หมับ!
“อ๊ะ… เอริค”
ฉันสะดุ้งกอดรัดรอบลำคอแกร่งแน่นขึ้นเมื่อฝ่ามือหนาลูบไล้จุดเสียงกลางกายผ่านชั้นในลูกไม้สีดำไปมาแผ่วเบา ฉันอยากจะหุบขาที่แยกออกกว้างแต่ก็ติดร่างกายสูงใหญ่ที่ขยับเข้ามาใกล้มาขึ้น แถมเขายังดันขาเรียวให้มันอ้ากว้างมากกว่าเดิมซะอีก สายตาคมดุดันวาววับจ้องมองใบหน้าที่เห่อร้อนของฉันแล้วยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนนิ้วเรียวยาวจะแตะจุดอ่อนไหวของฉันไปจนฉันต้องเม้มริมฝีปากเพื่อกลั้นเสียงครางน่าอาย
“หึ ว่าไง”
กึก!
“อื้อ!” ดวงตากลมโตที่หลับพริ้มในตอนแรกเบิกโพรงขึ้นอีกครั้งทันทีที่ความเจ็บหน่วงช่วงล่างกลางกายทำให้ฉันอยากจะร้องไห้ออกมา ฉันกัดริมฝีปากล่างของตัวเองจนมันเจ็บไปหมด แขนทั้งสองข้างกอดรอบลำคอแกร่งแน่นกว่าเดิม และเผลอจิกเล็บลงไปบนแผ่นหลังกำยำจนขูดเป็นทางยาวเพื่อคลายความเจ็บหน่วง ให้ตายสิ ทำไมมันเจ็บแบบนี้เนี่ย!
“แน่นจังวะ โมนา นี่เธอ..”
เอริคขบสันกรามพลางพึมพำเสียงต่ำข้างใบหู แล้วเขาก็ชะงักและมองหน้าฉันด้วยความแปลกใจเล็กน้อย ฉันสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ พยายามข่มอารมณ์เร่าร้อนและเจ็บหน่วงกลางกายเอาไว้ไม่ต่างกัน นี่เอริคคงคิดว่าฉันเคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อนหรือไง เหอะ ฉันมีแฟนมาก่อนก็จริงแต่ขนาดจูบฉันยังไม่เคยจูบแบบลึกซึ้งดูดดื่มถึงขั้นสอดลิ้นแบบที่เขาทำมาก่อนเลยนะ
“อึก… อึดอัด”
แต่สักพักความเจ็บหน่วงก็เริ่มหายไปกลายเป็นความอึดอัดปนจุกแปลกๆ ขึ้นมาแทน ฉันพูดเสียงแหบพร่า เมื่อมันเจ็บหน่วงจนบอกไม่ถูก และแอบเห็นว่าเอริคพยายามข่มอารมณ์ไว้จนเหงื่อซึมตามไรผม ขนาดห้องทำงานเปิดแอร์จนเย็นไปถึงกระดูกฉันกับเขายังมีเหงื่อซึมด้วยกันทั้งคู่ ให้ตายเถอะ ร่างกายฉันร้อนรุ่มไปหมดแล้ว…
“เดี๋ยวก็หาย”
แล้วฉันก็ชะงักกึกทันทีที่นิ้วเรียวยาวค่อยๆ ขยับเข้าออกในตัวฉันช้าๆ ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากัน ก่อนฉันจะงับที่ไหล่กว้างจนสุดแรง เพื่อคลายความเจ็บปนอึดอัดที่เกิดขึ้น “เอริค ฉันเจ็บ… อื้อ!”
“ดีขึ้นยัง”
“อะ… อื้อ” นิ้วเรียวยาวขยับเข้าออกเร็วขึ้น ความเจ็บที่ฉันได้รับในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่านแปลกใหม่แทน สมองของฉันมึนเบลอ ลำคอก็เปล่งเสียงน่าอายออกมาเบาๆ จนต้องเม้มริมฝีปากไว้
“มันยังไม่จบ โมนา”
พรึ่บ!
