูเขามังกรคู่ และทักทายผู้คนมากมาย
“กงซุน…”
อย่างไรก็ตามเมื่อหยางจื้อเห็นกงซุนเซิ่ง เขาก็หยุดชั่วขณะและมีสีหน้าค่อนข้างแปลก
“ฮ่าๆ ฉันลืมไปเลย”
ทันใดนั้นจีเย่ก็จําได้ว่าเหตุผลที่หยางจื้อลงเอยที่บึงเหลียงซานก็เพราะว่าสมบัติที่เขาคุ้มกันอยู่ถูกขโมย ไม่อย่างนั้นหยางจื้อจะยังคงทํางานเป็นทหารใหกับราชสํานักต่อไป
กงซุนเซิ่งเป็นหนึ่งในคนที่ปล้นเขา!
แม้ว่าพวกเขาทั้งคู่จะมีความทรงจําในอนาคตของบึงเหลียงซาน แต่สิ่งที่พวกเขาจําได้ชัดเจนที่สุดก็คือเหตุการณ์ล่าสุด
ในขณะนั้นเอง สิ่งที่หยางจื้อจําทําหลังจากเห็นกงซุนเซิ่งบนภูเขามังกรคู่คืออะไร?
“ …ที่ปรึกษา!”
หลังจากเงียบไปหลายวินาที ในที่สุดหยางจื้อก็กล่าวออกมา
การเรียกกงซุนเซิงว่าที่ปรึกษาหมายความว่าหยางจื้อได้ยกโทษให้กับเขาสําหรับการขโมย
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาทํางานร่วมกันในบึงเหลียงซานในเวลาต่อมาและต่อสู้เคียงข้างกันในสนามรบมากกว่าหนึ่งครั้ง
เป็นเพราะว่าหยางจื้อรู้ว่าสมบัติที่เขาคุ้มกันนั้นเป็นสิ่งชั่วร้าย และเป็นความผิดที่เขายอมรับภารกิจคุ้มกันพวกมัน
แน่นอนว่าเหตุผลที่สําคัญที่สุดก็คือเขาอยู่ในดินแดนแห่งมรดก และไม่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ซ่งอีกต่อไป สิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นเพียงอดีต
สําหรับเหล่าวีรบุรุษ เป้าหมายร่วมกันก็คือการพัฒนาถิ่นฐานที่พวกเขามาถึงและต่อสู้เพื่อพลังแห่งโชคชะตาสําหรับมนุษย์ในดินแดนแห่งมรดก
“ผู้นําหยางมีเกราะที่ยอดเยี่ยม แต่ไม่มีอาวุธ เราไม่มีหอกที่เหมาะสมในป้อมปราการ แต่เรามีดาบ ฉันสงสัยว่านายจะใช้มันได้มั้ย”
เมื่อเห็นว่าไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างหยางจื้อและกงซุนเซิ่ง จีเย่ก็รู้สึกโชคดีที่หลีกเลี่ยงปัญหาของเขาได้ เขาคิดอะไรบางอย่างและหยิบดาบยาวออกมาจากห้องของเขาให้กับหยางจื้อ
กระบี่เล่มนี้เกือบจะเหมือนกับเล่มที่ภูเขาทมิฬถืออยู่ในสนามรบ
แต่สีของพวกมันแตกต่างกันเล็กน้อย กระบี่ของภูเขาทมิฬนั้นเป็นสีแดงที่มีเปลวไฟและกระบี่ เล่มนี้เป็นสีน้ำเงินม่วงราวกับว่ามีสายฟ้า
อันที่จริง นี่คือกระบี่ที่ภูเขาทมิฬเคยใช้
ย้อนกลับไปในตอนนั้น จีเย่ได้นําอาวุธนี้ที่ไม่มีค่าสถานะสินสงครามออกมาจากสนามรบแห่งโชคชะตาโดยการใช้ “การผสาน”
มันจึงแตกต่างจากอาวุธดั้งเดิมเพราะว่าภูเขาทมิฬที่อ่อนแอในสนามรบแห่งโชคชะตา ในตอนที่ถูกโจมตีจากเขาและคาตาร์รีน่าก็ได้ทําการโจมตีครั้งสุดท้ายโดยค่าใช้จ่ายก็คือพลังระดับวิสามัญในกระบี่และทําร้ายพวกเขาทั้งสอง
หลังจากนั้นจีเย่ก็ได้ผสาน “หินแม่เหล็กไฟฟ้า” ที่หายากซึ่งเขาได้รับมาจากผู้เข้าร่วมแข่งขันศัตรูด้วยดาบที่หัก เพื่อสร้างกระบี่ภูเขาทมิฬเล่มใหม่!
