Double รักร้ายคูณสอง 8

ตอนที่ 8

“ให้ตายสิ” ฉันยืนสูดหายใจเข้าเต็มปอดอยู่หน้าประตูห้องตัวเอง เหตุการณ์เมื่อวานที่เอริคและฉัน เอ่อ… ที่เราทำเรื่องไม่สมควรในบริษัทเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ เออนั่นแหละ เรื่องที่เรามีอะไรกันนั่นแหละ! มันทำให้ฉันรู้สึกไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเวลาอยู่กับเอริคสองต่อสอง ฉันทำตัวไม่ถูกเวลาที่สายตาคมดุดันคู่สวยมองสบตากับฉันตรงๆ น่ะ โอ๊ย ฉันเป็นอะไรของฉันอีกแล้วเนี่ย อยากทึ้งหัวตัวเองชะมัด!

“นาน”

และพอเปิดประตูห้องออกเท้าทั้งสองข้างก็ชะงักอย่างแปลกใจปนงุนงงไปพร้อมกัน ทันทีที่ได้ยินเสียงเข้มต่ำแสนคุ้นเคยเอ่ยทัก ฉันหันไปมองก็เจอร่างสูงกำลังยืนพิงผนังข้างห้องพลางเล่นเล่นโทรศัพท์มือถือรออยู่ก่อนแล้ว เอ๊ะ… เอริคไปกินอะไรผิดมางั้นเหรอ หรือว่าเขาหัวกระแทกถึงได้มายืนรอฉันแบบนี้ได้น่ะ ฉันขมวดคิ้วแล้วไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัวก่อนจะหันไปถามเอริคด้วยความสงสัย

“คุณมายืนทำอะไรตรงนี้คะ?”

“รอเธอไง”

ดวงตากลมโตกะปริบสองสามที แล้วเลิกคิ้วถามเขาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “รอฉัน?”

“อือ เสร็จยัง”

“สะ… เสร็จแล้วคะ” ถึงจะยังยืนงงไม่หายแต่ฉันก็พยักหน้าหงึกหงักให้เอริคด้วยความรวดเร็ว

“งั้นไปพร้อมกัน”

ฉันเลิกคิ้วมองแผ่นหลังกว้างที่เดินผ่านฉันไปทางที่จอดรถ ก่อนสายตาคมดุดันจะเหลือบมามองจนฉันต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคืองแล้วรีบก้าวฉับๆ ตามขายาวๆ ของเขาไปที่รถสปอร์ตคันหรูสีดำด้านที่ดูเท่เหมือนเจ้าของไม่มีผิด แต่ให้ตายเถอะ ทำไมฉันต้องนั่งรถหรูๆ ไปทำงานพร้อมกับเอริคด้วยล่ะเนี่ย ทุกทีเราก็ต่างคนต่างไม่ไม่ใช่หรือไงกัน…

@บริษัท MT

หลังจากเอริคขับรถมาถึงบริษัท ตลอดทางที่ฉันต้องเดินไปที่ห้องทำงานส่วนตัวของเขา ฉันจำเป็นต้องเดินทิ้งระยะห่างจากเอริคพอสมควรเพื่อไม่ให้พนักงานคนอื่นๆ ผิดสังเกตและโดนนินทาว่าฉันจ้องจะจับเอริคให้สนุกปาก เหอะ แค่นี้ชีวิตฉันก็วุ่นวายมากพอแล้ว ยิ่งหัวใจฉันเนี่ย… ช่วงนี้มันยิ่งว้าวุ่นแปลกๆ อย่างน่าหงุดหงิดอยู่ด้วย…

“โมนา ทำไมต้องเดินห่างขนาดนั้น”

และเหมือนเอริคจะรู้ทันว่าฉันตั้งใจเดินทิ้งห่างจากเขามากกว่าปกติ เขาหยุดเดินแล้วหันมาเลิกคิ้วมองใบหน้าฉันนิ่ง คิ้วเข้มขมวดมุ่นเป็นปมเหมือนไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก ฉันกระแอมเรียกสติแล้วตอบเขาเสียงตะกุกตะกักหน่อยๆ