แต่จู่ๆ เอริคก็เอานิ้วเรียวยาวของเขาออก ฉันสบกับสายตาคมดุดันด้วยดวงตาหรี่ปรืออย่างมึนเบลอ หอบหายใจแรง เมื่อร่างกายรู้สึกร้อนรุ่มไปทุกส่วน ก่อนฉันจะกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคืองทันทีที่เอริคถอดเสื้อยืดของเขาออกโยนลงพื้นอย่างไม่แยแส กล้ามเนื้อทุกส่วนของเขากับซิกแพกแน่นๆ ที่น่าหลงใหลนั่นก็ทำให้ฉันเกือบลืมหายใจ และพอมองลงมาเรื่อยๆ ฉันก็เห็นตรงช่วงเอวของเขามีรอยแผลแผลถลอกของส้นรองเท้าอยู่บนนั้น กว่าจะรู้ตัวฉันก็ยื่นมือออกไปสัมผัสแผลนั้นซะแล้ว แผลนี้คงมาจากตอนที่ฉันถีบเขาแน่ๆ เลย…
“เอริค…”
หมับ!
“โมนา” ฝ่ามือหนาจับมือฉันที่กำลังลูบไล้บนแผลของเขาแผ่วเบาไว้แน่น เอริคสูดหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับสายตาคมเจ้าเล่ห์จ้องมองฉันไม่วางตา ฉันกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่งก่อนจะบอกเขาด้วยเสียงแหบพร่าอย่างควบคุมไม่ได้
“ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณเป็นแผล…”
“อือ รู้แล้ว”
เอริคตอบรับเพียงสั้นๆ แล้วเขาก็โน้มลงมาคร่อมร่างกายฉันไว้ สัมผัสจากมือหนาที่ค่อยๆ ถอดชั้นในตัวจิ๋วของฉันออก ฉันหันหน้าไปมองอีกทางด้วยความประหม่า นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่ สมองตีกันยุ่งเหยิงไปหมด และกว่าจะได้สติฉันก็ได้ยินเสียงรูดซิบกางเกงยีนลง นั่นทำให้ฉันชะงักพลางสูดหายใจเข้าปอดลึกพร้อมกับหัวใจเต้นตึกตักรัวเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างควบคุมไม่ได้ และไม่นานริมฝีปากอุ่นก็ประกลบลงมาบนริมฝีปากอิ่มบวมเจ่อหน่อยๆ ของฉันอีกครั้ง เอริคดูดกลืนความหอมหวานจากฉันอย่างเร่าร้อนรุนแรง ลิ้นเปียกชื้นตวัดลิ้นเล็กไปมาด้วยความช่ำชองยิ่งทำให้ฉันห้ามเสียงครางหวานเอาไว่ไม่ได้
”อื้อ”
กึก!
”อึก… อื้ออ!” ฉันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ ความเจ็บจุกในครั้งนี้ทำให้ฉันน้ำตาคลอหน่วย มันเหมือนร่างกายฉันจะถูกฉีกออกเป็นสองส่วน มันเจ็บหน่วง… คับแน่นเกินกว่าจะอธิบายได้ ก่อนฝ่ามือหนาจะบีบเค้นและนวดคลึงหน้าอกเต่งตึงพร้อมกับนิ้วเรียวยาวสกิดยอดอกที่แข็งชูชันจนมันกลบความเจ็บตรงจุดอ่อนไหวกลางกายของฉันให้ดีขึ้น และพอความเจ็บผ่านไป… ความเสียวซ่านก็เข้ามาแทนในที่สุด
“โมนาอย่างเกร็ง”
เอริคผละจูบออกอย่างอ้อยอิ่งพลางเอ่ยบอกเสียงเข้มต่ำแหบพร่าชิดริมฝีปากอิ่มแผ่วเบา มือหนาอีกข้างจับเอวบางแล้วดันให้ร่า
งกายฉันเข้าไปใกล้เขามากขึ้น นั่นยิ่งทำให้แก่นกายกายใหญ่เข้าไปในตัวฉันมากกว่าเดิมจนจุกปนเสียวซ่านเกินบรรยาย
“อื้อ เอริค… ฉันจุก… อ๊ะ”
“เดี๋ยวก็ดีขึ้น”
ฉันเม้มริมฝีปากเพื่อกลั้นเสียงครางเมื่อริมฝีปากอุ่นดูดดึงยอดอกพร้อมกับนิ้วเรียวยาวสกิดยอดอกอีกข้างอย่างเย้าแหย่ เอริคทำให้สมองของฉันพร่าเบลอ ความรู้สึกเริ่มสับสนไปหมด มือบางขยุ้มผมของเขาไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างก็จิกเล็บลงไปบนไหล่กว้างเพื่อคลายความเสียว และเมื่อเอริคเริ่มขยับเข้าออกช้าๆ เนิบๆ ฉันก็สูดหายใจแรงทุกครั้งตามจังหวะกระแทกกระทั้นจากเขา
“อ๊ะ… อื้อ”
“โมนา”
หลายนาทีที่เอริคขยับแก่นกายเข้าออกในตัวรัวเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ จนฉันต้องกัดลงไปบนหัวไหล่กว้างเพื่อไม่ให้เสียงครางของตัวเองดังจนเกินไป ก่อนร่างกายฉันเกร็งเล็กน้อยเมื่อภายในตอดรัดแก่นกายใหญ่ถี่ยิบ ฉันหอบหายใจแรง โอบแขนกอดรอบลำคอแกร่งเอาไว้แน่น พร้อมกับเอริคขบสันกรามและพยายามข่มอารมณ์ไว้จนเหงื่อซึมไรตามขมับเล็กน้อย…
“เอริค อื้อ ฉัน… อ๊ะ!”
