[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร ]
บทที่ 579 : มีเทพธิดากี่คน?
“พ่อ.. ลุงหลี่.. มากันแล้วเหรอครับ? อย่ามัวแต่ยืนคุยอยู่ตรงนั้นเลย เข้ามานั่งข้างในดีกว่า!”
เพราะมีผู้คนรายล้อมหลิงหยุนอยู่มากมายจนถังเมิ่งไม่สามารถเข้าถึงตัวได้ เขาจึงได้แต่ต้องร้องตะโกนบอกอยู่ที่หน้าประตูคลีนิคแทน
“ลุงหลี่.. เชิญไปคุยกันด้านในดีกว่าครับ!” หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับเชื้อเชิญหลี่ยี่เฟิง
หลี่ยี่เฟิงพยักหน้าเบาๆ และทั้งสามคนก็เดินตรงเข้าไปในคลีนิคสามัญชน แน่นอนว่าอำนาจบารมีของคนทั้งสามนั้นแผ่กระจายออกมาโดยไม่ต้องพูด ผู้คนต่างพากันหลีกทางให้โดยไม่ต้องเอ่ยปาก
และนี่คือข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งของการมีอำนาจบารมี..
หลิงหยุนไม่สนใจเรื่องเหล่านี้.. แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนธรรมสามัญจะไม่สนใจด้วยเช่นกัน!
ทันทีที่ได้ยินเสียงร้องตะโกนของถังเมิ่ง ซูหลิงเฟยก็ลุกลี้ลุกลนออกมาจากคลีนิคทันที เมื่อเธอเห็นหลี่ยี่เฟิง ถังเทียนห่าว และหลิงหยุนเดินตรงเข้ามาที่คลีนิคสามัญชนพร้อมกัน เธอได้แต่นึกเสียใจอย่างมากที่ไม่ได้พาตากล้องมาด้วย เพราะเหตุการณ์ในวันนี้สามารถนำไปเป็นข่าวขึ้นเฮดส์นิวส์ได้อย่างสบาย!
แต่ถึงแม้ว่าซูหลิงเฟยจะมีตากล้องมาด้วย ก็ใช่ว่าหลิงหยุนจะยอมให้เธอสัมภาษณ์!
เมื่อเห็นหลิงหยุน ถังเทียนห่าว และหลี่ยี่เฟิงเดินเข้าไปในคลินิก หลงเทียนเจียวที่ยังคงยืนอยู่ด้านนอกนั้น ก็ได้แต่นึกโกรธและหงุดหงิดอย่างมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้! หลิงหยุนไม่แม้แต่จะรักษาหน้าเขาซึ่งเป็นถึงคุณชายตระกูลหลงเลยแม้แต่น้อย!
“นี่หลิงหยุน.. กลุ่มที่ยืนถัดไปจากเรา พวกเขามาทำอะไรที่นี่?”
หลี่ยี่เฟิงเอ่ยถามระหว่างทางที่เดินไปยังคลีนิค หลี่ยี่เฟิงรู้ว่าคณะที่ติดตามหลงเทียนเจียวนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้บริหารชั้นสูง เพราะระหว่างที่เขาเดินผ่านนั้น ผู้คนมากมายต่างก็พากันเข้าไปทักทายกันอย่างล้นหลาม
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “พวกเขามาร่วมแสดงความยินดีครับ แต่เพราะด้านในมีคนเต็มแล้ว ผมก็เลยให้พวกเขายืนรออยู่ด้านนอก..”
หลี่ยี่เฟิงถึงกับพูดไม่ออก เขาคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะไม่เห็นคนใหญ่คนโตพวกนี้อยู่ในสายตาเลยเชียวหรือ? คนพวกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นนักธุรกิจใหญ่ของเมืองจิงฉู ไม่ว่าพวกเขาจะมากับใคร อย่างน้อยก็ไม่ควรจะปล่อยให้พวกเขาต้องยืนอยู่ด้านนอกแบบนั้น?
‘เด็กหนุ่มคนนี้ช่างแปลกประหลาดอย่างไม่ธรรมดาเลย!’