[กระบี่ภูเขาทมิฬ]
[ระดับ : วิสามัญอันดับ 3]
[ขั้น : เหนือชั้น]
[รายละเอียด : นี่คืออาวุธขั้นเหนือชั้นที่สร้างมาจากกระบี่ภูเขาทมิฬและหินแม่เหล็กไฟฟ้ามันสามารถกีดกันชิ้นส่วนโลหะที่มีพลังระดับวิสามัญ อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถใช้กระบี่เล่มนี้ได้!]
“กระบี่ที่ยอดเยี่ยม!”
หลังจากรับกระบี่จากจีเย่ หยางจื้อก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งราวกับปานสีน้ำเงินบนใบหน้าของเขาเคลื่อนไหว
คนทั่วไปจะไม่สามารถควบคุมกระบี่เล่มนี้ได้
อย่างไรก็ตามเพียงแค่การต่อสู้กับภูเขาทมิฬและได้รับการอนุมันติบางส่วน หยางจื้อก็สามารถใช้งานมันได้
แม้ว่าเขาจะใช้หอกบนหลังม้าเป็นหลัก แต่เขาก็ยังเก่งกาจกว่าหากใช้กระบี่เมื่อเดินเท้า!
เขาไม่คุ้นเคยกับกระบี่ใหญ่แบบเล่มนี้ แต่บนดินแดนแห่งมรดก เราจะสามารถเชี่ยวชาญอาวุธได้อย่างรวดเร็วด้วยค่าประสบการณ์
ฉ่าา!
เมื่อหยางจื้อฟันดาบบนสนามฝึกและมันกระแทกพื้น กระแสไฟฟ้าสีน้ำเงินก็พุ่งออกจากกระบี่และกระจายออกไปหลายสิบฟุต!
นั่นคือพลังแม่เหล็กระดับวิสามัญของกระบี่
ตามนิยายบ่มเพาะ มันเป็นอุปกรณ์ที่ดีที่สุดสําหรับต้านทานโลหะ!
หลังจากทําการวิจัย ผู้อาวุโสเจี้ยวก็พบว่ากระบี่เล่มนี้สามารถปลดปล่อยพลังระดับวิสามัญที่คล้ายกับระเบิดแม่เหล็กไฟฟ้า อุปกรณ์โลหะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกียร์ที่มีการนําไฟฟ้าสูงอาจจะทํางานผิดปกติเมื่อถูกกระบี่ฟัน
นั่นเป็นความสามารถที่ใช้งานได้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมนุษย์โลหะเป็นเผ่ามนุษย์ต่างดาว เพียงเผ่าเดียวที่อยู่ใกล้กับภูเขามังกรคู่ นอกเหนือจากมอนเตอร์พงไพรที่เหลืออยู่ไม่กี่ตัว
หลังจากากรสังเกตมาหลายวัน พวกเขาก็พบว่าสมาชิกของเผ่านั้นเป็นโลหะอย่างสมบูรณ์ และพวกมันก็เป็นอารยธรรมทางเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาถึงระดับหนึ่ง!
นั่นคือเหตุผลที่จีเย่มอบกระบี่เล่มนี้ให้กับหยางจื้อ
“ผู้นําหยาง ได้โปรดร่วมมือกับผู้นําอู่และเผชิญหน้ากับมนุษย์โลหะทางทิศตะวันออก!”
“ผู้นําหมู่และลุงเก้า โปรดปกป้องทิศเหนือและระวังพวกมนุษย์อินทรี!”
ผู้บัญชาการสองคนและกึ่งผู้บัญชาการหนึ่งคนมาถึงหลังจากพิธีกรรมต้อนรับ ดังนั้นป้อมปราการภูเขามังกรคู่จึงสามารถทําการโจมตีได้อีกครั้งในไม่ช้า
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านั้น พวกเขาต้องจํากัดมอนเตอร์พงไพรให้หมดไปก่อน
“กงซุนเซิ่ง ฉันจะขอให้นายและผู้นําหลิงไปอาณาเขตของมอนเตอร์พงไพรกันฉัน”
มอนเตอร์พงไพรสามารถปีนขึ้นต้นไม้สูงร้อยเมตรได้ซึ่งทําให้การโจมตีปกติไม่สามารถไปถึง พวกมันได้แต่ในตอนนี้แตกต่างจากป้อมปราการภูเขามังกรคู่ที่มี “มังกรดั้นเมฆ?!”
Fanpage : ผีเสื้อกลางคืน