พรึ่บ!
ท่อนแขนแข็งแรงโอบกอดเอวบางแล้วดึงตัวฉันขึ้นจนกลายเป็นฉันกำลังนั่งคร่อมร่างสูงใหญ่แทน แต่ท่านี้มันยิ่งทำให้แก่นกายของเขาเข้ามาในตัวฉันลึกซึ้งกว่าเดิม แถมใบหน้าฉันยังเห่อร้อนและอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว ให้ตายสิ!
ก๊อกๆ
“คุณเอริคคะ มีช่อดอกไม้จากหุ้นส่วนสาขาฝรั่งเศสส่งมาค่ะ” ฉันชะงักกึก บีบบ่ากว้างและดวงตาหรี่ปรือกะพริบปริบอย่างมึนงงปนตกใจทันทีที่ได้ยินเสียงของเลวี่ดังขึ้นหน้าห้องทำงาน ฉันลืมหายใจไปชั่วขณะ นั่งนิ่งตัวแข็งทื่ออยู่บนตักของเอริคอย่างทำตัวไม่ถูก
“โมนา อย่าเกร็ง”
มือหนาทั้งสองข้างจับรอบเอวบางแน่นพร้อมกับเสียงทุ้มเอ่ยบอกแหบพร่าอย่างข่มอารมณ์เร่าร้อน เอริคคำรามต่ำในลำคอแกร่งเมื่อภายในตัวฉันยังคงตอดรัดแก่นกายเขาไม่หยุด ฉันกัดริมฝีปากด้วยความอายและประหม่ามากกว่าเดิม แก้มร้อนผ่าวขึ้นมาทันที บ้าจริง นี่ฉันทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย!
“ฉันว่าเรา… เอริค อื้อ”
ฉันขยับตัวเล็กน้อยและยังพูดไม่ทันจบประโยค เอริคก็จับยึดเอวบางไว้แน่นไม่ยอมให้ฉันลุกออกไปจากตัก จากนั้นเขาก็หันไปตะโกนตอบเลวี่ผ่านบานประตูที่ยังปิดอยู่ “เดี๋ยวฉันออกไปเอาเอง”
ฉันรวบรวมสติแล้วพยายามดึงมือหนาออกจากเอวบางแต่แอริคกลับกอดแน่นกว่าเดิมแถมยังก็ไม่ยอมปล่อยจนฉันต้องหันหน้าหนีสายตคมเจ้าเล่ห์ที่จ้องมองอย่างหื่นๆ ไปอีกทางอย่างรวดเร็ว
ฉันสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดเฮอือกใหญ่ แล้วหันกลับมามองใบหน้าหล่อเหลาอย่างขุ่นเคืองหน่อย ก่อนจะง้างมือก็ทุบแผงอกกำยำแรงๆ สองสามทีเพื่อให้เขาปล่อยสักที บ้าชะมัด เอริคจะให้ฉันอยู่ท่านี้ไปอีกนานแต่ไหนกันน่ะ น่าอายชะมัดเลย!
“คุณเอริคปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!”
“เอริค”
“คะ?” ฉันชะงักมือที่กำลังจะทุบแผงอกกำยำอีกครั้งให้หายเคืองแล้วกะพริบตามองเขาด้วยความงุนงง เอริคจะพูดชื่อตัวเองออกมาทำไมไม่ทราบยะ?!
