[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร ]
บทที่ 473 : ปีศาจจิ้งจอกสวรรค์!
หลิงหยุนมีบาดแผลถูกแทงสองแห่งบนใบหน้า สายตาเย็นชาของเขาจ้องมองไปทางโทคุงาวะ ทาเคตากุที่ทรุดลงไปกับพื้น จากนั้นจึงหันไปพ่นเลือดก้อนใหญ่ออกจากปาก!
หลังจากที่ใช้กระบี่โลหิตแดนใต้จัดการกับโทคุงาวะ ทาเคตากุในครั้งแรกนั้น พลังชี่ในร่างกายของหลิงหยุนก็เหลือน้อยมากแล้ว อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บภายสาหัส!
แต่เพื่อต้องการปกป้องเจ้าขาวปุยจากอันตราย หลิงหยุนจึงพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะสังหารโทคุงาวะ ทาเคตากุให้ได้ เขาจึงเลือกใช้เพลงกระบี่นวสังหารแทนการโคจรดารกะดายันปกป้องตัวเอง จุดมุ่งหมายเดียวคือเพื่อสังหารกับโทคุงาว ทาเคตากุ!
ทั้งสิบกระบวนท่าของเพลงกระบี่นวสังหารนั้น เรียกได้ว่าเป็นเพลงกระบี่สังหารที่ค่อนเข้างเหี้ยมโหด โทคุงาว ทาเคตากุต้านทานได้เพียงแค่สามกระบวนท่าเท่านั้น จากนั้นก็ไม่สามารถต้านทานได้อีก และถูกหลิงหยุนสังหารตายในที่สุด!
แต่เพราะโทคุงาวะ ทาเคตากุรู้ตัวดีว่าถึงอย่างไรก็ต้องตาย เขาจึงเปลี่ยนจากการป้องกันตัว มาเป็นการใช้เพลงดาบขั้นสูงสุดของตนเองลุยเข้าสังหารหลิงหยุนแทน!
ยอดฝีมือทั้งสองคนต่างก็ไม่มีใครคิดที่จะป้องกันตัวเอง ต่างฝ่ายต่างก็หาหนทางที่จะทำร้ายอีกฝ่ายให้บาดเจ็บสาหัสมากที่สุด ผลก็คือทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่าๆกัน!
แต่ถึงแม้ว่าหลิงหยุนจะไม่ได้โคจรดารกะดายันป้องกันร่างกายไว้ แต่เขาก็แอบใช้ยันต์เพชร และยันต์เกราะป้องกันตัวเอง
หลิงหยุนได้รับบาดแผลตามร่างกายมากกว่าสิบแห่ง แม้ว่าแต่ละแผลจะลึกและสาหัสมากจนสามารถมองเห็นกระดูก แต่ก็ไม่โดนจุดสำคัญ.. และในกระบวนเพลงที่เจ็ด หลิงหยุนก็สามารถตัดแขนของโทคุงาวะขาดข้างหนึ่ง!
แม้บาดแผลภายนอกของหลิงหยุนจะไม่สาหัสมาก แต่อาการบาดเจ็บภายในนั้นสาหัสถึงขึ้นเสียชีวิตได้ เพราะโทคุงาวะต่อสู้ไม่ต่างจากสัตว์ร้ายที่คลุ้มคลั่งเมื่อต้งอเผชิญหน้ากับความตาย ทั้งคู่จึงต่อสู้และปะทะกันอย่างไม่ดุเดือดและไม่ลดละ แต่ถึงกระนั้นโทคุงาวะก็ไม่สามารถจัดการกับหลิงหยุนได้
พลังชี่ที่โทคุงาวะซัดใส่ร่างกายของหลิงหยุนนั้น ตอนนี้พลังชี่เหล่านั้นกำลังทำลายเส้นลมปราณทั้งหมดของหลิงหยุน และทำให้เขาหมดเรี่ยวแรงในที่สุด
เคร้ง…
กระบี่มังกรขาวในมือของหลิงหยุนร่วงลงกับพื้น ร่างที่ซีดเผือดของหลิงหยุนโอนเอนไปมาก่อนจะทรุดลงไปกับพื้นทันที!
