Devil’s love ทิ้งรักของนายปีศาจไป 331 มันจบแล้ว

ตอนที่ 331 มันจบแล้ว

ฉันชื่อเสิ่นลู่ ฟังดูเหมือน "กวางศักดิ์สิทธิ์" เลยใช่ไหม?(กวางศักดิ์สิทธิ์ออกเสียงว่าเสินลู่)

ชื่อเป็นชื่อที่คุณปู่ตั้งให้ คุณปู่คนคนนี้น่ะ จากประสบการณ์หลายปีในตอนเด็กของฉัน เขาไม่ใช่คนดีอะไร

เรื่องอื่นๆ ไม่ต้องพูดถึง พูดถึงชื่อนี้ของฉันแล้วกัน ชื่อเขาเองนั้นเพราะมาก แต่ชื่อของฉันกลับตั้งได้แปลกประหลาดแบบนี้

แต่ทุกครั้งที่ฉันไปประท้วงอย่างรุนแรงกับคุณปู่ คุณปู่ก็มักจะพูดว่า ถ้าต้องโทษก็ให้ไปโทษพ่อของเธอที่ไม่ใช่ผู้หญิง ไม่อย่างนั้นชื่อนี้คงไม่มาถึงเธอ

ทั้งๆ ที่ชื่อน่าเกลียดแบบนี้เป็นชื่อที่ชายชราอย่างเขาตั้งให้ สุดท้ายก็โยนความรับผิดชอบไปให้พ่อฉัน

อ่า พูดถึงตอนนี้ ฉันก็ลืมแนะนำไป

คุณปู่ของฉันชื่อเสิ่นซิวจิ่น

ได้ยินว่าตอนหนุ่มๆ เขามีเสน่ห์มากเป็นพิเศษ

คุณย่าของฉันชื่อเจี่ยนถง

บางครั้งฉันก็งง ทำไมทั้งสองคนที่ดูไม่เข้ากันสักนิด ถึงเดินมาด้วยกันได้

คุณปู่และคุณย่าของฉัน เคยหย่ากันก่อนพ่อฉันจะเกิด

หลังจากหย่ากัน คุณปู่ฉันก็ไม่ได้แต่งงานใหม่ คุณย่าของฉันก็ไม่ได้แต่งงานใหม่

ควรจะเป็นการเคยเลิกรากันแล้วสบายใจกัน แต่คุณปู่ไร้ยางอายอย่างมาก ไปอ้อนคุณย่าทุกที่

ตั้งแต่ฉันจำความได้ คุณปู่ก็ประจบประแจงคุณย่าอย่างกระตือรือร้นไปทุกที่

คุณปู่ยู่สิงของฉันบอกว่า คุณปู่ของเธอในชีวิตนี้ไม่เคยก้มหัว เป็นคนแน่วแน่มากเป็นพิเศษ คนอื่นล้วนกลัวเขา

แต่ฉันดูยังไง ก็รู้สึกว่าคุณปู่ยู่สิงของฉันพูดไม่น่าเชื่อถือ

ถ้าคุณปู่ฉันสุดยอดขนาดนี้จริงๆ ทำไมคุณย่าฉันจ้องมองทีเดียว เขาถึงเชื่องเป็นสุนัขโกลเด้นเลยล่ะ?

อีกอย่าง คุณเคยเห็นผู้ชายที่มหัศจรรย์คนไหน มีความสามารถในการทำอาหารเหมือนเชฟห้าดาวไหม?

ตั้งแต่ฉันยังเด็ก ฝีมือการทำอาหารของคุณปู่ฉัน สุดยอดที่สุดในตระกูล ดีกว่าเชฟโรงแรมที่จ้างในครอบครัวอีก

ตอนเช้าคุณปู่จะพาสุนัขไปเดินเล่น ตอนกลับมา ในมือก็มีวัตถุดิบอาหารมากมาย

คุณปู่ยุ่งในครัวตอนเช้า เมื่อคุณย่าตื่นขึ้นมา โต๊ะอาหารในบ้านก็ต้องมีอาหารร้อนๆ วางเรียบร้อยแล้ว มันไม่ได้หรูหรามาก แต่อบอุ่นมาก

คุณย่าไม่เคยต้องซักผ้าถูบ้าน ส่วนมากตอนที่โดนน้ำ ก็แค่ตอนรดน้ำในสวนดอกไม้เท่านั้น คุณปู่บอกว่า คุณย่าเป็นแบบนี้ดีมากๆ แล้ว

ฉันแอบถามคุณปู่ คุณตื่นเช้ามาทำอาหารทุกวัน วันละสามมื้อ และต้องทำงาน ทุกวันเป็นแบบนี้ การทำงานมาตรฐานจะมีวันหยุดตามกฎหมาย แต่คุณไม่หยุดสักวันเดียว ไม่เหนื่อยเหรอ?

คุณปู่มองในสวนดอกไม้ คุณย่าที่กำลังทานชายามบ่ายด้วยฝีมือของเขาเอง ก็ยิ้มเหมือนคนโง่ ชายชราพูดขึ้น

"คุณย่าเธอชอบ ฉันทำอะไรก็สุขใจ ฉันน่ะ ยินดีที่จะเอาอกเอาใจเธอ ถ้าเอาอกเอาใจเธอจนไม่ชอบผู้ชายคนอื่นจะดีที่สุด แบบนี้คุณย่าของเธอจะได้ไม่มีเวลาคิดจะหนีฉันไป"

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล็กอื่นๆ อีก

ฉันแค่รู้ว่าคุณปู่เอาอกเอาใจคุณย่ามาก สามารถใช้คำว่า "คลั่งไคล้" บรรยายได้

ฉันมักรู้สึกว่าคุณย่าหยิ่งผยอง คุณปู่แสนดีขนาดนี้ ก็ยังไม่แต่งงานกับเขาอีก ฉันพูดคำนี้กับคุณปู่ คุณปู่ไม่เคยโกรธฉันหน้าแดงมาก่อน ครั้งนั้นตีก้นฉันอย่างแรง คุณปู่บอกว่า เจ้าเด็กแสบ ต่อไปถ้าว่าคุณย่าของเธอแบบนี้อีก ฉันจะตีเธอให้ตาย

คุณย่าของเธอเป็นคุณย่าที่ดีที่สุดในโลก

จำเอาไว้ ต่อไปต้องกตัญญูกับคุณย่า

ไม่กตัญญูกับฉันไม่เป็นอะไร ถ้าเธอกล้าไม่กตัญญูกับคุณย่าเธอ ฉันจะทำเกาลัดย่างเนื้อให้เธอ

ตอนนั้นฉันน้อยใจมาก ทั้งๆ ที่ฉันขอความเป็นธรรมเพื่อคุณปู่แท้ๆ

ต่อมา ฉันถึงได้รู้ว่าระหว่างคุณปู่กับคุณย่า มันมีอดีตเช่นนั้น

ตอนดึกคืนหนึ่ง ฉันหิว ลงจากเตียงมาหาของกิน เดินผ่านห้องคุณย่า ประตูเปิดอยู่ ฉันแอบชะโงกศีรษะไปมองข้างในด้วยความสงสัย ฉากที่เห็นนั้นเกือบทำให้ฉันประหลาดใจ

คุณปู่เขาประคองเท้าคุณย่า ไปวางไว้บนหน้าอก

ตอนนั้นฉันรู้สึกเหลือเชื่อ วิ่งไปที่ห้องนอนของพ่อฉัน แล้วเอ่ยปากถาม "คุณปู่เป็นโรคจิตหรือเปล่าคะ? ฉันเห็นเขาประคองเท้าคุณย่า คุณปู่เป็นโรคคลั่งไคล้เท้าเหรอคะ?"

"คุณปู่ของลูกกำลังประคบเท้าให้คุณย่า สุขภาพร่างกายคุณย่าของลูกไม่ดี มือเท้าเย็นตลอดทั้งปี คุณปู่ของลูกสงสารคุณย่า เห็นแล้วก็ทำเป็นไม่เห็น อย่าบอกคุณปู่ของลูกเกี่ยวกับเรื่องนี้เด็ดขาด"

"ทำไมล่ะคะ?"

"เพราะคุณปู่ลูกจะลงโทษลูกให้เขียนตัวอักษรขนาดใหญ่"

"พ่อ คุณรู้เรื่องขนาดนี้ได้ยังไงคะ?"

"มันเป็นเรื่องที่เศร้ามาก เด็กดี เสี่ยวลู่ ฉันกับแม่ของลูกยังมีงานสำคัญต้องทำ"

คุณปู่ไม่เคยแต่งงานใหม่ คุณย่าก็ไม่เคยแต่งงานใหม่ ในความทรงจำวัยเด็กของฉัน นี่คือชีวิตประจำวันของคุณปู่และคุณย่าที่ไม่ใช่สามีภรรยากัน

คุณย่าเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ทุกประโยคที่พูด คนในครอบครัวจะไม่กล้าปฏิเสธ

ไม่ใช่เพราะกลัวคุณย่า แต่เพราะคุณปู่เข้าข้างคุณย่า เป็นเรื่องที่ทุกคนในครอบครัวรู้

เด็กน้อยไม่ค่อยรู้สึกสะเทือนใจกับเวลามากเท่าไร เมื่อฉันรู้สึกสะเทือนใจ ก็คือวันที่คุณย่าเสียชีวิต

ตอนฉันแปดขวบ ในปีนั้น คุณย่าเสียชีวิตแล้ว

มันคือวันหนึ่งในต้นฤดูใบไม้ผลิ คุณย่าเหมือนเดิมทุกๆ วัน นั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวนดอกไม้ ทานชายามบ่ายที่คุณปู่ทำให้กับมือ ตลอดทั้งปีสิ่งที่คุณย่าชอบที่สุดคือเอาเก้าอี้โยกวางไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ ตอนที่เหนื่อยๆ ก็นอนแล้วงีบหลับ

คุณปู่เอาผ้าห่มบางๆ ไปคลุมให้คุณย่า คำนวณเวลาไว้แล้วไปปลุกคุณย่า

แต่วันนี้ คุณปู่ก็ไม่สามารถปลุกคุณย่าให้ตื่นได้อีกต่อไป

คุณย่าโยกเก้าอี้ในขณะที่ลมพัด อยู่ในความเขียวขจีของการกลับมาของฤดูใบไม้ผลิ นอนบนเก้าอี้โยก แล้วจากไปอย่างเงียบสงบ

คุณย่าไม่ได้ป่วยกะทันหัน ตอนบ่ายฤดูใบไม้ผลินี้ เธอจากโลกนี้ไปอย่างเงียบสงบ

จากคุณปู่ไป

ฉันไม่มีวันลืม คุณปู่ที่เข้มแข็งมาตลอด ดวงตาชราเปียกชื้น ร้องไห้สะอึกสะอื้น นั่งยองๆ ข้างเก้าอี้โยกคุณย่าอยู่นานมาก ฉันไม่มีวันลืมมือที่ไม่หนุ่มแน่นอีกต่อไปของคุณปู่ จับฝ่ามือแข็งที่ค่อยๆ เย็นทีละนิดของคุณย่าไว้แน่น ในตอนนั้น คุณปู่ร้องไห้เหมือนเด็ก

พ่อแม่ยืนอยู่ไม่ไกล ไม่ได้ก้าวเข้ามาในสวนดอกไม้เล็กแห่งนี้ ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจ หรือว่าพ่อแม่ไม่เสียใจเหรอ?

ต่อมาฉันถึงได้รู้ พ่อแม่ให้พื้นที่เพียงลำพังครั้งสุดท้ายแก่คุณปู่และคุณย่า

งานศพคุณย่าไม่ใหญ่โต แต่ทั้งเมืองS คนมีหน้ามีตาล้วนมากันหมด

งานศพคุณย่า คุณปู่เป็นคนจัดเองทั้งหมด

หลังจากส่งคุณย่าไปแล้ว ร่างกายคุณปู่ก็เริ่มเสื่อมโทรมอย่างอธิบายไม่ได้

สืบไม่พบสาเหตุของโรค ร่างกายอ่อนแอลงมาก

พ่อฉันบอกว่า คุณปู่ของลูกเขาเป็นโรคหัวใจ

โรคหัวใจคืออะไร?

ฉันไม่กล้าถาม

แค่ทุกปีหลังจากคุณย่าเสียชีวิต คุณปู่ก็จะกอดรูปคุณย่าเอาไว้ มองดูอย่างระมัดระวัง เหมือนคุณย่ายังมีชีวิตอยู่

คุณปู่พูดคุยกับรูปคุณย่าที่เสียชีวิตไปแล้วในบางครั้งด้วย ราวกับกำลังพูดคุยกับคุณย่า

ฤดูใบไม้ผลิเริ่มต้นอีกครั้ง การกลับมาของฤดูใบไม้ผลิ

คุณปู่จับฉันไว้แล้วพูดขึ้น "เหมือน"

"เหมือนอะไรคะ?"

"เหมือนคุณย่าของเธอ"

"คุณปู่ คุณอย่าเสียใจไปเลยนะคะ" ปีนี้ ฉันอายุสิบสี่ขวบแล้ว และรู้อะไรมากขึ้น จากหูคนอื่น ได้ยินเรื่องราวระหว่างคุณปู่และคุณย่ามากขึ้น

เหลือเชื่อมาก ครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องราวของคุณปู่และคุณย่า ฉันก็โกรธ ทำไมคุณปู่มีตาหามีแววไม่ ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร คุณปู่เห็นแก่ตัวเองเกินไป ไม่ทำทุกอย่างให้ชัดเจน ละเลยทุกอย่าง ทำร้ายคุณย่า

เมื่อได้ยินทีหลัง ก็รู้สึกว่าทำไมคุณย่าถึงไม่ใส่ใจแบบนี้ ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่เจอหน้าคุณปู่อีก ครั้งเดียวก็ไม่ได้

อารมณ์ฉันขึ้นๆ ลงๆ ตามเรื่องราวของพวกเขา

ฉันโทษคุณย่าที่เหมือนกับคนอื่นๆ

ต่อมาคุณยายซูเมิ่งของฉันก็บอกว่า คุณย่าของเธอยอมอ่อนข้อให้ ถึงเติมเต็มความรู้สึกรักและความเกลียดชังนั้นได้

คุณปู่ของเธอก็เรียนรู้ที่จะหวงแหน ไม่เหมือนผู้ชายหลายคนบนโลกใบนี้ ได้รับแล้วก็ไม่หวงแหนอีกต่อไป

ทัศนคติที่คุณปู่เอาอกเอาใจคุณย่าของเธอนั้น เหมือนโดนปีศาจเอาอกเอาใจภรรยาสิงร่าง

เรื่องราวของคุณปู่และคุณย่า เมื่อได้ยินตอนสุดท้าย ฉันก็เงียบ ไม่โทษที่คุณปู่มองไม่เห็นหัวใจที่แท้จริงของตัวเอง และไม่โทษที่คุณย่าไม่มั่นคงอีกต่อไป

ก็เหมือนที่ซูเมิ่งคุณยายฉันบอก ระหว่างสองคนนั้น คนหนึ่งไม่โต้เถียง ยอมอ่อนข้อให้ เพื่อให้ความสัมพันธ์นี้สมบูรณ์ในตอนสุดท้าย

ฉันอดคิดไม่ได้ว่า อย่างไรแล้วถ้าคุณย่าให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมหันศีรษะกลับมา ระหว่างพวกเขา จะกลายเป็นมีชีวิตที่โชคร้ายไหม?

"คุณปู่ ฉันเคยฟังเรื่องราวความรักของคุณกับคุณย่า ตอนแรกไม่มีความสุขเลยสักนิด"

คุณปู่ยิ้มขณะลูบศีรษะฉัน "ต้องขอบคุณที่คุณย่าของเธอยอมให้ ความรักฉันถึงสมบูรณ์ ที่คุณย่าของเธอไม่ยอมแต่งงานกับฉันอีก ฉันรู้เหตุผล หล่อนนึกว่าความลับเล็กๆ นั่น ฉันไม่รู้มัน"

"ความลับเล็กๆ อะไรเหรอ?"

ฉันถามด้วยความสงสัย คุณปู่กลับยิ้มและไม่พูด

"จริงสิ คุณปู่คะ คุณรักคุณย่าขนาดนี้ แต่ทำไมฉันโตขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยได้ยินคุณพูดจาหวานๆ กับคุณย่าเลย? มีครั้งหนึ่ง คุณย่าเคยบ่นกับคุณยายซูเมิ่งกับคุณยายวิเวียน บอกว่าคุณทำทุกอย่างเพื่อเธอ แต่คำว่า ‘ฉันรักคุณ’ สามคำนี้ไม่ยอมพูด คุณปู่ ทำไมไม่ยอมพูดให้คุณย่าฟังล่ะคะ? ทั้งๆ ที่คุณย่าอยากฟังขนาดนั้น"

คุณปู่ยิ้ม เสียงหัวเราะชราวัยแต่มีความสุข เหมือนเด็กซนๆ "ฉันรู้ ฉันรู้ว่าหล่อนอยากฟัง"

"แล้วทำไมคุณไม่พูดล่ะคะ?"

คุณปู่กลับหุบยิ้ม พูดขึ้นอย่างระมัดระวังและหนักแน่น

"หล่อนอยากฟังสามคำนั้นมาก แน่นอนว่าฉันพูดให้หล่อนฟังไม่ได้ ไม่งั้นหล่อนได้ยินมันเยอะๆ เยอะมากพอ ชาติหน้าก็ไม่อยากฟังมันอีกแล้ว ถ้าหล่อนไม่มาหาฉันแล้ว จะทำยังไง? ฉันไม่พูด หล่อนจะได้ไม่หยุดคิดเกี่ยวกับมันตลอดไป ชาติหน้าน่ะ คุณย่าของเธอหล่อนก็ยังเป็นของฉัน"

ขณะที่พูดประโยคนี้ คุณปู่ยิ้มด้วยใบหน้าชั่วร้ายมาก

คุณปู่ดูเหมือนเหนื่อยเล็กน้อย หยิบติ่มซำหนึ่งชิ้นบนโต๊ะหินให้ฉัน โบกมืออย่างเหน็ดเหนื่อย "เด็กดี เอาไปกิน"

ฉันชอบติ่มซำที่คุณปู่ทำมากที่สุด ตอนนั้นก็รับติ่มซำมาอย่างสุขใจแล้ววิ่งไปอย่างกระตือรือร้น

บ่ายวันนั้น ฉันหยิบหนังสือต้นฉบับภาษาอังกฤษไปหาคุณปู่ ให้เขาอ่านเชกสเปียร์ด้วยสำเนียงอังกฤษแท้ๆ สำเนียงเข้มข้นของคุณปู่ เมื่ออ่านภาษาอังกฤษขึ้นมาจะรื่นรมย์น่าฟังมาก

"คุณปู่ คุณอ่านเชกสเปียร์ให้ฉันฟังหน่อย" ฉันยื่นมือไปดันคุณปู่ที่งีบนอนบนเก้าอี้เอนหลัง แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ปลุกชายชราไม่ตื่น

คุณปู่จากไปแล้ว หลังจากบ่ายในฤดูใบไม้ผลิเหมือนกัน ใต้ต้นไม้ใหญ่สวนดอกไม้ บนเก้าอี้เอนหลังตัวนั้นที่คุณย่าเสียชีวิต และเหมือนคุณย่าในปีนั้น ขณะที่นอนหลับไป ก็จากไปอย่างเงียบสงบ

ในมือคุณปู่ กำนาฬิกาพกเอาไว้ ในนาฬิกาพก มันมีรูปคุณย่า ในรูปนั้น คุณย่ายิ้มอ่อนโยน บนเก้าอี้เอนหลัง มุมปากชราวัยของคุณปู่ ก็ยกยิ้มจางๆ

ท้องฟ้าสีฟ้า มีสายลมพัดเบาๆ คุณปู่จากไปแล้ว

ฉันรู้ คุณปู่จากไปแล้ว ไม่มีความเสียใจสักนิด เขาตามคุณย่าที่เป็นคนที่มีค่าที่สุดในชีวิตเขาไปแล้ว

ชีวิตนี้ คุณปู่ไม่ได้แต่งงาน คุณย่าก็ไม่ได้แต่งงาน ไม่มีใครพูดถึงเรื่องในตอนนั้น แต่ใช้ชีวิตครึ่งหลังที่คนอื่นอิจฉาอย่างมาก

"คุณปู่ คุณไปหาคุณย่าแล้ว ใช่ไหมคะ?"

ฉันไม่ได้ยินคำตอบของคุณปู่ แต่ฉันรู้ ชีวิตนี้ของคุณปู่ สิ่งหนึ่งที่ทำได้อย่างจริงจังและยึดมั่นที่สุด ก็คือการเอาอกเอาใจคุณย่าจนเสียคนอย่างจริงจัง

ในตอนสุดท้าย ฉันเห็นบันทึกสุดท้ายที่คุณปู่ทิ้งไว้ในของที่ระลึก–

"เสิ่นซิวจิ่นรักเจี่ยนถง ทุกชาติไป ภรรยา ฉันมาหาคุณแล้ว"

ฉันรู้สึกตกใจนิดหน่อย คุณปู่ไม่ได้พูดคำว่า "คิดถึง" ลงไปสักคำตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ในประโยคหนึ่งสั้นๆ กลับเผยความรู้สึกคิดถึงอันลึกซึ้ง

"คุณปู่ ชาติหน้าอย่ารังแกคุณย่าอีกนะคะ"

ในโรงพยาบาล ประตูห้องผู้ป่วยเปิดออกเงียบๆ ครั้งนี้ เสิ่นเอ้อไม่ได้ทำหน้าที่เป็นไมโครโฟน

เมื่อไป๋ยู่สิงรีบมา ก็เห็นผู้หญิงคนนั้น

เขาไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ซูเมิ่งดึงไป๋ยู่สิงถอยกลับไปที่ทางเดินด้วยกัน เปิดประตูแล้วปิดลงอีกครั้ง

ผู้ชายที่อยู่บนเตียงผู้ป่วย นอนหันข้างตกอยู่ในความฝันไปแล้ว

ไม่รู้ว่าในฝันเขามีอะไร คิ้วขมวดแน่น แสดงว่าเขานอนหลับไม่สงบ

มือที่วางบนฟูก สวมแหวนแต่งงาน

ผู้หญิงค่อยๆ เข้าไปใกล้ ในที่สุดก็หยุดหน้าเตียงผู้ป่วยของผู้ชาย

ดวงตาที่เห็นได้ชัด สายตามองไปที่แหวนระหว่างนิ้วผู้ชาย

และไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร

แค่จ้องมองแหวนนั้น มองอยู่นานมาก มองจนเหม่อลอย

และไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ผู้ชายลืมตาขึ้นมาอย่างเลือนราง สิ่งที่เห็นคือคนในฝัน

เขายิ้มซีดเซียวออกมาให้เธอ "ฝันอีกแล้วสินะ"

ราวกับเป็นเพื่อนที่ไม่เจอมาหลายปี น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอ อ่อนโยนมาจนมีน้ำออกมา "ดีจัง คุณยังยอมมาเข้าฝันฉัน"

ผู้หญิงยืนข้างเตียง เดินมาด้วยความเหม่อลอย สายตาค่อยๆ ย้ายออกจากใบหน้าเขา แค่เดือนเดียว ก็ผอมเช่นนี้

บางทีอาจจะเพราะคำพูดเขา อาจจะเพราะความอ่อนโยนและความโหยหาที่ไม่เคยเห็นในดวงตาเขา

เธอก็ไม่อยากไปคิด ว่าทำอย่างไรถึงจะแสดงออกมาได้ว่าเธอเกลียดเขา

เหมือนหัวใจตัวเอง ก้มศีรษะกะทันหัน จูบอบอุ่นลงไปเบาๆ บนหน้าผาก "ฝันเหรอ?" เธอถาม

ผู้ชายเผยความประหลาดใจและความสุขอย่างยิ่งในดวงตา ยกมุมปากขึ้น "มันคือฝัน"

เธอก็หัวเราะเบาๆ ราวกับลืมความรู้สึกรักและเกลียดชังระหว่างทั้งสองคน ลืมความเจ็บปวดที่เคยประสบมาทั้งหมด เหมือนเพื่อนที่ไม่เจอกันมาหลายปี ยื่นมือออกไปหยิกแขนเขา "มันคือฝันเหรอ?"

ความเจ็บปวดกะทันหัน ผู้ชายตื่นทันที ทั้งประหลาดใจและเซอร์ไพรส์ ไม่กล้าเชื่อและไม่กล้าหลับตา กลัวเมื่อหลับตาลงไป พอลืมตาขึ้นอีกครั้งเธอจะไม่อยู่แล้ว

"มันเจ็บ" เขาพูด "ถ้าไม่ค่อยเป็นจริง คุณลองหยิกอีกครั้งสิ"

เธอหยิบแอปเปิลจากด้านข้างมาปอกอย่างเงียบสงบ ไม่นานนัก แอปเปิลที่ถูกปอกแล้วก็ส่งไปตรงหน้าคนคนนั้น

แอปเปิลตรงหน้า ส่งกลิ่นหอมของเนื้อผลไม้ ในดวงตาลึกซึ้งของผู้ชาย ยิ่งรู้สึกขึ้นเรื่อยๆ ว่าทั้งหมดนี้มันเป็นไปไม่ค่อยได้ นานมากไม่กล้ารับมันมา

ใครจะไปรู้ ถ้าเขารับแอปเปิล ในวินาทีต่อมา แอปเปิลจะหายไปต่อหน้าเขาหรือไม่

"การผ่าตัดจะเริ่มเมื่อไร?" เธอก็ไม่ยุ่งเช่นกัน ถือแอปเปิลที่ปอกเปลือกแล้วในมือ

ผู้ชายรู้สึกตึงเครียดทันที มีความประหม่าที่ยากจะมองเห็น "ใครมานินทาให้คุณฟัง?"

"พรุ่งนี้หรือวันมะรืน?" เธอถามอีกครั้ง ไม่สนใจคำพูดพล่ามของเขา

"……วันมะรืน" เขาจ้องมองเธอ บอกว่าเขาปากแข็ง จริงๆ แล้วเธอปากแข็งกว่าเขาอีก ถ้าไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าจะไม่ยอมแพ้

ผู้หญิงพยักหน้า แล้วยัดแอปเปิลไว้ตรงหน้าเขา "ไม่กินเหรอ? ที่ฉันปอก" เธอพูด

ประโยค "ที่ฉันปอก" หัวใจผู้ชายร้อนทันที ผู้ชายที่ไม่เคยอ่อนแอ ในขณะนี้ขอบตามีความเจ็บปวดนิดหน่อย เบ้าตามีรอยแดงระเรื่อนิดหน่อยสามารถเห็นได้ เขารีบกะพริบตา กะพริบตาเอาความเจ็บปวดนั้นออกไป ยื่นมือไปรับมัน

ทานทีละคำ ทุกๆ คำ เหมือนสิ่งที่ทานไม่ใช่แอปเปิล แต่เป็นน้ำทิพย์ประดับด้วยเพชรพลอย

ทุกๆ คำมันหวาน

หัวสมองเขาสับสนวุ่นวายเล็กน้อย เดาไม่ออกถึงเจตนาในการมาของเธอ

เขาทานแอปเปิลทีละคำ เธออยู่ข้างๆ ปอกอีกลูกให้เขาเงียบๆ

เขาทานหมดแล้ว แอปเปิลลูกที่สองที่เพิ่งปอกเสร็จในมือ ก็ยื่นไปให้เขาอีกครั้ง

ผู้ชายไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น รับมันมาแล้วทาน

ลูกที่สอง ลูกที่สาม……จนกระทั่งลูกที่ห้า เขามองแอปเปิลในมือด้วยความลำบากใจเล็กน้อย ถึงเขาจะชอบทานผลไม้มากแค่ไหน ก็ไม่มีทางทานติดต่อกันได้หลายลูก ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ชอบทานแอปเปิล

"กินเยอะๆ หน่อย ไม่งั้นจะไม่มีแรง" ผู้หญิงพูดเรียบๆ

ในหัวสมองเขาเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามสีดำ ไม่มีแรง? ไม่มีแรงอะไร?

เขาใช้ความรู้สุดชีวิต คิดพิจารณาคำพูดนี้ของเธอ ผู้หญิงข้างเตียงก็พูดขึ้น

"ไม่กินจริงๆ เหรอ? อิ่มแล้วเหรอ?"

"อิ่มแล้ว"

เขาไม่เข้าใจความหมายของเธอ ทานแอปเปิลทานอิ่มแล้ว?

นอกจากความสงสัยที่อยู่ภายในใจเต็มเปี่ยม ก็ทำหน้าพิศวง

แต่ผู้หญิงคนนั้นหันตัวเดินไปที่ประตูห้องผู้ป่วย

ชั่วขณะหนึ่ง ความหดหู่อันรุนแรง ก็เต็มหัวใจ

เขาอยากเรียกเธอไว้ แต่ก็หยุดปาก……การผ่าตัดวันมะรืน ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร มีแค่พระเจ้าที่รู้

เขาอยากมอบโลกทั้งใบให้เธอ อยากมอบความสุขให้เธอ อยากอยู่เคียงข้างเธอตลอดชีวิต……ในขณะนี้ทั้งหมดกลายเป็นความเพ้อฝัน

ใครจะไปรู้ หลังจากวันมะรืน เขาจะตายหรือจะมีชีวิตอยู่

สำหรับเรื่องที่ทำไมเธอถึงมาปรากฏตัวหน้าเตียงเขากลางดึก……ช่างมันเถอะ แล้วแต่เธอ

เกิดเสียง กริ๊ก– ภายในห้องผู้ป่วยหนาวเย็น ก็เกิดเสียงล็อกประตู

เขามองเธอเดินกลับมาอีกครั้ง "คุณ……"

ผู้หญิงคนนั้นยืนหน้าเตียงผู้ป่วยของเขา มองเขานานสักพักอย่างเงียบๆ ผู้ชายตัวใหญ่อย่างเขา น้อยครั้งมากที่จะถูกมองจนหน้าแดง "ฉันรู้คุณเกลียดฉัน ในตอนนี้คุณอยากให้ฉันไปตาย แค่คุณมีความสุข ฉันก็ยอม แต่ฉันไม่อยากให้มือคุณสกปรก ไม่งั้นคุณรอไปก่อน รอการผ่าตัดของฉันในวันมะรืน คุณวางใจได้ อัตราการผ่าตัดสำเร็จมันน้อยมาก สิ่งที่ฉันติดหนี้คุณจะคืนให้คุณไม่ช้าก็เร็ว คุณจะได้ไม่ต้องทำให้มือตัวเองสกปรกอีก ถึงแม้คุณจะไม่ใส่ใจ แต่ผม……ใส่ใจ"

ได้ยินว่าเธอซื้อตั๋วเครื่องบินไปแล้ว แต่ย้อนกลับมากลางดึก ปรากฏตัวในห้องผู้ป่วยเขา แถมล็อกประตู……ก็จริง เขาติดหนี้เธอไว้เยอะมาก ทำร้ายเธอไว้เยอะมากเกินไป เธอเกลียดเขาแบบนั้น เกลียดเขาแทบตาย

แต่นี่ไม่จำเป็นต้องให้เธอลงมือ

ผู้หญิงมองผู้ชายพูดพล่ามอยู่บนเตียงผู้ป่วยเงียบๆ วินาทีต่อมา ก็ยื่นมือไปหาเขา

"จริงด้วย อย่าให้มือคุณสกปรกเพราะฉัน……"

คำว่า "มือ" ยังไม่ทันพูดออกมา ฟูกบนร่างก็ถูกยกขึ้น ร่างผอมร่างหนึ่งก็เบียดเข้ามา

ทันใดนั้น ร่างบอบบางหอมละมุนก็อยู่ในอ้อมกอด

เขาตกตะลึง ทำอะไรไม่ถูกอย่างสิ้นเชิง

"คุณ ฉัน……"

นิ้วของเธอ ปลดกระดุมเขา พลิกตัวแล้วนั่งบนร่างเขา ทำท่าทางผู้หญิงที่หยอกเอินอย่างชั่วร้าย

"คุณๆๆ……"

เกิดเสียง "แคว้ก" ฉีกกระดุมออก เธอโน้มตัวลง ริมฝีปากชมพูจูบปากของเขา

ถ้าเป็นแบบนี้ ถ้าเขายังทนได้อีก เขาคงไม่ใช่ผู้ชายแล้ว!

ในหัวสมองว่างเปล่า ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ

ร่างกายตอบสนองอย่างตรงไปตรงมา ฝ่ามือใหญ่จับเอวเรียวนั้นของเธอ เชิดหน้าขึ้น ริมฝีปากบางตอบสนองเธออย่างดุเดือด

นอกประตู เสิ่นเอ้อได้ยินเสียงล็อกด้านหลังประตูอย่างเฉลียวฉลาด ก็ประหม่าอย่างมากโดยทันที ยื่นมือจะไปเคาะประตู

แต่ซูเมิ่งห้ามเอาไว้

"ประตูล็อกแล้ว เผื่อว่าคุณนายทำอะไรไม่ดีกับบอส……"

"คุณก็พูดว่าเผื่อว่า" ซูเมิ่งปฏิเสธ

ไป๋ยู่สิงทำหน้าเคร่งขรึม "อย่าประมาทเลยดีกว่า เธอกลับมาก็เป็นเรื่องแปลกแล้ว ไม่ใช่เหรอ?"

"คุณชายไป๋ก็พูดแบบนี้แล้ว คุณหลบไป อย่าห้ามผม ตอนนี้บอสอยู่ในอันตรายมาก!" ใบหน้าเสิ่นเอ้อเต็มไปด้วยการต่อต้าน "ผมจะเข้าไปห้าม……"

ก่อนจะพูดจบ สามคนที่อยู่นอกประตู ก็ได้ยินเสียงที่ทำให้คนหน้าดำหน้าแดง

ล้วนเคยมีประสบการณ์มา จะโง่แค่ไหน ก็เข้าใจว่าเสียงนี้มันเกิดอะไรขึ้น

ในพริบตาเดียว สีหน้าเสิ่นเอ้อก็แดงก่ำ

"เตะประตูสิ เข้าไปห้าม บอสคุณอยู่ในอันตรายนะ" ซูเมิ่งเยาะเย้ยอย่างมุ่งร้าย

ไป๋ยู่สิงเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง เดินไปสุดทางเดินเงียบๆ อย่างฉลาด

ภายในประตู เป็นโลกใบเล็ก ราวกับแยกตัวออกจากโลกภายนอกทั้งหมด

เหตุการณ์จบแล้ว ผู้หญิงลุกขึ้นมาเงียบๆ สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยอย่างสงบนิ่ง

"เสิ่นซิวจิ่น เมื่อกี้เราไม่ได้ป้องกัน" เสียงแหบของผู้หญิง พูดขึ้นอย่างไม่รีบร้อน

"คุณไม่รู้หรอก ที่ฉันตรงนี้" เธอยื่นมือออกมาลูบท้องตัวเองเบาๆ "มีการเริ่มต้นชีวิตแล้วใช่ไหม"

"คุณ……"

"คุณก็รู้ ฉันเกลียดคุณขนาดนี้ คุณก็บอกแล้วว่าคุณติดหนี้ฉันมากเกินไป ทำร้ายฉันมากเกินไป งั้นคุณก็ควรรู้ว่าฉันเกลียดคุณมากแค่ไหน"

ดาวในดวงตาผู้ชายค่อยๆ เยือกเย็น "เสี่ยวถง……"

"คุณป่วยใกล้ตายแล้ว ก่อนคุณตาย ฉันอยากได้ดอกเบี้ยคืน คุณกลัวคุณตายไปแล้ว ฉันจะไม่มีทางทวงหนี้คนตายได้ ผ่าตัดในวันมะรืน อัตราการสำเร็จต่ำมาก ถ้าผ่าตัดล้มเหลว คุณตายไปแล้ว ฉันจะให้ลูกของคุณเรียกคนอื่นว่าพ่อ"

ในดวงตาผู้ชายเป็นประกาย ปฏิเสธอย่างรวดเร็ว "ทำแบบนั้นได้ยังไง!"

ข้างเตียง ผู้หญิงแค่ยิ้มเล็กน้อยมองเขา "ได้แน่นอน ยังไงฉันก็เกลียดคุณมากขนาดนี้ ยังไงก็ต้องให้คุณตายตาไม่หลับ"

เธอปลอบโยนเขา "คุณไม่ต้องห่วง ลูกของคุณ จะไม่มีทางเติบโตโดยไม่มีพ่อแน่นอน"

ผู้ชายกังวล "แน่นอน! ลูกของฉัน จะต้องเติบโตโดยมีพ่ออย่างแน่นอน"

……

ในวันผ่าตัด

อากาศหนาวมาก ท้องฟ้ามืดมน มองไม่เห็นความสดใส

ในสวนดอกไม้โรงพยาบาล ลมหนาวเข้ากระดูก เธอนั่งบนม้านั่งยาว สวมผ้าพันคอหนา

ซูเมิ่งถือน้ำผลไม้ร้อนแก้วหนึ่ง กระทืบเท้าด้วยความหนาวอยู่ข้างๆ "คุณก็นะ ในโรงพยาบาลมีเครื่องทำความร้อน คุณยังมานั่งรับลมหนาวข้างนอกอีก"

เธอแค่พันผ้าพันคอให้แน่นขึ้น เงยหน้ามองท้องฟ้าสีเทามืดครึ้ม

"กำลังคิดอะไร?" ซูเมิ่งเอาศีรษะเข้าไปใกล้ เลียนแบบเธอ เงยหน้ามองท้องฟ้า "ไม่เห็นมีอะไรน่ามอง ก็แค่เมฆมืดครึ้ม"

"ฉันกำลังคิดว่า ที่ฉันกลับมาอีกครั้งคือการทำผิดพลาดหรือเปล่า"

ซูเมิ่งได้ยินก็หัวเราะเยาะ "คืนนั้นคุณกินเขาหมดจดแล้ว ทำไมตอนนั้นไม่คิดสักหน่อยล่ะ ว่าที่คุณกลับมามันคือผิดพลาดหรือเปล่า ตอนนี้มาคิดมันก็สายไปแล้วไหม?"

"สมองฉันมีปัญหาแล้ว คิดไม่ออกสักพักหนึ่ง"

ซูเมิ่งยกมุมปากขึ้น เปลี่ยนหัวข้อกะทันหัน "เฮ้ พูดตามตรง วันนั้นคุณอยู่สนามบิน คิดอะไรอยู่คนเดียว สุดท้ายถึงได้เปลี่ยนใจ?"

"ฉันไม่ได้คิดอะไร ฉันแค่กำลังคิด เขาทำร้ายฉันมาเยอะมาก ฉันเกลียดเขาขนาดนี้ ยังไงแล้วก็พัวพันกันมาครึ่งชีวิต ฉันกลับมาก็เพื่อมามีส่วนร่วมช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเขา ส่งเขาเป็นครั้งสุดท้าย"

ซูเมิ่งยกมุมปากขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ……เพื่อมาดูว่าเสิ่นซิวจิ่นตายหรือไม่ตาย สภาพอนาถก่อนตาย จำเป็นต้องขึ้นเตียงด้วยเหรอ?

เห็นได้ชัดว่าอยากให้เสิ่นซิวจิ่นกังวล ไม่กล้าตายง่ายๆ

"คุณรู้ใช่ไหม ฉันเกลียดเขามากเป็นพิเศษ และกลัวเขามากด้วย หกปีก่อน เขาส่งฉันเข้าคุก มีรั้วเหล็กสำหรับกักขังนักโทษทุกที่ ก่อนหน้านี้ไม่นาน มีวันหนึ่งตื่นเช้าขึ้นมา ฉันก็ถูกขังในพื้นที่ว่างที่เต็มไปด้วยรั้วเหล็กอีกครั้ง เขาล้อมรอบหน้าต่างทุกบานด้วยหน้าต่างกันขโมย สำหรับฉัน นั่นมันไม่ต่างกับรั้วเหล็กในคุกเมื่อหกปีก่อนเลย เขาต้องการกักขังฉันอย่างเต็มที่ เขาป่วยใกล้ตายแล้ว ถึงยอมปล่อยมือในที่สุด บอกว่าเบื่อเกมนี้แล้ว เบื่อฉันแล้ว ฉันก็เชื่อไปแล้ว ตอนนี้มันมีค่าอะไร? เขาป่วยใกล้ตาย ก็เลยปล่อยมือ ดูเหมือนเขามีมิตรภาพลึกซึ้งไหม? คุณพูดไม่ผิดเลยสักนิด ตอนที่ฉันอยู่สนามบิน ในหัวสมองฉันมีแต่สิ่งที่คุณด่าฉัน ว่าฉันกำลังหนี หนีอยู่ตลอดเวลา หนีไม่หยุดหย่อน ไม่ใช่แค่เขา ตระกูลเจี่ยนด้วย ฉันหนีไปที่เอ๋อร์ไห่ เพราะจะไปชดใช้หนี้ชีวิตที่ติดอาลู่ และอ้างชื่ออาลู่ ตัวเองหนีทุกอย่างที่ทนไม่ได้ เสิ่นซิวจิ่นคนคนนั้น เขากักขังร่างกายฉัน ฉันเอง ก็กักขังหัวใจตัวเอง"

ผู้หญิงคนนั้นยืนขึ้นมา "เอาล่ะ กลับไปเถอะ มันหนาวมากแล้ว"

ซูเมิ่งยังคงจมอยู่กับการพูดคนเดียวของผู้หญิงคนนั้น ได้ยินก็ยืนขึ้นทันที "คุณยังรู้จักหนาวเนอะ ไป กลับไปกัน"

เธอเดินตามไป น้ำผลไม้ร้อนในมือ ก็บังคับยัดไว้ในมือเจี่ยนถง

ที่มุม ก็เจอคนคุ้นตาแบบไม่ทันตั้งตัว

"การผ่าตัดของเขายังไม่เสร็จเหรอ?" ท่านแก่เสิ่นเอ่ยปากขึ้นก่อน

"การผ่าตัดซับซ้อน รออีกหน่อยนะคะ" เธอก็ตอบรับ แต่ไม่พูดอะไรมากกับชายชราตรงหน้า

ถ้าพูดมากอีกคำ มันทำให้ทั้งร่างเธอไม่สบายใจ

"ได้ยินว่าพวกคุณหย่ากันแล้ว?"

"ข่าวคุณเร็วมากจริงๆ"

"หย่าแล้วก็ดี เฮอะ"

ชายชราทำเสียงฮึดฮัดดูถูก อ้อมตัวเธอ ถือไม้เท้าแล้วเดินจากไป

"เดี๋ยวก่อนค่ะคุณ" เธอเดินตามไป "เรื่องระหว่างคุณกับคุณปู่ฉัน ต่อไปนี้อย่ามายุ่งกับฉันอีก ฉันไม่ได้ติดหนี้คุณ ถ้าคุณยังจะทวงหนี้อีก ก็ไปหาคุณปู่ฉันที่เสียชีวิตไปแล้วก็ได้ เอาล่ะ มุมมองของฉันชัดเจนแล้ว ขอให้คุณเดินทางปลอดภัย ฉันไม่ไปส่งนะ"

"เธอ!" ชายชราด้านหลังตื่นตระหนกด้วยความโกรธ เจี่ยนถงเดินไปไกลแล้ว

ซูเมิ่งเดินตามไป "เกิดอะไรขึ้น? ตระกูลเสิ่นกับตระกูลเจี่ยนยังเกลียดชังกันอีกเหรอ?"

"ไม่มีอะไร"

"งั้นคุณ……"

"ฉันรู้สึกขัดตาท่านแก่นั่น"

ซูเมิ่งยกนิ้วโป้งให้เธอด้านหลังอีกครั้ง "คุณเก่งมาก"

ตระกูลเสิ่นกับตระกูลเจี่ยน ความเกลียดชังระหว่างท่านแก่เสิ่นกับท่านแก่เจี่ยน จะดีที่สุดถ้าฝังไว้ใต้ดินพร้อมกับคุณท่านทั้งสอง

สำหรับเธอ ไม่อยากพูดถึงมันอีก

วันที่สามหลังผ่าตัด

ภายในห้องไอซียู ผู้ชายบนเตียงผู้ป่วย มีการตอบสนองแล้ว

การตอบสนองเพียงเล็กน้อย ก็มากพอที่จะทำให้ทุกคนที่รอคอยอย่างเป็นห่วงนั้นมีความสุขและได้กำลังใจ

เช้าวันที่สิบ

ผู้ชายที่นอนบนเตียงผู้ป่วย ลืมตาขึ้น "เธอล่ะ? ไปอีกแล้วเหรอ?"

ลืมตามาสิ่งแรกคือ หมุนลูกตาที่สามารถขยับได้เพียงอย่างเดียว มองหาไปรอบๆ แต่ไม่เห็นคนที่รอคอย

ไป๋ยู่สิงวัดอุณหภูมิร่างกายให้เขา พูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์อยู่ข้างๆ

"ห่างความตายแค่ก้าวเดียว ถือว่านายโชคดีมาก นายยังคิดถึงผู้หญิงที่ไม่มีนายในหัวใจอีกเหรอ?"

"ไปแล้ว……จริงๆ ด้วยสินะ" ในดวงตาผู้ชาย มีความอ้างว้างในขณะนี้ ทำให้เห็นแล้วสงสาร

ไป๋ยู่สิงกลอกตา

"ไปแล้วนายจะไม่ตามไปเหรอ?"

"เธอเกลียดฉัน ห่างความตายแค่ก้าวเดียว ฉันไม่อยากทำเรื่องบังคับเธออีกต่อไปแล้ว"

ไป๋ยู่สิงราวกับเห็นผี "เชี่ย บอกมานะ นายโดนผีตัวไหนเข้าร่างซาตานผู้ยิ่งใหญ่เสิ่นซิวจิ่นที่ถนนยมโลกหรือเปล่า?"

วันที่สิบเก้าหลังผ่าตัด

เขาสามารถลงจากเตียงได้แล้ว เดินได้อย่างช้าๆ ด้วยการพยุงของผู้อื่น

วันที่ยี่สิบหลังผ่าตัด

เขาเจอคนคนนั้นที่เขาคิดถึงแล้ว

"วันที่ฉันตื่น ไป๋ยู่สิงบอกว่าคุณอยู่งานแต่ง" หลังจากเขาตื่นเต้น ก็เงียบอีกครั้ง หัวใจเหมือนมีหนามแทง เขาต้องการดึงหนาม แต่การแทงนี้ แค่สัมผัสโดนมันก็เจ็บปวดขีดสุด

"ลู่หมิงชู……ดีกับคุณไหม?"

"อืม ดีมาก"

ในดวงตาผู้ชายเจ็บปวด รีบลดเปลือกตาลง แล้วแสร้งทำเป็นคนใจกว้าง

"ยินดีด้วย จะได้ไม่โดนคนเลวอย่างฉันทำร้ายอีก"

"อืม คุณเลวมากจริงๆ แหละ"

"เสี่ยวถง……ขอโทษนะ" เขาพูดออกมาสามคำอย่างยากลำบาก

"ถ้าขอโทษมีประโยชน์ จะมีตำรวจไปทำไม?"

เขาเงียบเหมือนคนใบ้ ยากที่จะปฏิเสธ

"เสิ่นซิวจิ่น คุณก็รู้ว่าครั้งหนึ่งฉันกลัวคุณมากแค่ไหน? คุณเคยกักขังฉันสองครั้ง คุณสร้างคุกให้ฉันครั้งแล้วครั้งเล่า คุกเมื่อหกปีก่อน นั่นครั้งหนึ่ง ก่อนหน้านี้ไม่นานคุณก็ล้อมรอบบ้านจนแน่นหนาไม่มีอากาศเข้า ที่เรียกว่าหน้าต่างกันขโมย กับรั้วเหล็กในคุกมันไม่ต่างกันเลยสำหรับฉัน คุณก็รู้ว่าตอนนั้นฉันกลัวมากแค่ไหน? เสิ่นซิวจิ่น ชีวิตนี้ของฉัน คุณสร้างคุกให้ฉันสองครั้ง คุณว่าฉันควรให้อภัยคุณได้ยังไง?"

เขาเป็นใบ้อีกครั้ง ในขณะนี้ได้ยินเธอเน้นอย่างเศร้าโศก ก็รู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำ แต่ด้วยเหตุนี้ จึงทำสิ่งที่ทำร้ายเธอครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่รู้ตัว

ในขณะนี้ เธอเป็นภรรยาคนอื่นแล้ว……กำหมัดขึ้นมาช้าๆ เจ็บปวดมาก เจ็บจนยากที่จะควบคุม

"ขอโทษ……" เขาเกลียดเขาที่ทำได้แค่พูด "ขอโทษ" แต่ในเวลานี้ เขาค้นหาคลังคำศัพท์ ก็หาคำที่เหมาะสมกว่านี้ไม่เจอ

ผู้หญิงจ้องมองเงียบๆ นานสักพัก "งานแต่งของลู่หมิงชู เจ้าสาวไม่ใช่ฉัน" เธอเอ่ยปากราบเรียบ

ทันใดนั้น ผู้ชายก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างเซอร์ไพรส์ "เจ้าสาวไม่ใช่คุณ?"

เธอส่ายหน้า "เป็นคนที่คุณปู่คุณเลือกเอง ฉันแค่เป็นตัวแทนของเจี่ยนซื่อไปร่วมงานเท่านั้น"

"ถ้างั้นคุณ……" ทันใดนั้นเขาก็เหมือนรู้สึกโชคดี ไม่สนว่าคนอื่นจะยินยอมหรือไม่ ฝ่ามือใหญ่โอบล้อมรอบฝ่ามือเรียวของผู้หญิง ดีใจมากหลังจากเศร้าโศก อารมณ์เขายังคงยากที่จะสงบเหมือนเดิม

"เสี่ยวถง" เขามองเธอ เขารู้ คำขอร้องของเขานี้มันไร้ยางอายมาก แต่เธอไม่ได้แต่งงาน เขาก็ไม่อยากทนรับกับการสิ้นหวังที่ต้องรู้ว่าเธอแต่งงานอีกครั้งแล้ว

"เสี่ยวถง ผมจะเล่าเรื่องหนึ่งให้คุณฟัง"

เขาพูด "เมื่อก่อน มีคนโง่อยู่คนหนึ่ง เขาชื่อเสิ่นซิวจิ่น เมื่อก่อนเขาโชคดีมาก เพราะข้างกายเขามีผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อเจี่ยนถง รักเขาอยู่ตลอด แต่ต่อมา เขาก็ไม่โชคดีแล้ว ไอ้โง่คนนี้มันทำผู้หญิงที่รักเขาลึกซึ้งบาดเจ็บไปทั้งตัว จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ตระหนักได้ทันที ว่าเขาตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้มานานมากแล้วก่อนหน้านี้ และในตอนนี้ ผู้หญิงคนนั้นก็ถูกเขาทำร้ายจนไม่กล้ารักอีก เขาใช้ชีวิตอยู่ในความเสียใจทุกวัน"

เขาเล่าเรื่องช้าๆ เงยหน้ามองผู้หญิงตรงข้ามอย่างลึกซึ้ง ราวกับอยู่ต่อหน้าเทพเจ้า เขาระมัดระวังและจริงจัง เขาขอร้องอย่างจริงใจ และเป็นการสาบานตลอดชีวิต

"เสี่ยวถง ตอนนี้คนที่ยืนต่อหน้าคุณ คือคนโง่คนนั้นในเรื่อง"

เป็นครั้งแรกที่เขาสงบอย่างมาก รอบคอบและจริงใจ

"ฉันที่ยืนตรงหน้าคุณ วางแผนที่จะอยู่กับคุณตลอดชีวิต และเตรียมใจการจากไปของคุณทุกเมื่อ"

ครั้งนี้ เขาไม่มีการกระทำที่หยาบคายไร้เหตุผล ไม่ใช้วิธีการบีบบังคับ

เขาแค่จ้องมองเธอ ในดวงตาดำสนิท มันจริงใจและบริสุทธิ์ ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง เอ่ยคำสาบานและแสดงความจริงใจต่อคนรักตลอดชีวิต

"เจี่ยนถง เอ๋อร์ไห่ ไม่ใช่ดินแดนสุขาวดี ความสงบที่คุณคิด มันก็แค่การหลบหนีของคุณ"

ซูเมิ่งพูดอย่างเคร่งขรึม

เธอไม่ควรพูดสิ่งเหล่านี้ แต่เธอเห็นบางอย่าง ที่คนภายในไม่เห็นมัน

ว่ากันว่า คนที่อยู่นอกเกมหรือนอกสถานการณ์จะมองได้ทะลุปรุโปร่ง บางทีคำพูดนี้ไม่ถูกต้อง

แต่เธอเห็นความลังเลของเจี่ยนถงแล้ว

สามปีก่อน เธอช่วยเจี่ยนถงหนี อยากให้เธอใช้ชีวิตอันสงบสุขจากใจจริง

ในสามปีนี้ ไม่ใช่แค่เวลาที่ผ่านไป ความเป็นผู้ใหญ่ของเธอด้วย

และเพราะความเป็นผู้ใหญ่นี้ เธอกำลังทบทวนไม่หยุด

อย่างไรแล้วเมื่อสามปีก่อน ช่วยเจี่ยนถงหนี เรื่องนี้มันถูกหรือไม่

รู้สึกอย่างเลือนราง เธอคิดว่าเธอทำผิดพลาดไปแล้ว

ผู้หญิงคนนี้ เป็นนกตื่นธนูไปแล้ว จะหยุดฝีเท้าเพื่อมองผู้คนและเรื่องราวรอบๆ อีกครั้งได้อย่างไร

ในสามปี เธอก็เห็นเสิ่นซิวจิ่นตามหาไม่หยุด ทุกคนล้วนพูดว่าไม่ต้องหาแล้ว บางทีเจี่ยนถงอาจจะเสียชีวิตไปแล้ว ก็ไม่แน่ใจเช่นกัน

ถ้าไม่เสียชีวิต ทำไมหามาสามปี อย่างไม่หยุดหย่อน ก็ยังหาไม่เจอ

แต่ผู้ชายคนนั้นไม่เชื่อ ตามหาไม่หยุด นอกจากตามหาความกังวลในใจแล้ว ชีวิตของเขาก็เหลือแค่การทำงาน

สิ่งที่ซูเมิ่งอย่างเธอเห็น ผู้ชายคนนั้นที่ครั้งหนึ่งเป็นบุตรอันเป็นที่รักของสวรรค์ และยโสโอหัง เพื่อความกังวลในใจตนเอง ซึ่งไม่เคยยอมแพ้มาก่อน ยอมก้มศีรษะอันหยิ่งผยองของเขา

อย่างเลือนราง เธอไม่เห็นความล้อเล่นของเสิ่นซิวจิ่น เห็นแต่ความจริงจังและความยึดมั่นของเขา

ทุกอย่างนี้ คือสิ่งที่เธอปรารถนาอย่างมากจากชายอีกคน แต่ทั้งชีวิตเธอไม่เคยได้รับมัน

แต่เจี่ยนถงแตกต่าง

ความสุขที่เธอไม่สามารถได้รับ ที่เจี่ยนถง บางทีอาจจะได้รับมัน ครั้งหนึ่งเธอเคยมีประสบการณ์เหมือนเจี่ยนถง อดีตที่เลวร้ายเช่นนั้น บางทีที่เจี่ยนถงอาจจะได้รับจุดจบ

เธอก็ยอมรับว่าเธอลำเอียง

แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ สิ่งที่เธอเห็น ไม่ใช่ความไร้หัวใจของเจี่ยนถง ไม่ใช่การปล่อยวางอย่างแท้จริงของเจี่ยนถง แต่เป็นการหนีของเจี่ยนถง

ถ้าผู้หญิงตรงหน้าตน ปล่อยวางอย่างแท้จริง วางสิ่งที่อยู่ในใจลง ถ้าอย่างนั้นคำพูดเหล่านี้ในวันนี้ เธอจะซ่อนมันไว้ในหัวใจตลอดไป ไม่พูดมันออกมาตลอดไป

แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่

"หนีๆๆ ไม่หยุด หัวใจคุณกังวลเหรอ? คุณวางใจเหรอ?" การซักถามของซูเมิ่ง เหมือนเสียงฟ้าผ่า ทำให้เจี่ยนถงกระสับกระส่ายไม่สบายใจทั้งร่าง

เธอปิดหู "อย่าพูด อย่าพูดอะไรทั้งนั้น"

มือของซูเมิ่ง ดึงมือของเจี่ยนถงที่ปิดหูออกอย่างแน่วแน่ "เขาป่วยแล้ว ป่วยใกล้ตายแล้ว"

ชั่วขณะหนึ่ง โลกก็สงบนิ่ง

ซูเมิ่งไม่จำเป็นต้องดึงมือเจี่ยนถงอีก เธอเอื่อยเฉื่อยไปแล้ว

"……ฉัน ฉันต้องไปสนามบินแล้ว เที่ยวบินจะล่าช้า"

"เขามีอะไรบางอย่างงอกในสมอง ปีกว่าแล้ว ตอนนี้ระยะสุดท้ายแล้ว" ซูเมิ่งพูดกับตัวเอง

"ฉ-ฉันต้องไปสนามบินแล้วจริงๆ"

เธออยากไปด้วยความเร่งรีบ

ครั้งนี้ซูเมิ่งไม่ได้ห้าม ตะโกนไปทางด้านหลังที่รีบวิ่งออกไปห่างห้าเมตร

"เขาเลือกที่จะผ่าตัด การผ่าตัดสมองเดิมทีแล้วมันซับซ้อนมาก อาการเขาย่ำแย่มาก อัตราการสำเร็จน้อยกว่าห้าเปอร์เซ็นต์"

"พอแล้ว!" เจี่ยนถงหยุด "ใช้วิธีนี้อีกแล้วเหรอ? เขาเรียกให้คุณมาใช่ไหม? ตอนแรกอยู่อิตาลี ก็บอกว่าในสมองมีเลือดคั่ง เป็นวิธีที่เขาแกล้งโง่เขลา ต้องใช้มันกี่ครั้ง? คนโง่ถึงหลงกลอีก!"

"ฮ่าๆ" ซูเมิ่งได้ยินก็หัวเราะ "ใช่ ใช่ๆ เจี่ยนถงอย่างคุณไม่ใช่คนโง่! คุณไปเถอะ!"

ซูเมิ่งพูด "ไม่สิ ไม่ใช่ไป แต่เป็นการหนี หนีไปเลย"

"เจี่ยนถง คุณรีบหนีไปเถอะ หนีไปให้ไกลยิ่งดี หนีสิ่งที่คุณไม่กล้าเผชิญหน้า ฉันอยากถามคุณว่าสิ่งที่คุณไม่กล้าเผชิญตรงๆ คือเขาหรือว่าหัวใจของคุณเอง? ไม่ต้องกังวล ครั้งนี้จะไม่มีเสิ่นซิวจิ่นไปรบกวนคุณอีกต่อไปแล้ว จะไม่มีจริงๆ เจี่ยนถง ทำสิ่งที่คุณเก่งที่สุด หนีไปซะ!"

พูดจบ ซูเมิ่งก็หันตัวเดินจากไป

เธอไม่รู้ว่าตัวเองกำลังโกรธอะไร หรือว่าเดิมทีแล้วเธอไม่ได้โกรธ แค่รู้สึกเสียใจภายในใจเท่านั้น

ดูเหมือนว่าเธอเองจะไม่ได้รับตอนจบที่งดงาม

ในสายตาเธอ เห็นได้ชัดว่าหนึ่งเป็นการเสียใจที่ทำเรื่องผิดพลาดไป ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงมัน อีกหนึ่งคือกลัวเสียใจจึงหนีไปทุกที่ด้วยความสับสนเหมือนแมลงวันไร้หัว

สิ่งที่เธอกลัวไม่ใช่เสิ่นซิวจิ่นจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เธอกลัวคือ สักวันหนึ่ง เจี่ยนถงผู้หญิงโง่คนนั้นจะตื่นมาสู่ความจริง จมอยู่กับความเสียใจไปตลอดชีวิต บางทีผู้หญิงโง่คนนั้นจะไม่พูดมันออกมา แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ หัวใจก็ยิ่งขมขื่น

ผู้หญิงโง่คนนั้น……ขมขื่นมามากพอแล้ว

เจี่ยนถงรีบขึ้นรถไป

เธอไม่อยากฟัง ยิ่งไม่อยากไปคิดมัน

เธอกับเขา ก็คือความผิดพลาด ผิดพลาดตั้งแต่แรก จะทำให้ผลลัพธ์มันถูกต้อง

เธอก็แค่นำวงโคจรผิดพลาด ย้ายกลับไปยังเส้นทางที่ถูกต้อง……ใช่ เธอไม่ได้ทำผิด

เธอไม่ได้หนี

เธอไม่หนี

เธอ……เธอแค่อยากกลับไปที่ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ กลับไปอยู่ข้างๆ อาลู่

เธอแค่ทำตามคำสัญญากับอาลู่สำเร็จแล้ว ทำความฝันอาลู่สำเร็จแล้ว เธอแค่อยากตอบแทนบุญคุณอาลู่

ใช่ๆ มันเป็นแบบนี้แหละ

สนามบินหงเฉียว

ผู้หญิงคนหนึ่ง นั่งเก้าอี้อย่างเหม่อลอย

การประกาศในสนามบิน กำลังประกาศว่าเที่ยวบินของเธอกำลังขึ้นเครื่อง

ในการประกาศ เรียกชื่อเธอเป็นครั้งที่สามแล้ว ให้เธอรีบดำเนินการ

ผู้หญิงนั่งเงียบๆ ดวงตาคู่หนึ่ง มองไปข้างหน้าอย่างใจลอย

ในที่สุด การประกาศไม่รายงานชื่อเธอ กระตุ้นให้เธอดำเนินการขึ้นเครื่องอีกต่อไป

ท้องฟ้ามืดแล้ว ฝูงชนที่ขวักไขว่กันไปมาในสนามบิน ค่อยๆ น้อยลง แยกย้ายกันไป

ผู้หญิงยังคงนั่งเก้าอี้อยู่

เที่ยวบินของเธอบินขึ้นไปแล้ว ในขณะนี้ก็คงถึงจุดหมายปลายทางแล้วเช่นกัน

ฝูงชนโดยรอบ ตั้งแต่มากจนน้อย จากอารมณ์ครึกครื้น จนถึงพูดคุยสื่อสารกันเป็นครั้งคราว แวบผ่านข้างกายเธอไป

เวลาผ่านไปมากกว่าครึ่งวัน พนักงานต้อนรับภาคพื้นดินสนใจกับผู้หญิงแปลกคนนี้ เธอนั่งในสนามบินนานมาก ไม่ขยับไปไหน

"สวัสดีครับคุณผู้หญิง ไม่ทราบว่าต้องการความช่วยเหลือไหม?" บางทีอาจจะเพราะเห็นเธอเคลื่อนไหวแปลกๆ พนักงานต้อนรับภาคพื้นดินคนหนึ่งก็เดินมาสอบถามหยั่งเชิง……อย่างไรแล้วนี่ก็สนามบิน ถ้ามีคนแปลกๆ ปรากฏตัวขึ้น ถ้า……เป็นคนป่วยโรคประสาทล่ะ?

ใครจะไปรู้ ว่าจะทำอะไรขึ้นมา

ผู้หญิงแปลกคนนั้น ไม่ได้ตอบเขา เขาก็ถามอีกครั้งอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย "สวัสดีครับ มีอะไรที่ผมช่วยคุณได้ไหมครับ?"

ทันใดนั้น ผู้หญิงแปลกคนนั้นก็ยืนขึ้นมาทันที แล้วพูดขึ้นช้าๆ

"ไม่เป็นอะไรค่ะ ขอบคุณค่ะ"

เข็นกระเป๋าเดินทางของตัวเอง ขยับฝีเท้าเดินจากไปช้าๆ

"แปลกจัง ผู้หญิงคนนี้" พนักงานต้อนรับภาคพื้นดินพูดกับเพื่อนร่วมงานอีกคนที่เดินมา

เจี่ยนถงเข็นกระเป๋าเดินทาง เดินออกไปจากสนามบินช้าๆ ดึกเงียบสงัด เธอเงยหน้า มองท้องฟ้าที่มืดมิด

ควักโทรศัพท์ออกมาช้าๆ กดโทรเบอร์ซูเมิ่ง เสียงเรียกเข้าดังขึ้นแค่สองครั้ง คนที่อยู่ปลายสายก็รับมัน

เสียงแหบของเธอ พูดขึ้นอย่างทุ้มต่ำ

"ฉันเกลียดเขาขนาดนี้ ทำไมอยากดูสภาพอนาถของเขาที่ป่วยใกล้ตายด้วย พี่เมิ่ง พี่ช่วยบอกทางฉันที"

ปลายสายโทรศัพท์ ซูเมิ่งตกตะลึงสักพัก ครู่ต่อมา ริมฝีปากแดงยิ้มออกมา

"คุณอยู่ไหน ฉันจะไปรับคุณ"

"สนามบิน"

"โอเค คุณรอฉันนะ"

"งั้นที่นายมาวันนี้ มาเพื่อสำรวจตาแก่กับฉันเหรอ?" บนเตียงผู้ป่วย ผู้ชายหัวเราะเบาๆ ในดวงตาไม่เชื่ออย่างชัดเจน "ลู่หมิงชู ตาแก่ไม่กลัวฉันตาย เขายังมีหลานชายอีกคนที่สืบทอดตำแหน่งเขา"

ลู่หมิงชูหัวเราะเสียดสีขึ้นมา

"ตระกูลเสิ่นสถานที่สกปรกนั่น นายคิดว่าฉันอยากกลับไปเหรอ?"

"นายไม่ต้องการบริษัทเสิ่นซื่อเหรอ?" เสิ่นซิวจิ่นพูดอย่างเย็นชา "กลัวว่าจะทำให้นายผิดหวัง"

"บริษัทเสิ่นซื่อน่ะ" สายตาลู่หมิงชู ผ่านเสิ่นซิวจิ่นไป มองไปนอกหน้าต่างไกลๆ "เป็นสิ่งที่ดีนะ ถ้าฉันอยากได้ นายจะให้เหรอ?"

"ถ้าฉันไม่ให้ นายก็จะไม่แย่งเหรอ?"

"กับนาย ฉันต้องแย่งอยู่แล้ว" ลู่หมิงชูเผยความทะเยอทะยานออกมา "แต่ถ้านายตายไปแล้ว ฉันก็จะไม่แย่งเธอ"

เสิ่นซิวจิ่นหรี่ตามองไป "นายมีความรู้สึกลึกซึ้งกับเธอ ฉันต้องฝากฝังก่อนตายไหม?"

"ช่างมันเถอะ นายเองก็ป่วยจะตายอยู่แล้ว พวกเธอสองคนหย่ากันแล้วไม่ใช่เหรอ? เรื่องของเธอมันก็ไม่เกี่ยวกับนาย ฝากฝังก่อนตายเหรอ? นั่นก็ต้องดูว่าตอนนี้นายมีคุณสมบัตินี้ไหม"

ลู่หมิงชูพูดจบก็ยืนขึ้น "เยี่ยมก็มาเยี่ยมนายแล้ว ฉันไปก่อนล่ะ"

"นี่นายมาเยี่ยมฉันเหรอ? นายใจดีขนาดนี้เชียว?"

"ฉันมาเยี่ยมดูว่านายใกล้ตายแล้วใช่ไหม ยังไงแล้วเราก็ยังมีสายเลือดเดียวกัน นายคิดว่าฉันอยากมาเยี่ยมนายเหรอ?"

ลู่หมิงชูโต้กลับอย่างเสียดสี

"แต่นายวางใจได้ ถ้านายตายไปจริงๆ ฉันจะไม่แย่งบริษัทเสิ่นซื่ออีก"

พูดจบ เสิ่นซิวจิ่นบนเตียงผู้ป่วยก็เงียบไป แต่ก็พูดขึ้น

"โอเค นายจำคำที่พูดในวันนี้ไว้นะ"

"ไปแล้วนะ" คนด้านหลังโบกมืออย่างสง่าผ่าเผย มืออีกข้างล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วเดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผย

เสิ่นเอ้อเข้ามา "บอส คุณชายไป๋มาแล้วครับ"

"เขาออกมาแล้ว?" เสิ่นซิวจิ่นเงยหน้าขึ้น "เจี่ยนโม่ป๋ายออกจากห้องปลอดเชื้อแล้ว น่าจะใช่ น่าจะใกล้ออกจากห้องปลอดเชื้อแล้ว"

ไป๋ยู่สิงที่อยู่ตรงประตูเปลี่ยนเป็นเสื้อกาวน์สีขาว "นายยังมีอารมณ์ไปเป็นห่วงไอ้กระจอกนั่นอีก"

ในมือเขาถือเคสผู้ป่วยของเสิ่นซิวจิ่นอยู่

"เนื้องอกในสมอง ไปกดทับเส้นประสาทตาและเส้นประสาทส่วนกลาง……ต้องการผ่าตัดจริงๆ เหรอ?"

อารมณ์เขาไม่ค่อยดี พอออกมาจากห้องปลอดเชื้อ ก็รู้ข่าวอาการป่วยที่รุนแรงของเสิ่นซิวจิ่น

"ตอนแรกแกล้งโง่เขลา บอกว่ามีเลือดคั่งในสมอง โชคไม่ดี มีอะไรบางอย่างงอกในสมองจริงๆ"

"นายอย่ายิ้ม นายยังยิ้ม หรือว่านายไม่รู้ว่าอาการตัวเองตอนนี้มันแย่มากแค่ไหน?"

ไป๋ยู่สิงทำหน้าจริงจัง "การผ่าตัดนี้ อัตราล้มเหลวสูงมาก ถึงจะสำเร็จก็อาจจะเสี่ยงอันตรายเป็นอัมพาตหรือตาบอด"

"ต้องทำการผ่าตัด" ผู้ชายทำหน้าสงบนิ่ง ราวกับเขาไม่ได้มีอาการป่วยรุนแรง ไม่แยแสเหลือเกิน

"ชีวิตนี้ของฉัน สิ่งที่ควรเพลิดเพลินก็เพลิดเพลินหมดแล้ว สิ่งที่เสียใจเพียงอย่างเดียว……" ขณะที่เขาพูด ก็หยุดเล็กน้อย "ช่างเถอะ มันผ่านไปหมดแล้ว"

ไป๋ยู่สิงหัวเราะเยาะเย้ย "ตอนนี้พูดว่าทุกอย่างผ่านไปหมดแล้ว ตอนแรกทำไมไม่พูดคำนี้ล่ะ? ฉันว่านายแปลกจริงๆ ตอนแรกทำทุกวิถีทาง ก็ไม่ยอมปล่อยมือ ตอนนี้ป่วยแล้วก็ไล่เธอไป"

ในใจไป๋ยู่สิงเจ็บปวดเล็กน้อย "ตอนนี้ฉันเชื่อหมดใจแล้วว่านายรักเธอมากจริงๆ"

ผู้ชายไม่พูด

ไป๋ยู่สิงก็ต้องไม่สนใจ

"ได้ยินว่าเธอจะกลับไปทะเลสาบเอ๋อร์ไห่"

ผู้ชายได้ยินก็ร่างแข็งทื่อเล็กน้อย ผ่านไปสักพักก็พูดเสียงแหบแห้ง

"เธอชอบที่นั่น นั่นเป็นที่ที่ดี ก็ดี ก็ดี"

"นายไม่ไปเจอเธออีกครั้งเหรอ? บางทีอาจจะเป็นการเจอครั้งสุดท้าย"

ในฐานะเพื่อน เขาไม่อยากพูดลางไม่ดีและหดหู่แบบนี้ ในฐานะแพทย์ เขาแน่ใจอย่างมากว่าอาการป่วยของเพื่อนย่ำแย่มาก

"ไม่……ไม่เจอแล้ว" ผู้ชายหันไปมองนอกหน้าต่าง "เธอเกลียดฉัน ฉันรู้มาตลอด"

"นาย……" เดิมทีแล้วไป๋ยู่สิงอยากพูดว่าทำไมเขาเป็นแบบนี้ พอมาคิดๆ ดู เขาก็เคารพการตัดสินใจของเพื่อน "นายนอนหลับเยอะผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆ อาการแบบนี้ ทำไมไม่บอกฉันให้เร็วหน่อย? ถ้ารู้ตั้งแต่ครึ่งปีก่อน อัตราการผ่าตัดจะสำเร็จสูงถึงหกสิบเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้……"

"แต่ฉันก็ได้มีช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดกับเธอ" ถึงเขาจะแสร้งทำเป็นโง่เขลา แต่ก็ยังเป็นวันที่เขามีความสุขมากที่สุด

ไป๋ยู่สิงส่ายหน้า หันตัวเดินจากไป

……

ซูเมิ่งมาอำลาเจี่ยนถง "จะไปแบบนี้เหรอ?"

"พี่เมิ่ง ขอบคุณมากๆ ที่ดูแลในช่วงปีที่ผ่านมา"

"คุณไปแล้ว เจี่ยนซื่อจะทำยังไง?"

"เจี่ยนโม่ป๋ายอยู่ในช่วงฟื้นตัว เจี่ยนซื่อ ฉันก็จัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว วิเวียนจะรับผิดชอบงานส่วนใหญ่ในช่วงที่เจี่ยนโม่ป๋ายฟื้นตัว และจะช่วยเจี่ยนโม่ป๋ายรับทุกอย่างของเจี่ยนซื่อ"

"ใช่ๆๆ คุณเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อาการป่วยของเจี่ยนโม่ป๋าย เตรียมเรียบร้อยแล้ว วิเวียนคนน่าเชื่อถือก็เตรียมเรียบร้อยแล้ว แม้แต่ชีวิตในอนาคตของแม่ที่เอาเปรียบของคุณก็เตรียมเรียบร้อยแล้ว กิจการของเจี่ยนซื่อก็เตรียมเรียบร้อยแล้ว คุณเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว แต่คุณไม่ได้คำนึงถึงประธานเสิ่นเลย?"

เจี่ยนถงขยับริมฝีปากปิดๆ เปิดๆ "เขาปล่อยฉันไปแล้ว"

"เขาปล่อยคุณไป หรือคุณอยากไป?"

ซูเมิ่งเข้ามาใกล้ทีละก้าว

"ต่างกันตรงไหน!" เจี่ยนถงหงุดหงิดเล็กน้อยแล้ว "ฉันไม่อยากพัวพันกับเขาแบบนี้อีกต่อไปแล้ว ไม่ได้เหรอ? ฉันอยากกลับมาใช้ชีวิตที่สงบสุข ไม่ได้เหรอ? เขาพูดเอง เกมนี้เขาเบื่อแล้ว เขาเบื่อฉันแล้ว!"

เจี่ยนถงยิ่งพูดยิ่งหงุดหงิด "เขากับฉัน มันเป็นความผิดพลาดตั้งแต่แรก ทุกอย่างตอนเริ่มต้น มันก็แค่ความผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า คุณจะไปรู้อะไร?"

"ใช่ ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น! ฉันแค่ถามคุณ เจี่ยนถง คุณยังรักเขาไหม!"

"……" เจี่ยนถงหยุดกะทันหัน

เธอยังรักเขาไหม?

"……ฉันแค่อยากใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบสุข"

"คุณดูสิ คุณลังเลแล้ว" ซูเมิ่งเหมือนผู้บุกรุกยึดพื้นที่ จับจุดนี้ได้ ต้องการโจมตีผู้หญิงคนนี้ทีละนิด

"ฉันแค่ถามคุณว่า คุณยังรักเขาอยู่ไหม คุณก็ลังเลแล้ว คุณรู้จักตัวเองจริงๆ ไหม? เจี่ยนถง สำหรับฉัน คุณแค่กำลังหนี เลือกที่จะหนีไม่หยุดหย่อน สามปีก่อน คุณพยายามหลบหนีทุกวิถีทาง ตอนนี้คุณก็ยังไม่มีความคืบหน้าสักนิด คุณยังคงหนีอยู่ ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่คือดินแดนแห่งความฝันคุณเหรอ? ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ให้ความสงบสุขกับคุณได้เหรอ? งั้นขอโทษที่ฉันพูดไม่สุภาพสักประโยคนะ ถ้าแค่อยู่ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่แล้วมันทำให้คุณสงบได้ งั้นแสดงว่าในใจคุณไม่เคยสงบมาก่อนเลย ไม่เคยปล่อยตัวเองมาก่อน ถ้าคุณไม่สนใจอะไรทั้งนั้นจริงๆ ลืมทุกอย่าง ไม่เห็นในสายตาทุกอย่าง งั้นคุณก็สงบจิตสงบใจ สงบไปทุกที่ ไม่จำเป็นต้องเป็นทะเลสาบเอ๋อร์ไห่! ไม่จำเป็นต้องเป็นหยุนหนานต้าหลี่! คุณมันไม่มีอนาคตเลยจริงๆ หนีๆๆ ไม่หยุด ทำไม ติดคุกมาสามปี ก็ตกใจกลัวจนคุณไม่กล้าหยุดมองดูรอบๆ ดูผู้คนรอบๆ เรื่องราวรอบๆ ทิวทัศน์รอบๆ เหรอ? ตกใจกลัวจนคุณไม่กล้ามองภายในใจตัวเองให้ชัดๆ อีกแล้วเหรอ? แถมยังตกใจกลัวเหมือนนกตื่นธนู หลบหนีไปทั่ว?"

เจี่ยนถงตัวสั่นไปทั้งร่าง สีเลือดบนใบหน้าจางลง "หยุดพูดได้แล้ว! คุณอย่าพูดแล้ว!"

คำพูดซูเมิ่ง มันเหมือนแผ่นเสียง ดังอยู่ในหัวสมองไม่หยุด เธออยากกดปุ่มหยุด แต่พบว่าปุ่มมันล้มเหลว

ลู่หมิงชูรีบไปที่บ้านใหญ่ตระกูลเสิ่น

"คุณเป็นคนสั่งใช่ไหม?"

ตะโกนถามท่านแก่เสิ่นที่กำลังดื่มชาอย่างสบายๆ อย่างไม่เข้าใจ

"นายวิ่งมาที่นี่อย่างไร้เหตุผล……แล้วมีท่าทีแบบนี้กับปู่เหรอ?" ท่านแก่เสิ่นวางถ้วยชาเล็กในมือลง ใบหน้าแก่หนักอึ้ง

"คุณสั่งให้พ่อบ้านเซี่ยทำแบบนั้นใช่ไหม ไม่อย่างนั้นพ่อบ้านเซี่ยยังไงก็คงไม่กล้าหรอก?"

"พ่อบ้านเซี่ยอะไร คำสั่งอะไร?"

"เจี่ยนถงเกิดอุบัติเหตุรถชน คุณเป็นคนสั่งอยู่เบื้องหลัง ฉันกำลังถามคุณว่าใช่ไม่ใช่!" ลู่หมิงชูตื่นตระหนกด้วยความโกรธ

ท่านแก่เสิ่นได้ยินชื่อเจี่ยนถง สีหน้าอึมครึมทันที "ทำไม? นายอยากจะคัดค้านกับปู่ตัวเองเพื่อเธอเหรอ?"

"นั่นแสดงว่า……คุณยอมรับโดยปริยายแล้ว"

ลู่หมิงชูบีบกำปั้น โกรธจนทั้งร่างสั่นเทิ้ม "เธอไปทำอะไรให้คุณโกรธ?"

"เธอทำให้ฉันโกรธทุกอย่างนั่นแหละ"

"เธอก็แค่ผู้หญิง เธอทำให้คุณไม่พอใจตรงไหน นับๆ แล้ว เธอก็ต้องเรียกคุณว่าปู่ คูณก็ถือว่าเห็นเธอเติบโต แค้นอะไรขนาดนั้น คุณถึงได้ทำร้ายเธอไปเสียทุกที่?"

"ฉันทำร้ายเธอทุกที่เหรอ?"

"ตอนแรกเรื่องนั้นของเซี่ยเวยเหมิง คุณอย่าบอกว่าไม่ใช่แผนที่คุณตั้งใจทำ คุณอย่าบอกว่าไม่ใช่ฝีมือคุณ ตอนแรกเล่นงานเธอ ตอนนี้ไม่คิดว่าจะสั่งพ่อบ้านเซี่ย คุณจะไม่เลิกรากับเธอเหรอ? ฉันไม่รู้ว่าเธอไปทำอะไรให้คุณโกรธ! คุณถึงยุ่งไม่เลิกราแบบนี้!"

ท่านแก่เสิ่นก็ถูกกระตุ้นจนโกรธแล้ว ทุบถ้วยชาเล็กในมือดังปัง "เธอทำอะไรให้ฉันโกรธเหรอ? เธอทำให้ฉันโกรธทุกอย่าง! พวกนายแต่ละคน หลงเธอจนตามัวไปหมด? ตอนแรกควรทำลายใบหน้าเธอ ดูสิว่าเธอจะยั่วยวนผู้ชายด้วยความน่าสงสารยังไง!"

ลู่หมิงชูไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่หูตนได้ยิน "คุณแก่อายุมากขนาดนี้แล้ว ยังพูดจาแบบนี้ออกมาได้อีกเหรอ? ยั่วยวนอะไร? ถึงขั้นพูดจาแย่แบบนี้เลยเหรอครับ?"

"หรือว่าฉันพูดผิด? หลานชายสองคนของฉัน แต่ละคนทำเพื่อเธอ เป็นศัตรูกับฉัน แต่ละคนทำเพื่อเธอ ไม่เอาครอบครัวแล้ว เธอเป็นภัยพิบัติอันตราย ตอนแรกควรฉวยโอกาสตอนที่เธอยังอยู่ในผ้าอ้อม ส่งเธอไปไว้ในหุบเขาซะ หลายสิบปีต่อมาหลานชายสองคนของฉัน จะได้ไม่ทำเพื่อเธอจนไม่รู้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร!"

"ผ้าอ้อม?" ลู่หมิงชูจับประเด็นได้ทันที "นี่คุณกำลังพูดอะไร?"

ท่านแก่เสิ่นยิ้มเยาะ

"ฉันพูดอะไรไม่สำคัญ ที่สำคัญคือ หลานชายสองคนของฉันหลงเธอจนตามัวไปหมด! ลูกหลานตระกูลเสิ่น จะตกอยู่ใต้ชายกระโปรงผู้หญิงได้ยังไง? ลูกหลานตระกูลเสิ่น ควรใช้กลยุทธ์ที่โดดเด่น โหดอย่างที่ควรโหด แน่วแน่อย่างที่ควรแน่วแน่ ห้ามถูกผู้หญิงมาขัดขวางมือขวางเท้า!"

"นี่คุณเพราะเรื่องนี้เหรอ? เพราะเรื่องนี้คุณถึงหาเรื่องเธอครั้งแล้วครั้งเล่า?"

"ใช่ ฉันทำเพราะสิ่งนี้ พวกนายแต่ละคน ทิ้งอาชีพการงานไม่สนใจ เอาแต่อยู่ล้อมรอบเธอ ลูกหลานตระกูลเสิ่นของฉันจะเป็นแบบนี้ได้ยังไง!"

ท่านแก่เสิ่นทำหน้ามืดมน "ฉันจะบอกนายให้ เธอหนีไปได้ช่วงหนึ่งเท่านั้นแหละ!"

ความหมายก็คือ เขาจะหาเรื่องเธอตลอดไป

ลู่หมิงชูสูดอากาศเย็น

"คุณคิดจะทำอะไรอีก!"

"ฉันคิดจะทำอะไรเหรอ? ฉันจะทำเพื่อลูกหลานตระกูลเสิ่นให้ดีก่อน! คนในตระกูลเสิ่นของฉัน ไม่อนุญาตให้เห็นความสำคัญของความรักชายหญิง!"

ลู่หมิงชูตื่นตระหนกด้วยความโกรธ ทำอะไรกับชายแก่ตรงหน้าไม่ได้

ไม่มีวิธีป้องกัน ถ้าท่านแก่เสิ่นเอาแต่คิดถึงเธอตลอดเวลา มันจะต้องเกิดขึ้นบ่อยยากที่จะป้องกันจริงๆ

เขาโกรธจนทั้งร่างสั่นเทิ้ม นานสักพัก ก่อนจะคลายกำปั้น เหมือนไก่ที่พ่ายแพ้

"หรือว่า……ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ถ้าฉันไม่ติดต่อเธออีก คุณจะไม่ลงมือทำอะไรเธอ"

ท่านแก่เสิ่นอยากตอบว่า "แน่นอนว่าไม่" ด้วยสัญชาตญาณ คำพูดอยู่ที่ริมฝีปาก มองการวิงวอนในดวงตาลู่หมิงชูตรงหน้า เขาก็ยกมุมปากขึ้น เลิกคิ้วชราวัย

"ได้ หลานชายสองคน อีกคนช่วยไม่ได้แล้ว ส่วนนายจะไม่สนใจเธออีกต่อไป ฉันจะสัญญากับนายว่าจะไม่ทำอะไรเธออีก"

ลู่หมิงชูมองชายชราตรงหน้าอย่างลึกซึ้งและไร้หัวใจ "คนแก่อย่างคุณพูดแล้วรักษาคำพูดนะ"

"ฉันพูดแล้วรักษาคำพูดตลอด"

ลู่หมิงชูพยักหน้า "นี่เป็นครั้งสุดท้าย ถ้าผมดำเนินชีวิตตามที่คุณจัดเตรียม ทำตามความคิดของคุณ แล้วคุณยังทำอะไรเธออีก ผมจะ……ทำให้คุณตายอย่างโดดเดี่ยว"

นี่คือการบอกลาท่านแก่เสิ่น

ในดวงตาท่านแก่เสิ่นมีความไม่พอใจเล็กน้อยปรากฏขึ้น แต่ก็ยังพยักหน้า "โอเค"

……

ภายในโรงพยาบาล

ห้องผู้ป่วยVIPห้องหนึ่ง วันนี้ปรากฏร่างไม่คาดคิดร่างหนึ่ง

"ให้เขาเข้ามา"

ภายในห้องผู้ป่วย ผู้ชายพูดน้อย

ประตูห้องผู้ป่วยเปิดออก ผู้ชายที่โดดเด่นเหมือนกันก็เข้ามา

"ข่าวนายไวมากจริงๆ"

บนเตียงผู้ป่วย ผู้ชายยกปากขึ้นอย่างไม่แยแส กลีบปากไม่มีสีเลือดแม้แต่นิด

"ฉันมีแหล่งที่มาของข่าว แม้ว่านายจะซ่อนตัวดีแค่ไหน ไม่รับประกันว่าจะไม่เผยพิรุธกับคนของฉัน"

"เฮอะ" ผู้ชายยกยิ้มเบาๆ "อยากได้บริษัทเสิ่นซื่อ นายก็ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้น รอฉันตาย บริษัทเสิ่นซื่อก็จะเป็นของนายแน่นอน"

"ช่างมันเถอะ" ผู้ที่มาก็หาเก้าอี้มานั่งเอง "นายตายไปแล้ว ทรัพย์สินทั้งหมดก็จะส่งไปให้เธอหมดล่ะมั้ง"

ไม่ได้บอกว่า "เธอ" คือใคร แต่เห็นได้ชัดว่าผู้ชายที่อยู่บนเตียงผู้ป่วย ในดวงตาเป็นประกาย

"นายรู้จักฉันดีมาก"

"ไม่ๆๆ" ผู้ที่มานั้นแกว่งนิ้วชี้

"แค่วันนั้น ฉันเห็นทนายจางเดินออกมาจากโรงพยาบาลพอดี ทนายจางเป็นคนที่นายว่าจ้างส่วนตัว ให้บริการเสิ่นซิวจิ่นอย่างนายและบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปโดยเฉพาะ เขาถือกระเป๋าเอกสาร ด้านหลังมีเสิ่นเอ้อเดินตาม ซึ่งเป็นคนที่อยู่กับนาย คงไม่ได้มาหาหมอมั้ง"

"นี่นายตามเงื่อนงำ แล้วมาหาฉันที่นี่เหรอ?"

ถึงจะเป็นคำถาม แต่เป็นการยืนยันการคาดเดาอย่างเห็นได้ชัด

"แต่ก็ต้องใช้ความสัมพันธ์นิดหน่อย ถึงจะรู้ว่านายหย่ากับเธอแล้ว ฉันคิดไม่ออกจริงๆ นายมีเหตุผลอะไรที่จะหย่ากับเธอ ตอนแรกตามจีบไม่ยอมปล่อยมือ ใช้ทุกวิถีทาง ถึงขนาดแกล้งโง่ด้วยซ้ำ เรื่องไร้ยางอายพวกนี้ นายก็ทำหมด ฉันไม่เชื่อว่านายจะออกตัวหย่ากับเธอ พอสืบเจาะลึกนิดหน่อยก็รู้แล้ว"

"นายนี่มีฝีมือจริงๆ"

"เฮอะ ไม่เท่านายหรอก จะตายอยู่แล้ว ข้างนอกไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด แม้แต่ภายในบริษัท ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายเลย ตาแก่นั่นในบ้านใหญ่ก็ไม่รู้ อืม……นายว่า ถ้าฉันเผยข่าวที่นายกำลังจะตายให้ตาแก่นั่นที่บ้านใหญ่รู้ นายเดาสิว่าเขาจะร้องไห้เสแสร้งไหม?"

"เขาคงร้องไห้เสแสร้งแหละ ได้บริษัทเสิ่นซื่อรวดเดียวสำเร็จ มีเวลาว่างอาจจะมาจุดธูปหอมที่หลุมฝังศพฉัน จะได้รำลึกฉันสักหน่อย"

"ฮ่าๆๆๆ ……" เห็นได้ชัด ผู้ที่มานั้นขำคำพูดของชายที่อยู่บนเตียงจนน้ำตาแทบไหล "นายรู้จักเขามากจริงๆ"

"แน่นอน" บนเตียงผู้ป่วย ผู้ชายยกมุมปากอย่างเย็นชา

"แต่ฉันเดาว่าที่นายเรียกทนายจางมา ไม่ใช่แค่ดำเนินการหย่า มันเป็นการฆ่าไก่ด้วยมีดฆ่าวัว ฉันเดาว่านายทำพินัยกรรม ตายแล้วจะมอบมรดกให้เธอล่ะสิ ดูเหมือนตาแก่จะดีใจไปเสียเปล่า ฉันยังไม่บอกเขาดีกว่า เขาจะได้ไม่ยุ่งไปเสียเปล่า อายุเยอะขนาดนี้แล้ว เลือดลมจะไหลย้อนจนตายเอา"

"นายก็กตัญญูดีนะ"

สามวันติดต่อกัน คนคนนั้นก็ไม่ก้าวเข้ามาในบ้านอีกเลยแม้แต่ครึ่งก้าว

เสิ่นซานเสิ่นซื่อเหมือนเทพทวารบาล คนหนึ่งอยู่ซ้าย คนหนึ่งอยู่ขวา หน้าตาไร้อารมณ์

ที่อยู่อาศัยเดิมโดนทำลายเกือบหมด เธอเข้าไปที่บ้านตระกูลเสิ่นอีกครั้ง ลานกว้างลึก ไร้เสียงนกร้องและดอกไม้บาน พ่อบ้านในบ้านก็ทุ่มเทให้กับงานมาก ทุกอย่างเตรียมการอย่างเหมาะสมแล้ว

นอกจากเสิ่นซานและเสิ่นซื่อ เธอไม่มีใครคุยด้วยแม้แต่คนเดียว

ไม่สิ ถึงจะเป็นเสิ่นซานและเสิ่นซื่อ ก็ไม่คุยกับเธอ

สำหรับพ่อบ้านในครอบครัว เมื่อเห็นเธอ ก็มักจะเคารพและสุภาพ

หูของเธอ กลายเป็นของตกแต่ง ปากของเธอก็กลายเป็นของตกแต่งเช่นกัน

คนรับใช้ในครอบครัว บ้างก็คุ้นหน้า บ้างก็แปลกหน้า แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร เมื่อเห็นเธอ ก็จะพยักหน้าด้วยความเคารพแล้วก็เดินอ้อมไป

มีแค่ชาวสวนในสวนดอกไม้เท่านั้น ที่เธอดูแล้วไม่เบื่อ

แต่ฤดูกาลนี้ ดอกไม้และต้นไม้เหี่ยวไปนานแล้ว ไม่มีดอกไม้ที่มีสีสัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงดอกไม้งามสะพรั่ง

ต้นไม้สูงใหญ่มีน้ำแข็ง และยังมีความเขียวขจีเศษเล็กเศษน้อย

นอกจากนั้น ก็ไม่มีใครที่คุยด้วยได้แม้แต่คนเดียว……แม้แต่สัตว์

ในขณะนี้เวลานี้ เธอไม่คิดว่าจะนึกถึงสิ่งที่คนคนนั้นเคยพูด ตอนที่เขาเหงา สิ่งเดียวที่เขาคุยด้วยคือปลาในสระว่ายน้ำ

แต่……นั่นก็แค่เรื่องโกหกเท่านั้น

อีกหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป

ในลานกว้างลึกแห่งนี้ เธอยังคงอยู่คนเดียวเหงาๆ

คนคนนั้น ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว กลับไม่ปรากฏต่อหน้าเธออีกเลย บางครั้งเสิ่นอ้อกลับมา ก็แค่นำเสื้อผ้าบางส่วนมาเปลี่ยน รีบมารีบไป

นอกจากความสับสนไม่รู้จบนี้ ใบหน้าเสิ่นซานและเสิ่นซื่อ ก็ยิ่งเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ

เธอเดาไม่ออกจริงๆ ว่าทำไมสองคนนี้ถึงได้เป็นเช่นนี้

วันหนึ่งกลางฤดูหนาว ประตูใหญ่เหล็กดัดสีดำของบ้านตระกูลเสิ่นถูกเปิดออกอีกครั้ง จากไกลๆ เธอมองเห็นจากชั้นสอง รถเบนท์ลีย์อันคุ้นเคยคันนั้นขับเข้ามา

เห็นรถคันนั้น ก็ตกตะลึง

เขา……สุดท้ายแล้วก็กลับมา

ละสายตากลับไป เธอไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับคนคนนั้นอย่างไร

เวลาผ่านไปทีละนิด พ่อบ้านอยู่นอกประตูเชิญเธอลงไปข้างล่างด้วยความเคารพ

เธออยากพูด ว่าไม่ไปเจอคนคนนั้นได้หรือไม่

พ่อบ้านกลับหันตัวไปแล้ว เดินจากไปอย่างห่างเหิน

ชะลอแล้วชะลออีก เธอก็ยังลงไปข้างล่าง

หัวเราะเยาะตัวเองในใจ……ตั้งแต่เมื่อไร เธอเรียนรู้แล้วว่า ผู้รู้สถานการณ์ คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ

หัวเราะเยาะตัวเองเบาๆ รอยยิ้มยังไม่ทันผลิบาน มันก็ถูกซ่อนไว้ในแก้มของเธอที่ซูบผอมลงทุกวัน

ที่บันได มีร่างสูงตระหง่านยืนเงียบๆ

คือคนคนนั้น

คนคนนั้นยืนอยู่ที่นั่น เชิดคางขึ้นเล็กน้อย มองเธอที่อยู่ตรงบันไดอย่างเงียบๆ

ในขณะนี้ ทำให้เกิดความรู้สึกประหลาด คนคนนั้นเหมือนภาพวาดม้วนที่อยู่นิ่ง ยืนเงียบๆ อยู่ในภาพวาด คนในภาพวาด กำลังมองเธออย่างเงียบๆ

เสิ่นเอ้อยังคงยืนด้านหลังคนคนนั้นด้วยความเคารพ เหมือนผู้พิทักษ์นิรันดร์

คนคนนั้นมองเธอสักพัก ก็ยื่นมือออกมา กวักเรียกเธอที่อยู่บนตึก "มานี่"

เสียงทุ้มต่ำที่โดดเด่นของคนคนนั้น มันมีความอ่อนโยนนิดหน่อยที่หาได้ยาก

เธอเงียบ และรู้ว่าหลบไม่พ้น

เดินหน้าต่อไป

ราวกับเป็นศตวรรษ เธอตั้งใจชะลอมัน เธอนึกว่าคนคนนั้นอารมณ์ไม่ดีอยู่เสมอ และขาดความอดทน จะต้องเร่งเร้าหลายครั้ง แต่เขาเหนือความคาดหมายของเธอ ยืนอยู่ตรงบันไดเงียบๆ สายตามองต้อนรับเธอที่เดินมาหาเขาเหมือนหอยทาก

อย่างอธิบายไม่ถูก ในเวลานี้ มีภาพลวงตาอย่างหนึ่ง ราวกับว่าคนคนนั้นรอเธอมานานกว่าศตวรรษ มันเนิ่นนานมาก กลายเป็นหินปูน ยังคงยืนตระหง่านรออยู่ เพื่อรอเธอ

แต่เพิ่งเริ่มความคิดอันเหลือเชื่อ เธอก็กำจัดความคิดในใจทันที……ไร้เดียงสาอีกแล้วไม่ใช่เหรอ

ยิ่งไปกว่านั้น……เธอไม่รู้แล้วว่าจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไร จัดการวางตัวเองอย่างไร

ศตวรรษหนึ่งยาวนานแค่ไหน เธอไม่รู้ แต่ในที่สุดเมื่อเธอเดินมาถึงหน้าเขา ปลายเท้าไม่มีแรง เธอยืนตรงหน้าเขาอย่างเงียบๆ เธอไม่กล้าเงยหน้ามอง ยังคงรู้สึกได้ถึงสายตาอ่อนโยนที่มาจากเหนือศีรษะ

บางทีอาจจะเพราะอยากรู้ บางทีอาจจะเพราะสมองเธอกระตุก ยกสายตาขึ้นเงียบๆ แอบเหลือบมอง แล้ว……ก็ไม่สามารถละสายตาไปได้อีก

ถูกความรู้สึกซับซ้อนมากมายในสายตาเขายึดเอาไว้อย่างลึกซึ้ง

ความอ่อนโยน ความอาลัยรัก ความโหยหา และ……และอะไรอีก?

เธอนึกคำศัพท์ที่เคยเรียนในหัวใจอย่างต่อเนื่อง ต้องการนำหนึ่งคำออกมาจากคำศัพท์เหล่านั้น……แต่ เธอหาในความทรงจำ ก็ยังหาไม่เจอคำที่สอดคล้องได้

ในดวงตาเธอ ค่อยๆ มีความสับสนทีละนิด

ในแววตาของคนคนนี้ เธอไม่เข้าใจมันแล้ว

รู้สึกคุ้นตา เหมือนเคยเห็นมาก่อน และรู้สึกแปลกตาอีกครั้ง ไม่เคยเห็นมาก่อน

ฝ่ามืออบอุ่นข้างหนึ่ง ด้วยการไม่ทันได้เตรียมตัว ไม่ได้ทักทายเธอสักครั้ง ตกลงมาที่ขมับหน้าผากเธอเบาๆ

ถูรอยแผลเป็นของเธอที่ไม่สามารถลบได้อีกแล้วเบาๆ

"ตอนนั้น เจ็บมากเลยสินะ"

คนคนนั้นถามอย่างอ่อนโยน

เธอหงุดหงิดกับความอ่อนโยนนี้ ยื่นมือไปสะบัดออกอย่างไม่เกรงใจสักนิด "ไม่เจ็บ" ร่างกายเธอฝึกมาเป็นร้อยครั้ง เจ็บกว่านี้ก็ผ่านมาแล้ว

ถามเธอว่าเจ็บไม่เจ็บ…..แสร้งเป็นคนดีอะไร

ในตอนนั้น เธอคิดแบบนี้

หลังมือคนคนนั้น มีรอยบวมแดงขึ้นทันที

เสิ่นเอ้อจ้องมองด้วยความโกรธ คนคนนั้นโบกมือปฏิเสธ "พวกนายออกไปข้างนอกให้หมด"

เสิ่นเอ้อไม่ยอมจากไป ในขณะเดียวกัน คนรับใช้ภายในบ้าน ก็ถอยกลับไปนอกลานบ้านด้วยการนำของพ่อบ้าน

ในช่วงเวลาหนึ่ง ที่ห้องรับแขกกว้างใหญ่ ก็มีแค่เธอกับเขา

คนคนนั้นยื่นมือออกมาถูหลังมือที่บวมแดงของตน เหมือนเอาอกเอาใจ

"ไม่เป็นไร"

แต่เธอไม่รู้ ว่าควรทำลายความเงียบอันแปลกประหลาดนี้อย่างไร

เสียงของคนคนนั้น ดังขึ้นอีกครั้ง

"ฉันยังจำงานเลี้ยงวันเกิดสิบแปดปีของคุณได้ ท่าทางคุณในตอนนั้น แยกเขี้ยวยิงฟัน ดื้อด้านเอาแต่ใจไม่เห็นฉันในสายตา ฉันยังจำคุณในตอนนั้นได้ เหมือนเสือน้อย แยกเขี้ยวยิงฟันโชว์ฟันเสือที่เพิ่งขึ้น……น่าสนใจมาก"

"ฉันจำไม่ได้แล้ว"

เธอแค่ต้องการไม่เห็นด้วยกับเขา

"ฉันจำได้ มันคือช่วงบ่ายในฤดูร้อน ฉันหลับตาพักผ่อนใต้ต้นไม้ คุณนึกว่าฉันหลับไปแล้ว เลยแอบมาจูบฉัน"

"ฉันจำไม่ได้" เธอปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

คนคนนั้นได้ยิน ก็แค่ยิ้มออกมา

"ฉันจำได้ วันวาเลนไทน์วันหนึ่ง คุณเรียนรู้จากผู้หญิงคนอื่น ทำช็อกโกแลต แล้วแอบยัดใส่กระเป๋าเรียนฉัน"

"สุดท้ายก็ให้หมากิน"

ผู้ชายหัวเราะจริงใจ กระเพื่อมออกไป เห็นได้ชัดว่าตลกเธอ "เปล่า ช็อกโกแลตที่คุณทำ หมาบ้านฉันมันรังเกียจกันหมด"

"ใช่ๆ คุณรังเกียจฉันมาตลอด" โดยไม่รู้ตัว เธอถูกเขาชักนำ พูดคล้อยตามโดยไม่สบอารมณ์

"ไม่ สุดท้ายฉันกินมันไป" รอยยิ้มบนใบหน้าผู้ชายหุบลง ในดวงตามีความจริงจังเล็กน้อย แต่ยังอมยิ้ม

"จากนั้นฉันก็ลำไส้อักเสบเฉียบพลันให้น้ำเกลือสามวัน ท้องเสียสามวัน"

"……" มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?

เธออยากเยาะเย้ย ถากถางที่เขาพูดไร้สาระได้เต็มปาก แต่ในความทรงจำกลับมีเรื่องแบบนี้ เธอไปที่ตระกูลเสิ่น คนใช้ตระกูลเสิ่นบอกว่า คุณชายของพวกเขาทานอะไรไม่ค่อยดีลงไปจนต้องเข้าโรงพยาบาล

"ฉันจำได้ ตอนฉันแข่งบาส คุณแอบถ่ายรูปฉันเยอะมาก" ขณะที่พูด คนคนนั้นก็ยื่นมือออกไปทางเธอ "รูปล่ะ? ควรเอากลับมาให้เจ้าของสิ"

"……ทำหายไปแล้ว"

คนคนนั้นได้ยิน ก็มองเธออย่างลึกซึ้ง

เธอเกือบจิตใจสับสนวุ่นวายเพราะท่าทีและคำพูดที่น่าประหลาดใจของเขาแล้ว

ด้วยความสุดจะทน "เสิ่นซิวจิ่น! คุณจะทำอะไรกันแน่! คุยกันเรื่องในอดีตเหรอ?"

เธอถามเสียงเย็นชา

คนคนนั้นทำเหมือนไม่ได้ยิน พูดพึมพำกับตัวเองต่อ

"ฉันจำได้ คุณรักฉัน"

ร่างกายเธอสั่นเทิ้มทันที……หลับตาลง……เขาพูดว่า เขาจำได้ว่าเธอรักเขา

"แล้วคุณจำได้ไหม ตระกูลเจี่ยนไม่มีเจี่ยนถงคนนี้?" เธอถาม นี่คือคำพูดเดิมในตอนแรกของเขาที่ว่าตระกูลเจี่ยนไม่มีเจี่ยนถงคนนี้

"คุณเสิ่น สวัสดีค่ะ ฉันคือนักโทษ ฉันเคยฆ่าคน ฉันทำความชั่วร้ายแรง"

คนคนนั้นก้มศีรษะเงียบๆ สุดท้ายก็ถอนหายใจ ยื่นมือไปอีกครั้ง "จริงด้วยๆ จะไม่ใจเต้นกับฉันอีกแล้วใช่ไหม?"

เมื่อเขาถามประโยคนี้ออกมา ในหัวใจเธอก็สั่น ทั้งๆ ที่ไม่ได้พูดอะไร ความเจ็บปวดบิดที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เหมือนหญ้าฝอยทอง บุกเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

ยื่นมือออกไป ต้องการกุมหัวใจโดยไม่รู้ตัว แต่ขณะที่ยกขึ้นมา ก็บังคับตัวเองให้วางลง……ไม่เจ็บ ไม่เจ็บ เธอไม่เจ็บ ลืมไปตั้งนานแล้ว ก็ให้มันลืมไป

หัวใจไม่เต้น หัวใจไม่เจ็บ หัวใจไม่เจ็บ……ทำให้ตัวเองลำบากใจทำไม

แต่ในเวลาต่อมา ก็ตกอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่น เธอต้องการดิ้นออกมาด้วยสัญชาตญาณ คนคนนั้นกลับซุกหัวที่ข้างหูเธอ

"อย่าผลัก ฉันแค่กอดแป๊บเดียว"

บางทีอาจจะเป็นภาพลวงตา เธอรู้สึกว่าการอ้อนวอนในคำพูดนี้ ทำให้ใจอ่อนไปสักพักหนึ่ง จึงตัวแข็งปล่อยให้คนคนนั้นกอดในอ้อมแขนแบบนี้

เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจน คางที่มั่นคงของคนคนนั้นถูเหนือศีรษะเธอ

คนคนนั้นใช้ฝ่ามือลูบหลังเธอเบาๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า……ราวกับว่า ในอ้อมกอดนั้นไม่ใช่เธอ แต่เป็นสมบัติ

คางถูกยกขึ้นมา ปลายนิ้วอุ่น ปิดกลีบปากเธอ ดวงตาเธอหดเล็กน้อย มองเขาอย่างระแวง

เห็นแค่ในดวงตาดำของคนคนนั้น ความโหยหาและความหวงแหน

ปลายนิ้วของคนคนนั้น มีกลิ่นบุหรี่เล็กน้อย ถูที่กลีบปากเธอทีละนิด หลายครั้งเธอนึกว่าคนคนนี้จะคลุ้มคลั่งเป็นสัตว์ร้ายอีกครั้ง

แต่เขาก็แค่ถูมัน ถูมันเบาๆ ปลายนิ้วหยาบเล็กน้อย ถูจนทำให้กลีบปากเธอคันนิดหน่อย เธอยิ่งเบื่อมันมากขึ้นเรื่อยๆ

"อย่าขยับ อย่าขยับ แค่มองคุณ" คนคนนั้นพูดเบาๆ เธอแค่รู้สึกประหลาด ตั้งแต่เมื่อไร คนคนนี้ก็รู้จัก "ความอ่อนโยน" เหรอ?

เงยหน้าขึ้นสบตา เธอจะถูกดวงตาลึกซึ้งของคนคนนั้นจับเอาไว้ ดวงตาคนคนนั้น เหมือนกระแสน้ำวนหลุมดำ ราวกับจะกลืนเธอลงไป ในดวงตานั้นราวกับว่าความรู้สึกร้อนจะพุ่งออกมาในวินาทีต่อมา

เธอเคยมีประสบการณ์เหล่านี้ที่ไหนกัน

เสิ่นซิวจิ่นที่เป็นแบบนี้ เธอไม่เคยเห็นมาก่อน

หนึ่งวินาทีก่อนที่เธอจะหมดความอดทน คนคนนั้นก็ปล่อยเธอ

ถอยหลังไปหนึ่งก้าว หยิบกระดาษหนึ่งแผ่นออกมาจากกระเป๋าสูท ยื่นให้เธอ

"คุณอยากไปไม่ใช่เหรอ? ฉันปล่อยคุณไป"

เขาพูด

เธอรับกระดาษแผ่นนั้นมาดู หนังสือข้อตกลงการหย่า

สายตาเลื่อนลงมา คนคนนั้นเซ็นชื่อแล้ว

ในช่วงเวลาหนึ่ง เธอยิ่งสับสนขึ้นเรื่อยๆ

ทำทุกวิถีทางไม่ปล่อยมืออย่างนั้น บังคับให้เธออยู่กับเขา แต่ตอนนี้กลับหยิบหนังสือข้อตกลงการหย่าออกมา

เธอไม่เข้าใจ

มองไปที่คนคนนั้น ในดวงตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ

ในดวงตาคนคนนั้น ไม่มีความอ่อนโยนเมื่อครู่นี้อีกแล้ว เหลือเพียงความหนาวเหน็บเย็นชาเข้ากระดูก ริมฝีปากบางยกขึ้นเบาๆ อย่างเย็นชา

"คุณอย่าลืมว่าฉันเป็นใคร"

คนคนนั้นพูดอย่างไม่แยแส

"ฉันไม่ต้องการผู้หญิงที่พยายามฆ่าตัวตาย ท่าทางคุณเผาตัวเองในกองเพลิงมันน่าเกลียดในสายตาฉัน เจี่ยนถง เซ็นชื่อซะ เกมนี้ฉันเบื่อแล้ว"

คนคนนั้นพูดอย่างเฉยเมย เหมือนลูกศรเจาะหัวใจ แทงเข้าไปในหัวใจเธอทันที

เธอแสร้งทำเป็นไม่สนใจ แต่หูของเธอแดงเข้ม……เขาบอกว่า เขาเบื่อเกมนี้แล้ว

"เซ็นชื่อ ตำแหน่งคุณนายเสิ่นมันไม่ควรเป็นของคุณเลย แค่เกมหนึ่ง ของเล่นหนึ่ง คนที่ได้รับการคัดเลือกตำแหน่งคุณนายเสิ่น จะต้องสง่างาม อ่อนโยน บริสุทธิ์ สวย ใจกว้าง แต่คุณไม่มีเลย"

เขาพูด "ฉันเบื่อคุณแล้ว"

เธอควรดีใจ แต่ทั้งร่างสั่นเทิ้ม

เธอไม่รู้ตัวเองในขณะนี้ คือมีความสุขหรือเจ็บปวด

โล่งใจหรือว่าอย่างอื่น

"เจี่ยนถง คุณฟังนะ คุณยังได้รับอิทธิพลจากฉันง่ายๆ แบบนี้อีก ฉันพูดเรื่องอดีตกับคุณ คุณถูกฉันพากลับไปที่ความทรงจำในอดีต คุณดูสิ ฉันบอกว่าฉันกินช็อกโกแลตคุณ ลำไส้อักเสบเฉียบพลันเข้าโรงพยาบาล คุณก็เชื่อ ฉันบอกว่าฉันรู้แล้วว่าคนที่แอบจูบฉันใต้ต้นไม้คือคุณ คุณก็รู้สึกหวั่นไหว…..คุณไม่คิดสักหน่อยล่ะ ถ้าคุณเป็นคนที่เสิ่นซิวจิ่นอย่างฉันต้องการ ทำไมฉันไม่แสดงออกอะไรเลยหลังจากที่คุณแอบจูบฉัน?"

คนคนนั้นยกยิ้มเย้ยหยัน

"เพราะฉันไม่เคยสนใจคุณเลย คุณไม่เคยเป็นคนที่ฉันต้องการเลย แต่เบื่อที่หาของเล่นที่น่าสนใจกว่าคุณไม่ได้ ก็เลยเก็บคุณไว้ แต่ตอนนี้ฉันเบื่อแล้ว ก็แค่อาหารไร้รสชาติแต่เสียดายที่จะทิ้ง"

สีเลือดสูบออกไปจากใบหน้าเธอ

กลีบปากค่อยๆ ซีดทีละนิด

มองหนังสือข้อตกลงการหย่าในมือ เธอยกเท้าเดินไปที่ห้องรับแขก หยิบปากกาแล้วเซ็นชื่อตัวเอง

เสียงคนคนนั้น หลังจากที่เธอเซ็นชื่อเสร็จ ก็ดังขึ้นด้านหลังทันที

"เสิ่นซานเสิ่นซื่อ ช่วยคุณเจี่ยนเก็บกระเป๋าเดินทาง เชิญเธอออกไปจากลานบ้านตระกูลเสิ่น"

เธอสั่นเล็กน้อย……ร้อนอกร้อนใจแบบนี้

หลับตาลง เธอบอกว่าเธอควรมีความสุข ดังนั้นมุมปากของเธอจึงดึงยิ้มออกมาช้าๆ

"ช้าก่อน" กระเป๋าเดินทางของเธอจัดระเบียบเรียบร้อยแล้ว คนคนนั้นเรียกเธอไว้ทันที

"เสิ่นซานเสิ่นซื่อ เปิดกระเป๋าเดินทางของเธอออก ตรวจสอบดูว่าเอาของที่ไม่ใช่ของเธอไปไหม"

เธออยู่ข้างๆ โกรธจนตัวสั่น

แค่เม้มปาก ยืนอย่างดื้อรั้น มองกระเป๋าเดินทางของตัวเอง ถูกชายตัวใหญ่สองคนพลิกดูเหมือนป้องกันโจร เธอบอกตัวเองว่า……จะหลุดพ้นแล้ว เดี๋ยวออกไปจากที่แย่ๆ นี้ได้แล้ว กลับสู่วงโคจรชีวิตตัวเองได้แล้ว

แต่ก็ยังอดทนไม่ไหว ยิ้มเยาะพูดขึ้น "คุณเสิ่นดูให้แน่ใจว่าฉันเอาของที่ไม่ใช่ของตัวเองไปไหม?" เธอโต้กลับอย่างเสียดสี

คนคนนั้นมองอย่างดูถูก ทำเสียงฮึดฮัดเย็นชาแล้วพูดขึ้น "ไม่มีจะดีที่สุด คุณไปได้แล้ว"

การดูหมิ่นเช่นนี้ เจี่ยนถงกัดฟันอดทนไว้

เธอบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า……ตราบใดที่ออกไปได้ ได้รับความไม่ยุติธรรมนิดหน่อยจะเป็นอะไรไป ได้รับความไม่ยุติธรรมมาน้อยหรือไง?

เธอบอกตัวเอง นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณคิดอยู่ตลอดเวลาเหรอ?

ตอนนี้ ในที่สุดก็หนีคนคนนี้ได้แล้ว หนีจากทุกอย่างนี้แล้ว

เข็นกระเป๋าเดินทาง เธอก้าวออกจากประตูบ้าน

ด้านหลังมีสายตามองเธอจากไปตลอดทาง……เธอเอา เธอเอาสิ่งของที่ไม่ใช่ของเธอไปด้วย

ผู้ชายจับฝ่ามืออย่างเงียบๆ

เสิ่นเอ้อเดินมา "บอส กลับโรงพยาบาลเถอะครับ"

"อืม ไปกันเถอะ"

เจี่ยนถงเดินออกไปจากประตูใหญ่เหล็กดัดของลานบ้านตระกูลเสิ่น ข้างกายมีเบนท์ลีย์สีดำคันหนึ่ง ขับผ่านเธอออกไปอย่างไม่สนใจสักนิด

เธอหยุด มองท้ายรถที่ขับออกไปเรื่อยๆ นั้น สุดท้ายมันก็หายไปจากตรงหน้า

ลมพัดมา มีความหนาวเข้ากระดูก เธอหดตัวสั่น กอดตัวเองไว้เบาๆ

"ยินดีด้วย เจี่ยนถง ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว" เธอพูดกับตัวเองเสียงเบา "ดีจัง เขากับเธอ จะไม่ยุ่งกันอีกแล้ว"

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หัวใจจะไม่เต้น หัวใจจะไม่เจ็บ

เจี่ยนโม่ป๋ายยอมรับการผ่าตัดปลูกถ่ายกระดูกแล้ว เวลาใกล้เข้ามา

เขาเปลี่ยนชุดผ่าตัดแล้ว คุณหญิงเจี่ยนกำลังคุ้มครองอยู่

"โม่ป๋าย ไม่ต้องประหม่านะ มันจะไม่เป็นอะไร" คุณหญิงเจี่ยนเอ่ยปลอบ แต่ลูกชายกลับทำหน้าเงียบ

ดูแก้มซูบผอมของลูกชาย ในหัวใจก็ด่าเจี่ยนถงอย่างโหดเหี้ยมอีกครั้ง

"ถ้าไม่ได้คนใจดีที่จับคู่ยีนได้สำเร็จ ยัยเสี่ยวถงนั่นเกินไปจริงๆ เกือบจะฆ่าลูกแล้ว"

เจี่ยนโม่ป๋ายเหมือนถูกกระตุ้นให้หงุดหงิด

"แม่! แม่ไม่ต้องพูดแล้ว!"

"เอ๋? เกิดอะไรกับเจ้าเด็กอย่างลูก? แม่สงสารลูก ลูกมาตะคอกใส่แม่ทำไม?"

"แม่ แม่ห้ามว่าเสี่ยวถงแบบนี้อีก"

"ทำไมแม่จะพูดไม่ได้ เธอไม่สนใจความรักในครอบครัวเลยสักนิด"

คุณหญิงเจี่ยนเกลียดลูกสาวคนนี้จากใจจริง

ถึงแม้เรื่องราวจะชัดเจนแล้ว ในปีนั้นยืนยันได้แล้วว่าเธอเข้าใจผิดว่าเจี่ยนถงไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของตน

แต่หลังจากเรื่องราวมันกระจ่างชัดเจนแล้ว คุณหญิงเจี่ยนก็ยังปฏิบัติกับลูกชายและลูกสาวต่างกัน

อย่างไรแล้ว ก็เลี้ยงลูกชายไว้ข้างกายมาตั้งแต่เล็กๆ เลี้ยงมาด้วยตัวเอง

ส่วนผู้หญิงคนนั้น……เมื่อคิดว่าผู้หญิงคนนั้นกลับมาเมืองSในตอนแรก คือจะเอาทรัพย์สินทั้งเจี่ยนซื่อไป

เจี่ยนซื่อ เดิมทีมันควรเป็นของโม่ป๋าย

นอกจากนี้ ด้วยการอ้อนวอนของตัวเองหลายครั้ง ผู้หญิงคนนั้นกลับใจแข็งไม่ยินยอมบริจาคไขกระดูกเพื่อช่วยชีวิตพี่ชายแท้ๆ ของเธอ ในหัวใจคุณหญิงเจี่ยน เจี่ยนถงเป็นคนที่ไม่สนใจความรักในครอบครัวและเลือดเย็นเหลือเกิน

ในขณะนี้ภายในใจเจี่ยนโม่ป๋ายสับสนอย่างมาก

ทั้งๆ ที่เห็นความหวังของชีวิต ทั้งๆ ที่มีคนบริจาคไขกระดูกให้กับเขา เขาไม่ต้องตายแล้ว และไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในความเสี่ยงตายทุกเมื่อ

เขาควรจะผ่อนคลายอารมณ์ แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับยิ่งรู้สึกสับสนขึ้นเรื่อยๆ

บุคลากรทางการแพทย์ทางนี้แจ้งเขาแล้ว บอกว่าผู้บริจาคนิรนามจะเริ่มบริจาคไขกระดูกแล้ว

เขายื่นมือไปจับพยาบาลไว้

"เดี๋ยวก่อน……คุณ ……บอกฉันได้ไหมว่าคนใจดีที่บริจาคไขกระดูกให้ฉันชื่ออะไร?"

"ขออภัยค่ะ อีกฝ่ายไม่อยากเผยชื่อ" พยาบาลยิ้มอย่างจริงใจ "ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ มันจะไม่เป็นอะไร คุณพักฟื้นได้เต็มที่"

ขณะที่พูด ก็หันตัวออกไป

เจี่ยนโม่ป๋ายยิ่งจิตใจหงุดหงิดสับสน คุณหญิงเจี่ยนก็สังเกตเห็นท่าทีผิดปกติของลูกชายตัวเองอย่างแน่นอน เธอแค่นึกว่าเจี่ยนโม่ป๋ายกังวล

"บุคลากรทางการแพทย์พูดหมดแล้ว ว่าให้ลูกไม่ต้องเป็นห่วง ลูกชาย ลูกไม่ต้องคิดมาก แม่อยู่กับลูก"

ขณะที่พูดโน้มน้าว คุณหญิงเจี่ยนนึกถึงเรื่องเสียใจอีกครั้ง

"เจี่ยนเจิ้นตงไอ้แก่นั่นมันไม่ได้เรื่อง ลูกชายตัวเองจะผ่าตัดปลูกถ่ายไขกระดูกแล้ว กลับไม่โผล่หน้ามา ไม่แน่ยัยจิ้งจอกนั่นอาจจะสุขสบายใช้ชีวิตอิสระอยู่ ไอ้แก่นั่นต้องไม่ตายดี……"

คุณหญิงเจี่ยนด่าสบถ เจี่ยนโม่ป๋ายจิตใจสับสนวุ่นวายแล้ว ยืนขึ้นมาจากเตียงทันที ลงจากเตียงแล้วจะเดินออกไปข้างนอก

"ลูกชาย ลูกจะทำอะไร?"

คุณหญิงเจี่ยนวิ่งตามไป

เจี่ยนโม่ป๋ายด้านหน้ากลับเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ

"รอแม่หน่อย"

คุณหญิงเจี่ยนหยิบกระเป๋าเป้อันมีค่า เดินตามไปอย่างรวดเร็ว

เจี่ยนโม่ป๋ายกลับวิ่ง วิ่งไปหาพยาบาลเมื่อครู่นี้

"คุณรอเดี๋ยว! พาฉันไปด้วย" เขาตะคอกเสียงทุ้ม

"ได้โปรดพาฉันไปห้องผ่าตัดที่บริจาคไขกระดูกนั้น"

แววตาเขาสับสนวุ่นวาย พยาบาลคนนั้นถูกจับไว้ ราวกับว่าตกใจ "คุณปล่อยมือก่อนค่ะ ผู้บริจาคไม่ยินยอมที่จะเผยชื่อ"

"ได้โปรด คุณพาฉันไปได้ไหม?" เจี่ยนโม่ป๋ายอ่อนลง ในดวงตาเต็มไปด้วยการอ้อนวอน

พยาบาลคนนั้นถูกมองจนใจอ่อนเล็กน้อย แต่ก็ยังส่ายหน้า

เจี่ยนโม่ป๋ายกลับไม่ยอมปล่อย "ผู้บริจาคคือน้องสาวฉันใช่ไหม? น้องสาวฉันชื่อเจี่ยนถง ใช่เธอไหม?"

อย่างไรเขาก็ไม่ได้โง่ จะมีเรื่องบังเอิญเช่นนั้นได้อย่างไร น้องสาวเขาเพิ่งมาเยี่ยมเขา วันนั้นก็มีผู้บริจาคจับคู่ยีนได้สำเร็จเลย

วันเวลาเหล่านี้ เขาโกหกตัวเอง โกหกตัวเองว่าต้องไม่ใช่อย่างที่ตัวเองคิด ผู้บริจาคเป็นคนอื่น

ทั้งๆ ที่ในใจเขารู้สึกได้ว่าเรื่องมันบังเอิญเกินไป

แต่เขาอยากมีชีวิตอยู่ เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งนั้น แต่ในทุกๆ คืน จะนึกถึงคำพูดน้องสาวเขาตอนมาเยี่ยมเขา

เขาให้แม่เขานำไดอารี่ที่ถูกล็อกมาด้วย ไดอารี่ที่ล้าสมัยเปิดออก ตัวอักษรที่ไร้เดียงสาอยู่ในสายตา บันทึกไว้ทีละนิด เขาลืมช่วงเวลาวัยเด็กของเขาและเสี่ยวถงไปตั้งนานแล้ว

ตัวอักษรที่ไร้เดียงสามาก ตัวอักษรจีนยังไม่รู้ทั้งหมดด้วยซ้ำ ตัวอักษรบางตัวใช้พินอินเขียน บางประโยคก็ไม่มีเหตุผล

จากมุมมองของผู้ใหญ่ เนื้อหาในไดอารี่นี้ มันตลกและไร้เดียงสา

แต่มันทำให้เขานึกถึงอดีต

ไดอารี่ทุกเล่ม จดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทีละนิดที่เกิดขึ้นทุกวัน บ้างก็อิจฉาที่เสี่ยวถงได้รับการชมเชยจากคุณปู่อีกแล้ว บ้างก็บอกว่า เสี่ยวถงอ่านหนังสือเล่มไหนบ้าง ดูภาพยนตร์เรื่องไหนบ้าง……อ่านไดอารี่หนึ่งเล่ม เขาก็พบทันทีว่าไดอารี่ทั้งเล่ม สิ่งที่จดไว้มันคือเรื่องราวทุกวันในวัยเด็กเขา แต่ไม่เคยขาดเงาเสี่ยวถงเลย

เขาอ่านบทความนั้น สิ่งที่เสี่ยวถงพูด เขาช่วยขวางมีดให้เธอ ช่วยชีวิตเธอมาจากนักเลง เขาอ่านบันทึกในวันนั้น ในนั้นเขียนว่า วันนี้เป็นวันที่ฉันมีความสุขที่สุด ฉันปกป้องน้องสาวฉัน ที่แท้การปกป้องน้องสาวก็ทำให้ฉันมีความสุขขนาดนี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะปกป้องเธอตลอดไป

เขาอ่านตัวหนังสือที่เลือนรางเพราะน้ำตา มันเบลอไปแล้ว อ่านคำสัญญานั้น เขาบอกว่าปกป้องน้องสาวจะทำให้เขามีความสุข เขาบอกเขาจะปกป้องน้องสาวตลอดไป แต่ต่อมา สมุดบันทึกเล่มนี้ไม่รู้ถูกเขาทิ้งไปไว้มุมไหนตั้งนานแล้ว

"น้องสาวฉันมีไตข้างเดียว เธอไม่สามารถบริจาคไขกระดูกให้ฉันได้"

เจี่ยนโม่ป๋ายพูด "คุณพาฉันไป ฉันจะไม่บังคับให้เธอบริจาคไขกระดูกให้ฉันอีก"

พยาบาลมองผู้ชายตรงหน้าที่ถูกความป่วยทรมานจนไม่เหมือนรูปร่างคน ใบหน้าเต็มไปด้วยความซีดเผือด ในดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา หัวใจเต้นแรง เกิดความรู้สึกสงสารเล็กน้อย

กำลังจะพูด

ด้านหลังก็มีเสียงเย็นชาน่าสะพรึงกลัวดังขึ้น "ยังถือว่านายยังจำข้อดีของเสี่ยวถงได้ในที่สุด จำได้ว่าเธอคือน้องสาวนาย"

เจี่ยนโม่ป๋ายได้ยินเสียงคุ้นเคย ทันใดนั้นก็ตกใจ เงยหน้าขึ้นไปมอง "เสิ่น……"

ผู้ชายยืนห่างออกไปสามเมตรด้วยสายตาเย็นชา เชิดคางขึ้น "ห้องผู้ป่วยนายอยู่ไหน?"

"อยู่……" เขาตอบโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีคนกำลังเสี่ยงบริจาคไขกระดูกให้เขา "เสิ่นซิวจิ่น นายมาก็ดีแล้ว เดี๋ยวเสี่ยวถงจะบริจาคไขกระดูกให้ฉัน นายรีบไปซะ พาเธอออกไป!"

คุณหญิงเจี่ยนได้ยินก็งงแล้ว

ตอนแรกฟังไม่เข้าใจ ต่อมาก็เข้าใจอย่างช้าๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ความรู้สึกผิดเกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่ดูลูกชายตัวเองที่ซูบผอม เธอก็ยื่นมือไปดึงมือเจี่ยนโม่ป๋ายไว้

"เดี๋ยวจะผ่าตัดแล้ว ลูกชาย ลูกอย่าคิดซี้ซั้ว กลับห้องผู้ป่วยไปกับแม่"

"ฉันไม่ไป ฉันอยากไปหาเสี่ยวถง"

"ไปห้องผู้ป่วย ฉันมีอะไรจะคุยกับนาย" ข้างๆ ชายหนุ่มผู้เย็นชาน่ากลัวเอ่ยปากพูด เห็นเจี่ยนโม่ป๋ายไม่ไป ก็เอ่ยปากเตือนอีกครั้งอย่างราบเรียบ

"ฉันไม่อนุญาตให้เสี่ยวถงเสี่ยง"

เจี่ยนโม่ป๋ายราวกับถูกทำให้ตื่น……ใช่แล้ว เสิ่นซิวจิ่นจะไม่ให้เสี่ยวถงเป็นอะไร

……

ภายในห้องผู้ป่วย

เสิ่นซิวจิ่นหาเก้าอี้นั่ง ตรงข้ามคือเจี่ยนโม่ป๋ายนั่งข้างเตียง

"เธอหลอกฉัน มาบริจาคไขกระดูกให้นาย"

ประโยคแรก ก็ทำลายความเงียบอย่างคาดไม่ถึง

เจี่ยนโม่ป๋ายหน้าซีด สิ้นหวังทีละนิด "ฉันจะไปหาเธอ! ฉันจะไม่บังคับเธอให้บริจาคไขกระดูกให้ฉันแล้ว!" ขณะพูดก็ยืนขึ้นจะเดินไป

"ฉันเอาเสี่ยวถงที่กำลังจะกระตุ้นเซลล์กลับบ้านไปด้วยตัวเองแล้ว"

ประโยคที่สอง ทำให้เจี่ยนโม่ป๋ายสงบลง

"แล้วผู้บริจาค……" เจี่ยนโม่ป๋ายไม่เข้าใจ

"น้องชายนาย"

"……"

"การจับคู่ยีนน้องชายนาย ตอนแรกทำของปลอม เรื่องนี้ฉันรู้นานแล้ว แต่ถ้าเสี่ยวถงไม่ใส่ใจพี่ชายอย่างนายคนนี้ ฉันก็คงมองดูอยู่เงียบๆ อย่างมากก็ให้ดอกเบญจมาศสีขาวไว้ทุกข์ให้"

เจี่ยนโม่ป๋ายอยากพูดอะไรบางอย่าง……คนคนนี้เย็นชาเกินไปแล้ว

รู้ความจริง แต่ยืนดูเรื่องตลกอยู่ข้างๆ

"นายรู้ เสี่ยวถงเธอมาที่ธนาคารไขกระดูก ตั้งแต่เริ่มรู้อาการป่วยของนาย ก็ไหว้วานใครสักคนให้ไปหาผู้บริจาคที่เหมาะสมอยู่ตลอด เห็นได้ชัดว่า……นายดูหมิ่นความใจอ่อนเธอต่ำไป"

ขณะที่พูด เสิ่นซิวจิ่นยกมุมปากเยาะเย้ยตัวเอง

"หาการจับคู่ยีนไม่เจอ เธอก็เลยมาบริจาคเอง ในเมื่อเธอใส่ใจความเป็นความตายของนาย ฉันก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้ ฉันไปหาน้องชายนายและพ่อที่อยู่ข้างนอกนั่น ดังนั้นตอนนี้ คนที่นอนอยู่ในห้องผู้ป่วยนั้นก็คือน้องชายนาย คนที่บริจาคไขกระดูกให้กับนายก็คือน้องชายนาย"

เจี่ยนโม่ป๋ายไม่ได้โง่ ตั้งแต่เขาป่วย พ่อของเขาก็มาเยี่ยมเขาไม่กี่ครั้ง พ่อของเขาคนนั้นไม่ใส่ใจความเป็นความตายของเขาเลย

และที่เรียกว่าน้องชายและแม่ของน้องชาย ก็โวยวายอยากกลับสู่ตระกูลเจี่ยนตลอดเวลา

กลับสู่ตระกูลไปทำไม?

ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเงิน

"นายให้ไปเท่าไร?"

เขาไม่เชื่อว่าผู้หญิงคนนั้นไม่โลภ

เสิ่นซิวจิ่นเงยหน้ามองเจี่ยนโม่ป๋าย แล้วกระตุกมุมปาก

"บริษัทโฆษณาที่มีมูลค่าตลาดสองร้อยล้าน และเงินสดร้อยล้าน"

คุณหญิงเจี่ยนฟังอยู่ข้างๆ ก็สูดไอเย็น โดยไม่คิดเลย พูดด้วยสีหน้าโหดร้าย

"ให้ไอ้สัตว์เดรัจฉานกับคนชั้นต่ำนั่นมากขนาดนั้นทำไม? พวกมันสมควรเหรอ?"

พูดจบ เสิ่นซิวจิ่นก็หัวเราะเยาะ มองไปที่คุณหญิงเจี่ยน

"ชีวิตของเจี่ยนถง คุ้มไม่คุ้ม?"

คุณหญิงเจี่ยนหน้าแดงทันที

"เจี่ยนโม่ป๋าย นายจำเอาไว้ ชีวิตของนาย เจี่ยนถงเป็นคนช่วยไว้"

เสิ่นซิวจิ่นพูดคำนี้จบ ก็ยืนขึ้น "ดังนั้นนายจำเอาไว้ ใช้ชีวิตต่อไป ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้ามใช้ชีวิตสับสนไม่ชัดเจนอีก"

"สำหรับเจี่ยนซื่อ" เสิ่นซิวจิ่นหัวเราะเยาะ

"เจี่ยนซื่อยุ่งเหยิงตั้งนานแล้ว อย่าคิดว่าเจี่ยนถงได้ข้อได้เปรียบมาก เจี่ยนซื่อเป็นเผือกร้อนในมือที่แก้ไขยาก"

พูดถึงเจี่ยนซื่อ คุณหญิงเจี่ยนก็ไม่สงบแล้ว "พูดไร้สาระ เจี่ยนซื่อสินทรัพย์ใหญ่ขนาดนั้น จะเป็นเผือกร้อนที่แก้ไขยากได้ยังไง? แต่ในเมื่อเจี่ยนซื่อให้เสี่ยวถงไปแล้ว เรา เราก็จะไม่แย่งอีก นายกลัวเราแย่งเจี่ยนซื่อกับเสี่ยวถง ถูกไหม?"

เสิ่นซิวจิ่นมองคุณหญิงเจี่ยนที่ตื่นเต้นอย่างมาก และราวกับว่าใจกว้างมาก ริมฝีปากบางค่อยๆ วาดโค้งเสียดสี

"เจี่ยนซื่อเทียบบริษัทเสิ่นซื่อได้เหรอ?"

"……"

"บริษัทเสิ่นซื่อ ถ้าเจี่ยนถงต้องการ ฉันยินยอมมอบให้เธอสองมือเลย" ความหมายก็คือ เจี่ยนซื่อบริษัทเล็กๆ ของคุณ มันมีค่าอะไร

คุณหญิงเจี่ยนเผยใบหน้าตกใจ หลังจากตกใจ ก็สงสัยและไม่เชื่อ……บริษัทเสิ่นซื่อที่มีสินทรัพย์มากขนาดนั้น ใครมันจะยอมมอบให้คนอื่นด้วยความเต็มใจ?

"เรื่องที่พูดขึ้นมา ใครก็พูดได้ทั้งนั้น" ริมฝีปากมันนับไม่ได้

เสิ่นซิวจิ่นยิ้มขึ้นมา และไม่อธิบายอะไรมาก

แค่ดวงตามองใบหน้าเจี่ยนโม่ป๋าย

"นายไม่เคยสนใจเจี่ยนซื่อใช่ไหม? แค่แบมือ ไม่มีเงินก็ยื่นมือไปหาบริษัท เพลินชินกับมันแล้ว เสื้อมาค่อยชูมือ ข้าวมาค่อยอ้าปาก ไม่มีเงินก็แค่ยื่นมือใช่ไหม?"

เจี่ยนโม่ป๋ายถูกเย้ยหยันจนหน้าดำหน้าแดง

แต่โต้แย้งไม่ได้

วันเวลาในอดีต เขาใช้ชีวิตไม่มีข้อจำกัดมาตลอด ไม่มีเงิน? ไม่เป็นอะไร อย่างไรแล้วในครอบครัวก็มี

เขาไม่ได้กังวลเรื่องเงินจริงๆ

"ก่อนที่เจี่ยนถงเข้าเจี่ยนซื่อ ภายในเจี่ยนซื่อก็วุ่นวายแล้ว ผู้บริหารระดับสูงมีความคิดของแต่ละคน คนที่ทำงานเบื้องล่าง ก็มีความคิดเป็นของตัวเอง เจี่ยนเจิ้นตงควบคุมคนไม่ได้ ฉวยโอกาสเอาเจี่ยนถงเข้าเจี่ยนซื่อ โอนทุนสำรองส่วนใหญ่ในบริษัทไป ทำให้เจี่ยนซื่อตกอยู่ในภาวะการเงินหยุดชะงักช่วงหนึ่ง"

เสิ่นซิวจิ่นพูดอย่างสงบ

"เจี่ยนโม่ป๋าย ยังไงนายก็เคยเรียนการเงินมา กระบวนการติดต่อบริษัท เรื่องนี้นายควรเข้าใจดี บริษัทหนึ่ง ถ้าการเงินหยุดชะงัก เป็นเรื่องยากเกินกว่าจะแก้ไขแค่ไหน"

เจี่ยนโม่ป๋ายไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

ในขณะนี้ยิ่งตกใจมาก!

เจี่ยนซื่อ ห่วงโซ่การเงินหยุดชะงัก!

เขาอยากปฏิเสธคำพูดนี้มาก แต่คำพูดนี้มันออกมาจากปากเสิ่นซิวจิ่น

เขาไม่มีทางปฏิเสธได้

"นายเคยคิดไหม เจี่ยนถงเธอไม่เคยอยากแย่งของของนายเลยจริงๆ?"

เสิ่นซิวจิ่นพูดประโยคนี้จบ ก็ออกไปทันที

เหลือแค่เจี่ยนโม่ป๋าย ที่ยืนอย่างละอายใจอยู่ที่เดิม

เสี่ยวถงเธอ……ตั้งแต่กลับมาจากทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ ก็ช่วยเขาติดต่อธนาคารไขกระดูกอยู่ตลอด เธอคงคิดว่า ถ้าการจับคู่ยีนไม่สำเร็จ สุดท้ายก็ต้องบริจาคไขกระดูกเอง

เจี่ยนโม่ป๋ายหัวใจเหมือนเลือดออก เธอไม่เคยอยากแย่งอะไรบางอย่างกับตนเลย

วิกฤติเช่นนั้นของเจี่ยนซื่อ เธอปล่อยให้เขาและแม่เข้าใจผิดคิดว่าเธอได้ประโยชน์เยอะมาก แต่ไม่เคยพูดถึงวิกฤติของเจี่ยนซื่อมาก่อนเลย

คิดอีกที ค่ารักษาพยาบาลระหว่างที่เขานอนโรงพยาบาลก็สูงมาก แม่เขาใช้เงินมือเติบมาก และทุกเดือน ค่าใช้จ่ายที่ควรให้พวกเขาสองแม่ลูก ก็ไม่เคยค้างชำระเลย

คุณหญิงเจี่ยนก้มศีรษะลง ในขณะนี้เวลานี้ ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร

และไม่มีใครเห็นขอบตาแดงของเธอ

แค่ภายในใจเธอสำหรับลูกสาวคนนี้ จะจริงหรือเท็จแค่ไหนมีแค่เธอเท่านั้นที่รู้

……

วันเวลาผ่านไปเหมือนเคย วิเวียนมาหาที่อพาร์ทเมนท์หลายครั้งมาก ทุกครั้งไม่เคยถูกกั้นไว้ข้างนอก

แค่พูดเลี่ยงๆ เปรียบเปรย ก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

รวมถึงที่เจี่ยนถงไปบริจาคไขกระดูกที่โรงพยาบาล โชคดีเป็นเรื่องที่ถูกเสิ่นซิวจิ่นปิดกั้นอย่างบีบบังคับ

สิทธิ์ของผู้ถือหุ้นบริษัทในมือ สิ่งที่เธอถือมันค่อนข้างยากที่จะแก้ไข

มาหาที่ตึกอพาร์ทเมนท์หลายครั้ง แต่กลับไม่เจอเจี่ยนถง

วิเวียนกังวลอย่างบ้าคลั่ง วันนี้อยู่นอกประตู ในที่สุดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ตะโกนเรียกเสียงดัง

"พวกคุณนี่มันกักขัง! กักขัง! ไม่ปล่อยให้ฉันเข้าไปเหรอ? ไม่ปล่อยให้ฉันเข้าไป ฉันจะแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้!"

เสิ่นเอ้อมองผู้หญิงบ้าคลั่งที่ทั้งกรี๊ดและกระโดด แล้วพุ่งมาจับและมาด่าเขาด้วยความปวดศีรษะ เห็นผู้หญิงคนนี้สวยสง่างาม ใครจะไปรู้ ผู้หญิงที่สวยสง่างามเวลาบ้าคลั่งขึ้นมา จะไม่ต่างกับคนปากร้าย

"เบาๆ หน่อย! ห้ามตะโกนแล้ว!" เขากดเสียงทุ้มต่ำตะโกน

"คุณนายงีบอยู่ คุณเงียบหน่อยได้ไหม!"

"ได้สิ อยากให้ฉันเงียบ ก็ให้ทางฉัน ให้ฉันเข้าไป ฉันเจอประธานเจี่ยนเสร็จแล้วจะไป ได้ไหมล่ะ?"

เสิ่นเอ้อมองท่าทางยั่วยุของเธอ ไม่เชื่อคำพูดของเธอเลย

ยื่นมือไปหยุดวิเวียน ใครจะไปรู้ อีกฝ่ายอ้าปากกัด "คุณกัดคนได้ยังไง! คุณเกิดปีหมาหรือไง?"

"คุณจะปล่อยไม่ปล่อย ปล่อยไม่ปล่อย!" วิเวียนมีศิลปะการต่อสู้หลากหลาย วันนี้เธอต้องเจอคนให้ได้

เธอนั่งยองเฝ้าใต้ตึกอพาร์ทเมนท์ เห็นเสิ่นซิวจิ่นขึ้นรถออกไปแล้ว เธอถึงวิ่งมา

จะรู้ได้อย่างไร แซ่เสิ่นคนนี้ไม่ใช่คนดีจริงๆ เขาไปแล้ว แต่ยังให้คนเฝ้าประตูไว้อีก

"คุณเฝ้านักโทษเหรอ! ประธานเจี่ยนของเราเป็นคนเป็นๆ นะ!"

"ได้โปรดอย่าทำให้ผมลำบากใจ ได้โปรดคุณเงียบหน่อย คุณนายกำลังงีบอยู่……"

ขณะที่กำลังพูด ผู้หญิงบ้าก็เข้ามาพัวพันกับเขาสุดชีวิต ทันใดนั้นก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง "ควัน! ควัน!"

"ได้โปรดอย่าตะโกนซี้ซั้ว!" เสิ่นเอ้อนึกว่าเธอคิดกลยุทธ์อะไรอีกครั้ง ก็หงุดหงิดทันที เกร็งใบหน้าตะโกนขึ้นมา

"คุณดู! ควันน่ะ!"

เสิ่นเอ้อเห็นสีหน้าแววตาเธอไม่เหมือนโกหก หันศีรษะมองไปตามนิ้วเธอ มองไปที่ประตูทางเข้า……ที่รอยแยกของประตู มีหมอกควันโขยงออกมา

ทันใดนั้น สีหน้าเสิ่นเอ้อก็เปลี่ยนไปมาก สะบัดผู้หญิงที่อยู่บนร่างทิ้ง ควักกุญแจแล้วรีบเปิดประตู "คุณนาย! เกิดอะไร……"

พูดยังไม่ทันจบ ก็สำลักควันหนาจนไออย่างรุนแรง

วิเวียนรีบพุ่งเข้าไป "เสี่ยวถง คุณอย่าทำให้ฉันตกใจ! คุณห้ามรนหาที่ตายนะ!"

ควันมันหนาเกินไปอย่างช่วยไม่ได้ เปลวไฟกระจัดกระจาย

เสิ่นเอ้อรีบโทรแจ้งเหตุเพลิงไหม้ทันที พยายามเอาศีรษะเข้าไปด้านใน แต่มันไม่ได้ผล

ร่างหนึ่งผ่านเขาไปอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าไป

เสิ่นเอ้อกะพริบตา ร่างนั้นพุ่งเข้าไปในควันหนาแล้ว

"บอส! เข้าไปไม่ได้!"

"อันตราย!"

เสิ่นเอ้อตะโกนเสียงดัง คนคนนั้นกลับเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เสี่ยงควันเข้าไปหาในห้อง แต่ไม่พบร่างผู้หญิงคนนั้น

เขารีบไปที่ประตูห้องนอน ประตูเปิดไม่ได้

"เสี่ยวถง! คุณเปิดประตู! เสี่ยวถง!!! คุณเปิดประตูนะ!"

เขากระแทกประตูสุดชีวิต เปิดประตูห้องไม่ได้ จึงใช้ร่างกายกระแทกอย่างแรง ด้านหลังประตูนั้นกลับมีบางอย่างกั้นอยู่

เขากังวลจนแทบบ้าแล้ว

เสิ่นเอ้อตัวเปียกโชก วิ่งไปที่ห้องรับแขก ระเบียง เปิดหน้าต่างทุกบานที่สามารถเปิดได้

ควันหนาพุ่งออกไปด้านนอก ในห้องสามารถมองเห็นชัดขึ้นทีละนิด แต่เปลวไฟยังคงลุกอยู่ เสิ่นเอ้อไม่สนใจอะไรทั้งนั้น วิ่งไปที่ข้างอ่างน้ำ หมุนก๊อกน้ำแรงที่สุด แล้วมองวิเวียนที่ตกใจกลัวจนอึ้งไป

"ยืนอยู่ทำไม! มาช่วยดับไฟ!"

โชคดีที่ภายในห้องชื้น ดังนั้นไฟจึงไม่ลุกลามถึงขั้นที่จัดการไม่ได้ แต่เพราะภายในห้องชื้น เช่นผ้าม่านหน้าต่าง พรม ถูกไฟไหม้ แต่มีควันหนาทึบออกมาเท่านั้น

นี่อาจจะเป็นความโชคดีในความโชคร้าย

แต่ไฟในห้องรับแขกยังควบคุมได้ แต่ภายในห้องนอนนั้นยาก

ผู้หญิงคนนั้นไม่เปิดประตู ใครก็เข้าไปไม่ได้

โชคดีที่สถานีดับเพลิงอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ไม่นานตำรวจก็มา

"ประตูกระแทกไม่เปิด"

"เข้าไปทางหน้าต่าง"

เสิ่นซิวจิ่นตกตะลึง ภายในใจสิ้นหวังทันที "หน้าต่างเชื่อมหน้าต่างกันขโมยไว้"

ในขณะนี้ เขาก็เสียใจอย่างมาก

"เจี่ยนถง! คุณเปิดประตู!" เขากระแทกสุดชีวิต ใช้ร่างชนอย่างต่อเนื่อง "คุณเปิดประตู ฉัน……ฉันขอร้องคุณเปิดประตู เสี่ยวถง พี่ชายคุณไม่เป็นอะไรแล้ว พี่ชายคุณยอมรับการผ่าตัดปลูกถ่ายไขกระดูกแล้ว เรื่องที่คุณกังวลมันจะไม่เกิดขึ้น พี่ชายคุณจะปลอดภัยไม่เป็นอะไร คุณเปิดประตูก่อน"

ภายในห้องไม่มีใครตอบสนอง

"เสี่ยวถง จริงๆ นะ การจับคู่ยีนของพี่ชายคุณ ฉันหาคนมาบริจาคไขกระดูกให้เขาได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะพาคุณไปหาพี่ชายคุณ คุณเปิดประตูก่อน"

"พ่อบ้านเซี่ยได้รับการลงโทษตามกฎหมายแล้วด้วย"

"เรื่องเมื่อหกปีก่อน ฉันรู้แล้ว คุณเป็นผู้บริสุทธิ์ คุณไม่ได้ฆ่าเซี่ยเวยเหมิง ฉันรู้หมดแล้ว! ฉันผิดเอง! เสี่ยวถง คุณเปิดประตู!"

ผู้ชายกระแทกประตูสุดชีวิต เขาไม่เคยกลัวเช่นนี้มาก่อนเลย กลัวว่าเธอจะหายไปจากโลกใบนี้แบบนี้

เขาพูดไร้สาระทั้งหมด เขาพูดไม่หยุด เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไร แค่หวังว่าผู้หญิงภายในห้องจะเปิดประตูได้

รถเครนสูงที่ยกขึ้นอยู่นอกหน้าต่าง เจ้าหน้าที่กู้ภัยบนรถเครน ยืนยันว่า คนภายในห้องยังมีชีวิตอยู่ เธอนั่งบนโต๊ะเครื่องแป้งด้านหลังประตูที่ถูกเธอดันเอาไว้ ไฟลุกขึ้นมาจากเตียงไม้ ลิ้นของเปลวไฟก็ใกล้เธอเข้ามาเรื่อยๆ

ถ้าบังคับกระแทกประตู ผู้หญิงคนนั้นที่นั่งบนโต๊ะเครื่องแป้งขวางประตูใหญ่ห้องนอน เป็นไปได้อย่างมากว่าจะเข้าไปในเปลวไฟด้วยกัน

แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป เห็นได้ชัดว่าไม่ได้

ทุบหน้าต่างให้เปิดออก ทำได้แค่ดับไฟก่อน

ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงพุ่งเข้าไปที่เตียงไหม้ที่ถูกไฟไหม้มากที่สุดในห้องนอน

นอกประตูเสิ่นซิวจิ่นไม่กล้ารอช้าแม้แต่นาทีและวินาทีเดียว ทุกนาที หัวใจของเขาก็หนักอึ้งขึ้น

"เสี่ยวถง พี่ชายคุณไม่เป็นอะไรแล้ว ความจริงเมื่อหกปีก่อน ฉันก็รู้หมดแล้วด้วย ที่ติดคุกสามปี มันเป็นความผิดของฉัน แค่คุณออกมา ฉันจะไปติดคุกสามปี แค่คุณมีความสุข คุณออกมา ฉันจะไปติดคุกทันที คุณออกมาได้ไหม"

ผู้หญิงที่อยู่หลังประตู พิงหลังประตู ยกยิ้มเบาๆ เสียดสีเช่นนั้น อดีตเหล่านั้น ทำลายชีวิตเธอ ทำลายทุกอย่างของเธอ เธอไม่รู้เลย……

ผู้ชายที่อยู่นอกประตูไม่กล้ากระแทก กลัวว่ากระแทกประตูเปิดออก จะเข้าไปในกองเพลิงด้วยกันกับเธอ

ปืนฉีดน้ำแรงดันสูง ทำลายหน้าต่างเข้าไปที่ห้องนอน

เปลวไฟกำลังหายไป

ดูเหมือนผู้หญิงจะมีการตอบสนอง เสื้อผ้าในตู้เสื้อผ้า เอามากองตามใจชอบบนโต๊ะเครื่องแป้ง จุดไฟแช็กในมือ แค่จุดมัน……ใครจะไปรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

เจ้าหน้าที่ดับเพลิงรีบรายงานสถานการณ์กับเสิ่นซิวจิ่น

ผู้ชายตื่นตระหนกอย่างแท้จริง

"เสี่ยวถง อย่าจุด! ห้ามเกิดอะไรขึ้นกับคุณ ฉันรักคุณ เจี่ยนถง!" เมื่อพูดจบ เขากับเสิ่นเอ้อก็ทุ่มสุดกำลัง กระแทกไปที่ประตูใหญ่ห้องนอน

การโจมตีครั้งนี้ จะต้องสำเร็จ!

เปลวไฟภายในห้องนอน ได้ถูกทำลายเกือบหมดแล้ว

แต่ห้ามให้ผู้หญิงคนนั้นมีโอกาสจุดไฟอีกครั้ง การกระแทกนี้เป็นการเดิมพันครั้งสุดท้าย

ต้องสำเร็จ

ปัง–

ประตูใหญ่เปิดทันที ผู้ชายรีบพุ่งเข้าไป เอื้อมมือไปกอดผู้หญิงที่จะล้มลงพื้นไว้แน่น เขาในขณะนี้สั่นเทิ้มไปทั้งร่างกาย

"เสี่ยวถง เสี่ยวถง ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว"

ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณพระโพธิสัตว์ ขอบคุณพระพุทธเจ้า!

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เสิ่นซิวจิ่นอย่างเขาจะกินมังสวิรัติทุกวัน

เสิ่นซิวจิ่นที่เป็นอเทวนิยม ในขณะนี้หยุดความสะเทือนใจไม่ได้

ทุกอย่างกลับสู่ความสงบ

สีหน้าเสิ่นเอ้อเปลี่ยนไปมาก "บอส!"

แค่เห็นผู้ชายที่แข็งแกร่งล้มลงกับพื้น หมดสติล้มอยู่ท่ามกลางความไม่เป็นระเบียบ

ผู้หญิงข้างๆ ก็ตกใจ ยื่นมือออกมาโดยไม่รู้ตัว

เสิ่นเอ้อวิ่งไป ผลักผู้หญิงออกไป ขณะที่หยิบโทรศัพท์ออกมาโทร "คุณชายไป๋ จู่ๆ บอสก็เป็นลมไปครับ"

"อืมๆ ฉันจะขับรถส่งเขาไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้"

เสิ่นเอ้อพยายามออกแรงแบกเสิ่นซิวจิ่นคนเดียว โชคดีที่พนักงานดับเพลิงออกมาสองคน

เสิ่นเอ้อชะงักไปทันที "คุณนาย อย่าทำเรื่องโง่ๆ อีกนะครับ" ขณะที่เขาพูด ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเสิ่นซาน "นายมาปกป้องความปลอดภัยคุณนายหน่อย"

นี่คือแอบแฝงการควบคุมอิสระของเธอ

แต่ครั้งนี้ ผู้หญิงกดกำปั้น ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มองเสิ่นเอ้อแบกคนคนนั้นออกไป สายตาไม่ละออกจากร่างคนคนนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ

ความซับซ้อนในดวงตานั้น ความเจ็บปวดและบาดเจ็บโดยที่พูดไม่ได้ ในที่สุดเขาก็ไปแล้ว เธอหลับตาสองข้าง

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะไม่มองไม่ฟัง ไม่รักและไม่เกลียด

แต่อดีตไปตามควันได้……นั่นเป็นตอนจบที่ดีที่สุด

เธอกลับแน่ใจ การต่อต้านเพียงอย่างเดียวของเธอ คือปฏิบัติตามตัวเองอย่างเคร่งครัด ไม่เจ็บและไม่บาดเจ็บ

แต่ละวันผ่านไป ผู้ชายทำอาหาร เมื่อไปทำงาน ก็พาผู้หญิงไปไว้ข้างกายตน เอาไว้อยู่ต่อหน้าตนเสมอ เหมือนกับสามีภรรยาที่รักกันหวานชื่น

ในสายตาผู้คน รู้สึกอิจฉาเจี่ยนถง

ทั้งหล่อและรวย แถมดูแลครอบครัวอีกด้วย

เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ในวงการก็รู้กัน

มีบางคนถอนหายใจกล่าวว่า เจี่ยนถงในตระกูลเจี่ยนคนนั้น ถึงจะประสบความสำเร็จจากการทำงานหนัก นึกถึงตอนนั้นเธอตามจีบเสิ่นซิวจิ่นในขณะนั้น แต่ก็ได้ความแข็งแกร่งที่พยายามอย่างเต็มที่

และบางคนก็คล้อยตามว่า ตอนนี้เธอได้สิ่งที่ต้องการแล้ว

วันหยุดสุดสัปดาห์วันหนึ่ง

"ฉันอยากไปหาเขา"

"ใคร?"

"……พี่ชายฉัน"

ในดวงตาผู้ชายเป็นประกาย แต่สงบเยือกเย็น

"เรื่องของเจี่ยนโม่ป๋าย คุณไม่ต้องสนใจแล้ว"

ทัศนคติที่หลีกเลี่ยงปัญหาสำคัญเช่นนี้

เจี่ยนถงบีบฝ่ามือ ผ่านไปสักพัก……

"อาการเขาไม่ค่อยดี ฉันอยากไปหาเขาหน่อย"

"ฉันดีกับคุณไม่มากพอเหรอ?" ผู้ชายปักใจเชื่อว่าเธอจะหาทางหนีเขาอีกแล้ว "เจี่ยนโม่ป๋าย เจี่ยนโม่ป๋าย เจี่ยนโม่ป๋ายดีขนาดนั้นเชียว? เจี่ยนโม่ป๋ายสำหรับคุณสำคัญมากขนาดนั้นเลย? คุณยังอยากบริจาคไขกระดูกให้กับเขา? ฉันจะบอกคุณให้ ฉันจะไม่ให้คุณไปเจอเจี่ยนโม่ป๋าย ตัดใจซะเถอะ!"

ตัดใจที่จะหนีเขาไปเถอะ!

เขาโกรธ!

ในขณะนี้แค่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เขาจะนึกถึง ความจริงที่ว่าผู้หญิงคนนี้จะหนีจากเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

"ความเป็นความตายของเจี่ยนโม่ป๋าย มันไม่เกี่ยวกับคุณ เสี่ยวถง คุณเชื่อฟังหน่อย เชื่อฟังหน่อยได้ไหม?"

เขากลัว กลัวว่าจะทำทุกวิธีเพื่อจะไม่ให้เธอหนีไปจากสายตาตนเอง

และรู้สึกอยู่รางๆ เจี่ยนโม่ป๋ายในหัวใจเธอ สำคัญขนาดนั้นเลย?

ไม่ลังเลว่ามันจะเสี่ยง ก็อยากบริจาคไขกระดูกเหรอ?

แล้วเขาล่ะ?

ถ้าเธอเกิดอุบัติเหตุ เขาควรทำอย่างไร!

ผู้หญิงก็ถูกกระตุ้นให้โกรธเช่นกัน ในหัวใจเดิมทีก็หนักอึ้งจนหายใจไม่ออกอยู่แล้ว ในขณะนี้ดูเหมือนถูกกระตุ้นออกมา

"คุณมีเหตุผลหน่อยได้ไหม! ฉันแค่อยากไปหาพี่ชายฉันเอง! อีกอย่าง ร่างกายมันก็เป็นของฉัน! คุณมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินใจแทนฉัน!"

"คุณอยากไปบริจาคไขกระดูกจริงๆ นะ! คุณอยากหนีไปจากฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?" ผู้ชายโกรธเกินกว่าจะพูด และยิ่งไร้เหตุผล

"เจี่ยนถง! คุณอยากหนีไปจากฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"

"ใช่! ฉันอยากหนีไปจากคุณ! คุณพอใจหรือยัง!"

สิ่งที่เธอไม่กล้าพูด ในขณะนี้ตะคอกออกไปใส่เขาทุกอย่าง

"คุณป่วยจริงๆ! คุณขังฉัน ยังอยากให้ฉันซาบซึ้งคุณเหรอ? หวังดีกับฉันเหรอ? ฮ่าๆๆๆ ……" เธอหัวเราะขณะที่น้ำตาไหลออกมา

"คุณบอกว่าคุณหวังดีกับฉัน งั้นฉันขอให้คุณเก็บ’ ความหวังดี’ ของคุณไปได้ไหม? ถ้าหวังดีกับฉันจริงๆ ก็ปล่อยฉันไป!"

ทันใดนั้น!

ผู้ชายก็ทิ้งงานในมือ เดินเข้าไปข้างเธอด้วยใบหน้าโกรธจนเขียว "เก็บคำพูดเมื่อกี้ไปเลย!"

"ฉันไม่เก็บ! เก็บคำไหน? ปล่อยฉันไป? หรือว่าฉันอยากหนีไปจากคุณ? เสิ่นซิวจิ่น! ฉันเกินทนแล้ว! ทำไมฉันต้องฟังคุณ! คุณมีสิทธิ์อะไรมาขังฉัน!"

เธอโกรธจนทั้งร่างสั่นเทิ้ม

เขาพูดอะไร เธอก็ทำตามทุกอย่าง

เธอแค่อยากไปหาเจี่ยนโม่ป๋าย โทรศัพท์โดนเขาเก็บไปแล้ว คนที่เธอติดต่อได้ก็ไม่มีแม้แต่คนเดียว เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในขณะนี้เจี่ยนโม่ป๋ายมีอาการอย่างไรบ้าง

เธอแค่อยากไปเจอสักหน่อย

……ใช่ เธอควรเกลียดเจี่ยนโม่ป๋าย ควรเกลียดท่านแก่เจี่ยนด้วยซ้ำ

แต่……เธอทำไม่ได้

เมื่อดึกเงียบสงัด เธอก็กลัว กลัวความดีเหล่านั้นที่ปู่เคยมี ตั้งแต่แรก มีการไตร่ตรองล่วงหน้าที่ไม่สามารถพูดได้ เธอกลัวความดีเหล่านั้น ไม่ใช่แค่ให้เธอปฏิบัติดีกับเจี่ยนโม่ป๋ายอย่างเต็มใจ เธอกลัวว่าปู่ไม่เคยรักเธอมาก่อนเลย ไม่รักเลยแม้แต่นิด

แล้วชีวิตเธอมีค่าอะไร?

ปู่ดีกับเธอ เธอระลึกถึงบุญคุณของปู่ เธอรักปู่ แต่กลับบอกเธอว่า บางทีปู่อาจจะไม่เคยรักเธอมาก่อนเลย

เธอรักเสิ่นซิวจิ่น อยากได้แต่ก็ไม่ได้ กลืนความขมขื่นตัวเอง เธอยอมรับ

แต่ชีวิตนี้……เจี่ยนถงอย่างเธอ มันมีค่าอะไรกันแน่!

เธอแค่อยากไปเจอ เจี่ยนโม่ป๋ายคนนั้นที่มีสายเลือดเดียวกับเธอ เคยปฏิบัติดีกับตนด้วยใจจริงตอนเด็กๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น

คนคนนี้กลับไม่อนุญาต!

"เจี่ยนถง อย่าทำให้ฉันโกรธ" ผู้ชายหน้าเขียว เอ่ยตะคอก "จำได้หรือเปล่า ฉันเคยบอกว่าอย่าให้ฉันได้ยินคำว่าจากไปจากปากคุณอีก"

ผู้หญิงทั้งโกรธทั้งโมโห

"คุณป่วยจริง! คุณบอกว่าเซี่ยเวยเหมิงคือฉันเป็นคนฆ่า งั้นฉันยอมรับ ฉันยอมรับแล้วยังไม่โอเคอีก! แต่คุณดูฉัน ดูสภาพย่ำแย่ฉันในตอนนี้ คุณยังอยากให้ฉันทำอะไรอีก! เอาชีวิตแลกชีวิตเหรอ? ได้! ฉันจะคืนให้คุณ!"

โดยไม่ทันตั้งตัว คว้ามีดปอกผลไม้ข้างๆ เธอแทงเข้าไปในหัวใจตัวเองอย่างไร้ความปรานี

ตอนที่หยิบมีดขึ้นมา บางทีอาจจะเป็นการตัดสินใจที่หุนหันพลันแล่น แต่ขณะที่มีดมันแทงเข้าไปในหัวใจตัวเองอย่างโหดเหี้ยม เจี่ยนถงกลับรู้สึกว่า ทั้งร่างมันผ่อนคลายและปลดปล่อย

รอยยิ้มปลดปล่อยของเธอ ยังไม่ทันได้ผลิบาน ก็ยิ้มไม่ออกแล้ว

เสียงมีดแทงเข้าไปในเนื้อดังฉึก เลือดสดไหลออกมา กลับไม่ใช่เนื้อเธอ

สายตาเลื่อนลงไปทีละนิ้ว ใบมีดแหลมคม ฝ่ามือคนคนนั้นจับไว้แน่น เลือดสีแดงหยดลงพื้นดังติ๊งๆ

ยังไม่ทันเห็นความเจ็บปวดในสายตาคนคนนั้นอย่างชัดเจน คนคนนั้นกลับไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวด แย่งมีดมาจากมือเธอแล้วโยนทิ้งไปให้ไกล

ในเวลาต่อมาก็หมุนเคว้งย้อนกลับไปอีกครั้ง ทั้งร่างก็ถูกแบกเดินไปที่ห้องนอน

สีหน้าเธอซีดขาว เข้าใจทันที ว่าจะเกิดอะไรบางอย่างขึ้น

"เสิ่นเอ้อเสิ่นเอ้อ เสิ่นซิวจิ่นบาดเจ็บ!" เธอรู้ เธอขอให้เขาปล่อยมือ แต่เขาไม่มีทางฟัง

ทำได้แค่ตะเบ็งจากลำคอตะโกนเสียงดังไปที่นอกประตู

อย่างที่คิดไว้นอกประตูก็มีเสียงคนวิ่งมา "บอส……"

"ออกไป!" เสียงเย็นยะเยือกของผู้ชาย ดังขึ้นมาทันที

เสิ่นเอ้อหยุดอยู่หน้าประตูห้องนอนด้วยความเสี่ยง ในเวลาต่อมาก็ถอยกลับแล้วปิดประตู

"เสิ่นซิวจิ่น! คุณบ้าไปแล้ว!" เธอตะโกนใส่เขาอย่างสิ้นหวัง "เสิ่นซิวจิ่น! คุณกล้าเหรอ!"

"เสิ่นซิวจิ่น……อย่า!"

"เสิ่นซิวจิ่น……ฉันจะเกลียดคุณ"

ทุกอย่างที่ตะโกนออกไปมันออกมาจากหัวใจ สุดท้ายก็สิ้นหวัง

โลกของเธอ มันมืดสนิท

"กักขัง บีบบังคับให้มีอะไรกัน เสิ่นซิวจิ่น……คุณ……เป็นอะไรกันแน่?"