“ให้เรียกแค่เอริค… ต่อไปนี้เรียกฉันว่าเอริค”
ฉันกระพริบตาปริบๆ มองเอริคอย่างมึนงงไม่หาย แล้วเริ่มหน้าแดงขึ้นมาทันทีที่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร เอริคจะไม่ให้ฉันเรียกเขาโดยมีคำว่า’คุณ’ แต่ให้เรียกแค่ชื่อของเฉยๆ เนี่ยนะ?
“แต่คุณเป็นเจ้านายฉันนะ จะให้เรียกแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะ…”
และพอบอกกับเขาออกไปแบบนั้น ฉันก็เริ่มรู้สึกผิดนิดๆ พร้อมกับความไม่สบายใจที่ทำให้ฉันถึงกับอยากตบหน้าตัวเองให้ตายไปเลย บ้าจริง… ตอนนี้เอริคเป็นเจ้านายของฉัน แถมเขายังมีคู่หมั้นอยู่แล้วด้วย แต่ฉันยังมีหน้ามาทำน่าอายกับเขาในห้องทำงานนี่อีกงั้นเหรอ ให้ตายเถอะ! ฉันนี่มันหน้าไม่อายชะมัด…
ฉันขมวดคิ้วมุ่นและคิดฟุ้งซ่านกับตัวเองจนไม่นานเอริคที่คงสังเกตเห็นว่าฉันมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เขาถึงจับปลายคางให้ฉันหันไปสบกับสายตาคมของกับตรงๆ แล้วเอ่ยถามเสียงเข้มต่ำอย่างคาดคั้นคำตอบ
“โมนา เป็นอะไร”
ฉันสูดหายใจแรงเรียกสติตัวเองแล้วค่อยๆลุกขึ้นจากตักของเอริค เขาไม่ได้จับยึดฉันไว้อย่างตอนแรก ทำให้ฉันต้องหลับตาพร้อมกับกัดริมฝีปากจะได้ไม่เผลอร้องครางขณะที่แก่นกายใหญ่ค่อยๆ เลื่อนออกจากในตัวฉัน บ้าชะมัด น่าอาย… น่าอายจริงๆ
“ฉันขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะคะ”
พอบอกเอริคจบฉันก็รีบจัดชุดให้เรียบร้อยขึ้นกว่าเดิม และไม่ลืมที่จะคว้าชั้นในลูกไม้สีดำของตัวเองที่ตกอยู่บนพื้นใกล้โซฟาขึ้นมาถือไว้ จากนั้นก็พยายามเดินดุ่มๆ เข้าห้องน้ำถึงให้เร็วที่สุด ถึงแม้ว่ากลางกายของฉันมันกำลังปวดหนึบและเจ็บแสบมากแค่ไหนก็ตาม ฉันไม่หันกลับไปมองเอริคเพราะไม่รู้ว่าเขารูดซิปกางเกงหรือแต่งตัวหรือยัง แถมตอนนี้ฉันยังอยากทึ้งหัวตัวเองเพื่อเรียกสติกลับคืนมามากกว่าอะไรทั้งนั้น ให้ตายสิ นี่ฉันทำอะไรลงไปน่ะ!
กุกกักๆ
“ออกมาคุยกันหน่อยโมนา”
หลังจากที่ฉันยืนรวบรวมสติและจัดระเบียบทรงผมกับร่างกายตัวเองในห้องน้ำอยู่นาน เสียงบิดลูกบิดประตูห้องน้ำก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงทุ้มเข้มอยู่หลังประตู ฉันเม้มปาก หันกลับมาส่องกระจกแล้วมองใบหน้าตัวเองนิ่ง สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ และพยายามไม่คิดมากกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นระหว่าฉันกับเอริค
ทุกอย่างมันไม่มีอะไรไปกว่าอารมณ์ชั่ววูบของเราสองคน ฉันก็แค่ต้องทำตัวตามปกติ เป็นเลขาของเขาตามปกติ… แต่ทำไมมือของฉันถึงกุมกันแน่นอย่างประหม่าแบบนี้ได้ล่ะยะ ทำตัวปกติสิยัยโมนา เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนักหรอก ไม่ใช่เด็กๆ แล้วด้วยสิ เหอะ!
“คุณ… คุณมีอะไรเหรอคะ?”