“คือว่าฉัน…”

“ถ้ายังยืนอยู่ตรงนั้นอีก ฉันจะเดินไปอุ้ม”

“คนบ้าอำนาจ” ฉันบ่นอุบอิบ ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเดินไปยืนใกล้เขามากกว่าเดิม แต่ยังคงทิ้งระยะห่างเอาไว้เล็กน้อย

“ขยับมาอีก”

สายตาคมดุดันจ้องใบหน้าฉันนิ่ง เสียงเข้มต่ำคล้ายกำลังข่มขู่กับท่าทางจริงจังกว่าทุกครั้วบ่งบอกได้ว่าถ้าฉันยังดื้อด้านไม่ทำตามที่เขาบอก เอริคคงอุ้มฉันตามที่พูดจริงๆ ฉันกลืนน้ำลายลงคอด้วยความประหม่าแล้วค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้เขามากกว่าเดิม

“พอใจยังคะ”

“ยัง”

“นี่ หรือคุณจะให้ฉันสิงคุณเลยล่ะ” ฉันจิ๊ปากแล้วหันไปแขวะเขาด้วยความขุ่นเคือง ฉันขยับไปใกล้เอริคมากแล้วนะ ไหล่เบียดกับเขาแล้วเนี่ย จะให้ฉันใกล้อีกแค่ไหนเล่า! ให้ตายเถอะ

แต่เอริคกลับยกยิ้มมุมปากแล้วยักไหล่อย่างไม่สะทกสะท้านกลับมาให้ “หึ ทำได้ก็ดี”

“คุณเอริค! ฉันก็ขยับแล้วนะ เรื่องมากจริง…”

ฉันถอยหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย กรอกตามองบนไปหนึ่งทีอย่างหมั่นไส้กับความเอาแต่ใจของเขา ก่อนสายตาคมดุดันจะจ้องมองใบหน้าฉันไม่วางตาจนฉันเริ่มทำตัวไม่ค่อยถูกและรีบหันหน้าไปมองอีกทางเพื่อกลบเกลื่อนอาการเลิ่กลั่กของตัวเองทันที แต่หัวใจบ้านี้ก็ดันเต้นแรงขึ้นมาเฉยเลย จะเต้นแรงอะไรนักหนายะ!

หมับ!

“อ๊ะ… คุณเอริค!”

ดวงตากลมโตเบิกตาโพรงอย่างตกใจทันทีที่ท่อนแขนแข็งแรงคว้าเอวบางไปกอดไว้แน่นโดยที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัว พอเงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาก็เห็นว่าเขายกยิ้มพร้อมกับสายตาคมวาววับอย่างเจ้าเล่ห์ ฉันกระแอมเรียกสติแล้วใช้มือดันแผงอกกำยำให้ออกห่างด้วยความรวดเร็ว แต่เอริคกลับกอดฉันแน่นขึ้นอีกจนหน้าฉันเกือบแนบไปกับแผงอกกำยำน่าตี บ้าชะมัด เอริคคิดจะทำอะไรของเขาน่ะ เราอยู่ที่บริษัทเขาอยู่นะ!

“ทำไมต้องมีคุณ บอกให้เรียกว่าไง”

ฉันดิ้นและพยายามดันเขาออกห่างอีกครั้ง แต่เอริคกลับไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ เขากอดฉันแน่นขึ้นแถมยังโน้มใบหน้าหล่อเหลาลงมาใกล้ฉันจนปลายจมูกโด่งเกือบชนผิวฉันอยู่แล้ว!

“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!”

“พูดก่อน” แล้วทำไมเขาต้องมาบังคับอะไรบ้าบอแบบนี้ด้วยล่ะเล่า!