ยันต์บำบัดจำนวนหลายแผ่นถูกเรียกมาอยู่ในกำมือของหลิงหยุน และเขาก็รีบปิดมันลงบนบาดแผลต่างๆ ตามร่างกายพร้อมกับสั่งให้ยันต์ออกฤทธิ์
จากนั้นอาการบาดเจ็บภายนอกก็ได้รับการรักษา และฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว หลิงหยุนพยายามลุกขึ้นนั่งคุกเข่า และพยายามบังคับร่างของตนเองให้เดินไปหาเจ้าขาวปุย
ขณะนี้ไป๋เซียนเอ๋อกำลังเปลี่ยนแปลง และกำลังฟื้นกำลัง หลิงหยุนเองก็เช่นกัน! โชคดีที่อสุนีบาตชุดที่สามนั้น แม้ว่าจะยังคงมีฟ้าแลบ และมีแรงกดดันระหว่างสวรรค์กับผืนโลกอย่างรุนแรง แต่ก็ยังไม่มีฟ้าผ่าลงมาแต่อย่างใด!
ตอนนี้ในร่างกายของหลิงหยุนนั้น ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยของพลังชี่.. มีเพียงพลังชี่ของโทคุงาวะที่ซัดใส่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในร่างกายของเขา และกำลังทำลายเส้นลมปราณของเขา นี่เป็นเรื่องด่วนที่เขาต้องจัดการก่อน..
ระหว่างที่หลิงหยุนเดินตรงไปหาเจ้าขาวปุยนั้น เขาก็ได้ใช้วิชาพลังลับหยินหยางฟื้นฟูพลังหยินและหยางภายในร่างกายไปด้วย
และจุดตันเถียนที่แสนประลาดของหลิงหยุนก็ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง มันค่อยๆหมุนช้าๆ และพลังหยินหยางก็ค่อยๆกำเนิดขึ้น และค่อยๆเคลื่อนไปตามเส้นลมปราณต่างๆทั่วร่างกาย รวมถึงเส้นลมปราณวิสามัญทั้งแปดเส้นอีกด้วย!
พลังหยินและหยางที่เคลื่อนไปตามเส้นลมปราณต่างๆนั้น เมื่อปะทะเข้ากับพลังชี่ที่รุนแรงของโทคุงาวะ ก็กลืนกลินพลังเหล่านั้นเข้าไป และยังคงเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเรื่อยๆ!
ผ่านไปครู่หนึ่ง.. พลังหยินหยางในร่างกายของหลิงหยุนจึงค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และกลืนกินพลังชี่ที่ทำลายเส้นลมปราณเข้าไปอย่างรวดเร็ว พลังชี่ในร่างกายของหลิงหยุนเองก็ค่อยๆฟื้นคืน และเปลี่ยนพลังชี่ของโทคะงาวะมาเป็นของตนเอง!
และนี่คือบทบาทหน้าที่อีกหนึ่งอย่างของวิชาพลังลับหยินหยาง ไม่ว่าพลังชี่ภายในร่างกายจะเป็นของใคร พลังหยินหยางในร่างกายของหลิงหยุนก็จะกลืนกิน และเปลี่ยนมันเป็นพลังชี่ของตัวเขาเอง!
โลกใบนี้แบ่งเป็นพลังหยิน-หยาง และพลังชี่ – พลังชี่ คือพลังจากธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกาย และจิตวิญญาณของมนุษย์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ส่วนพลังหยิน – หยางนั้น คือพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของสิ่งตรงข้ามกันที่เกิดขึ้นในวัฏจักรเพื่อนำไปสู่ความสมดุล
หากมีการเปลี่ยนแปลง ก็ยากที่จะหลีกพ้นจากคำว่าหยิน-หยางไปได้ หลิงหยุนเองมีทั้งพลังหยิน และพลังหยางที่บริสุทธิ์ และสามารถปรับเปลี่ยนแทนกันและกันได้ จึงไม่ยากที่จะกลืนกินพลังชี่ของผู้อื่น และปรับเปลี่ยนเป็นของตนเอง!
และในที่สุดร่างกายของหลิงหยุนก็ค่อยๆฟื้นตัวขึ้นบ้างแล้ว!
