บทที่ 609 : ศาลาเทียนสี่!
หลิงหยุนเองก็แอบตกใจเช่นกัน และได้แต่แอบคิดอยู่ในใจเงียบๆ ‘ซ่งเจิ้งหยางเก่งไม่เบาเลยทีเดียว เจ้ายังไม่ทันได้สัมผัสหินก้อนนี้ด้วยซ้ำไป แต่กลับสามารถมองออกว่ามันเป็นหินชนิดพิเศษได้!’
ดูเหมือนว่าที่ตลาดค้าของเก่าแห่งนี้ จะมีบุคคลที่ชำนาญการด้านนี้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว!
“ลุงซ่ง.. ผมเลือกอยู่ตั้งนาน ลุงเองก็ดูออกด้วยเหรอครับ?!” หลิงหยุนร้องถามด้วยความตกใจ!
ซ่งเจิ้งหยางเหลือบมองหลิงหยุนพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “ถ้าฉันไม่รู้.. เธอคิดว่าฉันจะเชิญฉิวหย่งโช่วมาดื่มน้ำชาที่ร้านหยกของฉันงั้นรึ?”
จากนั้นซ่งเจิ้งหยางก็อธิบายต่อว่า “ถ้าฉันคาดคะเนไม่ผิดพลาด หินก้อนนี้จะสามารถทำเงินเธอได้มากมายทีเดียวล่ะ!”
ถังเมิ่งที่หลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จก็วิ่งตามคนทั้งคู่มานั้น ก็ได้ร้องถามออกมาอย่างตื่นเต้น
“ลุงซ่ง.. อะไรเหรอครับที่ว่าจะทำเงินได้มากมาย?”
ซ่งเจิ้งหยางประเมินว่าในวันข้างหน้าหลิงหยุนจะกลายเป็นคนที่หาใครเทียบได้ยาก และเมื่อเห็นถังเมิ่งที่ยอมติดตามหลิงหยุนเช่นนี้ เขาก็มั่นใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะต้องมีอนาคตที่สดใสเช่นกัน
ซ่งเจิ้งหยางตอบถังเมิ่งไปว่า “หลิงหยุนเพิ่งจะได้หยกชิ้นใหญ่มาน่ะสิ!”
ถังเมิ่งได้ฟังถึงกับตกตะลึง และรีบหันไปมองหลิงหยุนอย่างรวดเร็ว เขารีบเอื้อมมือไปสัมผัสหินในมือของหลิงหยุน พร้อมกับร้องออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“หินก้อนกลมเหมือนลูกแตงโมนี่นะ?!”
ซ่งเจิ้งหยางคร้านที่จะอธิบาย เขาจึงยิ้มให้ถังเมิ่งพร้อมกับพูดออกไปว่า “ถ้าเธอไม่เชื่อ.. ก็ไปที่ร้านของฉัน แล้วลองผ่าหินก้อนนี้ดู ถึงตอนนั้นจะได้รู้ว่ามันมีมูลค่ามากมายจริงมั๊ย?”
ในฐานะที่เป็นผู้เชียวชาญด้านหยกมานานหลายปี ซ่งเจิ้งหยางจึงร้องบอกด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นและมั่นใจ
หลิงหยุนรีบส่ายหน้าอย่างตกใจ “ไม่ดีกว่าครับลุงซ่ง..! ผมจำเป็นต้องใช้หินก้อนนี้ไปทำอะไรบางอย่าง คงไม่สามารถผ่าออกดูในตอนนี้ได้!”
ทั้งสามคนต่างก็เดินฝ่าฝูงชนจำนวนมากไปตามทาง ระหว่างทางนั้นหลิงหยุนก็ค้นพบว่าร้านขายของเก่าหลายๆร้านมีพลังชีวิตแพร่กระจายออกมา แต่เพราะมีซ่งเจิ้งหยางอยู่ด้วย หลิงหยุนจึงทำได้เพียงแค่จดจำชื่อร้านไว้เท่านั้น
อีกอย่าง.. หลิงหยุนเองก็ไม่ต้องการให้คนใหญ่คนโตอย่างซ่งเจิ้งหยางต้องมายืนรอเขาซื้อหิน อีกทั้งซ่งเจิ้งนั้นก็มีสายตาที่คมกริบ หากหลิงหยุนสามารถคัดเลือกได้หินชนิดพิเศษอีก ซ่งเจิ้งหยางคงต้องผิดสังเกตุอย่างแน่นอน
แม้จะมีคำพูดว่าตีเหล็กต้องตียามร้อนก็ตาม แต่ร้านค้าเหล่านี้ก็คงไม่หนีหายไปใหน หลิงหยุนจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนถึงเพียงนั้น เขาสามารถมาหาซื้อวันหลังก็ได้!