“นี่คุณ…”

ฉันที่กำลังจะต่อล้อต่อเถียงกับเอริคชะงักกึกทันทีที่ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงกำลังเดินมาทางนี้ หัวใจฉันเต้นตึกตักรัวเร็ว เสียงนี้ต้องเป็นเป็นพนักงานหญิงแน่ๆ และสภาพที่ฉันโดนเอริคกอดไว้แนบอกกำยำแบบนี้… ถ้ามีใครมาเห็นเข้าคงได้ถูกเอาไปนินทาจนสนุกปากอีกตามเคย ให้ตายสิ ฉันกัดริมฝีปากล่างอย่างคิดหนัก และรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนกระต่ายตัวน้อยที่กำลังโดนสิงโตตัวใหญ่ขย้ำจนตัวสั่นหน่อยๆ…

“หึ จะพูดได้ยัง โมนา”

“แต่ว่า…” ฉันพึมพำเสียงตะกุกตะกักอย่างบอกไม่ถูก

“ถ้าจะอยู่แบบนี้ฉันก็โอเคนะ”

เอริคกระซิบลงมาใกล้ใบหูฉันอย่างกวนประสาท เขาเลิกคิ้วอย่างกวนประสาทส่งมาให้พลางโอบรอบเอวบางมากกว่าเดิม แถมเขายังดันตัวฉันจนแผ่นหลังชนเข้ากับพนังด้านข้าง ก่อนร่างสูงใหญ่จะกักขังฉันไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้อีก ฉันเม้มริมฝีปาก หัวใจเต้นรัวเร็วอย่างตื่นเต้นปนลุ้นๆ ว่าคนที่กำลังเดินมาทางนี้จะเห็นเราสองคนหรือเปล่า และพอได้ยินเสียงร้องเท้าของพนักงานใกล้เข้ามาเรื่อย ฉันก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วบอกเขาเสียงเบาอุบอิบกว่าทุกครั้ง

“เอริค…”

“อะไร ไม่ได้ยิน”

สายตาคมจดจ้องมองใบหน้าฉันอย่างคาดคั้นรอฟังคำตอบ ฉันเงยหน้าสบตากับเขา เบ้ปากอย่างขุ่นเคืองปนหมั่นไส้ในความเอาแต่ใจและความกวนประสาทของเอริค ก่อนจะยอมพูดเสียงดังกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย…

“เอริค”

พรึ่บ!

“อ๊ะ… อื้อ!” จู่ๆ เอริคก็ดึงตัวฉันเข้าไปในซอกกำแพงใกล้กับที่กดน้ำอัตโนมัติ และกว่าฉันจะรู้ตัวริมฝีปากอุ่นก็ประกบจูบริมฝีปากอิ่มด้วยความช่ำชองจนฉันได้แต่ยืนจับบ่าแกร่งไว้แน่นพลางกะพริบตาปริบๆ ด้วยความมึนงง อะไรกันยะ?! เอริคขโมยจูบฉันอีกแล้วเหรอเนี่ย แถมยังเป็นที่บริษัทเนี่ยนะ!

ตุบๆ ๆ!

ลิ้นเปียกชื้นตวัดลิ้นเล็กอย่างเร่าร้อน ฉันพุดเสียงอู้อี้เล็กน้อยก่อนจะทุบไหล่กว้างอย่างขุ่นเคืองไม่หายเมื่อรวบรวมสติของตัวเองกลับคืนมาได้ ให้ตายเถอะ เอริคทำบ้าอะไรของเขาเนี่ย ถ้ามีคนมาเห็นเข้าจะทำยังไงยะ!

“หึ พูดแค่นี้ก็จบ”

เอริคผละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่งแล้วยิ้มมุมปากด้วยความเจ้าเล่ห์ สายตาคมมองแก้มที่เห่อร้อนของฉัน นิ้วเรียวยาวเกลี่ยแก้มเนียนไปมาแผ่วเบาจนฉันประหม่าและรีบพูดเปลี่ยนเรื่องและขยับออกห่างจากเขาทันที

“คุณรีบไปทำงานได้แล้ว… เอ่อ”

ฉันที่เพิ่งเดินออกมาจากซอกแคบๆ ตรงตู้กดน้ำอัตโนมัติชะงักกึกเมื่อหันมาเจอพนักงานหญิงเจ้าของเสียงรองเท้าส้นสูงที่ได้ยินเข้าพอดี