แม้ว่าอาการบาดเจ็บภายในจะได้รับการรักษาให้ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ร่างกายของหลิงหยุนก็ยังคงอ่อนแออยู่ เขาจึงต้องเรียกน้ำเต้าวิเศษออกมาเพื่อดื่มน้ำลายมังกรเพิ่มพลังชีวิต
ยังเหลือน้ำลายมังกรอีกเป็นมากมายอยู่ในน้ำเต้าวิเศษ หลิงหยุนจึงต้องใช้แขนสองข้างยกน้ำลายมังกรขึ้นดื่ม และเริ่มดื่มน้ำลายมังกรเข้าไปร่างกายจำนวนมาก!
หลังจากที่ดื่มเข้าไปสามถึงสี่กิโลกรัม พลังชีวิตจากน้ำลายมังกรก็เริ่มถูกดูดซับและกระจายไปตามเส้นลมปราณทั่วร่างกายของหลิงหยุน และพุ่งเข้าสู่จุดตันเถียนของเขาทันที!
จุดตันเถียนที่มหัศจรรย์ของเขานั้น เมื่อได้รับพลังชีวิตจากน้ำลายมังกรเข้าไป ก็เริ่มหมุนในอัตราที่เร็วกว่าเดิมหลายเท่า และในเวลาเดียวกันเส้นโค้งรูปมังกรภายในจุดตันเถียนที่แสนมหัศจรรย์ของเขานั้น ก็เริ่มประหลาดมากขึ้น และมากขึ้น!
ครั้งนี้เส้นโค้งรูปมังกรในจุดตันเถียนของหลิงหยุนโตขึ้นอย่างมากภายในเวลาชั่วขณะ หัวมังกรทองนั้นหันหน้าไปทางกระดูกสันหลังของหลิงหยุน และตอนนี้กระดูกสันหลังของเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองจางๆไปทั้งหมดแล้ว!
พลังหยินและพลังหยางภายในร่างกายเริ่มแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ และพลังชี่ในร่างกายของหลิงหยุนก็เริ่มฟื้นตัวถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว!
“ดูเหมือนว่า.. ข้ามีโอกาสที่จะก้าวสู่ขั้นปรับร่างกาย-7 แล้วสินะ..” หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงแรงผลักดันในร่างกาย และรู้สึกว่าจะสามารถเข้าสู่ขั้นต่อไปได้แล้ว
และนี่เป็นการคาดเดาจากความรู้สึกล้วนๆ คล้ายๆกับความรู้สึกหิวหรืออิ่มที่ไม่ต้องมองเห็น แต่ก็สามารถรู้สึกได้
มันเป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนจะคิดเอาด้วยสมองว่าหิวหรืออิ่ม มันเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความรู้สึกของร่างกายเท่านั้น!
หลิงหยุนวางน้ำเต้าวิเศษลง จากนั้นก็เรียกกระบี่มังกรขาวออกมา..
ดูเหมือนว่าน้ำลายมังกรสามสี่กิโลกรัมที่ดื่มเข้าไปนั้น คงยังไม่เพียงพอที่จะทำให้หลิงหยุนมีพลังชี่มากพอที่จะเข้าสู่ขั้นต่อไปได้ อีกทั้งเจ้าขาวปุยก็ยังอยู่ในช่วงนาทีวิกฤตอยู่ เขาจึงไม่สามารถที่พัฒนาสู่ขั้นต่อไปได้ในเวลานี้
เขาหยิบยันต์ธาราออกมา และแปะมันไว้ที่ศรีษะด้านบน ลูกน้ำขนาดเท่าลูกบาสเก็ตบอลปรากฏขึ้นบนศรีษะของเขา จากนั้นจึงหล่นลงบนหัว และชะล้างเลือดที่เปื้อนตามใบหน้าและร่างกายของเขาออกไป
เฮ้อ..!
หลิงหยุนถอนหายใจยาว พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มเมฆทะมึนขนาดมหึมาที่ลอยต่ำลงเรื่อยๆ เขาสัมผัสได้ว่าแรงกดดันระหว่างสวรรค์กับโลกนั้นเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
“เทพขี้โกง.. นี่เจ้าต้องการให้เซียนเอ๋อกลายร่างสำเร็จจริงหรือไม่?”