พอรวบรวมสมาธิได้อีกครั้ง ฉันก็ค่อยๆ เปิดประตูห้องน้ำออกแล้วเดินไปทางเอริคที่ยืนจ้องใบหน้าฉันเรียบนิ่ง คิ้วเข้มขมวดมุ่นทันทีที่ฉันถามออกไป “เรื่องเมื่อกี้…”
”เอ่อ… ฉันลืมไปว่าฉันต้องไปเอาช่อดอกไม้กับเลวี่ เดี๋ยวฉันไปเอาให้นะคะ…”
หมับ!
“โมนา”
“คะ?”
ฝ่ามือหนาคว้าข้อมมือบางเอาไว้แน่น ก่อนเสียงเข้มที่เอ่ยบอกจะต่ำลงอย่างจริงจังกว่าทุกครั้ง ฉันกลืนน้ำลายอย่างฝืดเคือง จากนั้นก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วเงยหน้ามองเขาพร้อมกับรอยยิ้มบางที่ฝืนหน่อยๆ ทั้งๆ ที่หัวใจของฉันเต้นตึกตักรัวเร็วอย่างบ้าคลั่ง แต่ฉันจะต้องทำเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร บ้าชะมัด ฉันอยากหนีหายออกไปจากตรงนี้ชะมัดเลย…
“จะหนีไปไหน เราต้องคุยกัน”
และไม่ทันที่ฉันจะถามอะไรต่อจู่ๆ เอริคก็เดินลากฉันไปทางโซฟาตัวเดิม ตัวที่เราเพิ่งทำเรื่องที่ไม่ควรทำด้วยกันลงไป… ฉันมองแผ่นหลังกว้าง แผ่นหลังแสนอบอุ่นที่ฉันเพิ่งโอบกอด… ฉันชะงักและสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง หยุดเดี๋ยวนี้ยัยโมนา เลิกคิดเรื่องไร้สาระสักที!
“คุณจะคุยเรื่องอะไรคะ? ถ้าเป็นเรื่องเมื่อกี้… ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันไม่ซีเรียส”
ทั้งๆ ที่ปากฉันก็พูดไปเหมือนไม่แคร์อะไรเท่าไหร่นัก แต่ทำไมในใจมันกลับรู้สึกหน่วงแปลกๆ ก็ไม่รู้ และพอฉันพูดจบ เอริคก็หันมามองฉันด้วยสายตาคมดุดันที่ดูเหมือนเขาจะหัวร้อนมากกว่าเดิมซะอีก เขาจะจ้องฉันแบบนั้นทำไมกัน ฉันยิ่งทำตัวไม่ค่อยถูกและรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่ด้วย บ้าจริง
“หึ ไม่ซีเรียส? ทั้งๆ ที่เป็นครั้งแรกน่ะเหรอ”
“ชะ… ใช่ค่ะ ถึงจะเป็นครั้งแรกหรือไม่ใช่ ฉันก็ไม่ซีเรียสหรอก…”
ฉันพูดด้วยเสียงสั่นเคลือหน่อยๆ ลำคอแห้งผากอย่างควบคุมไม่ได้ จะว่าไป… ครั้งแรกของฉัน เอริคเป็นคนเอามันไปแล้วสินะ แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ก็ฉันมันใจง่ายเองน่ะสิ แล้วความคิดฉันก็หยุดกึกทันทีที่เอริคเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ฉันเม้มริมฝีปาก ก่อนจะถอยหนีเขาด้วยความประหม่า เอริคคิดจะทำอะไรน่ะ… เขามองฉันด้วยสายตาเจ้าเล่ห์แบบนั้นทำไมกันยะ!
“จริงดิ?”
ฉันรีบยกมือไปดันแผงอกกำยำไว้เพื่อไม่ให้เอริคเข้ามาใกล้มากกว่าเดิมด้วยความรวดเร็ว “คุณ… คุณจะทำอะไรน่ะ ถอยออกไปนะ”
“มองหน้าฉัน โมนา”
ฝ่ามือหนาจับปลายคางฉันแล้วบังคับให้เงยขึ้นไปสบกับสายตาคมดุดันคู่สวยของเขา ฉันเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่นเมื่อหัวใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั้ง นี่ฉันเป็นอะไรไป…ใจสั่นกับเอริคทำไมกันน่ะ?!