“อ้อ… ค่ะ” ฉันกระแอมเรียกสติอีกครั้งแล้วส่งยิ้มแห้งๆ กลับไปให้เธอ มือก็จับเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อยกว่าเดิมเพื่อกลบเกลื่อนอาการเลิ่กลั่กมีพิรุธของตัวเองไปด้วยแบบเนียนๆ

“คุณ… คุณเอริค สวัสดีค่ะ”

“อือ”

พนักงานคนเดิมมาพูดเสียงอ้อมแอมอย่างเขินอายหน่อยๆ พอฉันหันไปมองตามสายตาของเธอก็เจอกับร่างสูงที่มายืนอยู่ด้านหลังฉันตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ เหอะ คนทักทายเขาอุตส่าห์เขินหน้าแดงแล้วเอ่ยปากสวัสดี แต่เอริคกลับตอบไปแค่นี้น่ะนะ ให้ตายสิ มนุษยสัมพันธ์กับคนอื่นติดลบหรือไงกันน่ะ

“เอ๊ะ? นั่น…”

“โอ๊ะ! คุณไม่รีบกินอาหารเช้าขนาดนั้นก็ได้ค่ะ เลอะหมดแล้วน่ะ เดี๋ยวฉันเช็ดให้นะคะ แหะๆ”

เสียงแปลกใจของพนักงานหญิงคนนั้นก็ทำให้ฉันต้องเบิกตาโพรงอย่างตื่นๆ แล้วรีบใช้หยิบทิชชูในกระเป๋าขึ้นไปเช็ดที่มุมปากของเอริคด้วยความรวดเร็ว พลางพูดแก้ตัวออกไปด้วยเพื่อไม่ให้มีใครจับผิดหรือรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ บ้าชะมัด ที่ทำให้ฉันต้องมาทำตัวมีพิรุธลับๆล่อๆ แบบนี้ก็เพราะเอริคคนเดียวเลย!

“แหม  เพราะความหมั่นไส้และขุ่นเคืองเขากับเรื่องจูบเมื้อกี้ล้วนๆ แต่เอริคกลับจ้องมองใบหน้าฉันเรียบนิ่งแล้วยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ซะงั้น

“หึ ก็มันอร่อย”

อร่อยบ้าอะไรกันล่ะ! เดี๋ยวแม่ก็ยัดทิชชูเข้าปากซะเลย กวนประสาทดีนัก! ฉันถลึงตาใส่เอริคอย่างหงุดหงิดและก็เป็นอีกครั้งที่เขาไม่สะทกสะท้านแถมยังยักไหล่อย่างไม่ใส่ เดินหัวเราะหึท่าทางอารมณ์ดีไปที่ห้องทำงานของตัวเอง ปล่อยให้ฉันได้แต่เบ้ปากใส่แผ่นหลังกว้างอย่างปวดประสาท ให้ตายสิ จะมีสักครั้งไหมที่เขาหยุดแกล้งฉันแบบนี้น่ะ เหอะ!

ตุบ!

“คุณมองอะไรคะ” ฉันนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะโดยมีสายตาคมคู่สวยจ้องมองมาตลอดเวลา ให้ตายเถอะ ฉันอยากจะบ้าตาย เอริคมองอะไรนักหนาเนี่ย หรือเขากำลังหาเรื่องกวนประสาทให้ฉันปวดหัวเพิ่มงั้นเรอะ!? ฉันถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายแล้วปิดแฟ้มเอกสารที่กำลังเช็กรายละเอียดของหุ้นส่วนบริษัทอยู่หลังจากอนไม่ไหวหันไปถามเขาน้ำเสียงติดจะหงุดหงิดเล็กน้อย ใครจะไปทำงานได้ยะ ถ้าเอริคยังนั่งจ้องฉันอยู่แบบนี้น่ะ มันอึดอัดหน่อยๆ เหมือนกันนะ!