หลิงหยุนได้แต่นึกสาปแช่งอยู่ในใจ จากนั้นก็มองไปยังเจ้าขาวปุยที่อยู่ในหุบเขาด้วยความกังวล
“นั่นมัน..” เมื่อหลิงหยุนเห็นเจ้าขาวปุย ก็ได้แต่ตกตะลึง
หลิงหยุนเห็นร่างที่ดำเป็นตอตะโกของเจ้าขาวปุยนั้น เปลี่ยนเป็นสีขาว และเป็นประกายราวกับคริสตัล รอบตัวของมันมีเปลวไฟสีแดงครอบคลุมทั่วทั้งร่าง!
ร่างของเจ้าขาวปุยยังคงเป็นสุนัขจิ้งจอก และขนของมันยังคงไม่งอก มันยืนสี่ขาอยู่บนพื้นพร้อมกับเชิดหน้าขึ้น และกำลังพ่นไฟใส่ลูกไฟขนาดเล็ก
ลูกไฟสีแดงนั้นเท่าๆกับเม็ดถั่วขนาดใหญ่กำลังถูกแผดเผาด้วยเปลวไฟจากปากของเจ้าขาวปุย มันลอยอยู่กลางอากาศแต่ไม่ตกลงพื้น
เมื่อไฟสีแดงถูกพ่นออกจากปากเจ้าขาวปุย ลูกไฟนั้นก็จะดูดเอาเปลวไฟสีแดงเข้าไป และสีของลูกไฟก็ค่อยๆเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ
“นั่นมัน.. ประคำไฟ?!”
แต่จู่ๆ หลิงหยุนก็หัวเราะออกมาคล้ายคนเสียสติพร้อมกับคิดในใจว่า ‘ไม่สิ.. นั่นไม่ใช่ประคำไฟ เจ้าขาวปุยเป็นสุนัขจิ้งจอกสวรรค์ นั่นน่าจะเป็นหินปีศาจจิ้งจอก’
“ดูเหมือนเซียนเอ๋อจะยังไม่ได้แสดงความสามารถทั้งหมดออกมา..”
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยชม.. ในขณะที่ตัวเขาเองก็ยังคงใช้วิชาพลังลับหยินหยางฟื้นฟูพลังชี่ในร่างกายให้เข้าสู่ระดับสูงสุดเช่นเคย เพื่อที่จะได้สามารถรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา..
ครืน.. ครืน.. เสียงฟ้าร้องคำรามอีกครั้ง ราวกับจะเป็นการประกาศว่าอสุนีบาตชุดที่สามกำลังใกล้จะเริ่มขึ้นอีกในไม่ช้า!
หลิงหยุนอยู่ห่างจากเจ้าขาวปุยไปเพียงยี่สิบเมตร เขารู้ดีว่าครั้งนี้อสุนีบาตจะเกิดขึ้นในพื้นที่ที่ไม่กว้างนัก และไม่เกินขอบเขตของค่ายกลแปดทิศที่เขาสร้างไว้
สำหรับหม้อเสินหนงนั้น ตอนนี้มีเพียงหลิงหยุนและเจ้าขาวปุยอยู่บนเกาะ เขาจึงขี้เกียจที่จะเก็บมันเข้าไปในแหวนพื้นที่ตอนนี้ จึงทิ้งมันไว้ที่เดิมก่อน เพราะไม่มีเรื่องใดจะสำคัญไปกว่าการกลายร่างของเจ้าขาวปุย
กุล่มเมฆทมึนขนาดมหึมาที่ปกคลุมเกือบทั่วทั้งเกาะนั้น จู่ๆก็ม้วนตัวอีกครั้งราวกับว่ามีมังกรมากมายอยู่ด้านใน และสายฟ้าขนาดใหญ่หลายเส้นก็รวมตัวเข้าด้วยกันจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว
หลิงหยุนกอดอกแน่นพร้อมกับใจเต้นอย่างแรง และแสงสว่างจากฟ้าแลบก็ทำให้เขาตาพร่ามัวมองอะไรไม่เห็นไปขั่วขณะ
‘ช่างเป็นอสุนีบาตที่น่าหวาดผวายิ่งนัก!’
แม้จะเป็นห่วงเซียนเอ๋อจับใจ แต่หลิงหยุนก็ไม่กล้าใช้มังกรคำรามอีก เพราะช่วงเวลานี้คือนาทีวิกฤตของเซียนเอ๋อ หลิงหยุนจึงไม่ต้องการรบกวนสมาธิของนาง..