เสียงแหบทุ้มของผู้หญิงพึมพำกับตัวเอง

ร่างผู้ชายชะงัก ในเวลาต่อมาก็ยื่นมือไปปิดตาเธอ แล้วจูบบนหลังมือตัวเองที่ปิดดวงตาเธอไว้……คุณคือ คนที่สำคัญมากๆ

เขาพูดไร้เสียง

"เจี่ยนถง อย่าคิดหนีอีก ชีวิตนี้ คุณถูกลิขิตให้พัวพันกับฉันไปตลอดชีวิต ถ้าฉันไม่เห็นด้วย คุณก็หนีไม่พ้น"

เขา บ้าไปแล้วจริงๆ

ความเหลือทนภายในใจ มันไม่ตรงกับความคิดที่อยากจะครอบครองเธอทุกอย่าง

ทุกอย่างจบสิ้น เธอก็พูดขึ้น "ฉันเกลียดคุณ"

เขาหลับตา เมื่อลืมตาขึ้น ก็ระงับความเจ็บปวดในดวงตาบังคับให้พูดเสียงเย็นชา

"แล้วแต่คุณ"

เกลียดก็ดีเหมือนกัน ความเกลียด ก็ทำได้แค่เกลียดเขาคนเดียว

ตราบใดที่ในดวงตาเธอมีแค่เขา จะรักก็ดี เกลียดก็ดี เขาไม่สนใจทั้งนั้น

แค่ตอนที่เธอพูดว่าเกลียดเขา เขาเจ็บจนควบคุมตัวเองไม่ได้

เจี่ยนถงค่อยๆ ตื่น เมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว ห้องที่มืดสลัว เธอลุกขึ้นมาอย่างผ่อนคลาย เดินไปที่ห้องรับแขก ไม่แปลกใจที่ในห้องรับแขก ภายใต้แสงอบอุ่น มีร่างผู้ชายสองคนนั่งโซฟาดูโทรทัศน์อยู่

ภายในห้องรับแขก เสียงโทรทัศน์เบามาก เหมือนกลัวว่าเสียงดังเกินไปแล้วจะทำให้คนนอนหลับตื่น

ทางเดินมีเสียงฝีเท้าลอยมาเล็กน้อย ชายคนนั้นก็หันตัวมองไป

ทั้งสองคน ก็สบสายตากัน

ดูเหมือนทั้งสองไม่เคยมีอารมณ์แปรปรวนมากมาก่อน ราวกับเป็นคู่รักที่แต่งงานกันมานานแล้ว ราวกับรับรู้กันโดยปริยาย ไม่มีใครทำลายความอ่อนโยนอันน่าประหลาดนี้ได้

ดูเหมือนว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

ผู้ชายยืนขึ้นมาโดยไม่ปรึกษาใคร เดินไปที่เคาน์เตอร์ อุ่นอาหารอีกรอบอย่างเอื่อยเฉื่อย แล้ววางบนเคาน์เตอร์

และผู้หญิงก็เดินไปอย่างเงียบๆ นั่งลงทานอาหาร

ดูเหมือนว่าระหว่างพวกเขา ไม่เคยมีความรักความเกลียดชังพัวพันกันมากขนาดนั้น ไม่มีความทรงจำอันแสนเจ็บปวดมากนัก

อาหารหนึ่งมื้อจบลง ทุกคนรู้สึกว่าบรรยากาศมันกลมกลืน เกิดภาพลวงตาว่าโลกใบนี้สงบสุข

เคร้ง~

ข้าวร้อนๆ คำสุดท้ายส่งเข้าไปในปาก ผู้หญิงคนนั้นวางตะเกียบลง ตะเกียบอยู่บนโต๊ะเคาน์เตอร์ เกิดเสียงเล็กน้อย

"ปล่อยฉันไป"

เสียงแหบห้าวของผู้หญิง ค่อยๆ พูดขึ้นมาสามคำ

ฝ่ามือใหญ่ของผู้ชายที่เก็บชามตะเกียบอยู่ ก็แข็งทื่อกลางอากาศ "คุณเหนื่อยแล้ว ไป๋ยู่สิงบอกว่าร่างกายคุณไม่ค่อยดี ไปนอนสักหน่อย พรุ่งนี้เช้าฉันจะไปซูเปอร์มาร์เก็ตซื้อไก่ดำมา ฉันจะต้มซุปให้ดื่ม"

"ปล่อยฉันไปเถอะ" ผู้หญิงพูดด้วยเสียงแหบห้าว สำหรับคำพูดผู้ชาย ไม่ถามสักคำ

"เด็กดี" ชายคนนั้นวางชามตะเกียบในมือลง วางลงในอ่างล้างมือ แล้วล้างมือให้สะอาด เช็ดให้แห้ง เดินไปหาผู้หญิง แล้วก็ทำท่านี้ โอบเอวผู้หญิงจากด้านหลัง "ไปนอนนะ นอนสักหน่อยเดี๋ยวทุกอย่างก็ดีขึ้น"

"ปล่อยฉันออกไป" เธอพูด ในดวงตาไม่มีการเปลี่ยนแปลง

และปล่อยให้แขนเหล็กโอบเอวเธอไว้แน่น ในขณะนี้เข้าใกล้กันมาก แต่ไม่มีความรู้สึกอบอุ่นเลยสักนิด

ดวงตาเธอ เหมือนน้ำหายาก แห้งโดยไม่มีความชื้นใดๆ

ชายคนนั้นยังคงพูดอ่อนโยนและนิ่มนวล "เสี่ยวถง เป็นเด็กดีนะ ไปนอน คำพูดนี้ฉันถือว่าไม่เคยได้ยินมาก่อนแล้วกัน ต่อไปห้ามพูดโง่ๆ แบบนี้อีก"

เสียงของผู้ชายอ่อนโยนเหมือนตอนแรก มีความเอาอกเอาใจนิดหน่อยด้วยซ้ำ แต่ก็มีการเตือนอย่างเห็นได้ชัด

"ฉันอยากออกไปจากที่นี่……"

เสียงผู้หญิงยังพูดไม่จบ คำพูดนี้กลับกระตุ้นให้ผู้ชายโกรธ "คุณอยากออกไปจากที่นี่ หรือว่าอยากออกไปจากฉัน?"

แขนเหล็กของผู้ชายกระชับแน่นขึ้น ขมับกระตุกจนปูดขึ้นมา โกรธจริงๆ แล้ว ระงับเสียง ระงับความโกรธที่หมดหนทางและยากที่จะระบายออกมา

"อย่าพูดโง่ๆ อีก อย่าให้ฉันได้ยินคำว่า ‘ออกไป’ อีก" เขากัดฟัน ความเจ็บปวดในดวงตาเขา มีแค่เขาเท่านั้นที่รู้

"เสี่ยวถง คุณฉลาดขนาดนี้มาตั้งแต่เล็ก ก็ต้องรู้นะว่าเลือกอะไร แล้วจะดีสำหรับคุณ"

ทักษะการเจรจาต่อรองในธุรกิจ ผู้ชายไม่เข้าใจ ในเรื่องความรักพวกนี้ ก็มีน้อยมาก

ทัศนคติแน่วแน่ในธุรกิจ เพราะมีการสนับสนุนเงินทุนอันแข็งแกร่งของเขา ดังนั้นเขาจึงมีทัศนคติแน่วแน่ได้ แต่ที่นี่ไม่ใช่ธุรกิจ ที่นี่คือสวรรค์ลา

เขาไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ แค่อยากเก็บผู้หญิงคนนี้เอาไว้ให้ได้

แม้ว่าเพื่อนสองคนของตัวเองไม่มากก็น้อย เคยเตือนเขาอย่างไม่ชัดเจนว่า คนที่เก็บไว้ไม่ได้ ก็ให้ปล่อยเธอไป

แต่ทุกครั้งที่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะจากตนไป ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตนเอง เขาก็ยิ่งควบคุมตัวเองไม่ได้

เขาสับสนวุ่นวายทำอะไรไม่ถูก

เธอมีพิษ เธอคือยาของเขา

ผู้หญิงก้มศีรษะลง รอยยิ้มในดวงตา เยาะเย้ยอย่างมาก……เขาเป็นแบบนี้ตลอด!

เขา ไม่เคยเปลี่ยนแปลง!

ในหัวสมองคือคำพูดที่พ่อบ้านเซี่ยพูดกับเธอในวันนี้ การพัวพันระหว่างทั้งสองครอบครัว การเริ่มต้นระหว่างทั้งสองคน……ที่แท้ทุกอย่าง มันล้วนเป็นความผิดพลาดเท่านั้น

เธอก็อารมณ์เสีย เธออยากตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยวใส่เขา ถามเขาอย่างโกรธเกรี้ยวว่าทำไมต้องทำกับเธอแบบนี้

คำพูดเหล่านั้นของพ่อบ้านเซี่ย มันเหมือนกับค้อนยักษ์ ที่ทุบเธอให้แตกกระจุย เธอเงียบ คิดอยู่นานมาก คำพูดเหล่านั้นจากปากพ่อบ้านเซี่ย สำหรับเรื่องเหล่านั้นระหว่างทั้งสองครอบครัว……

สุดท้ายแล้ว ผู้หญิงก็ไม่ได้พูดอะไร

ไม่มีคำพูดสักคำให้ผู้ชายด้านหลัง

ในเมื่อการเริ่มต้นของพวกเขามันเป็นความเข้าใจผิด ถ้าอย่างนั้นเรื่องพวกนั้น เขาก็ไม่จำเป็นต้องรู้

"เสิ่นซิวจิ่น คุณเคยบอกว่าคุณเกลียดฉัน ฉันเข้าใจ ฉันเข้าใจทั้งหมด แต่ฉันเป็นคนแบบนี้แล้ว ฉันเหลืออะไรไม่มากแล้ว ฉันไม่รู้ ในตัวฉันนี้ยังมีอะไรที่ประธานเสิ่นอย่างคุณชอบ ปล่อยฉันไป เราสองคนก็จะสบายใจ ไม่ได้เหรอ?"

เธอพยายามโน้มน้าว แต่เธอลืม การยึดติดของคนคนนี้ บางครั้งมันก็น่ากลัวมากจริงๆ

"ไม่ได้!" ผู้ชายตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว เธอรู้จักแต่คำว่าจากไป จากไป จากไป!

เพื่อจากไป เธอสามารถไม่สนใจทุกอย่างได้!

อยู่เคียงข้างเขา มันไม่ดีเหรอ?

"เด็กดี ไปนอน" เขาพูด

ฝ่ามือบีบแน่น เขารอการตอบสนองของผู้หญิงในอ้อมกอดอย่างขวัญหนีดีฝ่อ กลัวว่าเธอจะพูดประโยคจากลาอีกครั้ง แล้วเขาจะควบคุมตัวเองยากอีกครั้ง เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรบางอย่างออกมา!

เวลาผ่านไปทีละนิด ผู้หญิงในอ้อมกอด ดูเหมือนรู้สึกความคิดของผู้ชายด้านหลัง "โอเค"

ผู้ชายถึงคลายแขน มองแผ่นหลังผู้หญิงเข้าไปในห้องนอน จนกระทั่งถึงประตูห้องนอน ปิดลงเบาๆ กำปั้นที่บีบอยู่ก็คลายลง

เมื่อผู้หญิงตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ทุกอย่างก็ล้วนเปลี่ยนไปแล้ว

ในชั่วข้ามคืน หน้าต่างทุกบานในบ้าน ล้วนติดตั้งรั้วอะลูมิเนียมอัลลอยด์

เมื่อแสงแดดยามเช้ากระจายไป ผู้หญิงลืมตาขึ้น หันศีรษะไปข้างๆ ก็ไม่สามารถละสายตาได้อีก ในสายตาคือหน้าต่างกันขโมยที่ล้อมรอบคน

เธอจ้องมองหน้าต่างกันขโมยอยู่นานมาก จู่ๆ ก็ยิ้ม ยิ้มไปยิ้มมา น้ำตาก็ไหลลงมา……เขาสร้างคุกให้เธออีกแล้ว

ประคองร่างกายขึ้นมา เดินเท้าเปล่าไปที่หน้าต่าง มือคว้าหน้าต่างกันขโมยอะลูมิเนียมอัลลอยด์เอาไว้อย่างแน่วแน่……คุกอีกแล้ว เธอยิ้ม ยิ้มพร้อมน้ำตาไหลลงมา

เหมือนในปีนั้น เหมือนสามปีที่อยู่ในคุก สองมือของเธอจับรั้วอย่างแน่วแน่ ที่นี่ คือที่เดียวที่แสงส่องเข้ามา

นอกประตูมีเสียงหมุนกุญแจ เธอรีบเก็บทุกอย่าง เช็ดน้ำตาแล้วหันตัวเดินออกไปนอกห้องนอน

ในมือคนคนนั้นถือถุงพลาสติก เดินมาหน้าเคาน์เตอร์

"ไก่ดำวันนี้ดีเป็นพิเศษ ฉันหยิบเองกับมือ มันอ้วนมาก และฉันได้เอาอาหารเช้ามาให้คุณ เสี่ยวถง ไปอาบน้ำให้เรียบร้อยแล้วมานั่งกิน"

คนคนนั้นพูดขณะที่วางถุงพลาสติกในมือไว้ข้างๆ อ่างน้ำ ผักและวัตถุดิบเนื้อไม่น้อยเช่นกัน ผู้ชายอยู่ด้านหน้าอ่างล้างมือ พับแขนเสื้อขึ้นแล้วล้างผักอย่างเหมาะสม

มือของผู้หญิงห้อยแนบลำตัว หันไปด้านหลัง เล็บเว้าพระจันทร์เสี้ยว จิกลึกลงไปในเนื้อฝ่ามือ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองไปนอกระเบียง หน้าต่างกันขโมยสร้างขึ้นแล้ว ทำให้บ้านหลังใหญ่นี้ครอบคลุมอย่างแน่นหนา

มีลมพัดมา แต่เธอใกล้จะหายใจไม่ออกแล้ว

ผู้หญิงทำตามที่บอกโดยไม่พูดอะไรสักคำ เขาพูดว่าให้ไปอาบน้ำแล้วมาทานอาหารเช้า

อืม โอเค

เธอไปอาบน้ำ อาบเสร็จก็มานั่งทานอาหารเช้าที่เขานำกลับมาอย่างเงียบสงบ

ผู้ชายอยู่ในห้องครัวแบบเปิด ล้างผักทำอาหารอย่างคล่องแคล่ว ผู้หญิงอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ทานอาหารเช้าอุ่นร้อนเงียบๆ

ห้องหนึ่งที่อบอุ่นและมีความสุข

ผู้หญิงไม่ถามด้วยซ้ำ ว่าติดตั้งหน้าต่างกันขโมยตั้งแต่เมื่อไร

ทุกอย่างเหมือนจะดีมาก แค่ทุกครั้งที่หางตาผู้หญิงกวาดมองไปที่หน้าต่างกันขโมย ในดวงตาเธอจะมีความเกลียดชังและหวาดกลัว……อันลึกซึ้ง

บางทีระหว่างเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นชุดก่อนหน้านี้ ใช้แรงไปเยอะมาก ผู้หญิงจึงเป็นลมไป

บนตึกอพาร์ทเมนท์

ไป๋ยู่สิงกำลังเก็บกล่องยาของตัวเอง "ไม่เป็นอะไร แค่เป็นลมไป แต่สุขภาพเธอแย่มากจริงๆ หลังจากเธอฟื้นขึ้นมา ต้องให้ความสำคัญกับอาหารเสริมเป็นปกติ ทำงานและพักผ่อนให้สมดุลกัน……"

ขณะที่ไป๋ยู่สิงพูด ก็ชะงักครู่หนึ่ง เหลือบไปมองผู้หญิงที่หมดสติอยู่บนเตียง เบ้ปาก "อย่าให้เธอกังวลและเหนื่อยดีกว่า อยู่บ้านพักฟื้นเถอะ"

นี่ก็ไม่แน่ใจว่าเมื่อไร ถึงจะสามารถพักฟื้นร่างกายที่ทรุดโทรมนี้ได้

อย่างไรแล้วก็บาดเจ็บสาหัสเกินไป

"นอกจากนี้ ฉันแนะนำรอให้เธอฟื้น พาเธอไปโรงพยาบาลสักรอบจะดีที่สุด แล้วตรวจสอบอย่างละเอียด ตอนนี้ยังไงฉันก็ไม่มีเครื่องมือหมอติดตัว สุขภาพร่างกายเธอในตอนนี้ บาดเจ็บสาหัสแค่ไหน ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรเหมือนกัน และไม่มีข้อมูลที่แม่นยำ……การแพทย์แผนตะวันตก ทุกอย่างต้องการข้อมูลที่ถูกต้อง"

ไป๋ยู่สิงเก็บกล่องยาของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ในดวงตาผู้ชายที่อยู่ข้างเตียงมีความปวดใจ ยื่นมือไปกดผ้าห่มบนร่างผู้หญิงอย่างดี เสียงทุ้มพูดขึ้น "ไปคุยกันที่ห้องรับแขก"

ไป๋ยู่สิงมองไปที่แผ่นหลังที่เดินจากไปก่อน แอบกลอกตาใส่……ถึงขนาดนี้เลยเหรอ เดี๋ยวถ้าฟ้าร้อง ก็คงปลุกผู้หญิงคนนี้ไม่ตื่นหรอก

แต่เขาขี้เกียจแข่งกับเพื่อนตัวเอง ถือกล่องยาของตัวเอง แล้วรีบเดินตามไป

น้ำชาแก้วหนึ่ง ส่งมาวางบนโต๊ะชา ชายคนนั้นนั่งลงไป ขาเรียวยาวไขว้ทับอีกข้างอย่างผ่อนคลาย

"ในเมื่อนายกลับมาแล้ว มีเรื่องหนึ่งต้องไหว้วานนาย"

ไป๋ยู่สิงเงยหน้าขึ้นทันทีด้วยความประหลาดใจที่ได้รับการโปรดปราน ยื่นมือไปลูบหัวใจของตัวเอง "นายอย่าทำให้ฉันตกใจ นายมีอะไรก็พูดมาตรงๆ"

ไหว้วานเหรอ? เติบโตมีทัศนคติเดียวกับเพื่อนคนนี้มา ไป๋ยู่สิงเติบโตมาขนาดนี้ น้อยครั้งมากที่จะมีเรื่องอะไร ที่แซ่เสิ่นมันใช้คำว่า "ไหว้วาน" อย่างระมัดระวัง

อย่าเป็นเรื่องอะไรที่ไม่ดีกันทั้งสองฝ่าย……

เมื่อความคิดนี้เพิ่งเข้ามาในหัวใจ เสียงทุ้มต่ำของชายคนนั้นก็ค่อยๆ เข้าหู

"นายก็รู้ เธอกำลังหลอกฉัน"

"ฮะ?"

ชายคนนั้นผลุบตาลง "เธอบอกว่าต้องการเวลาอยู่เงียบๆ ตามลำพัง เธอกำลังหลอกฉัน เธอปิดบังฉันที่ไปบริจาคไขกระดูกให้เจี่ยนโม่ป๋าย"

ขณะที่พูดก็โยนไฟล์ให้ไป๋ยู่สิง "เธอเซ็นใบรับรองบริจาคไขกระดูกเรียบร้อยแล้วด้วย"

ไป๋ยู่สิงหยิบไฟล์นั้นขึ้นมาดูหนึ่งรอบ เงียบอย่างต่อเนื่อง "ในเมื่อนายได้สิ่งนี้มาแล้ว แผลของเธอก็คงไม่สำเร็จใช่ไหม?"

"บอกตามตรง เจี่ยนโม่ป๋ายก็ดี เจี่ยนเจิ้นตงก็ดี คนอื่นๆ ตระกูลเจี่ยนก็ดี ฉันไม่อยากสนใจหรอก การจับคู่ยีนของเจี่ยนเจิ้นตงลูกนอกสมรสนั่น มันสอดคล้องกับเจี่ยนโม่ป๋าย เรื่องนี้ฉันก็รู้นานแล้ว เจี่ยนเจิ้นตงกับเมียน้อยของเขา แอบทำผลรายงานการจับคู่ยีนของปลอม ไม่มีอะไรมากไปกว่าการไม่อยากให้ลูกนอกสมรสนั่นบริจาคไขกระดูกให้กับเจี่ยนโม่ป๋าย พวกเขาแอบทำเรื่องพวกนี้ลับหลัง ฉันสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ ในสายตา"

"นายสืบรู้เรื่องนานแล้ว ทำไมไม่บอกภรรยานายให้เร็วหน่อย ถ้านายบอกเธอตั้งแต่เนิ่นๆ เธอคงไม่ลงนามข้อตกลงการบริจาคนี้หรอก"

"ก่อนหน้านี้ ฉันเห็นเธอนอกจากรักท่านแก่เจี่ยนแล้วในตระกูลเจี่ยน คนอื่นๆ ก็ไม่สนใจเลย ในเมื่อเธอไม่สนใจ ฉันก็เลยขี้เกียจพูด"

ไป๋ยู่สิงเงียบไม่พูดด้วย เขาก็รู้ เสิ่นซิวจิ่นคนคนนี้ มีความไม่แยแสในกระดูก

คนและเรื่องที่สามารถทำให้เขาใส่ใจได้ มีไม่มากหรอกบนโลกนี้

นอกจากเขาและซีเฉินพี่น้องเหนียวแน่น ก็คือเจี่ยนถง

สำหรับตระกูลเจี่ยน เขาค่อนข้างมั่นใจ ถ้าตระกูลเจี่ยนตายกันทั้งครอบครัว แล้วเจี่ยนถงไม่รู้สึกแย่ เสิ่นซิวจิ่นก็จะมองด้วยสายตาเย็นชา ทั้งๆ ที่รู้ว่าเจี่ยนโม่ป๋ายมีทางรอดชีวิต เสิ่นซิวจิ่นคนคนนี้ก็จะรับรู้ว่ามีทางรอดด้วยความเฉยเมย และมองเจี่ยนโม่ป๋ายไปตายด้วยสายตาเย็นชา

ทางนี้ขณะที่พูด ชายที่อยู่ข้างกายก็หัวเราะเยาะหยิบโทรศัพท์ออกมา "นายดู เบอร์นี้"

ไป๋ยู่สิงหยิบขึ้นมา แค่รู้สึกคุ้นตาเล็กน้อย คิดไม่ออกชั่วขณะหนึ่ง "นี่คือ?"

"เบอร์นี้ไม่ได้ระบุหน่วย นี่คือเบอร์โทรศัพท์แรกที่เธอโทรไปก่อนหลังจากเธอออกจากบริษัทเสิ่นซื่อวันนั้น ฉันรู้สึกแปลกๆ เลยให้คนไปสืบ นายเดาดูสิ นี่มันเบอร์ของที่ไหน?"

ไป๋ยู่สิงมองเบอร์โทรศัพท์นั้นยังรู้สึกคุ้นตาจริงๆ แต่นึกไม่ออก

"ผลที่เสิ่นซื่อสืบออกมาได้ เบอร์นี้ คือเบอร์ของธนาคารไขกระดูกระหว่างประเทศ"

ไป๋ยู่สิงเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ "คงไม่ใช่……"

"ใช่ นายเดาถูกแล้ว ผลที่เสิ่นซื่อสืบออกมาได้ เบอร์นี้คือเบอร์ที่เธอติดต่อมาตลอดหลังจากกลับมาจากทะเลสาบเอ๋อร์ไห่" ขณะที่พูด ฝ่ามือก็คว้าโทรศัพท์เจี่ยนถงอย่างแน่วแน่

"เธอทนได้จริงๆ! ทนได้อีก และเผยพิรุธต่อหน้าฉันได้! ฉันแกล้งทำเป็นบ้าและโง่ ให้เธอคลายการป้องกัน วันเวลาที่ใช้มาด้วยกัน ไม่คิดเลยว่าไม่สังเกตเห็นสักนิด!"

"……"

ไป๋ยู่สิงไม่รู้ว่าควรเกลี้ยกล่อมผู้ชายข้างกายอย่างไรดี อย่าให้เขาพูดโกหก โน้มน้าวเสิ่นซิวจิ่นว่าอย่าไปคิดมากเลย

"เธอไม่ต้องปิดบังเลย ถ้าแค่หาการจับคู่ให้กับเจี่ยนโม่ป๋ายเฉยๆ จำเป็นต้องปิดบังอย่างเคร่งเครียดขนาดนี้ด้วยเหรอ? ถึงแม้ว่าจะเผชิญหน้ากับฉันที่ ‘จิตผิดปกติ’ !"

เสิ่นซิวจิ่นฉลาดเกินไป ฉลาดแบบนี้ สามารถช่วยให้เขาไม่เคยทำอะไรผิดพลาดและสำเร็จทุกสิ่งในแวดวงธุรกิจมาตลอด เขาได้รับประโยคจากความฉลาดโดยกำเนิดนี้ แต่ในขณะนี้ เขาอยากให้ตัวเองโง่ "จิตใจแปดขวบ" มากจริงๆ

"เธอบอกฉันว่าตอนที่จากทะเลสาบเอ๋อร์ไห่กลับมาที่เมืองS ก็วางแผนที่แย่ที่สุดไปแล้ว เธอตั้งใจว่าถ้าหาการจับคู่ยีนไม่สำเร็จจริงๆ เธอจะทำเอง"

ไป๋ยู่สิงไม่ส่งเสียง โดยธรรมชาติแล้วเขาก็ไม่ใช่คนโง่ ในใจคาดเดาสิ่งนี้ไปแล้ว

นึกถึงผู้หญิงคนนั้น ทำไมให้เสิ่นซิวจิ่นใช้ปู่ที่ล่วงลับไปแล้วมาข่มขู่ได้ง่ายดายขนาดนี้ด้วย?

นึกถึงการต่อต้านอันเด็ดขาดของเธอในตอนแรก ทำไมต่อมาถึงสัญญาค่อนข้างง่าย

แต่ในตอนนั้น ถึงจะเป็นเสิ่นซิวจิ่นที่ฉลาดที่สุด ก็ตื่นเต้นกับเรื่องที่ผู้หญิงสุดที่รักของตนในที่สุดก็กลับมาเมืองSจนเพิกเฉยต่อความแปลกๆ เพียงเล็กน้อยล่ะมั้ง

ทันใดนั้นไป๋ยู่สิงก็ค่อนข้างเห็นใจผู้ชายโอหังและถือดีตรงหน้าคนนี้……ไม่ลังเลที่จะแกล้งโง่ แต่ไม่ได้ทำให้ผู้หญิงคนนั้นผ่อนคลายการป้องกัน เขาเองก็ถูกกับดักคนอื่นล่อลวง แถมยังภาคภูมิใจอีก

เสือดาวที่เฉลียวฉลาด อย่างไรแล้วก็เข้ากับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ไม่ได้

"สามปีก่อน เธอไม่ลังเลที่จะใช้เวลาและพลังงาน ไม่มีเงื่อนไขให้เธอหนีสักนิด สามปีต่อมา เธออยากจะหนีอีกครั้ง ครั้งนี้เธอเลยเตรียมอย่างสุดชีวิต"

ชายคนนั้นขณะที่พูด บริเวณริมฝีปากบางก็ขมขื่นอย่างเห็นได้ชัด

"ฉันรู้ว่าผิดไปแล้ว……แค่อยากใช้ชีวิตไปจนแก่กับเธอ แต่เธอหนีสุดชีวิต ยู่สิง วันนั้นพิธีบรรลุนิติภาวะเธอครบรอบสิบแปดปี ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันหนึ่ง ที่ฉันจะรักผู้หญิงคนนี้มากขนาดนี้ ถ้ารู้ตั้งนานแล้ว วันเกิดสิบแปดปีวันนั้นของเธอ ฉันจะสารภาพอย่างกล้าหาญ ตอนนั้นฉันควรจะแบกเธอที่ทำตัวเป็นจุดสนใจไว้บนไหล่ โยนไปบนเตียง แล้วขังเธอไว้ในอาณาเขตฉันทั้งแต่นั้นเป็นต้นมา"

ไป๋ยู่สิงฟังเงียบๆ คนนอกแค่รู้สึกปวดใจและเสียใจ เสิ่นซิวจิ่นพูดว่าเขาผิดไปแล้ว……รู้ว่าผิดไปแล้ว ผู้ชายที่เย่อหยิ่งแบบนั้น เขาพูดว่า "ผิดไปแล้ว"

นั่นมันเกือบจะเป็นความสิ้นหวังที่แท้จริงแล้ว

"ถ้าเป็นแบบนั้น อีกสักพัก……ลูกของเราก็จะเข้าเรียนประถมแล้วใช่ไหม"

ไป๋ยู่สิงฟังอยู่ แค่รู้สึกว่าคำพูดนี้เหมือนน้ำมันเดือด ราดลงบนเนื้อหัวใจ "ฉู่–" เนื้อถูกน้ำมันเดือดทำให้สุก รู้สึกแย่ตามขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก

"ฉันจะดื่มเป็นเพื่อนนายหนึ่งแก้ว"

"ไม่ดื่มเหล้า เธอตื่นมาแล้วจะหิว" ขณะที่พูด ก็ยืนขึ้น เดินไปหาตู้เย็นอย่างคุ้นเคย หยิบผักออกมา

"ต้มโจ๊กนิ่มๆ สักหน่อย เธอกินอาหารแข็งไม่ได้"

เพิ่งวางผักบนเคาน์เตอร์ จู่ๆ ร่างกายก็ชะงัก หางตามองลงไปที่ถังขยะที่เต็ม

มองนานสักพัก ร่างเรียวของชายคนนั้นก็ย่อลงไป หยิบของออกมาจากถังขยะทีละชิ้น

ไป๋ยู่สิงมองผู้ชายที่ล้างแก้วคู่รักอย่างเงียบสงบด้านหลังอ่างล้างมือ รู้ว่าโชคชะตาเล่นตลกกับคน

เมื่อทุกอย่างวางอยู่ในที่เดิมของมันทั้งหมดแล้ว ชายคนนั้นก็หันกลับมา "เมียน้อยของเจี่ยนเจิ้นตงคนนั้น เซ็นข้อตกลงบริจาคไขกระดูกแล้ว ยู่สิง เจี่ยนโม่ป๋าย……ไหว้วานนายด้วยนะ"

ไป๋ยู่สิงมองชายคนนั้น เขาเข้าใจแล้ว……คนที่เจี่ยนถงใส่ใจ เสิ่นซิวจิ่นก็ใส่ใจ

และการผ่าตัดปลูกถ่ายไขกระดูก สิ่งสำคัญคือหลังผ่าตัดจะต้องรักษาตัวในห้องปลอดเชื้อหนึ่งเดือน เสิ่นซิวจิ่นกลัว ถ้าหลังผ่าตัดเจี่ยนโม่ป๋ายเกิดอุบัติเหตุ ก็กลัวเจี่ยนถงจะรู้สึกแย่

"โอเค ฉันจะเข้าไปในห้องปลอดเชื้อด้วยตัวเอง"

พ่อบ้านเซี่ยล็อกประตูรถทันที ผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าเปิดประตูรถไม่ได้ ก็เปลี่ยนเป็นทุบกระจกรถอย่างบ้าคลั่งแทน

มันเป็นความจริงที่เขาอยากส่งเธอไปตาย มันเป็นความจริงที่เขาจะไม่ปล่อยเธอไป

มันเป็นความจริงที่ เมื่อเขาขับรถเองอย่างบ้าคลั่ง ก็ไม่รู้สึกมีอะไรบางอย่างที่น่ากลัว

แต่เมื่อคนอื่นบ้าคลั่ง ในส่วนลึกก้นบึ้งหัวใจเขา ก็มีความหวาดกลัวที่รู้สึกในภายหลัง

คันเร่งใต้ฝ่าเท้าปล่อยแล้ว ความเร็วของรถกลับไม่ลดลงทันที

ข้างกายยังมีผู้หญิงบ้าคนหนึ่งนั่งอยู่ ทุบกระจกรถเต็มที่สุดชีวิต พ่อบ้านเซี่ยนึกกลัวในภายหลังแล้ว มือข้างหนึ่งควบคุมพวงมาลัย มืออีกข้างหนึ่ง คว้าผู้หญิงบ้าคนนั้นที่นั่งเบาะข้างคนขับไว้อย่างแน่วแน่

"คุณบ้าไปแล้วเหรอ??"

เขาตะคอกด้วยความโกรธ

ในขณะนี้เขาก็ไม่คิดว่านี่คือสิ่งที่เขาต้องการไหม?

แค่เมื่อทุกอย่างมันเกิดขึ้น เมื่อผู้หญิงคนนี้ไม่สงบสุขอีกต่อไปอย่างแท้จริง เขากลับหวาดกลัว

"ฉันอยากกลับไป!"

"ปล่อยฉัน! ปล่อยฉัน! ฉันอยากกลับไป!"

ผู้หญิงคนนี้ตะโกนอย่างเจ็บปวดถึงขีดสุด พ่อบ้านเซี่ยไม่เห็นความเจ็บปวดในดวงตาเธอที่เหมือนหุบเหว เจ็บปวดจนยากที่จะรักษาความมีเกียรติในตัวเองอันน่าสงสารของเธอเอาไว้อีกต่อไป

เพี้ยะ–

ตบหนึ่ง อย่างไร้ความปรานี ตบไปที่ผู้หญิงคนนั้นข้างกาย

ผู้หญิงคนนั้นหันหน้าไปอย่างโง่เขลา พ่อบ้านเซี่ยกำลังจะด่าด้วยความโกรธเกรี้ยว วินาทีต่อมา ผู้หญิงคนนั้นก็พุ่งไปแย่งพวงมาลัยเหมือนเป็นบ้า

การกระทำนี้ ทำให้พ่อบ้านเซี่ยหน้าเขียวอย่างแท้จริง

"ปล่อย! คุณเป็นบ้าเหรอ! รีบปล่อยมือ! ถ้ายังไม่ปล่อยมือ เราสองคนจะตายกันหมด!"

พ่อบ้านเซี่ยตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว

ผู้หญิงคนนั้นราวกับไม่รู้ไม่ได้ยิน คว้าพวงมาลัยอย่างแน่วแน่

พ่อบ้านเซี่ยลืมไปแล้ว เขาอยากให้เธอตายไม่ใช่เหรอ?

สองคนนั่งในรถ แย่งพวงมาลัย ในขณะนี้เวลานี้ เขากลัวจริงๆ แล้ว

พ่อบ้านเซี่ยที่บอกว่าจะพาเธอลงไปในแม่น้ำด้วยกัน ในขณะนี้ตกใจกลัวอย่างมาก

เขานึกว่าเขาบ้าไปแล้ว เขาไม่ต้องการมีชีวิตแล้ว และอยากลากเธอลงนรกไปด้วย

แต่เมื่อความตายกำลังจะมาถึง เขาก็หวาดกลัว และเสียใจภายหลังแล้ว

เหยียบเบรกรถ เดิมทีรถแล่นออกไปด้วยความเร็วสูงมาก ถึงเขาจะปล่อยคันเร่งมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ความเร็วก็ยังเกินแปดสิบ ในขณะนี้เมื่อเหยียบเบรก รถได้รับแรงบังคับภายนอก ยางจึงเริ่มลื่น ถึงจะอยู่ในรถ ก็ยังสามารถได้ยินเสียงเสียดพื้นที่แสบแก้วหูอย่างมาก

เสียงนี้แสบแก้วหูกว่าเสียงอื่น เขายิ่งกลัว ในขณะนี้ ความรู้สึกเสียใจภายหลังยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

บนถนนกว้างใหญ่ รถรอบๆ ล้วนหลบออกไปไกลๆ แค่เห็นรถวิบากคันหนึ่งที่สูญเสียการควบคุม อยู่กลางถนนรูปร่างเหมือนงูด้วยความเร็วน่าหวาดกลัว หลายครั้งจะชนแนวพื้นที่สีเขียวข้างๆ หรือรั้วข้างถนน

ทุกครั้ง นอกจากตื่นเต้นหวาดกลัวแล้ว ล้อก็ขูดโดนหินถนน

"ปล่อยมือ! ปล่อยมือ! แม่งเอ๊ย! ฉันบอกให้คุณปล่อยมือ! คุณบ้าไปแล้วเหรอ! ก็เพราะท่านแก่เสิ่นลักพาตัวคุณตอนคุณเกิดเหรอ? เรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้น! คุณบ้าไปแล้วจริงๆ!"

ใบหน้าพ่อบ้านเซี่ย เขียวอย่างแท้จริง ด้านหลังเหงื่อก็แตกพลั่กตั้งนานแล้ว

แต่ผู้หญิงคนนั้น กล้าหาญอย่างไม่กลัวตายจริงๆ –เขาเสียใจภายหลังอย่างแท้จริง!

ไอ้บ้านี่!

ขณะที่พูดและสาปแช่ง เขาไม่กล้าเช็ดเหงื่อที่หางตา เหงื่อมันซึมเข้าดวงตา ดวงตาระคายเคืองจากความเค็ม เจ็บแสบมาก

ไม่กล้าเช็ดเหงื่อ ไม่กล้ากะพริบตา มือข้างหนึ่งผลักผู้หญิงข้างกาย มืออีกข้างหนึ่งก็ควบคุมพวงมาลัยอย่างแน่วแน่

หางตากวาดไปที่มาตรเกียร์ 80–75–72–68–

ความเร็วค่อยๆ ลดลงทีละนิด ทำให้เขาค่อนข้างโล่งใจเล็กน้อย

ฉวยโอกาสนี้ เบรกมือ–ดึงมันอย่างรุนแรง!

เอี๊ยด–

เสียงทุ้มของการเสียดสีที่แสบแก้วหูอย่างแรงดังขึ้น แต่ครั้งนี้ พ่อบ้านเซี่ยกลับถอนหายใจอย่างหนักหน่วง

คลายเบรกมือ ความเร็วรถลงกะทันหัน 45–

เขากำลังจะบิดกุญแจรถ มือข้างหนึ่งยื่นออกไป แต่ไม่สามารถทำให้เขาไขว้เขวได้ ทำได้แค่รักษาท่าทางอย่างนั้นเมื่อครู่นี้

ไอ้บ้า!

ในใจเขาสาปแช่งนับครั้งไม่ถ้วน

โชคดี ความเร็วลดลงเหลือ30–

20–

ที่ท้ายรถ มีควันหนา เครื่องยนต์เกิดเสียงแปลกประหลาด ทันใดนั้นไฟก็ดับลง

ในเวลาเดียวกัน พร้อมกับเสียงแตรของรถตำรวจ รถตำรวจ รถจักรยานยนต์ตำรวจ ขนาบสองข้างทางและหน้าหลัง

รถจอดลง รถตำรวจโดยรอบมีเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายหลายคนรีบเดินมาหา

และทางแยกด้านหน้า มีติดป้ายหยุดไว้นานแล้ว

ท่ามกลางรถตำรวจ เบนท์ลีย์สีดำคันหนึ่ง สะดุดตาเป็นพิเศษ ขายาวใหญ่ข้างหนึ่งก้าวออกมาจากรถ คนคนนั้นลงรถ ก้าวเท้ายาวมาที่รถวิบาก

หมัดกระแทกกระจกรถ ในพริบตาเดียว เลือดสีแดงก็ไหลออกมา คนคนนั้นดูเหมือนไม่สนใจอย่างสิ้นเชิง มือยื่นเข้าไปในรถแล้วเปิดประตูรถ

พ่อบ้านเซี่ยเห็นคนที่เดินมา ใบหน้าชราวัยที่ตกใจหวาดกลัวในเดิมที ก็ไม่มีสีโดยสิ้นเชิง

"ไม่ใช่ผม เธอ……"

คนคนนั้นยกสายตาอ่านใบหน้าพ่อบ้านเซี่ยอย่างรวดเร็ว ดวงตานั้นเย็นยะเยือกถึงกระดูก ในใจพ่อบ้านเซี่ยเต้นตึก "ตึกตัก" ทันที อย่างไรแล้วเขาก็ดูแลคนคนนั้นมาตั้งหลายปี แววตาเมื่อครู่นั้น ขณะที่มองเขาเหมือนมองคนตาย

เขาเริ่มยุ่งเหยิงแล้ว

คนคนนั้นไม่พูดสักประโยคเดียว ขณะที่ถูกจ้องมองอยู่ ก็ลดเอวลง ครึ่งตัวบนเข้าไปในรถ แขนยาวยืดออกไป วินาทีต่อมา ผู้หญิงคนนั้นก็เข้าสู่อ้อมกอดนั้น

อย่างแน่น กอดเอาไว้อย่างแน่น

มือชายคนนั้นกำลังสั่น เขากลัว เขากลัวจะสูญเสียเธอไป

ศีรษะฝังในคอผู้หญิงคนนั้น การเต้นของหัวใจเขาในขณะนี้ มันก็เต้นเร็วอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เขาเห็นรถวิบากสูญเสียการทรงตัวด้วยตาตัวเอง เห็นรถจะชนออกไปหลายครั้ง ทุกครั้งหัวใจเขาก็ประหม่ากังวลมาก

เขาซุกคอผู้หญิงคนนั้น……เสี่ยวถง เสี่ยวถง คุณไม่รู้ เมื่อกี้นี้ เมื่อกี้นี้ฉันแทบบ้าแล้ว

เขาอยากพูดกับเธอ

แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับผลักเขาออกเหมือนในมือมีมันเทศร้อนๆ

โดยไม่ได้เตรียมตัว เขาถูกผลักออกไปจากในรถ จนลื่นโซเซ และผู้หญิงคนนั้นผลักเขาแล้วก็กระโดดลงจากรถ วิ่งไปด้านหลังอย่างบ้าคลั่ง

"อย่าวิ่ง! ฉันเอง! ฉันเอง! ไม่เป็นอะไรแล้ว! เสี่ยวถงไม่ต้องกลัว!"

ชายคนนั้นก้าวเท้ายาวตามไป

เท้าผู้หญิงคนนั้นสะดุด เดิมทีขาเธอไม่กระฉับกระเฉง ก็ล้มลงพื้นดังตุ้บ

ชายคนนั้นวิ่งตามไป กอดเอาไว้ "ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว ฉันเอง เสิ่นซิวจิ่น"

"อ๊าก! อ๊าก!!!" ผู้หญิงคนนั้นเหมือนถูกกระตุ้น มือและเท้าดันกลับไป "ปล่อย! ปล่อย! ปล่อย!! ฉันอยากกลับไป! ฉันอยากกลับไป! คุณปล่อยมือ! อย่ามาแตะตัวฉัน! ฉันอยากกลับไป!"

"โอเคๆๆ กลับไป เราจะกลับไป ฉันจะพาคุณกลับไป"

ขณะที่ผู้ชายถูกจ้องมอง ก็กอดเอวผู้หญิงคนนั้นเอาไว้ "ตอนนี้ฉันจะพาคุณกลับไป ไม่เป็นอะไรแล้ว เราจะกลับบ้านกัน"

ผู้หญิงคนนั้นแค่ส่ายหน้า ส่ายหน้าสุดชีวิต "คุณปล่อย ฉันอยากกลับไป! ฉันอยากกลับไป!"

"โอเค ฉันรู้แล้ว ฉันรู้แล้ว นี่ฉันจะพาคุณกลับไป เสี่ยวถง เราจะกลับบ้านกัน กลับบ้านนะ เด็กดี"

"ภรรยาฉันตกใจมาก ตอนนี้อารมณ์เธอไม่คงที่ ฉันต้องพาเธอไปก่อน" ชายคนนั้นเดินไปตรงหน้าตำรวจจราจร แล้วพูดขึ้น "รอให้เธออารมณ์มั่นคงขึ้นหน่อย ฉันจะพาเธอไปบันทึกไกล่เกลี่ย"

เสิ่นเอ้อขับรถไปทันที ผู้ชายกอดผู้หญิงแน่น แล้วนั่งเข้าไป

เจี่ยนถงมองคนที่มาเปิดประตูรถข้างเธอ ตกใจมาก…….อุบัติเหตุครั้งนี้ คงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

"เจอกันอีกแล้วนะ พ่อบ้านเซี่ย"

ชายชราแก่ลงมากเมื่อเทียบกับครั้งสุดท้ายที่เธอเจอ และจำได้ว่าพ่อบ้านเซี่ยเป็นพ่อบ้านของตระกูลเสิ่นมาทั้งชีวิต ในความทรงจำ ใบหน้าของชายชราคนนี้

บนใบหน้านั้น ไม่ค่อยมีรอยยิ้ม หน้าเดียวตลอด ทั้งร่างกายมีแค่อารมณ์ที่เกร็งและนิ่ง

แต่ในตอนนี้ชายชราคนนี้ ไม่มีสีหน้าเหมือนตอนที่เป็นพ่อบ้านของตระกูลเสิ่นแล้ว ร่างกายเขาผอมบาง เหมือนไม้ในทะเลทราย เหี่ยวเฉา

มองใบหน้านิ่งและเกร็งในความทรงจำ ตอนนี้ดูแย่มาก

"คุณยังจำฉันได้เหรอ!

มันยากมากที่คุณยังจำคนแก่อย่างฉันได้!"

พ่อบ้านเซี่ยหัวเราะเหมือนคนสติไม่ดี หัวเราะจนกระดูกชา

"เห็นคนแก่อย่างฉัน ตกใจไหม?ตะลึงไหม? ฮ่า"

"คุณตั้งใจชนรถ?" มีเลือดอุ่นไหลลงมาจากหน้าผาก เธอไม่ได้เอามือไปเช็ด จ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่กะพริบตา

ความจริงไม่ต้องถามแล้ว ตอนรถชนเข้ามา กะจะชนให้ตาย เธอเหลือบไปมองคนขับที่บาดเจ็บและกำแขนไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะไหวพริบของคนขับรถคนนี้ดี เวลานี้ เธอคงจะเป็นมากกว่าการบาดเจ็บ

"ฉันชนเอง ทำไม?

คุณจะแก้แค้นเหรอ?"

พ่อบ้านเซี่ยพูดจาฉะฉาน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่มีต่อเจี่ยนถง

"น่าเสียดายจริงๆ ไม่ได้ชนคุณให้ตายคาที่" สีหน้าพ่อบ้านเซี่ยเต็มไปด้วยความเสียดาย พลิกบทพูด

"ก็ดี ก็ดี ถ้าให้คุณตายง่ายๆแบบนั้น มันก็สบายคุณเกินไปแล้ว"

"ทำไม?" เธอถามอย่างใจเย็น

ทำร้ายเธอครั้งแล้วครั้งเล่า

"คำถามโง่ๆแบบนี้ คุณยังจะถามอีกเหรอ?

ทำไม?

คุณยังมีหน้ามาถามฉันว่าทำไมอีกเหรอ?

ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ เวยเหมิงของฉันจะตายได้อย่างไร?"

"เซี่ยเวยเหมิงไม่ใช่คุณเป็นคนฆ่าเองเหรอ?" เธอหัวเราเย็นชา "คุณฆ่าลูกสาวแท้ๆของตัวเอง ตอนคุณลงมือ ทำไมไม่คิดว่านั่นเป็นลูกสาวของคุณ?"

"หุบปาก" พ่อบ้านเซี่ยโกรธเคือง ตบไปหนึ่งที เจี่ยนถงหลบไม่ทัน โดนตบไปหนึ่งที ใบหน้าเล็กๆ ทันใดนั้นก็บวมแดงครึ่งหนึ่ง

เธอหัวเราะเยาะมากขึ้นเรื่อยๆ

"คุณยังหัวเราะ!

เพราะคุณ!

ทั้งหมดเพราะคุณ!

ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ฉันจะพลั้งมือฆ่าเวยเหมิงที่น่าสงสารของฉันได้อย่างไร?

ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ฉันจะมีโอกาสฆ่าเวยเหมิงได้อย่างไร?"

เจี่ยนถงหัวเราะน้ำตาเกือบจะไหลออกมา

กล้าฆ่าลูกสาวตัวเอง เป็นเพราะโอกาสที่เธอให้

"ฉันกระตุ้นให้คุณฆ่าคน?

ฉันเป็นคนขู่บังคับให้คุณฆ่าคน?คุณเห็นแก่ตัวเอง ฆ่าเวยเหมิง นี่คือความจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้!"

"คุณหุบปาก หุบปาก หุบปาก!

ฉันทำเช่นนั้น เพราะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้!

ฉันทำเช่นนั้น เพราะมีเหตุก่อน!

ฉันคิดว่าเวยเหมิงไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆของฉัน!

ถ้าคืนนั้นไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ฉันก็จะไม่มีทางลงมือกับเวยเหมิง

ถ้าวันนั้นฉันไม่ได้ลงมือฆ่าเวยเหมิง ฉันก็จะรู้ในภายหลัง เวยเหมิงไม่ใช่ลูกของคนอื่น เธอเป็นลูกแท้ๆของฉัน!

ขอถามหน่อย ฉันจะโหดร้ายแค่ไหนก็ตาม แล้วจะลงมือกับลูกสาวของตัวเองได้อย่างไร?

เสือถึงร้ายก็ไม่กินลูกตัวเอง ทำไมฉันถึงใจร้ายได้ขนาดนั้น!

เป็นความผิดของคุณ!เป็นความผิดของคุณทั้งนั้น!

ทำให้พวกเราพ่อลูก ไม่สามารถเลี้ยงดูยามแก่เฒ่าได้ ที่มาของโศกนาฏกรรมครั้งนี้ทั้งหมด ล้วนเป็นเพราะคุณ!"

เจี่ยนถงไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน จ้องมองใบหน้าน่าเกลียดที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา ทำไมถึงมีคนแบบนี้!

"คนที่ฆ่าคนคือคุณ ทำให้เซี่ยเวยเหมิงตายก็เป็นคุณ

คนที่คิดว่าเซี่ยเวยเหมิงไม่ใช่ลูกสาวของคุณก็เป็นคุณ

คนที่ใส่ร้ายฉัน ก็ยังเป็นคุณ!

ฉันยังไม่คิดบัญชีกับคุณ แต่คุณกลับจะมาทุบฉันก่อน!

เซี่ยเวยเหมิงเป็นลูกสาวของคุณ คุณก็จะไม่ลงมือเหรอ?

ไม่ใช่ลูกสาวของคุณ คุณก็จะแก้แค้นให้กับลูกชายนอกสมรสของคุณ?

ลูกสาวของคุณตายไม่ได้ แต่ลูกสาวของคนอื่นตายได้?

ฉันว่าคุณเป็นบ้าไปแล้ว!

ไม่ว่าจะเป็นใคร มันก็คือหนึ่งชีวิต ทำไมอยู่ในปากของคุณ ถึงเป็นแค่เรื่องเล็กๆ?

คนอย่างคุณ ถ้าไม่ได้เลวโดยสันดาน ก็คงจะเพราะจิตใจชั่วร้าย!"

"ฮ่า ฮ่าๆ เพราะคุณ จุดเริ่มต้นของความโชคร้ายทั้งหมด ทั้งหมดเป็นเพราะคุณ!

ถ้าไม่มีคุณ ฉันก็จะไม่ทำเรื่องฆ่าลูกตัวเองเช่นนี้!

วันนี้ คุณพูดจาไพเราะ งามดั่งดอกบัว เล่นลิ้น สับปลับ ฉันก็จะต้องล้างแค้นให้ลูกสาวที่น่าสงสารของฉัน!

แม้ฉันจะต้องสละชีวิตแก่ๆนี้ ก็จะลากคุณไปตายด้วย!"

คนขับรถที่อยู่ข้างๆ คงคาดไม่ถึง แค่เกิดอุบัติเหตุก็มากพอแล้ว แต่กลับได้ยินเรื่องที่น่ากลัวแบบนี้ด้วย เขากล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูด

เจี่ยนถงหรี่ตามองคนขับรถที่หน้าซีดเพราะกลัว หรี่ตาลงแล้วเงยหน้าขึ้น

"ที่นี่คือตัวเมือง ไม่นานก็จะมีตำรวจจราจรมา เมื่อถึงเวลานั้นไม่ว่าคุณอยากจะทำอะไร ก็จะถูกยับยั้งทั้งหมด"

พ่อบ้านเซี่ยเหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง หน้าเปลี่ยนกะทันหัน ดึงเจี่ยนถงลงจากรถอย่างหยาบคาย "คุณทำให้ฉันนึกถึง"

พูดไปด้วยแล้วดึงตัวเจี่ยนถงไปด้วย แล้วผลักเข้าไปที่เบาะนั่งข้างคนขับในรถออฟโรดของเขา

"ฉันจะพาคุณไปกระโดดน้ำ!" พูดจบ สตาร์ทรถ รถออฟโรดส่งเสียงยางแตะพื้นอย่างรุนแรง วิ่งไปอย่างรวดเร็ว

รถเร่งไปอย่างเร็ว ความเร็วที่น่ากลัว รถที่อยู่รอบข้างหลีกเลี่ยงกันแทบไม่ทัน กลัวว่าจะโดนลูกหลง ทยอยชิดข้างขับช้าลง หลีกทางให้กับรถออฟโรดที่บ้าคลั่ง

ในปีนี้ ไม่มีใครสบายเลย ทุกคนต่างมีครอบครัวเล็ก ครอบครัวใหญ่ มีคนแก่และเด็กที่ต้องดูแล ต่างก็เฝ้ารอตัวเองที่ไปทำงานเช้าไปเย็นกลับ ไม่มีใครอยากโดนรถที่บ้าคลั่งชนกระเด็นออกไป

รถกำลังขับไปอย่างรวดเร็ว เจี่ยนถงไม่สบายท้องไส้ปั่นป่วน อดทนอาการคลื่นไส้ภายใต้ความกดดัน วิงเวียน แต่ก็พยายามบังคับให้ตัวเองใจเย็นลง

"คุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันเรียกรถ และนั่งอยู่ในรถคันนั้น?"

ภายใต้ความบังเอิญทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทั้งที่รู้ กำลังเผชิญอยู่กับอันตรายตอนนี้ เธอก็ไม่อยากตายโดยไม่รู้เรื่อง

คิดว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างกายไม่มีทางรอดในวันนี้ พ่อบ้านเซี่ยจึงไม่อยากปิดบัง หัวเราะอย่างเย็นชา

"มีคนเฝ้าอยู่ใต้ตึก เมื่อคุณออกมา ฉันก็จะได้รับข้อความ

พระเจ้ากำลังจะเอาชีวิตคุณ มิฉะนั้นจะให้โอกาสนี้กับฉันได้อย่างไร?

คุณชาย……..เสิ่นซิวจิ่นไอ้คนสารเลวนั่นส่งคนไปเฝ้าที่หน้าประตูของคุณ ไม่ยอมออกห่างเลย ฉันหาโอกาสไม่ได้เลย

เหอะๆ ต้องขอบคุณคุณด้วยซ้ำ ขอบคุณที่คุณหลอกให้เสิ่นซานออกไป มิฉะนั้นฉันก็จะหาโอกาสลงมือไม่ได้"

"มีคน คือใคร?"

"เรื่องนี้คุณไม่ต้องรู้!คุณแค่ว่า คนที่อยากให้คุณตาย ไม่ได้มีเพียงฉันคนเดียว !มีคนที่ไม่อยากให้คุณมีชีวิตอยู่ต่อไปมากกว่าฉัน!"

เจี่ยนถงสีหน้าเคร่งขรึม…….เธอคิดไม่ออกจริงๆ "มีคน" เป็นใคร

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า คุณว่าคุณน่าสงสารแค่ไหน ในเมื่อวันนี้คุณก็ไม่มีทางรอดแล้ว ฉันจะบอกคุณอีกเรื่องแล้วกัน

คุณยังจำเรื่องที่เกิดขึ้น ในคืนที่เสิ่นยีรับคุณไปหาท่านแก่เสิ่นได้ไหม?

คุณคิดว่ามันจะบังเอิญอะไรขนาดนั้น หลังจากที่เสิ่นยีส่งคุณกลับไป รถเพิ่งออก คุณก็เกิดเรื่องทันที?

ฉันจะบอกคุณ เป็นเพราะคนในครอบครัวของคุณ คนในครอบครัวของคุณกับเสิ่นยีร่วมมือกัน เสิ่นยียืนยันส่งคุณไปที่ข้างทางที่ห่างไกล คนในครอบครัวของคุณเป็นคนจ้างนักเลงพวกนั้น

คุณช่างน่าสงสารจริงๆ สู้ตอนนั้นตายในคุกเสียจะดีกว่า"

พ่อบ้านเซี่ยอยากจะชื่นชมกับความน่าสมเพชของผู้หญิงข้างๆ แต่เห็นแค่ความสงบ

"ทำไมคุณไม่ตกใจ?

ทำไมคุณไม่ถามฉัน คนคนนั้นคือใคร?

ทำไมคุณไม่เสียใจ?

คุณร้องไห้สิ!ร้องไห้สิ!ร้อง!ฉันสั่งให้คุณร้อง!"

เหมือนจะโมโหเพราะความสงบของเจี่ยนถง พ่อบ้านเซี่ยเหมือนป่วยทางจิต ทุกครั้งที่โมโห ก็ยิ่งเหยียบคันเร่งเร็วขึ้น สมรรถนะของรถออฟโรดนั้นดีมาก ฉายแสงไปตามท้องถนน

รถกำลังจะเสียการควบคุม รถที่อยู่สองข้างทาง ค่อยๆจอดกันหมด หลีกเลี่ยงไกลๆ บางคนกลัวจนเปิดประตูรถ แล้ววิ่งลงจากรถ

อยู่ในเมืองนี้มาตั้งนาน เด็กวัยรุ่นที่แข่งรถกันกลางดึก คิดว่ามีเงินไม่กลัวใบสั่งฝ่าไฟแดงไปอย่างรวดเร็ว แต่วิธีขับแบบนี้ที่แสดงถึงไม่กลัวตาย เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกจริงๆ

ถ้าเจอคนโรคจิตจะทำอย่างไร เมื่อโดนชนขึ้นมาอย่างมากก็ต้องปล่อยไป

พ่อบ้านเซี่ยเสียสติ "ร้องไห้!คุณร้องไห้เดี๋ยวนี้!"

เจี่ยนถงหันมาช้าๆ มองพ่อบ้านเซี่ยด้วยสายตาที่เย็นชา

"เป็นพี่ชายของฉัน ใช่ไหม"

ประโยคเดียว ทำให้พ่อบ้านเซี่ยตกใจผ่อนคันเร่งลง

อันที่จริงเจี่ยนถงรู้สึกมาตลอดว่าเหตุการณ์ที่ถูกโจมตีในคืนนั้น บังเอิญเกินไป สงสัยในใจ เพียงแค่ไม่รู้ว่าเป็นใคร

แต่วันนี้ เมื่อพ่อบ้านเซี่ยพูดถึงเรื่องในคืนนั้น บอกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความร่วมมือของคนในบ้านกับเสิ่นยี เธอจึงมั่นใจในความคาดเดาของเธอที่อยู่ในใจ

ยังจำได้ ก่อนเกิดเหตุในคืนนั้น เจี่ยนโม่ป๋ายยังบุกไปสร้างปัญหาที่บริษัท แววตาตอนที่เจี่ยนโม่ป๋ายออกมาจากบริษัท แล้วประโยคนั่น เหมือนแค่พูดลอยๆ

ริมฝีปากของเธอซีดเล็กน้อย ความขมขื่นที่มุมปากที่มองไม่เห็น มุมปากยกขึ้น เหมือนไม่ใส่ใจ

เธอเคยหวังว่า เธอเดาผิด เธออ่อนไหวเกินไป

และเธอก็เคยหวังว่า จะลืมมันไปจากความสับสน

พ่อบ้านเซี่ยถูกท่าทีที่สงบของเธอ ทำให้โกรธมากขึ้น ความมีเหตุผลลอยหายไป เธอยิ่งสงบ เขาก็ยิ่งไม่อยากเห็นเธอมีความสุขเช่นนี้

เขาไม่ชอบท่าทีที่สงบของผู้หญิงคนนี้!

เธอมีสิทธิ์อะไรใจเย็นขนาดนี้?

ทำไมเธอถึงไม่บ้าเหมือนเขา?

ทำไมเขาไม่มีอะไรเลย ลูกชายลูกสาวก็ไม่มีแล้ว โดดเดี่ยวหัวเดียวกระเทียมลีบเหมือนหมาที่ไม่มีเจ้าของ ทำไมผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน สามารถทำตัวสงบเช่นนี้ได้

ทำไมเธอถึงอยู่อย่างปลอดภัยไม่ได้รับความสูญเสีย ไม่สนใจอะไรเลย!

เขาไม่!

เขาไม่ต้องการเห็นเธอมีสติเช่นนี้!

"คุณฉลาดขนาดนี้ เคยคิดหรือไม่ ว่าตอนที่คุณปู่ของคุณยังอยู่ ตอนคุณเกิดมา คนที่ลักพาตัวคุณ เป็นคนที่คุณรู้จัก?"

เจี่ยนถงเปลือกตากระตุก "หมายความว่าอย่างไร?"

"เหอะๆ คุณฉลาดขนาดนี้ เดาไม่ออกเหรอ?

คนที่อายุเท่าคุณปู่ของคุณ มีความอดทนสามารถทำเรื่องแบบนั้นได้ สิ่งที่คุณรู้ และสิ่งที่ฉันรู้ คุณไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไรเหรอ?"

เจี่ยนถงกัดฟันแน่น ไม่กล้าคิด

เป็นไปไม่ได้!

"ก็คือท่านแก่เสิ่น คุณปู่ของเสิ่นซิวจิ่นที่คุณรักมาตลอด" จริงๆเรื่องนี้ เขาก็รู้หลังจากที่เซี่ยเวยเหมิงเกิดเรื่อง เขาบังเอิญได้ยิน กลัวว่าจะถูกจับได้ จึงได้ยินมาแค่ไม่กี่ประโยค

สิ่งที่เขารู้ ก็มีเพียงสองสามประโยคนี้ แต่…..พอแล้ว เพียงพอที่จะให้ผู้หญิงเลวคนนี้อยู่ไม่สุขแล้ว!

ในใจเธอ มีก้อนหินใหญ่ ทุบเข้ามากะทันหัน!

ทุบเป็นหลุมที่ลึก!

คำพูดของพ่อบ้านเซี่ย หมายความว่าอย่างไร?

เธออยากทำเป็นไม่รู้เรื่อง เป็นไปไม่ได้!

ตระกูลเสิ่นกับตระกูลเจี่ยนมีความแค้นต่อกัน

ท่านแก่ตระกูลเสิ่นกับท่านแก่ตระกูลเจี่ยนมีความแค้นต่อกัน

นอกจากนี้ ก็ไม่มีคำอธิบายอื่นอีกแล้ว

แต่ถ้าเป็นแบบนี้ ทำไม……ทำไมคุณปู่ต้องให้เธอใกล้ชิดกับเสิ่นซิวจิ่น?

ทำไมคุณปู่ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเธอ?

ทำไมคนนอกถึงไม่รู้ว่าพวกเขาสองตระกูลมีความแค้นต่อกัน?

ตอนที่อยู่เอ๋อร์ไห่ คุณหญิงเจี่ยนเคยพูดเรื่องที่เธอถูกลักพาตัวตอนเธอเกิด แต่บอกว่า ท่านแก่เจี่ยนมีธุรกิจที่ใหญ่ มีคนหมั่นไส้ จึงมีคนคิดกลอุบาย บีบบังคับ ข่มขู่ เพื่อหวังผลประโยชน์

แต่ตระกูลเสิ่นมีธุรกิจที่ใหญ่โต ร่ำรวยมาหลายรุ่นอายุคน ตระกูลเจี่ยนแค่ตระกูลเดียวจะกล้าเป็นคู่แข่งได้อย่างไร ท่านแก่เสิ่นจะให้ความสำคัญกับตระกูลเจี่ยนได้อย่างไร ความแค้นของพวกเขาสองตระกูล คงไม่ใช่เรื่องในธุรกิจแน่นอน

จำได้ว่าคุณปู่เคยปฏิบัติต่อความรักที่เธอให้เสิ่นซิวจิ่น ก็มีปฏิกิริยาแปลกๆ

และนึกถึงทุกครั้งที่เธอเจอท่านแก่เสิ่นในตระกูลเสิ่น ความรังเกียจในสายตาของท่านแก่เสิ่น

คุณปู่เคยบอกว่าไม่คุ้ม ปู่พยายามเกลี้ยกล่อม แต่คำเกลี้ยกล่อมเหล่านั้น เป็นแค่เปลือกนอก เห็นได้ชัดว่าเกลี้ยกล่อมให้เธอยอมแพ้ และให้กำลังใจเธอในบางเรื่อง แม้กระทั่งสนับสนุนเธอ

ตอนนี้เธอเพิ่งมาไตร่ตรอง หลายๆครั้ง ระหว่างเธอกับเสิ่นซิวจิ่น เหมือนว่าจะมีคุณปู่คอยเติมเชื้อเพลิงให้เปลวไฟ หาโอกาสให้เธออยู่คนเดียว จัดงานวันเกิดให้เธอ

ตอนงานวันเกิดอายุ18ปี คุณปู่บอกว่า หนูโตขึ้นแล้ว จงกล้าที่จะไล่ตามสิ่งที่คุณรัก หลานสาวของฉันจะต้องกล้าหาญ

เธอรู้สึกดี ได้ยินเสียงเพลงบรรเลง ดังนั้นในงานวันเกิดอายุ 18ปี เธอสารภาพอย่างเปิดเผย ต่อหน้าทุกคน

เธอมั่นใจ คุณปู่บอกว่า เธอเป็นลูกสาวในตระกูลเจี่ยนที่โดดเด่นที่สุด

เธอไม่กล้าคิดต่อไป ไม่กล้าคิดรายละเอียดอีกมากมายเหล่านั้น

ผู้หญิงข้างคนขับ ไม่สามารถควบคุมสีหน้าอยู่ในสภาพที่สงบได้อีกต่อไป

ใบหน้าเล็กๆนั้น เศษขี้เถ้า ความเจ็บปวดในดวงตา ราวกับว่าจะดึงทุกสิ่งรอบตัวลงสู่ขุมนรก ดูเหมือนว่าเธอ… ถูกครอบงำโดยบุคคลสำคัญในชีวิตของเธอ ผลักเธอลงเหวกับมือ!

ในชีวิต เธอผู้ถูกฝังไว้ตามกาลเวลา คุณปู่ที่ครั้งหนึ่งเคยรู้สึกย้อนแย้งแปลกๆ ในที่สุด ก็สามารถอธิบายได้แล้ว

ไม่แปลกใจเลย ไม่แปลกใจเลยที่คุณปู่ให้ความสำคัญกับเธอขนาดนั้น แต่สุดท้ายกลับยืนข้างเจี่ยนโม่ป๋าย บอกว่าทุกอย่างของตระกูลเจี่ยน เป็นของเจี่ยนโม่ป๋าย

บอกว่ากลัวคนอื่นจะทำร้ายเธอ ดังนั้นต้องกอดเธอไว้ข้างกายและเลี้ยงดูเธอเอง แต่เป็นเพราะเด็กสาวตัวน้อยที่เพิ่งเกิด ได้รับ "ความสำคัญ" จากท่านแก่เสิ่นของตระกูลเสิ่นก็แค่นั้น

เลี้ยงดูอย่างดี!

ที่แท้ก็แค่ให้เธอมีความโดดเด่นกว่าคุณหนูที่ร่ำรวยทั่วไป เพราะในหาดเซี่ยงไฮ้มีคุณหนูที่ร่ำรวยมากมาย ไม่โดดเด่น จะเข้าตาผู้สืบทอดตระกูลของตระกูลเสิ่นได้อย่างไร

ความคิดของเธอเริ่มสับสน แยกไม่ออกว่าอันไหนดีจริงหรือไม่จริง

เธอแยกความทรงจำที่มีความสุขกับคุณปู่ไม่ได้ เรื่องเล็กน้อยเหล่านั้น เรื่องไหนเป็นความจริงใจของคุณปู่ และเรื่องไหนเป็นแผนการ หรือว่า……..ทุกเรื่องเป็นเรื่องเท็จหมด!

สิ่งที่อยู่ด้านนอกรถ ถอยหลังอย่างรวดเร็ว ฉากนอกรถที่ถอยหลังเร็ว ผู้หญิงมองๆอยู่ ทันใดนั้นเอื้อมมือไปดึงที่จับประตูรถ

เธอจะถอยหลังไปพร้อมกับฉากเหล่านั้น ย้อนอดีตไปด้วยกัน ย้อนกลับไปตอนที่คุณปู่ยังอยู่ เธอจะถามด้วยตัวเอง เธอจะถามให้เข้าใจ เธอต้องการรู้ ทั้งหมดนี้ เรื่องไหนเป็นเรื่องจริง เรื่องไหนเป็นเรื่องปลอม!

เธออยากย้อนเวลากลับไป ย้อนกลับไปเมื่อคุณปู่ยังมีชีวิตอยู่ เธอจะยืนตรงหน้าคุณปู่ เธอจะถามด้วยตัวเอง

"คุณปู่ ท่านรักหนูจริงๆไหม?"

"คุณบ้าไปแล้ว!" พ่อบ้านเซี่ยอยากให้เธอตาย แต่เมื่อได้เห็นความบ้าคลั่งนี้กับตา ในใจกระตุกอย่างไม่สบายใจ

จู่ๆก็เปลี่ยนสีหน้าแล้วตะโกน

เสียงตะโกนที่เจ็บปวดใจ ด้วยน้ำเสียงที่หยาบกร้าน เหลือเพียงแต่แววตาที่สิ้นหวัง!

"ฉันจะกลับไป!"

เธอจะกลับไป กลับไปอยู่ตรงหน้าคุณปู่!

เขาต่อต้านเธอ ในสายตาของผู้หญิง มีไอน้ำ กล่าวด้วยเสียงที่แหบ "ฉันเกลียด……." คุณ……….

จูบที่รุนแรง ปิดกั้นคำพูดที่ยังพูดไม่ทันจบ

ความเจ็บปวดที่หลั่งไหลเข้ามา โดยไม่ทันตั้งตัว

ผู้หญิงไม่สามารถพูดได้ สายตาคู่นั้น เต็มไปด้วยความเกลียดชังและความกลัว

ผู้ชายสัมผัสดวงตาคู่นั้น จู่ๆก็รู้สึกเจ็บที่อก ยื่นมือปิดสายตาคู่นั้น เขาไม่อยากเห็น ไม่อยากเห็นเธอมองเขาด้วยแววตาเช่นนั้น!

ในม่านตาอันมืดมิดของชายผู้นั้น เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและปวดรวดร้าว เปิดเผยได้แบบไร้ข้อกังขาในเวลานี้ ในเมื่อ ในเมื่อ…..ดวงตาของเธอถูกปิดไว้แล้ว อย่างไรเธอก็มองไม่เห็น

ในเมื่อ…….ยังไงเธอก็เป็นของเขา!

เขาเป็นผู้ก่อการทารุณ คนเจ็บปวดก็คือเขา……ใช่ไหม พลาดไปแล้ว ก็จะไม่มีวันข้างหน้าอีก?

เสี่ยวถง เสี่ยวถง คุณใจร้ายเกินไป!

ในห้อง กระจายไปด้วยกลิ่นอายที่คลุมเครือ คนสองคนอยู่ในความคลุมเครือ แต่ต่างคนต่างปล่อยใจ จมลงสู่ก้นบึ้งของทะเลสาบ

ทั้งๆ ทั้งๆที่เป็นเรื่องที่อยากทำที่สุดในเมื่อสามปีก่อน แต่ใจของเขาสั่นระรัว เจ็บปวดมาก

ทั้งๆที่ความรู้สึกของร่างกายได้ส่งความรู้สึกที่น่ารื่นรมย์ แต่แล้ว ใจ กลับเย็นลงเรื่อยๆ และเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ

เสียงเบื่อของเธอ ความอดทนของเธอ เสียงเล็กๆทุกเสียง เขาตั้งใจฟังมาก ทุกครั้งที่มีเสียงเล็กๆดังขึ้น เขาก็จะยิ่งเจ็บ

ขอโทษ เสี่ยวถง ฉันไม่อยากทำร้ายคุณ คุณอย่าหนีไป อยู่ข้างกายฉันอย่าหนีไปไหน ฉันดีกับคุณ ให้ทุกอย่างบนโลกนี้กับคุณ คุณอย่า…….หนีไปอีก

เขารู้ว่าเขาไร้ยางอาย เขารู้ ในชาตินี้……เขาทำกับเธออย่างไร้ยางอายที่สุด

ร่างกายมีความสุขมาก แต่ในใจเหมือนถูกแล่เนื้อเถือหนัง

อยู่ระหว่างสวรรค์กับนรก เขาบ้างไปแล้วจริงๆ

ทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ชายลุกขึ้น ผู้หญิงที่อยู่บนเตียง หมดแรงเหมือนตายไปแล้วและไร้วิญญาณ มองหน้าอกของชายข้างเตียงอย่างมึนๆ ดูเขาแต่งตัวด้วยความสง่างาม ราวกับว่า……ราวกับว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ เป็นเพียงละครที่ไร้สาระและน่าเบื่อเท่านั้น

ราวกับว่าเขาเป็นแค่ลูกค้าคนหนึ่ง เพิ่งสิ้นสุดการปลดปล่อยอารมณ์

เธอยกมือขึ้น เพิ่มสังเกตเห็นว่า ไม่มีมีแรงแม้แต่นิดเดียว

"คุณเป็นคนสารเลวจริงๆ" สายตาที่เย็นชาของเธอ เหมือนเครื่องจักร กลอกตาไปมา มองคนข้างเตียงเหมือนน้ำนิ่ง

ปลายนิ้วเรียวของผู้ชาย ติดกระดุมคอช้าๆ และหันมาอย่างช้าๆ มองลงมา กวาดสายตามองผู้หญิงที่อยู่บนเตียง

"อีกไม่นานคุณก็จะรู้ ฉันก็เป็นคนสารเลวเช่นนี้ล่ะ?"

ติดกระดุมเม็ดสุดท้ายช้าๆ เขาก้มลง ฝ่ามือจับใบหน้าเธอ หน้าหล่อ จ้องหน้าเธอ ยกริมฝีปากขึ้น กล่าวด้วยเสียงแหบว่า

"ดังนั้นอย่าหนีอีก อย่าคิดต่อต้าน

ฉันเป็นคนสารเลว อย่าพยายามยั่วโมโหคนสารเลว"

ช่วงเวลานี้ เขาเป็นเหมือนซาตาน อันตรายและเย็นชา หัวใจที่อยู่ข้างใน เจ็บจนหายใจลำบาก

เก็บเธอไว้……เขาคิดวิธีอื่นไม่ออกแล้ว ถ้าสามารถเก็บเธอไว้……..เขาจะต้องเป็นคนร้ายแน่นอน แม้ชาติหน้าจะต้องตกนรก18 ชั้น เขาก็ยินยอม

แต่จะให้เขาปล่อยให้เธอเอาชีวิตไปบริจาคไขกระดูก และมีความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ กระทั่ง………เสียชีวิต

ทันใดนั้น เขายืนหลังตรง ฝ่ามือใหญ่ที่ห้อยอยู่ที่ข้างขา กำหมัดอย่างแน่น……เขา ทำ ไม่ ได้!

ผู้หญิงบนเตียงเงียบ จู่ๆมุมปากที่ซีดก็กระตุกเล็กน้อย รอยยิ้มนั่น แปลกอย่างบอกไม่ถูก ทำให้ผู้ชายใจสั่น

"ก็แค่ เป็นของเล่นชิ้นหนึ่ง ใช่ไหม" เธอพึมพำด้วยเสียงแหบ เหมือนกำลังถามเขา เหมือนกำลังพูดกับตัวเองมากกว่า

โดยทันที!

ผู้ชายหน้าซีด เย็นชาไปทั้งใจ "ใช่ ของเล่น" เขายิ้มอย่างเย็นชา "ดังนั้นต้องเชื่อฟัง เข้าใจ?"

คำพูดที่เย่อหยิ่งเช่นนี้ ชายคนนั้นหันกลับมาอย่างกะทันหัน ราวกับว่าอยากออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

ประตูถูกปิด มีเสียงที่ว่างเปล่าดังขึ้น ในห้องนอน กลับมาเงียบอีกครั้ง เงียบจนรู้สึกหนาว

ผู้ชายเดินออกไปอย่างรวดเร็ว เสิ่นเอ้อเดินตาม

ทุกย่างก้าวของเขา เพิ่มความเจ็บปวดในใจ

ของเล่น?

ถ้าเธอเป็นของเล่น เขาก็คงจะบ้าไปแล้ว ชาตินี้อยากได้แค่อันนี้

ของเล่นของเขาเสิ่นซิวจิ่นตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เคยสนใจเลย เสียก็ทิ้ง ไม่ชอบก็วางไปข้างๆ…..เธอเป็นของเล่น?

เธอเป็นของเล่น ทำไมเขาจึงปล่อยไม่ได้?

ถ้าระหว่างพวกเขาจะต้องมีความสัมพันธ์ในฐานะของเล่นกับเจ้านาย………

เสี่ยวถง เพียงแค่คุณยินยอม ฉันจะยอมเป็นของเล่นให้คุณ ขอแค่คุณอย่าจากฉันไปอีก……..ได้ไหม?

เสิ่นเอ้อเปิดประตูรถ ผู้ชายนั่งเข้าไป ออร่าที่น่าเกรงขาม สลายไปในพริบตา เขาเอื้อมมือไปขยี้คิ้วของเขา บนหน้าที่หล่อ เหลือเพียงความขมขื่นและความเหนื่อย

"กลับบริษัทใช่ไหมBoss?" เสิ่นเอ้อถาม

ผู้ชายดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง "ทางคุณผู้หญิงมีคนดูแลไหม?"

"ท่านไม่ต้องกังวล เสิ่นซานไปที่นั่นแล้ว มีเสิ่นซานเฝ้าอยู่หน้าประตูคุณผู้หญิง ความปลอดภัยของคุณหญิง ไม่ต้องห่วง" เสิ่นเอ้อกล่าวอย่างกระชับและรัดกุม และยังเข้าใจความหมายของที่Bossพูด

"ดูเธอไว้" ชายคนนั้นพูดอย่างเฉยเมย "อย่าให้เธอไปที่โรงพยาบาล" เพื่อหนีเขา ผู้หญิงคนนั้นกล้าที่จะไปเสี่ยงอันตรายแบบนั้น!

เขากัดฟันอีกครั้ง

"บอกเสิ่นซานว่า ถ้าคุณผู้หญิงอยากไปซื้อของ หรือไปทำงานที่บริษัทตามปกติ เพียงแค่ติดตามอย่าให้ละสายตา ที่เดียวที่ห้ามไปก็คือโรงพยาบาล"

"ได้ครับBoss"

"เรื่องที่ให้คุณไปทำ ความคืบหน้าเป็นอย่างไรบ้าง?"

เสิ่นเอ้อเข้าใจ "เสิ่นซื่อได้ติดต่ออีกฝ่ายแล้ว" แค่ประโยคเดียว ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

ในคำพูดมีความหมายที่ชัดเจน——อีกฝ่ายจะต้องล่าช้าและปฏิเสธแน่นอน

"ให้เสิ่นซื่อไป ‘เชิญ’คนมาที่ คฤหาสน์ตระกูลเสิ่นตอนนี้เลย"

เสิ่นเอ้อตะลึง "Bossท่านจะพบแบบตัวต่อตัว?"

คนที่นั่งหลังคนขับเพียงแค่โบกมือด้วยความเหนื่อย "ไปทำเถอะ"

เสิ่นเอ้อไม่พูดมากอีก ใส่ชุดหูฟังบลูทูธ ติดต่อกับเสิ่นซื่อ ถ่ายทอดความหมายของผู้ชายคนนั้นอย่างสั้นๆ

หลังจากตัดสาย เสิ่นเอ้อขับรถ ตรงไปที่คฤหาสน์ตระกูลเสิ่น

คฤหาสน์ตระกูลเสิ่นหลังใหญ่ เป็นสถานที่ที่หลังจากเสิ่นซิวจิ่นโตเต็มวัย ก็ย้ายมานานแล้ว

ประตูเหล็กดัดเปิดโดยอัตโนมัติ รถวิ่งผ่านคนเฝ้าประตูอย่างราบรื่น แล้วขับไปสักพัก จอดอยู่ที่หน้าอาคารหลัก

พ่อบ้านมารออยู่ข้างๆแล้ว "คุณชาย ยินดีต้อนรับกลับบ้าน"

ยื่นผ้าขนหนูสะอาดที่มีความอุ่นชื้นอย่างดี บนผ้าขนหนู ยังหอมกลิ่นเลมอน

ชายคนนั้นเช็ดมือ กลิ่นเลมอนบนผ้าขนหนู ทำให้ความเหนื่อยของเขาลดลงเล็กน้อย

ผ่านไปไม่นาน

หน้าคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น มีรถธุรกิจสีดำจอดอยู่

ประตูรถเปิดออก แม่ลูกคู่หนึ่ง ถูกเชิญลงจากรถด้วยสีหน้าที่ดูแย่

"ฉันไม่ไป ฉันจะกลับ พวกคุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้!" ใบหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยความกังวล

เธอไม่ได้โง่ บอกว่า "เชิญ" นั่นเป็นการ "เชิญ"เหรอ?

นั่นเป็นวิธีการ "เชิญ" เหรอ?

"Bossของพวกเรากำลังรอท่านอยู่ เชิญท่านตามฉันมา ถ้าให้Bossรอนาน ท่านจะอารมณ์เสียได้ ผลที่ตามมา คนส่วนใหญ่จะรับไม่ได้" เสิ่นซื่อศึกษามาจากเสิ่นเอ้อ

ด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึกและไม่กะพริบตา "เชิญ"แบบบังคับคนให้ไปที่คฤหาสน์ตระกูลเสิ่น

ทางเข้าห้องรับแขก

ประตูปิดแน่น สองแม่ลูก ลังเลไม่เดินไปข้างหน้า เห็นได้ชัดว่าต้องการหลีกเลี่ยง

ลูกดึงขึงแม่ที่อยู่ข้างๆ "แม่ พวกเราออกไปจากที่นี่เถอะ"

พวกเขาแม่ลูกไม่มีทางเลือก ประตูถูกเปิดจากด้านใน พ่อบ้านตระกูลเสิ่น สุภาพอ่อนโยน แต่ยังเหินห่างและเย็นชา เชิญคนเข้ามาอย่างสุภาพ

"ยินดีต้อนรับ คุณชายรอมานานแล้ว คุณผู้หญิงท่านนี้กับคุณชาย กาแฟ น้ำผลไม้?"

"ไม่ ไม่ต้อง"

พ่อบ้านพยักหน้า หลบไปข้างๆ การถอยไปข้างๆของเขา เป็นการบังคับให้แม่ลูก ก้าวเข้ามาอย่างไม่รู้ตัว

พ่อบ้านโน้มตัวอย่างสุภาพ แล้วออกไป หันหลัง ช่วยพวกเขาปิดประตู

"อย่า……"

หญิงสาวยังพูดไม่จบ

"คุณติง นั่งคุยกันก่อน"

ติงหน่วนตกใจ เธอรู้สึกว่าวันนี้จะต้องมีเรื่องไม่ดี

หันมา เห็นร่างกำยำ พิงอยู่บนโซฟา

ติงหน่วนไม่รู้จะทำอย่างไร จึงดึงลูกชายของเธอเดินไปนั่ง

ในห้องรับแขก เสิ่นซิวจิ่นไม่อยากเสียเวลา เข้าเรื่องทันที บนโต๊ะกาแฟ แฟ้มเอกสารสีกาแฟหนึ่งฉบับ ถูกดันไปตรงหน้าติงหน่วน

ติงหน่วนเปิดอย่างสงสัย สีหน้าเปลี่ยนทันที เดี๋ยวฟ้า เดี๋ยวขาว แล้วก็หน้าแดง โยนเอกสารในมือลงบนโต๊ะทันที "ไม่มีอะไรทั้งนั้น! เสี่ยวโอวของฉันกับพี่ชายของเขา ได้มีการจับคู่กันแล้ว เรื่องนี้เสี่ยวถงก็รู้!"

เธอยังเน้น "เสี่ยวถง" เป็นพิเศษ

เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้ขยับ "การปลอมใบรับรอง เรื่องแบบนี้ เป็นฝีมือของเจี่ยนเจิ้นตงใช่ไหม"

"พูดเพ้อเจ้อ!

คุณเสิ่น!คุณกำลังใส่ร้าย!"

"เหอะ" เสิ่นซิวจิ่นยื่นกระดาษให้อีกหนึ่งแผ่น

ติงหน่วนรีบหยิบขึ้นมาทันที ทันใดนั้น หน้าซีด "เป็นไปได้อย่างไร……." กระดาษแผ่นนี้เป็นคำสารภาพ คำสองสามคำบนกระดาษ เขียนเกี่ยวกับผลการจับคู่ปลอม และลายเซ็นด้านล่างคำสารภาพ เป็นของคนที่ช่วยปลอมเอกสารให้พวกเขา

เขาสารภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนกระดาษแผ่นนี้!

ติงหน่วนหายใจอย่างเร็ว หัวใจเต้นขึ้นๆลงๆ

"ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ไม่ได้มีแค่เจี่ยนเจิ้นตงที่สามารถใช้เงินในการทำงานได้"

ติงหน่วนตกใจ ประโยคนี้ชัดเจนมาก

"ไม่ต้องพูดถึง ระหว่างล่วงเกินเจี่ยนเจิ้นตงกับฉัน ผลอันไหนจะร้ายแรงกว่ากัน?"

ติงหน่วนนิ่งเงียบ…….ต้องเป็นเขาแน่นอน

"ลูกของฉันยังเล็ก"

พวกเธอบริจาคไม่ได้?

"ถึงแม้จะจับคู่สำเร็จ แต่เสี่ยวโอวของฉันยังเล็ก ประธานเสิ่น ท่านโปรดเห็นใจพวกเราในฐานะที่เป็นพ่อแม่ด้วย ถึงแม้จะปลอมแปลง แต่ทั้งหมดนี้ก็ทำเพื่อลูก"

เธอยังคงพยายามอธิบาย

ผู้ชายตรงหน้า ดันเอกสารไปให้อีกหนึ่งฉบับ "ลงชื่อ รับเงินแล้วไปซะ ไม่เซ็น" ผู้ชายจ้องด้วยสายตาที่เย็นชา เหมือนกำลังจ้องคนตายอยู่ "ลูกนอกสมรสที่พ่อแม่เสียชีวิต สุดท้ายใครจะเป็นคนเลี้ยงดู?"

ติงหน่วนหัวใจเต้นอย่างแรงทันที มองผู้ชายตรงหน้า ตกตระหนกตัวสั่น เธอกล้ายืนยันว่า คนคนนี้พูดจริงทำจริง เขากล้าจริงๆ!

"ทำไมไม่ลองดูข้อเสนอที่ฉันเตรียมไว้ให้คุณกับลูกชายก่อนล่ะ"

ติงหน่วนถอนหายใจโล่งอก เมื่อครู่เกือบหายใจไม่ทันแล้ว มือที่สั่นเปิดดูสัญญา

ดูจบ หัวใจเธอเต้นเร็วขึ้น……..ครั้งนี้ ไม่ได้ขู่ แต่……. "ประธานเสิ่น ที่คุณพูด เป็นเรื่องจริงใช่ไหม?"

"ข้อเสนอที่ระบุไว้ในนี้ จะได้ตามนั้นจริงๆใช่ไหม?"

ติงหน่วนมองสัญญา ข้อเสนอที่ดีที่อีกฝ่ายเสนอให้ หัวใจเต้นแรง…….เงินสดหนึ่งร้อยล้าน บริษัทโฆษณาท้องถิ่นหนึ่งแห่ง

ที่สำคัญคือ บริษัทโฆษณาท้องถิ่นแห่งนี้ไม่ใช่บริษัทที่ไม่มีใครรู้จัก ในเมืองนี้ ก็ถือว่ามีชื่อเสียงอยู่บ้าง

ไอ้เฒ่าเจี่ยนเจิ้นตง ช่วงนี้บ้าขึ้นทุกวันแล้ว และยิ่งอยู่ยิ่งข่มเหงเธอมากขึ้นเรื่อยๆ

เจี่ยนเจิ้นตงตอนนี้ไม่มีเจี่ยนซื่อกรุ๊ปแล้ว เธอจะพยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถให้เสี่ยวโอวสืบทอดเจี่ยนซื่อกรุ๊ปต่อไปได้แล้ว

อีกอย่างผู้ชายที่แข็งกร้าวตรงหน้า ได้แสดงทัศนคติชัดเจนแล้วว่าจะยุ่งกับเรื่องนี้……."น่าจะทำเพื่อเธอ?"

ไม่รู้ว่าทำไม รู้สึกไม่สบายใจ ติงหน่วนพูดออกมา

"นี่ไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องมาใส่ใจ หน้าที่ของคุณคือ เซ็น หรือไม่เซ็น"

ติงหน่วนมองผู้ชายหน้าหล่อตรงหน้า โดดเด่นขนาดนี้……..ทำไมเธอถึงไม่เจอ คิดถึงไอ้เฒ่าตัณหากลับที่บ้าน ติงหน่วนเริ่มไม่สบายใจมากขึ้น

แต่เธอก็รู้ว่าผิดชอบชั่วดี แยกแยะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ อะไรสำคัญ

มองสัญญาที่อยู่ในมือ หันมา "เสี่ยวโอว มีสิ่งเหล่านี้ ต่อไปลูกก็จะไม่ธรรมดาแล้ว สิ่งเหล่านี้เพียงพอที่จะให้ลูกชนะเด็กทั่วไปได้แล้ว"

เธอพูด "แม่ทำเพื่อลูกนะ"

พูดจบ กัดฟัน ลงนามทันที

"ประธานเสิ่น ท่านต้องพูดคำไหนคำนั้นนะ"

เสิ่นซิวจิ่นยกมุมปากแล้วยิ้ม "ตอนนี้จะให้คนโอนเงินเข้าบัญชีคุณห้าสิบล้าน ที่เหลือ รอจนกว่าปลูกถ่ายไขกระดูกเสร็จสิ้น แล้วจะให้คุณทั้งหมด"

การยิ้มของเขา ยิ่งชั่วร้าย ติงหน่วนในใจสับสนสักครู่ มองสัญญาในมือซ้ำๆ แล้วมองผู้ชายตรงหน้าคนนั้น ออกจากห้องรับแขกอย่างไม่พอใจ

เสียงมือถือดังขึ้น ชายคนนั้นเอามือที่นวดหว่างคิ้วลง หยิบโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมา "อืม?"

น้ำเสียงที่ต่ำ ความเหนื่อยที่ไม่สามารถตรวจจับได้ง่าย น้ำเสียงยังคงหนักแน่น

อีกฝั่งของโทรศัพท์ "Boss ผมทำงานพลาด ให้คุณผู้หญิงหลอกได้ ทำให้คุณผู้หญิงหนีไปแล้ว"

ทางนี้ ผู้ชายก็เกร็งขึ้นทันใด เพิ่งจะผ่อนคลายร่างกาย ตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง ตาเร่าร้อนด้วยความโกรธ "ฉันไปหา!เรื่องเป็นยังไง รอฉันหาเธอเจอ ค่อยกลับมาคิดบัญชีกับแก!"

ยืนขึ้น โทรศัพท์มือถือของเขาเปิดค้นหาสถานที่ทันที

ในโทรศัพท์ จุดสว่างกำลังเคลื่อนไหว ริมฝีปากบางของชายผู้นั้นเย้ยหยัน…….ยังไม่ยอมละทิ้งความพยายามในการหนี!

ในโทรศัพท์ของเธอ เขาใส่เครื่องระบุตำแหน่งติดตั้งมานานแล้ว

"ไปกับฉัน!ไปตามหาผู้หญิงคนนั้น!"

เขาลงจากตึกอย่างรวดเร็ว เดินผ่านเสิ่นเอ้อ ชายคนนั้นผ่านไปเหมือนสายลม กล่าวด้วยความโกรธแค้น

เสิ่นเอ้อตกใจ ไม่ทันถาม ตามไปอย่างรวดเร็ว

"ฉันขับเอง!" ชายคนนั้นดึงเสิ่นเอ้อออก "คุณนั่งทางโน้น" ชี้ไปที่เบาะนั่งข้ามคนขับ

ตำแหน่งของโทรศัพท์ จุดสว่างนั่นยังคงเคลื่อนไหว

รถเร่งออกไปอย่างรวดเร็ว เหยียบคันเร่งอย่างแรง

ความโกรธในใจเขากำลังร้อนขึ้น

ร่างกายปกคลุมไปด้วยความกดอากาศต่ำ เสิ่นเอ้ออดทนอยู่นาน ถึงได้พูดออกมาหนึ่งประโยค "เสิ่นซานทำงานพลาด?คุณผู้หญิงหนีไปแล้ว?" ทั้งหมดข้างต้นนี้ นั่นคือทั้งหมดที่เขาคิดได้

ชายคนนั้นตอบอย่างแผ่วเบา เท้าที่เหยียบคันเร่งไม่ปล่อย

วิ่งไปตามตำแหน่งที่ระบุ ไล่ตามไปทางโรงพยาบาล

ยิ่งใกล้โรงพยาบาล สีหน้าของเขายิ่งคล้ำ……..ในที่สุดก็ไปโรงพยาบาล!

ตามๆอยู่ กำลังจะตามทัน สังเกตเห็นว่า จุดสว่างนั่นไม่ขยับแล้ว

ร่องรอยความสงสัยในดวงตาของเขา

…….

อีกเส้นทางหนึ่ง

ปัง——เสียงดังขึ้น รถคันเล็กๆ ถูกรถออฟโรดพุ่งชนเข้าไปในพุ่งหญ้าเขียว

รถวิ่งบนถนน เสิ่นเอ้อทำหน้าที่เป็นคนขับรถ ในบรรยากาศที่น่าเบื่อ ผู้หญิงที่นั่งเบาะหลัง ร่างกายที่เล็ก สั่นเล็กน้อย

แขนเหล็กข้างหนึ่ง กอดเธอไว้แน่น ไม่สามารถขยับได้

ถ้าจะบอกว่าเป็นการกอด เรียกว่าการคุมขังดีกว่า ผู้ชายที่คุมขังผู้หญิง ใบหน้าที่โดดเด่น ราวกับเหล็กแข็ง

ที่หน้าผากของเสิ่นเอ้อ เหงื่อเย็นหยดลงแต่ไม่กล้าเช็ด

ณ ตอนนี้ เขาเหมือนไม่ได้ขับรถให้คู่รักคู่หนึ่ง แต่เป็นพายุลูกหนึ่ง….

รอบกายของผู้ชายเต็มไปด้วยความกดอากาศต่ำ

เสิ่นเอ้ออดไม่ได้ที่จะอิจฉาคนอื่น

อย่างน้อย ไม่ต้องอยู่กับสิงโตตัวนี้ที่เก็บกดจนจะบ้าไปแล้ว

รถอยู่ตรงสัญญาณไฟจราจรหันพวงมาลัยเคลื่อนเข้าเลน เลี้ยวซ้าย ทันใดนั้น เสียงเย็นชาดังมาจากเบาะหลัง

"ฉันบอกให้กลับคฤหาสน์ตระกูลเสิ่นเหรอ?"

เสิ่นเอ้อสะดุ้งทันที "Boss แล้ว……?"

"กลับบ้าน"ชายคนนั้นพูดออกมาสองคำอย่างเฉยเมย

โชคดีที่เสิ่นเอ้อตกใจ สะดุ้ง จึงไม่ได้ถามต่อ รู้ว่าควรทำอะไรในเวลาไหน กลับรถ ยูเทิร์นอีกครั้ง กลับรถในครั้งนี้ เปลี่ยนเส้นทางของรถโดยสิ้นเชิง

ผู้หญิงเงียบตลอดทาง นอกจากเงียบ เธอก็ไม่รู้จะพูดอะไร

ยิ่งไม่รู้ว่า เขาจะทำอะไรกับเธออีก…..

รถวิ่งไปทางอพาร์ตเมนต์ของพวกเขาก่อนหน้านี้

หญิงสาวถูกแขนเหล็กล็อกไว้อย่างแน่นตลอดทาง ลานจอดรถใต้ดิน ประตูรถเปิดออก เธอราวกับว่าถูมือที่แขกเหมือนเหล็ก ล็อกตัวลงจากรถ

ตอนนี้ยังมีเสิ่นเอ้ออยู่ เธออดกลั้นไว้ ไม่ได้พูดอะไร และไม่พูด เพียงเพื่อรักษาสิ่งที่เรียกว่าความภาคภูมิใจที่ไร้สาระของตนเองไว้ไม่อยากยอมรับความพ่ายแพ้

เจี่ยนถงไม่กล้าคิดลึก ไม่กล้าคิด คนคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่

ระหว่างที่ขึ้นลิฟต์ จนถึงชั้นที่พวกเขาสองคนเคยอาศัยอยู่

"ฉันไม่ได้เอากุญแจมาด้วย"

เธอขัดขืนโดยสัญชาตญาณประตูตรงหน้า ทั้งๆที่คุ้นเคยมาก แต่กลับไม่อยากเข้าไป

ผู้ชายไม่ได้สนใจ หยิบกุญแจออกมาหนึ่งดอก

ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างขึ้นทันใด "คลิก" เสียงประตูเปิดออก ในที่สุด เธอตัวสั่นเล็กน้อย ครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เป็นเพราะความโกรธ

"ทำไมคุณมีกุญแจ!"

เธอลดเสียงลงแล้วถามอย่างเกรี้ยวกราด

"บ้านของฉัน ทำไมฉันถึงมีกุญแจไม่ได้?" น้ำเสียงที่เบา และเย็นชา หรี่ตามอง ความเหน็บแนมที่หางตา หญิงสาวที่จ้องมองตัวสั่นมากขึ้นเรื่อยๆ

ใช่!

ใช่!

เขาจะไม่มีกุญแจได้อย่างไร?

เธอโง่เอง!

ถึงได้เชื่อ คนคนนี้จะปล่อยให้เธอย้ายออกไปง่ายๆได้อย่างไร

ทุกอย่าง ทุกอย่างก็เป็นเพียงเกม

"ยังไง?ฉันต้องเชิญคุณเข้าบ้านเหรอ?" ผู้ชายกล่าวด้วยความเย็นชา มองดูการต่อต้านในดวงตาของหญิงสาวในอ้อมแขนด้วยสายตาที่เย็นชา มืออีกข้างอยู่ในกระเป๋ากางเกง กำหมัดไว้อย่างแน่น

เธอช่างไม่เต็มใจเลย!

เธอต่อต้าน!

นี่คือบ้านของพวกเขา เธอไม่เต็มใจขนาดนี้เลยเหรอ?

ปวดใจมากขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของเขายังคงเย็นชาเหมือนเดิม ดูไม่ออกว่ารู้สึกอะไรอยู่

หัวเราะเยาะเบาๆ โอบไหล่ของผู้หญิงที่อยู่ข้างๆไว้ แล้วพาเข้าไปในประตู

แต่ตอนที่เข้าประตู นั่งลงด้วยความเคยชิน หยิบรองเท้าแตะในตู้รองเท้า นั่งลง แต่มือลอยอยู่ในอากาศ

ดวงตาสีเข้ม จ้องมองด้านในตู้รองเท้า ช่องที่ว่างเปล่านั่น…….เหอะ…….

ชายคนนั้นหลับตา ยืนขึ้น แบกผู้หญิงขึ้นโดยไม่พูดอะไร

"คุณบ้าไปแล้วใช่ไหม!"

เธอถามด้วยความโกรธ

บนไหล่ของเขา ขัดขืนอย่างรุนแรง แต่ก็หนีไม่พ้นอำนาจของเขา

ขาเรียวยาวของผู้ชายก้าวออกไป เดินไปที่ห้องนอน เมื่อเข้าประตู ก็วางบนเตียง แขนสองข้างของเขากอดอก ยืนอยู่หน้าเตียง จ้องมองเธอที่อยู่บนเตียงด้วยสายตาที่เย็นชา

"ถ้าฉันขอร้องคุณ ปล่อยฉันไป…….."

เธอยังพูดไม่ทันจบ

"เปลี่ยนคำขออื่น" ชายคนนั้นขัดจังหวะอย่างเด็ดขาด มองลงมาด้วยสายตาที่เย็นชาลึกลงไปในดวงตามีความเจ็บปวดที่คนอื่นยากที่จะรับรู้……ปล่อยเธอไป?

เจี่ยนถง ปล่อยคุณไป แล้วใครจะปล่อยฉันไป?

ชาตินี้ แม้ว่าจะเกลียดมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถปล่อยไปได้ อยู่ตรงหน้า…….ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม!

"ฉัน……แล้วจริงๆ" เหนื่อย……..

"เช่นนั้นคุณอธิบายมา ทำไมคุณถึงอยู่ที่โรงพยาบาล? แล้วทำไมถึงลงนามในหนังสือบริจาคไขกระดูก?"

เปลือกตาของเธอกระตุก "ทำไมคุณไม่อธิบาย ทำไมต้องสอดแนมฉัน?"

"สอดแนมคุณ?" ผู้ชายกอดแขนไว้ ริมฝีปากเย็น……เธอคิดว่าเขาสอดแนมเธอ แต่เธอจะรู้อะไร!

ถ้าไม่ใช่เพราะเขา…….โดยทันที เขากำหมัดแน่น

มีความโกรธซ่อนเร้นอยู่ในดวงตา

"สถานการณ์ของเจี่ยนโม่ป๋ายแย่มาก" เธอไม่มีอะไรจะพูดเพราะรู้จักนิสัยของคนคนนี้ดี

"ดังนั้นคุณจะยอมเสียสละตัวเอง?" เขายังคงหัวเราะอย่างเย็นชา

"ก็แค่บริจาคไขกระดูก ฉันไม่ได้อยากไปตาย"

"คนอื่นจะไม่เป็นอะไร แต่คุณ…….เจี่ยนถง!คุณกล้ารับรอง?คุณกล้ารับรองว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวเหรอ?

คุณรู้หรือไม่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ ฉันจะ…….!" เขาถามอย่างโกรธเคืองแล้วหยุดอย่างกะทันหัน!

เพียงแค่กำหมัดนั้นไว้แน่นจนเกิดเสียงดังขึ้น

ใจเต้นขึ้นๆลงๆ เธอไม่สนใจ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น!……รวมถึงเขา!

ดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยความเศร้า ชายคนนั้นหลับตาลงอย่างกะทันหันไม่ให้เธอเห็นร่องรอย!

แทนที่จะบอกว่าเป็นความโกรธ สู้บอกว่าสิ้นหวังดีกว่า

เหอะ…….เธอไม่แคร์เขาแล้ว

ไม่แคร์แล้วจริงๆ

ทั้งๆที่รู้สภาพร่างกายของตัวเอง ทั้งๆที่รู้ว่าจะเกิดอันตรายกับร่างกายของเธอ เธอก็จะปกปิดเขา

"เขาคือพี่ชายของฉัน"

เสิ่นซิวจิ่นหัวเราะอย่างเย็นชา พี่ชายของเธอ?

คนอย่างนั้น เหมาะสมเป็นพี่ชายของเธอ?

คนอย่างนั้น มีสิทธิ์อะไรที่จะให้เธอเอาชีวิตไปเสี่ยง!

เขาไม่สูดลมหายใจเข้า ลมหายใจเริ่มยุ่งเหยิงขึ้นเรื่อยๆ

"เจี่ยนถง บอกรักฉัน" เขาออกคำสั่งอย่างเอาแต่ใจ เขาพูดกับตัวเองว่า ขอเพียงเธอพูด เธอพูดเขาก็จะเชื่อ ถ้าเธอพูด เขาก็จะลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้

ขอแค่เธอพูด!

แต่ผู้หญิงที่สมควรตายคนนั้น เหมือนเป็นใบ้ ปิดปากไว้แน่น

เวลาผ่านไปทีละนิด เขากำลังรอ เขาพูดกับตัวเองว่า เขาสามารถรอได้

ถ้าเป็นเธอ เขาใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับเธอ รอเธอ ขอเพียงเธอยอมพูดสามคำนี้

"บอกรักฉัน พูด คุณรักฉัน" เขายิ่งแข็งกร้าว

เธอก็ยิ่งนิ่งเงียบ

หน้าตาเช่นนั้น…….

ชายผู้นั้นรู้สึกปวดแสบปวดร้อนในหัวใจปวดลึกถึงในดวงตา ราวกับได้สูญเสียของสำคัญบางอย่างไป

สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของเขา

"มันยากมากเหรอ?" เขายิ้มแล้วถามอย่างเย็นชา ท่าทีที่แข็งกร้าวภายใต้น้ำเสียงเยาะเย้ยมีคำวิงวอนซ่อนอยู่

แต่ผู้หญิงไม่เข้าใจ เพียงแค่สามคำนั้น เคยพูดกับเขาอย่างหลั่งพรั่งพรูออกมา ร่าเริงแบบนั้น เอาแต่ใจแบบนั้น จะพูดหนึ่งพันครั้ง หนึ่งหมื่นครั้งก็ยังได้ แต่ในวันนี้ พูดไม่ออกจริงๆ

ความเจ็บปวด ยิ่งอยู่ยิ่งลึก ความสิ้นหวัง ก็ยิ่งอยู่ยิ่งลึก

ความเจ็บปวดในใจ กับความสิ้นหวังที่ลึก เขามองเธอ เป็นความเศร้าที่ไม่มีใครสามารถเข้าใจได้…….หลังจากสิ้นหวังอย่างบ้าคลั่ง เป็นความบ้าคลั่งที่สิ้นหวัง

ไม่เชื่อ!

ไม่เชื่อว่าในใจของผู้หญิงคนนี้ จะมีเขาไม่ได้อีก

ก้มลงกะทันหันจับแขนทั้งสองข้างของเธออย่างแน่น จูบลงอย่างแรง

เธอแค่รู้สึกว่า เหมือนลมพายุซัดเข้ามา

ผลั๊วะ!

เสียงตบดังขึ้น

"ไอ้สารเลว!"

สมองของชายคนนั้น โดนตบ อยู่บนไหล่ของเธอ เธอกับเขา หัวกับหัวพิงกัน ความใกล้ชิดเช่นนั้น

บนใบหน้าหล่อที่ฝังอยู่ในผ้าปูที่นอน ริมฝีปากของผู้ชาย ยกขึ้นช้าๆ "ใช่ ฉันเป็นคนสารเลว ดังนั้นเสี่ยวถง……….อย่าต่อต้านอย่างไร้สติเลย……ไม่มีประโยชน์"

"ใช่สิ พรุ่งนี้เช้า ฉันไม่ไปเจี่ยนซื่อกรุ๊ปแล้วนะ"

"คุณมีธุระ?"

"รู้สึกเหนื่อย อยากจะพักผ่อน" เจี่ยนถงพูดจบ สีหน้าดูเหนื่อย "วิเวียน ฉันให้ครึ่งหนึ่งของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปกับคุณแล้ว คุณอย่าทำให้ฉันต้องผิดหวังล่ะ"

เธอพูดทีเล่นทีจริง ยืนขึ้น "ไม่เชิญคุณทานข้าวแล้ว ให้ฉันพักสักครู่ ช่วงนี้ไม่รู้ว่าทำไม เหนื่อยง่ายมาก"

วิเวียนได้ยิน สีหน้าเป็นทุกข์ "คุณนะ ก็เป็นแบบนี้ โอเค ฉันกลับก่อน ไม่ต้องรีบมาทำงานนะ ที่บริษัทยังมีฉันอยู่

คุณแบ่งหุ้นของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปให้ฉันแล้ว……อืม คุณจะไม่เสียใจจริงๆนะ?"

เธอยังสงสัย บอกว่าซื้อใจคน ความจริงเจี่ยนถงไม่ต้องเอาหุ้นของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปให้ ชาตินี้วิเวียนก็ยินดีเป็นผู้ติดตามเจี่ยนถงคนเดียวเท่านั้น

เมื่อวิเวียนเดินไปถึงหน้าประตู เจี่ยนถงเรียกเธอ "เดี๋ยวก่อน"

"อืม?"

"เวลาผ่านไปเร็ว ตอนนี้พวกเราก็อยู่ในวัยยี่สิบต้นๆแล้ว วิเวียน……..เวลาผ่านไปเหมือนสายน้ำ มุมตาของคุณ มุมตาของฉัน ต่างก็มีริ้วรอยขึ้นแล้ว"

"ใช่ คิดถึงตอนพวกเรายังเป็นวัยรุ่น กล้าหัวเราะเสียงดังไม่เกรงใจใคร ตอนนี้ไม่กล้าหัวเราะเหมือนก่อนแล้ว……." ทั้งสองทั้งสองพูดคุยกันและหัวเราะกันบรรยากาศก็ครึกครื้นมาก "ได้ ฉันกลับก่อนแล้ว คุณพักผ่อนเยอะๆ"

"ฉันส่งคุณถึงหน้าลิฟต์"

"สุภาพขนาดนี้?ใช่ว่าจะไม่ได้เจอกันอีก"

พูดขณะยิ้ม ทั้งสองเดินตามกันออกจากห้อง ประตูลิฟต์เปิดออก วิเวียนเดินเข้าไป วินาทีที่ประตูปิด เธอเงยหน้าขึ้น เห็นด้านนอกประตูลิฟต์ เจี่ยนถงมองตัวเองด้วยรอยยิ้ม……แปลกมาก หัวใจเต้นผิดจังหวะ

ส่ายหัวซ้ำๆ แต่ก็คิดไม่ออกว่าทำไมหัวใจถึงเต้นผิดจังหวะ

แต่ก็คิดไม่ออก ว่าไม่สบายใจเรื่องอะไร

วันรุ่งขึ้น

ผู้หญิงคนหนึ่ง ก็มาถึงที่โรงพยาบาล

"คุณหนูเจี่ยน ยังเหมือนกับเมื่อวานหรือเปล่า?"

พยาบาลที่ดูแลการฉีดโกรทแฟคเตอร์ให้เธอ ยังคงเป็นพยาบาลคนเดิมเมื่อวาน

"สถานการณ์ของเขาวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง?"

ผู้หญิงถามขึ้น

"คุณรอสักครู่ ทางโรงพยาบาลได้มีการตรวจร่างกายของคุณเจี่ยนทุกวัน" ขณะที่พยาบาลพูด ก็เงยหน้ามองนาฬิกา "คุณรอสักครู่ รายงานจะออกมาเร็วๆนี้"

กำลังพูดอยู่ หมอชุดขาวคนหนึ่งถือเอกสารกองใหญ่อยู่ในมือ เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ "คุณหนูเจี่ยนคุณมาพอดีเลย

นี่คือรายงานล่าสุดของเจี่ยนโม่ป๋าย

คุณลองอ่านดู ตัวบ่งชี้นี้ไม่ปกติ"

หมอชุดขาวคนนั้นเดินมาตรงหน้าเจี่ยนถงอย่างรีบร้อน เปิดรายงานออก ชี้ไปที่ผลการตรวจในนั้น

"จริงๆแล้วช่วงนี้สถานการณ์ของเจี่ยนโม่ป๋าย แย่ลงทุกวัน

แต่ผลของวันนี้ รายงานฉบับนี้ออกมา……ถ้าสถานการณ์ยังแย่ลงเรื่อยๆ คุณเจี่ยนอาจไม่ใช่แค่การปลูกถ่ายไขกระดูก"

นัยน์ตาใสๆของหญิงสาวเป็นประกายเล็กน้อย "สถานการณ์เป็นอย่างไร คุณพูดมาเลย"

"รายงานของคุณเจี่ยนฉบับนี้ มีแนวโน้มไตวายอยู่" หมอเหลือบมองผู้หญิงที่เงียบอยู่ตรงหน้า เขาพูดแล้วก็เม้มปาก

หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะ…..ถ้าเธอเข้าใจไม่ผิด นั่นคือ……..

"ผลที่ตามมาของภาวะไตวายคือ?"

เวลานี้ อดไม่ได้ที่จะกำหมัดไว้แน่น

คงไม่ใช่…….

"การปลูกถ่ายไต"

เธอบีบกำปั้นทันที…….นึกแล้วเชียว!

"ฉันกำลังฉีดโกรทแฟคเตอร์ วันนี้เป็นวันที่สองแล้ว สถานการณ์ของเขา สามารถ……."

"ฉันรู้ว่าคุณหนูเจี่ยนอยากถามอะไร

ตามรายงาน ณ ตอนนี้ ตามหลักแล้ว น่าจะสามารถจนถึงวันปลูกถ่ายไขกระดูกได้"

ขณะพูด ก็หยุดไป แล้วพูดต่อว่า

"แต่จะเกิดอะไรขึ้นในความเป็นจริง พวกเราก็ไม่สามารถรับประกันได้"

ขณะพูด ก็หยิบรายงานผลตรวจร่างกายอีกฉบับขึ้นมา

"นี่คือรายงานของคุณ คุณหนูเจี่ยน ตามสถานการณ์ของคุณ…… พวกเราทำได้แค่หวังว่า สภาพร่างกายของคุณหนูเจี่ยน จะสามารถคงสภาพในตอนนี้ได้ต่อไป"

คำพูดชัดเจนมาก

เจี่ยนถงก็รู้ดี

"พูดต่อเถอะ" เธอตัดสินใจ

"คุณหนูเจี่ยนคุณต้องการปกปิดความจริงกับผู้รับบริจาคจริงๆเหรอ?"

คุณหมอถามด้วยความสงสัย "คุณหนูเจี่ยนกับคุณเจี่ยนก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ไม่มีเหตุผลจำเป็นที่ต้องปกปิด ไม่ต้องพูดถึง ด้วยสภาพร่างกายของคุณหนูเจี่ยนที่จะบริจาคไขกระดูก ก็มีความเสี่ยงมากอยู่แล้ว

ทางโรงพยาบาลเพียงแค่เสนอความเป็นไปได้ ถ้าคุณหนูเจี่ยนเกิดอะไรขึ้นหลังการบริจาคไขกระดูก เช่นนั้นคุณหนูเจี่ยนจะจัดการกับตัวเองอย่างไร?"

เจี่ยนถงอึ้งไปสักครู่ เธอไม่เคยคิดเรื่องหลังจากที่บริจาคไขกระดูกของตัวเองเลย

เธอหลับตาลง แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง ในดวงตาใสๆ "ฉีดโกรทแฟคเตอร์ต่อเลย"

พระเจ้า ก็ช่างเล่นตลกด้วยจริงๆ

แต่ เจี่ยนถงเหมือนไม่กลัวตาย เหมือนไม่ได้สนใจ เหมือนทิ้งทุกอย่าง เหมือน……ยอมแพ้ให้กับตัวเอง

แล้วยังมีความหวังในใจที่ไม่กล้าพูดออกมา…….สิ่งที่เธอคิด……ยอมแพ้ทุกอย่าง

เข็มที่เย็น หนาวถึงกระดูก เข้าไปในเนื้อ เธอเหมือนไม้ที่ตาย เหมือนหุ่น ที่ให้พยาบาลข้างๆ จิ้มเข็มเข้าไปในร่างของเธอ

ปัง——เสียงดัง ประตูถูกผลักออกอย่างแรง กระแทกบนกำแพง เกิดเสียงที่ดังขึ้น

มือของพยาบาลสั่น กำลังจะด่าคนผลักประตู หันไปมอง เห็นร่างใหญ่ที่หน้าประตู ตกใจกับใบหน้าเย็นชาของคนที่อยู่หน้าประตู "ทำไมคุณถึงบุกรุกเข้ามา……"

สายตาคมดุจใบมีดคม ส่องมาที่เธอ พยาบาลตกใจเกือบกัดลิ้นตัวเอง……คนคนนี้ น่ากลัวมาก!

เจี่ยนถงจ้องมองคนที่หน้าประตูอย่างไม่เชื่อ ใจสั่น มือสั่น เธออยากจะควบคุมการสั่นนี้ แต่กล้ามเนื้อดูเหมือนจะมีความทรงจำในตัวเอง ไม่สามารถควบคุมได้

ร่างนั้น เดินเข้ามาทีละก้าว มีความน่ากลัวเหมือนพายุ บนใบหน้าหล่อของคนคนนั้น ปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง น่ากลัวมาก ด้วยสีหน้าที่โกรธแค้น ดูเหมือนจะฉีกเธอเป็นชิ้นๆ

เธอกัดริมฝีปากอย่างแน่น และกดแขนที่สั่นของตัวเองไว้ เธอพยายามยืดหลังตรง เธอต้องการเผชิญหน้าเขาอย่างตรงไปตรงมา เธอต้องการใช้สิ่งเหล่านี้ เพื่อประกาศให้เขารู้ว่า ฉันไม่กลัว

ในสายตาของผู้หญิง ได้ใช้เรี่ยวแรงที่มีพยายามเต็มที่แล้ว แต่ในสายตาของผู้ชาย เป็นเรื่องตลกและไร้เดียงสามาก

รองเท้าหนัง เหยียบบนพื้นที่เย็น เสียงเคาะ ราวกับว่ามาจากส่วนลึกของนรก จู่ๆเธอก็ลุกขึ้น ตื่นตระหนกและหลบหนีอย่างไร้เหตุผล

ปัง!

ดังขึ้นอีกครั้ง

เขากดเธอลงอย่างแรง กดลงบนเก้าอี้พิง ฝ่ามือนี้ทรงพลังมาก แต่ดันไปโดนหลังเก้าอี้ จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่ยอมลดแรงลง จากร่างกายของหญิงสาวคนนั้น

"นี่ก็คือการอยู่เงียบๆคนเดียวของคุณ? ผู้ชายถามอย่างโกรธแค้น ถึงกระนั้นความถี่ของการสั่นของแก้ม มันยังคงแสดงถึงความอดทนอย่างมากของผู้ชายคนนั้น

คำพูดที่เย็นชา เข้าไปในหูของหญิงสาว ทันใดนั้นก็เย็นชา ใบหน้าเล็กๆ หน้าซีดเหมือนกระดาษ!

"คุณจะหนีอีกแล้ว?"

ผู้ชายเก็บความโกรธไว้ ถามอย่างแผ่วเบาที่ข้างหูผู้หญิง

"คุณจะหนีอีกแล้ว!" เขากัดฟันกล่าวด้วยความมั่นใจ!

ถ้าไม่ใช่คนรอบคอบ ก็จะฟังไม่ออก ประโยคที่พูดด้วยความโกรธนี้ นอกจากความโกรธที่ไม่สิ้นสุด แล้วยังมีความเสียใจ ความผิดหวัง!

ใช่ ความผิดหวัง!

ริมฝีปากบางของผู้ชาย ค่อยๆโค้งออกช้าๆ ส่วนโค้งที่เล็กมาก

"ในเวลานั้น คุณหนีไปที่เอ๋อร์ไห่

ตอนนี้…..คุณจะหนีไปไหนอีก?"

ริมฝีปากของหญิงสาวค่อยๆหมองมัวยังคงสั่น

"ซวี………" นิ้วมือที่เรียวยาว กดบนปากที่สั่นของเธอ เขายิ้ม "สามปีก่อน คุณพยายามทำทุกอย่างเพื่อหนีไป หนีไปที่เอ๋อร์ไห่

ตอนนี้……คุณจะใช้ความตายเพื่อหนีเหรอ?

คุณจะใช้ความตายเพื่อหนีฉัน?"

หญิงสาวไม่พูดอะไร บนหน้าผากมีเหงื่อเย็น

ผู้ชายกำลังหัวเราะ ในตาเย็นชา

"เจี่ยนถง ฉันกำลังถามคุณอยู่……ครั้งนี้ คุณจะหนีไปที่ไหน? อืม?ตอบสิ!"

เธอต้องการที่จะหลบสายตา ตาที่แดงขนาดนั้น เธอ…..ไม่กล้ามอง!

ทันใดนั้นคางก็ถูกจับไว้แน่น "ฉันกำลังถามคุณอยู่!คุณมองฉันสิ ตอบฉัน คุณจะหนีไปที่ไหน?"

เขามองเธอ มองผู้หญิงตรงหน้า พวกเขา……ทั้งๆที่อยู่ใกล้กันขนาดนี้ แต่เขาหนาวจนสั่น

หลับตา แล้วลืมตาอีกครั้ง "เจี่ยนถง!คุณแน่มาก!" ถึงกับยอมตาย เพื่อจะหนีเขา!

คุณแน่มาก!

"ฉันจะบอกคุณให้ ฉันให้คุณเกิด คุณก็ต้องเกิด ฉันบอกให้คุณตาย คุณก็ต้องตาย !คุณยังใช้นามสกุลของฉันอยู่ คุณคิดว่า กลายเป็นผีแล้วจะสามารถสงบสุขเหรอ?

จากบนฟ้าสู่ใต้ดิน ถ้าฉันไม่ยอมปล่อยมือ ถึงคุณตายก็หนีไม่พ้น!"

เลือดบนใบหน้าของผู้หญิงจางลง!

เขาก้มลงอย่างกะทันหัน อุ้มขึ้นมา "ไปกับฉัน!"

"ฉันไม่!"

"เหอะ….ยอมคุณไม่ได้!" ผู้ชายหัวเราเย็นชา อุ้มหญิงสาว เดินออกไปอย่างรวดเร็ว

พยาบาลตั้งสติได้ ก็รีบไปขวาง "คุณ คุณทำแบบนี้ไม่ได้……"

ยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกบอดี้การ์ดของเขาขวางไว้

เจี่ยนถงเพิ่งเห็นว่า เสิ่นเอ้อกลับมาแล้ว

เมื่อเห็นความเด็ดเดี่ยวบนใบหน้าที่หล่อเหลาของผู้ชายคนนั้น ในใจของเธอ จมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งในทันที "เสิ่นซิวจิ่น!คุณปล่อยฉัน!" เสียงของเธอแหบและเหนื่อยล้า

"เหอะ……." เสียงที่ตอบกลับให้เธอ มีแค่เสียงเยาะเย้ย ความเจ็บปวดลึกๆของผู้ชายในดวงตา กับ……ความสิ้นหวัง

แล้วยังมีความบ้าคลั่งหลังจากความสิ้นหวัง!…….

"หมายความว่าอย่างไร?เจี่ยนโม่ป๋ายตะลึง เจี่ยนถงที่อยู่ข้างเตียง หันหลังแล้วเดินออกไป เขารีบคว้าแขนของเธอไว้แน่น "คุณ……คุณพบผู้บริจาคไขกระดูกที่เหมาะสมแล้วใช่ไหม?"

เขาจ้องผู้หญิงที่อยู่ข้างเตียงอย่างใจจดใจจ่อเวลานี้ หัวใจเกือบจะวาย เจี่ยนถงมองลง สบตาเจี่ยนโม่ป๋าย…….ตื่นเต้น กังวล ตั้งตารอคอยรวมถึงความหวัง

ความหวังของการอยู่รอด

ความอ่อนโยนของริมฝีปาก สว่างไสวเช่นชั้น "ใช่ พบแล้ว พี่ พี่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป"

ค่อยๆยื่นฝ่ามือไปออกมาหนึ่งข้างต่อหน้าเจี่ยนโม่ป๋าย ดึงมือของเขาที่ผอมออก เหมือนได้ตัดสินแล้ว

เมื่อหันหลังเดินไปที่ประตู……..

บนเตียงผู้ป่วย เจี่ยนโม่ป๋ายจ้องมองอย่างตะลึง ตรงประตู น้องสาวของเขา มองย้อนกลับไปที่รอยยิ้มนั้น ในช่วงที่เหลือของชีวิต เขาจะไม่มีวันลืม

"พี่ ต้องมีชีวิตที่อยู่ดีมีสุข"

พูดจบ ประตูก็ปิดลง

เจี่ยนโม่ป๋ายยังไม่ทันพูดคำ "ขอบคุณ" ที่อยู่ในปากออกมา มันดังขึ้นเฉพาะในห้องผู้ป่วยห้องนี้

เขาโทรหาคุณหญิงเจี่ยนอย่างตื่นเต้น "แม่ ฉันรอดแล้ว!ฉันจะไม่ตายแล้ว!"

เขาแจ้งข่าวดีด้วยความตื่นเต้น

อีฝ่ายของโทรศัพท์ คุณหญิงเจี่ยนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน ลังเลอยู่สามวินาที ในที่สุดก็ยืนยันว่าไม่ได้ฟังผิด ไม่ได้ฝันไป "จริงเหรอ?เรื่องจริงใช่ไหม? เป็นใคร?เป็นใครที่ใจบุญเช่นนี้?

แม่จะต้องขอบคุณคนคนนั้นดีๆ

เดี๋ยวใจจะโทรหาน้องสาวที่ไร้หัวใจของคุณคนนั้น น้องสาวแท้ๆ ที่ไม่ยอมช่วยพี่ชายที่กำลังจะตาย

คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคุณ คนแปลกหน้าที่มีน้ำใจ

ฉันจะดูสิว่าเธอจะละอายใจไหม"

เจี่ยนโม่ป๋ายแก้มยุบ ทันใดนั้นหน้าแดง รากหูมีเลือดออก ลดเสียงลงอย่างละอายใจ "แม่ แม่อย่าทำแบบนี้ คนที่บริจาคไขกระดูกให้ฉัน เสี่ยวถงเป็นคนหามาให้"

คุณหญิงเจี่ยนอึ้งไปสักครู่ หลังจากนั้น กล่าวขึ้นอย่างไร้เหตุผลว่า "ไม่รู้ไม่สน เธอเป็นคนหามา แต่เธอไม่ใช่คนบริจาค นั่นไม่ใช่เพราะเธอไม่อยากบริจาคไขกระดูกให้คุณเหรอ เลยยอมสละเวลาตามหาคนอาสาสมัครให้?

คุณคิดว่าเธอทำเพื่อคุณ?

เธอทำเพื่อตัวเธอเองต่างหาก"

เจี่ยนโม่ป๋ายหน้าแดงกว่าเดิม "แม่ ฉันเหนื่อยแล้ว ไม่คุยแล้ว"

ไม่นาน หมอประจำของเขาก็มา บอกเขาว่าเขาสามารถรับการปลูกถ่ายไขกระดูกได้แล้ว

เจี่ยนโม่ป๋ายลังเลอยู่สักครู่ ประโยคที่จะถามออกมาว่า "คือใคร" สุดท้ายก็ไม่ได้ถามออกมา

หมอพูดเพียงว่า "คุณโชคดีมาก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะต้องเริ่มการเตรียมตัวก่อนการผ่าตัด ฉันจะสั่งยาปฏิชีวนะ คุณจำเป็นต้องทานยานี้ สุภาพร่างกายของคุณไม่ค่อยปกติ หลังจากรอทุกอย่างปกติแล้ว จะดำเนินการผ่าตัดให้คุณทันที"

คุณหมอก็รู้อาการของเขาดี ถามไปว่า "มีบางเรื่อง ฉันจำเป็นต้องคุยเป็นการส่วนตัวกับญาติของคุณ การผ่าตัดจะสำเร็จหรือไม่ ต้องรอดูอาการหลังการผ่าตัดหนึ่งเดือน"

……..

"คุณหนูเจี่ยน คุณแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะบริจาคไขกระดูก?

คนเราแม้จะมีไตข้างเดียว ในทางการแพทย์ก็บอกว่า ไม่เป็นอันตราย สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ" พยาบาลที่รับผิดชอบอธิบาย แต่บางคำพูด ก็มีคลุมเครือเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้น ก็ทำให้ผู้ฟังเข้าใจในความหมายของเธอได้

ในชีวิตจริง ถ้าคนไหนขาดไตไปหนึ่งข้างหรือขายไตไป คุณภาพชีวิตจะลดลง ร่างกายก็อ่อนแอ ทำงานหนักไม่ได้ เหนื่อยง่าย……ผลสืบเนื่องเหล่านี้ จะเกิดกับผู้ที่ขาดไตไปหนึ่งข้าง ชีวิตในอนาคต จะออกปรากฏให้เห็นทีละอย่าง

เชื่อว่าตัวท่านเองสามารถรับรู้ได้มากกว่า

ทางการแพทย์ยังกล่าวอีกว่า ร่างกายมนุษย์มีหน้าที่ในการสร้างไขกระดูกขึ้นใหม่ ก็เหมือนผักกุยช่าย เมื่อตัดมันแล้วก็จะขึ้นใหม่ได้อีก

แต่สภาพร่างกายของคุณ…..และ ก่อนบริจาคไขกระดูกคุณต้องฉีดโกรทแฟคเตอร์เป็นเวลาต่อเนื่องสี่ถึงห้าวัน สิ่งที่พวกเรารวบรวมคือสเต็มเซลล์เม็ดเลือด หลังจากรวบรวมแล้ว คนธรรมดาอาจมีไข้ได้ 1-2 วัน

แต่สถานการณ์ของคุณมันพิเศษ

และเมื่อมีการผ่าตัดก็อาจจะมีความล้มเหลว การเก็บสเต็มเซลล์เม็ดเลือดนั้นไม่ได้ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ ยังมีอันตรายเล็กๆอยู่บ้าง แม้ว่าอันตรายนี้แทบจะมองข้ามไปได้ แต่การทุกรักษาในโรงพยาบาล ทั้งหมดมีความเสี่ยงที่จะเกิดความล้มเหลวได้

และสถานการณ์ของคุณ ก็พิเศษมากๆ

คุณหนูเจี่ยน คุณพิจารณาดีแล้วหรือยัง?"

"ฉันพิจารณาดีแล้ว ผลที่ตามมา ฉันจะแบกรับมันเอง" เธอหยิบปากกาขึ้นมา ในหนังสือบริจาค ขีดเขียนชื่อของเธอลงไปทีละขีด ชื่อในบัตรประชาชน ——เสิ่นถง

"คุณแซ่เจี่ยนไม่ใช่เหรอ?" พยาบาลตกใจ

เจี่ยนถงกล่าวเบาๆว่า "คุณปู่ของฉันแซ่เจี่ยน ภายหลังเปลี่ยนแล้ว"

พยาบาลงงกับสิ่งที่เธอพูด……คุณปู่ของฉันแซ่เจี่ยน ภายหลังเปลี่ยนแล้ว?

……

เจี่ยนถงกลับบ้าน เมื่อถึงบ้าน เห็นเงาคนหลังตรงที่หน้าประตู

หันหลังกำลังจะเดินจากไป เธออดทนไว้ ฝืนความปรารถนาที่จะจากไป เดินไปตรงหน้าคนคนนั้น "ฉันเห็นสายโทรเข้าและข้อความของคุณ"

ยังไม่ทันรออีกฝ่ายพูด ผู้หญิงก็พูดออกมาช้าๆ

นัยน์ตาสีเข้มของผู้ชายจับจ้องที่เธอ "อืม" ตอบรับด้วยเสียงต่ำ เขาถามด้วยสายตา

"ทำไมไม่โทรกลับหรือส่งข้อความกลับ?"

ภายใต้การจ้องมองที่แผดเผา ผู้หญิงพูดเบาๆ "คุณผิดสัญญาก่อน ฉันเคยพูดแล้ว ให้ฉันอยู่เงียบๆคิดอะไรคนเดียวสักพัก และคุณ ก็รับปากแล้วไม่ใช่เหรอ?"

รับปากแล้ว แล้วทำไมต้องมารบกวนเธอด้วย?

นี่คือเสียงพากย์ของเธอ

ตาของผู้ชายคนนั้นวูบวาบสักแป๊ป เหมือนเข้าใจโดยปริยายในสิ่งที่เธอพูด

สายตาที่จ้องมองเธอ ยังไม่ยอมละสายตาจากเธอ เสียงที่ต่ำ พูดออกมาช้าๆ

"คุณไปไหนมา?"

ดูเหมือนเป็นคำพูดทั่วไป

ผู้หญิงเอามือล้วงในกระเป๋า กล่าวอย่างใจเย็น "ไม่ได้ไปไหน ไปดื่มชายามบ่ายกับวิเวียน"

"อ้อ……แบบนี้เอง"

เธอรู้สึกถึงความไม่ปกติ ดูเหมือนว่า ในคำพูดเขาดูไม่สนใจ แต่เหมือนมีอะไรบางอย่าง

ส่ายหัวซ้ำๆ……อย่ารู้สึกผิด คนนั้นเขาคงจะอยู่กับงานที่วุ่นวายของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด เขาจะรู้ได้อย่างไร เธอไปทำอะไรมาบ้าง

"ไม่เชิญฉันเข้าบ้านเหรอ?"

ชายคนนั้นยักคิ้วเล็กน้อย เห็นว่าเธอไม่ยอมเอากุญแจมาเปิดประตู

เจี่ยนถงแกล้งทำเป็นใจเย็น "ไหนบอกว่า จะให้ความเป็นส่วนตัวกับฉัน ให้ฉันอยู่เงียบๆสักพักหนึ่ง หรือว่า…….คุณหลอกฉันอีกแล้วเหรอ?"

ชายคนนั้นดวงตาสีดำหรี่ลง มองความแน่วแน่ในดวงตาของผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า "โอเค ฉันให้เวลาคุณ ให้ความเป็นส่วนตัวคุณ"

เขาหันหลังเดินเข้าไปในลิฟต์ ยืนอยู่ในลิฟต์ หันหน้าไปทางผู้หญิงหน้าเครียดๆที่อยู่หน้าประตู พูดเสียงต่ำ ซ่อนความเจ็บปวดที่มองไม่เห็น

"เสี่ยวถงฉันแค่อยากให้คุณอยู่เคียงข้างฉันไปตลอดชีวิต"

หุ่นผอมเพรียวที่ประตู ใจสั่นกะทันหัน "อืม"อย่างคลุมเครือ ก้มหัวลง

"ตลอดชีวิตไกลเกินไป ไม่กล้าฝัน" เธอบ่นเบาๆกับประตูลิฟต์ที่ปิด เธอหยิบกุญแจออกมา ก้าวเข้าสู่ความมืดมิดของห้องนั้น เหมือนหัวใจของเธอในตอนนี้……ที่จมลงสู่ขุมนรก

เธอไม่ใช่พระแม่มารีย์ ยังรู้ถึงความอันตรายในการบริจาคไขกระดูก ถ้าไม่จำเป็น สำหรับร่างกายที่เกร็งของเธอในตอนนี้ มีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไปหลายสิบเท่า

บริจาคไขกระดูก เป็นการเดิมพัน

เดิมพันกับความโชคดีที่เธอมีมากพอหรือไม่

เมื่อก่อนไม่กล้าเดิมพัน เพราะหลายอย่าง…….

ในวันนี้ เจี่ยนซื่อกรุ๊ปอยู่ในสถานการณ์ปกติแล้ว น้ำพักน้ำแรงของคุณปู่ ในที่สุดก็รักษาไว้ได้แล้ว

ตระกูลเจี่ยนที่เจริญรุ่งเรืองเติบโตมานาน ไม่ได้ล้มลงตรงหน้าเธอ ดังนั้น จึงไม่รู้สึกผิดต่อคุณปู่ที่จากไปแล้ว และไม่รู้สึกผิดต่อสิ่งดีๆที่ได้รับ ส่วนเรื่องดีๆพวกนั้น บริสุทธิ์หรือไม่ เธอก็ไม่ได้สนใจแล้ว

ตอนกลับประเทศ ก็ได้ตัดสินใจแล้ว เธอช่วยพี่ชายของเธอตามหาผู้บริจาคไขกระดูกที่เหมาะสม ถ้าถึงวินาทีสุดท้ายที่พี่ชายของเธอทนไม่ไหวแล้ว เช่นนั้น………

ใช่ เวลานั้น ตอนกลับมาจากเอ๋อร์ไห่ ได้ตัดสินใจไว้เช่นนี้

คุณปู่บอกว่า ตระกูลเจี่ยนเป็นของเจี่ยนโม่ป๋าย

ตระกูลเจี่ยนยังคงอยู่ แล้วเจี่ยนโม่ป๋ายจะตายได้อย่างไร

เธอไม่ได้เก่งขนาดนั้น จะยอมให้ไปตายได้ ดังนั้นเธอจึงคาดหวังมากกว่าใคร ที่จะหาผู้บริจาคไขกระดูกที่แข็งแรงและเหมาะสมให้กับเจี่ยนโม่ป๋ายได้

เมื่อเทียบกับ "ความตายที่ยิ่งใหญ่" เธอไม่ต้องการ "ความยิ่งใหญ่" แบบนั้น ยังอยากจะเห็นดอกไม้บานและสายลมของทะเลสาบเอ๋อร์ไห่

ยังอยากจะเผากระดาษให้อาลู่ทุกปี และพูดพล่าม

เธอคิดว่าเสิ่นซิวจิ่นที่ความจำเสื่อม เป็นเผือกร้อนที่เป็นปัญหาใหญ่

แต่ปัญหาใหญ่อันนี้ ตอนที่เขาความจำเสื่อม ทำให้เธอคิดถึงความอ่อนโยนและความไร้เดียงสาของเขาอีกครั้ง

สุดท้าย คนไร้เดียงสาก็คือเธอ

เสิ่นซิวจิ่นคุณทำให้ฉันรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นอีกครั้ง แล้วผลักฉันลงนรกอีกครั้ง

เธออยากให้ฉันอยู่ข้างๆคุณไปตลอดชีวิต…… คุณยังเหมือนเดิม เห็นแก่ตัว หวาดระแวง สายแข็ง และเฉลียวฉลาด

คุณไม่ได้เปลี่ยนไป คุณยังเหมือนเดิม!

ไม่เคยเปลี่ยนไป!

วันแล้ววันเล่านั้น คนที่ทำกับข้าวให้เธอ เป็นคนหลอกลวง!

คืนแล้วคืนเล่า คนที่ประคบเท้าให้เธอ เป็นคนหลอกลวง!

คนที่พูดเต็มปากเต็มคำว่า "ถงถงพูดอะไร อาซิวก็จะเชื่ออย่างนั้น ถงถงสำคัญที่สุด" เป็นคนหลอกลวง!

"คนหลอกลวง!" ทางเข้าที่มืด เสียงแหบของผู้หญิง ดังขึ้นด้วยความเศร้า

ทั้งหมดล้วนหลอกลวงเธอทั้งนั้น!

เป็นอุบายของเขา!

เพื่อบรรลุเป้าหมายของเขา สิ่ง "ดีๆ" เหล่านั้น ล้วนเป็นเพียงอุบายของเขา!

เขาไม่เคยเปลี่ยน ในสายตาของเขา นี่เป็นแค่เกม แต่ว่าคนที่สามารถ "หยุด"ได้ มีเพียงเขาเท่านั้น!

เขาก็แค่แสดงละครฉากหนึ่ง ยืนมองและหัวเราะเยาะเธอในฉาก!

เรื่องที่ควรจะทำก็ทำเรียบร้อยแล้ว ภาระที่แบกไว้บนบ่าก็สามารถวางลงได้แล้ว…….ควรนอนพักได้แล้ว

ในคืนที่มืด ดวงตาของผู้หญิง ท้อแท้และหมดแรง…….เธอ แค่เหนื่อยแล้ว เหนื่อยแล้วจริงๆ

วิเวียนมาถึงที่บ้านเธอ เจี่ยนถงรินน้ำอุ่นหนึ่งแก้ว ยื่นให้

"ตอนนี้เจี่ยนซื่อกรุ๊ป ค่อยๆกลับสู่สถานการณ์ปกติแล้ว

ในช่วงนี้ คุณติดตามฉันและช่วยงานมาเสมอ" เจี่ยนถงหยิบสัญญาหุ้นที่เตรียมไว้จะมอบให้ ยื่นไปตรงหน้าวิเวียน

"ลงชื่อสิ"

วิเวียนหยิบขึ้นมาดูอย่างไม่เข้าใจ ทันใดนั้นก็นั่งตัวตรง อ่านอย่างรวดเร็ว สักพัก สีหน้าเคร่งขรึม "คุณจะให้หุ้นของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปกับฉันห้าเปอร์เซ็นต์?"

"ลงชื่อสิ ส่วนนี้คุณสมควรจะได้" เจี่ยนถงกล่าว "คุณรู้จักฉันดี ถ้าฉันตัดสินใจแล้ว ก็ยากที่จะเปลี่ยนใจ ถ้าคุณไม่ยินดี ฉันก็จะเอาหุ้นส่วนนี้ ไปแปลงเป็นเงิน แล้วไปบริจาคให้กับผู้ยากไร้ในนามของคุณ"

"คุณกำลังทำอะไรอยู่ นี่…….."

เจี่ยนถงยิ้มเล็กน้อยแล้วขัดจังหวะของวิเวียน "อยากให้ม้าวิ่งเร็ว แล้วไม่ให้มันกินหญ้า บนโลกนี้ไม่มีเรื่องแบบนี้แน่นอน ให้หุ้นกับคุณ ไม่ได้ให้ฟรีๆนะ ฉันคิดว่าวิเวียนคุณสู้มากับฉันโดยตลอด คุณก็คิดเสียว่าฉันใช้เงินซื้อใจคนแล้วกัน"

เธอเข้าใจวิเวียนดี วิเวียนถอนหายใจ ไขข้อข้องใจแล้ว ยิ้มแล้วหยิบปากกาขึ้นมาเซ็นชื่อ "ฉันจะเซ็นแล้วนะ คุณอย่าเสียใจล่ะ"

เจี่ยนถงยิ้มแล้วส่ายหัว "ไม่เสียใจ"

เจี่ยนถงยืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่สีขาว เธอยืนนิ่งอยู่นาน สุดท้ายก็ยื่นมือออกไปผลักบานประตูออก

"ฉันไม่กิน" ร่างกายผอมลีบของเจี่ยนโม่ป๋ายนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย วันเวลาที่ผ่านมานี้ เขาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความวิตกกังวล ความปรารถนาอยากมีชีวิตต่อทำให้เขาต้องฝืนทุรนทุรายกับความเจ็บป่วย

แต่มันเจ็บปวดเหลือเกิน ยิ่งใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ ก็รู้สึกสิ้นหวัง

ที่ฝืนทุรนทุรายต่อความเจ็บป่วยและความสิ้นหวัง เพราะเขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อ อยากมีชีวิตเพื่อดื่มด่ำกับแสงสีในงานเลี้ยง อยากย้อนกลับไปยังวันเวลาที่ไร้ซึ่งความทุกข์ทนในอดีต

คุณหญิงเจี่ยนน้ำตาไหลอาบหน้าทุกวัน เจี่ยนโม่ป๋ายเบื่อที่จะเห็นคนมานั่งเช็ดน้ำตาและทอดถอนหายใจอยู่ข้างๆ โชคดีที่ช่วงนี้คุณหญิงเจี่ยนไม่ค่อยสบาย เจี่ยนโม่ป๋ายจึงโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ที่สามารถทำให้คุณหญิงเจี่ยนห่างไปจากข้างกายได้

เหลือแค่พ่อบ้านในตระกูลที่คอยมาส่งข้าวส่งน้ำ คุณหญิงเจี่ยนจ้างคนมาดูแลลูกชายสุดที่รักตลอด24ชั่วโมง โดยให้สับเปลี่ยนเวลามาคอยดูแลลูกชายของเธอ

เจี่ยนโม่ป๋ายนอนมองผนังห้องทั้งสี่ด้านจนเบื่อแล้ว ในตอนที่ตื่นขึ้นมา เขาจะมองออกไปทางนอกหน้าต่าง แววตาที่เคยมีชีวิตชีวาในอดีต ตอนนี้เหลือแค่ความมืดมน

ประตูถูกเปิดออกเงียบๆ เขาคิดว่าเป็นพ่อบ้านที่มาหา ร่างกายของเขารับยามาเป็นเวลานาน ปากของเขาจึงไม่สามารถรับรสได้อีกแล้ว กินอะไรเข้าไปก็มีแต่รสขม

ปัจจุบัน ถ้าไม่หิวจนทนไม่ไหว เขาก็ไม่อยากอ้าปากกลืนอะไรลงไปทั้งนั้น

เพราะอ่อนแอมาก แม้แต่พูดก็ไม่อยากจะพูด

เมื่อมีคนเปิดประตูเข้ามา เขาก็ไม่ได้หันไปมอง

เจี่ยนโม่ป๋ายนั่งพิงหัวเตียง มองออกไปนอกหน้าต่าง

จนกระทั่งข้างเตียงของเขา มีเงาของร่างหนึ่งเข้ามาทาบทับ

ถึงแม้จะอ่อนแอ ไม่อยากขยับร่างกายมากให้เปลืองแรง แต่กระนั้นบนใบหน้าซูบผอม ก็ยังคงหลุดทำหน้ารำคาญออกมา

ใช่ รำคาญ รำคาญที่ต้องเห็นใบหน้าเป็นห่วงเป็นใยของคนอื่น……ถ้าหากเป็นไปได้ เขาเองก็อยากเป็นบ้าง——อยากเป็นคนที่แข็งแรง อยากเป็นคนที่มองคนอื่นด้วยความเห็นอกเห็นใจบ้าง

"ออกไป" ลมหายใจของเจี่ยนโม่ป๋ายผะแผ่ว น้ำเสียงแฝงไปด้วยความหงุดหงิด "ฉันป่วยแล้วยังไง"

"ร่างกายป่วยนาน จนใจก็ป่วยตามไปด้วยเหรอ?"

เสียงแข็งกร้าวของผู้หญิง เอ่ยพูดขึ้นมานิ่งๆ

เจี่ยนโม่ป๋ายราวกับถูกกระตุ้น ร่างกายแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด

เขาหันหน้าไปช้าๆ แต่หันไปแค่ครึ่งหนึ่ง เพียงสี่สิบห้าองศา แววตาของเขาพลันเปลี่ยนไป

เขาเงยหน้าขึ้นมองร่างที่ยืนอยู่ข้างเตียงเป็นเวลานาน จากนั้นก็ยิ้มเยาะออกมา "มาดูว่าฉันตายหรือยังเหรอ?"

หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างเตียงไม่พูดอะไร ลากเก้าอี้ข้างๆเข้ามานั่งเงียบๆ ดวงตามองเลยไปยังด้านหลังของเจี่ยนโม่ป๋าย เธอลุกขึ้น ไปหยิบหมอนอิงบนโซฟามา จากนั้นก็พยุงหลังเจี่ยนโม่ป๋ายขึ้น แล้ววางหมอนอิงไว้ข้างหลังของเขา

"ทำอะไร? สงสารฉัน? หรือเวทนาฉัน?"

เจี่ยนถงมองคนบนเตียง เธอจดจ้องแก้มซูบตอบเป็นเวลานาน ถึงได้เห็นโครงหน้าที่เคยหล่อเหลาในอดีต ถ้ามองดูจากตอนนี้ เธอก็แทบจะหาเจี่ยนโม่ป๋ายคนในอดีตไม่เจอ

เธอยื่นนิ้วมือออกไปแตะบนกระดุมชุดคนไข้

"จะทำอะไร?" ริมฝีปากซีดเซียวของอีกฝ่าย เอ่ยถามอย่างระแวง

หญิงสาวจับมือที่กำลังจับหลังมือของเธอเอาไว้ออกช้าๆ จากนั้นก็แกะกระดุมเสื้อของเจี่ยนโม่ป๋ายออก จนเสื้อหลุดเผยให้เห็นบ่าไหล่ และรอยแผลจางๆ ที่ถึงแม้จะหายดีแล้ว แต่ก็ยังทิ้งรอยน่ากลัวเอาไว้ให้ดูต่างหน้า

"ยังจำได้ไหม ว่าได้แผลนี้มายังไง?" เสียงแข็งกร้าวของหญิงสาวดังขึ้นช้าๆ

ไหล่ของเจี่ยนโม่ป๋ายสั่นระริก เมื่อเจี่ยนถงใช้นิ้วมือลูบรอยแผลนั้นเบาๆ เขาก็เบี่ยงตัวหลบตามสัญชาตญาณ

"ถ้าแกจะมาพูดถึงเรื่องเก่าๆ ก็หยุดซะเถอะ ฉันใกล้จะตายแล้ว แกอยากรำลึกเรื่องเก่าๆกับคนป่วยใกล้ตายหรือไง?"

เจี่ยนถงทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดทิ่มแทงของเจี่ยนโม่ป๋าย นิ้วมือยังคงลูบรอยแผลเบาๆ มองข้ามเจี่ยนโม่ป๋ายโดยสิ้นเชิง เอ่ยพูดต่อว่า

"ตอนเด็กๆ ฉันเติบโตมากับคุณปู่"

"แกจะมาอวดว่าคุณปู่รักแกมากว่า? เจี่ยนถง คุณปู่เสียไปแล้ว ตอนนี้แกไม่เหลือคนที่รักแกเข้าไส้เหมือนคนปู่แล้ว"

หญิงสาวยังคงมองข้ามคำพูดร้ายกาจของเขา เอ่ยพูดต่อว่า

"ตอนนั้นฉันอิจฉานายมาก ที่พ่อกับแม่รักนาย ตอนนั้นฉันยังเด็ก ยังไม่รู้เรื่องอะไร ฉันคิดแค่ว่าฉันต้องทำอะไรผิดแน่ๆ พ่อแม่ถึงไม่รักฉัน เพราะฉะนั้นฉันจึงพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ฉันคิดว่า ถ้าฉันเก่งกว่านาย พ่อกับแม่จะได้เห็นฉันอยู่ในสายตาบ้าง

ซึ่งความจริงแล้วฉันโง่มาก คุณปู่บอกว่า นายฉลาดกว่าฉัน แต่ฉันก็ไม่ยอมแพ้ ขณะที่นายวิ่งเล่น ฉันก็พยายามเรียนรู้ทุกอย่าง ฉันไม่รู้หรอกว่าอันไหนมีประโยชน์อันไหนไม่มีประโยชน์

ตอนนั้นไม่ว่าเห็นอะไร ก็จะคิดว่าต้องเรียนรู้ให้หมด พอรู้ก็จะเก่ง พอเก่ง พ่อกับแม่ก็จะได้รักฉันเหมือนที่รักนาย

ฉันคิดอย่างนี้ แล้วก็ทำอย่างที่คิด

แต่ว่าต่อมา ในตอนที่ฉันเริ่มโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ ฉันกลับพบว่า พ่อกับแม่ยิ่งไม่ชอบฉันขึ้นเรื่อยๆฉันถึงได้รู้ว่า ที่จริงแล้ว…..พ่อกับแม่ไม่ได้อยากให้ฉันเก่งและโดดเด่นเลย

แต่ฉันไม่ยอมแพ้ นายเป็นลูกของพ่อแม่ ฉันเองก็เหมือนกัน

ดังนั้นฉันจึงเดิมพัน ด้วยการไปเรียนรู้อะไรอีกมากมายจนตัวเองยุ่งหัวหมุนเป็นลูกข่าง

ฉันปลอบใจตัวเองว่า ไม่เป็นไร ถึงพ่อแม่จะไม่รัก แต่ยังมีคุณปู่ที่รักฉัน

ตอนนั้น คุณปู่จึงเป็นคนสำคัญที่สุดของฉัน

ในระยะเวลาที่ยาวนาน สิ่งที่ทำให้ฉันใช้ชีวิตได้อย่างคุ้มค่า ก็คือความมั่นใจจากคุณปู่ มันทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันมีค่าในบ้านหลังนั้น และมีคนที่คอยรักฉัน

ไม่ใช่ว่าไม่มีใครรักฉัน

จำได้ว่ามีครั้งหนึ่ง

ที่คุณปู่บอกว่า จริงๆแล้ว นายฉลาดกว่าฉันในเรื่องของพรสวรรค์ และเมื่อฉันได้เห็นความคาดหวังในแววตาที่คุณปู่มีต่อนาย ฉันถึงได้รู้ว่า คุณปู่ไม่ได้รักฉันไปมากกว่านาย แต่ก็ไม่เป็นไร แค่คุณปู่รักฉันก็พอแล้ว"

เมื่อได้ฟังจบจากสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีหน้านิ่งสงบ

ภายในห้องผู้ป่วย มีแค่เสียงของหญิงสาว เอ่ยพูดเรื่องราวออกมาช้าๆ ราวกับกำลังเล่านิทานให้เขาฟัง

"แบบนั้นฉันก็ยิ่งเกลียดนาย ฉันคิดว่า นายแย่งพ่อแม่ไปจากฉัน ทั้งๆที่นายก็มีพ่อแม่แล้ว แล้วทำไมต้องมาแย่งคุณปู่ไปจากฉันอีก ฉันเหลือแค่คุณปู่คนเดียวเองนะ"

หญิงพูดราวกับไม่ใช่เรื่องราวของตัวเอง เธอพูดอย่างกับตัวเองเป็นคนนอก และกำลังเล่าเรื่องของคนอื่นอยู่

"นายยังจำได้ไหมว่าได้แผลนี้มายังไง?" เธอไล่สายตาขึ้นมามองรอยแผลที่แปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลไปแล้ว พร้อมกับใช้นิ้วมือลูบเบาๆ

เจี่ยนโม่ป๋ายไม่มีแรง ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ เขาขยับริมฝีปากอยู่นาน ถึงได้เอ่ยพูดว่า "ลืมไปแล้ว……."

หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างเตียงหัวเราะออกมาเบาๆ "ตอนขึ้นประถม ฉันต้องปกปิดเรื่องวงศ์ตระกูล พอเข้าไปเรียนฉันก็ถูกพวกรุ่นพี่กลั่นแกล้ง

หลังจากนั้นก็ถูกนายจับได้ นายลากฉันเข้าไปในห้องของนาย แถมยังกระชากเสื้อนักเรียนของฉันออกอย่างแรง จนรอยแผลใต้ร่มผ้าพวกนั้นโผล่ออกมา

เจี่ยนโม่ป๋าย ตอนนั้นฉันเพิ่งได้รู้ว่า ที่จริงนายทำแผลเก่งมาก

พอนายทำแผลให้ฉันเสร็จ นายก็โยนฉันออกจากห้อง

ฉันกลัวว่านายจะบอกคุณปู่ เพราะถ้าคุณปู่รู้คุณปู่ก็จะผิดหวังในตัวฉัน และคิดว่าฉันไม่มีประโยชน์

ฉันหวั่นกลัวอยู่ทั้งวัน แต่สุดท้ายคุณปู่ก็ไม่ได้มีท่าทีตำหนิฉันแต่อย่างใด ฉันถึงได้รู้ว่านายไม่ได้ฟ้องคุณปู่

หลังจากนั้นฉันก็ได้แผลกลับบ้านทุกวัน และนายก็จะลากฉันเข้าไปทำแผลในห้องให้ทุกครั้ง"

หญิงสาวออกแรงกดบนรอยแผลบนไหล่ของเจี่ยนโม่ป๋ายเบาๆ "แผลนี้ของนาย ได้มาเพราะไปสู้กับพวกนักเลง นายรับมีดแทนฉันจนได้แผล หลังจากนั้นฉันเลยรู้สึกว่า พี่ชายของฉันเก่งมาก พี่ชายของฉันสามารถปกป้องฉันได้"

เจี่ยนถงสบตากับเจี่ยนโม่ป๋าย "ยังจำได้ไหม ตอนที่สู้กับคนพวกนั้น นายพูดว่าอะไร?"

แววตาของเจี่ยนโม่ป๋ายไหววูบ

เจี่ยนถงเอ่ยพูดต่อว่า

"นายพูดว่า น้องสาวของฉันมีแค่ฉันคนเดียวที่แกล้งได้ คุณอื่นห้าม"

เมื่อหญิงสาวพูดจบ

เจี่ยนโม่ป๋ายก็ยิ่งเม้มปากสีขาวซีดแน่น

"ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฉันก็ไม่เกลียดนายแล้ว เพราะฉันรู้ว่า ไม่ได้มีแค่คุณปู่ที่รักฉัน แท้จริงแล้ว ยังมีพี่ชายที่คอยปกป้องฉันอยู่อีกคน"

เจี่ยนโม่ป๋ายได้ยินดังนั้น หัวไหล่ก็สั่นระริก ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร ดวงตามืดมน ถึงได้มีหลากหลายอารมณ์นัก เขาก้มหน้าลงจนแทบจะชิดอก

"เมื่อก่อนเรายังดีๆกันอยู่เลย" เจี่ยนถงจ้องมองคนตรงหน้า มีคำพูดหนึ่งติดชะงักอยู่ในลำคอ กรอบตาค่อยๆแดงขึ้นมาทีละนิด จากนั้นเอ่ยถามเสียงขาดห้วงว่า "ทำไมเรากลายมาเป็นอย่างนี้?"

เจี่ยนโม่ป๋ายกำผ้าปูแน่น หัวใจเต้นโครมครามอย่างรุนแรง

แปลกจัง……ทั้งๆที่ไม่ได้กินอะไรเข้าไป แต่ทำไมในปากรู้สึกขมจังเลยล่ะ เขาจ้องมองผ้าห่มที่คลุมกายเอาไว้ด้วยแววตาเหม่อลอย

"พี่ชายที่เคยบอกว่าจะไม่ยอมให้ใครมารังแกฉัน ไปไหนซะแล้วล่ะ?พี่ชายที่ฉันคิดว่าเขาคือฮีโร่ที่คอยปกป้องฉัน ทำไมยิ่งโต ก็ยิ่งเปลี่ยนไปล่ะ?"

เจี่ยนถงเอ่ยถามด้วยดวงตาแดงก่ำ ถึงแม้จะผ่านความผิดหวังมามาก เธอก็ไม่เคยร้องไห้เลยสักครั้ง ถึงแม้เมื่อสักครู่เพิ่งถูกเสิ่นซิวจิ่นปิดบัง เธอก็ยังรักษามาตรฐานเอาไว้ได้

เจี่ยนถงเองก็รู้สึกแปลกๆ ทั้งๆที่เธอไม่ได้สนใจไยดี ทั้งๆที่เธอเก่งเรื่องควบคุมอารมณ์ ทั้งๆที่เธอด้านชาและไร้ความรู้สึกไปแล้ว แต่ทำไมเธอต้องตาแดงด้วยล่ะ

"คุณปู่มีอะไรก็ให้แกหมด" นานพอสมควร เจี่ยนโม่ป๋ายถึงได้เอ่ยพูดด้วยลมหายใจผะแผ่ว

เจี่ยนถงจ้องตาของเขา จ้องมองอยู่นาน…….เพราะเรื่องเงินเหรอ?

เพราะอำนาจ?

หรือเพราะความหรูหราร่ำรวย?

"อันที่จริงแล้วฉันเองก็อิจฉาแก" เจี่ยนโม่ป๋ายถูกดวงตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่เขาไม่อาจต้านทานได้จดจ้องเอาไว้ จนหนังตาเหน็บชาเป็นระยะๆ จากนั้นเขาก็พูดความในใจที่มีมาตลอดสิบปีออกมา

"แกบอกว่าพ่อกับแม่รักฉันมากกว่า แต่ทุกครั้งที่ฉันเห็นคุณปู่อบรมสั่งสอนแก ฉันก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าทั้งๆที่ฉันเป็นทายาทของตระกูล แต่ในสายตาคุณปู่ กลับมีแต่แก ไม่เคยมีฉัน

ฉันห่วงแต่เล่น คุณปู่ก็ไม่ห้าม แต่พอเป็นแก นิดๆหน่อยๆคุณปู่ก็บอกก็สอน

ฉันคิดไม่ตก ว่าทำไมคุณปู่ถึงได้ดีกับแก แต่กลับละเลยฉัน พออายุมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันก็ยิ่งอยากได้ความห่วงใยและคำพร่ำสอนอย่างที่คุณปู่มีให้แก แต่คุณปู่ไม่เคยให้มันกับฉันเลย ทั้งๆที่แกไม่รู้เรื่องอะไรแท้ๆ เพราะแบบนั้นยิ่งโต ฉันเลยยิ่งอิจฉา"

นัยน์ตาของเจี่ยนถงทอแววแปลกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอยอมฟังความในใจที่มีมานานของเจี่ยนโม่ป๋ายอย่างไม่มีอคติใดๆ

จนกระทั่งเจี่ยนโม่ป๋ายพูดจบ ดวงตาของเจี่ยนถงก็ปรากฏแววยิ้มเยาะ

"ผิดแล้ว

คุณปู่ไม่ได้มีอะไรก็ให้ฉันทั้งหมด

ตอนที่คุณปู่ยังอยู่ คุณปู่ย้ำเตือนกับฉันอย่างเคร่งครัดครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าตระกูลเจี่ยน เป็นของเจี่ยนโม่ป๋าย

ในตอนที่คุณปู่มอบกองทุนดวงหัวใจให้ฉัน คุณปู่พูดว่า ฉันจะทำยังไงกับกองทุนดวงหัวใจก็ได้ ถ้าบริหารได้ดี ก็ให้อยู่ที่หาดเซี่ยงไฮ้ไปเลย แต่ถ้าล้มเหลว ก็เก็บไว้เป็นสินเดิมตอนสมรส

ตระกูลเจี่ยนจะไม่มีทางเป็นของฉัน

นี่คือสิ่งที่คุณปู่พูดออกมาเองจากปาก"

เจี่ยนโม่ป๋ายไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน

เขาเงยหน้าพรวดขึ้นมา หันไปมองข้างเตียง จนสบเข้ากับใบหน้าอันแสนคุ้นเคย ที่ขาวซีดไม่ต่างกันกับเขา ราวกับตกอยู่ในภวังค์ เขาเห็นเจี่ยนถงในวัยสิบแปดปีที่ประสบความสำเร็จ และเต็มไปด้วยความมั่นใจ…..นั่นมันน้องสาวของเขานี่!

"แก……รู้ความตั้งใจของคุณปู่ตั้งนานแล้วเหรอ?" ลูกกระเดือกของเจี่ยนโม่ป๋ายขยับขึ้นลงเล็กน้อย "แล้วทำไมแกยังแคร์คุณปู่ ทั้งๆที่คุณปู่เสียไปแล้ว แต่แกก็ยังกลับมาที่นี่อีกครั้งเพราะคุณปู่?"

เจี่ยนถงกระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ดวงตาทอแววอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พร้อมกับจ้องมองมาที่เจี่ยนโม่ป๋าย

"เพราะฉันมีแค่คุณปู่ไง ฉันรู้ ว่าความรักของคุณปู่ ต้องมีสิ่งตอบแทน แต่ว่า ฉันก็ยังมีความสุขกับมัน แต่พอคุณปู่จากไป ฉันถึงได้รู้ว่าความจริงเป็นยังไง แต่ก็ยังหลอกตัวเองอยู่"

ดวงตาของเธอทอประกายที่เจี่ยนโม่ป๋ายไม่เข้าใจ มันดูซับซ้อนมาก "นับตั้งแต่นั้นฉันก็ไม่เคยได้รับความรักความห่วงใยใดๆ แต่ฉันก็ยอมที่จะหลอกตัวเอง"

รูม่านตาของเจี่ยนโม่ป๋ายหดเล็กลง หลังจากที่แยกห่างจากกันไปนาน คิดไม่ถึงเลยว่า วินาทีนี้ เขาจะเจ็บปวดให้กับน้องสาวที่เคยเป็นหนามทิ่มแทงใจอีกครั้งจนแทบจะพูดออกมาเป็นคำไม่ได้

เสี่ยวถงไม่ได้ต่อว่าพี่ชายอย่างเขาที่เคยบอกว่าจะปกป้องเธอ แต่กลับหลงลืมคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับน้องสาว หลงเหลือไว้แค่ความอิจฉาที่มีต่อเธอ เพราะความอิจฉา จึงจงใจไม่ไถ่ถามถึงเธอ……เจี่ยนโม่ป๋ายหลับตาลง

รอยแผลบนบ่าไหล่ เริ่มร้อนผ่าว หลายสิบปีต่อมา เขามองว่าแผลนี้ ก็เหมือนกับแผลอื่นๆบนร่างกายที่ได้มาจากการชกต่อย มันก็แค่รอยแผลรอยหนึ่ง

แต่ตอนนี้ มันกลับทวีความเจ็บมากกว่าตอนที่โดนมีดแทงเข้ามาในตอนนั้น

เจี่ยนถงมองลึกเข้าไปในดวงตาของคนบนเตียง ใบหน้าซูบตอบของเจี่ยนโม่ป๋ายกำลังหลับตาขมวดคิ้วแน่นอย่างเจ็บปวด เธอมองเขาอยู่อย่างนั้นสักพัก แล้วค่อยๆหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าช้าๆ เมื่อเปิดโทรศัพท์ ข้อความมากมายที่ยังไม่ได้อ่านก็เด้งเข้ามาเป็นชุด

เธอเพียงแค่กวาดตามองก็รู้แล้วว่าเป็นผู้ชายคนนั้น

เธอเลื่อนหน้าจอเข้าไปในบันทึกรายชื่อผู้ติดต่อ เบอร์นั้น อันที่จริงแล้วเธอท่องได้ขึ้นใจ ไม่จำเป็นต้องกดเข้ามาในบันทึกรายชื่อด้วยซ้ำ

นิ้วโป้งกดโทรออกไปยังหมายเลขนั้น เสียงสัญญาณดังอยู่สองครั้ง ปลายสายก็ตอบกลับมา "คุณเจี่ยน สวัสดี"

"ขอถามได้ไหมคะ เปอร์เซ็นต์ในการหาคนที่มีไขกระดูกเข้ากันได้กับน้องชายของฉันมันมีน้อยมากใช่ไหมคะ?"

อีกฝ่ายเงียบไปสักพัก ถึงได้ตอบกลับมา "พวกเรายังคงพยายามติดตามเรื่องการจับคู่อวัยวะของคุณเจี่ยนโม่ป๋ายอย่างสุดกำลัง คุณเจี่ยน พวกเราเชื่อว่า ถ้าเราไม่ยอมแพ้ซะอย่าง ต่อให้ถึงวินาทีสุดท้าย เราก็จะมีโอกาส คุณเจี่ยนเป็นห่วงน้องชายขนาดนี้ เชื่อว่าต้องมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอย่างแน่นอน "

เจี่ยนถงหลุบตาลง…..ปาฏิหาริย์งั้นเหรอ? มันต่างกับหมดหวังยังไง?

"ที่ฉันโทรมาวันนี้ เพราะอยากแจ้งให้ทราบอย่างเป็นทางการ ว่าไม่ต้องหาแล้วนะคะ ฉันหาเจอแล้ว"

"หาเจอแล้ว? เป็นไปไม่ได้ เราเป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ถ้าเป็นช่องทางถูกกฎหมาย ไม่มีทางหลุดรอดมือเราไปได้แน่ๆ"

"เรื่องค่าใช้จ่าย ฉันจะส่งคนไปเคลียร์กับพวกคุณนะคะ"

"ไม่ใช่เรื่องค่าใช้จ่าย….คุณเจี่ยน พวกคุณคงไม่ได้หาจากตลาดมืดหรอกใช่ไหม? นั่นมันผิดกฎหมายนะ……."

"สบายใจได้ค่ะ ทางเราไม่ทำเรื่องผิดกฎหมายแน่นอน ไม่ได้หาจากตลาดมืดค่ะ หาจากช่องทางถูกกฎหมาย"

"แล้วทำไม……."

เธอไม่อยากพูดอะไรมากแล้ว หลังจากพูดจบ เสียงพูดของคนในสายก็ถูกตัดทิ้งไปอย่างไร้เยื่อใย

เจี่ยนโม่ป๋ายไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกอย่างไร เขามองคนข้างเตียงอย่างเหม่อๆ……เคยคิดว่าเธอไม่ค่อยมีน้ำใจ และเลือดเย็น ตอนนี้ได้รู้แล้วว่า เธอแอบทำเพื่อเขามากมายขนาดนี้ เพียงแค่เธอไม่เคยพูดมันออกมา

รสชาติขมขื่นยิ่งกระจายไปทั่วโพรงปากของเจี่ยนโม่ป๋าย…..ใช่ น้องสาวของเขา——เจี่ยนถง ไม่เคยพูดอวดคุณงามความดีของตัวเอง เพียงแค่ทำแต่ไม่พูด

เขานึกไปถึงคำด่าที่แม่พูดกรอกหูเขาทุกวัน ด่าว่าน้องสาวของเขาจิตใจป่วย ด่าว่าเธอใจจืดใจดำ ด่าว่าเธอต้องไม่ได้ตายดี

"เสี่ยวถง ฉัน……." เขาอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับพูดออกมาไม่ได้

"พี่ชาย นายต้องมีชีวิตรอด" เธอยิ้ม แล้วลุกขึ้น

หญิงสาวที่นอนอยู่บนโซฟา เริ่มนอนหลับไม่สนิท มีเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผากเป็นระยะๆ

ในความฝัน

เดี๋ยวก็เป็นภาพที่เธอยังอยู่อาศัยที่บ้านใหญ่ตระกูลเจี่ยนกับคุณปู่ เดี๋ยวก็เป็นภาพที่เธอเอาแต่วิ่งตามเสิ่นซิวจิ่น เดี๋ยวก็เป็นภาพช่วงวัยสิบแปดที่เป็นจุดพีคที่ทำให้เธอเปล่งประกายชั่วขณะ

แล้วภาพก็ตัด เป็นตอนที่เธอมีสภาพอันน่าเวทนาตอนอยู่ในคุก

สักพักก็เปลี่ยนเป็นภาพตอนที่ไอ้เด็กโง่อย่างอาลู่กำลังจะตาย จากนั้นภาพก็สับเปลี่ยน มาเป็นตอนที่เธอออกจากคุก ผ่านมาทุกๆช่วงความลำบากของชีวิต แต่กระนั้นก็ยังหนีคนคนนั้นไม่พ้น

เธอยังฝันถึงแม่ของเธอ แต่มันกลับเลือนรางเป็นอย่างมาก

"ถงถง อาซิวจะอยู่กับถงถงตลอดไป อยากให้ถงถงมีความสุขตลอดชีวิตเลย"

เสียงไร้เดียงสาดังสะท้อนเข้ามา

เธอลืมตาพรวด จ้องมองเพดานสีขาว นานพอสมควร ถึงได้ดึงสติกลับมา จากนั้นถึงได้เข้าใจว่า เมื่อสักครู่ เธอก็แค่ฝันไป

เธอลุกขึ้นมานั่ง ประตูเลื่อนตรงระเบียงไม่ได้ปิดเอาไว้ จึงมีลมพัดเข้ามาผ่านรอยแยก ความหนาวเหน็บเกาะกินผิวหนัง เธอสะดุ้งพรวด จากนั้นถึงได้สังเกตว่า ว่าเหงื่อไหลท่วมตัวเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

เธอยกมือขึ้นมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เธอยังคงสงบและนั่งนิ่งๆอยู่บนโซฟา เหมือนเป็นรูปปั้น ไม่ขยับไปไหน

ฝันในครั้งนี้ เหมือนจริงราวกับไม่ใช่ฝัน ราวกับพาเธอกลับไปในช่วงเวลานั้นอีกครั้ง

จากรุ่งเป็นดับ

จากมั่นใจเป็นไม่กล้าเผชิญหน้ากับผู้คน

ต้องขอบคุณฝันในครั้งนี้ ที่ทำให้เธอคิดอะไรขึ้นมาได้หลายอย่าง

ตอนเด็ก ช่วงเวลาที่คุณปู่ยังอยู่ เธอยังไม่เข้าใจอะไรมากมายขนาดนั้น รู้เพียงแค่ว่า คุณปู่เข้มงวดกับเธอมาก แต่ก็ดีกับเธอมากเหมือนกัน มากกว่าพ่อของเธอเสียอีก

พริบตาเดียว ก็เข้าสู่วัยเรียน เธอเข้าโรงเรียนที่เดียวกับพี่ชายของเธอ

คุณปู่ไม่เคยให้คนไปส่งเธอที่โรงเรียนอย่างเอิกเกริก ส่วนพี่ชายของเธอได้รับความรักจากพ่อแม่มากกว่า ด้วยเหตุนี้ ในแต่ละวันของเธอกับพี่ชายจึงไม่เหมือนกัน

พี่ชายของเธอมีคนขับรถที่บ้านไปส่ง ส่วนเธอไม่ได้นั่งไปกับพี่ชาย

เพิ่งเข้าเรียนแรกๆ เธอไม่ได้โดดเด่นเท่าไหร่ ไปโรงเรียนได้ไม่กี่วัน เธอก็ถูกตามกลั่นแกล้ง ทั้งถูกขวางในห้องเรียน ถูกขวางในห้องน้ำ ถูกกลั่นแกล้งสารพัดอย่าง

คุณปู่ตั้งเงื่อนไขกับเธอไว้ว่า ห้ามใช้อำนาจของตระกูลไปข่มขู่คนอื่น ต้องเอาคืนคนที่มารังแกด้วยตัวเอง

แต่เธอในตอนนั้น มีพละกำลังเพียงน้อยนิด พวกรุ่นพี่ผู้หญิงชอบรวมตัวกันเป็นกลุ่ม เวลารังแกใคร ก็จะมาพร้อมกันหลายๆคน

ตอนนั้นทุกครั้งที่กลับบ้าน บนตัวของเธอก็จะเต็มไปด้วยรอยช้ำ พวกรุ่นพี่ผู้หญิงพวกนั้น ถึงแม้จะชอบรังแกคนอื่น แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีสมอง พวกเธอจะเลือกลงมือบริเวณใต้ร่มผ้าโดยเฉพาะ

และด้วยเหตุนี้ ทั้งคุณปู่และคนใช้ในบ้าน จึงไม่มีใครสังเกตเห็น

จนกระทั่งวันหนึ่ง หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จ ตอนที่เธอกำลังเตรียมตัวขึ้นไปทำการบ้านข้างบน พี่ชายของเธอก็มายืนดักรอที่บันได พร้อมกับลากเธอไปที่ห้องนอนของเขา พี่ชายของเธอดึงชุดนักเรียนของเธอออกจนหลุดบ่าไหล่ เธอยังจำได้ว่าในตอนนั้นเธอโกรธจนสั่นไปหมด ตะโกนต่อว่าพี่ชายของเธอจนแทบไม่เป็นคำ

เธอจำได้ว่าตอนนั้นพี่ชายของเธอแอบหยิบกล่องยาออกมาจากใต้เตียง จากนั้นก็ทายาให้เธออย่างเงียบๆ ตอนนั้นเธอยังหงุดหงิด เพราะความโกรธ เพราะความไม่อยากให้คนอื่นมาเห็นสภาพที่น่าสงสารของตัวเอง ดังนั้นเธอจึงพูดจาถากถางพี่ชายว่าไม่ต้องมายุ่ง และห้ามไปฟ้องคุณปู่

ตอนนั้นเธอพูดอะไรบ้างน่ะเหรอ?