“ก็มองเธอไง”

“มองฉันทำไมไม่ทราบคะ ฉันรู้ว่าตัวเองสวยค่ะ แต่ถ้าคุณคิดจะจ้องฉันตลอดเวลาแบบนั้น ใครมันจะไปทำงานได้ล่ะ เหอะ” ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง เมื่อเหลือบไปเห็นกองเอกสารที่ยังไม่เสร็จลคงเสร็จช้ากว่าเดิมถ้าฉันยังเอาแค่ต่อล้อต่อเถียงกับเอริคอยู่แบบนี้

“หึ เลิกงานแล้วไปหาไอ้ออสที่ร้านมันพร้อมกัน”

อะไรกัน…พอพูดว่าฉันสวยเขาก็เปลี่ยนเรื่องแบบนี้เลยงั้นเหรอ ชิ “เรื่องงานที่เขาให้ช่วยเหรอคะ?”

“อือ”

ก๊อกๆ ๆ

“เอริคคะ เจนนี่มาหาค่ะ”

ฉันกับเอริคยังคุยกันไม่จบ จู่ๆ ประตูหน้าห้องทำงานก็เปิดออกโดยที่เขายังไม่อนุญาตด้วยซ้ำ ฉันกรอกตามองบนเมื่อเห็นเจนนี่เดินดุ่มๆ ฉีกยิ้มหวานเข้าไปหาเอริค เธอวางถุงกระดาษของแบรนด์เนมราคาแพงที่หิ้วมาด้วยลงบนโต๊ะรับแขกหน้าตาเฉย ชำเลืองมองฉันเหมือนเป็นแมงหวี่แมงวันแล้วสะบัดผมใส่ก่อนหันไปมองเอริคสายตาหวานเยิ้มอย่างหลงใหลต่างจากมองฉันชะมัด เหอะ ตัวน่ารำคาญมาอีกแล้วสิเนี่ย น่าเบื่อจริง…

“ทีหลังอย่าเปิดมาแบบนี้”

เอริคถอยหายใจออกมาเบาๆ เขามองเจนนี่เสียงเข้มต่ำและเต็มไปด้วยความไม่พอใจหน่อยๆ ที่เธอไม่เคาะประตูก่อน แต่คุณหนูเจนนี่กลับคล้องแขนรอบลำคอแกร่งย่างออดอ้อนแทนซะงั้น ฉันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเอริคมองภาพสองคนนั้นแล้วรู้สึกแปลกๆ มันหงุดหงิดและไม่คันยิบๆ ในอกที่เห็นเธอโอบรอบคอเขาแบบนั้น ให้ตายสิ นี่ฉันเป็นบ้าอะไรอีกแล้วน่ะ ทำไมถึงรู้สึกไม่ชอบใจกับเรื่องนี้ด้วยก็ไม่รู้!

“เจนนี่คิดถึงเอริคจังเลย เลิกงานแล้วไปทานข้าวที่บ้านเจนนี่นะคะ”

“วันนี้ไม่ว่าง”

เอริคบอกเจนนี่เสียงเข้มต่ำเรียบนิ่งจนฉันต้องเงยหน้ามองเขาด้วยความแปลกใจ และก็เผลอสบกับสายตาคมเข้าพอดี ฉันรีบหันขวับกลับไปมองทางหน้าต่างอย่างเลิ่กลั่กทันที ให้ตายสิ เมื่อไหร่พวกเขาสองคนจะคุยกันเสร็จสักทีเนี่ย…

“คุณจะไปไหนเหรอ? มีธุระอะไรคะ เจนนี่ไปด้วยสิ”

“ไปไม่ได้”

ฉันได้ยินเอริคถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย สักพักก็ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงเดินมาใกล้ๆ กับโต๊ะที่ฉันทำงานอยู่ พอเงยมองก็เจอกับเจนนี่ตามที่คิดไว้ไม่มีผิด ฉันกรอกตาด้วยความรำคาญหน่อยๆ อะไรอีกล่ะเนี่ย เธอจะมาวุ่นวายอะไรกับฉันอีกงั้นเหรอ ฉันอุตส่าห์นั่งทำงานเงียบๆ แล้วนะ

“ยกเลิกนัดเย็นนี้ให้เอริคด้วยนะ ฉันจะพาเขาไปที่บ้าน”

“คงไม่ได้หรอกค่ะ“

ทันทีที่เจนนี่พูดคล้ายกับออกคำสั่งใส่ฉันจบ ฉันก็ขมวดคิ้วมุ่นอย่างขุ่นเคืองแล้วแอบชำเลืองมองไปทางเอริคที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียงด้านนอก นี่เขาคิดจะทิ้งเจนนี่ให้ฉันจัดการคนเดียวไม่ได้นะ บ้าชะมัด!