“คุณเอริค…”
“เรียกแค่เอริค”
“แต่ว่า…” ฉันกำลังจะปฏิเสธแต่มือหนาก็บีบปลายคางฉันแรงขึ้นจนฉันต้องนิ่วหน้าเล็กน้อย ก่อนเอริคจะยกยิ้มมุมปากพลางจดจ้องมองใบหน้าฉันด้วยสายตาคมเจ้าเล่ห์วาววับ ให้ตายสิ นั่นทำให้ฉันต้องขมวดคิ้วมุ่นกับคำพูดเมื่อกี้ของเขา และเริ่มลังเลว่าถ้าไม่เรียกตามที่เอริคต้องการเขาอาจจะทำเรื่องกวนประสาทใส่ฉันอีกก็ได้ แต่เรื่องที่เขาจะให้ฉันเรียกแบบนั้นมัน…
“โมนา เธอกลัวอะไร? ทำไมต้องลังเล เรื่องแค่นี้เอง”
“แต่คุณก็น่าจะรู้นะคะว่าฉันเป็นเลขา จะให้พูดสนิทสนมแบบนั้นกับคุณได้ยังไงกันล่ะ…”
“หึ เราก็สนิทสนมกันแล้วไม่ใช่รึไง มากด้วย”
เอริคโน้มลงมาใกล้ฉันมากขึ้นจนปลายจมูกโด่งเกือบแตะผิวแก้มฉัน แถมฉันยังได้กลิ่นบุหรี่จางๆ ผสมกับกลิ่นโคโรญที่เขาใช้ประจำอย่างชัดเจนอีกต่างหาก แต่คำพูดของเอริคกลับทำให้ใบหน้าของฉันร้อนผ่าว ฉันกัดริมฝีปากล่างแล้วรีบหันหน้าหนีหลบสายตาคมคู่สวยของเขาทันที ให้ตายเถอะ เอริคจะดื้อด้านเกินไปแล้วนะ!
“เรา… เราเลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะค่ะ ฉันจะคิดซะว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น ระหว่างเราไม่มีอะไรทั้งนั้น โอเคมั้ยคะ?”
นั่นแหละ… แบบนี้แหละมันดีที่สุดสำหรับเราสองคนที่สุดแล้ว ทุกอย่างมันแค่อารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น เป็นเพียงเรื่องฉาบฉวยที่ฉันกับเขาก็แค่ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น… ก็แค่นั้นเอง
“หึ”
เอริคขมวดคิ้วเข้มมุ่น เขาจ้องใบหน้าของฉันเรียบนิ่ง แต่สักพักเขาก็ยอมปล่อยมือหนาออกจากปลายคางของฉันแล้วเดินที่ระเบียงห้องทำงานพลางหยิบมวนบุหรี่ขึ้นมาสูบท่าทางหงุดหงิดไม่เลิก ฉันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก มือบางทั้งสองข้างที่กำกันไว้แน่นเริ่มคลายออก แต่หัวใจมันยังคงเต้นแรงปนหน่วงหน่อยๆ ด้วยความสับสนไม่หยุด นี่ฉันเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ หรือไงน่ะ!
“งั้น… ฉันไปเอาช่อดอกไม่ให้นะคะ”
“โมนา เดี๋ยว” และก่อนที่ฉันจะเดินออกไปจากห้องทำงานของเขา เสียงเข้มต่ำก็เอ่ยเรียกไว้ ขาเรียวชะงักกึกอยู่หน้าบานประตูพร้อมกับฉันหันกลับไปมองเอริคอีกครั้งด้วยความสงสัย
“คะ?”
เอริคมองฉันเหมือนกำลังสำรวจร่างกายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า สักพักเขาก็ยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย ส่ายหน้ากลับมาให้เบาๆ แทนคำตอบแล้วหันไปสูบบุหรี่ต่อหน้าตาเฉย ฉันขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็ได้แต่ยักไหล่แล้วเดินออกไปหาเลวี่โดยไม่คิดมากเท่าไหร่นักว่าแต่… ทำไมเอริคต้องจ้องร่างกายฉันขนาดนั้นด้วยก็ไม่รู้ แล้วยังมาบอกว่าไม่มีอะไรอีก… หรือเขาแค่อยากกวนประสาทฉันเล่นงั้นเหรอ เหอะ น่าหงุดหงิดไม่เปลี่ยนเลย!