“นี่หลิงหยุน.. ปล่อยให้ผู้บริหารระดับสูงยืนอยู่ด้านนอกแบบนั้น ผลกระทบที่จะตามมาอาจไม่ดีนัก..”
หลี่ยี่เฟิงดูเหมือนจะเข้าใจอุปนิสัยใจคอหลิงหยุนดี เขารู้ว่าไม่สามารถที่จะออกคำสั่งกับหลิงหยุนตรงๆได้ จึงได้แต่อาศัยการพูดจาอ้อมๆแทน
“ในเมื่อลุงหลี่เกรงว่าผลกระทบที่จะตามมานั้นไม่ดี งั้นให้พวกเขาเข้าไปรอด้านในก็ได้ครับ..”
หลิงหยุนจึงสั่งถังเมิ่งให้ไปเรียกหลงเทียนเจียว และคณะเข้าไปรอในคลีนิค ถังเมิ่งเคยพบหลงเทียนเจียวกับคณะมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงคุ้นเคยกับพวกเขาเป็นอย่างดี
“ลุงหลี่ครับ.. ข้างล่างมีคนมากมาย ถ้ายังไงให้คนพวกนั้นรออยู่ข้างล่างก็แล้วกัน ส่วนพวกเราขึ้นไปคุยกันชั้นสองดีกว่า..”
นี่ก็ใกล้เวลาตัดริบบิ้นแล้ว หลิงหยุนรู้ว่าหลี่ยี่เฟิง และถังเทียนห่าวนั้นน่าจะเป็นชุดสุดท้ายที่มา แต่แม้ว่าจะมีใครมาอีก เขาก็ไม่สามารถปลีกตัวไปต้อนรับด้วยตัวเองได้อีกแล้ว
ระหว่างที่ถังเมิ่งเดินออกไปต้อนรับหลงเทียนเจียวและคณะนั้น ตี้เสี่ยวอู๋ก็จัดก็คนออกไปเตรียมพิธีตัดริบบิ้น
ความจริงแล้วแก๊งมังกรเขียวนั้นไม่ใช่แก๊งอันธพาลที่ทำแต่เรื่องชั่วช้า และไม่ได้มีแต่คนเลวร้ายที่คิดแต่เรื่องฆ่าคนเช่นกัน เพระหากเป็นคนเลวมากเช่นนั้นจริงๆ หลงคุนเองก็จะไม่รับเข้ามา
ธุรกิจหลักของแก๊งมังกรเขียวนั้นล้วนเป็นธรุกิจสีเทาอย่างเช่นบ่อนคาสิโน บาร์ ไนท์คลับสำหรับชนชั้นสูง อาบอบนวด และการปล่อยเงินกู้แต่ก็มีธุรกิจประเภทโรงแรม และอาหารด้วยเช่นกัน แต่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจผงขาวอย่างเด็ดขาด
สำหรับธุรกิจอาหารนั้นนับว่าเป็นธุรกิจที่ทำรายได้ให้แก๊งมังกรเขียวไม่น้อยเช่นกัน เพราะทุกคนต้องกิน และต้องกินทุกวันด้วย แก๊งมังกรเขียวจึงมีรายได้ก้อนใหญ่จากการทำธุรกิจค้าเนื้อหมู เนื้อวัว และเนื้อแกะ
สำหรับลูกน้องที่ตี้เสี่ยวอู๋เรียกมาใช้งานในวันนี้นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ไว้ใจได้ และไม่เคยมีคดีความติดตัวมาก่อน พวกเขาต่างก็รับผิดชอบในงานของตนเองอย่างดีเยี่ยม เฉลียวฉลาด และมีความสามารถ อีกทั้งยังผ่านโลกมามาก จึงสามารถทำงานได้เหนือกว่าเด็กหนุ่มเพลย์บอยทั้งห้าคนที่ถังเมิ่งพามาช่วยงานอย่างมาก ทุกอย่างจึงสามารถเป็นไปตามกำหนดการโดยไม่มีอะไรล่าช้า
ตอนนี้ที่ชั้นสองของคลีนิกสามัญชนนั้นมีแขกเหรื่ออยู่เต็มไปหมด นอกเหนือจากฉินตงเฉี่วย ท่านเสี่ยวหมอเทวดา หลินเจิ้งกัง หลี่ยี่เฟิง เฉิงเทียน และผู้ใหญ่ท่านอื่นที่ได้นั่งแล้ว หนุ่มๆล้วนแล้วแต่ต้องยืนทั้งหมด
ทางด้านแขกผู้หญิงอย่างหลิวลี่ หลี่หงเม่ย จางเม่ยหยวน และคนอื่นๆ ต่างก็ไปนั่งคุยกันอยู่ในห้องนอน
และตอนนี้คนที่ทำหน้าที่หลักในการต้อนรับแขกเหรื่อก็คือฉินตงเฉี่วย ความจริงแล้วนางรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะนางเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของหลิงหยุนในเวลานี้ นางคงจะหลบลี้หนีหายไปนานแล้ว!