“ทำไมจะไม่ได้ ฉันเป็นคู่หมั้นเอริคนะ!”

“ถึงงั้นก็เถอะค่ะ ยังไงก็ไม่ได้อยู่ดี”

ยิ่งเจนนี่พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันใส่อย่างไม่มีมารยาทเท่าไหร่ หัวคิ้วฉันก็เริ่มกระตุกด้วยความหงุดหงิดมากขึ้น ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และพยายามควบคุมสติที่กำลังเดือดปุดๆ ของตัวเองเอาไว้ ถึงแม้ตอนนี้มันแทบจะขาดผึ่งแล้วก็ตาม…

ตุบ!

“ตารางงานเอริคอยู่ไหน เอามาเดี๋ยวนี้นะ ฉันจะจัดการเอง!”

“นี่! คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ” ฉันขมวดคิ้วพลางรีบลุกไปยืนขวางเจนนี่ที่จู่ๆ ก็ปัดแฟ้มเอกสารบนโต๊ะฉันออกอย่างแรงจนมันหล่นลงไปบนพื้นกระจัดกระจายเต็มไปหมด ให้ตายสิยะ ฉันต้องมาเสียเวลาเก็บใหม่อีกงั้นเหรอ!

ผลั่ก!

“ทำไมฉันจะทำไม่ได้ เป็นแค่เลขาก็หลบไปสิ!”

เจนนี่ผลักฉันออกไปให้พ้นทางจนฉันแทบจะล้มหน้าทิ่มพื้น แล้วเธอก็เดินไปค้นที่โต๊ะทำงานของฉัน ปัดแฟ้มบนนั้นจนมันปนกันไปหมด ฉันที่มองดูการกระทำของเธอกำมือเอาไว้แน่นพลางพ่นลมหายใจเพื่อระบายอารมณ์เดือดของตัวเอง พอมองไปทางเอริคก็เห็นเขากำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียงไกลๆ บ้าจริง มันใช่เวลามาคุยโทรศัพท์เหรอ คู่หมั้นเขากำลังทำโต๊ะทำงานฉันพังอยู่นะยะ!

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”

หมับ!

ฉันจับข้อมือเจนนี่ไว้ทันทีที่เธอจะโยนแฟ้มเอกสารที่ฉันเพิ่งทำเสร็จลงพื้น เจนนี่หันมาจ้องหน้าฉันอย่างเยาะเย้ยแล้วยกยิ้มขึ้นมาท่าทางท้าทาย

“ถ้าฉันไม่หยุดเธอจะทำอะไรฉันได้ ที่ยังได้ทำงานที่นี่ต่อก็เพราะคุณอาขอเอาไว้ ฉันจะไล่แกออกตอนไหนก็ได้หรอกนะ เธอนั่นแหละต้องปล่อยมือฉัน!” และพอได้ยินคำพูดดูถูกของเจนนี่ ฉันถึงกับกัดริมฝีปากอย่างไม่พอใจความอดทนที่พยายามเมื่อครู่หายวับไปทันที มันจะมากไปแล้วนะ! ถึงฉันจะเป็นแค่เลขาเธอก็ไม่มีสิทธิ์มาพูดจาดูถูกกันได้แบบนี้หรอกย่ะ!

“อย่าคิดว่าคุณจะทำอะไรฉันก็ได้นะคะ คุณเจนนี่”

“แก… แกจะทำอะไร” ฉันจ้องหน้าเจนนี่นิ่ง ยิ้มเยาะเย้ยอย่างที่เธอทำใส่ฉันแล้วเดินเข้าไปใกล้ด้วยท่าทางไม่เกรงกลัวอย่างที่เธอคิดจนเจนนี่ถึงกับทำสีหน้าตกใจและถอยหนีฉันเล็กน้อย

“ฉันแค่จะบอกว่า… จิ้กจกตกใส่หลังคุณน่ะค่ะ”

“กรี๊ดดดดด!”