“พ่อหนุ่ม.. อีกสักครู่ก็ที่อวี้ติงเซีวยนก็จะเริ่มพนันหินกันแล้ว จัดเพียงแค่อาทิตย์ละครั้งเท่านั้นนะ! เธออยากจะไปดูบ้างมั๊ย?” ซ่งเจิ้งหยางยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับแนะนำระหว่างที่เดินไป
หลิงหยุนมาที่นี่ในวันนี้ก็ตั้งใจว่าจะมาลองพนันหินดูบ้าง แต่เพราะยังมีธุระที่ต้องจัดการ จึงได้แต่ตอบไปว่า
“ลุงซ่งครับ.. พอดีวันนี้ผมมีธุระ ผมต้องไปทำธุระบางอย่างที่ศาลาเทียนสี่..”
ซ่งเจิ้งหยางถึงกับทำสีหน้าตกใจ “งั้นรึ? คิดไม่ถึงว่าเธอจะมีธุระที่ศาลาเทียนสี่ด้วย?!”
หลิงหยุนเพียงแค่เกาศรีษะยิ้มไม่พูดอะไร แต่ถังเมิ่งกลับพูดแทรกขึ้นมาว่า
“ลุงซ่งครับ.. พี่หยุนเคยช่วยชีวิตเจ้าของศาลาเทียนสี่ที่ชื่อมู่หลงเวิ่นฉีไว้!”
ซ่งเจิ้งหยางถึงกับตกใจสุดขีด “อะไรนะ?! นี่หลิงหยุนเป็นคนช่วยตาเฒ่ามู่หลงไว้เองเหรอ?”
ถังเมิ่งตอบกลับไปยิ้มๆ “ใช่แล้วครับ.. ครั้งนั้นพี่หยุนโชว์ทักษะขั้นเทพเลย..”
ซ่งเจิ้งหยางได้เห็นทักษะทางการแพทย์ของหลิงหยุนด้วยตาตัวเองมาแล้วในวันเปิดคลินิก จึงไม่จำเป็นต้องฟังคำอวดอ้างของถังเมิ่ง และได้แต่พึมพำออกมา
“มิน่าล่ะ.. ตอนที่ฉันไปเยี่ยมตาเฒ่ามู่หลงเมื่อครั้งก่อน ฉันถามเรื่องคนที่ช่วยชีวิตเขาไว้ เขาก็เอาแต่เงียบไม่ยอมตอบ! แต่กลับคิดไม่ถึงว่าตอนนี้คนที่ช่วยชีวิตเขาไว้กลับยืนอยู่ต่อหน้าฉัน ฮ่า.. ฮ่า..”
ซ่งเจิ้งหยางพูดไปหัวเราะไปอย่างมีความสุข เขารีบเอื้อมมือไปจับแขนหลิงหยุนพร้อมกับร้องบอกว่า..
“ฉันจะพาเธอไปเอง..! เมื่อสองวันที่แล้วฉันก็เพิ่งจะไปนั่งดื่มชากับมู่หลงมา ฉันกับเขาคุ้นเคยกันดี นี่ถ้าเขาเห็นฉันพาเธอไปด้วยก็คงจะตกใจมาก..”
ความจริงแล้วหลิงหยุนตั้งใจจะไปพบมู่หลงเวิ่นฉีกับถังเมิ่งเพียงลำพัง แต่ตอนนี้ซ่งเจิ้งหยางกลับเสนอตัวไปด้วย หลิงหยุนจึงได้แต่ยิ้มเพราะไม่มีทางเลือก และได้แต่เดินตามซ่งเจิ้งหยางไปที่ศาลาเทียนสี่
บริเวณส่วนนี้ล้วนเป็นที่ตั้งของร้านขายของเก่าที่ราคาแพงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นหอหยกและไข่มุกของซ่งเจิ้งหยาง ศาลาเทียนสี่ของมู่หลงเฟยจื่อ อวี้ติงเซวียน และอีกราวเจ็ดแปดร้าน
และเมื่อครั้งที่หลิงหยุนช่วยหลินเมิ่งหานรอดจากปากเหยี่ยวปากกามาได้นั้น ก็เพราะมานั่งดูดซับพลังชีวิตที่กระจายออกมาจากอวี้ติงเซวียนนั่นเอง เขาจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ดี
เมื่อพูดถึงศาลาเทียนสี่ขึ้นมา ซ่งเจิ้งหยางก็เล่ายาวไปจนถึงชีวิตของมู่หลงเวิ่นฉีในช่วงนี้ว่าเขาอารมณ์ไม่สู้ดีนัก เพราะเสียหายจากการพนันหินจนสูญเงินไปหลายสิบล้าน อีกทั้งหลานสาวสุดที่รัก – มู่หลงเฟยจื่อ ก็ยังมีปัญหากับบริษัทในฮ่องกงจนต้องบินกลับไปกลับมาระหว่างฮ่องกงกับจิงฉูเป็นว่าเล่น
“เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว.. เฒ่ามู่หลงเสียเงินไปกับการพนันหินหลายสิบล้าน อารมณ์ก็เลยเสียมาตลอดทั้งอาทิตย์ ดูท่าวันนี้อาจจะไปพนันใหม่อีก และอวี้ติงเซวียนก็คงจะครึกครื้นน่าดู..”