ก็ประมาณว่า "เจี่ยนโม่ป๋าย นายอย่าคิดว่าจะจับจุดอ่อนฉันได้เลย ฉันเก่งพอที่จะจัดการคนที่มาแกล้งฉันด้วยตัวเองได้ นายห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณปู่เด็ดขาด"

ในตอนนั้นพี่ชายของเธอเอ่ยพูดอย่างไม่ชอบใจว่า "ชิ~กะอิแค่ทะเลาะกันแล้วแพ้ มีอะไรพิเศษตรงไหน? ฉันเองก็เคยทะเลาะกับคนอื่นเหมือนกันนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นจะมีกล่องยาอยู่ใต้เตียงไปทำไมล่ะ?" พูดจบก็กระชากคอเสื้อของเธอ โยนออกไปนอกห้อง แล้วปิดประตูลงเสียงดังปัง

จริงๆแล้วตอนนั้นในฐานะที่เป็นเด็กผู้หญิงในบ้านที่ขาดความรักจากพ่อแม่ ในใจเธอจึงอิจฉาพี่ชายเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นบานประตูตรงหน้าปิดแน่นสนิท เธอก็ใช้เท้าเตะแล้วตะโกนอย่างก้าวร้าวว่า "เจี่ยนโม่ป๋าย ฉันชนะแน่ ก็แค่สู้กันไม่ใช่หรือไง? ฉันจะชนะผู้หญิงพวกนั้นให้ดู!"

หลังจากนั้นเธอก็เริ่มตอบโต้พวกรุ่นพี่ผู้หญิงพวกนั้น และก็มักจะได้แผลทั้งตัว แต่ละอาทิตย์พี่ชายของเธอก็จะลากเธอเข้าห้อง ทายาเสร็จก็โยนเธอทิ้งออกนอกห้องเหมือนเดิม

ในตอนที่เธอเอาชนะพวกรุ่นพี่ผู้หญิงเหล่านั้นได้ รุ่นพี่ก็เรียกนักเลงนอกโรงเรียนเข้ามาช่วย นักเลงพวกนั้นจริงๆแล้วก็เทียบเท่านักเรียนม.ต้น ม.ปลาย ตอนนั้นพวกเทรนด์ทำตัวแหกคอกกำลังเป็นที่นิยม

เธอถูกดักรอที่หลังตึกเรียน คิดว่าคราวนี้ตัวเองไม่น่าจะรอดแน่ๆ แต่จู่ๆพี่ชายของเขากลับโผล่มา เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นพี่ชายของตัวเองสู้กับคนอื่นอย่างรุนแรง ผลลัพธ์คือ พี่ชายของเธอได้แผลเต็มตัว ใบหน้าปูดบวมเหมือนหมู แต่ยังมีหน้ามาคุยโวกับเธอว่า "เห็นหรือยัง นี่ต่างหากคือการสู้กันจริงๆ อย่างแกน่ะเรียกว่าหมัดอนุบาล"

หญิงสาวบนโซฟาเลื่อนลอย อดีตที่เคยสูญหายไปตามกาลเวลา เรื่องเล็กๆเหล่านั้น เหมือนจะแจ่มชัดขึ้นมาชั่วขณะ

เธอจำได้ ในตอนที่พี่ชายสู้กับนักเลงพวกนั้น ปากก็เอาแต่สบถคำดุร้ายออกมา "น้องสาวฉันฉันแกล้งได้คนเดียว ใครกล้ามาแกล้งน้องฉัน ฉันจะเล่นมันให้ตาย!"

และเธอก็จำแววตาของพี่ชายตอนที่พูดคำเหล่านี้ออกมาได้มันโหดร้ายเหมือนหมาป่า ราวกับว่าสามารถกัดทุกคนที่อยู่ในสายตาให้ตายในขณะนั้นได้ หญิงสาวนั่งตัวตรงนิ่งๆอยู่บนโซฟาสามชั่วโมงเต็มๆ

แววตาของเธอว่างเปล่า มองไม่เห็นความจริง เหมือนกำลังมองทะลุผ่านความว่างเปล่า ไปยังที่ไกลแสนไกล ราวกับเธอกำลังรำลึกถึงอะไรบางอย่าง มุมปากเดี๋ยวก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เดี๋ยวก็เม้มแน่น เหมือนเธอตกอยู่ในโลกของตัวเอง ความทรงจำไม่ได้สวยงามทั้งหมด แต่ก็ยังมีความทรงจำดีๆอยู่บ้าง

ในห้องรับแขกที่เงียบงัน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาอย่างถี่ๆ เธอสะดุ้ง ได้สติกลับมา แววตากลับเปลี่ยนเป็นเย็นชาและลุ่มลึก

เมื่อมองหน้าจอ ก็พบว่าเป็นเสิ่นซิวจิ่น

เธอไม่ได้กดตัดสาย แต่ก็ไม่ได้กดรับสาย

เธอลุกขึ้นจากโซฟาเงียบๆ แล้วหยิบกระเป๋าเดินไปทางห้อง

แต่จู่ๆก็หยุดฝีเท้าลง บริเวณหน้าห้องมีรองเท้าสลีปเปอร์วางอยู่คู่กัน

เธอยืนตรงอยู่อย่างนั้น หลุบตามองรองเท้าคู่รักอยู่สักพัก

เธอนิ่งเงียบราวกับเป็นท่อนไม้

เวลาเหมือนผ่านไปอย่างช้าๆ ในที่สุดหญิงสาวก็ขยับตัว เธอค่อยๆทรุดตัวลง ยื่นมือออกไปหยิบรองเท้าสองคู่นั้น เดินกลับมาที่ห้องรับแขก แล้วโยนทิ้งลงถังขยะ

เธอหันหลังเดินมาที่เคาน์เตอร์ หยิบแก้วน้ำที่เป็นของคู่กันทิ้งลงถังขยะ

แปรงสีฟัน ผ้าขนหนู ในห้องน้ำ รวมไปถึงของทุกอย่างที่เป็นของคู่กัน ต่างก็โยนทิ้งลงถังขยะทั้งหมด

เมื่อเห็นขยะที่แทบจะล้นออกมา หญิงสาวก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าถังขยะ ริมฝีปากสีอ่อน แสยะเป็นรอยยิ้มเยาะ…….มิน่าล่ะ ทำไมเขาถึงแกล้งโง่

ดูสิ นี่ไม่ใช่การค่อยๆยึดครองชีวิตเธอทีละนิดเหรอ?

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ของใช้ในบ้านเป็นของคู่กันเยอะขึ้นเรื่อยๆ เธอไม่ได้สังเกตเลย

ถ้าวันนี้ไม่ได้จัดแยกออกมา บางที เธออาจจะไม่รู้ไปตลอดชีวิตเลยก็ได้

เธอหลังกลับ เดินจากไป ไม่หลงเหลือความอาวรณ์ใดๆ

ใครก็คิดไม่ถึง ว่าหญิงสาวจะนิ่งได้ถึงขนาดนี้

ซีเฉินถอนหายใจ ส่วนดวงตาของลู่หมิงชูแทบจะพ่นไอเยือกเย็นออกมา เขาเม้มริมฝีปากแน่น จดจ้องมายังคู่ชายหญิงตรงหน้า

ใครอีกคนหนึ่งท่ามกลางทุกคนก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะไม่ได้แสดงท่าทีร้อนใจจนลูกกระเดือกสั่นไหวเหมือนลู่หมิงชู แต่กระนั้นก็ยังเห็นได้ชัดว่าเขากำลังจดจ่อทุกการกระทำของชายหญิงตรงหน้า

นัยน์ตาดำขลับของเสิ่นซิวจิ่น จ้องมองมาที่ผู้หญิงตรงหน้าแน่นิ่ง

"เสี่ยวถง" แม้แต่ตัวเองยังไม่รู้ตัว ว่าเขาในตอนนี้กำลังประหม่าอย่างที่ชีวิตนี้ไม่เคยเป็นมาก่อน "ผมไม่ได้ตั้งใจจะโกหกคุณ ผมก็แค่อยากอยู่ข้างๆคุณ แต่ว่าคุณในตอนนั้น สร้างเกราะกำบังกับผมไว้หนามาก ถึงแม้คำพูดของผมไม่ได้มีความหมายอื่น แต่คุณก็คงระแวงอยู่ดี เสี่ยวถง ผมก็แค่อยากให้คุณอยู่กับผม ถึงได้คิดแผนนี้ขึ้นมา ผม….จำเป็นต้องทำอย่างนี้"

หญิงสาวนิ่งฟังคำพูดของชายหนุ่มตรงหน้า แต่ยิ่งเขาพูดออกมาเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกผิดหวัง

คนคนนี้มัน!

เธอสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วแอบบีบมือแน่นอยู่เงียบๆ

เหมือนกำลังบีบให้ตัวเองยังคงมีศักดิ์ศรีและ…..และความคาดหวัง

ผิดแล้ว เธอคิดผิด

"แปลว่า ทุกอย่างนี้ คือแผนของคุณ ใช่ไหม?" หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาอย่างสงบนิ่ง เอ่ยถามว่า "แปลว่า มันแค่ละครฉากหนึ่งตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะบาดเจ็บที่อิตาลี ความจำเสื่อม สติปัญญาถอยลงไปเป็นเด็ก ที่คุณหมอพูดมามันเป็นเรื่องโกหกทั้งหมดเลยใช่ไหม? พวกคุณแสดงละครทั้งหมด มีแค่ฉันคนเดียวที่เป็นผู้ชมใช่ไหม?"

ทุกๆคำถามของเธอ เอ่ยออกมาอย่างเรียบนิ่ง ตั้งแต่ต้นจนจบ เธอพูดออกมาอย่างแน่นิ่งและเชื่องช้า ราวกับไม่ได้โกรธไม่ได้หงุดหงิดเลยสักนิด แต่ว่าคำว่า "ใช่ไหม" ของเธอ พอฟังดูดีๆแล้ว กลับหลุดความสั่นไหวในน้ำเสียงออกมา

เธอก็แค่ แสดงอารมณ์โกรธออกมาไม่ค่อยเก่ง เธอไม่ได้หัวแข็งดื้อรั้นเหมือนตอนที่ยังเป็นวัยรุ่นที่ไม่เคยยอมแพ้ไม่เคยอ่อนข้อ ต้องแสดงความอคติ ความคิด ความรู้สึกของตัวเองออกมาทั้งหมด เหมือนอยากให้คนทั้งโลกได้รู้

ไม่สิ……เธอผ่านช่วงวัยนั้นมาแล้ว

เธอไม่ได้อารมณ์เดือดง่ายจนควบคุมตัวเองไม่ได้เหมือนตอนนั้นอีกแล้ว

"เสี่ยวถง ผมก็แค่อยากให้คุณอยู่กับผมเหมือนตอนนั้น แค่นี้ก็พอแล้ว" ชายหนุ่มมองมาที่ผู้หญิงตรงหน้าอย่างจริงจัง

"ผมไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคุณ คุณให้อภัยผมได้ไหม?"

ริมฝีปากของหญิงสาวเผยอขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ "ฉันสับสน ขอฉันคิดอะไรเงียบๆคนเดียว แล้วค่อยให้คำตอบคุณได้ไหม "

แม้แต่วิธีจัดการของเธอ ก็ยังคงสงบนิ่งเหมือนอย่างที่เป็น

เสิ่นซิวจิ่นมองลึกเข้าไปในดวงตาของผู้หญิงตรงหน้า นัยน์ตาดำขลับที่เต็มไปด้วยความประหม่า ทอประกายลุ่มลึกและหม่นแสง เขาหลุบตาลง ก้าวถอยหลังในระยะห่างที่เหมาะสม "ผมจะรอ"

มุมปากของเจี่ยนถงยกโค้งขึ้น "อืม" ช้อนดวงตาทั้งสองข้างมองตรงมาที่ชายหนุ่มตรงหน้าพร้อมกับเผยยิ้มออกมาบางเบา

เธอหันหลัง แล้วเดินจากไป

ทุกคนในเหตุการณ์ ต่างเตรียมใจรอมรสุมพายุ

ไม่ทันที่พายุจะได้มาเยือน ทุกอย่างก็ผ่านไปกับสายลมทั้งอย่างนี้

ในดวงตาของลู่หมิงชูเปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจ เอ่ยพูดอย่างกรุ่นโกรธว่า "เจี่ยนถง คุณจะไปทั้งอย่างนี้เลยเหรอ?"

หญิงสาวสวนกลับ "มันคงเสียแผนที่คิดมาซะดิบดีของคุณชายลู่มากเลยสินะ ที่คุณชายลู่ไม่ยอมบอกฉัน แล้ววางแผนมาซะขนาดนี้ ก็เพราะอยากเห็นฉันเป็นตัวตลกใช่ไหมล่ะ?"

ล่หมิงชูปิดปากเงียบในทันที ใช่! เขาอยากเห็นว่าถ้าวินาทีที่ความจริงถูกเปิดเผย ผู้หญิงคนนี้จะยังคงรักเสิ่นซิวจิ่นอยู่ไหม เขาอยากเห็นว่าเธอจะรู้สึกเสียใจที่ปฏิเสธเขาบ้างไหม!

ใบหน้าหล่อเหลา ปกคลุมไปด้วยความดุร้าย

มองตามแผ่นหลังที่กำลังเดินจากไป…..แต่ แผนทุกอย่างที่อยู่เบื้องหลัง เขาอุตส่าห์ยอมร่วมมือกับคนที่เกลียดอย่างเซียวเหิง เพื่อที่จะบีบให้เสิ่นซิวจิ่นแกล้งเป็นคนสติปัญญาโง่ๆต่อไป บีบให้เขาต้องลุกออกมาประคองสถานการณ์ เพื่อวินาทีที่เธอได้เห็นความจริง เพื่อวินาทีที่จะได้เห็นเธอเสียใจที่ปฏิเสธเขา แต่ว่า…..เธอกลับปล่อยเขาไปทั้งอย่างนี้น่ะเหรอ?

พายุคลุ้มคลั่งที่คาดการณ์เอาไว้ไม่เพียงไม่ปรากฏออกมา แม้แต่ความผิดหวังและความกรุ่นโกรธที่ถูกโกหกยังไม่มีแม้แต่น้อย!

เธอนิ่งราวกับคลื่นที่สงบ ไร้แรงสาดกระทบ……..แค่นี้เหรอ

คนอย่างลู่หมิงชู ถูกปล่อยทิ้งง่ายๆแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

ในกลุ่มคนยังมีใครอีกคนหนึ่งที่ทนไม่ไหวอีกต่อไป ลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า "เจี่ยนถง!เขาโกหกคุณ!ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีประโยคไหนที่เขาพูดความจริงกับคุณเลย! แล้วคุณจะให้อภัยคนแบบนี้ได้จริงๆเหรอ!"

หญิงสาวที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้า จำเป็นต้องหยุดฝีเท้าลง ข้างหูมีเสียงที่คุ้นเคยดังสะท้อนเข้ามา เสียงนี้ในอดีตเคยเป็นเหมือนแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในช่วงชีวิตที่มืดมนของเธอ เธอเคยคิดว่าเสียงนี้มาจากสวรรค์

เธอหยุดฝีเท้า ค่อยๆหันหลัง มองตรงไปยังคนคนนั้นท่ามกลางคนอื่นๆ…..ในที่สุด ก็พูดออกมา เธอก็นึกว่า วันนี้ไม่ว่ายังไง คนคนนี้ก็คงไม่ลุกขึ้นมาพูดอะไรแล้ว

ถ้าเป็นแบบนั้น เธอจะได้ลบความคิดคาดเดานั้นทิ้งไป

น่าเสียดาย เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง

หญิงสาวใช้สายตาเรียบนิ่งมองไปยังคนคนนั้น "เมื่อเช้า ก่อนที่ฉันจะไปเจี่ยนซื่อกรุ๊ป ฉันไม่ได้คิดเลยว่า จะได้มาเจอเสิ่นซิวจิ่นที่บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป"

"แล้วทำไมคุณถึง……." คนคนนั้นถามอย่างร้อนใจ แต่ยังไม่ทันได้พูดจบ

หญิงสาวก็หัวเราะชายหนุ่มที่เดินออกมาท่ามกลางผู้คน

"ขณะเดียวกัน ฉันก็คิดไม่ถึงเลยว่า จะได้มาเจอคุณเซียวที่นี่ด้วย"

พูดจบ เธอก็เดินจากไปโดยไม่แม้จะหันหลังกลับมามอง

เซียวเหิงยืนนิ่งค้างมองแผ่นหลังของเธอ

เธอไม่ได้ต่อว่าเขาตรงๆ แต่กลับเสยหมัดฮุกใส่เขา…..ด้วยการถามว่าทำไมมาอยู่ที่บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ทำไมคนอย่างเซียวเหิงถึงได้บังเอิญมาอยู่ที่นี่

แผนทุกอย่างของลู่หมิงชู เซียวเหิงมีส่วนร่วมด้วยสินะ?

เซียวเหิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น…..ผู้หญิงคนนั้น เหมือนหัวใจมีกระจกกั้นมาตลอด

อย่างจุดยืนของเขากับเธอในตอนนี้ เธอยังต้องชมเลยว่า:สวนกลับได้สวยดีนี่! แต่ว่าคำพูดแค่นี้ กลับทิ่มแทงความอดทนของเขามากที่สุด ทำให้ความน่าเกลียดในใจของเขาเปิดกางออกมาต่อหน้าทุกคน

เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกจนเกิดเสียงดังติ๊ง ทุกๆสายตาก็ทอดมองหญิงสาวเดินเข้าไปข้างใน จากนั้นประตูลิฟต์ก็ปิดลงเงียบๆ

บริเวณหน้าประตูห้องประชุม กลับอัดแน่นไปด้วยความกดดัน

"พอใจแล้วหรือยัง?" สีหน้าของเสิ่นซิวจิ่นเย็นยะเยือก นัยน์ตาคมดุจอินทรี พุ่งตรงไปทางท่านแก่เสิ่น "คุณปู่ พอใจแล้วหรือยังครับ?"

ทำเรื่องพวกนี้ ก็เพื่อละครฉากนี้ไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ บรรลุจุดประสงค์แล้ว พอใจแล้วหรือยัง?

ซีเฉินยืนอยู่ข้างหลังเสิ่นซิวจิ่น สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความกรุ่นโกรธเช่นเดียวกัน

ลู่หมิงชูใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะแรงอิจฉา "ไม่มีใครบังคับให้นายแกล้งเล่นเป็นเด็กปัญญาอ่อน ไม่มีใครบังคับให้นายโกหกเจี่ยนถง วินาทีที่นายเริ่มโกหกเธอ นายควรคิดได้ว่าผลมันต้องออกมาเป็นอย่างนี้ ที่มันกลายมาเป็นแบบนี้ ไม่ใช่เพราะคุณปู่ แต่เป็นเพราะนาย เสิ่นซิวจิ่น นายยังจะมีหน้ามาโทษคนแก่อีกเหรอ?"

ขวับ! ——

เสิ่นซิวจิ่นหันพรึบ เชิดคางขึ้นพร้อมกับหรี่ตาลงอย่างอันตราย "เรื่องของตระกูลเสิ่น คนนอกอย่างนายมีสิทธิ์ออกเสียงด้วยเหรอ?"

"ฉันเป็นคนนอก? เหอะๆ นายถามคุณปู่ดูสิ ว่ายอมรับฉันเป็นคนตระกูลเสิ่นหรือเปล่า เสิ่นซิวจิ่นนายต่างหากล่ะ ใจร้ายกับปู่แท้ๆของตัวเองได้ลงคอ ทั้งโลกเขารู้กันหมดแล้วว่านายมันอกกตัญญู!"

"อยากเข้าตระกูลเสิ่นจนตัวสั่นขนาดนั้นเลยเหรอ ลู่หมิงชู เรื่องที่นายโลภมากอยากได้บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป คนเขารู้กันหมดนั่นแหละ เพียงแต่ว่า…….. คนอย่างนายคุณสมบัติไม่ถึงหรอก!"

เสิ่นซิวจิ่นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าท่านแก่เสิ่น "คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ต้องการอะไร แต่ว่าคุณปู่แก่แล้ว แก่จนสมองเลอะเลือน เกษียณได้ก็ควรเกษียณเถอะครับ คุณปู่คิดว่าการฉวยโอกาสกระทำอะไรเล็กๆน้อยๆในตอนที่ผมไม่อยู่ จะสามารถกลับเข้าบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปได้เหรอครับ?"

"แก!"

ท่านแก่เสิ่นชี้หน้าคนตรงหน้าด้วยมือที่สั่นด้วยความโกรธ "แกมันสารเลว!"

ปล่อยให้ท่านแก่เสิ่นด่าทอด้วยความโกรธอยู่สักพัก เสิ่นซิวจิ่นก็แสยะยิ้มเหี้ยม ดวงตาเย็นยะเยือกไปทั้งแถบ เขามองข้ามคนตรงหน้า หันหลังกลับแล้วพูดว่า "ซีเฉิน เรียกรปภ.ขึ้นมา"

ท่านแก่เสิ่นนิ่งอึ้ง จากนั้นก็ตะคอกตามหลังเสิ่นซิวจิ่นอย่างโกรธๆ "ทำไม? แกคิดจะไล่ฉันงั้นเหรอ?!"

"เหอะ~คิดเองสิครับ คุณปู่น่ะนะ ถึงแม้ว่าจะไม่มีอำนาจแล้ว แต่ถึงยังไงก็ยังเป็นปู่ของผม ยังไงพวกเขาก็ต้องเห็นแก่หน้าผมอยู่แล้ว พวกเขาไม่กล้าไล่คุณปู่ออกไปจากบริษัทหรอกครับ"

พูดถึงตรงนี้ แววตาก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นร้ายกาจ "แต่สำหรับผมแล้วไม่ยอมมองข้ามทรายที่มันกระเด็นเข้าตาหรอกนะ คนที่ฉวยโอกาสทำอะไรลับหลังตอนที่ผมไม่อยู่ ผมก็ต้องขจัดออกไปจากบริษัทพร้อมๆกัน"

"แก แกกล้าเหรอ!" สีหน้าของท่านแก่เสิ่นซีดเซียว คนพวกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนของเขา เขาต้องเสียอะไรไปมากเท่าไหร่กว่าจะเสียบเข้ามาในบริษัทได้ ถ้าหากโดนถอนรากถอนโคน หลังจากนี้ ใครยังจะกล้าทำอะไรให้เขาอีก

เมื่อเห็นท่านแก่เสิ่นวางท่าดุร้ายแต่ข้างในกำลังหวั่นกลัว เสิ่นซิวจิ่นก็ทำเพียงแค่ยิ้มเย็นออกมาสอดมือลงในกระเป๋ากางเกงแล้วเดินจากไป

เขาคือเจ้าของตึกแห่งนี้ ใครที่กล้ามาเล่นตุกติกซึ่งๆหน้าเขา ก็จะมีจุดจบแค่อย่างเดียว คนที่คิดทำอะไรเหล่านั้น ก่อนลงมือทำ ก็น่าจะรู้ดี ว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง

บริเวณลานจอดรถใต้ดินของบริษัทเจี่ยนซื่อกรุ๊ป

จู่ๆท่านแก่เสิ่นก็ยกมือขึ้นมาฟาดลงบนหน้าของลู่หมิงชูจนเกิดเสียงดัง "เพี้ยะ" ใบหน้าเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยความคล้ำเครียด เอ่ยพูดอย่างตำหนิว่า "ใครให้แกพาผู้หญิงคนนั้นมาที่บริษัท!" ท่านแก่เสิ่นถลึงตาใส่ลู่หมิงชูด้วยความโมโห กล้าถึงขนาดแอบพาผู้หญิงคนนั้นมาที่บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปเลยเหรอ!

ด้านลู่หมิงชูถูกตบจนหน้าหันปอยผมสะบัด ในดวงตาก่อเกิดเงาทะมึน ไฟในลานจอดรถไม่ได้สว่างมากนัก ไฟรางๆปกคลุมทั้งตัวและใบหน้าของเขา ปกปิดสีหน้าเอาไว้ท่ามกลางความมืด

ในลานจอดรถที่เงียบสนิท ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นมา ลู่หมิงชูใช้นิ้วโป้งเช็ดเลือดที่มุมปาก หันหน้ามามองท่านแก่เสิ่นอย่างเรียบนิ่ง ด้านท่านแก่เสิ่นเมื่อถูกเขามองด้วยแววตาแปลกๆอย่างนี้ ก็รู้สึกอึดอัดไปทั้งร่างกาย

มุมปากของลู่หมิงชูยกขึ้นเป็นรอยยิ้มแปลกประหลาด "คนที่อยากได้บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปคือคุณต่างหากล่ะ ตาแก่"

ดวงตาพร่าเลือนของท่านแก่เสิ่นพลันหดเล็กลง "แล้วแกไม่ได้อยากได้หรือไง?" เขาไม่เชื่อหรอก บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ใครจะไม่อยากได้บ้าง?

"ใช่~ผมยอมรับ ว่าผมอยากได้บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป" ลู่หมิงชูกางมือออก "ก็ผมเข้าตระกูลแล้วไม่ใช่หรือไง?"

"ในเมื่อแกอยากได้บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ก็เชื่อฟังฉันซะบ้าง ไม่ใช่คิดอยากจะทำอะไรก็ทำ!ฉันอุตส่าห์ว่าจะให้แกค่อยๆเข้าไปในบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ค่อยๆกลืนกินอำนาจของเสิ่นซิวจิ่น พออย่างนี้ จนกว่าเขาจะรู้ตัว ต่อให้จะทำอะไร ก็ทำไม่ได้แล้ว แต่แกทำอะไร? แอบติดต่อตระกูลเซียวและร่วมมือกับเซียวเหิง กลัวคนอื่นไม่รู้เหรอ ไปแหวกหญ้าให้งูตื่นทำไม? แล้ววันนี้ยังพาผู้หญิงคนนั้นมาที่นี่ เพื่อกระตุ้นเขาอีก แกคิดจะทำอะไรกันแน่! ยังอยากได้ไหมบริษัทนี้น่ะ!"

ลู่หมิงชูใช้นิ้วชี้ถูแผลบนมุมปากเบาๆ จู่ๆก็กระตุกยิ้ม สายตาเอื่อยๆ พลันแปรเปลี่ยนเป็นแหลมคม "ใช้บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปมาล่อ?"

ลู่หมิงชูเอ่ยคำพูดเสียดสี "หย่อนแครอทไว้ตรงหน้าลา ยังไงมันก็ต้องเดินตามอย่างเชื่อฟังอยู่แล้ว แต่คุณเองก็ควรดูให้ดีหน่อยนะ ว่าลู่หมิงชูคนนี้ เป็นลาที่ยอมเชื่อฟังและยอมให้คนชักจูงหรือเปล่า เอาแครอทแค่หัวเดียวมาล่อ ก็คิดว่าจะชักจูงผมได้แล้วเหรอ?"

ขายาวก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างสบายๆ จากนั้นก็หันมาเผชิญหน้ากับท่านแก่เสิ่น เมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากัน ด้วยความที่ท่านแก่เสิ่นอายุมากแล้ว หลังจึงค้อมลงเป็นธรรมดา ลู่หมิงชูหลุบตามองใบหน้าแก่ชราที่เงยขึ้นมามองกันเล็กน้อยของท่านแก่เสิ่นอย่างเยาะเย้ย แล้วพูดถากถางว่า

"ไม่แปลกที่เสิ่นซิวจิ่นบอกว่าท่านแก่แล้ว"

"แก! พูดจาอะไรของแก!" ท่านแก่เสิ่นอยู่มาเกือบครึ่งชีวิต ในตอนที่ยังเป็นหนุ่มก็เป็นถึงม้ามืดแห่งแวดวงธุรกิจ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยถูกใครพูดแสกหน้า ไล่ต้อนให้เขาต้องเผชิญกับความจริงที่ว่าตัวเองแก่แล้ว "ฉันไม่สนว่าแกจะคิดยังไง แต่ถ้าแกอยากได้บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป แกก็ต้องผ่านด่านฉันไปให้ได้ก่อน! ฉันแก่แล้วก็จริง แต่แกไม่มีสิทธิ์มาปีนเกลียวใส่ฉันแบบนี้!"

"ใช่ ผมอยากได้บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป แต่คนแก่อย่างคุณอาจจะไม่รู้" ก่อนหน้านี้มุมปากของลู่หมิงชูยังประดับไปด้วยรอยยิ้ม แต่วินาทีถัดมา มุมปากก็เหยียดตรงอย่างผยอง ดวงตาฉายแววเย็นเหยียบน่าหวาดกลัวออกมา

"บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ผมค่อยๆรอ ค่อยๆวางแผนได้ ผมเพิ่งจะถึงวัยตั้งตัว ผมยังหนุ่มยังแน่น สิ่งที่ผมมีก็คือเวลา ผมค่อยๆกำจัดค่อยๆสู้กับเสิ่นซิวจิ่นได้ แต่กับเจี่ยนถง ผมต้องได้มาครอบครองเดี๋ยวนี้!"

ความหมายง่ายๆก็คือ เจี่ยนถงกับบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป เขาต้องการเจี่ยนถงมากกว่า

แน่นอนว่าท่านแก่เสิ่นเองก็เข้าใจที่เขาพูด สีหน้าเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ "แก!แก!" เขาโกรธจนพูดตะกุกตะกัก มองตามหลานชายที่ก่อนหน้านี้ยังทำตัวสุภาพมีมารยาทกับเขา มองตามแผ่นหลังที่เดินจากไปด้วยท่วงท่าสบายๆ ดวงตาพร่าเรือนของท่านแก่เสิ่นลุกโหมไปด้วยเพลิงโทสะ

"พวกแก! พวกแก! แล้วก็พวกแกทั้งหมด! "

ผู้หญิงคนนั้นมีอะไรดี?

ทำไมคนตระกูลเสิ่น ทำไมหลานของเขาทั้งสองคน ถึงได้หลงจนโงหัวไม่ขึ้น!

ผู้หญิงแพศยาคนนั้น คือตัวหายนะ เขาไม่ควรเหลือตัวหายนะไว้ตั้งแต่แรก ถ้ากำจัดทิ้งไปตั้งแต่แรก หลานของเขาก็คงไม่คิดแค้นกับเขาเหมือนอย่างวันนี้หรอก! ไอ้แก่สารเลวนามสกุลเจี่ยนนั่น…… "ไอ้แก่สารเลว หลานสาวที่แกสอนมาเองกับมือ คิดจะวางแผนยึดตระกูลเสิ่นของฉันสินะ! ถึงได้วางแผนทุกอย่างไว้ตั้งนานขนาดนั้น!" เขาไม่เชื่อ ไอ้แก่สารเลวนั่น ตายก็ตายไปแล้ว ยังจะคายตะขาบไว้อีก!

……

หลังจากที่กลับมาจากบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป เจี่ยนถงก็ไม่ได้กลับไปที่เจี่ยนซื่อกรุ๊ปอีก

เธอกลับมาที่บ้าน

บางทีอาจเป็นเพราะหลายวันมานี้ เธอใช้งานร่างกายจนเหนื่อยล้า หรือบางทีอาจเป็นเพราะ "เซอร์ไพรส์" ในวันนี้ เลยทำให้เธอหลับไปทันทีที่ล้มตัวนอนลงบนโซฟา

การนอนหลับในครั้งนี้ เหมือนเตรียมตัวฝันไปยาวๆ

ทุกอย่างในความฝัน ดูเหมือนจริงเท่าไหร่ ก็ยิ่งห่างจากความจริงมากเท่านั้น

เธอฝันเห็นคุณปู่ที่เสียไปแล้ว ฝันว่าคุณปู่มาลูบหัวเธอและบอกว่าเธอฉลาดเกินคน คุณปู่กำลังรำไทเก๊กอยู่ใต้ต้นไม้ที่บ้านใหญ่ ส่วนเธอกำลังอ่านหนังสือธุรกิจของคุณปู่ เธอยังฝันถึงพี่ชายของเธออีกด้วย พี่ชายของเธอกำลังวิ่งเล่นกับไอ้แดง ไอ้แดงเป็นหมาพันธุ์เยอรมันเชเพิร์ดตัวสีดำ แต่พี่ชายของเธอกลับตั้งชื่อให้ว่าไอ้แดง ตอนนั้นพวกเขายังเด็ก ตอนนั้นไอ้แดงยังไม่ตาย

เหมือนกับเธอได้ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาเหล่านั้นจริงๆ ทุกอย่างในความฝัน มันเหมือนจริงมาก

"ปล่อยฉันลง ฉันยังมีงานต้องทำ"

ลู่หมิงชูยังคงขับรถอย่างไม่สนอะไร รถแทบจะไม่ได้หยุดวิ่งเพราะทันไฟเขียวตลอดทาง เหมือนกับว่าสภาพบนท้องถนนในวันนี้จะเป็นใจให้เขามาก

"ไปกับผม แล้วคุณจะได้เห็นความจริง"

ลู่หมิงชูเอ่ยพูด "หรือว่า คุณอยากอยู่กับเรื่องโกหก?"

เจี่ยนถงกัดฟัน

รถขับเข้ามาในตึกของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป

"ลงไปสิ" ลู่หมิงชูเปิดประตูลงรถไปก่อน จากนั้นก็เดินอ้อมมาเปิดประตูรถฝั่งเจี่ยนถง "จะให้ผมอุ้มคุณลงก็ได้นะ"

เมื่อเขาเห็นว่าเจี่ยนถงไม่ยอมลงจากรถ ก็เอ่ยพูดอย่างหยอกล้อ

เจี่ยนถงหันพรึบไปมองลู่หมิงชู สายตานั้น ทำให้ลู่หมิงชูเกิดความคิดชั่ววูบไม่อยากทำมันต่อไป จากนั้นก็รีบหยุดความคิดนั้นเอาไว้ ใบหน้าหล่อเหลากลับมาประดับไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้ง

"เชิญ"

เธอลงจากรถอย่างเย็นชา

"มาถึงขนาดนี้แล้ว คุณอย่าคิดหนีเลย"

ลู่หมิงชูเดินนำหน้าไปก่อน พร้อมเอ่ยแหย่หญิงสาวที่ตามมาข้างหลัง

"คุณลงทุนมาดักรอฉันที่ใต้ตึกถึงขนาดนี้ คงไม่ปล่อยให้ฉันหนีไปไหนง่ายๆหรอกใช่ไหม?" หญิงสาวตอบกลับเสียงเรียบนิ่ง พร้อมกับเดินตามหลังลู่หมิงชูไป

เมื่อทั้งคู่เข้ามาในลิฟต์ ลู่หมิงชูก็มองประเมินหญิงสาวอย่างจริงจัง ครั้งสุดท้ายที่ได้มองเธอจริงๆจังๆแบบนี้ คือเมื่อไหร่กันนะ?

เหมือนจะนานมาแล้ว

ลิฟต์เปิดออกอย่างไร้เสียง ลู่หมิงชูแทบจะลืมไปแล้วว่ามาทำอะไร

"คุณชายลู่จะมองอีกนานไหมคะ?" หญิงสาวเลิกคิ้ว เอ่ยถามเสียงเบา

ลู่หมิงชูสะดุ้ง รู้ตัวอีกทีประตูลิฟต์ก็เปิดค้างตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

หญิงสาวข้างกายเตรียมจะก้าวเดินออกไปจากลิฟต์

ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปจับเอาไว้ "คุณไม่สงสัยหน่อยเหรอ ว่าผมพาคุณมาดูอะไร?"

"ต่อให้คุณชายลู่จะพาฉันมาทำอะไร แล้วฉันยังสามารถเดินหนีไปต่อหน้าคุณชายลู่ได้เหรอคะ?"เธอมองมาด้วยสายตาเยาะเย้ย

แววตาเยาะเย้ยของเธอ ทำให้หัวใจของลู่หมิงชูบีบรัดอย่างไม่รู้สาเหตุ ดวงตาพลันหดเล็กลง "งั้นก็….เชิญ" คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมีความคิดไม่อยากทำมันต่อแล้ว

ไม่ ช่วงเวลาที่เขาเฝ้ารอ กำลังจะมาถึง จะยอมแพ้ในช่วงเวลาสำคัญอย่างนี้ได้ยังไง?

เธอเคยมาที่บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปแล้วหลายต่อหลายครั้ง จนเธอเองก็จำไม่ได้ ว่าเคยมาที่นี่กี่ครั้ง

แต่วันนี้ ทางเดินไปยังห้องประชุมของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปกลับดูเหมือนจะไกลแสนไกล

"ไม่เข้าไปเหรอ?" ลู่หมิงชูยืนอยู่ข้างหลังเจี่ยนถง เธอหยุดยืนอยู่หน้าห้องประชุมเป็นเวลานาน

ราวกับกำลังลังเล

ใช่เธอกำลังลังเลจริงๆ

"หรือจะให้ผมช่วย?" ลู่หมิงชูพูดยิ้มๆ แล้วยื่นมือไปทางประตู

มือแตะลูกบิดได้ไม่ทันไร ประตูก็ถูกคนข้างในเปิดออกมา

วินาทีนั้น เวลาพลันหยุดเดิน

สองคนตรงบานประตู

มองหน้ากันโดยไร้ซึ่งคำพูด

เจี่ยนถงมองใบหน้าของคนตรงหน้า มองนัยน์ตาที่หดเล็กลงบนใบหน้าที่คุ้นเคย หน้าของอีกฝ่ายขาวซีด ท่าทางลุกลี้ลุกลน

หัวใจของลู่หมิงชูเต้นรัวเร็ว…..ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง!

"เสิ่นซิวจิ่นโกหกคุณ!"

นัยน์ตาของลู่หมิงชูแผดเผาไม่หยุด!

"หุบปาก!" คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องประชุม คือเสิ่นซิวจิ่นที่ "สติปัญญาถอยกลับไปเป็นเด็กแปดขวบ" คำพูดของลู่หมิงชู แทงใจดำทุกอย่าง ชายหนุ่มที่อยู่ในห้องประชุมกรุ่นโกรธ ใช้ดวงตาเฉียบคมตวัดมองมาที่ลู่หมิงชู!

"เสี่ยวถง ฟังผมอธิบายก่อน"

ชายหนุ่มมองมาที่หญิงสาวตรงหน้าอย่างเครียดๆ ลำคอเริ่มแห้งผาก

ในห้องประชุมยังมีอีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็นท่านแก่เสิ่น ซีเฉิน และผู้บริหารระดับสูงบางคน สายตาของเจี่ยนถงไล่มองทุกคนในห้อง แต่ทว่าสายตาของเธอกลับหยุดชะงักอยู่ที่คนคนนั้น เพียงแค่สามวิ…..เธอก็ละสายตาหนี ริมฝีปากกระตุกเป็นรอยยิ้มหยัน เริ่มใกล้จะทนไม่ไหว แต่เธอก็เก็บซ่อนมันเอาไว้ภายใต้สีหน้าอันเรียบนิ่ง

แต่คนที่อยู่ในห้องประชุม กลับเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันบนริมฝีปากของหญิงสาวได้อย่างชัดเจน……เขากำหมัดแน่น นัยน์ตาดอกท้อทอดมองหญิงสาวเขม็ง

ตอนนี้ทุกคนต่างจดจ้องมาที่เจี่ยนถง

ซีเฉินอ้าปากพูด "เสี่ยวถง อาซิวไม่ได้ตั้งใจโกหก…….."

"เอาสิ อธิบายมา" ท่ามกลางสายตาของทุกคน หญิงสาวกลับไม่ได้มีท่าทีจะระเบิดอารมณ์เหมือนที่ทุกคนคาดการณ์เอาไว้ เธอเพียงแค่เอ่ยตัดบทคำพูดของซีเฉินอย่างเรียบนิ่ง พร้อมกับมองมาที่เสิ่นซิวจิ่นที่อยู่ตรงหน้า เอ่ยพูดเสียงอบอุ่นไร้แววโกรธว่า "ว่าไง อธิบายมาสิ" ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงเพลิงโกรธในน้ำเสียงของเธอ…..นั่นก็เพราะว่ามันเรียบนิ่งมาก

เธอกับเขา ตกอยู่ในความเงียบที่สามารถเข้าใจกันและกันได้อย่างแปลกประหลาด

ถ้าหากต้องพูด วันเวลาเหล่านี้ บางทีอาจจะเป็นวันเวลาที่เสินซิวจิ่นและเจี่ยนถงต่อกันติดได้มากที่สุด

ไม่มีการทะเลาะ ไม่มีการกล่าวโทษ ไม่มีการโยนความผิด

ทุกอย่าง ต่างเงียบสงบ

สงบราวกับอยู่ในช่วงหวานซึ้งของคนรักกัน

เธอไม่โมโหใส่เขา และเขาเองก็ทำตัวดีไม่เหมือนเสิ่นซิวจิ่นที่เคยเผด็จการคนนั้น

ในทุกๆวัน เขาจะเตรียมข้าวเช้า และเธอก็จะลงมือกินเงียบๆ

บางครั้งตอนกลางคืนเขาก็นั่งห่อตัวดูการ์ตูนเพลสเซ่นโค๊ตแอนด์บิ๊กบิ๊กวูล์ฟที่เขาชอบอยู่บนโซฟา

"ผมเป็นหมาป่าWolffy ส่วนถงถงเป็นหมาป่าWolnie " ทุกครั้งที่ภาพปราสาทฉายขึ้นมา คนคนนั้นก็จะเอ่ยพูดคำนี้ออกมาอย่างร่าเริง

เขาพูดออกมาอย่างไม่รู้จักเบื่อ ขอแค่ภาพหมาป่าWolffyกับหมาป่าWolnieปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน เขาก็จะพูดคำนี้ออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทุกครั้งในเวลานี้ เธอก็มักจะยิ้มขำแล้วให้เขาไปปอกแอปเปิลและส้ม

ทุกอย่างเหมือนจะเป็นไปด้วยดี

ดีจนเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง

ในวันสุดสัปดาห์ ซูเมิ่งมาหาเธอที่บ้าน เมื่อได้เห็นภาพทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ก็อ้าปากค้างเติ่ง เอ่ยพูดอย่างตกใจว่า "สลับเพศกันเหรอ?"

วิเวียนกะพริบตา "ให้อภัยง่ายๆอย่างนี้เลยเหรอ? เสี่ยวถง! คุณยอมให้อภัยผู้ชายเลวที่สุดในศตวรรษง่ายๆอย่างนี้เลยเหรอ?"

เจี่ยนถงเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่พูด ปล่อยให้คำพูดเหล่านี้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา

ซูเมิ่งส่ายหน้า "จิ๊ๆ นี่ถ้า…..ถ้าให้คนนอกรู้ ว่าเสิ่นซิวจิ่นที่เย่อหยิ่งผยอง ยอมใส่ผ้ากันเปื้อนกับรองเท้าลายกระต่ายแสนน่ารัก ยืนทำอาหารอยู่หน้าเตา เสมือนเป็นพ่อบ้านแบบนี้ ทั้งเมืองSได้สะเทือนแน่"

สายตาของซูเมิ่งที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟา ไม่ยอมละห่างจากแผ่นหลังกว้างนั้นแม้แต่วินาทีเดียว ตาของเธอเบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมา

วิเวียนมีสีหน้าปลงๆ "เฮ้อ น่าเสียดายที่เขาไม่ใช่เสิ่นซิวจิ่นตัวจริง ถ้าเป็นหมอนั่นนะคงไม่ทำอะไรแบบนี้ให้เจี่ยนถงหรอก…….."

เธอพูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกซูเมิ่งที่อยู่ข้างๆกระตุกแขน วิเวียนลอบมองเจี่ยนถงที่อยู่อีกด้านอย่างระมัดระวัง ริมฝีปากของผู้หญิงคนนั้นยังคงยกยิ้มเล็กน้อยอยู่ตลอด ราวกับไม่ได้ใส่ใจอะไรเลยสักนิด

ในวันหยุดสุดสัปดาห์วันหนึ่ง

อากาศข้างนอกแจ่มใส อากาศข้างในอบอุ่น หญิงสาม ชายหนึ่ง จึงไม่ได้สัมผัสความหนาวเย็นแห่งเหมันต์แม้แต่นิด

น้ำชาและผลไม้บนโต๊ะ ล้วนแล้วแต่เป็นของที่ชายหนุ่มจัดเตรียมทั้งหมด

"จริงๆแล้ว…..เสิ่นซิวจิ่นเองก็ดีเหมือนกันนะเนี่ย" ในตอนที่กำลังจะกลับ วิเวียนก็เอ่ยพูดขึ้นมา "ถ้าความทรงจำเขากลับมาแล้วยังเป็นแบบนี้ก็คงดี"

เจี่ยนถงเพียงแค่ยิ้มส่งทั้งสองคนกลับไป

เมื่อปิดประตู หญิงสาวก็หันไปมองชายหนุ่มในห้องครัว "พวกเธอชมคุณด้วยล่ะ"

ชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างซื่อๆ "อาซิวแค่อยากให้ถงถงมีความสุข"

เธอกระตุกริมฝีปาก "ฉันมีความสุขมาก" นัยน์ตาของเธอวาวโรจน์ แล้วพูดเสริมว่า "ในวันนี้"

ชายหนุ่มเริ่มไม่พอใจ "แค่วันนี้เหรอ? อาซิวอยากให้ถงถงมีความสุข ตลอดชีวิตเลย"

"อ๋า~" หญิงสาวเดินเข้ามา เพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร

ตลอดชีวิตมันยาวนานเกินไป……เธอพูดในใจเงียบๆ

"อาซิวจะอยู่กับถงถง" คนคนนั้นมองมาที่เธออย่างบ๊องๆ "ตลอดไป" ไม่รู้ว่าเพราะอะไร คนบ๊องคนนั้น ถึงได้มีท่าทีจริงจังขึ้นมา

หญิงสาวอ้าปากจะพูดครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดประโยคนั้นออกมา เธอยืนยิ้มบางๆอยู่หน้าประตู

ชายหนุ่มที่อยู่ในห้องรับแขก จู่ๆก็พุ่งเข้ามากอดหญิงสาวอย่างไม่ได้ทันตั้งตัว "จริงๆนะ อาซิวจะอยู่กับถงถงตลอดไปเลย!"

ชายหนุ่มผู้บ้องตื้น เอ่ยปฏิญาณอย่างจริงจังและเคร่งขรึม

ตอนนี้เอง ไม่รู้ว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไรอยู่ ถึงได้ยื่นมือออกไป ตบหลังของเขาเบาๆราวกับกำลังปลอบโยน

"คุณต้องรีบหายไวๆนะ"

เธอรับรู้ได้ ว่าแขนของคนที่กำลังกอดเธอสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด เธอทำได้เพียงกักเก็บแววตา เพื่อปกปิดความเจ็บปวด

ทันใดนั้นเอง ริมฝีปากก็ต้องสัมผัสอันร้อนผ่าว เธอตกใจเล็กน้อย จากนั้นจึงดิ้นให้หลุด

ข้างหูได้ยินว่า

"ถงถง อาซิวเจ็บตรงนี้"

มือของเธอ ถูกมือใหญ่อีกข้างของเขาจับมาวางไว้บนแผ่นอกที่ร้อนผ่าว

เธอนิ่งไปในทันที ความรู้สึกเจ็บปวดที่เอ่ยออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจ ทุกประสาทสัมผัสถูกชักจูง จู่โจมอย่างไม่มีแม้แต่สัญญาณเตือน เธอเริ่มหายใจติดขัด อึดอัดและทุรนทุราย……สุดท้ายเธอก็ยอมแพ้ต่อหน้าเขาอีกครั้ง

ถึงเขาจะโง่แต่ก็ยังฉลาด ถึงเขาจะจำได้แต่ก็ยังจำไม่ได้

เธอหยุดดิ้น ฝ่ามือที่กำลังผลักไส ค่อยๆหล่นลงข้างตัว เธอหลับตาลง ปล่อยให้ความอุ่นร้อนทาบทับลงมาบนริมฝีปาก

มันยาวนานราวกับผ่านไปหนึ่งศตวรรษ

"แบบนี้ ก็ไม่เจ็บแล้วใช่ไหม?" เธอเอ่ยถาม

"ถงถง อาซิวอยากอยู่กับถงถงตลอดชีวิต"

เธอมองดวงตาดำขลับของเขา พร้อมกับยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นสดใสจนแทบจะแผดเผาเขา

"อยากไปสวนสนุกไหม?"

ดวงตาของเขาเป็นประกาย "ได้เหรอ?"

เธอพยักหน้า "ตอนกลางคืน เราไปนั่งชิงช้าสวรรค์กัน จากนั้นก็ขอพรกับดวงดาวบนท้องฟ้าดีไหม"

"ดี!"

เมื่อยามกลางคืนมาถึง

หลังจากซื้อตั๋วรอบกลางคืน ทั้งสองก็ขึ้นมานั่งบนชิงช้าสวรรค์ เธอเอ่ยพูดว่า "ดาวเต็มท้องฟ้าเลย เหมือนในนิทานไหม?"

คนคนนั้นยิ้มแหะๆอย่างบื้อๆ มือใหญ่ของเขากอบกุมมือของเธอเอาไว้ นัยน์ตาดำขลับฉายแววดีใจ "อาซิวคือหมาป่าWolffyของถงถง อาซิวจะขอพรให้ถงถงมีความสุขตลอดไป"

เธอมองท้องฟ้ามืดสลัวนอกหน้าต่าง

วันนี้

พวกเขามาที่นี่ดึกเกินไป

วันรุ่งขึ้น ในตอนที่เธอตื่นขึ้นมา ก็พบว่าบนเคาน์เตอร์ห้องครัว มีอาหารเช้ากรุ่นไอร้อนจัดเตรียมวางไว้เหมือนอย่างเคย

และเมื่อทานเสร็จเธอก็ไปทำงานเหมือนอย่างเคย

รถขับเข้ามาจอดในลานจอดรถใต้ตึกเจี่ยนซื่อกรุ๊ป

เธอเปิดประตูลงจากรถ เดินตรงไปทางลิฟต์ ในตอนที่เดินผ่านรถคันหนึ่ง จู่ๆประตูรถก็ถูกเปิดออกมา คนข้างในสวมใส่แว่นกันแดดหันมองมาที่เธอ

เจี่ยนถงหยุดเดิน "ตั้งใจมารอฉันเลยเหรอ?"

มองปราดเดียวก็รู้ถึงเจตนาของอีกคนแล้ว

"คุณเจี่ยนยังจำผมได้ไหม?" อีกฝ่ายยกริมฝีปากแสยะยิ้มเบาๆ

เจี่ยนถงเข้าใจอยู่แล้ว ว่าอีกฝ่ายกำลังประชดประชัน ไม่ได้อยากรู้ว่าเธอยังจำเขาได้อยู่หรือเปล่า

ในเมื่อเข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย เธอจึงพูดออกไปอย่างตรงไปตรงมาที่สุด

"คุณชายลู่ยังจะมาล้อเล่นทำไมล่ะคะ? ในเมื่อคุณตั้งใจมารอที่นี่ตั้งแต่เช้า จะอ้อมค้อมไปทำไม?"

ลู่หมิงชูหนังตากระตุก เดาะลิ้นอย่างหมดสนุก "เจี่ยนถง คุณนี่ไม่ยอมเสียเวลาเหมือนเดิมเลยนะ นี่อยากไล่ผมไปขนาดนั้น?"

เจี่ยนถงยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย

ลู่หมิงชูเองก็รู้สึกหมดสนุก จึงไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป "เขาอยู่กับคุณใช่ไหม?"

แม้จะเป็นประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงกลับดูมั่นใจ

นัยน์ตาของเจี่ยนถงหดเกร็ง เธอหลุบตาลง "คุณหมายถึงใคร?"

"จิ๊~" ลู่หมิงชูเอ่ยพูดเสียงเย็น "คุณบอกไม่ให้ผมอ้อมค้อม ให้พูดออกมาตรงๆ แต่สุดท้ายคุณกลับอ้อมค้อมซะเองน่ะเหรอ? คุณรู้ดีว่าผมหมายถึงใคร เสิ่นซิวจิ่นอยู่กับคุณใช่ไหม"

เจี่ยนถงนิ่งเงียบอยู่นาน ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา "ดูเหมือนคุณชายลู่จะใส่ใจฉันมากเลยนะ คงแอบสังเกตมานานแล้วล่ะสิ ฉันจำเป็นต้องขอบคุณคุณชายลู่ไหมที่ใส่ใจกันขนาดนี้?"

ท่าทางมั่นใจของอีกฝ่าย คงคิดมาแล้วว่ามีเปอร์เซ็นต์สูง ถ้าคิดจะโกหก ก็คงไม่มีประโยชน์แล้ว

ในหัวของเธอพลันแล่น คิดหาทางออกได้ในเวลาสั้นๆ

"คุณไม่สงสัยเหรอ?" จู่ๆอีกฝ่ายก็เอ่ยพูดขึ้นมา

หนังตาของเจี่ยนถงกระตุก "สงสัยอะไร?"

ลู่หมิงชูยกริมฝีปาก ฉีกยิ้มถากถางออกมา "คุณเชื่อจริงๆเหรอว่าเขาความจำเสื่อม?"

ดวงตาดำมืดราวกับนกอินทรีคู่นั้น จดจ้องมาที่หญิงสาวตรงหน้าเขม็ง ทอดสายตามองใบหน้าของเจี่ยนถง ไม่ยอมปล่อยแม้แต่สีหน้าเล็กๆน้อยๆให้คลาดสายตา

"คุณต้องการจะพูดอะไรกันแน่?"

ชายหนุ่มกระตุกรอยยิ้มเย็น "คุณกล้าไปที่ที่หนึ่งกับผมไหมล่ะ?" พูดจบ ก็แสยะยิ้ม "คุณจะได้ตาสว่าง" พูดจบ ก็ฉุดแขนของเจี่ยนถง ยัดเข้าไปในรถ

ในตอนกลางคืน หญิงสาวนอนไม่หลับ ยิ่งใกล้จะเที่ยงคืน เม็ดฝนตกกระทบบนหน้าต่าง เธอพลิกตัวไปมา พยายามข่มตานอน

บนเตียง พลิกตัวไปมาหลายต่อหลายครั้ง ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ยังคงไม่มีความง่วงสักนิด

ดึงผ้าห่มออก เหยียบเท้าเปล่าลงพื้น เดินไปที่หน้าต่างอย่างหงุดหงิด

เธอสวมชุดคลุม เดินเท้าเปล่าไปห้องรับแขก เปิดทีวี เห็นว่าเป็นรายการของเด็ก ใจลอยไปชั่วขณะ ถึงจะนึกขึ้นได้ทันที ตนเองไม่ได้ดูทีวีนานแล้ว

ทีวีในห้องรับแขก ถูกคนนั้นยึดไว้

เธอก็เรียนรู้การขดตัวบนโซฟาจากคนนั้น บนหน้าจอกำลังออกอากาศการ์ตูนแพะแสนสวยและหมาป่าตุวใหญ่ เธอได้ดูก็อึ้งไป

หมาป่ากินแกะ นี่คือกฎแห่งป่า เธอสงสัยสิ่งที่ตนเองเข้าใจขึ้นมา และอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคนนั้น เขาดูของแบบนี้ทุกวัน?

ด้านนอกประตูมีเสียงดังขึ้น

หญิงสาวเงี่ยหูฟังอย่างว่องไว

เสียงก๊อกๆ แก๊กๆ ได้ยินอยู่หลายนาที เธอยิ่งมั่นใจว่า ไม่ได้ฟังผิด

ขโมย?

ในสมองเกิดความคิดเช่นนี้ ก็ถูกตนเองปัดตก ตอนแรกคนนั้นยอมตกลงให้เธอย้ายออกจากคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น เพราะเห็นว่าตึกนี้มีมาตรการความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม

แต่ด้านนอกประตู……หรือจะเป็นแมวสุนัขหรือว่าลูกของบ้านใคร?

เปิดประตูทันที

"……"

ทันทีที่มองเห็น เธออึ้งไป

ก่อนหน้านี้ ทำไมเธอไม่เคยคิดว่า จะเป็นเขา!

หัวใจเต้นทันที

เธอมองเขาอยู่อย่างนี้ มองอยู่ห้านาที เขาคนนั้นก็เอาแต่จ้องมองเธอ นัยน์ตาคู่นั้นของเธอ เงียบสงบหาที่เปรียบมิได้……แต่มันก็แค่ดูเป็นแบบนั้น

นัยน์ตาเงียบสงบนี้ เก็บซ่อนความดิ้นรนมากเกินไป

มองเห็นแววตาอ้อนวอนของคนนั้น การแกล้งทำเป็นสงบของเธอถูกทำลายลง ใจอ่อนทันที

หันตัวเดินเข้าบ้านเงียบๆ

ประตูนั้น ยังคงเปิดอ้าอยู่

ไม่มองคนด้านหลัง ว่าจะตามเข้ามาหรือเปล่า เธอก้าวไปข้างหน้าช้าๆ เข้าไปห้องนอนหยิบชุดคลุมอาบน้ำกับผ้าขนหนู เมื่อออกมา ในห้องรับแขกว่างเปล่า เงยหน้ามองดู ประตูใหญ่ที่เปิดอ้า เขาคนนั้นยังคงยืนอยู่ที่ประตู สายตาเปล่งประกายมองเข้ามาในบ้าน และติดอยู่กับร่างกายของเธอ

เดินไปที่ประตูเงียบๆ นำชุดคลุมอาบน้ำกับผ้าขนหนู ยัดใส่มือเขาคนนั้น

และหันตัวเดินกลับเข้าบ้านไป

ระหว่างที่หันตัว เห็นเขาคนนั้นเมื่อได้รับอุปกรณ์อาบน้ำ แววตาเปล่งแสงอบอุ่นออกมาในชั่วพริบตา

"ถงถง เธอใจดีจังเลย!"

ด้านหลัง จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้น

เธออยู่ที่ประตูห้องนอน หยุดลงทันที กำฝ่ามือจนกลายเป็นหมัดอย่างเงียบๆ

ก้มหน้าก้มตาเดินเข้าห้องนอน ไม่สนใจเสียงด้านนอกอีก

ประตูปิดลง ราวกับเธอสูญเสียขอบและมุมของร่างกายไปทันที พิงประตูอย่างไร้เรี่ยวแรง……เสิ่นซิวจิ่น นายต้องการให้ฉัน……ทำยังไงกับนาย!

ตั้งแต่ต้นจนจบ หญิงสาวไม่ได้เอ่ยปากถามสักคำ ว่าทำไมเขาจึงมาปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูบ้านของเธอ ทำไมเขาถึงกลับมาอีก

ตั้งแต่ต้นจนจบ…… ไม่มีเลย!

กำมือถือเอาไว้ ได้ยินเสียงน้ำไหลจากฝักบัวในห้องน้ำ บางที……ก็แค่เสียงฝนนอกหน้าต่าง

เธอเข้าใจดี แค่โทรกริ้งเดียว ซีเฉินก็จะมารับเขาไป

เธอจะได้ไม่ต้องเผชิญกับอารมณ์ซับซ้อนที่ไม่ชัดเจนในใจ

เธอจะได้ไม่ต้องรังเกียจตัวเองแบบนี้

เธอเข้าใจดี โดยไม่รู้ตัว มือถือถูกเธอกำไว้จนแทบพัง เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ จนฝ่ามือเหนียว มือถือเหนียว

หญิงสาวหลับตาลง……ในขณะนี้ ไม่มีใครรู้ว่า เธอกำลังคิดอะไร

เวลาผ่านไปทีละนิด ดวงตาสดใสคู่นั้น ลืมขึ้นโดยไร้การต่อต้าน เท้าเปล่าเหยียบไปบนพื้น เธอเดินไปที่หน้าต่าง เมื่อผ่านเตียงใหญ่ ขว้างมือถือในมือทิ้งไป มือถือนั้น หมุนสองรอบกลางอากาศ หล่นลงไปบนผ้าปูเตียง หงายลงอย่างเงียบ ๆ

หน้าจอมือถือยังสว่างอยู่ เป็นอินเตอร์เฟซรายชื่อ ด้านบนสุดของมือถือ แสดงให้เห็นว่า "ซีเฉิน—-" ส่งเสียงกริ่งเป็นเวลาสามวินาที

เปิดหน้าต่างออก ลมฝนไม่กระทบหน้าต่างอีกต่อไป หยดน้ำฝนที่ยุ่งเหยิง ปลิวเข้ามาในห้อง และตกลงบนใบหน้าของเธอ ไหล่ของเธอ

ลมฝนนี้ มาได้ผิดเวลาจริงๆ เธอบ่นพึมพำ

เธอมองดูลมฝนจากหน้าต่าง ความรู้สึกปลิวว่อน ใจจดใจจ่อกับเสียงฝน "ซ่าๆ " มากเกินไป จนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เสียงน้ำไหลจากฝักบัวในห้องน้ำ ถูกลบล้างออกไปอย่างเงียบๆ จนไม่ได้ยินเสียง

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ด้านหลังมีเสียงดังขึ้นเล็กน้อย ปลุกเธอตื่นขึ้น เธอหันไปตามสัญชาตญาณ ตกใจเบาๆ ประตูเปิดอ้าออก มีเงายืนอยู่

ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดหรือเปล่า เธอรู้สึกว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นนานแล้ว

พวกเขาในเวลานี้ เหมือนคู่ที่แต่งงานกันมาเจ็ดปี สามีภรรยาที่ไม่มีอะไรจะพูด

และก็จริง……ไม่มีอะไรจะพูด

เธอหันตัว หยิบผ้าห่มของตนเอง เดินออกไป

เมื่อผ่านประตู ฝ่ามือร้อนระอุดั่งเหล็ก จับเธอไว้แน่น

"ถงถง เธอจะไปไหน?"

เสียงทุ้มต่ำของคนนั้น ถามอย่างตื่นตระหนก

แต่ทันทีที่เธอได้ยินคำถามนี้ แทบจะกลั้นหัวเราะ……ประชดประชันไม่ไหว

เขาคนนั้นว้าวุ่น แย่งผ้าห่มจากมือของเธอ ผลักเธอเข้าไปในห้อง "ปัง" ปิดประตูลงอย่างรุนแรง "อาซิวนอนที่ห้องรับแขก"

ค่ำคืนที่เงียบงันผ่านไป

ตอนเช้าตรู่ ชีวิตที่ไม่เปลี่ยนแปลง จืดชืด และข้อตกลงครบกำหนด

เปิดประตูออก กลิ่นอาหารหอมๆ ลอยมาจากห้องรับแขก หลังจากหญิงสาวแต่งหน้าแต่งตัวเงียบๆ นั่งลงตรงตำแหน่งของเธอ รับประทานอาหารเงียบๆ

เขาคนนั้นก็พูดน้อยลงอย่างไม่ค่อยได้เห็น แต่หญิงสาวสัมผัสได้ถึงสายตาที่ร้อนจี๋และจดจ่อบนหน้าผากอย่างชัดเจน

เงยหน้าขึ้น กลับสบเข้ากับนัยน์ตาดำขลับของเขาคนนั้น ถูกความอ่อนโยนในแววตาบังคับให้ถอยแสร้งทำเป็นก้มหน้าก้มตากินข้าว

ก้นบึ้งในหัวในของเธอเยาะเย้ยตนเอง ……แววตาแบบนั้น ภายใต้แววตาแบบนี้ เธอต้องถอยออกมาอย่างแพ้พ่าย

เมื่อออกจากบ้าน เธออยู่ที่ประตูหันมา พูดจริงจังกับผู้ชายที่เหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสา

"เสิ่นซิวจิ่น นายรีบหายไวๆ นะ"

เขาคนนั้นอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นยิ้มขึ้นมาทันที "อืม!ถงถงพูดอะไร อาซิวก็จะทำ!อาซิวจะพยายามหายไวๆ แน่นอน"

แสงแดดที่อบอุ่นนั้น เจี่ยนถงกลับรู้สึกแสบตาสุดๆ

ยากจะพูดถึงวันเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เธอกับเขา ราวกับเข้าไปในความเข้าใจที่รู้กันสองคนอย่างแปลกประหลาด

ใกล้จะผ่านไปอีกหนึ่งเดือน ได้ยินว่าเรื่องของไป๋ยู่สิงที่อิตาลี เมื่อใกล้จะจบลง กลับเกิดความยุ่งยากขึ้นอีก ไป๋ยู่สิงบอกว่า ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่ต้องการใช้เวลาสักหน่อย

หลังจากเจี่ยนถงได้ฟัง แค่กล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้ม "ฉันเกือบคิดว่าคุณโกหกฉันแล้ว อันที่จริงคุณม่อสาวอยู่ที่อิตาลี เพลิดเพลินสุดๆ มีความสุขจนไม่อยากกลับมา"

ไป๋ยู่สิงจากปลายสายก็พูดติดตลกกับเธอ "มีความสุข? จน ไม่อยากกลับ"

"งั้นรีบกลับมาเถอะ" น้ำเสียงของเจี่ยนถง มีความเยือกเย็นและเงียบเหงาที่ไม่ได้เห็นกันง่ายๆ

ความร่วมมือกับคาย์อัน แต่เดิมสิ่งที่เจี่ยนคิดคือ คงจะล้มเลิก แต่หนึ่งเดือนผ่านไป ความร่วมมือยังคงดำเนินต่อไปเหมือนเดิม แต่คาย์อัน หายสาบสูญไปจากสายตาของเธอ

ความร่วมมือเข้าสู่ช่วงที่สอง

เดิมที ตัวแทนทั้งสองฝ่ายต้องนัดเจอกันอีกครั้ง เพื่อปรึกษาหารือรายละเอียดปลีกย่อยของการดำเนินงานอย่างละเอียด และยืนยันรายละเอียดบางส่วนที่ปรึกษาหารือไว้ก่อนหน้านี้

บ่ายวันนี้ วิเวียนเคาะประตูห้องทำงานของเธอ เปิดประตู พาคนที่คุ้นเคยเข้ามา

"คุณลู่ ไม่ได้พบกันนานเลยนะคะ"

เมื่อลู่เชนมา เธอยังคงคิดว่าความร่วมมือระหว่างสองฝ่าย ได้เข้าสู่ช่วงที่สอง เธอควรจะไปบริษัทลูกภายใต้ชื่อของอีกฝ่ายหรือไม่

ยังคิดไม่ทันเสร็จ ลู่เชนกลับนำจดหมายฉบับหนึ่งมา

มองซองจดหมายที่ย้อมด้วยลายเส้นหมึกสีน้ำเงินอ่อนลายดอกไม้ ไม่มีการลงนาม ไม่มีที่อยู่ บนซองจดหมายว่างเปล่า เหลือบมองลู่เชนฝั่งตรงข้าม ดวงตาใสสะอาดของหญิงสาวกะพริบพราย ยื่นมือออกไปหยิบซองจดหมายนั้น

จดหมายหลุดออกจากซองอย่างพลิ้วไหว

แบบอักษรตัวหนา เขียนขึ้นบรรทัดว่า ถึง เจี่ยนถง

หลังจากเธออ่านจบอย่างเงียบๆ ก็ยื่นมือไปหาลู่เชน "มีไฟแช็กไหมคะ?"

"จะทำอะไรรึครับ?" ลู่เชนถาม แต่ก็โยนไฟแช็กให้

คลิก—-

เปลวไฟลุกไหม้จดหมายนั้น

ลู่เชนหน้าเปลี่ยนสี แต่ไม่พูดอะไร

มองผู้หญิงตรงหน้าอยู่ลึกซึ้ง แสงไฟส่องสะท้อนแสงเงาแปลก ๆ บนใบหน้าของเธอ ซับซ้อนเกินความคาดหมาย

"เผาแบบนี้เลยเหรอ?" เสียงทุ้มต่ำของเขา ภายในห้องที่เงียบสงัด ค่อยๆ ดังขึ้น

"ถ้าไม่งั้นล่ะ?" หญิงสาวถามกลับ

ลู่เชนตะลึงงัน……จริงด้วย ถ้าไม่งั้นล่ะ?

"ผู้หญิงไร้ความเมตตา……" สิ่งที่เขาต้องการจะพูด ทุกคนเข้าใจมัน

หญิงสาวฝั่งตรงข้ามค่อยๆ เงยหน้าขึ้น

"การเผา เป็นความตั้งใจของเขา" เธอกล่าว " ส่วนฉัน ฉันเห็นด้วยกับความคิดของเขา" ดังนั้น ในที่สุด เธอจึงเผาจดหมายแผ่นนี้

"ความจริงเขาดีมาก ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ ผมไม่เคยเห็นเขาเอาใจใส่ใครแบบนี้มาก่อน"

"ฉันเชื่อ" เธอพูดเบาๆ

ลู่เชนคิดไม่ถึงว่า เธอจะตอบอย่างไม่ลังเลแบบนี้ จ้องมองผู้หญิงฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง ผ่านไปครู่ใหญ่ จึงถอนสายตากลับ "ผู้อื่นไหว้วานมาก็ต้องทำให้ดี เสร็จเรื่องแล้ว ผมต้องขอตัวกลับก่อน"

"ฉันจะไปส่งคุณ"

การมาของลู่เชน ใช้เวลาน้อยมาก เข้ามาและออกไป ยังไม่ถึงสิบนาที แต่ในสิบนาทีอันแสนสั้นนี้ จัดการสิ่งที่ควรทำเรียบร้อย

การมาของเขา เหมือนกับพื้นผิวทะเลสาบอันเงียบสงบ โยนหินก้อนหนึ่งลงไป แค่กระเพื่อมเบาๆ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

หลังจากหญิงสาวกลับมาที่โต๊ะทำงาน จดหมายบนพื้น กลายเป็นขี้เถ้า

เธอโทรหาแผนกต้อนรับ "เรียกป้ามาทำความสะอาดหน่อย"

เพียงแต่ จ้องมองกองขี้เถ้าบนพื้น งุนงงอยู่นาน คาย์อัน ฉันไม่ใช่ราชินีของคุณ ฉันเป็นแค่คนตายเดินได้ที่ถูกกัดกร่อนจนเหลือแค่ร่างกายนี้ ลอยไปลอยมาในโลกมนุษย์

ลู่เชนเพิ่งออกมาจากตึกเจี่ยนซื่อกรุ๊ป หยิบมือถือ กดโทรออก "เธอเผาแล้ว" ใช่ เขารู้ว่าการเผาจดหมายแผ่นนั้น คือความต้องการของคาย์อัน

ปลายสาย เงียบมาก

ลู่เชนพูดเสริมอย่างไร้ความปรานี "ไม่ลังเลสักนิด ไม่มีสักวินาที"

ปลายสาย หัวเราะเบาๆ "เป็นสไตล์ของเธอ"

"สไตล์อะไร?"

"สิ่งที่เธอต้องการ จะทำเต็มที่ สิ่งที่เธอไม่ต้องการ ก็จะทำเต็มที่"

ลู่เชนสีหน้าขรึมเล็กน้อย "นายเข้าใจเธอแบบนี้ ตอนแรกมันเกิดขึ้นได้ไง?"

"ไม่ นายเข้าใจผิดแล้ว" ปลายสาย คาย์อันพูดอย่างเย็นชา "ฉันเพิ่งเข้าใจ ว่าเธอเป็นผู้หญิงแบบไหน

สิ่งที่เธอต้องการ หรือไม่ต้องการ เธอจะทำเต็มที่ เธอแบ่งแยกสิ่งที่เธอรัก กับสิ่งที่เธอไม่ได้รักชัดเจน ฉันไม่มีแม้แต่โอกาสด้วยซ้ำ

ไม่ ไม่ใช่แค่ฉัน ใครก็ไม่มีโอกาส

สิ่งที่เธอรัก คือสิ่งที่เธอรัก

สิ่งที่เธอไม่รัก ก็คือสิ่งที่เธอไม่รัก

แม้แต่โอกาสที่ดูคลุมเครือ นายก็ยังไม่มี

ไร้ความปรานีมากไหม?"

คาย์อันกล่าว "แต่ทั้งหมดนี้ เมื่อสักครู่นี้ ฉันเพิ่งตระหนักได้อย่างถ่องแท้ เข้าใจแล้ว"

เมื่อสักครู่นี้?

สักครู่นี้?

ลู่เชนเงียบไม่พูดอะไร เขาเข้าใจ "เมื่อสักครู่นี้" ของคาย์อันคือตอนที่เจี่ยนถงเผาจดหมายอย่างไม่ลังเล

มองข้ามสีหน้าถูกทอดทิ้งของคนด้านข้าง เจี่ยนถงแค่ล้างหน้าบ้วนปากง่ายๆ หยิบกระเป๋าเดินออกไป

ภายในบริษัทยุ่งทั้งวัน วิเวียนมาที่ห้องทำงานตั้งแต่เช้า หยิบหนังสือสัญญาที่ทำร่วมกับเตอร์เมนกรุ๊ปไป จนเมื่อถึงตอนกลางวัน กลับพบว่า ในห้องทำงานท่านประทาน หญิงสาวคนนั้นยังคงยุ่งอยู่เหมือนเดิม

เธอเข้าใจว่าเพราะความร่วมมือกับเตอร์เมนกรุ๊ป หญิงสาวจึงค่อนข้างเอาใจใส่ เอาแต่ยุ่งอยู่กับงาน จนถึงช่วงบ่าย จึงรู้จากคนของฝ่ายเลขานุการว่า เจี่ยนถงให้คนของแผนกนำเอกสารของบริษัทในช่วงนี้ไปให้เธอ

วิเวียนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ประตูห้องทำงานท่านประธานแง้มอยู่ เธอคิดจะเคาะ แต่เมื่อสัมผัสโดนประตู ประตูก็เปิดเองอัตโนมัติ วิเวียนจึงสังเกตเห็น หญิงสาวคนดังกล่าวทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดของตนเองให้กับงาน

"ประธานเจี่ยน" เธอผลักประตู ก้าวเท้ายาวๆ เข้าไป พูดอย่างโมโห "คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ ฉันรู้ค่ะ เจี่ยนซื่อกรุ๊ปมีปัญหาเยอะมาก แต่พวกเราไม่ได้เซ็นสัญญากับเตอร์เมนกรุ๊ปแล้วรึคะ?จะพักผ่อนสักหน่อยไม่ได้เลยหรือไง?"

"ไม่ใช่เตอร์เมนกรุ๊ป" หญิงสาวที่กำลังยุ่งอยู่กับงาน ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา เซ็นเอกสารในมือ ตอบประโยคหนึ่งเบาๆ

"ไม่ใช่เตอร์เมนกรุ๊ป?" วิเวียนคิ้วขมวด "ไม่ใช่เตอร์เมนกรุ๊ป คุณจะทำแล้วทำเล่าอยู่แบบนี้เหรอ?"

"เอาล่ะ วิเวียน คุณออกไปได้แล้ว"

หญิงสาวคนนั้นยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมาพูด

มองดูเธอทุ่มเทให้กับงาน วิเวียนทั้งโกรธทั้งสงสาร ฝ่ามือตบลงไปบนโต๊ะอย่างแรง "ฉันได้ยินลูกน้องบอกว่า คุณยังไม่ได้กินข้าวกลางวัน"

"ฉันไม่หิว ออกไปได้แล้ว"

หญิงสาวพูดอย่างเย็นชา

วิเวียนแปลกใจเล็กน้อย ตั้งแต่ทำงานกับผู้หญิงคนนี้มา ไม่เคยปฏิบัติต่อตนเองแบบนี้

"กองทัพต้องเดินด้วย……"

"ออกไป" หญิงสาวพูดเบาๆ อีกครั้ง ถึงจะเงยหน้าจากกองเอกสาร กวาดมองวิเวียนตรงหน้า

"……เกิดเรื่องอะไรขึ้น?"

วิเวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยิ่งรู้สึกผิดปกติ ผู้หญิงคนนี้เคยปฏิบัติกับเธอแบบนี้ที่ไหน "เสี่ยวถง ฉันออกไปได้นะ คุณยุ่งกับงานฉันก็เข้าใจ แต่อย่างน้อยคุณควรหาเวลากินข้าว"

"ฉันบอกแล้ว ฉันไม่หิว"

วิเวียนคิ้วขมวด "คุณไม่กิน ฉันก็ไม่รู้จะชี้แจงยังไง"

ท่าทางดื้นรั้นของเจี่ยนถง กระตุ้นให้วิเวียนพูดออกมาทันที

"ชี้แจง?" เจี่ยนถงเลิกคิ้ว "ชี้แจงอะไร?ชี้แจงกับใคร?ชี้แจงเรื่องอะไร?"

วิเวียนตกใจเมื่อรู้ว่าตนเองเพิ่งพลาดปากพูดออกไป แต่เป็นอาการปากไว ในเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้แล้ว นอกจากนี้……เธอไม่รู้สึกว่า เธอมีความจำเป็นต้องเก็บความลับแทนใคร

"ก่อนประธานเสิ่นของพวกคุณจะไปอิตาลี ขอร้องฉันเป็นการส่วนตัวให้ดูแลอาหารประจำวันของคุณ ต้องกินข้าวตรงเวลา ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเป็นแบบนั้นก็ตาม แต่ในเมื่อตอนแรกฉันรับปากเขาไปแล้ว ก็มีหน้าที่ดูแลให้คุณกินข้าวให้ตรงเวลา"

เดิมทีเจี่ยนถงอารมณ์เสียอยู่แล้ว ตอนนี้ได้ยินชื่อคนนั้นอีก จึงยิ่งหงุดหงิด "ฉันเป็นเจ้านายของคุณ หรือเขาเป็นเจ้านายของคุณ?วิเวียน สนใจหน้าที่ของคุณด้วย"

สิ้นคำ เธอสีหน้าเปลี่ยน ตกใจคำพูดของตนเอง แรงเกินไป

"……เจี่ยนถง?"

"ออกไป"

"เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ?" ถึงอย่างไร ยังคงเข้าใจผู้หญิงคนนี้

"คุณบอกฉันสิ บางทีฉัน……"

เจี่ยนถงตบโต๊ะลุกขึ้นทันที เธอรู้ดีว่า วิเวียนหวังดีต่อเธอ วิเวียนมีความตั้งใจดี แต่ในเวลานี้ เธอรับการพูดพล่ามแบบนี้ไม่ไหว "ออกไป"

เธอลุกขึ้น เดินอ้อมโต๊ะทำงาน ดึงมือของวิเวียน พาไปที่ประตูไล่ออกไปข้างนอก

"คุณอย่าเป็นแบบนี้สิ" วิเวียนกล่าว " ไม่มีอะไรที่เข้าใจไม่ได้ เป็นเพราะเสิ่นซิวจิ่นใช่ไหม คุณบอกมาสิ ฉันอาจจะสามารถ……"

"คุณทำอะไรไม่ได้หรอก!" คำพูดปลอบโยนเหล่านั้น ในเวลานี้ทำให้เธอยิ่งหงุดหงิด เจี่ยนถงได้ยินเสียงหึ่งๆ เสียงห่วงใยนั้น กลายเป็นลูกศรคม ทิ่มแทงเธอดอกแล้วดอกเล่า จนสุดท้ายรับไม่ไหว ขึ้นเสียงตะโกน

เธอไม่ต้องการทำร้ายวิเวียน กลับไม่อยากได้ยินวิเวียนพูดถึงชื่อเขาคนนั้น

เธอแค่……อยากให้วิเวียนหุบปาก อยากอยู่เงียบๆ ต้องการสภาพแวดล้อมที่บริสุทธิ์

"เป็นเพราะเสิ่นซิวจิ่น……ใช่ไหม……"

เจี่ยนถงห่อไหล่ทันที สองมือออกแรงดึงแขนเสื้อของวิเวียน ก้มหน้าลงอย่างห่อเหี่ยว น้ำเสียงกดดัน ตะเบ็งออกมา "วิเวียน ขอฉันอยู่เงียบๆ สักหน่อย……ได้ไหม?"

พูดตะเบ็งเสียง แต่กลับซุกซ่อนคำขอร้องไม่ได้

วิเวียนตกใจ ได้สติทันที อยากจะตบหน้าตัวเอง ดูเธอสิ ปกติฉลาดเฉียบแหลม ตอนนี้ทำไมถึงได้เลอะเลือน!

มองท่าทางห่อเหี่ยวของผู้หญิงตรงหน้า วิเวียนอ้าปากค้าง แต่ไม่พูดอะไรอีก หันตัวเปิดประตูห้องทำงาน เดินจากไป

ภายในห้องทำงาน หญิงสาวไม่ได้กลับไปทุ่มเทกับการทำงานต่อ เธอยืนแกร่วอยู่ที่เดิมเงียบๆ หน้าขาวซีดเหมือนกระดาษ

เธอยืนเงียบอยู่ตรงนั้น เหมือนกลายเป็นเสาหิน หลังจากผ่านไปราวๆ สิบห้านาที ด้านนอกห้องทำงาน มีเพียงประตูกั้นเอาไว้ ตรงประตู มีกับข้าววางลงเบาๆ

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูเบาๆ คนด้านนอกไม่พูดยืดยาว แค่เตือนอย่างเงียบๆ "กินข้าวด้วยนะ"

ไม่มีเสียงใดอีก

ด้านในประตู หญิงสาวยืนอยู่นาน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เธอยกมือขึ้น เปิดประตูออกไป ก้มลงหยิบกับข้าวที่วางตรงประตูขึ้น

พูดเบาๆ กับอากาศที่ว่างเปล่า "วิเวียน ขอบคุณนะ"

แต่ไม่มีใครได้ยิน

เดินมาหลังโต๊ะทำงาน เปิดกล่องข้าวออก กินอย่างเชื่องช้า ทีละคำๆ ไม่ได้รสชาติอะไร กับข้าวจะหอมแค่ไหน แต่รสชาติเหมือนเคี้ยวเทียนไข

มองเห็นเวลาผ่านไปรวดเร็ว ท้องฟ้านอกหน้าต่างมืดลง

เธอเหลือบมองเวลา ใกล้จะเลิกงานแล้ว แต่เธอไม่อยากกลับบ้าน

ตลอดทั้งวันซีเฉินไม่โทรหาเธอสักสายเดียว เธอคิดว่า ประโยคข่มขู่ของเธอเมื่อช่วงเช้า มีประโยชน์เสมอ พวกเขายังกลัว

ออกจากบริษัทอย่างเงียบๆ

รถขับเข้าไปในที่จอดชั้นใต้ดิน เธอขึ้นลิฟต์อย่างเชื่องช้า เมื่อถึงชั้นที่ตนเองพักอาศัย ยืนอยู่นอกประตูบ้าน มองดูประตูที่ปิดอยู่ตรงหน้าด้วยความสับสนหาที่เปรียบมิได้

ค่อยๆ ยกมือขึ้น วางบนหัวใจด้านซ้ายของตนเองเบาๆ ถึงจะมีเสื้อผ้ากั้นขวาง แต่ยังสัมผัสได้ชัดเจน ว่าในทรวงอกนั้นเต้นผิดปกติ

เปิดประตู ภายในห้องมืดสนิท เธอถอนหายใจโล่งอก……ดูเหมือนซีเฉินจะรับเขาไปแล้ว

วินาทีต่อมา ความหดหู่พรั่งพรูอย่างไม่มีเหตุผล

เธอรีบหยุดความหดหู่นี้

กดสวิตช์บนผนัง แสงไฟอบอุ่นส่องที่ห้องรับแขก

เธอมองไปที่ห้องรับแขก บนโซฟาไม่มีเขาคนนั้น……เมื่อก่อนเขาชอบนอนบนโซฟาที่สุด

ทิ้งกระเป๋าเป้ลง วิ่งอย่างอ้อยส้อยไปที่ห้องนอน เปิดไฟ ตรงหน้าเตียง ไม่มีคน

หันตัว ก้าวช้าๆ ออกจากห้องนอน ไปที่ระเบียง

บนระเบียง มีแค่กล้องส่องทางไกลเดียวดาย

คิดไม่ถึงว่าเธอจะห้ามใจไม่ไหวยื่นมือออกไปลูบคลำ วัสดุมีความเย็น ไม่มีอุณหภูมิสักนิดเดียว

เธอต้องการค้นหาความรู้สึกที่แท้จริงของตนเองในเวลานี้ กลับพบว่างุนงงและไม่ชัดเจน

เมื่อผ่านห้องรับแขกอีกครั้ง เดินผ่านข้างเคาน์เตอร์ กลับหยุดชะงักโดยพลัน กับข้าวบนโต๊ะเหล่านั้น อยู่บนเคาน์เตอร์เงียบๆ มองอยู่นานสองนาน เธอเอื้อมมือไปสัมผัสข้างชาม……เย็นเยือก ไม่มีอุณหภูมิเหมือนเมื่อวาน

ใช่……เขาไปแล้ว จะมีคนอุ่นกับข้าวให้เธอได้อย่างไร

ใช่……เขาไปแล้ว!

"ดีจริงๆ ในที่สุดก็ไปแล้ว" เธอกล่าว

กลับหยิบตะเกียบขึ้นมา คีบกับข้าวเย็นๆ เข้าปากทีละคำ

โคมไฟในห้องรับแขก สว่างไสว ห้องนอน ห้องน้ำ ระเบียง ……เธอเปิดไฟทั้งบ้าน เปิดทั้งหมด แสงอันอบอุ่น สาดส่องทุกมุมของบ้านหลังใหญ่นี้

แต่เธอกลับขมวดคิ้ว……รู้สึกว่า เหมือนขาดอะไรไป

แสงแรกของแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาในห้องนอน แสงเงา ตกลงสู่เตียง และตกลงมาบนผ้าปูเตียงสีขาวสะอาด สาดส่องบนใบหน้าของหญิงสาว

หมดแรงจากการรีบขึ้นเครื่องบิน ก่อนเที่ยงคืนกลิ้งไปกลิ้งมา หลังเที่ยงคืนนอนไม่หลับ จนถึงดึกมาก ถึงจะค่อยๆ นอนหลับไปเอง จนไม่อยากตื่นขึ้นมา ซึ่งหาได้ยาก วันนี้เธอไม่อยากตื่น

ในความสับสนวุ่นวายและสะลึมสะลือ มีอาการคันใบหน้าเล็กน้อย เอามือปัดออกท่ามกลางความสะลึมสะลือ เมื่ออาการคันหายไป เธอกำลังจะนอนหลับต่ออย่างรวดเร็ว แต่อาการคันเมื่อสักครู่ กลับมากวนใจอีกอย่างน่าเกลียด

ฝืนความง่วง ลืมตาขึ้น—-

เพราะเหตุนี้—-

ตาโตสบเข้ากับตาเล็ก

ใบหน้าที่ห่างกันแค่คืบ คุ้นตามาก คุ้นตาจน……

กะพริบตา กะพริบตาอีกครั้ง

ดวงตาเรียวยาวที่สบเข้ากับตาโตของเธอก็—-

กะพริบตา กะพริบตาอีกครั้ง

ตู๊ม—-

ความดันเลือดในสมองพุ่งขึ้นในชั่วพริบตา แทบจะระเบิดออกมา

มือผลักออกไปทันที ใช้กำลังป่าเถื่อนเกินสัญชาตญาณของเธอ "นายทำอะไร!" เธอบุ่มบ่ามยกมือขึ้นตบ

เพราะเหตุนี้ บรรยากาศสงบตอนเช้าตรู่ ถูกทำลายลงด้วยเสียงตบหน้าอันชัดเจนและก้องกังวาน

สายตาของเธอโกรธสุดขีด ยังไม่ทันได้ชำระแค้นกับคนทำผิด ไอ้เลวนั้น กลับมองหน้าเธออย่างกล่าวหา

"ถงถง?" เขาคนนั้นจับแก้มที่ถูกตบ จ้องมองเธออย่างงุนงง "ทำไมเธอต้องตบอาซิวด้วย?"

ทำไมเธอต้องตบเขา?

เจี่ยนถงเข้าใจคำนี้ แทบจะโมโหจนหัวเราะออกมา หายใจเสียงดังด้วยความโกรธ "นายยังมีหน้าถามฉันอีก?เมื่อกี้นายทำอะไร!"

"จุ๊ฟๆ ไง"

จุ๊ฟๆ ?ฌ๘ษยังทำหน้าน้อยใจ?

"เสิ่นซิวจิ่น ฟังฉันนะ นายมันไม่ให้เกียรติผู้หญิง!ฉันไม่ได้ให้นาย……จุ๊ฟๆ !"

"แต่ว่า……"

"นายยังมีแต่เหรอ แต่ว่าอะไร?"

"ฉันชอบถงถง ในทีวีบอกว่า ชอบคนคนหนึ่ง จะต้องจูบเธอ"

เจี่ยนถงไม่เคยจะคิดเลย ว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้

เธอโมโหแทบจะบ้า!

แต่เห็นผู้ชายตรงหน้าทำหน้า "ฉันไม่ผิด" เธอหน้าตึงลุกขึ้นจากเตียงทันที ขี้เกียจมองคนด้านหลัง เดินออกไปจากห้องโดยไม่คิดจะสนใจ

"ถงถง ทำไมเธอต้องโกรธแบบนี้ด้วย? อาซิวชอบเธอนะ"

กร๊อบ!

เดิมทีเธอใกล้จะหมดความอดทนอยู่แล้ว ไม่อยากเห็นหน้าจะได้ไม่ต้องหงุดหงิด แต่ไอ้ทึ้มตามมาใกล้เธอ เธอไม่สบายตรงไหน เขาจะจิ้มไปตรงนั้น

เส้นเลือดบนขมับกระตุก เธอกำมือจับประตูแน่นขึ้น เหมือนจะบีบที่จับประตูให้แหลกละเอียด……อย่าโมโห เจี่ยนถง อย่าโมโห เธอจะไปเถียงกับคนโง่ทำไม เขาเข้าใจกะผีสิ!

เธอไม่ค่อยสบถคำหยาบ ตอนนี้ในใจสบถออกมาติดต่อกัน

สูดลมหายใจเข้าลึกหลายต่อหลายครั้ง ดับความโกรธที่เหมือนไฟไหม้ลามทุ่ง หญิงสาวดูสงบลง เปิดประตูออกไปอย่างใจเย็น ก้าวเท้า……

"ถงถง เธอแอบอาซิวกินลูกอมใช่ไหม?ปากของถงถง ทั้งหอมทั้งหวาน " พูดจบแล้วยังทำเสียงแจ๊บๆ

กร๊อบ!

เสียงกระดูกข้อนิ้วทั้งสิบดังต่อเนื่อง

ความสงบเงียบในแววตาของหญิงสาวหายไป เกิดเป็นไฟป่าลุกลามอย่างบ้าคลั่ง

เธอสาบาน!

วันนี้จะต้องจับไอ้ทึ้มนี้โยนออกไป!

ไม่พูดพร่ำทำเพลง หันตัวเดินกลับไปหน้าเตียง หยิบมือถือบนโต๊ะด้านข้าง ไม่สนว่าตอนนี้กี่โมง อีกฝ่ายจะตื่นหรือยัง กดโทรออกทันที

อีกฝ่ายรับสาย เพิ่งจะพูดออกมาว่า "คุณไม่รู้เหรอว่านี่มันกี่โมงกี่ยาม" ก็ถูกเธอกระหน่ำระเบิดใส่

"ซีเฉิน ฟังฉันนะ ถ้าวันนี้คุณไม่มารับตัวไอ้ทุเรศนี้ไป คืนนี้รอเขาไปนอนเป็นคนไร้บ้านในสวนสาธารณะได้เลย!"

เสียงหยาบกระด้าง ระงับความโกรธไม่อยู่

ทางฝั่งนั้นเดิมทีปลุกขึ้นมาจากฝันหวาน จึงตื่นด้วยความโมโห ในตอนนี้ตกใจกับความโกรธของเธอที่เหมือนกับไฟป่าแผดเผาได้สติขึ้นมาในชั่วพริบตา สะดุ้งโหยงทันที "มีอะไรค่อยพูดค่อยจา อย่าโมโห อย่าโมโห" สมกับเป็นนักธุรกิจ ต้องการเข้าใจสถานการณ์อย่างชัดเจน ซีเฉินเลือกที่จะปลอบโยนอย่างไม่ลังเล ท่าทางผ่อนคลายลงทันที ไถ่ถามด้วยน้ำเสียงน่าฟัง

"เขา……อาซิวทำเรื่องอะไรที่ไม่อาจให้อภัยได้……เหรอ?"

ซีเฉินถามอย่างระมัดระวัง ไม่ค่อยเห็นเจี่ยนถงหงุดหงิดมาก เรียกคนนั้นว่า "ไอ้ทุเรศ" อย่างไม่คาดฝัน ดูเหมือนครั้งนี้ "ไอ้ทุเรศ" จะทำเรื่องร้ายแรงจริงๆ ถึงทำให้ผู้หญิงคนนั้นโมโหจนด่าหยาบคาย

"แค่กๆ …… ‘ไอ้ทุเรศ’ นั้นมันแหย่อะไรคุณ?" เห็นผ่านไปนานหญิงสายที่ปลายสายไม่ตอบอะไร ซีเฉินทำได้เพียงไถ่ถามอย่างกระอักกระอ่วนใจ

เขาไม่ถามก็ดีอยู่แล้ว พอถามออกไป เจี่ยนถงตัวแข็งทื่อไปหมด ใบหน้าเล็กๆ เดี๋ยวดำเดี๋ยวแดง มีสีสันเหมือนจานสี พูดไม่ออก

"อย่ายุ่ง!วันนี้คุณต้องมารับไปทันที พาเขาออกไป ฉันไม่อยากเห็นหน้าเขาอีก!"

เจี่ยนถงพูดจบอย่างรวดเร็ว ส่วนด้านหลัง

"ถงถง เธอไม่ชอบให้อาซิวจูบ ต่อจากนี้อาซิวจะเปลี่ยน อย่าไล่อาซิวไปเลยนะ ได้ไหม?"

เปรี๊ยะ!

เธอมือสั่น เหมือนจะได้ยินเสียงความดันโลหิตในกะโหลกศีรษะสูงจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยง

ปลายสายเงียบไปอย่างผิดสังเกต เจี่ยนถงไม่ต้องคิด ก็พอเดาออกว่าซีเฉินกำลังทำหน้าอย่างไรอยู่

"นายหุบปาก!" เธอหน้าบึ้ง พุ่งตัวไปด้านข้างมองผู้ชายที่เธอตะโกนให้หยุดอย่างระมัดระวัง

"โธ่ ที่แท้เป็นแบบนี้เอง ไม่น่าเลย ค่อนข้างเป็น ‘ไอ้ทุเรศ’ เลยนะ" ซีเฉินถูจมูก อยากหัวเราะให้เต็มที่ ก็ไม่กล้ากระตุ้นเจี่ยนถงที่กำลังโมโหอยู่ตอนนี้ ทำได้เพียงอดกลั้นเต็มที่ จนแทบจะช้ำใน

"แต่ว่า เจี่ยนถง ผมไม่สามารถพาเขามาอยู่กับผมได้ คุณท่านของตระกูลเสิ่นนั้นไม่ยอมเลิกรา แถมยังเริ่มแทรกแซงเรื่องในบริษัทอีกครั้ง

จิ้งจอกเฒ่านี้มียศสูง อาซิว…… ‘ไอ้ทุเรศ’ นั้นไม่อยู่ ผมควบคุมจิ้งจอกเฒ่านั้นไม่ได้

สองวันนี้ต้องรับมือกับจิ้งจอกเฒ่า ผมแทบจะเป็นบ้า

ถ้าต้องพา ‘ไอ้ทุเรศ’ มาอยู่กับผมอีก ผมกลัวว่าจะปิดบังได้ไม่นาน

เขาก็ทุเรศไปหน่อย แต่เจี่ยนถง คุณถึงกับคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กแล้วเหรอ?"

"ฉัน……"

เธอยังพูดไม่จบ ซีเฉินจากปลายสายก็แทรกว่า "เด็กมักจะแสดงเจตนาดีแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?จริงๆ แล้ว เด็กไร้เดียงสาที่สุด พวกเขาคิดอะไรอย่างไร้เดียงสามาก อาซิวชอบคุณก็แสดงเจตนาดีออกมา ทำไมคุณถึงเข้าใจผิดล่ะ?"

เจี่ยนถงถูกตำหนิซึ่งๆ หน้า สำลักจนหน้าดำหน้าแดง อย่างน่าเหลือเชื่อ

"ผู้ใหญ่อย่างเราไม่ควรเอาอคติไปมองโลกของเด็ก"

ใบหน้าของเจี่ยนถง มีสีสันที่หลากหลายยิ่งขึ้น โกรธจนมือที่จับมือถือสั่นเล็กน้อย หัวเราะเย็นชา "ยังคงเป็นความผิดของฉันเหรอ?ฉันใจแคบ ฉันคิดไม่ดี?

ซีเฉิน คุณรู้ดี

ระหว่างฉันกับเขา เป็นแค่ระหว่างผู้ใหญ่กับเด็กเหรอ?" เธอโกรธจนหน้าเขียว

"จำอะไรไม่ได้เหรอ ทุกอย่างหายไปหมดแล้วเหรอ?"

เธอไม่เคยคิดเลยว่า เช้านี้จะ "สะเทือนใจ" เช่นนี้ "แต่ซีเฉิน ฉันจำได้!"

เขาจำไม่ได้ แต่เธอจำได้!

จำได้ทุกอย่าง!

จำได้ชัดเจน!

"ส่วนท่านแก่เสิ่นอะไรนั้น จะอันตรายหรือเปล่า พวกคุณไปแก้ปัญหากันเอง!" แต่จะให้เธอ อยู่ด้วยกันเช้าเย็นกับคนด้านข้างนี้ต่อไป เธอกลัวว่าสุดท้ายเธอจะทำเรื่องผิดพลาด!

เธอกลัวสุดท้ายเธอจะ……ใจอ่อน!

จะ……ใจเต้น!

เธอกลัวจะไม่อยากให้เขาความทรงจำกลับมา!

"ตอนนี้ฉันต้องไปทำงาน ก่อนเลิกงาน ถ้าเขายังอยู่ที่นี่ ฉันจะพาเขาไปส่งให้ท่านแก่เสิ่น จะมารับหรือเปล่า พวกคุณคิดเองนะ" พูดออกไปอย่างไม่แยแส เธอไม่ฟังคำพูดโน้มน้าวใดๆ ตัดสายทิ้งทันที

เที่ยวบินไฟลท์กลางคืน ยังไม่ถึงสามชั่วโมง ก็มาถึงเมือง S เมื่อออกจากเครื่องบิน ก็เป็นเวลาตีหนึ่งกว่าแล้ว

จากใต้สู่เหนือ ตอนเธอออกมาจากวิลล่าเยว่หรงเพราะจากไปอย่างเร่งรีบ จึงลืมเปลี่ยนเสื้อผ้า ทันทีออกจากสนามบิน ลมหนาวพัดเข้าไปในคอเสื้อ

วิเวียนยังไม่ได้นอน เจี่ยนถงลงจากเครื่องบิน จึงเปิดมือถือ หลังจากนั้นไม่นาน ก็พบว่ามีสายที่ไม่ได้รับเป็นจำนวนมาก และยังมีข้อความอีกมากมาย

ถ้าไม่เห็นก็จะไม่นึกถึง นิ้วเลื่อนไป เลื่อนมาถึงข้อความหนึ่ง

ทันใดนั้น ความรู้สึกที่เยือกเย็น ก็อบอุ่นขึ้น

เป็นวิเวียน "ยังไม่นอน?"

"เครื่องลงแล้วเหรอ? เดี๋ยวฉันจะไปรับคุณ"

"ไม่เป็นไร ฉันอยู่บนแท็กซี่แล้ว"

วางมือถือลง ริมฝีปากของเธอโค้งด้วยความประชดประชันอย่างไม่อาจเลี่ยงได้

คนที่เรียกว่าครอบครัวเหล่านั้น ยังสู้เพื่อนต่างสายเลือดไม่ได้เลย

ข้อความหนึ่งขู่เข็ญเธอ ต่อว่าเธอ เคียดแค้นเธอ ส่วนอีกข้อความหนึ่งรอเธอกลับมา เพื่อไปรับเธอที่สนามบิน

เมื่อไม่มีการเปรียบเทียบ จะไม่มีทางรับรู้ได้จริงๆ เมื่อไหร่ไม่รู้ ที่ความเงียบของเธอ กลับเป็นผู้ช่วยทำร้ายพวกเขา……ผิดหรือเปล่า?

เธอ ทำผิดเหรอ?

ระหว่างทาง หญิงสาวเอาแต่คิดทบทวน หรือเป็นเพราะในตอนแรกเธอผิดพลาดอย่างอ่อนแอ

จนเมื่อคนขับหยุดรถ " ถึงแล้วครับ"

เธอจึงได้สติกลับมา ตึกสูงที่คุ้นเคย บรรยากาศที่คุ้นเคย เงยหน้ามองชั้นที่ตนเองอาศัยอยู่โดยไม่รู้ตัว

ไม่มีแสงสว่าง และความมืดรอบด้าน รวมกันเป็นหนึ่งเดียว

ดูเหมือนว่า เขาคนนั้นหลับไปแล้ว ก็จริง ทำไมเขาจะต้องรอคนไกลกลับบ้านด้วย

เปิดประตูรถ เดินลงไป

ขึ้นลิฟต์ มาถึงหน้าประตูบ้าน

เปิดประตูเบาๆ

เธอไม่ได้กดสวิตช์บนผนัง อาศัยแสงไฟจากถนนที่ลอดเข้ามาทางระเบียง แสงไฟสลัว แต่เพียงพอกับสภาพแวดล้อมที่เธอคุ้นเคย เดินอย่างมองเห็นอะไรไม่ชัด

มองเห็นเงาเฟอร์นิเจอร์รางๆ ในห้อง

กลับมาจากซานย่า จนเข้ามาในบ้าน ถึงจะถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย เธอเดินไปที่ห้องรับแขก ทิ้งกระเป๋าเป้ในมือ ทำตัวเหมือนวัตถุทรงกลมขนาดใหญ่ไร้กระดูก เตรียมทิ้งตัวลงบนโซฟา

ถึงจะเห็นว่า บนโซฟามีเงาคนตะคุ่มๆ อยู่

หรี่ตาลงทันที จ้องมองสังเกตให้ดีอีกครั้ง……ไม่ใช่เหมือน นั่นเป็นคน

เส้นประสาทตึงเปรี๊ยะ ขยับเข้าไปอย่างเงียบๆ กลิ่นที่คุ้นเคย สูดดมเข้าไป นั่นคือกลิ่นแชมพูในห้องน้ำของเธอ

……เป็นเขา

คาดไม่ถึงว่าเธอจะไม่ประหลาดใจ และไม่ได้เรียกเขาซึ่งผิดไปจากปกติ

เดินเข้าไปเงียบๆ ยืนข้างโซฟา มองอยู่เงียบๆ เขาคนนั้นนอนหนุนแขนตัวเองอยู่บนโซฟา

เธอไม่รบกวน หันตัวเดินไปห้องนอน นำผ้าห่มมาห่มให้

อาจเพราะเคลื่อนไหวแรงไปหน่อย คนบนโซฟาขยับ พลิกตัว และนอนต่อ

ในขณะที่เธอหันตัว มองเห็นเคาน์เตอร์ด้านข้าง มีกับข้าววางอยู่ เหมือนตะปูตอกเท้า ตอกเอาไว้กับที่ มองกับข้าวบนโต๊ะ ยื่นมือออกไป……ร้อนอยู่?

แววตาตกตะลึงแวบหนึ่ง

"ถงถง?"

ด้านหลัง เสียงอู้อี้ดังขึ้น เขาคนนั้นอาจจะเพิ่งตื่น ร้องเรียกอย่างนุ่มนวล

เธอไม่ตอบ

"ถงถง นี่ฉันฝันอีกแล้วเหรอ?"

"?"

กลับมองเห็นเขาหยิกมือตนเอง ส่งเสียงแหบแห้งออกมา "ไม่ใช่ความฝัน ถงถง เธอกลับมาแล้ว?"

"เธอกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?"

"หิวไหม?"

"อาซิวตักข้าวให้นะ"

เธอยืนอยู่กับที่ไม่ขยับ มองดูเขาลุกขึ้น เปิดโคมไฟ เต็มไปด้วยแสงอบอุ่นสาดส่องลงมาทันที เขาคนนั้นตักข้าวให้เธอไปพลาง พร้อมกับพูดเจื้อยแจ้ว

"ถงถงไม่รู้เหรอ อาซิวทำกับข้าวได้ตั้งหลายอย่าง เรียนมาจากในโทรทัศน์"

สายตากวาดมอง ชามข้าวสวยบนเคาน์เตอร์ตรงหน้าเธอ ยังมีไอร้อนออกมา

"วิเวียนบอกว่านายกินเก่ง วิเวียนหลอกฉันหรือเปล่า?

นายเพิ่งจะกินข้าวตอนดึกเนี่ยนะ?"

"เปล่านะ

อาซิวกินแล้ว กินตั้งแต่ท้องฟ้ายังไม่มืด"

กินตั้งแต่ท้องฟ้ายังไม่มืด?

เธอทำหน้าจริงจังทันที "โกหก กับข้าวยังร้อนอยู่เลย ฟ้ามืดถึงตอนนี้ กับข้าวจะยังร้อนอยู่เหรอ?"

น้ำเสียงของเธอเฉียบขาด

เขาคนนั้นทำหน้าน้อยใจ "อาซิวไม่ได้โกหกนะ

อาซิวกินก่อนหน้านี้นานแล้ว"

"งั้นฉันก็ไม่รู้ว่า ชามในบ้านของฉัน มีฟังก์ชันรักษาอุณหภูมิ" พูดอย่างเยาะเย้ย

ใบหน้าเขาคนนั้นเต็มไปด้วยความดื้อรั้น "อาซิวไม่ได้โกหก อาซิวไม่มีทางโกหกถงถง"

"อา งั้นนายบอกฉันมา นี่มันเรื่องอะไรกัน?"

"มันร้อน พอเย็นแล้ว อาซิวก็เอาไปทำให้ร้อนใหม่"

ถึงแม้จะพูดไม่ชัดเจน แต่หญิงสาวเข้าใจ

ใจสั่นฉับพลัน…… "นาย……กับข้าวเย็นแล้ว นายก็ทำให้ร้อนใหม่?……เพราะอะไร?" เธอควบคุมหัวใจที่เต้นแรงกะทันหัน จ้องมองคนตรงหน้า ตาไม่กะพริบ

มีคำตอบหนึ่ง พรั่งพรูออกมานานแล้ว

หญิงสาวคลึงฝ่ามือ ในฝ่ามือนั้น กลับชุ่มเหงื่อโดยไม่ทราบสาเหตุ

ไม่คิดว่า……เธอตื่นเต้นจนเหงื่อออก?

เหลือเชื่อเกินไป

"รอถงถง"

เมื่อสามคำนี้ ลอยเข้าไปในหู หัวใจของเธอที่เต้นแรงมาก หยุดเต้นกะทันหัน

ก้มลง ถามอย่างใจเย็น "วิเวียนบอกนายเหรอ?ว่าคืนนี้ฉันจะกลับมา?"

เขาคนนั้นส่ายหน้า

เธอเม้มปาก "งั้นนายรู้ได้ไงว่าวันนี้ฉันจะกลับมา?"

"ไม่รู้ว่าถงถงจะกลับมาวันนี้"

เขาหมายความว่าอะไร?

ไม่รู้ว่าเธอจะกลับมาวันนี้ กลับทำกับข้าวไว้บนโต๊ะ เย็นก็เอาไปอุ่นร้อน ร้อนจนเย็น ก็เอาไปอุ่นร้อนอีกครั้ง?

"ฉันคิดว่า ถ้าถงถงกลับมา จะได้กินกับข้าวร้อนๆ " เขาคนนั้นตอบ

คำตอบกล้ำกรายเข้าสู่สมองอย่างนึกไม่ถึง เธอดูเหมือนใจเย็น กลับลุกลี้ลุกลน ลองถามหยั่งเชิง "นายทำกับข้าวทุกวัน……เพื่อฉัน?"

"ใช่แล้ว"

ฝ่ามือของเธอตึงเปรี๊ยะทันที

เสิ่นซิวจิ่น นายอย่าแน่วแน่แบบนี้ได้ไหม!

"ทุกวันกับข้าวเย็นแล้วก็อุ่นร้อน วางไว้ให้เย็นแล้วก็อุ่นร้อนอีก?"

"อืม!" เขาคนนั้นพยักหน้าจริงจัง "ฉันอยากให้ถงถงกลับมาได้กินกับข้าวร้อนๆ ที่อาซิวทำ"

จู่ๆ เธอก้มหน้าลง ถ้าเป็นไปได้ เธอไม่อยากยอมรับว่า ในขณะนี้ สิ่งนี้กวนใจเธอ และทำให้เธอลังเลอย่างคาดไม่ถึง!

หยิบชามและตะเกียบบนโต๊ะ เธอค่อยๆ กินทีละคำ

ความจริงแล้ว รสชาติของกับข้าว ค่อนข้างแย่

เขาคนนี้ไม่มีพรสวรรค์ในการทำอาหาร แต่จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่า อาหารในปาก วันนี้มีกลิ่นหอมด้วยซ้ำไป

บ้าไปแล้ว!

เจี่ยนถง เธอบ้าไปแล้ว!

ในใจร้องตะโกนคำนี้ อาหารบนโต๊ะ เธอกินหมดเงียบๆ คนเดียว

เมื่อเอนกายบนเตียง คืนนี้จิตใจว้าวุ่นมาก เธอเข้าห้องนอน เขาคนนั้นก็ทำตาม เลียนแบบทุกอย่าง ติดตามเข้ามา ในมือยังถือผ้าห่มที่เธอเพิ่งจะกอดไปห้องรับแขก

ในครั้งนี้หญิงสาวไม่ได้ดุด่าให้เขาออกไป ผู้ชายที่เหมือนเด็กคนนั้น ลูกตาดำขลับของเขา ส่องประกายอย่างรวดเร็ว เปล่งประกายไปด้วยความสุข

หญิงสาวนอนอยู่บนเตียง ในใจว้าวุ่นกลายเป็นหม้อโจ๊ก

คิดถึงความเปลี่ยนแปลงของคนนี้ตลอดหลายวันที่ผ่านมา นึกถึงคืนนั้น การรับรู้ต่อโลกใบนี้ของเขาหยุดชะงัก กลับยังคงซ่อนเธอเอาไว้ใต้ร่างกาย เผชิญหน้ากับคนชั่วร้าย รับไม้เบสบอลแทนเธอ

เขาสามารถหนีไปได้ แต่ไม่ทำ

นึกถึงเขาคนนี้ที่ตื่นมากลางดึก ช่วยทำให้ขาเธออบอุ่น……แท้จริง คนไหนคือเสิ่นซิวจิ่น?

อีกด้านของเตียงจมลง หญิงสาวตัวแข็ง คิดจะตวาดออกไปอย่างเย็นชา แต่สุดท้าย ก็หุบปากลงฉับพลัน แค่กอดผ้าห่มตนเอง ขยับหนีอีกฝั่งของเตียง พูดอย่างเย็นชา

"นอนใครนอนมัน ห้ามมาฝั่งฉัน และยิ่งห้ามโดนตัวฉัน ไม่อยากนั้นฉันจะไม่ต้องการนาย"

เขาคนนั้นอ้าปากหาว เอ่ยถามอย่างน่าเอ็นดู

"อาซิวเป็นเด็กดีเชื่อฟัง ถงถงยังจะไม่ต้องการอาซิวอีกเหรอ?"

หญิงสาวหน้าตึ้งทันที……จู่ๆ เธอก็ถูกเด็กที่เหมือนกับเสิ่นซิวจิ่น ทำให้งงงัน

พูดเสียงแข็ง "รีบนอน ถ้ายังกล้าพูดมากอีก จะจับนายโยนออกไป"

เป็นไปตามคาดเขาคนนั้นไม่พูดอะไรอีก

ในไม่ช้า เสียงลมหายใจลึกดังมาจากอีกฝั่งของเตียง หญิงสาวหันกลับมาช้าๆ จ้องมองใบหน้าของคนข้างกายที่โผล่ออกมานอกผ้าห่ม ในสายตาของเจี่ยนถง มีความซับซ้อนไม่สามารถบรรยายได้

เหลือบดูเวลา เปรียบเทียบกับเวลาของทางฝั่งอิตาลี หญิงสาวลุกขึ้น เดินออกจากห้องนอนเงียบๆ

"ไป๋ยู่สิง เรื่องทางนั้น ราบรื่นไหม?" เธอถามปลายสาย

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้คาดหวังให้เธอโทรมา

"ใกล้ถึงเวลาจั่วไพ่ของอีกฝ่ายแล้ว"

"มีเรื่องหนึ่ง ฉันคิดว่า ฉันจำเป็นต้องบอกคุณ" เจี่ยนถงพูด "หลายวันก่อนท่านแก่เสิ่นเรียกพบฉัน เขาลองถามหยั่งเชิง ซึ่งฉันคิดว่า เขาอาจจะสงสัยแล้ว

เขา……สูญเสียความทรงจำ ถ้าไม่สามารถนึกออก เกรงว่า ท่านแก่เสิ่นจะลงมือ

อีกอย่าง ร่องรอยของลู่หมิงชูกับเซียว……เซียวเหิง ก็จำเป็นต้องติดตาม รู้จักสองคนนี้ดี ต่างรู้ว่า แต่ไหนแต่ไรสองคนนี้ไม่ลงรอยกัน แต่ตอนนี้กลับไปมาหาสู่สนิทสนมอย่างผิดปกติ ตัวตนของลู่หมิงชู เป็นอะไรที่พิเศษ"

"ผมเข้าใจแล้ว ผมจะบอกซีเฉิน ในกรณีที่เรื่องทางฝั่งของผมกับเสิ่นเอ้อคลี่คลาย จะกลับประเทศทันที"

"นั่นดีมาก เขา……อยู่กับฉันที่นี่ อยู่มานานพอแล้ว" หญิงสาวเตรียมไล่คนอย่างนิ่มนวล

ทางฝั่งปลายสาย ไป๋ยู่สิงได้ฟังก็เลิกคิ้วขึ้น "โอ้~ เป็นแบบนี้นี่เอง~"

"ได้ยินว่าเจี่ยนซื่อกรุ๊ปกับเตอร์เมนกรุ๊ปทำความร่วมมือกัน มิแฟรี่มาเซ็นสัญญาเองเลยรึ?"

"คุณเฝ้าติดตามฉันรึไง?" วันนี้ตอนกลางวันเพิ่งบรรลุข้อตกลงความร่วมมือ ยังไม่ได้ปล่อยข่าวออกไปภายนอก ไป๋ยู่สิงที่อยู่ไกลถึงอิตาลีกลับรู้ก่อน?

หลอกใคร?

"เฝ้าติดตาม?

ผมอยู่อิตาลี จะไปเฝ้าติดตามได้ยังไง?

คิดมากเกินไปแล้ว

ผ่อนคลายสักหน่อย ผมแค่จะบอกคุณว่า มิแฟรี่คนนี้ เน้นความเป็นเลิศชอบพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น และนอกจากนี้ ไม่เคยเสียเปรียบ

คุณร่วมมือกับเขา ต้องเตรียมใจให้ดี ทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องทำได้เพอร์เฟค ไม่มีข้อบกพร่องใดๆ ไม่อย่างนั้น คุณรอมิแฟรี่ฉีกสัญญาได้เลย

เขาคนนี้ไม่สนใจเรื่องเงิน

แต่ชื่อเสียงของเตอร์เมนกรุ๊ปในอุตสาหกรรม ถ้าพวกเขาฉีกสัญญา คาดว่าต่อไปเจี่ยนซื่อกรุ๊ปจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เข้าสู่สถานการณ์ที่น่าอับอายซึ่งไม่มีใครสนใจ ถึงแม้พวกเขาจะเป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่ฝ่ายที่ถูกเคลือบแคลง มีเพียงเจี่ยนซื่อกรุ๊ป"

เจี่ยนถงไม่โต้เถียง สิ่งที่ไป๋ยู่สิงเรียนมาคือหมอ แต่สำหรับการค้า กลับตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นในครอบครัว คนที่สามารถเคียงข้างเสิ่นซิวจิ่นได้ จะมีบทบาทธรรมดาๆ ได้อย่างไร

"คุณเคยคบค้ากับมิแฟรี่มาก่อน?"

ปลายสาย ไป๋ยู่สิง "เอ่อ" พูดอย่างไม่ชัดเจน "ก็……ประมาณนั้น"

"แค่นี้ก่อนนะ ผมมีธุระ" ไป๋ยู่สิงรีบพูด และวางสายไป

เจี่ยนถงหาวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ง่วงนอนสุดๆ หันตัวเข้าห้องนอน

จับผ้าห่มและสอดตัวเข้าไป ช่วงต้นหนาว อากาศเย็นมาก

ความอบอุ่นภายในเตียง ขจัดความหนาวเย็นที่ติดมาจากห้องรับแขกเมื่อสักครู่

เส้นแบ่งตรงกลางบนเตียง แบ่งแยกชัดเจน……ต่อมา เธอรู้สึกตัวว่า มีเพียงเธอที่คิดว่า "ชัดเจน" เพียงแต่ หลอกตัวเองและผู้อื่น ในขณะนี้ เธอยังคงหลอกตัวเองและผู้อื่น และยังไม่เข้าใจตัวเอง

คาย์อัน เฟโรกิได้ยินคำว่านักล่าอีกครั้ง เขาพบว่า เขายิ่งไม่ชอบคำนี้

สายตาของผู้หญิงตรงหน้า ใสสะอาดหาที่เปรียบมิได้ สติปัญญาแบบนั้น ชั่วพริบตาเดียว เขาอึดอัดใจที่ถูกคนมองทะลุโดยสิ้นเชิง

เงินในอดีต โอกาสในตอนนี้ เธอบอกไม่มีอะไรต่างกัน

เขาอยากบอกว่า มี มันมีความต่าง

แต่วินาทีต่อมา ก็ไม่อาจโต้เถียงได้……จริงด้วย มีอะไรต่างกัน?

เธอพูดอย่างรื่นหู แน่นอนเขาฟังออก หากเขาไม่ได้เชี่ยวชาญตัวอักษรของประเทศเธอแบบนี้ ก็สามารถแกล้งทำเป็นฟังไม่ออก

มือ ค่อยๆ ไร้เรี่ยวแรง

ในฝ่ามือ อุณหภูมิของร่างกายไม่มีความอบอุ่นอีกต่อไป เขาจ้องมองแขนข้างนั้นของหญิงสาว น่าประหลาดใจมาก แขนเรียวเล็กแบบนี้ สามารถเติมเต็มความว่างเปล่าในฝ่ามืออย่างง่ายดายโดยไม่คาดคิด

และน่าประหลาดใจมาก แขนที่เรียวเล็กแบบนี้ เมื่อพ้นจากฝ่ามือของเขาไป มันเหมือนกับว่า ว่างเปล่าทันที

หญิงสาวตรงหน้า ในสายตาของเขา ช่างเลือนราง ไม่ชัดเจนราวกับภาพลวงตา

นักล่า?

เขารังเกียจคำนี้ขึ้นมา

หางตาจับเอาไว้ทัน การตอบสนองที่เฉลียวฉลาดของเธอ แววตาที่เรียบเฉย

เหลือบมองผมยาวสีดำถึงเอวนั้น

ไม่ยินยอม!

ไม่ยินยอมอย่างยิ่ง!

เห็นได้ชัดว่าเคยอยู่ใกล้แบบนั้น อยู่ในมือ อยู่ตรงหน้า ใกล้แค่เอื้อม!

"คุณนั่นแหละผิด" เขากล่าว "คุณขังตัวเองอยู่ในคุก คุกที่เรียกว่าอดีต เจี่ยนถง ผมมองไปข้างหน้า ส่วนคุณมองไปข้างหลัง

ดังนั้นในสายตาของคุณ จึงไม่เคยมีผมอยู่"

คาย์อัน เฟโรกิพูดประโยคนี้อย่างไม่ยินยอม ความพลุกพล่านในใจหุนหันอยากควบคุมทุกสิ่ง เขาถามผู้หญิงตรงหน้า

"แบบนี้ คุณยุติธรรมกับผมไหม?"

ไหล่ของหญิงสาวสั่นไหวเล็กน้อย ขนตาขยับเบาๆ ริมฝีปากขาวซีดเปิดออกเล็กน้อย ขมุบขมิบพักหนึ่ง……เธอ เงียบ

ลูกตาดำขยับ มองแววตาโกรธสุดขีดของฝ่ายชาย แต่เธอกลับสงบนิ่ง

"ถ้าฉันยังมีเว……" เธอนิ่งไปสักพัก แววตากะพริบแสงเล็กน้อย "ถ้าฉันเลือกได้ ฉันจะแกล้งทำตัวสูงส่งไปหามิแฟรี่ ปล่อยโอกาสความร่วมมือนี้ไป"

"อ่า~คุณไม่อยากติดค้างน้ำใจผม ถูกต้องไหม"

ใช่

เธอตอบในใจ

แต่ไม่ได้ตอบเขาไป

"คาย์อัน ยังไงก็ตาม ฉันขอบคุณการแนะนำของคุณมาก แน่นอน เมื่อทุกอย่างนี้จบลง ฉันจะตอบแทนคุณอย่างเต็มที่ เพื่อตอบแทนความเอื้อเฟื้อที่คุณช่วยแนะนำ ไม่มีทางให้คุณช่วยฟรีแน่นอน"

"ผมอยากให้คุณตอบแทนก็บ้าแล้ว!

แต่ผมต้องการการตอบแทนเพียงอย่างเดียว" ฝ่ายชายสบถอย่างฉุนเฉียว ทรวงอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง จ้องมองผู้หญิงตรงหน้า "ถ้าคุณอยากตอบแทนล่ะก็ ส่งตัวคุณมาให้ผมสิ อย่างอื่น ผมไม่รับ"

เธอปวดหัว นี่มันไม่สมเหตุสมผล

"สามปีก่อน ผมยอมรับว่าผมผิด

ประเทศจีนของพวกคุณไม่ได้มีคำที่บอกว่า การรู้จักข้อผิดพลาดสามารถแก้ตัวให้ดีขึ้นได้หรือไง?"

"คุณต้องการขังตัวเองอยู่ในอดีตตลอดไปเหรอ?"

"เจี่ยนถง!"

เขาไม่ค่อยตื่นตระหนก คาย์อัน เฟโรกิจ้องแผ่นหลังนั้น เขาคือนักล่าที่ยอดเยี่ยม เขาหักห้ามใจตนเองอยู่เสมอ แต่วันนี้ วินาทีนี้ เขาไม่ต้องการหักห้ามใจตนเองอีกต่อไป

เขาอยากปล่อยไปตามหัวใจ

เขาบอกว่าเธอคือนักพนัน แต่ในตอนนี้ เขาเอง ที่เป็นนักพนัน

ในขณะที่แผ่นหลังนั้นกำลังจะหายไปจากประตู ฝ่ายชายก้าวเท้าอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าไป กอดแผ่นหลังนั้นไว้ทันที

เจี่ยนถงตัวแข็งทื่อ เม้มริมฝีปากแน่น มือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัว จับแน่น……ผลักออกไปโดยพลัน เธอไม่คุ้นเคยกับความใกล้ชิดของคนอื่น

ในสมองออกคำสั่งให้ตนเอง

หยุดตามคำสั่ง

เธอคือผู้ดำเนินการที่มีคุณสมบัติเหมาะสม จึงต้องกำจัดอ้อมกอดเอื้อเฟื้อ……อันอบอุ่นด้านหลัง ไม่สงสัยเลยสักนิดว่า หน้าอกของคาย์อัน แผ่ความร้อนออกมา ผ่านมากี่ปีแล้ว นับวันเวลาในปีเหล่านั้น อุณหภูมิที่เธอโหยหา ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นใคร ใคร ก็ได้ทั้งนั้น

แต่วันนี้ ในวันเวลาที่ยาวนานเหล่านั้น เธอไม่คุ้นเคยกับการใกล้ชิดคนอื่น

ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาคนนี้

"ผมยอมรับว่าผมทำเรื่องต่ำช้า แต่เจี่ยนถง ได้โปรดออกมาจากกรงขังที่เรียกว่าอดีตเถอะ"

พูดถึง "กรงขัง" ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอร้อนใจไม่เป็นสุขโดยไม่ทราบสาเหตุ แม้แต่อับอายจนโกรธด้วยซ้ำไป

"มีกรงขังตั้งแต่เมื่อไหร่

ฉันไปใช้ชีวิตอยู่ในอดีตตอนไหน

คุณคาย์อัน เกรงว่าคุณจะเกิดภาพหลอน

โดยพื้นฐานแล้ว ไม่มีกรงขังที่เรียกว่าอดีตอะไรนั้น

คุณดูฉันสิ ตอนนี้มีชีวิตดีมาก"

เธอขุ่นเคือง พูดตำหนิ

พยายามดิ้นอย่างรุนแรง จากอ้อมกอดกว้างใหญ่นั้น ต้องการดิ้นออกมา

"ฉันไม่เข้าใจคำพูดของคุณ ฉันรู้เพียง ตอนนี้ฉันมีชีวิตดีมาก"

"มีชีวิตดีมาก?จริงรึ?เจี่ยนถง คุณมันหลอกตัวเองและคนอื่น!คุณมีชีวิตดีมากจริงเหรอ?อาการป่วยของเจี่ยนโม่ป๋าย เรื่องเหล่านั้นของคนในบ้านคุณ

เจี่ยนถง คุณยังกล้าพูดว่ามีชีวิตดีมากอีกเหรอ?"

ชายหนุ่มห้ามปากไม่ได้ เมื่อพูดออกไป เขาปิดปากทันที บังคับให้ตนเองใจเย็น และหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง กลับสัมผัสได้ถึงผมยาวนั้น ดวงตาเปล่งประกาย หลุดปากถามออกไป

"ไม่ได้มีชีวิตอยู่ในอดีตจริงๆ เหรอ?

งั้นทำไมคุณถึงไว้ผมยาว? คุณรอใคร?

รอเสิ่นซิวจิ่น?

เขาดีขนาดนั้นเลยรึไง?"

เจี่ยนถงหน้าซีดฉับพลัน เลือดฝาดที่เห็นด้วยตาเปล่าหายไปจากใบหน้าเล็กๆ อย่างรวดเร็ว

"ปล่อย!"

หวาดกลัว จิตใจวุ่นวาย เสียสติ

หนี

หนีเถอะ

หนีไปซะ ก็จะดีเอง

หนีไปซะ ก็จะลืม

ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ก็จะไม่เสียศูนย์จนวุ่นวายแบบนี้ จะไม่หายใจไม่ออกจนแน่นหน้าอก

เธอคิดแบบนี้และทำเช่นนี้

ในวินาทีที่เธอหนี สายตาของคาย์อันมีความไม่ยินยอม!

เขาไม่เชื่อ!

เขาไม่มีตรงไหนด้อยกว่าเสิ่นซิวจิ่น

เงิน อำนาจ ภาพลักษณ์ สิ่งที่ชายผู้ประสบความสำเร็จควรมี เขาไม่มีอะไรขาด

ผู้หญิง ถ้าเขาต้องการ ไม่เคยไม่ได้

ความปรารถนาอยากเอาชนะของผู้ชาย บางครั้งน่ากลัวมากจริงๆ น่ากลัวจนทำให้ตนเองตามืดบอด ในขณะนี้สายตาของคาย์อัน เฟโรกิเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม การดิ้นรนของเธอ บดขยี้ความปรารถนาอยากเอาชนะที่สืบทอดในสายเลือดของเขา เผาไหม้จนลุกโชน

"คุณไม่กลัว ผมฉีกสัญญาเหรอ?ความร่วมมือระหว่างพวกเราสองบริษัท จะต้องหยุดลงตรงนี้?"

เจี่ยนถงสูดลมหายใจ…… "ถ้าต้องการฉีกสัญญาฝ่ายเดียว เกรงว่าอีกฝ่ายจะต้องชดใช้ค่าเสียหายอย่างสูง"

เธอพูดความจริงอย่างเยือกเย็น

ริมฝีปากบางของชายหนุ่มยกขึ้นเบาๆ เผยรอยยิ้มสบายๆ

"ผมไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงิน

แต่เจี่ยนซื่อกรุ๊ปต้องการร่วมมือกับทางฝั่งผม จะว่าไปสิ่งที่ให้ความสำคัญจริงๆ คือเทคโนโลยีที่เป็นหัวใจสำคัญของทางฝั่งผมใช่ไหม?

เงินทุนของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปขาดช่วง เงินค่าชดใช้ทางฝั่งพวกเรา ไม่สามารถเติมเต็มได้

สิ่งที่เจี่ยนซื่อกรุ๊ปให้ความสำคัญคือการแบ่งปันเทคโนโลยีที่เป็นหัวใจสำคัญทางฝั่งผมหลังจากความร่วมมือ นั่นถึงจะเป็นเงื่อนไขจำเป็นที่จะช่วยเจี่ยนซื่อกรุ๊ปหลุดพ้นจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก"

เจี่ยนถงกลืนน้ำลาย เธอไม่มีอะไรจะเถียง สิ่งที่เธอกับเจี่ยนซื่อกรุ๊ปให้ความสำคัญอย่างแท้จริง คือหลังจากทำความร่วมมือแล้ว แบ่งบันเทคโนโลยีที่เป็นหัวใจสำคัญของอีกฝ่าย

สถานการณ์ที่ยากลำบากของเจี่ยนซื่อกรุ๊ป เงินชดเชยเล็กน้อยไม่สามารถชดเชยส่วนที่ขาดได้แน่นอน

"คุณรู้นานแล้วเหรอ?" ใช่แล้ว ผู้ชายคนนี้ฉลาดเช่นนี้ ทำไมจะดูไม่ออก ถึงแม้เธอจะอยู่ในช่วงเริ่มต้นของความร่วมมือ เมื่อเซ็นสัญญา ก็ไม่ได้ปกปิด แต่ในขณะนี้ รู้สึกว่าถูกคนจับจุดอ่อนได้อย่างแท้จริง

"ถ้าใช่ล่ะ? คุณจะเลือกอะไร?"

สายตาเฉียบแหลมของเขาจ้องมองผู้หญิงตรงหน้า

ใช่ เขาน่ารังเกียจ

คาย์อันกลับไม่รู้ว่า เขาในเวลานี้ ยิ่งเหมือนนักพนันยืนอยู่บนหน้าผา เขากำลังเดิมพันโอกาสสุดท้าย ถึงแม้ โอกาสที่มาจะน่าชังและไร้ร่องรอย

ถึงแม้ ดูเหมือนเขาจะรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ทว่า นี่เป็นโอกาสสุดท้าย เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ก็ต้องโผเข้าไป

คาย์อัน เฟโรกิในขณะนี้ แค่ยึดติดกับความไม่ยินยอมและความปรารถนาที่จะเอาชนะ แค่ปรารถนาที่จะเอาชนะเหรอ?

ทั้งสองในเวลานี้ ใครก็ไม่มีทางคิดถึงปัญหาข้อนี้ ไม่เคยคิดมาก่อน และไม่มีเวลาไปคิดถึงมัน

มือของเจี่ยนถง หยิกเนื้อกลางฝ่ามืออย่างรุนแรง จนเลือดแทบจะไหลออกมา

ในวินาทีนี้ เธอจงเกลียดจงชังเจี่ยนเจิ้นตงอย่างไม่คาดคิด

ถึงแม้ในตอนแรกเจี่ยนเจิ้นตงจะไม่แยแสเธอ เธอก็แค่ผิดหวัง รู้สึกถูกทอดทิ้ง หลังจากตนเองด้านชาก็เลือกเป็นคนแปลกหน้ากับเจี่ยนเจิ้นตง

ถึงแม้รับช่วงต่อบริษัทมา สังเกตเห็นเจี่ยนเจิ้นตงแอบโยกย้ายเงินสดของเจี่ยนซื่อกรุ๊ป ส่งผลให้เงินทุนของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปขาดช่วง เธอก็ไม่เคยเป็นเช่นนี้ จงเกลียดจงชังเจี่ยนเจิ้นตง

ถ้าเงินทุนของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปไม่ขาดช่วง เช่นนั้น เธอก็ไม่ต้องเลือกแบบนี้

ตัวเลือกนี้ ยากลำบากมาก ด้านหนึ่งคือพนักงานหลายพันชีวิต หลายพันครอบครัว แถมยังมีบิลค่ารักษาในโรงพยาบาลที่รออยู่……

ด้านหนึ่งคือการประนีประนอม เธองุนงง……เหมือนกลับไปตงหวงเมื่อสามปีก่อนอีกครั้ง ต้องจำยอมประนีประนอมกับเงินตรงหน้าขายทุกสิ่งทุกอย่าง

จะต้อง……กลับไปเป็นแบบนั้นอีกเหรอ?

จะเลือกอย่างไรดี?

สูดลมหายใจเข้าลึก มองไปข้างหน้า "คุณต้องการทำแบบนี้จริงเหรอ?"

อีกฝ่ายไม่ตอบ กลับถามว่า "เสี่ยวถง คุณจะเลือกยังไง?"

เธอเงียบไม่พูดจา เอื้อมมือออกไป ไม่พูดอะไรสักคำ เปิดประตูตรงหน้า

ผู้ชายด้านหลังร้อนใจทันที

เขาไม่เชื่อ!

และยิ่งไม่ยินยอม!

ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ ก็ไม่อาจทำให้เธอมองเขาได้เลยรึ?

จับศีรษะของหญิงสาวเอาไว้ทันที ใบหน้ารูปงาม กดลงไป ริมฝีปากบางประกบริมฝีปากของหญิงสาว ในชั่วพริบตาเดียวที่สัมผัส เหมือนเขาเป็นเด็กคนหนึ่ง ได้รับลูกกวาดที่วอนขอมานาน สั่นสะท้านอย่างรุนแรง ความเสียวซ่าน ส่งมาจากริมฝีปากขาวซีด สั่นไหวทันที

เขายิ่งจับศีรษะของเธอแน่นกว่าเดิม หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที……ความรู้สึกประหลาดที่ไม่อาจพูดได้พรั่งพรูออกมาในใจ

ผ่านไปอีกพักหนึ่ง ชายหนุ่มปล่อยศีรษะของหญิงสาวอย่างพ่ายแพ้ ถอนริมฝีปากออกมา มองผู้หญิงคนนั้น สบเข้ากับดวงตาที่ใสสะอาดของเธอ ความเจ็บปวดทรมานในแววตาของเขาหายแวบไป

"ทำไมถึงไม่หลบ?"

หญิงสาวแค่หรี่ตาลงเบาๆ "พอใจหรือยัง?" เสียงอันหยาบกระด้าง ในขณะนี้ ในพื้นที่จำกัดนี้ ดังก้องอย่างนุ่มนวล

กลับเหมือนมีดคม แทงเข้าไปในหัวใจของผู้ชายอย่างไร้ความปรานี

เลือดฝาด จากบนใบหน้าหล่อเหลาคมสันของฝ่ายชาย หายไปอย่างรวดเร็ว

เขาหน้าขาวซีด จ้องมองผู้หญิงที่ดูใจเย็น กัดฟันกรามแน่น จนแทบส่งเสียงเอี๊ยด สุดท้ายก็ปล่อยมืออย่างห่อเหี่ยว หลับตาลง

ปกปิดความเจ็บปวดในแววตาที่คนอื่นไม่รู้

ความปวดร้าวที่หัวใจ ความรู้สึกแบบนี้ คนอย่างเขา ในชีวิตนี้ ไม่เคยได้ลิ้มลอง

ความเจ็บปวดใจ เจ็บกระดูกซี่โครง เจ็บอวัยวะภายในไปหมด ร่างกายของคนเรา แปลกประหลาดเสียจริง เจ็บแค่ที่เดียว กลับเจ็บไปทุกที่ แม้แต่แผ่นหลัง ก็เหมือนถูกสิ่งของอะไรสักอย่าง กดอัดจนปวดร้าวหาที่เปรียบมิได้

เวลาผ่านไปนาทีต่อวินาที ไม่มีใครทำลายความเงียบ พื้นที่ที่จำกัดนี้ เสียงหายใจของสองคน ยิ่งเงียบ

ประตู ถูกเปิดออกอย่างเงียบๆ เกิดเสียงเล็กน้อย

มือถูกจับเอาไว้แน่นโดยพลัน เธอตกใจ หันไปมอง "คุณ……"

ส่งเสียงออกไปแค่คำเดียว เสียงนั้น หายไปในลำคอ ยากที่จะด่าโพล่งออกไปอีก

ผู้ชายตรงหน้า ขมวดคิ้วแน่น ขอร้องเธออย่างอวดดีหาที่เปรียบมิได้ "เจี่ยนถง ผมหิวแล้ว ผมอยากกินบะหมี่ คุณต้มให้ผมกินอีกครั้ง"

เชิดคางขึ้นแบบนั้น เป็นคำสั่งที่หยิ่งยโสหาที่เปรียบมิได้ แต่ในชั่วพริบตาเดียว เธอสัมผัสได้ถึงรอบตัวของผู้ชายตรงหน้าอย่างชัดเจน ปกคลุมไปด้วยหมอกความกดอากาศสีเทา มีการกีดกัน มีความอึดอัดใจ และยังมีความ……สิ้นหวัง

ภาพลวงตาเหล่านี้ เธอหรี่ตาลง กะพริบตาเบาๆ

"ได้" ผ่านไปครู่ใหญ่ หญิงสาวตอบตกลง

ณ ห้องครัวของวิลล่าเยว่หรง

เคยได้ยินการเหมาหอประชุม ร้านอาหาร ชายหาด แต่วันนี้ สิ่งที่ถูกเหมา กลับเป็นห้องครัวของวิลล่าเยว่หรง

อุปกรณ์ครบครัน สะอาดสะอ้าน

หญิงสาวอยู่เตา เทน้ำลงไปเงียบๆ ใส่บะหมี่และเครื่องปรุงลงไป และไม่ไกลจากตรงนั้น ชายหนุ่มนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารที่ย้ายมาชั่วคราวมองผู้หญิงหน้าเตาเงียบๆ

ฉากตรงหน้า เหมือนย้อนกลับไปสามปีก่อน เพียงแต่ เมื่อสามปีก่อน เธออยู่ในห้องครัว มีประตูกั้นไว้ ส่วนเขาอยู่ในห้องรับแขก และตึกอพาร์ตเมนต์เก่านั้น ดูล้าสมัยมืดมน แต่ที่นี่ในตอนนี้ กว้างขวางสว่างไสว

กลิ่นหอมที่คุ้นเคยลอยแตะจมูก ชายหนุ่มสูดดมทันที เขาเคยกินบะหมี่ของเธอมามาก ตอนนั้นแค่รู้สึกอยากเปลี่ยนรสชาติเป็นครั้งคราว ดูเหมือนจะรสชาติไม่เลว

ภายหลัง เขาไม่เคยกินบะหมี่อีกเลย แค่รู้สึกว่า รสชาติไม่ถูกปาก

ชายหนุ่มจ้องมองผู้หญิงหน้าเตาที่กำลังทำบะหมี่อย่างเป็นขั้นเป็นตอนโดยไม่ละสายตา ท่าทางไม่รีบร้อนของเธอนั้น เหมือนกับเมื่อก่อน

เธอผมยาว เธอผมสั้น คาย์อันมองเห็นไม่ชัดเจน ในสายตา มีเพียงแผ่นหลังที่เลือนราง

มองอย่างหลงใหล และเลื่อนลอย เขาจ้องมองแผ่นหลังนั้นไม่ละสายตา ราวกับว่ามองเธอ ราวกับว่าทะลุผ่านแผ่นหลังนั้น มองไปยังสถานที่ไกลแสนไกล

เมื่อยกบะหมี่มาเสิร์ฟ มนต์สะกดของชายชราถูกทำลายลงทันที……เขาหรี่ตาลง สายตาอยู่ที่ชามบะหมี่ร้อนๆ ตรงหน้า……ไม่ใช่สามปีก่อน ไม่ใช่ตึกอพาร์ตเมนต์เก่านั้น

ชามและตะเกียบจัดวางตรงหน้าชายหนุ่ม เขากลับลุกขึ้นฉับพลัน เดินย้อนกลับไป เมื่อเดินกลับมา ในมือมีชามสองใบ

มือของเขามั่นคงมาก แบ่งบะหมี่ร้อนๆ ตรงหน้าออกเป็นสองส่วน นำอีกครึ่งใส่ในชามเปล่าที่เขานำกลับมา เหลือบเห็นว่า มีต้นหอมลอยอยู่บนน้ำซุป

มือของเขายิ่งมั่นคง และมีความอดทนสูง นำต้นหอมในชาม ย้ายไปอีกชาม ถึงจะผลักไปตรงหน้าเธอ พูดเบาๆ "กินเป็นเพื่อนผมนะ"

ถึงจะนั่งลงไป หยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างเชื่องช้า กินต้นหอมที่ลอยอยู่เต็มชามเงียบๆ

ชำเลืองดู เห็นหญิงสาวตรงข้ามที่ถูกพูดถึง นั่งลงเงียบๆ เมื่อหยิบตะเกียบกินบะหมี่ ชายหนุ่มละสายตาทันที ความสนใจทั้งหมด จดจ่ออยู่ที่บะหมี่ตรงหน้า ราวกับว่า ในเวลานี้ โลกทั้งใบของเขา มีเพียงบะหมี่ตรงหน้าชามนี้ ไม่มีอย่างอื่นอีกแล้ว

บะหมี่หนึ่งชาม กลับมีความเร็วเหมือนรับประทานอาหารฝรั่งเศส ช้ามาก

เมื่อเห็นว่าชามว่างเปล่า ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นทันที เห็นอีกฝ่ายวางชามและตะเกียบลง หญิงสาวนั่งเงียบ จู่ๆ ก็ตะโกนขึ้นมา

"คุณไปเสียเถอะ และอย่ากลับมาอีก!"

หญิงสาวฝั่งตรงข้ามได้ยิน มองอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง จากนั้นลุกขึ้นเงียบๆ "ขอบคุณนะ ขอโทษด้วย" ตั้งแต่ตอนแรกเริ่มของความร่วมมือนี้ เธอไม่ควรเริ่มความร่วมมือนี้เลย

แต่ทว่า ถ้าเวลาย้อนกลับได้ ให้เธอเลือกอีกครั้ง เธอคิดว่า เธอจะยังคงเลือกให้เจี่ยนซื่อกรุ๊ป……ร่วมมือกับบริษัทของคาย์อัน ไม่มีทางเปลี่ยน

ลูกตาดำของหญิงสาวหดตัวลง เธอดึงเก้าอี้ออก ถอยไปสามก้าว ก้มลงไป โค้งคำนับอย่างลึกซึ้ง

หันตัว ไม่หยุดอยู่กับที่

และในจังหวะย่างก้าวที่เบาบ้างหนักบ้าง สายตาของผู้ชายด้านหลังมองส่งเธอ

"เฮ้ เจี่ยนถง!"

เสียงของชายหนุ่มทุ้มต่ำราวกับเชลโลที่สวยงาม ดังขึ้นจากด้านหลังอย่างรื่นหูทันที เขามองแผ่นหลังนั้น โดยไม่สนภายในใจที่ว่างเปล่าอย่างกะทันหัน เหมือนกับว่า พลาดสิ่งที่สำคัญมากไปจริงๆ

เขาตะโกนบอกเธอ

"ผู้หญิงที่ผมต้องการ คือผู้หญิงที่ไว้ผมยาวถึงเอวเพื่อผมเดียวคนนั้น!นั่นถึงจะเป็นผู้หญิงในอนาคตของผม!"

หญิงสาวไม่หยุดเลยสักนิด หันหลังให้ผู้ชายด้านหลัง ใบหน้าเล็กๆ อิ่มเอมด้วยรอยยิ้ม และความอ่อนโยน "ขอให้คุณมีความสุข ลาก่อน"

หน้าโต๊ะอาหาร ชายหนุ่มคีบบะหมี่คำสุดท้ายในชาม ใส่เข้าปาก ออกแรงเคี้ยว และหลับตาลง

ถ้าหัวใจว่างเปล่า เติมกระเพาะให้เต็ม

ใครเป็นคนพูดนะ?

"ไร้สาระ" ชายหนุ่มพูดเบาๆ

เขาอยู่หน้าโต๊ะอาหาร เงียบไปนาน

ทันใดนั้น ลุกขึ้นฉับพลัน ไม่หันไปมองชามสองใบบนโต๊ะ……คนที่กินบะหมี่ด้วยกัน ออกไปแล้ว บะหมี่ไม่ได้มีรสชาติที่คุ้นเคยนั้นแล้ว

เขาก้าวยาวๆ ออกไป ยิ่งเดินเร็วขึ้น เหมือนพายุฝนถาโถมเข้าไปในห้องของมิแฟรี่

โครม—-เสียงดังขึ้น เลขาธิการไม่ทันได้ตอบสนองใดๆ ก็ถูกบานประตูฟาดลงบนใบหน้าข้างหนึ่ง อลหม่านทันที "ท่านดยุกไม่ได้นะครับ คุณผู้ชายมีแขก……"

—-สายไปแล้ว

ฉากที่เลขาธิการเห็นตรงหน้า ปวดหัวจนกุมขมับเอาไว้ "ห้องนอนของคุณผู้ชายมีแขก"

บนเตียง มีความยุ่งเหยิง ปรากฏเอวของผู้ชายกำยำ ทับอยู่บนสาวสวยเซ็กซี่น่าหลงใหล ไม่ต้องคิดเลยว่า ก่อนหน้านี้ ภายในห้องเกิดอะไรขึ้น

"แค่ก—-แค่กๆ " มิแฟรี่เกาผมอย่างหงุดหงิด อารมณ์ความรู้สึกบางอย่างยังไม่บรรเทา ทันใดนั้นความโมโหก็พรั่งพรูออกมา

"Shit!นายบ้าไปแล้วเหรอ?"

ที่ปลายเตียง คาย์อัน เฟโรกิที่สูงใหญ่เหมือนกัน เดินไปตรงหน้าบาร์ เปิดตู้ และหยิบขวดวิสกี้ "ดื่มสักแล้ว?"

ความแปลกของเขา แน่นอนว่าดึงดูดความสนใจของมิแฟรี่ หรี่ตามองสักพักหนึ่ง ลุกขึ้นจากตัวหญิงสาวทันที ใส่ชุดนอนตามอำเภอใจ ดึงลิ้นชักออก เขียนเช็คหนึ่งใบ ส่งให้ตรงหน้าสาวสวยที่ไม่พอใจคนนั้น ยิ้มอย่างสุขุม กล่าวด้วยรอยยิ้มงดงาม

"คนสวย ผมคิดว่า เทียบกับผม คุณน่าจะรักเช็คใบนี้ยิ่งกว่า"

หญิงสาวหยิบเช็คอย่างเบิกบาน เก็บความไม่พอใจ เดินจากไป

"ส่งคนออกไปอย่างสุภาพบุรุษสง่างามเช่นนี้มิแฟรี่ นายมันเดรัจฉานยิ่งกว่าฉัน"

มิแฟรี่โบกมือให้เลขาธิการ เขาจึงรู้ว่าควรออกไป

"สามารถใช้เงินได้ ทำไมต้องจริงใจ?อย่างน้อย ฉันมีทุนจะเดรัจฉาน ไม่จริงเหรอ?" เขาเทให้ตัวเองแก้วหนึ่ง พร้อมกับใส่น้ำแข็ง เมื่อดื่มลงไป รู้สึกดีอย่างหาที่เปรียบมิได้ทันที ความโกรธที่ยังไม่บรรเทาเหล่านั้น ระงับเอาไว้ชั่วคราว

สามารถใช้เงินได้ ทำไมต้องจริงใจ? ……คาย์อันหัวเราะขึ้น "นายมันเดรัจฉานชัดๆ "

มิแฟรี่เลิกคิ้วอย่างตะลึง "นายเป็นคนสอนคำนี้กับฉันไม่ใช่เหรอ?"

คาย์อันยิ่งหัวเราะอย่างเจิดจ้า หากไม่สนใจความปวดร้าวที่หางตา……

"ถ้างั้น ฉันมันเป็นปีศาจจริงๆ "

"เอ๋?นายไปเจอเรื่องสะเทือนใจอะไรมา?ราชินีในดวงใจของนายนั้น?เธอทำให้นายเสียใจเหรอ?"

"มิแฟรี่ตอนนี้นึกย้อนไปในอดีต แค่รู้สึกแปลกๆ ทำไมฉันถึงคิดว่านักล่าคำนี้ เป็นเกียรติอย่างหนึ่ง?"

"โอ้ยตาย คาย์อัน!นายมันบ้าไปแล้วจริงๆ !"

……

รถแท๊กซี่คันหนึ่ง มุ่งสู่สนามบิน "วิเวียน ฉันกลับมาแล้ว ส่วนหนังสือสัญญา พรุ่งนี้คุณมาที่ห้องทำงานฉัน ฉันจะเอาให้คุณ"

ในไม่ช้า อีกฝ่ายก็ส่งข้อความวีแชทมา

"รีบขนาดนี้เลย?พรุ่งนี้ก็ได้"

"ไม่เป็นไร"

"จริงสิ หลายวันที่คุณไม่อยู่ คุณหญิงเจี่ยนมาโวยวายสองสามครั้ง ส่วนพี่ชายของคุณอาการแย่ลง"

เจี่ยนถงมองเนื้อหาข้อความ เม้มริมฝีปากแน่น

ใบหน้าเล็กๆ แน่วแน่อย่างไม่สามารถอธิบายได้

ตอบกลับไปเพียงสามคำ "เข้าใจแล้ว"

ซื้อเที่ยวบินรอบกลางคืน ก่อนขึ้นเครื่อง เธอโทรศัพท์อีกครั้ง เพื่อถามว่าหาอวัยวะที่จับคู่กับเจี่ยนโม่ป๋ายเจอหรือยัง

"พวกคุณได้โปรดรีบตามหาคนที่จับคู่กันได้สำเร็จ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย ฉันสัญญาว่าจะมอบ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ให้คุณ ฉันสามารถทำได้ทุกอย่าง และจะทำให้ดีที่สุดแน่นอน"

"คุณเจี่ยน พวกเรากำลังรีบหาให้อยู่ โปรดอย่าวิตกกังวลจนเกินไป"

หลังจากวางสาย เต็มไปด้วยความคิดหนักอึ้ง ผู้คนมากมาย จะหาคนที่จับคู่กันสำเร็จไม่ได้เลยหรือไง

จู่ๆ มือถือก็ดังขึ้น เป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก เดิมทีคิดจะกดทิ้งไป กลับไม่ระวังกดผิดเป็นรับสาย เมื่อเชื่อมต่อแล้ว เสียงที่มีความโกรธดังมาจากปลายสาย

"ทำไมถึงไม่รับสายฉัน เสี่ยวถง แกบล็อกเบอร์ฉัน แกมันเลือดเย็นเกินไป

พี่ชายของแกเหลือชีวิตอยู่อีกไม่นาน แกจะไม่สนใจคนจะเป็นจะตายก็เถอะ ทำไมต้องบล็อกเบอร์ฉันด้วย

ฉันโทรหาแกเป็นสิบครั้ง ถ้าโม่ป๋ายไม่บอกว่าแกอาจจะบล็อกเบอร์ของฉันไปแล้ว ฉันคงไม่คิดเอาเบอร์คนอื่นโทรหาแกหรอก

เสี่ยวถง แกทำแบบนี้ได้ยังไง !ไม่มีสนใจครอบครัวสักนิดเดียว?"

เจี่ยนถงถูกกระหน่ำใส่เป็นชุดจนหูอื้อ

ใช้เวลานานกว่าจะนึกขึ้นได้ เธอบล็อกเบอร์คนตระกูลเจี่ยน ไม่ใช่เพราะอย่างอื่น แต่เพราะไม่อยากถูกถล่มทั้งวัน

ปลายสายนั้น คือแม่ของเจี่ยนโม่ป๋าย และเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดเธอด้วย กลับพูดมาได้ว่าเธอเลือดเย็นเกินไป ไม่สนใจคนจะเป็นจะตาย

"งั้นทำไมคุณไม่คิดบ้าง ชีวิตของฉันสำคัญบ้างไหม?"

สุดที่จะทนได้ เจี่ยนถงตวาดใส่มือถือ

ตี๊ด—-กดตัดสายทันที จบการสนทนานี้ เธอไม่พูดพร่ำทำเพลง บล็อกเบอร์นี้ทันที

ผ่านไปไม่นาน มือถือก็ดังขึ้นอีก

"ฮัลโหล"

"แกยังบล็อกอีก!"

ตี๊ด—-วางสาย

หลังจากนั้น กลับเหมือนเข้าสู่ฝันร้ายอย่างต่อเนื่อง เธอบล็อกเบอร์นี้ อีกฝ่ายก็เปลี่ยนเป็นอีกเบอร์ บล็อกไปประมาณสิบกว่าเบอร์ อีกฝ่ายไม่ท้อแท้ แต่เธอแทบจะโกรธจนหัวเราะออกมา

อีกสายดังขึ้นมา ในครั้งนี้ เธอกดรับ ในใจคิดเดิมพัน อยากรู้ว่าในฐานะที่เป็นแม่ของเธอ ผู้หญิงที่มีสายเลือดเดียวกับเธอ ต้องการพูดอะไรกับเธอกันแน่!

"เจี่ยนถง!ฉันจะบอกแกให้นะ !ถ้าโม่ป๋ายตายไป ตระกูลเจี่ยนจะไม่มีแกอีกต่อไป!"

"ตระกูลเจี่ยน ไม่มีฉันนานแล้วไม่ใช่เหรอ?" เธอหัวเราะอย่างไม่แยแส ยังคิดว่าอีกฝ่ายจะมีวิธีการเลิศล้ำอะไร เอาชื่อออก ไม่รู้จัก ปฏิเสธ……หลายปีก่อนทำทั้งหมดนี้แล้วไม่ใช่หรือไง?

"แก……" คุณหญิงเจี่ยนพูดอ้ำๆ อึ้งๆ ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ

"ไม่ว่าอย่างไรแกก็เป็นคนตระกูลเจี่ยน เป็นน้องสาวแท้ๆ ของโม่ป๋าย แกควรจะทำเพื่อคนในครอบครัวเพื่อพี่ชายของแก ไปบริจาคไขกระดูกซะ!"

"คุณให้ฉันที่ป่วยโรคไต บริจาคไขกระดูก?"

"ฉันถามหมอมาแล้ว ไตข้างเดียวสามารถมีชีวิตอยู่ได้ คนมีไตข้างเดียวมากมายบนโลก ไม่ได้อยู่ดีมีสุขเหมือนกันหรือไง?อีกอย่าง การบริจาคไขกระดูกอาจไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น โอกาสไม่มาก แต่กลับสามารถช่วยชีวิตพี่ชายของแกได้!"

"ชีวิตอยู่ดีมีสุข?" เธอพึมพำกับตัวเอง "โอกาสไม่มาก?"

เหน็บแนมปลายสายกลับไป "คุณหญิงเจี่ยน หมอที่ไหนบอกคุณ?"

"เรื่องนี้แกไม่ต้องยุ่ง!"

ดูสิ ท่าทางแข็งกร้าวแบบนี้ แววตาของเจี่ยนถงค่อยๆ เย็นยะเยือก "ถ้าฉันไม่ล่ะ?"

อีกฝ่ายระเบิดอารมณ์ถึงที่สุด

"แกจะมาทำตัวไร้จิตสำนึกแบบนี้ไม่ได้นะ

แกยังต้องการอะไรอีก

เจี่ยนซื่อกรุ๊ปทั้งหมด ก็ยกให้แกแล้ว

เดิมทีสิ่งเหล่านี้ ทั้งหมดเป็นของพี่ชายแก!

พี่ชายของแกยกเจี่ยนซื่อกรุ๊ปทั้งหมดให้แล้ว แกก็แค่บริจาคไขกระดูกให้แค่นั้น แกไม่ยินยอมเหรอ?

เป็นคนไม่น่าจะไร้จิตสำนึกแบบนี้?

ตอนนี้ เจี่ยนซื่อกรุ๊ปเป็นของแก เงินก็เป็นของแก แกยังต้องการอะไรอีก ฉันจะให้แกทุกอย่าง ขอร้องเถอะ ช่วยพี่ชายของแกได้ไหม?"

ภายในห้องรับรองผู้โดยสารขาออกของสนามบิน หญิงสาวคนหนึ่งนั่งโดดเดี่ยวบนเก้าอี้เข้ามุม เหมือนกำลังพยายามอดทนกับอะไรสักอย่าง ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

มือที่กำเอาไว้ของเจี่ยนถง ยิ่งกำแน่น แทบจะดันแต่ละคำออกมาจากซอกฟัน "พวกคุณชอบเจี่ยนซื่อกรุ๊ปขนาดนี้ งั้นเอาไปซะ!"

ความยุ่งเหยิงนั้น เธอทุ่มเทกำลังกายและกำลังสมองมากมาย แถมยังละเมิดเรื่องที่เธอไม่ยินยอมทำอีกมาก

ต่างคิดว่าเป็นบ่อเงินบ่อทอง ฮา~!

"แกไม่เสียดายเหรอ?

ตอนแรกมุ่งมั่นขนาดนั้น ฉันไม่เชื่อหรอก ว่าเค้กที่กินเข้าปากแล้ว จะยอมคายออกมา ถ้าไม่โง่ก็โกหกแล้ว หลอกให้คนอื่นดีใจ"

หญิงสาวหลับตาลง ฟังเสียงจากปลายสาย เช่นนี้ ยังคงหดหู่เพราะสิ่งนี้อยู่เหรอ?

ยิ้มบางๆ …… "ใช่ไหมล่ะ?"

"แก แกหมายความว่าอะไร?"

เธอหรี่ตาลง เธอไม่ได้เป็นคนโง่อย่างนั้นเหรอ

กลับไม่ได้อธิบายให้คนในสายฟัง ปลายสายนั้น เริ่มข่มขู่กึ่งโน้มน้าวอีกครั้ง บอกให้เธอไปบริจาคไขกระดูกให้เจี่ยนโม่ป๋าย

ฟังคำพูดเรื่อยเปื่อยจากปลายสาย ทรวงอกของเจี่ยนถงกระเพื่อมขึ้นลงอย่างโมโหทันที!

คำพูดเย้ยหยันผุดออกมาจากฟันกรามด้านหลัง "ฝากคุณไปบอกโม่ป๋ายด้วยนะ ให้เขาทำใจตายให้สบาย"

"นังสารเลว !ทำไมฉันถึงได้คลอดสัตว์เดรัจฉานยิ่งกว่าหมูหมาอย่างแก—-"

ตู๊ดๆ ๆ ๆ —-

การเอะอะโวยวายทั้งหมด หยุดอยู่ที่เสียงตู๊ดๆ ติดต่อกัน ใบหน้าเล็กๆ ของหญิงสาว ถือทิฐิ เม้มริมฝีปากเน้น จ้องมองบรรยากาศตรงหน้าไม่พูดจา

ขอบตาของเธอร้อนผ่าว ในวินาทีนั้นเอง น้ำตาคลอเบ้า หญิงสาวกะพริบตา นั่งพิงเก้าอี้ค่อยๆ หลับตาลงเงียบๆ

บทที่31: อาลู่ อาลู่

ไป๋ยู่สิงนายนี่ช่างกล้าพูดจังเลยนะ!

ซีเฉินที่แต่ไหนแต่ไรมาก็ดูไว้ใจไม่ค่อยได้ มองไปที่ไป๋ยู่สิงก็ยังอดตัวสั่นไม่ได้

“ฮึ่มๆ ยู่สิง ฉันดูท่าตอนนี้ก็ไม่มีธุระของพวกเราแล้ว ฉันหิวข้าวแล้วว่ะ นายไปทานข้าวเป็นเพื่อนฉันเถอะ”

ไปเถอะๆ ลูกพี่ ฉวยโอกาสตอนที่เสิ่นซิวจิ่นไอ้หมอนั่นยังไม่เริ่มคลุ้มคลั่งขึ้นมา พวกเรารีบไปกันเถอะ……….ซีเฉินพูดอย่างเร่งรีบ

มันก็จริงอ่ะ เรื่องบาดหมางของเสิ่นซิวจิ่นกับเจี่ยนถง ไป๋ยู่สิงไม่รู้รึไง?

เจี่ยนถงทำให้เซี่ยเวยเหมิงตาย ตอนนั้นเจี่ยนถงยังเป็นคุณหนูของตระกูลเจี่ยน เสิ่นซิวจิ่นบอกส่งคนเข้าคุกก็ส่งเข้าคุกเลย ตอนนี้คนออกมาจากคุกแล้ว เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยคนไปอื่น

เสิ่นซิวจิ่นเกลียดเจี่ยนถงมากแค่ไหน คนโง่ก็ยังดูออก

ไป๋ยู่สิงที่แต่ไหนแต่ไรมาก็ใจดำอยู่แล้ว ทำไมถึงพูดคำพูดโง่ๆแบบนี้ออกมาได้!

ไป๋ยู่สิงไม่สะทกสะท้าน ตั้งแต่ต้นจนจบมุมปากก็ยังมีรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่งประดับอยู่ “เสิ่นซิวจิ่น นายอยากรู้ไหม?” ระหว่างเขาพูด จู่ๆนิ้วมือได้ชี้ไปทางผู้หญิงที่อยู่บนเตียง: “นายอยากรู้ความลับของผู้หญิงคนนี้ไหม?”

เขาเป็นหมอ แถมยังเป็นหมอที่มีชื่อเสียงมาก

ถ้าการตรวจเช็คของเมื่อครู่ ยังไม่สังเกตเห็นความผิดปกติล่ะก็ ถ้าอย่างนั้น ตลอดที่ทำอาชีพนี้มา ก็ทำไปอย่างสูญเปล่าแล้ว

ผู้ชายที่อยู่ขอบเตียงหรี่ตาขึ้นมา มองดูไป๋ยู่สิงอย่างละเอียด จากนั้นก็พูดออกมาคำหนึ่ง “ไม่อยาก”

ความลับของผู้หญิงคนนี้?………ถึงผู้หญิงคนนี้จะมีความลับ ก็ควรจะเป็นเขาที่รู้ก่อน แต่ไม่ใช่ไป๋ยู่สิง!

ในใจมีไฟที่ไม่มีชื่อปะทุขึ้นมา นอกจากเขาแล้ว ผู้หญิงที่สมควรตายคนนี้ยังสนิทแนบแน่นกับคนอื่นขนาดนี้ด้วยหรอ?

“ในเมื่อหิวแล้ว งั้นก็ลงไปทานข้าวซะ”

ออกคำสั่งขับไล่แขกอย่างตรงไปตรงมา ไป๋ยู่สิงกะพริบตาปริบๆ :“เฮ้ย คนแซ่เสิ่น นายยังเอาหน้าอยู่ไหมเนี่ย พอหมดประโยชน์แล้วก็ถีบหัวส่งเลย?”

“ไปเถอะ ยู่สิง”ซีเฉินรีบลากไป๋ยู่สิงไว้ และยัดไป๋ยู่สิงเข้าไปในลิฟต์

“นี่นายทำอะไรวะ!” ในลิฟต์ ไป๋ยู่สิงกลอกตาขาวใส่ซีเฉินทีหนึ่ง: “จะไปก็ไปเอง มาลากฉันทำไมวะ?”

ถูกไป๋ยู่สิงโมโหใส่แบบนี้ ซีเฉินก็ชักจะไม่พอใจแล้ว: “เฮ้ย คนแซ่ไป๋ นายอย่ามาไม่รู้ผิดชอบชั่วดีนะ! กูลากมึงมาก็เพราะหวังดีกับมึงนะเว้ย

นี่นายเป็นบ้ารึไง ที่ไปพูดแบบนั้นต่อหน้าเสิ่นซิวจิ่น ความหมายของคำพูดนายก็ไม่ใช่หมายความว่า เสิ่นซิวจิ่นคิดอะไรกับเจี่ยนถงเหรอ?

สมองนายมีปัญหารึเปล่าวะ เสิ่นซิวจิ่น เห้อ! เจี่ยนถง เห้อ!

เรื่องบาดหมางของสองคนนี้ ไม่ใช่แค่นิดๆหน่อยๆ แต่เป็นชีวิตของเซี่ยเวยเหมิงเลยนะเว้ย!

เสิ่นซิวจิ่นเกลียดเจี่ยนถงมากแค่ไหน นายไม่รู้หรือไง? ว่าจะเอาคนเข้าคุกก็เอาเข้าคุกเฉยเลย นายดูตระกูลเจี่ยนสิยังเงียบกริบไม่กล้าพูดอะไรเลย แล้วนายดูเจี่ยนถงในตอนนี้อีกซิว่ายังมีหน่วยก้านที่หยิ่งผยองเหมือนเมื่อสามปีก่อนมั้ย?