พรึ่บ!

ทันทีที่ฉันพูดจบเสียงกรี้ดแปดหลอดของยัยเจนนี่คุณหนูขี้วีนก็ดังลั่นห้องทำงานจนฉันต้องรีบยกมือขึ้นปิดหูทั้งสองข้างแล้วหันไปมองเจนนี่ที่กำลังดิ้นไปมาเพราะกลัวจิ้กจกที่ตกใส่หลัง ก่อนกระเป๋าหรูราคาแพงของเธอจะกระแทกหัวไหล่ฉันจนมันเป็นรอยถลอกเลือดซิบออกมาเล็กน้อย

“อึก! โอ๊ย…”

“เกิดอะไรขึ้น?”

เสียงเข้มต่ำเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งๆ ที่เขาออกไปคุยโทรศัพท์ที่ระเบียงได้ไม่นาน ก่อนสายตาคมจะหันมามองทางฉันแล้วเบนสายตาไปมองเจนนี่ก็รีบวิ่งไปเข้าหาเขาสีหน้าตื่นตกใจด้วยความรวดเร็ว เธอร้องโวยวายกระโดดไปมาจนผมที่อุตส่าห์ทำเป็นลอนสวยยุ่งเหยิ่งไปหมด ฉันถึงกับยกมือปิดปากกลั้นขำแทบไม่ทัน ให้ตายเถอะ จะว่าไปยัยคุณหนูเจนนี่ก็ขี้ตกใจเกินไปหรือเปล่ายะ เหอะ แต่ก็สมควนโดนบ้างแล้วล่ะ อยากมาพูดจาดูถูกคนอื่นดีนัก!

“จิ้กจกค่ะเอริค จิ้กจกอยู่บนหลังเจนนี่!”

“ไหน?”

“ข้างหลังค่ะ มันอยู่ข้างหลังเจนนี่ไงคะ ยี้!”

เอริคมองเจนนี่ด้วยความงุนงงหนักกว่าเดิมจนคิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อเธอรีบหันหลังให้เขาดูแล้วกระโดดดึ๋งๆ ดิ้นไปมาเหมือนโดนน้ำร้อนลวก และพอเอริคเริ่มเข้าใจ เขาก็หันมาเลิกคิ้วมองฉันที่เผลอยืนกลั้นขำท่าทางของเจนนี่อย่างรู้ทัน ฉันยักไหล่อย่างไม่สะทกสะท้านเมื่อเห็นเขาถอนหายใจพลางส่ายหน้าเบาๆ ก่อนมือหนาจะเอื้อมไปหยิบใบไม้บนหลังเจนนี่ออกให้ ส่วนฉันก็เบ้าปากแล้วหันมาก้มเก็บแฟ้มเอกสารของตัวเองที่มันกระจัดกระจายไปทั่วห้อง คิดแล้วมันก็น่าโมโห ยัยเจนนี่โดนแค่นี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ เหอะ!

“มันไปแล้ว”

เอริคถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วทิ้งใบไม้ลงพื้น ยัยคุณหนูเจนนี่ที่ไม่รู้ว่าถูกฉันแกล้งก็ทำท่าทางขยะแขยงแล้วหันมาจ้องหน้าฉันอย่างโกรธเคืองฉันเลยถลึงตาใส่ไปทีนึง อะไรยะ หล่อนมาหาเรื่องฉันก่อนเองนะ!

“ชิ! งั้นเจนนี่กลับก่อนนะคะเอริค ขอตัวไปอาบน้ำใหม่หน่อย แหวะ!” แล้วคุณเธอก็เดินมาหยิบถุงพรุงพะรังที่วางไว้แล้วเดินตึงตังออกจากห้องทำงานด้วยท่าทางขยะแขยงไม่หาย ฉันถึงกับกลั้นขำไม่ไหวหลุดหัวเราะอย่างสะใจทันที คนอะไรขยะแขยงแม้กระทั้งใบไม้ เหอะๆ

“โมนา”