“เซียนเอ๋อ.. อดทนไว้นะ! นี่น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว!” หลิงหยุนกัดฟันพร้อมกับแอบส่งกำลังใจให้เซียนเอ๋ออยู่อย่างเงียบๆ
และดูเหมือนว่าเสียงพึมพำของหลิงหยุนจะดังเข้าหูของนาง ไป๋เซียนเอ๋อหันมองมาทางหลิงหยุน พร้อมกับพยักหน้าให้เขา..
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพยักหน้าตอบกลับเช่นกัน เขายกมือขึ้นชูกำปั้นให้ไป๋เซียนเอ๋อเป็นการบอกว่าเขาให้กำลังใจอยู่!
และทันใดนั้นเอง!
กลุ่มเมฆสีดำขนาดมหึมาก็ค่อยๆลอยต่ำลง และสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า และค่อยๆรวมกันเป็นสายฟ้าขนาดใหญที่สุดอยู่ในกลุ่มเมฆดำก้อนมหึมานั้น
เปรี้ยง!
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นอีกครั้ง ลำแสงกลมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบสามเมตรปรากฏขึ้นระหว่างชั้นฟ้าและผืนดิน ฟาดลงตรงบริเวณที่เจ้าขาวปุยยืนอยู่
‘แย่แล้ว!’ หลิงหยุนได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจ
สายฟ้าขนาดใหญ่ และน่าหวาดผวาถึงเพียงนั้น หลิงหยุนประเมินสถานการณ์อยู่ในใจ.. ต่อให้เป็นตัวเขาแม้จะอยู่ในระดับกลางของขั้นพลังชี่ ก็ยังต้องสะดุ้งกับสายฟ้าขนาดใหญ่นั้น จึงไม่ต้องพูดถึงเจ้าขาวปุยในตอนนี้!
แต่เจ้าขาวปุยกลับไม่มีอาการหวาดกลัวแม้แต่น้อย ดวงตาของมันแน่วแน่และมุ่งมั่น พร้อมกับเปลวไฟสีแดงที่ลุกโชนห่อหุ้มร่างกายของมันอยู่นั้น ก็ยิ่งลุกโชนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่สายฟ้าขนาดใหญ่นั้น!
เจ้าขาวปุยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศหลายสิบเมตร!
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง หินปีศาจจิ้งจอกที่ลอยอยู่กลางอากาศเบื้องหน้าเจ้าขาวปุย ก็เปล่งประกายสีแดงเจิดจ้า หินปีศาจจิ้งจอกนี้เจ้าขาวปุยเป็นผู้ที่คลายออกมาจากปากของมัน และตอนนี้ก็กำลังเปล่งประกายคล้ายม่านสีแดงครอบคลุมพื้นที่รอบๆในรัศมีสี่เมตร และกำลังก่อตัวเป็นเกราะแก้วสีแดงทรงกลมครอบร่างของมันไว้ด้านใน!
นี่ไม่ต่างจากการท้าทายความสามารถของสวรรค์!
เปรี้ยง!
อนุนีบาตรขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว่าสามเมตรพุ่งลงมาจากท้องฟ้าราวกับเทพมังกรเงิน และปะทะเข้ากับเกราะแก้วสีแดงที่เกิดจากหินปีศาจจิ้งจอก..
เปรี้ยง!
เกราะแก้วสีแดงที่ครอบร่างของเจ้าขาวปุยไว้นั้น แตกออกทันที และสายฟ้าขนาดมหึมาก็ผ่าลงบนร่างของเจ้าขาวปุยอีกครั้ง เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของมันนั้นฟังแล้วช่างน่าสังเวชยิ่งนัก!
ร่างของเจ้าขาวปุยล้มลงในค่ายกลแปดทิศ และอสุนีบาตขนาดใหญ่ก็หายไปในทันที แล้วโลกทั้งโลกก็มืดมิด!
หลิงหยุนลืมตามองเจ้าขาวปุยอีกครั้ง!
“สำเร็จแล้ว!”
ร่างของเจ้าขาวปุยถูกสายฟ้าฟาด และลอยไปกระทบเข้ากับก้อนหิน แต่ร่างยังคงยืนโอนเอน!