คุณหนูของตระกูลเจี่ยนในตอนนั้น นั่นคือดอกกุหลาบสีแดงดอกหนึ่งที่โอหังและถือดีในเซี่ยงไฮ้นี้ มีบุคลิกภาพที่มีความมั่นใจหยิ่งยโส ความเย่อหยิ่งของเธอ คุณชายทั้งหลายในทั่วเซี่ยงไฮ้มีใครบ้างที่ไม่รู้ แม้กระทั่งถึงขั้นยอมฮึดสู้ไม่กลัวเสียสละก็เพื่อที่จะได้พูดคุยกับคุณหนูของตระกูลเจี่ยนคำหนึ่ง……..เจี่ยนถงในตอนนั้น ดูดีไร้ที่ติ

พูดจากใจจริงเลยนะ แม้แต่เซี่ยเวยเหมิงเองที่มีเสิ่นซิวจิ่นค้ำหัวให้ ถึงแม้เซี่ยเวยเหมิงจะมีเสิ่นซิวจิ่นคอยปกป้องอยู่ เธออยู่ตรงหน้าของคุณหนูตระกูลเจี่ยนก็ยังสู้ความเจิดจรัสของคุณหนูตระกูลเจี่ยนไม่ได้

แต่นายดูอีกซิ คนที่นอนอยู่บนเตียงในวันนี้ เธอคือเจี่ยนถงจริงเหรอ?ตอนที่เห็นแว๊บแรก นายไม่ประหลาดใจเลยหรอ?

ทำจนหน้าตาเธอกลายเป็นแบบนั้น เสิ่นซิวจิ่นจะมีใจให้เธอเหรอ?”

ไป๋ยู่สิงหายใจออกแรงๆ ดวงตาทั้งคู่อดไม่ได้ที่จะกลอกตาขาวใส่………..“นายจะไปรู้ห่าอะไรวะ!”

“เย็ดแม่ง!มีอะไรไม่พูดดีๆ ทำไมดันต้องด่าคนด้วยวะ?”

“บอกว่านายจะไปรู้ห่าอะไรถือว่ายกยอนายแล้ว เอาล่ะ ฉันเลี้ยงข้าวนายเอง”

“นี่นาย……..โอเค! ฉันจะกินหมูเปรี้ยวหวานที่คุณป้าทำ”

“ไปให้พ้นเลยไป ดึกดื่นป่านนี้ นายยังจะให้แม่ฉันลุกขึ้นมาทำกับข้าวให้นายกินรึไง กินอาหารข้างทางตรงหน้าประตูเนี่ยแหละ จะกินไม่กิน ไม่กินก็ช่าง”

“กิน!”

แน่นอนว่าคุณชายสองท่านนี้ ย่อมไม่มีทางกินอาหารข้างทางจริงๆอยู่แล้ว

…………………..

ชั้นสองของตงหวง

เสิ่นซิวจิ่นยืนอยู่ที่ข้างเตียง หรี่ตามองผู้หญิงที่อยู่บนเตียง………..ความลับ?

ความลับของผู้หญิงคนนี้…….คืออะไร?

ทำไมไป๋ยู่สิงเองยังรู้เลย แต่เขากลับไม่รู้?

หยิบมือถือขึ้นมาโทรหาลูกน้อง

“Bossครับ” เสียงเคารพของเสิ่นยีก้องมาจากในสาย

“นายช่วยฉัน…….”

เสิ่นซิวจิ่นเพิ่งพูด

บนเตียงก็มีเสียงเพ้อฝันดังขึ้นมา:

“อาลู่ อย่าไป…….”

ผู้ชายที่ยกมือคุยโทรศัพท์อยู่ มือที่กุมมือถือไว้ได้จับแน่นขึ้นทันที!

“อาลู่ เราไปที่นั่นด้วยกัน ไปด้วยกันนะ……..”

ทันใดนั้น นัยน์ตาคมเข้มหดขึ้นมาทันที!

มือถือยังมีเสียงของเสิ่นยีก้องมา: “Bossครับ?”

ข้างเตียง สีหน้าของผู้ชายมีน้ำแข็งปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง เขาหลุบตามองผู้หญิงคนนั้นที่อยู่บนเตียง เสียงที่เยือกเย็นไร้ความรู้สึกได้พูดใส่มือถือคำหนึ่ง:“ไม่มีอะไรแล้ว”ก็ตัดสายทิ้งไปเลย

มือถือถูกเขาทิ้งไปข้างๆ รูปร่างสูงใหญ่จู่ๆโน้มตัวลง!

แขนที่เต็มไปด้วยพลังยื่นมือไปที่เธอ!

จับคางของคนที่อยู่บนเตียงไว้!

จู่ๆเจี่ยนถงที่อยู่ในความฝันรู้สึกเจ็บ ความเจ็บดึงเธอจากฝันร้ายกลับมาในโลกแห่งความเป็นจริง พอลืมตาขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาก็ปรากฏอยู่ที่ตรงหน้าเธอแล้ว เธอเองยังมึนกับสถานการณ์อยู่เลย

เสียงนั้น เหมือนฝันร้ายที่เธอสลัดทิ้งไม่ได้ชั่วนิรันดร์ ถามอย่างดุร้ายและเสียงดัง:

“ลืมตาดูให้ชัดๆว่าผมคือใคร!”

บนหน้าผากของเสิ่นซิวจิ่นมีเส้นเอ็นสีเขียวนูนออกมา!

อาลู่!

อาลู่? ? ?

สนิทแนบแน่นขนาดนี้แล้วเหรอ?

ไปคบหากับลูเชนตั้งแต่เมื่อไหร่!

“เจ็บค่ะ………” เจี่ยนถงขมวดคิ้ว

“เจ็บงั้นเหรอ?” เสียงที่เยือกเย็นแฝงด้วยความโกรธที่ไร้ขีดจำกัด จู่ๆเขาหัวเราะเยาะขึ้นมา: “เจ็บ? เจี่ยนถง เชื่อผม ยังมีที่ให้คุณเจ็บมากกว่านี้อีกเยอะ!”

“ดูให้ชัดๆ! คุณนอนอยู่ที่บนเตียงผม แต่ปากกลับเรียกหาชื่อคนอื่น! อาลู่? คุณสนิทแนบแน่นกับเขาขนาดนั้นเลยเหรอ?”

เจี่ยนถงสีหน้าซีดเซียว

เขารู้จักอาลู่ได้ยังไง?

ในใจเจ็บเหมือนถูกฉุดกระชากจนฉีกขาด……..อาลู่ เป็นความลับที่อยู่ในใจลึกๆของเธอที่ไม่อยากให้ใครรู้!

เป็นหนี้ของเธอ!

เป็นหนี้ที่เธอชดใช้ไม่หมด!

สีหน้าแววตาที่ตื่นเต้นและวิตกกังวลของเธอ อยู่ในสายตาของเสิ่นซิวจิ่นได้อ่านเป็นอีกความหมายหนึ่ง เขายิ่งโกรธกริ้วขึ้นไปอีก ไฟที่อยู่ในใจ ไม่รู้ว่าทำไมยิ่งอยู่ยิ่งลุกท่วมขึ้นมาอย่างแรง!

“เจี่ยนถง ประพฤติตัวดีๆหน่อย จำเอาไว้ด้วยว่าคุณคือใคร!”

สีหน้าของเจี่ยนถงซีดเซียวขึ้นมาทันที!

เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้ด่าเธอ ไม่มีคำพูดที่เหยียดหยามเลยสักคำ แต่คำๆนี้ กลับยิ่งกดทับจนเธอหายใจไม่ออก กว่าคำพูดเหยียดหยามเหล่านั้น!

เขากำลังย้ำเตือน “ความผิด”ที่เธอเคยทำ ตอนนี้เธอเป็นแค่นักโทษชั้นแรงงานคนหนึ่ง!

ความรักที่มีต่อเขา เหลือแค่ความหวาดกลัว

หลุบตาลงอย่างเงียบสงบ ขนตาบังดวงตาทั้งคู่ไว้ และกีดกั้นทุกอย่างของโลกภายนอก ก็เหมือนหัวใจที่ถูกปิดตายของเธอ…….เสิ่นซิวจิ่น ฉันรู้ ฉันเป็นแค่นักโทษชั้นแรงงานหมายเลข“9 2 6”

“คุณเสิ่น ฉันขอโทษค่ะ”

ผู้หญิงพูดจาเชื่องช้ามาก “คุณเสิ่น ฉันจำได้เสมอค่ะ ว่าฉันเป็นแค่นักโทษชั้นแรงงานหมายเลข“9 2 6” ฉัน ไม่ใช่อะไรเลยค่ะ”

เธอเงียบสงบลงมา และไม่ต้องการความสงสารเวทนาของเขา ไม่ต้องการความเข้าใจของเขา ถึงแม้ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดกันแน่ เธอก็ยังพูด:

“คุณเสิ่น ถ้าฉันทำอะไรผิดไป ไม่ว่าคุณจะลงโทษฉันยังไง ฉันได้หมด ฉันแค่ขอร้องคุณให้ฉันมีชีวิตรอดออกไปจากตงหวงเถอะนะคะ”

ตั้งแต่ต้นจนจบเขาก็ยังเกลียด!

แต่เธอจะต้องมีชีวิตต่ออยู่ เธอจะต้องมีอิสระ เธอจะ…..ไปจาก!

เธอผลักมือของเขาที่จับคางของเธอไว้อย่างช้าๆ แบกร่างกายลงมาจากขอบเตียง ภายใต้สายตาที่ตกใจของผู้ชาย เธอคุกเข่าลง ศักดิ์ศรีของเธอ……รู้สึกเหมือนนั่นเป็นเรื่องที่ยาวไกลและนานมากแล้ว

…………………..

บทที่ 1 ส่งเธอเข้าเรือนจำ

“ไม่ใช่ฉัน คุณเชื่อฉันนะ” เจี่ยนถงจ้องมองคนในรถอย่างดื้อรั้น ฝนตกกระหน่ำ กระจกรถเปียกฝน เป็นภาพเบลอ สามารถมองเห็นใบหน้าเย็นชาที่อยู่ในรถอย่างคลุมเครือ เจี่ยนถงตัวสั่นเทา ยืนอยู่นอกรถ ตะโกนเสียงดังผ่านกระจกรถ “เสิ่นซิวจิ่น! อย่างน้อยคุณก็ฟังหน่อย!”

ประตูรถเปิดออกกะทันหัน เจี่ยนถงยังไม่ทันดีใจ พลังหนึ่ง กระชากเธอเข้าไปในรถอย่างแรง เธอกระแทกเข้าไปในตัว เสื้อเชิ้ตสีขาวที่แห้งสนิท เปียกเป็นบริเวณกว้างในทันที

“เสิ่นซิวจิ่น พวกนักเลงที่ทำร้ายเวยเหมิงฉันไม่ได้เป็นคนสั่งการ……” เจี่ยนถงเพิ่งพูด นิ้วเรียวที่ทรงพลัง ก็บีบคางของเธออย่างไร้ความปรานี เสียงไพเราะสุขุมอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ก็ดังมาจากเหนือหัว “เธอชอบฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอ”

น้ำเสียงที่เย็นชา พร้อมกลิ่นยาสูบจางๆ กลิ่นอายของเขา

“อะไร?” เจี่ยนถง สับสนเล็กน้อย เธอชอบเขา คนทั้งโลกรู้ ตอนนี้เขาทำไมถึงถามอย่างนี้กะทันหัน?”

ชายหนุ่มบีบคางของเจี่ยนถงไว้ แขนอีกข้างหนึ่ง เรียวยาวทรงพลัง ยื่นเข้าหาเธอ ปลายนิ้วแตะลงบนแก้มที่เปียกฝน แล้วดูหนาวเย็นของเธออย่างอ่อนโยน เจี่ยนถง หลงทาง จมเสียชีวิต อยู่ในแววตาที่อ่อนโยนราวกับสายน้ำคู่นั้น เธอเสมือนได้ยินประโยคถัดไป ชายคนนี้ถามเธอว่า “หนาวไหม”

ทันใดนั้นชายหนุ่มก็กระจายความเยือกเย็นออกมาทั้งตัว พูดอย่างเย็นชา “เจี่ยนถง คุณชอบฉันมากขนาดนี้เลยเหรอ? ชอบมากจนฆ่า เวยเหมิงทิ้งโดนไม่คิดจะเสียดายเลย?”

ความเยือนเย็น ทะลักออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ลามไปถึงแขนขากระดูกทั้งตัวชั่วขณะ เจี่ยนถง มีสติในทันที อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะเล็กน้อย……เธอก็ว่า ความอ่อนโยนของผู้ชายคนนี้ จะมอบให้กับเธอได้อย่างไร ที่แท้นั่นมันไม่ใช่ความอ่อนโยนอะไรเลย มันเป็นเพียงรอยยิ้มของซาตานเท่านั้น

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เวยเหมิงตายจริงๆ……” เธออยากจะอธิบายเพื่อตัวเอง

“ใช่ คุณไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ เวยเหมิงตาย คุณแค่ใช้เงินจ้างพวกนักเลง ให้พวกมันข่มขืนเวยเหมิง” ดวงตาของชายหนุ่มค่อยๆเผยความโกรธแค้น ไม่ให้เจี่ยนถง ได้มีโอกาสอธิบาย มือใหญ่กระชากเสื้อผ้าบนตัวของเจี่ยนถง ขาดหลุดลุ่ย

“อ๊าก~!”

พร้อมกับเสียงกรีดร้อง เจี่ยนถงถูกผลักออกจากรถอย่างไร้ความปรานี ล้มลงกลางสายฝนอย่างน่าอนาถ เสียงเย็นชาของชายหนุ่มที่ข้างหู เด่นชัดยิ่งนักในท่ามกลางเสียงฝนตก

“เจี่ยนถง คุณหนูเจี่ยน คุณทำยังไงกับเวยเหมิงฉันก็ทำยังไงกับคุณ ความรู้สึกที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยปกปิดร่างกายไม่มิดดีไหม?”

ฮึบ!

เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นกะทันหัน มองไปในประตูรถอย่างเหลือเชื่อ ชายคนนั้นนั่งอยู่ในรถ เหลือบมองเธออย่างไม่แยแส หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา แล้วค่อยๆเช็ดนิ้ว “คุณหนูเจี่ยน ตอนนี้ฉันเหนื่อยมาก เชิญคุณกลับไป”

เสิ่นซิวจิ่น คุณฟังฉัน! จริงๆฉัน……”

“จะให้ฉันฟังคำพูดของคุณหนูเจี่ยน ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นอย่างเฉยเมย เหลือบมองไปที่เจี่ยนถง

“ถ้าคุณหนูเจี่ยนยอมที่จะคุกเข่าตรงหน้าคฤหาสน์ตระกูลเสิ่นของฉันทั้งคืน บางทีฉันอารมณ์ดี อาจจะยินดีให้เวลา คุณหนูเจี่ยน สิบนาที”

ประตูรถปิดลงในทันที ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง ถูกโยนออกจากรถ ร่วงโรยลงมาตรงหน้าของเจี่ยนถงโดนน้ำฝนทำให้เปียก”

เจี่ยนถงก้มหน้า หยิบผ้าเช็ดหน้าในน้ำฝน กำไว้ที่มืออย่างแน่น

รถขับเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น และประตูเหล็กของคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น ก็ปิดลงในท่ามกลางสายฝนอย่างไร้ความปรานี ต่อหน้าเธอ

เจี่ยนถง ใบหน้าซีดเผือด เธอยืนอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้น เดินไปที่หน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น เม้มริมฝีปากแน่น เสียงดัง “เพี้ยะ” "เข่าก็กระแทกลงกับพื้น

เธอคุกเข่า!

ไม่ใช่เพราะไถ่โทษ!

เพียงเพราะ เซี่ยเวยเหมิงเป็นเพื่อนของเธอ! เพื่อนเสียชีวิต เธอควรคุกเข่าไว้อาลัยไม่ใช่เพราะทุกคนคิดว่าเธอทำให้เซี่ยเวยเหมิงตาย!

เธอคุกเข่า!

และคุกเข่าขอร้องให้ผู้ชายคนนี้ให้เวลาเธอสิบนาที ฟังเธอพูด!

เสื้อผ้าบนร่างกายถูกฉีกขาด เสียหายหมดสภาพ สามารถปกปิดส่วนสำคัญได้อย่างฉิวเฉียด สองมือของเธอปกปิดร่างกายไว้ แต่ตัวได้ตั้งตรงไว้ เธอหยิ่งทะนงตัว แม้ว่าเธอจะคุกเข่าไว้ เธอก็ทะนงตัวไม่จำนน! ศักดิ์ศรีของเธอ ความทระนงของเธอ เธอเจี่ยนถงแห่ง หาดเซี่ยงไฮ้!

เธอคุกเข่าลงอย่างดื้อดึง ขอเพียงโอกาสหนึ่งที่จะได้อธิบายให้ชัดเจนเท่านั้น เธอไม่เคยทำ เรื่องที่ไม่เคยทำเธอไม่ยอมรับ

แต่ จะมีโอกาสนี้จริงๆไหม?

สามารถอธิบายได้ชัดเจนจริงๆไหม?

แล้วมีคนเชื่อคำพูดเธอจริงๆไหม?

ฝนยิ่งตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่เคยหยุดเลย ตั้งแต่ต้นจนจบ

……

หนึ่งคืนผ่านไป

ท่ามกลางฝนกระหน่ำ เจี่ยนถงยังคงคุกเข่าอยู่นอกคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น

สายฝนทำให้ชุดของเธอเปียกโชก เธอคุกเข่าท่ามกลางสายฝนตลอดทั้งคืน

ในที่สุดเช้าวันใหม่ก็มาถึง คฤหาสน์ตระกูลเสิ่นที่เงียบสงบทั้งคืน ในที่สุดก็มีชีวิตชีวา พ่อบ้านชราผมสีเงิน ถือร่มสีดำสมัยเก่า เดินออกมาจากคฤหาสน์

ประตูเหล็กที่ปิดตายตลอดคืน “ดังเอี๊ยด” เปิดช่องว่างออกไปทั้งสองข้าง ในที่สุดเจี่ยนถงก็มีความเคลื่อนไหว เงยหน้าขึ้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก พ่อบ้านชราที่ยืนอยู่ตรงกลางประตูเหล็ก ระบายยิ้มอยากขาวซีด

“คุณเจี่ยน คุณเสิ่นให้คุณออกไปจากที่นี่” พ่อบ้านชราหวีผมอย่างพิถีพิถัน

แม้ว่าฝนจะตก ก็ไม่เห็นผมที่ยุ่งเหยิงสักเส้น เข้มงวดเหมือนกับต้นไม้ต้นหญ้าในคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น ซึ่งมีใครตัดแต่งโดยเฉพาะ พ่อบ้านชราทิ้งเสื้อผ้าให้เจี่ยนถงชุดหนึ่ง

เจี่ยนถง ยื่นมือที่เปียกฝนมาตลอดทั้งคืน สวมใส่อย่างสั่นเทา ขยับริมฝีปากที่ขาวซีดไร้สีเลือดเล็กน้อย น้ำเสียงแหบแห้งและหนักแน่น “ฉันจะเจอเขา”

พ่อบ้านชราไม่แม้แต่จะยกหนังตาขึ้นเลย ถ่ายทอดพูดคำเดิมของเจ้าของคฤหาสน์ออกมาทีละคำไม่ตกหล่น “คุณเสิ่นบอกว่า การดำรงอยู่ของคุณเจี่ยน ทำให้สิ่งแวดล้อมของคฤหาสน์มีมลพิษ ให้คุณเจี่ยนอย่าปนเปื้อนสายตาของเขา”

ตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงตอนนี้ เจี่ยนถงไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอเลย ความเข้มแข็งที่เธอแสร้งทำขึ้นในตอนนี้ ยากนักที่จะรักษาไว้อีก ไหล่สั่นสะท้าน เผยให้เห็นหัวใจที่บาดเจ็บของเธอ

เจี่ยนถง หลับตาลง น้ำฝนเต็มใบหน้า ทำให้คนแยกไม่ออก ที่เปียกชื้นตรงหางตา ว่าคือน้ำฝนหรือน้ำตา พ่อบ้านชรามองเธอสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ เจี่ยนถง ลืมตาขึ้นอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นและพูดกับพ่อบ้านชราว่า “พ่อบ้านเซี่ย ไม่ว่าในใจคุณจะคิดยังไง ฉันไม่ได้จ้างนักเลงพวกนั้น ให้ทำลายความบริสุทธิ์ของเซี่ยเวยเหมิงไม่ว่าในกรณีใด ความเกลียดชังของคุณ ฉันไม่สามารถยอมรับได้ โดยไม่มีคำร้องเรียนใดๆ”

แม้ว่าเจี่ยนถงจะเหนื่อยล้า แต่ก็พูดออกมาทีละคำ ได้อย่างชัดเจน พูดชัดถ้อยชัดคำ……นี่คือผู้หญิงที่ยอมก้มหัวชั่วคราว แต่ก็เต็มไปด้วยความทระนง

ในที่สุดพ่อบ้านชราก็มีปฏิกิริยาอย่างอื่น นอกจาก “เฉยเมย” คิ้วสีเทาขมวดมุ่น แววตาที่จ้องมองเจี่ยนถงเต็มไปด้วยความรังเกียจ

“เวยเหมิงคือลูกสาวของฉัน เธอน่ารักเชื่อฟังตั้งแต่เล็กจนโต เธอไม่เคยย่ามเข้าไปในสถานที่วุ่นวายและสกปรก อย่างพวกร้านบาร์สถานบันเทิงกลางคืน แต่เธอกลับถูกพวกนักเลงย่ำยีจนตาย ในสถานที่ที่พวกนักเลงชั้นต่ำเข้าออกแบบนั้น

คุณเจี่ยน เราตรวจสอบการประวัติการโทรของเธอ ก่อนเกิดเหตุ เธอเคยโทรหาคุณ ส่งข้อความถึงคุณ เนื้อหาของข้อความคือ ฉันมาถึง ‘เย่สื้อ’แล้ว เสี่ยวถง คุณอยู่ไหน?”

แววตาที่พ่อบ้านชราจ้องไปที่เจี่ยนถงเกลียดเธอถึงกระดูกดำ “คุณเจี่ยน ที่คุณทำให้ตายไม่ใช่ลูกหมาลูกแมว แต่คือคนตัวเป็นๆ! คนก็ได้ตายไปแล้ว คุณยังมาต่อล้อต่อเถียง! ใครก็รู้ว่าคุณเจี่ยนคลั่งไคล้คุณเสิ่น และในใจของคุณเสิ่น มีเพียงลูกสาวของฉัน เซี่ยเวยเหมิง เท่านั้น ขยะแขยงในความหลงใหลคลั่งไคล้ของคุณยิ่งนัก คุณอิจฉาเวยเหมิงชัดๆ แล้วยังปรารถนาแต่ไม่สมหวังต่อคุณเสิ่น เลยอยากจะทำลายความบริสุทธิ์ของ เวยเหมิง ความร้ายกาจของคุณเจี่ยน ให้คนไม่กล้าสรรเสริญ!”

เจี่ยนถงไร้คำพูดไร้คำตอบ เซี่ยเวยเหมิงเป็นลูกสาวของ พ่อบ้านเซี่ย เป็นสุดที่รักของเสิ่นซิวจิ่น ส่วนเธอ เจี่ยนถง เป็นนางรองที่รักเสิ่นซิวจิ่นข้างเดียว ตอนนี้ล่ะ เซี่ยเวยเหมิงตายไป เธอเจี่ยนถง ไม่เพียงเป็นนางรองเท่านั้น แต่ยังเป็นนางรองที่อำมหิตอีกด้วย

“คุณเจี่ยน เชิญคุณออกไป” พ่อบ้านชราพูดขึ้น “ใช่แล้ว คุณเสิ่น ให้ฉันฝากบอกคุณเจี่ยน คำหนึ่ง”

เจี่ยนถงมองไปที่พ่อบ้านชราในทันที

“คุณเสิ่นบอกว่า คนที่ตายไปทำไมไม่ใช่คุณ?”

ร่างที่คุกเข่าบนพื้นของเจี่ยนถง ประคับประคองไม่ไหว เริ่มสั่นสะเทือน ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงส่งมาจากหัวใจ

พ่อบ้านชราหันกลับไป มุมปากที่เหี่ยวย่น ยกโค้งขึ้นอย่างเยือกเย็น ทำให้หน้าที่เคร่งขรึม ดูเย็นชาและโหดร้าย

เวยเหมิงถูกเจี่ยนถงทำให้ตาย เขาเจ็บใจ เขาเกลียดความอำมหิตของ เจี่ยนถง

เจี่ยนถงพยุงร่างที่เย็นจนถึงกระดูก ยืนขึ้นมาอย่างโซซัดโซเซ เพิ่งจะยืนขึ้น ขาชาจนกระแทกสะโพกลงบนพื้นยางมะตอยที่แข็งและเย็นในทันที หัวเราะเยาะตัวเอง……คนที่ตายไป ทำไมไม่ใช่คุณ?

เหมือนกับคำพูดที่ผู้ชายคนนั้นจะพูดได้จริงๆ เจี่ยนถง เผยรอยยิ้มที่น่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้ “เวยเหมิงเอ้ยเวยเหมิง ความตายของคุณ ฉันกลายเป็นโดนผู้คนนับพันประณามชี้หน้าด่ากราด”

บนชั้นสองของคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น ชายหนุ่มรูปร่างสูงตระหง่าน สัดส่วนได้รูป ชุดนอนสีดำปกคลุมไว้บนตัวตามอำเภอใจ โดยเท้าเปล่า ร่างสูงใหญ่ที่เย้ายวน ยืนเงียบสงบอยู่ตรงหน้าหน้าต่างบานใหญ่ จ้องมองนอกของคฤหาสน์อย่างเย็นชา เงาด้านหลังท่ามกลางสายฝนนั้น

“คุณเสิ่น คำพูดที่คุณกำชับ ได้ส่งต่อให้กับ คุณเจี่ยน โดยไม่ตกหล่นสักคำ” พ่อบ้านชราขับไล่เจี่ยนถงออกไป ยืนอยู่ที่ประตูห้องนอนใหญ่อย่างเงียบๆ

เสิ่นซิวจิ่นเขย่าแก้วไวน์ในมือ เมื่อได้ยินคำพูดของพ่อบ้านชรา ถึงได้ดึงสายตาที่จ้องมองเจี่ยนถงอย่างไม่แยแส ฝีปากบางๆ ได้ออกคำสั่งชุดหนึ่งอย่างเย็นชา “แจ้งคนในตระกูลเจี่ยน ต้องการได้ เจี่ยนถง ก็ไม่มีตระกูลเจี่ยนต้องการตระกูลเจี่ยน ต่อจากนี้ไป ตระกูลเจี่ยนก็ไม่มีคนที่ชื่อเจี่ยนถง”

“ครับ”

ข้อสอง แจ้งมหาวิทยาลัย S มหาวิทยาลัย S ไม่มีประวัติของ เจี่ยนถง แจ้งโรงเรียนมัธยมที่หนึ่ง เจี่ยนถงถูกไล่ออกจากโรงเรียนเพราะความสำส่อนและทะเลาะวิวาทระหว่างเรียน การศึกษาสูงสุดของเธอ มัธยมต้น”

“ครับ”

“ข้อสุดท้าย” เสิ่นซิวจิ่นพูดอย่างเย็นชา “ส่งเธอเข้าเรือนจำ”

พ่อบ้านชราได้ยินแล้ว ก็เงยหน้าขึ้นกะทันหัน ตะลึงไปชั่วขณะ “คุณเสิ่น?”

“ฆ่าคนชดใช้ด้วยชีวิต จ้างคนฆ่าผู้อื่น ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ส่งเธอเข้าเรือนจำ ติดคุกกินข้างแดงสามปี ทำไม? พ่อบ้านเซี่ยคิดว่าฉันทำไม่ถูก?” เวลาสามปีนี้ คือเสิ่นซิวจิ่น กำหนดให้กับเจี่ยนถงหลักฐานที่มีอยู่ไม่เพียงพอ แต่เสิ่นซิวจิ่นมั่นใจอย่างโกรธแค้น

“ไม่ คุณเสิ่นทำได้ถูกต้องมาก…… ขอบคุณคุณเสิ่น ฮืมไป” พ่อบ้านชราน้ำตาไหลพราก ถึงกับร้องไห้ออกมา “ถ้าไม่ใช่คุณผู้ชาย ความผิดที่ เจี่ยนถงกระทำต่อเวยเหมิงจะไม่ได้รับการลงโทษแน่นอน เจี่ยนถงเป็นคนของตระกูลเจี่ยน ฉันไม่สามารถทำอะไรกับ เจี่ยนถงได้เลย ขอบคุณคุณผู้ชาย ขอบคุณคุณผู้ชาย ฮืมๆๆ~”

เสิ่นซิวจิ่นหันกลับไป ยืนอยู่ตรงหน้าหน้าต่างบานใหญ่ มองไปที่ถนนยางมะตอยด้านล่าง เงาร่างนั้นหายไปตรงทางโค้ง ใต้ตามืดครึ้ม นิ้วเรียวจับแก้วไวน์ไว้ ไวน์สีแดงสด กลืนลงไปในท้อง ไม่เหลือสักหยด

“พ่อบ้านเซี่ย ฉันลงมือสั่งสอนเจี่ยนถงไม่ใช่เพราะว่าเวยเหมิงเป็นลูกสาวของคุณ แต่เป็นเพราะว่า เวยเหมิงเป็นผู้หญิงที่ฉันถูกใจ” เสิ่นซิวจิ่นค่อยๆพูดขึ้น

……

เจี่ยนถงลากร่างที่อ่อนล้า กลับไปถึงตระกูลเจี่ยน

ไม่สามารถก้าวเข้าไปในประตูบ้านของ ตระกูลเจี่ยน อีกต่อไป พ่อบ้านชราที่รับใช้ตระกูลเจี่ยนมาตลอดชีวิต ได้ฝากคำพูดเดิมของ เสิ่นซิวจิ่นมาให้ เจี่ยนถง ก็ถูก “เชิญ” ออกจากตระกูลเจี่ยนอย่างอ้อมค้อม ตั้งแต่ต้นจนจบ เธอไม่เห็นแม้แต่เงาของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเลย

หวาดกลัวเสิ่นซิวจิ่นขนาดนั้นเลยหรือ? เจี่ยนถงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย…… ดึงสายตากลับมา ประตูเหล็กบานนั้น ตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับตระกูลเจี่ยน ตัดขาดทุกสิ่งที่เป็นของเธอในอดีต

เจี่ยนถงพูดไม่ออก ว่าตอนนี้คือความรู้สึกอย่างไร ทันทีที่หันกลับไป ก็มีชายสองคนในเครื่องแบบตำรวจขวางเธอไว้ “คุณเจี่ยน เนื่องจากคุณจ้างคนและสั่งการให้คนอื่นทำลายความบริสุทธิ์ของคุณ เซี่ยเวยเหมิง ทำให้คุณ เซี่ยเวยเหมิง เสียชีวิตโดยอุบัติเหตุ ตอนนี้เชิญ คุณไปกับเรา”

ก่อนที่จะถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ เจี่ยนถงได้พบกับเสิ่นซิวจิ่น ผู้ชายคนนั้น รูปร่างที่กำยำ ได้ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง

เจี่ยนถงส่ายหัวและพูดอย่างหนักแน่น “ฉันไม่เคยทำร้ายเวยเหมิง”

ร่างสูงตระหง่านของเสิ่นซิวจิ่นเดินขึ้นไปหา เจี่ยนถงอย่างใจเย็น เจี่ยนถงบอกตัวเองว่าไม่ต้องกลัว เธอบริสุทธิ์ เธอไม่ได้ทำผิด

ใบหน้าเล็กที่บอบบางประณีต เงยขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว พยายามตั้งสติ แต่ไหล่ที่สั่นไหว ก็ยังคงทรยศความตื่นเต้นของเธอ……ทั้งหมดนี้ถูกจับโดยดวงตาคู่คมเฉียบ

…………….

บทที่ 2 เป็นคำสั่งของ คุณเสิ่นทั้งหมด

สายตาของเสิ่นซิวจิ่น พาดผ่านความประหลาดใจ……จนถึงตอนนี้ ยังต้องพยายามรักษาศักดิ์ศรีของเธอหรือ?

ก็ใช่ เธอคือเจี่ยนถง ผู้หญิงคนนี้หยิ่งผยองและทะนงตัวมาตลอด แม้ว่าสารภาพแล้วถูกเขาปฏิเสธ ก็ไม่เป็นไรเลยสักนิด

เสิ่นซิวจิ่นจับคางที่บอบบางของเธอไว้อย่างว่องไว

“อืม ~ เจ็บ!” มือที่จับคางไว้ เหมือนกับคีมเหล็ก แรงที่จับคางของเจี่ยนถงไว้ ราวกับจะบดขยี้คางของเธอ เจี่ยนถงเจ็บจนน้ำตาเอ่อล้น

อีกฝ่ายไม่ทะนุถนอมเลย บีบคางเธอแรงขึ้นเรื่อยๆ “ใครจะคิดว่า ภายใต้ใบหน้าที่สวยงามนี้ ซ่อนจิตใจที่เลวทรามอำมหิตไว้?”

“ฉันไม่เคยทำร้าย เวยเหมิงจริงๆ!” เจี่ยนถงกัดฟันไว้ เจ็บปวดจนสีหน้าขาวซีด “คุณส่งฉันเข้าคุกอย่างนี้ไม่ได้ ไม่มีหลักฐาน”

“ไม่ ฉันทำได้” เสิ่นซิวจิ่นหัวเราะเยาะ พูดทีละคำอย่างโหดร้าย “ถ้าอย่างนั้น เจี่ยนถง คุณเจี่ยน ต่อไปก็เชิญคุณใช้ชีวิตในคุกอย่างมีความสุข” เสิ่นซิวจิ่น ปล่อยคางของเธอออก หันหลังโบกมือ เดินอย่างสง่าผ่าเผยยิ่งนัก

เขากำลังแก้แค้นเธอ ใบหน้าของเจี่ยนถง ขาวซีด ไม่สามารถพูดอะไรได้สักคำ

เรือนจำหญิงไม่ได้สงบสุขอย่างที่คิด ในคืนแรกที่เธอเข้ามาในเรือนจำ ถูกคนลากขึ้นมาจากความฝัน

“พวกคุณ พวกคุณจะทำอะไร?” เจี่ยนถงมองผู้ต้องขังที่มีเจตนาร้าย ได้ล้อมรอบเธออยู่ตรงหน้าอย่างระแวง

“พวกคุณอยากทำอะไรนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะเรียกผู้คุมเรือนจำ”

นักโทษหญิงที่อยู่รอบข้าง ได้ยินคำพูดของเธอ ไม่เพียงแต่ไม่จะกลัว แต่ละคนยังมองหน้ากันไปมา “ฮ่าๆๆ” หัวเราะเสียงดัง สาวใหญ่หนึ่งในนั้น ชี้ไปที่ใบหน้าของเจี่ยนถง “แกพูดอะไรนะ? เรียกผู้คุมเหรอ? ฮ่า?……ฉันได้ยินไม่ผิดใช่ไหม? แกจะเรียกผู้คุม?” ขณะที่พูด ตบหน้าของเจี่ยนถงอย่างรวดเร็ว “ร้องเลย! แกจะเรียกผู้คุมไม่ใช่เหรอ?”

เจี่ยนถงโดนตบจนแทบจะล้มทั้งยืน หูอื้อ “เสียงดังวิ้งๆ”

เจี่ยนถงมือข้างหนึ่งดันกำแพงไว้ หลังจากที่พยายามยืนได้มั่นคง ก็ลงมือกะทันหัน โดยที่ทุกคนไม่คาดคิด

“เพี้ยะ!”

ทันทีที่ตบลงไป ในห้องขังก็เงียบไปชั่วขณะ ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า ผู้หญิงที่ดูอ่อนหวานคนนี้ จะมีความกล้าที่จะต่อสู้กลับ

ผู้หญิงร่างใหญ่คนนี้ โดนเจี่ยนถงตบจนบ้าคลั่ง ตาแดงก่ำตะคอก “ระยำ! นางสารเลว เพื่อนๆ จัดการมัน! ตบตีจนพิกลพิการก็ไม่เป็นไร เพราะยังไง คุณเสิ่น ก็ได้รับสั่งไว้แล้ว ไม่ต้องเกรงใจ ดูแลต้อนรับนางสารเลวนี้ให้ดีๆ เพียงแค่ไม่เล่นมันถึงตายก็พอ!”

เจี่ยนถงตะลึง ความเจ็บปวดสุดหัวใจ กระจายจากหัวใจไปสู่แขนขาและกระดูกทั่งร่าง!……เสิ่นซิวจิ่น! เสิ่นซิวจิ่น!! คุณเสิ่นรับสั่งแล้ว……เสิ่นซิวจิ่น!!!

แขนขาของเจี่ยนถงสั่นสะท้าน หัวใจเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง!

ไม่แปลกใจเลย ความเคลื่อนไหวที่ใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีผู้คุมมา ไม่แปลกใจเลย นักโทษหญิงรูปร่างกำยำที่ล้อมรอบเธอพวกนี้ ไม่มีความเกรงกลัวเลย!

เงยหน้าขึ้นมองนักโทษหญิงพวกนั้น เธอยืนขึ้น วิ่งไปทางประตูห้องขังทันที เธอจับราวเหล็กที่ประตูห้องขังไว้แน่น เรียกขอความช่วยเหลือเสียงดัง “มีคนไหม? ทำร้ายคนแล้ว! ช่วยด้วย! รีบมาเร็ว!” รู้ดีว่าจะไม่มีผู้คุมมา เธอก็ทำได้เพียงขอความช่วยเหลืออย่างไร้ประโยชน์!

เธอกำลังพนัน พนันว่าเสิ่นซิวจิ่นไม่ได้ให้พวกนักโทษหญิง “ดูแลต้อนรับ” เธออย่างดี แม้ว่าความเป็นไปได้อย่างนี้ จะน้อยมากก็ตาม……เธอยังคงเพ้อฝันว่า เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้ลงมือโหดร้ายกับเธอเจี่ยนถง ยังคงเหลือทางรอดให้

“อ๊าก……!” ผมถูกคนกระชากอย่างแรง เธอถูกกระชากจนล้มทั้งยืน หน้ากระแทกล้มลงกับพื้น เจี่ยนถงไม่เคยทุลักทุเลเช่นนี้!

วินาทีต่อมา เจี่ยนถงถูกคนกระชากผมแล้วดึงตัวขึ้น ทั้งเตะทั้งต่อย คร่ำครวญกองกับพื้นอย่างน่าอนาถ “อืม ~”

เจี่ยนถง ตั้งตารอคอยไม่ถึง “ทางรอดที่เสิ่นซิวจิ่นเหลือให้”

เธอไม่ตะโกนแล้ว ปล่อยให้คนเหล่านี้ชกต่อยกันตามอำเภอใจ ข้างหูมีเพียงเสียงหัวเราะร่าเริง

เธอขอความช่วยเหลือ ไม่ใช่เพราะกลัวการถูกทำร้าย หรือกลัวความเจ็บปวด แต่เพราะยังคงเชื่อมั่น ความหวังและจินตนาการเล็กๆในใจ

คนพวกนี้เตะต่อยจนเหนื่อยล้าแล้ว ก็ขึ้นเตียงไปเข้านอนเอง

เจี่ยนถงเจ็บปวดจนกองอยู่กับพื้น น้ำตา ไหลจากหางตา เปื้อนทั้งใบหน้า

เธอไม่เคยถูกคนรังแกแบบนี้มาก่อน ไม่เคยทุลักทุเลหมดสภาพแบบนี้มาก่อน เธอแค่ตกหลุมรักเสิ่นซิวจิ่น เท่านั้น ผู้ชายที่ไม่ควรรักคนนี้!

เหตุใดทันทีที่เซี่ยเวยเหมิง เกิดเรื่อง เธอก็ต้องมาแบกรับความโกรธแค้นและความเกลียดชังที่มาจากเสิ่นซิวจิ่น?

หลังจากที่ เซี่ยเวยเหมิง เกิดเรื่อง เจี่ยนถงได้อธิบายให้กับทุกคนรอบตัว “ฉันไม่เคยทำร้าย เวยเหมิง”

ต่อให้เธอพยายามอธิบายแค่ไหน ไม่มีใครยอมที่จะเชื่อ

เธอพยายามอธิบายสุดชีวิต ไม่ใช่เธอนัด เวยเหมิง ไปที่ “เย่สื้อ” แต่เป็นเวยเหมิงที่อยากรู้อยากเห็นว่า “บาร์” เป็นอย่างไร เลยนัดเธอไปที่ “เย่สื้อ”

ในสายตาของคนอื่น เธอเจี่ยนถง คุณหนูของตระกูลเจี่ยนเปิดเผยและกำเริบเสิบสาน เวยเหมิง ไร้เดียงสาเชื่อฟังและขี้กลัว จะเป็นคนขอไปสถานที่ชั้นต่ำอย่างพวกบาร์แบบนั้นได้อย่างไร

เธอบอกว่ารถเสียข้างทาง เลยไปที่ “เย่สื้อ”สาย

แต่ไม่มีใครเชื่อ ล้วนบอกว่าเธอกำลังแก้ตัว เธอจงใจปล่อยให้เซี่ยเวยเหมิงอยู่ที่“เย่สื้อ”คนเดียว เพื่อให้พวกนักเลงที่เธอจ้าง สะดวกในการย่ำยีเซี่ยเวยเหมิง ทำลายความบริสุทธิ์ของเซี่ยเวยเหมิง

แต่ตัวเองไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย เซี่ยเวยเหมิง มักจะพูดกับเธอเสมอว่า “พี่เจี่ยนถง ฉันไม่มีความรู้สึกแบบนั้นกับพี่จิ่น”

ถ้า เซี่ยเวยเหมิงเป็นแฟนของเสิ่นซิวจิ่น เธอ เจี่ยนถงก็จะเดินอ้อมไปไกลๆจากเสิ่นซิวจิ่นเลย! แต่เวยเหมิงไม่ชอบ เสิ่นซิวจิ่นเลย ไม่ใช่หรือ?

ในสายตาของทุกคน เธอ เจี่ยนถง เป็นนางรองที่ชั่วร้าย ทำเรื่องเลวร้ายทั้งหมด

น่าจะรู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว พวกนักเลงหนีไปไม่เห็นเงา ใครจะไปรู้ว่า พวกมันหนีไปอยู่ที่มุมไหน? ประเทศจีนใหญ่ขนาดนั้น ฆาตกรที่ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาป่าลึกไร้ผู้คน นานเป็นสิบหรือยี่สิบปี ก็ใช่ว่าจะไม่มี เจี่ยนถง หวังอยากจะจับนักเลงพวกนั้นได้เร็วๆ ยิ่งกว่าใครเสียอีก

เธอปล่อยให้น้ำตาไหลลง หลังจากเกิดเรื่อง จนถึงวินาทีที่เข้าเรือนจำ เจี่ยนถงเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่า เธอเป็นผู้บริสุทธิ์ เธอไม่ได้ทำผิด

แต่ตอนนี้ เธอเข้าใจแล้ว ตราบใดที่ เสิ่นซิวจิ่นคิดว่าเธอมีความผิดเธอก็สมควรต้องลงโทษอย่างสาสม ตายไปก็ไม่สาสมกับความผิดที่ได้กระทำ

และทั้งหมดในวันนี้ ล้วนเป็นคำสั่งของคุณเสิ่น

เจี่ยนถงไม่รู้ว่า ชีวิตในคุกต่อจากนี้ ยังมี “คำสั่งของคุณเสิ่น” อีกนับไม่ถ้วน กำลังรอเธออยู่

ไม่มีตระกูลเจี่ยน ไม่มีประวัติ ไม่มีการศึกษา เคยติดคุก…… เสิ่นซิวจิ่นทำลายหลักฐานทั้งหมด ที่เจี่ยนถงเคยดำรงชีวิตมา! เจี่ยนถง ใน วันนี้ เป็นเพียงนักโทษ หมายเลข “926” เท่านั้น!

เจี่ยนถงคิดทุกอย่างออก กอดเข่าไว้ ขดตัวเองให้แน่นขึ้น…… เสิ่นซิวจิ่น ลบล้างร่องรอยการดำรงอยู่ของเธอโดยสิ้นเชิง!

เช้าตรู่

“นี่ ตื่นแล้ว ไปล้างชักโครก……” นักโทษหญิงผลักเจี่ยนถง อย่างป่าเถื่อน แต่ต้องกรีดร้องด้วยความตกใจ

“อ๊ะ! มีคนตายแล้ว!”

นักโทษหญิงใจกล้าที่อยู่ด้านข้างคนหนึ่ง รีบวิ่งเข้ามา นิ้วมือวางไว้ที่ใต้จมูกของเจี่ยนถง สักครู่จึงสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่แผ่วเบา “อย่าเสียงดัง! คนยังมีชีวิตอยู่! รีบเรียกผู้คุม!”

เจี่ยนถงดวงแข็ง กู้ชีวิตกลับมาได้ นี่อาจไม่เป็นเรื่องที่ดี ความอัปยศอดสูที่ไม่สิ้นสุด การทรมานอันมืดมิด สามารถบีบคนบ้าคลั่งได้ สามารถจะ…… เปลี่ยนคนคนหนึ่งโดยสิ้นเชิง

…………….

บทที่ 3 ออกจากคุก

สามปีต่อมา

ประตูเรือนจำหญิงเมือง S เปิดออก ไม่นานนัก ผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างในอย่างช้าๆ

หญิงสาวผอมผิดปกติ บนตัวคือชุดสีขาวที่เธอสวม ตอนที่ถูกส่งเข้ามาในเรือนจำหญิงเมื่อสามปีก่อนตอนนี้สวมใส่อยู่บนตัว ก็เหมือนกับใส่กระสอบใบใหญ่

เธอเดินได้ช้ามาก เดินทีละก้าวไปที่ชานชาลา ที่อยู่ห่างออกไปร้อยกว่าเมตร ในมือเธอถือถุงพลาสติกสีดำใบหนึ่ง ในถุงคือเงินสามสิบเอกหยวนห้าเหมา ยังมีบัตรประชาชนหนึ่งใบ

ในฤดูร้อนที่ร้อนระอุ เดินบนถนนลูกรัง บนถนนมีไอความร้อนสีขาว ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า อุณหภูมิวันนี้ อย่างน้อย 33 ถึง34 องศา หญิงสาวเดินอยู่ใต้แสงแดด ร่างกายแห้งโดยไม่มีเหงื่อสักหยด

บนผิวที่ขาวซีดมีรอยฟกช้ำเต็มไปหมด แม้แต่ที่ใบหน้า บริเวณใกล้ไรผม ตรงหน้าผาก มีรอยแผลเป็นยาวประมาณสามเซนติเมตร อยู่ตรงนั้นอย่างป่าเถื่อน สะดุดตายิ่งนัก

รถบัสมาแล้ว หญิงสาวขึ้นรถ หยิบเหรียญหนึ่งออกมาจากถุงพลาสติกสีดำอย่างระมัดระวัง ใส่ลงในกล่องเก็บเหรียญของรถบัสบนรถบัสไม่มีคนเยอะนัก คนขับเหลือบมองเธอ ดึงสายตาที่น่ารังเกียจกลับ…… คนที่ขึ้นรถตรงนี้ ล้วนเป็นนักโทษในเรือนจำ เคยกระทำผิด จะเป็นคนดีได้ยังไง?

หญิงสาวราวกับไม่เห็นสายตาของคนขับ เดินไปที่เบาะหลังของรถ เธอเดินไปด้านหลังสุด เลือกมุมด้านหลังของรถแล้วนั่งลง พยายามที่จะไม่ดึงดูดความสนใจ

ขณะที่รถกำลังขับออกไป เธอมองออกไปนอกหน้าต่างตลอดทาง…… สามปี การเปลี่ยนแปลงใหญ่มาก

มุมปากยกโค้งขึ้นเบาๆ……ใช่แล้ว สามปี การเปลี่ยนแปลงใหญ่มาก ไม่ใช่เพียงแค่โลกภายนอกเรือนจำเท่านั้น? ยังมีเธอ

เมื่อรถบัสขับไปถึงย่านเจริญรุ่งเรือง เธอชะงักในทันที……ออกจากคุกแล้ว เธอจะกลับไปที่ไหน?

ทันใดนั้น เธอก็พบกับความจริงที่กระชั้นชิดเจียนตัว เธอไม่มีที่จะไป

เปิดถุงพลาสติกสีดำออก ข้างในเหลือสามสิบหยวนห้าเหมา เธอนับ สามครั้งอย่างละเอียดถี่ถ้วน……ต่อจากนี้ ควรทำยังไง?

ไม่ไกลจากริมถนน ข้อมูลการรับสมัครงานของบริษัท ดึงดูดความสนใจของเธอ

“คนขับ ฉันจะลงจากรถ รบกวนคุณเปิดประตูรถหน่อย” ชีวิตในคุกสามปี ได้ทำลายความหยิ่งผยองในตัวเธอ พูดจาปฏิบัติกับผู้อื่น มัดขาดความมั่นใจอยู่เสมอ

คนขับพร่ำบ่นไม่หยุด เปิดประตูรถออก เธอกล่าวขอบคุณ ลงจากรถ

เดินไปถึงภาพโปสเตอร์ข้อมูลการรับสมัครงาน หลังจากมองดูสักพัก สายตาก็จ้องเห็นกับคำว่า “คนทำความสะอาด” แล้วมองไปที่คำว่า “ที่พักฟรี อาหารฟรีหนึ่งมื้อ”

เธอไม่มีบ้าน ไม่มีประวัติ ไม่มีการศึกษา เคยติดคุก…… กลัวว่าต่อให้เป็นพนักงานทำความสะอาด ก็ไม่มีใครต้องการ แต่ว่า…… จับเงินที่เหลืออยู่เพียงสามสิบหยวนห้าเหมาในมือ หญิงสาวกัดฟันแน่น เดินเข้าไปในไนต์คลับแห่งนี้ ที่ชื่อว่า “คลับบันเทิงนานาชาติตงหวง” ทันทีที่เข้าไป เจี่ยนถงก็ตัวสั่นสะดุ้ง ความหนาวเย็นของเครื่องปรับอากาศ ทำให้เธอสั่นสะท้านทั้งตัว

……

“ชื่อ” คนคนนั้นพูดอย่างหงุดหงิด

“เจี่ยนถง” เสียงหยาบกร้านดังขึ้นอย่างช้าๆ ทำให้หญิงไฉไล ที่กำลังจับปากกาบันทึกข้อมูลของเธอ ตกใจสะดุ้ง ปากกาเจลในมือ เกือบจะหล่นจากโต๊ะ ถามเธออย่างไม่พอใจ “ทำไมเสียงของคุณไม่ไพเราะขนาดนี้?”

หลังจากผ่านชีวิตในคุกดั่งนรกมาสามปี เจี่ยนถงชินชากับความไม่ยินดียินร้าย แม้ว่าคนอื่นจะพูดตรงไปตรงมาต่อหน้าเธอ วิพากษ์วิจารณ์ว่าน้ำเสียงของเธอไม่ไพเราะ แต่เธอก็ยังคงไม่ยินดียินร้าย เหมือนคนที่ไม่มีอารมณ์ พูดประโยคหนึ่งอย่างช้าๆ “รมควันไฟ”

หญิงสาวหน้าตาไฉไล ประหลาดใจเล็กน้อย สายตาที่หยั่งรู้จ้องมองใบหน้าของเจี่ยนถง “ไฟไหม้?”

“อืม ไฟไหม้” หลังจากพูดจบก็ก้มหน้าเบาๆ ……แต่เป็นเพียงไฟที่เกิดจากการวางเพลิงโดยเจตนา

ผู้หญิงไฉไลเห็นว่าเธอไม่อยากจะพูดมากกว่านี้ นิสัยน่าเบื่อ ก็ไม่สนใจอีกต่อไป เพียงแค่ขมวดคิ้วและส่งเสียงพึมพำ “ไม่ได้อ่ะ ตงหวงไม่ใช่สถานบันเทิงทั่วไป แขกที่มาก็ไม่ใช่แขกธรรมดา” แล้วกวาดมอง เจี่ยนถง ตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง รังเกียจโดยไม่ปิดบัง เห็นได้ชัดว่า ไม่ชอบเจี่ยนถงที่เหมือนสวมใส่กระสอบอย่างยิ่ง กระโปรงสีขาวบนตัว ก็ไม่รู้ว่าใส่มานานแค่ไหนแล้ว สีขาวกลายเป็นคราบเหลืองแล้ว

ตงหวงนานาชาไม่ใช่สถานที่ที่คนธรรมดาสามารถมาใช้บริการได้ ที่นี่แม้แต่พนักงานเสิร์ฟธรรมดา ก็ต้องมีรูปลักษณ์ดูดี รูปร่างเร่าร้อน อย่างเจี่ยนถงแบบนี้ กล้ามาสมัครได้ยังไง?

ผู้หญิงไฉไลยืนขึ้น โบกมือเล็กน้อย ปฏิเสธเจี่ยนถงอย่างจริงจัง “ไม่ได้ แบบคุณไม่ได้ ต่อให้เป็นพนักงานเสิร์ฟก็ไม่ได้” หันหลังกำลังจะจากไป

“ฉันสมัครเป็นพนักงานทำความสะอาด”

เสียงหยาบกร้านดังขึ้นในห้องทำงานเล็กๆนี้ หยุดฝีเท้าของหญิงสาวได้สำเร็จ ใต้เท้าของหญิงสาวชะงัก หันกลับ เลิกคิ้วขึ้น สำรวจกวาดมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าลงอีกครั้ง แล้วสงสัยขึ้นมา “ไม่เคยเห็นคนที่อายุแค่ยี่สิบกว่าปี ก็ยอมลำบากอดทน ทำงานเป็นคนทำความสะอาด”

ป้าทำความสะอาดของพวกเธอที่นี่ อายุน้อยที่สุด ก็อยู่ในวัยสี่สิบกว่าแล้ว หญิงสาวคนนี้ บนหน้าผากเสียโฉม ผอมราวกับไม้ไผ่ แต่มากสุดก็อายุเพียงยี่สิบเท่านั้น ที่นี่ของพวกเธอ อายุยี่สิบกว่าปีมีเยอะแยะ ล้วนเป็นนางแบบและเจ้าหญิงทั้งหมด! แน่นอน ว่ายังมีพนักงานเสิร์ฟ

ไม่เคยได้ยินพนักงานทำความสะอาดอายุยี่สิบกว่าปี

นึกว่าหญิงสาวที่ไม่เข้าตาคนนี้ จะระบายความทุกข์ใจในทันที บอกกับเธอ ว่าโลกนี้อยู่ยาก การดำเนินชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าเธอได้พูดเรื่องไร้สาระอย่างนี้กับตัวเองจริงๆ ตัวเองจะขับไล่เธอออกไปทันที

โลกนี้อยู่ยาก เหอะๆ ในตงหวง มีเรื่องราวแบบนี้ มากมายจนสามารถตีพิมพ์เป็นนิตยสาร แล้วสามารถเติมทั้งห้องสมุดให้เติมใครจะไปสน ว่าคนแปลกหน้าที่พบกันครั้งแรก จะมีชีวิตยังไง?

แต่ไม่คาดคิดว่า เสียงที่หยาบกร้านจนมากเกินไป พูดอย่างไม่เร่งรีบ “ถ้าสามารถออกมาขายตัวได้ ฉันก็ยอมถ่างขาออก พูดยินดีต้อนรับ ก่อนที่จะมา ฉันเคยมองดูตัวเองแล้ว ไม่มีคุณสมบัติที่จะขายตัว ถ้าอย่างนั้นก็ขายแรงงาน ทำเรื่องที่ตัวเองสามารถทำได้ให้ดี” ……เธอเป็นเพียงนักโทษหมายเลขหนึ่ง “926” เท่านั้น หลังจากเข้าไปในสถานที่นั้น แล้วออกมาอีกที จะเอาศักดิ์ศรีไว้ทำไม? แววตาของเจี่ยนถง มีรอยยิ้มที่เยาะเย้ยตัวเอง

ผู้หญิงไฉไล มอง เจี่ยนถงขึ้นลง ตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง เดินกลับไปที่โต๊ะทำงานใหม่ หยิบปากกาขึ้น เตรียมจะกรอกแบบฟอร์ม “ เจี่ยนถง? เจี่ยนที่แปลว่าเรียบง่าย ถงที่แปลว่าเทพนิยาย?”

“ใช่”

“ไม่ควรนะ” ผู้หญิงมองพิจารณาเจี่ยนถงขึ้นลง “ตั้งชื่อนี้ให้ลูก พ่อแม่ของคุณน่าจะรักคุณมาก”

ดวงตาคู่นั้นของเจี่ยนถง เฉยชาราวกับแอ่งน้ำนิ่ง…… รักมากเหรอ?

อืม รักมาก ถ้าเธอไม่ได้ฆ่า เซี่ยเวยเหมิงด้วยจิตใจที่โหดร้ายอำมหิต ไม่ได้นำความหายนะมาสู่ตระกูลเจี่ยน อืม น่าจะ รักมากมั้ง

“ฉันไม่มีครอบครัว” เจี่ยนถงพูดอย่างเฉยเมย

ผู้หญิงไฉไลขมวดคิ้วจ้องมองเจี่ยนถงก็ไม่ได้ถามมาก ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “เอาล่ะ คุณถ่ายสำเนาบัตรประชาชนหน่อย”

ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เหยียบรองเท้าส้นสูงสิบห้าเซนติเมตร เดินไปถึงหน้าประตู ทันใดนั้นก็หยุดเดิน หันกลับมาแล้วพูดเตือเจี่ยนถง “เจี่ยนถง คุณรู้ไหม ว่าทำไมฉันถึงรับคุณไว้เป็นกรณีพิเศษ?”

หญิงสาวไม่ได้หวังให้เจี่ยนถงตอบกลับ แล้วพูดต่อไปว่า “เจี่ยนถง มีอยู่คำหนึ่งคุณพูดไว้ดีมาก ถ้าสามารถขายตัวได้ ก็จะขายแน่นอน ขายไม่ได้ ก็ต้องยอมรับชะตากรรม ทำในสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้ ให้ดีที่สุด

คนมากมายที่อายุมากกว่าคุณสองเท่าแล้ว ยังไม่เข้าใจข้อแท้จริงนี้ ดันทุรัง พยายามสุดชีวิต คิดเองว่าต่อสู้กับฟ้า ที่จริงก็แค่ตาสูงแต่มือไม่ถึง ความจริงก็คือ ไม่เคยดูตัวเองเลย ว่าเป็นตัวอะไร

คุณยอมเผชิญหน้ากับตัวเอง เข้าใจสิ่งที่คุณสามารถทำได้ คนที่เข้าใจว่าตัวเองสามารถทำอะไรได้ ฉันเชื่อว่า เธอก็ต้องเข้าใจ ว่าเรื่องอะไร ที่เธอไม่สามารถทำได้”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ หญิงผู้หญิงไฉไลหรี่ตาลง “เจี่ยนถง ตงหวงไม่ใช่สถานบันเทิงทั่ว”

เจี่ยนถงยังคงไม่รีบไม่ร้อน “เข้าใจแล้ว เสียงของฉันน่าเกลียด จะไม่พูดขึ้นอย่างง่ายดาย”

ผู้หญิงไฉไลพยักหน้าด้วยความพอใจยิ่งนัก โดยปกติแล้ว เธอจะไม่แนะนำเด็กใหม่ กล้ามาที่ ตงหวง ก็ต้องเตรียมพร้อมในด้านจิตใจ

คาดไม่ถึงว่า วันนี้จะละเว้น เพื่อสาวทำความสะอาด

แม้ว่าฐานะของเธอในตงหวงจะไม่ต่ำ แต่ในมหานครอันพร่ามัวแห่งนี้ บารมีอำนาจเงินทอง จะมีใครที่เธอสามารถล่วงเกินได้…… เข้ามาใน ตงหวง ก็ควรจะเรียนรู้ “กฎระเบียบ”

สิ่งที่ควรพูด สิ่งที่ไม่ควรพูด สิ่งที่ควรทำ สิ่งที่ไม่ควรทำ

“งั้นผู้จัดการ……” เจี่ยนถงพูดอย่างลำบากใจเล็กน้อย “ฉันไม่มีที่อยู่”

ผู้หญิงไฉไลพูดขึ้น “ต่อไปเรียกฉันว่าพี่เมิ่ง” จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วโทรออก “เสี่ยวเจียง มาที่นี่หน่อย ที่นี่ฉันเพิ่มรับสมัครพนักงานทำความสะอาดคนหนึ่ง คุณพาเธอไปที่หอพักพนักงาน หลังจากพูดจบก็วางสาย ทิ้งให้เจี่ยนถงประโยคหนึ่ง

“พรุ่งนี้มาทำงาน”

แล้วก็ทิ้ง เจี่ยนถงไว้ที่นี่คนเดียว

เจี่ยนถงจ้องมองหนังสือเข้าทำงานในมือ รู้สึกโล่งใจ……คืนนี้ ไม่ต้องนอนที่ถนนแล้ว

…………….

บทที่ 4 บังเอิญเจอลักลอบพลอดรัก

เจี่ยนถงได้ทำงานในตงหวงเป็นเวลาสามเดือนแล้ว

เมื่อยามราตรีมาถึง เมืองศิวิไลซ์ที่รุ่งเรืองจนมากเกินไปนี้ ว่ายวนในแสงสียามราตรี ไฟนีออนสว่างไสวจิตใจผู้คน เจี่ยนถงเพิ่งทำความสะอาดเศษอาเจียนของหญิงสาวที่เมาเหล้าคนหนึ่ง แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะเชื่องช้า แต่มือเท้าก็ยังคงคล่องแคล่ว จุดกำยานอีกครั้ง และวางไว้ที่มุมห้อง

ไม้ถูพื้นในมือถูผ่านช่องสุขาแต่ละช่อง มาถึงช่องสุดท้าย ที่นี่ เป็นที่สำหรับเก็บเครื่องมือทำความสะอาด และเป็นที่พักชั่วคราว เมื่อเธอว่างจากการทำงาน

ทุกอย่างดูเป็นระเบียบเรียบร้อย

พนักงานเสิร์ฟที่จับเธอมา ได้วิ่งหนีหายตัวไปตั้งนานแล้ว เจี่ยนถง ก็ไม่ได้สนใจ จัดเก็บไม้ถูพื้นและถังน้ำให้เรียบร้อย เธอก็นั่งในช่องกั้นแล้วเหม่อลอย

เจี่ยนถงทุกอย่างเป็นคำสั่งของคุณเสิ่น

เจี่ยนถง เธอไม่ได้เป็นอะไรอีกต่อไปแล้ว วงศ์ตระกูลที่น่าภาคภูมิใจไม่มีแล้ว ความสวยงามที่น่าหลงใหลไม่มีแล้ว การศึกษาที่โดดเด่นไม่มีแล้ว ตอนนี้เธอเป็นเพียงนักโทษคนหนึ่งเท่านั้น!

เจี่ยนถง เชื่อฟังทำตามคำสั่งอย่างสงบเสงี่ยม อย่าต่อต้านพวกเรา คุณเสิ่นได้สั่งให้กับพวกเรา จะต้อง “ดูแล” เธอให้ดี

เจี่ยนถง เธอมันนักโทษที่เคยติดคุก จะมีไตสองอันไปทำไม? เอาออกมาอันหนึ่ง ยังสามารถช่วยชีวิตผู้คนได้ ชดใช้ความผิดให้กับผู้บริสุทธิ์ที่โดนเธอฆ่าตัวพอดี

เจี่ยนถง……ยอมแพ้เถอะ อย่าดิ้นรนเลย……

เสียงเหล่านั้นเหมือนคำสาป ใบหน้าพวกนั้น น่าเกลียดน่ากลัว สยดสยองยิ่งนัก ต่อให้ เจี่ยนถงจะขับไล่ยังไง ก็ยังไม่สามารถขับไล่ออกไปได้

“เจี่ยนถง ออกมา ห้อง VIP 606 ชั้นหก” ประตูห้องถูกคนเปิดออกจากด้านนอกกะทันหัน ขมวดคิ้วมุ่นเร่งให้ เจี่ยนถงรีบหน่อย “”เร็วๆ หน่อย เอ้อระเหยลอยชาย นางแบบชั้นนำในนี้ ยังไม่ได้วางมาดเหมือนเธอ”

เจี่ยนถงโดยปกติแล้วจะเป็นคนเงียบขรึมพูดน้อย ให้เธอทำอะไร เธอก็ทำอย่างนั้น ต่อให้จงใจรังแกเธอ เธอก็ไม่เคยที่จะตอบโต้เถียงกลับเลย นี่คือความลับที่เปิดเผย ที่ทุกคนในนี้รู้กันหมดแล้ว ถ้าใครอารมณ์ไม่ดี ล้วนสามารถมาหา เจี่ยนถง “ปลดปล่อย” อารมณ์เสีย

“ในห้องส่วนตัว คือสาวนั่งดริ้งก์เป็นผู้รับผิดชอบ” เจี่ยนถง เพียงพูดตามความจริง แต่ประโยคนี้ เมื่อพนักงานเสิร์ฟได้ยินเข้า ก็คือ “ต่อต้าน” ชัดๆ สีหน้าเคร่งในทันที กอดอกไว้ “ลูกค้าอาเจียน เธอจะให้พี่ลู่น่า ไปทำเรื่องน่าขยะแขยงแบบนั้นเหรอ?”

พี่ลู่น่าทำเรื่องน่าขยะแขยงไม่ได้ แต่เจี่ยนถงทำได้ พนักงานเสิร์ฟไม่สนใจเลย ว่าคำพูดนี้จะทำให้เจี่ยนถงบาดเจ็บหรือไม่

เป็นไปตามคาด

เจี่ยนถงไม่ได้ปฏิเสธ พูดคำว่า “อืม” ท่าทางซื่อบื้อนั่น ทำให้พนักงานเสิร์ฟที่อยู่ข้างๆ ในใจยิ่งดูถูกเธอมากมากขึ้น

เจี่ยนถงก้มหน้าลง เดินตามหลังพนักงานเสิร์ฟคนนั้น เข้าไปในลิฟต์ ทันใดนั้น ก็ถูกคนผลักออกจากลิฟต์ เจี่ยนถงไม่เข้าใจ พนักงานเสิร์ฟคนนั้น ชำเลืองมอง เจี่ยนถง ด้วยท่าทางรังเกียจยิ่งนัก “ทำอะไร? เธอเดินบันไดหนีไฟขึ้นไป ก็ไม่สูง แค่หกชั้นเอง” พนักงานเสิร์ฟคนนั้น ชำเลืองมองเจี่ยนถงอย่างดูถูก “ลดน้ำหนักหน่อย”

อันที่จริงเจี่ยนถงไม่อ้วน ไม่เพียงแต่ไม่อ้วน ยังผอมจนผิดปกติ แต่ทุกวันที่เธอมาทำงาน บนตัวถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้าหนาๆหลายชั้น ทำให้เธอดูแล้วเกะกะยุ่งยาก

เห็นได้ชัดว่าจงใจหาเรื่อง เจี่ยนถง ไม่ว่าจะเกิดกับใครก็ตาม ก็ต้องทะเลาะกันแน่ แต่คนคนนี้คือ เจี่ยนถง พนักงานเสิร์ฟมั่นใจมาก การทะเลาะครั้งนี้ จะไม่เกิดขึ้น

เป็นไปตามคาด เห็นว่าเจี่ยนถง ไปขึ้นบันไดอย่างเชื่อฟังแล้ว ตอนที่ ประตูลิฟต์ปิดลง พนักงานเสิร์ฟเบะปากอย่างดูถูกเหยียดหยาม

ไม่มีประโยชน์จริงๆ

ในบันไดช่วงเย็น เงียบสงบจนเหลือเพียงเสียงรอยเท้าของ เจี่ยนถง เท่านั้น

นี่คือทางช่องทางปลอดภัย คือบันไดหนีไฟ โดยทั่วไปแล้วจะไม่เดินที่นี่ จะนั่งลิฟต์ขึ้นลงทั้งนั้น

แสงสลัวเหลืองนวลคลุมเครือ ที่นี่นอกจากจะหลบหนีเมื่อจำเป็นแล้ว ยังใช้ประโยชน์ได้อีกอย่างหนึ่ง ลักลอบพลอดรัก

เจี่ยนถงเดินอย่างเชื่องช้า ปีนขึ้นไปชั้นบนทีละก้าว ตอนที่ขึ้นไปถึงชั้นห้าครึ่ง เธอหมดแรงเล็กน้อย เลยหยุดบนบันไดครึ่งชั้น พักผ่อนสักพัก ข้างหูได้ส่งเสียงครางเบาๆ ราวกับกำลังหอบ…… ในใจ เจี่ยนถง “สะดุด” ชั่วครู่ เงยหน้าขึ้นมอง ที่มุมโค้ง ชายคนหนึ่งกดผู้หญิงคนหนึ่งจูบที่บันได ท่าทางนั้นเร้าใจและคลุมเครือ

จากมุมมองของเธอ เห็นด้านหลังของหญิงสาว และใบหน้าครึ่งหนึ่งของผู้ชายคนนั้น

แอบพูดพึมพำว่าโชคร้าย ได้บังเอิญพบกับการลักลอบพลอดรักจริงๆด้วย กำลังจะถอยกลับ ดวงตาที่ปิดสนิทของชายหนุ่มคนนั้น ก็ลืมขึ้นทันที กำลังจ้องมองเธอด้วยเสน่ห์ที่ชั่วร้าย

หัวใจของเจี่ยนถงเต้นระรัวเสมือนตีกลอง กะพริบตาถี่ๆจ้องมองไปที่ชายคนนั้น ชายคนนั้นสังเกตเห็นสายตาของเธอ แล้วยิ่งจับหลังศีรษะของหญิงสาวที่ไม่รู้จักชื่อไว้ จูบผู้หญิงด้วยท่าทางคลุมเครืออ่อนโยน ดวงตาสีดำสนิทของใบหน้าด้านข้าง เจิดจ้ายิ่งกว่าดวงดาว กำลังจ้องมองตัวเองอย่างหยอกเย้า

เจี่ยนถงสั่นสะท้านในหัวใจ ก้มหน้าลง ยกเท้าขึ้นหันกลับแล้วจะลงบันไดทันที

“หยุด”เจี่ยนถงได้ยินเสียงที่ดังมาจากด้านหลัง หนังศีรษะขนลุก…… เธอไม่อยากสร้างปัญหา แต่ว่าคนในโลกแห่งอำนาจเงินทองพวกนี้ จะทำอะไรได้บ้าง เธอไม่แน่ใจ

ครุ่นคิดครู่หนึ่ง เธอหันกลับมา โค้งคำนับด้วยความเคารพ “สวัสดี คุณผู้ชาย รบกวนความสนุกของคุณ ต้องขอโทษจริงๆ” เจี่ยนถงพูดพร้อมชี้นิ้วไปที่ประตูหนีไฟชั้นหก แล้วพูดว่า “ฉันเป็นพนักงานทำความสะอาด ที่ถูกเรียกให้ไปทำความสะอาดในห้อง 606 ทั้งหมดเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ รบกวนถึงความสนุกของคุณผู้ชาย ได้โปรดคุณผู้ชายยกโทษให้ด้วย”

ชายหนุ่มคนนี้ดูเหมือนจะได้ยินเรื่องที่แปลกใหม่ และไม่ได้ตกใจสะดุ้งกับเสียงที่หยาบกร้านของเธอเลย “เธอเป็นพนักงานทำความสะอาด อายุน้อยขนาดนี้?” ดวงตาเสน่ห์ชั่วร้ายคู่หนึ่ง มอง เจี่ยนถง พิจารณาหัวจรดเท้า “เธอจะไปห้องส่วนตัว 606 ?” เจี่ยนถง กำลังจะตอบว่า “ใช่” อีกฝ่ายก็โบกมือให้เธอ “มาสิ ฉันพาเธอไป”

ห๊า?…… เจี่ยนถงมองชายหนุ่มคนนี้อย่างมึนงง หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยกเท้าตามไป

หญิงสาวที่อยู่กับชายหนุ่มคนนั้น เจี่ยนถงรู้จัด เป็นนางแบบสาวหน้าใหม่ ชื่อในวงการเรียกว่าเจินเจิน เจินเจิน เห็นว่าชายคนนั้นเดินเข้าไปในประตูหนีไฟ ก็ตามไปด้วย

ชายคนนั้นหยุดกะทันหัน หันกลับไปพูดกับเจินเจิน “ฉันบอกว่าจะพาเธอไป แต่ไม่ได้บอกว่าจะพาคุณไปด้วย คุณไม่ต้องตามไปแล้ว”

เจินเจินพูดกับชายคนนั้นอย่างออดอ้อน “คุณชายเซียว คุณไม่รักเค้าสักนิดเลย……” ขณะที่พูดอยู่ “ฉึก” เช็คใบหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ ชายคนที่ถูกเรียกว่า “คุณชายเซียว” ยิ้มหรี่ตาแล้วพูดว่า “ตอนนี้ไปได้หรือยัง?” ดวงตาของ เจินเจินสว่างขึ้นทันที แม้แต่เสียงออดอ้อนที่รุนแรงก็หายไปแล้ว หยิบเช็คแล้วหัวเราะกล่าวขอบคุณ

เจี่ยนถงมองเห็นได้อย่างชัดเจน คุณชายเซียวคนนี้ ดูเหมือนจะยิ้มยื่นเช็คให้ แต่รอยยิ้มในดวงตาคู่นั้น เป็นการหัวเราะเยาะอย่างดูหมิ่นชัดๆ ราวกับว่ารับรู้ถึงสายตาของเจี่ยนถง คุณชายเซียวยกเปลือกตาขึ้นในทันใด ดวงตาคู่นั้นมีเสน่ห์เย้ายวนไร้ที่ติ จ้องมองบนตัวเธอ “ทำไม? หลงรักฉันแล้ว?”

“ห๊า?”

คุณชายเซียวมีพลังความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ได้บีบเข้าใกล้ เจี่ยนถงแล้ว เจี่ยนถงเองก็ไม่สูงมากอยู่แล้ว ทันทีที่ คุณชายเซียว ขยับเข้าใกล้เธอ ก็ทำให้เธอดูเตี้ยลงอีก

คุณชายเซียวหรี่ตาที่มีความลุ่มหลงชั่วร้าย ก้มสายตา ก็เห็นหัวสีดำตรงหน้าอกของเขา ทันใดนั้นก็โน้มตัวลง แนบหูของเธอไว้ “รักฉันแล้วจริงๆเหรอ? คือตกหลุมรักฉัน หรือตกหลุมรักเงินของฉัน?”

เจี่ยนถงรู้สึกเพียงว่า ลมหายใจอุ่นๆ พ่นในหูของเธอ ทันใดนั้น หูก็แดงทั้งใบ! โดยสัญชาตญาณ เธอก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว แต่ลืมไปว่าขาและเท้าของเธอ เคยได้รับบาดเจ็บ ถอยรวดเร็วและรีบร้อนเกินไป ใต้เท้าเดินสะดุดโซเซ ยืนไม่มั่งคง เธอได้เตรียมใจพร้อมที่จะล้มแล้ว

ตรงเอวมือใหญ่ข้างหนึ่ง ปรากฏกะทันหัน กอดเธอไว้ทันเวลา

…………….

บทที่ 5 หาเรื่องใส่ตัว

เจี่ยนถงยังมีความกลัวในใจ ยังไม่ทันจะดีใจ ทันใดนั้นก็ตระหนักถึงว่า เธอกำลังถูกชายแปลกหน้าคนหนึ่ง กอดเอวไว้อย่างสนิทสนม

“อ๊ากๆๆ……” เจี่ยนถง ตื่นตระหนกยิ่งนัก เติบโตมาขนาดนี้ ยกเว้นพี่ชาย เธอยังไม่เคยโดนผู้ชายคนไหนกอดอย่างสนิทสนมเช่นนี้……รวมถึง……เขาด้วย

เซียวเหิงสีหน้าบึ้งตึงทันที ยื่นมืออีกข้างออก รีบปิดปากของเจี่ยนถงอย่างรวดเร็ว “หุบปาก! ร้องบ้าอะไร! คุณมันเป็นผู้หญิงที่แปลกประหลาดมาก! คนปกติกำลังจะล้ม ก็ต้องกลัวจนร้องออกมาโดยสัญชาตญาณ แต่คุณล่ะ ตอนล้มลงไม่ร้อง ตอนนี้ร้องบ้าอะไร?”

“คุณๆๆ……คุณปล่อยมือก่อน”

เซียวเหิง เห็นท่าทางตะกุกตะกักน่าสงสัยของเธอ ความคิดในหัวสมองก็กระจ่างทันที “นี่ คุณคงไม่ได้ร้องเพราะฉันกอดเอวคุณใช่ไหม?” เซียวเหิงมองผู้หญิงในอ้อมแขน สีหน้าดูผิดปกติไปทันที มุมปากอดไม่ได้ที่จะกระตุกขึ้น

“……ดูเหมือนจะเป็นอย่างนี้จริงๆ” กลอกลูกตา เซียวเหิงยิ้มอย่างประหลาด “เฮ้ ผู้หญิง คุณคงไม่ใช่ว่าจะไม่เคยถูกผู้ชายกอดแบบนี้มาก่อนเลยนะ?”

เซียวเหิง รู้สึกว่า ปฏิกิริยาของผู้หญิงคนนี้น่าสนใจยิ่งนัก มองใบหูที่แดงก่ำของผู้หญิงในอ้อมแขน เกิดความคิดในใจ เหมือนจะกลั่นแกล้ง มือที่กอดเอวของ เจี่ยนถงไว้ จงใจรัดแน่นขึ้น

ฉึก!

เซียวเหิงมองผู้หญิงคนนี้ที่ใบหน้าแดงระเรื่อ ราวกับว่าเขาได้ค้นพบโลกใหม่…… ในสมัยนี้ ยังมีผู้หญิงที่ถูกกอดเอวนิดหน่อย ก็หูแดงก่ำใบหน้าแดงระเรื่อ!แปลกใหม่อะไรเช่นนี้! น่าสนใจมาก!

เหมือนกับการค้นพบโลกใหม่ เซียวเหิงรู้สึกดีใจตื่นเต้นยิ่งนักมาก

ฝ่ามือของ เซียวเหิง กอดเจี่ยนถง ไว้ จงใจจับเอวใต้ฝ่ามือ แต่จับครั้งนี้ จับโดนเนื้อผ้าเต็มมือ รู้สึกแปลกประหลาดในใจ เซียวเหิงไม่ได้สนใจมารยาทของสุภาพบุรุษอะไรเลย นิ้วมือยื่นไปที่ชายเสื้อของเจี่ยนถง ล้วงมือเข้าไปในเสื้ออย่างรวดเร็ว สัมผัสนี้ ในใจตกตะลึง

“คุณทำอะไร!”

เจี่ยนถงพยายามผลักเซียวเหิงออกไป ส่วนเซียวเหิง จ้องมองเจี่ยนถงด้วยความตกตะลึง “เอวของคุณ……” เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เมื่อตอนที่สัมผัส ที่สัมผัสโดน คือเอวของผู้หญิงปกติหรือ?

เซียวเหิงตั้งให้ขนานนามเป็นคนรักยอดนิยมมาโดยตลอด ผู้หญิงที่เขาเคยคบหา ไม่ถึงหนึ่งพันก็ถึงหนึ่งร้อยแล้ว และในนั้นก็ไม่ขาดพวกนางแบบระดับโลก ดารานักแสดง แต่เอวในเมื่อครู่ บางกว่าเอวที่บางที่สุด ในบรรดาผู้หญิงที่เขาเคยคบหา ผอมจนมือเขาข้างหนึ่ง ก็สามารถโอบรอบเอวส่วนใหญ่ได้แล้ว!

“คุณ……” เขาเอ่ยปากหลายครั้ง อยากจะพูดว่า “ที่แท้อากาศร้อนระอุ คุณใส่เสื้อผ้ามากมายขนาดนี้ ก็เพราะอย่างนี้เหรอ”

แต่เมื่อเห็นผู้หญิงแปลกหน้าที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ ทั้งๆที่เจ็บปวดมาก แต่แววตาแสร้งทำเป็นไม่สนใจ มองแววตาที่ต้องการกล่าวโทษ แต่ก็ต่ำต้อยยิ่งนัก เขาพูดอะไรไม่ออกเลย

หลายปีต่อมา เซียวเหิงก็ยังไม่สามารถลืมแววตาของเจี่ยนถงในเวลานี้ได้ ตอนนี้เขายังไม่สามารถเข้าใจได้ ทำไมสายตาของคนคนหนึ่งสามารถเป็นได้ทั้งโดดเด่นและต่ำต้อย โดยผสมผสานสองอารมณ์ที่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง

ต้องผ่านอะไรมาบ้าง ที่จะทำให้บุคคลคนหนึ่ง มีคุณสมบัติทั้งสองที่แตกต่างขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง?

เจี่ยนถงผลักเซียวเหิงออกไป แล้ววิ่งหนีทันที เธอวิ่งไม่เร็วเลย ไม่กี่ก้าวก็ล้มลง เธอไม่สนใจเลย ดันตัวขึ้น จับกำแพงไว้ พยายามถอยห่างจากเซียวเหิง ให้ไกลที่สุด

ความคิดของเธอสับสนวุ่นวายมาก……เหมือนกับสิ่งที่น่าอนาถที่สุด ถูกคนค้นพบแล้ว

หลังจากได้ออกจากเรือนจำแล้ว เธอต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบง่าย กินข้าวอิ่มท้อง มีที่พักผ่อนนอนหลับ มีชีวิตพอเพียง เก็บเงินนิดหน่อย ไปเอ๋อร์ไห่ ใช้ดวงตาคู่นี้ มองความบริสุทธิ์และฟ้าสีคราม ที่ไม่เคยเห็นในเรือนจำมาก่อน

เธอ ไม่สามารถต้านทานพายุใดๆได้อีกต่อไปแล้ว

เซียวเหิงอยากจะไปช่วยเธอ แต่เพียงแค่เขาเดินเร็วขึ้นนิดหน่อย ผู้หญิงคนนั้น ก็เหมือนมีผีไล่ตามหลัง จับกำแพงไว้ ลากตัวขยับไป ทุลักทุเลยิ่งนัก

เซียวเหิงจึงต้องชะลอตัวลงอย่างจนใจ

ห้องส่วนตัว 606

เจี่ยนถงเคาะประตูเบาๆ แล้วเดินเข้าไป

ทันทีที่เธอเข้าไป ก็สังเกตถึงบรรยากาศที่ผิดปกติในห้องส่วนตัว ใต้แสงไฟที่สลัว แขกทั้งหลายนั่งอยู่บนโซฟา ข้างๆมีนางแบบสาวหลายคน

มีเพียงเด็กสาวที่ท่าทางบริสุทธิ์ ยืนอยู่หน้าโต๊ะคริสทัลในห้องส่วนตัว

หญิงสาวคนนี้เธอรู้จัก เป็นพนักงานเสิร์ฟที่มาใหม่ ชื่อว่าฉินมู่มู่ อยู่ในห้องพักเดียวกันกับเธอ เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัย S

“พี่เจี่ยนถง……” ทันใดนั้นฉินมู่มู่ก็เรียกเธอด้วยเสียงร้องไห้ เจี่ยนถงสะดุ้งตกใจ ทั้งตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ

ดวงตาเจ็ดแปดคู่ในห้องส่วนตัว ทั้งหมดจ้องมองบนตัวของเธอในทันที เจี่ยนถงจำต้องกัดฟันแล้วพูดขึ้น

“ฉันเป็นพนักงานทำความสะอาด ที่ถูกเรียกขึ้นมาทำความสะอาดจากชั้นล่าง” ทันทีที่เธอพูด ก็เปิดเผยเสียงที่หยาบกร้านของเธอ

คนทั้งหลายในห้องส่วนตัว ต่างขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ

เจี่ยนถงทำงานใน ตงหวงมาสามเดือนแล้ว รู้ว่าต้องพูดน้อยแต่ทำงานมาก เธอเป็นเพียงพนักงานทำความสะอาดคนหนึ่ง แม้ว่าจะมีคนไม่พอใจกับเสียงของเธอ แต่ก็ไม่มีใครจะหาเรื่องเธอจริงๆแต่เรื่องของฉินมู่มู่ นั้น เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เข้าใจสถานการณ์ เข้าไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน ก็อาจจะไม่ปลอดภัยก็ได้

ระหว่างทาง เธอก้มหน้าลง เดินอ้อม ฉินมู่มู่ เข้าไปที่ห้องน้ำของห้องส่วนตัว ห้องVIP มีห้องน้ำในตัว ในห้องน้ำมีเครื่องมือทำความสะอาดครบ อยู่ในตู้เฉพาะ จะไม่ส่งผลกระทบต่อความสวยงามของห้องน้ำเลย

เจี่ยนถงเดินออกมา พร้อมกับมือข้างหนึ่งถือไม้ถูพื้น อีกข้างหนึ่งถือถังน้ำ

เธอก้มหน้าไว้อย่างเดียว ก้มหน้าก้มตาทำความสะอาด ฉินมู่มู่ ส่งสายตาขอความช่วยเหลือกับเธอเป็นครั้งคราว โดนเธอเพิกเฉยหมด

ชีวิตในคุกสามปี สอนให้เธอรู้ว่า อย่าเสนอหน้าสุ่มสี่สุ่มห้า ต้องจำไว้ว่าเธอเป็นตัวอะไร ไม่อย่างนั้น คนอื่นแค่กระดิกนิ้ว ก็สามารถให้เธอตายทั้งเป็นได้

เธอไม่ใช่ฉินมู่มู่แม้ว่าครอบครัวจะยากจน แต่ก็ยังมีพ่อแม่ และยังเป็นเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัย S เธอเจี่ยนถง ตอนนี้เป็นเพียงนักโทษที่เคยติดคุกเท่านั้น!

ไม่มีอะไรเลย ไม่สามารถต้านทานมรสุมได้ ไม่สามารถต้านทานการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ยิ่งไม่มีความสามารถในการช่วยเหลือผู้อื่น

“ร้องเพลงนี้เสร็จ เธอก็สามารถออกไปได้” มีชายหนุ่มคนหนึ่งพูดกับ ฉินมู่มู่

เจี่ยนถงแอบเงยหน้าขึ้น ดู ฉินมู่มู่กัดริมฝีปากไว้ ราวกับว่าได้รับความอับอายมหาศาล “ฉันไม่……”

ไม้ถูพื้นของเจี่ยนถง จับไม่มั่นคงอย่างกะทันหัน ถูกลากไปบนรองเท้าของ ฉินมู่มู่ ฉินมู่มู่ สะดุ้งตกใจ ลืมสิ่งที่กำลังจะพูดในเมื่อครู่ มองไปที่เจี่ยนถง

เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นขอโทษ “ขอโทษ ถูกโดนรองเท้าของคุณ”

เหตุการณ์เล็กๆที่เกิดขึ้นเหมือนไม่ได้ตั้งใจนี้ กลับดึงดูดความสนใจของพวกผู้ชายในห้องส่วนตัว

หูของเจี่ยนถงก็ได้ยิน ฉินมู่มู่พูดอย่างโกรธเคือง “ฉันไม่ใช่นางแบบ แล้วก็ไม่ใช่สาวนั่งดริ้งก์ ฉันไม่ร้อง ฉันเป็นแค่พนักงานเสิร์ฟที่บริการเสิร์ฟชาส่งน้ำเท่านั้น!”

เจี่ยนถงในเวลานี้ รู้สึกเสียใจจนอยากจะตบตัวเองให้ตายจริงๆ……คนบางคนสามารถช่วยได้ คนบางคนช่วยไม่ได้

ฉินมู่มู่ จะเลือกอย่างไรเจี่ยนถงไม่รู้ แต่ถ้าเป็นเจี่ยนถง เธอจะไม่ทำให้พวกคุณชายเหล่านี้ขุ่นเคือง เพราะเพลงเพลงเดียว คนที่อยู่ในห้อง VIP ของตงหวง ฐานะล้วนไม่ต่ำ จะยอมให้พนักงานเสิร์ฟตัวเล็กๆคนหนึ่ง ฝ่าฝืนคำสั่งของพวกเขาได้อย่างไร?

ฉินมู่มู่ไม่ให้เกียรติพวกคุณชายเหล่านี้ แล้วพวกคุณชายเหล่านี้ จะยอมปล่อย ฉินมู่มู่ไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร?

พวกคุณชายเหล่านี้ ผู้หญิงแบบไหนที่ไม่เคยเห็นบ้าง? เห็นว่าฉินมู่มู่ไร้เดียงสาและสวยงาม ให้เธอร้องเพลงเดียว ก็คือหาทางให้เธอลง ถ้าฉินมู่มู่ชื่อฟัง ร้องเพลงจบก็ออกไป พวกคุณชายเหล่านี้ ก็จะไม่ทำให้เธอลำบากใจอีก

ดูเหมือนว่าเธอช่วย ฉินมู่มู่โดยเปล่าประโยชน์ ยังดึงดูดความสนใจของแขกในห้อง

เจี่ยนถง พูดในใจ “รีบทำความสะอาดให้เสร็จ แล้วออกไปโดยเร็ว อยู่ในนี้นานอีกหน่อย ใครก็ไม่รู้ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรอีก เมื่อกี้ช่วยฉินมู่มู่ไว้ แล้วเพราะเหตุนี้ทำให้แขกในห้องขุ่นเคือง ยังทำให้ตัวเองซวยไปด้วย รีบออกไปจากห้องส่วนตัวนี้โดยเร็วที่สุดจะดีกว่า

“อุ้ย! หยิ่งในศักดิ์ศรีไม่เบา?” ครั้งนี้ เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงทะเล้น “ไม่ยอมร้องเพลง? ได้ ดื่มเหล้าขวดที่อยู่บนโต๊ะลงไป เธอก็สามารถไปได้”

“ฉันไม่ดื่ม! ฉันไม่ใช่สาวนั่งดริ๊งค์สักหน่อย!”

“เหอะๆๆไม่ดื่ม?” เสียงทะเล้นยิ้มเบาๆ “นี่เกรงว่าจะไม่ใช่เธอปฏิเสธก็สามารถที่จะปฏิเสธได้ มาทำงานในตงหวง ไม่ต้องพูดถึงพนักงานเสิร์ฟ แม้แต่ป้าทำความสะอาด เพียงแค่ลูกค้าสั่งให้ทำ ก็ต้องให้ความร่วมมืออย่างเชื่อฟัง ใช่ไหม?”

เมื่อเจี่ยนถง ได้ยินเสียงทะเล้นนี้เอ่ยถึงคำว่า “ป้าทำความสะอาด” ในใจมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอย่างไร้เหตุผล วินาทีต่อมา ลางสังหรณ์ก็เป็นจริง

“นี่ ตรงนั้น ใช่ ก็คือเธอ ป้าทำความสะอาด เธอว่าใช่ไหม?”

…………….

บทที่ 6 ไม่เจอตั้งนาน ไม่ทักทายหน่อยหรือ

ไฟ ได้ลุกไหม้มาทางเธอแล้วจริงๆ! เธอไม่ควรหาเรื่องช่วยเหลือฉินมู่มู่จริงๆ!

เจี่ยนถงเสียใจแทบตาย

“นี่ ถามเธอนะ ป้าทำความสะอาด”

เจี่ยนถงทำได้เพียงกัดฟันไว้แล้วพยักหน้า

เสียงทะเล้นนั้น หัวเราะชอบใจพูดกับฉินมู่มู่ว่า “ได้ยินหรือยัง? พนักงานทำความสะอาดคนหนึ่ง ยังสามารถดูสถานการณ์ได้ดีกว่าเธอ รู้การยกย่อง” จากนั้นก็คว้าเหล้าขวดนั้น วางไว้บนโต๊ะอย่างแรง “ดื่มให้หมด ไม่อย่างนั้นก็เรียกซูเมิ่งเข้ามา” ซูเมิ่งก็คือ พี่เมิ่ง ที่สัมภาษณ์ เจี่ยนถง

เมื่อพูดถึงพี่เมิ่ง ฉินมู่มู่รู้สึกกลัวเล็กน้อย ครอบครัวของเธอยากจน มาเป็นพนักงานเสิร์ฟในตงหวงก็เพราะเงินเดือนของ ตงหวงสูง ถ้าเรียกพี่เมิ่งเข้ามา อย่างนั้นเธอก็จะตกงานแล้ว

“อย่าเรียกพี่เมิ่ง!” ฉินมู่มู่คว้าขวดเหล้าบนโต๊ะคริสทัล “ฉันดื่ม!” ยังไม่ได้ดื่ม น้ำตาก็ไหลลงมา

“เดี๋ยวก่อน” ในความมืด เสียงทุ้มต่ำได้ดังขึ้นอย่างไม่เร่งรีบ เจี่ยนถง หันหลังเข้าไปที่มุมมืด เมื่อเธอได้ยินเสียงนี้ ร่างกายก็เริ่มสั่นสะท้านรุนแรงอย่างควบคุมไม่ได้

ใต้ดวงตาปรากฏความหวาดกลัว เสียงหายใจก็เริ่มหนักหน่วง

“หันกลับมา” ในความมืด เสียงนั้นออกคำสั่ง

ขาของเจี่ยนถงดูเหมือนจะเต็มไปด้วยตะกั่ว ขยับไม่ได้เลย เธอพยายามพูดกับตัวเองสุดขีด ไม่ใช่พูดกับฉัน

“พูดอีกครั้ง หันกลับมา ป้า ทำ ความ สะ อาด”

“ฮึก~” หัวใจของ เจี่ยนถงเหมือนโดนคนชกเข้าอย่างแรง เธอรู้ดีว่า เธอต้องทำตาม ฟันของเธอ “กึกกักๆ” สั่นสะท้านขึ้นลง สวมเสื้อผ้าที่หนักหน่วง หันกลับไปด้วยความยากลำบาก

บรรยากาศแปลกประหลาดยิ่งนัก ในเวลานี้ ทุกคนก็พบว่าเรื่องราวผิดปกติ

คุณชายทะเล้นผู้นั้น นิ้วมือวางไว้ที่ริมฝีปาก ผิวปากด้วยความชอบใจ “มีเรื่องสนุกดูแล้ว”

ชายคนหนึ่งบนโซฟาตำหนิ “ซีเฉิน นายหุบปาก อย่ารบกวนฉันดูเรื่องสนุก”

“ระยำ ไป๋ยู่สิงนายมันร้ายเข้าไปถึงกระดูกแล้วจริงๆ”

ดวงตาของเจี่ยนถงเต็มไปด้วยความกลัว เธออยากจะหนี!

สามปีในเรือนจำ วันเวลาหนึ่งพันเก้าสิบห้าวัน เธออาศัยอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก สภาพที่ตกนรกทั้งเป็น หลังจากคลานออกมาจากขุมนรกที่ไม่สามารถมองเห็นดวงตะวันได้ ก็ไม่กล้าที่จะมีความคิดล่วงเกินใดๆเกี่ยวกับเสิ่นซิวจิ่นอีกต่อไป สิ่งที่เหลือง ก็คือความหวาดกลัวและสยดสยองฝังลึกอยู่ในกระดูกดำต่อชายคนนี้

ต่อให้ยังคงมีความรักและความหลงใหลต่อผู้ชายคนนี้ ก็ถูกเธอฝังอยู่ในสุสานหัวใจตั้งนานแล้ว ไม่พบแสงสว่างชั่วนิจนิรันดร์

“เงยหน้าขึ้น” เสียงนั้นค่อยๆสั่งการ เจี่ยนถงเหมือนจะเคลื่อนไหวทีละนิด ตามคำสั่งของเขา

แสงไฟสลัว ส่วนชายคนนั้น ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด ตอนที่เธอเข้ามา ไม่กล้ามองอย่างละเอียด จึงไม่แปลกใจที่สังเกตไม่เห็น

เสิ่นซิวจิ่นราวกับองค์จักรพรรดิ นั่งอย่างสง่างามที่มุมโซฟา แขนเรียวยาววางอยู่บนราวจับของโซฟา มือเท้าคางไว้ สุภาพบุรุษผู้สง่างาม แต่ดวงตาคู่นั้น ที่สวมใส่แว่นตากรอบสีทอง จ้องมองเธอเหมือนหมาป่าที่หิวโหย พร้อมจะเขมือบฉีกเธอออกเป็นชิ้นๆได้ทุกเมื่อ

วันเวลาสามปี แทนที่จะไม่ให้เขาโดนย้อมด้วยร่องรอยวันเวลา ยังทำให้เขาดูโดดเด่นสะดุดตามากขึ้น หลังจากถูกวันเวลาขัดเกลา

ใบหน้านั้น ซ่อนอยู่ภายใต้แสงไฟสลัว เหมือนถูกเคลือบด้วยแสงสีทอง เขานั่งอยู่ที่นั่น ทั้งตัวกระจายเสน่ห์ที่น่าหลงใหล

แต่ว่า……เธอไม่กล้าเหลือบมองเลยสักนิดเดียว! รีบฝังหน้าลงหน้าอกที่หนักหน่วง

“เชอะ” เสิ่นซิวจิ่นยิ้มเยาะ รอยยิ้มเยือกเย็น พูดด้วยน้ำเสียงอันตราย “ไม่เจอตั้งนาน ทำไม? ไม่ทักทายหน่อยหรือ?”

เจี่ยนถงสีหน้าขาวซีด “คุณเสิ่น”

เจี่ยนถงพยายามข่มความหวาดกลัวและสยองในใจ นิ้วมือจิกเนื้อที่ต้นขาอย่างแรง พยายามรักษาท่าทางที่สงบให้ได้มากที่สุด

แต่ทุกการเคลื่อนไหวของเธอ ถูกชายตรงหน้าบนโซฟา ได้มองทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว

เสิ่นซิวจิ่นหรี่ตาลง มองพิจารณา……เจี่ยนถง ถ้าไม่ใช่ว่าวันนี้ได้เจอเธอที่ตงหวง เขาแทบจะลืมคนคนนี้ไปแล้ว

การเปลี่ยนแปลงของเธอใหญ่หลวงมาก ถ้าไม่ใช่เพราะพนักงานเสิร์ฟคนนั้น เผลอพูดว่า “พี่เจี่ยนถง” เขาก็จำผู้หญิงคนนี้ไม่ได้แล้ว

แสงไฟในห้องส่วนตัวมืดสลัว เขาได้แค่มองดูคร่าวๆเท่านั้น แต่ถึงจะอย่างนั้น เสิ่นซิวจิ่นก็ต้องยอมรับว่า การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ของเจี่ยนถง นั้น เกินความคาดหมายของเขามากจริงๆ

“ออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” เสิ่นซิวจิ่นถามอย่างไม่ใส่ใจ

เจี่ยนถงร้อนรน ใบหน้าไม่มีสีเลือดเลย เงยหน้าขึ้นกะทันหัน มองไปที่ชายตรงหน้าอย่างอ้อนวอน……ขอร้องคุณ อย่าพูด อย่าพูดเรื่องที่ฉันเคยติดคุก ต่อหน้าผู้คนมากมาย ได้โปรด ในดวงตาคู่นั้น เขียนประโยคนี้ไว้อย่างชัดเจน!

เสิ่นซิวจิ่นเลิกคิ้วขึ้น ไม่ทันตั้งตัว ยกมือขึ้น ชี้ไปที่ขวดเหล้าในมือของฉินมู่มู่ ยกริมฝีปากขึ้น แล้วยิ้มเยาะให้กับเจี่ยนถง “ฉันรู้ว่าคุณต้องการจะพูดอะไร ได้ เพียงแค่คุณดื่มเหล้าขวดนี้จนหมด ฉันก็จะตกลงคำขอร้องของคุณ”

เจี่ยนถง มองไปที่ขวดวอดก้าในมือของ ฉินมู่มู่

Bols Vodka เป็นหนึ่งในวอดก้าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก โดยมีดีกรีอยู่ที่ประมาณสี่สิบกว่า เจี่ยนถงสีหน้าขาวซีด จ้องไปที่ขวดวอดก้าซีด อ้าปากเล็กน้อย เธออยากจะพูดอะไรบางอย่าง

ผู้ชายบนโซฟา เหมือนอย่างกับนักล่า กำลังหยอกล้อกับของเล่นใต้เท้า ดวงตาดำสนิทจ้องมองไปที่เจี่ยนถงอย่างหยอกเย้า

“ความอดทนของฉันมีจำกัด”

เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนั้น เจี่ยนถงสีหน้าขาวซีด

“ฉัน ฉันดื่มเหล้าไม่เป็น”

ทันทีที่พูดโกหกเสร็จ เจี่ยนถง ก็รู้สึกว่า หนังศีรษะชาด้านไปหมด เธอกำลังจะถูกแผดเผาจนบาดเจ็บ ด้วยสายตาที่จับต้องได้คู่นั้น ฝ่ามือ ได้แอบกำหมัดไว้แน่น ในมุมที่เขามองไม่เห็น…… เธอเหมือนเป็นนักโทษประหาร ที่รอคอยการตัดสิน รอการตัดสินลงโทษขั้นสุดท้ายอย่างทรมาน

“คุณเสิ่น คุณ คุณปล่อยฉันไปเถอะ” เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ เจี่ยนถงสามารถละทิ้งศักดิ์ศรีได้ ก้มกราบขอความเมตตาอยู่ที่พื้น “ขอร้องคุณ ปล่อยฉันไป เพียงแค่ไม่ให้ฉันดื่มเหล้า ให้ฉันทำอะไรก็ได้” เธออยากมีชีวิตอยู่ต่อ เพียงแค่มีชีวิตอยู่ต่อเท่านั้น ถึงสามารถไปชดใช้หนี้ได้

ใช่แล้ว เธอเป็นหนี้มหาศาล แต่เจ้าหนี้ไม่ใช่ เซี่ยเวยเหมิงแน่นอน

รูปลักษณ์ด้านข้างของชายหนุ่ม ที่ซ่อนอยู่ภายใต้แสงสลัว พาดผ่านความประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้น เสิ่นซิวจิ่นก็พูดด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ “เพียงแค่ดื่มเหล้าหนึ่งขวดเท่านั้น เพื่อที่จะไม่ดื่ม คุณก็คุกเข่าลงได้อย่างง่ายดาย? เจี่ยนถง ความโดดเด่นหยิ่งผยองทั้งตัวของคุณในอดีต ศักดิ์ศรีที่ปกป้องด้วยชีวิต ไปไหนแล้ว?”

ศักดิ์ศรี?

ใบหน้าของเจี่ยนถง ที่ฝังลึกลงไปบนพื้น แสดงร่องรอยของความเยาะเย้ยและความขมขื่น

ศักดิ์ศรีคืออะไร? ศักดิ์ศรีสามารถกินได้ไหม? ศักดิ์ศรีสามารถทำให้เธอมีชีวิตอยู่ได้ไหม?

เธอคุกเข่า ไม่ใช่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ไปดื่มเหล้าขวดหนึ่ง แต่เธอเพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อ!

หลับตาลงด้วยความเจ็บปวด เพียงแค่หลับตาลง ใบหน้าที่เหยียดหยามดูถูกมากมาย ก็ปรากฏต่อหน้าเธอทันที ยกเว้นเพียงคนคนหนึ่ง และหญิงสาวคนนี้ ในที่สุดก็เป็นเพราะเธอ! เพราะเธอ! ได้ตายอยู่ในคุกที่มืดมัวและอับชื้น!

ชีวิตในวัยเยาว์เพียงยี่สิบปี ช่วงวัยดั่งดอกไม้ ก็ได้เหี่ยวเฉาในที่มืดมัวและอับชื้นแห่งนั้น

ทั้งหมดเป็นเพราะเธอ เพราะเธอเจี่ยนถง!

นี่คือบาป คือหนี้ บาปและหนี้ที่ไม่สามารถชดใช้ได้!

เธอไม่ได้เป็นหนี้ เซี่ยเวยเหมิง ที่เธอเป็นหนี้คือ เด็กผู้หญิงที่ยืนหยัดออกมาปกป้องเธอในคุกอย่างกล้าหาญ แต่สุดท้าย กลับเสียชีวิตในคุกโดยไม่ทราบสาเหตุ!

ร่างกายของเจี่ยนถงสั่นสะท้านจนไม่สามารถหยุดได้ เธอดูเหมือนจะเห็นหญิงสาวคนนั้น ทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด นอนอยู่ในอ้อมกอดของเธอ เรียกคำว่า “พี่เจี่ยนถง” ซ้ำแล้วซ้ำอีก ก่อนจะสิ้นใจ ใช้เสียงที่ไพเราะที่สุด ที่ทั้งชีวิตของ เจี่ยนถง ไม่เคยได้ยิน เล่าถึงบ้านเกิดและความฝันของเธอ

…………….

บทที่ 7 จูบเธอ

“พี่เจี่ยนถงออกจากคุกแล้ว พี่อยากทำอะไร? ฉันอยากไปที่เอ๋อร์ไห่ ความสวยงามของเอ๋อร์ไห่ กระจ่างใสบริสุทธิ์ นกน้ำที่นั่นน่ารักมาก ปลาและกุ้งในเอ๋อร์ไห่สดอร่อยมาก ท้องฟ้ายิ่งสวย น้ำยิ่งใส แม้กระทั่งแสงอาทิตย์ ยังอบอุ่นมากกว่าเมืองนี้

ฉันจะตั้งใจทำงานหาเงิน หาเงินก้อนใหญ่ ไปเปิดโฮมสเตย์เล็กๆที่นั่น ฉันไม่ต้องการหากำไร แค่อยากหันหน้าสู่เอ๋อร์ไห่ทุกวัน น้ำขึ้นน้ำลง ฉันไม่ได้อยากหาเงินจำนวนมาก แค่อยากจะมีชีวิตพอเพียง เลี้ยงปากท้องได้ก็เกินพอ บางทีก็ดูพวกแบ็คแพ็คเกอร์มาๆไปๆ ไปๆมาๆ

พี่เจี่ยนถงเหมือนว่าฉันกำลังจะตายแล้ว ทำยังไงดี ฉันยังไม่ทันไปชมความงามของเอ๋อร์ไห่”

นั่นคือเสียงดั่งสวรรค์แห่งความเศร้าโศก ที่เจี่ยนถงจะไม่มีวันลืมในชีวิตนี้ เธอกอดหญิงสาวคนนั้นไว้ ใช้อุณหภูมิร่างกายของตัวเอง ไปอบอุ่นร่างกายของหญิงสาวที่ค่อยๆเย็นขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่จะสิ้นใจ หญิงสาวในอ้อมกอด ดวงตาที่กระจ่างใส ด้วยความปรารถนา มองออกไปที่ท้องฟ้าเล็กๆ นอกกรงเหล็กในคุก เธอบอกว่า “พี่เจี่ยนถง ที่จริงฉันไม่เคยไปเอ๋อร์ไห่เลย ความสวยงามของเอ๋อร์ไห่เหล่านั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ฉันได้เห็นในทีวีหนังสือพิมพ์และนิตยสาร ฉันรู้ว่า ต่อให้ฉันจะออกจากคุกแล้ว ก็ไม่มีเงินที่จะไปเปิดโฮมสเตย์เล็กๆ ในเอ๋อร์ไห่ ฉันแค่คิดว่า ก่อนที่จะตาย ฝันถึงความฝันที่เป็นไปได้เสียหน่อย”

จนถึงตอนนี้ เจี่ยนถงยังคงจำสายตาที่โหยหาในดวงตาของหญิงสาวก่อนที่จะสิ้นใจ

ความทรงจำยังคงเจ็บปวดมากขนาดนี้ หางตาเปียกชื้นโดยไม่รู้ตัว เธอยื่นมือออกมา แอบเช็ดมันให้แห้ง กองอยู่บนพื้นมือ มือข้างหนึ่งแตะเอวซ้ายด้านหลังของตัวเองอย่างเงียบๆ ในนั้นว่างเปล่า มีอวัยวะชิ้นหนึ่ง ที่น้อยกว่าคนปกติ

ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไม่สามารถดื่มเหล้าได้ เธอต้องมีชีวิตอยู่

เธอเป็นหนี้ ชดใช้ไม่หมด!

เธอมีความผิด ยังไม่ได้ไถ่โทษ!

ไม่!

ยังตายไม่ได้!

เจี่ยนถง เงยหน้าขึ้น จ้องมองเสิ่นซิวจิ่นส่ายหัวแล้วพูดว่า “คุณเสิ่น แค่คุณไม่ให้ฉันดื่มเหล้า ยังไงก็ได้”

ยังไงก็ได้?

ดวงตาเสมือนนกเหยี่ยวของชายหนุ่ม หรี่ลงเล็กน้อย มุมปากค่อยๆยกขึ้น “ยังไงก็ได้?” เขาพูดขึ้น เผยให้เห็นถึงความอันตราย

เจี่ยนถง คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเจี่ยน ความมั่นใจและหยิ่งผยองในอดีต ถูกโยนทิ้งไปหมดแล้ว?

เขาอยากจะดูว่า คุณหนูเจี่ยนในความทรงจำตอนอดีต ที่อยู่ตรงหน้า ได้กลายเป็นอีกคนหนึ่งแล้วจริงหรือไม่

“เพียงแค่ไม่ดื่มเหล้า ยังไงก็ได้”

“ได้” ชายหนุ่มที่อยู่บนโซฟา ความเยือกเย็นพาดผ่านบนใบหน้า จากนั้นก็ดีดนิ้วกลางอากาศ ตามด้วยเสียงดีดนิ้วนี้ เงาร่างหนึ่ง ค่อยๆเดินออกมาจากมุมมืด “คุณผู้ชาย” ชายคนนั้นแต่งตัวในชุดสูทสีดำ ทรงผมสกินเฮดที่ดูสะอาดสะอ้าน กำลังก้มหัวสี่สิบห้าองศาอย่างเคารพ คนคนนี้ น่าจะเป็นบอดี้การ์ดของเสิ่นซิวจิ่น

เจี่ยนถงมองไปที่เสิ่นซิวจิ่นในแสงสลัวด้วยความมึนงง รูปร่างหน้าตาไร้ที่ติของชายหนุ่ม กระจายไปด้วยแสงสีทอง ค่อยๆผลิบานรอยยิ้มราวกับลิลี่แมงมุม ริมฝีปากบางขยับเบาๆ “จูบเขา”

เจี่ยนถงมองตามนิ้วเรียวของเขา สายตาจับจ้องไปที่บอดี้การ์ดสูทดำที่เงียบสงบข้างหลังเขา……ทันใดนั้น ดวงตาเบิกกว้าง!

“ทำไม? ทำไม่ได้เหรอ?” ข้างหู ส่งเสียงล้อเลียนของเสิ่นซิวจิ่น “ไม่ก็ ดื่มเหล้า หรือไม่ก็ ตอนนี้เริ่มการแสดงของคุณที่นี่เลย”

“ซู่ซ่า!” น้ำเย็นถังหนึ่ง เทลงมาจากหัว เจี่ยนถง หนาวเย็นไปทั้งตัว ไม่มีร่องรอยของชีวิตชีวาเลย หูอื้อไปหมด เงยหน้าขึ้น สายตาที่ว่างเปล่า มองไปชายหนุ่มที่อยู่บนโซฟา ราวกับจักรพรรดิ……เขาพูดว่าอะไร?

การแสดง อ๋อ……ให้เธอเป็นดั่งหญิงงามเมือง แสดงฉากจูบที่เย้ายวนที่นี่?

เธอค่อยๆเม้มริมฝีปากแห้ง ที่แท้จูบแรกของเธอนั้นไร้ค่าขนาดนี้ แม้ว่าความรู้สึกที่มีต่อเขา จะเหลือเพียงความหวาดกลัวและสยดสยอง แม้ว่าเธอได้จัดการเก็บกวาดกับความรู้สึกที่มีต่อเขาได้อย่างสะอาดหมดจด แล้วฝังไว้ในสุสานหัวใจ ตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจต้านทานได้ ที่ความเจ็บปวดจะทะลักออกมาเล็กน้อย

เธอค่อยๆมองไปที่เสิ่นซิวจิ่นดวงตาคู่นั้น ไม่เย็นไม่แค้นและไม่รัก มีแต่ความสิ้นหวังมากมาย ที่ไม่อาจมลายจางหายไปได้

เสิ่นซิวจิ่นชื่นชมความสิ้นหวังในแววตาของเธออย่างมีความสุข ผู้หญิงคนนี้……น่าจะปฏิเสธคำขอที่ไร้สาระขนาดนี้ของเขาสินะ?

ดื่มเหล้ากับการแสดงฉากจูบกับผู้ชายแปลกหน้าในที่สาธารณะ ต่อให้เปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนไหน ก็จะเลือกข้อแรก ไม่ใช่หรือ?

ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังเป็นคุณหนูเจี่ยนในอดีต คุณหนูเจี่ยนผู้หยิ่งผยองทะนงตัวคนนั้น

“ขอเปลี่ยนอีกคนได้ไหม?” เพราะยังไงแล้ว นี่คือจูบแรกของเธอ ในสายตาของเขา อาจจะไร้ค่าได้ แต่ในสายตาของเธอ มันสำคัญมาก

เธอไม่อยากจะ ทิ้งจูบแรกไปแบบนี้

เพราะเธอไม่มีอะไรอีกแล้ว

ชายหนุ่มยกแก้วเหล้าขึ้น แล้วดื่มหมดแก้ว “คุณไม่มีคุณสมบัติพอที่จะต่อรองกับฉัน” มุมปากยกรอยยิ้มขึ้นอย่างพอใจ เขาอยากเห็นว่า คุณหนูเจี่ยนแห่งเมือง S จะสามารถต่ำต้อยไร้ค่าถึงเพียงใด!

“ได้ ฉันเข้าใจแล้ว” เจี่ยนถงยืนขึ้นอย่างแข็งทื่อ ขาของเธอไม่สะดวก คุกเข่าเป็นเวลานาน กระดูกขาส่งอาการที่เจ็บปวดถึงหัวใจ เกือบจะล้มลงกับพื้นอีกครั้ง เธอยกมือขึ้น ทุบที่ต้นขาอย่างแรงไปหลายที คลายเส้นคลายสามถึงได้เดินกะเผลกไปตรงหน้าของบอดี้การ์ดชุดดำคนนั้น

เพราะการทุบขาของเธอ พวกผู้ชายในห้องส่วนตัว เพียงแค่คิดว่า เธอคุกเข่าเป็นเวลานาน ขาชาแล้ว แต่ฉินมู่มู่รู้ดีว่า ผู้หญิงที่เดินกะเผลกคนนี้ กำลังทนความเจ็บปวด ที่คนธรรมดาไม่อาจทนได้

ฉินมู่มู่รู้สึกเสียใจแล้ว เป็นเพราะเธอ ทำให้พี่เจี่ยนถง เดือดร้อน

“พี่เจี่ยนถง……” ฉินมู่มู่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก แต่ถูกซีเฉินท่าทางทะเล้นที่อยู่ด้านข้าง เตือนด้วยสายตาคมเฉียบ ตกใจจนหุบปากทันที ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความเสียใจ แค่ได้มองผู้หญิงที่กำลังเดินกะเผลกอย่างน่าสงสารคนนี้ โดยช่วยอะไรไม่ได้

เจี่ยนถงสีหน้าแข็งทื่อ เดินไปตรงหน้าของบอดี้การ์ดคนนั้น แอบหายใจเข้าลึกๆ แล้วพ่นลมหายใจออก เนิ่นนานนัก เธอแสร้งทำเป็นใจเย็นแล้วยกแขนขึ้น จับไหล่ของบอดี้การ์ดชุดดำ

เธอดูเหมือนจะสงบมาก แต่บอดี้การ์ดในชุดดำที่ถูกเธอจับไหล่ไว้ อยู่ใกล้เธอมากที่สุด สังเกตเห็นการสั่นสะท้านไปทั้งตัว ของคุณหนูเจี่ยนที่อยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน

เจี่ยนถง คุณหนูเจี่ยน เขาก็รู้จักเช่นกัน แต่บอดี้การ์ดชุดดำคนนี้ จนถึงตอนนี้ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ผู้หญิงที่น่าอนาถและต่ำต้อยตรงหน้านี้ คือคุณหนูตระกูลเจี่ยนที่หยิ่งผยองทะนงตัวเต็มไปด้วยชีวิตชีวาในอดีต

เขย่งปลายเท้าขึ้น ริมฝีปากขาวซีดของเจี่ยนถงยื่นเข้าหาริมฝีปากของบอดี้การ์ดชุดดำตรงหน้า อย่างสั่นสะท้าน……

เสียจูบแรกไป ก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่ถ้าเหล้าขวดนั้นได้ดื่มลงไป ความเป็นไปได้ที่เธอจะไม่ตาย แทบจะเป็นศูนย์เลย

เธออยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ จูบแรก ถือเป็นตัวอะไร?

เสิ่นซิวจิ่นสีหน้าดูซับซ้อน สุดท้ายเธอเลือกอย่างหลัง

ชายหนุ่มบนโซฟาหรี่ตาลง ริมฝีปากบางเพิ่งเปิดออก ตรงประตูส่งเสียงขึ้นกะทันหัน “ฮืม คือคุณ? ทำไมยังไม่ไป?”

ทันทีที่เสียงนี้ดังขึ้น ทุกคนในห้องส่วนตัว ก็มองตามเสียงไปทั้งหมด ตรงประตูห้องส่วนตัว ไม่รู้ว่ามีชายร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่

เจี่ยนถงสะดุ้งเล็กน้อย หันมองไปที่ประตู “คือคุณเหรอ……”

ซีเฉินมองไปที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ตรงที่ประตู จากนั้นก็มองไปที่เจี่ยนถง ดวงตาเสน่ห์ยิ้มกริ่ม “โอ้ เซียวเหิง ที่แท้นายรู้จักกับเธอเหรอ” นี่มันน่าแปลกนัก พนักงานทำความสะอาดคนหนึ่ง คู่ควรให้ เซียวเหิงรู้จัก?

ซีเฉินลูบคางเบาๆ เห็นได้ชัดว่ากำลังรอดูเรื่องสนุก

สายตาของ เสิ่นซิวจิ่น ก็จ้องอยู่ที่ เซียวเหิง ความลึกล้ำใต้ดวงตา

เซียวเหิงไม่ได้สนใจสายตาของคนเหล่านี้จ้องมองที่ตัวเองเลย เขามองไปที่เจี่ยนถงอย่างแปลกประหลาด……ผู้หญิงคนนี้ต้องการทำอะไร? ทำไมดูเหมือนว่าจะจูบบอดี้การ์ดส่วนตัวของ เสิ่นซิวจิ่น?

กะพริบตาอย่างไม่สนใจ เซียวเหิงระบายยิ้มเล็กน้อย “น่าแปลก ฉันเพิ่มออกไปแค่ครู่เดียว ในห้องนี้ก็คึกคักมีชีวิตชีวามากขนาดนี้” เซียวเหิงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เดินไปหา เจี่ยนถงอย่างเกียจคร้าน ถามขณะที่กำลังเดิน “นี่คุณกำลังทำอะไร?”

…………….

บทที่ 8 เซียวเหิง เข้ามาแทรกแซง

ซีเฉิน กำลังจะพูด แต่ ไป๋ยู่สิงที่อยู่ด้านข้าง กลับขัดจังหวะ ซีเฉินอย่างไร้ร่องรอย ดวงตาคมกริบเปล่งประกายขึ้น “เธอเหรอ ทำให้คุณชายเสิ่นหงุดหงิด นั่น เห็นหรือเปล่า? เหล้าขวดนั้นบนโต๊ะ” ไป๋ยู่สิง ชี้ไปที่วิสกี้บนโต๊ะอย่างสบายอารมณ์ “คุณชายเสิ่นพูดแล้ว ไม่ก็ให้เธอดื่มเหล้าขวดนี้จนหมด หรือไม่ก็ ให้เธอแสดงฉากจูบต่อหน้าทุกคน เหมือนเป็นการแสดงความบันเทิงเท่านั้น”

“โอ้ ~” เซียวเหิง ส่งเสียง “โอ้” ยาวๆ พร้อมกับค่อยๆเดินไปหาเจี่ยนถง แล้วสายตากวาดมองไปที่ เสิ่นซิวจิ่นบนโซฟาอย่างเนือยๆ จับคางเบาๆอย่างทะเล้นเจ้าเล่ห์

“คุณชายเสิ่น รู้วิธีเล่นสนุกจริงๆ ในเมื่ออยากจะดูฉากจูบที่เร่าร้อน ให้ฉันมาเป็นพระเอกสักครั้งแล้วกัน ไม่ใช่ว่าฉันคุยโอ้อวดตัวเอง ทักษะการจูบของฉัน เซียวเหิง ถ้าเป็นอันดับสอง ก็ไม่มีใครกล้าเป็นอันดับหนึ่ง”

ในขณะที่พูด จู่โจมโดนไม่ทันได้ตั้งตัว ยื่นแขนยาวออกไป ดึงเจี่ยนถงที่ยังมึนงงสับสนเข้ามาในอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว

เจี่ยนถงไม่ทันตอบสนอง ทั้งร่างก็กระแทกเข้าไปในอกของ เซียวเหิงในวินาทีต่อมา ริมฝีปากก็อบอุ่นชั่วขณะ เธอก็เบิกตากว้างในทันที

เธอ……ถูกจูบ?

ตูม!

ใบหน้า ร้อนผ่าวขึ้นทันที แดงระเรื่อตั้งแต่ใบหูจนถึงปลายเท้า

เซียวเหิง ตกตะลึงกับความนุ่มนวลอ่อนละมุนของปากเล็กนั้น ที่ปกคลุมด้วยริมฝีปากบาง สัมผัส…… มันโคตรดีเลย!

เดิมทีไม่อยากที่จะจูบอย่างลึกซึ้ง ในความคิดที่จะกลั่นแกล้ง แค่อยากจะแตะริมฝีปากของเธอเบาๆอย่างรวดเร็ว แต่ไม่คิดว่า ได้สัมผัสบนริมฝีปากยั่วยวนแล้ว

เมื่อจะก้มหน้าจูบให้ลึกอีกครั้ง พลังอย่างแรง แย่งผู้หญิงในอ้อมกอดไป

เซียวเหิงไม่ได้รับความหวานที่คาดหวังไว้ จ้องเขม็งคนที่ดึง เจี่ยนถงไปอย่างไม่พอใจ

“เสิ่นซิวจิ่น คืนคนให้ฉัน”

เสิ่นซิวจิ่น สีหน้าเคร่งขรึม สายตาคมกริบ “เธอล่วงเกินฉัน ก่อนที่ฉันจะหายโกรธ ไม่ว่าใครก็เอาไปไม่ได้”

เซียวเหิง เลิกคิ้วมองไปที่เสิ่นซิวจิ่นพวกเขาทั้งสอง เป็นทั้งเพื่อนและศัตรูกันมาตั้งแต่เด็ก แม้ว่าในเวลาต่อมา เขาจะไปต่างประเทศกับพ่อแม่ ส่วนเสิ่นซิวจิ่นอยู่ในประเทศ แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่ ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

แต่ว่า ผู้หญิงที่เสิ่นซิวจิ่นใส่ใจ…… เซียวเหิง สงสัยยิ่งนัก กวาดมองไปที่ผู้หญิงที่ถูก เสิ่นซิวจิ่นลากไปข้างหลัง เซียวเหิงสังเกตเห็นอย่างประหลาด เธอใบหูแดงระเรื่อ

ทันใดนั้นก็นึกออกว่า ผู้หญิงคนนี้ แม้แต่โดนผู้ชายกอดเบาๆ ยังเป็นครั้งแรก หรือว่าแม้แต่จูบก็คือ……

“นี่ นี่เป็นจูบแรกของคุณ?”

ตูม!

ทั้งหน้าของ เจี่ยนถงแดงยิ่งกว่าก้นลิง หูแดงก่ำจนสามารถมีเลือดหยดออกได้ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร ใบหน้าที่แดงระเรื่อของเธอ ก็คือคำตอบ

แม้แต่เซียวเหิง เองก็ไม่ได้สังเกต ว่าขณะนี้เขาอารมณ์ดีสุดขีด

มุมปากยกโค้งขึ้น เซียวเหิงคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม มองไปที่ เสิ่นซิวจิ่น “ถ้าฉันดันจะพาเธอไปล่ะ?”

เสียงชอบใจที่เกรงว่าจะไม่วุ่นวายของซีเฉินดังขึ้นทุกทิศ เสียงผิวปากดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า “ไป๋ยู่สิง รีบเอาโทรศัพท์ออกมา ถ่ายบันทึกไว้! คุณชายเซียวเพื่อสาวงาม เสี่ยงที่จะยั่วยุ เสิ่นซิวจิ่น ข่าวนี้ขายให้กับสำนักพิมพ์ ต้องขายได้ในราคาสูงลิบลิ่วแน่นอน! หัวข้อข่าวหน้าหนึ่งของวันพรุ่งนี้ จะขาดมันไม่ได้อย่างแน่นอน!”

ไป๋ยู่สิงเทวิสกี้ให้ตัวเอง เลิกคิ้วเยาะเย้ยซีเฉินที่อยู่ด้านข้าง “ฉันกล้ารับประกันว่า ถ้านายทำอย่างนี้ หัวข้อข่าวหน้าหนึ่งของพรุ่งนี้ จะต้องเป็นแม่น้ำหวงผู่ปรากฏศพเปลือยนิรนามอีกครั้ง”

“เอ่อ……”

เสิ่นซิวจิ่นก็ต้องเห็นใบหน้าที่แดงระเรื่อไปหมดของ เจี่ยนถงอย่างแน่นอน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่า ท่าทางที่เขินอายนี้ น่ารำคาญลูกตายิ่งนัก

สายตาที่คมเฉียบ จ้องมองริมฝีปากของเธออย่างเยือกเย็น หรี่ตาลง โดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

โดนสายตาที่ไม่ลดละของเสิ่นซิวจิ่น จับจ้องไว้ เจี่ยนถง หันหน้าหนีอย่างอึดอัดใจ อยากจะหลบหลีกสายตาที่ไม่รู้ความหมายนี้

ในใจของ เสิ่นซิวจิ่นโกรธเคืองอย่างอธิบายไม่ถูก ทันใดนั้น ฝ่ามือราวกับคีมเหล็ก จับข้อมือของ เจี่ยนถงไว้ โค้งตัวลง แบกคนขึ้นไปบนไหล่ เหมือนแบกกระสอบทราย ภายใต้สายตาที่ตกตะลึงของคนพวก เซียวเหิง ไป๋ยู่สิงและซีเฉิน เดินก้าวใหญ่ ก้าวออกจากประตูห้องส่วนตัว

เซียวเหิงตั้งตัวได้เป็นคนแรก โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

“หยุดนะ!” ไม่พูดอะไร รีบไล่ตามไป

ซีเฉินอ้าปากกว้าง ยังย่อยความจริงตรงหน้าไม่หมด

ไป๋ยู่สิงก็ลุกขึ้นจากโซฟากะทันหัน “ทีนี้มีเรื่องสนุกดูแล้ว!” โดยไม่สนใจซีเฉินที่อยู่ข้างหลังเลย ก้าวเท้าตามไป

ในที่สุด ซีเฉินก็ตั้งตัวได้ แล้วลุกขึ้นยืนทันที “รอฉันด้วย! มีเรื่องสนุก จะเก็บไว้ชมเองได้อย่างไร สนุกคนเดียวสู้สนุกด้วยกันดีกว่า”

ฉินมู่มู่ สีหน้าขาวซีด สองเท้าเหมือนโดนกาวติดไว้กับพื้น ไม่สามารถขยับได้ เธอแค่รู้ว่า……จบเห่แล้ว

ครั้งนี้พี่ เจี่ยนถง โดนเธอทำให้เดือดร้อนแย่แล้ว

รู้สึกผิดในใจ แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

ถ้าไปบอกกับ พี่เมิ่ง นั้นเธอก็จบเห่ ถ้าพี่เมิ่งรู้ว่า เป็นเพราะเธอพูดจาไม่เคารพ ถึงทำให้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ขนาดนี้ เธอก็จะไม่สามารถเป็นพนักงานเสิร์ฟที่นี่ได้อีกต่อไป

ในทางหนึ่ง ก็รู้สึกผิด ในอีกทางหนึ่ง ก็กลัวเรื่องจะเข้าถึงหูพี่เมิ่ง ฉินมู่มู่ลังเลตัดสินใจไม่ได้ ดิ้นรนต่อสู้ในใจ

สุดท้าย……

“ไม่เป็นไร น่าจะไม่เป็นไร พี่เจี่ยนถง เป็นเพียงพนักงานทำความสะอาดเท่านั้น คุณชายเสิ่นคนนั้นแค่โกรธ ไม่จำเป็นต้องรังแกพนักงานทำความสะอาด ใช่ๆ น่าจะไม่เป็นไร” ฉินมู่มู่ พูดพึมพำกับตัวเอง พูดโน้มน้าวตัวเองต่อเนื่อง การหลอกตัวเองแบบนี้ ทำให้ในใจของเธอรู้สึกผิดน้อยลง

เซียวเหิงไล่ตามออกไปอย่างรวดเร็ว เสิ่นซิวจิ่นเดินอยู่ข้างหน้า ทันใดนั้นก็หันกลับมา ขาเรียวยาว วาดส่วนโค้งที่คมเฉียบกลางอากาศ เตะเท้าออกไป ว่องไวและสง่างาม หลังจากบีบ เซียวเหิง ถอยห่าง ก้าวเข้าไปในลิฟต์ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมมืออย่างรวดเร็ว

เซียวเหิงจะวิ่งไล่ตามไปอีก ประตูลิฟต์แค่อยู่ตรงหน้า ปิดแน่นสนิท!

“โธ่เว้ย!” อีกแค่นิดเดียว ไฟโกรธของเซียวเหิงยากที่จะดับลง กระแทกหมัดเข้ากับประตูลิฟต์

ซีเฉินและไป๋ยู่สิง เป็นคู่หูที่ดีจริงๆ มาถึงที่เกิดเหตุตามๆกัน

ซีเฉิน กลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวาย ยั่วยุเซียวเหิง “บัดซบ ไม่ใช่มั้ง? ลิฟต์หยุดที่ชั้นสองแล้ว!!! นี่ๆ ไป๋ยู่สิง นายรีบดูสิ เสิ่นซิวจิ่นกำลังจะทำอะไร? พาพนักงานทำความสะอาดไปที่ชั้นสอง?” ในตึกใหญ่นี้ ชั้นหกลงไป คือสถานที่บันเทิง หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ไนต์คลับ แต่ผู้ที่มาใช้บริการใน ตงหวง ล้วนเป็นผู้มีหน้าตา ร่ำรวยมีอำนาจ คนที่มีฐานะ ก็ต้องมีรสนิยมหรูหราสง่างามแน่นอน

ชั้นหกขึ้นไป ก็คือโรงแรม

ทำไมถึงออกแบบมาเป็นแบบนี้……คิดว่าคงไม่ต้องพูดมาก เพียงแค่ไม่ใช่คนโง่ ก็ต้องเข้าใจสาเหตุ

ดวงตาคมเรียวของ ไป๋ยู่สิง เปล่งประกาย ยิ้มเยาะให้กับซีเฉิน “พนักงานทำความสะอาดก็เป็นผู้หญิง ต้องตื่นตูมขนาดนี้ไหม?”

ประโยคนี้ไม่พูดยังดี ทันทีที่พูด ซีเฉินก็อดไม่ได้ที่จะพูดหมิ่น “รสนิยมของเสิ่นซิวจิ่นพิเศษขนาดไหนกัน? หือ? มันแปลกประหลาดเกินไปแล้วมั้ง?” "พาสาวทำความสะอาดไปเปิดห้อง? ซีเฉินเบะปาก นึกถึงรูปร่างหน้าตาและหุ่นของหญิงทำความสะอาดคนนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นสะดุ้ง”

“บัดซบ!” เซียวเหิงได้ยินเข้า ชกประตูลิฟต์อีกหมัดหนึ่ง จากนั้นกดปุ่มลิฟต์สุดชีวิต

“นี่ เซียวเหิง นายไม่ใช่ว่ายังอยากจะตามไปอีกนะ? นายเพิ่งกลับมาในประเทศ ไม่รู้อะไร ชั้นสองในนี้ ทั้งหมดเป็นของเสิ่นซิวจิ่น ไม่มีคีย์การ์ด นายเข้าไปไม่ได้”

เซียวเหิงบึ้งตึงไปทั้งหน้า

……

ความเร็วของลิฟต์นั้นรวดเร็วมาก ประตูลิฟต์ส่งเสียงดัง “ติ้ก” ประตูก็เปิดออกทันที เสิ่นซิวจิ่นก้าวออกจากลิฟต์อย่างรวดเร็ว แบกเจี่ยนถงไว้ ข้ามห้องนั่งเล่นอย่างคุ้นเคย แล้วเดินก้าวใหญ่เข้าไปในห้องนอน

“ปัง”

เจี่ยนถง รู้สึกเพียงว่าหน้ามืดตาลาย วินาทีต่อมา ทั้งตัวก็ถูกเสิ่นซิวจิ่นโยนลงไปบนพรมเปอร์เซีย อย่างไร้ความปรานี

“โอ้ย ~” ยังไม่ทันตั้งตัว คางก็มีอาการเจ็บปวดทันที เธอโดนบังคับให้ลืมตาขึ้นมา ใบหน้าที่สวยงดงามประณีต ราวกับผลงานธรรมชาติที่มหัศจรรย์ อยู่ใกล้แค่เอื้อม

“เจี่ยนถง” เสียงเย็นชาของชายหนุ่มค่อยๆดังขึ้น ร่างกายของเจี่ยนถงสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ เสียงของชายหนุ่มยังพูดต่อ “เจี่ยนถง วันนี้คุณให้ฉันได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ”

……………

บทที่ 9 ความโกรธและความเหยียดหยามของเขา

“คุณหนูเจี่ยนในอดีต ในตอนนี้เพื่อขอความเมตตา ก็ต่ำช้าไร้ค่าจนจูบคนรับใช้ในที่สาธารณะ คุณว่า ถ้าตาแก่นั่น เจี่ยนเจิ้นตง ได้รู้เข้า จะรู้สึกอับอายขายหน้าจนไม่กล้าสู้หน้าคนไหม?” เจี่ยนเจิ้นตงเป็นพ่อของเจี่ยนถง

ตัวของเจี่ยนถง สั่นสะท้าน สีหน้าขาวซีดในทันที แต่ในวินาทีต่อมา ก็จำอะไรบางอย่างได้ ตอบกลับเขาด้วยริมฝีปากซีดเผือด “ตระกูลเจี่ยนไม่มีเจี่ยนถง ฉันเป็นแค่นักโทษคนหนึ่งเท่านั้น” เมื่อมองใบหน้าที่หล่อเหลางดงามที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้ นี่คือใบหน้าที่เธอเคยฝันปรารถนา แต่ตอนนี้ เธอหลีกเลี่ยงดั่งงูพิษแมงป่อง

“คุณเสิ่น ฉันเป็นแค่นักโทษคนหนึ่งเท่านั้น คุณคนใหญ่คนโต ไม่ถือสากับคนต่ำต้อย ปล่อยฉันไปเถอะ” เธอพยายามระงับความกลัวที่มีต่อเขา พยายามต่ำต้อยแล้วต่ำต้อยอีก ขอเพียงแค่ สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างปลอดภัย

ศักดิ์ศรีถือเป็นอะไรกัน? ออกมาจากนรกที่มืดมนนั้น ในที่สุดก็ได้เห็นแสงอาทิตย์ เธอทนไม่ได้ที่จะละทิ้ง ความอบอุ่นที่ยากจะได้มานี้

เสิ่นซิวจิ่น หรี่ตามองอย่างอันตราย ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ…… ผู้หญิงที่ต่ำต้อยตรงหน้า จะเป็นเจี่ยนถงคนนั้นได้ยังไง ที่รังควานเขาไม่เลิก ต่อให้เขาจะทำหน้าเย็นชาใส่เธอ แต่เธอก็สามารถไม่สนใจจนถึงที่สุด ดั่งแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ พุ่งเข้าหาเขา แผดเผาความเร่าร้อนทั้งหมด!?

กัดฟันไว้แน่น! ไฟโกรธของเสิ่นซิวจิ่น เกิดขึ้นอย่าอธิบายไม่ได้ แม้แต่ตัวเขาเอง ก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงโกรธ

ดวงตาของชายหนุ่มเยือกเย็นเฉียบคม สายตาที่แหลมคม จับจ้องที่ริมฝีปากของเธอ ยังเหลือร่องรอยของ เซียวเหิงไว้เสี้ยวหนึ่ง ตอนที่เขาดึงผู้หญิงคนนี้ออกมา ฟันของ เซียวเหิง ทิ้งรอยฟันไว้ที่ริมฝีปากของเธอโดยไม่ระวัง

ทันใดนั้น……

“เมื่อกี้นั่นคือจูบแรกของคุณ?”

“……ห๊ะ?” เจี่ยนถงมึนงงเล็กน้อย แต่ก็หน้าแดงโดยไม่รู้ตัว

ความโกรธที่ไม่อาจพรรณนาได้ พลุ่งพล่านในใจ สีหน้าของ เสิ่นซิวจิ่นยิ่งหนาวเย็นลงเรื่อยๆ ทันใดนั้นก็จับแขนของเจี่ยนถงไว้ ดึงเธอขึ้นอย่างป่าเถื่อน เดินเข้าไปทางห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

“ปล่อยฉัน ได้โปรด ปล่อยฉันไป”

เจี่ยนถงร้องขอด้วยความเมตตาอย่างต่ำต้อย ขาเดินไม่สะดวก หลายครั้งที่โซซัดโซเซ เกือบจะล้ม ความโกรธที่อธิบายไม่ได้ของชายหนุ่ม ไม่อยากจะสนใจผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังเลยสักนิด

เจี่ยนถง ถูก เสิ่นซิวจิ่น ดึงเข้าไปในห้องน้ำ ไม่ทันจะยืนมั่นคง ก็ถูกมือข้างหนึ่ง ลากไปที่อ่างล้างหน้าอย่างรุนแรง ชายหนึ่งที่อยู่ข้างหลัง เปิดก๊อกน้ำออก หัวของเจี่ยนถงก็ถูกกดลงไปในน้ำที่ไหลทะลักออกมาไม่หยุด “อืม……ไม่…..แค่กๆๆ~”

ความโกรธของเสิ่นซิวจิ่น ยากที่จะปิดบัง ดวงตาสีดำ ลุกโชนไปด้วยเปลวไฟแห่งความโกรธเคือง ฝ่ามือใหญ่ถูเช็ดริมฝีปากของหญิงสาวโดยไม่พูดอะไรสักคำ

“คุณ……คุณเสิ่น แค่กๆๆๆ คุณ ฉันผิดแล้ว ผิดแล้ว แค่กๆๆ ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันรู้ว่าฉันผิดแล้ว……หืม!” เสียงน้ำไหลผสมกับเสียงไอสำลักน้ำของหญิงสาว ส่งเสียงขอความเมตตาซ้ำแล้วซ้ำเล่าของหญิงสาว

ส่วนชายหนุ่มนั้น โดยไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ เช็ดริมฝีปากของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเย็นชา จนกระทั่งริมฝีปากของเธอแตก บวมแดงขึ้นมา ชายหนุ่มถึงยอมปล่อยมือ

“แค่กๆๆ……” หลังจากที่เจี่ยนถง เป็นอิสระ ดันหินอ่อนสีดำไว้ ไอขึ้นมาอย่างฉับพลัน ดูแล้วทุลักทุเลหมดสภาพ เหนือศีรษะ เสียงเย็นเฉียบดังขึ้น “บอกฉัน เมื่อกี้เซียวเหิงจูบคุณยังไง?”

“……” เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นด้วยความตกตะลึง อ้าปากไว้เล็กน้อย นี่คือคำถามอะไร? เธอควรตอบอย่างไร?

เขาอยากจะเหยียดหยามเธอหรือ? เจี่ยนถง หันหน้าหนีอย่าอึดอัดใจ ไม่พูดอะไรเลย……นี่อาจเป็นการต่อต้านที่รุนแรงที่สุดแล้วมั้ง ที่เธอในตอนนี้สามารถทำได้

แล้วในตอนนี้

เสิ่นซิวจิ่นโหดร้ายเกินไป! จะต้องเหยียดหยามเธอขนาดนี้เลยหรือ! ?

ส่วนชายหนุ่มตรงหน้า หรี่ตาในทันที……หลบ? เธอกล้าที่จะหลบเขา?

นิ้วเรียวยาวยื่นออกทันที บีบคางของเธอไว้ บังคับให้ตาเธอมองตัวเอง

ทันใดนั้น เสิ่นซิวจิ่นก็ลดศีรษะที่หล่อเหลาลง ค่อยๆโน้มตัวเข้าหาเธอ ระยะห่างระหว่างพวกเธอ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดวงตาของเจี่ยนถงก็เบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ

ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว……

ใกล้มากจนเขาเกือบจะจูบโดนเธอแล้ว หัวใจที่เหี่ยวเฉาตาย เต้นเร็วขึ้นหนึ่งจังหวะ ในเสี้ยววินาที

ริมฝีปากของเขาอยู่ใกล้แค่เอื้อม แนบกับเธอแล้ว……ใกล้……

ทันใดนั้น ชายตรงหน้าก็เลื่อนผ่านริมฝีปากของเธอ ใกล้เข้าไปที่หูของเธอ ริมฝีปากบางเบา แนบใบหูของเธอไว้ “ฮ่า ~” หัวเราะเยาะเย้ยเธอได้ยินคำเยาะเย้ยที่เหยียดหยามของเขา “ผู้หญิงอย่างคุณ คงไม่คิดว่าฉันจะจูบคุณนะ?”

เจี่ยนถงเสมือนอยู่ในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ สีเลือดถูกดึงออกไปจากใบหน้าของเธอในทันที

เขาจ้องมองเธอ ยิ้มขึ้นอย่างเยือกเย็น รังเกียจยิ่งนัก “ฉันรังเกียจคุณสกปรก”

ตูม!

ฟางเส้นสุดท้ายพังทลายลง! หน้ามืดตาลาย ร่างของเธออ่อนตัวลงกับพื้นหินอ่อน

เขาคือปีศาจ!

มีเงาดำปกคลุมอยู่เหนือศีรษะ เธอรู้ว่า นั่นคือเสิ่นซิวจิ่น

เธอยิ่งกอดเข่าขดตัวเป็นก้อน พยายามเตือนตัวเองสุดชีวิต อย่ายั่วยุให้ปีศาจนี้โกรธ อย่าทำให้เขาโกรธ ก็จะไม่เป็นไร

เธอต้องมีชีวิตอยู่ ใช้ชีวิตให้ดี

เจี่ยนถงที่ฝังหน้าอยู่ในอก มองไม่เห็นแววตาของชายหนุ่ม ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ

เสิ่นซิวจิ่นมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างเหนือชั้น ยังไงก็ไม่สามารถเชื่อมโยงกับหนอนที่น่าสงสารตรงหน้า เข้ากับ เจี่ยนถงในความทรงจำได้

ในดวงตาเต็มไปด้วยความซับซ้อน เสิ่นซิวจิ่นพูดอย่างเย็นชา “ขอร้องฉัน บางทีฉันอาจจะปล่อยคุณไป”

ดวงตาคู่แหลมคม จ้องมองผู้หญิงที่อยู่บนพื้นอย่างเด็ดเดี่ยว

ในส่วนลึกแล้ว เหมือนกำลังรอคอยอะไรบางอย่างอยู่ แม้แต่ตัวเขาเอง ก็ไม่ได้สังเกตเห็นด้วยซ้ำ

ไหล่ของเจี่ยนถงสั่นเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หัวเราะเยาะเย้ยตัวเอง ศักดิ์ศรีคืออะไรกัน? เธอเป็นเพียงนักโทษหมายเลขหนึ่ง 926 ไม่ใช่เจี่ยนถงคนนั้นอีกต่อไปแล้ว ยังจะเอาศักดิ์ศรีไปทำอะไร? การมีชีวิตอยู่ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

เจี่ยนถง คุกเข่าลงต่อหน้าเขา “คุณเสิ่น ฉันขอร้องคุณ คุณก็ถือว่าฉันเป็นเหมือนผายลม ปล่อยฉันไปเถอะ”

ในใจตกตะลึงยิ่งนัก! สีหน้าของชายหนุ่มเยือกเย็นในทันที ไฟโกรธลุกโชน ต่ำต้อยเช่นนี้ ผู้หญิงคนนี้ แม้แต่ศักดิ์ศรี ยังสละทิ้งไปได้! ได้ตกต่ำไร้ค่าถึงจุดนี้แล้วหรือ!

ความรู้สึกในใจ ไม่สามารถพรรณนาได้ ชายหนุ่มสีหน้าเคร่งขรึม ต่อยไปที่กระจกตรงหน้าอย่างรุนแรง คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว “ไสหัวไป!”

เจี่ยนถงแสดงอารมณ์ดีใจ ราวกับว่าได้รับการอภัยโทษ พยายามลุกขึ้น เดินกะเผลกออกไปเหมือนหนีเอาชีวิต

ด้านหลังเธอ เสิ่นซิวจิ่นมองภาพหลังของเธอด้วยสายตาเย็นชา ใบหน้าหล่อเหลาดั่งแกะสลัก ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง

“ผู้หญิงที่สมควรตาย!” อีกหมัดหนึ่ง ได้ชกออกไปอีกครั้ง

เจี่ยนถงราวกับหนีเอาชีวิต โดยไม่สนใจว่าขาเดินไม่สะดวก ลิฟต์กำลังลงไป เสียงดัง “ติ้ง” ประตูเปิดออก ที่นี่เป็นชั้นใต้ดิน ชั้นที่หนึ่ง

เธอไม่ได้กลับไปที่คลับอีก ทันทีที่ก้าวออกจากลิฟต์ ลากขาที่เดินไม่คล่องตัว รีบเดินออกจากอาคารนี้อย่างรวดเร็ว

“คุณลุง ไปที่หมู่บ้านหนานวาน” เรียกรถแท็กซี่ได้คันหนึ่ง ปกติแล้ว เป็นค่าใช้จ่ายที่เธอรู้สึกเสียดายยิ่งนัก แต่วันนี้ เธอกัดฟันแน่น เอาค่าโดยสารออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว

ทันทีที่กลับถึงบ้าน เธอก็หยิบกระเป๋าเดินทางราคาถูกออกมาจากใต้เตียงในทันที เก็บบรรจุสัมภาระที่มีไม่มากของเธออย่างรวดเร็ว

ต้องไป!

เขามาแล้ว!

เขาเกลียดเธอมากขนาดนั้น เขาจะไม่มีวันปล่อยเธอไปแน่นอน!

ต้องไปทันที!

เธอต้องมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่มีเวลามากมายที่จะมาสิ้นเปลืองกับเขา เธอยังมีเรื่องมากมายที่ยังทำไม่เสร็จ

อาศัยในช่วงเวลาที่กำลังมืดมิด บ้านเช่าราคาถูกที่หมู่บ้านหนานวาน มีร่างหนึ่งเดินที่ออกมากะเผลกอย่างเงียบๆ

…………….

บทที่ 10 หลบหนี โดนจับ

ฝั่งตรงข้ามชุมชน มีตู้เอทีเอ็ม เธอเสียบบัตรธนาคารเข้าไปในตู้เอทีเอ็ม ดูจำนวนเงินฝากที่แสดงบนหน้าจอของเครื่อง เจี่ยนถงกัดฟันแน่น ถอนเงินออกมาสองพันหยวนอย่างเด็ดเดี่ยว

เอาเงินไว้ เธอเรียกแท็กซี่มา “ไป……” หลังจากขึ้นรถ ถึงได้พบว่า เธออยากจะหลบหนีอย่างเร่งด่วน แต่ไม่ได้คิดถึงสถานีที่ที่จะหนีไป

“จะไปไหน?” คนขับแท็กซี่เร่งอย่างไม่สบอารมณ์

จะไปที่ไหน…… เจี่ยนถง นิ่งอึ้งอยู่สักพัก ทันใดนั้นก็พบว่า โลกนี้ใหญ่มากขนาดนี้ แต่เธอไม่มีที่ไปเลย

“จะไปไม่ไป? ไม่ไปก็ลงจากรถ ฉันยังต้องไปรับงานต่อ” คนขับขมวดคิ้ว จ้องเขม็ง เจี่ยนถงอย่างน่ารังเกียจ…… เฮงซวย ออกจากบ้านไม่ได้ดูฤกษ์ให้ดี วิ่งเที่ยวแรกในวันนี้ ก็เจอตัวซวย

“……ขอโทษที ฉันยังคิดไม่ออกว่าจะไปที่ไหน” เจี่ยนถงพูดอย่างช้าๆ เผชิญกับคนขับแท็กซี่ที่อารมณ์ร้อน พูดจาก้าวร้าว เธอไม่ได้ตอบโต้ แม้กระทั่งยังขอโทษอย่างต่ำต้อย ซึ่งนี่ทำให้เธอดูขี้ขลาดอ่อนแอมาก

ม้าดีโดนคนขี่ คนดีโดนคนแกล้ง คำพูดของบรรพบุรุษ มักถูกเสมอ เมื่อคนขับแท็กซี่เห็นว่าเธอขี้ขลาดอ่อนแอขนาดนี้ ก็ยิ่งมีไฟโทสะ ระบายไฟโกรธ ที่แพ้เสียเงินจากการเล่นไพ่นกกระจอกในวันนี้ ลงที่เธอทั้งหมด

ดังนั้น เจี่ยนถงจึงถูกคนขับรถชี้จมูกด่าอย่างเมามัน “เธอยังคิดไม่ออก ก็มาเรียกแท็กซี่ของฉัน เธอตั้งใจกลั่นแกล้งฉันใช่ไหม พ่อแม่ของเธอสอนเธอมายังไง ไม่มีใจคุณธรรมเลย! ลงจากรถไป ลงจากรถตอนนี้เลย อย่าทำให้ฉันเสียเวลาไปทำมาหากิน เฮงซวย ทำไมวันนี้ถึงได้เจอตัวซวยอย่างเธอ”

เจี่ยนถงโดนด่าเละ ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกเลย แต่…… ภัยพิบัติในคุกสามปี เปลี่ยนเธอจนไม่มีอารมณ์แล้ว

หลับตาลง อีกครั้ง เธอเงยหน้าขึ้น ขอโทษอย่างเชื่องช้า "ขอโทษ ฉันจะลงจากรถตอนนี้เลย” ที่จริง เธอแค่อยากให้คนขับแท็กซี่ให้เวลาเธอสักหนึ่งหรือสองนาที คิดดูว่า เธอควรไปที่ไหนเท่านั้น

คิดไม่ถึงว่า อีกฝ่ายไม่อยากจะสนใจเธอมากนัก

คนขับรถกลับตะลึงไปชั่วขณะ ขับรถมาสิบกว่าปี ไม่เคยเจอคนขี้ขลาดอ่อนแอไม่มีอารมณ์แบบนี้มาก่อน เมื่อเห็นว่า เจี่ยนถงเปิดประตูรถช้าหน่อย ทันใดนั้นคนขับก็ยกมือขึ้นไปทางเจี่ยนถง……

“อ๊ะ! อย่าตีฉัน!”

คนขับตกตะลึง มองไปที่ผู้หญิงเบาะนั่งข้างคนขับ ยกมือขึ้นคลุมหัวไว้ ตะโกนร้องอย่างตื่นตระหนก “อ๊ะ! อย่าตีฉัน!” ด่าไปคำหนึ่ง “ เธอเป็นบ้าหรือไง ฉันแค่เปิดประตูเท่านั้น! เฮงซวย ทำไมวันนี้ถึงได้เจอกับผู้หญิงบ้า”

ขณะที่พูด ก็ยื่นมือออกไป ไปเปิดประตูรถ “รีบไปให้พ้น!” อาจจะเป็นเพราะว่าแพ้เงินแล้วไม่สบายใจ อาจจะเป็นเพราะว่า เจี่ยนถงรังแกได้ง่ายมาก รังแกเธอจะไม่โดนเอาคืนแน่นอนคนขับรถคนนี้ ยิ่งไม่เกรงใจ เจี่ยนถงมากขึ้น แม้กระทั่งประโยคอย่าง “รีบไปให้พ้น” ก็สามารถพูดออกมาได้

เจี่ยนถงเดินไม่เร็ว ลงจากรถอย่างเชื่องช้า ก็โดนคนขับรถตะโกนด่าทออีก “อืดอาดยืดยาด เร็วๆหน่อย เธอคงจะไม่ใช่ง่อยใช่ไหม?”

หัวใจของเจี่ยนถงสะเทือน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นอย่างจริงจัง มองไปที่คนขับคนนั้น แล้วพูดแก้ไข “ฉันแค่เคลื่อนไหวช้า ไม่ใช่คนง่อย”

คนขับชะงัก “เธอเป็นบ้าหรือเปล่า?” ด่าเสร็จก็ขับไล่ “รีบไปเร็ว วันนี้ได้เจอเธอ ซวยมากจริงๆเลย มิน่าล่ะ วันนี้ฉันถึงเจอแต่เรื่องแย่ๆ เล่นไพ่นิดหน่อย ก็ยังเสียมากขนาดนี้”

นี่มันอยากจะกล่าวโทษให้ ก็ย่อมหาข้ออ้างได้เสมอ

“นี่ เอามา” คนขับคว้าข้อมือของ เจี่ยนถงไว้ในทันใด มืออีกข้างหนึ่ง ก็ยื่นไปทาง เจี่ยนถง เจี่ยนถงสีหน้ามึนงง “เอาอะไร?”

“เงินไง”

“แต่ว่าคุณลุง สุดท้ายฉันก็ไม่ได้นั่งแท็กซี่ของคุณนะ” เจี่ยนถงยิ่งไม่เข้าใจ

คนขับชำเลืองมองอย่างดูถูก ไม่มีความอดทนมาก “รถฉันเคยโดยเธอนั่งแล้วใช่ไหม? เธอว่าเธอเฮงซวยขนาดนี้ ฉันขับรถกลับมา ก็ต้องล้างรถสักหน่อยใช่ไหม? ล้างรถไม่เสียเงินหรือไง?”

“……”

เมื่อคนขับเห็นว่า เจี่ยนถงไม่ขยับ ขมวดคิ้วแล้วพูดเร่ง “เร็วเข้า อืดอาดยืดยาดน่ารำคาญ!”

“แต่ว่าฉัน……”

“ฉัน ฉัน อะไรกัน หนึ่งร้อยหยวน เอามา”

เจี่ยนถงได้ยิน หน้าถอดสีทันที……หนึ่งร้อยหยวน นายปล้นเงินเหรอ เธออยากจะตอบโต้คนขับแบบนี้ อยากมากเหลือเกิน!

แต่ว่า ชีวิตในคุกสามปี ได้ขัดเกลาอารมณ์ของเธอโดยไม่เหลือความกล้าเลยสักนิด ความทะนงตัวที่เธอเคยเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเจี่ยน ศักดิ์ศรีที่เคยเป็นของเจี่ยนถง ได้มลายสูญสิ้นตั้งนานแล้ว

ทันใดนั้น ก็มีไฟรถกะพริบอยู่ไม่ไกลจากทางซ้าย เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นมองโดยอัตโนมัติ Audi A6 สีดำสี่คันมุ่งหน้ามาที่นี่ทั้งหมด

ป้ายทะเบียนมีความน่าสนใจมาก รถยนต์ทั้งสี่คัน เลขท้ายตั้งแต่ “1” ถึง “4” เรียงตามลำดับไฟถนนได้ส่องแสงผ่านแวบเดียว ที่กระจกหน้ารถของรถคันที่นำหน้า เจี่ยนถงหรี่ตามอง มองเห็นใบหน้าของคนที่อยู่ในตำแหน่งคนขับ ของรถคันหนึ่งอย่างคลุมเครือ…… เสิ่นยี นั่นคือ เสิ่นยี ลูกน้องของ เสิ่นซิวจิ่นที่ตัวอยู่ติดกันตลอด!

ทันใดนั้น ความตื่นตระหนกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ

“นี่ จ่ายเงิน……เอ๊ะ? ทำไมเธอนั่งเข้ามาแล้ว? ฉันบอกให้เธอจ่ายเงิน”

“ลุง! เร็วเข้า! รีบขับรถ ฉัน ฉันฉันจะให้เงินคุณ!” กระวนกระวาย เจี่ยนถงหยิบเงินใบสีแดงหลายใบ ออกจากกระเป๋าเสื้อโค้ต ยื่นให้คนขับแท็กซี่อย่างตื่นตระหนก เร่งคนขับด้วยความอ้อนวอน “ขอร้องล่ะลุง รีบขับรถ! เร็ว!”

“เธอเล่นบทอะไรกัน……” คนขับยังพูดไม่จบ ก็เห็นตรงหน้ามีเงินเพิ่มขึ้นอีกก้อนใหญ่ เจี่ยนถงมือสั่นเทา หยิบเงินทั้งหมดออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “ลุง ฉันให้ลุงทั้งหมดเลย ขอร้องลุง รีบขับรถเร็วเข้า!”

ขณะที่เธอพูด ก็หันกลับไปมองด้วยความตื่นตระหนก…… ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว……

“เร็วเข้า! เร็วเข้า! รังเกียจว่าเงินมันน้อยใช่ไหม ฉันมี ฉันยังมี! อยู่ในบัตรธนาคาร! ลุงขับรถเร็วๆ ถึงที่ปลอดภัย ฉันก็ไปกดให้ลุง” เธอกระวนกระวายจนพูดไม่ได้ความแล้ว แววตาตื่นตระหนก ใบหน้าซีดเซียว ราวกับเจอผี

สายตาของคนขับแท็กซี่ที่มอง เจี่ยนถง ก็เหมือน……ไม่สิ ก็คือมองคนบ้าคนหนึ่ง แต่เมื่อสายตาจับจ้องบนธนบัตรในมือของ เจี่ยนถงจำนวนมาก ขับก็เบะปากเล็กน้อย…… เห็นแก่หน้าของเงิน

คนขับคว้าธนบัตรในมือของเจี่ยนถงเข้ามา “นั่งให้ดี”

กุญแจสตาร์ทรถ เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น รถแท็กซี่ก็เริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้า เจี่ยนถง เมื่อเห็นเช่นนี้ กำลังจะถอนหายใจด้วยความโล่……

“เอี้ยด~” ล้อรถแท็กซี่เสียดสีกับพื้น ดังเข้ามาจากด้านนอก จากนั้นคนขับแท็กซี่ข้างๆ เจี่ยนถง อุทานว่า “ระยำ” “เจอผีแล้วจริงๆ วันนี้ไม่มีสักเรื่องที่ราบรื่นเลย นี่ คนพวกนี้มาหาเธอใช่ไหม? เธอขโมยหรือปล้นของอะไรคนอื่น โดนคนไล่ตามแบบนี้?”

คนขับมองไปที่เบาะนั่งข้างผู้โดยสารอย่างรำคาญ ทันใดนั้นก็หยุดพูด คำพูดที่มาถึงปาก กลืนเข้าไปทั้งหมด ผู้หญิงที่นั่งข้างคนขับคนนี้ ปากสั่นสะท้าน ขดตัวเองเป็นก้อน มองไปข้างหน้าด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง

สายตานั้น น่ากลัวยิ่งกว่าเจอกับความตายเสียอีก

จากนั้น หญิงสาวคนนี้ก็ขยับตัว หลังจากที่ปิดหน้าต่างทุกบานด้วยความประหม่าอย่างรวดเร็ว ก็ขดตัวเองเป็นก้อนทันที ราวกับว่าอย่างนี้ ก็สามารถหลบหนีจากคนเหล่านั้นได้

“นี่ โง่หรือเปล่า……”

คนขับอยากที่จะเยาะเย้ยเสียหน่อย ประตูรถแท็กซี่ข้าง เจี่ยนถง ก็ถูกคนเคาะจากด้านนอก “คุณเจี่ยน เชิญคุณลงจากรถ” เจี่ยนถงสีหน้าขาวซีด เธอเพียงแค่ฝังหน้าของตัวเองให้ลึกกว่าเดิม แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ได้เห็น

……………

บทที่ 11 เขามาแล้ว

ในวินาทีต่อมา คนขับรถก็ได้ยินเสียงเคาะกระจกรถแท็กซี่ถึงสองครั้ง “ก๊อกก๊อก” ทันใดนั้นเจี่ยนถงก็ได้ยินเสียงเยือกเย็นมาจากข้างนอกกระจกรถ “คุณผู้ชาย รบกวนช่วยเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารด้วยครับ”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นทางการโดยไม่มีคำว่า “อารมณ์”เข้ามาผสมปนเป อีกทั้งยังมีท่าทางน่าเกรงขาม ลูกน้องของเสิ่นซิวจิ่นล้วนเรียนรู้ได้จากเขา

เจี่ยนถงรีบตะโกนบอกคนขับรถ “อย่าเปิด!” เธอพูดต่อ “ฉันจะให้เงินคุณ…”

ทันใดนั้น…

“ปัง!”

กระจกหน้าต่างรถแท็กซี่ฝั่งคนขับแตกเป็นชิ้นๆ

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่เพียงแค่เจี่ยนถงที่ตกใจ คนขับรถที่นั่งอยู่ตำแหน่งนั้นก็ตกใจเช่นกัน

“ฉัน ฉัน ฉันจะแจ้งตำรวจ! บ้านเมืองไม่มีกฎหมายแล้วหรือยังไง?”

“พรึบ!” ธนบัตรสีแดงใหม่เอี่ยมหนึ่งปึกหล่นมาบนตัวคนขับรถแท็กซี่ พอมองดูอีกทีก็น่าจะเป็นเงินราวๆหมื่นหยวน ภายนอกกระจกรถมีบอดี้การ์ดชุดดำยืนตรงราวกับท่อนไม้ถามเขาว่า “ตอนนี้จะเปิดได้หรือยัง?”

“ได้ ได้ได้ได้! ไม่มีปัญหา!” พอคนขับรถเห็นเงินเต็มตาก็รีบตอบตกลง อีกด้านหนึ่งก็เปิดประตูรถแท็กซี่ตำแหน่งที่นั่งผู้โดยสาร “เฮ้ ลงจากรถซะ”

เมื่อคนขับรถมั่นใจว่าผู้หญิงบ้าคนนี้ที่อยู่ข้างๆเขาจะต้องไปล่วงเกินผู้มีอำนาจหรือคนใหญ่คนโตอย่างแน่นอน เขาจึงไม่จำเป็นต้องเกรงใจเจี่ยนถง เขารีบไล่เจี่ยนถงลงจากรถอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงที่หยาบคายยิ่งกว่าเดิม เจี่ยนถงไม่ยอมลงจากรถ เธอจับพนักที่นั่งไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย พอคนขับรถเห็นดังนั้น เขาจึงกระชากข้อมือของเจี่ยนถงอย่างกักขฬะ

“ลงจากรถไปซะ! ฉันไม่ส่งเธอแล้ว! ลงไปเร็วๆสิ!”

เจี่ยนถงกอดพนักพิงและส่ายหน้าอย่างหมดหวัง … ไม่! อย่า! อย่าไล่ฉันลงเลย!

“ลงรถซะ” ด้านหลังเจี่ยนถงมีเสียงเรียบๆดังขึ้นมาเล็กน้อย เป็นน้ำเสียงที่คุ้นเคยจนทำให้แผ่นหลังของเจี่ยนถงแข็งทื่อ

ในค่ำคืนนี้มีความร้อนระอุแต่กลับถูกทำให้สงบด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นในฉับพลัน

ไม่ อย่าหันกลับไป ไม่หันกลับไปก็ไม่เป็นอะไรแล้ว…แค่หลอนไปเอง หูแว่วไปเอง

“อย่าให้ฉันต้องพูดอีกเป็นครั้งที่สอง เจี่ยนถง เธอรู้ไหมว่าถ้าเธอทำให้ฉันรำคาญจะต้องมีจุดจบที่น่าเศร้าขนาดไหน” เสียงดังมาจากข้างหลังเหมือนร่างไร้ตัวตน

เจี่ยนถงหน้าซีดเผือด…รู้! แน่นอนว่ารู้ดี! เธอจะไม่รู้ได้อย่างไร!

ดังนั้นเธอจึงพยายามระงับความหวาดกลัวและหันกลับไป

ชายคนนั้นยืนอยู่ห่างจากตัวรถประมาณ 2-3 เมตรภายใต้แสงไฟริมถนน เขาคีบบุหรี่ไว้ที่มือและสูบมัน ในขณะนั้นก็มีควันสีขาวลอยอยู่รอบๆตัว ส่วนหนึ่งปกคลุมใบหน้าที่สมบูรณ์แบบคมเข้มราวกับเเกะสลัก

ภายใต้แสงไฟสลัวที่สาดลงมา เจี่ยนถงไม่สามารถมองเห็นการแสดงออกของเสิ่นซิวจิ่นได้อย่างชัดเจน เขาเพียงยื่นมือออกมาและโบกให้เธอ “มานี่”

เสียงแหบนั้นทั้งไพเราะและมีเสน่ห์มาก หากผู้หญิงคนใดได้ฟังก็คงเหมือนกับถูกมอมเมาจนทำให้เคลิบเคลิ้มเอาได้

แต่หากเจี่ยนถงได้ยินเสียงนี้อยู่ในหู นั่นก็เหมือนกับว่าพญายมกำลังมาเร่งเอาชีวิตเธอ!

เธอไม่อยากไปที่นั่นเลยแม้แต่น้อย แต่เธอไม่กล้าทำอะไร ราวกับว่าเท้าของเธอลงจากรถโดยไม่รู้ตัว เจี่ยนถงค่อยๆเดินอย่างช้าๆไปหาชายที่อยู่ใต้แสงไฟริมถนน

ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกวาดสายตามองไปบนขาของเจี่ยนถง จากนั้นสายตาก็กลับมาที่ใบหน้าของเจี่ยนถงอีกครั้งแล้วพูดว่า “นี่หมายความว่ายังไง? คุณหนูเจี่ยนผู้แสนเย็นชาและเด็ดเดี่ยว วันนี้ทำไมถึงได้จงใจถ่วงเวลาอย่างงั้นล่ะ? หือ…”

เจี่ยนถงแทบจะหยุดหายใจ นิ้วของเธอหยิกไปที่เนื้อต้นขา…เธอรู้ว่าลึกๆแล้วเสิ่นซิวจิ่นเข้าใจว่าเธอทำตัวชักช้าแบบนี้ก็เพื่อถ่วงเวลา

เธอหวังว่าจะเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ ที่บอกว่าเธอแค่เพียงถ่วงเวลาออกไป

ทว่าความจริงแล้ว…ความจริง! หึ

เจี่ยนถงกัดฟันเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ความเจ็บปวดที่คุ้นเคยได้แผ่ซ่านเข้ามา เจี่ยนถงหยิกตัวเองอย่างรุนแรง

เมื่อชายหนุ่มที่อยู่ภายใต้แสงไฟเห็นว่าเธอเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น มุมปากของเขาก็กระตุกขึ้น…นี่สิถึงจะถูกต้อง ของเล่นก็ควรจะมีลักษณะเป็นของเล่น

เขายื่นมือออกไปและสวมกอดผู้หญิงตรงหน้า เสิ่นซิวจิ่นสูบบุหรี่เป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็เอานิ้วเขี่ยก้นบุหรี่โดยไม่แม้แต่จะมอง ลูกน้องคนหนึ่งรับก้นบุหรี่มวนนั้นออกไปทันทีที่เขาเอื้อมมือไปข้างหลัง

วินาทีต่อมา มือใหญ่ของเขาก็จับคางเจี่ยนถงไว้แน่นจนเธอเจ็บ

เสิ่นซิวจิ่นจับคางเจี่ยนถงไว้และขยับไปมาสองสามครั้ง เจี่ยนถงรู้สึกอึดอัดเมื่อถูกเขามองด้วยแววตาเฉียบคม

“หึหึ เมื่อไหร่กันนะที่คุณหนูเจี่ยนผู้มีใจเด็ดเดี่ยวถึงกลายเป็นคนขี้ขลาดและอ่อนแอแบบนี้ เธอถึงกับอับอายเมื่อโดนคนขับรถแท็กซี่ต่อว่าอย่างยับเยิน ทั้งยังรับผิดอีกต่างหาก ถึงกลับไปต่อไม่เป็นเลยทีเดียวสินะ?”

เจี่ยนถงสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เธอพูดโพล่งออกมาว่า “คุณส่งคนมาตามฉันใช่ไหม?”

“หึ ยังไม่ถึงกับโง่ซะทีเดียว”

เจี่ยนถงมีสีหน้าบึ้งตึงจนถึงขีดสุด จู่ๆเธอก็ฝืนยิ้มด้วยความเจ็บปวด เธอจะบอกว่าคนอย่างเสิ่นซิวจิ่นจะยอมปล่อยเธอไปง่ายๆอย่างงั้นหรือ?