“นี่.. แล้วตอนนี้หลานสาวสุดที่รักของเขา – มู่หลงเฟยจื่อ ก็กำลังถูกหนุ่มเพลย์บอยสองคนตามตื๊ออยู่ สองคนนั่นแข่งกันน่าดูเชียวล่ะ! คนหนึ่งมาจากปักกิ่ง ส่วนอีกคนมาจากฮ่องกง..”
เมื่อเห็นว่าซ่งเจิ้งหยางเริ่มเล่าทุกอย่างให้หลิงหยุนฟังอย่างเปิดเผยหลังจากที่เริ่มคุ้นเคยกัน เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย..
“ลุงซ่ง.. พอรู้มั๊ยครับว่าชื่อศาลาเทียนสี่ได้มาอย่างไร?”
ซ่งเจิ้งหยางยิ้มมุมปาก เขาครุ่นคิดเล็กน้อยและพึมพำว่า “ฉันเองก็ไม่มั่นใจ.. แต่เคยได้ยินมาว่าตระกูลมู่หลงมีตราหยกของจักรพรรดิองค์หนึ่ง ก็เลยตั้งชื่อว่าเทียนสี่.. แต่ฉันว่าคงเป็นแค่คำร่ำลือซะมากกว่า! เพราะถ้ามีของเก่าแก่ล้ำค่าอย่างนั้นจริงๆ ก็คงต้องป่าวประกาศออกไปแล้ว!”
เมื่อไปถึงศาลาเทียนสี่ ซ่งเจิ้งหยางก็เดินนำหลิงหยุนและถังเมิ่งเข้าไปในร้าน ชั้นล่างจำหน่ายเครื่องทอง เครื่องเงิน เครื่องเพชร เครื่องลายคราม และอื่นๆอีกมากมาย แต่ซ่งเจิ้งหยางกลับไม่ชายตามองแม้แต่น้อย และรีบเดินนำทั้งสองคนขึ้นไปชั้นสองทันที
“ประธานซ่ง..”
ภายในตลาดค้าของเก่าแห่งนี้.. ไม่มีใครไม่รู้จักซ่งเจิ้งหยาง และพนักงานทุกคนในศาลาเทียนสี่ต่างก็รู้จักซ่งเจิ้งหยางดีทุกคน พวกเขาต่างก็เอ่ยทักทายอย่างเคารพนบนอบ
และนี่คืออำนาจ สถานะ และชื่อเสียง ตราบใดที่สร้างสมสิ่งเหล่ามาชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก็สามารถทำให้คนผู้นั้นหาเงินได้ง่ายราวกับดีดนิ้ว
เมื่อเข้าไปในศาลาเทียนสี่ หลิงหยุนก็เริ่มใช้จิตหยั่งรู้สำรวจภายในร้าน
หลิงหยุนเข้าไปในศาลาเทียนสี่ และจัดการใช้จิตหยั่งรู้สำรวจภายใน เขาไม่พบอะไรที่ชั้นหนึ่งก็จริง แต่ชั้นสองของร้านกลับมีพลังชชีวิตกระจายออกมาค่อนข้างรุนแรง
‘ตระกูลมู่หลงมีของดีครอบครองอยู่หรือนี่?!’ หลิงหยุนได้แต่แอบคิดอยู่ในใจเงียบๆ
“เฒ่ามู่หลง.. ยังจะอารมณ์เสียอยู่อีกหรือไง? ออกมาดูเร็วเข้าว่าฉันพาใครมา?”