ในที่สุดเมื่อเห็นหลิงหยุนเดินขึ้นมา ฉินตงเฉี่วยถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก พร้อมกับแอบคิดในใจว่าจบสิ้นเสียที!
หลี่ยี่เฟิงเดินขึ้นมาชั้นสอง เมื่อพบกับท่านหมอเสี่ยวที่นั่งอยู่กลางโซฟา เขาจึงรีบเดินเข้าไปทักทายด้วยความเคารพนับถือ
“ลุงเสี่ยว.. สบายดีนะครับ!”
ท่านหมอเสี่ยวเองก็รีบยิ้มและเอ่ยทักทายเช่นกัน “ยี่เฟิง.. มาเหมือนกันรึ? ไม่ต้องมากพิธี นั่งลงๆ!”
ท่านหมอเสี่ยวนั้นนับว่าเป็นผู้มีพระคุณของหลี่ยี่เฟิง เขาจึงไม่อาจนิ่งเฉยไม่ทักทายได้
หลี่ยี่เฟิงพยักหน้าอย่างมีมารยาท แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นหลินเจิ้งกังที่นั่งข้างท่านหมอเสี่ยว จึงรีบยื่นมือออกไปทักทาย..
“ท่านนายพลหลิน.. ท่านก็มาเหมือนกันรึนี่?!”
ในประเทศจีนนั้น ทหารกับนักการเมืองเปรียบเหมือนถนนสองสาย บุคคลสำคัญของกองทัพ และบุคคลสำคัญของแวดวงการเมือง ไม่ว่าจะระดับท้องถิ่นหรือระดับประเทศ ก็ไม่ควรที่จะสนิทสนมใกล้ชิดกันมากจนเกินไป
หลินเจิ้งกังลุกขึ้นช้าๆ และยื่นมือไปจับมือของหลี่ยี่เฟิงเขย่าเบาๆ จากนั้นจึงนั่งลงไม่พูดอะไรมาก
หลินเจิ้งกังไม่สะดวกที่จะพูดมาก!
ความจริงแล้ว หลินเจิ้งกังนั้นเบื่อหน่ายเป็นอย่างมาก เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่าหลิงหยุนเพียงแค่เปิดคลีนิคเล็กๆ จะมีแขกเหรื่อมาร่วมงานมากมายถึงเพียงนี้ และเขายังต้องกลับไปฝึกการรบให้กับทหารต่ออีก!
หลินเจิ้งกังเป็นถึงนายพล และไม่สะดวกที่จะปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะ เขามาที่นี่เพียงแค่ต้องการพาลูกสาวมาร่วมแสดงความยินดีกับการเปิดคลีนิคของหลิงหยุนเท่านั้น หลินเจิ้งกังวางแผนไว้ว่าหลังจากมอบของขวัญ และอบรมหลิงหยุนเล็กน้อยแล้ว เขาก็จะรีบกลับทันที!