ทันใดนั้นเธอหันหน้าไปมองคนขับแท็กซี่แล้วค่อยๆพูดออกมาว่า “คุณคนขับ คุณเป็นคนถามฉันเองไม่ใช่เหรอว่าขโมยอะไรถึงถูกคนตามไล่ล่าไปทุกหนทุกแห่ง?” เธอค่อยๆสบตากับคนขับแท็กซี่

“ชีวิต ฉันขโมยชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งไป ฉันฆ่าผู้หญิงที่เขารักที่สุด” เจี่ยนถงค่อยๆชี้ไปที่เสิ่นซิวจิ่นและกลับมาชี้ตัวเอง “และเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน”

ความเร็วในการพูดของเธอช้ามากจนทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้คิดว่าคนที่ตัวเองกำลังเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่หญิงสาววัยยี่สิบกว่าปี แต่กลับเป็นคนวัยชราคนหนึ่ง คนวัยชราที่เป็นไม้ใกล้ฝั่ง

เสิ่นซิวจิ่นเกลียดความรู้สึกนี้อย่างที่สุด เหมือนมีลูกไฟสุมอยู่ในใจ เขากระชากข้อมือเจี่ยนถงแล้วยัดเธอเข้าไปในรถของตัวเอง

จู่ๆเจี่ยนถงก็ตะโกนออกมา “เดี๋ยวก่อน เงินฉัน!” พอเธอเป็นอิสระก็วิ่งไปหาคนขับรถแท็กซี่ ท่ามกลางสายตาผู้คน เธอวิ่งเร็วกว่าคนปกติ

พอเกือบจะเข้ามาถึงตัวรถแท็กซี่ เธอก็ยกมือเท้าสะเอวแล้วพูดว่า “เงินฉัน! ถ้าไม่มีเงิน ฉันจะ…”

“ไม่มีเงิน เธอจะหนีไปได้อย่างไรงั้นสินะ?” น้ำเสียงเย็นเฉียบขัดจังหวะการพูดของเจี่ยนถง และถามกลับเจี่ยนถงอย่างเย็นชา “หืม? ใช่ไหม?”

เจี่ยนถงชะงักไปชั่วขณะ…ไม่ใช่! ไม่ใช่แน่นอน! เธอต้องการเงินมากมายก็เพื่อที่จะเอาไปใช้หนี้ตามสัญญาให้เรียบร้อย…เงินของเธอ! ความฝันเอ๋อร์ไห่ของเธอ! และสัญญาของเธอ!

“ปล่อยฉัน! เงิน!” เจี่ยนถงดิ้นรนและตะโกนใส่คนขับแท็กซี่จนเสียงแหบ “คุณเอาเงินฉันคืนมานะ!”

“เฮ้ เธอเป็นคนเอาเงินให้ฉันเอง ให้แล้วจะเอาคืนอย่างงั้นหรือ?” แน่นอนว่าคนขับรถแท็กซี่ไม่ยอมปล่อยเงินให้หลุดมือ ในทางกลับกันผู้หญิงบ้าคนนี้ก็เป็นฆาตกรฆ่าผู้หญิงของคุณชายเศรษฐีคนนี้ ถึงอย่างไรก็ไม่มีจุดจบที่ดีอย่างแน่นอน เขาจะกังวลไปทำไมกัน

“คุณเอาเงินมาคืนฉันเดี๋ยวนี้นะ!” เจี่ยนถงตาแดงก่ำ “ขอร้องล่ะ ฉันขอร้อง! คุณช่วยเอาเงินมาคืนฉันเถอะ! ไม่มีเงิน! ไม่มีเงิน ฉันจะไปได้ยังไง!” เจี่ยนถงขอร้องด้วยความโศกเศร้าเพื่อขอความเห็นใจ

ปัง!

เสิ่นซิวจิ่นโมโหแล้ว!

เขาไม่อยากจะเชื่อว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคือ เจี่ยนถง!

ผู้หญิงที่แสดงความรักต่อเขาอย่างกล้าหาญและถูกเขาปฏิเสธอย่างเย็นชา ในตอนนั้นเธอเชิ่ดหน้าขึ้นแล้วบอกเขาว่า เวยเหมิงเป็นคนดีจริงๆ แต่เธอไม่คู่ควรกับคุณ คนที่คู่ควรกับเสิ่นซิวจิ่นจะต้องมีความมั่นใจในตัวเองอย่างฉัน

————

บทที่ 12 เจี่ยนถงผู้ต่ำต้อย

เธอยังพูดกับเขาอย่างจริงจังว่า “เสิ่นซิวจิ่น คุณเป็นคนที่แข็งแกร่งและโดดเด่นเกินไป ศัตรูของคุณก็มีมากมาย เพราะฉะนั้นเสิ่นซิวจิ่น คุณไม่ควรมีจุดอ่อนหรือหนังหน้าไฟ ผู้หญิงของคุณไม่ควรเป็นจุดอ่อน เวยเหมิงอ่อนแอเกินไป เธอทำไม่ได้หรอก แต่ฉันเจี่ยนถงคนนี้ทำได้!”

ทุกครั้งที่โดนเขาต่อว่า “ผู้หญิงชั้นต่ำ อยากได้แม้กระทั่งของของเพื่อนตัวเอง” แต่เธอก็จะเงยหน้าตอบโต้ทุกครั้งว่า “เสิ่นซิวจิ่น ตอนนี้คุณยังโสด และเมื่อไหร่ก็ตามที่เซี่ยเวยเหมิงกลายเป็นแฟนของคุณ ฉันเจี่ยนถงจะเดินไปจากคุณเอง!”

ผู้หญิงจองหอง!

“ขอร้องล่ะ คืนเงินให้ฉันเถอะนะ” เสียงร้องอ้อนวอนของหญิงสาวดังเข้ามาในหู

เสิ่นซิวจิ่นเหมือนถูกแช่แข็ง…เธอคือเจี่ยนถงจริงๆหรือ? ผู้หญิงจองหองที่มีความมั่นใจหายไปไหนแล้ว?

มือข้างหนึ่งจับที่ข้อมือเจี่ยนถง เสิ่นซิวจิ่นลากเธอไปยังรถของเขา

“เงิน เงินฉัน ปล่อยฉัน ฉันไปไหนไม่ได้ถ้าไม่มีเงิน” เสียงของหญิงสาวดังก้องอยู่ในหู แววตาเสิ่นซิวจิ่นเริ่มเย็นยะเยือก…แท้ที่จริงแล้วเธอคิดจะหนี!

ทันใดนั้นเสิ่นซิวจิ่นก็หยุดเท้าและหันไปสั่งบอดี้การ์ดชุดดำ “ไปดูกระเป๋าของเธอซิ ยึดเงินสดกับบัตรธนาคารไปให้หมด”

พอเจี่ยนถงได้ยินดังนั้น แววตาก็เปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก “คุณคิดจะทำอะไร?”

เสิ่นซิวจิ่นยิ้มอย่างเย็นชา “คิดจะหนีงั้นหรือ? ถ้ามีเงินก็จะหนีไปได้สินะ? เจี่ยนถงนะเจี่ยนถง เป็นเพราะเธอไร้เดียงสาเกินไปหรือฉันใจดีเกินไปแล้ว”

ริมฝีปากของเขาเข้ามากระซิบอยู่ข้างหูเธอราวกับฝันร้าย “ฉันจะปล่อยเธอไปง่ายๆได้อย่างไรล่ะ? หลังจากที่ออกจากคุก เธอควรจะหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้และอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก แต่ในเมื่อฉันพบเธอแล้ว เจี่ยนถง เธอหนีไม่พ้นหรอก”

หลังจากที่พูดจบ เสิ่นซิวจิ่นก็บังคับให้เธอสบตาเขา ดวงตาที่คมชัดเหลือบมองไปยังคนขับแท็กซี่ที่อยู่ในรถข้างๆ

เสิ่นยีพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อเป็นสัญญาณว่าเข้าใจแล้ว

เสิ่นซิวจิ่นรวบตัวเจี่ยนถงทันทีและยัดเธอเข้าไปในรถด้วยความรุนแรง จากนั้นเขาก็เข้ามาในรถและพูดว่า “ขับไป”

คนที่อยู่ตำแหน่งคนขับตอบรับ “ครับ คุณเสิ่น ”

ระหว่างทางเจี่ยนถงไม่กล้าพูดอะไรมาก เหมือนมีก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาอยู่ข้างลำตัว เธอไม่กล้าเข้าไปใกล้ เจี่ยนถงนั่งพิงอยู่ข้างหน้าต่างโดยมีเสิ่นซิวจิ่นนั่งอยู่ข้างๆ ในใจเจี่ยนถงรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก

ตั้งแต่ขึ้นรถมา อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไร ขายาวของเขานั่งไขว้กันอยู่ ดวงตาของเขาดูเหม่อลอย ภายใต้แว่นตากรอบทองมีกระแสคลื่นใต้น้ำ เสิ่นซิวจิ่นเองก็ไม่ได้สงบนิ่งเหมือนผิวน้ำ

ไม่รู้ว่าขับมานานแค่ไหน ในขณะนี้รถก็ได้จอดลง เจี่ยนถงมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ใบหน้าเธอก็ซีดเผือดไปชั่วขณะ

“นี่ นี่มันตงหวง?เสิ่น,คุณเสิ่น คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม?”

ระหว่างทาง สายตาของเสิ่นซิวจิ่นไม่ได้มองมาที่เจี่ยนถงเลย แต่พอได้ยินน้ำเสียงหวาดผวาของเจี่ยนถง เขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อยโดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จู่ๆเขาหันกลับไปมองผู้หญิงที่อยู่ในอาการตื่นตระหนก ด้วยคิ้วที่เลิกขึ้นครึ่งหนึ่งรอยยิ้มเยาะเย้ยก็ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา เขาพูดอย่างไม่แยแส

“เธอคิดว่าไงล่ะ?” เขายกเปลือกตาขึ้นพร้อมรอยยิ้มจางๆ

“คุณ หนู เจี่ยน?”

เจี่ยนถงสูดหายใจเข้าลึกๆและอ้อนวอนด้วยริมฝีปากที่สั่นระริก “ขอร้องล่ะ คุณปล่อยฉันไปเถอะ คุณเสิ่น หากมีอะไรที่ฉันทำผิดไป ฉันขอโทษ ฉันจะคุกเข่าให้คุณ เขกหัวให้คุณ…”

“หุบปาก!”

เจี่ยนถงไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าเสิ่นซิวจิ่นผู้เงียบขรึมจะพาลโกรธได้ถึงขนาดนี้! เธอหน้าซีดขึ้นกว่าเดิม “ฉัน ฉัน…” เธอไม่รู้จะพูดอะไรดี ในเวลานี้ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ผิดไปหมด เธองอเข่าและกัดฟันอยู่ในพื้นที่เล็กๆภายในรถ

ดวงตาล้ำลึกคู่นั้นจ้องมองเธออย่างเกรี้ยวกราด…เธอบอกว่าจะคุกเข่า นี่เธอไม่มีศักดิ์ศรีจริงๆแล้วสินะ?

เสิ่นซิวจิ่นโมโหอย่ารุนแรง เขาเปิดประตูรถด้วยมือข้างหนึ่งและอีกข้างหนึ่งก็ดึงตัวเจี่ยนถงลงจากรถ “เธอจะคุกเข่าไม่ใช่เหรอ? เข่าของเธอนุ่มมากสินะ? เธอถึงได้ชอบคุกเข่า?” เสิ่นซิวจิ่นโมโหจนเลือดขึ้นหน้า เขาลากเจี่ยนถงไปที่หน้าประตูคลับบันเทิงนานาชาติตงหวงและผลักเธอลงกับพื้น “ในเมื่อเธอชอบคุกเข่าเสียขนาดนั้น เจี่ยนถง ตอนนี้เธอก็เปิดทำการแสดงที่นี่ซะสิ!”

เขาเองก็ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมตัวเองต้องโมโหถึงขนาดนี้! ก่อนหน้านี้เธอทั้งทำตัวน่ารังเกียจและจองหองที่สุดในโลก แต่ตอนนี้เธอกลับสูญเสียความเย่อหยิ่งและยิ่งทำตัวให้คนอื่นดูถูก!

เจี่ยนถงเจี่ยนถงเจี่ยนถง! ! !

เธอคือเจี่ยนถงใช่ไหม? เจี่ยนถงคนนี้ที่อ่อนปวกเปียกคือเจี่ยนถงคนที่มาสารภาพรักกับเขาอย่างหยิ่งยโสคนนั้นจริงๆหรือ?

ตอนนี้เจี่ยนถงเพิ่งแยกแยะคำพูดของเสิ่นซิวจิ่นได้แล้ว เธอมองเขาด้วยใบหน้าซีดเซียว “คุณเสิ่น ฉันรู้ว่าฉันผิดไปแล้ว คุณปล่อยฉันไปเถอะ ขอร้องล่ะ ฉันติดคุกมาสามปีแล้ว ฉัน…” สิ่งที่เธออยากจะพูดต่อก็คือ—รอเธอจ่ายหนี้สินให้เสร็จเรียบร้อย แล้วเธอจะกลับมาชดใช้ให้เซี่ยเวยเหมิงด้วยชีวิตของเธอ

“เธอชอบคุกเข่ามากไม่ใช่เหรอ? คุกเข่าไปสิ!” ใบหน้าเย็นชาของชายคนนั้นปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง “ในเมื่อชอบคุกเข่ามากขนาดนี้ก็ทำให้ทุกคนได้เห็น คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเจี่ยนจะยอมเสียหน้าได้อย่างไร!”

เจี่ยนถงเขย่าตัว เธอคิดว่าตัวเองจะไม่เสียใจอีกแล้ว เธอคิดว่าเธอสามารถยอมรับทั้งหมดนี้ได้อย่างสงบ

เธอผิดไปแล้ว!

คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเจี่ยน…งั้นหรือ?

เสิ่นซิวจิ่น คุณกำลังพูดเรื่องตลกอยู่ใช่ไหม?

ใครกันที่ออกคำสั่งว่าถ้ามีเจี่ยนถงก็จะไม่มีตระกูลเจี่ยน นับตั้งแต่นั้นมาตระกูลเจี่ยนไม่มีคุณหนูเจี่ยนอีกต่อไปแล้ว?

คุกเข่า … ถ้าถามเธอว่าอยากคุกเข่าไหม?

เธอไม่อยาก!

แต่เธอเป็นใคร?

เธอเป็นเพียงตัวเลข "926" เท่านั้น! เธอไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ศักดิ์ศรีงั้นหรือ? ความหยิ่งทระนงงั้นหรือ? ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…ตอนที่เธอยังเป็นเจี่ยนถงคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเจี่ยน เขายังสามารถส่งเธอเข้าคุกได้โดยไม่ให้โอกาสแม้แต่จะโต้แย้ง!

ตอนนี้เธอไม่เหลืออะไรแล้วนอกจากการคุกเข่าและทรยศต่อศักดิ์ศรีของตัวเอง เธอไม่มีข้อเรียกร้องอะไรไปต่อรองกับเขาได้อีก

เสิ่นซิวจิ่น ไม่ใช่ว่าฉันชอบคุกเข่าขนาดนั้น แต่เพราะฉันไม่มีของอะไรจะมามอบให้คุณ!

คุณเอาอดีตของฉันไป คุณฆ่าเจี่ยนถงแห่งตระกูลเจี่ยน คุณทำลายชีวิตคนคนหนึ่ง ชีวิตของฉันแย่ยิ่งกว่าคนจรจัดข้างถนน อย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีบ้าน มีอดีตของตัวเอง แล้วฉันล่ะ?

ศักดิ์ศรี? เจี่ยนถงก้มหน้าลงโดยไม่รู้สึกถึงความขมขื่นที่อยู่ในปาก เธอตัวสั่นและเงยหน้าขึ้นก็พบดวงตาสีดำหมึกของเสิ่นซิวจิ่น เจี่ยนถงมองไปที่ดวงตาของเสิ่นซิวจิ่นแล้วค่อยๆคุกเข่าลงอย่างช้าๆ… คุณหนูเจี่ยนแห่งตระกูลเจี่ยนเป็นผู้หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรี ส่วนฉันคนนี้เป็นเพียงนักโทษชั้นแรงงานจะมีสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร!

เธอกัดริมฝีปากแน่น ชายหนุ่มเดินไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไร คนที่อยู่รอบๆต่างซุบซิบนินทา เขาทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่และเดินไปข้างหน้า ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร

ต่อมาขายาวใหญ่คู่หนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้าเจี่ยนถง รองเท้าหนังสีดำเงาแสดงให้เห็นถึงความประณีต เธอใจสั่นเล็กน้อยและเห็นว่าขาทั้งสองค่อยๆย่อตัวลงมา เจี่ยนถงตั้งสติได้ก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่หล่อเหลาและงดงามอยู่ตรงหน้าเธอ

“เธอคือเจี่ยนถงจริงๆหรือ?” ดวงตาสีหมึกของชายหนุ่มยังคงไม่เข้าใจ เขาถามเธอด้วยท่าทีจริงจัง เหมือนมีค้อนหนักทุบอยู่กลางใจเจี่ยนถง เธอไม่พูดอะไรอยู่นาน เสิ่นซิวจิ่นค่อยๆลุกขึ้นยืนและมองผู้หญิงที่ทำตัวต่ำต้อยเหมือนมดตรงเบื้องล่าง เขาพูดออกคำสั่งกับเธอว่า “ตามฉันมา”

————

บทที่ 13 ย้ายเธอไปฝ่ายประชาสัมพันธ์

เจี่ยนถงรีบลุกขึ้นยืนอยู่ตรงหน้าเสิ่นซิวจิ่น ไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากข้างนอก เสิ่นซิวจิ่นเงียบไปสักพักก็พูดขึ้นมา “เข้ามา”

เจี่ยนถงมองคนที่เดินเข้ามา—เป็นซูเมิ่งที่เคยสัมภาษณ์งานเธอเมื่อสามเดือนก่อน

“พี่เมิ่ง” ใจเธออยู่ไม่เป็นสุข พลางมองไปทางเสิ่นซิวจิ่นที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาด้วยความหวาดระแวง จากนั้นก็ถอนสายตามาที่ซูเมิ่งอีกครั้ง ใจเธอเต้นเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้จะเล่นงานอะไรเธออีก

“ประธานเสิ่น” ซูเมิ่งสวมชุดสูทสีขาวแต่ก็ไม่ได้ลดทอนเสน่ห์ของเธอเลย หน้าอกทั้งสองของเธอแทบจะทะลักออกมา เธอพูดขึ้นมาต่อหน้าเสิ่นซิวจิ่นว่า “คุณมีอะไรจะสั่งฉันหรือเปล่าคะ?”

เจี่ยนถงรู้สึกแปลกๆกับท่าทีของซูเมิ่งที่มีต่อเสิ่นซิวจิ่น เหมือนกับว่าเสิ่นซิวจิ่นเป็นเจ้านายใหญ่ของเธอ …อันที่จริงเจี่ยนถงเองก็ไม่รู้ว่าเสิ่นซิวจิ่นเป็นเจ้านายใหญ่ของซูเมิ่ง เนื่องจากเจี่ยนถงติดคุกอยู่นานสามปี หลังจากที่ออกมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกภายนอกล้วนเปลี่ยนไปมาก

“คุณรู้จักเธอใช่ไหม?” เสิ่นซิวจิ่นยกปลายคางไปทางเจี่ยนถง ซูเมิ่งเริ่มมีสีหน้าไม่ค่อยดี เธอแอบชำเลืองตามองเจี่ยนถงที่อยู่ด้านข้าง ก่อนหน้านี้เธอค่อนข้างถูกชะตากับเจี่ยนถงเพราะผู้หญิงคนนี้ได้ทิ้งความประทับใจไว้อย่างสุดซึ้ง

ซูเมิ่งขยับมุมปากและยิ้มออกมาอย่างเกร็งๆ “ประธานเสิ่น เสี่ยวถงทำอะไรให้คุณโมโหหรือเปล่าคะ? คุณอย่าโกรธเธอเลย ฉันจะอบรมสั่งสอนเธอให้ดีเองค่ะ”

เจี่ยนถงฟังออกถึงความตั้งใจที่จะปกป้อง เดิมทีเธอคิดว่าในช่วงเวลาแบบนี้พี่เมิ่งก็คงคิดจะขับไสไล่ส่งเธอ แต่อีกฝ่ายกลับออกโรงปกป้องเธอต่อหน้าเสิ่นซิวจิ่น เธออดประหลาดใจไม่ได้ แต่จะให้ลุกขึ้นมาขอบคุณซูเมิ่งก็ไม่ได้อีกเช่นกัน

ซูเมิ่งจ้องหน้าเจี่ยนถงอีกครั้ง หากไม่เป็นเพราะเจี่ยนถงทำงานดีมาตั้งแต่แรก ทั้งยังมีความนอบน้อมและมีไหวพริบ ไม่เคยทำให้เธอยุ่มย่ามลำบากใจ เธอเองก็คงไม่เสี่ยงอันตรายมาปกป้องเจี่ยนถง ไม่รู้ว่าคนที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวอย่างเจี่ยนถงจะไปทำให้คนอื่นโมโหเอาได้

การเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆระหว่างคนทั้งสองไม่อาจรอดพ้นสายตาล้ำลึกคู่นั้นไปได้

เสิ่นซิวจิ่นมองไปที่ซูเมิ่ง “ใครเป็นคนสัมภาษณ์ให้เธอเข้ามาทำงาน?”

ซูเมิ่งหน้าซีดลงทันที เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงมาจากหน้าผาก

“หืม?” ชายหนุ่มถามอีกครั้ง เขาจ้องมองใบหน้าขาวซีดของซูเมิ่ง

“ฉัน ฉันเองค่ะ ประธานเสิ่น ฉันสัมภาษณ์เธอด้วยตัวเอง” อันที่จริงโดยปกติแล้วซูเมิ่งไม่จำเป็นต้องทำการสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง จริงๆเลย…ซวยแล้ว! ไม่ได้สัมภาษณ์มาสองสามปี คืนนั้นเธอทำผิดเผลอไปกระตุกต่อมเส้นประสาทส่วนไหนกันแน่นะ?

ซูเมิ่งรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันควันเมื่อได้เห็นประธานเสิ่นมีท่าทีแบบนี้ เจี่ยนถงคนนี้น่าจะทำให้เขาโมโหแล้วจริงๆ เธอติดตามประธานเสิ่นมานานหลายปี ซูเมิ่งก็เพิ่งเคยเห็นเสิ่นซิวจิ่นโมโหจริงๆจังๆ

“คุณเป็นคนสัมภาษณ์? ตำแหน่งแม่บ้าน?” เสิ่นซิวจิ่นเลิกคิ้วขึ้น ซูเมิ่งถึงกับเหงื่อตก เธอเครียดจนเกร็งไปทั่วทั้งตัว ไม่กล้าแม้แต่จะเช็ดเหงื่อ

เธอรายงานข้อเท็จจริงออกไปอย่างระมัดระวัง “ตอนที่สัมภาษณ์ เงื่อนไขของคุณเจี่ยนไม่สามารถทำตำแหน่งอื่นได้ในคลับบันเทิงตงหวงของเรา แม้แต่พนักงานเสิร์ฟก็…” ซูเมิ่งรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย “แต่ถึงอย่างไรคุณเจี่ยนเองก็ยังมีความคิดอยากจะทำงานที่ตงหวงในตำแหน่งแม่บ้าน”

พอพูดมาจนถึงตรงนี้ ซูเมิ่งก็เงยหน้าขึ้นพูดกับเสิ่นซิวจิ่น “ประธานเสิ่น ตั้งแต่เจี่ยนถงเข้ามาทำงานเป็นแม่บ้าน เธอก็ทำงานอย่างขยันขันแข็ง ทั้งยังทำด้วยความตั้งใจ”

เมื่อพูดถึงตำแหน่งของซูเมิ่งแล้ว เธอไม่จำเป็นต้องสนใจหรือใส่ใจคนที่อยู่ในตำแหน่งต่ำกว่า มีเพียงแค่เจี่ยนถงคนนี้…ซูเมิ่งเองก็บอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะอะไร

เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงต่ำต้อยคนนี้สมควรอยู่คนละโลกกับเธอ แต่เธอกลับรู้สึกว่าในตัวเจี่ยนถงมักมีอะไรบางอย่างที่คล้ายเธอ เธอคิดอยู่นานก็คิดไม่ออกว่าคืออะไรกันแน่

หลังจากพูดโพล่งออกไปด้วยความกล้าหาญ ซูเมิ่งก็สะดุ้งและมองไปทางเสิ่นซิวจิ่นอย่างหวาดระแวง

ชายหนุ่มนั่งไขว้ขาอยู่บนโซฟาเดี่ยวที่ทำมาจากหนังสีน้ำตาลด้วยท่าทางสง่างาม “ซูเมิ่ง ย้ายเธอไปฝ่ายประชาสัมพันธ์”

ซูเมิ่งสงสัยว่าตัวเองฟังผิดไป เธอจ้องหน้าเสิ่นซิวจิ่น “ประธานเสิ่น คุณ…เมื่อกี้คุณพูดอะไรนะคะ? ฉันได้ยินไม่ค่อยชัด” ฝ่ายประชาสัมพันธ์? เจี่ยนถงเนี่ยนะ? เธอจะต้องฟังผิดไปแล้วแน่ๆ

“ผมคิดว่าพนักงานที่ขยันขันเเข็งและโดดเด่นอย่างเจี่ยนถง ควรย้ายไปอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่มีเงินเดือนสูงกว่านี้” ในขณะที่พูด ขาเรียวยาวก็ทิ้งตัวลง ชายหนุ่มยืนขึ้นมองเจี่ยนถงอย่างเย็นชา

เขาค่อยๆยกมุมปากขึ้นและยิ้มอย่างถากถาง “ซูเมิ่ง ก่อนจะใช้คนทำงาน คุณต้องเข้าใจความสามารถของลูกน้องเสียก่อน…คุณอาจจะยังไม่รู้ว่าคุณเจี่ยนท่านนี้มีความสามารถด้านการเเสดงเป็นอย่างมาก”

เจี่ยนถงเเข็งทื่อไปทั้งตัว

เสียงชายหนุ่มฟังดูเหมือนกำลังระงับความโกรธ “ฝ่ายประชาสัมพันธ์ยังขาดคนที่มีความสามารถในการคุกเข่าและเขกหัวตัวเองได้ดีอย่างคุณเจี่ยน ส่วนอย่างอื่นเช่นการยั่วผู้ชาย เธอก็ทำได้อย่างคล่องมือเลยทีเดียว”

อากาศดูเหมือนจะหยุดนิ่ง

เจี่ยนถงมีใบหน้าซีดเซียว เมื่อไม่ได้รับความรักความเอาใจใส่จากผู้ชาย เสิ่นซิวจิ่นก็รู้สึกชื่นชมกับท่าทางสิ้นหวังของเธอในขณะนี้…เจี่ยนถง เธอยังจะทำเป็นเฉยอยู่ได้งั้นหรือ?

เสิ่นซิวจิ่นไม่เชื่อว่าเจี่ยนถงที่หยิ่งทระนงตัวจะกลายเป็นมดที่ต่ำต้อยไร้ศักดิ์ศรีเหมือนคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ เขาต้องการเห็นกับตาตัวเองว่าเธอจะทำตัวไร้ศักดิ์ศรีและปล่อยตัวเองให้ตกต่ำอย่างที่เธอแสดงออกมาในวันนี้จริงหรือ

ทุกสิ่งที่เสิ่นซิวจิ่นทำล้วนเป็นการบีบบังคับเจี่ยนถง เขาไม่ได้ตระหนักเลยว่าลึกๆในใจของเขา สิ่งที่เขาต้องการก็คือคนคนนั้นที่พูดกับเขาด้วยความจองหองว่า “ถ้าเซี่ยเวยเหมิงเป็นแฟนคุณเมื่อไหร่ ฉันจะออกไปจากชีวิตคุณเอง” ทว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้กลับรู้จักแค่การคุกเข่าอย่างไร้ศักดิ์ศรีและน่าสมเพช!

และยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเบื้องหลังวิธีการบังคับข่มเหงเจี่ยนถงทั้งหมดที่ทำลงไปนั้นเป็นเพราะเขาไม่สามารถยอมรับความจริงได้—-เขาจึงทำให้เธอกลายเป็นผู้ร้ายโดยปริยาย!

เสิ่นซิวจิ่นมีข้ออ้างให้ตัวเองมากมาย สาเหตุที่เขาต้องการทำให้เจี่ยนถงได้รับความอับอายคือเจี่ยนถงฆ่าเซี่ยเวยเหมิง และเขาเกลียดเจี่ยนถง

คุณไม่มีทางปลุกคนที่แกล้งหลับได้ตลอด แต่มันต้องมีสักวันหนึ่งที่เขาตื่นขึ้นมาเอง

ครั้งนี้ซูเมิ่งก็ได้ยินอย่างชัดเจน—ประธานเสิ่นสั่งให้เธอย้ายเจี่ยนถงไปที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์

หากพูดกันตามตรง ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของตงหวงเป็นคำเรียกทั่วไปของพวกเจ้าหญิง นายแบบ นางแบบ และพวกคุณชาย

“นี่มัน…” ซูเมิ่งเหลือบมองเจี่ยนถงที่มีใบหน้าซีดเซียว “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ประธานเสิ่น” จากประสบการณ์หลายปีมานี้ ซูเมิ่งมีลางสังหรณ์ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจี่ยนถงกับประธานเสิ่นนั้นไม่ธรรมดา

เธอไม่เคยเห็นประธานเสิ่นใส่ใจเกี่ยวกับกิจการภายในของตงหวงเลยสักครั้ง หากกล่าวอย่างตรงไปตรงมาคลับบันเทิงตงหวงเป็นเพียงหนึ่งในกิจการเล็กๆของเสิ่นซิวจิ่น และประธานเสิ่นเองก็ไม่เคยมาสนใจกิจการเล็กๆแบบนี้

“เจี่ยนถง เธอตามฉันมา” ซูเมิ่งพูดอย่างเป็นงานเป็นการ เจี่ยนถงหน้าซีดเผือด ทันใดนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่เสิ่นซิวจิ่นอย่างอ้อนวอน “ไม่ได้ ฉันทำไม่ได้” ฝ่ายประชาสัมพันธ์…เสิ่นซิวจิ่นต้องการให้เธอไปอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์งั้นหรือ?

ไม่!

————

บทที่ 14 ทรมานด้วยความอัปยศอดสู

เจี่ยนถงนึกถึงเรื่องนี้ก็ส่ายหัว “ไม่เอา คุณเสิ่น ฉันไม่ไปฝ่ายประชาสัมพันธ์” เจี่ยนถงร้องขอด้วยความตื่นตระหนก “ฉันผิดไปแล้ว คุณเสิ่นขอร้องล่ะ ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันติดคุกมาสามปีแล้ว ฉันชดเชยให้คุณไปหมดแล้ว คุณคืนบัตรธนาคารให้ฉันเถอะนะ ฉันจะรีบไปจากที่นี่ ฉันจะหนีไปไกลๆ ฉันสัญญาว่าจะไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าคุณอีก”

เจี่ยนถงขอร้องให้เขายกโทษให้โดยที่เธอไม่ทันสังเกตว่าซูเมิ่งมีสีหน้าตกใจเมื่อได้ยินว่าเธอเคยติดคุกมาสามปี

ซูเมิ่งเพิ่งจะย้ายมาอยู่เมือง S เมื่อสองปีก่อน แต่เดิมเธอไม่ใช่คนเมืองนี้ ดังนั้นเธอจึงไม่รู้เรื่องราวของเจี่ยนถง

ถ้าเป็นคนที่ติดตามเสิ่นซิวจิ่นมานานจะต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับเจี่ยนถงอย่างดีแน่ๆ

ดวงตาแคบของเสิ่นซิวจิ่นหรี่ลงแฝงไปด้วยความอันตราย…เธอยังคิดจะหนี?

เธอจะไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกงั้นหรือ?

“ฮึ” ชายหนุ่มพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและสั่งการให้ลูกน้องทำอะไรบางอย่าง ไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น มีลูกน้องคนหนึ่งเดินเข้ามาและส่งบัตรใบหนึ่งให้เขา

ชายหนุ่มค่อยๆย่อตัวลงและมองหน้าหญิงสาวที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นโดยถือบัตรธนาคารไว้ในมือ “เงินที่อยู่ในบัตรธนาคารใบนี้ เสิ่นยีเพิ่งถอนออกไปหมดเเล้ว” เจี่ยนถงมองไปที่บัตรธนาคารใบนั้นและเงยหน้ามองเสิ่นซิวจิ่นอย่างงงงวย

ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากและพูดว่า “เธอต้องการให้ฉันปล่อยเธอไปใช่ไหม?”

เจี่ยนถงนิ่งไปสักพัก แม้ว่าจะกำลังงุนงง แต่เธอก็รีบพยักหน้ารับ

“เธอคิดว่าฉันเป็นคนดีงั้นหรือ?” ชายหนุ่มพูดต่อโดยที่เจี่ยนถงไม่ได้พูดอะไร เขายิ้มเบาๆ “งั้นก็ดี เสิ่นซิวจิ่นก็ไม่ใช่คนดีอะไรอยู่แล้ว เขาจะปล่อยเธอไปง่ายๆได้อย่างไร”

เหมือนกับว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องคนอื่น เสิ่นซิวจิ่นมองเจี่ยนถงอย่างบีบคั้นราวกับแมวไล่จับหนู เขาเล่นกับเหยื่อที่อยู่ในกำมือ ใบหน้าที่หล่อเหลาค่อยๆยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย

“เจี่ยนถง ในบัตรใบนี้ไม่มีเงินเหลืออยู่เเล้ว ตราบใดที่เธอทำเงินได้ถึงห้าล้านหยวน” ในขณะที่พูด ชายหนุ่มก็แกว่งบัตรธนาคารที่อยู่ในมือ “และตราบใดที่เธอสามารถฝากเงินไว้ในบัตรใบนี้ได้ถึงห้าล้าน ฉันจะปล่อยเธอไป เป็นอย่างไรล่ะ?”

เป็นอย่างไรงั้นหรือ?…เจี่ยนถงมองบัตรธนาคารที่เสียบอยู่บนนิ้วของเขาด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ไม่มีความสิ้นหวังอยู่บนใบหน้าของเธออีกต่อไป…เขาไม่มีทางยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ!

สำหรับตอนนี้ ห้าล้าน…ถือว่าเป็นเงินก้อนใหญ่มากสำหรับเธอ ใหญ่มากจนเธอไม่กล้าจินตนาการ! ทว่าสำหรับเสิ่นซิวจิ่นแล้ว เขาจะขาดเงินห้าล้านนั่นไปได้อย่างไร? เจี่ยนถงเข้าใจแผนการของเสิ่นซิวจิ่นขึ้นมาทันที

ดวงตาที่ลึกล้ำของชายหนุ่มจับจ้องใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้าอย่างหนักแน่น ไม่ปล่อยให้เธอแสดงความรู้สึกใดๆผ่านทางสีหน้า แววตาลุกโชน มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย…คิดอยากจะหนีไปงั้นหรือ? ฝันไปเถอะ!

“พรึ่บ” เสิ่นซิวจิ่นลุกขึ้นยืนและปล่อยบัตรธนาคารที่อยู่ในมือหล่นลงตรงหน้าเจี่ยนถง “เจี่ยนถง ไม่ว่าเธอจะใช้วิธีไหน แต่ถ้าบัตรใบนี้มีเงินถึงห้าล้านเมื่อไหร่ ฉันก็จะยอมปล่อยเธอไปเมื่อนั้น มิฉะนั้นก็อย่าแม้แต่จะคิดถึงอิสระที่เธอใฝ่ฝัน แล้วอย่าคิดหนีไปอีกล่ะ ตราบใดที่เธอยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ฉันมีความสามารถพอที่จะตามหาเธอให้เจอได้”

ห้าล้าน…เธอจะเอาเงินห้าล้านมาจากไหน?

เธอเงยหน้าเรียกเสิ่นซิวจิ่นที่กำลังเปิดประตูอย่างร้อนรน “คุณเสิ่น คุณบังคับให้ฉันทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้! ฉันเป็นแค่แม่บ้านจะเอาเงินห้าล้านมาจากไหนล่ะ?”

ชายหนุ่มหันไปด้านข้างและชำเลืองมองมาที่เธอ “ซูเมิ่งจะย้ายเธอไปที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ขายรอยยิ้ม ขายความน่าสงสาร ขายความน่าเกลียด หรือจะขายอะไรก็ได้ตามที่เธอต้องการ คนรวยมีตั้งหลายประเภท ไหนเธอบอกว่าเข่าของเธองอได้มากพอไง เธอลองก็จะรู้เอง แต่ถ้าเธอพยายามแล้วมันไม่ได้ผล เธอก็ขายตัวสิ” พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็ยกมุมปาก

“แต่สภาพเธอตอนนี้…มันยากที่บอก” เสิ่นซิวจิ่นหรี่ตาลงและพูดมาประโยคเดียวว่า “ทำตัวให้ดีดีเถอะ” เจี่ยนถงมองไปที่แผ่นหลังสูงใหญ่ของเสิ่นซิวจิ่นที่หายลับตาไป

เจี่ยนถงหน้าซีดเซียวไม่มีสีเลือด ซูเมิ่งที่ยืนมองเธออยู่ข้างๆก็อดถามไม่ได้… “เธอไปทำอะไรให้ประธานเสิ่นโกรธเข้าล่ะ?”

เจี่ยนถงเงยหน้ามองซูเมิ่งพลางยิ้มด้วยความโศกเศร้า ในเวลานี้ซูเมิ่งก็เห็นว่าริมฝีปากขาวซีดของเจี่ยนถงมีรอยฟันประทับไว้ “เธอ เธอโอเคไหม?” ซูเมิ่งถาม

“ฉันโอเค” เจี่ยนถงยืนขึ้น ร่างของเธอโงนเงนไปมา ซูเมิ่งยื่นมือออกไปประคองเจี่ยนถงไว้อย่างช่วยไม่ได้ ใบหน้าซีดขาวเผยรอยยิ้มซาบซึ้งให้ซูเมิ่ง “ขอบคุณ พี่เมิ่ง”

“เธอ…แน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร?” เธอเห็นเจี่ยนถงยืนไม่มั่นคง เธอไม่เชื่อเลยจริงๆว่าเจี่ยนถงจะไม่เป็นอะไรตามที่พูด

เจี่ยนถงส่ายหน้าให้ซูเมิ่งและพูดอยู่เพียงหนึ่งประโยค “ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ”

ใครจะเชื่อ…ซูเมิ่งมองผู้หญิงที่เดินไปข้างหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง จู่ๆเธอก็อดถามไม่ได้ “เธอรู้จักประธานเสิ่นสินะ”

ซูเมิ่งเห็นอย่างชัดเจนว่าแผ่นหลังของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเกร็งไปชั่วขณะ อีกฝ่ายถามเธอกลับว่า “พี่เมิ่ง ฝ่ายประชาสัมพันธ์อยู่ที่ไหนคะ? คืนนี้ฉันต้องไปทำงานไหม?”

คำพูดนี้ทำให้ซูเมิ่งตกตะลึง “เธอ…” เดิมทีซูเมิ่งยังคิดอยากจะถามต่อ แต่เธอก็กลืนมันเข้าท้องและเปลี่ยนเรื่อง “มาสิ ฉันจะพาเธอไป”

ระหว่างทาง ซูเมิ่งจงใจชะลอความเร็ว เธออยู่สถานบันเทิงนี้ย่อมมีสายตาเฉียบแหลม สายตาเธอมองลงมาที่ขาของเจี่ยนถง ก่อนหน้านี้เธอไม่ทันได้สนใจแต่ตอนนี้กลับรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบนขาของเจี่ยนถง

“เจี่ยนถง เธอปวดขาเพราะนั่งคุกเข่าเมื่อกี้นี้ใช่ไหม?”

เจี่ยนถงคิดได้สักพักก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องปิดบังซูเมิ่งอีกต่อไป เจี่ยนถงเงยหน้ามองซูเมิ่ง แล้วค่อยๆหันหลังพลางเลิกเสื้อขึ้น เธอพูดเบาๆว่า “พี่เมิ่ง”

ซูเมิ่งมองตามความเคลื่อนไหวของเจี่ยนถง สายตาเธอหยุดลงบนเอวเปลือยที่เลิกเสื้อขึ้นทางด้านหลัง เธอสูดหายใจแล้วอุทานออกมา “เธอ…” ซูเมิ่งเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัวโดยไม่รู้ตัว เธอเอามือทาบปากและมองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ

เจี่ยนถงค่อยๆดึงเสื้อลงและจัดแจงให้เรียบร้อย เธอมองซูเมิ่งที่มีสีหน้าตกใจ “พี่เมิ่ง ฉันขาดไตไปข้างหนึ่ง ต่อมาร่างกายก็เลยแย่ลง หากเดินเร็วจะทำให้เจ็บได้”

“ตะ ตะ…ไตล่ะ?”

“บริจาคน่ะ ฉันเองก็ไม่รู้”

ซูเมิ่งเห็นหญิงแกร่งแบบนี้มาจนชินตาแล้ว แต่ในเวลานี้เธอกำลังเผชิญหน้ากับเจี่ยนถงที่พูดอย่างใจเย็นว่าเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไตของเธอไปอยู่ที่ไหนแล้ว หัวใจเธอสั่นไหวอย่างห้ามไม่ได้…เจี่ยนถงยังทำตัวสงบเสงี่ยมอย่างนี้ได้อย่างไร?

“นั่นมันไตเธอนะ มันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเธอ!” ซูเมิ่งพยายามสงบอารมณ์ของตัวเองไว้โดยการระงับเสียง เธอพยายามพูดอย่างใจเย็น เจี่ยนถงพูดออกมาแบบนั้นได้อย่างไร?

เจี่ยนถงกระตุกมุมปาก “ฉันรู้ค่ะ” นอกจากสามคำนี้ เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เธอเพียงมองไปที่ซูเมิ่งและขอร้องด้วยความหนักแน่น “พี่เมิ่ง เรื่องนี้คุณช่วยฉันเก็บเป็นความลับได้ไหม?” เธอไม่อยากให้คนอื่นรู้

“เธอ…ก็ได้!” ซูเมิ่งสูดหายใจเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเอง เธอยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่เธอรู้สึกได้อย่างหนึ่งว่าผู้หญิงตรงหน้าช่างคล้ายกับตัวเองมาก

พอคิดได้สักพักซูเมิ่งก็ถามว่า “ในเมื่อเธอเสียไตไปข้างหนึ่ง เธอยังจะทำงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ได้ไหม? เพราะแผนกนี้จะต้องดื่มเหล้าเป็น แม้เธอจะดื่มเป็นแต่ก็ควรดื่มอย่างน้อยหนึ่งแก้วถึงสองแก้ว ฉันจะคุยกับประธานเสิ่นให้เองว่าจะให้เธอมาทำงานที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ไม่ได้” ซูเมิ่งอยากช่วยเจี่ยนถงอีกแรง

“พี่เมิ่ง อย่าไปเลย” เจี่ยนถงรีบดึงตัวซูเมิ่งเอาไว้ เธอมองหน้าซูเมิ่งด้วยความวิงวอน “…คุณเสิ่นจะต้องไม่รู้เรื่องนี้” เธอแบมือออกเผยให้เห็นบัตรธนาคารที่อยู่ข้างในและยิ้มกับซูเมิ่งด้วยความหดหู่ “พี่เมิ่ง คุณเป็นคนฉลาด คุณคิดว่าฉันจะสามารถหาเงินห้าล้านด้วยสภาพแบบนี้ได้จริงหรือ?”

คำตอบนั้นเห็นได้จากสภาพความเป็นจริง ร่างกายซูเมิ่งสั่นเล็กน้อยราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง—ประธานเสิ่นกำลังทรมานผู้หญิงคนนี้ด้วยความอัปยศอดสู

แต่นี่มันไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยหรือ

————

บทที่ 15 ตัวตลก

สามวันแล้วที่เจี่ยนถงถูกย้ายมาอยู่ที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ เธอยังหาเงินไม่ได้เลยแม้แต่น้อย พอเงยหน้าดูนาฬิกาก็เป็นเวลา 23.07น.แล้ว ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่คึกคักมาก

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ทั้งหมดถูกทิ้งร้าง มีเพียงเธอคนเดียวที่ยังอยู่ในพักรับรอง เพื่อนร่วมงานที่อยู่แผนกเดียวกันต่างก็ออกไปทำงานของตัวเอง หากพูดตามความจริงฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่ตงหวงนั้นเป็นที่ที่ทุกคนหาเงินมาได้ไม่น้อย เนื่องจากคนที่มาตงหวงแห่งนี้ล้วนไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป พวกเขาเหล่านั้นล้วนเป็นเศรษฐีนักธุรกิจและมีอำนาจใหญ่โต

แม้ว่าเจี่ยนถงจะมาอยู่ที่นี่ได้เพียงสามวัน แต่ล่าสุดเธอก็ได้ยินเสียงเจินเจินเม้าอยู่ที่ตรงบันได เมื่อวานเธอคุยโม้โอ้อวดว่ามีเศรษฐีนักธุรกิจชาวฮ่องกงใจป้ำให้ทิปเธอคนเดียวถึงห้าหมื่นหยวน

ห้าหมื่นสิบครั้งก็เป็นเงินห้าแสน ห้าหมื่นร้อยครั้งก็เป็นเงินห้าล้าน…แบบนี้เธอก็จะได้ทำในสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นต้องการแล้ว และจะได้เป็นอิสระในที่สุด

เธอส่ายหน้าเตือนสติตัวเอง…นั่นคือเจินเจิน ไม่ใช่เธอ เสิ่นซิวจิ่นเคยพูดว่า เธอจะขายความอัปลักษณ์ ความโง่ หรือความน่าสมเพชก็ได้ แต่ในตอนนี้แม้แต่ความโง่ เธอก็ไม่มีโอกาสได้ขาย

“เจี่ยนถง ตามฉันมา” มีคนเปิดประตูเข้ามา เจี่ยนถงมองไปตามเสียงก็รู้ว่าเป็นซูเมิ่ง

“พี่เมิ่ง” เธอรีบลุกขึ้นและตามซูเมิ่งออกไปโดยไม่พูดอะไร

“เธอจะไม่ถามฉันหน่อยเหรอว่าฉันจะพาเธอไปที่ไหน?” ซูเมิ่งขมวดคิ้วถาม “เธอไม่ถามให้ชัดเจนแล้วค่อยตามมาล่ะ? ไม่กลัวฉันจะเอาเธอไปขายหรือไง?”

เจี่ยนถงยิ้ม “พี่เมิ่ง ซื้อฉันไม่คุ้มค่าเงินหรอก”

ผู้หญิงที่บอกว่าตัวเองไร้ค่าด้วยรอยยิ้มเช่นนี้ทำให้เธอที่เดินนำหน้าหัวใจเต้นแรง และกลับมาเป็นปกติได้ในไม่ช้า

เธอเดินนำเจี่ยนถงเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า

ซูเมิ่งนำเสื้อผ้ามาให้เจี่ยนถงหนึ่งชุด “รีบเปลี่ยนสิ”

เจี่ยนถงกะพริบตามองเสื้อผ้าที่ถือเอาไว้ในมือ “พี่เมิ่ง นี่มัน…”

ซูเมิ่งมองเจี่ยนถงด้วยความเวทนา “เฮ้อ..เปลี่ยนเถอะ คุณเสิ่นเป็นคนสั่งมา” ซูเมิ่งชี้ไปที่เสื้อผ้าที่เจี่ยนถงถือเอาไว้ “ชุดนี้ก็เป็นชุดที่คุณเสิ่นส่งคนเอามาให้”

ซูเมิ่งกลัวเช่นกันว่าเจี่ยนถงจะไม่ยอมเชื่อฟัง อีกทั้งยังปวดหัวกับวิธีโน้มน้าวเจี่ยนถง ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าก้มหน้าลงและเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเงียบๆ

ชุดตัวตลกถูกสวมอยู่บนตัวเจี่ยนถง ซูเมิ่งเรียกคนมาแต่งหน้าให้เธอ เจี่ยนถงนั่งอยู่หน้ากระจกด้วยความสงบเสงี่ยม และยอมให้ช่างแต่งหน้าคนนั้นแต่งหน้าตัวเองให้กลายเป็นตัวตลกแต่โดยดี

จมูกเป็นลูกบอลกลมๆสีแดง และมีปากใหญ่ๆสีแดงเป็นรูปรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ใบหน้าถูกเติมแต่งโดยมองไม่เห็นเค้าเดิม

ซูเมิ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน เธอเดินนำเจี่ยนถงขึ้นไปชั้นหก “ไป รีบเข้าไปเถอะ ในห้องนี้มีกลุ่มคุณชายที่มาจากเมืองจิง พวกคุณชายพวกนั้นมาเที่ยวตงหวงจนเบื่อแล้ว พวกเขาก็เลยอยากดูการแสดงตัวตลกน่ะ” ในขณะที่พูด ซูเมิ่งก็รู้สึกว่าตัวเองพูดมากเกินไปแล้วจึงรีบบอกเจี่ยนถงว่า “เสี่ยวถง…”

ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกเจี่ยนถงพูดตัดบท “พี่เมิ่ง ฉันยังต้องเก็บเงินให้ได้ห้าล้าน ขอบคุณที่ให้โอกาสฉัน”

ซูเมิ่งหยุดอยู่ข้างนอกห้อง ไม่สามารถบอกได้ว่าในใจกำลังรู้สึกอะไร ผ่านไปสักพักเธอก็ยกมือเคาะประตูห้องแล้วผลักเจี่ยนถงเข้าไป ใบหน้าของเธอถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมืออาชีพ “คุณเสิ่น ตัวตลกมาแล้ว”

ทันทีที่เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้น….ทำไมเสิ่นซิวจิ่นถึงมาอยู่ที่นี่ได้? ! เธอนึกว่ามีเพียงพวกคุณชายที่มาจากเมืองหลวงเสียอีก!

แท้ที่จริงเเล้วเสิ่นซิวจิ่นอยู่ที่นี่นี่เอง! เขาจงใจทำ! เขาต้องการเห็นเธอได้รับความอับอาย เห็นความน่าเกลียดของเธอ เห็นเธอเจ็บปวด!

“ตัวตลกๆ มา ยิ้มหน่อยซิ” มีเด็กหนุ่มตัวโตคนหนึ่งนั่งอยู่บนโซฟาประดับเพชรสีดำมองเธอด้วยความเหยียดหยาม เขาสวมเสื้อยืดลายขาวดำและกางเกงยีนรัดรูป บนคอสวมโซ่เงินเส้นหนึ่งด้วยสไตล์ฮิปฮอป

เด็กหนุ่มตัวโตคนนี้น่าจะอายุราวๆยี่สิบต้นๆ ย้อมผมด้วยสีหม่นเผยให้เห็นความเป็นหนุ่มสาวก๋ากั่น

เขานั่งอยู่บนโซฟาด้วยรอยยิ้มกว้างและพอเจี่ยนถงเข้ามา ทันใดนั้นเขาก็โน้มตัวไปข้างหน้า ทั้งยังแกว่งโซ่ไปมาในอากาศ เด็กหนุ่มตัวโตชี้มาที่ตัวเองพลางหัวเราะชอบใจ “มานี่สิ ตัวตลกมายิ้มให้ฉันหน่อย มาทางนี้ ใช่… แบบนั้นแหละ ยิ้มให้ดูหน่อยแล้วฉันจะให้รางวัล” จู่ๆก็มีธนบัตรหนาปึกหล่นมาที่เท้าเจี่ยนถง

รสชาติแห่งความเหยียดหยามนั้นเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

ขนตาเจี่ยนถงสั่นระริกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แต่ทันใดนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นและยิ้มกว้างออกมา บวกกับการแต่งหน้าเหมือนตัวตลกก็ยิ่งทำให้เธอดูเหมือนมากยิ่งขึ้น

“NONONO ยิ้มแค่นี้ยังไม่ผ่าน เอาใหม่” เด็กหนุ่มตัวโตส่ายนิ้วด้วยความเท่ “อยากได้เงินไม่ใช่เหรอ? ก็ต้องออกแรงหน่อย”

เจี่ยนถงก้มศีรษะลง ธนบัตรสีแดงก็ร่วงลงมาต่อหน้าต่อตา ดวงตาเจี่ยนถงหดแคบลง การเคลื่อนไหวทั้งหมดของเธอตกอยู่ในสายตาเสิ่นซิวจิ่น แววตาของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีอึมครึม

พอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เจี่ยนถงก็กะพริบตา จากนั้นยิ้มกว้างขึ้นยิ่งกว่าเดิมเผยให้เห็นฟันขาวๆเรียงกันเป็นแถว บวกกับปากใหญ่สีแดงที่ดูใหญ่เกินจริงก็ยิ่งทำให้เธอยิ้มได้ตลกมาก

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…สนุกว่ะ สนุกจริงๆ!” เด็กหนุ่มตัวโตคนนั้นหัวเราะเสียงดัง พลางเรียกคนข้างๆ “เฮ้! พวกนายดูสิ เหมือนคนปัญญาอ่อนไหม?”

การแต่งหน้าเป็นตัวตลกอันหนาเตอะสามารถปกปิดรอยยิ้มแข็งกระด้างของเจี่ยนถงได้ มีเสียงโห่ร้องและเสียงปรบมือดังไปทั่วห้อง พวกคุณชายเหล่านั้นต่างหัวเราะชอบใจ “รอบนี้ดีมาก! อ่ะ ฉันให้เงินเธอ”

ในเวลานี้เจี่ยนถงไม่รู้จะเสียใจหรือดีใจดี

“เก็บไปสิ? ให้เธอแล้ว หรือไม่อยากได้ล่ะ?”

“อยากได้…” เธอพูดอย่างไม่อาย

“อยากได้ก็คุกเข่าลงไปเก็บ เก็บขึ้นมาซะ นั่นเป็นของเธอ” เด็กหนุ่มตัวโตคนนั้นเลิกคิ้วและพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สา

เสิ่นซิวจิ่นซ่อนตัวอยู่ในความมืด ดวงตาคู่นั้นมืดยิ่งกว่าความมืดในตอนกลางคืน เขามองดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

เจี่ยนถงหลุบตาลงภายใต้การแต่งหน้าอันหน้าเตอะ ใบหน้าเธอซีดขาวราวกับกระดาษ แต่ทำยังไงได้ล่ะ? เจี่ยนถงหัวเราะเยาะตัวเองในมุมมืด…เงิน มันช่างมีค่า เธอสามารถใช้มันเพื่อซื้ออิสรภาพให้ตัวเองไม่ใช่หรือ?

สามปีที่แล้วเขาส่งเธอเข้าคุกและตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่มีอิสระอีกเลย

พอสามปีต่อมาเธอได้รับการปล่อยตัว เขาก็ยังใช้เงินจำนวนห้าล้านมากักขังเธอไว้ไม่ให้เป็นอิสระ…ไม่ได้ เธอสัญญากับความฝันของเด็กผู้หญิงคนนั้นไว้แล้ว เธอจะต้องตระหนักถึงข้อนี้!

เจี่ยนถงคุกเข่าลงไปเก็บธนบัตรที่กองอยู่บนพื้น พอลุกขึ้นเสียงหัวเราะขี้เล่นของเด็กหนุ่มคนนั้นก็ดังขึ้นมาในหัว “ชอบเงินนักเหรอ? ฉันคนนี้ขาดทุกอย่างยกเว้นเงิน วันนี้เธอทำให้ฉันมีความสุข ฉันก็เลยมีรางวัลตอบแทน”

ในขณะที่พูดคุยกันนั้นก็เหมือนมีธนบัตรโปรยลงมาจากบนท้องฟ้า ธนบัตรจำนวนมากตกลงมาทีละใบ ในขณะที่เขาถือธนบัตรจำนวนมากและโยนเงินขึ้นไปในอากาศ เจี่ยนถงก็มองไปที่เด็กหนุ่มคนนั้นด้วยความประหลาดใจ

นี่มัน…อะไรกัน?

“ชอบไหม? ฉันอยากให้เธอเล่นอะไรให้ดูหน่อย” เหล่าพรรคพวกของเด็กหนุ่มตัวโตคนนั้นต่างโพล่งออกมาว่า “เธอห้ามลุกขึ้น ฉันให้เวลาเธอหนึ่งนาทีในการคลานเก็บเงินบนพื้น เก็บเอาเงินของเธอไปซะ และถ้าเธอเก็บเงินที่อยู่บนพื้นจนหมดแล้วไม่ให้หล่นแม้แต่ใบเดียว ฉันจะให้เธอเพิ่มอีกห้าหมื่น ”

ในมุมมืด ไม่มีใครเห็นมือเจี่ยนถงกำลังสั่น…ไม่ใช่เพราะความซาบซึ้งแต่อย่างใด แต่เป็นความเจ็บปวดที่อยู่ลึกๆในจิตใจ

ทำอย่างไรดี?

จะเก็บ หรือว่าไม่เก็บ?

เคยได้ยินมาว่าการได้เงินมานั้นมีความสุขแค่ไหน…แต่ทำไมหัวใจเธอถึงได้เศร้าขนาดนี้?

————

บทที่ 16 ไม่ใช่ที่สุดของความอัปยศอด

“ฉัน…” เธออ้าปากเพราะคิดจะปฏิเสธตามสัญชาตญาณ เสิ่นซิวจิ่นที่อยู่ในมุมมืดยกมุมปากอย่างเงียบๆ…เขาจะพูดว่า…แท้ที่จริงแล้วคุณหนูเจี่ยนผู้หยิ่งทระนงคนนี้ไม่สามารถละทิ้งศักดิ์ศรีตัวเองและทนกับความอัปยศอดสูได้

“ฉันเก็บเงินที่อยู่บนพื้นภายในหนึ่งนาทีได้จริงหรือ? เงินพวกนี้จะเป็นของฉันใช่ไหม? และถ้าฉันทำได้ คุณจะให้เพิ่มอีกห้าหมื่นใช่ไหม?”

เจี่ยนถงพูดคำว่า “ไม่” ต่อจากคำว่า“ฉัน” ออกมาแบบนั้นไม่ได้ ตรงหน้าเธอได้ปรากฏภาพตอนที่อยู่ในคุกอีกครั้ง เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นเพียงคนเดียวที่ดีต่อเธอ เธอโหยหาความฝันในขณะที่เธอยังมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ด้วยหัวใจที่ต่อสู้อยู่กับเวลา เจี่ยนถงก็เปลี่ยนแผนกะทันหัน…ศักดิ์ศรี? เธอยังเหลืออยู่หรือ?

ตอนนี้เจี่ยนถงไม่เหลืออะไรอีกแล้วไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว ญาติ เพื่อน หรือความสัมพันธ์อื่นๆ เธอเหลือแค่เธอตัวคนเดียว

แล้วยัง…จะมีศักดิ์ศรีอะไรกัน!

เหล่าคุณชายทั้งหลายต่างพากันหัวเราะ “แน่นอน ฉันพูดแล้วก็ตามนั้น” เขาเหลือบมองผู้หญิงที่แต่งตัวเป็นตัวตลกคนนั้นที่อยู่บนพื้นด้วยสายตาดูถูก

“ตกลง” เสียงแหบนั้นไม่น่าฟังเอามาก โดยทั่วไปแล้วไม่มีใครฟังออกถึงความเศร้าเสียใจที่ซ่อนอยู่ในเสียงนั้น เจี่ยนถงคลานอยู่บนพื้นต่อหน้าทุกคน แต่ละคนต่างหัวเราะชี้นิ้วมาที่เธออย่างชอบใจ “คุณชายลี่ ดูนั่น เหมือนหมาโง่ๆที่นายเลี้ยงที่บ้านไหม?”

จู่ๆก็ได้ยินเสียงเด็กหนุ่มตัวโตคนนั้นที่โยนเงินให้เจี่ยนถงพูดออกมาอย่างมีความสุขว่า “นายตาบอดหรือไง? เจ้าRokeของฉันมันเป็นหมาตัวผู้ต่างหากล่ะ”

“อ้อ อ้อ อ้อ ใช่ๆ” คนคนนั้นยิ้มและหัวเราะอย่างสมเพช “Rokeของนายเป็นหมาตัวผู้ งั้นนี่ก็เป็นแค่หมาตัวเมียสินะ ฮ่าฮ่าฮ่า”

เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้นครั้งเเล้วครั้งเล่า เจี่ยนถงกัดริมฝีปากแน่นและหยิบเงินขึ้นมาจากพื้นอย่างหมดหวัง เงินโปรยลงมาจากอากาศและกระจัดกระจายไปทุกหนทุกแห่ง เจี่ยนถงต้องคลายตัวและเคลื่อนย้ายไปเรื่อยๆ เพียงเท่านี้ก็จะสามารถเก็บเงินที่ตกอยู่ไปทั่วได้

เจี่ยนถง ไม่ต้องฟัง ไม่ต้องสนใจ!

เจี่ยนถง พวกนี้นับเป็นอะไร? เมื่อเทียบกับทุกสิ่งที่เคยเผชิญอยู่ในคุก เธอควรจะขอบคุณคุณชายพวกนี้ที่พวกเขาเมตตาให้เธอเสียด้วยซ้ำ!

เจี่ยนถง ชีวิตเธอไร้ค่า ศักดิ์ศรีของเธอจะมีค่าเท่าเงินอย่างงั้นหรือ?

เจี่ยนถง เธอจำไว้ เธอติดหนี้ชีวิตเด็กผู้หญิงคนนั้นที่มีความฝันเอ๋อร์ไห่!

เจี่ยนถง ตอนนี้เธอไม่เหลืออะไรเเล้ว เธอเหลือเพียงแค่ตัวเธอเอง ในเมื่อเป็นอย่างงั้นก็จงใช้ชีวิตทั้งหมดเพื่อตอบแทนผู้บริสุทธิ์ที่สละชีวิตปกป้องเธอ! ไปทำตามความฝันเอ๋อร์ไห่ของเด็กผู้หญิงคนนั้นให้เป็นจริงซะ!

เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของโลกภายนอกดังกระทบเข้ามาในหู เธอกัดฟันตัวเองไว้แน่น เจ็บจนไม่ยอมไม่ปล่อย

ธนบัตรสีชมพูอีกไม่กี่ใบร่วงลงตรงหน้าเท้าคู่หนึ่ง เจี่ยนถงคลานไปหยิบโดยไม่ได้คิดอะไรมาก ทันใดนั้นเสียงหัวเราะของเด็กหนุ่มตัวโตคนนั้นที่พวกเพื่อนๆของเขาเรียกเขาว่า “คุณชายลี่”ก็ดังขึ้นมาจากข้างหลัง “เฮ้! ยัยหมาตัวเมีย กระดิกหางด้วยสิ ไม่กระดิกหางก็ไม่ต้องเอาเงินไป”

ร่างกายเจี่ยนถงสั่นเทา เธอจับธนบัตรที่อยู่ในมือจนแน่นราวกับกำลังจะเจาะธนบัตรพวกนั้นด้วยเนื้อมือตัวเอง

มีคนตะโกนขึ้นมา “กระดิกเร็ว!”

“กระดิกสิ ยัยหมาตัวเมียรีบกระดิกหางสิโว้ย!”

“เฮ้ ยัยหมาตัวเมีย เธอไม่อยากได้เงินเเล้วหรือไง?” คุณชายลี่พูดออกมา

เงิน!…เจี่ยนถงมองเงินที่อยู่ในมือ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วส่ายสะโพกช้าๆอยู่บนพื้น

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…” เสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ “โอ้ยย ฉันไม่ไหวแล้ว! หัวเราะจนท้องแข็งไปหมดแล้ว!”

“คิกคิกคิก ฉันก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ฉันเที่ยวไปจนทั่วทั้งเหนือทั้งใต้ ทั้งที่ตระการตามาจนหมดแล้ว เจอผู้หญิงมาทุกรูปแบบ แต่ผู้หญิงที่เห็นแก่เงินแบบนี้ฉันเพิ่งเคยเห็นที่นี่เป็นครั้งแรก ฮ่าฮ่าฮ่า ได้เปิดโลกจริงๆ!”

“คุณชายเสิ่น หมาตัวเมียกำลังกระดิกหางมาทางคุณแน่ะ?” คุณชายลี่พูดด้วยความมุ่งร้าย “คุณจะไม่ให้รางวัลเธอหน่อยหรือ?”

คุณชายเสิ่น!เสิ่น……ซิวจิ่น?

ทันใดนั้นการเต้นของหัวใจของเจี่ยนถงก็หยุดลง! เธอตัวแข็งอยู่กับที่และไม่ยอมเงยหน้าขึ้น…สายตานี้ทำให้เธอหน้าซีด!

เสิ่นซิวจิ่นนั่งเงียบๆบนโซฟา แสงสลัวทำให้เขาดูแพงและเย็นชามากขึ้น

สายตาเสิ่นซิวจิ่นมองไปที่ใบหน้าของเจี่ยนถงและพูดอยู่แค่สี่คำ “เธอมันชั้นต่ำ”

เจี่ยนถงกัดฟันอย่างเอาเป็นเอาตาย ลมหายใจติดขัดขึ้นมาทันที ถ้าไม่ใช่เพราะการแต่งหน้าแบบตัวตลกที่หนาเตอะ ตอนนี้หน้าคงขาวซีดเหมือนศพไปเเล้ว

โชคดี…ที่การแต่งหน้าเป็นตัวตลกแบบนี้ช่วยซ่อนความน่าเกลียดไว้ได้

ผ่านไปสักพัก…

ภายใต้การจ้องมองของเสิ่นซิวจิ่น เจี่ยนถงก็ค่อยๆฉีกยิ้มที่ยอดเยี่ยมออกมาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ “ขอบคุณคุณเสิ่นสำหรับรางวัล” ไม่มีใครมองออกว่าประโยคนี้แทบทำให้เธอหมดเรี่ยวแรงไปทั้งตัวจากการกัดฟัน

เขาด่าเธอว่าต่ำ เธอขอบคุณเขาที่ให้รางวัล…นี่ไม่ใช่ความหยิ่งยโสที่เคยสูงเสียดฟ้าแห่งเมืองเมืองหมิงจูอีกต่อไป ยังเป็นกุหลาบที่เคยทระนงในศักดิ์ศรีอยู่อีกหรือไม่

เจี่ยนถงสูดหายใจและเงยหน้าไปทางคุณชายลี่คนนั้น “คุณชายลี่ ฉันเก็บเงินทั้งหมดบนพื้นมาหมดแล้ว นี่ถือว่าเป็นไปตามที่คุณชายลี่พูดหรือไม่?” คุณชายลี่โบกมืออย่างกล้าหาญ เจี่ยนถงเตรียมจะลุกขึ้น ทว่าคุณชายลี่คนนั้นกลับห้ามเจี่ยนถงไม่ให้เธอลุก “อย่าเพิ่งรีบลุกสิ”

ในขณะที่พูด เขาก็เดินไปที่โต๊ะคริสทัลและถือเหล้าไว้แก้วหนึ่ง

“ก่อนจะเอาเงินไป ฉันอยากจะเชิญเธอดื่มสักแก้ว”

เขาส่งวิสกี้แก้วหนึ่งให้เจี่ยนถงตรงหน้า เจี่ยนถงยังคลานสี่ขาอยู่บนพื้นโดยไม่ได้ลุกขึ้น

“ฉันไม่…”

เจี่ยนถงกำลังจะบอกปฏิเสธ จู่ๆก็มีเสียงทุ้มต่ำพูดขึ้นมา “เหล้าชั้นดีย่อมคู่ควรกับหญิงงาม มันคงน่าเสียดายถ้าให้เธอดื่มมัน”

เป็นเสิ่นซิวจิ่น!

เจี่ยนถงหลุบตาลงเพื่อปกปิดความขมขื่นที่อยู่นัยน์ตา

เสิ่นซิวจิ่น คุณจะต้องให้ฉันอับอายให้ได้ใช่ไหม คุณถึงจะพอใจ?

“คุณชายเสิ่นกำลังบอกว่าเธอไม่สวยงั้นหรือ?” คุณชายลี่แปลกใจ “ผมไม่เชื่อ ในตงหวงจะมีคนอัปลักษณ์ได้อย่างไร?”

พอพูดเสร็จก็ลอบมองใบหน้าเจี่ยนถง แต่ช่วยไม่ได้ที่ใบหน้าเจี่ยนถงถูกตกแต่งเป็นตัวตลกอย่างหนาเตอะ จึงทำให้บดบังใบหน้าที่แท้จริง

“ไม่เชื่อ?” เสิ่นซิวจิ่นกระตุกมุมปากเล็กน้อย จากนั้นก็ใช้สายตามองไปยังใบหน้าเจี่ยนถง “ไปล้างออก” เขาพูดช้าๆอย่างขี้เกียจจะใส่ใจ

เจี่ยนถงกำลังจะลุกขึ้น

“คลานไป” คุณชายลี่พูดอยู่อีกด้าน

ใบหน้าเธอกลับมาซีดขาวอีกครั้ง เจี่ยนถงกำหมัดอยู่กับพื้นอย่างเอาเป็นเอาตาย…ทนไว้! เจี่ยนถง! จะเป็นอะไรไป? นี่ยังไม่มีอะไรเทียบได้กับชีวิตในคุกตลอดสามปีที่ผ่านมา!

แน่นอนว่าเธอคลานไปห้องน้ำที่อยู่ติดกับห้องนั้นอย่างเชื่อฟัง เนื่องจากไม่มีอุปกรณ์ล้างเครื่องสำอาง เธอจึงทำได้แค่เพียงใช้เจลทำความสะอาดมือล้างเครื่องสำอางที่อยู่บนหน้าออก และแน่นอนว่ามันไม่ได้สะอาดเท่าการใช้คลีนซิ่งออยล์ แต่มันก็เพียงพอที่จะเห็นใบหน้ารูปไข่อันผอมแห้งของเธอ

พอเดินออกมาจากห้องน้ำก็เปิดประตู…

“ฉันชินกับการเห็นเธอคลานกับพื้น พอเห็นเธอเดินแบบนี้มันดูไม่คุ้นเอาซะเลย” คุณชายลี่หรี่ตามองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าประตู “เธอบอกมาซิว่าจะทำอย่างไร?”

เจี่ยนถงค่อยๆย่อตัวลงและคลานสี่ขาอยู่กับพื้น เธอคลานอย่างเชื่องช้า เนื่องจากก่อนหน้านี้เธอคลานอยู่นานพักใหญ่ ตอนนี้ใบหน้าเธอเริ่มเผยให้เห็นความเจ็บปวด

แม้จะเจ็บปวดรวดร้าวแต่เธอกลับซ่อนเอาไว้อย่างเข้มแข็ง…เธอบอกว่าไม่ต้องการศักดิ์ศรี เธอไม่มีศักดิ์ เธอไม่สนใจศักดิ์ศรี แต่โดยจิตใต้สำนึกแล้ว เธอยอมทนกับความเจ็บปวดที่ผู้ชายไม่สามารถทนได้ ต่อให้เจ็บเจียนตายก็ไม่ยอมร้องออกมา

————

บทที่ 17 ยิ่งกว่าอัปยศอดสู

ซูเมิ่งปรากฏตัวอยู่มุมหนึ่งข้างนอกห้อง เธอเงยหน้าพร้อมกับสายตาอันเฉียบคมของเธอ เธอยกเท้าขึ้นและเดินมาอย่างเงียบๆ “ลู่น่า เธอทำอะไรน่ะ?”

ทันใดนั้นเสียงอันเยือกเย็นก็ดังมาจากด้านหลัง ลู่น่าที่อยู่ด้านนอกห้องก็หันกลับมา หลังจากเห็นแล้วว่าเป็นใคร เธอก็หน้าถอดสีและทำตัวมีพิรุธ “ไม่ ฉันไม่ได้เห็นอะไร…”

ลู่น่าเป็นเจ้าหญิง(สาวนั่งดริ้งก์)ห้อง 606 พวกคุณชายเหล่านั้นไม่ต้องการให้เธอเข้าไปบริการ แต่กลับให้แม่บ้านคนที่พี่เมิ่งพามาทำงานใหม่เข้าไปแทน

ลู่น่าจึงรีบออกมาจากห้องด้วยสีหน้าไม่สู้ดี พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ ลู่น่าจึงค่อยๆแง้มประตูห้องให้เปิดเพียงเล็กน้อย พลางชะโงกหัวแอบมอง พอเห็นภาพนั้น เธอก็ช็อกตาตั้ง ในขณะเดียวกันก็แอบหัวเราะเยาะเจี่ยนถง

ซูเมิ่งยิ้มอย่างเย็นชา สิ่งที่เธอถามก็คือ “เธอกำลังทำอะไร” ไม่ใช่ “เธอมองอะไรอยู่” ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลู่น่ากำลังปกปิดอะไรบางอย่าง

“ที่นี่ไม่มีอะไรให้เธอต้องทำแล้ว ไปรับแขกชั้นหนึ่งเถอะ” ลู่น่าดูเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง ซูเมิ่งชำเลืองตามองเธออีกครั้ง ลู่น่าจึงยอมออกไปจากชั้นหกอย่างไม่เต็มใจ ทว่าในใจเธอยังคงหงุดหงิด…พี่เมิ่งไม่ยุติธรรม เห็นชัดๆว่าเธอเป็นเจ้าหญิงประจำห้อง 606 แต่กลับไม่ให้เธอเข้าไปรับแขกข้างใน

แขกที่มาวันนี้น่าจะเป็นคนมีเงินมีอำนาจ ดูก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดา อีกทั้งแต่ละคนก็ยังหนุ่มยังแน่น นี่ถือว่าเป็นโอกาสทองของเธอ แต่พี่เมิ่งกลับให้ยัยแม่บ้านทำความสะอาดคนนั้นมาทำแทน

ตอนนี้ยังสั่งให้เธอไปต้อนรับแขกที่ชั้นล่างอีก

ลู่น่ากระทืบเท้าออกไปด้วยความโมโห

ซูเมิ่งค่อยๆแง้มประตูออกเล็กน้อย ฉากที่อยู่ข้างในทำให้เธอผู้ซึ่งคุ้นเคยกับภาพร้องรำทำเพลงของคนกลางคืนมานักต่อนักแล้วถึงกับตกตะลึง

ภายในห้อง

“คลานเร็ว! อย่าชักช้า! ยังอยากได้ไหมเงินน่ะ?”

เจี่ยนถงกัดฟันกัดริมฝีปาก เธอพยายามมองข้ามความเจ็บปวดเข้ากระดูกและเร่งความเร็ว ไม่ทันไรเสื้อผ้าบนตัวเธอก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ

ตั้งแต่ออกจากคุก แม้จะเดินบนถนนที่ร้อนอบอ้าวในช่วงตอนบ่ายของฤดูร้อน แต่ร่างกายของเธอกลับแห้งสนิทไม่มีเหงื่อสักหยด ทว่าตอนนี้เหงื่อโชกไปทั่วทั้งแผ่นหลัง

“เร็วสิ! คลานมาหาฉันตรงนี้” ในขณะที่คุณชายลี่พูด พรรคพวกที่อยู่รอบข้างต่างหัวเราะชอบใจ ภายใต้การจับจ้องของเสิ่นซิวจิ่น เจี่ยนถงยังคงคลานไปตรงหน้าคุณชายลี่ที่มีอายุราวๆยี่สิบอย่างไรศักดิ์ศรี ท่ามกลางความมืดมิด แววตาของชายหนุ่มราวกับมีพายุหมุนรุนแรงที่กวาดต้อนไปทั่ว

เจี่ยนถง!… ดวงตาของชายคนนั้นลุกเป็นไฟด้วยความโกรธและคำพูดอัดแน่นอยู่เต็มอกโดยไม่สามารถพูดออกมาได้

เสิ่นซิวจิ่นไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าทำไมพอเขาเห็นผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ถึงทำให้เขาเกลียดเข้ากระดูกดำ ทั้งละโมบโลภมากต่ำช้า ในใจพลันเดือดดาล

เขายิ่งไม่คิดเลยว่าจุดประสงค์เดิมที่เขาต้องการก็คือทำให้ผู้หญิงคนนี้พบกับความอัปยศอดสู แม้เขาจะบรรลุความประสงค์แล้ว แต่ทำไมเขากลับไม่รู้สึกดีเลยสักนิด

“ไหนเงยหน้าให้ฉันดูหน่อยซิ” คุณชายลี่พูดอย่างแผ่วเบา เสียงของคุณชายลี่ลอยเข้ามาในหูเจี่ยนถง เธอไม่ยิ้ม ไม่โกรธ ไม่โมโห เพียงแค่เงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องๆเหมือนตุ๊กตาไม้ที่ไร้ชีวิตจิตใจ พอคุณชายลี่ออกคำสั่ง เธอก็แค่ทำตาม

“บ้าเอ๊ย! นี่มันอะไรเนี่ย!” พรรคพวกที่อยู่ด้านหลังคุณชายลี่ต่างตกใจและหันไปจ้องเจี่ยนถงอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาทำเหมือนเจอสัตว์ประหลาด “คุณชายลี่ ผู้หญิงคนนี้ไม่แต่งหน้าก็เหมือนตัวตลก”

“คุณชายลี่ ที่คุณชายเสิ่นพูดก็ถูก เหล้าชั้นดีควรคู่กับหญิงงาม ผู้หญิงอัปลักษณ์แบบนี้มีคุณสมบัติอะไรถึงได้ดื่มเหล้าของคุณชายลี่?” เพื่อนคนอื่นๆเริ่มส่งเสียงโห่ร้อง

เจี่ยนถงก้มหน้าลงพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก…ตราบใดที่เธอไม่ได้ดื่มเหล้า อะไรก็ได้ทั้งนั้น!

ชีวิตของเธอไม่เคยเป็นของเธออีกต่อไปนับจากวินาทีที่เด็กสาวคนนั้นลาจากโลกใบนี้ไป เธอจะไม่ยอมเสี่ยงดื่มเหล้าเป็นอันขาดเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เนื่องจากเธอขาดไตไปหนึ่งข้าง จึงไม่สามารถทนความเจ็บปวดจากการดื่มได้

“ไม่” เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา “ฉันบอกว่าจะให้รางวัลเธอโดยการดื่มหนึ่งแก้ว ยังไงเธอก็ต้องดื่ม ฉันพูดแล้วไม่คืนคำ” ในขณะที่พูดก็ยืนขึ้นต่อหน้าเจี่ยนถง เขาตะคอกลงมาจากด้านบน “ฉันจะให้เธอดื่มเป็นรางวัล ยังไม่เงยหน้าขึ้นอีกเหรอ?”

เมื่อเห็นว่าเจี่ยนถงไม่ยอมขยับ เด็กหนุ่มตัวโตที่ชื่อคุณชายลี่ก็พูดออกมาอย่างไม่พอใจ “ฉันบอกให้เธอเงยหน้า? หูหนวกหรือไง?” มีเสียงหัวเราะที่เยือกเย็นตามมาติดๆ “ต้องให้ฉันเรียกคนมาช่วยไหม?”

เจี่ยนถงถูกรั้งศีรษะให้เงยหน้าขึ้น วินาทีต่อมาก็มีเสียงเทน้ำดังขึ้น เหล้าที่อยู่ในมือคุณชายลี่ได้เทลงบนใบหน้าเจี่ยนถงจนหมดแก้ว เนื่องจากไม่ทันได้เตรียมตัวตัวเตรียมใจ เธอจึงสำลักออกมาทางจมูกและปาก บางส่วนไหลเข้าไปในตา เจี่ยนถงไออย่างรุนแรง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีขาว

คุณชายลี่วางแก้วคริสทัลไว้บนโต๊ะ และยิ้มอย่างโหดเหี้ยม “แต่สภาพเธอเป็นแบบนี้ก็ไม่น่าให้ดื่มจริงๆ ฉันก็เลยให้รางวัลได้แค่นี้ ”

ในขณะที่พูดก็หันไปหัวเราะกับคนรอบข้างพลางโบกไม้โบกมือ “ฉันพูดคำไหนคำนั้น วันนี้เธอทำให้ฉันมีความสุขจริงๆ” พอพูดเสร็จก็โยนเงินให้เจี่ยนถงห้าหมื่นหยวน และตะคอกอย่างเย็นชา “ได้เงินเเล้วยังไม่รีบไสหัวไปอีก? ฉันเห็นเธอบ่อยๆเข้าปวดลูกตาไปหมดแล้ว”

เงินฟาดมาที่หน้าเจี่ยนถงและหล่นลงพื้น เจี่ยนถงยังคงคลานสี่ขาอยู่บนพื้น เธอเอื้อมมือที่สั่นเทาจวนจะไม่มีแรงเก็บธนบัตรพวกนั้นขึ้นมาจากพื้น

“ฉันสั่งให้เธอลุกขึ้นแล้วเหรอ?”

เจี่ยนถงกำลังจะขยับ เด็กหนุ่มร่างใหญ่ที่ชื่อคุณชายลี่พูดอย่างออกมาแล้วหัวเราะอีกครั้ง

เมื่อเก็บธนบัตรทั้งหมดยัดเข้าไปในกระเป๋าชุดตัวตลกตัวใหญ่ เจี่ยนถงก็หลุบตาลงและคลานกับพื้น

“เฮ้! กระดิกหางด้วย!”

เจี่ยนถงสั่นเล็กน้อย จากนั้น…

ค่อยๆยกมือขวา ขาขวา มือซ้าย และขาซ้าย แล้วส่ายสะโพก…

เธอคลานสี่ขาออกจากห้องนั้นท่ามกลางความอัปยศอดสูและเสียงโห่ร้องทั่วทั้งห้อง

และตั้งแต่ต้นจนจบเธอไม่ได้มองผู้ชายที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดบนโซฟาอีกเลย

……

เมื่อประตูห้องปิดลง เสียงเจี๊ยวจ๊าวที่อยู่ด้านหลังก็ถูกตัดออกไปโดยสิ้นเชิง ในเวลาเดียวกันเจี่ยนถงก็เหมือนโดนพรากบางสิ่งไป

มันคืออะไร เจี่ยนถงเองก็ไม่รู้ แต่เธอรู้ว่าตัวเองไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว…อันที่จริงไม่เหมือนเดิมมาตั้งนานแล้ว เพียงแค่ว่าวันนี้เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ถูกดึงออกมา

มีมือมือหนึ่งยื่นเข้ามา ฉันช่วยเธอ

เจี่ยนถงถอยกลับราวกับถูกไฟไหม้ เธอเงยหน้าขึ้น “พี่เมิ่ง…” พอตั้งสติได้เธอก็มองคนที่อยู่ตรงหน้า เธอเรียกด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสารและเงียบไปสักพัก ซูเมิ่งมองผู้หญิงตรงหน้าที่พยายามฝืนยิ้มอย่างเข้มแข็งเพื่อพูดกับตัวเองว่า “ฉันไม่เป็นไร”

ซูเมิ่งชะงักเล็กน้อย จะไม่เป็นอะไรได้อย่างไรล่ะ?

“ฉันสบายดี” หญิงสาวผู้ต่ำต้อยพูดย้ำด้วยความหนักแน่น

ซูเมิ่งชะงักอีกครั้ง…ตรงไหนที่เรียกว่าดี? ดีตรงไหน!

เธอนึกอยากจะตะคอกใส่หน้าเจี่ยนถง แต่ก็ต้องกลืนคำพูดเหล่านั้นเข้าไปและไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

“พี่เมิ่ง เงินพวกนี้…” เจี่ยนถงพิงตัวข้างกำแพงเพื่อพยายามพยุงตัวเองไม่ให้ล้ม เธอควักเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าชุดตัวตลกที่ได้มาจากการขาย “ความอัปลักษณ์” เธอพูดต่ออีกว่า “พี่เมิ่ง รบกวนคุณช่วยนำเงินไปเข้าบัตรธนาคารนี้ให้หน่อยสิคะ”

ซูเมิ่งมองเธอหยิบบัตรธนาคารของเธอที่เสิ่นซิวจิ่นให้ไว้ออกมาจากกระเป๋า…ด้วยเหตุอันใดกันแน่ถึงทำให้คนคนหนึ่งพกบัตรธนาคารติดตัวตลอดเวลาแบบนี้?

————

บทที่ 18 ร่างกายเธอเย็นเหมือนน้ำแข็งหรือร้อนเหมือนไฟ

เนื่องจากเสิ่นซิวจิ่นเป็นเจ้านายของซูเมิ่ง ซูเมิ่งจึงไม่กล้าพูดอะไรในทางที่ไม่ดีออกไป แต่พอเธอเห็นสภาพเจี่ยนถงในตอนนี้แล้ว ก็รู้สึกเสียใจแทน

ผู้หญิงคนนี้ไปทำอะไรผิดต่อเจ้านายเธอกันแน่ ถึงได้รับการปฏิบัติที่แสนจะโหดร้ายแบบนี้?

ซูเมิ่งมองเจี่ยนถงที่กำลังเดินขากะเผลกออกไปตามขอบกำแพงด้วยแววตาซับซ้อน

บัตรธนาคารที่อยู่ในมือกลายเป็นเผือกร้อน

ซูเมิ่งหันหน้าหนีและรีบกลับเข้าไปในห้องทำงานของเธอ หลังจากใส่บัตรธนาคารและเงินทั้งหมดลงในตู้เซฟในห้องทำงานตัวเอง เธอก็ไม่รู้สึกเจ็บฝ่ามือเหมือนเมื่อกี้

ตอนที่ซูเมิ่งกลับมาที่ห้อง 606 เธอเกือบชนกับร่างของเสิ่นซิวจิ่นในขณะที่เปิดประตูเข้าไป

“ประธานเสิ่น” ซูเมิ่งเรียกด้วยความเคารพ เสิ่นซิวจิ่นตอบเพียง “อืม” จากนั้นก็เดินผ่านซูเมิ่งออกไป

พอซูเมิ่งเข้าไปในห้องนั้นได้ไม่นาน พวกคุณชายจากเมืองจิงก็ยังคงพูดว่า “ผู้หญิงคนนั้นต่ำช้าเกินไปแล้ว! ขนาดฉันที่ไปมาทั่วทุกสารทิศและยังพบเจอผู้หญิงมานักต่อนักแล้วก็เพิ่งเคยเห็นผู้หญิงต่ำช้าที่รักเงินมากขนาดนี้นี่แหละ”

“ใช่แล้ว ท่าทางต่ำๆของผู้หญิงคนนั้นที่คลานสี่ขาแล้วกระดิกหาง มันน่าให้คนนึกอยากเข้าไปเตะสักสองสามทีซะจริงๆ ต่ำช้าได้ถึงขนาดนี้ ทำทุกอย่างได้เพื่อเงิน ไม่มีใครทำได้แล้วจริงๆ!”

ซูเมิ่งอยากโต้กลับ!

มันไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย!

ถ้าเจี่ยนถงรักเงินมากขนาดนั้น เธอก็คงออกมาจากห้องอย่างเฉิดฉาย แต่ทำไมเจี่ยนถงถึงยอมทุ่มเงินทั้งหมดมาให้เธอแบบนี้ล่ะ?

ถ้าเจี่ยนถงรักเงินขนาดนั้นจริง เจี่ยนถงก็คงเก็บเงินพวกนั้นไว้กับตัวโดยไม่โยนเงินพวกนั้นให้เธอ แล้วเดินออกไปโดยไม่ชายตามองหรอก

……

เจี่ยนถงเหนื่อยมาก ก่อนกลับมาเธอก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ซูเมิ่งเอามาให้ที่ห้องแต่งตัว เธอถอดชุดตัวตลกออกแล้วใส่เสื้อผ้าของตัวเอง

เหงื่อเหนียวๆที่หน้าผากทำให้เธอไม่สบายตัว เจี่ยนถงจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ในห้องแต่งตัว เธอเปิดก๊อกน้ำที่อ่างเพื่อชำระล้างเหงื่อเหนียวๆที่อยู่บนหน้า

ดั่งพายุที่โหมกระหน่ำ…เจี่ยนถงมองผู้ชายที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันผ่านกระจกด้วยร่างกายที่แข็งทื่อ เธอบีบมือแน่นโดยไม่รู้ตัว

“ประธานเสิ่น”

ผู้ชายที่อยู่ในกระจกมองเธอด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

จากนั้นไม่นานก็พูดเยาะเย้ย “หึ…ฉันเริ่มคิดตกขึ้นเเล้วสิ คนชั่วที่ถูกส่งไปอบรมสั่งสอนในนั้น ผลลัพธ์ออกมาก็เชื่องไม่เบาเลยทีเดียว”

มือใหญ่วางบนหน้าเจี่ยนถงเบาๆ มือใหญ่ข้างนั้นปิดใบหน้าเจี่ยนถงได้เกือบครึ่งซีก นิ้วหัวแม่มือของเขาค่อยๆลูบไล้ใบหน้าที่ปราศจากเลือดของเจี่ยนถง เขายิ้มมุมปากอย่างเย็นชา “น่าเสียดายที่สายไปเสียแล้ว เจี่ยนถง คุณหนูเจี่ยน ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรก ถ้าสามปีก่อนเธอเรียนรู้เร็วได้แบบนี้ เธอก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้หรอก เธอว่าไหม?”

หัวใจเจี่ยนถงสั่นระริก…เธอเข้าใจความหมายของเขา

เขากำลังบอกว่า…ถ้าสามปีก่อนเธอทำตัวดีเหมือนตอนนี้ หรือถ้าสามปีก่อนเธอไม่ลงมือฆ่าเซี่ยเวยเหมิง เธอก็จะไม่ถูกตัดสินต้องโทษให้จำคุกถึงสามปี เธอก็จะยังคงเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลตระกูลเจี่ยนแห่งเมืองหมิงจู ไม่ใช่ผู้หญิงที่น่าสมเพชเหมือนอย่างตอนนี้

เธอเข้าใจ…เธอเข้าใจมันทั้งหมด!

ริมฝีปากเธอสั่นระริกกับ“คำสั่งสอนของประธานเสิ่น” ถ้าเป็นเมื่อสามปีก่อนเจี่ยนถงคงไปเรียกร้องความเป็นธรรมและโต้เถียงอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ตอนนี้เธอใช้เวลาสามปีในการเรียนรู้ที่จะเงียบ

เสิ่นซิวจิ่นมองเธอที่ไม่มีท่าทีจะตอบโต้ เหมือนมีไฟสุมอยู่ในอกของเขา เขาเองก็พูดไม่ถูกว่าไฟกองนี้มาจากไหน

แววตาเขาดูโหดร้ายมากยิ่งขึ้น! ความคิดที่วุ่นวายทำให้เสิ่นซิวจิ่นผู้สุขุมและเยือกเย็นรู้สึกอึดอัด

ในขณะที่ขมวดคิ้ว เขาก็กระตุกรอยยิ้มปีศาจและยิ้มอย่างเย็นชา “เจี่ยนถง คุณหนูเจี่ยน วันนี้เธอทำให้ฉันเปิดโลกได้จริงๆ ไหนเธอบอกมาซิว่าถ้าพี่ชายของเธอต้องมาเจอเธอในสภาพที่น่าสมเพชแบบนี้ เขาจะโมโหเจียนตายหรือไม่?”

คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้!…เจี่ยนถงต้องการพูดประโยคนี้ออกไป เธอจิกเล็บเข้าไปในเนื้อบนฝ่ามือ เจี่ยนถงเริ่มได้สติขึ้นมา

เธอหลุบตาลงโดยไม่กล้ามองเข้าไปในกระจก เพราะกลัวว่าเขาจะมองเห็นอะไรบางอย่าง

“ประธานเสิ่น ฉันไม่มีพี่ชาย ฉันเคยฆ่าคน เคยติดคุก ตอนนี้ยังเป็นนักโทษชั้นแรงงานที่ขายความอัปลักษณ์ ขายรอยยิ้ม ตระกูลเจี่ยนจะมีลูกสาวที่ฆ่าคนได้อย่างไร?”

เสิ่นซิวจิ่นไม่คิดว่าเจี่ยนถงจะพูดคำพูดเหล่านี้ออกมา เขาชะงักเล็กน้อยแล้วหัวเราะขึ้นมา “เจี่ยนถง เมื่อก่อนฉันอาจจะดูเบาเธอไปหน่อย ไม่น่าแปลกใจเลยที่ตอนนั้นถึงทำเรื่องโหดร้ายแบบนั้นได้อย่างเลือดเย็น ”

เจี่ยนถงยืนนิ่งโดยไม่ส่งเสียงแย้งออกมาสักคำ เธอปล่อยให้คำพูดที่เยือกเย็นของอีกฝ่ายแทรกซึมเข้าสู่หัวใจ

เลือดเย็น? ไม่ใช่เพราะคุณบังคับฉันหรอกเหรอ? เสิ่นซิวจิ่น!

“แต่ฉันก็อยากรู้จริงๆว่าภายใต้จิตใจที่โหดร้ายเลือดเย็นกับเนื้อหนังมังสาที่ปกคลุมใบหน้าที่เยือกเย็น จะเลือดเย็นเหมือนกันหรือเปล่า? หรือว่าจะ…ร้อนระอุ”

ด้วยเสียงของชายหนุ่มก็ทำให้เจี่ยนถงแข็งทื่อไปทั้งตัว! จู่ๆร่างร้อนผ่าวข้างหลังก็แนบชิดติดกับแผ่นหลังเธอ!

พอถูกกระชับเอวแน่น เจี่ยนถงก็ร้องด้วยความตกใจ เธอหลุบตามองฝ่ามือใหญ่ของเสิ่นซิวจิ่นที่กำลังจับหน้าท้องส่วนล่างของเธอ

กระดุมเสื้อโค้ตตัวใหญ่ถูกปลดออกสองเม็ด ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งสอดเข้าไปในเสื้อผ้าของเธอ เจี่ยนถงถึงกับร้องด้วยความตกใจ

เสิ่นซิวจิ่นขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว…ใต้เสื้อโค้ตยังมีเสื้อกันหนาวอยู่อีกตัว แต่ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงหน้าร้อนนี่ เธอสวมเสื้อกันหนาวไปทำไมกัน?

ด้วยความสงสัย เสิ่นซิวจิ่นจึงเลื่อนมือสอดเข้าไปในเสื้อโค้ตและเปิดเสื้อแจ๊กเก๊ตของเจี่ยนถงออก… “เสิ่นซิวจิ่น!” ด้วยความตื่นตระหนกเจี่ยนถงจึงร้องออกมาโดยไม่ทันคิด!

เสิ่นซิวจิ่นหรี่ตาลงและถามด้วยความเย็นชาว่า “เธอเรียกฉันว่าอะไร?”

เจี่ยนถงไหล่สั่น “เสิ่น ประธานเสิ่น” เธอรู้สึกได้ว่ามือของเขาสำรวจอยู่ใต้เสื้อแจ็กเก็ตบริเวณหน้าท้องของเธอ สักพักเธอก็รู้สึกได้ถึงฝ่ามือเคลื่อนไปที่เอวด้านซ้าย…มือนั้นยิ่งสัมผัสใกล้ชิดมากขึ้นเรื่อยๆ เธอยอมให้เขาเห็นบาดแผลของเธอไม่ได้

เจี่ยนถงใจเต้นแรง มือนั้นตวัดผ่านเอวของเธอ…

“ประธานเสิ่น!” เธอร้องออกมาด้วยความตกใจ!

“อะไรอีกล่ะ?” เสิ่นซิวจิ่นพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สา แต่เสียงนั้นแฝงไปด้วยความกระหาย

ในเวลานี้สมองของเจี่ยนถงกลับแล่นฉิว!

“ประธานเสิ่น! ขอเงินด้วยค่ะ!” เธอพูด “ฉันเป็นผู้หญิงขายตัว ในเมื่อมีไว้ขายและประธานเสิ่นก็แตะต้องตัวฉัน ก็ต้องให้เงินฉันด้วย!”

เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด เสิ่นซิวจิ่นก็นึกถึงเหตุการณ์ในห้อง 606 และตอนนี้เขากำลังกอดผู้หญิงคนนี้อยู่ เธอทำเรื่องต่ำๆได้เพียงเพราะเงิน ทันใดนั้นความปรารถนาที่จะถูกยั่วยุก็หายไป

เมื่อมองไปที่ผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขน ในใจเขาก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดมากขึ้นอย่างไร้เหตุผล เสิ่นซิวจิ่นจำแนกความรู้สึกแปลกๆในใจของเขาว่าเป็นความรู้สึกเบื่อที่มีต่อหญิงสาวในอ้อมแขนของเขา

เสิ่นซิวจิ่นปล่อยเจี่ยนถงอย่างกะทันหัน “ไสหัวไป”

เจี่ยนถงรีบออกจากห้องน้ำโดยไม่กล้าอยู่แม้แต่นาทีเดียว เธอเปิดประตูห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าและจากไปโดยไม่หันกลับมามอง

ในห้องน้ำของห้องแต่งตัว ใบหน้าหล่อเหลาของเสิ่นซิวจิ่นแผ่รังสีความเย็นชาออกไปหลายพันไมล์ มันเย็นพอที่จะตรึงหัวใจของผู้คนได้

เจี่ยนถงขอตัวลากับซูเมิ่งและรีบกลับไปยังหอพักพนักงานหมู่บ้านหนานวาน

ฉินมู่มู่ซึ่งอาศัยอยู่ห้องเดียวกับเธอยังไม่กลับมา เธอยืนอยู่ริมหน้าต่างและทอดสายตามองออกไปยังนอกหน้าต่างอย่างว่างเปล่า ลมหนาวและละอองฝนพัดเข้ามากระทบตัวเธอผ่านทางหน้าต่างที่เปิดกว้าง

เธอบอกกับตัวเองว่า : พรุ่งนี้ทุกอย่างจะดีขึ้น

————

บทที่ 19 การแพร่สะพัดของข่าวลือ

วันรุ่งขึ้น

เมื่อเจี่ยนถงเพิ่งมาถึงที่ตงหวงได้ไม่นาน เธอก็รู้สึกแปลกๆที่คนรอบๆตัวต่างจับกลุ่มซุบซิบนินทาแล้วชี้มาที่เธอ

เจี่ยนถงไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก บางทีอาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เธอเป็นแค่แม่บ้านทำความสะอาดคนหนึ่ง แล้วจู่ๆก็จับพลัดจับผลูเข้ามาอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์แบบนี้จึงให้คนอื่นๆวิพากษ์วิจารณ์เธอได้

แต่พอเข้ามาในห้องพักรับรองของฝ่ายประชาสัมพันธ์ เธอจึงเริ่มเข้าใจแล้วว่าเธอไร้เดียงสาเกินไป

“ฮ่าฮ่าฮ่า หมาตัวเมียมาแล้ว” จู่ๆก็มีเสียงเหน็บแนมดังขึ้นมา เจี่ยนถงหน้าซีด ในขณะเดียวกันคนที่ชี้หน้าด่าเธอว่าเป็น “หมาตัวเมีย” ก็คือลู่น่าเจ้าหญิงประจำห้อง 606 ซึ่งเธอเองก็รู้จัก

“พี่ลู่น่า พี่อย่าพูดเสียงดังแบบนี้สิ ทุกคนไม่ได้ตาบอดเสียหน่อยถึงจะไม่เห็นนังหมาตัวเมียเข้ามาแล้ว”

ลู่น่าหัวเราะ “พวกเธอยังไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง นังผู้หญิงคนนี้สวมชุดตัวตลกแล้วยังแต่งหน้าอย่างกับผี พอคุณชายลี่คนนั้นสั่งให้เธอคลานเก็บเงินบนพื้น เธอก็คลาน ให้เธอกระดิกหาง เธอก็กระดิก พอฉันเห็นภาพนั้นก็ตกใจตาตั้งอยู่นานแน่ะ!”

ตู้ม! เลือดไหลย้อนไปทั่วร่าง!

เจี่ยนถงกะพริบตา ใครปิดไฟ? ทำไมมันมืดขนาดนี้?…ในสายตาคนที่อยู่รอบข้าง เจี่ยนถงยังคงยืนอยู่ตรงนั้นไม่ไหวติงด้วยใบหน้าหวาดกลัว แต่กลับไม่รู้ว่าความหวาดกลัวที่ปรากฏอยู่บนหน้าเธอนั้นเป็นเพราะดวงตาเธอมืดมิดไปหมดแล้ว

ดวงตาของเธอสูญเสียแสงในช่วงเวลาสั้นๆ แต่หูของเธอกลับมีประสาทไวกว่า เสียงหัวเราะของพวกผู้หญิงนั้นดังไปทั่วห้อง เป็นเสียงที่น่าอัปยศอดสู แต่ละคำดังลอยเข้ามาในหูเธอ

สักพักเธอก็เกิดความคิดที่ว่า “ตายเสียดีกว่า” ทว่าใบหน้าเล็กๆที่เต็มไปด้วยความหวังของเด็กสาวที่อยู่ในคุกก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเธออีกครั้ง

ไม่…จะตายแบบนี้ได้อย่างไร?

ชีวิตของเธอเป็นของเด็กสาวที่เสียชีวิตแทนเธอ

ก่อนที่แสงนัยน์ตาจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง เจี่ยนถงที่เหมือนตุ๊กตาดินเผาไร้อารมณ์ก็ยอมให้คนเหล่านั้นชี้นิ้วดูถูกและใช้ถ้อยคำหยาบคายมารังแกเธอโดยที่เธอไม่โต้กลับแม้แต่คำเดียว

เมื่อลู่น่าเห็นท่าทีของเธอที่เป็นแบบนี้ก็นึกโมโห เธอเดินเข้ามาแล้วผลักเจี่ยนถง “เสแสร้งอะไรอีก! เป็นแค่โสเภณีก็อย่าทำตัวสูงส่งนักเลย! ทีเมื่อวานตอนที่เธอส่ายตูดขายให้พวกผู้ชายพวกนั้นก็ไม่เห็นทำตัวสูงส่งแบบนี้เลยนี่!” ลู่น่าไม่พอใจเหยียดเท้าออกไปเตะเจี่ยนถง

เดิมทีเจี่ยนถงก็มีปัญหาที่ข้อเท้าอยู่แล้ว เธอจึงไม่มีแรงต้านลู่น่าที่สวมรองเท้าส้นสูงเตะเธอด้วยความรุนแรง ทันทีที่โดนเตะเธอก็ร่วงลงไปกับพื้น

“ลู่น่า ใจเย็นๆหน่อย เธอเตะคนร่วงลงไปกับพื้นได้ยังไง” มีคนเอ่ยปากขึ้นมา ต่อให้ด่ายังไงก็ด่าได้แค่ปาก ไม่กระทบถึงคนกระทำ

ลู่น่าให้เหตุผล “ฉันไม่ได้ใช้แรงมากขนาดนั้นเสียหน่อย! ใครจะไปรู้ว่าเธอจะร่วงลงไปง่ายๆได้ขนาดนี้?” เธอพูดด้วยความเย็นชาและยื่นเท้าออกไปแตะเจี่ยนถงเหมือนเขี่ยขยะ “พอได้แล้ว ลุกขึ้นมาเถอะ เสแสร้งไปก็ไม่มีประโยชน์ เธอคิดจะแสร้งเป็นดอกบัวขาวทั้งที่ตัวเองเป็นแค่ดอกชบาเนี่ยนะ”

หลังจากนั้นก็หันไปยิ้มร้ายๆกับพวกเพื่อนๆของเธอที่อยู่ด้านหลัง “ฉันเพิ่งเตะคนไปนอนกับพื้นหรือเนี่ย? ทำไมฉันไม่รู้ล่ะ? ฉันไม่ได้เตะหมาหรอกเหรอ?”

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…พี่ลู่น่าพูดถูก พี่ลู่น่าจะไปเตะคนแบบพร่ำเพรื่อได้อย่างไร พี่ลู่น่าเตะหมาต่างหาก”

“มานี่ ไหนหัดร้องเสียงหมาสักสองสามทีซิ”

“ไม่อย่างนั้นเธอก็กระดิกหางคลานสี่เท้าเหมือนในห้องนั้นแบบเมื่อวานนี้ไง? ถ้ากระดิกหางดี พวกเราก็จะให้รางวัล?”

คำพูดเหยียดหยามทุกประเภทประดังเข้ามาไม่หยุด เจี่ยนถงได้แต่ลุกขึ้นโดยใช้มือยันพื้นอย่างเงียบๆ

“ทำอะไรอยู่! ไม่ไปทำงานแล้วหรือไง?” จู่ๆประตูก็เปิดออก ซูเมิ่งไม่คิดเลยว่าพอเปิดประตูก็ต้องมาเห็นภาพนี้ เห็นได้ชัดว่าเจี่ยนถงผู้หญิงโง่คนนี้กำลังถูกรังแก ซูเมิ่งหันไปถลึงตาใส่พวกผู้หญิงเหล่านั้น “มารวมหัวกันอยู่ทำไมอีก! ไปทำงาน!”

ก่อนหน้านี้คนที่อยู่ภายในห้องเพิ่งจะทำหน้าหยิ่งจองหองไปอยู่หมาดๆ ตอนนี้แต่ละคนคอหดไปหมดแล้ว จากนั้นก็พากันออกจากห้องไป

วิธีการของพี่เมิ่งค่อนข้างรุนแรงเฉียบขาด พวกเธอเหล่านั้นไม่เคยพบเห็นมาก่อน และไม่มีใครอยากตกอยู่ในเงื้อมมือของพี่เมิ่ง

“เธอโง่หรือเปล่า? โดนคนรังแกแล้วทำไมไม่ด่ากลับ?” ซูเมิ่งเดินก้าวไปสองสามก้าวและรีบวิ่งไปพยุงตัวเจี่ยนถงขึ้นมา ในขณะที่ดึงตัวเจี่ยนถงขึ้นมา ความโกรธของเธอก็ยังไม่ลดลง

เธอไม่คุ้นชินกับการที่ต้องเห็นเจี่ยนถงโดนรังแก เพราะนับตั้งแต่เห็นร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของเจี่ยนถงและได้เห็นผู้หญิงโง่คนนี้ถูกพวกคุณชายเหล่านั้นรุมรังแก เธอก็ไม่เคยได้ยินเจี่ยนถงร้องออกมาสักคำ หรือแม้กระทั่งน้ำตาสักหยดก็ไม่มี นับตั้งแต่ผู้หญิงคนนี้ทิ้งกองธนบัตรไว้ให้เธอ ซูเมิ่งก็หมดหนทางทำให้ชีวิตของผู้หญิงโง่ๆที่ชื่อว่าเจี่ยนถงดีขึ้นได้

เจี่ยนถง…เหมือนเธอเมื่อก่อนมาก!

“พี่เมิ่ง มีงานหรือเปล่าคะ?”

ซูเมิ่งนิ่งไปสักพักและมองไปยังผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ความโกรธที่เคยมีอยู่ก็หายไปทั้งหมดโดยพลัน เธอสูดหายใจและพูดว่า “วันนี้ไปพักก่อนเถอะ ท่าทางเธอดูไม่ค่อยดี”

“ฉันสบายดีมาก”

ดีกับผีน่ะสิ!

ซูเมิ่งเกือบจะด่าด้วยคำหยาบคาย

เธอจึงเปลี่ยนคำพูด “มันไม่มีงานแล้วต่างหากล่ะ ”

“ก็ได้ค่ะ งั้นฉันจะรออยู่ที่นี่” เจี่ยนถงพูดต่อ “พี่เมิ่ง ถ้ามีงานก็รีบแจ้งฉันมาได้เลย แม้ว่ารูปร่างหน้าตาฉันจะไม่ค่อยดี แต่ฉันเต็มใจทำ งานหนักงานสกปรก หรืองานรับแขกที่คนอื่นไม่เต็มใจทำ เอามาให้ฉันทำก็ได้ ฉันขอแค่ไม่ดื่มเหล้า” เจี่ยนถงไม่เคยมีความคิดจะขายตัว เธอรู้สึกปลอดภัยที่สุดเมื่อมีรูปร่างหน้าตาแบบนี้

“เธอนี่…ช่างเถอะ แล้วแต่ละกัน” ซูเมิ่งส่ายหัวแล้วเดินออกจากแผนก

วันนี้เธอไม่มีแผนจะจัดงานให้เจี่ยนถง

แต่กลับไม่คิดเลยว่า…

พอเจี่ยนถงออกมาจากห้องน้ำที่ชั้นสามก็ถูกคนจับตัวเข้าไปในห้องห้องหนึ่งบนชั้นสาม

“เอ่อ ประธานจู นี่ก็คือเจี่ยนถงที่ฉันพูดถึง”

เจี่ยนถงมองเจินเจินที่กำลังส่งยิ้มให้กับชายหัวล้านวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนโซฟา เจินเจิน เจี่ยนถงรู้จักเธอ เธอก็คือนางแบบสาวที่จูบเซียวเหิงอย่างร้อนแรงตรงทางบันได

“เจี่ยนถงมานี่สิ ประธานจูบอกว่าจะเชิญเธอดื่มเหล้าน่ะ”

เจี่ยนถงส่ายหน้า “ฉันแพ้แอลกอฮอล์ค่ะ”

เจินเจินลดใบหน้าลงและพูดว่า “เจี่ยนถง เธอกล้าปฏิเสธประธานจูเหรอ เธอกำลังดูถูกประธานจูใช่ไหม?”

เจี่ยนถงแอบปรายตามองประธานจู และแน่นอนว่าสีหน้าของอีกฝ่ายดูไม่ค่อยดีนัก

เจี่ยนถงทำได้เพียงพูดอย่างฝืนใจ “ประธานจู ฉันแพ้แอลกอฮอล์จริงๆค่ะ มีครั้งหนึ่งก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ถ้า…ดื่มเหล้าเข้าไปอีก ร่างกายฉันจะรับไม่ไหว มันจะทำให้ประธานจูเที่ยวตงหวงไม่สนุกเสียเปล่าๆนะคะ”

เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด แม้ว่าประธานจูจะมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่เขาก็ไม่ได้ร้องขอให้เธอดื่มอีก อย่างไรก็ตามเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยเธอไป

“งั้นเธอทำอะไรได้บ้าง?”

“ฉัน…”เจี่ยนถงกำลังพูด แต่เจินเจินกลับแย่งพูดก่อน “ประธานจู ให้เธอร้องเพลงให้ฟังดีกว่าไหมคะ? น้ำเสียงหยาบกระด้างของเธอจะต้องน่าสนใจมากแน่ๆ”

เส้นเสียงของเจี่ยนถงโดนตัดออกไปตั้งแต่อยู่ในคุก เสียงของเธอจึงหยาบกระด้างและไม่น่าฟังเท่าไหร่ โดยปกติแล้วเธอไม่ชอบพูด แต่ถ้าพูดก็จะพยายามกดเสียงเอาไว้และพูดเพียงสั้นๆ

“เสียงของเธอไม่น่าฟังเสียขนาดนั้น จะร้องเพลงเพราะได้อย่างไร?”

“ประธานจู…” เจินเจินนั่งบนตักประธานจูและพูดว่า “ประธานจู คุณจะไปฟังเพลงเพราะๆจากที่ไหนก็ได้ หรือพูดอีกอย่างก็คือต้องเป็นเสียงร้องเหมือนฆ้องแตกสิถึงจะน่าสนใจ คุณปล่อยให้เธอร้องเพลงไปเถอะค่ะ ถ้าเสียงของเธอไม่เป็นที่น่าพอใจ พวกเราก็ใช้ที่อุดหูอุดหูซะ”

“เสียงของเธอแย่ขนาดนี้ แล้วยังจะให้เธอร้องเพลงอีกเหรอ?” ประธานจูพูด

“ก็เพราะเสียงมันแย่ไงล่ะคะ ฉันก็เลยอยากจะลองฟังดูบ้างว่าเสียงแหบๆของเธอจะแย่ไปกว่านี้อีกไหม?” ในขณะที่พูดก้อนกลมๆท่อนบนก็พิงบนแขนประธานจู “อื้อ ประธานจู ได้ไหมคะ? ได้ไหม?”

————

บทที่ 20 คำพูดร้ายๆของฉินมู่มู่

ประธานจูก้มหน้าด้วยความกระตือรือร้นและรีบตอบตกลงทันทีโดยไม่สนใจเจี่ยนถง “ได้สิ แล้วแต่เธอเลย” ในขณะที่พูดมือของเขาก็ลูบไล้บนต้นขาเจินเจิน

“อ่ะ อย่าเอาไปพูดล่ะว่าฉันไร้น้ำใจ” ประธานจูหยิบธนบัตรออกมาจากกระเป๋าทำงานสีดำ ดูแล้วคาดว่าน่าจะเป็นเงินราวๆห้าหมื่นหยวน “เพลงละหนึ่งพัน เธอร้องได้สิบเพลงก็ได้หนึ่งหมื่น ร้องได้ยี่สิบเพลงก็ได้สองหมื่น และถ้าร้องได้ถึงห้าสิบเพลงก็เอาไปทั้งโต๊ะนี่เลย” ห้าสิบเพลงอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลากว่าสามชั่วโมง

“เอ๊ะ ประธานจู ทำไมให้เธอเยอะจังเลยคะ”

“ที่รัก ฉันให้เธอได้มากกว่านี้อีก” ในขณะที่พูดเขาก็ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่เขาคิดว่ามีเสน่ห์ที่สุด “ที่รัก ไม่ต้องรีบ รอก่อนสิ พี่ชายยังมีของมีค่าที่สุดและดีที่สุดในตัวพี่ชายให้เธอ”

“อัยหยา ประธานจู คุณนี่จริงๆเลย” เธอพูดพลางบิดก้นลงจากตักประธานจู จากนั้นก็ไปกดเลือกเพลง “เจี่ยนถง อย่ามาพูดล่ะว่าฉันไม่ช่วยเธอ ฉันช่วยเธอกดไปแล้วตั้งห้าสิบเพลง” เธอพูดไปด้วยในขณะที่นิ้วของเธอคลิกเลือกเพลงอย่างคล่องแคล่วและชำนาญ

หลังจากเลือกเพลงเสร็จเรียบร้อยก็เดินกลับไปนั่งตรงหน้าประธานจูอีกครั้ง

เจี่ยนถงหยิบไมโครโฟนขึ้นมาเงียบๆ…เมื่อเพลงแรกอย่างเพลง เริ่มขึ้นมา เจี่ยนถงก็นิ่งไปสักพัก เพลงที่สองเป็นเพลง ส่วนเพลงที่สามคือเพลง…ต่อจากนั้นเจี่ยนถงก็ไม่แปลกใจอีกต่อไปว่าทำไมเจินเจินถึงเลือกเพลงให้เธอ

อีกฝ่ายอยากฆ่าเธอให้ตายในวันนี้

ถ้าเส้นเสียงของเธอไม่แย่ไปเสียก่อน เธอก็ถือว่าร้องเพลงได้ดีมาก แต่ตอนนี้เหลือเพียงเสียงแหบเหมือนฆ้องแตก พอเสียงอันหยาบกระด้างของเธอร้องดังขึ้น ประธานจูก็ถึงกับขมวดคิ้ว เจินเจินจึงยื่นที่อุดหูให้เขา

ส่วนตัวเองก็ดูเจี่ยนถงร้องเพลงอย่างกระหยิ่มใจ

เพลงแล้วเพลงเล่าร้องออกมาจากปากของเจี่ยนถงโดยไม่มีใครฟัง ประธานจูกอดเจินเจินไว้ในขณะที่เขากำลังดูหนัง ส่วนเจินเจินเองก็เล่นเกมผ่านโทรศัพท์มือถือของเธอ

ไม่มีใครสั่งให้เจี่ยนถงหยุด ผ่านไปเพลงแล้วเพลงเล่าเจี่ยนถงก็แทบออกเสียงไม่ได้

เธอพยายามพยุงขาที่เจ็บและร้องเพลงเสียงสูงด้วยน้ำเสียงที่แทบไม่ได้ยิน แม้จะใช้ไมโครโฟนก็ตาม

“เอาล่ะ พอได้แล้ว” จู่ๆประธานจูก็ลุกขึ้นพลางดึงที่อุดหูออก เขาขมวดคิ้วมองไปเจี่ยนถง “เธอหยิบเงินที่อยู่บนโต๊ะไปเถอะ”

ทันใดนั้นเจินเจินก็ลุกขึ้น “ประธานจู แต่เธอยังร้องไม่หมดเลยนะคะ”

“พอเถอะๆที่รัก ฉันกับเธอก็ไม่ได้อยากฟังเสียงร้องแย่ๆแบบนี้ ตอนนี้ผู้หญิงคนนี้ร้องแทบจะเป็นใบ้อยู่ แล้ว ช่วงเวลาที่มีค่าแบบนี้คืนนี้ฉันจะเป็นเจ้าบ่าวให้เธอเอง”

เจินเจินไม่พอใจ แต่เธอก็ไม่โง่พอที่จะทำลายบ่อเงินบ่อทองของตัวเอง สักพักเธอหลุบหน้าลงอย่างอายๆและพูดอย่างกระเง้ากระงอด “ประธานจู บ้าที่สุด!”

“เรียกประธานจูทำไม เรียกพี่ชายสิ พี่ชายจะพาเธอเข้าห้องหอเอง” ในขณะที่เขาพูด เจินเจินก็เรียก “พี่ชาย”ด้วยน้ำเสียงออดอ้อน จากนั้นทั้งสองก็ออกจากห้องไป

ตอนเดินผ่านร่างเจี่ยนถง เจินเจินก็ชะงักเท้าเล็กน้อย “แม้แต่เสียงแหบหยาบกระด้างยังกลายเป็นเสียงไพเราะน่าฟังได้ เธอต้องขอบใจฉันนะที่ฉันให้เธอร้องเพลง เสียงของเธอถึงได้เปลี่ยนเป็นน่าฟังขึ้นมาได้”

เจี่ยนถงเงียบไม่ตอบโต้ รอทั้งสองเดินออกไป ขาของเธอก็ไม่สามารถยืนหยัดได้อีก…เธอทรุดตัวลงกับพื้น

เจี่ยนถงนั่งอยู่กับพื้นพลางนวดเข่าและกล้ามเนื้ออยู่ครู่หนึ่ง ความเจ็บปวดที่ขาและเท้าก็ค่อยๆคลายลง เธอยืนขึ้นและยื่นมือสั่นๆออกไปเก็บเงินที่อยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็เดินออกไปจากห้อง

……

“พี่เมิ่ง รบกวนคุณช่วยนำเงินก้อนนี้ไปเก็บไว้ในบัตรให้หน่อยสิคะ”

“เงินนี่มาจากไหน?” สายตาซูเมิ่งเฉียบคม เนื่องจากเธอไม่ได้จัดตารางงานให้เจี่ยนถง! “แล้วนี่เสียงของเธอเป็นอะไร?”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่ไม่ได้ร้องเพลงมานาน เมื่อกี้มีเพื่อนร่วมงานในแผนกเดียวกันช่วยฉันน่ะ เธอให้ฉันร้องเพลงให้เศรษฐีคนหนึ่งฟังแล้วก็ได้เงินนี้มา” ซูเมิ่งเป็นคนฉลาด เธอฟังออกว่าเจี่ยนถงไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้ จึงพยักหน้าโดยไม่ถามเซ้าซี้ “อืม” เธอรับเงินก้อนนั้นมาจากเจี่ยนถงและยื่นน้ำอุ่นส่งให้เธอ “ดื่มซะสิ”

ซูเมิ่งมองเจี่ยนถงเหมือนวัวดื่มน้ำ ความเยือกเย็นในเเววตาเข้มขึ้น…ความกระหายเป็นเช่นนี้นี่เอง แต่ไม่ใช่ว่าการร้องเพลงเสียงเบาๆแบบเจี่ยนถงจะเข้าใจได้

“พี่เมิ่ง…ฉันขอตัวไปทานข้าวนะคะ” ทุกวันที่ตงหวงจะมีอาหารสำหรับพนักงาน เจี่ยนถงเห็นว่าใกล้ถึงเวลาแล้วก็ขอตัวกับซูเมิ่งออกไปทานข้าว

หลังจากเลิกงานเสร็จ เธอก็เดินทางกลับหอพักพนักงานหมู่บ้านหนานวาน

ฉินมู่มู่ที่เป็นเพื่อนร่วมห้องกลับมาถึงห้องก่อนเธอ ตอนที่เจี่ยนถงเข้ามาในห้อง ฉินมู่มู่ก็ลุกขึ้นทันที “พี่……เจี่ยนถง”

เจี่ยนถงพยักหน้า เธอเดินอ้อมไปที่ห้องนั่งเล่นและเดินเข้าไปในห้องนอน

“พี่เจี่ยนถง…นั่นใช่เรื่องจริงหรือไม่?” จู่ๆฉินมู่มู่ก็พูดออกมา

เจี่ยนถงหันกลับไปมองฉินมู่มู่อย่างไม่เข้าใจ

“เรื่องพวกนั้นไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม?” ฉินมู่มู่ถาม “พี่เจี่ยนถง ทุกคนต่างก็บอกว่าเพราะเงิน เพราะเงิน…พี่ถึงกับต้องลงไปคลานสี่ขาแล้วขอความเมตตา พี่บอกฉันมาสิว่ามันเป็นเรื่องโกหกใช่ไหม?” ฉินมู่มู่อารมณ์พุ่งพรวด

เหมือนมีค้อนขนาดใหญ่กระแทกมาที่หัวใจเจี่ยนถง ร่างกายเธอสั่นเล็กน้อย พอหลังจากที่ทรงตัวได้ เธอก็หันไปมองฉินมู่มู่ “เป็นเรื่องจริง”

“สิ่งที่พวกเขาพูดเป็นเรื่องจริง!” ฉินมู่มู่เบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ เธอพูดออกมาว่า “พี่เจี่ยนถง ฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่าพี่จะเป็นคนแบบนี้ พี่ถึงขนาดขายตัวเพื่อเงิน”

“พี่เจี่ยนถง พี่ขายตัวเพื่อเงินได้ยังไง! พี่เป็นคนแบบนี้ได้ยังไง ตอนที่พวกเขาพูดถึงพี่ ฉันยังเถียงแทนพี่อยู่เลย แต่พี่กลับทำเรื่องไร้ยางอายแบบนี้ได้ยังไง!” ฉินมู่มู่ตะคอกเสียงดังและชี้หน้าเจี่ยนถงด้วยความโกรธ “ฉันมองพี่ผิดไปจริงๆ!”

เจี่ยนถงยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนและยอมให้ฉินมู่มู่ชี้หน้าด่าตัวเองอย่างมืดฟ้ามัวดิน เธอมองเด็กนักศึกษาที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสงบและยิ้มอย่างเย็นชา

“เธอยิ้มทำไม?” ฉินมู่มู่ไม่อยากจะเชื่อ “เธอยิ้มออกมาได้ยังไง? เจี่ยนถง เธอทำทุกอย่างได้เพื่อเงินสินะ?” ฉินมู่มู่ตะคอกใส่หน้าเจี่ยนถง “เงินสำคัญขนาดเลยเหรอ?”

น้ำเสียงของฉินมู่มู่เปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด แต่สีหน้าและแววตาของเจี่ยนถงยังเงียบสงบเหมือนสระน้ำนิ่ง สายตาของเธอจับจ้องไปทางเด็กผู้หญิงที่อยู่ในอารมณ์คุกรุ่นที่อยู่ตรงหน้า “ถ้าเงินไม่สำคัญแล้วเธอมาทำอะไรที่ตงหวงล่ะ?” เธอถามช้าๆโดยไม่มีความตื่นเต้นใดในน้ำเสียงนั้น เธอเพียงแค่พูดถึงความเป็นจริง

“ฉัน!” ฉินมู่มู่หน้าถอดสี “นั่นมันไม่เหมือนกัน! ฉันมาตงหวงก็เพื่อมาเป็นพนักงานเสิร์ฟ เธอก็รู้เกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวฉันนี่ ฉันแค่อยากได้ค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็แค่นั้น” ในขณะที่ฉินมู่มู่กำลังพูดก็มองตาเจี่ยนถงเหมือนมองสิ่งสกปรก “ฉันไม่ได้เหมือนเธอเสียหน่อย ที่ยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อเงินโดยไม่มีข้อจำกัดแม้แต่น้อย!”

เจี่ยนถงกลับมายิ้มอีกครั้ง ฉินมู่มู่บอกว่าเธอไร้ข้อจำกัด อันที่จริงข้อจำกัดของเธอก็คือ—ไม่ดื่มเหล้าแม้แต่หยดเดียว และอีกข้อจำกัดของเธอก็คือ—มีชีวิตอยู่ต่อไป

————

บทที่ 21 เสิ่นซิวจิ่นนายฟังสิ

เมื่อคนเราตกต่ำถึงขั้นสุดท้ายที่สุดแล้วก็หลงเหลือเพียงแค่ – ชีวิตที่มีลมหายใจ

หล่อนมองไปที่ฉินมู่มู่ ใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของวัยรุ่น ชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสัน เป็นสิ่งที่หล่อนไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิตนี้

“เธอ! ทำไมเธอยังยิ้มออกอีก!” ฉินมู่มู่กระทืบเท้า: “เจี่ยนถง ฉันจะบอกเธอให้ เธอหาเงินได้เยอะก็ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งนั้น เพราะทุกคนต่างพากันดูถูกเธอ!” พวกนางแบบในแผนกประชาสัมพันธ์ พวกหล่อนขายตัวได้เงินก้อนใหญ่ ยังดูสูงส่งกว่าเธอ! เรื่องพวกนั้นที่เธอทำ เธอยังไม่รู้จักให้เกียรติตัวเอง ใครจะไปให้เกียรติเธอล่ะ?

หลังจากพูดจาต่อว่าเสร็จ ก็ไม่หันไปมองเจี่ยนถงอีกเลย! เจี่ยนถงยืนอยู่ตรงนั้นสักพักใหญ่ จึงจะกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง หน้าตาเต็มไปด้วยความอ่อนล้า ในหูของหล่อนยังคงกึกก้องไปด้วยคำพูดเหล่านั้นของฉินมู่มู่…ฉันเพียงแค่หาเงินค่าเทอมและค่าใช้จ่ายเลี้ยงตัวเอง ฉันไม่เหมือนเธอสักหน่อย ไม่ทำอะไรสักอย่าง

เจี่ยนถงยิ้ม…หล่อนทำไปเพียงแค่หาเงินเลี้ยงดูตัวเอง มีที่พักกันแดดกันฝน พอประทังชีวิต มีข้าวกิน ไม่ต้องไปเป็นขอทานข้างถนน ใครจะไปสนใจเงินนั่น?

ถ้าหล่อนรู้ว่า หากตอนนั้นที่อยู่ในห้องพิเศษ 606 และไปยุ่งเรื่องพวกนั้นของฉินมู่มู่ แล้วจะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายมากมายในวันนี้ ถ้าให้หล่อนเลือกได้อีกครั้ง หล่อนคงจะ…

ครุ่นคิดไปมา นอนหลับไป

หลังจากนอนหลับไป และตื่นขึ้นมาอีกครั้ง กลับกลายเป็นว่าอยู่ที่โรงพยาบาล

“เธอตื่นแล้วเหรอ”

เจี่ยนถงลืมตาขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “พี่เมิ่ง ที่นี่ที่ไหน?” เมื่อเปล่งเสียงพูดออกมา เจ็บคออย่างทุกข์ทรมาน

“โรงพยาบาล” ซูเมิ่งหั่นแอปเปิ้ลออกเป็นชิ้นเล็กๆ ใช้ไม้จิ้มฟันเสียบเข้าไปและป้อนเข้าปากของเจี่ยนถง: “กินอะไรสักหน่อยแล้วค่อยว่ากัน”

ความห่วงใยที่มาอย่างกะทันหันเช่นนี้ทำให้เจี่ยนถงตั้งตัวรับไม่ทัน แต่ยังคงกินแอปเปิ้ลที่ซูเมิ่งป้อนให้อย่างโดยดี : “พี่เมิ่ง ฉันมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้อย่างไรกัน?”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ซูเมิ่งเริ่มโมโหขึ้นมาทันที

สีหน้านิ่งขรึม “เธอมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้ยังไง? ฉันอยากจะถามเธอกลับมากกว่า เธอเป็นไข้มากี่วันแล้ว?” ถ้าไม่ได้เป็นเพราะเมื่อคืนที่หล่อนเอะใจเห็นว่าเจี่ยนถงไม่มาทำงาน ด้วยความรู้สึกเป็นห่วง จึงเดินทางมาที่บ้านของเจี่ยนถง เมื่อมาถึงเจี่ยนถงก็นอนไข้ขึ้นสูงอยู่ในห้องพักพนักงานโดยที่ไม่มีใครรู้

“เมื่อคืนฉันไม่เห็นเธออยู่ที่ตงหวง จึงมาหาเธอที่บ้าน ตัวเธอร้อนเหมือนไข่ต้มสุก ฉันรีบโทรหา120 ตอนที่มาถึงโรงพยาบาล เธอไข้สูงถึง42องศา ร่างกายก็ขาดน้ำ ขนาดหมอยังบอกเลยว่า ถ้ามาช้ากว่านี้ ก็คงไม่รอดแล้ว”

เมื่อพูดถึงตอนนี้ ซูเมิ่งยังรู้สึกหวาดผวา : “เธอเป็นไข้สูงแล้วบอกเพื่อนไม่ได้หรือไง? จะฝืนไปทำไม เกือบไม่มีชีวิตรอดแล้วไหมล่ะ!”

เจี่ยนถงฟังซูเมิ่งบ่นพึมพำ แม้ว่าซูเมิ่งจะดุมาก แต่เจี่ยนถงก็สัมผัสได้ถึงความห่วงใย ที่มีทั้งความรู้สึกอบอุ่นและเจ็บปวด น้ำตาที่ไม่ได้ไหลรินออกมาหลายปี ตอนนี้กลับเอ่อล้นออกมา เพราะความห่วงใยเล็กๆน้อยๆที่ซูเมิ่งมีต่อหล่อน ที่เปรียบเสมือนหน้าต่างหนึ่งบานในชีวิตของหล่อน ส่องสว่างเข้ามา

แต่ทว่า หล่อนกลับรู้สึกวิตกกังวลมากขึ้น…ถ้าไม่เคยมีมาก่อน ก็คงไม่เจ็บปวดกับสิ่งที่พรากจากไป

แต่เรื่องนี้ เจี่ยนถงเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง

“…ทำไมล่ะ?” ผ่านไปสักพักใหญ่ เจี่ยนถงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน สุดท้ายจึงรวบรวมความกล้าถามขึ้น

ทำไมเธอถึงดีกับฉันขนาดนี้

แอปเปิ้ลชิ้นหนึ่งถูกกลืนเข้าไปในปากของเจี่ยนถงอีกครั้ง ซูเมิ่งเหลือบมองเจี่ยนถงด้วยความรู้สึกสับสน : “บนโลกใบนี้ไม่มีใครดีกับเธอแล้ว ถ้าฉันทำตัวไม่ดีกับเธอด้วย ใครจะเป็นคนห่วงใยเธอล่ะ” เจี่ยนถงเป็นเหมือนที่เธอเคยเป็นมาก บางที สิ่งที่ซูเมิ่งพูดกับเธอเมื่อครู่ ก็คงเหมือนพูดกับตัวเองในอดีต

โลกนี้ช่างโหดร้ายกับเธอ ถ้าฉันไม่ดีกับเธออีก ใครจะคอยห่วงใยเธอ… สาวน้อยซื่อบื้อ

สงสารและห่วงใยเจี่ยนถง ขณะเดียวกันก็สงสารตัวเองในอดีต

พวกหล่อน เป็นคนประเภทเดียวกัน

ซูเมิ่งมองดูหญิงสาวบนเตียงคนไข้ พยายามอดกลั้นอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ ขนตากะพริบสั่นไปมา เผยให้เห็นถึงความรู้สึกภายในใจ

เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครั้ง เห้อ..เห้อสาวน้อยซื่อบื้อนี่นะ

“เจี่ยนถง ฉันขอถามอะไรเธอหน่อยได้ไหม?”

“พี่เมิ่ง ถามมาสิ”

“ระหว่างเธอกับประธานเสิ่นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” เสิ่นซิวจิ่นผู้ชายคนนั้นเป็นคนเลวทรามมากจริงๆ แต่ก็ไม่ควรทำกับผู้หญิงแบบนี้

“บอกไม่ได้เหรอ?” เมื่อซูเมิ่งเห็นสีหน้าของเจี่ยนถงที่นอนอยู่บนเตียงนิ่งไป “บอกไม่ได้ก็ช่างเถอะ”

“เมื่อสามปีก่อน ฉันฆ่าคนรักของเขา”

มือที่ซูเมิ่งถือไม้จิ้มฟันอยู่ หยุดชะงักไป จากนั้นก็หยิบแอปเปิ้ลที่เสียบไม้จิ้มฟันป้อนใส่ปากเจี่ยนถงอีกครั้ง : “ความเป็นจริงล่ะ? เธอไม่ได้เป็นคนฆ่าเขาจริงๆใช่ไหม?”

“เธอคงไม่ก่อเรื่องฆาตกรรมสยองขวัญอะไรแบบนี้ได้หรอก” ซูเมิ่งพูดด้วยความมั่นใจ: “ความจริงของเรื่องนี้คืออะไร?”

ทันใดนั้น ภายใต้ความรู้สึกตอกย้ำและละอายใจ ลำบากทุกข์ใจมาเนิ่นนาน ไม่เคยบ่น ไม่เคยเสียน้ำตาแม้แต่หยดเดียว กลับไหลรินเสมือนสายฝน!

เสิ่นซิวจิ่น!เธอดูสิ! กระทั่งพี่เมิ่งที่รู้จักเธอไม่ถึงครึ่งปี ยังเข้าใจเธอขนาดนี้!

เสิ่นซิวจิ่น!พวกเรารู้จักกันมากว่าครึ่งชีวิตแล้วนะ!

เสิ่นซิวจิ่น!เธอฟังสิ! ในที่สุดก็มีคนเชื่อว่าฉันไม่ได้ฆ่าคน ไม่เคยทำเรื่องสกปรกโสมมแบบนี้!

“ฮือๆๆ~”

ซูเมิ่งวางไม้จิ้มฟันในมือลง หล่อนไม่ปลอบให้เจี่ยนถงหยุดร้องไห้ แต่กลับยื่นมือไปลูบผมบนหัวของหล่อนเบาๆ : “เด็กดี ไม่เป็นไรนะ ฉันเข้าใจดี ผู้หญิงซื่อบื้ออย่างเธอจะกล้าฆ่าคนได้ยังไง ไม่สิ ควรพูดว่า หญิงสาวซื่อบื้ออย่างเธอหยิ่งจนไม่มีทางลดตัวไปฆ่าใครได้ต่างหาก ”

พูดขึ้นต่อ : “ให้ฉันเดานะ สาวน้อยอย่างเธอ ตอนแรกคงรักประธานเสิ่นมาก แต่เธอคงไม่มีทางกำจัดคนรักของเขาทิ้งเพื่อครอบครองเขา เจี่ยนถง เธอหยิ่งผยองมาก เธอไม่มีทางลดตัวไปทำเรื่องแบบนี้แน่นอน”

น้ำตาของเจี่ยนถงไหลรินลงมาราวกับสายฝน! ความรู้สึกที่ไม่ได้ปล่อยวางมานานหลายปี มาวันนี้กลับได้ระบายทุกสิ่งทุกอย่างออกมา

บ่ายวันนี้ เจี่ยนถงร้องไห้ไม่หยุด

หล่อนพูดกับซูเมิ่งนับครั้งไม่ถ้วน : “ฉันไม่เคยทำ เขาไม่เชื่อ พวกเขาไม่มีใครเชื่อฉัน”

“เขาเกลียดฉัน ทุกคนบนโลกนี้รู้ดี ฉันคิดว่าหลังจากที่ออกมาจากคุก ฉันจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข”

“พี่เมิ่ง พวกเขาคอยด่าทอฉัน ทุกคนบนโลกด่าว่าฉัน พวกเขาว่าฉันชั่วร้าย ด่าว่าฉันต่ำช้าพี่เมิ่ง ฉันไม่สนใจ…และฉันก็ไม่สนใจเงินพวกนั้นด้วย”

“พวกเขาเหยียดหยามฉัน พวกเขาให้ฉันคลานลงไปบนพื้นและเดินทำท่าทางส่ายก้นเลียนแบบหมา พวกเขาใช้วาจาดูถูกด่าว่าฉัน ฉันไม่เสียใจ เรื่องแค่นี้จะไปถือสาอะไร”

ภายในคุก ฉันถูกจับเปลือยกายและทิ้งอยู่ในกรงขัง ถูกน้ำแรงดังสูงอัดไปทั้งตัว ในวันที่เย็นยะเยือกท่ามกลางฤดูหนาว ทรมานเจ็บปวดไปถึงกระดูก หากกล้าโวยวาย ก็จะถูกส่งกลับเข้าไปในห้องขัง และต้องโดนทรมานอีกครั้ง เรื่องที่ทรมานกว่านี้ ฉันผ่านมาหมดแล้ว นับประสาอะไรกับเรื่องพวกนี้

“พี่เมิ่ง หล่อนตายแล้ว หล่อนต้องตายเพราะช่วยฉัน ฮื่อๆๆ~ ฉันทำให้หล่อนต้องตาย ฉันติดหนี้บุญคุณหล่อนเยอะมาก ฉันตายไม่ได้ ฉันต้องมีชีวิตอยู่ต่อแทนหล่อน เพื่อสานฝันเอ๋อร์ไห่ให้เป็นจริง”

แต่ซูเมิ่ง ที่คอยอยู่ดูแลเจี่ยนถงหล่อนมาตลอด เมื่อได้ฟังเรื่องที่หล่อนเล่า สำหรับเจี่ยนถงแล้ว ความรู้สึกน้อยใจที่ถูกใส่ร้ายมานานหลายปี วันนี้ได้ระบายออกมาทั้งหมด ความลับที่เก็บอยู่ในใจ ก็ได้พูดระบายออกมา

ฝันเอ๋อร์ไห่คืออะไรเหรอ เด็กสาวคนนั้นคือใครอีก ซูเมิ่งไม่รู้ แต่กลับลองเดาขึ้นมา เด็กผู้หญิงคนนี้คงสำคัญกับเจี่ยนถงมากๆ

————

บทที่ 22 หล่อนหลบเขา

ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมา เงาของแสงอาทิตย์ในยามเย็นส่องสว่างเข้ามาภายในห้องผู้ป่วย

ซูเมิ่งลุกขึ้นยืน สายตามองไปที่เตียงคนไข้ด้วยความห่วงใย หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงสีหน้าซีดเซียว และค่อยๆซุกตัวในผ้าห่มผล็อยหลับไป ท่ามกลางแสงอาทิตย์ตกที่อบอุ่น

ขณะที่กำลังเดินออกไป จู่ๆเจี่ยนถงที่นอนอยู่บนเตียงลืมตาขึ้น พูดพึมพำ:

“พี่เมิ่ง ฉันต้องชดใช้หนี้บุญคุณ ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว เหลือเพียงแค่ตัวฉันอย่างเดียว ฉันใช้ตัวของฉันชดใช้แทนได้ไหม?”

เมื่อพูดจบ ก็ปิดตาลง และนอนหลับไป

ใจของซูเมิ่ง ถูกซ้ำเติมอีกครั้ง จนทำให้รู้สึกสับสนไปหมด

ไม่สบายจนพร่ำเพ้อ คอยคิดแต่เรื่องชดใช้หนี้บุญคุณ…ไม่ว่าอย่างไรซูเมิ่งก็ไม่มีทางเชื่อว่า คนแบบนี้ จะทำเรื่องสกปรกเช่นนั้นได้

เจี่ยนถงบอกว่า ทุกคนคอยด่าว่าหล่อนต่ำช้า… เจี่ยนถงต่ำช้า? ถ้าเจี่ยนถงต่ำช้า งั้นบนโลกนี้ใครเป็นคนประเสริฐล่ะ?

หญิงสาวซื่อบื้อผู้นี้ หยิ่งทะนงจนทำให้ฉันต้องนับถือ!

ตัวเองในตอนนั้น ยังร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดในตอนที่ไร้ผู้คน ยังทำตัวซื่อใส แต่สาวน้อยซื่อบื้ออย่างเจี่ยนถง ไม่โอดครวญให้กับเรื่องเหล่านี้เลย

และคำพูดของคนพวกนั้น เจี่ยนถงขายเกรียติศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อแลกกับเงิน หญิงสาวผู้นี้ไม่เคยให้อะไรตัวเองเลยสักครั้ง แม้ว่าคนอื่นไม่เข้าใจ แต่ซูเมิ่งเข้าใจดี…สาวน้อยผู้โง่ซื่อคนนี้ไม่สนใจเกียรติศักดิ์ศรี ไม่ได้ต่อสู้เพื่อเงิน แต่เพื่ออิสรภาพ

เสิ่นซิวจิ่นผู้ชายคนนั้น ใช้เงินห้าล้านหยวนจำกัดอิสรภาพของหญิงสาวผู้นี้

เงินห้าล้านสำหรับหล่อนในตอนนี้ ถือเป็นตัวเลขพิศวงที่ผูกมัดชีวิตของหล่อนเอาไว้

แต่ตอนนี้ เจี่ยนถงหญิงสาวผู้โง่เขลา กำลังรวบรวมพลังที่มีทั้งหมด เพื่อปลดล็อกห่วงโซ่ที่ผูกมัดตัวเองไว้

ไข่ชนหิน ทั้งๆที่รู้ว่าปะทะกันแล้วตัวเองจะเจ็บตัวเลือดออกเปล่าๆ แต่หล่อนยังคงพยายามทำต่ออย่างไม่สนใจอะไร… ประธานเสิ่น คุณทำเกินไปรึเปล่า

ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ซูเมิ่งกลับไปที่คลับบันเทิงตงหวง

เพิ่งเข้าไปในห้องทำงาน

“หล่อนล่ะ?”

“ประธานเสิ่น? คุณถามถึงใคร?” ซูเมิ่งคิดไม่ถึงว่าวันนี้เสิ่นซิวจิ่นจะมาเยือนที่ห้องทำงานของตัวเอง และยังนั่งรอหล่อนอยู่ในห้อง

“เจี่ยนถงล่ะ?”

หากไม่พูดถึงเจี่ยนถงก็คงดี แต่เมื่อพูดถึง ซูเมิ่งโกรธขึ้นมาทันที

คนตรงหน้าคือเจ้านายของตัวเอง อีกทั้งยังเป็นคนโหดเหี้ยมอีกด้วย หากหล่อนอยากจะพูดอะไร ก็คงไม่สามารถแสดงออกมาได้

อดกลั้นความโกรธของตัวเองเอาไว้ ซูเมิ่งพูดอย่างไม่สบอารมณ์ : “วันนี้เจี่ยนถงลา”

“ไปเรียกหล่อนมา” ผู้ชายที่นั่งอยู่บนโซฟา พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ใครอนุญาตให้หล่อนลา เงินห้าล้าน หามาได้แล้วเหรอ?”

ซูเมิ่งพูดด้วยน้ำเสียงกัดฟันมากขึ้น : “ประธานเสิ่น!เจี่ยนถงไม่สบาย!”

“ดูเหมือนว่าเธอจะไม่พอใจฉัน?”

“เปล่าค่ะ” สีหน้าของซูเมิ่งเปลี่ยนไปทันที รีบพูดขึ้น : “เมื่อคืนเจี่ยนถงนอนไม่สบายอยู่ที่หอพักพนักงาน ถ้าฉันไปไม่ทันเวลา ตอนนี้หล่อนคงไม่มีชีวิตรอดแล้ว ตอนที่รถพยาบาลไปส่งเธอถึงโรงพยาบาล ไข้สูงถึง 42องศา หมอบอกว่า ถ้ามาช้ากว่านี้ คงช่วยอะไรไม่ทันแล้ว”

เสิ่นซิวจิ่นชะงักไปเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าหญิงสาวผู้นั้นไม่สบาย ตาดำของเขาหดลงทันที

หนึ่ง สอง สามวินาที… “ปั้ง” ร่างสูงใหญ่ของเสิ่นซิวจิ่นยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว

เดินออกไปจากห้องทำงานโดยไม่พูดอะไรสักคำ ตอนที่เขาเดินผ่านซูเมิ่ง ถามขึ้น: “โรงพยาบาลไหน?”

เอ่อ… ประธานเสิ่นหมายความว่ายังไงกันแน่?

ซูเมิ่งตั้งสติขึ้นมาได้ พูดขึ้น : “โรงพยาบาลประชาชนอันที่หนึ่งอันที่หนึ่ง อยู่ห้อง 7012” เพื่อแวดล้อมที่ดีต่อการพักผ่อนของเจี่ยนถง ประกอบกับอาการเมื่อตอนนั้นของเจี่ยนถงไม่สู้ดีนัก ตามการวินิจฉัยของแพทย์ หล่อนต้องให้น้ำเกลือหลายวัน จึงจะหายดี ซูเมิ่งไม่คิดจะประหยัดเงินแม้แต่น้อย จึงขอห้องพิเศษให้เจี่ยนถงทันที

ซูเมิ่งมองดูเงาของเสิ่นซิวจิ่นที่เดินจากไป ทันใดนั้น พูดขึ้น : “ประธานเสิ่น ฉันเพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาล ตอนที่ฉันกำลังกลับ หล่อนเพิ่งจะนอนหลับ” ความหมายของหล่อนคือไม่อยากให้เสิ่นซิวจิ่นไปหา จะได้ไม่รบกวนการพักผ่อนของเจี่ยนถง

“เดี๋ยวฉันมอบหมายงานวันนี้ก่อน แล้วจะกลับไปต้มซุปเอาไปให้หล่อน” ซูเมิ่งพูดต่อ

เท้าของเสิ่นซิวจิ่นไม่มีท่าทีจะหยุดเดิน “เธอไม่ต้องไปแล้ว ฉันจะให้คนต้มซุปไปส่งให้หล่อนเอง”

นั่นไง… ประธานเสิ่น สรุปคุณหมายความว่ายังไงกันแน่? ซูเมิ่งมองดูแผ่นหลังของเสิ่นซิวจิ่นที่เดินเลี้ยวออกไปด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

ชั้นล่างของคลับบันเทิงตงหวง เสิ่นซิวจิ่นขึ้นรถ และกดโทรออก : “ไป๋ยู่สิง รบกวนไป‘เจินซิวจาย’ ซื้อพวกอาหารอ่อน ส่งไปที่โรงพยาบาลประชาชนอันที่หนึ่ง ห้อง7012 ให้หน่อยนะ”

“เอ๊ะ…ใครไม่สบาย?”

“อย่าถามเยอะ ซื้อมาก็พอแล้ว” จู่ๆมีเสียงดังขึ้น เสิ่นซิวจิ่นพูดกำชับ : “ส่งมาภายในสามสิบนาที”

“บ้า! ฉันเป็นซูเปอร์แมนเหรอ? บินไปหา?” ครึ่งชั่วโมง เสิ่นซิวจิ่นพูดออกมาได้ เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับไป๋ยู่สิงด้วย ยังต้องมาบ่นโอดครวญให้เสิ่นซิวจิ่นฟังทางโทรศัพท์ ทั้งๆที่เขาตัดสายไปอย่างไร้เยื่อใย

โธ่เว้ย!

ไป๋ยู่สิงเปลี่ยนชุด และรีบลงไปด้านล่างทันที

เขาเดินลงไปพลาง โทรหา“เจินซิวจาย”พลาง: “…ใช่ เอาพวกนั่นแหละ เดี๋ยวอีก15นาทีผมไปรับ เร็วหน่อยนะ” หลังจากโทรเสร็จ วางสาย และพูดบ่นด่าไปถึงบรรพบุรุษของเสิ่นซิวจิ่นภายในใจ

สรุปว่าใครไม่สบายกันแน่? ถึงต้องให้เสิ่นซิวจิ่นไปด้วยตัวเองแบบนี้

ตอนนั้นที่เซี่ยเวยเหมิงไม่สบาย ก็ไม่เห็นเสิ่นซิวจิ่นเดือดร้อนขนาดนี้

เสิ่นซิวจิ่นเดินเข้าไปในห้องของเจี่ยนถง สำหรับเรื่องที่ซูเมิ่งเลือกห้องเดี่ยวให้ เขาถึงกับต้องพยักหน้ายอมรับว่า… ซูเมิ่งจัดการเรื่องเป็น

โลกต้องรู้ว่าซูเมิ่งไม่ได้เลือกห้องพิเศษให้หล่อนเพราะเสิ่นซิวจิ่น

ขาเรียวยาวเดินไปหยุดอยู่ด้านข้างเตียงของเจี่ยนถง ฝ่ายชายมองไปที่หญิงสาวบนเตียงคนไข้ สายตาเต็มไปด้วยความสับสน ขนาดตัวเองยังไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน

เสิ่นซิวจิ่นไม่เคยคิดว่า สามปีที่ผ่านมา คนหนึ่งคนจะเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้

ใบหน้าเรียวสวยตอนนั้นเปลี่ยนไปจนจำแทบไม่ได้ ผิวคล้ำจนไร้ซึ่งความกระจ่างใส เมื่อมองดูอย่างละเอียดแล้ว จึงจะสามารถมารถเห็นโหงวเฮ้งของคุณหนูแห่งตระกูลเจี่ยนในตอนนั้นได้ แต่กลับไม่มีความรู้สึกและกลิ่นอายเช่นเดิมอีกแล้ว

ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า คิ้วที่ดูรกรุกรัง ริมฝีปากแห้งแตก ผิวหยาบกระด้าง…แค่สามปีเท่านั้น!

ทันใดนั้น หญิงสาวที่อยู่บนเตียง ขยับตัวเล็กน้อย หันหน้าไปอีกด้านจนทำให้หน้าม้าที่ปิดหน้าผากอยู่เปิดออก เผยให้เห็นแผลเป็นที่ซ่อนอยู่

สายตาของเสิ่นซิวจิ่นมองอย่างตั้งใจ คิ้วขมวดมองจ้องไปที่แผลเป็นนั่นอยู่นานแสนนาน อดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าไป เมื่อไปโดนแผลเป็นที่หน้าผากของหล่อน หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงตกใจตื่นขึ้นมาทันที

พริบตาเดียว!

หลบมือของเขาด้วยความตื่นตกใจ!

เขามาที่นี่ได้ยังไง? เขาคิดจะทำอะไรอีก!

เสิ่นซิวจิ่นทำสีหน้าเหลือเชื่อ

หลบเขา?

ดูเหมือนไม่เชื่อ เสิ่นซิวจิ่นลองยื่นมือไปทางเจี่ยนถงอีกครั้ง… “ฝุบ” ดูเหมือนเจี่ยนถงจะตั้งสติขึ้นมาได้ รีบคว้าผ้าห่มขึ้นมามุดหัวเข้าไปด้านใน

เสิ่นซิวจิ่นมองหญิงสาวที่มุดตัวลงไปในผ้าห่มด้วยความไม่พอใจ สีหน้าเยือกเย็นจนน่ากลัว!

ผู้หญิงที่สมควรตายอย่างหล่อน กลับกล้าหลบเขา!

เขาจับตามองหล่อนที่ขดตัวอยู่ในผ้าห่มไม่ไปไหน และเห็นได้ชัดว่าตัวของหล่อนสั่นมาก

หลังจากที่เจี่ยนถงขดตัวหลบอยู่ในผ้าห่ม กลับรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที หล่อนจะหลบเขาเข้ามาในผ้าห่มทำไมกัน ถ้าเสิ่นซิวจิ่นจะทำอะไรหล่อน หล่อนจะไปหลบที่อวกาศนอกโลกก็คงไม่มีประโยชน์อะไร หลบอยู่ในผ้าห่มยังจะมีประโยชน์อะไรอีก

เสิ่นซิวจิ่น “พรึ่บ” เขาใช้ฝ่ามือหนาใหญ่ของเขาดึงผ้าห่มของเจี่ยนถงออก น้ำเสียงของเขาเยือกเย็นลงไปถึงกระดูก ค่อยๆเผยอปากพูดขึ้นทีละคำ : “เธอหลบฉัน?”

————

บทที่ 23 เขาจูบหล่อน

“เปล่า!” เจี่ยนถงรีบพูดขึ้น : “ฉันไม่ได้หลบคุณเสิ่น”

โกหก!

หลบเขาอย่างเห็นได้ชัด!

แต่…

“เกิดอะไรขึ้นกับเสียงของเธอ?” เสียงของหล่อน แหบได้ขนาดนี้?

“ไม่สบายเจ็บคอ” เจี่ยนถงปิดตาลง ไม่พูดอะไรเยอะ

“เธอกลัวฉัน?”

ตาของเจี่ยนถงกระตุกขึ้น ไม่กล้าตอบโต้อะไร

ชายคนนั้นยืนอยู่ข้างเตียงของหล่อน กระตุกคิ้วขึ้นช้าๆ เริ่มไม่พอใจ

ทันใดนั้นเขาเดินก้าวเข้าไป ขณะที่สายตาของเจี่ยนถงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เสิ่นซิวจิ่นวางแขนข้างหนึ่งไว้บนเบาะ จากนั้นดึงเบาะเข้ามาจนทำให้ทั้งสองใกล้ชิดกัน

ส่วนมืออีกข้างหนึ่งยื่นไปหยุดอยู่ตรงหน้าเจี่ยนถง หล่อนตกใจจนหดหัวไปด้านหลัง เสิ่นซิวจิ่นพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ : “อย่าขยับ”

เมื่อเห็นว่าเจี่ยนถงนิ่งเชื่อฟังดีแล้วเสิ่นซิวจิ่นจึงใช้นิ้วเปิดหน้าม้าของหล่อนขึ้น จับแผลเป็นบนหน้าผาก เจี่ยนถงรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที เมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกของนิ้วเสิ่นซิวจิ่น แต่อยากจะทำเป็นไม่สนใจก็ทำไม่ได้

นิ้วของเสิ่นซิวจิ่นลูบไล้ลงบนแผลเป็นของหล่อน ริมฝีปากเผยอขึ้น พูดด้วยความไม่พอใจ : “แผลเป็นนี่มาจากไหน?”

เจี่ยนถงกวาดสายตามองเสิ่นซิวจิ่นที่อยู่ตรงหน้า…เสแสร้ง!

มาจากไหน เขาไม่รู้งั้นเหรอ?

พูดตอบกลับด้วยความดื้อรั้น : “หกล้ม” ขอบคุณในความหวังดีปลอมๆ…หล่อนบ่นในใจ

นิ้วมืออันเรียวยาวค่อยๆลูบไล้ที่รอยแผลเป็น ลูบไล้อยู่สักพัก จากนั้นค่อยๆเลื่อนลงมา จนลูบมาถึงริมฝีปากของหล่อน

ความรู้สึกที่ปลายนิ้วสัมผัสได้ ทั้งหยาบด้าน ทั้งผิวลอก อีกทั้งซีดเซียว

เจี่ยนถงไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย คอที่เหยียดเกร็ง ถูกฝ่ามือของเขาจับเชิดหน้าขึ้นมาครึ่งหนึ่ง

นิ้วหัวแม่มือลูบไล้ไปที่ริมฝีปากของหล่อน สิ่งที่แปลกก็คือ ไม่เหมือนเยลลี่ที่นุ่มนวล ไม่แดงสดเหมือนดอกกุหลาบบานสะพรั่ง ริมฝีปากที่ซีดเซียวและหลุดลอก กลับกระตุ้นให้เขาเกิดความต้องการ

สายตาของเสิ่นซิวจิ่นมองอย่างลึกซึ้งมากขึ้น จากนั้น เขาทำท่าทางจะกลืนกินหล่อนเข้าไปอย่างไม่เกรงใจ

ริมฝีปากอันเร่าร้อน ประกบลงบนริมฝีปากของหล่อน เจี่ยนถงไร้เรี่ยวแรงขัดขืน จึงถูกเขาบรรจงจูบอย่างดุเดือด

หวานมาก… เสิ่นซิวจิ่นหลงใหลอยู่ในห้วงความสุขแห่งการจูบนี้ หลังจากที่จูบเสร็จ รสชาติยังคงตราตรึงอยู่ จู่ๆเสิ่นซิวจิ่นก็คิดเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้

“ฉัน หรือ ไอ้ชั่วเซียวเหิงนั่นจูบดีกว่ากัน?”

เจี่ยนถงยังคงอยู่ในความมึนงง เดิมทีที่มีสีหน้าซีดเซียว แต่เป็นเพราะจูบครั้งนี้ ทำให้หน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที ยังไม่ทันตั้งสติได้ กลับได้ยินคำถามที่ถูกถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาน่ากลัวจากเสิ่นซิวจิ่น

“ห้ะ?”

จะห้ะทำไมล่ะ? เสิ่นซิวจิ่นเลิกคิ้วขึ้น: “ฉันถามเธออยู่ ฉันหรือไอ้ชั่วเซียวเหิงนั่นจูบดีกว่ากัน?”

นี่มัน…คำถามบ้าอะไรกัน?

เสิ่นซิวจิ่นเห็นว่าเจี่ยนถงไม่ยอมตอบ จึงรู้สึกโกรธขึ้นมาในใจ

คำถามแค่นี้ ต้องใช้เวลาคิดนานขนาดนั้นเลยเหรอ?

หรือไอ้ชั่วเซียวเหิงจูบดีมาก? ถึงทำให้หล่อนครุ่นคิดได้นานขนาดนี้?

ความโมโหของเสิ่นซิวจิ่นปะทุขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เจี่ยนถงยังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำได้เพียงกระแอมขึ้นมา จากนั้นเขากดตัวลงไปบนเตียง หัวอันดกดำของเสิ่นซิวจิ่นก้มลงไป เจี่ยนถงร้อง “โอ้ย” ริมฝีปากเริ่มอุ่น ก็บรรเลงจูบด้วยความเร่าร้อน อย่างไม่หยุดยั้ง

ทั้งกัดทั้งดูด เขาต้องทำให้หล่อนเจ็บปวด! เสิ่นซิวจิ่นไม่เข้าใจความคิดของตัวเอง ไม่เข้าใจความรู้สึกอันแปลกประหลาด แม้ว่าตอนนี้ผู้หญิงที่ถูกเขากดทับอยู่ คือฆาตกรที่ทำให้เซี่ยเวยเหมิงต้องตายเมื่อสามปีที่แล้ว แม้ว่าเขาเกลียดหล่อน

แต่เขาไม่มีทางยอมให้ผู้หญิงคนนี้มีผู้ชายคนอื่นแน่นอน!

เซียวเหิงไม่ได้! ใครหน้าไหนก็ไม่ได้! นอกเสียจากเขาเสิ่นซิวจิ่น แม้ว่าเจี่ยนถงจะอยู่ในความเกลียดชังของเขาตลอดชีวิต แต่เขาก็ไม่มีวันยอมให้หล่อนมีผู้ชายคนอื่นมาอยู่ในใจของหล่อนได้!

ตอนนี้เสิ่นซิวจิ่นไม่คิดเลยว่า ทำไมเขาถึงมีอารมณ์บ้าคลั่งอยากได้หล่อนเป็นพิเศษขนาดนี้

เขามั่นใจแน่นอนว่าเขาเกลียดผู้หญิงคนนี้ และเขาไม่เคยคิดว่า ทำไมเขาถึงต้องสนใจเจี่ยนถงในทุกๆการกระทำเช่นนี้

ต่อมา เขารู้สึกเสียใจนับครั้งไม่ถ้วน กับสิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้เวลานี้กับสามปีผ่านมา

“แค่กๆๆ”

เสียงกระแอมดังขึ้นมาจากภายนอกประตู เจี่ยนถงตกใจตะลึง ตั้งสติผลักไหล่ของเสิ่นซิวจิ่นออก แต่ฝ่ายชายกับดื้อดัน ล็อกแขนไว้ กดตัวของหญิงสาวลงไปอีกครั้งอย่างเต็มแรง ฝ่ามือใหญ่จับใบหน้าของหล่อนไว้ครึ่งหนึ่ง และริมฝีปากของเขากลับบรรจงจูบอย่างดูดดื่ม ไม่สนใจบุคคลที่สามที่เข้ามาภายในห้อง

ใบหน้าของเจี่ยนถงแดงไปถึงหู ทั้งห้องคนไข้ หล่อนได้ยินแม้กระทั่งเสียงตอนเสิ่นซิวจิ่นจูบหล่อน “จ๊วบๆ” เสียงจูบกัน

ขณะที่กำลังจูบอย่างดูดดื่ม จู่ๆเสิ่นซิวจิ่นลืมตาขึ้นมา ดวงตาของเขาจ้องไปที่ใบหน้าของผู้หญิงในอ้อมอก เขาพอใจกับท่าทางอันหลงใหลของหล่อนมา

สิ่งนี้จึงพอที่จะทำให้เขาลุกขึ้นออกมาได้ เขากวาดมองไปที่ประตูห้องด้วยท่าทีหยิ่งทะนง

พูดถามด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน : “นายมาทำอะไร?”

บ้า…ไปแล้ว!

ไป๋ยู่สิงแทบจะบ้าคลั่ง!

โทรมา ให้เขาเป็นคนไป “เจินซิวจาย” ซื้ออาหารเหลวมาส่ง แต่เขามาทำอะไรที่นี่ล่ะ?

เสิ่นซิวจิ่น…นายนี่มันหน้าด้านเสียจริง!

เขาวางกล่องเก็บความร้อนขนาดใหญ่ไว้บนตู้ข้างเตียงอย่างไม่สบอารมณ์ : “ต่อไปเรื่องแบบนี้ อย่ามาทำประเจิดประเจ้อเช่นนี้ กลางวันแสกๆทำเรื่องแบบนี้ เสียขนมธรรมเนียมประเพณีหมด”

เสิ่นซิวจิ่นไม่ตอบโต้อะไรแม้แต่น้อย ส่วนเจี่ยนถงแม้แต่นิ้วเท้ายังเป็นสีแดง

หล่อนอับอายจนก้มหน้าลง อดไม่ได้ที่จะหาที่หลบ

เมื่อครู่ เกิดเรื่องขึ้นมากมายขนาดนั้น เจี่ยนถงคิดสับสนไปหมด… เสิ่นซิวจิ่นจูบหล่อน?

ทำไมจู่ๆเสิ่นซิวจิ่นถึงจูบหล่อนล่ะ?

เจี่ยนถงสับสนจนคิดไม่ตก

ใจที่ตายด้านไปช้านานแล้ว กลับรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย

ไป๋ยู่สิงดึงเสิ่นซิวจิ่นออกไป ทำตัวลับๆล่อๆลากเขาไปด้านนอกห้อง

“หล่อนๆๆ… เจี่ยนถง?” ไป๋ยู่สิงคิดในใจว่านั่นคือเจี่ยนถง ในห้องพิเศษ606วันนั้น เขาจำได้แล้ว เพียงแต่สิ่งที่เขาไม่อยากเชื่อก็คือ เสิ่นซิวจิ่นกดตัวหล่อนลงและจูบอย่างเร่าร้อน?

“นายดูเองไม่เป็นหรือไง?”

“ไม่ใช่!” ไป๋ยู่สิงดึงตัวเสิ่นซิวจิ่นที่กำลังหันหลังกลับเขาห้องไว้ : “เสิ่นซิวจิ่น นายคงไม่รู้สึกหวั่นไหวกลับหล่อนขึ้นมาใช่ไหม?”

กริบ!

ทันใดนั้น ไป๋ยู่สิงรั้งเสิ่นซิวจิ่นไว้ได้สำเร็จ เขาค่อยๆหันหลังกลับมา จ้องไป๋ยู่สิงด้วยสายตาน่าสะพรึงกลัว “นายพูดถึงใคร? หล่อนคือใคร?”

“เจี่ยนถงไงล่ะ” ยังจะมีใครอีก… ไป๋ยู่สิงถูกสายตาของเสิ่นซิวจิ่นจับจ้องจนขนลุกซู่ พี่ชาย พี่ชายสุดที่รัก นายอย่าใช้สายตาอันน่ากลัวราวกับแสงเลเซอร์สีแดงยิงฉันแบบนั้นเลย ได้ไหม?

เขาก็แค่พูดเดาอย่างสมเหตุสมผล จำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้ไหม!

ตอนที่เสิ่นซิวจิ่นเข้าไปในห้องอีกครั้ง เขาถูกปกคลุมไปด้วยไอเย็น เหมือนก้อนน้ำแข็งที่เดินได้!

เหลือบมองเจี่ยนถง ด้วยสายตาอันเยือกเย็น เอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “กินเถอะ อาหารที่อยู่บนโต๊ะเป็นอาหารที่ฉันให้ไป๋ยู่สิงไปซื้อมาโดยเฉพาะ”

เจี่ยนถงอ้าปากค้างเหม่อมองเสิ่นซิวจิ่น แต่มีเพียงหล่อนที่รู้ว่า บางมุมของหัวใจฉัน กำลังค่อยๆเปิดประตูที่ถูกปิดไว้มาเนิ่นนาน

“ในเมื่อเป็นผู้หญิงขายตัว ในเมื่อเป็นการค้าขาย ฉันจูบเธอ แน่นอนว่าต้องมีของตอบแทน” พูดพลาง หยิบเงินสดออกมาปึกใหญ่ โปรยลงบนเตียงของเจี่ยนถงอย่างไม่สนใจอะไร : “เงินพวกนี้ คือเงินสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของบริษัท ถ้าไม่พอไปบอกซูเมิ่ง”

“ปั้ง!”

ประตูที่ถูกล็อกไป กลับเปิดแง้มออกมาอีกครั้ง และถูกปิดอย่างเต็มแรงอีกครั้งหนึ่ง!

“หายดีแล้ว รักษาตัวเสร็จแล้ว จึงจะหาเงินให้ฉันได้”

เสิ่นซิวจิ่นออกไปอย่างสง่างาม เจี่ยนถงที่อยู่บนเตียง กลับทำสีหน้าเหมือนเถ้าถ่าน

หล่อนคิดว่าเขามีความรู้สึกที่ดีต่อหล่อนขึ้นมาบ้าง จึงจูบหล่อน คิดว่าบางทีนี่คงเป็นสัญญาณบางอย่าง…หล่อนคิดผิด!

ผู้ชายคนนี้เกลียดหล่อน เกลียดหล่อนมาโดยตลอด!

เขามีแต่จะทรมานหล่อน ดูถูกหล่อน ไม่มีทางรักหล่อน

เช่นเคย หล่อนโง่อีกแล้ว

————

บทที่ 24 เธอดูถูกเจี่ยนถงเหรอ?

“เสิ่นซิวจิ่น คำพูดสุดท้ายพวกนั้นที่นายพูดกับเจี่ยนถงมันทำร้ายจิตใจมากเลยนะ นายรู้บ้างรึเปล่า?” ไป๋ยู่สิงเดินตามหลังเสิ่นซิวจิ่น พูดความรู้สึกของตัวเองขึ้นมา

“ฉันต้องแคร์ความรู้สึกของหล่อนด้วยเหรอ?”

“นายนี่มัน เอาแต่ใจตัวเองแบบนี้มาตลอด ตอนนี้นายทำกับหล่อนแบบนี้ ถ้าอนาคตรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมาล่ะ?”

เสิ่นซิวจิ่นยื่นบุหรี่ให้ไป๋ยู่สิง ยิ้มขึ้น: “สูบบุหรี่สักมวน อย่าคิดอะไรเพ้อเจ้อ”

เสียใจ?

เขาจะเสียใจกำเรื่องแบบนี้เหรอ?

ไม่มีทางแน่นอน

ไป๋ยู่สิงไม่พูดอะไรต่อ อันที่จริงเขาก็รู้สึกว่า จากนิสัยของเสิ่นซิวจิ่น เขาไม่มีทางเสียใจภายหลังให้กับเรื่องอะไรแน่นอน แม้ว่าอุบัติเหตุของเซี่ยเวยเหมิงในตอนนั้น ไป๋ยู่สิงก็ไม่เคยเห็นเขาเสียใจภายหลังมาก่อน

“ดื่มกันสักแก้ว?”