“คุณเลวี่คะ โมนามารับช่อดอกไม้ให้คุณเอริคค่ะ”
ฉันสูดหายใจลึกๆ พยายามสงบสติอารมณ์จากหงุดหงิดเอริค แล้วหันไปบอกเลวี่ด้วยรอยยิ้มสดใสที่สุดเท่าที่จะทำได้ แถมตลอดทางที่เดินมาฉันต้องคอยเก็บสีหน้าที่เจ็บหน่วงช่วงล่างกลางกายเอาไว้ให้เป็นปกติอีกต่างหาก บ้าชะมัด ทำไมมันยังเจ็บไม่หายเนี่ย!
“นี่ค่ะ เอ่อ… คุณโมนาเป็นอะไรหรือเปล่าคะ สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย”
“อ้อ… ไม่เป็นไรค่ะๆ สบายมาก” ฉันยืนอึกอักเล็กน้อย มือก็เผลอกำช่อดอกไม้ที่เพิ่งได้มาจากมาเลวี่แน่นโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะรีบฉีกยิ้มกว้างอย่างสดใสไฉไลไปให้เธอมากกว่าเดิม เลวี่ที่เห็นว่าฉันไม่เป็นไรก็ส่งยิ้มกว้างกลับมาให้อย่างเป็นมิตรเช่นเคย แต่สักพักคิ้วเรียวสวยของเธอก็ขมวดมุ่นอย่างสงสัยอีกครั้ง
“คุณโมนาเป็นภูมิแพ้หรืออะไรหรือเปล่าคะ”
และคำถามของเลวี่ก็ทำเอาฉันมึนงงขึ้นมาทันที “ทำไมคะเหรอ?”
“คือแถวคอคุณดูแดงๆ น่ะค่ะ เยอะด้วยสิ แพ้อะไรมาหรือเปล่าคะ? หรือว่าให้เลวี่ไปเอายามาให้มั้ย” ฉันยื่นนิ่งตัวแข็งทื่อ ดวงตากลมโตเบิกตาโพรงอย่างตื่นๆ จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาปิดลำคอพลางทำท่าทางลูบไปมาจนมือแทบจะพันกัน
“เอ่อ… ไม่ค่ะๆ สงสัยคงแพ้อากาศน่ะ ช่วงนี้ยิ่งร้อนๆ อยู่ด้วย แต่สักพักคงหายแล้วล่ะค่ะ แหะๆ“
ฉันอธิบายอย่างร้อนรนพร้อมกับยิ้มแห้งให้เลวี่เพื่อกลบเกลื่อนอาการเลิ่กลั่ก มือก็ยกช่อดอกไม่มาแกล้งๆ บังลำคอไว้จนมันแทบจะทิ่มหัวอยู่แล้ว ส่วนมืออีกข้างที่ว่างก็ทำท่าพัดหน้าตัวเองประกอบคำพูดไปด้วย เลวี่เลิกคิ้วมองฉันอย่างงุนงงหน่อยๆ แต่เธอก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ พอเห็นแบบนั้นฉันเลยแอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เอ่อ… ก็รู้สึกดีอยู่หรอกที่เลวี่เป็นห่วงเป็นใย แต่ทำไมเธอต้องมาเป็นห่วงฉันตอนนี้ด้วยล่ะเนี่ย แล้วนี่ขนาดฉันทาแป้งทับปกปิดรอยแดงที่เอริคเป็นคนทำแล้วนะ เธอยังอุตส่าห์เห็นอีกเรอะ?!
แต่เดี๋ยวสิ… แล้วที่เอริคเรียกฉันไว้แล้วยังมองสำรวจร่างกายฉันทั้งแต่หัวจรดปลายเท้าก่อนที่ฉันจะออกจากห้องทำงานของเขามารับช่อดอกไม้นั่น… ไม่ใช่ว่าตอนนั้นเขาเห็นรอยแดงเป็นจ้ำพวกนี้แล้วหรอกเหรอ? ให้ตายสิ ต้องใช่แน่ๆ เพราะฉันเห็นเอริคแอบยิ้มมุมปากด้วย บ้าจริง! เขาจงใจไม่บอกฉันจนคนอื่นสงสัยสินะ เชื่อเขาเลย กวนโมโหชะมัด อย่าให้ฉันเอาคืนได้นะยะ ฉันจะทำให้เขาปวดประสาทเพิ่มเป็นสองเท่าเลยคอยดู!