แต่ตอนนี้สถานการณ์กลับกลายเป็นเช่นนี้ ทำให้หลินเจิ้งกังเบื่อหน่ายอย่างมาก!
แต่ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว อย่างน้อยเขาก็ต้องให้หน้าหลิงหยุน และจำต้องนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดไม่จากับใคร
แต่คนที่ดูเหมือนจะผ่อนคลายไร้กังวลที่สุดกลับเป็นหลิงหยุน! หากไม่ใช่เพราะเขาต้องอยู่แนะนำทุกคนที่นี่ให้รู้จักกัน เขาก็คงหลบไปนั่งเล่นในห้องนอนของเหยาลู่แล้ว
ตอนนี้ไป๋เซียนเอ๋อ เหมี่ยวเสี่ยวเหมา เหยาลู่ ฉางหลิง และหญิงสาวคนอื่น ต่างก็ไปรวมตัวกันอยู่ในห้องนอนใหญ่
ถัดจากห้องนอนใหญ่ไปอีกห้อง ก็จะมีหลินเมิ่งหาน กงเสี่ยวลู่ เหลียงอี้เฟย เฉิงเมี่ยนผู้น่าสงสารไม่สามารถเข้าไปอยู่ร่วมห้องกับเสี่ยวเม่ยหนิงได้ จึงต้องมานั่งอึดอัดใจอยู่ในห้องของผู้หญิงที่อายุมากกว่าเพียงคนเดียว
ถัดไปอีกหนึ่งห้อง บนเตียงมีจางเม่ยหยวน หลี่หงเม่ย หลิวลี่ ซูปิงหยาน และจางเม่ยหยวนในฐานนะว่าแม่ยายของหลิงหยุน จึงได้แต่นั่งฟังและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับหลิงหยุนอยู่เงียบๆ
-เจ้าเด็กดื้อ.. ครั้งนี้เจ้าทำดีเสียเหลือเกิน! คอยดูว่าวันนี้ข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร?-
เสียงของฉินตงเฉี่วยดังขึ้นในหูของเขา และแน่นอนว่านางพูดคุยกับหลิหยุนผ่านกระแสจิต
-น้าหญิง.. ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้? ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีแขกเหรื่อมามากมายถึงเพียงนี้!- หลิงหยุนรู้ดีว่ากำลังจะต้องเผชิยกับปัญหาใหญ่
ฉินตงเฉี่วยตอบกลับทันที -นี่เจ้าอย่ามาแกล้งโง่! เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น!-
แน่นอนว่าฉินตงเฉี่วยไม่ได้ตำหนิหลิงหยุนเรื่องแขกเหรื่อที่พากันมาล้นหลามในวันนี้ นางกำลังพูดถึงเรื่องหญิงสาวมากมายที่มาในวันนี้ต่างหาก! เพราะจำนวนหญิงสาวที่มานั้น ต่อให้ยกมือขึ้นมาทั้งสองข้าง นิ้วยังไม่พอนับเลย!
อีกทั้งหญิงสาวเหล่านนั้นล้วนไม่ธรรมดาเลยสักคนเดียว แต่ละคนล้วนงดงามราวกับเทพธิดา!
หลิงหยุนเพิ่งจะเข้าใจความหมาย เขาจึงได้แต่หัวเราะออกมา แต่ในใจนั้นกลับคิดไว้แล้วว่า หลังจากเสร็จสิ้นพิธีเปิดคลีนิคแล้ว เขาจะไม่กลับไปที่บ้านในอ่าวจิงฉูอีก เพราะหลังจากเปิดคลีนิคอย่างเป็นทางการแล้ว เขาจะใช้ข้ออ้างเรื่องคลีนิคและการเรียนเป็นการหลบหน้าฉินตงเฉี่วย!
แล้วตี้เสี่วอู๋ก็วิ่งขึ้นบันไดมา “พี่หยุน.. ทุกอย่างเตรียมเสร็จแล้ว!”
หลิงหยุนร้องบอกตี้เสี่ยวอู๋อย่างไม่ลังเล
“เริ่มพิธีเปิดได้เลย!”