“ฉันมีธุระต้องไปจัดการที่ตงหวงนิดหน่อย”

ไป๋ยู่สิงรีบตามเสิ่นซิวจิ่นไปตงหวงทันที

คลับบันเทิงตงหวง ซูเมิ่งให้คนไปเรียกฉินมู่มู่มาที่ห้องทำงาน

“เจี่ยนถงพักอยู่ห้องเดียวกับเธอ หล่อนไม่สบาย เธอไม่เห็นว่าหล่อนผิดปกติบ้างเลยหรือไง?” ซูเมิ่งนั่งอยู่บนโซฟาถามเด็กสาวตรงหน้าด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม

อันที่จริงหล่อนจำฉินมู่มู่ไม่ค่อยได้ เพียงแต่ตอนที่เจี่ยนถงไม่ได้มาทำงานเมื่อวาน หล่อนจึงไปหารายละเอียดที่อยู่ของเจี่ยนถงที่แผนกบุคคล และเห็นชื่อของฉินมู่มู่ในใบรายชื่อหอพักของพนักงาน ว่าอยู่ห้องเดียวกับหล่อน

ซูเมิ่งผู้หญิงคนนี้ ไม่ว่าใครจะเป็นใครมาจากไหน หล่อนก็เคยพบเคยเจอมาหมดแล้ว

พนักงานที่พักอยู่ห้องเดียวกัน อีกคนหนึ่งไม่มาทำงาน ร่างกายผิดปกติ หล่อนไม่เชื่อว่าฉินมู่มู่จะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติบ้างเลยสักนิด

หรือจะพูดได้ว่า ฉินมู่มู่เจตนาไม่สนใจเจี่ยนถง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอันตรายมากขนาดไหน จนถึงตอนนี้ซูเมิ่งยังคงจดจำได้ดี ตอนที่เห็นเจี่ยนถงในห้องพัก หล่อนก็ไข้สูงจนพูดพร่ำเพ้อแล้ว

ถ้าหล่อนไปไม่ทัน เกรงว่าชีวิตน้อยๆของเจี่ยนถงคงหยุดอยู่ที่นั่น ความเพิกเฉยและละเลยของฉินมู่มู่ ซูเมิ่งไม่สนใจ แต่ถ้าการที่ฉินมู่มู่เพิกเฉยไม่สนใจต้องทำให้หนึ่งชีวิตต้องตาย…คนแบบนี้ หล่อนไม่กล้าเก็บไว้

ซูเมิ่งเป็นคนทำงานละเอียดรอบคอบมาโดยตลอด เมื่อครู่หล่อนยังไปสืบหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฉินมู่มู่กับเจี่ยนถง สิ่งที่น่าสนใจก็คือ หล่อนได้ยินเรื่องบางอย่างที่ไม่คาดคิด จากคำพูดของลู่น่าที่เป็นคนเหมาห้อง606 VIP

ฉินมู่มู่กระวนกระวายจนนั่งไม่ติด พี่เมิ่งเป็นคนที่ฉินมู่มู่ไม่เคยกล้าแตะต้องมาก่อน แต่วันนี้กลับเรียกหล่อนมาที่ห้องทำงานโดยลำพัง… ฉินมู่มู่จึงคิดว่าตัวเองทำเรื่องอะไรผิดรึเปล่า จึงถูกเรียกมาที่นี่

แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินพี่เมิ่งพูดถึงเจี่ยนถง…ใจของฉินมู่มู่ จึงรู้สึกสบายใจขึ้น

ก็แค่เรื่องที่หล่อนพักอยู่ห้องเดียวกับเจี่ยนถง จึงถามไถ่เป็นปกติเท่านั้น ทำให้หล่อนตกใจหมด

“พี่เมิ่ง ฉันไม่สนิทกับผู้หญิงคนนั้น”

ผู้หญิงคนนั้น?… ซูเมิ่งเงยหน้าขึ้น เหลือบมองหญิงสาวตรงหน้า ค่อยๆเลิกคิ้วขึ้น ถามด้วยความสนใจและไม่ลังเล : “ผู้หญิงคนนั้น?”

ฉินมู่มู่มองดูสีหน้าท่าทางของซูเมิ่ง รู้สึกทำตัวไม่ถูก แต่เมื่อหล่อนลองคิดดูดีๆ ตัวเองก็ไม่ได้พูดอะไรผิด ซูเมิ่งหมายความว่ายังไงกันแน่?

“ฉินมู่มู่ เธอดูถูกเจี่ยนถงมากใช่ไหม?” ทันใดนั้น ซูเมิ่งถามขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว

แน่นอนล่ะ ผู้หญิงแบบนั้น ใครจะไม่ดูถูกบ้าง?… ฉินมู่มู่คิดอยากจะตอบกลับไปแบบนี้

แต่ในความคิดนั้นกลับรู้สึกว่า หากพูดตรงๆออกไปเช่นนี้ คงทำให้เสียภาพลักษณ์และความรู้สึกต่อพี่เมิ่ง…แท้จริงแล้วฉินมู่มู่คิดมากไป ซูเมิ่งที่เป็นคนทำงานยุ่งตลอดเวลา ถ้าไม่ได้เป็นเพราะเรื่องเจี่ยนถงในครั้งนี้ ใครจะไปสนใจว่าฉินมู่มู่คือใคร

ฉินมู่มู่ร้อยเรียงคำพูดอยู่ภายในใจ จากนั้นค่อยๆหันมองซูเมิ่ง พูดขึ้น : “เรื่องไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรีพวกนั้นที่หล่อนทำ ถูกแพร่สะพัดไปทั่วทั้งตงหวงอย่างรวดเร็ว เพื่อเงิน ทำไมหล่อนถึงยอมคลานลงบนพื้นพลางส่าย….เอ่อ เก็บเงินล่ะ? พี่เมิ่ง ทุกคนต่างพากันด่าเธอว่า….”

สุดท้าย ฉินมู่มู่จะพูดออกมายังรู้สึกขยะแขยง

ซูเมิ่งที่ทำสีหน้าขึงขัง จู่ๆยิ้มขึ้นเหมือนใบไม้ผลิที่ละลายน้ำแข็งในฤดูหนาวออก เจิดจ้าสดใสผิดปกติ

ฉินมู่มู่คิดว่า ครั้งนี้หล่อนไม่ได้พูดอะไรผิดแน่นอน

เมื่อนึกถึงเจี่ยนถง ฉินมู่มู่รู้สึกขยะแขยงขึ้นมาทันที

ซูเมิ่งมองไปที่ฉินมู่มู่ด้วยความยิ้ม “ด่าหล่อนว่าอะไร? หน้าด้านมาก? หรือว่า ต่ำช้ามาก?” ริมฝีปากสีแดงสดพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจฉินมู่มู่อย่างมาก

ทันใดนั้นซูเมิ่งหุบยิ้มลง พูดด้วยความเยาะเย้ย : “ฉันเคยอ่านเอกสารของเธอมาก่อน เป็นนักเรียนที่มหาวิทยาลัยSใช่ไหม? เธอคิดว่าตัวเองไม่แปดเปื้อนเลยใช่ไหม? คิดตัวเองบริสุทธิ์ ใสสะอาดมาก?

เธอคิดว่าเจี่ยนถงต่ำช้ามาก ไม่เหมาะสมที่จะอยู่ร่วมชายคาเดียวกับคนสูงส่งอย่างเธอ ดังนั้น แม้ว่าหล่อนไม่สบาย ไม่มาทำงาน เธอก็เลยเพิกเฉยต่อหล่อนได้มากถึงขนาดนี้?”

ฉินมู่มู่ทำสีหน้ามึนงงไม่เข้าใจ จากนั้นมองไปที่ซูเมิ่ง…คำพูดของพี่เมิ่ง หมายความว่ายังไงกัน?

หล่อนเป็นถึงนักเรียนของมหาวิทยาลัยS แต่กลับแยกแยะไม่ออกว่าคำพูดของซูเมิ่งกำลังชมหรือเย้ยหล่อนอยู่กันแน่

ทันใดนั้นซูเมิ่งยืนขึ้น เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าฉินมู่มู่ ซูเมิ่งตัวสูง ทั้งยังใส่รองเท้าส้นสูงอีก เมื่อไปยืนตรงหน้าฉินมู่มู่ทำให้เทียบกันอย่างได้ชัดว่าฉินมู่มู่ตัวเตี้ยมาก

ซูเมิ่งอยู่ในแวดวงธุรกิจมานานหลายปี เสแสร้งหลอกล่อเก่งอย่างมืออาชีพ มีเสน่ห์ความเป็นผู้หญิงสูง นี่ไม่ใช่สิ่งที่เด็กอ่อนหัดอย่างฉินมู่มู่เทียบได้

“ฉินมู่มู่ เธอคิดว่าตัวเองสูงส่ง ตัวเองใสซื่อบริสุทธิ์? เธอทะเยอทะยาน? เธอใจแคบ ดูถูกเจี่ยนถง? ฉันจะบอกเธอให้ คนอย่างเธอฉินมู่มู่ เทียบไม่ได้กับเจี่ยนถง!”

ฉินมู่มู่ไม่พอใจ: “พี่เมิ่ง พี่พูดแรงเกินไปรึเปล่า! ฉันพยายามขันแข็งจสอบได้มหาวิทยาลัยS ฉันเป็นถึงนักเรียนของมหาวิทยาลัยS จะเทียบไม่ได้กับผู้หญิงไร้ยางอาย ไม่รักษาเกียรติและศักดิ์ศรีตัวเองงั้นเหรอ? เหมือนกันตรงที่ไม่มีเงิน ฉันไม่ได้ยอมทำทุกอย่างเพื่อเงิน แม้ว่าฉันทำงานที่ตงหวง แต่ฉันเป็นเพียงแค่บริกรที่รับผิดชอบทำตามหน้าที่เท่านั้น ฉันกับเจี่ยนถงที่ยอมขายตัวเพื่อเงิน ไม่เหมือนกัน!”

“หึ~” ซูเมิ่งยิ้มเยาะ: “อย่าคิดว่าตัวเองสูงส่งเลอค่ามากขนาดนั้น คนที่มาใช้บริการที่ตงหวงล้วนแล้วแต่เป็นนักธุรกิจร่ำรวย ลูกเศรษฐี เป็นคนมีอิทธิพลกันทั้งนั้น เธอคิดว่าฉินมู่มู่อย่างเธอจะสูงส่งแค่ไหนกัน?”

เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องVIP 606 ในวันนั้น เธอยังจำได้อยู่รึเปล่า วันนั้นถ้าไม่ได้เป็นเพราะเจี่ยนถงใจอ่อน ช่วยเธอกู้หน้าไว้ เธอคิดว่าตอนนี้เธอยังมายืนพูดจาโอ้อวดข่มเหงคนอื่นได้อีกไหม?

ฉินมู่มู่หน้าซีดทันที หล่อนนึกถึงเรื่องราวในวันนั้นขึ้นมา แต่…แต่..แต่ทว่าเรื่องนี้ไม่สามารถบอกอะไรได้รึเปล่า?

“แม้ว่าเรื่องที่พี่เมิ่งพูดจะเป็นเรื่องจริง เจี่ยนถงมาช่วยฉันไว้ แต่ฉันไม่ได้ให้หล่อนคลานลงบนพื้น เอาใจแขกเพื่อเงินนี่นา ไม่ว่ายังไง ที่หล่อนทำแบบนั้นไปก็เพื่อเงิน เกี่ยวอะไรกับฉันด้วย?”

ซูเมิ่งยังโกรธไม่คุ้มกับสิ่งที่เจี่ยนถงโดนกระทำ มองดูฉินมู่มู่ให้ละเอียดยิ่งขึ้น…

“เหอะๆ ทำไมเจี่ยนถงต้องช่วยคนไร้ค่าอย่างเธอไว้ด้วย?”

————

บทที่ 25 เธอคิดว่าเธอสูงส่งกว่าเจี่ยนถงงั้นเหรอ

คำพูดของซูเมิ่งแฝงไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม ฉินมู่มู่ฟังจนหน้าถอดสี รีบพูดสวนกลับซูเมิ่งด้วยความโมโห: “พี่เมิ่งคุณมีสิทธิ์อะไรมาพูดจากดูถูกคนอื่นแบบนี้! ฉันเป็นบริกรที่ตงหวงไม่ผิด แต่ฉันใช้มือของฉัน หยาดเหงื่อของฉัน แลกมากับเงินที่สะอาด!

เงินทุกบาททุกสตางค์ ฉันใช้หยาดเหงื่อแรงกายหามากด้วยความยากลำบาก ไม่มีเงินสักสตางค์ที่ได้มาเพราะการขายตัว ขายศักดิ์ศรีเหมือนที่เจี่ยนถงได้มา ฉันคิดว่าฉันใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เป็นคนจิตใจดีบริสุทธิ์ แต่ทำไมกลับถูกพี่เมิ่งพูดจาดูถูกเช่นนี้? ”

ซูเมิ่งอดหัวเราะออกมาไม่ได้ : “ฉินมู่มู่ ฉันจะบอกเธอให้เข้าใจนะ ถ้าวันนั้นเจี่ยนถงไม่ช่วยเธอไว้ สิ่งที่เธอทำให้คุณชายตระกูลซีต้องขายหน้า วันนี้เธอคงโดนคุณชายตระกูลซีแกล้งเหมือนกับที่เจี่ยนถงต้องจมปลักอยู่ตอนนี้…อ้อ ไม่สิ เธอยังเทียบไม่ได้กับเจี่ยนถง!”

ซูเมิ่งหัวเราะเยาะเย้ย: “เรื่องที่เจี่ยนถงสามารถทำได้ เธอทำไม่ได้”

“ฉันทำไม่ได้แน่นอนอยู่แล้ว เรื่องไร้ยางอาย ไม่มีเกียรติเหล่านั้น ฉันฉินมู่มู่ ชาตินี้ไม่มีทางทำแน่นอน”

ซูเมิ่งพยักหน้าลง : “หวังว่าหลังจากนี้หนึ่งอาทิตย์ เธอยังคงพูดเช่นนี้ได้”

หล่อนขี้เกียจต่อปากต่อคำกับเด็กสาวใสซื่อผู้นี้อีก หากได้เจอกับสถานการณ์ที่ถูกคนอื่นบีบบังคับ ฉินมู่มู่ยังจะกล้าพูดจาใสซื่อเช่นนี้อีกหรือไม่ เช่นนั้นแหละคือใสซื่อบริสุทธิ์จริงๆ

“ความใฝ่ต่ำเป็นสิ่งที่ตัวเองเลือกได้ ไม่ต้องพูดถึงหนึ่งอาทิตย์หลังจากนี้ แม้ว่าจะหนึ่งเดือน หนึ่งปี ทั้งชีวิต ฉันก็จะพูดเช่นนี้ ฉันไม่มีทางทำในสิ่งที่ เจี่ยนถงทำลงไปเพื่อเงิน เรื่องที่ขายอะไรก็ได้เพื่อเงิน”

ซูเมิ่งร้อง “อ๋อ” และไม่มองหล่อนอีก : “งั้นก็ดี เธอออกไปได้แล้ว”

“งั้นพี่เมิ่ง ฉันออกไปทำงานก่อนนะ” ฉินมู่มู่ทำหน้าตาขึงขังและหันหลังออกไป

เมื่อเดินถึงหน้าประตู เสียงของซูเมิ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง : “ฉินมู่มู่ เธอจงจำไว้ สิ่งที่เจี่ยนถงต้องเผชิญในตอนนี้ มันเริ่มมาจากตอนที่เธอ ฉินมู่มู่ไปหาเรื่องทำให้คุณชายตระกูลซีไม่พอใจก่อน มันควรจะเป็นเธอที่ต้องรับกรรมนี้ บนโลกใบนี้ ต้องมีเรื่องที่ทำให้เธอต้องก้มหัวลงให้ได้ ในเมื่อเธอคิดร้ายต่อเจี่ยนถง งั้นฉันก็ไม่ควรปกป้องเธออีกต่อไป”

ฉินมู่มู่ไม่สนใจอะไร ตั้งแต่หล่อนเข้ามาเริ่มงานที่ตงหวงหล่อนก็ไม่เคยได้รู้สึกถึงการคุ้มครองดูแลจากซูเมิ่งเลย จึงคิดว่า สิ่งที่เรียกว่าปกป้องดูแลของซูเมิ่ง ไม่สมควรควรพูดถึงด้วยซ้ำ

แต่ไม่นานนัก ฉินมู่มู่ก็จะเข้าใจว่าการทำงานที่ตงหวง การคุ้มครองของซูเมิ่งสำคัญขนาดไหน

ที่คลับบันเทิงตงหวง สิ่งที่พวกบริกรจะโดนมากที่สุดคือการลวนลาม หากมากไปกว่านั้นไม่มีเกิดขึ้น นี่เป็นเพราะชื่อเสียงและความสามารถของตงหวง อุดมคติที่ซูเมิ่งยึดถือ

ฉินมู่มู่เดินออกไปจากห้องของซูเมิ่ง ไม่นานนัก เรื่องราวก็ถูกแพร่สะพัดไปทั้งตงหวง

ตอนแรกฉินมู่มู่ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เพื่อนสนิทของหล่อนที่เป็นนักเรียนมหาวิทยาลัยSเช่นกันแอบถามฉินมู่มู่ว่า : “เธอไปก่อเรื่องอะไรมา ถึงทำให้พี่เมิ่งไม่พอใจ?”

เมื่อฉินมู่มู่ได้ยินเช่นนั้น โมโหขึ้นมาทันที : “พี่เมิ่งจะลงโทษฉันงั้นเหรอ?”

“อย่ามาล้อเล่นสิ พี่เมิ่งไม่เคยหาเรื่องลูกน้องคนไหนเพียงเพราะลูกน้องพูดผิดหรือทำผิดหรอกนะ พี่เมิ่งก็จะทำเพียงแค่ไม่ยุ่งเรื่องของลูกน้องคนนั้น”

ฉินมู่มู่เบ้ปาก: “ฉันคิดว่ามีเรื่องอะไร ก็แค่ไม่ชอบขี้หน้าฉัน ฉันหลบหล่อน ไม่ต้องเจอหน้ากัน ก็โอเคแล้วแหละ”

“เธอ…แล้วแต่เธอแล้วกัน คิดดูดีๆล่ะ” พนักงานที่สนิทกับฉินมู่มู่ ไม่กล้าพูดอะไรมาก เมื่อเห็นท่าทางของฉินมู่มู่ ที่ไม่สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย ตัวหล่อนเองยังไม่สนใจอะไร หล่อนเป็นแค่คนนอกจะไปยุ่งอะไร เดี๋ยวก็ถูกคนอื่นนินทาอีก

ซูเมิ่งนั่งอยู่ในห้องทำงาน ไม่นำเรื่องของฉินมู่มู่มาคิดมาก

คราวนี้ไม่ใช่เพราะ ฉินมู่มู่ไม่รู้จักบุญคุณ ไม่รู้จักบุญคุณก็ช่างเถอะ แต่ยังมาเยาะเย้ยเสียดสีผู้มีพระคุณ ซูเมิ่งก็ไม่อยากโกรธเพียงเพราะแค่พนักงานคนเดียว

ใช่! หล่อนยอมรับ หล่อนเข้าข้างผู้หญิงซื่อบื้ออย่างเจี่ยนถงมากกว่า เมื่อเห็นเจี่ยนถงเหมือนได้เห็นตัวเองในตอนนั้น เมื่อคิดถึงความลำบากของตัวเองในตอนนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะอยากปกป้องหญิงซื่อบื้อคนนั้นให้มากขึ้น

แต่ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะฉินมู่มู่ดิ้นรนหาที่ตายเอง หล่อนคงไม่ใจเย็นขนาดนี้

เรื่องวันนั้นที่ห้อง606 หล่อนถามจนเข้าใจชัดเจนหมดแล้ว เหมือนกับที่หล่อนพูด เจี่ยนถงเป็นคนช่วยกู้หน้าให้ฉินมู่มู่ และยังช่วยรับโทษแทนฉินมู่มู่

ถ้าไม่ได้ช่วยออกรับหน้าแทนฉินมู่มู่ เรื่องทุกอย่างในห้องดำเนินไปอย่างปกติ… ซูเมิ่งคาดเดาว่า ผู้ชายอย่างเสิ่นซิวจิ่นก็คงจำเจี่ยนถงไม่ได้

ซูเมิ่งลุกชึ้นยืน เพิ่งจะเดินออกจากห้องทำงาน บังเอิญเจอกับเสิ่นซิวจิ่นและไป๋ยู่สิงพอดี

“ประธานเสิ่น คุณไป๋”

ไป๋ยู่สิงหัวเราะ: “ซูเมิ่งเข้ามาสวมกอดหรือไง?” ไม่ใช่สักหน่อย ซูเมิ่งเพิ่งออกมาจากห้องทำงาน ก็ชนกับเสิ่นซิวจิ่นตรงอ้อมอกของเขาพอดี

เสิ่นซิวจิ่นกลับไม่มีท่าทีอะไร หลังจากที่ประคองซูเมิ่งขึ้นมา ก็ผลักออกไป

แต่ไป๋ยู่สิงกลับพูดแซวขึ้น : “เสิ่นซิวจิ่น นายนี่ไม่รู้จักดูแลทะนุถนอมเลย ซูเมิ่งสาวสวยอยู่ในอ้อมอกของนายแล้ว นายผลักหล่อนออกแบบนี้เลยเหรอ?”

“นายอยากได้? เอาไปละกัน” เสิ่นซิวจิ่นพูดอย่างเย็นชา จากนั้นผลักซูเมิ่งเข้าไปในอ้อมอกของไป๋ยู่สิง : “ซูเมิ่งเป็นคนมีความสามารถของฉันไป๋ยู่สิงนายต้องดูแลหล่อนดีๆล่ะ”

“เอ่อ…” พี่ ผมผิดไปแล้ว ผมผิดไปแล้ว ยังไม่โอเคอีกเหรอ?

ไป๋ยู่สิงอยากร้องไห้

ซูเมิ่งไม่พูดไม่จาเดินออกมาจากอ้อมอกของไป๋ยู่สิง จากนั้นจัดเสื้อเล็กน้อย มองไปที่เสิ่นซิวจิ่น : “ประธานเสิ่น เจี่ยนถงหล่อน…”

“ไม่ตายง่ายๆหรอก”

ซูเมิ่งตะลึงกับคำพูดของเสิ่นซิวจิ่น…ไอ้หมอนี่พูดจา ทำให้ฉันถึงกับพูดไม่ออก

“อ้อ…ช่วงนี้พวกพนักงาน ทำงานกันไม่เรียบร้อย นินทาไปเรื่อย ทำให้คนอื่นไม่สบายใจ ฉันกำลังจะไปพูดคุยกับพวกเขา” จู่ๆซูเมิ่งพูดขึ้นมา

แต่ดูเหมือนเสิ่นซิวจิ่นฟังไม่เข้าหู ขยับตามอง : “นินทาใคร?”

“เจี่ยนถง” ซูเมิ่งกล่าว “เรื่องวันนั้นที่ห้องVIP 606 ถูกพูดแพร่สะพัดออกไป ตอนนี้ทั้งตงหวง ไม่มีใครไม่รู้เรื่องเจี่ยนถงที่เกิดขึ้นที่ห้องพิเศษในวันนั้น”

“หล่อนพูดเพียงเท่านี้ ไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก”

เพียงแค่บอกว่าพวกเขาพูดคุยเรื่องเจี่ยนถงที่เกิดขึ้นในห้องพิเศษเท่านั้น แต่ไม่ได้บอกว่าเกิดเรื่องอะไรกับหล่อน

แต่เห็นได้ชัดว่า เสิ่นซิวจิ่นเข้าใจขึ้นมาทันที!

ทันใดนั้น สายตาที่ดูนิ่งขรึมสงบคู่นั้น กลับแฝงไปด้วยความอาฆาต มองตรงไปยังใบหน้าของซูเมิ่ง ถามด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม : “ใครเป็นคนแพร่ข่าว?”

“เรื่องนี้ฉันก็เพิ่งรู้” ถ้าเมื่อครู่ไม่ได้เรียกฉินมู่มู่มาพบ ซูเมิ่งก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้ถูกแพร่กันแค่พนักงานชั้นล่างได้ประมาณสองวัน ลังเลอยู่สักพัก ซูเมิ่งพูดขึ้น : “ถ้าฉันเดาไม่ผิด คือลู่น่า เจ้าหญิงผู้เป็นคนเหมาห้องพิเศษ606” วันนั้นหล่อนบังเอิญจับได้ว่าลู่น่าแอบดูอยู่นอกห้องพิเศษ นอกจากลู่น่าก็ไม่มีใครอีก

“ไปตามหล่อนมา” สายตาของเสิ่นซิวจิ่นเย็นชา หรี่ตามองซูเมิ่งถามอีกเรื่องหนึ่ง : “เกิดอะไรขึ้นกับเสียงของเจี่ยนถง?”

เรื่องนี้ ตอนที่เจี่ยนถงเอาเงินห้าหมื่นให้ซูเมิ่งในคืนวันนั้น ซูเมิ่งคิดสงสัยขึ้นมา จากนั้นจึงไปสืบหา

“เป็นเพราะพนักงานใหม่ในแผนกประชาสัมพันธ์ ชื่อเจินเจิน ลากเจี่ยนถงเข้าไปในห้องของแขกตัวเอง คงอยากจะจัดการเจี่ยนถง จึงให้เจี่ยนถงร้องเพลงติดกันเกือบห้าสิบเพลง และยังเป็นเพลงเสียงสูงอีกด้วย”

————

บทที่ 26 ไม่ต้องรีบ มาทีละคน

เดิมทีในห้องมีแค่ลูกค้า เจินเจินและเจี่ยนถง สามคน เรื่องนี้ถ้าเจี่ยนถงไม่พูดออกมา ก็คงเป็นหินที่จมอยู่ใต้สมุทร ไม่มีใครรู้ แต่เป็นเพราะเจินเจิน เปรียบเรื่องนี้เหมือนเป็นเรื่องล้อเล่น จึงไปเล่าให้คนอื่นที่อยู่ในแผนกประชาสัมพันธ์ฟัง

ซูเมิ่งจึงได้รู้

ไป๋ยู่สิง ร้อง “โอ้โห” “ต้องโหดขนาดนี้เลยเหรอ? เจินเจินนี่ช่างเหี้ยมจริงๆ”

เมื่อเสิ่นซิวจิ่นได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเขานิ่งเกร็งไปทันที เขาพยักหน้าให้เสิ่นซิวจิ่น “ไปเรียกเจินเจินมาด้วย ฉันจะรออยู่ที่ห้องพิเศษ606”

เมื่อพูดจบ หันหลังเดินไปที่ลิฟต์ทันที

ไป๋ยู่สิงเดินตามหลังเสิ่นซิวจิ่น รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเพื่อนสนิทของตัวเองกำลังอดกลั้นความโมโหเอาไว้

ยิ้มมุมปาก แววตาของไป๋ยู่สิงเปล่งประกายขึ้นมาทันที…ชักน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ

มีคนรังแกเจี่ยนถง เสิ่นซิวจิ่นอดกลั้นความโกรธเอาไว้…นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?

ไป๋ยู่สิงยิ้มมุมปากอีกครั้ง

ห้อง VIP 606

ลู่น่าและเจินเจินจดจ้องมองผู้ชายที่นั่งอยู่บนโซฟาด้วยสายตาเป็นประกาย

สองคนนี้ถือว่าขั้นสุดยอดเลย!

ตอนที่ซูเมิ่งให้คนไปเรียกลู่น่าและเจินเจินไปที่ห้อง 606 VIP สองคนนี้ยังคิดว่ามีแขกพิเศษเรียกพวกหล่อนไปโดยเฉพาะ

เมื่อเข้าไปในห้อง สายตาของลู่น่าและเจินเจินส่องสว่างเป็นประกายทันที

เสิ่นซิวจิ่นกับไป๋ยู่สิง ถือเป็นคนใหญ่คนโตของคลับบันเทิงตงหวง!

“ใครคือลู่น่า? ใครคือเจินเจิน?”

ภายในห้องVIP เสิ่นซิวจิ่นนั่งอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางอันแสนขี้เกียจ ถามด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้งอย่างไม่ลังเล

“ฉัน! ฉันคือเจินเจิน!”

ลู่น่าเหลือบมองเจินเจินที่อยู่ด้านข้าง เบ้ปาก…ไม่พอใจเหมือนเด็ก เมื่อเห็นผู้ชายก็จะวิ่งเข้าใส่ รีบเข้าไปให้คลอเคลียเล่น หึ!

แม้ว่าในใจจะคิดเช่นนั้น แต่ลู่น่าก็ยังไม่กล้าแสดงความอ่อนด้อย เดินเข้าไปด้านหน้าหนึ่งก้าว : “ฉันชื่อลู่น่า”

บนโต๊ะคริสทัลมีไวน์และจานผลไม้ตั้งอยู่ ไป๋ยู่สิงรินไวน์ให้ตัวเองหนึ่งแก้ว พลางจิบไวน์ดูการแสดงเด็ดๆ พลางมองไปที่หญิงสาวแสนสวยทั้งสองตรงหน้า ที่สวมชุดวาบหวิว โดยเฉพาะเมื่อถูกยั่วยวนด้วยเรือนร่างอันเปลือยเปล่าของทั้งสอง ไป๋ยู่สิงจึงใช้แก้วไวน์บังไว้และยิ้มอย่างมีเลศนัย

“ใครมาก่อน?” เสิ่นซิวจิ่นพูดด้วยเสียงนิ่งเรียบ ไป๋ยู่สิงแทบจะสำลักไวน์ออกมา…นี่ๆ พี่ชาย อย่าพูดอะไรคลุมเครือแบบนี้สิ เดี๋ยวเข้าใจผิดกันหมด!

“ประธานเสิ่น ฉันรินไวน์ให้นะคะ” ลู่น่าพูดเอาใจ

เจินเจินไม่ยอมน้อยหน้า ตั้งใจเชิดหน้าอกอันเอิบอิ่มขึ้นมา ยิ้มอย่างมีเลศนัย พูดขึ้น : “ประธานเสิ่น ลู่น่าช่วยรินไวน์ให้คุณ งั้นฉันป้อนผลไม้ให้คุณนะคะ”

ไป๋ยู่สิงนั่งยิ้มอยู่ด้านข้าง มองเสิ่นซิวจิ่นที่พูดอย่างไม่รีบร้อน พร้อมพยักหน้าลง : “ไม่รีบ ทีละคน”

อ่า~

ไป๋ยู่สิงแทบอยากจะหัวเราะออกมา

สงสารหญิงสาวทั้งสองตรงหน้า ไม่รู้เสียแล้วว่าวันตายมาถึงแล้ว

ขณะเดียวกัน ซูเมิ่งเคาะประตูเดินเข้ามา พร้อมมือกระเป๋าถือใบหนึ่ง : “ประธานเสิ่น ของที่คุณต้องการ ฉันเอามาให้แล้ว”

ภายใต้สายตาที่จดจ้องมองของเสิ่นซิวจิ่น ซูเมิ่งวางกระเป๋าลงบนโต๊ะคริสทัล “แคร๊ก” เสียงเปิดกระเป๋าดังขึ้น

เมื่อกระเป๋าถูกเปิดออก ภายในห้องก้องไปด้วยเสียงอันแสนตกใจของทั้งสองพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึก

“ซี๊ด~”

ลู่น่ากับเจินเจินต่างพากันจดจ้องมองไปที่ปึกธนบัตรจำนวนมากในกระเป๋าใบนั้น จ้องมองดูจนเหม่อลอย

ทันใดนั้น ผู้ชายที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ลุกขึ้นยืน ตัวสูงตรงราวกับนายแบบ ดึงดูดความสนใจของหญิงสาวทั้งสองกลับมาได้ทันที

เสิ่นซิวจิ่นคว้าหยิบธนบัตรขึ้นมาหนึ่งปึก โปรยลงตรงหน้าหญิงสาวทั้งสอง ท่าทางสง่างามมาก “เธอ” เขามองไปที่ลู่น่า ไม่สนใจสายตาเย้ายวนของลู่น่า พูดขึ้นด้วยความเย็นชา : “คลานลงไปบนพื้น เก็บเงินบนพื้นทั้งหมดขึ้นมา”

ลู่น่าตกใจตะลึง…” ประธานเสิ่น บะ…แบบนี้ไม่ดีรึเปล่าคะ…”

“ไม่มีอะไรไม่ดีสักหน่อย ทำตามนั้นสิ”

ลู่น่าสีหน้านิ่งเกร็งไปทันที แต่หล่อนแก้ตัวเก่ง รีบตั้งสติขึ้น พูดอย่างโอดครวญ : “ประธานเสิ่น~ คุณอย่าแกล้งฉันเลยนะ คนที่ฉันชอบก็คือคุณไงล่ะประธานเสิ่น ไม่ได้ชอบเงินของประธานเสิ่นสักหน่อย”

หึ~!

ไป๋ยู่สิงสาบาน ครั้งนี้เขาอดกลั้นไว้ไม่อยู่จริงๆ!

“ซูเมิ่ง เธอสอนกฎระเบียบให้หล่อนหน่อย” ลู่น่าทำหน้าทำตาน่าสงสาร เสิ่นซิวจิ่นยังขี้เกียจจะหันไปมอง

“รับทราบค่ะ ประธานเสิ่น” ซูเมิ่งสายตาเย็นชาไปทันที “ลู่น่า ลูกค้าถูกเสมอ ลูกค้าให้เธอคลานก็คลาน ลูกค้าให้เธอดื่ม เธอก็ต้องดื่ม เธอก็เป็นคนเก่าแก่ของตงหวง ทำไมล่ะ? เรื่องกฎระเบียบแค่นี้ไม่รู้เลยหรือไง?”

“พี่เมิ่ง ฉะ…ฉันเปล่า…”

“คำพูดบางคำ คิดให้ดีก่อนแล้วค่อยพูด”

เมื่อลู่น่าได้ยินสิ่งที่ซูเมิ่งพูดขึ้น จึงกัดฟันทนคลานต่อไป

“เก็บเงินบนพื้นทั้งหมดขึ้นมา”

ลู่น่าไม่ยินยอมลงไปเก็บเงิน

คิดว่าเรื่องนี้จบลงแล้ว แต่มีเสียงออกคำสั่งอันเย็นชาดังขึ้นมาจากด้านบน: “ส่ายเอวหน่อย ส่ายก้นด้วย อย่าทำเป็นเหมือนปลาสิ”

สีหน้าของลู่น่าซีดเซียวขึ้นมาทันที…คราวนี้ ในที่สุดหล่อนนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาทันที : “สิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ในตอนนี้ เหมือนฉากที่เจี่ยนถงต้องเผชิญในห้อง606ตอนนั้นไม่ใช่เหรอ?”

สีหน้าของหล่อนซีดเผือด ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร

แม้ว่าหล่อนจะเป็นเจ้าหญิงของห้องพิเศษนี้ แต่ทำงานสายนี้มาตั้งนาน ยังไม่เคยถูกลูกค้าคนไหนดูถูกเช่นนี้มาก่อน หล่อนยอมรับเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเองไม่ได้ หล่อนไม่เหมือนผู้หญิงแบบเจี่ยนถงที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อเงิน!

คุณค่าของตัวหล่อนในตงหวงตั้งอยู่ที่นี่ ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับคนชั้นต่ำอย่างเจี่ยนถง

“ไม่ได้ยินสิ่งที่ประธานเสิ่นพูดเหรอ?” ซูเมิ่งพูดย้ำด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ให้เธอส่ายก้นก็ส่ายสิ”

ลู่น่ารู้สึกละอายใจอย่างมาก!

“พี่เมิ่ง!ประธานเสิ่น!ฉันไม่ต้องการเงินพวกนี้อีกแล้ว!” แค่เงินบนพื้นแค่นี้ หล่อนไม่สนใจหรอก! ลู่น่าโมโหจนลุกขึ้นยืน

หล่อนมองไปที่เสิ่นซิวจิ่นด้วยความโกรธเคือง: “ประธานเสิ่น เงินพวกนี้ ฉันลู่น่าไม่เก็บ และไม่เอาแล้ว”

เสิ่นซิวจิ่นค่อยๆเผยอริมฝีปากอันเรียวบางขึ้น พูดขึ้นอย่างช้าๆ : “ใครบอกเงินบนพื้นพวกนี้ เธอเก็บขึ้นมาแล้วจะเป็นของเธอ?”

ลู่น่ากลับสูดหายใจเข้าลึก โกรธจนแทบจะระเบิดออกมา: “ประธานเสิ่น!อย่าคิดว่าคุณเป็นคนใหญ่คนโต แล้วจะดูถูกฉันยังไงก็ได้ ที่ตงหวง ต้องรักษากฎระเบียบของที่นี่ ไม่ว่าเป็นใครใหญ่มาจากไหน ก็ต้องเคารพกฎของที่นี่!”

ทีตงหวง แทบทุกคนที่รู้จักเสิ่นซิวจิ่นประธานเสิ่น แต่แทบไม่มีใครรู้ว่าตงหวงเป็นของเสิ่นซิวจิ่น แน่นอนว่า ตงหวงเป็นแค่ธุรกิจขนาดเล็กของเขาเท่านั้น

“ฮ่าๆๆๆๆ…” ท่ามกลางบรรยากาศเคร่งเครียดในตอนนี้ จู่ๆไป๋ยู่สิงก็หัวเราะจนน้ำตาไหล “ไอ้หยา คุณพระ! น่าสนใจจริงๆ เสิ่นซิวจิ่นมีคนให้นายเคารพกฎกติกาของตงหวง นายจะทำยังไงดีล่ะ?”

เสิ่นซิวจิ่นหัวเราะเบาๆ : “นายพูดได้ไม่เลวเลย” เขามองไปที่ลู่น่า: “ที่ตงหวง ต้องเคารพกฎระเบียบของตงหวง ช่างบังเอิญเสียจริง ที่ตงหวงแห่งนี้ ฉันก็คือกฎระเบียบ”

ลู่น่าไม่เข้าใจความหมายของเขา ซูเมิ่งที่อยู่ด้านข้างพูดเสริมขึ้น : “คลับบันเทิงตงหวงเป็นธุรกิจภายใต้ชื่อของประธานเสิ่น ดังนั้น… ลู่น่า ถ้าเธอยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ก็เชื่อฟังและทำตามคำพูดของประธานเสิ่นซะ อย่าทำให้ประธานเสิ่นต้องโมโห”

คราวนี้สีหน้าของลู่น่าซีดจนไม่มีสีแล้ว

………

บทที่ 27 ช่วยระบายอารมณ์ให้หล่อน

“ลู่น่า หากประธานเสิ่นโกรธแล้ว เธอออกไปจากตงหวง ไปที่อื่นยังพอมีข้าวกิน ไม่อย่างนั้น หากเท้าซ้ายก้าวออกจากตงหวงเมื่อไหร่ วินาทีต่อไป ก็จะมีคนมาลากตัวเธอไปทำเรื่องมิดีมิร้าย เธอเชื่อไหม?” ซูเมิ่งพูดด้วยเสียงนิ่งเรียบ

เชื่อ!… ลู่น่าสั่นไปหมดทั้งตัว กลัวจนลงไปคลานบนพื้น ทำท่าทางเหมือนกับที่หล่อนเยาะเย้ยเจี่ยนถงไปเก็บเงินบนพื้น

เจินเจินที่นั่งอยู่ด้านข้าง ใจเต้นรัว มองเสิ่นซิวจิ่นที่นั่งอยู่ด้านหน้าด้วยความหวาดกลัว

ธนบัตรกองใหญ่ถูกเสิ่นซิวจิ่นโปรยลงบนโต๊ะคริสทัล : “ร้องเพลงเป็นไหม? หนึ่งเพลงหนึ่งพันหยวน ร้องครบห้าสิบเพลง เอาเงินและออกไปได้ ถ้าร้องไม่ครบ เสียงแหบกลางคัน…บังเอิญว่าช่วงนี้ฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขาดของ”

“ของ” เห็นได้ชัดว่าไม่ได้หมายถึงสิ่งของทั่วไป

ในใจของเจินเจิน เต้นดัง “ตุ๊บ” จนถึงตอนนี้ ถ้าทั้งสองคนยังไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ งั้นก็คงไร้ประโยชน์มากจริงๆ

รู้เหตุผล แต่พวกหล่อนกลับไม่เข้าใจ ว่าทำไมเจี่ยนถง เป็นแค่คนทำความสะอาด แต่สุดท้ายต้องให้นายใหญ่มาออกหน้า ลงโทษกลั่นแกล้งพวกหล่อน

“ประธานเสิ่น ฉันร้องได้ค่ะ” เจินเจินกล่าว “แต่ฉันไม่เข้าใจ เจี่ยนถงหล่อนเป็นเพียงแค่พนักงานทำความสะอาด! ไร้ความสามารถและอัปลักษณ์ ไม่มีอะไรสักอย่าง พวกเราแค่ล้อเล่นกับหล่อนเท่านั้น ประธานเสิ่นอยากลงโทษพวกเรา พวกเรายอมรับได้ แต่การลงโทษของประธานเสิ่นไม่จำเป็นต้องโหดเหี้ยมเช่นนี้ก็ได้นี่คะ”

ล้อเล่น?

เสิ่นซิวจิ่นยิ้มเย้ยมองเจินเจิน ที่มีใบหน้าอันสวยและมีเสน่ห์ แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้สึกอยากชื่นชมเลย คนเช่นนี้ ในสายตาของเขาทั้งน่าเบื่อและไม่น่าสนใจ

แต่ เจินเจินในตอนนี้ ทำท่าทางจะต่อสู้ ทำให้เสิ่นซิวจิ่นรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมา เหมือนกับหญิงสาวเมื่อสามปีก่อน ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ไม่ยอมอ่อนแอเหมือนกัน อยากเอาชนะเหมือนกัน และไม่ยอมแพ้เหมือนกัน

เหม่อลอยไปเพียงครู่เดียว เสิ่นซิวจิ่นก็หลบสายตาที่จดจ้องมองไปที่เจินเจินออกไปทางอื่น…ไม่สิ หญิงสาวแสนสวยที่อยู่ตรงหน้า ด้อยกว่าเธอเมื่อสามปีที่แล้วมาก หญิงสาวที่ชื่อเจินเจินผู้นี้ ไม่มีความหยิ่งยโสเหมือนเจี่ยนถงเมื่อสามปีที่แล้ว และไม่มีเสน่ห์เช่นกัน

เจี่ยนถง…….

เมื่อเสิ่นซิวจิ่นนึกถึงความสวะของผู้หญิงคนนั้นในตอนนี้ ไม่เจิดจ้าเหมือนดวงอาทิตย์ในเมือง S เมื่อตอนนั้น เขาหงุดหงิดในใจขึ้นมาทันที และรู้สึกหมดความอดทนกับผู้หญิงทั้งสองตรงหน้า

“ซูเมิ่ง อบรมกฎระเบียบหล่อนหน่อย” ริมฝีปากอันเย็นชา ขยับขึ้น

“ค่ะ”

ซูเมิ่งใส่รองเท้าส้นสูง เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเจินเจิน มุมปากที่สง่างามกับแฝงไปด้วยรอยยิ้มอันเย็นชา : “เจินเจิน กฎระเบียบของตงหวงเคร่งครัดเสมอมา เรื่องทะเลาะกันภายใน ถ้าไม่ร้ายแรงมาก ก็ยอมๆกันไปบ้างก็ได้”

เมื่อพูดถึงตอนนี้ สีหน้าเสียขึ้นมาทันที : “แต่ครั้งนี้ เลยเถิดมากเกินไป”

ไม่มีอะไรอื่นอีก ซูเมิ่งเพียงแค่ยิ้มเย็นชาและสง่างาม จ้องมองเจินเจินที่อยู่ตรงหน้าอย่างนิ่งขรึม: “เธอเป็นคนฉลาด ต่อไปคงรู้แล้วว่าควรทำอะไร”

ในใจของเจินเจินรู้สึกไม่เต็มใจ อดทนกัดฟัน เหลือบมองไปที่ซูเมิ่ง สูดหายใจเข้าลึก : “พี่เมิ่ง ฉันร้องเพลง!”

แต่ละเพลงที่ร้อง เหมือนกับตอนที่หล่อนกลั่นแกล้งเจี่ยนถง ทุกเพลงล้วนแล้วแต่เป็นเพลงเสียงสูง ถึงตอนนี้ เจินเจินจึงเข้าใจความทุกข์ทรมานของเจี่ยนถงขึ้นมาทันที

หล่อนไม่รู้ว่าตัวเองร้องไปกี่เพลงแล้ว จนทนไม่ไหวอีกต่อไป : “พี่เมิ่ง ฉันขอดื่มน้ำหนึ่งแก้วได้ไหม?”

“เธอคิดว่าไงล่ะ?” ซูเมิ่งยิ้มแต่ไม่พูดอะไร

เสิ่นซิวจิ่นทำตัวเย็นชา ห้าสิบเพลง ดูเหมือนจะทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย เสิ่นซิวจิ่นเห็นเจินเจินร้องเพลงทีละเพลงด้วยตาของตัวเอง ได้เห็นคนร้องเพลงที่เสียงค่อยๆแหบลงเรื่อยๆ ท่าทางทุกข์ทรมาน…ผู้หญิงคนนั้น ตอนนั้นก็เป็นแบบนี้?

เสียงแหบแห้งของเจินเจินเมื่อร้องเพลงออกมา เพี้ยนจนผิดคีย์ไปหมด กระหืดกระหอบ พยายามกลืนน้ำลายสุดชีวิต แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ผู้ชม แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้หล่อนทรมานและคอแห้งมาก เสิ่นซิวจิ่นมองหล่อนด้วยสีหน้าเย็นชา “ร้องไม่จบ เธอก็ไปเล่นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้สักสองสามวันแล้วกัน”

เจินเจินตัวเกร็งขึ้นมาทันที เบิกตากว้าง มองไปที่ผู้ชายบนโซฟาด้วยความหวาดกลัว พูดด้วยความทรมานและร้อนรน: “ประธานเสิ่น ฉันจะร้องเดี๋ยวนี้ค่ะ”

เวลาค่อยๆผ่านไป ตอนนี้ลู่น่ารู้สึกว่าตัวเองยังโชคดี โชคดีที่ตัวเองยังไม่ทันได้ลงมือกับเจี่ยนถง ไม่เช่นนั้น…หล่อนแทบไม่กล้าจินตนาการถึงสภาพของตัวเองว่าจะแย่ขนาดไหน!

ยิ่งเป็นคนที่อยู่ในตงหวงมานาน ยิ่งต้องเข้าใจเป็นอย่างดี ที่เมือง S คำว่าตงหวง” หมายถึงอะไร!

ร้องจบ50เพลง

“ประธานเสิ่น หล่อนสลบไปแล้ว”

ซูเมิ่งพูดขึ้น

เสิ่นซิวจิ่นลุกขึ้นยืน เดินก้าวออกไปด้วยขาอันเรียวยาว ไม่แม้แต่หันมามอง เพียงพูดทิ้งท้ายไว้ : “เอาออกไปทิ้ง”

……

ตงหวงคือที่ไหน?

ที่นี่ มีกฎระเบียบคุ้มครองอยู่

คนที่สามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างรุ่งเรือง แน่นอนว่ามีความสามารถที่แตกต่างกันไป

ในตงหวง เมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ทุกคนต้องตระหนักรู้และตื่นตัวด้วยตัวเอง สำหรับลู่น่าและเจินเจิน แทบจะไม่มีใครพูดถึง ราวกับว่า สองคนนี้ ไม่เคยอยู่ในตงหวงมาก่อน และเหมือนกับว่าที่ตงหวงไม่เคยมีสองคนนี้มาก่อน และพวกเขาก็ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน

“นี่ เสี่ยวเสี่ยว ไม่เห็นลู่น่ากับเจินเจินมาหลายวันแล้ว” จู่ๆฉินมู่มู่ฉวยโอกาสตอนพักถามขึ้นภายในห้องพักพนักงาน

ภายในห้องพักผู้คนนับสิบคนต่างพากันเงียบ เมื่อก่อนมักจะคุยกันเรื่องของแบรนด์เนมหรือดาราชื่อดัง แต่ตอนนี้ทุกอย่างกับหยุดไป ทั้งห้อง ต้องอยู่ในความเงียบสงบ

“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมทุกคนไม่พูดอะไรล่ะ?” ”ฉินมู่มู่ทำสีหน้าสงสัย กวาดมองไปรอบๆ

พวกคนที่ถูกหล่อนกวาดสายตามองไป รีบแยกย้าย ก้มหน้าทำงานของตัวเอง ไม่มีใครสนใจหล่อน

“เสี่ยวเสี่ยว? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” บรรยากาศดูแปลกประหลาด ฉินมู่มู่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

หล่อนลังเลเล็กน้อย เพราะฉินมู่มู่ถือเป็นคนที่เข้ามาพร้อมหล่อน ลังเลใจเป็นอย่างมาก : “มู่มู่จ้ะ อันที่จริงเจิน…”

“เสี่ยวเสี่ยวไปเถอะ เปลี่ยนฉากแล้ว” ทันใดนั้นมีคนพูดแทรกเสี่ยวเสี่ยว คนนั้นยืนขึ้น เรียกชื่อเสี่ยวเสี่ยว ทุกคนในห้องนี้ต่างพากันทยอยยืนขึ้นตาม “ไปเถอะ เสี่ยวเสี่ยว ทำงานได้แล้ว”

สีหน้าของฉินมู่มู่แย่ลงไปทันที รีบลุกขึ้นยืน : “อันนี เธอหมายความว่ายังไงกันแน่? ไม่ให้เสี่ยวเสี่ยวพูดคุยกับฉัน? เธอเป็นอะไรกับเสี่ยวเสี่ยว?”

คนที่พูดแทรกเสี่ยวเสี่ยว ชื่อว่าอันนี หน้าตาสวย ทั้งยังสวยกว่าผู้หญิงในแผนกประชาสัมพันธ์มาก แต่ทว่า ในตงหวง หล่อนอดทนทำงานเป็นบริกรมาสองปีแล้ว เมื่อได้ยินเช่นนั้น หล่อนหยุดเดิน หันหลังกลับมา:

“เจ้าโง่ เธอดูแลเรื่องของตัวเองให้ดีก่อนดีกว่า” อันนีมองหล่อนด้วยสายดูถูกมาก ฉินมู่มู่คิดว่าตัวเองออกมาจากโคลนตมแต่ไม่แปดเปื้อนอะไรเลย ทะนงตัวว่า “ไม่มีใครสามารถมาทำอะไรตัวเองได้” ซื่อเสียจริง ไปทำงานในร้านอาหารเล็กๆสิ ไปทำงานที่อบรมมารยาทวันหยุดสุดสัปดาห์โน่นสิ มาทำอะไรที่ตงหวง?

“เธอว่าใคร?” ”ฉินมู่มู่โมโห

อันนีเลิกคิ้วขึ้น: “ใครยอมรับ ฉันก็ว่าคนนั้นแหละ”

เสี่ยวเสี่ยวดึงอันนีออกมา บอกเป็นนัยว่าพอแล้ว

ฉินมู่มู่กลับบิดเบือนความหมายของหล่อน มองเสี่ยวเสี่ยวด้วยความโกรธโมโห สายตามองหล่อนด้วยความเคืองแค้นที่ถูกหันหลัง : “เสี่ยวเสี่ยว! คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะเป็นคนแบบนี้”

“มู่มู่……”

“เสี่ยวเสี่ยวอย่าไปสนใจหล่อน” อันนีพูดแทรกขึ้น เลิกคิ้วขึ้นหันไปมองฉินมู่มู่ : “เธอรู้อยู่แก่ใจ”

ฉินมู่มู่…หล่อนก็คือผู้รับกรรมคนต่อไป ยังกล้าโง่อวดดีได้ขนาดนี้ วันนี้ในห้องน้ำ ยังพูดกับคนอื่นว่าตัวเองถูกเจี่ยนถงโกหกหลอกลวง ที่แท้เจี่ยนถงต่ำช้าขนาดไหน

รนหาที่ตายเอง ไม่ว่าใครก็ช่วยไม่ได้

……

บทที่ 28 ประธานลู่

เจี่ยนถงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล แต่หล่อนกลับรู้สึกไม่สบายใจ

“ทำไมเธอถึงกลับมาแล้วล่ะ?” ซูเมิ่งคิดไม่ถึงเลยว่า จะเจอเจี่ยนถงที่ตงหวงในคืนวันนี้ : “เธอยังไม่หายดีนี่”

“พี่เมิ่ง ไม่เป็นไร ฉันพักผ่อนเพียงพอแล้ว” ในใจคิดแต่เรื่องภาระหนี้สินจำนวนมาก: “พี่เมิ่ง ฉันหายดีแล้วจริงๆ ฉันขอได้ไหม….รบกวนพี่เมิ่งช่วยฉันดูหน่อย มีงานที่ฉันพอจะทำได้บ้างไหม? ฉัน…ทำอะไรก็ได้”

“เธอ…” ซูเมิ่งมองคนตรงหน้าด้วยท่าทางเห็นใจ แต่เห็นแก่เจี่ยนถงที่แสดงท่าทีดื้อรั้น ทำให้พูดอยู่ได้แค่ในลำคอ ไม่กล้าพูดออกมาอีก

ถอนหายใจออก “ฉันขอไปดูก่อน”

“พี่เมิ่ง” ขณะที่ซูเมิ่งกำลังเดินออกไป จู่ๆเจี่ยนถงก็เรียกหล่อนให้หยุด: “พี่เมิ่ง ฉัน…ขอบคุณพี่มากนะ” เมื่อพูดจบ ก็ก้มหน้าลงไปทันที

ซูเมิ่งมองตาหล่อนด้วยท่าทีสงสัย…หล่อนมองผิดไปรึเปล่า?

เจี่ยนถง…หน้าแดง?

แต่ มีอะไรทำให้หล่อนหน้าแดงได้ขนาดนี้? หล่อนไม่ได้ช่วยทำอะไรมากมาย เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

สุดท้ายแล้ว คนหนึ่งคน ต้องตกต่ำถึงขนาดไหนกัน ความรู้สึกลึกซึ้งภายในจิตใจ ต้องมีความกังวลใจว่าจะหมดทางรอดมากมายขนาดไหน จึงจะต้องรู้สึกเกรงใจจนหน้าแดง ขอบคุณอย่างกระวนกระวาย กับการช่วยเหลือเล็กน้อยแค่นี้?

ประธานเสิ่น…คุณทำอะไรสาวกับซื่อบื้อคนนี้กันแน่!

ซูเมิ่งพูด “อืม” ด้วยท่าทีคลุมเครือ หล่อนไม่กล้าเผชิญหน้าสาวซื่อบื้อคนนี้ต่อไป…หญิงสาวผู้นี้น้อยเนื้อต่ำใจ ราวกับมีเลือดไหลออกมาเป็นสาย ยิ่งเป็นเช่นนี้ หล่อนยิ่งไม่กล้ามองหญิงสาวตรงหน้า

คนที่กำลังมีชีวิตที่ดี คนที่มีชีวิตอยู่!

ไม่นานนักซูเมิ่งก็กลับมา “ตามฉันมา”

“ค่ะ”

ตลอดทางที่เดินไป หล่อนไม่ถามอะไรสักคำ

ในใจของซูเมิ่งรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่จู่ๆเสียงของเจี่ยนถงก็ดังขึ้นข้างหูของหล่อน “พี่เมิ่ง ฉันไร้ค่ายิ่งนัก” ถอนหายใจเบาๆ ซูเมิ่งเดินพาหล่อนเข้าไปในลิฟต์ พลางอธิบายเรื่องราวให้เจี่ยนถงฟัง

“เดี๋ยวเธอไม่ต้องกลัวนะ ประธานลู่ท่านนี้เป็นคนลึกลับและถ่อมตัวมาโดยตลอด ประธานลู่ เธอรู้จักใช่ไหม? แขกในวันนี้ก็คือประธานลู่”

แต่เธอไม่ต้องกังวลใจไปนะ แม้ว่าประธานลู่จะถ่อมตัวและเก็บตัวเงียบ เขากลับประเทศมาเมื่อสองปีก่อน ระยะเวลาสั้นๆเพียงสองปี มีข่าวลือว่า รสนิยมทางเพศของเขา…เอ่อ…ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่

แค่กๆ ดังนั้น เธอไม่ต้องกลัว เดี๋ยวเข้าไปในห้องไม่ได้มีแค่เธอ ยังมีคนของแผนกประชาสัมพันธ์ด้วย เธอยืนระหว่างกลางคนอื่นไว้ รินไวน์ให้ก็พอแล้ว

ลู่ซื่อ……เจี่ยนถงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง สามปีก่อน หล่อนยังเป็นคุณหนูแห่งตระกูลเจี่ยน เป็นผู้ประกอบการรุ่นที่สองในตลาดไข่มุก แน่นอนว่าหล่อนต้องรู้จักลู่ซื่ออยู่แล้ว

เดิมทีที่มีความรู้สึกหวาดกลัวอยู่แล้วภายในจิตใจ กลัวว่าถ้าเจอบรรดาสาวๆกลุ่มนั้นที่เคยสนุกกันในงานปาร์ตี้เมื่อปีนั้น…หล่อนในตอนนี้ ถ้าต้องเผชิญหน้ากับคนกลุ่มนั้น ยังจะหลงเหลืออะไรอยู่อีก?

โชคดีที่ พี่เมิ่งบอกว่า ประธานลู่เพิ่งจะกลับมาเมื่อสองปีก่อน

เจี่ยนถงถอนหายใจโล่งอก สำหรับสิ่งที่ซูเมิ่งพูดถึงว่าประธานลู่รสนิยมทางเพศ…ผิดปกติ แล้วเขาจะมาที่ตงหวงทำไม และยังเลือกผู้หญิงของฝ่ายประชาสัมพันธ์อีกด้วย เจี่ยนถงรู้สึกสงสัย แต่ไม่ได้ถามอะไร

สิ่งที่ไม่ควรถาม ก็ไม่ถาม

ยืนอยู่ด้านนอกห้องพิเศษ ผลักประตูเข้าไป เมื่อเห็นภาพทั้งหมดภายในห้อง เจี่ยนถงจึงเข้าใจขึ้นมาทันที อ๋อ… ประธานของประธานลู่มาที่ตงหวงเพื่อเลี้ยงแขก

ภายในห้องพิเศษ มีคนแผนกประชาสัมพันธ์อยู่7ถึง8คน ซึ่งมี2คนเป็นผู้ชาย

ซูเมิ่งส่งเจี่ยนถงเข้าไปด้วยตาเป็นกังวล…หล่อนอยากช่วยหญิงซื่อบื้อคนนี้ หล่อนทำได้เพียงช่วยด้วยวิธีนี้

ขอให้หล่อนได้รับอิสรภาพ หลุดพ้นจากสิ่งเลวร้ายทั้งปวง

สวรรค์…ไม่ควรโหดเหี้ยมเช่นนี้ใช่ไหม?

ขณะที่เจี่ยนถงเดินเข้าไปด้านใน บรรยากาศภายในห้องกำลังครึกครื้นพอดี

หล่อนเดินก้มหน้าเข้าไปด้านใน ถ่อมตัวจนไม่มีความเซ็กซี่หลงเหลืออยู่ เหมือนกับสิ่งที่พี่เมิ่งพูดไว้ เพียงแค่เข้าร่วมสนุกด้านใน รินไวน์ให้ก็พอ

ภายใต้แสงไฟมืดสลัว หล่อนตัวสั่นเทา แม้ว่าไม่มีใครเห็น แต่ภายใต้เสื้อที่ปกปิดไว้ หล่อนกำลังสั่นไปทั้งตัว

ก้มหน้าลงปิดมิดชิด หลบอยู่ในมุมที่ไม่มีใครเห็น สายตาเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ…เป็นไปได้ยังไง! พวกเขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!

หล่อนพยายามหลบซ่อนการมีตัวตนอยู่ของตัวเองไว้ พยายามทำให้ตัวเองเป็นแค่อากาศ หล่อน…อยากให้ตัวเองกลายเป็นอากาศในตอนนี้!

ทำไม…พวกเขาถึงอยู่ที่นี่ได้?

เจี่ยนถงตั้งสติและเดินไปในมุมที่คิดว่าปลอดภัย ที่นี่ เป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด…นั่นก็คือด้านข้างของประธานลู่

“ตัวเธอกำลังสั่น”

ทันใดนั้นเสียงอันอ่อนโยนดังขึ้น เสียงไม่ดังมากนัก เมื่อเจี่ยนถงได้ยินเช่นนั้น เสมือนมีเสียงฟ้าร้องดังก้องอยู่ในหู!

จู่ๆเหมือนมีเหงื่อปกคลุมไปทั่วทั้งหน้าผาก เจี่ยนถงไม่กล้าแสดงออก : “ประธานลู่ คงเป็นเพราะแอร์ตรงนี้เย็นเกินไป ฉันรินไวน์ให้คุณนะคะ”

หล่อนเดินไปหยุดตรงหน้าประธานลู่ นั่งคุกเข่าลง ก้มหน้าลงรินไวน์ไม่พูดจาอะไร

เมื่อรินไวน์เต็มแก้วแล้ว ประธานลู่ที่นั่งอยู่ด้านข้างกับไม่ยกแก้วขึ้น

เพียงแค่มองหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงเท้าด้วยท่าทีหยอกเย้า…”คนในห้องนี้มีตั้งเยอะแยะ ทำไมเธอถึงรู้ว่าฉันคือประธานลู่?”

เจี่ยนถงหน้าซีดไปทันที…นั่นสิ หล่อนรู้ได้ยังไงว่าท่านนี้คือ “ประธานลู่!” นอกเสียจาก…

“เธอรู้จักคนอื่นในห้องนี้?” ประธานลู่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน สายตาภายใต้แว่นกรอบสีทอง มองทะลุออกมาด้วยความเฉียบคม

“ฉะ…ฉัน เดาค่ะ” เจี่ยนถงหายใจอย่างกระสับกระส่าย หล่อนไม่กล้าคาดเดาเลยว่า ถ้าผ่านด่านนี้ไปไม่ได้ ถ้าถูก “พวกเขา” จำได้ขึ้นมา หล่อนไม่กล้าคิดเลยว่าตอนนั้นจะ…

“ประธานลู่ ฉันเดาเองค่ะ จริงๆนะคะ”

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ สายตาหยอกเล่นที่มองอยู่บนหัว ทำให้เจี่ยนถงร้อนรนนั่งไม่ติด อึดอัดไปทั้งตัว ทรมานที่สุด

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับประธานลู่ตรงนั้น? ทำไมเขาไม่ดื่มล่ะ?” แม้ว่าจะผ่านไปสามปี เจี่ยนถงกลับจำเสียงนั้นได้ คุ้นจนไม่รู้จะพูดยังไง!

ทำยังไงดี?

ทำยังไงดี!

‘แขกผู้มีพระคุณ’ ของตัวเองครั้งนี้ ถ้าพูดถึงหล่อนขึ้นมา หล่อนไม่มีทางหลบพ้นแน่นอน

หลังจากผ่านไปสามปี ตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับผองเพื่อน อีกทั้งยังมีคนที่เคยจีบหล่อน หล่อนในตอนนี้ ย่ำแย่จนถึงขีดสุด!

ทำยังไงดี!

ยังไม่ทันได้ตั้งตัว เจี่ยนถงกลัวจนกระวนกระวาย เธอคลานไปหยุดที่เท้าของชายแปลกหน้า มือของเธอยื่นไปจับขากางเกงของประธานลู่โดยไม่รู้ตัว ราวกับกำลังร้องของบางอย่าง จับไว้แน่น แน่นเหมือนว่ากำลังขอความช่วยเหลือจากสรวงสวรรค์

ภายใต้สายตาอันแหลมคมที่ก้มมองผ่านแว่นกรอบสีทอง เห็นหญิงสาวที่คลานอยู่ตรงหน้า…ตกใจตะลึง เบี่ยงสายตาออกไปอย่างหมดความอดทน จากนั้นโน้มตัวลงไปด้านหน้า หยิบแก้วบนโต๊ะคริสทัลขึ้นมา ดื่มจนหมด และเงยหน้าขึ้นยิ้มให้คนอื่น:

“ไม่เป็นไร” พลางพูดขึ้น และลุกขึ้นยืน ในขณะเดียวกัน เอื้อมมือออกไปดึงผู้หญิงที่นั่งยองๆอยู่อย่างเต็มแรง

เจี่ยนถงยังไม่ทันได้ตั้งตัว เพียงแต่รู้สึกว่ามีใครบางคนจับตัวไว้ ด้านหน้ามืดสนิท เมื่อลืมตาขึ้นมา จึงพบว่าตัวเองถูกคนจับไว้อย่างไม่รู้ตัว และหน้าของหล่อนก็ถูกกดอยู่ตรงหน้าอกของเขา

ได้ยินเสียงอันอ่อนโยนของประธานลู่พูดกระซิบขึ้น:

“ขอให้ทุกคนสนุกกันให้เต็มที่ คืนนี้ฉันเลี้ยงเอง” เมื่อพูดจบ ก็กอดเจี่ยนถงเดินออกไปจากห้อง

ทุกคนในห้องต่างพากันทำสีหน้า ‘เข้าใจกัน’

“หลายคนต่างพากันลือว่าประธานลู่มีรสนิยมทางเพศที่ผิดปกติ เพ้อเจ้อชัดๆ หลอกลวง มันคือเรื่องหลอกลวง” คนหนึ่งพูดขึ้น

“ประธานลู่ เวลาดีๆแบบนี้มีค่ามากมายมหาศาล ขอให้สนุกนะครับ” เสียงของผู้คนในกลุ่มพูดกันอย่างสนุกสนาน เจี่ยนถงถูกผู้ชายแปลกหน้าโอบกอดออกไปจากห้อง หลังประตูบานนั้นกลับเงียบสงัด

……

บทที่ 29 ผู้หญิงบ้า

เมื่อประธานลู่หันหลังกลับมา เจี่ยนถงก็ถูกผลักออกไป ลืมตาขึ้น หล่อนตกตะลึงเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง “ประธานลู่? คุณ…พาฉันมาที่นี่ทำไมคะ?”

ที่นี่เป็นห้องที่มีลักษณะเหมือนกับห้องพิเศษเมื่อครู่มาก

หล่อนคือใคร? หล่อนเป็นเพียงแค่นักโทษคนหนึ่ง อย่าทำให้เกิดปัญหาอะไรเลย

ไม่ว่าคนหรือเรื่องที่เกิดขึ้น ทุกอย่างทำให้หล่อนรู้สึกกระวนกระวายใจ เดิมทีเจี่ยนถงอยากจะหลบหนีออกไป…หล่อนไม่มีของอะไรที่สามารถต่อสู้ได้ หรืออาจจะพูดได้ว่า ไม่มีอะไรที่จะเสียไปมากกว่านี้แล้ว

เมื่อตั้งสติขึ้นได้ จู่ๆหล่อนจึงพูดขึ้น : “ประธานลู่ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวออกไปก่อนนะคะ”

เมื่อพูดว่า “ไป” ไม่ได้เดินออกไปเร็วขนาดนั้น แต่ในใจกลับร้อนรนที่อยากจะผ่านคนตรงหน้าที่อาจจะนำพาหายนะมาให้ ทั้งหมดนี้จึงทำให้ท่าทางการเดินของหล่อนไม่ค่อยสมดุลนัก ในสายตาของประธานลู่ ดูแล้วช่างขำขันเหลือเกิน

เจี่ยนถงลากเท้าเดินออกไปตรงประตูด้วยท่าทางแสนตลก ประธานลู่สอดมือหนึ่งเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แววตาสีน้ำตาลมองผ่านแว่นกรอบทอง คอยจับตามองหญิงสาวที่เดินไปที่ประตูห้องอย่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เขาไม่ขัดหล่อน ราวกับกำลังตามใจและให้อิสระแก่หล่อน

เจี่ยนถงยื่นมือออกมา ในขณะที่กำลังจับด้ามประตูตรงหน้า หล่อนถอนหายใจออก พลางออกแรงแขน ผลักช่องเล็กๆ ออกจนมีแสงสว่างพาดผ่านออกมา ห้องที่ไม่มีใครใช้ ทำให้แสงไฟสลัวเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นแสงสว่างด้านนอกก็ลอดผ่านเข้ามา จนทำให้หล่อนแสบตาจนต้องปิดตาลง… “ว๊าย!”

ในขณะที่ปิดตาลง หล่อนเวียนหัวไปหมด ทันใดนั้น ถูกใครบางคนจับมือและประคองไว้ทัน แรงไม่เยอะมาก เพียงแต่หล่อนเป็นคนผอมและขาที่เดินไม่สะดวกเท่าไหร่ ทำให้หล่อนสะดุดล้มลงบนพื้น

เมื่อตั้งสติขึ้นมาได้ เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้น กลับหันไปเห็นหน้าของผู้ช่วยชีวิต ภายใต้แสงไฟสลัว ทำให้หล่อนมองไม่ชัดเจน คลุมเครือเป็นอย่างมาก

มีมือข้างหนึ่งยื่นมาตรงหน้าหล่อน

“คุณ…จะทำอะไร!”

หล่อนหลบ

“อย่าขยับ” ยังคงเป็นน้ำเสียงอันอ่อนโยน เป็นเสียงของประธานลู่ ที่พูดสั่งอย่างเชื่องช้า

สีหน้าของเจี่ยนถงซีดขาวไปทันที ห้วงเวลาอันเลวร้ายที่ต้องอยู่ในคุกสามปี ทำให้หล่อนที่เคยเป็นคุณหนูที่หยิ่งยโสของตระกูลเจี่ยน ต้องกลายเป็นคนน่าสงสาร น้ำเสียงของประธานลู่อ่อนโยนมาก แต่หล่อนกลับรู้สึกได้ถึงความเยือกเย็นในคำพูดที่อ่อนโยนนี้….เหมือนกับเสิ่นซิวจิ่นเป็นอย่างมาก!

เสิ่นซิวจิ่น…เสิ่นซิวจิ่น…เสิ่นซิวจิ่น….เขากับเสิ่นซิวจิ่นเป็นคนประเภทเดียวกัน เขาจะทำร้ายหล่อน! สายตาของเจี่ยนถงหวาดกลัว อยากจะหลบออกไป

มีเสียงดังขึ้นข้างหู:

“ไม่เชื่อฟังเหรอ? ฉันเกลียดของเล่นที่ดื้อที่สุด”

เจี่ยนถงตัวเกร็ง สีหน้าหวาดผวาจนซีดขาว แสงไฟสลัวจนแทบจะมืดสนิท ทำให้เห็นหน้าไม่ชัด เห็นเพียงใบหน้าอันเลือนรางของคนที่อยู่ตรงหน้า… ประธานลู่? เสิ่นซิวจิ่น?ประธานลู่?เสิ่นซิวจิ่น?

ใคร? คือใครกันแน่?

หล่อนเริ่มสับสน กระวนกระวาย หายใจหืดหอบ ชื่อของสองคนนั้นล่องลอยไปมาในหัวของหล่อน : ประธานลู่,เสิ่นซิวจิ่น,ประธานลู่,เสิ่นซิวจิ่น

“ของเล่นที่ไม่เชื่อฟัง ต้องขังเอาไว้อบรมสั่งสอนดีๆ”

เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง

เจี่ยนถงสั่นไปทั้งตัว แม้แต่การเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยก็หยุดชะงักลง ตาทั้งสองเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แววตาแสดงออกถึงความหวาดผวา… เสิ่นซิวจิ่น!อย่าขังฉัน!

“กรี๊ด! อย่าขังฉัน อย่าขังฉัน อย่าขังฉันเลย!”

“เสิ่นซิวจิ่น” กับ “ขังไว้” ทั้งสองคำนี้ เพียงพอที่จะทำให้หล่อนเป็นบ้าได้ “ขอร้องล่ะ ฉันผิดไปแล้ว ฉันผิดไปแล้วจริงๆ อย่าขังฉัน ขอร้องล่ะ อย่าขังฉัน ฉันไม่กล้าทำอีกแล้ว ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว!”

ประธานลู่ถูกผู้หญิงตรงหน้าสะบัดมืออย่างรุนแรงเหมือนคนบ้า ไม่ทันได้ระวัง จึงเซไปทันที เมื่อตั้งสติขึ้นมาได้ สีหน้าอันอ่อนโยนกลับเยือกเย็นขึ้นมา เขาเป็นถึงคนใหญ่คนโต จับแขนทั้งสองที่กำลังดิ้นพล่าน ตะคอกด้วยความโกรธเคือง:

“เธอบ้าไปแล้วเหรอ!”

“ออกไปๆๆๆ อ๊ากกกก! ฉันสำนึกผิดแล้ว ฉันสำนึกผิดแล้ว ฉันผิดไปแล้วๆๆๆๆ….”

ไม่เคยมีใครทำตัวแบบนี้กับประธานลู่ ที่ผนังมีสวิตช์ไฟ เอื้อมมือออกไปกด “ติ๊ด” แสงไฟทั้งห้องจึงส่องสว่างขึ้นมา

เขารู้สึกโมโหมากขึ้น มือข้างหนึ่งจับแขนทั้งสองของเจี่ยนถงไว้ มืออีกข้างหนึ่งจับคางของหล่อนไว้แน่น: “นี่! เธอโวยวายพอหรือยัง! บ้า…”

“ซี๊ด~” เสียงของประธานลู่หยุดชะงักไปทันที สายตาคู่นั้นที่จดจ้องอยู่ตรงหน้า ทำให้เขาแทบจะหยุดหายใจ

ท่าทางอันบ้าคลั่ง สายตาอันเยือกเย็น…หญิสาวผู้นี้ เป็นอะไรกันแน่!

แววตาของเขาเหลือบมองผ่านแว่นกรอบสีทอง เขาเป็นคนฉลาด ในเมื่อพวกเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หากเป็นเช่นนั้น…ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงคิดเดาขึ้นมาว่า หญิงสาวคนนี้คิดว่าเขาเป็นคนอื่น

สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ประธานลู่ปล่อยมือออกทันที ถอยกลับไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย ช่วงเวลาในตอนนี้ ผู้ชายอย่างเขาคงไม่สามารถตบผู้หญิง เพื่อดึงสติกลับมาได้ใช่ไหม?

วิธีที่ดีที่สุดคือห่างออกไปจากหล่อน รอให้หล่อนตื่นและตั้งสติกลับขึ้นมาได้

สายตาในห้องพิเศษนั้นดับวูบไป ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด หลงเหลือเพียงแค่หญิงสาวที่กำลังบ่นพึมพำอยู่ลำพัง

ประธานลู่มองหล่อนด้วยสายตาเย็นชา ความถี่ในการบ่นพึมพำของหล่อนเริ่มน้อยลง จนเงียบไป ประธานลู่ยกเท้าขึ้น เหยียบไปบนพื้นอันเยือกเย็น เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าหล่อน

เขายื่นมือเข้าไปหาหล่อน เจี่ยนถงหลบหัวออกไปด้านข้าง

เสียงหัวเราะเย้ยดังเข้ามาในหู “ตื่นแล้วเหรอ?”

เจี่ยนถงรู้สึกอับอาย…เกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่

“ขอโทษนะคะ คงเป็นเพราะวันนี้ฉันไม่ค่อยสบาย ทำให้ประธานลู่ตกใจไปด้วย ขอโทษนะคะ”

ประธานลู่หัวเราะเย้ย จากนั้น หน้าผากของเจี่ยนถงร้อนผ่าวขึ้นมา หล่อนได้ยินประธานลู่พูดว่า : “อย่าหลบ ฉันแค่อยากถามเธอว่ารอยแผลเป็นบนหน้าผาก มาจากไหน?” พาหล่อนออกไปจากห้องพิเศษ เพื่อจะมองเห็นรอยแผลเป็นให้ชัดเจนมากขึ้น

ห๊า?

เจี่ยนถงตกใจตะลึง จากนั้น พูดตอบแบบไม่ตั้งใจ : “หกล้มค่ะ”

“หกล้ม?”

“แค่ล้มค่ะ”

ก็แค่หกล้มไงล่ะ

เบี่ยงสายตาก้มลงมอง “ประธานลู่ปล่อยฉันได้ไหมคะ?” รอยแผลเป็นนั้น หล่อนไม่เคยชินกับการเปิดให้คนอื่นเห็นหรือไม่คุ้นกับการที่ให้คนอื่นเจอ ประธานลู่ปล่อยมือออก มองดูหญิงสาวตรงหน้า รีบปิดรอยแผลเป็นด้วยความรวดเร็ว จากนั้นจัดหน้าม้าลงปิดบังแผลบนหน้าผากของตนเอง

“เธอให้ความสำคัญกับรอยแผลเป็นบนหน้าผากมาก?” ประธานลู่ขำเล็กน้อย “ถ้าให้ความสำคัญมากขนาดนี้ ทำไมไม่ไปโรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งเอาออกล่ะ”

เขาพูดพลาง ไม่สนใจที่คุยกับผู้หญิงบ้าตรงหน้าต่อแล้ว ยกเท้าขึ้นกำลังจะเดินออกไป

“ฉันไม่ได้ปกปิดรอยแผลเป็นนี้ ทั้งชีวิตนี้ ฉันไม่มีทางลบออกไปได้”

ทันใดนั้น!

ประธานลู่วางเท้าลง เงียบไปครู่หนึ่ง ภายในห้องพิเศษนั้นมีเสียงพูดอันทุ้มต่ำดังขึ้น

“ก่อนหน้านี้ มีหญิงสาวคนหนึ่งเคยพูดไว้เช่นนี้ หล่อนมีแผลเป็นบนหน้าผากที่ไม่สามารถลบออกได้ตลอดชีวิต ไว้หน้าม้า ไม่ใช่เพื่อการปกปิดรอยแผลเป็นนั้น”

เจี่ยนถงหัวใจเต้นแรง…เป็นเพราะ หล่อนเองเคยผ่านเหตุการณ์เช่นนั้นมา ดังนั้น จึงเข้าใจความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังได้

“คนที่พูดประโยคนี้ คือคนที่คุณรักใช่ไหม?” ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ทั้งๆที่รู้ดีว่า หล่อนต่ำต้อยไร้ค่า ไม่ควรพูดอะไรมาก ขณะที่ถามออกไป ก็รู้สึกเสียใจภายหลัง

เจี่ยนถงอย่าลืมล่ะ เธอเป็นแค่นักโทษฆ่าคนที่ออกมาจากคุกเพื่อใช้แรงงาน!

“ไม่สิ ฉันไม่ได้รักหล่อน” เจี่ยนถงได้ยินประธานลู่พูดขึ้น: “แต่ฉัน เป็นคนที่หล่อนรัก ดังนั้น หล่อนจึงตายไปแล้ว”

“……”

“หล่อนรักฉัน ลึกลงไปถึงกระดูก ดังนั้น หล่อนจึงตาย ตายอย่างอนาถ” เจี่ยนถงยืนเกร็งอยู่ที่เดิม สายตามองไปที่เงาของประธานลู่ เสียงของเขานิ่งเรียบ ราวกับกำลังเล่าเรื่องราวของคนอื่นอยู่

แต่ทว่า เจี่ยนถงกลับได้ยินเสียงความเจ็บปวดของหัวใจแฝงอยู่ในน้ำเสียงอันนิ่งเรียบนี้

หล่อนไม่รู้เรื่องอะไร เพียงแต่รู้สึกว่า ตอนนี้ผู้ชายคนนี้ช่างน่าสงสารเหลือเกิน หล่อนยื่นมือออกไป ใช้วิธีปลอบเหมือนตอนที่พี่ชายปลอบหล่อนตอนเป็นเด็ก เพียงแต่หล่อนยังจำสถานะของตัวเองได้ดีว่าเป็นเพียงแค่นักโทษใช้แรงงาน เจี่ยนถงโอบกอดประธานลู่เบาๆด้วยท่าทางอันใสซื่อ

ประธานลู่ตัวเกร็งแข็งไปทันที ได้ยินเสียงอันอ่อนหวานดังขึ้นมาข้างหู:

“ถ้าหล่อนรู้ว่าคุณรักหล่อน ฉันคิดว่าเธอคงมีความสุขอยู่ในโลกอีกมิติมาก ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ของหล่อน คือการได้รับความรักจากคุณ”

เจี่ยนถงกำลังจะถอยออกไป

ทันใดนั้น!

แรงมหาศาล โอบกอดหล่อนไว้แน่น บนไหล่ของหล่อน แบกรับน้ำหนักของหัวฝ่ายชายที่ซบพิงลงมา หล่อนได้ยินเสียงที่ดังขึ้น กระซิบอยู่ข้างหู อย่างแผ่วเบา:

“ขอโทษนะอันหรัน ผมรักคุณอันหรัน”

เจี่ยนถงรู้สึกปล่อยวางขึ้นมาทันที เขาคนนี้ เป็นเพราะหล่อนและผู้หญิงที่เขารัก มีรอยแผลเป็นบนหน้าผากเหมือนกันทั้งคู่ คงเป็นเพราะมีรอยแผลเป็นที่เหมือนกัน ตอนนี้ เขาจึงคิดว่าหล่อนเป็นหญิงสาวที่หล่อนรัก——อันหรัน หญิงสาวทีเขาไม่มีโอกาสได้พูดขอโทษ และ พูดว่า “ฉันรักคุณ” ด้วยตัวเองอีกแล้ว

“ลู่……”

ยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆมีเสียงอันเย็นชาดังขึ้นมาจากหน้าประตู: “ลูเชน ปล่อยหล่อน”

มองไปที่ประตู สีหน้าของเจี่ยนถงซีดขาวขึ้นมาทันที!

ลูเชนก็คือประธานลู่ ตอนนี้รู้สึกได้ถึงความสั่นของคนด้านข้าง หรี่สายตาลง มองไปที่คนด้านหน้าประตูเช่นกัน : “อ๋อ~ ที่แท้ก็นายนี่เอง!” คำว่าที่แท้ก็นายนี่เอง ทำให้หญิงสาวคนนี้กลัวจนขาดสติ

เสิ่นซิวจิ่นรูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู ใบหน้าอันหล่อเท่ของเขาถูกปกคลุมด้วยความเย็นชา เขาเงยหน้าขึ้นหันไปมองเจี่ยนถงที่ยืนอยู่ด้านข้างลูเชน:

“มานี่”

เจี่ยนถงหน้าถอดสี สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว สองขาของหล่อนไร้เรี่ยวแรง เสิ่นซิวจิ่นในตอนนี้ เต็มไปด้วยรังสีอำมหิตแผ่ซ่านจนทำให้หล่อนหวาดผวา

เสิ่นซิวจิ่นหรี่ตามอง น้ำเสียงเยือกเย็นจนถึงจุดติดลบ : “เห็นทีเธอคงไม่รู้จักหลาบจำ สอนอะไรก็ไม่เชื่อฟัง”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจี่ยนถงรู้สึกเหมือนฟ้าผ่ากลางอก หวาดกลัวไปทั้งตัวจนยกเท้าขึ้น…

ทันใดนั้นมือข้าหนึ่งจับตัวหล่อนไว้ ลูเชนหันไปมองเสิ่นซิวจิ่นพูดหยอกล้อ “ตอนนี้หล่อนไม่มีเวลารับมือกับนายเสิ่นซิวจิ่น นายไม่เห็นว่าหล่อนกำลังสนุกอยู่กับฉันเหรอ”

แคร็ก!

เสียงกระดูกข้อนิ้วมือดังขึ้น แววตาอันโหดเหี้ยมของเสิ่นซิวจิ่นจ้องมองอย่างดุร้ายเหมือนเหยี่ยว จนไม่สนใจ ลูเชนที่ยืนอยู่ด้านข้างแม้แต่น้อย เขาจ้องมองเพียงแต่เจี่ยนถง ยกเท้าขึ้น ค่อยๆก้าวเดินทีละก้าว ตึก ตึก…ตรงไปที่เจี่ยนถง:

“ใครกัน? ใครให้เธอกล้ามายั่วผู้ชายคนอื่นแบบนี้?” ฝ่ายชายพูดเน้นทีละคำ ด้วยน้ำเสียงอันดุดัน ถามต่อ “หรือว่าเธอ ยังอยากกลับไปอยู่ในคุก หื้ม?”

คุก!

ไม่…ไม่!

มือของหล่อนสั่น ส่ายหน้าสุดแรง หล่อนไม่ยอม หล่อนไม่ยอมกลับไปถูกขังในสถานที่แบบนั้นอีก หล่อนจะไปเอ๋อร์ไห่ จะไปใช้หนี้

“ไม่…”

เสียงกรีดร้องอันโหดร้ายเพิ่งจะดังขึ้น ด้านหน้ากลับมืดสนิทไปทันที ตัวของหล่อนค่อยๆอ่อนแรงลงจนล้มกองไปบนพื้น

“เธอบ้าไปแล้ว!”

“ออกไป!”

เสียงของทั้งสองดังขึ้นพร้อมกัน มือทั้งสองหันไปรับตัวของเจี่ยนถงที่ล้มลงในเวลาเดียวกัน

“ออกไป!” เสิ่นซิวจิ่นอุ้มตัวหญิงสาวขึ้นมากอดไว้ในอ้อมอก ในขณะเดียวกันก็กำหมัดชกลูเชนไปอย่างไม่เกรงใจ

————

บทที่ 30 คนน่าสงสาร

เห็นได้ชัดว่าฝีมือของลูเชนไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก

เพียงแค่ขยับตัว ก็สามารถหลบหมัดได้อย่างรวดเร็ว

หลังจากที่เสิ่นซิวจิ่นและลูเชนแลกหมัดกัน ทั้งสองต่างคนต่างถอยไปคนละด้าน เผชิญหน้ามองตาซึ่งกันและกัน

สีหน้าของเสิ่นซิวจิ่นเยือกเย็น สายตามองอย่างเฉียบคม ทำไมเขาจะมองไม่ออกว่า ลูเชนไม่อยากใช้กำลังกับเขา ไม่เช่นนั้น คงไม่หลบหมัดของเขาเมื่อครู่…คนอย่างลูเชน ไม่ใช่คนที่เจออุปสรรคแล้วยอมแพ้ง่ายๆ เขาควรจะรับหมัดไว้ ไม่ใช่หลบเช่นนี้

นี่ถือเป็นสองวิธีรับมือที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เห็นได้ชัดว่าลูเชนไม่อยากใช้กำลังต่อสู้กับเขา

“อยู่ห่างจากเธอซะ” หลังจากพูดจบ เสิ่นซิวจิ่นอุ้มผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมอกเตรียมจะเดินออกไป

เมื่อเดินถึงหน้าประตู มีเสียงพูดเตือนดังขึ้นมาจากด้านหลัง : “เห็นว่านายเป็นศัตรูที่สำคัญที่สุดของฉัน ฉันขอพูดอะไรเตือนสตินายไว้หน่อย รีบทำตามสิ่งที่หัวใจเรียกร้องตั้งแต่เนิ่นๆ” อย่าเป็นเหมือนเขา ที่สุดท้ายต้องมานั่งเสียใจภายหลัง

ลูเชนกะพริบตา ปกปิดความมืดมิดภายใต้แววตาของตัวเองไว้

ที่หน้าประตู ชายสีหน้านิ่งเรียบพูดขึ้น “เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับนาย”

ลูเชนไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน เดิมทีเขาไม่อยากพูดอะไรมากมาย แต่สายตาของเขาเหลือบไปเห็นหญิงสาวคนนั้น รู้สึกใจอ่อน “เสิ่นซิวจิ่น นายตกหลุมรักหล่อนเข้าแล้ว”

เสิ่นซิวจิ่นแทบจะหัวเราะและร้องไห้ออกมาพร้อมกัน

มุมปากของเขาฉีกยิ้มขึ้น ก้มลงมองหญิงสาวในอ้อมอก…เขาตกหลุมรักหล่อน?

ลูเชนเห็นถึงความไม่ยอมรับของเสิ่นซิวจิ่น เขาหัวเราะเบาๆ…ตัวเองกลายเป็นคนดีมีคุณธรรมตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงได้ใจดีเตือนศัตรูของตัวเองว่าอย่าทำผิดกับเรื่องความรัก

“นี่ สุดท้ายนี้ ฉันขอเตือนนายด้วยความหวังดีอีกหนึ่งอย่าง อย่าพูดคำว่า ‘ขัง’ ต่อหน้าหญิงสาวคนนี้อีก”

เสิ่นซิวจิ่นที่กำลังเดินอยู่ หยุดชะงักลงทันที จากนั้น ขาอันเรียวยาวก็ก้าวเดินออกจากห้องตรงไปที่ลิฟต์

ลูเชนจัดแว่นกรอบสีทองของตัวเอง ปัดฝุ่นบนชายเสื้อสูท เดินตามหลังเสิ่นซิวจิ่นออกไปจากห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

….

เสียงลิฟต์ดังขึ้น หยุดอยู่ที่ชั้น 28

เมื่อประตูลิฟต์ถูกเปิดออกเสิ่นซิวจิ่นรีบวางหญิงสาวในอ้อมอกลงบนเตียง หยิบมือถือออกมากดโทรออก: “มาที่ตงหวง ชั้น28 มีผู้หญิงเป็นลมหมดสติ”

พูดสรุปความอย่างง่ายดาย จากนั้นก็ตัดสายไปทันที

คู่สาย ไป๋ยู่สิงนิ่งไปสักพัก ตามด้วยสีหน้าตื่นตกใจ : “ผู้หญิง?”

เสิ่นซิวจิ่นไอ้หมอนั่นพาผู้หญิงขึ้นห้องอีกแล้วเหรอ?

หากจะบอกว่าให้รีบไปช่วยชีวิตคน พูดว่าไปดูการแสดงเด็ดๆคงจะดีกว่าไป๋ยู่สิง รีบถอดเสื้อกาวน์ออก หยิบเสื้อคลุมด้านข้างขึ้นมา หยิบกุญแจรถ และวิ่งออกจากห้องด้วยความรวดเร็ว

“คุณหมอไป๋ รีบร้อนขนาดนี้ จะไปไหนเหรอ?”

“ไปดูผู้หญิง”

“…”

ไป๋ยู่สิงขับรถออกไปด้วยความเร็วสูงตรงไปที่โรงจอดรถ พลางโทรหาซีเฉินอย่างมีเลศนัย : “มีการแสดงเด็ดๆให้ดู ไปไหม?”

“ไม่ว่าง” คู่สายไม่อยากไปจึงปฏิเสธทันที

“โชว์เด็ดของเสิ่นซิวจิ่น”

“ที่ไหน?” เมื่อครู่ยังบอกปัด เมื่อได้ยินชื่อของเสิ่นซิวจิ่นรีบกลับคำทันที

ไป๋ยู่สิงยิ้มเย้ย “ตงหวง ชั้น28”

“ให้ตายเถอะ! ตรงนั้นมีอะไรให้ดู? เขาไม่มีทางให้ใครไปชั้น28 ไปอยู่แล้ว”

“ชั้น28 มีผู้หญิงเป็นลมหมดสติอยู่”

“รอด้วย ฉันจะไปเดี๋ยวนี้!”

ทั้งสองตื่นเต้นกันมาก หากให้พ่อแม่ของพวกเขามาเห็นตอนนี้ คงหมดคำพูดแน่นอน

เรียกให้พวกเขาไปรับโบนัสสิ้นปี ยังไม่กระตือรือร้นเท่านี้

ตงหวง ชั้น28

ฝ่ายชายยืนอยู่ด้านข้างเตียง มือล้วงอยู่ในกระเป๋า ก้มหน้าลงมองหญิงสาวบนเตียง

เขารู้ดีว่า ใบหน้าของหญิงสาวผู้นี้ เล็กมาก เทียบไม่ได้กับฝ่ามืออันใหญ่และหนาของเขา

แต่…ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่ใบหน้าของหล่อน ถึงซูบได้มากขนาดนี้?

ตาโรยทั้งคู่ ใบหน้าอันขาวซีด ริมฝีปากที่แตกแห้ง… เจี่ยนถงที่สดใสเหมือนดอกกุหลาบสีแดงสดล่ะ? ไปไหนแล้ว?

มองดูหญิงสาวบนเตียง…สาวน้อยผู้น่าสงสาร คำนี้ล่องลอยอยู่ในหัวของเขาตลอด

เขาตกหลุมรักสาวผู้น่าสงสารต่ำต้อยไร้ศักดิ์ศรีได้อย่างไรกัน?

คนอย่างเขาเสิ่นซิวจิ่นรักผู้หญิงเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?

ระหว่างที่เขาเย้ยมุมปากขึ้น ความคิดนี้ ยังไม่ทันได้คิดตกตะกอน ก็ถูกเขาละเลยไปทันที

ไม่ยอมรับ

มือถือสั่นขึ้นมา กดปุ่มรับสาย ไป๋ยู่สิงมาถึงแล้ว

“ขึ้นมาเลย” เขารีบพูดกับคู่สายด้วยเสียงนิ่งเรียบ จากนั้นตัดสายไป เดินไปหยุดตรงหน้าลิฟต์ กดปุ่มควบคุม

ลิฟต์ตัวนี้สามารถขึ้นมาถึงชั้น28ได้ทันที แต่ถ้าไม่มีบัตร ไป๋ยู่สิงก็ขึ้นมาไม่ได้ ต้องให้เขากดปุ่มตรงหน้าลิฟต์

ติ๊ง!

ประตูลิฟต์ถูกเปิดออก เสิ่นซิวจิ่นไม่รู้สึกประหลาดใจที่ในลิฟต์ไม่ได้มีเพียงไป๋ยู่สิงคนเดียว

“เข้ามาสิ”

เหลือบมองดูทั้งสองภายในลิฟต์ เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้มีท่าทีจะกีดกันซีเฉิน

“ผู้หญิงล่ะ?”

ราวกับมีแสงเลเซอร์สีน้ำเงินในตาของซีเฉิน เขาใช้สายตากวาดมองไปรอบๆ เพื่อหาเป้าหมาย

“ที่นี่คือตงหวง ถ้าจะหาผู้หญิง ด้านล่างมีเต็มไปหมด นายอยากได้ผู้หญิงแบบไหน บอกซูเมิ่งได้เลย ให้หล่อนหาให้นาย”

เสิ่นซิวจิ่นพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“เอ่อ…”

ไป๋ยู่สิงส่งสายตาบอกเป็นนัยให้ซีเฉิน “นายปัญญาอ่อนหรือไง”

“แค่กๆ… เสิ่นซิวจิ่น ผู้หญิงที่นายบอกว่าเป็นลมหมดสติ คงไม่ใช่…หล่อนใช่ไหม?” ซีเฉินกับไป๋ยู่สิงเดินตามหลังเสิ่นซิวจิ่นเข้าไปในห้องนอน เมื่อกวาดสายตามองดู เห็นหญิงสาวที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง เมื่อมองเข้าไปอย่างตั้งใจ…บนเตียงนั้นคือเจี่ยนถงที่ถูกเสิ่นซิวจิ่นจับขังคุกไปไม่ใช่เหรอ?

ตกใจจนแทบจะล้มทั้งยืน!

หลังจากที่ไป๋ยู่สิงเห็นหญิงสาวบนเตียง สายตาของเขากลับมองด้วยความลึกซึ้งขึ้นมา เพียงแต่เขากับซีเฉินมีนิสัยที่แตกต่างกัน เขาจึงไม่ได้โวยวายอะไรออกมา

แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ตอนที่เขาและซีเฉิน เห็นหญิงสาวคนนั้น รู้สึกตกใจเหมือนกัน

“ดูอาการให้หล่อนหน่อยว่าอันตรายหรือไม่”

เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายด้านข้าง ดังขึ้นด้วยความนิ่งเรียบ

ไป๋ยู่สิงรู้สึกสงสัยขึ้นมา จึงรีบนั่งคุกเข่าลงไปตรวจให้เจี่ยนถง

ทดสอบการหายใจ จับชีพจร ไป๋ยู่สิงยื่นมือออกไปปลดกระดุมด้านหน้าของหล่อน…

มีมือเอื้อมเข้ามาจากด้านข้างปัดมือเขาออกอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน พูดตะคอกด้วยความระแวง:

“นายจะทำอะไร!”

“…เอ่อ” ไป๋ยู่สิงมองตามมือที่จับข้อมือของตัวเองไว้ เห็นสายตาอันเหี้ยมโหดของใครบางคน กำลังจดจ้องมาที่ตัวเอง ท่าทางของเขา ทำให้ไป๋ยู่สิงเพื่อนรักตั้งแต่สมัยเด็ก อดไม่ได้ที่จะกลัวจนตัวสั่น:

“เอ่อๆๆ…ฉันจะตรวจจังหวะการเต้นของหัวใจหล่อน”

“ตรวจก็ตรวจ นายจะปลดกระดุมหล่อนทำไม?”

“…”ไป๋ยู่สิงสายตามืดมน พี่ชาย! ไม่ปลดกระดุมแล้วจะฟังชีพจรของหล่อนได้ยังไง?

“ฉันต้องฟังชีพจรของหล่อน แพทย์แผนจีนต้องดู ต้องสัมผัส และถาม แพทย์ตะวันตกก็เช่นกัน!”

ไป๋ยู่สิงอดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองบนใส่เสิ่นซิวจิ่น!

เมื่อเขาอธิบายเสร็จ เสิ่นซิวจิ่นจึงจะยอมปล่อยมือเขาออก เขาจึงเอื้อมมือไปปลดกระดุมเหมือนเมื่อครู่ต่อ

แต่กลับถูกมือของเขากั้นไว้อย่างแน่นหนา : “ฉันทำเอง”

ไป๋ยู่สิง:“……”

ซีเฉิน:“……”

ทั้งสองสบตามองกัน เห็นท่าทางประหลาดใจของกันและกัน

“แบบนี้ได้แล้วยัง?” ทันใดนั้นเสิ่นซิวจิ่นหันไปถามไป๋ยู่สิง

ไป๋ยู่สิงตกใจ รีบพูดตอบ : “ดะ…ได้ ได้ๆๆ”

มองไปที่ช่องว่างที่ถูกเปิดออกเล็กเท่านิ้วโป้ง..ไม่ได้ก็ต้องบอกว่าได้!

“ไม่เป็นอะไร แค่ตกใจเกินไป” หลังจากไป๋ยู่สิงตรวจเสร็จ จึงพูดหยอกล้อเล่น

“ฉันว่านะ เสิ่นซิวจิ่น ทำไมฉันจึงรู้สึกว่า นายปฏิบัติต่อเจี่ยนถงเป็นพิเศษมาก?”

————

บทที่31: อาลู่ อะลู่

ไป๋ยู่สิงนายนี่ช่างกล้าพูดจังเลยนะ!

ซีเฉินที่แต่ไหนแต่ไรมาก็ดูไว้ใจไม่ค่อยได้ มองไปที่ไป๋ยู่สิงก็ยังอดตัวสั่นไม่ได้

“ฮึ่มๆ ยู่สิง ฉันดูท่าตอนนี้ก็ไม่มีธุระของพวกเราแล้ว ฉันหิวข้าวแล้วว่ะ นายไปทานข้าวเป็นเพื่อนฉันเถอะ”

ไปเถอะๆ ลูกพี่ ฉวยโอกาสตอนที่เสิ่นซิวจิ่นไอ้หมอนั่นยังไม่เริ่มคลุ้มคลั่งขึ้นมา พวกเรารีบไปกันเถอะ……….ซีเฉินพูดอย่างเร่งรีบ

มันก็จริงอ่ะ เรื่องบาดหมางของเสิ่นซิวจิ่นกับเจี่ยนถง ไป๋ยู่สิงไม่รู้รึไง?

เจี่ยนถงทำให้เซี่ยเวยเหมิงตาย ตอนนั้นเจี่ยนถงยังเป็นคุณหนูของตระกูลเจี่ยน เสิ่นซิวจิ่นบอกส่งคนเข้าคุกก็ส่งเข้าคุกเลย ตอนนี้คนออกมาจากคุกแล้ว เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยคนไปอื่น

เสิ่นซิวจิ่นเกลียดเจี่ยนถงมากแค่ไหน คนโง่ก็ยังดูออก

ไป๋ยู่สิงที่แต่ไหนแต่ไรมาก็ใจดำอยู่แล้ว ทำไมถึงพูดคำพูดโง่ๆแบบนี้ออกมาได้!

ไป๋ยู่สิงไม่สะทกสะท้าน ตั้งแต่ต้นจนจบมุมปากก็ยังมีรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่งประดับอยู่ “เสิ่นซิวจิ่น นายอยากรู้ไหม?” ระหว่างเขาพูด จู่ๆนิ้วมือได้ชี้ไปทางผู้หญิงที่อยู่บนเตียง: “นายอยากรู้ความลับของผู้หญิงคนนี้ไหม?”

เขาเป็นหมอ แถมยังเป็นหมอที่มีชื่อเสียงมาก

ถ้าการตรวจเช็คของเมื่อครู่ ยังไม่สังเกตเห็นความผิดปกติล่ะก็ ถ้าอย่างนั้น ตลอดที่ทำอาชีพนี้มา ก็ทำไปอย่างสูญเปล่าแล้ว

ผู้ชายที่อยู่ขอบเตียงหรี่ตาขึ้นมา มองดูไป๋ยู่สิงอย่างละเอียด จากนั้นก็พูดออกมาคำหนึ่ง “ไม่อยาก”

ความลับของผู้หญิงคนนี้?………ถึงผู้หญิงคนนี้จะมีความลับ ก็ควรจะเป็นเขาที่รู้ก่อน แต่ไม่ใช่ไป๋ยู่สิง!

ในใจมีไฟที่ไม่มีชื่อปะทุขึ้นมา นอกจากเขาแล้ว ผู้หญิงที่สมควรตายคนนี้ยังสนิทแนบแน่นกับคนอื่นขนาดนี้ด้วยหรอ?

“ในเมื่อหิวแล้ว งั้นก็ลงไปทานข้าวซะ”

ออกคำสั่งขับไล่แขกอย่างตรงไปตรงมา ไป๋ยู่สิงกะพริบตาปริบๆ :“เฮ้ย คนแซ่เสิ่น นายยังเอาหน้าอยู่ไหมเนี่ย พอหมดประโยชน์แล้วก็ถีบหัวส่งเลย?”

“ไปเถอะ ยู่สิง”ซีเฉินรีบลากไป๋ยู่สิงไว้ และยัดไป๋ยู่สิงเข้าไปในลิฟต์

“นี่นายทำอะไรวะ!” ในลิฟต์ ไป๋ยู่สิงกลอกตาขาวใส่ซีเฉินทีหนึ่ง: “จะไปก็ไปเอง มาลากฉันทำไมวะ?”

ถูกไป๋ยู่สิงโมโหใส่แบบนี้ ซีเฉินก็ชักจะไม่พอใจแล้ว: “เฮ้ย คนแซ่ไป๋ นายอย่ามาไม่รู้ผิดชอบชั่วดีนะ! กูลากมึงมาก็เพราะหวังดีกับมึงนะเว้ย

นี่นายเป็นบ้ารึไง ที่ไปพูดแบบนั้นต่อหน้าเสิ่นซิวจิ่น ความหมายของคำพูดนายก็ไม่ใช่หมายความว่า เสิ่นซิวจิ่นคิดอะไรกับเจี่ยนถงเหรอ?

สมองนายมีปัญหารึเปล่าวะ เสิ่นซิวจิ่น เห้อ! เจี่ยนถง เห้อ!

เรื่องบาดหมางของสองคนนี้ ไม่ใช่แค่นิดๆหน่อยๆ แต่เป็นชีวิตของเซี่ยเวยเหมิงเลยนะเว้ย!

เสิ่นซิวจิ่นเกลียดเจี่ยนถงมากแค่ไหน นายไม่รู้หรือไง? ว่าจะเอาคนเข้าคุกก็เอาเข้าคุกเฉยเลย นายดูตระกูลเจี่ยนสิยังเงียบกริบไม่กล้าพูดอะไรเลย แล้วนายดูเจี่ยนถงในตอนนี้อีกซิว่ายังมีหน่วยก้านที่หยิ่งผยองเหมือนเมื่อสามปีก่อนมั้ย?

คุณหนูของตระกูลเจี่ยนในตอนนั้น นั่นคือดอกกุหลาบสีแดงดอกหนึ่งที่โอหังและถือดีในเซี่ยงไฮ้นี้ มีบุคลิกภาพที่มีความมั่นใจหยิ่งยโส ความเย่อหยิ่งของเธอ คุณชายทั้งหลายในทั่วเซี่ยงไฮ้มีใครบ้างที่ไม่รู้ แม้กระทั่งถึงขั้นยอมฮึดสู้ไม่กลัวเสียสละก็เพื่อที่จะได้พูดคุยกับคุณหนูของตระกูลเจี่ยนคำหนึ่ง……..เจี่ยนถงในตอนนั้น ดูดีไร้ที่ติ

พูดจากใจจริงเลยนะ แม้แต่เซี่ยเวยเหมิงเองที่มีเสิ่นซิวจิ่นค้ำหัวให้ ถึงแม้เซี่ยเวยเหมิงจะมีเสิ่นซิวจิ่นคอยปกป้องอยู่ เธออยู่ตรงหน้าของคุณหนูตระกูลเจี่ยนก็ยังสู้ความเจิดจรัสของคุณหนูตระกูลเจี่ยนไม่ได้

แต่นายดูอีกซิ คนที่นอนอยู่บนเตียงในวันนี้ เธอคือเจี่ยนถงจริงเหรอ?ตอนที่เห็นแว๊บแรก นายไม่ประหลาดใจเลยหรอ?

ทำจนหน้าตาเธอกลายเป็นแบบนั้น เสิ่นซิวจิ่นจะมีใจให้เธอเหรอ?”

ไป๋ยู่สิงหายใจออกแรงๆ ดวงตาทั้งคู่อดไม่ได้ที่จะกลอกตาขาวใส่………..“นายจะไปรู้ห่าอะไรวะ!”

“เย็ดแม่ง!มีอะไรไม่พูดดีๆ ทำไมดันต้องด่าคนด้วยวะ?”

“บอกว่านายจะไปรู้ห่าอะไรถือว่ายกยอนายแล้ว เอาล่ะ ฉันเลี้ยงข้าวนายเอง”

“นี่นาย……..โอเค! ฉันจะกินหมูเปรี้ยวหวานที่คุณป้าทำ”

“ไปให้พ้นเลยไป ดึกดื่นป่านนี้ นายยังจะให้แม่ฉันลุกขึ้นมาทำกับข้าวให้นายกินรึไง กินอาหารข้างทางตรงหน้าประตูเนี่ยแหละ จะกินไม่กิน ไม่กินก็ช่าง”

“กิน!”

แน่นอนว่าคุณชายสองท่านนี้ ย่อมไม่มีทางกินอาหารข้างทางจริงๆอยู่แล้ว

…………………..

ชั้นสองของตงหวง

เสิ่นซิวจิ่นยืนอยู่ที่ข้างเตียง หรี่ตามองผู้หญิงที่อยู่บนเตียง………..ความลับ?

ความลับของผู้หญิงคนนี้…….คืออะไร?

ทำไมไป๋ยู่สิงเองยังรู้เลย แต่เขากลับไม่รู้?

หยิบมือถือขึ้นมาโทรหาลูกน้อง

“Bossครับ” เสียงเคารพของเสิ่นยีก้องมาจากในสาย

“นายช่วยฉัน…….”

เสิ่นซิวจิ่นเพิ่งพูด

บนเตียงก็มีเสียงเพ้อฝันดังขึ้นมา:

“อาลู่ อย่าไป…….”

ผู้ชายที่ยกมือคุยโทรศัพท์อยู่ มือที่กุมมือถือไว้ได้จับแน่นขึ้นทันที!

“อาลู่ เราไปที่นั่นด้วยกัน ไปด้วยกันนะ……..”

ทันใดนั้น นัยน์ตาคมเข้มหดขึ้นมาทันที!

มือถือยังมีเสียงของเสิ่นยีก้องมา: “Bossครับ?”

ข้างเตียง สีหน้าของผู้ชายมีน้ำแข็งปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง เขาหลุบตามองผู้หญิงคนนั้นที่อยู่บนเตียง เสียงที่เยือกเย็นไร้ความรู้สึกได้พูดใส่มือถือคำหนึ่ง:“ไม่มีอะไรแล้ว”ก็ตัดสายทิ้งไปเลย

มือถือถูกเขาทิ้งไปข้างๆ รูปร่างสูงใหญ่จู่ๆโน้มตัวลง!

แขนที่เต็มไปด้วยพลังยื่นมือไปที่เธอ!

จับคางของคนที่อยู่บนเตียงไว้!

จู่ๆเจี่ยนถงที่อยู่ในความฝันรู้สึกเจ็บ ความเจ็บดึงเธอจากฝันร้ายกลับมาในโลกแห่งความเป็นจริง พอลืมตาขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาก็ปรากฏอยู่ที่ตรงหน้าเธอแล้ว เธอเองยังมึนกับสถานการณ์อยู่เลย

เสียงนั้น เหมือนฝันร้ายที่เธอสลัดทิ้งไม่ได้ชั่วนิรันดร์ ถามอย่างดุร้ายและเสียงดัง:

“ลืมตาดูให้ชัดๆว่าผมคือใคร!”

บนหน้าผากของเสิ่นซิวจิ่นมีเส้นเอ็นสีเขียวนูนออกมา!

อะลู่!

อะลู่? ? ?

สนิทแนบแน่นขนาดนี้แล้วเหรอ?

ไปคบหากับลูเชนตั้งแต่เมื่อไหร่!

“เจ็บค่ะ………” เจี่ยนถงขมวดคิ้ว

“เจ็บงั้นเหรอ?” เสียงที่เยือกเย็นแฝงด้วยความโกรธที่ไร้ขีดจำกัด จู่ๆเขาหัวเราะเยาะขึ้นมา: “เจ็บ? เจี่ยนถง เชื่อผม ยังมีที่ให้คุณเจ็บมากกว่านี้อีกเยอะ!”

“ดูให้ชัดๆ! คุณนอนอยู่ที่บนเตียงผม แต่ปากกลับเรียกหาชื่อคนอื่น! อะลู่? คุณสนิทแนบแน่นกับเขาขนาดนั้นเลยเหรอ?”

เจี่ยนถงสีหน้าซีดเซียว

เขารู้จักอาลู่ได้ยังไง?

ในใจเจ็บเหมือนถูกฉุดกระชากจนฉีกขาด……..อาลู่ เป็นความลับที่อยู่ในใจลึกๆของเธอที่ไม่อยากให้ใครรู้!

เป็นหนี้ของเธอ!

เป็นหนี้ที่เธอชดใช้ไม่หมด!

สีหน้าแววตาที่ตื่นเต้นและวิตกกังวลของเธอ อยู่ในสายตาของเสิ่นซิวจิ่นได้อ่านเป็นอีกความหมายหนึ่ง เขายิ่งโกรธกริ้วขึ้นไปอีก ไฟที่อยู่ในใจ ไม่รู้ว่าทำไมยิ่งอยู่ยิ่งลุกท่วมขึ้นมาอย่างแรง!

“เจี่ยนถง ประพฤติตัวดีๆหน่อย จำเอาไว้ด้วยว่าคุณคือใคร!”

สีหน้าของเจี่ยนถงซีดเซียวขึ้นมาทันที!

เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้ด่าเธอ ไม่มีคำพูดที่เหยียดหยามเลยสักคำ แต่คำๆนี้ กลับยิ่งกดทับจนเธอหายใจไม่ออก กว่าคำพูดเหยียดหยามเหล่านั้น!

เขากำลังย้ำเตือน “ความผิด”ที่เธอเคยทำ ตอนนี้เธอเป็นแค่นักโทษชั้นแรงงานคนหนึ่ง!

ความรักที่มีต่อเขา เหลือแค่ความหวาดกลัว

หลุบตาลงอย่างเงียบสงบ ขนตาบังดวงตาทั้งคู่ไว้ และกีดกั้นทุกอย่างของโลกภายนอก ก็เหมือนหัวใจที่ถูกปิดตายของเธอ…….เสิ่นซิวจิ่น ฉันรู้ ฉันเป็นแค่นักโทษชั้นแรงงานหมายเลข“9 2 6”

“คุณเสิ่น ฉันขอโทษค่ะ”

ผู้หญิงพูดจาเชื่องช้ามาก “คุณเสิ่น ฉันจำได้เสมอค่ะ ว่าฉันเป็นแค่นักโทษชั้นแรงงานหมายเลข“9 2 6” ฉัน ไม่ใช่อะไรเลยค่ะ”

เธอเงียบสงบลงมา และไม่ต้องการความสงสารเวทนาของเขา ไม่ต้องการความเข้าใจของเขา ถึงแม้ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดกันแน่ เธอก็ยังพูด:

“คุณเสิ่น ถ้าฉันทำอะไรผิดไป ไม่ว่าคุณจะลงโทษฉันยังไง ฉันได้หมด ฉันแค่ขอร้องคุณให้ฉันมีชีวิตรอดออกไปจากตงหวงเถอะนะคะ”

ตั้งแต่ต้นจนจบเขาก็ยังเกลียด!

แต่เธอจะต้องมีชีวิตต่ออยู่ เธอจะต้องมีอิสระ เธอจะ…..ไปจาก!

เธอผลักมือของเขาที่จับคางของเธอไว้อย่างช้าๆ แบกร่างกายลงมาจากขอบเตียง ภายใต้สายตาที่ตกใจของผู้ชาย เธอคุกเข่าลง ศักดิ์ศรีของเธอ……รู้สึกเหมือนนั่นเป็นเรื่องที่ยาวไกลและนานมากแล้ว

…………………..

บทที่32:ถามคุณครั้งสุดท้าย

“ผลึก!”

เสียงหัวเข่ากระแทกพื้น!

“ประธานเสิ่นคะ เงินห้าล้านฉันจะโอนเข้าบัญชีไม่ให้ขาดสักแดงเดียว ฉันจะขยันทำงานแน่นอนค่ะ ขอให้คุณเชื่อฉันด้วยค่ะ ให้เวลาฉันเยอะหน่อย”

เงินห้าล้าน คือเรื่องทำให้ลำบากใจของผู้ชายคนนี้ คือการเหยียดหยามและการแก้แค้นของเขา……..ถ้าแบบนี้สามารถทำให้เขาสบายใจขึ้นมาหน่อย สามารถทำให้เขาหายโกรธได้ล่ะก็ งั้นเธอก็ทำได้ทุกอย่าง

เงินห้าล้านที่แลกมาด้วยอิสระ

ไฟที่ไม่มีชื่อในใจของเสิ่นซิวจิ่น ยิ่งอยู่ยิ่งลุกท่วม!

ตัวเขาเองก็ยังไม่พบเห็น แววตาที่เขามองเจี่ยนถงแฝงด้วยความเจ็บปวดที่ซับซ้อน!

ผู้หญิงแบบนี้!

ไม่มีสปิริต คนน่าสมเพช ต่ำต้อย น่าสงสาร…….ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่คำศัพท์แบบนี้ ได้ใช้อยู่บนตัวของผู้หญิงคนนี้!

คุกเข่า?

คุกเข่า!

การคุกเข่าที่สมควรตายนี้!

“เข่าของคุณ มันไร้ค่าขนาดนี้จริงๆแล้วใช่มั้ย?”

ฮ่า ฮ่าๆ……ฮ่าๆๆ! เจี่ยนถงเบิกตากว้าง เธอไม่กล้ากะพริบตา กลัวแค่กะพริบตาทีหนึ่ง น้ำตาที่คลอเบ้าก็จะไหลลงมา

เธอกลัวโดนตี

ไม่ใช่กลัวเจ็บ แต่กลัวตอนที่ถูกตี จะได้ยินเสียงของศักดิ์ศรีที่อยู่ลึกๆในใจแตกสลาย!

เสิ่นซิวจิ่น คุณจะรู้ไหม อยู่ในคุกนั้น ฉันไม่กล้าร้องไห้ ทุกครั้งที่ฉันร้องไห้จะต้องถูกตีอย่างโหดแน่นอน

คุณจะรู้ไหม เจี่ยนถงไม่ใช่เจี่ยนถงคนเดิมอีกแล้ว

คุณจะรู้ไหม ตอนที่ถูกจับมัดให้นอนอยู่ที่ข้างชักโครก และตอนที่ถูกทุกคนหัวเราะเยาะฉัน อีกครั้งที่ฉันรู้สึกว่าฉันไม่ใช่คน แต่เป็นสัตว์เดียรัจฉาน เป็นหมา! เป็นหมู!

“เจี่ยนถง ผมถามคุณครั้งสุดท้าย คุณไม่เอาศักดิ์ศรีจริงๆแล้วใช่มั้ย?” ผู้ชายเยือกเย็น แต่ไหนแต่ไรเขาเป็นคนที่ไม่เผยความเคลื่อนไหวและสีหน้าออกมาภายนอก คนอื่นก็อ่านความคิดของเขาไม่ออก

ใครเล่าจะดูออก ภายใต้เสียงที่เยือกเย็นนี้ ความโกรธและความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ แม้แต่เขาเองก็ยังสังเกตไม่เห็น

มือทั้งสองที่ยันอยู่บนพื้นของเจี่ยนถงกำลังสั่นไหว

เธอรีบก้มหน้าลง จ้องมองพื้นที่อยู่ตรงหน้า

ศักดิ์ศรี ศักดิ์ศรีคืออะไร?

ติดคุกมาสามปี ศักดิ์ศรีที่ว่ามันไม่มีตั้งนานแล้ว

รู้สึกเคืองตาอย่างทรมาน ข้างหูคือเสียงของสาวน้อยคนนั้น เธอชื่ออาลู่ เธอบอกว่า:พี่เสี่ยวถง พี่ร้องออกมาเถอะ ฉันเห็นพี่แบบนี้แล้วฉันรู้สึกทรมานหัวใจ ฉันช่วยพี่ดูต้นทางเอง จะไม่ให้พวกเธอเห็นแน่นอน พี่ร้องไห้ระบายอารมณ์ออกมาเถอะ

จากนั้น เธอก็ร้องไห้

ต่อจากนั้นอีก สาวน้อยคนที่ชื่ออาลู่ คนนั้นติดร่างแหเพราะเธอ และถูกตีพร้อมกับตัวเอง

เสิ่นซิวจิ่น แม้แต่สิทธ์ที่จะร้องไห้ ฉันก็ไม่มีแล้ว

ศักดิ์ศรีที่คุณพูด มันคืออะไร?

“เจี่ยนถงไม่ใช่เจี่ยนถงคนเดิมอีกแล้วค่ะ” เสียงห้าวของผู้หญิงพูดกับเสิ่นซิวจิ่นแบบนี้

นาทีนี้ คนที่ไม่เผยอารมณ์ออกมาทางสีหน้าอย่างเสิ่นซิวจิ่น นาทีนี้ก็เบิกตากว้างเช่นกัน แววตามองผู้หญิงที่อยู่บนพื้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ!

เธอ……พูดออกมาแบบนี้เลยเหรอ!

เธอ…….ยอมรับแบบนี้เลยเหรอ!

บรรยากาศเงียบขึ้นมาทันที

ในห้องนอน จู่ๆ……กระแสอากาศที่แปลกประหลาดกระเพื่อมไปมา!

ริมฝีปากบางของผู้ชายค่อยๆฉีกรอยยิ้มออกมา “ในเมื่อคุณหนูเจี่ยนพูดคำนี้ออกมาแล้ว ฉันก็ไม่อยากทำให้คุณหนูเจี่ยนต้องผิดหวังกับความปรารถนาของตัวเอง ต่อจากนี้ก็ขอให้คุณหนูเจี่ยน'ทำงาน'อยู่ที่ตงหวงดีๆด้วย”

เจี่ยนถงหัวเราะน่าสังเวชอย่างไร้เสียง

หลุบตาลง ความเศร้าโศกสุดขีดที่อยู่ในแววตา จะให้คนเห็นไม่ได้

เสิ่นซิวจิ่น จำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้เลยเหรอ?

คนที่ทำให้ฉันกลายเป็นแบบนี้ก็เป็นคุณไม่ใช่เหรอ?

ร่างกายที่พิการ วิญญาณที่แตกสลาย……แล้วคุณเหลืออะไรไว้ให้ฉันกันแน่?

ให้ฉันมารักษาหัวใจที่เคยเย่อหยิ่งดวงนั้นเอาไว้?

แล้วทำไมต้องแสดงออกเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลย

คำสั่งที่คุณสั่งการลงไป ให้คนทำให้ฉันกลายเป็นแบบนี้ เรื่องพวกนี้ คุณก็รู้เรื่องหมดไม่ใช่เหรอ?

ทำไมมาถึงวันนี้ กลับจะให้ฉันเป็นหน้าตาของเจี่ยนถงเมื่อสามปีก่อนอีก? หน้าตาที่เย่อหยิ่งและโอหังอย่างมีความมั่นใจคนนั้น?

“ขอบคุณค่ะ ประธานเสิ่น”

ริมฝีปากชมพูของเธอขาวซีด มีแผลฉีกขาด แค่ขยับนิดเดียวก็รู้สึกเจ็บ

คำๆนี้ กลับกระตุ้นให้ผู้ชายโกรธขึ้นมาอย่างง่ายดาย

“ไสหัวออกไป!”

“ค่ะ”

“ ผมให้คุณ'กลิ้ง'ออกไป! ”

เสิ่นซิวจิ่นมองผู้หญิงคนนั้นด้วยสายตาเย็นชา ส่วนเธอก็เชื่อฟังคำสั่งอย่างไม่มีการลังเลแม้แต่นิด และหดตัวเหมือนลูกบอลอยู่บนพื้นแบบนี้จริงๆ:“ค่ะ ประธานเสิ่น”

เชื่อฟังคำสั่งปานนั้น…….ทำไมถึงทำให้คนรังเกียจขนาดนี้!

หน้าด้านไร้ยางอายปานนั้น……ทำไมถึงขัดหูขัดตาขนาดนี้!

ปานนั้น……เสิ่นซิวจิ่นยกเท้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน เดินหลายก้าวไปที่ตรงหน้าของ“ลูกบอล”ลูกนั้น แขนยาวยื่นออกมาหิ้วคอเสื้อของ“ลูกบอล”ลูกนั้นไว้ เดินไปที่หน้าลิฟต์อย่างรวดเร็ว และโยน“ลูกบอล”ลูกนี้เข้าไป:“ไสหัวลงไป! อย่ามาขวางหูขวางตาผมอีก!”

ลิฟต์ลงไปชั้นล่างโดยตรง

ประตูลิฟต์เปิดออก ซูเมิ่งมาอย่างเร่งรีบ: “เธอไม่เป็นไรใช่มั้ย?”

เธอได้ยินว่า ประธานเสิ่นจะพาคนไป

คนอย่างลูเชนที่ผ่านมาก็ไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านอยู่แล้ว

ซูเมิ่งสำรวจเจี่ยนถงตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง ถ้าหากเจี่ยนถงมีใบหน้าสวยเหมือนนางฟ้า หุ่นเหมือนนางแบบที่สามารถทำให้ลูเชนหลงใหลได้ งั้นก็ยังพอเข้าใจได้

แต่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าตัวเองคนนี้……..ซูเมิ่งส่ายหน้า

จับแขนของเจี่ยนถงไว้ เพิ่งจับ แววตาก็มีความประหลาดใจแว๊บเข้ามา ทันใดนั้นรีบเงยหน้ามองมาที่ใบหน้าของเจี่ยนถง: “นี่เธอตัวสั่นเหรอ?”

“ฉันไม่เป็นไรค่ะ”

“……..” ซูเมิ่งแอบกลอกตาขาวทีหนึ่ง อยากถามอะไรออกมาจากปากของเจี่ยนถงนี่ยากเหมือนขึ้นสวรรค์เลย

“เธอนี่หัวแข็งจริงๆเลย”

เจี่ยนถงไม่พูดจา

“หิวหรือยัง? ฉันพาเธอไปขุนหน่อย วันนี้ไม่ต้องทำงานแล้ว”

ซูเมิ่งไม่เข้าใจ ทำไมตัวเองต้องดีกับเจี่ยนถงที่ไม่มีอะไรเลยด้วย จะเอาหน้าตาก็ไม่มีหน้าตา จะเอาหุ่นก็ไม่มีหุ่น

ที่จริง……..เธออาจจะรู้อยู่ แต่แค่ไม่อยากยอมรับเฉยๆ

ราวกับว่า ดีกับเจี่ยนถงหน่อย ก็คือดีกับตัวเองที่ผ่านมา

“ไม่แล้วค่ะ บริษัทมีโรงอาหารอยู่”

“เธอ……” ผู้หญิงคนนี้นี่ดื้อจริงๆเลย!

ซูเมิ่งส่ายหัว ทุกคนต่งก็บอกว่าเจี่ยนถงต่ำต้อยจนไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ทำไมถึงมองไม่เห็นความเย่อหยิ่งภายใต้ความต่ำต้อยของผู้หญิงคนนี้นะ!

“เมื่อก่อน เธอต้องเป็นคนที่มีความมั่นใจแน่ๆเลยใช่มั้ย?” ซูเมิ่งถามแบบนี้โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ

เจี่ยนถงสั่นไปครู่หนึ่ง สักพัก ราวกับผ่านไปหนึ่งทศวรรษ เธอถึงขยับริมฝีปาก:“เมื่อก่อนหรอคะ…..เหมือนเป็นเรื่องของชาติที่แล้วๆค่ะ”

“เดี๋ยวก่อน เช็คใบนี้ให้เธอ” ซูเมิ่งเอาเช็คใบหนึ่งให้เจี่ยนถง:“ประธานลู่ ให้ฉันเอาให้เธอ”

“โห เยอะขนาดนี้เลยเหรอคะ?” ตอนที่เห็นตัวเลขบนเช็ค เจี่ยนถงก็ตกใจเหมือนกัน

ซูเมิ่งยิ้มอย่างขมขื่น:“ตอนนั้นฉันก็ตกใจเหมือนกัน เสี่ยวถงเธอพูดซิว่าเธอทำยังไงกับประธานลู่ท่านนี้ ถึงได้ประจบสอพลอจนเขาชอบใจขนาดนี้ และใจป้ำขนาดนี้ ”ให้มาห้าแสนหยวนโดยตรงเลย!

คนที่ใจป้ำอย่างนี้ อยู่ที่ตงหวงก็ใช่ว่าจะไม่มี

เพียงแต่ เจี่ยนถง……….?

ซูเมิ่งมองดูเจี่ยนถงอีก ไม่ใช่ว่าเธอประเมินค่าเจี่ยนถงต่ำไปนะ เพียงแต่ ตอนนี้เป็นยุคของการดูหน้าตานี่น่ะ

ลูเชนเป็นคนที่มีหน้าตาและบุคลิกภาพที่โดดเด่น มีความสามารถโดดเด่นเหนือใครๆ โดดเด่นและแตกต่างจากคนอื่น อยู่ในเมืองSนี้ เขากับเสิ่นซิวจิ่น ต่างก็เป็นบุคคลที่ถูกคนหยิบยกขึ้นมาพูด

“พี่เมิ่ง อันนี้ รบกวนพี่ช่วยฉันฝากเข้าบัญชีนั้นด้วยค่ะ” เจี่ยนถงเอาเช็คคืนให้ซูเมิ่งอีก: “พี่เมิ่ง มีงานไหมคะ?”

“เธอนี่!” เฮ้อ……..

ชั้นสองของตงหวงนานาชาติ

ผู้ชายยืนอยู่ที่หน้ากระจกใส มองดูหอไข่มุกที่อยู่ไม่ไกลอย่างเงียบๆ บุหรี่ที่มือเรียวยาวคีบเอาไว้ เผามาถึงปลายสุด ในที่สุดเถ้าบุหรี่เส้นยาวก็แบกรับน้ำหนักไม่ไหว และหล่นลงมาอย่างไร้เสียง เผาโดนมือทีหนึ่ง ระหว่างคิ้วของผู้ชายขยับ เขาโยนก้นบุหรี่ของในมือทิ้ง

หยิบมือถือขึ้นมา: “ช่วยฉันจองตั๋วที่ไปนิวยอร์กหน่อย……ใช่ ไปพรุ่งนี้เช้าเลย”

วางสายทิ้ง ผู้ชายเม้มริมฝีปากบางไว้ แววตาที่เย็นชาหลับตาลง………

—————-

บทที่33:เซียวเหิงVSเจี่ยนถง

เสิ่นซิวจิ่นไปที่นิวยอร์ก ซูเมิ่งก็ไม่รู้เรื่องนี้ เพราะอย่างไรซะตงหวงนานาชาติ ก็เป็นแค่ธุรกิจหนึ่งในเครือของเสิ่นซิวจิ่น แม้กระทั่งไม่ถือว่าเป็นธุรกิจที่พิเศษอะไรด้วย

เป็นเพียงแค่ธุรกิจที่ๆเอาไว้แก้เบื่อแก้เซ็งเฉยๆ

และเป็นเพียงเพราะว่า วันนั้นเจอเจี่ยนถงอยู่ที่นี่

บริษัทเสิ่นซื่อ กรุ๊ป ถึงจะเป็นธุรกิจหลักของเสิ่นซิวจิ่น

ตระกูลเสิ่น เป็นตระกูลยักษ์ใหญ่ และเป็นตระกูลมหาเศรษฐีของจริง

ตระกูลเสิ่น มีการสืบทอดมาหลายรุ่น ภายใต้การบริหารของแต่ละรุ่น ตระกูลเสิ่นยิ่งอยู่ยิ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้น

มาถึงในมือของเสิ่นซิวจิ่น ขอบข่ายและความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลเสิ่น ยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อน

วันที่สามที่เสิ่นซิวจิ่นไปนิวยอร์ก เจี่ยนถงได้เจอคนสนิทที่ตงหวงนานาชาติอีกครั้ง

“ทำไมคุณถึงชอบเดินบันไดขนาดนี้?” บนตัวของเซียวเหิงมีกลิ่นไอของเสน่ห์ที่ร้ายๆ ง่ายมากที่จะทำให้ผู้หญิงมากมายหลงเสน่ห์ เซียวเหิงเองก็รู้เสน่ห์ของตัวเองดี เลยโปรยเสนห์ไปทั่ว เขาจึงทำอะไรได้อย่างราบรื่นอยู่ตลอดเวลา

คิดไม่ถึง สูบบุหรี่อยู่ในบันไดหนีไฟ สามารถได้เจอผู้หญิงที่น่าสนใจอย่างนี้ด้วย บนตัวของเซียวเหิง นาทีนี้ยังมีกลิ่นของนิโคตินอยู่

เจี่ยนถงอ้าปากเล็กน้อย ยังค่อนข้างมึนตึ้บอยู่…….“คุณคือ…….”

“ทำไม ลืมผมไวขนาดนี้เลยเหรอ?” ริมฝีปากบางเผยรอยยิ้มร้ายๆออกมา มือข้างหนึ่งเข้าใกล้ใบหน้าของเจี่ยนถง ค่อยๆเลื่อนลงไปช้าๆ……สายตาของเขา ก็ค่อยๆหล่นอยู่ที่ริมฝีปากที่ไม่ถือว่าสวยงามของเธอ

แป๊บเดียว ความรู้สึกจากการสัมผัสของจูบในตอนนั้น พริบตาเดียวก็นึกขึ้นมาได้……..อยากลิ้มลองอีกครั้งมากๆ

ริมฝีปากนี้——มีมนต์สะกดอะไรกันแน่ ที่สามารถทำให้เขาหลังจากไปดูงานที่ต่างถิ่น ก็รีบวิ่งมานี่โดยที่ไม่หยุดเลย

“ตรงนี้ของคุณ” ในแววตาของเซียวเหิงมีแต่ริมฝีปากนี้ นิ้วมือที่เรียวยาว สัมผัสไปที่ริมฝีปากของเจี่ยนถง เจี่ยนถงเอียงศีรษะหลบเลี่ยง เซียวเหิงก็ไม่ได้โกรธ เขาแค่หัวเราะเสียงเบาพลางพูดว่า: “อย่าขยับ”

ระหว่างพูด นิ้วมือได้ยื่นไปที่ริมฝีปากของเธออีกครั้ง……เป็นไปได้ยังไงที่เขาบอกว่าไม่ต้องขยับ เจี่ยนถงก็จะไม่ขยับ เธอหันหน้าไปอีกทางอย่างค่อนข้างที่จะตกที่นั่งลำบาก

“ถ้าขยับไปมั่วอีกล่ะก็ ผมจะจูบลงไปโดยตรงเลยนะ” คำพูดของเซียวเหิงเปิดเผยและตรงไปตรงมาจริงๆ

เจี่ยนถงติ่งหูแดงก่ำ……ทำไมมีคนแบบนี้ด้วย!

เซียวเหิงมีความสุขแล้ว

ผู้หญิงคนนี้…….แค่เพราะคำพูดแบบนี้ ก็หน้าแดงหูแดงแล้ว?

โอ้พระเจ้า!

ในปัจจุบัน ยังมีผู้หญิงที่ไร้เดียงสาขนาดนี้อีกเหรอ?

สามารถเรียกได้ว่าเป็นการดำรงอยู่ของฟอสซิลตัวเป็นๆเลย…….น้อยมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน!

เจี่ยนถงไม่เข้าใจหัวใจของผู้ชายเลย ตอนที่เธอเรียนมหาลัย ก็ถูกโยนเข้าไปในคุก เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้ให้โอกาสเธอจากเด็กสาวเติบโตเป็นผู้หญิงเลย วันเวลาก็ไม่ได้ให้โอกาสเธอเปลี่ยนแปลง

มาจนถึงตอนนี้ เธอไม่เหมือนผู้หญิงมากมายในตงหวงนานาชาตินี้อีกเช่นเคย ที่รู้ใจและเข้าใจผู้ชาย

“ฉันจำคุณได้ค่ะ คุณคือ……คุณเซียว” เธอรีบเปลี่ยนประเด็น

เซียวเหิงฟังแต่ก็เหมือนไม่ได้ยิน เพียงแค่ใช้นิ้วมือลูบไล้ริมฝีปากของเธอ พูดเองโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต: “ตรงนี้ของคุณ…….” ปลายนิ้วของเขาลูบจับริมฝีปากของเธอ แต่กลับมีกระแสไฟฟ้าที่แปลกประหลาด ส่งผ่านมาจากปลายนิ้วของเขาสู่ทั่วร่างกาย เซียวเหิงอึ้งค้างไว้………

มองผู้หญิงที่ถูกเขากดทับอยู่บนราวจับบันไดที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสงสัย………ทำไมถึงเป็นแบบนี้?

เขาไม่คิดว่าหน้าตาและทรวดทรงองค์เอวของเธอ จะมีแรงดึงดูดใดๆกับตัวเองเลย

จริงๆซะด้วย แค่เพราะเกิดมามีริมฝีปากที่สวยงามแค่นั้นเหรอ?

“ตรงนี้ของคุณ…..ผมอยากคอนเฟิร์มเรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่ง” เซียวเหิงพูดคำพูดที่ไม่เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อยคำหนึ่ง เป็นคำพูดที่เจี่ยนถงฟังไม่เข้าใจ คำพูดนี้มันช่างแปลกประหลาดเกินไป ถึงเป็นคนอื่นก็คงฟังไม่เข้าใจหรอกมั้ง

พอพูดจบ เจี่ยนถงยังไม่ทันได้เข้าใจความหมายของเขา ริมฝีปากก็ถูกความอบอุ่นและเปียกชุ่มปกคลุมแล้ว

เธอเบิกตากว้างขึ้นมาทันที!

นี่ถือว่าอะไร?

นี่คืออะไร!

“ฮึ่ม ฮึ่มๆ……” เสียงกระแอมเสียงหนึ่งดังขึ้น ทันใดนั้น เจี่ยนถงตื่นตกใจ และตื่นตัวขึ้นมาฉับพลัน ยื่นมือใช้แรงผลักเซียวเหิงที่อยากเพิ่มแรงในการจูบ

มองไปที่ทิศทางของเสียงกระแอมเสียงนั้น

“ฮึ่มๆ ขอโทษด้วยค่ะที่รบกวนพวกคุณ” คือฉินมู่มู่

ช่วงนี้ฉินมู่มู่ค่อนข้างแย่

ไม่งั้น ทำไมมีลิฟต์ก็ไม่ใช้ลิฟต์ แต่กลับเปลืองแรงวิ่งขึ้นลงที่บันได?

ไม่เคยรู้มาก่อน สงครามในบันได…….ที่แท้ก็สามารถมีสีสันขนาดนี้เหมือนกัน

ไม่จำเป็นต้องถามมาก ฉินมู่มู่เหมือนเจี่ยนถงในอดีตที่ถูกคนจงใจกลั่นแกล้ง

เพียงแต่ฉินมู่มู่คิดไม่ถึง ว่าจะเห็นภาพนี้ในบันได

เซียวเหิง………เธอรู้จัก!

เขาเป็นท่านประธานของบริษัทเซียวซื่อ กรุ๊ป หน้าตาหล่อเหลาและร่ำรวยเงินทอง ผู้หญิงมากมายในคลับเฮ้าส์ ต่างก็แทบอยากจะจับลูกเขยที่ฐานะสูงส่งอย่างนี้ได้คนหนึ่ง

แต่ว่า……..เจี่ยนถงล่ะ?

ผู้ชายที่โสดและร่ำรวยมากที่ทุกคนต่างก็อยากจะมีความเกี่ยวข้อง ไม่นึกเลยว่าจะจูบกับ……คนขาเป๋ที่ทั้งขี้เหร่และกะพร่องกะแพร่งอยู่ในทางเดินบันได?

ไม่รู้ว่าเพราะว่าช่วงนี้เจอการกดขี่ที่เหมือนจะมีแต่ไม่มีในตงหวง หรือเพราะความริษยาที่ไม่ทราบสาเหตุของในใจ ฉินมู่มู่รู้ทั้งรู้ว่าเวลานี้ ถ้าไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวล่ะก็ ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือจากไป ทำเป็นเหมือนไม่เห็นอะไรเลย

แต่ว่า ตอนที่เธอเห็นผู้หญิงที่เซียวเหิงจูบคือเจี่ยนถง………ในใจเธอเต็มไปด้วยความโกรธและความริษยา เธอทนไม่ไหวก็มาขัดจังหวะสองคนนี้เลย

เห็นฉินมู่มู่ เจี่ยนถงรีบมุดศีรษะลง ด้วยความเงียบ นี่ก็คือท่าทีที่เธอมีต่อฉินมู่มู่ในตอนนี้

“คุณเซียว ฉันมีธุระ ขอตัวก่อนนะคะ”

เซียวเหิงได้ยินเสียงแหบห้าวที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้หญิง เขาสามารถขัดขวางผู้หญิงคนนี้ไว้อยู่ แต่ว่า นาทีนี้ อารมณ์ของเขาค่อนข้างไม่นิ่ง สายตาที่คาดเดาไม่ได้ส่งร่างเงาของเจี่ยนถงที่ขึ้นชั้นบนจากไป

“คุณเซียว ฉันคือฉินมู่มู่ค่ะ”

ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า เป็นผู้ชายเพอร์เฟคที่อยู่ในดวงใจของตัวเองชัดๆ

รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดีและมีสง่าราศี ใบหน้าที่หล่อเหลา หุ่นที่ยิ่งกว่าของนายแบบ…….ยังมีบุคลิกภาพที่ฟุ้งกระจายอยู่รอบๆ……..ฉินมู่มู่พบว่าหัวใจตัวเองเต้นแรงมาก

เซียวเหิงหันหน้ามาอย่างช้าๆ สายตาหันจากทิศทางที่เจี่ยนถงจากไป ในที่สุดก็หล่นอยู่ที่บนตัวของฉินมู่มู่ ผู้หญิงที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามนั้นจู่ๆปรากฏตัวออกมา……ไม่ ควรจะเรียกว่าเด็กผู้หญิงถึงจะเหมาะสมกว่า

ตั้งแต่ต้นจนจบมุมปากของเซียวเหิงมีรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนเลย จับตามองมองเด็กผู้หญิงที่อยู่ไม่ไกล……..ความในใจของเด็กผู้หญิงคนนั้น เซียวเหิงเห็นได้อย่างชัดเจน

ใบหน้าอมชมพูมีความเขินอาย แก้มแดงมีเลือดฝาด มีพลังของคนหนุ่มสาว ผิวพรรณที่เด้งดึ๋ง……..มีความไร้เดียงสาที่ทำให้คนประทับใจมาก

แต่ว่า…….จะทำยังไงดีล่ะ?

ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่ผู้หญิงขี้เหร่ที่หน้าแดงหูแดงคนนั้น ยื่นมือจับริมฝีปาก สองครั้งที่จูบเธอ ความรู้สึกจากการสัมผัสที่ครั้งหนึ่งรุนแรงกว่าครั้งหนึ่ง

ครั้งแรก แค่ทันสัมผัสโดนริมฝีปากของเธอครู่หนึ่ง ก็ถูกไอ้คนแซ่เสิ่นขัดจังหวะแล้ว

ครั้งที่สอง ก็คือเมื่อครู่ ก็ทันแค่จูบริมฝีปากของเธอ ยังไม่ทันได้สัมผัสที่ลึกซึ้งกว่า ยังไม่ทันได้จูบล้วงลึกเข้าไป ก็ถูกคนที่ชอบแส่เรื่องชาวบ้านมาขัดจังหวะอีก

ยักคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคมเข้มกวาดสายตามองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าที่เรียกตัวเองว่าฉินมู่มู่ รอยยิ้มที่มุมปากของเซียวเหิงไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย “เธอชื่อฉินมู่มู่?”

ฉินมู่มู่หายใจเร่งรีบ ตื่นเต้นขึ้นมาทันที: “ใช่ค่ะ ฉัน ฉัน ฉันชื่อฉินมู่มู่ค่ะ เซียว คุณเซียว ฉัน ฉันบริการคุณ อ๊า……ไม่ใช่ ฉันหมายความว่า ฉันเป็นพนักงานบริการของที่นี่ ฉัน ฉัน……… ”

“เหอะ~” เสียงหัวเราะที่ทุ้มต่ำและเซ็กซี่ เอ่อล้นออกมาจากลำคอของเซียวเหิงอย่างไพเราะ รอยยิ้มตรงมุมปากของเซียวเหิงยิ่งลึกซึ้งขึ้น ขาที่เรียวยาวเดินไปทางฉินมู่มู่ “เธอจะบริการฉัน?”

“ฉัน……….”

“อย่าตื่นเต้น เธอน่ารักมาก”

เสียงที่ไพเราะและเซ็กซี่ ฟังอยู่ในหูของฉินมู่มู่ หน้าอกของเธอเหมือนกำลังตีกลองอยู่อย่างไรอย่างนั้น อายจนหน้าแดง แววตาของเซียวเหิงมีความเยือกเย็นแว๊บเข้ามา……..สะอิดสะเอียนและดัดจริตจริงๆ

เขากลับพูดว่า: “ฉันจำเธอได้แล้ว เธอไปทำงานเถอะ” เดินผ่านข้างกายของฉินมู่มู่อย่างสง่า รูปร่างที่สูงใหญ่สง่าผ่าเผย เดินลงบันไดอย่างช้าๆ

เพียงแต่ พอเขาเป็นแบบนี้ หัวใจว้าวุ่นของฉินมู่มู่กลับหล่นอยู่ที่บนตัวเขาแล้ว

นี่……..ก็เป็นคนโหดที่โหดจริงๆ!

ฉินมู่มู่ขึ้นชั้นบนแล้วเจอกับเจี่ยนถง ในใจอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ: “อีกะหรี่คอซอง”

——————-

บทที่34: การเริ่มต้นของคำนินทา

เจี่ยนถงไม่เข้าใจ ทำไมเพื่อนร่วมห้องในอดีต เจอหน้าถึงได้พูดให้ร้ายเธออย่างนี้ เพราะเธอแย่ขนาดนั้นและเป็นคนน่ารังเกียจขนาดนั้นจริงๆเหรอ?

ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มที่ขมขื่นออกมา

เธอมองฉินมู่มู่ทีหนึ่งอย่างเงียบๆ สายตานั้นอาจจะไม่ได้มีความหมายที่พิเศษอะไร อาจจะเป็นไปได้ว่าคือการ“รับรู้ความจริง”แบบหนึ่ง เจี่ยนถงหันหลังและใช้ขาเป๋ของเธอค่อยๆจางหายไปจากสายตาของฉินมู่มู่

ฉินมู่มู่ทรมานเหมือนถูกคนมาบีบคอไว้ มือที่ห้อยอยู่ข้างกาย กำแน่นเป็นหมัดด้วยความโกรธเคือง สายตาจ้องมองร่างเงาที่เดินขากะเผลก

เธอไม่เข้าใจ ผู้หญิงคนนี้น่าสงสารขนาดนั้น เมื่อครู่อยู่ตรงหน้าตัวเอง มีสิทธิ์อะไรที่จะมาแสดงออกอย่างโอหังอวดดีขนาดนี้!

เธอ——เจี่ยนถง!

มีสิทธิ์อะไรมาโอหังอวดดี!

คนขาเป๋คนหนึ่ง!

คนน่าสงสารที่เพื่อเงินแล้วกระดิกหางประจบ!

อีคนขี้เหร่ที่หน้าตาไม่สวย หุ่นก็ไม่ดีแถมยังยั่วผู้ชายไปทั่วอีก!

พอนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาของเซียวเหิงอีก ในใจของฉินมู่มู่ยิ่งโกรธแค้นเข้าไปอีก………ต้องเป็นนังแพศยาคนนี้ที่เป็นฝ่ายไปยั่วคุณเซียวก่อนแน่ๆ!

ข้างๆมีคนเฝ้าดูฉินมู่มู่กับเจี่ยนถงอยู่ตลอดเวลา จนเมื่อเจี่ยนถงจากไป การแสดงออกของฉินมู่มู่ ต่างก็อยู่ในสายตาของคนรอบข้าง ถึงแม้ตอนนี้ ฉินมู่มู่คนนี้ก็เป็นคนที่ไม่เป็นที่ต้อนรับของคนอื่น

แต่ว่า ความสอดรู้สอดเห็นของมนุษย์แข็งแกร่งเสมอ สามารถก้าวข้ามผ่านความรังเกียจไปชั่วขณะไปได้ ถามอย่างมีเจตนาอย่างอื่นแอบแฝง: “ฉินมู่มู่ นี่มันอะไรกัน ทำไมเธอไปมีเรื่องกับเธออีกแล้วเหรอ?”

“เธอ”ที่ว่านี้ ย่อมหมายถึงเจี่ยนถงอยู่แล้ว

ในใจของฉินมู่มู่กำลังโกรธเคืองอยู่ ถูกคนถามแบบนี้ปุ๊บ ภายใต้ความโกรธ เธอก็พูดอย่างเย้ยหยัน: “ฉันเนี่ยนะจะไปมีเรื่องกับนังมารจิ้งจอกนั่น?”

คนรอบข้างพอได้ยินคำว่า“มารจิ้งจอก” ทันใดนั้นตาก็สว่างเลย:มีฉากสนุกให้ดูแล้ว!

“เฮ้ยๆ มารจิ้งจอกอะไรเหรอ? เจี่ยนถงคนนั้นน่ะหรอ?”

ฉินมู่มู่เหมือนแบล็กเมล์เธอ: “เมื่อกี๊ตอนที่ฉันอยู่ทางเดินบันไดเห็นเธอกับคุณเซียวกอดกันด้วยแหละ”

คุณเซียว?

สามคำนี้ อาจกล่าวได้ว่าไม่เซนซิทีฟ!

“คุณเซียว คงไม่ใช่เซียวเหิงคุณเซียวคนนั้นมั้ง?” มีคนส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจ: “เป็นไปไม่ได้มั้ง นั่นมันชายโสดที่ร่ำรวยมากเชียวนะ ทั้งหล่อทั้งรวยและมีรสนิยม เป็นไปได้หรอที่จะชอบเธอที่เป็นพนักงานทำความสะอาด?”

“ฉันเห็นกับตาเชียวนะ เมื่อกี๊พวกเขากำลังกอดจูบกันอยู่ที่ทางเดินบันได” แววตาของฉินมู่มู่มีความริษยาระยิบระยับผ่าน

ถือสิทธิ์อะไร!

ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่อะไรเลย ทั้งขี้เหร่ทั้งพิการแถมยังไร้การศึกษา เพื่อเงินแล้วสามารถทำได้ทุกอย่าง ผู้หญิงที่สกปรกขนาดนี้ ถือสิทธิ์อะไรถึงเป็น……..เธอ!

ฉินมู่มู่ได้ลืมความดีของเจี่ยนถงไปตั้งนานแล้ว

“รู้คนรู้หน้าไม่รู้ใจ ที่ว่าก็คือเธอนั่นแหละ เมื่อก่อนฉันพักอยู่ที่หอเดียวกับเธอ ตอนนั้นเธอเป็นพนักงานทำความสะอาด เป็นคนไม่ชอบพูดไม่ชอบจา ฉันก็นึกว่าเป็นคนประพฤติตัวดีเสียอีก

นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นคนแบบนี้ อยู่หอเดียวกันกับคนแบบนี้ ทุกวันต้องหายใจด้วยอากาศที่เหมือนๆกัน จนฉันใกล้จะอ้วกอยู่แล้ว!”

“เจี่ยนถงคนนี้ก็จริงๆเล๊ย……”

“หุบปาก!” ในขณะนี้เอง เสียงเสียงหนึ่งก้องมา “พวกเธอนี่ว่างจัดใช่มั้ย? กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำกันใช่มั้ย? ลืมเรื่องของเจินเจินกับลู่น่าไปแล้วเหรอ?”

คนที่มาคืออันนี สามารถบอกได้ว่าเป็นพนักงานที่มีสิทธิ์และอยู่ตงหวง…….มานานที่สุด!

ฉินมู่มู่เห็นอันนี ทันใดนั้นก็นึกถึงตอนนั้นก็คืออันนีคนนี้แหละ ที่ทำให้ตัวเองตกที่นั่งลำบากต่อหน้าผู้คนมากมาย แถมยังไม่ให้เสี่ยวเสี่ยวคุยกับตัวเองอีก ศัตรูพอเจอกันมักจะอิจฉาตาร้อนเป็นพิเศษ!

“คนบางคนอาศัยที่ตัวเองทำงานอยู่ที่ตงหวงมานาน ก็ทำตัวหยิ่งผยอง ชี้นิ้วว่าคนอื่นไปทั่ว ก็ไม่ดูตัวเองซะบ้าง ว่าตัวเองก็เป็นแค่พนักงานคนหนึ่งเหมือนกัน” ยังไงฉินมู่มู่ก็เรียนจบจากมหาลัยSอยู่ ก็เป็นคนฝีปากกล้ามากเหมือนกัน

อันนีไม่แม้แต่จะมองฉินมู่มู่ เธอหัวเราะเยาะและมองคนอื่น: “ขอเตือนพวกเธอด้วยความหวังดีนะ อย่าตามรอยเจินเจินกับลู่น่า จะเชื่อฟังหรือไม่ก็ช่าง”

พอพูดจบ อันนีก็หันหลังเดินจากไป พอเดินมาถึงที่ทางเลี้ยว ยังสามารถได้ยินเสียงซุบซิบนินทาอีกเช่นเคย:

“อันนีคนนี้นี่ก็เห็นตัวเองสำคัญเกินไปแล้ว ชอบเอาเรื่องของเจินเจินกับลู่น่ามาพูดอยู่นั่นแหละ เจินเจินกับลู่น่าเป็นเพราะว่าฝ่าฝืนกฎของตงหวง คนที่อยู่เบื้องบนของตงหวงเกลียดการยุให้รำ ตำให้รั่ว แต่ว่ากลับไม่ห้ามการเป็นคู่แข่งเป็นการส่วนตัว”

อย่าว่าแต่ตงหวงเลย ไม่ว่าบริษัทไหนๆต่างก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น อันนียังเอาเรื่องของเจินเจินกับลู่น่ามาพูดอีก นี่มันคนละเรื่องกันชัดๆ

อันนีที่อยู่ในมุมเลี้ยว ส่ายหัวอย่างลับๆคนเดียว คนที่รนหาที่ตาย เกลี้ยกล่อมยังไงก็เกลี้ยกล่อมไม่ฟัง

เพียงแต่เจี่ยนถงคนนั้น…….ดูท่าต้องประสบความทุกข์ทรมานอีกแล้ว

อันนีไม่คิดจะไปฟ้อง เรื่องแบบนี้ ไม่หาเรื่องใส่ตัวก็ดีแล้ว

อยู่ที่ตงหวง เรียนรู้ตั้งนานแล้วกับการทิ้งเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองไปไกลๆ

สามารถเห็นแก่ที่เคยเป็นเพื่อนร่วมงานมาก่อน เกลี้ยกล่อมคนพวกนั้นไปคำหนึ่ง เธอก็ถือว่ามีความเมตตากรุณาแล้ว

ส่วนเกลี้ยกล่อมแล้วฟังไม่เข้าหู……….“ช่างเถอะ เรื่องยุ่งเหยิงพวกนั้น มันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย”

………………

หลังจากเลิกงาน

จู่ๆด้านนอกเริ่มมีฝนตกปรอยๆ ตอนแรกฝนมีท่าทีตกไม่หนัก เจี่ยนถงเดินกลับไปอย่างช้าๆทุกคืน

คืนนี้ก็ย่อมไม่มีข้อยกเว้นอยู่แล้ว

ฝั่งตรงข้ามของตงหวงมีร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอด24ชั่วโมง ตรงหน้าแคชเชียร์

“คุณคะ ทั้งหมดห้าสิบหกหยวนค่ะ” บนเคาน์เตอร์แคชเชียร์มีล่มวางอยู่คันหนึ่ง เจี่ยนถงมองล่มทีหนึ่ง นี่เป็นล่มที่ถูกที่สุดของร้านสะดวกซื้อนี้แล้ว เธอหันมามองกระเป๋าตังค์ที่อยู่ในมืออีก ห้าสิบหกหยวน แน่นอนว่าเธอมีอยู่แล้ว ลังเลอยู่…….

“ขอบคุณค่ะ จู่ๆฉันเพิ่งนึกได้ว่าฝนตกไม่หนัก คงไม่ต้องการล่มคันนี้แล้วค่ะ”

เดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อ เจี่ยนถงดึงเสื้อของตัวเองไว้แน่นๆ หดตัวเป็นก้อน ก้มศีรษะไว้และเดินไปข้างหน้า

ฝนตกไม่หนัก สำหรับเธอแล้วไม่ทรมานมากนัก เพียงแต่เอวข้างซ้ายรู้สึกโล่งๆ เวลาอากาศเปลี่ยนแปลงจะรู้สึกเจ็บจนยากที่จะทนไหว

ในตอนที่ใกล้จะถึงบ้าน สวรรค์ก็เหมือนเปลี่ยนสีหน้าอย่างไรอย่างนั้น พริบตาเดียวก็“ฟรืบ”! ฝนตกหนักจนเหมือนน้ำในกะละมังเทลงมาโดยตรง!

กลับมาถึงบ้าน เอากุญแจเสียบเข้าไปในประตู แต่เปิดประตูไม่ออก

เสียบอีกครั้ง……ก็ยังเปิดไม่ออกอยู่ดี!

เจี่ยนถงตะลึงงันไปครู่หนึ่ง มองดูประตูที่ปิดสนิทอย่างเซ่อๆ จากนั้น……ฉีกรอยยิ้มที่ขมขื่นออกมา

เธอกับฉินมู่มู่พักอยู่ที่ห้องเดียวกัน หลังจากเกิดเรื่องครั้งนั้น ระหว่างเธอกับฉินมู่มู่ก็ยิ่งต่างคนต่างอยู่ ไม่มายุ่งเกี่ยวกัน

ที่จริง คนแบบนี้สองคนอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าใครก็คงไม่สบายใจหรอก ก็ไม่รู้ว่าพี่เมิ่งลืมสลับสับเปลี่ยนห้อง หรือบริษัทคิดว่า ความขัดแย้งของพนักงานแบบนี้ไม่คุ้มค่าแก่การพูดถึงด้วยซ้ำ

หลังจากวันนั้น ท่าทีที่ฉินมู่มู่มีต่อตัวเองก็เปลี่ยนไปเยอะมาก

เพียงแต่ ถึงฉินมู่มู่จะเมินใส่ตัวเอง เหมือนเช่นเรื่องของวันนี้ แต่ที่ล็อกประตูจากด้านไว้ไม่ให้ตัวเองเข้าไป ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย

“ฉินมู่มู่ ฉิน……..” เธอเรียกชื่อ อยากเรียกให้คนที่อยู่ในห้องเปิดประตู แต่เพิ่งเรียกออกมา เสียงก็หยุดชะงักเอาไว้ เธอค่อยๆก้มศีรษะลงและปิดปาก……คนที่อยู่ในห้อง มีความเฉียบขาดแล้วที่จะไม่ให้ตัวเองเข้าห้อง ถึงเธอจะเรียกยังไง คนที่อยู่ข้างในก็จะทำเป็นไม่ได้ยิน

ปลุกคนที่แกล้งหลับไม่ตื่นตลอดกาล…………ไม่ใช่เหรอ?

ยืนอยู่ที่หน้าห้อง เจี่ยนถงเงยหน้ามองฝ้าเพดาน…….“เฮ้อ ไม่มีที่ไปแล้วเรา……..”

ถอนหายใจเบาๆ เธอหันหลังให้กับประตู ค่อยๆลื่นไหลลงไป พิงประตูที่อยู่ด้านหลัง ดึงเสื้อผ้าบนตัวให้แน่นยิ่งขึ้น หนาวจังเลย………

ถึงจะดึงเสื้อให้แน่นขึ้น เสื้อบนตัวเธอก็ยังเปียกอยู่เช่นเคย……หนาวจังเลย……คืนนี้ เธอได้พิงประตูที่อยู่ด้านหลังของตัวเองและหลับไป

——————-

บทที่35:ทำให้ลำบากใจ

ฝันร้ายที่ไร้ขอบเขต วนเวียนอยู่ทุกคืน

ยืนอยู่ที่ริมผา จู่ๆเหมือนดิ่งลงเหวลึก!………เจี่ยนถงตื่นขึ้นมาจากความฝัน

ไม่ใช่เพราะตกริมผา แต่เพราะประตูที่อยู่ด้านหลังถูกคนเปิดออก

“สมองแกมีปัญหาหรือเปล่า มีเตียงไม่นอน ดันจะมานอนอยู่ที่หน้าห้อง?”

หลังจากเกิดเรื่องนั้น ตอนที่ฉินมู่มู่เจอเจี่ยนถงก็ทำเป็นเหมือนไม่เห็น ทำสีหน้าที่เย็นชาสูงส่งออกมา ถึงแม้ดูถูกเจี่ยนถง ฉินมู่มู่ก็ไม่คุยกับเจี่ยนถง เหมือนกับว่าคุยกับเจี่ยนถงก็จะลดระดับของตัวเองลง

แต่เช้าวันนี้ อยู่ในห้องที่พวกเธอสองคนพักด้วยกัน ฉินมู่มู่เหมือนสร้างบุญคุณ น้อยมากที่จะได้เห็นเธอคุยกับเจี่ยนถง

แต่……..ไม่ใช่คำพูดฟังดูดีเลยจริงๆ สู้ไม่พูดยังจะดีกว่า

เวียนศีรษะมาก ภาพที่อยู่ตรงหน้าล้วนแต่หมุนติ้วๆ เจี่ยนถงไม่มีอารมณ์รับมือกับฉินมู่มู่จริงๆ

“เมื่อคืน ประตูล็อกไว้”

เจี่ยนถงพูดราบเรียบไปคำหนึ่ง คำพูดบางอย่าง พูดถึงตรงนี้ก็พอแล้ว

เธอไม่คาดหวังว่าฉินมู่มู่จะขอโทษเธอ ขอแค่ฉินมู่มู่หยุดอยู่ที่ตรงนี้ก็พอ

ข้างหูมีเสียงเรียบเฉยของฉินมู่มู่ก้องมา: “อ้อ~ประตูถูกล็อกจากด้านในหรอ คงจะเป็นเพราะว่าเมื่อคืนตอนที่ฉันปิดประตู ไม่ทันระวังก็เลยไปกดโดน

ไม่ทันระวังไปกดโดน?………คำพูดนี้ ผีก็คงไม่เชื่อมั้ง

เจี่ยนถงส่ายหน้า ไม่อยากโต้เถียงกับฉินมู่มู่ สมองยิ่งอยู่ยิ่งหนัก ภาพของทั้งสี่ด้านต่างก็หมุนติ้วๆ

“ว่าไปแล้ว นี่ก็โทษฉันไม่ได้มั้ง ไม่ระวังไปแตะโดน ทำให้ประตูถูกล็อกจากด้านใน แกเปิดปากตะโกนเรียกไม่เป็นรึไง? แกมีปากเอาไว้ทำอะไร?”

ข้างหูมีเสียงเจ๊าะแจ๊ะ ศีรษะของเจี่ยนถงปวดตุ๊บๆจนขมวดคิ้วแน่น ในที่สุดเธอก็เงยหน้าขึ้นมา: “ฉินมู่มู่ ฉันเหนื่อยมาก”

ความเหนื่อยล้า เขียนอยู่บนหน้า

แต่ฉินมู่มู่กลับเหมือนไม่ได้ยิน จู่ๆกลับมองเจี่ยนถงไว้ เผยการเหน็บแนมที่ไม่หวังดีออกมา:

“อ๋อ……ฉันรู้แล้ว ปากของแกเอาไว้ใช้ทำเรื่องต่ำช้าที่ไร้ยางอายใช่มั้ย?”

“ฉันเหนื่อยมาก” เจี่ยนถงจับกรอบประตูไว้ ความเหนื่อยล้าของสีหน้ายิ่งดูชัดมากยิ่งขึ้น

สีหน้าขาวซีด ไม่มีเลือดฝาด

แต่ฉินมู่มู่ไม่ยอมปล่อยเธอเข้าห้อง เธอยังไม่ยอมเลิกราอีกเช่นเคย:“ช้าก่อน!” เธอดึงเจี่ยนถงที่อยากเข้าไปในห้องไว้ แววตาเผยความเยือกเย็นออกมา:

“เจี่ยนถง ฉันขอเตือนแกเลยนะ อย่าไปราวีเซียวเหิงอีก!”

ฉินมู่มู่ไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าเธอริษยาเจี่ยนถงที่ใกล้ชิดแนบแน่นกับเซียวเหิงขนาดนั้น เธอเป็นนักศึกษาของมหาลัยS เพื่อจะได้รับงานการศึกษา ถึงกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อบรรลุผลสมความปรารถนา ถึงมาที่ตงหวง เธอต่างกับคนอื่นๆที่อยู่ในนี้!

เจี่ยนถงจับประตูไว้……..เหนื่อยมากๆ ไม่อยากโต้เถียงกับฉินมู่มู่สักคำจริงๆ เธอแค่อยากรีบไปนอนที่บนเตียงของตัวเอง

“ฉินมู่มู่ ฉันไม่สบาย”

ฉินมู่มู่อึ้งไปครู่หนึ่ง แค่ครู่เดียว แต่ต่อจากนั้นไม่รู้เป็นอะไร ราวกับว่าถูกหยามอย่างแรง พริบตาเดียวก็อารมณ์ขึ้น:

“เจี่ยนถง แกพอเหอะ เป็นแต่แกล้งทำตัวน่าสงสาร ฉันก็แค่พูดกับแกไปสองคำเฉยๆ แกก็ไม่สบายนี่ สบายนั่นแล้ว?”

เจี่ยนถงนวดระหว่างคิ้ว ไม่อยากเกิดความขัดแย้งที่มากกว่านี้กับฉินมู่มู่จริงๆ

“เมื่อคืนฉันไปตากฝนมา เธอล็อกประตูไว้ไม่ใช่เหรอ?”

เจี่ยนถงแค่เห็นว่าตัวเองพูดความจริงออกมาคำหนึ่ง คิดไม่ถึง ความจริงนี้ กลับกระตุ้นฉินมู่มู่อย่างสิ้นเชิง เดิมทีฉินมู่มู่ก็อาจจะมีอคติกับเจี่ยนถงอยู่แล้ว ไม่ว่าเจี่ยนถงพูดอะไรก็ผิดหมด

“นี่แกหมายความว่ายังไง?” ใบหน้าสะสวยของฉินมู่มู่ห้อยลงมา “ไม่ใช่ฉันให้สวรรค์ฝนตกลงมาสักหน่อย ยังมีอีก ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอ? ฉันไม่ระวังถึงได้ไปแตะโดนลูกบิด แกพูดแบบนี้เหมือนว่าฉันจงใจล็อกประตูไม่ให้แกเข้ามาในห้องอย่างงั้นแหละ”

ศีรษะหนักและขาเบาไม่มีเรี่ยวแรง เจี่ยนถงได้ยินคำพูดของฉินมู่มู่แล้วรู้สึกยิ่งปวดหัวเข้าไปใหญ่ เธออยากหักล้างฉินมู่มู่มาก อยากระบายความกล้ำกลืนของตัวเองอย่างกำเริบเสิบสานมาก

ตอนที่ความคิดนี้เพิ่งโผล่ขึ้นมาในหัว ยังไม่ทันได้เปลี่ยนมันมาเป็นการกระทำ ก็ถูกเจี่ยนถงเองสะกดเอาไว้แล้ว

เจี่ยนถง เธอไม่ใช่คุณหนูของตระกูลเจี่ยนเมื่อสามปีก่อนแล้ว

เจี่ยนถง เธอเป็นแค่นักโทษชั้นแรงงานที่เพิ่งออกมาจากคุก

เจี่ยนถง ฉินมู่มู่เป็นนักศึกษาของS อนาคตสดใส เธอล่ะ เธอล่ะ แล้วเธอล่ะ!

เวลา สำหรับเจี่ยนถงแล้ว มันก็เป็นแค่ขี้หมาเหม็นๆก้อนหนึ่ง เวลาได้พิสูจน์จากเธอที่เป็นคนกำเริบเสิบสานและมีความมั่นใจ กลายมาเป็นสภาพอย่างในวันนี้

เพราะไม่อยากไปปลดปล่อยอารมณ์ของตัวเองอย่างกำเริบเสิบสานเหรอ?

ไม่ใช่ว่าไม่อยาก แต่ไม่สามารถที่จะทำได้

“ฉินมู่มู่ เธอเข้าใจความหมายฉันผิดไปแล้ว ฉันแค่บอกว่าฉันตากฝนมาทั้งคืน แล้วนอนอยู่ที่หน้าห้องมาทั้งคืน ตอนนี้รู้สึกทรมานมากๆ ฉันรู้สึกเวียนหัวมาก มีอะไรเดี๋ยวรอให้ฉันนอนตื่นแล้วค่อยว่ากันได้มั้ย?”

ใกล้จะอ้อนวอนอยู่แล้ว ริมฝีปากที่ซีดเซียวของเจี่ยนถง เผยความอ่อนเพลียของเธอออกมา

เธอนึกถึงเธอในสามปีก่อนอย่างห้ามใจไม่ได้ เธออยากรู้อย่างห้ามใจไม่ได้ ถ้าเป็นเจี่ยนถงในสามปีก่อนเธอจะทำยังไง?

จะเหมือนตัวเองในตอนนี้มั้ย ที่หัวหดด้วยความกลัว?

จะเหมือนตัวเองแบบนี้ ต่ำต้อยจนไม่อยากก่อเรื่อง ไม่อยากขัดใจใครทั้งสิ้น แต่ถอยด้วยความอ่อนแอมั้ย?

“เจี่ยนถง แกนี่มันน่าสะอิดสะเอียนจริงๆเลย ฉันก็บอกแกแล้วว่าฉันไม่ได้ตั้งใจล็อกประตูใส่แก เป็นเพราะไม่ระวังไปแตะโดนลูบบิดไม่ได้รึไง? ฉันก็อธิบายให้แกฟังไปแล้ว แกยังจะเอายังไงอีก?” ฉินมู่มู่มองดูเจี่ยนถงที่อยู่ตรงหน้า ก็นึกถึงภาพที่อยู่ในทางเดินบันไดขึ้นมาอย่างเฉยเลย

ไม่เพียงแต่ภาพที่อยู่ในทางเดินบันได ยังมีภาพที่อยู่ในห้อง606อีก การโผล่มาอย่างกะทันหันของเซียวเหิง ช่วยเจี่ยนถงคลี่คลายสถานการณ์ เดิมทีฝ่ายตรงข้ามที่เจี่ยนถงต้องแสดง“ฉากจูบ”ต่อหน้าผู้คน เป็นแค่พนักงานรักษาความปลอดภัยเล็กๆคนหนึ่งเฉยๆ!