หลังจากที่เจนนี่ออกไปได้สักพักเสียงทุ้มเข้มก็เอ่ยอย่างรู้ทัน ฉันเงยหน้ามองร่างสูงที่เดินมาใกล้ฉันมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างระแวดระวัง ก่อนเอริคก้มลงไปเก็บแฟ้มที่ตกอยู่บนพื้นให้ สายตาคมดุดันคู่จ้องมองใบหน้าฉันพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ทำให้ฉันถึงกับทำตัวไม่ถูกรีบก้มหน้าก้มตาเก็บเอกสารและแฟ้มของตัวเองต่อด้วยความเลิ่กลั่กหน่อยๆ

“คุณ… คุณเรียกฉันทำไมคะ?”

พรึ่บ!

“ทำแผลให้ด้วย” ดวงตากลมโตเบิกโพรงด้วยความตกใจทันทีที่จู่ๆ เอริคก็ยืนขึ้นแล้วถอดเสื้อยืดออกทางศีรษะไปพาดบ่ากว้างไว้ เขายกยิ้มขำเมื่อเห็นฉันอ้าปากพะงาบๆ อย่างทำตัวไม่ถูก ให้ตายสิ เขาทำบ้าอะไรเนี่ย!

“นั่น… คุณจะถอดเสื้อทำไม?!”

“ไม่ถอดแล้วเธอจะทำแผลยังไง” ฉันกะพริบตาปริบๆ เรียกสติแล้วเหลือบมองตามสายตาคมไปยังซิกแพคแน่นๆ ไปมีรอยฟกช้ำจากส้นสูงของฉันเมื่อไม่นานมานี้ แล้วฉันก็ต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคืองเมื่อนึกถึงตอนที่เรา… เอ่อ ช่างมันเถอะ เลิกคิดเรื่องลามกนั่นสักสิยัยโมนา!

“นี่คุณอย่าบอกนะคะว่ายังไม่ได้ทำแผลเลยน่ะ”

“อือ” เอริคพยักหน้าเบาๆ พลางขานรับในลำคอแกร่ง ฉันขมวดคิ้วมุ่นอย่างรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย คนบ้าอะไรไม่ยอมทำแผล เขาคงคิดว่าจะปล่อยให้มันหายเองสินะ ฉันเม้มริมฝีปากอิ่ม ความรู้สึกผิดผุดขึ้นมาจนต้องถอนหายใจอย่างปลงๆ จะว่าไป… ที่เขาต้องเป็นแผลแบบนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะฉันไปถีบเขานั่นแหละ

“คุณไปนั่งรอที่โซฟาก็แล้วกัน… เดี๋ยวฉันทำแผลให้”

“แค่ทำแผล? ไม่อยากทำอย่างอื่นด้วยรึไง โมนา”

ฉันเงยหน้าจ้องเขม็งใส่เอริคด้วยความขุ่นเคืองทันทีที่ได้ยินคำพูดสองแง่สองง่ามฟังแล้วชวนเข้าใจผิดของเขา แต่เอริคก็ไม่ได้สะทกสะท้านอย่างเคย เขายักไหล่แล้วยกยิ้มมุมปากส่งมาให้จนฉันเบ้ปากอย่างหมั่นไส้กลับไปเช่นกัน

“อยากได้อีกแผลเหรอคะ”

“หึ ดุแบบนี้มันน่าทำให้เชื่อง”

สายตาคมดุดันวาววับจดจ้องมองใบหน้าฉันนิ่ง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์กับน้ำเสียงจริงจังจากเขาทำให้ฉันกัดริมฝีปากล่างอย่างเลิ่กลั่กหน่อยๆ ก่อนจะรีบเดินไปหากล่องปฐมพยาบาลที่ชั้นวางใกล้ๆ กับโต๊ะทำงานของตัวเองเพื่อกลบเกลื่อนอาการประหม่ากับหัวใจที่เต้นตึกตักอย่างบ้าคลั่งของตัวเอง เหอะ! เชื่องบ้าอะไรกันล่ะ… ใครจะไปอยากเชื่องกับเขาไม่ทราบยะ ฝันไปเถอะ!

Options

not work with dark mode
Reset