ซ่งเจิ้งหยางเดินขึ้นชั้นสองเลี้ยวขวา และเดินตรงเข้าไปในห้องทำงานของมู่หลงเวิ่นฉีพร้อมกับร้องเรียกเขาเสียงดัง
หลิงหยุนเวลานี้มีประสาทสัมผัสทั้งห้าที่เหนือมนุษย์ธรรมดามาก เขาจึงได้ยินน้ำเสียงเบื่อหน่ายของผู้หญิงดังขึ้นภายในห้อง
“เฮ้อ.. คุณสองคนออกไปข้างนอกก่อนจะได้มั๊ย? ฉันขออยู่คนเดียวเงียบๆสักพัก.. อีกอย่างฉันก็มีแฟนแล้วด้วย! ฉันบอกพวกคุณไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว..”
ทันทีที่ได้ยินเสียงจองหองเย็นชานั้น หลิงหยุนก็จำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของมู่หลงเฟยจื่อ และคิดไม่ถึงว่าจะได้พบเธอที่นี่ในวันนี้ด้วย เมื่อเห็นเธอถูกชายหนุ่มสองคนตามตื๊อ หลิงหยุนก็ได้แต่ยิ้มหยันอยู่ในใจ
“พนันหินที่อวี้ติงเซวียนกำลังจะเริ่มแล้ว ประธานซ่งไม่คิดที่จะไปเลือกดูหินดีๆบ้างเลยงั้นรึ? ทำไมถึงได้ว่างมายืนล้อเลียนฉันถึงที่นี่?!”
มู่หลงเวิ่นฉีส่งเสียงร้องทักทายออกมามาตั้งแต่อยู่ในห้อง แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สุภาพกับซ่งเจิ้งหยางนัก
ซ่งเจิ้งหยางหัวเราะพร้อมตอบกลับไปว่า “พนันหินสนุกตื่นเต้นจะตายไป แต่ถ้าฉันไปร่วมด้วย แล้วใครจะกล้าเล่นด้วย?”
มู่หลงเวิ่นฉียิ้มเล็กน้อยหลังจากได้ฟังคำพูดของซ่งเจิ้งหยาง แต่ดวงตากลับจ้องมองหลิงหยุนและถังเมิ่งที่ยืนอยู่ข้างซ่งเจิ้งหยาง
สีหน้าของมู่หลงเวิ่นฉีเปลี่ยนไปทันที!
แม้หลิงหยุนจะน้ำหนักลดลงไปหลายสิบกิโลกรัม และเปลี่ยนไปจนเขาจำไม่ได้ แต่มู่หลงเวิ่นฉีก็รู้จักถังเมิ่ง!
ถังเมิ่งเคยมาที่ศาลาเทียนสี่จัดการเรื่องการโอนรถมาเซราติ และได้พบกับมู่หลงเวิ่นฉีในวันนั้นด้วย
“เธอคือถังเมิ่งใช่มั๊ย? ถ้าเช่นนั้น..”
มู่หลงเวิ่นฉีทำหน้างุนงง เขามองหน้าหลิงหยุนอย่างลังเลใจ พร้อมกับพินิจพิเคราะห์ใบหน้าของหลิงหยุนที่ดูคุ้นเคยอย่างละเอียด แต่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นใคร?
หลิงหยุนยิ้มกว้างพร้อมกับสำรวจมู่หลงเวิ่นฉีตั้งแต่หัวจรดเท้าเช่นกัน และเมื่อพบว่ามู่หลงเวิ่นฉีหายดีแล้ว มีเพียงแค่รอยแผลเป็นบนศรีษะที่ตอนนี้ผมก็ยังไม่ขึ้นเท่านั้น
ซ่งเจิ้งหยางเห็นมู่หลงเวิ่นฉีและหลิงหยุนยืนจ้องมองกันอยู่นาน แต่กลับดูเหมือนจะจดจำหลิงหยุนไม่ได้ ก็ได้แต่นึกประหลาดใจ
‘นี่เฒ่ามู่หลงยังไม่หายดีหรือนี่.. ถึงได้จำหลิงหยุนไม่ได้? มิน่า.. ตากับสมองไม่ดีนี่เอง ไม่แปลกครั้งที่แล้วถึงได้พนันหินขาดทุนยับเยิน’
ซ่งเจิ้งหยางไม่รู้ว่าสองเดือนผ่านมานี้ หลิงหยุนได้ลดน้ำหนักลงไปหลายสิบกิโลกรัม เขาจึงได้แต่ยิ้มให้มู่หลงเวิ่นฉีพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เฒ่ามู่หลง.. นี่สมองของคุณยังไม่หายดีหรือยังไง ถึงได้จำผู้มีพระคุณของตัวเองไม่ได้?”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับแนะนำตัวเอง “คุณมู่หลงสบายดีนะครับ? ผม..หลิงหยุน!”