ยิ่งคิด ในใจของฉินมู่มู่ยิ่งมีความหึงโผล่ขึ้นมาอีก

มองเจี่ยนถงแล้วรู้สึกขัดหูขัดตา ไม่สบายไปทั้งเนื้อทั้งตัว

อีกอย่าง ผู้หญิงที่เธอเผชิญหน้าอยู่ในนาทีนี้ ตัวเองเห็นหน้าตาเธอที่รับปากอยู่ลูกเดียวอย่างถ่อมตน ก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่!

กับอีแค่เจี่ยนถงที่ใจเสาะ เซียวเหิงชอบเธอตรงไหนกันแน่?

จะดูที่หน้าตาๆก็ไม่สวย จะดูที่หุ่นๆก็ไม่ดี ดูที่ความรู้ๆก็ไม่มี เหมือนดินโคลนเน่ากองหนึ่ง เจี่ยนถงมีสิทธิ์อะไรสะกดจิตผู้ชายที่โดดเด่นอย่างเซียวเหิง…….นอกเสียจาก……….

“นังมารจิ้งจอก!” นอกจากเจี่ยนถงใช้ร่างกายไปยั่วสวาทเซียวเหิง ฉินมู่มู่วิเคราะห์ไปรอบหนึ่ง วินิจฉัยและกำหนดแล้วว่าคือสาเหตุนี้แหละ

เจี่ยนถงก้มหน้าลง บดบังอารมณ์ของแววตาไว้

เธอก็โกรธเป็นเหมือนกัน

ใช้เวลาสามปีในการเรียนรู้ที่จะอดทน เรียนรู้ที่จะกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อรักษาหน้าทุกฝ่าย

เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา และมองมาที่ฉินมู่มู่: “ถ้าเธอชอบคุณเซียว งั้นเธอไม่ควรมาหาฉัน ถ้าเธอมีแค่ปัญญามาสร้างความลำบากใจให้ฉัน งั้นคุณเซียวก็ไม่มีทางชอบเธอหรอก”

ใช่ เธอใช้เวลาสามปีในการเรียนรู้ที่จะอดทน เรียนรู้ที่จะกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อรักษาหน้าทุกฝ่าย กลับแก้ความเย่อหยิ่งที่ฝังลึกอยู่ลึกๆมาตั้งแต่เกิดไม่ได้

เธอไม่ไปดุฉินมู่มู่ว่ารังแกคนมากเกินไป ก็สามารถทำให้ฉินมู่มู่บ้าคลั่งอย่างไม่หยุดได้

เธอถึงขึ้นรู้ว่าควรใช้คำพูดแบบไหน ใช้วิธีที่ตรงไปตรงมา ตบตาจบศึกที่กดขี่อยู่ฝ่ายเดียว

ใบหน้าสะสวยของฉินมู่มู่มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเยอะมาก ทั้งบูดเบี้ยว ทั้งร้ายกาจ ดูแล้วไม่มีความใสบริสุทธิ์ของที่ผ่านมา เธอเบิกตากว้าง มองดูเจี่ยนถงที่อยู่ตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อและยากที่จะรับได้ ——ผู้หญิงคนนี้อยู่ในสายตาของตัวเอง เป็นคนต่ำต้อยที่ต่ำช้าและน่าสงสาร

“ผู้หญิงที่ต่ำช้าไร้ยางอายอย่างแก เซียวเหิงไม่มีทางชอบหรอก ไม่มีใครชอบผู้หญิงที่ไม่มียางอายแม้แต่นิดแบบแกหรอก!” ฉินมู่มู่เพ่งมองเจี่ยนถงด้วยความโกรธและสีหน้าบูดเบี้ยว เธอตะคอกใส่ ราวกับว่าหลังจากตะคอกเสร็จ ก็สามารถกอบกู้ศักดิ์ศรีที่เมื่อกี๊ทำหายอยู่ตรงหน้าของเจี่ยนถงกลับมาได้

หัวของเจี่ยนถงจะระเบิดอยู่แล้ว เหมือนไฟแผดเผา แต่ก็รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว เธอเงยหน้าขึ้นมา ฉินมู่มู่ที่อยู่ตรงหน้าได้กลายเป็นเงาซ้ำๆที่ไม่นับถ้วน เดี๋ยวเล็กเดี๋ยวใหญ่ เดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกล ถึงจะเป็นแบบนี้ก็เถอะ มือของเธอกุมไว้แน่นอย่างเงียบๆ ความเจ็บปวดที่นิ้วมือจิกเข้าที่เฝ่ามือ ทำให้เธอตื่นตัวขึ้นมาเล็กน้อย เธอมีคำพูดหนึ่งที่จะต้องบอกให้ฉินมู่มู่รู้ให้ได้:

“ฉินมู่มู่ หรือว่ารักคนๆหนึ่ง ไม่ควรประพฤติตัวจริงใจกับเขา ในสายตาเหลือแค่เขาคนเดียว?

แต่ว่า ถ้าเทียบกับคุณเซียว เหมือนเธอจะแคร์การดำรงอยู่ของฉันมากกว่า ฉันไม่เข้าใจ หรือว่าความรักของเธอแค่พูดไปงั้นๆ ความรักของเธอมันจริงมากแค่ไหนกันแน่?”

——————

บทที่36 ไร้ยางอาย

ฉินมู่มู่หายใจหอบอย่างแรง ดวงตานูนออกมา ใบหน้าสะสวยโมโหจนแดงก่ำ

สีหน้ายิ่งร้ายกายขึ้น:“นี่แกว่าที่ฉันมีไม่ใช่ความรัก แล้วแบบที่ต่ำตมขายตัวอย่างแกก็คือความรักงั้นเหรอ?”

ถึงจะเป็นเจี่ยนถงก็เถอะ ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย ใครบอกว่าความรักของฉินมู่มู่ไม่ใช่ความรัก?

ตัวเองแค่ถามเธอเฉยๆ ว่าความรักนี้มีความรักจริงอยู่เท่าไหร่กันแน่

เจี่ยนถงก้มหน้าลง เวลาสามปีสามารถขจัดความเย่อหยิ่งของเจี่ยนถงไปจนหมดสิ้น กลับขจัดความฉลาดของเธอไปไม่ได้

เห็นได้ชัดมาก ที่ฉินมู่มู่อารมณ์ขึ้นขนาดนี้ งั้นความเป็นไปได้อย่างเดียวก็คือ คำพูดที่ตัวเองพูดคำนี้ ทิ่มแทงใจเธอพอดี

เจี่ยนถงส่ายหน้า

“แกส่ายหน้าทำไม? ผู้หญิงที่ต่ำตมถึงขั้นเพื่อเงินแล้วกระดิกหางประจบสอพลอ และยั่วผู้ชายไปทั่วยังไม่พออย่างแก มีสิทธิ์อะไรมาส่ายหน้า? แกส่ายหน้านี่หมายความว่ายังไง?แกปฏิเสธฉัน? เจี่ยนถง ฉันจะบอกแกให้นะ คนทั้งโลกสามารถดูถูกแกได้ แต่แกไม่มีสิทธ์ดูถูกใครทั้งสิ้น”

เจี่ยนถงตัวสั่น ศีรษะที่ก้มลงไปยิ่งอยู่ยิ่งเหงาหงอยเศร้าซึม คนทั้งโลกสามารถดูถูกเธอได้ แต่เธอกลับไม่มีสิทธิ์ไปดูถูกใครทั้งสิ้น

เสิ่นซิวจิ่น คุณพอใจหรือยัง?

อ๊า…….ไม่แน่ นี่ก็คือเจี่ยนถงที่คุณอยากได้

หลับตาลง ในหัวของเธอมีแต่คำว่า——เงิน!

ไม่มีเงินอะไรก็ไร้ค่า พอมีเงิน……ก็มีทุกอย่าง………

ฉินมู่มู่กวาดสายตามาที่เจี่ยนถงด้วยความรังเกียจ มองเจี่ยนถงที่สภาพเหมือนหมาข้างถนน ทันใดนั้นรู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมาทันที เธอแบะปาก:

“สรุปแกจำเอาไว้ด้วยว่าแกเป็นแค่คนขาเป๋ อย่าหวังลมๆแล้งๆที่จะไปยั่วสวาทเซียวเหิงอีก” พอพูดจบ ก็หันก้นเดินไปที่ห้องนอนของตัวเองอย่างเย็นชา ทิ้งร่างเงาที่เย็นชาไว้ให้เจี่ยนถง

เจี่ยนถงนวดระหว่างคิ้ว ไม่มีเวลาสนใจอย่างอื่น เธออาบน้ำร้อนเสร็จ ก็เอาตัวเองหดตัวเข้าไปในผ้าห่ม

อากาศอย่างนี้ ไม่เปิดแอร์ก็ยังร้อนแทบแย่ แต่เจี่ยนถงกลับรู้สึกหนาวจนตัวสั่น

ยิ่งหดตัวเองเป็นก้อนขึ้นไปอีก เหมือนหดเป็นก้อนอย่างนี้ ก็จะสามารถได้รับความอบอุ่น

นอกหน้าต่างไม่รู้นกฮวยบี๊ที่บ้านใครเลี้ยงกำลังร้องเจี๊ยวจ๊าวอยู่ เธอหลับลึกภายใต้เสียงร้องนี้

“เฮ้ย เฮ้ย! ตื่น!”

การผลักดันที่ไม่เกรงใจ เจี่ยนถงถูกผลักจนตื่น พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นฉินมู่มู่

สะลึมสะลือ ในหัวยังไข้ขึ้นจนจะระเบิด เธอไม่ทันได้คิดอย่างละเอียด ก็พูดพึมพำคำหนึ่ง:

“อย่าผลัก เวียนหัว”

ฉินมู่มู่ผลักมือของเธอ นิ่งไปครู่หนึ่ง วินาทีต่อมาก็หัวเราะเย้ยหยัน:

“แกนึกว่าฉันอยากมาที่ห้องแกมากงั้นเหรอ รีบตื่นขึ้นมาเร็ว ถึงเวลาทำงานแล้ว นอนเหมือนหมูตายอยู่ได้ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ไม่ทำงานรึยังไง?

ครั้งก่อนแกไม่ไปทำงาน ทำให้ฉันถูกพี่เมิ่งด่า ฉันไม่อยากถูกพี่เมิ่งด่าเพราะแกอีก แกรีบลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ แต่งเนื้อแต่งตัวแล้วรีบไปเร็วเข้า”

ทำงาน?

ทำงาน!

เจี่ยนถงที่เป็นไข้จนสะลึมสะลือ ตอนที่ได้ยินฉินมู่มู่พูดเป็นชุด ในสมองยิ่งวุ่นวายเข้าไปอีก

ในความสะลึมสะลือ “ทำงาน”สองคำนี้ กลับเหมือนระเบิดลูกหนึ่ง ที่ระเบิดจนเธอตื่นตัวขึ้นมาเยอะเลย……..ทำงาน!

ดึงผ้าห่มออกและลุกจากเตียง เพราะลุกขึ้นมาอย่างเร่งรีบเกินไป แถมยังปวดไปทั้งเนื้อทั้งตัว ทันใดนั้นเกือบจะล้มลงพื้น

ฉินมู่มู่ขมวดคิ้ว และพูดอย่างไม่พอใจ: “แกเร็วหน่อย ชักช้าอยู่ได้ มัวแต่เล่นละครอะไรอยู่ ที่นี่ไม่มีผู้ชายสักหน่อย แกเล่นละครให้ใครดู?”

เจี่ยนถงปล่อยให้ฉินมู่มู่เหน็บแนมอย่างตามใจชอบ สวมใส่เสื้อทีละตัวอย่างเงียบๆ และเปลี่ยนรองเท้า

“ก็แค่ตากฝนมาหน่อย? สูงส่งขนาดนี้เลยเหรอ? ฉันก็เคยตากฝนมาเหมือนกัน ก็ไม่เห็นจะเป็นเหมือนแกเลย มีแต่แกคนเดียวที่สูงส่งใช่มั้ย?” ฉินมู่มู่ยังเหน็บแนมเจี่ยนถงต่อ

เจี่ยนถงนวดศีรษะด้วยความปวดหัว จู่ๆเธอหันหลัง: “ฉินมู่มู่ เธอรู้มั้ยว่าโลกใบนี้ ไม่มีคนชอบผู้หญิงที่พูดจาประชดประชันและเย็นชาหรอก เธออยากให้เซียวเหิงมีความรู้สึกดีๆกับเธอ งั้นก็แก้เถอะ”

พอพูดจบ เจี่ยนถงได้เตรียมใจที่จะถูกฉินมู่มู่เหยียดหยามอย่างไม่เกรงใจแล้ว

แต่แปลก วันนี้เธอยังไงก็จะเอาแต่ใจ

สมัยเด็กตอนที่ป่วย พี่ชายบอกว่า: ตอนที่ไม่สบายสามารถเอาแต่ใจได้

ตอนนั้นเธอติดเสิ่นซิวจิ่นมาก ที่จริงเธอรู้ว่าเสิ่นซิวจิ่นรำคาญเธอมาก

แต่ครั้งนั้นไม่สบาย เธอราวีเขาว่าจะนอนพักเที่ยง เธอรู้ว่าเขาก็รำคาญเธอมาก แต่เธอก็จะราวีเขาอยู่นั่นแหละ ใช้คำพูดของพี่ชายคุยโอ้อวดอย่างไร้ยางอาย: คนที่ป่วยมีสิทธิ์เอาแต่ใจได้ ฉันไม่สบาย ถ้าพี่ไม่นอนพักเที่ยงกับฉัน อาการป่วยของฉันก็จะไม่หาย

เสิ่นซิวจิ่นรับปากว่าจะนอนพักเที่ยงกับเธอจริงๆอย่างไม่เคยมีมาก่อน

พอเธอได้ลิ้มรสถึงความหวานแล้ว ก็แกล้งอาบน้ำเย็นทำให้ตัวเองป่วย แต่ว่า ไม่ได้สมหวังดังใจปรารถนาอีกต่อไป

เจี่ยนถงจมเข้าไปในความทรงของที่ผ่านมาอย่างไม่รู้ตัว คำพูดที่หยาบกระด้างต่างๆนาๆของฉินมู่มู่ เธอก็ฟังไม่เข้าหูแล้ว

“เจี่ยนถง เมื้อกี๊แกด่าฉันว่าพูดจาประชดประชันและทำตัวเย็นชา ตอนนี้ก็จะแกล้งโง่งั้นเหรอ?!”

เสียงของฉินมู่มู่แหลมคม ตามมาด้วยเสียงตื่นตระหนกของเจี่ยนถง……..

“ปัง!”

ศีรษะโขกโดนลูกบิดประตู เจี่ยนถงร้อง“ซี้ด”และสูดอาการเข้าทางปาก หันหน้าไปมองฉินมู่มู่ที่สีหน้าช็อก……….

มีของอุ่นๆอะไรสักอย่างไหลลงมาจากหน้าผาก โลกคลุมด้วยเยื่อหุ้มเซลล์สีแดงชั้นหนึ่ง………ใบหน้าสะสวยของฉินมู่มู่ มีความช็อกที่ยิ่งอยู่ยิ่งเข้มข้นขึ้น ยิ่งอยู่ยิ่งหวาดกลัวขึ้น

เป็นอะไรไป…….เป็นอะไรไปกันแน่………

“อ๊า~ไม่ใช่ฉัน! ไม่เกี่ยวกับฉันนะ! แกยืนไม่นิ่งเอง ไม่เกี่ยวกับฉัน ไม่เกี่ยวกับฉันจริงๆ! ! !”

สายตาของเจี่ยนถงยิ่งอยู่ยิ่งพร่ามัว ไม่นึกเลยว่าภาพสุดท้ายที่เห็น จะเป็นภาพที่ฉินมู่มู่วิ่งออกไปด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรีบร้อนและตื่นตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

สายตายิ่งอยู่ยิ่งพร่ามัว เธอยังงงงันมาก……เป็นอะไรไป? ฉินมู่มู่เป็นอะไรไป?

อ๋อ……..รู้สึกง่วงนอน……..

“พี่เมิ่ง ฉันจะขอลางานค่ะ” พูดพึมพำแผ่วเบาอย่างกับไม่ได้พูด ยิ่งอยู่ยิ่งเบา สุดท้าย แม้แต่เธอเองก็ไม่รู้แล้วว่าตัวเองพูดอะไรไปบ้าง………

“กรึบๆๆ” เสียงฝีเท้าที่โกลาหล ยิ่งอยู่ยิ่งใกล้ ร่างเงาหนึ่งยืนอยู่ที่ตรงหน้าของเจี่ยนถง โน้มตัวไว้และหายใจหอบคำโต:

“ไม่เกี่ยวกับฉัน แกยืนไม่นิ่งเอง ใช่ ใช่! เป็นแบบนี้แหละ ไม่เกี่ยวกับฉัน ใครจะไปรู้ว่าแค่แตะแกเบาๆ แกก็สะดุดล้มลงไปเลย”

ฉินมู่มู่วกไปวนมา คอยหายใจหอบไปด้วย และมองดูเจี่ยนถงที่ล้มอยู่บนพื้นอย่างสับสนวุ่นวายไปด้วย มองดูเลือดที่เอ่อล้นออกมาจากหน้าผากของเจี่ยนถง เธอหยิบมือถือออกมาอยากโทรหา120

บนหน้าจอ สายโทรออก“120” กำลัง “ตุ๊ด—ตุ๊ด—” เตรียมเข้าสู่การรับสาย แต่จู่ๆนึกอะไรขึ้นมาได้ ฉินมู่มู่สีหน้าเปลี่ยน และกดปุ่มวางสายโดยที่ไม่มีการลังเลเลย

ดวงตาทั้งคู่ของเธอจ้องเจี่ยนถงที่ไม่มีการรับรู้อย่างลังเลและโกลาหลจนดูไม่ได้ จู่ๆเธอกัดฟันและนั่งยองๆ เตรียมตัวใช้แรงลากเจี่ยนถงขึ้นมา

ฉินมู่มู่แทบจะออกแรงอย่างสุดกำลัง แค่อาศัยแรงของเธอนี่ลากเจี่ยนถงไม่ขึ้นหรอก

แต่พอเธอใช้แรงปุ๊บ วินาทีต่อก็ตกตะลึงเลย ก้มหน้าดูเจี่ยนถง…….เบาขนาดนี้เลย?

ไม่สนแล้ว จัดการคนสำคัญกว่า!

ไม่ทันคิดอย่างละเอียด ฉินมู่มู่ลากเจี่ยนถงขึ้น ให้ร่างกายครึ่งซีกของเจี่ยนถงซบอยู่ที่ไหล่ของตัวเอง ออกจากประตูห้องอย่างไว และเดินไปที่ทิศทางของบันได

จากนั้นก็โบกรถเรียกแท็กซี่ และส่งคนไปโรงพยาบาล

ฉินมู่มู่สีหน้าซับซ้อน ลังเลไปครู่หนึ่ง พอตัดสินแน่วแน่ปุ๊บก็หยิบมือถือขึ้นมา โทรหาหัวหน้าคนงานโดยตรง:

“พี่ลู่ วันนี้ฉันจะขอลางานค่ะ พอดีเพื่อนร่วมห้องของฉันไม่สบาย ตอนที่เธอออกจากห้องไม่ทันระวังสะดุดล้มหัวฟาดพื้น โชคดีที่ฉันลืมพกแบตสำรอง แล้วกลับไปเอาที่ห้อง พอกลับไปถึงที่ห้องพบเจอเข้าพอดีเลยพาเธอมาส่งที่โรงพยาบาลได้ทัน ตอนนี้ฉันอยู่เป็นเพื่อนเธอที่โรงพยาบาล……….ใช่ค่ะ เดี๋ยวทางนี้จัดการเสร็จ ฉันยังต้องไปที่คลับเฮ้าส์เที่ยวหนึ่ง ไปช่วยเธอลางาน…….ได้ค่ะ ฉันรู้แล้วค่ะ เธอเป็นเพื่อนร่วมห้องของฉัน ฉันจะดูแลเธอให้ดีเลยค่ะ”

———————

บทที่37:เล่นลูกไม้หลอกลวงเบื้องบน แกล้งระรานผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา

คุณหมอออกมาจากห้องฉุกเฉิน: “คุณเป็นญาติของผู้ป่วยใช่มั้ยครับ?”

ฉินมู่มู่ลังเลไปครู่หนึ่ง: “ฉันเป็นเพื่อนร่วมงานของเธอค่ะ เธอ ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ?”

คุณหมอที่ใส่เสื้อกาวน์สีหน้าไม่ค่อยดี: “คุณแจ้งให้ญาติของเธอเถอะครับ”

ฉินมู่มู่ฟังปุ๊บ สีหน้าก็ขาวซีดขึ้นมาทันที: “คุณหมอ เธอสาหัสมากเลยเหรอคะ?” รู้สึกหงุดหงิดไม่สบายใจ ถ้าเจี่ยนถงตาย………งั้นเธอ ก็ฆ่าคนแล้วน่ะสิ?

ไม่ ไม่ใช่ ไม่ใช่เธอ เจี่ยนถงล้มหัวฟาดพื้นเอง ไม่เกี่ยวกับเธอ เธอก็แค่ส่งคนมาที่โรงพยาบาลเฉยๆ

ถ้าให้คนรู้ว่าเรื่องของเจี่ยนถงเกี่ยวข้องกับเธอ งั้นเธอ ทางมหาลัยต้องไล่เธอออกแน่ๆ

เธอพยายามมานานหลายปี กว่าจะสอบเข้ามหาลัยSไม่ใช่ง่ายๆ จะกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง!

นาทีนี้ ในหัวของฉินมู่มู่ยุ่งเหยิงไปหมด คิดอะไรไปเยอะมาก ถ้าเจี่ยนถงเกิดเรื่อง ถูกคนรู้เข้าว่าเกี่ยวข้องกับเธอ งั้นเธอก็ต้องเผชิญหน้ากับทุกอย่าง ฉินมู่มู่ถึงขั้นนึกถึงเซียวเหิงว่าเซียวเหิงจะมองเธอยังไง?

“คุณหมอคะ เจี่ยนถง……ก็คือเพื่อนร่วมงานฉันคนนั้น เธอหมดหนทางรอดแล้วจริงๆเหรอคะ?”

คุณหมอขมวดคิ้ว มองฉินมู่มู่ด้วยความแปลกใจ: “ใครบอกคุณว่าเธอหมดหนทางรอดแล้ว?”

“แล้ว แล้วทำไมคุณหมอให้ฉันแจ้งให้ญาติทราบล่ะคะ?” ความหมายที่บอกว่าแจ้งให้ญาติทราบ ก็ไม่ใช่แปลว่าคนใกล้ตายแล้วเหรอ?

“คนไข้ที่อยู่ด้านในเป็นเพื่อนร่วมงานของคุณ บาดแผลตรงหน้าผากเธอค่อนข้างใหญ่ ส่งมาที่โรงพยาบาลช้าไปหน่อย เลยทำให้เสียเลือดไปค่อนข้างมาก แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ปัญหาใหญ่ที่สุดคือเธอเป็นไข้สูง อีกอย่างดูอาการแล้วน่าจะเป็นไข้มาอย่างน้อยคืนหนึ่งแล้ว พอเป็นแบบนี้ เธอก็ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลดีๆ ถ้าไม่มีคนคอยดูแลจะทำยังไง?”

ฉินมู่มู่ฟังคำพูดของคุณหมอด้วยความตื่นเต้น หัวใจที่เหมือนแขวนอยู่กลางอากาศถือว่าได้วางลงมาเสียที เธอรีบพูด: “ฉัน ฉันดูแลเธอเองค่ะ เอ่อคือ…..เธอไม่มีญาติ ฉันเป็นเพื่อนร่วมหอของเธอ งั้นฉันดูแลเธอเองเถอะ”

เจี่ยนถงไม่มีญาติและเพื่อน เรื่องนี้ยังเป็นตอนที่เธอคุยกับเจี่ยนถง เจี่ยนถงเคยพูดขึ้นมาลอยๆ ฉินมู่มู่ยังจำได้อยู่

คุณหมอมองดูฉินมู่มู่ทีหนึ่ง แววตาอ่อนโยนขึ้น: “คุณนี่เป็นคนจิตใจดีคนหนึ่งเลยนะเนี่ย ในเมื่อคุณยอมดูแลคนไข้ งั้นก็ไม่มีปัญหาแล้ว งั้นคุณไปจัดการเรื่องเข้าพักที่โรงพยาบาลเถอะ”

“โอเคค่ะ ฉันจะไปทำเรื่องเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”

ฉินมู่มู่เอาของเสร็จก็ไปทำเรื่องเข้าพักโรงพยาบาลเลย ค่ารักษาค่อนข้างที่จะแพงอยู่ ทำให้เธอเจ็บใจไปยกใหญ่ มองดูจำนวนเงินที่สูญหายไปจากบัตรเครดิต ทั้งเจ็บใจและบ่นว่า: เชอะ แกนี่ยืนดีๆหน่อยไม่ได้รึยังไงนะ

เงินพวกนี้ เป็นเงินเดือนทั้งเดือนของเธอเลยเชียวนะ เดือนนี้ถือว่าทำงานฟรีๆแล้ว

บ่นพึมพำไปด้วย และเดินไปดูเจี่ยนถงที่ยังนอนสลบอยู่ไปด้วย จากนั้นก็ออกจากโรงพยาบาลทันที และเดินทางไปที่ตงหวงนานาชาติ

………………..

ตงหวง

“เธอว่าเจี่ยนถงเป็นอะไรนะ?” ฉินมู่มู่มาหาผู้จัดการแผนกประชาสัมพันธ์ และช่วยเจี่ยนถงลางาน เธอพูดเพียงว่าเจี่ยนถงไม่ค่อยสบาย ล้มหัวฟาดพื้น และต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล

ทางฝั่งของผู้จัดการแผนกประชาสัมพันธ์ก็งานยุ่ง ยิ่งโดยเฉพาะแค่เจี่ยนถงที่เดิมทีเป็นแค่พนักงานทำความสะอาด ก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นพี่เมิ่งคิดยังไง ถึงได้เอาคนที่จุดไหนก็ไม่เข้าเกณฑ์ยัดเข้ามาที่แผนกประชาสัมพันธ์

สรุปก็คือ เดิมทีผู้จัดการของฝ่ายประชาสัมพันธ์ก็ไม่มีความรู้สึกดีๆอะไรกับเจี่ยนถงอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นต่อมาเพราะเรื่องที่เจี่ยนถงก่อขึ้นมา ยังทำให้เธอต้องเสียลูกน้องสองคนที่ไม่เลวไปอีก

เจินเจินเป็นคนที่มีความสามารถ ลู่น่ายิ่งเป็นคนเก่าคนแก่ที่อยู่ตงหวงมานาน ไม่รู้จริงๆว่าพี่เมิ่งคิดยังไง เพื่อเจี่ยนถงที่ไร้ประโยชน์ใช้งาน ก็ไล่สองคนนี้ออกไปเลย

“ช่างเถอะๆ เธอให้เจี่ยนถงพักฟื้นร่างกายดีๆเถอะ อย่าเพิ่งคิดเรื่องที่คลับเฮาส์เลย ดีที่สุดพักผ่อนนานๆหน่อยแล้วค่อยกลับมา” ทำให้ฉินมู่มู่จากไปเสร็จ ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ก็ยุ่งกับงานอย่างอื่นต่อ และทิ้งเรื่องนี้ไปไว้ที่ด้านหลัง

ซูเมิ่งเดินวนอยู่ในคลับเฮาส์ไปสองรอบ ขมวดคิ้วแน่น แปลกจังทำไมถึงไม่เห็นเจี่ยนถงเลย

“นี่ เธออย่าเพิ่งไป” บังเอิญที่ผู้จัดการแผนกประชาสัมพันธ์กำลังจะเดินเข้าลิฟต์ ถูกซูเมิ่งเจอเข้าพอดี เลยเรียกเธอเอาไว้: “เห็นเจี่ยนถงมั้ย?”

ผู้จัดการแผนกประชาสัมพันธ์หันไปมองว่าคือใคร พอเห็นว่าเป็นว่าซูเมิ่ง เธอหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า: “วันนี้เจี่ยนถงลางานค่ะ รู้สึกว่าเหนื่อย เลยอยากพักผ่อนสักหน่อยค่ะ” ลังเลไปอีกครู่หนึ่ง ผู้จัดการแผนกประชาสัมพันธ์ได้พูดกับซูเมิ่งอย่างระมัดระวัง:

“พี่เมิ่ง เจี่ยนถงคนนี้ ตั้งแต่มาถึงที่แผนกประชาสัมพันธ์ก็มีเรื่องวุ่นวายเต็มไปหมด ฉันดูแล้วเธอน่าจะไม่ชินกับแผนกของเราค่ะ สู้……ย้ายเธอไปแผนกอื่นเถอะมั้งคะ”

ไม่ชอบเจี่ยนถงคนนี้จริงๆ ห่อเหี่ยวไร้ชีวิตชีวาทั้งวัน อีกทั้งยังใส่เสื้อมิดชิดห่อหุ้มตัวเองไว้แน่นทั้งวัน ระหว่างคิ้วแฝงด้วยความกลุ้มใจ เอาแต่หน้าบูดบึ้งทั้งวัน อีกทั้งหน้าตาและหุ่นก็ไม่ดี ลูกค้าจะชอบเหรอ เอาเธอไว้นอกจากจะก่อเรื่องแล้ว มีแต่จะฉุดให้ระดับผลดำเนินงานของแผนกเธอต่ำลง

ช่วงนี้ ตั้งแต่เจี่ยนถงคนนี้มาถึงที่แผนกประชาสัมพันธ์ เธอก็ถูกแผนกอื่นหัวเราะเยาะอยู่บ่อยครั้ง แถมยังมีลูกค้าบางคนถามเธอด้วยว่า: “แผนประชาสัมพันธ์ของพวกเธอนี่ไม่มีคนแล้วเหรอ ทำไมคนที่หน้าตาสารรูปแบบนี้ก็สามารถเข้ามาที่แผนกประชาสัมพันธ์ของพวกเธอด้วย”

นาทีนี้ ผู้จัดการแผนกประชาสัมพันธ์บ่นให้ซูเมิ่งฟังอย่างระมัดระวัง ซูเมิ่งจะไม่เข้าใจได้ยังไงว่าลูกน้องเธอคนนี้ กำลังเติมพริกเติมเกลือ ฟ้องเรื่องของเจี่ยนถงให้เธอฟัง

ตอนนี้ ใบหน้าสะสวยของซูเมิ่งมีรอยยิ้มที่เป็นมาตรฐานออกมา——รอยยิ้มที่เพอร์เฟคจนหาความผิดไม่เจอ: “ผู้จัดการสวี่ เจี่ยนถงเป็นคนที่ฉันเสียบเข้ามาที่แผนกประชาสัมพันธ์เองกับมือ ทำไม ผู้จัดการสวี่มีความคิดเห็นกับการเลือกของฉัน? หรือว่ามีความคิดเห็นกับแววของฉัน?”

นาทีนี้ รอยยิ้มที่เอาใจของผู้จัดการสวี่ก็แข็งทื่อไว้แล้ว บนหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมา เธอรีบปฏิเสธ: “เปล่าๆๆ เปล่าค่ะ ในเมื่อพี่เมิ่งมีความมั่นใจในตัวเธอ งั้นฉันก็ทุ่มเทเวลาอบรมสั่งสอนเธออีกหน่อยก็แล้วกัน พี่เมิ่ง ฉันขอตัวก่อนนะคะ ประธานหลี่ยังรอฉันอยู่ค่ะ”

ผู้จัดการสวี่หันหลังจากไป เดินไปด้วย ในใจก็รู้สึกเพราะไม่ยุติธรรมด้วย ก็แค่พนักงานทำความสะอาดคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ เธอดูไม่ออกจริงๆว่าเจี่ยนถงคนนี้มีพลังวิเศษอะไร ถึงได้ทำให้พี่เมิ่งมั่นใจในตัวเธอขนาดนี้

ผู้จัดการสวี่ไม่ได้รู้สึกถึง ที่ซูเมิ่งดูแลเจี่ยนถงขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะ“มั่นใจในตัวเจี่ยนถง”เรียบง่ายแบบนี้เด็ดขาด แต่ว่านี่ก็ไม่โทษผู้จัดการสวี่หรอก ไม่ว่าใครที่เห็นเจี่ยนถงในวันนี้ ก็ดูไม่เข้าตาทั้งนั้น ถ้าเทียบกับเมื่อสามปีก่อน การเปลี่ยนแปลงของเธอเยอะมากจริงๆ

ซูเมิ่งยืนอยู่ที่เดิม ฟังเรื่องที่ผู้จัดการแผนกประชาสัมพันธ์รายงานกับเธอว่าเจี่ยนถงจะลางานสองวัน เธอก็ยังรู้สึกค่อนข้างอุ่นใจอยู่ ในที่สุด ยัยโง่คนนี้ก็รู้จักรักตัวเองแล้ว

“ยังดีที่ยังรู้จักเหนื่อย ยังมีทางรอดอยู่” ซูเมิ่งจับจมูกอย่างอุ่นใจ เธอกลัวที่สุดก็คือเจี่ยนถงยัยผู้หญิงโง่คนนั้นจะวิ่งมาบอกกับเธอว่า: พี่เมิ่ง มีงานหรือเปล่าคะ ฉันทำได้ทุกอย่างค่ะ

“ค่อยยังชั่วๆ” ซูเมิ่งโล่งอกไปที อารมณ์ก็ดีขึ้น

ตอนที่ฉินมู่มู่ลงมาชั้นล่าง เห็นเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งพอดี ขึงได้เกิดความคิดและเรียกคนเอาไว้: “เสี่ยวเสี่ยว วันนี้คุณเซียวไม่มาเหรอ?”

เสี่ยวเสี่ยวก็คือ“เพื่อนสนิท”ที่ก่อนหน้าถูกฉินมู่มู่มองว่าเป็น“ผู้ทรยศ” และเป็นพนักงานที่ถูกอันนีเรียกตัวไปคนนั้น ในขณะที่ฉินมู่มู่กำลังพูดถึงเรื่องของเจินเจินกับลู่น่า

“เปล่านี่ ฉันไม่ได้ยินพวกเธอบอกว่าคุณเซียวจะมานะ ถ้าคุณเซียวมาล่ะก็ สาวๆพวกนั้นต้องรู้แน่นอน” เสี่ยวเสี่ยวพูดอย่างไม่มีเล่ห์เหลี่ยม :“มู่มู่ เธอ……ก็ชอบคุณเซียวเหรอ”

แววตาของฉินมู่มู่พริบตาเดียวก็มีแสงของความเฉียบคมระยิบระยับอยู่………เธอก็ชอบคุณเซียวด้วยเหรอ?

——————

บทที่38: ที่เธอต้องการมันเยอะมากเหรอ?

ฉินมู่มู่เงยหน้าขึ้นมามองเสี่ยวเสี่ยวด้วยความระมัดระวัง เธอไม่ได้ตอบคำถามของเสี่ยวเสี่ยว แต่กลับย้อนถามเสี่ยวเสี่ยวว่า: “เสี่ยวเสี่ยว เธอชอบคุณเซียวเหรอ?”

เสี่ยวเสี่ยวรีบผายมือปฏิเสธ: “เปล่า ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นคนอื่น มีหลายคนเลยที่ชอบคุณเซียว”

แววตาที่เฉียบคมของฉินมู่มู่จางหายไป เธอว่าเสี่ยวเสี่ยวขึ้นมาอย่างจริงจัง: “ยังดีที่เธอไม่ชอบคุณเซียว เธอดูสิ คุณเซียวเป็นคนอะไร เขาต้องสายตาสูงแน่นอน คนที่สามารถเป็นแฟนของคุณเซียวได้จะต้องเป็นคนยอดเยี่ยมมากแน่นอน

คุณเซียวแค่มาเล่นๆที่ตงหวง จะมีทางชอบผู้หญิงที่โปรยเสน่ห์ไปทั่วได้ยังไง เสี่ยวเสี่ยว ไม่ใช่ว่าฉันอยากโจมตีนะ คุณเซียวสายตาสูง นี่มันแน่นอนอยู่แล้ว เธออย่าไปประสมโรงเจ้าชู้กับคนพวกนั้นเลย เพื่อเลี่ยงต่อไปจะไม่ได้ไม่น้ำตาเช็ดหัวเข่า”

หลังจากพูดจบ เธอเห็นเสี่ยวเสี่ยวก้มศีรษะไว้และงอนไม่ยอมพูดจา เธอเม้มปากชมพูแล้วดึงมือของเสี่ยวเสี่ยวไว้ :“เสี่ยวเสี่ยว ที่ฉันพูดทั้งหมดนี้ก็เพราะหวังดีกับเธอ เธอดูสิฉันไม่บอกกับคนพวกนั้นเลย ในฐานะที่เป็นเพื่อนกัน ฉันแค่หวังว่าเธอจะไม่ถูกทำร้าย”

พริบตาเดียวสีหน้าของเสี่ยวเสี่ยวก็ค่อนข้างอึดอัดขึ้นมา: “ฉันรู้ มู่มู่ ฉันจะต้องไปทำงานแล้ว” ไม่รู้เพราะอะไร ถึงมู่มู่จะบอกว่าหวังดีกับเธอ แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าถูกหยามศักดิ์ศรี

ฉินมู่มู่ก็ไม่ได้คิดมาก เธอได้รีบกลับไปที่โรงพยาบาลอีก

เข้ามาที่ห้องผู้ป่วย ก็เห็นเจี่ยนถงที่นอนสลบอยู่ ทันใดนั้นเธอแบะปากมองบน: “ยุ่งยากจริงๆเลย”

ก่อนหน้านั้นเธอได้พูดคุยสื่อสารกับคุณหมอ แผลบนหน้าผากของเจี่ยนถงดูเหมือนจะสาหัส ที่จริงก็แค่ส่งมาโรงพยาบาลช้าจนเสียเลือดเยอะไปหน่อย ปัญหาที่แท้จริงคือร่างกายที่ย่ำแย่อ่อนแอของเจี่ยนถง แย่จริงๆเลย

……………….

ตอนที่เจี่ยนถงฟื้น ก็คือตอนเย็นของวันที่สองแล้ว ไข้ก็ลดไปบ้างแล้ว แต่อุณหภูมิก็ยังแปลกไปจากคนปกติอยู่

ลืมตาขึ้นมา ริมฝีปากแห้งมาก พูดอย่างไม่รู้สึกตัวด้วยเสียงแหบแห้ง: “หิวน้ำ………”

เสียงเคลื่อนไหวที่ผิดปกติดังขึ้น ทำเอาฉินมู่มู่สะดุ้งตื่น เธอขมวดคิ้วมองเจี่ยนถงไปทีหนึ่ง: “รอเดี๋ยว” ฉินมู่มู่พูดอย่างเย็นชา และรินน้ำให้เจี่ยนถงแก้วหนึ่ง

เจี่ยนถงรับน้ำเอาไว้ และดื่มน้ำหมดแก้วหนึ่งอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่พูดจา

พอดื่มน้ำเสร็จ เธอก็ยังไม่พูดจา

ในห้องผู้ป่วยเงียบสงบมาก เจี่ยนถงหลุบตาลง เธอรออย่างใจจดใจจ่อ

จู่ๆ

“หน้าผากของแกชนเข้ากับลูกบิดประตู จะทิ้งแผลเป็นไว้ แต่รู้สึกเดิมทีหน้าผากของแกก็มีแผลอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นรอยแผลนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เรื่องนี้แกก็ไม่ต้องเอาไปพูดกับคนอื่นแล้ว ที่ตงหวง ฉันช่วยแกลางานแล้ว รอให้ไข้ลดแล้วค่อยกลับไปทำงาน ค่ารักษาพยาบาลฉันก็จ่ายหมดแล้ว ในช่วงระหว่างที่พักโรงพยาบาล วันหนึ่งสามมื้อ ฉันจะส่งมาตรงตามเวลาเอง”

เจี่ยนถงไม่พูดจา

ฉินมู่มู่พาลโกรธอย่างดื้อๆ นึกว่าเจี่ยนถงไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี: “เฮ้ย นี้แกได้ยินมั้ย เรื่องนี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉันคนเดียว ตัวแกเองก็มีปัญหาเหมือนกัน จะมีใครที่ตากฝนแล้วยังไปนอนที่หน้าห้องทั้งคืน แกทำแบบนี้ถึงทำให้แกเป็นไข้ ไม่งั้นล่ะก็ ฉันก็แค่แตะต้องแกหน่อยเอง แกก็ล้มแล้ว?”

เจี่ยนถงเงียบไว้ไม่พูดอะไร

ฉินมู่มู่พูดเสียงสูงอย่างห้ามใจไม่ได้ เธอตะคอก: “นี่แกอยากเอายังไงกันแน่! ฉันก็ส่งแกมาที่โรงพยาบาลแล้ว! ถ้าไม่ใช่ฉันส่งแกมาที่โรงพยาบาลอย่างทันท่วงที ป่านนี้แกไข้ขึ้นสูงจนตายแล้ว ฉันยังช่วยแกจ่ายค่ารักษาโรงพยาบาลแล้วด้วย

ฉันที่เป็นแค่เด็กมหาลัย เดิมทีก็เพื่อค่าเทอมค่าใช้จ่าย ถึงได้มาทำงานซัมเมอร์ ฉันไม่ได้มีเงินเท่าไหร่ แต่ก็ยังช่วยแกจ่ายค่ารักษาโรงพยาบาลไป แต่แกยังไม่ยอมเลิกราอีก เจี่ยนถง แกพูดมาเถอะ แกจะเอาเงินเท่าไหร่กันแน่ ถึงจะไม่เที่ยวพูดไปมั่ว?”

เจี่ยนถงก้มหน้าอยู่ตลอดเวลา ไม่พูดจา

ฉินมู่มู่ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่: “แกมีข้อเรียกร้องอะไร แกว่ามาเลย!”

เธอเตรียมใจที่จะเสียทรัพย์ก้อนโตแล้ว เธอพูดอยู่ในใจ เจี่ยนถงคนนี้โลภขนาดนี้ จะปล่อยโอกาสแบล็กเมล์ตัวเองไปได้ยังไง

ทันใดนั้นในใจมองเจี่ยนถงก็ขัดหูขัดตาไปหมด

เจี่ยนถงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองฉินมู่มู่ ค่อยๆเปิดปากพูด เสียงของเธอแหบและห้าว บาดแก้วหูและไม่เสนาะหู เธอพูดว่า: “ฉันอยากได้คำขอโทษจากเธอ”

ฉินมู่มู่เบิกตากว้าง มองเจี่ยนถงด้วยสีหน้าเหลวไหล “แกจะให้ฉันขอโทษแก?” เธอแทบจะถามเจี่ยนถงด้วยเสียงกรีดร้อง: “แกจะให้ฉันขอโทษแกงั้นเหรอ?”

มองเจี่ยนถงด้วยสีหน้าเหลือเชื่อมาก ราวกับว่าขอโทษเจี่ยนถงเป็นเรื่องที่เหลวไหลและขายหน้าสุดๆ

“แกพูดมาเถอะ ว่าแกต้องการเงินเท่าไหร่?”

ฉินมู่มู่ถามอย่างเยาะเย้ย

เจี่ยนถงที่อยู่บนเตียงกลับส่ายหน้า เธอพูดอย่างช้าๆแต่แน่วแน่: “ฉันอยากได้แค่คำขอโทษ”

“นี่แก!” ฉินมู่มู่มองเจี่ยนถงที่อยู่บนเตียงด้วยความโกรธ ดวงตาทั้งคู่แทบจะลุกเป็นไฟ เธอพูดอย่างเย็นชา: “ถ้าฉันไม่ขอโทษ แกคิดไว้แล้วใช่มั้ยว่าจะไปพูดซี้ซั้วที่ข้างนอก?”

เจี่ยนถงยิ่งเงียบแล้ว…….ทำผิด ขอโทษ ไม่สมควรรึยังไง?

การแสดงออกของฉินมู่มู่ชัดเจนมาก ขอโทษตัวเอง ก็จะทำให้ฉินมู่มู่ยากที่จะรับได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?

เจี่ยนถงถามอยู่ในใจอย่างควบคุมไม่ได้: ถ้าสมมุติวันนี้เปลี่ยนเป็นคนอื่น ฉินมู่มู่ยังจะเป็นแบบนี้มั้ย?

เฮ้อ………..เสียงถอนหายใจที่ใกล้จะได้ยิน เธอยิ่งอยู่ยิ่งเงียบสงบ ไม่ใช่เพราะคำขอโทษคำหนึ่ง แต่ว่าในใจเธอปรารถนาที่จะเป็นที่ถูกให้เกียรติเหมือนคนปกติ

ถึงจะเข้าใจตั้งนานแล้วว่าเรื่องที่“ถูกเฝให้เกียรติ”แบบนี้ ไกลจากตัวเธอไปตั้งนานแล้ว

เสิ่นซิวจิ่น………..บุคคลที่สูงส่ง แค่ใช้มือก็สามารถทำลายคนๆหนึ่งได้แล้วใช่มั้ย………จากภายในจิตใจถึงภายนอก ตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำลายอย่างสิ้นเชิง

เธอเงียบสงบ สำนึกแค้นใจตัวเองที่ได้ทำผิดไป: ไม่ควรขอร้อง ไม่สามารถขอร้อง “ถูกให้เกียรติ”สิ่งนี้ เธอไม่มีสิทธิ์ได้ครอบครองแล้ว

“เจี่ยนถง ถึงฉันจะชดเชยเงินทั้งหมดที่มี ก็ไม่ขอโทษแกหรอก เพื่อเงินแล้วสามารถคุกเข่า สามารถคลานอยู่บนพื้นเลียนแบบหมาตัวเมีย และกระดิกหางเอาใจคนมีตังค์ เจี่ยนถง ถึงฉันจะทำเรื่องผิดไปจริงๆ แกก็ไม่คู่ควรได้รับคำขอโทษของฉันหรอก” ฉินมู่มู่โมโหสุดขีด

“ถ้าแกจะพูดไปมั่วก็พูดเถอะ แต่จะมีคนเชื่อแกหรือเปล่า อย่าหาว่าฉันไม่เตือนแกก็แล้วกัน ฉันเป็นนักศึกษาของมหาลัยS เพื่อการเรียนแล้ว ขยันศึกษาและทำงาน แกเป็นผู้หญิงที่เพื่อเงินแล้วสามารถทำได้ทุกอย่าง แกว่า คนอื่นจะเชื่อแกหรือว่าเชื่อฉัน?”

ใต้ผ้าห่ม เจี่ยนถงกำหมัดไว้แน่น พยายามอดทนไว้อย่างสุดฤทธิ์ ถึงจะสามารถควบคุมความเจ็บปวดของในใจได้ ฉินมู่มู่พูดเสร็จก็ได้ไปจากห้องผู้ป่วยด้วยความโมโห ตอนที่ออกจากห้อง เธอปิดประตูเสียงดัง“ปัง” เจี่ยนถงลืมตาที่เอ๋อค้างไว้ มองดูฝ้าเพดานอย่างหมดคำพูด………..ปล่อยให้ความเจ็บปวดในใจกระจายไปทั่วร่าง ความไร้พลังแยกย้ายไปทั่วร่างกาย

เธอนึกว่าเธอเจ็บไม่เป็นแล้ว เธอนึกว่าเธอไม่แคร์เรื่องศักดิ์ศรีแล้ว

“อ๊า…….วันนี้ ฉันเป็นอะไรไป?” เสียงที่แหบห้าว พูดพึมพำคนเดียว: “อ๋อ…..เป็นไข้จนสมองเลอะเลือนแล้ว” เธอได้ตอบตัวเองอีก

เจี่ยนถงเข้าใจเป็นอย่างดีมาก ที่เธออยากได้ไม่ใช่คำขอโทษคำนั้น ที่เธออยากได้คือ…….“ถูกให้เกียรติ”จากที่ไม่ได้เห็นมานาน ที่เธออยากได้คือการถูกให้เกียรติเหมือน“คน”!

แววตามีความเจ็บปวดที่ยากจะสังเกตเห็นแวบเข้ามา……เธอแค่อยากได้คำขอโทษที่เดิมทีก็ควรจะให้เธออยู่แล้ว?

หรือว่า ขอมากไปเหรอ?

“ฉัน…….ขอมากเกินไปแล้ว” เธอก้มหน้า: “จะไม่มี…..ความคิดเพ้อฝันที่ไม่เป็นจริงอีก” เหมือนสาบานกับตัวเอง เหมือนพูดโน้มน้าวตัวเองอย่างไม่ขาดสาย เธอเหมือนสะกดจิตที่พูดกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า “ไม่เพ้อฝันในสิ่งที่ไม่เป็นจริงอีกต่อไป………”

——————

บทที่39:ยิ่งต่ำต้อยขนาดไหนก็แสดงออกถึงความเย่อหยิ่งขนาดนั้น

เรื่องเรียบง่ายมาก เรียบง่ายจน ขอแค่เจี่ยนถงอ่อนแอต่อไป รับปากข้อเรียกร้องของฉินมู่มู่ที่ไม่สมเหตุสมผล แท้กระทั่งเป็นการเหยียดหยามที่ไร้ศักดิ์ศรีต่อ

แต่เธอ กลับอยู่ในใจลึกๆ ส่วนที่ลึกที่สุดเกิดความโลภที่ไม่รู้จักพอขึ้นมา— —เธออยากได้“การถูกให้เกียรติ”ที่หายไปนาน ไม่จำเป็นต้องเหมือนเมื่อก่อน แค่เหมือนคนธรรมดาทั่วไปก็พอ ได้รับการให้เกียรติเหมือนที่“คน”ควรจะได้รับ

เห็นได้ชัดมาก เรื่องไม่ได้เป็นไปอย่างที่ใจหวัง

ตั้งแต่นี้ไป เจี่ยนถงเอาหัวใจดวงที่เต็มไปด้วยรูพรุนซ่อนให้ลึกยิ่งขึ้น เอาสิ่งที่ปรารถนาในใจซ่อนไปที่วิญญาณลึกๆด้วย ส่วนลึกๆที่ใครก็สัมผัสไม่ถึง ที่นั่นมืดและหนาว ยังมีความเหงาและความโดดเดี่ยวของตอนที่ทะเลลึกเงียบงันที่สุด

ฉินมู่มู่ไปแล้วกลับมาอีก มาแล้วออกไปอีก ทุกครั้งก็มาในเวลาทานข้าว ส่งกับข้าวเสร็จก็ไปเลย

“ฉันอยากออกจากโรงพยาบาล” วันที่สี่ที่เกิดเรื่อง ฉินมู่มู่เหมือนปกติวันธรรมดา เธอวางกล่องอาหารวางลงที่ตู้ข้างเตียงของเจี่ยนถงด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็หันหลังเตรียมตัวจากไป ด้านหลัง ผู้หญิงบนเตียงที่เงียบสงบมาโดยตลอดได้พูดขึ้นมาอย่างช้าๆ

เสียงแหบห้าวที่เชื่องช้านี้ กลับทำให้ฉินมู่มู่ที่ทำตัวเย็นชามาสี่วันหยุดฝีเท้าไว้ เธอหันหน้ามาอย่างเห็นได้ชัดว่าอารมณ์ขึ้น ปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิดเลย: “ไม่ได้ แกยังไม่หายดี”

นี่คือเป็นห่วง? เจี่ยนถงเพ่งมองฉินมู่มู่ “ฉันหายดีแล้ว ไข้ก็ลดลงแล้ว ฉันอยากไปทำงาน”

“แกคงจงใจใช่มั้ย? แกอยากให้ทุกคนเห็นผ้าก๊อซบนหน้าผากแกใช่มั้ย?” ฉินมู่มู่โกรธ: “เจี่ยนถง แกมันไม่ใช่ย่อยจริงๆซะด้วย คำว่ารู้คนรู้หน้าไม่รู้ใจคำนี้ไม่ผิดเลยจริงๆ ดูแกก็ออกซื่อสัตย์ แต่แท้จริงเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยมขนาดนี้เลย”

เจี่ยนถงหลุบตาลง บังความเศร้าโศกเสียใจในแววตาไว้………เธอคิดมากไปจริงๆซะด้วย เป็นห่วง?

ตอนที่มองฉินมู่มู่อีกครั้ง แววตาของเจี่ยนถงกลายเป็นค่อนข้างด้านชา: “ฉันจะไปทำงาน เธอไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลหน่อย”

ระหว่างที่เธอพูด ก็ดึงผ้าห่มออกและลงจากเตียงช้าๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าของตอนที่ใส่มาโรงพยาบาล

ฉินมู่มู่เบิกตากว้างอย่างตะลึงงัน………..เมื่อกี๊เจี่ยนถงคือกำลังออกคำสั่งตัวเอง?

เธอ?

เจี่ยนถง?

ออกคำสั่งตัวเอง?

ความรู้สึกถูกเหยียดหยามโผล่ขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ!

มองดูผู้หญิงที่ลงมาจากเตียงผู้ป่วย ขาเป๋ค่อยๆเดินไปที่ทางประตู ถึงจะเชื่องช้า อีขาเป๋คนนั้นก็เตรียมออกจากประตูจริงๆ นั่นก็หมายความว่า…….เจี่ยนถงเธอพูดจริง ไม่ใช่แค่ล้อเล่นแน่นอน!

เธอเตรียมออกจากโรงพยาบาลจริงๆ!

นี่จะได้ยังไง!

สายตาของฉินมู่มู่หล่นอยู่ที่บนหน้าผากของเจี่ยนถง พริบตาเดียวแววตาสับสนวุ่นวายขึ้นมาทันที เธอก็ยังกลัวอยู่ ก่อนที่ผ้าก๊อซนี้จะถูกเปิดออก อีขาเป๋คนนี้จะกลับไปที่ตงหวงได้ยังไง?

เธอเดินไปขวางที่ตรงหน้าของเจี่ยนถงอย่างไม่ต้องคิดเลย: “เจี่ยนถง ทำไมแกถึงได้ต่ำตมขนาดนี้! ทำงานๆๆ! พูดซะสวยหรู คนที่ไม่รู้ ยังนึกว่าแกรักงานมากเสียอีก

งานของแก? งานของแกก็คือเอาใจผู้ชายไม่ใช่เหรอ? อาการป่วยยังไม่หายดี แกก็รีบร้อนจะไปเอาใจผู้ชายแล้ว? แกอดใจรอไม่ไหวที่จะไปเป็นหมาตัวเมียขนาดนี้เลยเหรอ?

หรือว่า ที่จริงแกเพลิดเพลินกับขั้นตอนนี้มาก? ไม่งั้นทำไมถึงได้ไม่คำนึงถึงร่างกายที่ป่วยอยู่ ก็รีบร้อนจะไปตงหวงขนาดนี้เลย?”

ฉินมู่มู่คิดอยู่อย่างเดียวว่าไม่อยากให้เจี่ยนถงไปตงหวงในตอนนี้ ก็ไม่คิดว่าคำพูดเธอทำร้ายจิตใจคน พูดใส่เจี่ยนถงไปชุดใหญ่ เจี่ยนถงยิ่งเงียบสงบ เธอแค่ก้มหน้ามองดูปลายเท้าของตัวเอง ฝ่ามือที่อยู่ด้านหลัง กำเป็นหมัดและสั่น เธออยากหักล้างและอยากอธิบายมาก

เธอรู้อย่างลึกซึ้ง หักล้างจะมีประโยชน์เหรอ?

ก็จริงนะ เธอคุกเข่าเพื่อเงินจริงๆ

ก็จริงนะ เพื่อเงินที่มากกว่า เธอคลานลงมากระดิกหางเลียนแบบหมา

ก็จริงนะ คนอื่นไม่ได้พูดมั่ว สิ่งที่คนอื่นพูดต่อหน้าเธอ เป็นความจริงทั้งนั้น

เธอได้ทำแบบนั้นจริงๆ!

เธอสามารถโต้ตอบอะไรได้?

เธอสามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนเหรอ?

“คนเราทุกคน ล้วนมีศาสนาทั้งนั้น หรือคนคนหนึ่ง หรือความศรัทธา” เสียงที่แหบห้าวสะกดความขมขื่นไว้ เจี่ยนถงพยายามพูดอย่างสงบและช้าๆ : “เพื่อศาสนานี้ เพื่อคนๆนี้ เพื่อความศรัทธาแล้ว คนพวกนั้นที่พยายามทำให้ความฝันเป็นจริง พยายามไขว่คว้า พยายามที่จะได้รับ อย่างน้อยไม่ควรถูกหัวเราะเยาะ”

ฉินมู่มู่เอ๋อไปครู่หนึ่ง สำรวจเจี่ยนถงที่อยู่ตรงหน้าอย่างตั้งแต่หัวจรดเท้า………คำพูดแบบนี้ จะเป็นคำพูดที่ผู้หญิงไม่มีความรู้และต่ำทรามจนแม้แต่มัธยมปลายก็ยังเรียนไม่จบพูดออกมาได้ยังไง ก็ไม่รู้ว่าขาเป๋คนนี้ไปเห็นมาจากไหน

ในใจคิดแบบนี้ สายตาที่มองเจี่ยนถงก็ยิ่งดูถูกแล้ว

เจี่ยนถงพูดจบ ก็ค่อยๆยกฝีเท้าเดินอ้อมผ่านฉินมู่มู่ ฉินมู่มู่ใช้มือข้างหนึ่งดึงแขนของเธอไว้อย่างเร็ว: “ห้ามไป แกต้องพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ จนกว่าแผลที่หน้าผากจะหายดีก่อน!”

เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ มองมาที่ใบหน้าของฉินมู่มู่ พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ:“ฉันจะไปทำงาน นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ”

เธอที่ดูเหมือนอ่อนนุ่ม กลับปัดฝ่ามือของฉินมู่มู่ที่จับแขนของเธอไว้ออก ไม่มองฉินมู่มู่ที่แววตาช็อกอีกต่อไป จากนั้นก็ยกฝีเท้าเดินออกไป

ฉินมู่มู่ที่อยู่ด้านหลังดึงสติกลับมา ยกเท้าตามเธอไป ขาของเจี่ยนถงไม่สะดวก เดินเชื่องช้า จึงถูกฉินมู่มู่ตามทันอย่างง่ายดาย เจี่ยนถงไม่ได้หันหลังไป เพียงแค่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ตามมาจากด้านหลัง ใช้ขาที่กะเผลกเดินไปข้างหน้าต่อไปด้วย และใช้กล่องเสียงที่ถูกทำร้ายเพราะไฟไหม้พูดอย่างช้าๆแต่แน่วแน่ไปด้วย:

“ถ้าเธอกล้ามาขัดขวางฉันอีก ฉันก็จะโทรหาพี่เมิ่ง”

ถ้าเทียบกับอาลู่ที่อยู่ในคุกมืดมนและไม่มีแสงสว่าง ใช้ชีวิตของตัวเองช่วยเหลือเธอไว้ แค่ฉินมู่มู่คนหนึ่งแล้วจะทำไม?

ฉินมู่มู่ก็ดี ไม่ว่าคนไหนก็ดี…….แม้กระทั่ง ผู้ชายคนนั้นก็ดี เจี่ยนถงคิดไม่ออกว่ายังมีอะไรสำคัญกว่าอาลู่อีก

ปล่อยให้ด้านหลัง สายตาคู่นั้นที่ได้แค่จ้องมองเธออย่างดุร้ายหล่นอยู่ที่บนตัว ปล่อยให้ฉินมู่มู่กระหืดกระหอบ แต่กลับไม่กล้ามาขัดขวางตัวเองจริงๆ เจี่ยนถงเดินออกจากโรงพยาบาลทีละก้าวๆ

ฉินมู่มู่ไม่พบเห็น ความต่ำต้อยความต่ำทราม ความไร้ความสามารถในแววตาเธอ คนอ่านหนังสือไม่ออกที่ไม่มีวุฒิการศึกษา เจี่ยนถงที่อยู่ในแววตาเธอไม่ใช่อะไรเลย เมื่อเทียบกับเธอที่เป็นนักศึกษาระดับยอดเยี่ยมของS เจี่ยนถงเดินอย่างใจเย็นกว่าและเย่อหยิ่งกว่า

แน่นอนว่าฉินมู่มู่ก็ไม่ได้พบเห็น ห้องผู้ป่วยที่อยู่ห้องข้างๆของเจี่ยนถง ที่หน้าห้องผู้ชายคนหนึ่งกำลังมือกอดอก พิงอยู่ที่กรอบประตูอย่างชิวๆ สุดท้ายคนๆนั้นมองหน้าลิฟต์ที่เจี่ยนถงสูญหายไปทีหนึ่ง เขายืนตัวตรง ยกขาที่เรียวยาวเดินอ้อมผ่านฉินมู่มู่ แล้วเดินไปยังลิฟต์ที่เจี่ยนถงนั่งลงไป

เจี่ยนถงนั่งลิฟต์ลงมา ขาเธอไม่สะดวก เวลาเดินยิ่งเชื่องช้า ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ไข้จะลดแล้ว แต่ร่างกายกลับยิ่งอ่อนเพลีย เธอเดินออกจากหน้าประตูใหญ่ของโรงพยาบาลอย่างเชื่องช้า ยืนที่ข้างถนน โบกมือเรียกรถแท็กซี่

“พี่คะ ฉันจะไปที่ตงหวง ไม่กดมิเตอร์ ราคาถูกหน่อยได้มั้ยคะ?”

คนขับยื่นศีรษะมาดู “ช่วงนี้ทำมาหากินยาก นี่เป็นรถแท็กซี่ ไม่ใช่รถรับจ้างผิดกฎหมาย จะนั่งหรือไม่นั่ง? ไม่นั่งผมจะขับไปแล้ว”

เห็นได้ชัดว่าไม่ยอมถอย เจี่ยนถงล้วงกระเป๋าเสื้อคลุมที่ตัวเองใส่มาโรงพยาบาลอย่างจนปัญญา แล้วเงยหน้าขึ้น: “พี่คะ บนตัวฉันมีเงินอยู่แค่ยี่สิบหยวนค่ะ”

“พอจ่ายแล้ว ขึ้นรถเถอะ”

ถ้าเป็นไปได้เธอไม่อยากนั่งรถแท็กซี่หรอก เพราะมันแพงเกินไป แต่วันนี้ เธอคิดว่าบางทีอาจจะสามารถลืมความตกอับของตัวเอง บางทีอาจจะนั่งแท็กซี่ด้วยความฟุ่มเฟือยหน่อย

เหมือนกับว่าแค่นั่งรถแท็กซี่หน่อย เสมือนว่าเธอก็จะสามารถเหมือนคนปกติตามท้องถนนจริงๆอย่างนั้น มีศักดิ์ศรีเหมือนคนปกติ

เธอเจี่ยนถง กำลังพยายามสุดความสามารถในการให้ตัวเองดูแล้วเหมือนคนๆหนึ่ง คนธรรมดาคนหนึ่ง ที่เธอปรารถนาคือ คนธรรมดาที่สามารถได้รับเกียรติจากคนอื่น

ใช่ ในใจเธอยังปรารถนาอีกเช่นเคย แต่เธอ จะไม่ไปขอร้องให้คนอื่นให้อีกต่อไป

ของที่คนอื่นไม่ยอมให้ ถึงขอร้องยังไงก็ไม่ได้มาหรอก

ถ้าอย่างนั้น เธอจะพยายามทำตัวและใช้ชีวิตให้ดูแล้วเหมือน“คน”

——————-

บทที่40: การเฝ้าเหยื่อที่นองเลือดเริ่มต้นขึ้นแล้ว

รถแท็กซี่ขับมาที่ตงหวง เจี่ยนถงลงจากรถ ยืนอยู่ที่หน้าร้านของตงหวงนานาชาติที่แม้แต่ก่อสร้างตกแต่งภายนอก ก็ยังเห็นได้ชัดว่าหรูหราอย่างถ่อมตน

เธอไม่ได้รีบร้อนเข้าไปด้านใน เธอยกมือจัดความเรียบร้อยของเสื้อให้เนี๊ยบและเป็นระเบียบอย่างละเอียด เธอฉีกผ้าปิดแผลบนหน้าผากทิ้ง จัดผมหน้าม้าให้ตรงๆ ปิดแผลที่เย็บมาสามสี่เข็มนั้นไว้

จัดความเรียบร้อยทุกอย่างเสร็จ เธอยืดตัวตรง กระดูกสันหลังที่สามปีมานี้กดทับจนค่อม ก็พยายามให้มันตรงขึ้นมา เจี่ยนถงเพ่งมองไปข้างหน้าตรงๆ ยกเท้าเดินเข้าไปในตงหวงนานาชาติที่แสงไฟสว่างจ้า

ด้านหลังเธอ เฟอร์รารี่สีน้ำเงินคันหนึ่งจอดอยู่ที่หน้าร้อนของตงหวงนานาชาติ กระจกรถค่อยๆเลื่อนลงมา เผยใบหน้าที่สามารถบอกได้ว่าสุดยอดไม่มีใครเปรียบได้แห่งยุค ส่วนคนๆนี้ ก็คือผู้ชายแปลกหน้าที่สังเกตการพูดคุยสนทนาทั้งหมดของฉินมู่มู่กับเจี่ยนถง

นาทีนี้ ใบหน้าที่หล่อเหล่านั้น ดวงตาหงส์คู่นั้นกำลังมีความคึกคะนองและ……..นองเลือดในขณะที่กำลังล่าเหยื่อระยิบระยับอยู่!

“เจี่ยนถงเหรอ?” สายตาของเขาจ้องมองอยู่ที่ประตูของตงหวงอยู่ตลอดเวลา ผ่านไปสักพัก เขาค่อยๆหยิบมือถือออกมาจากในเสื้อสูท แล้วโทรออกไปสายหนึ่ง:

ถามคนที่อยู่ในสายอย่างเกียจคร้าน:

“ลูเชน นายเคยเห็นผู้หญิงที่สวยที่สุดมั้ย?”

คนที่อยู่ในสายเงียบไปสักพัก ไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่ย้อนถามเสียงต่ำ: “ใครกลายเป็นเหยื่อรายตใหม่ของนายอีกล่ะ?”

ทางนี้ ผู้ชายหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี: “นายนี่รู้ใจฉันที่สุดเลย”

“……..เป็นผู้หญิงแบบไหน?” ลูเชนคิดไม่ถึงแน่นอนว่าคนที่เพื่อนสนิทของเขาจ้องจับตาจะเป็น เจี่ยนถงที่เคยมีวาสนาเจอกันครั้งหนึ่ง

นี่ก็โทษลูเชนไม่ได้ ที่ผ่านมารสนิยมและความชอบของผู้ชายคนนี้ล้วนแต่เป็นสไตล์ดูดีและมีระดับ ใครจะคิดได้ว่ารสนิยมของครั้งนี้จะเปลี่ยนไปเยอะขนาดนี้?

“อาเชน นี่คือผู้หญิงที่น่าสนใจที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา ฉันว่าช่วงเวลาสามเดือนที่อยู่ในเมืองจีนคงไม่น่าเบื่อแล้วล่ะ”

ลูเชนที่อยู่ในสายตะลึงงันไปครู่หนึ่ง พร้อมยักคิ้ว: “ประเมินค่าสูงขนาดนี้เลย?” สามเดือน? ต้องรู้ไว้นะว่าไอ้หมอนี่ จนถึงตอนนี้ การล่าเหยื่อที่ยาวนานที่สุดก็แค่สองเดือนเท่านั้น

“เป็นผู้หญิงที่น่าสนใจมาก นี่เป็นผู้หญิงที่ขัดแย้งที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา ต่ำทรามจนไร้ขีดจำกัด เย่อหยิ่งจนไร้ขีดจำกัด นายเคยเห็นใครที่สามารถเอาความต่ำต้อยแสดงได้เย่อหยิ่งดั่งพระอาทิตย์ที่สว่างจ้าราวกับไฟมั้ย? นอกจากความเย่อหยิ่งที่ฝังอยู่ในลึกๆ

ฉันแปลกใจมาก เรื่องอะไรกับคนอะไร ถึงจะสามารถทำให้ผู้หญิงอย่างนี้คนหนึ่ง ลบล้างจนกลายเป็นสภาพในตอนนี้ อาเชน ฉันจะปลุกตัวจริงของเธอตื่น”

ลูเชนอกสั่นขวัญแขวนอย่างแปลกประหลาด รู้จักกับเพื่อนสนิทมาสิบกว่าปี ไม่เคยได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากของเพื่อนรักเลย “นายตามสบายเถอะ”เขาก็ยังเชื่อสติสัมปชัญญะของเพื่อนสนิทคนนี้อยู่: “ฉันไม่ห้ามนาย คาย์อัน แต่นายต้องรู้ไว้นะ อย่าเล่นกับหัวใจของคน ทำให้พอเหมาะพอควรก็ต้องหยุดนะ”

ผู้ชายแปลกหน้าที่ว่าก็คือคาย์อัน เขาหัวเราะแต่ไม่พูด จากนั้นก็ได้วางสายลง

ลงจากรถและปิดประตู เขายกเท้าเดินเข้าไปในตงหวง

………………….

“ทำไมเธอมาอีกแล้ว? ไหนบอกว่าไม่สบายไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่ต้องไปสนใจเธอหรอก เรามันคนละทางกัน”

“ก็ใช่น้อ ได้ยินมาว่าฉินมู่มู่พักห้องเดียวกับเธอก็มีเรื่องขัดแย้งกันเยอะมาก”

“เรื่องขัดแย้งเยอะแค่ไหน สุดท้ายเวลาป่วย ก็ไม่ใช่ฉินมู่มู่เหรอที่เป็นคนคอยดูแลเธอ?”

เจี่ยนถงเพิ่งมาถึงที่ตงหวง เข้ามาที่แผนกประชาสัมพันธ์ ตลอดทางก็ได้ยินคนมากมายกำลังซุบซิบนินทาและวิพากวิจารณ์อยู่ด้านหลัง สภาพจิตใจของเธอในตอนนี้ สามารถใช้คำว่าด้านชามาเปรียบเปรยแล้ว

เธอไม่ได้โง่ สาเหตุที่มีคำพูดพวกนี้แพร่สะพัดออกมา เพราะคุณงามความดีของใคร เธอรู้ดีแก่ใจ

สำหรับความจริง ก็คงไม่มีใครแคร์หรอก

ถ้าอย่างนั้น จะพูดหรือไม่พูด มันสำคัญเหรอ?

สำหรับคำซุบซิบนินทา พูดจาเสียๆหายๆและวิจารณ์มั่วซั่วลับหลังพวกนี้ เจี่ยนถงแกล้งทำเป็นเหมือนไม่ได้ยิน ผลักประตูของห้องพักผ่อนออก หามุมที่เงียบสงบแล้วนั่งลงมา

เพียงแต่รอบด้านมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เบาๆแว่วมาอย่างไม่ขาดสาย ยังมีสายตาของการสำรวจต่างๆนานา

ด้วยจิตใต้สำนึก เจี่ยนถงก้มหน้าลง จับหน้าผาก……เจ็บ เธอแค่ใช้ผมหน้าม้าปิดแผลนั้นให้มิดชิดยิ่งขึ้น แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อฉินมู่มู่ แต่เพื่อตัวเธอเอง เธอต้องการเงิน ต้องการเงินที่เยอะมาก

ถ้าเทียบกับพนักงานคนอื่นๆในแผนกประชาสัมพันธ์ เจี่ยนถงก็เหมือนเป็นตัวตลก แต่ถึงจะอย่างนี้ก็เถอะ เธอก็ยังนั่งอยู่ที่หัวมุมอย่างนิ่งๆอีกเช่นเคย รอพวกเศรษฐีที่อาจจะมีความชอบที่พิเรนทร์

“เจี่ยนถง ออกมา” ผู้จัดการแผนกประชาสัมพันธ์ยืนอยู่ที่หน้าห้องพักผ่อน เรียกเจี่ยนถงด้วยสีหน้าเรียบเฉย

พริบตาเดียวสายตาของรอบๆต่างก็เป็นประกายขึ้นมา ต่างก็รอเจี่ยนถงถูกด่าอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น

เจี่ยนถงลุกขึ้นอย่างลังเล เธอเดินไปทางผู้จัดการแผนกประชาสัมพันธ์ไปด้วย และถามอย่างเชื่องช้าไปด้วย:

“ผู้จัดการสวี่ มีอะไรหรือเปล่าคะ? สองวันก่อนฉันไม่สบาย ฉินมู่มู่…….” ช่วยฉันลางานแล้วค่ะ

แต่ผู้จัดการของแผนกประชาสัมพันธ์กลับหงุดหงิดใส่เจี่ยนถง พูดขัดเธออย่างหมดความอดทน: “ตามฉันมา ลูกค้าห้อง606เจาะจงมาว่าให้เธอไป”

ตอนที่ผู้จัดการสวี่พูดคำนี้ ประตูไม่ได้ปิด คนที่อยู่ในห้องพักผ่อนได้ยินแล้ว ต่างก็ตะลึงงันกันเป็นแถว

“ห้อง601 ชั้นหก ชั้นV.I.P เชียวนะ”

“ก็ใช่น่ะสิ ชั้นV.I.P นี้ไม่ใช่ว่าแค่มีตังค์ก็สามารถเข้าได้นะ ใครกันแน่? ไม่ได้ยินว่าคืนนี้มีคนจองห้อง601เลยนี่”

“อีกอย่างแถมยังเจาะจงมาด้วยว่าจะเอานังนี่? นี่ล้อเล่นใช่มั้ยเนี่ย?”

“ซูซาน ไม่แน่อาจจะเป็นลูกค้าชอบของแปลกอีกก็ได้? เรื่องแบบนี้ ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีมั้ง?”

คนๆนี้พูดจบ คนที่อยู่ในห้องพักผ่อน ต่างก็เผยสายตาที่ปล่อยวางออกมา “ก็ใช่น้อ งานแบบนี้เราทำไม่ได้หรอก”

ถึงมีบทเรียนจากเจินเจินกับลู่น่า แต่พนักงานของแผนกประชาสัมพันธ์ไม่ได้เอามาใช้เป็นข้อเตือนใจเลย ยิ่งไปกว่านั้น BOSSใหญ่เกลียดคนที่ชอบปลุกปั่นปัญหา พวกเธอไม่ได้ทำอะไรเจี่ยนถงคนนี้สักหน่อย

แต่เดิมที คนพวกนี้ก็มีอคติกับเจี่ยนถงที่ไม่ตรงตามมาตรฐานของพวกเธออยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนที่เจี่ยนถงเข้ามาในแผนก เป็นพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำอยู่ที่ตงหวงมาครึ่งปี คนที่ทำความสะอาดห้องน้ำคนหนึ่ง อยู่มาวันหนึ่ง กลับเข้ามาที่แผนกของพวกเธออย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ไม่ว่าใครก็รู้สึกไม่ชอบใจทั้งนั้นแหละ

………………….

หน้าห้อง 601

ผู้จัดการของแผนกประชาสัมพันธ์สีหน้าเย็นชา เชิดหน้าเล็กน้อยใส่เจี่ยนถง: “หลังจากเข้าไป เธอต้องรู้นะว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ต้องให้ความพึงพอใจกับข้อเรียกร้องของลูกค้า และอย่าขัดใจลูกค้า รู้มั้ย?”

“รู้แล้วค่ะ ผู้จัดการสวี่”

แววตาของผู้จัดการสวี่ไม่ปกปิดความไม่ชอบใจต่อเธอเลยสักนิด:

“ฉันไม่สนว่าใครเป็นคนพาเธอเข้ามาในแผนกประชาสัมพันธ์ แต่ในเมื่อเข้ามาที่แผนกของฉันแล้ว ก็ต้องทำตามข้อเรียกร้องของฉัน เธอจำไว้ด้วย ถ้าจะอยู่แผนกของฉันต่อ ก็อย่าสร้างปัญหาให้ฉัน มีคนมากมายที่อยากจะเข้ามาแผนกประชาสัมพันธ์ ถ้าเธอทำได้ไม่ดีก็ออกไป อย่ากั๊กที่ไว้ ไม่ว่าใครออกหน้าแทนก็ไม่มีประโยชน์ จำได้หรือยัง?”

“จำได้แล้วค่ะ ผู้จัดการสวี่ ฉัน…..ขอถามหน่อยได้มั้ยคะ ลูกค้าคนนี้ชื่ออะไรหรอคะ?” เจี่ยนถงถามอย่างลังเล เธอไม่คิดว่าจะมีใครจะเจาะจงเรียกเธอจริงๆ นอกเสียจากว่าเป็นคนรู้จักกัน

ถ้าเป็นคนรู้จัก…….หัวใจเธอกระตุก สีหน้าซีดเซียวเล็กน้อย นอกจากคนพวกนั้นในสามปีก่อน ยังจะมีใครอีกน้อ?

“นี่ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องเป็นห่วง อะไรที่ไม่ควรถามก็อย่าถามเยอะ เข้าไปซะ” ผู้จัดการสวี่พูดจบ ก็ยื่นมือดึงประตู

เจี่ยนถงยังไม่ทันดึงสติกลับมา ก็ถูกผู้จัดการสวี่ผลักเข้าไปในห้องแล้ว

ถูกผลักเข้ามาในห้องอย่างโซเซ เธอยังไม่ทันยืนนิ่ง จู่ๆก็มีเรี่ยวแรงใหญ่ลากเธอไปข้างหน้า ในระหว่างตื่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก กลิ่นโคโลญกลิ่นหนึ่งก็โชยมาเตะจมูก

เสียงที่มีแรงดึงดูดดังขึ้นมาที่ข้างหูเธอ เขาพูดว่า: “ในที่สุดคุณก็มาสักที”

บทที่ 41 คืนนี้ฉันอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนฉัน

หูของเจี่ยนถงร้อนขึ้นทันที ชัดเจนเกินไป ลมหายใจของบุคคลคนนั้น ก็พ่นอยู่ที่หูของเธอ แม้ว่าเธอจะต้องการที่จะเพิกเฉย แต่ก็เป็นเรื่องยาก

“คุณผู้ชาย ได้โปรดปล่อยก่อนเถิด” เธอกล่าว

และสิ่งที่เธอไม่คาดคิด ก็คือแทนที่บุคคลคนนั้นจะปล่อย แต่กลับจงใจแกล้ง เปิดริมฝีปากของเขาที่หูของเธอ และพูดอย่างมีเลศนัยว่า “ไม่มีปัญหา”

แน่นอน ว่าเขาปล่อยมือ แต่ … ริมฝีปากของคนคนนี้ กัดเข้าที่หูของเธออย่างมีเลศนัย

เจี่ยนถงตกตะลึง บรรดาผู้คนที่เคยพบ ไม่เคยรับมือยากขนาดนี้

เขาปล่อยมือจริงๆ … ถูกต้อง!

เพียงแต่ … ไม่ปล่อยปาก

และเสียงนี้ ก็ไม่คุ้นเคยอย่างมาก

ในใจเจี่ยนถงยิ่งรู้สึกแปลก ๆ … เธอแน่ใจว่า เธอไม่รู้จักชายแปลกหน้าคนนี้

จำสิ่งที่ผู้จัดการสวี่บอกเธอที่ประตูชั้นบ็อกซ์ได้ แม้ว่าจะไม่เต็มใจ แต่ก็ต้องอดทน

เอียงศีรษะอย่างระมัดระวัง พยายามลอบมองคนตรงหน้าจากมุมหางตา

ในเวลานี้ ไม่มีอะไรอยู่ตรงหน้า บุคคลคนนั้นก็ถอยห่างออกไปครึ่งก้าว: “ถ้าอยากมองก็มองอย่างเต็มตา”

ตูม!

ใบหน้าของเจี่ยนถงแดงระเรื่อ … คือการที่ตัวเองแอบมองคนอื่น ความอึดอัดใจที่ถูกจับได้จากคนที่เกี่ยวข้องต่อหน้า

แม้ว่าจะอึดอัดใจ แต่เธอก็เห็นรูปร่างหน้าตาของคนคนนี้ ความประหลาดใจแวบหนึ่งผ่านดวงตา แต่ในวินาทีถัดมาดวงตาของเจี่ยนถง ก็กลับมาสงบอีกครั้ง

ดวงตาของคาย์อันเป็นประกายด้วยความสนใจ นอกจากนี้ยังมีความตื่นเต้นเหมือนเมื่อออกล่าสัตว์

ยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย คนที่รู้จักเขาดีย่อมรู้ว่า เขาต้องสนใจมากในขณะนี้

มีกี่คนที่ได้เห็นรูปลักษณ์ของเขา มันต้องน่าทึ่งแน่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ก็ต้องมนต์สะกดด้วยใบหน้าที่สวยงามของตัวเองเสมอ … เมื่อนึกถึงสิ่งนี้

บนใบหน้าที่สวยงามของคาย์อัน

มีแววของความขยะแขยงที่มองไม่เห็น – เกรงว่าในโลกนี้ก็ไม่มีใครอีกแล้ว

เขาเกลียดรูปโฉมที่ไม่ชัดเจนของตัวเองมากกว่าตัวเองเกลียดตัวเองเสียอีก

เจี่ยนถงยกมือขึ้น และค่อยๆเช็ดหู เพื่อเช็ดสัมผัสตรงหน้า เธอ ยังคงไม่ชอบสัมผัสของคนอื่น

ดวงตาของคาย์อันหรี่ลงอย่างกะทันหัน รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้น่าสนใจมาก

เธอมีความขัดแย้ง

ไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนต่ำต้อยกว่าเธอมาก่อน แต่เธอไม่รู้ว่า ไม่ว่าเธอจะทำตัวต่ำต้อยแค่ไหน

ก็ยังทรยศเธอด้วยการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ

นี่คือผู้หญิงที่ไม่ง่ายที่จะเอาชนะ และยังเป็นเหยื่อที่ดีมากอีกด้วย … น่าสนใจ

“ดื่มเหล้าไหม?” เขาถาม

เจี่ยนถงไม่ได้คิดเรื่องนี้: “คุณผู้ชาย ฉันไม่รู้ว่าทำไมท่านถึงเรียกฉัน แต่ฉันคิดว่า ควรบอกให้ท่านรู้เรื่องหนึ่ง ฉันไม่ดื่มนอกจากเรื่องนี้ ฉันสามารถทำอะไรก็ได้”

"โอ้ ~? อะไรก็ได้?”

คาย์อันหัวเราะเบา ๆ “งั้น คืนนี้ฉันอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนฉัน”

ทันทีที่คาย์อัน พูดจบ การแสดงออกของเจี่ยนถงก็น่าชมมากยิ่งขึ้น

ในหัวเธอมีเสียงหึ่งๆ มองภาพตรงหน้าอย่างอึ้ง ๆ ผู้ชายที่มีใบหน้าชั่วร้าย…….เธอไม่เคยคิดมาก่อน เป็นเกียรติของเธอในตอนนี้ ที่มีคนสนใจ

มองไปที่ผู้หญิงที่ทำตัวจืดชืดและไม่น่าสนใจ ตั้งแต่เพิ่งจะเข้ามาในชั้นบ็อกซ์ ทันใดนั้นใบหน้าที่สดใสจ้องมองด้วยความไม่เชื่อ คาย์อันอารมณ์ดีมาก หยิบสมุดเช็คออกมาจากแขนของเขา

เขียนตัวเลขอย่างรวดเร็ว และเซ็นชื่อของเขาด้วยปากกาเซ็นชื่อที่พกติดตัว นิ้วเรียวถือเช็คส่งให้เจี่ยนถง: “เอาไป วันนี้มีธุระที่จะต้องไปก่อน ครั้งหน้าจะมาหาคุณใหม่”

เจี่ยนถงไม่ได้ยื่นมือไปรับเช็ค เพียงเหลือบมองจำนวนเงินในเช็ค … หนึ่งแสน!

เธอไม่ได้ทำอะไรเลย ตั้งแต่ที่เธอเข้ามาจนถึงตอนนี้ ใช้เวลาเพียงแค่สิบห้านาที คนคนนี้ก็ให้หนึ่งแสน?

“หือ” เงยหน้าขึ้นมองชายคนนั้น พลางคิดกลับไปกลับมา … คำพูดที่เขาพึ่งจะพูดคือความจริง ไม่ใช่จงใจแกล้งเธอหรือ?

หรือว่า คนคนนี้ ต้องการที่จะ …

“อย่าคิดสุ่มสี่สุ่มห้า คืนนี้ฉันมีธุระ ไม่สามารถพาคุณกลับไปค้างคืนกับฉันได้ในคืนนี้”

เจี่ยนถงถอนหายใจด้วยความโล่งอก: “ไม่ต้องการมากขนาดนี้” เธอชี้ไปที่จำนวนเงินที่เช็คของคาย์อันที่มากเกินไป

เสียงหัวเราะเบา ๆ เสียงไพเราะที่น่าดึงดูด “นี่คือสิ่งที่คุณสมควรได้รับ คุณทำให้ฉันรู้สึกดี คุณรู้สึกว่ามันมาก ฉันคิดว่ามันไม่เพียงพอที่จะซื้อให้ฉันอารมณ์ดีได้”

“……..”

“รับไปเถอะ หัวหน้าของคุณไม่ได้สอนคุณหรือ ต้องฟังคำพูดลูกค้า และตอบสนองความต้องการของลูกค้า?” คาย์อันยิ้มและจับมือของเจี่ยนถง และยัดเช็คลงในฝ่ามือของเธอ

ในฝ่ามือ มันร้อน เงินก็ เข้ามาอย่างอธิบายไม่ถูก ต้องการที่จะปฏิเสธ ทันใดนั้นก็คิดว่า

เธอยังเป็นหนี้เสิ่นซิวจิ่นจำนวนมหาศาลถึงห้าล้าน …เงินนี่ มันเป็นสิ่งที่เธอขาดที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่หรือ?

มันยังคงร้อนอยู่ที่ฝ่ามือที่ถือเช็ค มันร้อนราวกับถือเตา แต่ใบหน้าของเธอ ก็ค่อยๆซีดลง

ผลตอบแทนของลูกค้าเหล่านั้นในอดีต เธอยอมรับมันอย่างน่าอับอาย แต่ก็รับมันด้วยความสบายใจ

ยังมีห้าแสนของประธานลู่ เธอยังสามารถเข้าใจได้ว่า นั่นเป็นเพียงเพราะในสายตาของประธานลู่ เธอและผู้หญิงที่เขารัก ค่อนข้างคล้ายกัน เห็นแล้วทำให้คิดถึงคนรักและบ้านไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

แต่ผู้ชายคนนี้ที่โผล่ขึ้นมาอย่างกะทันหัน … เธอไม่ได้ทำอะไรเลยไม่ใช่หรือ

คาย์อันสูง 187 ยืนอยู่ตรงหน้าเจี่ยนถง สูงกว่าเธอประมาณครึ่งหัว เขาหรี่ตาลงและยกมุมริมฝีปาก

ชื่นชมการแสดงออกเล็กน้อยของผู้หญิงตรงหน้า

ดูเหมือนว่าจากการเปลี่ยนแปลงการแสดงออกที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้ สามารถมองเห็นการต่อสู้ภายในของเจี่ยนถงได้

และดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความสุข – เขาชื่นชมการต่อสู้ภายในของผู้หญิงคนนี้ด้วยความสนุกสนาน

หนึ่งแสนสามารถชื่นชมการต่อสู้ภายในที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ นี่เป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้มากที่สุด ที่เขารู้สึกหลังจากที่เขามาที่ประเทศจีน

ใบหน้าของเจี่ยนถงซีดลงเรื่อยๆ ดวงตาของเธอกำลังต่อสู้ดิ้นรน ในแง่หนึ่งรู้สึกว่าเงินนี้เป็นเรื่องที่จัดการยาก ในแง่หนึ่งก็มีความจำเป็นเร่งด่วนต้องการเงิน

ทันใดนั้น เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้น จากมุมมองของเธอ เธอสามารถเห็นเพียงคางที่หล่อเหลาของคาย์อันและมุมริมฝีปากของเธอถามว่า “คุณผู้ชาย คุณต้องการให้ฉํนทำอะไรให้คุณไหม?”

ดวงตาของคาย์อันตวัดไปมาด้วยความประหลาดใจ … แต่เขามองผู้หญิงคนนี้เบา ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า เธอสามารถทำให้ตัวเองประหลาดใจครั้งแล้วครั้งเล่า และทำให้ความรู้จักที่มีต่อเธอกลับมาอีกครั้ง

ผู้หญิงที่น่าเสียดาย ผู้หญิงที่ถ่อมตัว … น่าภูมิใจจนเขาต้องหันมามองผู้หญิงคนนี้ใหม่จริงๆ!

เธอต้องการเงิน ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ สักนิด จากบทสนทนาระหว่างเธอกับผู้หญิงอีกคนในโรงพยาบาล วิเคราะห์ได้ไม่ยากว่า—ผู้หญิงตรงหน้าต้องการเงินอย่างเร่งด่วน และเป็นเงินก้อนใหญ่

ไม่อย่างนั้น จะทนกับความอัปยศอดสูและทำในสิ่งที่ผู้หญิงเกือบทั้งหมดไม่อยากทำได้อย่างไร?

เป็นไปได้ว่า มีบางคนเกิดมาก็ต่ำต้อย?

คาย์อันหัวเราะกับตัวเองเบาๆ

ดังนั้น เขาให้เงินเธอ แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อความเห็นอกเห็นใจจากเขา แต่เพียงเพื่อดูการแสดงออกที่ต่อสู้ดิ้นรนและยุ่งเหยิงของผู้หญิงคนนี้ เขาชื่นชมมันอย่างที่เขาปรารถนา เขาคาดหวังจุดเริ่มต้น ไม่ได้คาดหวังว่าสุดท้าย—เธอต้องการเงิน แต่ก็ไม่ได้เอาไปเปล่าๆ นี่คือทัศนคติของเธอ

ล่า!

เอาชนะได้!

คำสองคำนี้ ปรากฏขึ้นในจิตสำนึกของคาย์อันอย่างชัดเจน นิ้วชี้เรียวยาวยกขึ้นและกดลงบนริมฝีปากบางของตัวเอง และมองไปที่เจี่ยนถง: “จูบฉัน”

บทที่ 42 เขาต้องการเพียงแค่จูบเดียวหรือ

“จูบฉัน”

ในเสียงต่ำ หลบซ่อนความเป็นธรรมชาติไว้

คาย์อันหยอกล้อด้วยสายตา

ไม่มีทาง นี่เป็นความสนุกที่ชั่วร้ายของเขา

ชีวิตที่น่าเบื่อเกินไป มักจะต้องการสิ่งเหล่านี้มาเติมเต็ม

ในช่วงสามเดือนที่อยู่เมือง S เจี่ยนถง ก็คือสิ่งเติมเต็มของชีวิตที่น่าเบื่อของเขา

คาย์อัน ต้องการที่จะเห็นผู้หญิงคนนี้ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง การต่อสู้ดิ้นรนและการพัวพันอีกครั้ง

แต่คราวนี้ สิ่งที่เขากำหนดกลับผิดคาด

ผู้หญิงคนนั้น เพียงแค่ชะงักเล็กน้อย จากนั้น จึงเงยหน้าขึ้นมาเงียบๆ ถามเขาด้วยสีหน้าจริงจัง: “คุณผู้ชายไม่ใช่ล้อเล่น?”

“ไม่ใช่” เขายิ้มจางๆ ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แต่วินาทีต่อมา ใบหน้าที่สงบนิ่งก็ชะงักการยาวนาน ดวงตาเบิกกว้างขึ้น

มองสายตาระยะใกล้แล้วไม่อยากจะเชื่อ หน้าที่อยู่ใกล้สายตาตรงหน้านั้นใบหน้าไม่สวยเลย

มีสัมผัสอุ่นและแห้งบนริมฝีปากอย่างชัดเจน เขาไม่สามารถเพิกเฉยต่อความรู้สึกแบบนี้ที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน

เพียงเพราะริมฝีปากของเขาไม่เคยจูบริมฝีปากที่หยาบกว่าผ้าลินิน: “คุณ ……”

“จูบ” นี่ของ เจี่ยนถง ไม่ได้เรียกว่า “จูบ” แต่เป็นความต้องการของลูกค้า เธอปฏิบัติตามคำเชื้อเชิญ เช็คธนาคารในฝ่ามือ

มันไม่ร้อนเหมือนเมื่อก่อน เธอคิดว่ามันตลกดี เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่า จูบของเธอมีค่ามาก … หนึ่งแสน!

ฮ่า ฮ่า ~

เจี่ยนถงยืนเขย่งเท้าลงและถอยไปข้างหลังอย่างใจเย็นสามก้าว สามก้าว เป็นระยะที่ปลอดภัยเล็กน้อย

“คุณ … ทำไม?” ดวงตาของคาย์อัน เต็มไปด้วยความสงสัย สิ่งที่เกี่ยวกับการต่อสู้และความยุ่งเหยิงที่เขาคาดหวัง? ไม่มีสิ่งที่เขาคาดหวังว่าจะได้เห็นหรือ?

เจียนถงเงยหน้าขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้ม: “เพราะฉัน เป็นแค่กะหรี่ ใครก็ตามที่ให้เงิน ฉันสามารถจูบเขาได้โดยไม่ลังเล"

หนึ่งจูบนับอะไร?

ชายคนนี้เคยขอให้เธอ แสดงฉากจูบกับบอดี้การ์ดของเขาต่อหน้าทุกคน

จูบเดียว หนึ่งแสนหยวน … เธอได้รับไม่ใช่หรือ?

รอยยิ้มของเจี่ยนถง ยิ่งไม่จริงใจ … เธอเป็นแค่กะหรี่!

คาย์อันคิดไม่ถึงว่า ผู้หญิงคนนี้ จะพูดคำเสื่อมเสียโดยไม่ปิดบัง ชั่วขณะหนึ่ง สายตาที่มองไปยังผู้หญิงตรงหน้า มีบางอย่างมีความซับซ้อนที่ตัวเองไม่ได้สังเกตเห็นด้วยซ้ำ

เขายกมือขึ้นและเหลือบไปที่นาฬิกา: “วันนี้ก็ถึงตรงนี้เถอะ คุณหนูเจี่ยน พวกเราจะพูดถึงเรื่องนี้ในครั้งต่อไป”

พูดจบก็จากไป

ระหว่างทางเดิน บนใบหน้าที่สวยงามของคาย์อัน เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น … น่าสนใจมาก!

“คุณเป็นแค่กะหรี่งั้นเหรอ … ต้องการป้องกันอำพรางออกด้วยมือตัวเอง!” เขาตั้งหน้าตั้งตารอเจี่ยนถงที่จะถูกปลดเปลื้องการอำพราง สนิทสนมจนแทบจะเปลือยร่าง จะดีกว่าที่จะเกิดการนองเลือดต่อหน้าเขา

ในตอนนั้น ริมฝีปากของเธอซึ่งหยาบและแห้งยิ่งกว่าผ้าลินิน ยังคงสามารถพูดว่า “ฉันเป็นเพียงกะหรี่เท่านั้น”ได้อย่างง่ายดาย

นิ้วขาวลูบริมฝีปาก และหรี่ตาในทันใด!หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาด้วยใบหน้าที่ว่างเปล่า นำมาเช็ดริมฝีปากสามครั้ง แล้วเดินไปที่ทางเข้าลิฟต์ “ติ๊งต๋อง” ประตูลิฟต์เปิดออก ขาสูงยาวของเขาก้าวเข้าไป ยกมือขึ้น นั่นคือผ้าเช็ดหน้าแถบสีน้ำเงินเข้มบนพื้นหลังสีขาว ลอยลงไปในถังขยะที่ทางเข้าลิฟต์

เจี่ยนถงยืนอยู่ในชั้นบ็อกซ์ ก้มหน้าลงจ้องมองที่ปลายเท้าของตัวเอง ดวงตาหม่นลงเล็กน้อย … ชายแปลกหน้าเมื่อกี้ ต้องการ จูบเดียวจริงหรือ?

เขาใช้เงินหนึ่งแสน ซื้อ แค่จูบเดียวจริงหรือ?

รูม่านตาของเธอขยายใหญ่ขึ้น และยกมือขึ้นปิดหน้าอกของเธอ … เธอรู้ – ไม่ใช่

อยากจะโต้แย้งคนนั้นเสียงดัง อยากจะกรีดร้องออกมาด้วยความไม่พอใจ: “ฉันเป็นแค่กะหรี่ แต่กะหรี่ก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน! คุณอยากเห็นความยุ่งเหยิงและดิ้นรนคนแค่ไหน แต่ฉันก็จะรู้สึกเจ็บปวดเช่นกัน”

เธออยากจะตะโกนออกมามาก

มีครั้งหนึ่ง ที่เธอเกือบจะตะโกนออกมาด้วยความไม่พอใจภายใน แต่เมื่อเธอจะพูดเธอก็จำได้ว่า: เธอมีศักดิ์ศรีตรงไหน?

กะหรี่ก็มีศักดิ์ศรีเช่นกัน แต่ ในกะหรี่ เธอคนเดียวไม่มี!

เช็คธนาคารในมือของเธอกำไว้อย่างแน่น และทุกตัวเลขบนเช็คนั้น ในสายตาของเจี่ยนถงแล้วล้วนเป็นสีเลือด

……

“ตุ๊ง ตุ๊ง”

“เข้ามา”

ซูเมิ่งเงยหน้าขึ้น “ทำไมคุณถึงมาที่นี่? ร่างกายดีขึ้นแล้วหรือ? พักผ่อนอยู่ที่บ้านอีกสักสองสามวันไม่เป็นไรหรอก"

“พี่เมิ่ง ฉันไม่เป็นไร” เธอวางเช็คในมือลงบนโต๊ะของซูเมิ่งอย่างเบามือ: "คราวนี้รบกวนพี่เมิ่งแล้ว รบกวนพี่เมิ่งนำจำนวนเงินในเช็คนี้ เก็บเข้าที่บัตรธนาคารนั้น”

ซูเมิ่งเหลือบมองเช็ค “หนึ่งแสน? เงินนี้เอามาจากไหน?” พึ่งจะถามจบ ซูเมิ่งก็ปิดปากตัวเอง เม้มริมฝีปากและมองไปที่เจี่ยนถงสักพัก: “คุณเพิ่งรับคำสั่ง?”

เจี่ยนถงไม่ได้พูดอะไร เป็นการบอกเป็นนัย

“ทำไมเขาให้เงินคุณมากมายขนาดนี้?”

ซูเมิ่งลุกขึ้นยืน หนึ่งแสน มันไม่ใช่การบริโภคครั้งใหญ่ในตงหวง แต่ก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ยิ่งไปกว่านั้นนี่คือรางวัลที่ไม่รวมเครื่องดื่มและการบริโภคอื่น ๆ ซูเมิ่งจับไหล่ของเจี่ยนถง:

“คุณทำอะไร”

เธอกลัวมากจริงๆ เพื่อเงิน คนหัวอ่อนคนนี้ ทุ่มเทสุดชีวิต เธอเห็นมันในสายตา

เมื่อมองไปที่ความกังวลอย่างจริงใจในดวงตาของซูเมิ่ง หัวใจที่มึนชาของเจี่ยนถงก็อบอุ่นขึ้นเล็กน้อย ไม่อยากให้ซูเมิ่งกังวล เธอหลุบตาลง: “พี่เมิ่ง เขาเพียงแค่ต้องการหนึ่งจูบ”

“หนึ่งจูบ? ง่ายๆแบบนี้?” แม้แต่ซูเมิ่งผู้รอบรู้ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะกรีดร้อง แต่วินาทีต่อมาซูเมิ่งก็เงียบ … ง่าย? ไม่มันไม่ง่าย

หนึ่งจูบ?

มันไม่ใช่แค่นั้น

เธออยู่ในสถานที่เรื่องรักๆใคร่ๆของหญิงชาย เห็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยและผู้มีอันจะกินที่ระบายรสนิยมแย่ ๆ ของพวกเขาเมื่อพวกเขาไปเที่ยวกลางคืน

สามารถได้รับรางวัลจากบุคคลที่มีเงินหนึ่งแสนของผู้ชายประเภทนี้ จะเป็นผู้หญิงแบบไหน?

ซูเมิ่งมองไปที่เจี่ยนถง ไม่ใช่ว่าดูถูกเจี่ยนถง แต่มองจากรูปลักษณ์ภายนอก เจี่ยนถงเธอ…..ไม่ใช่สเปคของผู้ชายเหล่านั้นจริงๆ

รูปลักษณ์ภายนอกของเจี่ยนถงที่จะดึงดูดผู้ชาย…ซูเมิ่งรู้สึกว่า มีไม่กี่คนในโลกนี้

ผู้ชายหรอ ต้องดูรูปโฉมก่อน

“เพียงแค่ หนึ่งจูบ?” ซูเมิ่งถามเบา ๆ

"อือ"

ซูเมิ่งเงียบยิ่งกว่าเดิม ถ้า วันนี้ลูกค้าผู้ใจดีท่านนี้ เพียงแค่ต้องการจูบจากเจี่ยนถง นั่นแสดงให้เห็นว่าสิ่งต่างๆไม่ง่าย

“ในอนาคต คุณไม่ต้องไปพบคนนี้อีกแล้ว" ซูเมิ่งตัดสินใจ

เธออยู่ในสถานที่ที่มีเรื่องรักๆใคร่ของชายหญิงมาจนถึงทุกวันนี้ คนที่ประสบความสำเร็จอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

เพียงแค่อาศัยข้อมูลที่เจียนถงให้มา ก็รู้ว่าคนคนนี้มีเจตนาที่ไม่ดีต่อเจี่ยนถง แม้ว่าจะไม่รู้ว่าคนคนนี้คิดอย่างไรกับ

เจี่ยนถง ผู้หญิงหัวอ่อนคนนี้ แต่ซูเมิ่งรู้ว่าเธอไม่สามารถให้ เจี่ยนถงเจอคนนี้ได้อีกต่อไป

ซูเมิ่งเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เจี่ยนถงที่เงียบขรึมอยู่ตรงหน้าเธอ ทันใดนั้นสายตาก็จับจ้องที่หน้าผากของเธอ และทันใดนั้นเธอก็ยื่นมือออกมาเปิดผมหน้าม้าของเจี่ยนถงอย่างรวดเร็ว ม่านตาของซูเมิ่งหดตัว ตะโกนทันที:"นี่เกิดอะไรขึ้น!"

ซูเมิ่งคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เจี่ยนถงตอบสนองไม่ทัน เมื่อเจี่ยนถงตอบสนอง ซูเมิ่งก็ได้เห็นแล้ว เธอรีบวางผมที่ซูเมิ่งรวบขึ้นมาเพื่อปกปิดบาดแผลบนหน้าผากของเธอด้วยความตื่นตระหนก:

“ฉันไม่ระวังเลยชนประตู ไม่มีอะไร”

บทที่ 43 เหตุผลที่เสิ่นซิวจิ่นไปต่างประเทศ

“เจี่ยนถง บอกฉันให้ชัดเจน!” ซูเมิ่งเป็นคนแบบไหน เธอจะถูกเจี่ยนถงหลอกได้อย่างง่ายดายได้อย่างไร ใบหน้าที่สวยงามของเธอเย็นชา: “คุณกล้าที่จะหยุดพักเพราะคุณเหนื่อยหรือไม่?”

หลังจากพูดจบ ซูเมิ่งก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และมองไปที่เจี่ยนถง: “คุณไม่พูดก็ได้ ฉันจะโทรหาประธานเสิ่นโดยตรง”

ในหัวซูเมิ่งไร้สติอย่างฉับพลัน จึงแสดงอาการออกมาแบบนี้

“พี่เมิ่ง ประธานเสิ่นไม่สนใจอะไรกับฉันหรอก”

ซูเมิ่งชะงัก ครั้งนี้ เจี่ยนถงกำลังพูดความจริง

ซูเมิ่งนึกถึงเสิ่นซิวจิ่น และคนที่ปฏิบัติต่อเจี่ยนที่ดุมากที่สุดก็คือเขา

กลัวว่าถ้าตัวเองโทรศัพท์ไป บอกเขาว่าเจี่ยนถงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ กลัวว่าเขาจะเมินเฉย

“โอเค เด็กน้อย คุณทำได้ ฉันจะไม่โทรหาประธานเสิ่น ฉันจะโทรหาผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของคุณมา"

ใบหน้าของเจี่ยนถงซีดลง: “อย่าเรียกผู้จัดการสวี่” ซูเมิ่งตะลึง เจี่ยนถงกลัวผู้จัดการสวี่มาก? เจี่ยนถงหน้าดูซีดเซียวและขอร้องและมองไปที่ซูเมิ่ง: “พี่เมิ่ง อย่าเรียกผู้จัดการสวี่มาเลย”

ผู้จัดการสวี่ไม่ชอบตัวเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถ้าเพราะเหตุนี้ทำผู้จัดการสวี่เกลียด ย้ายเธอออกจากแผนกประชาสัมพันธ์แล้ว … เงินจำนวนมหาศาลถึงห้าล้าน เธอจะหาเงินที่ไหนมาจ่ายคืนผู้ชายคนนั้น?

“ฉันบอก คือฉัน … ชนลูกบิดประตู”

“ทำไมคุณถึงชนลูกบิดประตูได้” ซูเมิ่งฉลาดมาก จู่ๆคนจะไปชนลูกบิดประตูได้อย่างไร?

“ฉันกลับไปวันนั้น จู่ๆฝนก็ตกและฝนตกทำให้ฉันเวียนหัวและรู้สึกไม่สบายตัว” เจี่ยนถงยังคงปกปิดเรื่องที่ฉินมู่มู่ทำสิ่งเหล่านั้น

เธอไม่ได้ปกป้องฉินมู่มู่ และไม่รู้สึกเสียใจกับฉินมู่มู่ เธอไม่ต้องการให้ใครเกลียดเพราะเรื่องนี้

เธอ รู้สึกกลัว

เสิ่นซิวจิ่น ทำให้ชีวิตของเธอแย่ยิ่งกว่าความตาย

มันอึดอัดจริงๆที่ถูกคนอื่นเกลียด

ซูเมิ่งมองไปที่เจี่ยนถงอย่างเฉียบคม ราวกับจะวัดความจริงของจากคำพูดของเจี่ยนถง

หลังจากนั้นไม่นาน ท่าทีของซูเมิ่งก็เบาลง: “อาการบาดเจ็บที่หน้าผากของคุณยังไม่หายดี กลับไปพักฟื้นเถอะ เมื่อหายสนิทค่อยกลับมาทำงานได้ ผู้จัดการของคุณ ฉันจะบอกคุณเอง”

“ฉันไม่”

ยกเว้นเรื่องการดื่ม เจี่ยนถงผู้ซึ่งเชื่อฟังทุกอย่างมาโดยตลอด จู่ๆก็ต่อต้านซูเมิ่งตรงหน้า ซูเมิ่งงงงัน: “เชื่อฟัง”

“ฉันไม่ ฉันไม่เป็นอะไร”

“ร่างกายคุณยังไม่ดี ด้ายบนหน้าผากของคุณยังไม่ถูกเอาออก”

“พี่เมิ่ง ถ้าคุณรักฉันจริงช่วยแนะนำงานให้ฉันเพิ่มเติมด้วย”

ประโยคนี้ ที่ทำให้ซูเมิ่งรู้สึกแย่ในเวลาเดียวกัน แต่ก็รู้สึกสงสารกับคนตรงหน้าด้วย

รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าของเธอ เจี่ยนถงไม่มีขอบเขตไม่มีหน้าไม่มีผิว มันคือความดื้อรั้นในกระดูก ซูเมิ่งขยี้คิ้ว “คุณออกไปก่อน” แม้ว่าเธอจะหยุดเจียนถง แต่ก็คาดว่าคนหัวอ่อนคนนี้จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหาเงินให้มากขึ้น

ห้าล้าน ไม่ใช่ว่าซูเมิ่งไม่มีเงิน และไม่ใช่ว่าเธอจะมอบให้เจี่ยนถงไม่ได้ แต่ว่า เธอรู้ว่า ถ้าเรื่องนี้ เจ้านายของเธอ–เสิ่นซิวจิ่น รู้เรื่องนี้ การดำเนินชีวิตของเธอก็จะไม่ง่าย

เมื่อเจี่ยนถงออกไป ซูเมิ่งก็เหลือบมองเช็คบนโต๊ะ ไม่มีความลังเล เพียงชั่วข้ามคืนเงินหนึ่งแสนถูกหักจากบัญชีของตัวเองไปยังบัตรธนาคารที่เสิ่นซิวจิ่นมอบให้เจี่ยนถง

แน่นอนว่าธนาคารปิดแล้ว แต่คนอย่างพวกเขา สามารถจัดการธุรกิจบางอย่างที่คนอื่นไม่สามารถจัดการได้เสมอ

สำหรับเช็ค ซูเมิ่งยัดเข้าไปในตู้เซฟของตัวเธอเอง

นิวยอร์ก

และเมือง S ไม่เหมือนกัน คือเวลากลางวัน

ห้องประชุมของสำนักงานสาขานิวยอร์ก ตั้งอยู่ที่ชั้น 65 ของตึกระฟ้าทั้งหมด ในที่นั่งแรกของห้องประชุม มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ วางโทรศัพท์บนโต๊ะห้องประชุม มีเสียงสั่น ชายคนนั้นเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์และหรี่ตาลงทันที

ด้านหนึ่งชาวอเมริกันผมบลอนด์ภายใต้ทีมงานของเขายังคงทำรายงานอยู่ อีกด้านชายคนนี้เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะประชุมและคลิกที่ข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน

นี่คือข้อความการโอนเงินผ่านธนาคาร เมื่อมองไปที่จำนวนเงินบนนั้น ดวงตาสีเข้มของชายคนนั้นก็ฉายแววอันตราย

“เสียงแฉลบเฉียดอย่างรวดเร็ว” และลุกขึ้นยืน ผู้เข้าร่วมประชุมที่ตื่นตระหนกนั่งลงทีละคน ชายอเมริกาที่กำลังรายงานอยู่ก็ยิ่งกลัวและหยุดกะทันหัน กังวลว่า พูดอะไรผิดและทำให้เจ้านายชาวเอเชียขุ่นเคืองหรือไม่

ชายคนนั้นเดินไปที่หน้าต่างสูงจากพื้น เอื้อมมือออกไปและกดหมายเลข “บี๊บ – บี๊บ—“ หลังจากเสียงบี๊บสองครั้งอีกฝ่ายก็เชื่อมต่อ

“ใครให้เงินเธอ”

เสียงเย็นเยียบ ส่งผ่านไมโครโฟน ไปยังซู่เมิ่งที่อยู่ในตงหวง

ดวงตาของซูเมิ่งเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่แล้วเธอก็เข้าใจ: เธอโอนเงินหนึ่งแสนของเจี่ยนถง ให้กับบัตรธนาคารของประธานเสิ่น และโทรศัพท์มือถือที่เชื่อมโยงกับบัตรธนาคารเป็นของประธานาเสิ่นเอง

จากนั้นเงินจากที่นี่จะถูกส่งไปและหลังจากช่วงเวลาที่แตกต่างออกไป ประธานเสิ่นก็สามารถรับข้อความการโอนเงินได้

“เป็นแขกแปลกหน้า”

ซู่เมิ่งพยายามอย่างเต็มที่ในการพูดคุยธุรกิจโดยไม่ปิดบัง

“ครั้งนี้ เธอทำอะอีกไร?”

คำถามนี้อธิบายได้เล็กน้อย แต่ซูเมิ่งเข้าใจความหมายของเสิ่นซิวจิ่น ประธานเสิ่นจะถาม ทำไมมีคนให้เงินหนึ่งแสนกับเจี่ยนถง และเจี่ยนถงใช้อะไรเพื่อแลกกับมัน

หลังจากลังเลสักพัก ซูเมิ่งไม่รู้ว่าจะพูดหรือไม่

ด้านนี้ ชายคนนี้ลังเลเกี่ยวกับความเงียบในโทรศัพท์ ความไม่อดทนปรากฏบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา: “คุณช่วยเธอปิดบังบางอย่าง”

“ไม่ใช่ … เจี่ยนถงไม่ได้ทำเรื่องอะไรเกินเลย” ซูเมิ่งนึกไม่ออกว่าบอสใหญ่คิดอย่างไร จิตใจของบอสใหญ่คนนี้อยู่ลึกมากมาโดยตลอด แต่เธอก็รู้ด้วยว่า ถ้าเสิ่นซิวจิ่นได้ดุร้ายขึ้นมา มีเพียงไม่กี่คนในเมือง S ที่สามารถหยุดได้ และเธอสามารถพูดได้อย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้:

“เจียนถงเพียงแค่จูบผู้ชายคนนั้น”

ซูเมิ่งรู้สึกว่า นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ในตงหวง การจูบ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แม้ว่า เธอจะกังวลเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่รู้สึก เช่นนี้

เจี่ยนถงสามารถยั่วโมโหบิ๊กบอสได้

ทางด้านนิวยอร์ก ชายคนนี้ตัดสายอย่างเย็นชา

สีหน้าเย็นชา มองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่ ในห้องประชุม ทุกคนต่างหวาดกลัวบอสใหญ่อยู่ในใจลึก ๆ ไม่มีใครเข้าใจ ชายแปดฟุตที่จมอยู่ในห้องประชุมไม่สามารถหายใจได้

ผู้ชายตัวใหญ่อย่างชายอเมริกาต้องหดไหล่และพยายามไม่เคลื่อนไหวใด ๆ

เสิ่นซิวจิ่นจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาเย็นชา ใบหน้าของเขาหล่อเหลาราวกับหยก และก็เย็นราวกับหยกเช่นกัน ริมฝีปากบาง ๆ ของเขาค่อยๆยกขึ้นอย่างเย็นชา … มันไม่ใช่เรื่องที่มากเกินไปหรือ?

อา……

การประชดฉายในดวงตาของเขา และการประชดนั้นเต็มไปด้วยความโกรธที่ไม่อาจต้านทานได้

เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ในคืนก่อนที่จะมานิวยอร์ก เขายังยืนอยู่หน้าหน้าต่างของอพาร์ตเมนต์สไตล์โรงแรมชั้น 28 ของตงหวงมองไปในยามค่ำคืน ไม่รู้ว่าทำไม เขาไม่มีศักดิ์ศรีในตัวเอง เขาไม่อยากเห็นเจี่ยนถงแบบนั้นอีกแล้ว!

เขาเข้าใจดีขึ้นว่าทำไมเจี่ยนถงเมื่อสามปีก่อนถึงไม่สามารถส่งผลต่ออารมณ์ของเขาได้ แต่เจี่ยนถงที่ได้รับการปล่อยตัวจากคุกในอีกสามปีต่อมา สามารถทำให้ตัวเองโกรธได้ เพียงแค่เขาเห็นเจี่ยนถงเป็นเช่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธ ไม่อยากเห็น งั้นก็ … มานิวยอร์ก!

เขาเชื่อว่า ความแปรปรวนทางอารมณ์ของเขาในช่วงเวลานี้ เป็นแค่การไม่คุ้นเคยกับการเผชิญหน้ากับผู้หญิงที่น่าสงสารคนนั้นซึ่งแตกต่างจากความประทับใจของตัวเองอย่างสิ้นเชิง

บางทีหลังจากมาที่นิวยอร์กแล้ว ไม่จำเป็นต้องเห็นเจี่ยนถงที่ต่ำต้อยและน่าสงสารแบบนั้นเป็นระยะเวลาหนึ่ง อารมณ์แปรปรวนที่อธิบายไม่ได้จะหายไปโดยอัตโนมัติ

แต่เธอ … จูบคนอื่นอีกแล้วเหรอ?

การกระทำที่ต่ำทรามและไร้ยางอายมากพอที่จะทำอะไรได้หรือไม่?

“เสิ่นยี เตรียมตัวกลับ” เสิ่นซิวจิ่น ออกคำสั่งด้วยใบหน้าที่เยือกเย็น

บทที่ 44 ความไร้ยางไอไม่เคยเห็นมาก่อน

เมื่อเจี่ยนถงเลิกงาน ตามปกติ ตอนกลางคืน เธออยู่คนเดียว

เป็นไปไม่ได้เลยที่ฉินมู่มู่จะไปทำงานและเลิกงานพร้อมกับเธอ

เมื่อกลับมาที่หอพัก เจี่ยนถงรู้สึกประหลาดใจ ไฟในห้องโถงเปิดขึ้นและฉินมู่มู่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนโซฟาอย่างเรียบง่าย

เมื่อเห็นว่าตัวเองกลับมา ก็รีบวางโทรศัพท์แล้วลุกขึ้นยืน

“คุณกลับมาแล้ว?”

เจี่ยนถงรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้น เมื่อก่อนฉินมู่มู่ซ่อนตัวอยู่ในห้องของตัวเองเพื่อหลับนอน แต่วันนี้เธอนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งโถง รอตัวเอง?

“ใช่” เธอลังเลเล็กน้อยที่จะพูด เธอติดคุกมาสามปี มีสถานที่ที่เธอสามารถพูดคุยได้น้อยมาก

ความเงียบ เป็นสภาวะที่เธอพบบ่อยที่สุด

“วันนี้ฉันได้ยินมาว่าในชั้นบ็อกซ์VIPชั้นหก มีแขกเรียกชื่อคุณให้ไปหา? เป็นใครหรือ?”

นี่ … กำลังพูดกับตัวเองเหรอ? เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ฉินมู่มู่ จากนั้นก็หัวเราะกับตัวเอง … เป็นไปได้อย่างไร?

“เป็นแขกแปลกหน้า” เธอพูดช้าๆ พร้อมกับส่องกระจกในใจ สิ่งที่ ฉินมู่มู่ต้องการถามก็คือ แขกผู้มาเยือนคนนั้นคือเซียวเหิง หรือไม่

“โอ้ …” อีกฝ่ายโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด และทันใดนั้นก็มองมาที่ตัวเองอย่างรวดเร็ว: “อาการบาดเจ็บที่หน้าผากของคุณ … คุณบอกคนอื่นหรือไม่”

เจี่ยนถงรู้สึกเหนื่อย เหนื่อยมาก

เธอเบื่อกับการล่อลวงของฉินมู่มู่ ที่จะหยุดเล่นและบังคับให้เธอถามคำถาม

ในท้ายที่สุดการบีบบังคับและการล่อลวงดังกล่าวจะดำเนินต่อไปเมื่อใด

หลับตาลง ละลืมตาอีกครั้ง มองไปที่ฉินมู่มู่: “คุณเป็นนักเรียนระดับท็อปมหาวิทยาลัย S ฉันเป็นแค่คนทำความสะอาดที่ยังไม่จบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยม เราสองคนเป็นสองโลก เพียงเพราะการทำงาน และอยู่ร่วมกันในหอพักที่ บริษัท จัดให้ เราสองคนมีความแตกต่างกันมาก จากนี้ก็ทำตัวเองให้สบาย และใช้ชีวิตของใครของมันเถอะ”

“เจี่ยนถง ทำไมคุณถึงพูดแบบนี้ มันมากเกินไป แล้ว… “

ยังพูดไม่ทันจบ ฉินมู่มู่จ้องมองไปที่ผู้หญิงที่อ่อนแอและเงียบในสายตาของเธอด้วยความตะลึง เธอเดินกะเผลกผ่านเธอและเดินเข้าไปในห้องนอนโดยไม่หันมามอง

ทันใดนั้น ใบหน้าสวยก็เปลี่ยนเป็นสีขาว สีสันก็เหมือนกับจานสี มันน่าตื่นเต้นมาก

เมื่อมองไปที่ประตูที่ปิดลง หัวใจของฉินมู่มู่เต็มไปด้วยความโกรธ

ความหมายโดยนัยของผู้หญิงขาเป๋ ฉินมู่มู่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอ ให้ฉินมู่มู่เธอหยุดสักหน่อยเถอะ?

“โอเค โอเค โอเค เจี่ยนถง คุณเยี่ยมมาก อยู่ในแผนกประชาสัมพันธ์ คำพูดเป็นชุดแล้ว คุณแข็งแกร่งก็อย่าทำอยู่ที่ตงหวง” ฉินมู่มู่ไม่โกรธ และวิ่งไปที่ประตูห้องของเจี่ยนถง ตะโกนเสียงดังหันไปรอบ ๆ ด้วยความโกรธ และเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง

เจี่ยนถงพิงแผงประตูแล้วค่อยๆเลื่อนลง … ในที่สุดมันก็เงียบ

ไม่รู้ว่า ตัวเองยั่วยุนักศึกษาวิทยาลัยคนนี้ที่ตรงไหน พูดออกมา เธอไม่สามารถเปลี่ยนได้หรือ? เธอเหนื่อย

ในตอนนี้ความขัดแย้งระหว่างเธอกับฉินมู่มู่เพิ่มขึ้น และฉินมู่มู่ไม่หยุดที่จะแสดงความไม่ชอบเธอออกมา

วันที่สองในคืนที่เข้าทำงาน นักศึกษาวิทยาลัยคนนี้มองว่าจมูกตัวเองไม่ใช่จมูก และตาก็ไม่ใช่ตา

เจี่ยนถงเพียงแค่เงียบมาโดยตลอด

……

ตงหวง

ที่ทางเดิน เจี่ยนถงและฉินมู่มู่บังเอิญพบกัน ไม่รู้ว่าเจี่ยนถงไม่ได้หยุดหรือฉินมู่มู่จงใจชนเจี่ยนถง ด้วยแรงโน้มถ่วงและ เจี่ยนถงก็ล้มลงกับพื้น

ฉินมู่มู่ยืนอยู่ตรงหน้าเจี่ยนถง กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จู่ๆตาก็สว่างขึ้น และก้าวไปข้างหน้า และก้มลงเพื่อช่วยพยุง เจี่ยนถง: “คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม ฉันไม่ได้ตั้งใจ คุณอย่าโกรธฉันเลย จะได้ไหม?”

นัยน์ตาที่มีน้ำตลอดเวลาของเจี่ยนถง ยังมีร่องรอยของความสงสัยเขามองไปที่ฉินมู่มู่อย่างแปลก ๆ ไม่รู้ทำไม จู่ๆฉินมู่มู่ถึงแสดงออกมาทำตัวแปลก ๆ ?

“เจี่ยนถง คุณลุกขึ้นก่อน นั่งบนพื้นระวังความหนาวเย็น ร่างกายคุณพึ่งจะดีขึ้น พึ่งจะออกจากโรงพยาบาล” ในขณะที่พูด มือทั้งสองข้าง ก็ประคองเจี่ยนถงด้วย “ผู้หญิงต้องปกป้องตัวเองให้ดี ถ้าคุณเอาแต่ใจตัวเองเหมือนที่เคยทำมาก่อนจะทำอีกไม่ได้แล้ว? “

“……”

“ไม่กี่วันที่ผ่านมาฉันลืมของไว้ที่หอพัก รีบวิ่งกลับไป จึงพบว่าคุณนอนอยู่บนพื้นหมดสติ และรีบนำคุณไปโรงพยาบาล ฉันตอนนี้นึกไม่ออก ถ้าวันนั้นฉันไม่รีบกลับหอพักอีกครั้ง จะเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้น”

เจี่ยนถงยิ่งฟัง คิ้วยิ่งขมวดแน่นขึ้น คำพูดเหล่านี้ของฉินมู่มู่ เป็นการพูดให้ตัวเอง?

ฉินมู่มู่พูดสิ่งเหล่านี้ ราวกับว่าพวกเขาจงใจพูดกับใครบางคน … เดี๋ยวก่อน จงใจพูดกับใคร?

เจี่ยนถงไม่ได้โง่ เธอหันศีรษะและมองไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว ทันทีที่เธอหันศีรษะ ด้วยแรงที่เอว

เธอยกตัวขึ้นเบา ๆ และผละออกจากกรงเล็บของฉินมู่มู่ โดยที่หลังของเธอพิงกับผนังเนื้ออันอบอุ่น ด้านหลังของเธอ เสียงผู้ชายที่ไพเราะดังมา:”เจี่ยนถง ยังไม่รีบขอบคุณท่านนี้อีก? คุณฉินมู่มู่?”

เสียงนี้ … เป็นเซียวเหิงที่เคยพบกันสองครั้งที่ทางเดิน

เสียงของเซียวเหิง โดดเด่นมาก

ท่าทางมอมเมาเล็กน้อย ท่าทีที่ไม่เหมาะสม เสียงต่ำที่ดึงดูดเหมือนแม่เหล็กต่ำ กลัวว่าจะลืมยากหลังจากได้ยินมัน

เจี่ยนถงจำเสียงของเซียวเหิงได้ และหันหน้าไปทางเขา “คุณเซียวเหิง คือคุณ”

ด้านหนึ่งแขกทักทายอย่างสุภาพ อีกด้านหนึ่งผละจากการถูกจองจำของชายคนนี้

เพียงชายคนนี้มีแขนเหล็ก เหมือนเถาวัลย์ สลัดยังไงก็สลัดไม่ได้

เจี่ยนถงขมวดคิ้วอย่างเงียบ ๆ … ตอนนี้เรียบร้อยแล้ว ฉินมู่มู่อาจจะทำให้เรื่องยากขึ้นอีกครั้ง

เธอแค่อยากเก็บเงินให้ได้ห้าล้าน … เรื่องอื่น ๆ เธอล้วนไม่คิด

“สวัสดีคุณเซียว” ฉินมู่มู่ทักทายเซียวเหิง สายตา มองไปที่เอวของเจี่ยนถง ฉายแววความหึงหวง ทำไม! เจี่ยนถงมีอะไร?

เนื่องจากฉินมู่มู่เริ่มที่จะทักทาย เซียวเหิงจึงทำแบบนี้ “โอ้ คุณฉิน”

การเต้นของหัวใจของฉินมู่มู่เร็วขึ้น เซียวเหิงยิ้มที่มุมปาก ให้ความรู้สึกประทับใจมาก

เซียวเหิงยืนอยู่ข้างหลังเจี่ยนถง เจี่ยนถงก็จะล้มลงอีกครั้ง ผมที่หน้าผากยุ่งนิดหน่อย

เซียวเหิงจ้องมอง ลดเปลือกตาลง วินาทีถัดไป เปิดเปลือกตาขึ้นและกวาดมองไปยังฉินมู่มู่

ยังคงมีรอยยิ้มชั่วร้ายที่มุมปากของเขา:“คุณฉินเพิ่งพูดว่า เจี่ยนถงป่วยและเข้าโรงพยาบาลเมื่อครู่?”

รูปร่างหน้าตาและนิสัยใจคอของเซียวเหิงดีเกินกว่าจะหลอกล่อสาวน้อย

ในตอนนี้เขาจงใจขับฮอร์โมนเพศชายออกมา ฉินมู่มู่ ทันใดนั้นหัวใจก็เต้นรัวและแก้มก็แดงระเรื่อ

แต่เซี่ยวเหิงกำลังพูดถึงเรื่องนี้ “เจียนถง”

เหลือบมองไปที่ เจี่ยนถง “ ใช่ คืนนั้นฝนตก เจี่ยนถงติดฝนและมีไข้ ประมาณว่าเป็นอย่างนี้ ยืนไม่คงที่และล้มลงชนที่จับประตู ตอนฉันส่งเธอไปโรงพยาบาลก็กังวลว่าจะเสียชีวิต”

โกหก

ความประหลาดส่งผ่านหัวใจของเจี่ยนถง … ฉินมู่มู่ไม่กลัวที่จะเปิดเผยตัวตนหรือ?

ทำไมถึงกลับดำเป็นขาว และโกหกเพื่อให้ได้?

จริงๆ คือการนำตัวเธอเองกลายเป็นขนมปังนุ่ม ๆ

เซียวเหิงเปล่งแสงออกมา “โอ้ ~” และเจี่ยนถงไม่คาดคิดว่าเซียวเหิงจะหันศีรษะและถามตัวเองว่า “เป็นแบบนี้หรือเจี่ยนถง?”

บทที่ 45 เซียวเหิงชายใจดำที่จัดการกับฉินมู่มู่

ไม่มีใครคาดคิดว่า จู่ๆเซียวเหิงจะถามอย่างนั้น

ในขณะที่ อากาศก็หยุดนิ่ง แม้แต่ ขนตามตัวของฉินมู่มู่ก็ลุกชันทั่วทั้งตัว

“หือ? เจี่ยนถง เธอพูดถูกไหม?”

ถูก หรือไม่ถูก คำเดียว หรือสองคำ

เพียงแค่เปิดริมฝีปาก ก็ได้แล้ว

เจี่ยนถงรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงการจ้องมองที่น่ากลัวและประหม่าของฉินมู่มู่

ค่อยๆเงยหน้าขึ้น เธอมองไปที่เซียวเหิง และค่อยๆอ้าปาก งอริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม: “แน่นอน”

เสื้อผ้าด้านหลังของฉินมู่มู่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ และก็เหมือนคนกำลังนั่งรถไฟเหาะ … ความรู้สึกแบบนี้ กลัวว่าจะไม่อยากมีความรู้สึกแบบนี้ในชีวิตนี้

สายตามองไปที่เจี่ยนถงอย่างซับซ้อน ผู้หญิงคนนั้น ทำให้เธอรู้สึกถึงความกดดันที่มองไม่เห็น และทำให้ขายหน้ามากยิ่งขึ้น

เกรงว่า ฉินมู่มู่จะไม่รู้ตัว ในใจเธอดูถูกเจี่ยนถงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ยิ่งดูถูกเจี่ยนถงมาก การแสดงของเจี่ยนถงก็เกินความคาดหมายมากขึ้น หัวใจของเธอก็ยิ่งบิดเบือนมากขึ้นเรื่อย ๆ

เธอได้รับการช่วยเหลือจากเจี่ยนถง ที่เธอดูถูก

มันเหมือนอัจฉริยะที่มีไอคิว 180 ที่ได้รับการช่วยเหลือจากคนโง่ และเธอจะรู้สึกโกรธมากกว่าซาบซึ้งในบุญคุณ

“คุณชายเซียว ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อน” เจี่ยนถงไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเพลย์บอยจอมเลอะเทอะคนนี้ ไม่ใช่แค่เพราะฉินมู่มู่ แต่ เพราะตอนนี้เธอ มีเพียงร่างกายนี้เท่านั้น .

เจี่ยนถงหันหลังเดินออกไป เซียวเหิงมองตามเงาของร่างกายของเจี่ยนถงที่ค่อยๆหายไป จากนั้นเขาก็มองไปที่ฉินมู่มู่อีกครั้งความเยาะเย้ยปรากฏขึ้นภายใต้ดวงตาของเขา …เกี่ยวกับสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ที่ชื่อฉินมู่มู่พูด เขาไม่เชื่อสักคำ

คิดว่าคุณชายในตระกูลเซียวรู้แค่การเล่นสนุกใต้ท้องทะเลเท่านั้นหรือ ไม่มีสมองหรือ?

“มีงานยุ่งต่อไหม?”

ฉินมู่มู่รู้สึกชื่นชมยินดี ที่คุณชายเซียวกำลังห่วงใยเธอ?

“ไม่ค่ะ วันนี้งานไม่ยุ่ง” ถึงจะยุ่ง ก็ต้องไม่ยุ่ง

ฉินมู่มู่กำหมัดอย่างประหม่า คุณชายเซียวคงจะไม่วางแผน …

เธอตั้งหน้าตั้งตารอ

เซียวเหิงเหลือบมองริมฝีปากบางที่เกือบโปร่งใส และพูดอย่างมีความหมาย: “ไม่ยุ่งก็ดี” เขาสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ผ่านฉินมู่มู่และจากไปอย่างใจเย็น

ฉินมู่มู่ไม่เข้าใจ … หมายถึงอะไร?

จู่ๆก็ถามเธอว่ายุ่งไหม ผลสุดท้ายถามแล้วก็เดินจากไป?

คุณชายเซียวหมายถึงอะไร?

ในใจฉินมู่มู่รู้สึกเหมือนมดหมื่นตัวกำลังไต่อยู่ มีอาการคันและทำได้เพียงระงับอารมณ์ และไปทำงาน แต่การทำงานวันนี้ ก็ฟุ้งซ่านอยู่เสมอ

“ฉินมู่มู่ ชั้นหก ชั้นบ็อกซ์ 603”

หัวหน้านำถาดผลไม้ในมือ ส่งให้ฉินมูมู่: “ตั้งใจทำงาน”

“อ๊ะ หัวหน้า วันนี้ชั้นบ็อกซ์ 603 ไม่ใช่อันนีรับผิดชอบหรือ”

หัวหน้างานเหลือบมองไปที่ฉินมู่มู่: “มีคนระบุให้คุณไป รีบไป อย่าชักช้า”

“อ่อ..อ่อ อ่อ”

ชั้นบ็อกซ์ 603

เซียวเหิงยิ้มและชูแก้วไวน์แดง เพื่อแสดงความเคารพแก่ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนโซฟา: “ประธานตู้วันนี้แค่ปลดปล่อยและสนุก ฉันจะจ่ายเงินให้”

หลังจากพูดจบ เขาก็ดื่มไวน์หมดแก้วในหนึ่งลมหายใจแล้ววางแก้วลง และพูดว่า “ฉันยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ คุณปู่กำลังรออยู่ที่บ้าน ประธานตู้และผู้จัดการใหญ่กี่ท่าน เล่นให้สนุก”เขากล่าว:

“เมื่อสักครู่ ประธานตู้เห็นที่ประตูนั้นหรือไม่”

เซียวเหิงชี้ไปที่ประตูชั้นบ็อกซ์: “อีกสักครู่ หญิงสาวคนหนึ่งจะเข้ามาในประตูนี้ ผู้หญิงคนนี้น่าสนใจมาก สำหรับผู้จัดการใหญ่กี่ท่านนี้ ฉันเซียวเหิงพูดได้เลยว่าไม่เก็บซ่อนเห็นแก่ตัว”เขาพูดและแสดงรอยยิ้มที่มีเลศนัยให้กับประธานตู้ โดยที่ผู้ชายล้วนเข้าใจกับท่าทีนี้ และแตะไปที่แขนของประธานตู้อีกครั้ง:

“เข้าใจแล้วใช่ไหม ประธานตู้?”

“เข้าใจ เข้าใจ เข้าใจ” ประธานตู้ดูบุคลิกสะโอดสะอง สวมแว่นตามีกรอบ นอกจากนี้ยังดูเป็นสุภาพบุรุษวัยกลางคน

ดูเหมือนว่าจะมีการศึกษาที่ดีมาก แค่เป็นคนแบบนี้

ในขณะนี้สำหรับรอยยิ้มที่มีเลศนัยของเซียวเหิง ยิ้มด้วยใจอย่างรู้เท่าทัน:

“ไม่น่าแปลกใจเลยที่คนอื่น ๆ บอกว่า คุณชายตระกูลเซียวเหมือนมังกรหงส์ และมันก็เป็นเรื่องจริง”

เมื่อเซียวเหิงจากไป เขาพูดกับประธานตู้อย่างรู้เท่าทันว่า: “ประธานตู้ คุณวางใจ ที่นี่ แม้ว่าคุณจะปลดปล่อยและสนุกสนานหลังจากนั้นสักครู่ ฉันจะขอให้คนส่งอุปกรณ์ประกอบฉากมา ฉันยังเลือกผู้หญิงที่น่าสนใจสำหรับประธานตู้เป็นการส่วนตัวอย่าทำให้ฉันผิดหวัง “

“เกรงใจคุณชายเซียว”

เซียวเหิงหันหลังและออกจากชั้นบ็อกซ์ ยกเท้าแล้วเดินไปในความมืด เขาพิงกำแพง

นำบุหรี่ยัดเข้าไปในริมฝีปากบาง ๆ แล้วจุดไฟ ควันสีขาวที่ม้วนงอลอยขึ้น กวาดมองไปที่หญิงสาวผู้สง่างามที่ปรากฏตัวที่ประตูชั้นบ็อกซ์ ริมฝีปากบางของเขายกขึ้นอย่างเยือกเย็น แววตาที่เย็นชามองดูหญิงสาวที่สวยงามเข้าไปในชั้นบ็อกซ์ เข้าไปใน …นรก

ฉินมู่มู่วางถาดผลไม้ลง และกำลังจะจากไป เธอเป็นแค่บริกร ไม่ใช่เจ้าหญิงชั้นบ็อกซ์ แต่เธอไม่รู้เลยว่า วันนี้เจ้าหญิงชั้นบ็อกซ์ ไม่ได้อยู่ในชั้นบ็อกซ์ตั้งแต่แรก

ประธานตู้เรียกฉินมู่มู่หยุด: “คุณชื่ออะไร?”

จู่ๆฉินมูมู่ก็ถูกถามชื่อ แม้ว่าจะกังวลเล็กน้อย แต่ก็ตอบว่า: “ฉันชื่อฉินมู่มู่”

“ฉินมู่มู่ ชื่อที่ดี”

“มา นั่งนี่” ประธานตู้กวักมือเรียก

ฉินมู่มู่รู้สึกถูกดูถูกอย่างสุดซึ้ง: “คุณผู้ชาย ฉันเป็นแค่บริกร'!”

เธอจงใจเน้นคำสามคำว่า “บริกร” เพื่อหวังว่าแขกจะเข้าใจ ว่าเธอไม่ดื่มเหล้าเป็นเพื่อน แต่ประธานตู้ และผู้จัดการใหญ่ในชั้นบ็อกซ์นั้น แสดงความต้องการแล้ว เมื่อเซียวเหิงจงใจเอ่ยถึงฉินมู่มู่ก่อนหน้านี้ ขณะที่ฉินมู่มู่เดินเข้ามาในประตู

ชั้นบ็อกซ์ ผู้ชายในชั้นบ็อกซ์นี้คิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ “น่าสนใจ” โดยไม่รู้ตัว

“น่าสนใจ” นี้มีความหมายที่แตกต่างกัน

ประธานตู้ ไม่เห็นการต่อสู้ดิ้นรนของฉินมู่มู่ในสายตาของเขา คิดเพียงว่าเธอต้องการปฏิเสธที่จะต้อนรับ และก็ไม่โกรธ หึหึยิ้มและพูดว่า “นั่งลง ไม่ว่าจะเป็นบริกรหรืออย่างอื่น ทำงานที่ตงหวง แม้ว่าจะเป็นคนทำความสะอาด แต่ก็ต้องเชื่อฟังระบบของ บริษัท ด้วย”

คำพูดนี้ดูมีระดับ ฉินมู่มู่ไม่ได้อับอาย อีกทั้งไม่มีเสียงใดๆ ฉินมู่มู่ทำได้เพียงกัดฟันและกลืนลมหายใจ: “ฉันเป็นแค่บริกรจริงๆ ฉันไม่ได้เป็นเพื่อนดื่ม”

ไม่คาดคิด เมื่อประธานตู้ได้ยินเช่นนี้ เขามองหน้ากันและยิ้มให้กับผู้จัดการใหญ่คนอื่น ๆ ที่อายุไล่เลี่ยกันบนโซฟา มันเป็นรอยยิ้ม เพียงแค่ยิ้ม ทำไมฉินมู่มู่ถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างที่แตกต่างออกไป

“ไม่ได้เรียกให้คุณมาเป็นเพื่อนดื่มเหล้า เหล้า พวกเราดื่มเอง คุณเป็นผู้หญิง ดื่มเหล้ามันไม่ดี” ประธานตู้กล่าวด้วยท่าทางใจดีและชายหัวโล้นวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆเขาก็บุกเข้ามา กระซิบ จากนั้นสองคนที่มาด้วยกันกับเขา ก็คุยกันด้วย และเห็นชายวัยกลางคนที่อ่อนโยนสวมแว่นคนนี้ และมีคนไม่กี่คนที่ตอบเป็นภาษาของเขา ดูเหมือนจะสื่อสารอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาก็คุยกับบอดี้การ์ดเป็นภาษาจีนกวางตุ้งสักพัก

ทันใดนั้นฉินมู่มู่ก็ตระหนักว่า ชายวัยกลางคนผู้อ่อนโยนที่สวมแว่นตาเป็นนักธุรกิจจากฮ่องกง และชายที่กำลังพูดกันไม่กี่คนนั้นเป็นนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น

นักธุรกิจชาวฮ่องกง พานักธุรกิจชาวญี่ปุ่นสามคนมาที่ตงหวง?

ไม่ว่าฉินมู่มู่จะโง่แค่ไหน เธอก็รู้ดีว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ควรจะออกไปอย่างรวดเร็ว เธอยกเท้าขึ้นและพร้อมที่จะออกไปประธานตู้กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คุณฉินมู่มู่จะไปแบบนี้ได้อย่างไร มีคนแนะนำคุณฉินมู่มู่เป็นอย่างยิ่ง บอกว่าคุณฉินมู่มู่เป็นคนน่าสนใจ” ในขณะที่เขาพูดน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างเย็นชา: “อาเบียวดูแลคุณฉิน”

บทที่ 46 เพื่อป้องกันตัวเองฉินมู่มู่ผลักเจี่ยนถงออกมาแทน

ผู้คุ้มกันร่างใหญ่หยุดตรงหน้าฉินมู่มู่ด้วยใบหน้าว่างเปล่า

“คุณท่าน นี่คือตงหวง! พวกคุณจะทำอะไร! ไม่ว่าพวกคุณจะทำอะไร ไม่มีใครไม่เกรงใจตงหวง”

เธอไม่ต้องหวาดกลัว เพราะนี่คือตงหวง และตงหวงคือฉากหลังที่ใหญ่ที่สุดของเธอ

ประธานตู้ ยังลังเล ชื่อของตงหวง อยู่ทางใต้ เขาก็เคยได้ยินเช่นกัน

ทันใดนั้นมีคนเดินเข้ามาที่ประตู กระซิบที่ข้างหูของประธานตู้

เดิมทีประธานตู้จ้องมองด้วยความอิจฉา แต่มันกลายเป็นเรื่องตลก: “คุณฉิน ฉันได้ยินมาว่า ในตงหวง คุณฉินเป็นบุคคลที่ถูกเนรเทศ ตงหวงไม่ได้อนุญาตให้ดูแลเธอ"

ฉินมู่มู่จำสิ่งที่พี่เมิ่งพูดในวันนั้นได้ทันที หลังจากฟังคำพูดของประธานตู้ ใบหน้าก็ซีดลงในทันที คราวนี้ หวาดกลัวจริงๆ: “คุณ พวกคุณอย่าเข้ามา”

“คุณฉินไม่ต้องกลัว พวกเราไม่อยากทำอะไรกับคุณฉิน แค่อยากขอให้คุณฉินทำการแสดงให้ฉันดู”

“แสดงอะไร”

“รออุปกรณ์ของเพื่อนเก่าของฉันมาถึง คุณฉินก็จะรู้” ทันทีที่พูดจบ เขาก็บอกว่าโจโฉมาแล้ว และตู้โปร่งใสขนาดใหญ่สุดก็ถูกยกขึ้น

ตู้วางตั้งตรง และสูงอย่างน้อยสามเมตร โชคดีที่ชั้นบ็อกซ์ของตงหวงสูงกว่า

ดูเหมือนโลงศพที่วางในแนวตั้งเล็กน้อย แต่ปริมาตรนั้นใหญ่กว่าโลงศพมากและสามารถรองรับคนได้อย่างน้อยสามหรือสี่คนซึ่งมากเกินพอ

เพียงแค่ภาชนะใสนี้ซึ่งคล้ายกับโลงศพที่วางในแนวตั้ง มีเพียงด้านบนที่ไม่มีฝาปิดและส่วนที่เหลือจะปิดสนิท

ทางเดินที่มืดของชั้นบ็อกซ์ เซียวเหิงเห็น “อุปกรณ์ประกอบฉาก ถูกส่งเข้าไปในชั้นบ็อกซ์ ควันในมือของเขาไหม้จนหมดด้านข้างคือถังขยะ เขายื่นมือออกไป บีบก้นบุหรี่และ หันออกไปอย่างผ่าเผย.

ในชั้นบ็อกซ์

“คุณฉิน” ประธานตู้ยิ้มและหยิบสมุดเช็คออกมา ต่อหน้าฉินมูมู่ เซ็นจำนวนหลักล้าน ประธานตู้วางเช็คลงบนโต๊ะและผลักมันให้ฉินมู่มู่: “ฉันขอเชิญคุณฉินให้ทำการแสดง นี่คือค่าการแสดง “

“หนึ่งล้าน” ฉินมู่มู่อดไม่ได้ที่จะกรีดร้อง เธอตื่นตากับเงินจำนวนนี้ ในชั่วขณะหนึ่ง แต่ในวินาทีถัดมาเธอก็รู้ทันทีว่า หนึ่งล้าน เงินจำนวนมากขนาดนี้ ในท้ายที่สุดการแสดงจะเป็นแบบไหน จำเป็นต้องให้เงินจำนวนมากในครั้งเดียวหรือ?

ทันใดนั้นเขาก็มองไปที่ประธานตู้อย่างระแวดระวัง “การแสดงแบบไหน?” ท้ายที่สุดแล้ว มันก็เป็นจำนวนเงินในเช็คที่ทำให้ใจเต้น

ประธานตู้ ชี้ไปที่ตู้ใสที่เพิ่งนำเข้ามา: “คุณฉินเคยดูการต่อสู้ใต้น้ำแบบไลฟ์แอ็กชันหรือไม่ นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการเชิญคุณฉินมาแสดง เชิญคุณฉินเข้ามา”

ในเวลานี้ คนงานไม่กี่คนที่เข้ามาพร้อมกับภาชนะใสนี้ ได้รีบไปที่ห้องน้ำที่ติดกับชั้นบ็อกซ์เพื่อรับน้ำเข้าภาชนะท่อน้ำไนลอนที่เชื่อมต่อกับก๊อกน้ำ พร้อมกับเสียงน้ำกระเซ็นภาชนะใสถูกเติมน้ำทีละเล็กทีละน้อย

ใบหน้าเล็ก ๆ ของฉินมู่มู่ ไม่มีสีเลือด

“ใช่ มันจะถึงตาย" ฉินมู่มู่ส่ายหัว ใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอซีดลง

“ไม่ไม่ไม่ พวกเราไม่กล้าที่จะฆ่าคน” ประธานตู้ ยิ้มอย่างใจดีมากขึ้น: “คนจมน้ำเสียชีวิต โดยปกติจะใช้เวลาสี่ถึงหกนาที

คุณฉินมู่มู่ต้องอยู่ในน้ำเพียงสามนาที เราจะให้คนลงไปในน้ำเพื่อดึงคุณออกมา”

“ถ้าเป็นเช่นนั้น … ทำไมถึงให้ตั้งหนึ่งล้านมากขนาดนี้?” ฉันต้องบอกว่า ฉินมู่มู่ต้องเผชิญกับการล่อลวงด้วยเงินจำนวนมากเช่นนี้ แต่ยังคงมีสติ

“ ฮ่าฮ่า คุณมู่มู่ยังไม่เคยได้ยินเหรอ? มีคนสะดุดล้ม แล้วอุบัติเหตุในชีวิตนี้มีได้เสมอ” ความหมายไม่ชัดเจน:

แน่นอนว่าพวกเขาไม่ต้องการให้เกิดอุบัติเหตุ แต่หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมันก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ใจของฉินมู่มู่เต้นรัว คำอธิบายนี้ เห็นได้ชัดว่า … ฉินมู่มู่หันหน้าไปทางเขามากขึ้น ฉันควรทำอย่างไร? วันนี้ตอนนี้

ตงหวงไม่สนับสนุนเธอเลย เธอเสียใจ เสียใจที่ตอนนั้นไม่ได้ฟังคำพูดของพี่เมิ่ง

เสียใจที่ไม่ได้รับการลี้ภัยของตงหวงอย่างจริงจัง แต่เธอรู้ดี ไม่ว่าจะเสียใจแค่ไหนในตอนนี้มันก็สายเกินไป

ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่าง

ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้น หายใจแรง และตะโกนบอกประธานตู้ อย่างประหม่า: “ประธานตู้ ฉันรู้จักคนที่เหมาะกับการแสดงนี้เป็นพิเศษ! และเธอรักเงินมาก!”

“โอ้? คุณกำลังพูดถึง คือใคร?” ประธานตู้ มองไปที่ฉินมู่มู่ด้วยรอยยิ้ม … นี่คือ ผู้หญิงที่คุณชายเซียวพูดถึง “น่าสนใจมาก”

เธอดูบริสุทธิ์มาก ประธานตู้มีประสบการณ์มากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นสาวบริสุทธิ์อย่างฉินมู่มู่

เมื่อเห็นว่าฉินมู่มู่ยังอายุไม่มาก คิดไม่ถึงว่า จะมีหลายใจเหลือเกิน

แต่ประธานตู้ ไม่ได้บอกว่าตั้งใจจะทำให้ฉินมู่มู่ลำบากใจ เพราะเธอบอกว่าจะมีคนแนะนำเขาเจอ

“ชื่อเจี่ยนถง มาจากแผนกประชาสัมพันธ์ เธอรักเงินจริงๆ” ฉินมู่มู่ย้ำเสมอว่า เจี่ยนถง “รักเงินมาก” ประธานตู้สนใจ: “บอกฉันสิว่า เธอรักเงินอย่างไร?”

ป้ายชื่อของบุคคลหนึ่งเขียนว่า “รักเงินมาก” งั้นบุคคลนี้ เป็นบุคคลที่น่าสนใจ

ประธานตู้ตลอดเส้นทางนี้ เข้าใจทุกอย่างที่นี่

แม้ว่านักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เพียงไม่กี่คนจะเข้าใจภาษาจีนได้บ้าง แต่ทั้งหมดนี้ง่ายมาก เช่นเดียวกับตอนนี้ประธานตู้ และ ฉินมู่มู่กำลังสื่อสารกัน อาจจะตามจังหวะไม่ได้แต่พวกเขายังได้ยินคำว่า “ผู้หญิงที่รักเงิน” อีกด้วย

ทันใดนั้น แต่ละคนจะลุกมาสนใจก็ไม่ผิด

ฉินมู่มู่นำเรื่อง สมบัติไม่กี่ชิ้น เหล่านี้ของเจี่ยนถงมาเล่า กับประธานตู้โดยไม่มีการปกปิดใด ๆ พูดออกมาทั้งหมด: “ฉันกับ เจี่ยนถงเป็นเพื่อนร่วมห้องกันเธอรักเงินจริงๆ เธอรักเงินและสามารถทำอะไรก็ได้ ถ้าประธานตู้ต้องการชมการแสดงที่น่าตื่นเต้น ตามหาเธอก็ถูกแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการแสดงของคนจมน้ำจริงๆ ก็ยังมีการแสดงที่น่าอายกว่านี้อีก”

“จริงเหรอ? คุณยังไม่ได้บอก ว่าเธอทำอะไร”

“สำหรับเจี่ยนถง เพื่อเงิน เธอสามารถหมอบบนพื้นและขอความเมตตา ประธานตู้ ฉันพูดว่านี่ไม่ใช่คำคุณศัพท์ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ

เธอหมอบอยู่บนพื้น เรียนการคลานของสุนัข ทั้งกระดิกหางและเก็บเงิน เรื่องนี้พวกเราตงหวงทั้งหมดรู้ดี ดังนั้นประธานตู้นักแสดงนี่ ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการแสดงของคุณคือเจี่ยนถง”

ประธานตู้หัวเราะ “แล้วเจอกัน อาเบียว คุณไปเชิญมา”

ฉินมู่มู่ก้มหน้าลงและถอนหายใจด้วยความโล่งอก แค่คิดถึงการมาของเจี่ยนถง ก็กัดริมฝีปากสีชมพูของเธอ

แววตาลังเลเล็กน้อย แต่ช่วงเวลาถัดไป เธอโล่งใจ … ไม่ใช่การแสดงเพื่อความตาย จะพูดอีก

แขกคนนี้ก็พูดแล้วว่า เข้าไปสามนาทีแล้วจะมีคนมาดึงเธอออกไป

เมื่อพูดถึง … ฉันไม่นับว่าทำร้ายเธอ เจียนถงก็ควรขอบคุณตัวเองที่ช่วยให้เธอได้รับโอกาสสร้างรายได้นับล้าน

บทที่ 47 เสิ่นซิวจิ่นโกรธแล้ว

ประธานตู้มองไปที่ผู้หญิงตรงหน้า ขมวดคิ้ว “ขี้เหร่เกินไป”

ฉินมู่มู่ตกใจ เพียงสองคำ ทำให้เธอกังวลใจ

ไม่นานไปกว่านี้ หวังว่ารูปลักษณ์ของเจี่ยนถง จะสามารถทำให้คนอื่นมองเห็นได้

หากประธานตู้คิดว่าเจี้ยนถงขี้เหร่ อย่างงั้นความโชคร้ายที่สุดยังคงเป็นตัวเองหรือ?

ฉินมู่มู่มองดูภาชนะใสรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าอย่างระมัดระวัง น้ำที่อยู่ข้างใน สูงมากกว่าหนึ่งเมตรแล้ว รีบพูดกับประธานตู้ว่า

“ประธานตู้อย่าดูรูปลักษณ์ภายนอก เจี่ยนถงเธอต้องสามารถทำการแสดงได้ดีแน่นอน “

แม้ว่าเจี่ยนถงจะเพิ่งมาที่นี่ได้สักพัก แต่เก็เข้าใจบทสนทนาระหว่างประธานตู้และฉินมู่มู่ ว่าการแสดงวันนี้เป็นงานเลี้ยงอีกงานหนึ่ง

ประธานประธานตู้ มองไปที่ เจี่ยนถงอย่างสงสัย: “สิ่งที่เธอพูดเป็นความจริงหรือไม่?”

ไหล่ของเจี่ยนถงสั่นสะท้านและภายในวันนี้เธอได้ยินประโยคนี้สองครั้ง – สิ่งที่เธอพูดเป็นความจริงหรือไม่?

เธอหัวเราะ ไม่ได้มองประธานตู้ แต่หันหน้าไปมอง ฉินมู่มู่ การมองในสายตาของเธอทำให้ฉินมู่มู่ รู้สึกอาย เมื่อถูกมองและเธอไม่กล้ามองเจี่ยนถงโดยตรงด้วย

“นี่เป็นเรื่องดี ค่าการแสดงหนึ่งล้าน” ฉินมู่มู่ พูดด้วยความไม่มั่นใจ เจี่ยนถงหันหลังกลับอย่างเงียบ ๆ … ช่างเป็นเรื่องที่ดี

ฉินมู่มู่ ทำไมคุณถึงไม่เต็มใจล่ะ?

เธอกะพริบตา คราวนี้เขาเงยหน้าขึ้นและค่อยๆพูดกับประธานตู้ว่า “สองล้าน”

“คุณชื่อเจี่ยนถง คุณกำลังต่อรองราคากับฉันหรือไม่” ประธานตู้ขมวดคิ้ว หญิงคนนี้ เหมือนว่าจะเป็นอย่างที่ฉินมู่มู่กล่าวว่า รักเงินมาก

“สองล้าน ฉันจะทำ”

“เจี่ยนถง! คุณจะทำอะไร หนึ่งล้านก็เพียงพอแล้ว อย่าไปไกลเกินไป!” ฉินมู่มู่กังวลว่าหลังจากที่สิงโตอย่างเจี่ยนถงเปิดปากแล้ว จะทำให้แขกไม่พอใจ และทุกคนจะไม่ทำ ในที่สุด เธอจะไม่ทรมานตัวเอง แต่เธอจะไม่ได้รับความคุ้มครองจากผู้คนของตงหวง

เจี่ยนถงไม่ไหวติง และมองไปที่ประธานตู้อย่างแน่วแน่: “ฉันต้องการสองล้าน ฉันเสี่ยงกับชีวิต การแสดงนี้ฉัน

จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ประธานตู้ สองล้าน ฉันจะไม่ยอมแพ้”

เพื่อเงิน เธอรู้สึกอ่อนไหวและขาดแคลน

“ชีวิตคุณ ไม่มีค่าถึงสองล้าน” ประธานตู้ตะคอกเบา ๆ

เจี่ยนถงยังคงเป็นเจี่ยนถง เธอพูดช้าๆ: “ชีวิตของฉัน ไม่มีค่าถึงสองล้าน ประธานตู้เมื่อเห็นการแสดง ความสุขในอารมณ์ มีมูลค่าถึงสองล้าน”

ประธานตู้ยิ้มครั้งนี้ … ผู้หญิงคนนี้น่าสนใจจริงๆน่าสนใจกว่าฉินมู่มู่ที่ดูบริสุทธิ์

“ฉันได้ยินมาว่า คุณรักเงินมาก”

เจี่ยนถงก้มหน้า ไม่ปฏิเสธ หรือตอบกลับ

เธอรักเงินมากใคร ๆ ก็รู้ … มุมปากของเธอแสดงรอยยิ้มที่ไม่อาจเข้าใจได้และเธอก็เงยหน้าขึ้น: “ใช่ ฉันรักเงินเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ … ฉันรักเงินมากกว่าชีวิต”ดังนั้น จึงตอบรับงานแสดงด้วยชีวิตไม่ใช่หรือ?

“ดังนั้นประธานตู้แค่นำเงินออกมา คุณสามารถเห็นนักแสดงที่ทุ่มเทที่สุด”

“โอเค! แค่สองล้าน!” ประธานตู้ยิ้มอย่างใจดี และดวงตาของเขาก็เปล่งประกายออกมา ผู้หญิงคนนี้ชื่อเจี่ยนถง ขี้เหร่ก็ขี้เหร่แต่น่าสนใจมาก

……

สิบนาทีต่อมา

เธอถูกโยนลงไปในภาชนะใสทรงสี่เหลี่ยม โดยยังคงสวมเสื้อผ้าที่ห่อแน่นและเธอไม่ยอมเปลี่ยนเสื้อผ้า

น้ำอยู่เหนือศีรษะมานานแล้ว เสื้อผ้าก็เปียกและหนักขึ้นและดึงเธอลงไปข้างล่าง

ในตอนแรก เธอยังคงลืมตาและมองเห็นเจ้านายเหล่านั้นที่กำลังมองหาความตื่นเต้นยืนอยู่หน้าตู้โปร่งใส จ้องมองเธอที่อยู่

ข้างใน

ประธานตู้ดูเป็นคนอ่อนโยน แต่ในตอนนี้แม้แต่แว่นขอบทอง ก็ไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นในดวงตาของเขาได้

ใบหน้าของสุภาพบุรุษค่อยๆแสดงถึงความเพลิดเพลิน

ในที่สุดเธอไม่สามารถกลั้นหายใจได้ เธอหายใจออกครั้งแรก นอกจากนี้ยังสูดน้ำครั้งแรกก็ ไอสำลัก แต่มีน้ำเข้าปอดมาก

ขึ้น

เธอก็แบมือออกโบกมือดิ้นรนไปมา

เธอยังคงมองเห็นใบหน้ารอบ ๆ ตัวเธอที่อยู่หน้าตู้โปร่งใส ดูตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ … จู่ๆเธอก็คิดว่า

ทำไมคุณไม่ตายแบบนี้ล่ะ ตายแล้วก็ไม่ต้องรับผิดชอบเงินห้าล้าน ถ้าคุณตายคุณก็ไม่ต้องรับความทุกข์ทรมาน ถ้าตาย …

จะถือว่าเป็นการคืนชีวิตให้กับอาลู่หรือไม่?

นับไม่นับ … คืนครบถ้วนแล้ว?

ไม่ มันไม่ถูกต้อง

เอ๋อร์ไห่ อาลู่ ผู้หญิงที่อ่อนโยนคนนั้น เธอใช้ชีวิตช่วยตัวเอง ไม่ใช่ว่าอยากจะตอบแทนด้วยวิธีนี้

ความฝันของเอ๋อร์ไห่ ยังไม่เป็นจริง ดังนั้นฉัน จึงไม่สามารถ … ยอมแพ้!

ดังนั้น ด้วยความพยายามครั้งสุดท้ายเธอจึงใช้กำปั้นทุบผนังของภาชนะและอ้าปาก: "ช่วยฉันด้วย … กูลูกูลู … "

คำพูดให้ “ช่วยฉันด้วย” ทั้งหมดกลายเป็นฟองยาว ๆ กูลูลูกูลูลูพ่นออกมาจากปากของเธอ ช่วย … กูลูลู … การมองเห็น

ของเธอเบลอไปเล็กน้อย จู่ๆก็บ้าทุบกำแพงตู้ …จะไม่ยอมตายแบบนี้!

ไม่ใช่พูดว่า สามนาทีก็จะมีคนช่วยออกมาหรือ?

เจ็บปวด หายใจไม่ออก สำลักวนไปไม่สิ้นสุด … สามนาที ถึงแล้วไหม?

ทำไม … คุยกันว่าสามนาที?

บางที เธออาจจะตายจริงๆ?

ก่อนที่คนจะตาย มีภาพหลอนเกิดขึ้นหรือไม่?

หรือว่า ถึงจะตาย ภาพเงาของคนคนนั้น ก็ไม่เคยออกไปจากใจของเธอได้?

หัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ … ทำไม! ก่อนตาย ความหลอนสุดท้ายจึงเป็นเขา!

เสิ่นซิวจิ่น!

ช่วงเวลาที่ฉันหลับตา เธอชี้ไปที่เงาคนที่จิตเธอหลอน ขยับริมฝีปากและหลับตา

เสิ่นซิวจิ่นไม่เคยคาดคิดว่า จะได้เห็นฉากที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้หลังจากกลับมา!

สีหน้าเคร่งขรึม เขาหยิบขวดไวน์ขึ้นมา และทุบลงในภาชนะใส ภาชนะนี้ไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย เขาหันหน้า

และตะโกนใส่ผู้คุ้มกันหลายคน: "ช่วยคน!"

เสิ่นยีตรวจสอบตู้ภาชนะอย่างรวดเร็ว: “บอส ฝาบนภาชนะถูกล็อคด้วยกุญแจ และกุญแจล็อคไม่รู้ว่าทำไมจึงไม่สามารถ

ปลดล็อกได้เลย”

เสิ่นซิวจิ่น จ้องไปที่หญิงสาวที่จมน้ำในภาชนะ "เพ๊ง!"

ให้คำสั่งซื้อ บอดี้การ์ดที่เขาพามา ทุบไปที่ภาชนะด้วยกัน ภาชนะไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย

เสิ่นซิวจิ่นหันศีรษะของเขา: "พูด! จะเปิดภาชนะนี้ได้อย่างไร!"

ประธานตู้หน้าซีด “ตู้ภาชนะนี้คุณชายเซียวส่งมา ฉันไม่รู้ ประธานเสิ่น ฉันไม่รู้จริงๆ นี่คือที่ของคุณ ไม่งั้นฉันคงไม่กล้ามา

เล่นในที่ของคุณแบบนี้

ฉันไม่คาดคิดว่าจะเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ อีกเพียงสามนาที ฉันก็เตรียมคนให้นำเธอขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้

อย่างนี้ ประธานเสิ่น สถานที่นี้เป็นของคุณ และบุคคลนี้ก็เป็นของคุณเช่นกัน หากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นกับบุคคลนี้ฉันจะ

ชดใช้เงิน ฉันจะชดใช้ ชดเชยสิบล้านให้กับสมาชิกในครอบครัวของผู้หญิงคนนี้ และชดเชยอีกห้าสิบล้านให้กับประธาน

เสิ่น

เสิ่นซิวจิ่นหัวเราะเยาะ ดวงตาของเขาแดงก่ำ เขาโกรธมาก เขาเพิกเฉยต่อความอ่อนแอของประธานตู้ วิ่งไปที่ห้องน้ำแล้วเอา

ไม้ถูพื้นออก แล้วกระแทกเข้ากับภาชนะ ภาชนะนั้นทำจากวัสดุพิเศษ ดังนั้นจึง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำลาย เสิ่นซิวจิ่นจับไม้

ถูพื้นอย่างแน่นหนา ทุบภาชนะครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยแรงที่มากมือที่ถือไม้ถูพื้นเลือดก็ทะลัก

“บอส ท่านพักเถอะ เรื่องนี้ ผมและเสิ่นเอ้อจะทำเอง” เสิ่นยี มองไปที่เสิ่นซิวจิ่นที่บ้าคลั่ง หัวใจของเขาสั่นไหวอย่าง

กะทันหันและเขาก็รีบหยุดเสิ่นซิวจิ่น แต่เสิ่นซิวจิ่นก็สะบัดออกไป:

“เสิ่นยี ทุบด้วยกันกับฉัน เสิ่นเอ้อ เรียกไป๋ยู่สิงมา เสิ่นซาน ออกไปและเรียกทุกคนมาและทุบให้ฉัน!"

ประธานตู้ตกใจกลัว: "ประธานเสิ่น ทำไมต้อง ผู้หญิงคนหนึ่ง … "

“หึ!” ทันใดนั้นเสิ่นซิวจิ่นก็หันหน้ามาพร้อมกับดวงตาสีแดง: "ประธานตู้ คนของฉัน คุณกล้าเล่นแบบนี้! ฉันคิดว่าคุณกำลังมองหาความตาย! คุณควรสวดอ้อนวอนให้เธอสบายดี มิฉะนั้นคุณจะอยู่ ใน เมือง S ตลอดไป! “

บทที่ 48 ไม่อนุญาตให้ตาย

แม้ว่าประธานตู้จะถูกดุด้วยความโกรธ แต่ไม้ถูพื้นในมือของเสิ่นซิวจิ่น ก็ไม่หยุดทำลายภาชนะใส!

เสิ่นซิวจิ่นเหมือนคนบ้าทุบภาชนะอย่างบ้าคลั่ง

บนทางหลวงยกระดับห่างจากหวงตงห้าพันเมตร รถสปอร์ตมาเซราติกำลังเร่งความเร็วด้วยความเร็ว 120 ต่อชั่วโมง

หน้าต่างของรถไม่ได้ปิด เสียงลมหวีดหวิวเข้ามาทางหน้าต่างรถ ไม่สามารถได้ยินเสียงคนในรถได้อย่างชัดเจน

คนขับรถที่อยู่เบาะหน้าพูดอย่างลังเล: “ประธานเซียว จะไม่เกิดเรื่องหรือ?ตู้ภาชนะนั้นยากที่จะทุบ คุณขอให้ฉันเปลี่ยน

กุญแจไข จะทำให้คนเสียชีวิตไหม?”

การหัวเราะเบา ๆ จมอยู่ใต้ลม คำพูดต่อไปนี้ไม่มีการตกหล่น: “มีคนเสียชีวิตเกี่ยวข้องกับฉันหรือ? ไม่ระวังหยิบกุญแจผิด

และทำผิดกฎหมาย? เล่นเกมในทางที่ผิด คนที่ควรกังวลคือตู้ลี่ฉุน

คนขับที่นั่งคนขับไม่ได้พูดอะไรมาก แต่มือที่กำลังขับรถ ของเขาสั่น

“ยังตายไม่ได้ มีใจที่ต้องการช่วยชีวิตคน ทุบอย่างสุดชีวิต จึงจะสามารถทุบแตก ก็ทำให้เธอตกใจไปเท่านั้น”

หัวใจของคนขับหนาวสั่น: คุณชายอ่ะ คุณทำให้คนตกใจกลัวหรือ? แบบนี้ใจไม่ดีนะ สามารถทำให้คนตกใจตายได้

ทำไมคุณไม่พูด เป็นเพราะคุณเกลียดพนักงานคนนั้น

แน่นอน คำพูดเหล่านี้ คนขับรถไม่กล้าพูดออกไป

ในตงหวง เสิ่นซิวจิ่นทุบภาชนะอย่างบ้าคลั่ง ร่างของผู้หญิงคนนั้นอยู่ตรงหน้า ห้อยโหนอยู่ในถังน้ำ เขายังจำได้ ก่อนที่

เธอจะหลับตา เสียงตะโกนสุดท้าย คือเสียงตะโกนชื่อตัวเองสามคำ

“ประธานเสิ่น”

ผู้คนด้านล่าง ไม่กล้าพูดอะไรมาก ทุกคนต่างทุ่มสุดตัว แม้แต่ประธานตู้และพ่อค้าชาวญี่ปุ่นสามคนที่เขาพามา

เมื่อเห็นเสิ่นซิวจิ่นที่บ้าคลั่งเช่นนี้ ก็หยิบอุปกรณ์มาอยู่ในมือทันที เข้าร่วมการทุบตู้ภาชนะโปร่งใส

ฉินมู่มู่อยู่บนพื้นด้วยความตื่นตระหนก มือและเท้าที่เย็นเฉียบ มองไปที่ภาชนะสี่เหลี่ยมด้วยความหวาดกลัวไม่รู้ว่า

เจียนถงจะตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่

ถ้าพูด ก่อนหน้านั้น เธอไม่รู้ว่าประธานเสิ่นที่บังเอิญมาปรากฏตัวที่ตงหวง

ชายลึกลับและความสัมพันธ์กับตงหวง จากนั้นในคำพูดของประธานตู้ที่ร้องขอความเมตตากับประธานเสิ่น เธอก็เข้าใจ –

ตงหวง คือประธานเสิ่น

ในแง่หนึ่ง เธอหวังว่าเจี่ยนถงจะไม่เกิดอุบัติเหตุ เป็นแบบนี้เธอก็จะไม่ถูกลงโทษ ในแง่หนึ่ง

เธอหวังเป็นส่วนตัวว่าผู้หญิงที่อยู่ในตู้ภาชนะ ตายไปเสียเลย ไม่งั้นรอให้เธอตื่นขึ้นมา

ไม่แน่อาจจะฟ้องร้องประธานเสิ่นเจ้าของตงหวง

"แช้บ"!เสียงของแตก

ด้วยการแกว่งของเสินซิวจิ่น ทำให้ภาชนะแตก และในเวลาเดียวกันไม้ถูพื้นที่เขาจับแน่นก็หักออกครึ่งหนึ่ง

ด้วยความกังวล เขาโยนไม้ถูพื้นที่หักทันทีโดยไม่ต้องคิด ชูกำปั้นทุบกับรอยแตกในภาชนะและเหวี่ยงหมัดสามครั้ง

“บอส!” คนที่อยู่ด้านล่าง เมื่อเสิ่นซิวจิ่นชกสามหมัดอย่างบ้าคลั่ง แต่ละคนมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก

และทันใดนั้นพวกเขาก็อุทานว่า "มือของคุณ!"

เสิ่นยี รู้สึกประหม่ามากยิ่งขึ้น! เรื่องที่จำเป็นต้องรู้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเสิ่นซิวจิ่นได้!

บอสเป็นผู้กุมบังเหียนของตระกูลเสิ่น และบอสเป็นผู้แบกรับความเจริญรุ่งเรืองและทรุดโทรมของครอบครัว!

เสิ่นยีเป็นคนรับใช้ของตระกูลเสิ่นมาหลายชั่วอายุคน ต้องเฝ้าดูไม่ให้เสิ่นซิวจิ่นเกิดอุบัติเหตุ “บอส คุณไม่สามารถทำต่อได้แล้ว ไม่งั้นมือจของคุณจะใช้การไม่ได้”

“ไปให้พ้น!” เสิ่นซิวจิ่นผลักเสิ่นยีออกไปด้วยฝ่ามือ และต่อยหมัดที่สี่โดยไม่ลังเล!

“บอส!”

มาพร้อมกับคำอุทานของเสิ่นยี ด้วยเสียง “ปัง” ตู้ภาชนะทรงสี่เหลี่ยมที่มีลักษณะประหลาดตรงหน้า พังทลายลง!

ตูม!

มีเสียงดังขึ้น ในชั่วพริบตาในชั้นบ็อกซ์เหมือนโดนน้ำซัด น้ำท่วมไหลในพริบตา กระทบโต๊ะคริสตัลสำหรับวางชุดน้ำชาในชั้นบ็อกซ์แตก ประธานตู้และคนอื่น ๆ ตั้งตัวและป้องกันไม่ทัน ภายใต้ผลกระทบของน้ำที่ฉับพลันนี้ เขาล้มลงกลิ้งไปในน้ำสองสามครั้ง ก่อนที่จะไปหยุดอยู่ที่มุมโซฟา

ฉินมู่มู่ถึงกับสำลักน้ำหลายครั้งจนน้ำมูกน้ำตาไหล และครู่หนึ่งเธอคิดว่าตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจตาย!

"ช่วยด้วย … ไอไอไอ … " เธอร้องเรียกด้วยความลำบาก แต่ไม่มีใครสนใจเธอเลย

น้ำ รีบเปิดประตูชั้นบ็อกซ์และรีบวิ่งไปที่ทางเดินด้านนอก

ร่างกายของ เจี่ยนถง เหมือนต้นหยางน้ำในทะเล น้ำซัดไปที่ไหน เธอก็ไปที่นั้น ขาท่อนล่างจมอยู่ในน้ำ

นำผู้หญิงที่ไม่รู้มีชีวิตหรือลตาย เข้ามาในอ้อมแขนของเขา

น้ำพุ่งออกไปข้างนอก และน้ำในชั้นบ็อกซ์ก็ลดลงด้วยความเร็วสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และในที่สุดก็ท่วมแค่ส่วนบนของรองเท้าเท่านั้น

ตั้งแต่จำความได้เสิ่นซิวจิ่น ไม่เคยตกอยู่ในที่นั่งลำบากแบบนี้มาก่อน แม้แต่วันที่รู้ว่าเซี่ยเวยเหมิงตาย เขาก็ยังคงเย็นชาและโดดเดี่ยวเหมือนแต่ก่อน แม้ว่าจะโกรธ แต่คงยังสง่างาม และรักษาความสูงส่งของราชาให้ทุกคนได้เห็น

ในขณะนี้เสิ่นซิวจิ่น เหมือนชาวบ้านธรรมดาทั่วไป แม้ว่าจะสวมชุดสูทที่ราคาหลายแสน แต่ชุดก็ยุ่งเหยิงและเปียกปอน

แม้ว่ารองเท้าที่วางเท้าจะมีราคาหลายแสน แต่ก็เหมือนกับรองเท้าหนังที่เปียกโชก แบบข้างถนนเมื่อฝนตก

แม้ว่าเขาจะแต่งตัวดี แต่ผมสีดำก็ยุ่งเหยิง … เขารู้สึกตกอยู่ในที่นั่งลำบากมากในตอนนี้ แต่เขาดูใกล้ชิดเหมือนชาวบ้านธรรมดามากขึ้น

เสิ่นยีตะลึง … และมองไปที่เจี่ยนถงที่บอสกอด ไว้ในอ้อมแขนของเขา เขาเงียบไปชั่วขณะโดยไม่พูดอะไร – บอสของเขาเจ้านายของเขา เพื่อผู้หญิงที่ไม่ชอบที่สุด จึงทำเหมือนชาวบ้านธรรม

แล้วคุณเวยเหมิง … เป็นอะไร! หญิงสาวที่ยิ้มหวาน …

เสิ่นซิวจิ่นวางคนบนโซฟาและตรวจสอบลมหายใจ … ใบหน้าของเขาซีดเผือดทันที!

ครู่ต่อมา ไม่ลังเล เขากลับหลังหันและคำราม: "ทุกคนหันกลับไป!" หลังจากพูดแล้ว เขาก็เห็นว่ามีคนไม่กี่คนที่ไม่หันกลับไปเขาขมวดคิ้ว ท่าทางดุร้าย: “บอกให้คุณหันกลับไป หูหนวกหรือ!! "จากนั้นเขาก็เรียก เสิ่นยี:" เชี่ย! เสิ่นยี ช่วยนำ พวกเขา! "

ในขณะนี้ ในที่สุดคนไม่กี่คนก็รู้ตัวและรีบหันหน้าไป

มีเสียงแกร๊บแกร๊บมาจากด้านหลัง ทำให้หลายคนไม่กล้าหันมอง

เสิ่นซิวจิ่นไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นร่างกายของเจี่ยนถง แม้แต่ผิวที่เปลือยเปล่า!

เสิ่นซิวจิ่นเปิดเสื้อผ้าขอเจี่ยนถง และให้การปฐมพยาบาลแก่เธอ

เขาไม่รู้ว่า สีหน้าของเขาประหม่าแค่ไหน ในขณะนี้เขามีเพียงความคิดเดียวในใจ: เจี่ยนถง! ต้องหายใจ!

ไม่รู้อีกนานแค่ไหน …

“ไอ ไอไอ … ไอไอไอไอไอ … " ด้วยไอติดต่อกันยาว เจี่ยนถงคายน้ำออกมาและยังมีไอสำลักอีก ลืมตาขึ้นและตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด หรี่ตาลง เลือนราง มองไม่เห็นคนตรงหน้า ว่าเธอขยับริมฝีปาก

ดวงตาของเสิ่นซิวจิ่น เต็มไปด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นริมฝีปากของเธอขยับ ก็รีบถาม “คุณพูดอะไร … “

ริมฝีปากซีดของเจี่ยนถงขยับ: “ประธานตู้ … เงิน … “

ทันใดนั้น!

เวลาหยุดนิ่ง ไม่มีการเคลื่อนไหว

ความตื่นเต้นหวั่นไหวในดวงตาของ เสิ่นซิวจิ่นสลายไปในทันที เหลือเพียงก้อนน้ำแข็ง: “เท่าไหร่?” น้ำเสียงของเขาสูญเสียอุณหภูมิ

“บอกแล้วว่า สองล้าน … “ เธอรู้สึกเพียงว่าคนตรงหน้าเธอดูเลือนราง แต่เธอคุ้นเคยกับมันมากไม่เคยคิดอย่างถี่ถ้วน

ดวงตาของเสิ่นวิวจิ่น ถูกแช่แข็ง มือขวาของเขา ห้อยอยู่ที่ข้างขา ติงติง … เลือดไหลหยดลง: “โอเค ดีมาก สองล้านฉันจะให้คุณ”

บทที่ 49 เจี่ยนถงตามฉันมา

ความเจ็บปวดที่คาง จู่ๆใบหน้าหล่อก็เดินเข้ามาหาเธอ “ดูให้ชัด ๆ ว่าฉันเป็นใคร”

ด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น และลมหายใจที่คุ้นเคยไหลผ่านใบหน้าของเธอ เจี่ยนถงก็เริ่มมีสติขึ้นมาทันที “คุณ ทำไมถึง … "

“ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่?” เสิ่นซิวจิ่นไม่เปิดโอกาสให้ เจี่ยนถง พูดจบ จึงยิ้มเยาะที่มุมริมฝีปาก: “คุณถามฉัน?ไม่รู้หรือว่าเห็นคุณเหมือนจะตาย เป็นความสุขของฉันอย่างหย่าง?”

นอกจาก เสิ่นยีจะสั่นแล้ว ดวงตาของเขาก็กวาดมองไปที่มือขวาของเจ้านาย

ติง ติง … มือขวาของเจ้านายยังคงมีหยดเลือดอยู่ ทำไมไม่บอกคุณเจี่ยนให้ชัดเจน

เสิ่นซิวจิ่นสะบัดคางของเจี่ยนถงด้วยมือขนาดใหญ่ ร่างสูงเพรียววลุกขึ้นและมองเจี่ยนถง ด้วยความเมตตา:”ลุกขึ้น ยังไม่ตายก็ตามฉันมา”

แม้ว่าเสิ่นยีจะไม่ชอบที่จะเห็นคุณหนูเจี่ยนที่อยู่ต่อหน้า แต่ ผู้หญิงที่อยู่บนโซฟาในขณะนี้ กับผู้หญิงที่ตัวเองเชื่อเมื่อสามปีก่อน ความแตกต่างนั้นอยู่ห่างออกไปหลายหมื่นไมล์ และเธอเพิ่งเผชิญกับชีวิตกับความตาย ด้วยความตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เสิ่นยีก้าวไปข้างหน้าและยื่นมือเข้าช่วยเหลือเจี่ยนถง

“ตัวเธอเองไม่มีขาหรือ?” การจ้องมองที่เย็นยะเยือกลงบนร่างกายของเสิ่นยี ทันใดนั้นเสิ่นยี ก็รู้สึกตัว ดึงมือที่ยื่นไปยัง

เจี่ยนถงและถอยกลับไปด้านข้างอย่างเงียบ ๆ

เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ชายคนนั้น เพียงเพื่อดูใบหน้าที่เย็นชาของเขา ค่อยๆเอนตัวลงบนโซฟาเหมือนภาพเคลื่อนไหวช้า ๆ ในภาพยนตร์ จากคนนอกมองมา ดูเหมือนจงใจมาก และสิ่งเหล่านี้เป็นการ “เสแสร้ง”

บางอย่าง

คนจมน้ำที่ถูกปลุกด้วยแอลกอฮอล์ในจุดนั้น ร่างกายจะอ่อนแอ ก็ไม่ "อ่อนแอ" เหมือนเธอแบบนี้

ในเวลานี้ แม้แต่ความสงสารของเสิ่นยี ก็ไม่มี

เสิ่นซิวจิ่นเฝ้าดูเธอยืนขึ้น ด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ:”ขาหัก?”

เจี่ยนถงมือจับที่โซฟาและคว้ามันไว้อย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่ภายในไม่กี่วินาที ก็ปล่อยออกมาอีกครั้ง โดยไม่พูดอะไรสักคำ และไม่อธิบาย แต่กำหมัดแน่นอย่างเงียบ ๆ ด้วยจิตใจที่แน่วแน่ใช้กำลังของตัวเอง เร่งฝีเท้า ตามให้ทันคนตรงหน้า

ทันใดนั้น เธอก็หยุดอยู่ข้างๆประธานตู้ และยื่นมือออกมา ตรงหน้าของประธานตู้

ประธานตู้ไม่เข้าใจทั้งหมด เพราะการหยุดชั่วคราวของร่างเพรียวตรงหน้า ก็แค่ชั่วคราว หันไปทางที่เธอมา แต่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ เฝ้าดูเธอทุกการเคลื่อนไหวอย่างเงียบ ๆ

เจี่ยนถงกดเม้มริมฝีปากลง สายตาคู่หนึ่งจ้องไปที่ประธานตู้ตรงหน้า และยื่นฝามือออกไปตรงหน้าประธานตู้

แว่นตาของประธานตู้หล่นอยู่ที่ดั้งจมูกของเขา ไม่ได้ดูสง่างามเหมือนคนก่อนหน้านี้อีกต่อไป หลังจากผลกระทบ “น้ำท่วม” ทรงผมและการแต่งกายก็ยุ่งเหยิงไปหมด

มองไปที่ฝ่ามือตรงหน้าและกะพริบตา “คุณเจี่ยน …หมายถึง?”

“เงินประธานตู้ลืมแล้วหรือ? ค่าการแสดงสองล้านประธานตู้รับปากแล้ว”

เสียงแหลมหยาบของเจี่ยนถง ซึ่งเป็นเพราะการสำลักและการจมน้ำนั้นยิ่งเสียไปมากขึ้น ดูเหมือนการถูทรายและกรวด

ไม่น่าฟัง และทำให้คนรู้สึกคันคอ

ประธานตู้อดไม่ได้ที่จะกระแอมในลำคอ และรีบหยิบกระเป๋าสตางค์ออกจากแขนของเขา เช็คเปียกแล้ว และมันก็ไร้ประโยชน์เขาลังเล คิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงขี้เหร่คนนี้กับเสิ่นซิวจิ่นจากตระกูลเสิ่นนั้นไม่ง่ายแน่นอน หัวใจของเขาก็สั่นไหว กัดฟันและหยิบการ์ดออกมาจากกระเป๋าสตางค์:

“คุณเจี่ยน เช็คเปียกน้ำแล้ว บัตรนี้ให้คุณดีไหม … “

ในขณะที่เขากำลังพูดเสียงก็ดังขึ้นทันที:”เงินนี้ เธอกล้าที่รับตู้ลี่ฉุนคุณกล้าให้หรือไม่?”

ประธานตู้มือสั่น จ้องมองผู้ชายที่ไม่ธรรมดาอยู่ข้างๆ … นี่ …

“ประธานเสิ่น ความหมายของคุณคือ … เงินนี้ ไม่ให้กับคุณเจี่ยน?” นักธุรกิจอย่างประธานตู้ สามารถได้ยินความหมายที่แท้จริงของคำพูดของเสิ่นซิวจิ่น เพียงแค่ไม่แน่ใจ ในใจรู้สึกแปลก ๆ

เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้มองไปที่ประธานตู้ แต่เขาก็ไม่ได้หักล้างคำพูดของประธานตู้ สิ่งนี้ได้แสดงให้เห็นแล้ว – การเดาของตู้ลี่ฉุนนั้นถูกต้อง

ใบหน้าซีดเซียวของเจี่ยนถงในตอนแรก เหมือนเถ้าที่ถูกดับมอดไปมากยิ่งขึ้น และหันหัวไป: “ทำไมคุณ! นี่คือเดิมพันชีวิตของฉันเพื่อรับรางวัล! เสิ่นซิว … ประธานเสิ่น! คุณทำไม่ได้ และไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจครั้งนี้!”

เธอโกรธและโกรธมากจนเกือบลืมที่จะอ่อนน้อมถ่อมตน!

แต่เธอ … ยังคงเป็นเจี่ยนถงที่มีความถ่อมตนเช่นเคย

“ทำไม” เขาหัวเราะ แค่ยิ้มโดยไม่ถึงหางตา เขาช่วยชีวิตที่เคยเดิมพัน! … หัวใจของเสิ่นซิวจิ่นลุกเป็นไฟ แต่ดวงตาของเขาเย็นชาถึงกระดูก: “เพราะเสิ่นซิวจิ่น สามคำนี้”

“นั่นคือเงินของตัวฉันเอง นั่นคือสิ่งที่ฉันสมควรได้รับตั้งแต่แรก” ดวงตาของเธอแดงก่ำและก้มศีรษะของเธออย่างรวดเร็ว เจี่ยนถง อย่าร้องไห้ ไม่มีอะไรที่จะต้องร้องไห้ ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน ฉันก็มีประสบการณ์มาแล้ว แต่มันก็ยังถูกหลอก แล้วเป็นยังไงล่ะ

เจี่ยนถง ใครบอกคุณว่าชีวิตของคุณถูกและไร้ค่า มันถูกมากจนคุณสามารถวางเดิมพันได้ตามต้องการ

เมื่อคุณตัดสินใจที่จะดิมพันในชีวิตของคุณ ชะตากรรมของคุณไม่ใช่ชะตากรรมของคุณอีกต่อไป

เป็นเพียงรายการแลกเปลี่ยนในการทำธุรกิจร่วมกัน เป็นธุรกิจ จะมีบางครั้งที่การทำธุรกิจล้มเหลว … เจี่ยนถง

ไม่มีอะไรที่ยากจะยอมรับ อาลู่จากไป

ก็ไม่มีอะไรที่มีค่าที่ทำให้คุณเสียน้ำตา เสิ่นซิวจิ่นก็ไม่ได้!

“เงินของคุณ? คุณสมควรได้รับ? หากมีบางสิ่งในโลกนี้ที่ ‘สมควรได้รับ’คุณก็จะได้รับมัน

อย่างงั้นก็เรียกว่าทิ้งความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมา และคุณ สมควรที่จะ ‘ตกนรก’ หรือไม่?”

เจี่ยนถงก้มศีรษะลง เบิกตากว้างและจ้องมองไปที่ปลายเท้า … ใช่ ฉันควรจะตกนรก แต่มันไม่เกี่ยวอะไรกับเซี่ยเวยเหมิง

“คุณถามฉันว่าทำไม ฉันจะบอกคุณ นี่คือตงหวง ฉันพูดแล้วนับว่าจบ” ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

วิ่งเข้าในหูของเจี่ยนถง: “สำหรับเหตุผล ฉันจะบอกคุณ ว่าชีวิตของคุณ ไม่มีค่าสองล้าน”

ฉึก~เหมือนมีดาบที่มองไม่เห็นแทงทะลุหัวใจอย่างโหดเหี้ยม!

เจี่ยนถงยกมือขึ้นปิดหน้าอกของเธอโดยไม่รู้ตัว … เธออยากจะกดหน้าอกของเธอให้แน่น และเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่มือของเธอยื่นไปในอากาศ ตกลงไปที่ข้างขาของเธอเบา ๆ เธอยังสามารถพูดอย่างมีเหตุผล: “สิ่งที่ประธานเสิ่นพูดคือ ชีวิตของฉันไม่มีมูลค่า”

เขาเป็นคนที่บอกว่าชีวิตของเธอไร้ค่า และเขาเป็นคนที่บอกว่าเธอควรตกนรก แต่เมื่อเธอพูดแบบนี้จริงๆในปากของเธอเอง – ชีวิตของฉันไม่มีค่า เสิ่นซิวจิ่นรู้สึกหงุดหงิดโดยไม่มีเหตุผล

ฉันเสยผมอย่างหงุดหงิด เสิ่นซิวจิ่นร้องออกมาอย่างป่าเถื่อน: “ตามฉันมา!” หันกลับและเดินจากไป

เจี่ยนถงเดินตามไปอย่างเงียบ ๆ

ความเร็วในการเดินของเสิ่นซิวจิ่นเดินไม่ช้า แต่เจี่ยนถงก็กัดฟันออกแรงทั้งหมดเพื่อให้ทันร่างตรงหน้า

ขาเจ็บปวดมากจนเหมือนกับกระดูกร้าว เอวด้านซ้ายว่างเปล่า นอกจากความเจ็บปวด ก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว

มีเหงื่อเย็นออกมาจากหน้าผากของเธอ คนอย่างเธอที่ไม่มีเหงื่อออกภายใต้ดวงอาทิตย์ในฤดูร้อน แต่ความเจ็บปวดนั้นทำให้เหงื่อเย็น ๆ ไหลออกมาเป็นชั้น ๆ

เพียงแค่ร่างกายเปียกตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แม้ว่าจะมีเหงื่อไหลหยดลงมา แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าจะเป็นเหงื่อหรือน้ำ

เสิ่นซิวจิ่นที่เดินนำ ก้าวเข้าไปในลิฟต์ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ผู้หญิงคนนั้นยังคงอยู่ห่างจากเขาสามหรือสี่เมตร อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและตะโกนอย่างเย็นชา:

“ชักช้า”

เจี่ยนถงพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ทันที” กัดฟัน ละเลยอาการปวดขาและปวดหลังมานานแล้ว เร่งความเร็วมากขึ้น และตามเข้าไป

เข้ามาในลิฟต์ พูดด้วยเสียงหอบ:”ประธานเสิ่น ขอโทษ ที่ชักช้า”พูดจบ ก็กลอกตา และก้มลงมองที่พื้น

เสิ่นซิวจิ่นหายใจไม่คล่อง มือนั้นเร็วกว่าสมอง เหยียดแขนยาวออกแต่เนิ่นๆและกวาดมันออกไป: “เจี่ยนถง! อย่าแกล้งทำเป็นตาย!” ในขณะที่เธอก้มศีรษะลง ดวงตาที่แหลมคมก็เบิกกว้าง พึ่งพบว่าริมฝีปากของเธอเป็นสีเทาเหมื่อนเถ้าถ่าน หัวใจ สักครู่ ไม่รู้ถึงความเจ็บปวดของตัวเอง รีบกอดคนไว้ “เจี่ยนถง ตื่น! ตื่น!”

เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา “ไป๋ยู่สิงล่ะ! ไป๋ยู่สิงถึงหรือยัง! ให้เขารีบขึ้นไปชั้น 28 เร็วเข้า!”

บทที่ 50 ปิดปากที่ทำให้เขาว้าวุ่นใจ

ลิฟต์ “ติ๊ง” ประตูเปิดออก และ เสิ่นซิวจิ่นกอดเจี่ยนถงที่เอวของเธอ รีบวิ่งออกไปวิ่งเข้าไปในห้องนอน วางคนบนเตียงใหญ่แล้วเอื้อมมือไปถอดเสื้อผ้าที่เปียกของเธอ

นิ้วเรียวปลดเสื้อผ้าของเธอ ชั้นแรกคือเสื้อโค้ท ชั้นที่สองคือเสื้อเชิ้ต ชั้นที่สาม … เนินระหว่างคิ้วของผู้ชายขมวดขึ้น ผู้หญิงคนนี้ ในวันที่ร้อนมาก ใส่เสื้อผ้าเยอะขนาดนี้?

นิ้วชี้ตกลงบนเสื้นชั้นในแขนยาวชั้นที่สาม เขางงงวยมาก ในฤดูร้อน ใครจะใส่เสื่อผ้าหลายชั้น ใส่ชุดชั้นในผ้าฝ้ายแขนยาวที่ใส่ในฤดูใบไม้ร่วง

แต่ จะปล่อยให้เธอใส่เสื้อผ้าเปียก ๆ แบบนั้นไม่ได้

เสิ่นซิวจิ่นเร่งการเคลื่อนไหว และถอดเสื้อผ้าที่เปียกชื้นของเธอออก สายตาของเขาก้มมองชุดชั้นในที่เก่าแก่และอนุรักษนิยม เขาไม่ลังเลเลย ที่จะปลดล็อกชั้นป้องกันสุดท้ายของเธอ ทันใดนั้น เนินเขาคู่หนึ่งก็โผล่ออกมา

ผู้ชายหายใจติดขัดเป็นเวลาสามวินาที

จากนั้นไม่นาน เขาก็หันกลับมาและดึงเสื้อเชิ้ตสีขาวออกจากตู้และสวมให้เธอ

การกระทำทั้งหมดทำในครั้งเดียว โดยไม่มีการหยุดชั่วคราว

ตามธรรมชาติแล้ว การถอดเสื้อผ้าและเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เร่งรีบนี้ ทำให้เขาไม่สนใจรอยแผลเป็นที่ซ่อนอยู่บนเอวของเธอ

เสิ่นซิวจิ่นใส่เสื้อเชิ้ตของเขาให้กับเธอ และเพียงแค่เอื้อมมือไปเปลี่ยนกางเกงที่เปียก คนบนเตียงก็เตะเท้าของเธอราวกับว่าเธอหวาดกลัว

โซ!

เสิ่นซิวจิ่นเงยหน้าขึ้นและกวาดมองไปทางคนบนเตียง ที่ยังคงหลับตา แต่ใบหน้าซีดเซียวไปแล้ว

ในขณะนี้มีความตื่นตระหนกและหวาดกลัวในการนอนหลับ ราวกับว่ามีอะไรมากระตุ้น

เขาขยับมือออกไปเล็กน้อย คนคนนั้นก็นิ่งลง เสิ่นซิวจิ่นวางมือบนสายรัดเอวของเธออีกครั้ง อย่างไม่ย่อท้อตามที่คาดไว้!

เป็นอย่างที่คิดไว้ มีความตื่นตระหนกอีกครั้งบนใบหน้าของเธอในขณะหลับตา

คิดไม่ถึงว่า เสิ่นซิวจิ่นจะถูกเตะเข้าที่คางอย่างจัง เหยียดแขนยาวออก ฝ่ามือใหญ่กอดข้อเท้าของเธอไว้แน่น จึงสามารถหยุดยั้งการเตะจากเท้าของเธอ

ชายคนนั้นจับข้อเท้าของเธอ และมองไปที่ใบหน้ายามหลับของเธอด้วยดวงตาสีเข้ม แสดงความคิดลึก ๆ … เธอไวต่อการเคลื่อนไหวแบบนี้ได้อย่างไร แม้ว่าจะตกใจ?

ในขณะครุ่นคิดอยู่ คนที่นอนอยู่บนเตียงตกอยู่ในฝันร้ายอีกครั้ง และเริ่มพูดจาไปทั่ว: “อาลู่ อาลู่ พาฉันไป พาฉันไป …”

ฝ่ามือคู่ใหญ่ของเสิ่นซิวจิ่น เกือบจะบดขยี้ข้อเท้าของเธอ ดวงตาสีดำแสดงออกอย่างเย็นชา …เรียกอาลู่ อาลู่ ลู่เชนดีขนาดนั้น?

เขาจ้องมองคนบนเตียง … เจี่ยนถง คุณจะตายจากหัวใจนี้ ต้องการขอให้ลู่เชนพาคุณไปหรือ? ต้องการหนีไปกับลู่เชน?

ฝัน!

“อาลู่…..”

ผู้หญิงคนนั้นยังคงละเมอ

ใบหน้าของเสิ่นซิวจิ่นในขณะนี้ เริ่มเย็นลงเย็นลง ค่อยๆเปลี่ยนกลายเป็นน้ำแข็ง

สายตาของเขาจับจ้องไปที่ น้ำตาจากมุมตาของผู้หญิงที่อยู่บนเตียง

เธอหลั่งน้ำตา!

ไม่ว่าจะเป็นเจี่ยนถงเมื่อสามปีก่อน หรือเจี่ยนถงสามปีต่อมา ในความทรงจำของเสิ่นซิวจิ่น ไม่เคยเห็นเธอหลั่งน้ำตาให้กับใคร

สำหรับลู่เชน!

ไม่รู้ทำไม เมื่อสี่คำนี้ เมื่อมันพุ่งออกมาจากสมอง เขามีความต้องการที่จะทำลายลู่เชนและบีบคอผู้หญิงคนนี้ด้วยมือของเขาเอง!

เขาจ้องไปที่น้ำตาที่มุมตาของเธอ เห็นน้ำตานั้นด้วยตาตัวเอง ตามใบหน้าของเธอและหล่นลงในหมอน

กลายเป็นจุดเปียกชื้น … รกหูรกตา

รกหูรกตา!

อะไรก็รกหูรกตา!

หมอนก็รกหูรกตา!

ผ้าปูที่นอนก็รกหูรกตา!

น้ำตาของเธอยิ่งรกหูรกตา!

เจี่ยนถงตกอยู่ในฝันร้ายเป็นวนลูปที่ไม่มีทางแก้ไข แม้ว่านี่จะเป็นฝันร้ายของเธอ แต่เธอก็หมกมุ่นอยู่กับทุกสิ่งในความฝันนี้ อย่างน้อย อาลู่ ก็ยังมีชีวิตอยู่ในความฝันของเธอ

“อาลู่…”

“อาลู่?” เสียงเย็นชาดังเข้ามาในหู มาพร้อมกับความเจ็บปวดหายใจไม่ออกของเจี่ยนถง เสียงอยู่ใกล้แค่เอื้อม: “อาลู่! เปิดตาของคุณให้ฉันดู มองให้ชัด ฉันเป็นใคร!”

คำพูดเดียวกัน เสิ่นซิวจิ่นพูดสองครั้งในวันนี้ ดวงตาของเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง และเธอ ก็จำเขาผิดถึงสองครั้ง!

ในวันเดียวกัน ห่างกันไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เธอ–เจี่ยนถง! เข้าใจผิดว่าตัวเองเป็นคนอื่น สองครั้ง!

เมื่อเจี่ยนถงตื่นขึ้นด้วยความเจ็บปวดจากการหายใจไม่ออก จึงพบว่า คนที่เธอไม่อยากเจอมากที่สุด เหมือนกับคนบ้า ที่บีบคอตัวเองจนตาย

แรงบีบคอของเธอเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และทันใดนั้นเธอก็เบิกตากว้าง และตระหนักว่า–เขา เสิ่นซิวจิ่น

อยากบีบคอตัวเองจริงๆ!

การหายใจยากขึ้นเรื่อย ๆ และเธอจำได้ถึงความตื่นตระหนกและความกลัวที่จะจมน้ำเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน

ทันใดนั้น เจี่ยนถงก็นอนตัวตรงบนเตียงโดยไม่ดิ้นรนอีกต่อไป

แต่การแสดงของเธอ กลับกระตุ้นชายคนนั้นมากยิ่งขึ้น: “ต่อสู้ดิ้นรน ! ขอร้อง! ทำไมไม่ดิ้นรน ทำไมไม่ขอร้องฉัน คุณไม่ใช่สามารถคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตา คุณไม่ใช่หวงแหนชีวิตที่เลวร้ายของคุณมากที่สุดหรือ! คุณต่อสู้ดิ้นรนสิ!”เขาโกรธ ไม่รู้ว่าทำไม เขาหงุดหงิด ยิ่งไม่รู้ว่าเพราะทำไม!

แค่ผู้หญิงที่สมควรตาย ละทิ้งชีวิตก็ตาย เบื่อที่จะมีชีวิต!

“ฉันบอกว่า ต่อสู้ดิ้นรน! ฉันบอกให้คุณต่อสู้ดิ้นรน!” เธอต้องการที่จะตายอย่างนั้นหรือ? ไม่! เธอเป็นห่วงลู่เชนมาก เธอยอมตาย ดีกว่าแสดงความอ่อนแอหรือ

เสิ่นซิวจิ่นไม่รู้ตัว ว่าเขากำลังหึงหวงลู่เชน และพฤติกรรมบ้าๆของเขา ก็เหมือนเด็กที่ได้รับของเล่นและก่อเรื่องโดยไม่มีเหตุผล

คุณชายเสิ่นผู้มี IQ สูงแลเสิ่นซิวจิ่นที่มี EQ ต่ำ วิธีหนึ่งที่ทำให้เด็กก่อเรื่องโดยไม่มีเหตุผลคือ ทำร้ายคนที่ห่วงใย โดยไม่รู้ตัว!

เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ การทำเช่นนี้

สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่ “การต่อสู้ดิ้นรน” และ “การขอความเมตตา” ของเจี่ยนถง หรือแม้แต่การ “แสดงความอ่อนแอ” ของเธอ สิ่งที่เขาต้องการคือท่าทีอย่างหนึ่งของเธอ – หนึ่งในใจของเธอ เสิ่นซิ่วจินยังคงมีท่าทีที่เป็นเอกลักษณ์!

เขามีร่างกายที่เพรียวและแข็งแรง ลอยตัวกลางอากาศกดทับบนร่างกายของเธอ

ทันใดนั้น เขาก็ปล่อยมือ หยุดมองไปที่เธอ เหมือนกับมองตุ่นมองมด ริมฝีปากบางยกยิ้มเยาะ: “สองล้าน นอนกับฉันหนึ่งคืน”

เจี่ยนถง คุณรักเงินขนาดนี้ เขาต้องการดูว่า ลู่เชนสำคัญหรือว่าเงินสำคัญกว่า

เจี่ยนถงสงสัยว่าหูของตัวเองได้ยินผิด เคลื่อนไหวช้าๆ และเงยหน้าขึ้น: “คุณพูดอะไร?”

“ไม่ใช่คุณรักเงินหรือ? ไม่ใช่เพราะเงินสองล้านคุณก็สามารถเอาชีวิตเป็นเดิมพันหรือ? นอนกับฉันคืนหนึ่ง สองล้าน ฉันให้”

เจี่ยนถงไม่ได้พูดอะไรอยู่นาน ราวกับว่าการเคลื่อนไหวหยุดนิ่ง เพียงแค่ลืมตา และจ้องมองคนตัวสูง โดยไม่กะพริบตา

“ไม่”

เสิ่นซิวจิ่นหรี่ตา: “คุณบอกว่า … ไม่?”

“ใช่” เธอมองไปที่เขา: “ไม่ ฉันบอกว่าไม่”

เพื่อลู่เชน? … เพื่อลู่เชน!

ผู้หญิงที่รักเงินคนนี้ ปฏิเสธสองล้าน?

ลู่เชน … สำคัญขนาดนั้นหรือ!

ไฟชั่วร้ายพุ่งเข้ามาในใจ ทันใดนั้นเอง! เขาฝังศีรษะลง ริมฝีปากบางของเขากดลงบนริมฝีปากของเจี่ยนถงอย่างหนักหน่วง

มันคือริมฝีปากนี้ ทุกสิ่งที่ทำให้เขาระคายเคือง!

มันคือริมฝีปากนี้ ที่ทำให้ตัวเองโกรธซ้ำแล้วซ้ำเล่า!

เขาจูบริมฝีปากอย่างดุเดือด แม้ว่าริมฝีปากจะหยาบราวกับผ้าลินิน แต่ก็มีรสชาติและความหวานของกระดูก!

ดูเหมือน ว่าริมฝีปากนี้ ควรจะเป็นของเขาเสิ่นซิวจิ่น!

เขาลืมตา … คนนี้ ควรเป็นของเขาเสิ่นซิวจิ่น!

บทที่ 51 นอนกับฉันคืนนี้

ยิ่งเธอดึงดัน เขาก็ยิ่งเผด็จการ

เพี๊ยะ!

เสียงหนึ่งดังขึ้น ทันใดนั้น ทั้งโลกก็เงียบสงัด

เสิ่นซิวจิ่นมองหญิงสาวที่อยู่ใต้ร่างของเขาอย่างเหลือเชื่อมือของเธอสั่นเทา มองมาที่เขาอย่างตื่นกลัว

เสิ่นซิวจิ่นจ้องมองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง ฝ่ามือที่ตบเข้ามาไม่รุนแรงและไม่ทำให้เจ็บ แต่ชีวิตที่สมบูรณ์แบบอย่างคุณชายเสิ่น เสิ่นซิวจิ่น ผู้นำตระกูลเสิ่นแห่งเมือง S ที่ในชีวิตนี้ถูกตบหน้าเป็นครั้งแรก ริมฝีปากบางของเขาเม้มแน่นจนเป็นเส้นพลางจ้องมองผู้หญิงที่อยู่ใต้ล่าง ทันใดนั้นเขาก็ดีดตัวขึ้นลุกออกจากเตียง หันหลังให้เจี่ยนถงที่อยู่บนเตียงก่อนจะเอ่ยขึ้น

“เปลี่ยนกางเกงเปียกๆของเธอซะ และอย่าให้เตียงฉันเปียกด้วยล่ะ”

กางเกงกีฬาผู้ชายถูกโยนใส่มือของเจี่ยนถงอย่างรีบร้อน

เจี่ยนถงอึ้งไปครู่หนึ่ง ชายคนนั้นไม่แม้แต่หันกลับมามอง ภายใต้สายตาของเจี่ยนถง เขาระงับความโกรธพลางเดินออกไปจากห้อง “รีบเปลี่ยนเร็วๆเข้า เดี๋ยวไป๋ยู่สิงจะมาตรวจไข้ให้เธอ”

ตรวจไข้?

“ฉันไม่ได้ป่วย”

“ถ้าไม่ป่วย แล้วจู่ๆจะเป็นลมไปได้ยังไง”

เขาตอบอย่างเยาะเย้ย

“ฉันไม่ได้ป่วยจริงๆ”

“บอกให้เปลี่ยนก็เปลี่ยนสิ มัวพูดไร้สาระอยู่ได้ เตียงฉันสกปรกหมดแล้ว”

แผ่นหลังของชายหนุ่มหายออกไปจากประตูห้องนอน ตามมาด้วยเสียง “ปัง” จากประตูที่ปิดลง

เจี่ยนถงมองกางเกงกีฬาขาสั้นที่อยู่ในมือ

เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยุงร่างของตัวเองและค่อยๆเปลี่ยนกางเกงที่เปียกนั้น

ในเวลานั้นเอง ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น “เจี่ยนถง นี่ฉันเอง”

ไป๋ยู่สิงยืนอยู่ที่หน้าประตู เขาเคาะประตูตามมารยาท “ถ้าเธอไม่ตอบ ฉันจะเข้าไปแล้วนะ”

เจี่ยนถงหน้าซีดทันควัน “อย่า…” เข้ามา…

สายไปแล้ว…

ไป๋ยู่สิงยืนมองเจี่ยนถงอยู่ที่ประตู สายตาของเขาสำรวจร่างของเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ทันใดนั้นก็เผยให้เห็นสายตาแปลกๆ

เสื้อผ้าของเสิ่นซิวจิ่นอยู่บนตัวของเจี่ยนถง

“เธอเพิ่งออกกำลังกายมาเหรอ”

“ฮะ?”

ไป๋ยู่สิงแค่พูดแซวเล่น แต่เมื่อเห็นท่าทีที่ไม่ตอบสนองของเจี่ยนถง ก็ส่ายหัว เป็นอันรู้คำตอบ

เขาเดินไปหาเจี่ยนถง สีหน้าของเธอซีดเซียว

“เธอไม่ต้องเกร็ง ฉันแค่มาตรวจเฉยๆ”

“ฉันไม่ได้ป่วย”

“แค่ตรวจเอง ไม่เห็นเสียหายนี่”

“ไม่จำเป็น ฉันไม่ได้ป่วยจริงๆ”

จู่ๆไป๋ยู่สิงก็เงยหน้าขึ้น เขามองไปที่เจี่ยนถงด้วยสีหน้าที่ดูจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “นี่ เจี่ยนถง เธอกำลังปิดบังอะไรอยู่กันแน่”

หัวใจของเจี่ยนถงหยุดเต้นไปครึ่งจังหวะ “ฉันก็แค่…ไม่ได้ป่วยจริงๆ และฉันเกลียดหมอก็เท่านั้น”

ไป๋ยู่สิงเชิดคางขึ้นชี้ไปทางประตูห้องนอน “จะให้ฉันเรียกเขาเข้ามา แล้วบอกต่อหน้าเขาว่าตอนนี้เธอเป็นคนพิการดีไหม”

ดวงตาของเจี้ยนถงเบิกกว้างทันใด!

นี่เป็นสิ่งที่เธออายและอยากให้พูดถึงมันน้อยที่สุด!

ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่อยากให้เอ่ยถึงมันต่อหน้าคนที่เป็นต้นเหตุ!

“นายรู้ได้ยังไง…อ๋อ…นั่นสินะ” ขณะที่เธอเอ่ยถามไป๋ยู่สิงว่ารู้ได้อย่างไร จู่ๆก็เงียบไป ทันใดนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “นั่นสินะ”

ไป๋ยู่สิงเหลือบมองเจี่ยนถง เขาเข้าใจอะไรบางอย่างอย่างคลุมเครือ

แต่ถ้าสิ่งต่างๆก็เป็นไปตามที่เขาคาดเดาจริงๆ อย่างนั้นแล้ว…ไป๋ยู่สิงมองไปที่เจี่ยนถงอย่างสงสาร…เธอช่างน่าเศร้าเสียจริง

“เธอเคยคิดบ้างไหม ว่าบางเรื่องอาจไม่เป็นไปอย่างที่เธอคิด” อย่างน้อย เขาก็คิดว่าถึงเสิ่นซิวจิ่นจะเกลียดเจี่ยนถงมากแค่ไหน แต่เขาก็คงไม่ใจร้ายให้คนมาถอดไตเธอไปหรอก

“มันผ่านมาแล้ว และนี่คือสิ่งที่ฉันสมควรได้รับ” ผู้หญิงคนนั้น เป็นผู้หญิงที่กล้าแสดงออกและมั่นใจที่สุดเท่าที่เคยเจอในหาดเซี่ยงไฮ้ แต่ในตอนนี้ ราวกับเดินมาถึงจุดจบของชีวิต เธอดูไม่มีชีวิตชีวาราวกับหญิงชราที่อายุเกินร้อยปี และเอ่ยคำพวกนั้นออกมา

ไป๋ยู่สิงประหลาดใจ!

แม้ว่าจะเคยเห็นเธอคุกเข่าต่อหน้าเสิ่นซิวจิ่นมาแล้วก็ตาม แต่เมื่อตัวเองได้มาเจอกับผู้หญิงคนนี้ก็ยิ่งรู้สึกสะเทือนใจ!

ความอ่อนน้อมถ่อมตน เผยให้เห็นผ่านประโยคที่เธอพูด

“สำหรับไตแล้ว เธอแค่พูดว่า ‘มันหายไปแล้ว’ อย่างนั้นเหรอ” สีหน้าของไป๋ยู่สิงเผยให้เห็นถึงความมั่นใจ เจี่ยนถงในตอนนั้น เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนมากมาย แต่ผู้หญิงคนนี้ในตอนนี้ เขาคิดแค่ว่าในระยะเวลาสามปีนี้ มันเปลี่ยนเธอได้แค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น ไม่คาดคิดว่าแม้แต่ข้างไหนก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

“เธอนี่คิดไปเองจริงๆ ทั้งหมดทั้งมวลคือสิ่งที่เธอควรได้รับอย่างนั้นเหรอ เจี่ยนถง”

เจี่ยนถงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองไป๋ยู่สิง ราวกับเครื่องจักรที่อยู่อย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่ฉันสมควรได้รับ” ใบหน้าของเธอนิ่งเฉยจนดูเหมือนไม่มีชีวิต!

ดวงตาของไป๋ยู่สิงเต็มไปด้วยความผิดหวัง เจี่ยนถงคนก่อนหน้านี้ได้หายไปแล้วจริงๆ และไม่ปรากฏให้เห็นอีกเลย

“เดี๋ยวฉันจะตรวจให้เธอ เธอช่วยให้ความร่วมมือด้วย” ไป๋ยู่สิงแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกัน แต่เจี่ยนถงก็ไม่วายหลีกเลี่ยง “ทางที่ดีเธออย่าขยับจะดีกว่า ฉันกลัวจะทำเธอเจ็บ หรือว่าเธออยากให้ฉันเรียกเสิ่นซิวจิ่นให้เข้ามาล่ะ”

ประโยคสุดท้าย หยุดเจี่ยนถงได้อย่างชะงัก

“มีไข้ 37.8 องศา เธอเป็นอะไรเนี่ย มีไข้ขนาดนี้แล้วยังจะมาทำงานอีกเหรอ เธอไม่รู้สภาพร่างกายตัวเองรึไง เธอก็เป็นแค่คนธรรมดา แล้วยังจะอวดเก่งอีก อยากตายนักรึไงฮะ เจี่ยนถง!” สุดท้ายแล้ว ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้ ก็เป็นคนคนเดียวกับเด็กที่เรียกเขาว่า‘พี่ยู่สิง’และโตมาด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก แม้จะไม่สามารถย้อนกลับไปในอดีตได้ แต่เธอก็ยังเป็นเจี่ยนถง

ไป๋ยู่สิงไม่ได้คิดอะไรกับเจี่ยนถง เพียงแค่รู้สึกสงสารเธอ และนึกถึงความรู้สึกเก่าๆในอดีต

เขาลุกขึ้นยืนหยิบของ ก่อนจะเดินออกไป

เขาไม่ได้พูดอะไรกับเสิ่นซิวจิ่นมากนัก เพียงแค่เอ่ยขึ้น “นายอย่าแกล้งเธอนักเลย ร่างกายเธอ…ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ไม่แน่ใจว่า เสิ่นซิวจิ่นจะรู้เรื่องสภาพร่างกายของเจี่ยนถงหรือไม่ คำพูดของไป๋ยู่สิงเปลี่ยนไปทันทีที่คำเหล่านั้นจะออกจากปาก

เสิ่นซิวจิ่นเหลือบมองไปทางห้องนอน ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไป

“คืนนี้ นอนกับฉันนะ” เสิ่นซิวจิ่นไม่มีความหมายอื่นใดแฝง เพียงแค่ผู้หญิงคนนี้เพิ่งจะจมน้ำและยังมึนหัว อีกทั้งไป๋ยู่สิงก็กำลังจะให้คนเอายามาให้ เขาเพียงแค่จะเก็บเธอไว้ข้างกายในคืนนี้

แต่ คำพูดนี้มันคลุมเครือเกินไป จนใบหน้าของเจี่ยนถงซีดอย่างทันควัน “ไม่!”

ท่าทีตอบสนองของเธอค่อนข้างรุนแรง ส่วนเสิ่นซิวจิ่นเองก็ฉลาดพอที่จะมองเธอออก สายตาเหลือบมองเธอ เขาเดาได้ทันทีว่าเธอกำลังคิดไม่ซื่อ

แต่…เธอไม่อยากนอนกับเขาอย่างนั้นเหรอ

แล้วเธออยากจะนอนกับใคร

ลู่เชนงั้นเหรอ

จากอารมณ์ที่สงบ จู่ๆก็กลับก่อเป็นไฟแห่งความโกรธ!

เจียนถงที่เป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับเทน้ำเย็นลงไปในกระทะน้ำมันที่กำลังเดือดพล่าน

อันทีที่จริงไม่ควรโทษเจี่ยนถงที่คิดไม่ซื่อ เพราะก่อนที่ไป๋ยู่สิงจะมา เสิ่นซิวจิ่นเคยพูดกับเจี่ยนถงว่า “ให้สองล้าน เธอมานอนกับฉันคืนหนึ่ง” ดังนั้น เจี่ยนถงจึงเข้าใจผิดโดยอัตโนมัติ

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเตียง ทันใดนั้นเอง!

“สองล้าน” ริมฝีปากบางเอ่ยตัวเลขออกมาอย่างไม่แยแส

เจี่ยนถงตอบกลับ “ไม่”

“สามล้าน”

“ไม่”

“สี่ล้าน”

เธอลังเล

ชายหนุ่มเหลือบมอง “คิดให้ดีก่อนแล้วค่อยตอบ”

“ไม่” เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นก่อนจะส่ายหน้าให้เขาอย่างแน่วแน่

“เจี่ยนถง เธอชอบเงินไม่ใช่หรือไง” หรือว่าจะทำเพื่อลู่เชน?

“ฉันชอบเงิน ฉันรักเงินมากๆ เงินคือชีวิตของฉัน ฉันเอาชีวิตของตัวเองพันกับเงินสองล้านนั่น ถ้าประธานเสิ่นยินดีที่จะมอบเงินสองล้านให้ฉัน ฉันเจี่ยนถงจะไม่พูดอะไรให้มากความ แล้วจะลุกขึ้นโดนลงไปในน้ำเดี๋ยวนี้แหละ”

“จองหองนักเหรอ” เสิ่นซิวจิ่นเลิกคิ้วขึ้นพลางมองเจี่ยนถงที่อยู่ใต้ร่างของเขา

เจี่ยนถงหัวเราะออกมาเบาๆ สายตาเธอเต็มไปด้วยการดูถูก จองหองงั้นเหรอ เธอจองหองยังไงกัน

“ประธานเสิ่นผิดแล้วล่ะคะ ฉันก็แค่คนที่ถูกจองจำก็เท่านั้น ถ้าไม่มีอดีต ก็ไม่มีปัจจุบัน ไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อนฝูง…จองหองงั้นเหรอคะ ฉันจะไปจองหองกับใครกันคะ”

“อย่างนั้น คืนนี้ก็นอนนี่ซะ”

เจี่ยนถงค่อยๆเงยหน้าขึ้น ตั้งใจมองเข้าไปในดวงตาของเสิ่นซิวจิ่น ก่อนที่ริมฝีปากจะค่อยๆขยับ “ฉันไม่ยอม”

เสิ่นซิวจิ่นกำหมัดแน่นและต่อยไปที่เตียงเข้าอย่างจัง จนเส้นเลือดสีเขียวปรากฏให้เห็นบนหลังฝ่ามือ!

ตามความเข้าใจของเสิ่นซิวจิ่น ที่เจี่ยนถงปฏิเสธเขาเป็นครั้งที่สอง นั่นก็เป็นเพราะลู่เชน!

“เจี่ยนถง เธอรับผลจากการที่ทำให้ฉันโกรธไม่ไหวหรอก” เขาเอ่ยเตือนอย่างเยือกเย็นด้วยสายตาที่เย็นชา…ที่กับผู้ชายคนอื่นจะยังไงก็ได้ทั้งนั้น แต่พอเป็นเขากลับไม่ได้งั้นเหรอ

“ประธานเสิ่นลืมแล้วเหรอคะ ว่าฉันเป็นหญิงขายบริการที่ไร้ยางอายนี่คะ ถ้าเป็นคนอื่นที่ซื้อฉันคืนเดียวในราคาสองล้าน ฉันคงเปลื้องผ้าแล้วประจบประแจงไปแล้วล่ะค่ะ แต่กับประธานเสิ่น ไม่ได้ค่ะ ถึงฉันจะขายบริการแต่ก็มีจรรยาบรรณในวิชาชีพ ที่ห้ามมีความสัมพันธ์นอกเวลางานกับเจ้านาย นี่คือข้อห้ามของคนเป็นมืออาชีพค่ะ”

“เธอ!”

เจี่ยนถงต้องเรียกความกล้าหาญอย่างมาก ถึงจะพูดคำเหล่านี้ออกมาได้ ก่อนจะชนชายหนุ่มที่มี IQ สูงแต่ EQ ต่ำคนนั้นกระแทกกับประตูด้วยความโกรธเคืองและเดินออกไป

เมื่อได้ยินเสียงประตูดังปัง ในที่สุดเส้นประสาทที่ตึงเครียดของเจี่ยนถงก็คลายตัวลง เรี่ยวแรงของร่างกายราวกับหายไปในฉับพลัน เธอล้มลงกับพื้น หลังพิงตู้เสื้อผ้าและนั่งกอดเข่าคุดคู้

ในปากขมขื่น

จะเป็นใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่เสิ่นซิวจิ่น!

ไม่อย่างนั้น สามปีที่ผ่านจะมีค่าอะไร

ความรู้สึกที่เธอมีต่อเขามาตลอดยี่สิบปี มันจะไปมีค่าอะไร!

เสิ่นซิวจิ่น เสิ่นซิวจิ่น! นายมันอย่างนี้ทุกที จากแก่นกระดูก จากเลือดเนื้อในนั้น ชอบทำให้ฉันอับอายอยู่ได้!

ใช่ นับตั้งแต่ที่เข้าไปในที่แบบนั้น ฉันก็ไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป ฉันถูกตีตราเอาไว้แล้ว แต่ฉันก็ยังอยากจะรักษา “ความบริสุทธิ์”อันน้อยนิดนี้ไว้ ความรู้สึกของฉันที่มีต่อคุณในอดีต มันบริสุทธิ์!

เจี่ยนถงหลับตาลงด้วยความโกรธเคืองและเจ็บปวด!

“จะเป็นใครก็ได้ ถึงฉันจะเป็นผู้หญิงอย่างว่า ใครก็ได้ถึงจะต้องเสียศักดิ์ศรีก็ตาม อีกอย่าง ฉันเองก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว จะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น ใครก็ได้…ใครก็ได้…ที่ไม่ใช่เขา…”

เธอหลับตาลงราวกับกำลังสะกดจิตตัวเอง พึมพำออกมาอย่างไม่รู้ตัว น้ำตาไหลริน ความรู้สึกประเดประดังเข้ามา…นี่เป็นน้ำตาที่ไหลออกเป็นครั้งที่สองของวันนี้ ครั้งแรกคือเพื่ออาลู่ในฝันร้าย ส่วนครั้งที่สองก็เพื่อผู้ชายคนนั้น

“ใครก็ได้ที่ไม่ใช่เขา…” ในห้องนอนสุดหรูหรา หญิงสาวนอนคุดคู้พลางพูดประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมาเรื่อยๆ ที่ห้องนอนสุดหรู กลับมีกลิ่นอายของความอ้างว้าง…ถึงแม้จะสว่างไสวก็ตาม

ที่ด้านนอกของห้องรับแขก ชายหนุ่มจุดบุหรี่สูบ จะเข้ามวนที่สาม ก่อนจะเผาก้นบุหรี่หนึ่งในสามมวนนั้นด้วยความหงุดหงิด เขายกมือขึ้นหยิบไวน์แดงจากโต๊ะกาแฟขึ้นมาเงยหน้าจิบ ราวกับกำลังใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องระงับความหงุดหงิดในหัวใจ

เสิ่นซิวจิ่นไม่รู้ตัวเลยว่า เขาไม่สามารถทำอะไรผู้หญิงในห้องนอนที่เขาพามานี้ได้เลย!

บทที่ 52 ความเป็นห่วงเบื้องหลังความเมินเฉยและใจดำ

ด้านหลังมีเสียงเคลื่อนไหวแปลกๆ

“หยุด จะไปไหน?” เสิ่นซิวจิ่นหรี่ตามองท่าทางกลัวหัวหดของหญิงคนนั้น มีความหุนหันพลันแล่นที่บ้าคลั่ง

“ทำงาน” เจี่ยนถงพูดขึ้นอย่างช้าๆ

ทันใดนั้นเอง!

ชายหนุ่มอารมณ์เสียอย่างมาก บนใบหน้าเย็นชาที่งดงาม มองไม่เห็นอารมณ์ใดๆ ทันใดนั้นก็เอ่ยปาก “ทำงาน? ด้วยร่างกายทรุดโทรมของคุณในตอนนี้เหรอ?” ยัยคนเนรคุณ เอาแต่คิดเรื่องเงิน เพิ่งหนีความตายมาได้ ลืมตามาก็คือเงิน นอกจากเงิน ยังมีอะไรที่เธอให้ความสำคัญอีก?

อ๋อ……ผิดแล้ว!

ยังมีลู่เชน!

ลู่เชนที่ยังโดนเธอรบกวนระหว่างที่นอนหลับคนนั้น!

“ถ้าไม่มีธุระอะไร งั้นประธานเสิ่น ฉันไปทำงานก่อนนะ” เธอยังคงเป็นแบบนั้น ท่าทางกลัวหัวหด ทำหลังค่อม กระดูกสันหลังนั้นราวกับมันไม่มีวันตรงตลอดไป ในสายตาเสิ่นซิวจิ่น รู้สึกถึงความโกรธที่อธิบายไม่ได้ และมีความ……เสียใจเล็กน้อยที่ถูกเธอเมินเฉยอย่างจงใจ

ทำงาน ทำงาน ชอบทำงานขนาดนี้……

“โอเค มีพนักงานที่ขยันขันแข็งแบบคุณ เป็นโชคดีของเจ้านายอย่างฉัน ในเมื่อคุณรักงานของคุณขนาดนี้ งั้นใช้ความขยันขันแข็งของคุณ ภายในหนึ่งเดือนนี้ทำงานให้ได้ห้าล้านแล้วกัน”

เจี่ยนถงรู้สึกจะเป็นลมอีกครั้ง หันศีรษะไปมองชายที่นั่งโซฟาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ถามขึ้นด้วยความสั่น

“ประธานเสิ่นอยากให้ฉันโอนเงินห้าล้านไปยังบัญชีธนาคารนั้นภายในหนึ่งเดือนเหรอ?”

เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้ตอบคำถามเธอ แค่ยิ้มเยาะโบกมือปัด “ไปทำงานเถอะ ฉันเชื่อใจคุณ คุณเป็นพนักงานที่ดี” เขาถึงขนาดให้กำลังใจเธอด้วย “ทำงานสู้ๆ ฉันมั่นใจในตัวคุณ”

การเสียดสีอันเปลือยเปล่า ใบหน้าเจี่ยนถงเป็นสีเทาซีดเซียว ริมฝีปากสั่นระริก เธอลืมตาขึ้นมองคนคนนั้นอย่างตั้งใจ ดูเหมือนในดวงตาเธอไม่มีสิ่งอื่น มีแค่คนคนนั้น ค่อยๆ อ้าปาก ขยับสักพัก แต่สุดท้าย……เธอก็ไม่ได้พูดอะไร รวมถึงคำพูดขอความเมตตา

“ฉันรู้แล้ว ประธานเสิ่น” ทิ้งประโยคนี้ไว้อย่างเงียบๆ ภายใต้การจ้องมองดวงตาสีดำคู่นั้น เจี่ยนถงเดินเข้าไปในลิฟต์

ทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดลง ชายที่อยู่บนโซฟา ใบหน้าเย็นชาก็กลายเป็นมีรอยยิ้มเปื้อนเลือดทันที……ก่อนหน้านี้ยังคุกเข่าขอความเมตตาโดยไม่ขยับไปไหน แต่ตอนนี้แม้แต่ประโยคนุ่มนวลก็ขี้เกียจที่จะพูดแล้ว และการเปลี่ยนแปลงนี้ก็เกิดขึ้นตั้งแต่ที่เธอเจอลู่เชน

หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “ตรวจสอบลู่เชน” ทิ้งคำพูดสั้นๆ สามคำให้ปลายสาย เสิ่นซิวจิ่นก็ตัดสาย จับโทรศัพท์ไว้ในฝ่ามือ ทันใดนั้นก็เขวี้ยงมันใส่โทรทัศน์หน้าจอ LCD อย่างแรง!

หลังจากนั้นสักพัก เครื่องรับส่งวิทยุที่ทางเข้าลิฟต์ก็ดังขึ้น เสิ่นซิวจิ่นก็กดรีโมทคอนโทรลทั้งบ้านในมือ เสิ่นยีในเครื่องรับส่งวิทยุก็พูดขึ้น “Boss คุณไป๋ให้คนมาส่งยา ตอนนี้จะให้เอาขึ้นไปไหมครับ?”

“นายส่งไปที่ซูเมิ่งทันที ให้เธอเอาให้ผู้หญิงคนนั้น” พูดจบ ขณะที่เตรียมจะวางสาย ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงเพิ่มไปอีกประโยค “อย่าพูดถึงฉันให้ผู้หญิงคนนั้นฟัง”

เสิ่นยีตอบรับ เสิ่นซิวจิ่นคิดสักพัก “หลังจากนายเอายาไปส่งให้ซูเมิ่ง ก็รีบตรวจสอบทันที เรื่องในห้องส่วนตัวของตู้ลี่ฉุนในวันนี้ ฉันต้องการรายละเอียด ห้ามพลาดรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ต้องรู้เรื่องทั้งหมด”

“ครับ Boss”

“นายไปเถอะ”

……

เสิ่นยีเคาะประตู ได้ยินเสียง “เชิญเข้ามา” ก็ผลักประตูเข้าไป

ซูเมิ่งแปลกใจ “คุณมาได้ไง?” เพิ่งถามออกไป ซูเมิ่งฉลาด จึงเข้าใจทันที “ประธานเสิ่นมีคำสั่งอะไรเหรอ?”

เสิ่นยีเอายาในมือวางไว้บนโต๊ะซูเมิ่ง “ให้คุณเจี่ยนกินให้ตรงเวลา”

“ยาลดไข้เหรอ?” ซูเมิ่งมองซองยาบนโต๊ะ “คุณรู้ได้ไงว่าเจี่ยนถงเป็นไข้?”

เสิ่นยีขมวดคิ้วเล็กน้อย วินาทีต่อมาก็สงบเยือกเย็น “แล้วคุณรู้เรื่องที่คุณเจี่ยนเป็นไข้ได้ยังไง?”

“วันก่อนตอนเธอเลิกงานติดฝนตอนกลับ กลับไปก็ไม่สบาย เวียนหัวและล้ม บนหน้าผากมีแผลขนาดใหญ่มาก ฉันไม่ได้ตาบอดก็ต้องเห็นมัน”

“ในเมื่อคุณรู้ว่าคุณเจี่ยนไม่สบาย ทำไมไม่อนุญาตให้เธอลาพัก?”

“คุณพูดได้น่าสนใจ คุณจะบอกว่าฉันเอาเปรียบเจี่ยนถง รังแกเจี่ยนถงเหรอ?” ซูเมิ่งกลอกตา “ยัยโง่นั่น ต้องให้ฉันรังแกไหม? เจี่ยนถงใจเธอมีแต่เงิน คุณอย่าบอกว่าคุณไม่รู้เรื่องที่ Boss พูดเรื่องเงินห้าล้านกับเจี่ยนถง ตอนนี้เธอทำงานหนักสุดชีวิตเพื่อเงินห้าล้านนี้”

ร่างกายยังไม่หายดี ด้ายยังอยู่บนหน้าผากเลย ก็รีบกลับมาที่ตงหวงแล้ว ถามฉันว่ามีงานอะไรให้ทำหรือไม่

“คุณเลยจัดเตรียมงานเสี่ยงตายแบบนั้นให้เธอเหรอ?”

ถ้าซูเมิ่งฟังไม่ออกถึงคำพูดลึกลับ เธอก็ถือว่าเป็นคนที่ใช้ชีวิตไปวันๆ ในเมือง S แล้ว คิ้วสวยขมวด “เดี๋ยวก่อน งานเสี่ยงตาย? คุณหมายถึงอะไร?”

เจี่ยนถงรีบกลับมาตงหวงสุดชีวิต ไม่ได้หมายความว่าเธอจะให้งานเสี่ยงชีวิตกับยัยโง่นั่น “ฉันไม่ได้โหดขนาดนั้นสักหน่อย เธอป่วย ยังจะให้เธอไปทำงานพวกนั้นรับใช้คนอื่นอีก

เธอฉวยโอกาสกลับมาตอนยังไม่หายป่วย ช่วงนี้ฉันให้เธออยู่เฉยๆ ไม่เคยให้อะไรเธอทำ ยกเว้นคนแปลกหน้าคนนั้นไม่กี่วันก่อน แต่คนแปลกหน้าคนนั้นก็ไม่ได้ให้เจี่ยนถงทำอะไรที่ลำบากใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ‘งานเสี่ยงตาย’ อะไรนั่น”

เสิ่นยีมองท่าทางซูเมิ่ง ไม่เหมือนเสแสร้ง แล้วถามหยั่งเชิงอีกครั้ง “คุณรู้จักตู้ลี่ฉุนนักธุรกิจชาวฮ่องกงคนนั้นไหม?”

“ตู้ลี่ฉุน……อ๋อ คุณหมายถึงตู้ลี่ฉุนที่มาจากตอนใต้คนนั้นใช่ไหม? เกิดอะไรขึ้นกับตู้ลี่ฉุนเหรอ?”

“วันนี้ตู้ลี่ฉุนมาใช้บริการที่ตงหวง ห้องส่วนตัวคือชั้นหก” เสิ่นยีขมวดคิ้ว “ซูเมิ่ง เรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นชั้นหกเมื่อกี้นี้ เธอไม่รู้เรื่องสักนิดเลยเหรอ?”

ซูเมิ่งตกตะลึง ในหัวสมองมีคำพูดของเสิ่นยีเรียงร้อยกัน

นักธุรกิจชาวฮ่องกง ตู้ลี่ฉุน การใช้บริการในวันนี้ ห้องส่วนตัวตงหวงชั้นหก เรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นชั้นหกเมื่อครู่นี้……ทันใดนั้นเธอก็เบิกตากว้าง!

“เจี่ยนถง!” ซูเมิ่งยืนขึ้นทันที เก้าอี้นวมเอียงล้มลงพื้นดัง “โครม”

ทันใดนั้นข้อมือก็ยื่นออกไป คว้าเสื้อเชิ้ตสีขาวของเสิ่นยีอย่างหยาบคาย “บอกที่คุณรู้ให้ฉันฟังทั้งหมด!”

“ซูเมิ่ง คนมีความสามารถในตงหวงอย่างคุณทำงานไม่ได้เรื่อง ผ่านวันง่ายๆ สบายๆ มานานแล้ว เกิดเรื่องใหญ่ในสถานที่ตัวเอง คุณกลับไม่รู้เรื่องเลยสักนิด”

“พูดไร้สาระให้น้อยๆ หน่อย ฉันเพิ่งกลับมาตงหวงจากงานเลี้ยงท่านเหอเพื่อเอาของ รีบบอกฉันมาว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่ฉันไม่อยู่ ทำไมคุณต้องเอายามาส่งให้เจี่ยนถง ยัยนั่นไปขายอะไรมาอีก?”

เสิ่นยีไม่เคยเห็นท่าทางดุร้ายของซูเมิ่งมาก่อน แต่นั่นเป็นเรื่องเมื่อสองปีก่อน ตั้งแต่ซูเมิ่งกลายเป็นผู้จัดการใหญ่ตงหวง เสิ่นยีก็ไม่เคยเห็นซูเมิ่งดุร้ายแบบนี้ ปรับตัวไม่ได้สักพักหนึ่ง กระแอมไอหนึ่งที “คุณปล่อยมือก่อน”

“คุณพูดมาก่อน”

“……” เสิ่นยีหมดหนทาง เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ซูเมิ่งฟังอย่างรวบรัด

ซูเมิ่งได้ยินแล้ว แค่รู้สึกว่าโกรธอย่างยิ่ง สะบัดเสิ่นยีออกไปทันทีดัง “ผลั่ก” รีบเดินไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว “ฉันต้องไปถามแซ่สวี่สักหน่อย ว่าใครให้สิทธิเธอไปจัดเตรียม ‘เสี่ย’ แบบนี้ให้ยัยโง่นั่น!”

บทที่ 53 คุณรู้ไหมว่าใครเป็นคนช่วยเจี่ยนถงออกมา

ซูเมิ่งไปที่แผนกประชาสัมพันธ์อย่างรีบร้อนราวกับเป็นพลุที่ถูกจุด เมื่อผ่านใครต่อใครก็พากันซุบซิบ “นี่พี่ซูเขาเป็นอะไรไปน่ะ”

“ไม่รู้สิ”

“ดูเหมือนว่าพี่ซูจะไปทางแผนกประชาสัมพันธ์นะ”

“ไม่ใช่ว่าคนทำความสะอาดก่อเรื่องอะไรเข้าอีกนะ”

“พวกเธออย่าพูดถึงเจี่ยนถงลับหลังอย่างนั้นสิ เขาตั้งใจทำงานอย่างแข็งขัน ไปขัดอะไรพวกเธอรึไงหืม” อันนีถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์นัก “เราเป็นแค่พนักงานบริการ ทำหน้าที่ในฐานะคนให้บริการก็พอแล้ว มัวปากพล่อย ถึงเวลาจะไม่มีใครช่วยพวกเธอเอานะ”

เมื่อพูดจบ เห็นได้ชัดเจนว่าหางตาของเธอมองไปที่ฉินมู่มู่ “รีบไปที่โต๊ะเบอร์สามเร็ว คนอื่นๆถามถึงเธอน่ะ เครื่องดื่มที่ฉันสั่งไป รอนานแล้วยังไม่ได้เลย ”

ฉินมู่มู่ตัวสั่นเทา หลังจากที่กลับมาจากที่ชั้นพิเศษก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ การแสดงออกของคนรอบข้างดูไม่เหมือนคนที่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นั่น แม้ว่าจะไม่รู้ว่าที่ชั้นหกเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ก็สามารถไหลไปตามน้ำได้

ไม่จำเป็นต้องคิดเลย แน่นอนว่าข่าวถูกปิดกั้นจากเบื้องบน

ดังนั้นในตอนนี้ จึงมีเพียงแค่ฉินมู่มู่คนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหน้าที่ของตงหวง

บางที ยังมีพนักงานบางส่วนที่รู้ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นที่ชั้นหก ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ ที่ห้องชั้นพิเศษเปิดให้คนทั่วไปเข้าไป ในท้ายที่สุดส่วนน้ำพวกนั้นเปิดประตูห้องพิเศษออก และท่วมไปทุกที่ของทางเดิน

แต่ฉินมู่มู่ไม่จำเป็นต้องคิดเลย เพราะคนที่ทราบเรื่องนี้ ล้วนได้รับคำเตือนแล้วว่าห้ามไม่ให้แพร่งพรายข้อมูลออกไป

เธอทั้งกลัวและโกรธจนตัวสั่น

ขณะที่อันนีพูดอยู่นั้น จู่ๆความกลัวและความโกรธของเธอก็พรั่งพรูออกมา “อันนี บทที่เธอพูดถึงคนอื่น ทำไมไม่หัดดูตัวเองซะบ้าง ว่าตัวเองทำในส่วนของตัวเองดีแล้วหรือเปล่า”

“ทำไมฉันจะทำงานของตัวเองได้ไม่ดีไม่ทราบ” อันนีที่อารมณ์ร้ายปากจัด แน่นอนว่าเธอไม่ปล่อยฉินมู่มู่ไว้แน่

“ที่ชั้นหกของวันนี้ ควรเป็นเธอที่รับผิดชอบไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมเธอไม่ไป กลับให้ฉันไปแทนอีกต่างหาก” ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ตอนนี้เธอก็คงไม่ต้องข้องเกี่ยวกับความวุ่นวายพวกนี้หรอก

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าวันนี้เธอรับกรรมแทนอันนีเสียจริงๆ

“อันนี อย่างน้อยๆเธอก็ควรจะขอบคุณฉัน”

อันนีมองไปที่ฉินมู่มู่ราวกับกำลังมองคนโง่อย่างไรอย่างนั้น “นี่เธอจะบ้าเหรอ” อยากให้เธอขอบคุณฉินมู่มู่? เพราะเธอไปที่ชั้นหกแทนเธออย่างนั้นเหรอ

“บ้าไปแล้วเหรอ ทำไมฉันต้องขอบคุณเธอด้วย ที่ชั้นหกได้ค่าตอบแทนมากที่สุด แต่ฉันกลับถูกแทนที่ไปอย่างหน้าตาเฉย แล้วฉันยังต้องขอบคุณเธออีกงั้นเหรอย่ะ หรือว่าหัวของเธอกระแทกกับประตูจนฝันไปหรือไง”

ฝันไปเถอะ!

“เธอ เธอมันไม่รู้อะไรเลย!” ฉินมู่มู่ตาแดงก่ำพลางชี้ไปที่อันนี “เธอมันไม่รู้อะไรสักอย่าง!ไม่รู้เลยว่าวันนี้น่ะ วันนี้…”

“วันนี้มันทำไม”

อันนีเลิกคิ้วขึ้น เธอมองไปที่ฉินมู่มู่อย่างไม่ชอบใจนัก ผู้หญิงคนนี้โตมาหน้าตาใสซื่อ แล้วคิดว่าตัวเองเป็นสโนไวท์ที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสาหรือไงกัน เอาแต่นึกถึงแต่ตัวเองโดยไม่คำหนึ่งถึงตนอื่น

ดวงตาของฉินมู่มู่แดงก่ำไปด้วยความโกรธ แต่เธอไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้ เรื่องที่เกิดขึ้นที่ชั้นหกนั้นเป็นเรื่องใหญ่ จนถึงตอนนี้ ตงหวงยังคงเก็บเงียบและไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ คนอื่นๆเองก็ไม่รู้อะไรเลยทั้งนั้น เธอที่ถึงแม้จะดูไม่ฉลาดนักแต่ก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ เธอไม่ควรพูดมันออกไป

“อย่ามามองฉันแบบนี้นะ ที่ทำตาแดงก่ำเหมือนกับกระต่ายนั่น ถ้าใครมาเห็นเข้า จะเข้าใจว่าฉันกำลังกลั่นแกล้งเธอได้” หลังจากพูดจาเย้ยหยัน อันนีก็หันหลังกลับและเดินจากไป โดยไม่ได้สนใจฉินมู่มู่อีก

……

ซูเมิ่งรีบบึ่งมาอย่างรวดเร็ว ทันทีที่มาถึงแผนกประชาสัมพันธ์ ก็รีบเดินจ้ำไปอย่างรีบร้อน

รองเท้าส้นเข็มตกกระทบกับพื้นกระเบื้องหินอ่อนจะเกิดเสียงดังกึก กึก กึก สีหน้าโกรธจัด ทุกคนในแผนกประชาสัมพันธ์ต่างพากันจับจ้องไปที่ซูเมิ่งที่กำลังตรงมายังแผนก

“ปัง!”

เสียงกระแทกประตูดังลั่น ตามมาด้วยเสียงตวาด “ผู้จัดการสวี่ ฉันต้องการคำอธิบายจากคุณ!”

ผู้จัดการสวี่ตกใจ พลางมองไปที่ซูเมิ่งที่จู่ๆก็ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน “อะไรกัน พี่เมิ่ง”

เสียง“ปัง”ดังขึ้นอีกครั้ง ซูเมิ่งเดินเข้าไปในห้องทำงาน เธอผลักประตูอย่างเต็มแรง โดยไม่สนเหล่าสายตาที่มองมาอย่างตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

เธอยืนกอดอกอยู่ที่หน้าประตู พลางมองไปที่ผู้จัดการสวี่อย่างเยือกเย็น “ใครอนุญาตให้เธอตัดสินใจให้เจี่ยนถงจัดการงานไม่ทราบ ไม่รู้หรือไงว่าเธอกำลังป่วยอยู่ ได้รับอนุญาตจากฉันแล้วงั้นเหรอ”

เมื่อผู้จัดการสวี่ได้ยินอย่างนั้น และรู้ว่าที่ซูเมิ่งมาที่นี่ก็เพราะเรื่องของเจี่ยนถงก็พลางรู้สึกโล่งใจและไม่พอใจในเวลาเดียวกัน “พี่เมิ่ง ฉันเป็นผู้จัดการแผนกประชาสัมพันธ์นะ ไม่มีสิทธิไปจัดการตารางเวลาของพนักงานคนไหนหรอก”

อย่าพูดเลยว่าวันนี้เธอไม่ได้จัดเตรียมงานให้เจี่ยนถง เพราะเธอได้เตรียมเอาไว้จริงๆ นอกจากนี้เธอยังมีสิทธิและเป็นหัวหน้าของเจี่ยนถงโดยตรง

“เหอะๆ ที่ผู้จัดการสวี่พูดมาก็มีเหตุผล ฉันคงจะขัดอะไรไม่ได้ เอางี้ละกัน ผู้จัดสวี่ พรุ่งนี้เธอไม่ต้องมาทำงานแล้วนะ”

ผู้จัดการสวี่หันมองซูเมิ่งอย่างรวดเร็ว “ที่พี่เมิ่งพูด มันหมายความว่าอะไร” เพราะแค่พนักงานถูกสั่งให้ทำงานขณะที่ป่วย ซูเมิ่งถึงเอ่ยปากไล่เธอเลยอย่างนั้นเหรอ

“ความหมายก็อย่างที่พูดนั่นแหละ พรุ่งนี้ผู้จัดการสวี่ไม่ต้องมาทำงานแล้วนะ วันมะรืนก็ไม่ต้องมาด้วย วันต่อๆไปก็เหมือนกัน ไม่ต้องมาแล้ว ถ้าผู้จัดการสวี่ยังฟังไม่รู้เรื่องอีกละกัน เอางี้ You are fired” ความโกรธของซูเมิ่งนั่นยากที่จะจางหาย เธอเอียงคางพลางเย้ยหยัน “Understand?”

ผู้จัดการสวี่โกรธจนตัวสั่น ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะจนเสียง “ปึ้ง” ดังลั่น เธอที่ตัวสั่นจากความโกรธก็ลุงขึ้นยืน “ซูเมิ่ง ชักจะแกล้งกันมากเกินไปแล้ว!ฉันทำผิดอะไร คิดว่าตัวเองพูดว่าfireก็fireอย่างนั้นเหรอ”

“ฉันให้เธอจัดการงานให้เจี่ยนถงงั้นเหรอ เธอเป็นหัวหน้าของเธอ ไม่รู้เรื่องที่เธอป่วยหรือไง”

“ถ้าป่วยก็ลาพักไปสิ แต่ในเมื่อเธอมาที่ตงหวง ต่อให้กำลังป่วย ก็ต้องทำงาน”

ซูเมิ่งยิ้มเยาะ แม้ว่าเธอจะไม่เห็นด้วยที่ยัยสวี่ให้งานพนักงานทั้งๆที่กำลังป่วย แต่ก็กลับชื่นชมในสิ่งที่ยัยสวี่พูดออกมา

ดังนั้นพูดได้ว่า ถ้ายัยสวี่แค่จัดการงานให้ยัยบื่อนั่น เธอก็จะไม่มีความเห็นใด

แต่งานที่ยัยสวี่จัดการให้นั้นมันงานอะไรกัน!

“เพราะงั้นแล้ว เธอก็เลยให้พนักงานที่กำลังป่วย ไปทำงานที่กลุ่มตู้ลี่ฉุนที่ชั้นพิเศษอย่างงั้นเหรอ” ซูเมิ่งพูดเสียด “คนภายนอกไม่รู้ว่าน่าระอาของกลุ่มตู้ลี่ฉุน ผู้จัดการสวี่ อย่าบอกนะว่าที่เธอทำงานที่ตงหวงมาตั้งนานหลายปี กลับไม่รู้ว่ากลุ่มตู้ลี่ฉุนเป็นยังไงน่ะ!”

เธอดุผู้จัดการสวี่ด้วยความโกรธ “รอยเย็บบนหัวของเจี่ยนถงยังไม่หายไป เธอกลับปล่อยให้เจี่ยนถงไปที่กลุ่มตู้ลี่ฉุน ที่นั่นมันบ้า ไอรสนิยมความชอบแปลกๆนั่น ไม่รู้ว่าทำให้คนต้องจบชีวิตไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว

ที่กลุ่มตู้ลี่ฉุนนั้นมีเงิน และทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว

“เพราะอย่านั้น เธอคิดว่าเจี่ยนถงต้องการเงิน และกลุ่มตู้ลี่ฉุนก็เป็นแหล่งเงินชั้นดี เธอเลยส่งเธอไปทิ้งไว้ที่กลุ่มตู้ลี่ฉุน และปล่อยให้เธอจมน้ำเพื่อการแสดงบ้าบอของกลุ่มตู้ลี่ฉุนสินะ!”

ถ้าผู้จัดการสวี่ยังคงโกรธเหมือนตอนแรกที่คุยกัน นั่นหมายความว่าซูเมิ่งกำลังกลั่นแกล้งเธอจนเกินไปแล้ว แต่ในขณะที่ซูเมิ่งกำลังพูดอยู่นี้ ผู้จัดการสวี่กลับยิ่งดูอึกอักมากขึ้นเรื่อยๆ ที่หน้าผากก็มีเหงื่อไหลซึมออกมา

“ฉันจะบอกความลับให้เธอฟัง” ด้วยเจตนาร้ายของซูเมิ่ง เธอจงใจบอกเรื่องที่ผู้จัดการสวี่ไม่ควรรู้ให้กับเธอ เธอเอ่ยกระซิบข้างใบหู “เจี่ยนถงจมน้ำจริงๆ และแท้งค์น้ำนั่นก็พัง มันเปิดไม่ออก”

ถ้าประโยคนี้ทำให้เสื้อผ้าของผู้จัดการสวี่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อแล้วล่ะก็ ประโยคต่อไปของซูเมิ่งก็คงทำให้ผู้จัดการสวี่ทรุดลงไปกองกับพื้น

“แล้วรู้ไหมว่าใครเป็นคนช่วยเจี่ยนถงออกมา” ซูเมิ่งพูดออกมาสามคำ “เจ้านายใหญ่”

บทที่ 54 ตรวจสอบ

หัวหน้าใหญ่ สามคำนี้ บางทีผู้จัดการสวี่ไม่รู้ว่าคือใคร แต่รู้ว่าสามารถยืนหยัดในเมือง S ได้ คนที่อยู่เบื้องหลังนี้ จะต้องมีความสามารถอย่างยิ่ง สามารถจินตนาการได้เลย

และตอนนี้ ซูเมิ่งบอกตนว่าคนที่ช่วยชีวิตเจี่ยนถงเอาไว้ ก็คือ “เจ้านายใหญ่” ผู้ลึกลับที่สุดคนนี้

เจ้านายใหญ่ ก็คือชื่อเรียกของเสี่ยใหญ่คนนั้นที่อยู่เบื้องหลังเท่านั้นเอง

ผู้จัดการสวี่ขาอ่อนล้มลงกับพื้น หัวสมองเกิดเสียงหึ่งๆ ซูเมิ่งไม่ได้พูดละเอียดเป็นพิเศษ แต่ทำแบบนี้ก็ทำให้ผู้จัดการสวี่เข้าใจบ้างเรื่องมากพอแล้ว

ในหัวสมองเกิดความสับสนวุ่นวาย ทันใดนั้นก็ปะติดปะต่อได้ ผู้จัดการสวี่เงยหน้าขึ้นมาตะโกน “วันนี้เจี่ยนถงไปที่ไหน ฉันไม่แน่ใจ พี่เมิ่ง พี่รอเดี๋ยว ฉันจะไปตรวจสอบ”

ต้องเป็นคนที่รนหาที่ตายแน่ๆ ถึงเอาตัวเจี่ยนถงไป

ถ้ารู้นานแล้วว่าเจี่ยนถงผู้น่าสงสารคนนั้น มีความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนกับ “เจ้านายใหญ่” จะพูดอะไร เธอก็คงไม่ดูหมิ่นเจี่ยนถง……และไม่อยากตาย

ซูเมิ่งเริ่มสงสัย แซ่สวี่คนนี้ ตัวเองก็รู้จัก คงไม่พูดโกหกแบบนั้นหรอก

แต่ถ้าไม่ใช่การจัดเตรียมของแซ่สวี่ งั้นเจี่ยนถง……ทางด้านนั้น ผู้จัดการสวี่วิ่งออกไปเอง เมื่อจับได้ก็ถามขึ้น “เธอล่ะ?”

“ฮะ?”

“เจี่ยนถง! เธอล่ะ!”

“อ-อยู่ในห้องนั่งเล่น ผู้จัดการสวี่ คุณตามหาเจี่ยนถง……”

คนคนนี้ยังพูดไม่จบ ผู้จัดการสวี่ก็รีบวิ่งไปเหมือนสายลม

“เอ่อ……”

“เจี่ยนถงคนนี้ ทำอะไรอีกแล้ว ไม่คิดว่าจะหนีพี่เมิ่ง บีบบังคับให้ผู้จัดการสวี่ออกตามหาด้วยตัวเอง?”

“แกจะไปสนเธอทำไม”

“ก็จริง”

คุยกันอยู่ตรงนี้ ผู้จัดการสวี่ก็เหมือนพายุหมุน วิ่งเข้าไปในห้องนั่งเล่น “เจี่ยนถง คุณ……” เธอใช้ท่าทีเวลาคุยกับเจี่ยนถง ทันใดนั้นก็นึกถึงประโยคนั้นของซูเมิ่ง ก็กระแอมไออย่างกระอักกระอ่วน แล้วพูดด้วยเสียงนุ่มนวล

“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

เจี่ยนถงอัศจรรย์ใจ ผู้จัดการสวี่เป็นห่วงตนตั้งแต่เมื่อไรกัน

“ไม่เป็นอะไรค่ะ”

“ฉัน……ฉันแค่อยากถาม เรื่องที่เกิดขึ้นที่ห้องส่วนตัว VIP ชั้นหกในวันนี้”

เจี่ยนถงแข็งทื่อไปทั้งร่าง

“คุณไม่ต้องเครียด” ผู้จัดการสวี่พูดปลอบ “ฉันแค่อยากถามสักหน่อย วันนี้ฉันไม่ได้จัดเตรียมงานชั้นหกให้คุณ ทำไมคุณไปที่ห้องส่วนตัวชั้นหกล่ะ?”

เธอถามเจี่ยนถงพลางคิดในใจ: เจี่ยนถงโลภมากเองไม่ใช่เหรอ ยังไงแล้วเรื่องพวกนั้นที่เจี่ยนถงเคยทำมา ถึงจะถูกระงับไว้ยังไง แต่คนในตงหวงแต่ละคนก็รู้ดีอยู่แก่ใจ

ไม่มีศักดิ์ศรีเลยสักนิดเพื่อเงิน ก็ไม่แน่ว่าอาจจะเสี่ยงชีวิตเพื่อเงินก็ได้

“มีคนมาเรียกฉัน” เจี่ยนถงไม่ได้คิดมากขนาดนั้น นอกจากนี้เธอแค่นึกว่าคำถามนี้ของผู้จัดการสวี่เป็นแค่คำถามกิจวัตรประจำวัน อย่างไรแล้วตัวเองไปที่ห้องส่วนตัว VIP ชั้นหกโดยไม่มีการจัดเตรียมของเธอ มันก็เป็นเรื่องไม่ค่อยดีอยู่เสมอ

ผู้จัดการสวี่ขมวดคิ้ว “ใคร?” ดวงตาเธอจ้องมองเจี่ยนถง มันคมชัดในพริบตาเดียว

“ไม่รู้จัก น่าจะเป็นทางด้านลูกค้าเสนอ เรียกฉันให้ไปหาด้วยตัวเอง”

“อย่างนั้นเหรอ แล้วบทที่คุณไป ในห้องส่วนตัวมีพนักงานไหม” อย่างไรแล้วก็เป็นคนมากประสบการณ์ จัดประเด็นสำคัญได้ทันที

“ฉิน……” เจี่ยนถงเพิ่งเปล่งคำว่า “ฉิน” ออกมา ทันใดนั้นก็หยุดลงฉับพลัน

เธอไม่ได้โง่ คำถามผู้จัดการสวี่ถามไปถามมา ทันใดนั้นก็เข้าใจว่าผู้จัดการสวี่ไม่เพียงแต่ถามกิจวัตรประจำวัน แต่เธอยังคอยสำรวจข้อมูลตนด้วย

เม้มปาก ไม่ใช่ว่าไม่เกลียดฉินมู่มู่ แต่เรื่องร้องเรียนลับหลังแบบนี้ เธอไม่อยากทำ

“ใคร?” ผู้จัดการสวี่ถามอีกครั้ง

จ้องมองเจี่ยนถงตรงหน้า แต่คนตรงหน้ากลับรักษาท่าทางสงบนิ่งอยู่ตลอด ไม่เอ่ยปากสักคำ

ดวงตาผู้จัดการสวี่ฉายแววหมดหนทาง แล้วมองเจี่ยนถงอีกครั้ง ตบบ่าเจี่ยนถง “งั้นเธอตั้งใจพัก……” ทันใดนั้นผู้จัดการสวี่ก็เบิกตากว้าง เห็นชุดที่เจี่ยนถงสวมอยู่ใต้ฝ่ามือ

เมื่อครู่นี้รีบร้อนเกินไป เอาแต่อยากถามผลลัพธ์ที่ได้กับเจี่ยนถง เลยไม่ได้สังเกตสิ่งที่เจี่ยนถงสวมอยู่เลย

และในขณะนี้ สายตาผู้จัดการสวี่อยู่ที่ชุดบนร่างกายเจี่ยนถง

ถึงแม้เจี่ยนถงจะเอาปลายเสื้อเชิ้ตใส่เข้าไปในกางเกง ถึงแม้กางเกงวอร์มจะดูกลางๆ ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ใส่ได้

แต่ก็ยังเห็นร่องรอยของเสื้อผ้าผู้ชายอยู่นิดหน่อย

ผู้จัดการสวี่เหมือนเห็นผี เหลือบมองเจี่ยนถงอย่างลึกซึ้ง……เจี่ยนถงนี่ ก็ไม่มีส่วนไหนผิดปกติอะไร ทำไมถึง……

“แค่กๆ ฉันไปก่อนนะ”

ผู้จัดการสวี่หันศีรษะเดินออกไป ในใจก็สับสนวุ่นวาย

ซูเมิ่งเดินตามหลังผู้จัดการสวี่มา เธอไม่ได้เข้าไปในห้องนั่งเล่น แค่กอดอกพิงผนังข้างประตูห้องนั่งเล่น กั้นแค่ประตูบานหนึ่ง ได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสองคนอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ยินทั้งหมดอย่างชัดเจน แต่ก็มาพอสมควร

ขณะที่ผู้จัดการสวี่เดินออกมา ผ่านรอยแยกประตู ซูเมิ่งเหลือบมองเจี่ยนถงในห้อง เห็นว่าเธอไม่ได้แย่มาก จึงถอนหายใจอย่างโล่งอกทันที

ผู้จัดการสวี่ออกมาเห็นซูเมิ่ง ซูเมิ่งก็ยกเท้าเดินไป ผู้จัดการสวี่ก็ตามไปทันที

“ที่นี่มันผิดปกติ” ผู้จัดการสวี่พูดมุมมองของตัวเอง “บอกว่าลูกค้ามาเรียกเอง ในห้องส่วนตัวมีพนักงานอยู่ และไม่รู้ว่าพนักงานที่หน้างานตอนนั้นคือใคร”

ซูเมิ่งควักโทรศัพท์ออกมา โทรหาเสิ่นยีโดยตรง “บทที่พวกคุณเข้าไปในห้องส่วนตัว ตอนนั้นมีใครที่หน้างานบ้าง? มีใครสวมชุดเครื่องแบบตงหวงหรือเปล่า?”

ทางด้านปลายสายก็พูดอย่างชัดเจน “มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง หน้าตาสวยบริสุทธิ์ แต่ฉันไม่รู้ว่าเธอชื่ออะไร……” ชะงักไปสักพัก แล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “แต่ฉันรู้สึกค่อนข้างคุ้นตาเด็กผู้หญิงคนนั้น”

ไม่ใช่แค่คุ้นตา ตอนแรกหลังจากที่เจี่ยนถงออกมาจากคุก ก็ไปยั่วยุเสิ่นซิวจิ่นอีกครั้ง ก็เพื่อช่วยชีวิตฉินมู่มู่

“ถ้าให้คุณดูรูป คุณจะจำได้ใช่ไหม?”

“จำได้”

“งั้นได้ เดี๋ยวฉันกลับไปที่ห้องทำงาน คุณมาที่ห้องทำงานฉัน” ซูเมิ่งวางสายไป รีบโทรไปหาฝ่ายบุคคลทันที “คุณจัดเรียงข้อมูลพนักงานปัจจุบันของตงหวงออกมา แล้วส่งเข้าอีเมลฉัน”

“พี่เมิ่ง ฉัน……” ใบหน้าผู้จัดการสวี่ร้อนระอุ ตะโกนขึ้นมาอย่างกระอักกระอ่วนนิดหน่อย

“เรื่องของคุณ เดี๋ยวค่อยคุยกัน ฉันยังต้องจัดการเรื่องอื่น”

ซูเมิ่งพูดแบบนี้ ผู้จัดการสวี่ก็ถอนหายใจ “เดี๋ยวค่อยคุยกัน” นั่นคือมีที่ว่างให้ “คุย” ถ้าไม่มีที่ว่างให้หันกลับไป ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้อง “คุย” ต่อ

ซูเมิ่งรีบกลับไปที่ห้องตัวเอง

เสิ่นยีนั่งรอเธอที่ห้องทำงานเธอ

ประสิทธิภาพการทำงานของฝ่ายบุคคลรวดเร็วมาก เมื่อซูเมิ่งกลับมาถึงห้องทำงาน อีเมลก็ถูกส่งมาพอดี

คลิกเปิดข้อมูล เอาให้เสิ่นยีดูทีละแผ่น “คุณดูให้ละเอียด คนคนนี้ เก็บไว้ไม่ได้” พนักงานของตงหวง สามารถใจแคบได้บ้าง แต่ถ้าคิดจะทำร้ายคนอื่น ก็ไม่สามารถเก็บไว้ได้

เสิ่นยีพลิกดูข้อมูล ทันใดนั้นมือที่จับเมาส์ก็หยุดลง “เธอนี่แหละ!”

“ฉินมู่มู่?”

ซูเมิ่งหรี่ตามองข้อมูลฉินมู่มู่ฉบับนั้นบนหน้าจอ รูปภาพเธออยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นซูเมิ่งก็ยิ้ม “ฉันไม่ควรใจอ่อน”

ทันใดนั้นก็หันศีรษะไปมองเสิ่นยี “Boss ให้คุณตรวจสอบเรื่องในห้องส่วนตัวที่ชั้นหกวันนี้แล้วใช่ไหม? แวดวงสังคมใหญ่โตของฉัน ให้ฉันช่วยคุณไหม?”

เสิ่นยีไม่ปฏิเสธ “ซูเมิ่งคุณรู้จัก Boss ดีจริงๆ”

“ฉันไม่ได้รู้จัก Boss ดีหรอก แค่ฉันมองออกว่า Boss ปฏิบัติกับเจี่ยนถงไม่เหมือนกับคนอื่น”

เสิ่นยีรู้สึกทิ่มแทงหู เซี่ยเวยหมิงต่างหากที่เป็นสุดที่รักในใจ Boss เกี่ยวอะไรกับคุณหนูเจี่ยน “บางเรื่อง ถ้าคุณไม่รู้ ก็อย่าแสดงความเห็นซี้ซั้ว”

ซูเมิ่งยิ้มอย่างเลี่ยงไม่ได้ คิดว่านั่นไม่ใช่เธอหรอก แต่เป็นเสิ่นยีต่างหาก

บทที่ 55 พาฉันไปหาเขาเถอะ

เสิ่นยียิ้มเยาะ แอบคิดว่าบางเรื่องที่ผ่านมา ซูเมิ่งจะไปรู้อะไร

“เรียกผู้หญิงคนนี้มา” เขาพูด

ซูเมิ่งพยักหน้า สำหรับฉินมู่มู่ แต่เดิมเธอก็ไม่ได้มีความประทับใจเท่าไรนัก

ฉินมู่มู่ถูกเรียกมายังห้องทำงานซูเมิ่งอย่างอธิบายไม่ได้ ระหว่างทางก็รู้สึกกระวนกระวาย

“พี่เมิ่ง” ตอนนี้เธอเรียนรู้ที่จะทำตัวดีๆ ไม่เหมือนตอนเข้ามาในห้องทำงานซูเมิ่งครั้งแรก ที่หยิ่งยโสและคัดค้าน

“ฉันจะไม่พูดอ้อมกับคุณ คุณเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องส่วนตัวชั้นหกวันนี้ให้ฟังหน่อย” ซูเมิ่งพูดขึ้นอย่างรวบรัด

ฉินมู่มู่กระวนกระวายทันที อย่างที่คิดไว้ มาเพราะเรื่องในห้องส่วนตัวชั้นหกในวันนี้จริงๆ ด้วย

ถึงแม้บทที่เธอบอกซูเมิ่ง จงใจหลีกเลี่ยงบางเรื่องที่ไม่ค่อยดีกับตน และปกปิดบางเรื่องด้วยเช่นกัน

แต่คนที่เธอเผชิญหน้าคือคนฉลาดสองคน ไม่ว่าจะเป็นซูเมิ่งหรือเสิ่นยี จากคำพูดฉินมู่มู่ และการแสดงออกเล็กน้อยของเธอ ก็สามารถคาดเดาเรื่องคร่าวๆ ได้แล้ว

“พี่เมิ่ง ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ฉันไม่คิดว่าพอฉันปฏิเสธประธานตู้ไปแล้ว ประธานตู้จะให้คนไปเรียกเจี่ยนถง” ฉินมู่มู่ขอความเมตตาจากซูเมิ่งอย่างน่าสงสาร

บนใบหน้าสวยบอบบางของซูเมิ่ง ไม่มีความอบอุ่นเลย ขยับริมฝีปากแดง “คุณบอกฉันหน่อย ประธานตู้เป็นนักธุรกิจชาวฮ่องกงที่มาจากทางตอนใต้เมือง S เขารู้จักเจี่ยนถงได้ยังไง?”

“ฉ-ฉันก็ไม่รู้ค่ะ บางที บางทีใครบางคนอาจจะเคยบอกประธานตู้ก็ได้ พี่เมิ่ง พี่เชื่อฉันนะ ฉันว่ายน้ำไม่เก่งตั้งแต่เด็ก ตอนเด็กๆ เคยเกือบจมน้ำ พอฉันได้ยินคำขอของประธานตู้ ฉันก็ไม่ตอบตกลง นอกจากนี้ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรจริงๆ นะ”

“จะบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่ห้องส่วนตัวชั้นหก ไม่เกี่ยวกับคุณ?”

“ไม่เกี่ยวกับฉัน ไม่เกี่ยวกับฉันจริงๆ ฉันบริสุทธิ์” ถ้าเป็นบทที่เพิ่งมาตงหวง ซูเมิ่งคิดว่าตนไม่มีการคุ้มครองจากตงหวง ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ทั้งนั้น ดังนั้นทุกวันนี้ ทุกเรื่องราวมันสอนให้ฉินมู่มู่รู้จักสิ่งที่เรียกว่า “ความจริง” และ “ความโหดร้าย”

ยิ่งทำให้เธอเข้าใจ บนโลกใบนี้กฎเกณฑ์ที่กำหนดโดยคนบางคน จะต้องปฏิบัติตาม

ฉินมู่มู่กลัว เธอตื่นตระหนก สีหน้าลุกลี้ลุกลน ทันใดนั้นก็นึกถึงเจี่ยนถงที่ไร้ประโยชน์ เธอมองซูเมิ่ง บนใบหน้าสวยบอบบางตรงหน้านี้ ฉินมู่มู่เห็นคำว่า “ไม่เชื่อใจ” สามคำ

เพียงไม่กี่วินาทีสั้นๆ ตรงหน้าเธอก็ปรากฏใบหน้าขรึมตลอดเวลาและแผ่นหลังโดดเดี่ยวไม่สนใจอะไรทั้งนั้นของเจี่ยนถง เธอรู้สึกว่าถ้าเป็นผู้หญิงคนนั้น จะต้องช่วยเหลือตนได้อย่างแน่นอน

“พี่เมิ่ง พี่เชื่อฉันนะ เรื่องในวันนี้ไม่เกี่ยวกับฉัน ไม่เชื่อพี่ไปเรียกเจี่ยนถงมาถามก็ได้ พี่ถามเธอ เธอจะต้องช่วยทำให้ฉันกระจ่างแน่ๆ”

เอาความมั่นใจมาจากไหน ผู้หญิงที่ถูกเธอทำร้าย หลังจากได้รับบาดเจ็บรุนแรงแบบนั้นจะช่วยเธอโกหก เอาความมั่นใจมาจากไหน คิดว่าผู้หญิงที่เงียบขรึมคนนั้น จะขี้ขลาดพูดสิ่งที่ขัดต่อความปรารถนาในใจ บอกว่าฉินมู่มู่พูดถูกต้อง บอกว่าฉินมู่มู่บริสุทธิ์

ซูเมิ่งบูดบึ้ง หน้าอกอึดอัด ไม่ขยับไปไหน จ้องมองฉินมู่มู่ แววตายิ่งแหลมคมขึ้นเรื่อยๆ

ทันใดนั้นเสิ่นยีก็ลุกขึ้น เรื่องราวมันตรวจสอบกระจ่างแล้ว ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีก ควักโทรศัพท์ออกมาโทรหาเสิ่นซิวจิ่น

“Boss ตรวจสอบเรื่องกระจ่างแล้วครับ ที่คุณเจี่ยนไปที่ห้องส่วนตัวตอนนั้น เพราะประธานตู้เป็นคนเรียกคุณเจี่ยนเอง” เสิ่นยีพูดอย่างตรงประเด็น “ตอนนั้นในห้องส่วนตัวยังมีพนักงานหญิงหนึ่งคน สถานะของคนคนนี้ก็ตรวจสอบกระจ่างแล้วเช่นกัน”

เขาไม่ได้พูดตรงๆ ว่าฉินมู่มู่คนนี้ใส่ร้ายเจี่ยนถง Boss ฉลาดขนาดนี้ หลังจากได้ยินเบาะแสที่เขาเพิ่งให้ไป เกรงว่าตอนนี้ตนจะเดาความจริงได้แล้ว

“ฉันจำได้ ตอนนั้นตู้ลี่ฉุนมันเคยพูด อุปกรณ์ประกอบฉากภาชนะบรรจุของ คือเซียวเหิงให้คนส่งมาเหรอ?” เสิ่นซิวจิ่นหัวเราะเยาะ

“ตอนนั้นพนักงานหญิงที่หน้างานใช่ฉินมู่มู่หรือเปล่า? เมื่อกี้นี้ตู้ลี่ฉุนโทรมาขอร้องฉัน น่าเสียดายที่เปิดเผยบางอย่างที่เป็นประโยชน์ บอกว่าคุณชายเซียวแนะนำเด็กผู้หญิงคนหนึ่งให้เขา เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เล่นแล้วสนุกมาก และชื่อฉินมู่มู่พอดีเลย”

ขณะที่พูด ก็สั่งว่า “นายพาผู้หญิงคนนี้ไปรอฉันที่ลานจอดรถชั้นล่าง เดี๋ยวฉันลงไป”

เสิ่นยีเก็บโทรศัพท์ เหลือบมองฉินมู่มู่ที่ทำหน้าตาน่าสงสารอยู่ข้างๆ แล้วพูดกับซูเมิ่งว่า “Boss ต้องการตัวเธอ”

“นายพาไปเถอะ” ซูเมิ่งไม่แม้แต่จะคิด เอ่ยปากพูดขึ้นทันที

ฉินมู่มู่เมื่อได้ยินว่า Boss ต้องการพบเธอ ก็ขาอ่อนทันที “พี่เมิ่ง ฉัน……”

“เสิ่นยีไม่ใช่คนที่ใจดีกับผู้หญิง ถ้าคุณไม่อยากทรมานไปมากกว่านี้ ก็ตามเขาไปดีๆ” ซูเมิ่งตัดความหวังฉินมู่มู่ทิ้งโดยสิ้นเชิง

เธอไม่รู้ว่าบทที่เจี่ยนถงยัยโง่นั่นตกลงไปในน้ำนั้นมีความคิดอะไรอยู่ แต่สามารถนึกได้ถึงความหวาดกลัวของคนจมน้ำ ขณะที่เธอจมน้ำและลืมตาอยู่ ส่วนคนเหล่านั้นที่อยู่ด้านนอกห่างออกไปเพียงเอื้อมมือสามารถช่วยชีวิตเธอได้แต่กลับนิ่งดูดาย ในตอนนั้น คนโง่นั้นจะรู้สึกอย่างไร จะผิดหวังอย่างไร

ฉินมู่มู่ไม่อยากไป เสิ่นยีลงมืออย่างหยาบคาย ฝ่ามือเหล็กจับฉินมู่มู่ เจ็บจนฉินมู่มู่ร้องไห้ตะโกน

“ช้าก่อน” ทันใดนั้นเสียงหยาบหนึ่งก็ดังขึ้นมา ก่อนที่เสิ่นยีจะพาเธอไป ด้านนอกประตูมีร่างหนึ่งขวางอยู่

“เสี่ยวถง คุณมาทำอะไรที่นี่?” ซูเมิ่งยืนขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“เจี่ยนถง!” ฉินมู่มู่ราวกับคนที่จมลงไปในน้ำแล้วเห็นฟางเส้นสุดท้ายที่ช่วยชีวิต ไม่เสียหายที่จะจับแขนเจี่ยนถงไว้แน่น ดวงตาคู่สวยมีน้ำตาคลอเบ้า ร้องไห้ตะโกนขึ้น

“เจี่ยนถง ช่วยฉันด้วย เจี่ยนถง ฉันรู้คุณช่วยฉันได้ เจี่ยนถง ขอร้อง ฉันรู้ฉันผิดไปแล้ว ฉันรู้ฉันผิดไปแล้วจริงๆ คุณช่วยขอความเมตตาให้ฉันหน่อย คุณช่วยฉันบอกพี่เมิ่ง……ไม่สิ ช่วยขอความเมตตาจากเจ้านายใหญ่ให้หน่อย! ฉันรับรอง ฉันรับรองว่าวันนี้ฉันจะออกจากตงหวง ฉันจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าคุณอีก ฉันจะคุกเข่าให้คุณ”

ซูเมิ่งขมวดคิ้วสวย มองฉินมู่มู่ด้วยความรังเกียจ

“เสี่ยวถง คุณไม่ต้องสนใจเธอ ตัวเองทำอะไรก็ได้อย่างนั้น” ขณะที่ซูเมิ่งพูด ก็เหลือบมองฉินมู่มู่ด้วยดวงตาเย็นชา “ตอนแรกฉันเตือนคุณแล้ว ให้ทำตัวดีๆ คำพูดพวกนั้นที่เตือนคุณในตอนแรก เห็นได้ชัดเลยว่าคุณไม่ได้ฟังมันเลยสักคำเดียว ไม่งั้นคุณก็คงไม่มีวันนี้หรอก”

ฉินมู่มู่ร้องไห้สะอึกสะอื้น สองมือให้ตายอย่างไรก็ไม่ปล่อยเจี่ยนถง “เจี่ยนถง ฉันขอร้อง ฉันขอร้องคุณเป็นครั้งแรก”

เจี่ยนถงเหมือนเสาไม้นิ่ง ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม คำพูดของฉินมู่มู่ จู่ๆ ก็ทำให้เธอตลกอย่างน่าประหลาดใจ “ใช่ คุณขอร้องฉันเป็นครั้งแรก เพราะครั้งนี้ ถึงฉันจะร่วมมือกับคำพูดหลอกลวงเหล่านั้นของคุณ เจ้านายใหญ่เบื้องหลังก็คงไม่เชื่อ”

“เจี่ยนถง……คุณ คุณได้ทีขี่แพะไล่เหรอ?”

ใบหน้าฉินมู่มู่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ราวกับเป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักเจี่ยนถง “ไม่คิดเลยว่าคุณเป็นคนได้ทีขี่แพะไล่แบบนี้!”

“คนที่มีจิตใจงดงาม มองอะไรก็งดงามไปหมด คนที่จิตใจน่ารังเกียจ มองอะไรก็น่ารังเกียจไปหมด” เจี่ยนถงหัวเราะเบาๆ หมดหนทางนิดหน่อย ไม่รู้ว่าหมดหนทางอะไร

“แต่คุณ ถึงในใจฉันจะไม่อยากก็ตาม ก็จะช่วยชีวิตคุณสักครั้ง”

เธอส่ายหน้าเรียบๆ ไม่รู้ว่าส่ายหน้ากับ “ความใจดี” ของตัวเอง หรือเพราะความเชื่อใจในก้นบึ้งหัวใจ……เธอรู้ เธอแค่ไม่อยาก……

“เสิ่นยี พาฉันไปหาเขาเถอะ”

สุดท้ายแล้ว ก็ยังแพ้……

บทที่ 56 ฉันจะทำให้คุณสมหวัง

ทางเดินนั้นตรงไปที่ลิฟต์ ไม่รู้ว่าเป็นผลทางจิตใจหรือไม่ หรือว่าอย่างอื่น ในตอนนี้แค่รู้สึกว่าเส้นทางนี้เต็มไปด้วยตะปู ทุกย่างก้าว เหมือนกำลังเหยียบย่ำตะปู

เจี่ยนถงเงียบ เดินตามหลังเสิ่นยีไป

ประตูลิฟต์อยู่ตรงหน้า เสิ่นยีหยุดเล็กน้อย ทำท่าเชื้อเชิญให้เจี่ยนถงที่อยู่ด้านหลัง “คุณเจี่ยน เชิญครับ”

“คุณ……” เจี่ยนถงลังเลสักพัก เธอไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องคนอื่นมากนัก แต่เหลือบมองใบหน้าเย็นยะเยือกของเสิ่นยี “ไม่ขึ้นไปด้วยกันเหรอ?”

“Bossให้คุณเจี่ยนขึ้นไปคนเดียวครับ”

เสิ่นยียังคงดึงแขนฉินมู่มู่ไว้ในมือ ฉินมู่มู่เห็นประตูลิฟต์กำลังปิดลง ก็รีบตะโกน “เจี่ยนถง เจี่ยนถง! คุณต้องช่วยฉันนะ! ฉันรู้ว่าคุณจิตใจอ่อนโยนมากที่สุด คุณทนเห็นฉันน่าสังเวชไม่ได้หรอกใช่ไหม? ใช่ไหมล่ะ?”

เสิ่นยีเหลือบมองฉินมู่มู่อย่างรังเกียจ หันศีรษะไปพูดกับเจี่ยนถงในลิฟต์ “คุณเจี่ยน คุณไม่ได้ติดค้างอะไรเธอ”

จึงไม่จำเป็นต้องไปขอร้อง Boss ให้ผู้หญิงแบบนี้เลย

ขณะที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิดลง เจี่ยนถงก็พูดอย่างจริงจัง “ฉันรู้”

ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้ติดค้างฉินมู่มู่ ฉันไม่ได้ไปขอความเมตตากับผู้ชายที่เธอไม่อยากเผชิญหน้าด้วยให้คนอย่างฉินมู่มู่หรอก

เจี่ยนถงไม่อยากอธิบายอะไรให้ใครฟังทั้งนั้น

ขณะที่ลิฟต์เปิด เธอหายใจเข้าลึกๆ แล้วหายใจออกหนักๆ อีกครั้ง ขณะที่เดินออกมาจากลิฟต์ หางตาก็เห็นกระจกสะท้อนในลิฟต์ เธอใบหน้าตัวเอง มันซีดเหมือนตาย

บางทีสำหรับคนอื่น ก็แค่มาพบคนที่ครั้งหนึ่งเคยรู้จักเท่านั้น มาขอความเมตตาแทนอีกคน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

แต่สำหรับเจี่ยนถง นี่มันเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวด……มากกว่าการคุกเข่าอีก

“ประธานเสิ่น ฉันมาแล้ว” ด้วยเหตุผลบางอย่าง ไฟดวงใหญ่ในห้องรับแขกขณะนี้ดับลง มีไฟติดผนังไม่กี่ดวงเท่านั้น ไฟสีเย็นๆ สลัวๆ กระทบลงบนโซฟาเดี่ยวหนังวัวที่หน้าต่างบานใหญ่ ชายคนนั้นนั่งอยู่ตรงนั้น แขนวางบนที่พักแขนโซฟาอย่างเกียจคร้าน ระหว่างนิ้วที่ห้อยลงมาคือแสงวาบสีแดงของบุหรี่

เธออยากหนีแล้ว

เธอถอยหลังไปครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว

ในตอนนี้ ก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ “นั่งลง”

“……”

ชายบนโซฟาชี้ไปที่โซฟาเดี่ยวอีกตัวฝั่งตรงข้ามเขา

“คุณไม่ได้มาขอความเมตตาเหรอ?”

“……อืม” เจี่ยนถงค่อยๆ เดินไป นั่งลงฝั่งตรงข้ามชายคนนั้น

“ฉันให้คุณนั่งตรงนี้ ก็คุณนั่งเหรอ?” อย่างไรก็ตาม ชายคนนั้นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็พูดแบบนี้อีกครั้ง

คนที่ให้เจี่ยนถงนั่งก็คือเขา คนที่พูดแบบนี้ก็คือเขา มันเห็นได้ชัดว่าเขากำลังเย้ยหยันเจี่ยนถงอยู่

“คุณคือเจ้านายใหญ่ ฉันทำงานให้คุณ ก็ต้องเชื่อฟัง”

ชายหนุ่มนั่งบนโซฟา เหมือนได้ยินเรื่องตลกครั้งใหญ่……ต้องเชื่อฟังเหรอ?

ใคร?

คุณหนูเจี่ยน เจี่ยนถงอย่างเธอเหรอ?

ทันใดนั้นเสิ่นซิวจิ่นก็ยกมือขึ้นวางบนที่พักแขนโซฟา เท้าคางตัวเองอย่างเกียจคร้านมาก เขาเท้าคางแบบนี้ พิงที่พักแขนโซฟา ใบหน้าหล่อด้านข้าง สายตาเงียบสงบอยู่บนใบหน้าผู้หญิงฝั่งตรงข้าม

เวลาผ่านไปทีละนิด เจี่ยนถงเริ่มนั่งไม่ติดแล้ว

และสายตาของชายคนนั้นมันไม่ละไปจากเธอเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แสงไฟมืดเกินไป เธอมองไม่เห็นอารมณ์ในดวงตาเขา เบนสายตาขึ้นมองอย่างระมัดระวังเป็นบ้างครั้ง เห็นแค่แสงเป็นประกายท่ามกลางความมืดเท่านั้น

เวลาผ่านไปหลายนาที เธอค่อนข้างนั่งไม่นิ่งแล้ว อดไม่ได้ที่จะเงยศีรษะขึ้นมาพูดว่า “ประธานเสิ่น ฉันมาขอร้องแทนเธอ……”

เธอเตือนว่า ต้องการรีบเข้าประเด็กกับชายฝั่งตรงข้าม

ชายบนโซฟาตอบ “อืม” พูดขึ้นด้วยท่าทางเกียจคร้าน “ฉันรู้ ฉันกำลังรอเธอพูดอยู่ไม่ใช่เหรอ?”

เจี่ยนถงตกตะลึง หัวสมองคิดไม่ออกสักพักหนึ่ง ผ่านไปสามสี่วินาที ถึงได้ตอบสนอง……เจ้านายใหญ่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอตลอด กำลังรอเธอพูดแทนฉินมู่มู่อยู่เชียวหรือ

ความเข้าใจผิดนี้……เป็นเรื่องที่น่ากระอักกระอ่วนนิดหน่อย

หูเธอเห่อแดงร้อนจัด เธอไม่รู้ว่าตอนนี้หูเธอเห่อแดงร้อนจัดอย่างต่อเนื่อง แม้แต่คอก็เห่อแดงร้อนจัดด้วย

เธอไม่รู้ แต่ชายที่นั่งโซฟาฝั่งตรงข้ามเห็นทุกการกระทำและการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของเธอ เห็นอยู่ในสายตา

อย่างอธิบายไม่ได้ บางอย่างในดวงตาเรียวแหลมนั้น มันกำลังลุกเป็นไฟ

“ฉันอยากขอร้องแทนฉินมู่มู่”

“พูดประเด็นสำคัญเลย” เสียงทุ้มต่ำ มีความแหบแห้งเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

“คุณปล่อยเธอไปได้ไหม?”

ริมฝีปากชายหนุ่มยกขึ้นเล็กน้อย แววตาเผยความประชดประชัน “เจี่ยนถงอ่าเจี่ยนถง ให้ฉันบอกยังไงคุณดีนะ? เธอทำร้ายคุณ คุณยังมาขอร้องแทนเธออีกเหรอ? วันนี้เธอไม่ได้ทำร้ายคุณจนตาย คุณจะให้โอกาสเธอทำร้ายคุณอีกเหรอ? จะบอกยังไงคุณดีล่ะ? ตอนนี้มีคำที่ฮิตๆ ในเน็ต เรียกว่าอะไรนะ……อ๋อ……คุณหนูพระแม่มารีย์ เจี่ยนถงคุณหนูตระกูลเจี่ยนผู้ที่เนียบเป็นระเบียบ กลายเป็นคนเสแสร้งแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”

เจี่ยนถงก้มศีรษะ ในดวงตามีความเมินเฉย……คุณหนูตระกูลเจี่ยนผู้ที่เนียบเป็นระเบียบ? ใครอ่ะ? เธอเหรอ?

“คนที่ประธานเสิ่นพูดถึง ฉันไม่รู้จัก”

ชายคนนั้นหรี่ตาทันที จ้องมองเธอ……เธอปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองเคยเป็นงั้นเหรอ?

“คนที่ชื่อฉินมู่มู่ ทำร้ายคุณแบบนั้น คุณยังขอร้องแทนเธอ ให้ฉันยกโทษให้เธอเหรอ?”

ทันใดนั้นเสียงเสิ่นซิวจิ่นก็กลายเป็นเย็นชา “ถ้าคุณอยากเป็นพระแม่มารีย์ มันก็ไม่เกี่ยวกับฉัน แต่เจี่ยนถงอย่างคุณ เอาอะไรมาขอร้องแทนเธอ! คุกเข่าเหรอ?”

เขาถามด้วยเสียงเย็นชา จากนั้นก็ยิ้มประชดประชัน “เจี่ยนถง การคุกเข่าของคุณมันไม่มีค่า หัวเข่าคุณก็ไม่มีค่าเช่นกัน”

“ฉันรู้” ขณะที่เสียงหยาบกร้านพูดขึ้น เธอก็เงยศีรษะขึ้นมา

“ฉันเอาตัวเองมาขอร้อง”

เสิ่นซิวจิ่นสงสัยว่าตัวเองหูหนวกชั่วคราว “ว่าไงนะ? คุณพูดอีกทีสิ”

“คืนนี้ฉันจะค้างคืนกับประธานเสิ่น”

“ค้างคืน? หมายความว่า คุณจะให้ฉันนอนด้วย?”

“……ใช่”

ถึงแม้คำพูดของเสิ่นซิวจิ่นจะหยาบไปหน่อย เจี่ยนถงก็ไม่ได้ปรับตัว แต่เธอก็ยังพยักหน้า

ศีรษะเธอฝังอยู่ในอก เธอกำลังรอการตัดสินใจของเสิ่นซิวจิ่น

บนโซฟา ดวงตาชายคนนั้นจ้องมองผู้หญิงตรงหน้า แม้ว่าในมุมมองเขาจะเห็นแค่ศีรษะเธอเท่านั้น เขาจ้องมองศีรษะนั้นด้วยความโหดเหี้ยม ความโกรธที่อธิบายไม่ได้มันแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย!

ยืนขึ้นทันที!

แรงหนึ่งโจมตีเข้าไป ขณะที่เจี่ยนถงได้สติ เธอก็ถูกเสิ่นซิวจิ่นกดจมลงไปในโซฟาอย่างลึก

“ประธานเสิ่น คุณปล่อยมือ”

เจี่ยนถงเพิ่งพูดจบ เสียงโกรธเคืองที่ซ่อนไว้ในความเย็นยะเยือกของชายหนุ่มก็ดังขึ้น

“คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะเอาตัวเองมาขอร้องฉัน?” ในเสียงทุ้มต่ำของเขามันส่อถึงความโกรธ “ต่ำแบบนี้! ดี! เจี่ยนถง ฉันจะทำให้คุณสมหวัง!”

จูบ ลงไปอย่างรุนแรง มันหยาบคาย ไม่มีความอ่อนโยนสักนิด ยิ่งเหมือนการลงโทษ

หลังจากจูบ เขาก็เงยคอขึ้นมาทันที หรี่ตาจ้องมองเธอ กัดฟันถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ฉันจะถามคุณอีกครั้ง คุณอยากทำให้ตัวเองเสียหายแบบนี้ เพื่อผู้หญิงจิตใจเลวทรามคนหนึ่งจริงๆ เหรอ!”

“ขอร้องประธานเสิ่น”

เสิ่นซิวจิ่นหัวเราะ หัวเราะอย่างเยือกเย็นมาก “เจี่ยนถง คุณไม่สมควรได้รับการปฏิบัติดีจากใคร! คุณไม่มีคุณสมบัติ!น่ารังเกียจแบบนี้น่ะ!”

เจี่ยนถงผลุบตาลง แต่ขนตาสั่นระริก มันยังคงเผยความเจ็บปวดที่อยากปกปิดของเธอ……เสิ่นซิวจิ่น คุณจะไปรู้อะไร!

คุณรู้จักความรู้สึกที่เป็นหนี้ชีวิตไหม! บทที่อยู่ในคุกอันหนาวเหน็บนั้น อาลู่คนเดียวที่ทำดีกับฉันต้องตายเพราะฉัน คุณเข้าใจความรู้สึกฉันไหม!

เสิ่นซิวจิ่น คุณรู้จริงๆ ไหมล่ะว่าการเป็นหนี้ชีวิต การมีชีวิตบนโลกมนุษย์แต่จิตใจอยู่บนนรกมันเป็นอย่างไร!

บทที่ 57 แค่ไตหายไปเท่านั้น

“เจี่ยนถง บนโลกนี้ไม่ควรมีใครทำดีต่อเธอ คนที่ทำดีกับเธอนับว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต!เธอไม่คู่ควรกับความใจดีของใครทั้งนั้น!” เขาพูดออกมาอย่างไม่ลังเล ด้วยสายตาที่เย็นชาและเฉยเมย สัมผัสได้ถึงความโกรธที่ปนกับความเศร้า!

คำพูดของเสิ่นซิวจิ่นเสียดแทงความรู้สึกที่อ่อนไหวที่สุดในใจของเจี่ยนถง!

เธอเงยหน้าขึ้นทันที!

ดวงตาที่เป็นประกายนั่น คือความโกรธเคือง เสียงของเธอแหบกร้าน นับตั้งแต่ที่อาลู่เสียชีวิตในคุก เธอก็ไม่เคยกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งจนควบคุมไม่ได้อีกเลย เธอพลางจ้องมองด้วยความโกรธ

“อย่างคุณจะไปเข้าใจอะไร!คุณรู้อะไรบ้าง!คุณเจออำรมาบ้าง!คุณมันไม่รู้อะไรเลย!และเที่ยวมาชี้โน้นสั่งนี่!” คุณได้เจอในสิ่งที่ฉันเจอแล้วเหรอ!คุณได้เจ็บอย่างที่ฉันเจ็บงั้นเหรอ!

“ประธานเสิ่นผู้ยิ่งใหญ่ ฉันรู้จักคุณดี ถ้าวันนี้ฉินมู่มู่ถูกนำตัวไป มันก็จะเป็นเพียงการลงโทษเล็กๆน้อยๆ และตอนนี้ฉันก็อาจจะไม่มาปรากฏตัวในห้องของคุณหรือต่อหน้าคุณ” บางที ความรู้สึกก็พังทลาย เสียงที่แหบพร่าของเจี่ยนถงแฝงไปด้วยความเศร้า

“ฉันไม่สนว่าคุณจะทำอะไรกับเธอ ฉันไม่สนว่าคุณจะลงโทษเธอยังไง แต่วันนี้ฉันขอให้คุณไว้ชีวิตเธอด้วย” เธอเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่หล่อเหลาของชายหนุ่มตรงหน้า เธอรู้จักคนคนนี้เป็นอย่างดี ตอนนั้น เธอยังเป็นคุณหนูตระกูลเจี่ยน ซึ่งคนคนนี้สามารถโยนเธอลงไปในขุมนรกได้อย่างไม่ลังเลใดๆ และเธอรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉินมู่มู่!

เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้คัดค้าน แต่กลับยอมรับในสิ่งที่เธอพูด

อันที่จริงแล้ว การคาดเดาของเจี่ยนถงนั้นค่อนข้างถูกต้อง

“ฉันไม่อยากเป็นหนี้ชีวิตอีกต่อไป ไม่ว่าจะโดยตรงหรือทางอ้อม ฉันก็ไม่อยากอีกแล้ว” เจี่ยนถงพูดอย่างจริงจัง

เธอกำลังอ้อนวอนเพื่อฉินมู่มู่อย่างนั้นเหรอ

เปล่าเลย!

เธอไม่สนใจว่าสุดท้ายแล้วฉินมู่มู่จะลงเอยอย่างไร สิ่งเดียวที่เธอไม่ต้องการคือการเป็นหนี้ชีวิตคนอื่น!

ชีวิตของอาลู่ เป็นสิ่งที่ชีวิตนี้เธอไม่สามารถชดใช้ได้ ไม่สามารถเอาคืนกลับมาได้!ชีวิตที่สดใสนั่น เป็นเพราะเธอ!

ต้องชดใช้!ต้องได้รับโทษ!ต้องเจ็บปวด!

เธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉินมู่มู่เลยไม่ว่าจะชอบหรือเกลียดก็ตาม แม้ว่าสิ่งที่ฉินมู่มู่จะก่อเรื่องไว้มากมายอีกทั้งยังหยิ่งผยอง เห็นแก่ตัวเอง แม้ว่าเธอจะไม่เต็มใจถ่อมาที่นี่เพื่อขอร้องแทนฉินมู่มู่ก็ตาม

แต่เธอไม่อยากติดหนี้ชีวิตใครอีก ไม่ว่าคนคนนี้จะดีหรือเลว ไม่ว่าความตายนี้จะเกี่ยวข้องกับตัวเองโดยตรงหรือโดยอ้อมก็ตาม เธอก็ไม่อยากเป็นหนี้ชีวิตใครอีกแล้ว

นี่จึงเป็นสาเหตุที่เธอยอมละทิ้งความ “ไม่เต็มใจ” ที่มีอยู่มากมายภายในใจและมายืนต่อหน้าเขาในตอนนี้

ไม่ว่าคนอื่นจะคิดว่านี่เป็นเจตนาร้ายก็ดี หรือบริสุทธิ์ราวกับนางฟ้าก็ดี…อย่างไรก็ตาม ฆาตกร กักขัง ผู้หญิงสารเลว ไร้ยางอาย…ยังจะมีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกงั้นเหรอ

แต่ประโยคที่ไร้เจตนาของเจี่ยนถงที่ว่า “ฉันไม่อยากติดหนี้ชีวิตใครอีกแล้ว ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม ฉันไม่อยากอีกแล้ว” เมื่อเข้ามาในหูของเสิ่นซิวจิ่น กลับมีความหมายที่เปลี่ยนไป

เจี่ยนถงหมายถึงอาลู่ แต่เสิ่นซิวจิ่นกลับเข้าใจว่าเธอกำลังพูดถึงเซี่ยเวยเหมิง

ทันใดนั้น เสิ่นซิวจิ่นก็ฝังศีรษะลง จูบหญิงสาวที่อยู่ใต้ร่าง…นับตั้งแต่ที่เซี่ยเวยหมิงจากโลกนี้ไป นี่ก็เป็นครั้งแรกสารภาพออกมาจากปากขอตัวเองว่า “เป็นหนี้ชีวิต”!

ตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงทุกวันนี้ แม้เขาจะคิดว่าเธอมีความผิด แต่เท่าที่จำความได้ หญิงสาวไม่เคยพูดออกมาจากปากตัวเองเลย แม้ว่าจะถูกจับเข้าคุก ให้ตายยังไงเธอก็ปฏิเสธที่จะรับสารภาพ แต่วันนี้ เมื่อครู่นี้ ในที่สุดเธอก็สารภาพออกมาจากปากของตัวเองว่าเธอติดหนี้ชีวิต!

เสิ่นซิวจิ่นไม่สามารถบอกความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นภายในใจได้ เขารู้มาตลอด เพียงแต่เสิ่นซิวจิ่นไม่เคยคิดถึงมันมาก่อน ว่าวันหนึ่ง การได้ยินเธอพูดออกมาจากปากของตัวเองจะทำให้รู้สึก…ไม่โอเค

“เจี่ยนถง ในที่สุดเธอก็ยอมรับแล้วสินะ” จู่ๆเสียงที่เย็นชาก็ดังขึ้น

“อะไรคะ” เจี่ยนถงที่ไม่เข้าใจ จึงไม่ได้อธิบายอะไรออกไป

เสียงที่เย็นชานั่นเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เจี่ยนถง ฉันรับปากในสิ่งที่เธอขอแล้ว ตอนนี้ถึงตาฉันเก็บดอกเบี้ยแล้วล่ะ”

เจี่ยนถงที่ตระหนักได้ถึงสิ่งที่เขาพูด ดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นอย่างเหลือเชื่อ…

เขาพูดว่า เจี่ยนถง ในที่สุดเธอก็ยอมรับแล้วสินะ

ยอมรับ?ยอมรับอะไร?…ยอมรับเรื่องชีวิตนั่นงั้นเหรอ

เห้อ…เขาเข้าใจผิดไปเองอีกแล้ว

ใบหน้าของเสิ่นซิวจิ่นดูเย็นชา หญิงสาวที่เห็นอย่างนั้นก็หัวเราะออกมา “ฮ่าๆ ฮ่าๆๆๆ…”

“หัวเราะอะไร หยุดหัวเราะเลยนะ!”

“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆๆ…”

“ฉันบอกให้เธอหยุดหัวเราะไง!”

เขาเกลี่ยดเสียงหัวเราะนี้อย่างไร้เหตุผล แต่เสียงหัวเราะนี้ก็ทำให้เขาใจลอยไปอย่างไร้เหตุผลเช่นกัน

“โอ๊ย!……ฮ่าๆๆ……อ๋อ ฮ่าๆ……ฮ่าๆๆๆ……” เขาทำให้เธอเจ็บ แต่เธอกลับหัวเราะออกมาทั้งที่เจ็บ

มีอะไรน่าหัวเราะนักนะ

คนที่ทำผิดก็คือเธอ คนที่เป็นหนี้ชีวิตเซี่ยเวยหมิงก็คือเธอ ยังจะมีอะไรให้น่าหัวเราะอยู่อีก!!!

“หุบปากหุบปากหุบปาก!” เขาตะโกนแต่มันไม่ได้ผล เขารู้สึกรำคาญริมฝีปากนั่นเต็มทน ไม่ได้คิดอะไรให้มากความ ไม่หยุดใช่ไหม จะไม่หยุดใช่ไหม

“อื่ม~!” เสิ่นซิวจิ่นย่อตัวลง ประกบริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากบางของเธออย่างหนักหน่วง

อย่างนี้เขาก็ทำให้เธอหุบปากได้ซะที

วินาทีต่อมา!

“โอ้ย~” เสิ่นซิวจิ่นยกหัวขึ้นพลางเช็ดเลือดออกจากมุมปากด้วยนิ้วหัวแม่มือ “นี่เธอกัดฉันเหรอ” เขามองเธออย่างเหลือเชื่อก่อนจะเอ่ยถาม

หญิงสาวเปิดปากพลางพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ประธานเสิ่นคะ ที่ฉันบอกว่าเป็นหนี้ชีวิต มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเซี่ยเวยหมิงเลยนะคะ” เมื่อพูดจบ เธอก็หลับตาลง เหนื่อยชะมัด…ไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว…ก่อนที่เจี่ยนถงจะสลบไป ในสมองก็ผลุดความคิดหนึ่งขึ้นมา

ต้องอธิบายไหมนะ

อธิบายไปจะมีประโยชน์หรือเปล่านะ

เขาจะรับฟังเหรอ

ถ้าไม่ฟังจะอธิบายไปทำไม

การอธิบาย เขาเอาไว้ใช้กับคนที่เขาอยากจะฟัง

“นี่ ลืมตาสิ!” เธอหลับตา เพราะไม่อยากเห็นเขา?

เสิ่นซิวจิ่นมองด้วยสายตาเย็นชาพลางพูดตะโกน “ลืมตา!”

แต่เธอไม่แยแส เสิ่นซิวจิ่นเอื้อมมือมาผลักเธอ ด้วยแรงผลักนี้ทำให้หัวของเธอหลบไปอีกด้านหนึ่ง หัวใจของเสิ่นซิวจิ่นเริ่มเต้นแรง “เจี่ยนถง?เจี่ยนถง???”

สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที รีบก้มลงอุ้มเธอขึ้นมาและวิ่งไปที่ห้องนอน

บ้าเอ้ย!ทำไมตัวเธอร้อนขนาดนี้เนี่ย!

ให้ช่วยเธอออกมาจากแท้งค์นั่นยังดีซะกว่า!

“ไป๋ยู่สิง!นายอยู่ไหน!รีบมาเร็วเข้า!”

อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ ไป๋ยู่สิงลอบกรอกตา “นี่พี่ชาย ฉันจะเป็นหมอส่วนตัวของนายนะ คืนนี้นายต้องวิ่งสองรอบ ก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือไง”

“รีบมา!เธอสลบไปอีกแล้ว!นี่ตรวจเช็คโรคอาการอะไรของแกเนี่ย?”

ในใจของไป๋ยู่สิงรู้สึกถึงความชิบหายได้ทันที “เธอ?เจี่ยนถง?อาการเธอไม่ร้ายแรงมาก พักผ่อนเยอะๆ กินยาก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ดูแลร่างกายให้ดีๆไม่ใช่เรื่องใหญ่ แกดุว่าตรวจเช็คโรคอาการอะไรของฉันเป็นไง เดี๋ยวก่อนนะ เสิ่นซิวจิ่น เจี่ยนถงไปอยู่กับนายอีกแล้วได้ไง”

ไป๋ยู่สิงที่เพิ่งได้สติ จู่ๆก็ปรี๊ดแตก!

“เชี่ย!เสิ่นซิวจิ่น!นายไม่ได้ทำอะไรผู้หญิงที่น่าสงสารคนนั้นใช่ไหม ด้วยร่างกายที่อ่อนแอพิกลพิการแบบนั้น อยู่มาได้จนถึงตอนนี้โดยที่ไม่มีปัญหาอะไรก็นับว่าบุญมากแล้ว นายยังจะแกล้งอะไรเธออีก เสิ่นซิวจิ่น ถึงแกจะเกลียดผู้หญิงคนนี้มากแค่ไหน แต่แกก็ไม่ควรไปฆ่าแกงเขานะเว้ย ทำไมแกถึงเป็นคนแบบนี้วะ!”

“เดี๋ยวๆ” เสิ่นซิวจิ่นกระพริบตา “ร่างกายพิกลพิการอะไร เธอมีมือมีเท้านะ”

อีกฝ่าหนึ่ง ไป๋ยู่สิง“เหอะๆ”ออกมาเบาๆก่อนจะเอ่ยขึ้น “ไม่ถึงกับแขนขาดขาหักหรอก ก็แค่ไตหายไปก็เท่านั้น”

มือที่เสิ่นซิวจิ่นใช่ถือโทรศัพท์อยู่นั้นสั่นระริก ไป๋ยู่สิงที่อยู่ในสาย ได้ยินเสียงหายใจที่ไม่สม่ำเสมอของเสิ่นซิวจิ่นก็เลิกคิ้วขึ้น

“ถ้าแกไม่เชื่อก็เปิดเสื้อเธอดูเองก็แล้วกัน”

เสิ่นซิวจิ่นมองไปยังหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง ขาเรียวยาวค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้ มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ และใช้มืออีกข้างผลักเธอไปด้านข้าง ค่อยๆเปิดเสื้อเธอขึ้น

ทีละนิดๆ…

ทันใดนั้น รูม่านตาของเขาก็หดตัวเล็กลง!

“ใครเป็นคนทำ!” น้ำเสียงที่ฟังดูเยือกเย็นราวกับเกิดพายุน้ำแข็ง!

เท่าที่เขาเห็น มีรอยแผลเป็นที่น่าเกลียดที่เอวด้านซ้าย!

เขายื่นมืออกไปเพื่อสัมผัสมัน ฝ่ามือเรียวยาวนั่นสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้!

บทที่ 58 ความเจ็บปวดที่อยากปกปิด

นิ้วเรียวยาว สัมผัสแผลเป็นนั้น

ปลายนิ้วสัมผัสหน้าผาก มันไม่เรียบเนียน

เมื่อเพิ่งสัมผัสแผลเป็นนั้น ปลายนิ้วเสิ่นซิวจิ่นก็เหมือนโดนน้ำร้อนลวก

“ร่างกายที่ขาดชิ้นส่วน เสิ่นซิวจิ่น นายพูดมาตรงๆ นายลงมือยังไง?” ในโทรศัพท์ยังไม่ได้วางสาย ไป๋ยู่สิงพูดกึ่งจริงจังกึ่งติดตลก

ในโทรศัพท์ ชายคนนั้นเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของไป๋ยู่สิง นิ้วหัวแม่มือลูบแผลเป็นที่หยาบกร้านนั้นอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้น เขาก็ทำการกระทำแปลกๆ ทั้งฝ่ามือปิดบนรอยแผลเป็นนั้นไว้

มองมือตนอย่างจริงจัง และไม่รู้ว่าเขากำลังวิจัยอะไรอยู่

โทรศัพท์กับไป๋ยู่สิงยังเชื่อมต่อตลอดเวลา ไป๋ยู่สิงได้ยินว่าในโทรศัพท์ไม่มีการเคลื่อนไหว ที่ปลายสายมันเงียบสงบจริงๆ สงบจนเหมือนเจ้าของโทรศัพท์ลืมวางสาย

อย่างไรก็ตาม ไป๋ยู่สิงไม่คิดจะวางสายก่อน หยิบบุหรี่หนึ่งมวนมาจากหัวเตียง เกิดเสียง “แชะ” จุดไฟ ได้ลิ้มรสนิโคตินอย่างดี ในตอนนี้ ชายคนนั้นที่ปลายสาย จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาอย่างยากที่จะเข้าใจ “ยาวกว่าฝ่ามือฉันอีกอ่ะ”

“อะไร?” ไป๋ยู่สิงตกตะลึง แต่หลังจากนั้นสามวินาทีก็เกิดการตอบสนอง “อ่อ นายหมายถึงแผลเป็นเอวเธอใช่ไหม?” อย่างไรก็เป็นเพื่อนสนิทกันมาหลายปี สามารถเดาความหมายในคำพูดเสิ่นซิวจิ่นออกมาได้

“ยาวกว่าฝ่ามือนายอีกเหรอ?” ไป๋ยู่สิงสูบบุหรี่หนักๆ หลังจากพ่นควันสีขาวออกมาเป็นวงกลม

“นั่นแสดงว่า หมอที่ทำการผ่าตัดให้เธอตอนนั้นฝีมือแย่มาก แย่จน……อืม ต้องพูดแบบนี้ ตอนฉันเรียนหมอ ครั้งแรกในห้องปฏิบัติการเอาตัวอย่างที่นำออกมาจากฟอร์มาลิน บทที่ทำการผ่าตัดเอาไตออกมา รอยมีดก็ไม่ยาวขนาดนั้นนะ”

“มันหมายความว่าอะไร?”

“หมายความว่า เป็นไปได้อย่างมาก…….ไม่ ต้องแน่นอนสิ หมอคนนั้นที่ผ่าตัดให้เธอ บางทีอาจจะไม่มีใบอนุญาตทางการแพทย์ นายรู้จักผ่าตัดเถื่อนไหม? แบบนั้นแหละ”

ผ่าตัดเถื่อน กลุ่มคนที่ไม่มีใบอนุญาตทางการแพทย์

“ถ่ายรูปแผลเป็นเธอมา” ไป๋ยู่สิงพูดอีกครั้ง

เสิ่นซิวจิ่นลังเลสักพัก แต่ไป๋ยู่สิงพูดขึ้น “ฉันจะดูบาดแผลและรอยแผลเป็นเธอ อย่างน้อยก็เห็นในสิ่งที่นายมองไม่ออกได้ ความจริงและบางอย่างที่ถูกปกปิดอยู่ อยากรู้ไหม?”

ไป๋ยู่สิงพ่นควันสีขาวออกมา “อยากรู้ ก็ถ่ายมา”

พูดตามตรง เขาไม่คิดว่าเขาจะสามารถพูดโน้มน้าวเสิ่นซิวจิ่นได้ คนที่โดดเดี่ยวและเย็นชาอย่างเสิ่นซิวจิ่น อย่างน้อยก็โตขนาดนี้แล้ว เขาเองไม่เคยเห็นเสิ่นซิวจิ่นทำไมถึงได้ยอม นอกจากเซี่ยเวยเหมิง ก็ไม่เคยเห็นจริงๆ ว่าเสิ่นซิวจิ่นสนใจใคร

อ๋อ……จริงๆ แล้วถึงแม้ว่าจะเป็นเซี่ยเวิยเหมิง ไป๋ยู่สิงก็ไม่คิดว่านั่นคือการสนใจ อย่างมากที่สุดคนอย่างเซี่ยเวยเหมิงก็อยู่ในแวดวงของตัวเอง

แต่ไป๋ยู่สิงไม่คิดว่านี่คือความผิดพลาดของเสิ่นซิวจิ่น คนอย่างพวกเขา ยากมากที่จะสนใจผู้หญิงคนหนึ่งจริงๆ และการที่เอาผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาในแวดวงของตัวเอง นี่ถือเป็นการยอมรับแล้ว

“รอก่อน” ไป๋ยู่สิงตอนแรกไม่ได้คิดว่าเสิ่นซิวจิ่นจะถ่ายรูปมาให้ตนจริงๆ เขาแค่พูดมันเล่นๆ เท่านั้น แต่ขณะที่เขาเตรียมจะหัวเราะ “ฮ่าๆ” และจบหัวข้อนี้ลง คนที่อยู่ปลายสายจู่ๆ ก็พูดสองคำนี้ขึ้นมากะทันหัน

“ซี้ด~” ทำให้ตกใจจนไป๋ยู่สิงทำบุหรี่ในมือตกลงไป ลวกแขนข้างหนึ่งที่วางราบไปกับต้นขา การลวกที่เกิดขึ้นกะทันหัน เจ็บจนทำให้ไป๋ยู่สิงสูดไอเย็นเข้าไป

เหี้ย ลวกเกือบตาย! “เดี๋ยวก่อน นายว่าไงนะ?”

ทันทีที่ถามออกไป ทันใดนั้นข้อความที่ยังไม่ได้อ่านก็ดังขึ้นมาในโทรศัพท์ “เอ่อ……” ไม่ใช่มั้ง เสิ่นซิวจิ่นคงไม่ได้ถ่ายรูปส่งมาจริงๆ หรอกใช่ไหม?

รีบเอื้อมมือไปเปิด……เป็นรูปรอยแผลเป็นหนึ่งจริงๆ “เป็นแค่” รูปรอยแผลเป็นจริงๆ ——รอยแผลเป็นที่น่ากลัว ในรูปไม่เห็นส่วนอื่นๆ เลย!

มองรูปภาพ ไป๋ยู่สิงจู่ๆ ก็รู้สึกแปลกๆ ในใจทันที——ทำไมเขารู้สึกว่า เสิ่นซิวจิ่นไม่ค่อยอยากให้เขาเห็นผิวเปลือยเปล่าส่วนอื่นของเจี่ยนถงเพิ่มสักนิ้ว?

ความรู้สึกนี้ หลังจากศึกษาภาพถ่ายความละเอียดสูงของรอยแผลเป็นนี้สักพัก ก็ยิ่งมั่นใจ

“ดูเสร็จหรือยัง? ดูรู้เรื่องไหม?” ทันใดนั้น ในโทรศัพท์ เสิ่นซิวจิ่นก็ถามอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ไป๋ยู่สิงไอสองครั้งแล้วรีบพูดขึ้น “ดูเสร็จแล้ว ดูรู้เรื่องแล้ว”

“นายมองเห็นอะไร?”

“ฉันมองออกว่าคนที่ผ่าตัดให้เธอต้องเป็นผ่าตัดเถื่อนแน่นอน เย็บสามครั้งและเย็บเบี้ยวด้วย แม้แต่หมอที่มีใบอนุญาตทางการแพทย์ก็ไม่ได้ขอ การประหยัดเงินแบบนี้ สงสัยมากๆ ว่าคนพวกนี้ตอนผ่าตัดจะใช้ยาชาไหม”

ขากรรไกรด้านล่างเสิ่นซิวจิ่นปูดนูนขึ้นมา คำพูดของไป๋ยู่สิง ทำให้เขานึกภาพอันมืดมนนั้นในหัวสมอง หญิงสาวที่ดิ้นรน ถูกกดลงบนเตียงผ่าตัด……หัวใจ มันหดเกร็งอย่างรุนแรง!

“ใครกันแน่……”

“ใครกันแน่ ในใจนายเดาได้แล้วไม่ใช่เหรอ” ไป๋ยู่สิงขัดจังหวะเสิ่นซิวจิ่นอย่างตรงไปตรงมา “นายโทษพวกเขาไม่ได้ นายไม่รู้เหรอว่าท่าทีที่นายมีต่อเจี่ยนถง การแสดงออกที่เต็มใจของนาย เป็นตัวกำหนดหญิงสาวผู้น่าสงสารคนนั้น และสถานการณ์ในสามปีนี้?”

วันนี้ไป๋ยู่สิงจงใจพูดความจริงที่รับได้ยาก “อย่าโทษที่ฉันไม่เตือนนาย บางทีแผลเป็นที่นายเห็นในวันนี้ อาจจะเป็นแค่ส่วนยอดภูเขาน้ำแข็งของหายนะสามปีในคุกของเจี่ยนถงก็ได้ ตอนเธอเป็นคุณหนูเจี่ยน นายไม่รู้ว่าเธอผ่านเรื่องอะไรมาบ้าง เธอถูกขังไว้ในที่มืดขนาดนั้น นายยิ่งไม่รู้สิ่งที่เธอต้องเจอในสามปีนี้ สามปีมานี้เธอใช้ชีวิตยังไง”

เมื่อประโยคนี้พูดออกไป ไป๋ยู่สิงเองก็ตกตะลึงเช่นกัน ทันใดนั้นก็เข้าใจได้ว่าเจี่ยนถงผู้ที่มีความมั่นใจในตอนแรก กลายเป็นมีท่าทางกลัวหัวหดแบบในวันนี้ ทันใดนั้นเองก็เข้าใจบ้างแล้ว

แล้วนึกถึงวันนี้ที่ตัวเองอยู่ต่อหน้าเจี่ยนถง คำพูดเหล่านั้นที่บอกว่าผิดหวังและโทษเธอว่าทำไมเปลี่ยนไป ตอนนี้มาคิดๆ แล้ว ตัวเองไม่เจอกับตัวไม่รู้หรอก

ส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้บทที่ไปดูอาการป่วยให้เธอ มันไม่ร้ายแรงจริงๆ ฉันก็ไม่รู้เธอมีเหตุผลอะไร ถึงจู่ๆ เป็นลมไป แต่ฉันแนะนำว่าให้นายพาเธอไปโรงพยาบาลตอนนี้ จมน้ำ เป็นไข้ เป็นลม เรื่องพวกนี้ที่เกิดขึ้นติดๆ กัน ไม่ต้องพูดถึงร่างกายที่ทรุดโทรมและป่วยของเธอ ถึงจะเป็นคนที่มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงก็ตาม ไม่มีใครทนความทรมานติดๆ กันแบบนี้ได้หรอก”

“โอเค ฉันจะขับพาเธอไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”

“งั้นโอเค เดี๋ยวฉันก็จะรีบไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”

ทั้งสองตกลงกันแล้ว เสิ่นซิวจิ่นก็วางสาย

เสิ่นซิวจิ่นยืนข้างเตียงมองหญิงสาวบนเตียง มีคำพูดเหล่านั้นของไป๋ยู่สิงดังก้องในหัวสมอง: นายไม่รู้เหรอว่าท่าทีที่นายมีต่อเจี่ยนถง การแสดงออกที่เต็มใจของนาย เป็นตัวกำหนดสถานการณ์ในสามปีนี้ของเจี่ยนถง?

เป็นอย่างนี้เหรอ?

ในใจเขารู้ดี มันเป็นแบบนี้แหละ

แต่ไม่คิดว่า จะมีวันหนึ่ง เมื่อเห็นรอยแผลเป็นน่ารังเกียจบนร่างกายเธอแล้วเขาอยากฆ่าคน

ไม่แน่ใจอารมณ์ยุ่งเหยิงพวกนี้ได้ เสิ่นซิวจิ่นก้มลงจัดระเบียบเสื้อผ้าบนร่างกายหญิงสาวบนเตียง หันตัวไปหยิบเสื้อโค้ตขนสัตว์ขนาดใหญ่ในตู้เสื้อผ้ามาห่อเธอไว้แน่น ในตอนนี้จู่ๆ ก็พบว่า คนที่ดูอวบอ้วนในวันปกติ จริงๆ แล้วด้านในนั้นผอมแบบนี้

เขาโน้มตัวกอดเธอไว้ในอ้อมแขน เมื่อเจี่ยนถงมีสติ เขามักจะแบกเธอ แค่บทที่เธอไม่มีสติ ถึงจะอุ้มในท่าเจ้าสาวที่หญิงสาวต้องการมากที่สุด

ลิฟต์มาถึงชั้นหนึ่ง ดังติ๊ง ประตูเปิดออก

ชายหนุ่มร่างสูงหล่อเหลาคนหนึ่ง อุ้มคนตัวเล็กไว้ในอ้อมกอด ภายใต้สายตาความอยากรู้อยากเห็น ความสอดรู้ หรือความอิจฉาริษยา เดินผ่านล็อบบี้อันหรูหราเรียบง่ายตงหวงไป ขาเรียวยาวก้าวออกจากประตูใหญ่

บทที่ 59 ความอ่อนโยนของเสิ่นซิวจิ่น

ที่ข้างเตียง เสิ่นซิวจิ่นมองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง ไป๋ยู่สิงเพิ่งจะตรวจร่างกายเธอเสร็จ

“ไม่ใช่ปัญหาใหญ่” ไป๋ยู่สิงยังคงพูดต่อ “แต่แกเลิกลากเธอไปๆมาๆได้แล้ว วันนี้เธอเจอเรื่องมาไม่น้อยเลย ทั้งจมน้ำ เป็นไข้ เป็นลม สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดก็คือตื่นมาเจอนายแล้วก็เป็นลมไปอีกรอบ”

ไป๋ยู่สิงทำเสียง “จุ๊ๆ” “เสิ่นซิวจิ่น ไอความสามารถรังแกคนอื่นของแกนี่ เป็นเลิศจริงๆ”

ประโยคนี้ เห็นได้ชัดว่าแฝงไปด้วยการเสียดสี

สิ่งที่ทำให้ไป๋ยู่สิงงงงันนั่นก็คือ ไอตาเสิ่นกลับไม่ได้ส่งสายตาเยือกเย็นมาให้ตัวเองอย่างทุกที

เฮ้~วันนี้อารมณ์ดีชะมัด

กล่างอีกนัยหนึ่งก็คือ ตัวเองจะใช้โอกาสที่หาได้ยากนี้สั่งสอนไอเจ้าเพื่อนยากนี่ซะหน่อย ใครจะไปรู้ว่าการรอให้ไอตาเสิ่นนี่พูดดีๆด้วยแบบนี้จะต้องรอถึงปีมะโว้โน้นแหนะ

“นี่ ไหนว่ามาดิ หลังจากที่ฉันไปแล้ว แกทำอะไรเธอกันแน่”

ฉึบ!

เขามองไปที่ไป๋ยู่สิงราวกับมีดคมที่เยือกเย็น แต่ก็ไม่ทำให้ไป๋ยู่สิงหยุดพูดได้ “เอ่อ…ไม่พูดก็ไม่พูด” ไป๋ยู่สิงทะเลาะไปก็กรีดกรายนิ้วชี้ไปด้วย ราวกับเพื่อให้บรรยากาศไม่ตึงเครียด “เกลียดจริงๆ~มันน่าตกใจวะจริงๆ~”

วิธีที่ไป๋ยู่สิงพูดนั้นดูกลับตาลปัตร ทำให้สีหน้าของชายหนุ่มที่อยู่บนเตียงยิ่งเย็นชา เขาหันหน้าพลางมองมาทันที “ไป๋ยู่สิง แกไปได้แล้ว”

“ไอสัตว์!แกนี่พอถึงเวลาจะใช้ฉันก็คะยั้นคะยออยู่ได้ แต่พอหมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่งกันเนี่ยนะ เสิ่นซิวจิ่น ฉันไม่เคยเจอใครโหดเหี้ยมเท่าแกอีกแล้ววะ”

เสิ่นซิวจิ่นถอนหายใจ “ยู่สิง แกกลับไปพักผ่อนเถอะ วันนี้แกเหนื่อยมามากแล้ว” เขายกมือขึ้นมองดูนาฬิกา “พรุ่งนี้แกต้องตระเวนในวอร์ดเลยไม่ใช่ไง เพราะแบบนี้ไง ถ้าแกอยู่ที่นี่ต่อจะมีเวลาไม่กี่ชั่วโมงเองนะ”

เอ่อ…จู่ๆก็รู้สึกถึงความอบอุ่น สำหรับคนอื่นแล้วอาจเป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นความอบอุ่นของเสิ่นซิวจิ่น ไป๋ยู่สิงสัมผัสได้ว่าท่าทีของเสิ่นซิวจิ่นเปลี่ยนไปในสองวินาทีให้หลัง แต่ในใจก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยน

คนภายนอกจะรู้เพียงว่าเสิ่นซิวจิ่นที่มีอำนาจมากล้นจะหยิ่งโอหังและถือตัว แต่ความจริงแล้ว มีเพียงพี่น้องด้วยกันเท่านั้นที่จะเข้าใจความอ่อนโยนของเสิ่นซิวจิ่น จนบางครั้งก็ไม่สามารถสังเกตได้

ไป๋ยู่สิงมองไปที่เจี่ยนถงที่นอนอยู่บนเตียง จู่ๆภายในใจก็เกิดความรู้สึกบางอย่าง เขาหันหน้ามองไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างอย่างสงสัย…เป็นไปไม่ได้หรอกหน่า

ความอ่อนโยนของเสิ่นซิวจิ่น?

ความอ่อนโยนของเสิ่นซิวจิ่นเนี่ยนะ

เขาให้มันกับเจี่ยนถงงั้นเหรอ

“นาย…” ไป๋ยู่สิงลังเลแต่ก็หยุดพูดไป

“ทำไม”

“นายอย่ารังแกเธออีกก็แล้วกัน” ท้ายที่สุด ไป๋ยู่สิงก็ซ่อนสิ่งที่คิดขึ้นได้ในใจโดยที่ไม่ได้พูดมันออกไป

เขารู้จักเสิ่นซิวจิ่นดี ไอเจ้าเพื่อนตายคนนี้ที่ทั้งหัวแข็งและดื้อรั้น จากการที่ตัวเองนั้นเป็นเพื่อนรักเพื่อนตายของไอเจ้านั้นแล้ว ขอบอกเลยว่าแกหลงเสน่ห์ของเจี่ยนถงเข้าเต็มเปา

แต่สุดท้ายก็เกรงว่า…เจี่ยนถงจะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น

ลองนึกภาพ เสิ่นซิวจิ่นที่ทั้งดื้อและจองหอง รู้ตัวแล้วว่าตัวเองมีความรู้สึกให้กับเจี่ยนถง แค่เจี่ยนถงกลับเป็นคนที่ตัวเองเอาไปทิ้งไว้ในที่แบบนั้น สามปีให้หลัง เสิ่นซิวจิ่นจะรับเรื่องนี้ได้จริงๆเหรอ

ไม่ได้หรอก

ไป๋ยู่สิงรู้จักเสิ่นซิวจิ่นเป็นอย่างดี

ทว่า อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาของไป๋ยู่สิงเท่านั้น บางที เขาอาจจะคิดผิดก็ได้

“นายอย่ารังแกเธออีกล่ะ…ฉันหมายถึง ร่างกายที่ปวกเปียกของเธอลากไปลากมาไม่กี่ครั้งก็ต้องพาไปโรงพยาบาลแล้ว เดี๋ยวก็ได้ไปหายมบาลกันพอดี”

ถ้านายเกลียดเธอมากถึงเพียงนี้ เกลียดถึงขั้นที่ว่าอยากจะทรมานเธอเพื่อล้างแค้นให้เซี่ยเวยหมิง อย่างน้อยนายก็ต้องดูแลร่างกายของเธอก่อน ให้เธอยังได้มีชีวิตอยู่ จริงไหม

ไป๋ยู่สิงคิดว่าที่ตัวเองพูดมากมายขนาดนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว หากยิ่งพูดให้มากความ เดี๋ยวจะกลายเป็นต่อต้านเสียเปล่าๆ เขาโบกมือ “งั้นฉันไปก่อนนะ พรุ่งนี้ต้องตระเวนวอร์ดอีก ฉันต้องกลับไปพักผ่อนสักหน่อย”

เขากลับไปแล้ว ภายในห้องคนไข้ก็เงียบสงัด เมื่อไม่มีเสียงของไป๋ยู่สิง โรงพยาบาลในช่วงกลางคืนกลับมีความเงียบที่ไม่คุ้นเคย

ความเงียบสงบเช่นนี้ แตกต่างจากความเงียบยามที่เขาอยู่บ้านคนเดียวตอนกลางคืน

เสิ่นซิวจิ่นหยิบเก้าอี้ที่มีพนักพิงมานั่งลองข้างๆเตียง

สายตาของเขาจับจ้องไปที่หน้าผากของเธอ

ผ้าพันแผลที่เธอพันอยู่นั้นถูกปกคลุมไปด้วยผมหน้าม้า ในที่สุดเขาก็เห็นมัน

ไป๋ยู่สิงบอกว่า บาดแผลนี้เป็นแผลใหม่ที่ทับแผลเก่า ซึ่งแผลใหม่เกิดในช่วงไม่กี่วันมานี้ ส่วนแผลเก่าคาดว่าน่าจะเกิดนานแล้ว

จู่ๆก็นึกขึ้นได้ว่า บทที่เจอเธอที่ตงหวง ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตาม หน้าผากของเธอจะมีผมหน้าม้าปิดไว้อยู่ตลอด

เขาคิดว่ามันน่าเกลียด และไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงชอบไว้ทรงผมน่าเกลียดนี้ด้วย และคิดว่าอาจเป็นทรงผมที่เธอไว้มาตั้งแต่ที่อยู่ในคุก และเธอก็ชินกับมัน

นิ้วเรียวยาวปัดผมหน้าม้าของเธอไปด้านข้าง เผยให้เห็นรอยแผลทั้งหมด

รอยแผลนี้ ตามคำพูดของไป๋ยู่สิงที่เป็นผู้เชี่ยวชาญได้บอกไว้ว่า พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าทำไมผู้หญิงคนหนึ่งถึงสามารถทนกับรอยแผลเป็นที่น่าเกลียดบนหน้า

นิ้วเรียวยาวไม่ได้สัมผัสกับรอยแผลนั่น แต่ค่อยๆแตะลงบนแก้มของเธอ ก่อนนจะไล้ไปทั่วใบหน้าทุกตารางนิ้วของเธอ

ผิวหนังใต้ปลายนิ้วค่อนข้างหยาบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเรียบเนียน เห็นได้ชัดว่าเธอเพิ่งจะอายุยี่สิบต้นๆ ทุกส่วนของร่างกายเธอแสดงให้เห็นถึงความผันผวนของชีวิต

นิ้วมือไล้ไปบนคิ้วที่ไม่ได้ขมวดของเธอ แต่คิ้วของเธอยังมีความเป็นเจี่ยนถงเมื่อสามปีก่อนหน้านี้ อีกทั้งยังมีรอยคล้ำที่ใต้ตาของเธอ ในที่สุดก็เลื่อนมายังริมฝีปากของเธอ มันทั้งหยาบกร้านและไม่อ่อนนุ่มเหมือนหญิงสาวในวันยี่สิบ ทุกส่วนบนร่างกายของเธอถูกสลักไปด้วยร่องรอยของกาลเวลา

สายตาของเขาค่อยๆลดต่ำจนมาหยุดที่ร่างกายของเธอ เขากำลังคิดว่าถ้าตัวเองสามารถผ่าร่างกายของเธอเพื่อดูอวัยวะภายในนั้นได้ อวัยวะพวกนั้นจะมีร่องรอยความผันผวนในชีวิตด้วยหรือเปล่านะ

จู่ๆโทรศัพท์ก็สั่น เสิ่นซิวจิ่นรับสาย“ว่าไง”

“บอสครับ ให้เอาฉินมู่มู่ไปไว้ที่ไหนดีครับ”

“ขายทิ้งไป ฉันไม่อยากเห็นเธออีก” เจี่ยนถงพูดถูก เขาก็เป็นเหมือนหมาป่า หมาป่าที่ต้องกินเลือดกินเนื้อ

“ครับบอส”

เสิ่นยีไม่มีข้อสงสัย และกำลังจะวางสาย

แต่แล้วจู่ๆ

“เดี๋ยว”

“บอสมีอะไรหรือเปล่าครับ”

ชายหนุ่มเหลือบมองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ขังเอาไว้ก่อน อย่าฆ่าหรือทำอะไร”

“……” เสิ่นยีนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะขานรับอย่างรวดเร็ว “ครับบอส”

เสิ่นยีมองไปที่หญิงสาวที่ตัวสั่นเทา พลางบอกบอดี้การ์ดที่อยู่รอบข้าง “บอสสั่งให้ขังไว้ก่อน อย่าเพิ่งทำอะไรเธอ”

ใบหน้าของฉินมู่มู่ซีดเซียว เธอเข้าไปกอดขาของเสิ่นยีเพื่อร้องขอชีวิต “ทำไมต้องขังฉันด้วย เจี่ยนถง เจี่ยนถงขอให้ไว้ชีวิตฉันแล้วนี่ จะขังฉันไว้ทำไม”

เสิ่นยีขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบายให้ผู้หญิงงี่เง่าคนนี้ฟัง เธอคิดว่าเดิมทีเธอควรจะได้อะไรดีๆแบบนี้งั้นเหรอ

ถ้าเทียบกับการตัดสินใจของบอสแล้ว เธอจะมีโอกาสถูกขังไว้งั้นเหรอ

“เจี่ยนถง เจี่ยนถงช่วยขอร้องให้ฉันแล้วใช่ไหม เธอพูดจริงๆใช่ไหม”

“ปล่อย” เสิ่นยีรู้สึกเบื่อหน่ายเต็มทน “ยังจะยืนงงอะไรอยู่อีก เอาเธอไปขัง” เขาพูดกับคนรอบข้างด้วยเสียงที่ดูเย็นชา

บทที่ 60 คุณทำฉันเจ็บ แต่กลับซ้ำเติมโดยน้ำมือด้วยตัวเอง

เจี่ยนถงนอนหลับและตื่นขึ้นมาในตอนบ่าย เธอเหนื่อยเหลือเกิน ตัวร้อนจี๋ ร่างกายของเธออ่อนแอมาก

ทันทีที่ตื่นขึ้น แวบแรกที่ลืมตาก็พบกับเพดานสีขาว เธอคิดว่าที่นี่คือเมฆหมอก โดยไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน

“ตื่นแล้วเหรอ”

จู่ๆเสียงที่เป็นเหมือนกับแม่เหล็กก็ดังขึ้น

เจี่ยนถงตกใจ รีบหันหน้าไปก็พบว่าที่ข้างเตียงของเธอ มีชายหนุ่มนั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางที่ดูดี ในมือถือเอกสารบางอย่าง

ในขณะที่เจี่ยนถงมองผ่าน ก็พบว่าดวงตาเรียวที่เหมือนกับนกฟีนิกซ์ของชายหนุ่มละออกจากเอกสารที่อยู่ในมือ ก่อนจะเหลือบมองมาที่ตัวเอง “หิวไหม”

หลังจากที่เอ่ยถาม เขาก็กลับไปมองเอกสารที่อยู่ในมืออีกครั้ง

ริมฝีปากของเจี่ยนถงแห้งกร้าน เธอหันหน้าไปมองรอบๆ “ขอบคุณประธานเสิ่นนะคะที่พาฉันมาส่งโรงพยาบาล ที่ทำให้ประธานเสิ่นต้องลำบาก ต้องขอโทษด้วยนะคะ”

เสิ่นซิวจิ่นกำแฟ้มเอกสารที่อยู่ในมือไว้แน่น ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเสียงที่แหบแห้งนี้ถึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจกันนะ

ขอบคุณประธานเสิ่น ขอโทษที่ทำให้ต้องลำบาก…นอกจากคำเหล่านี้แล้ว เธอไม่มีอะไรจะพูดกับเขาแล้วงั้นเหรอ

ชายหนุ่มไม่ได้ตอบกลับ เธอเองก็ลงตามองต่ำไม่ได้มองเขาอีก

“ฝึบ” เสียงพลิกหน้ากระดาษ

เสียง“ฝึบ”ดังขึ้นอีกครั้ง

ฝึบ ฝึบ ฝึบ…

เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้พูดอะไรออกมา เจี่ยนถงก็เช่นกัน มีเพียงแค่เสียงพลิกเอกสารเท่านั้น

ทั้งสองสัมผัสได้ถึงความกระอักกระอ่วน

ไม่มีใครทำลายความรู้สึกแปลกๆนี่

จนในที่สุดก็เปลี่ยนเจี่ยนถงที่ทนต่อไปไม่ไหว

“ประธานเสิ่นคะ”

เธอเปิดริมฝีปาก เปล่งเสียงออกมาเบาๆ

ชายหนุ่มที่อยู่ข้างเตียงยังคงสนใจในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ โดยไม่ตอบสนองต่อเสียงเรียกของเธอ

เจี่ยนถง “……”

จากนั้นไม่นาน เจี่ยนถงก็รู้สึกอึดอัดมายิ่งขึ้น “ประธานเสิ่นคะ”

ครั้งนี้เธอเรียกเสียงดังขึ้น

แต่การตอบสนองสิ่งเดียวที่เขาทำคือ “ฝึบ” พลิกหน้ากระดาษ

“……” หลังจากนั้นไม่นาน “ประธานเสิ่นคะ” ครั้งนี้เธอเรียกเสียงดังยิ่งขึ้น

“มีอะไร” ชายหนุ่มวางเอกสารที่อยู่ในมือ พลางเลิกคิ้วขึ้นหันมองเจี่ยนถง

“ฉินมู่มู่เธอไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”

ตูม!

ระเบิด!

ต่อให้เสิ่นซิวจิ่นจะฝึกฝนความอดทนมาดีแค่ไหน แต่ภายใต้คำพูดของเจี่ยนถงในเวลานี้ มันก็ระเบิด!

“เจี่ยนถง เธอนี่ชักจะซื่อบื้อเกินไปแล้ว ตัวเองเป็นถึงขนาดนี้ ยังจะห่วงคนอื่นอยู่อีกเหรอ”

เจี่ยนถงกัดริมฝีปากของตัวเอง พลางมองไปที่เสิ่นซิวจิ่นอย่างจริงจัง “ประธานเสิ่นผิดแล้วล่ะค่ะ ที่ฉันช่วยเธอ ขอให้แค่คุณไว้ชีวิตเธอ และให้เธอมีร่างกายที่แข็งแรง ส่วนเรื่องอื่นๆก็ตามใจประธานเสิ่นเลยค่ะ”

“ฉันก็นึกว่า ความใสซื่อของเธอจะทำให้เธอเป็นเพื่อนกับคนที่ทำร้ายเธอได้ซะอีก” คำพูดของชายหนุ่มแฝงไปด้วยการประชดประชัน

เจี่ยนถงไม่ได้ยอกย้อน เพียงแค่มองไปที่เขาอย่างจริงจังเช่นเดิม “เธอเป็นพนักงานของคุณ ประธานจะลงโทษเธอก็ได้อยู่แล้ว ฉันแค่ขอให้ครั้งนี้ประธานเสิ่นไว้ชีวิตเธอก็เท่านั้น

สำหรับอนาคตแล้ว ถ้าฉินมู่มู่ยังทำอะไรให้ประธานเสิ่นไม่พอใจอีกล่ะก็ ประธานเสิ่นจะทำอะไร ฉัน

“ทั้งชีวิตฉัน ไม่อยากติดหนี้ชีวิตใครอีกแล้ว”

เธอพูดด้วยความรู้สึกที่กำลังแบกหนี้ก้อนโตเอาไว้

เสิ่นซิวจิ่นมองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าที่สับสน

“ในที่สุดเธอก็ยิมรับแล้วสินะ เจี่ยนถง”

“ในที่สุดเธอก็ยอมรับแล้วว่าเธอติดหนี้ชีวิตใครบางคนไว้อยู่”

“เจี่ยนถง เธออย่ายอมรับสิ”

“เจี่ยนถงเมื่อสามปีก่อนไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมรับเด็ดขาด อย่างงั้นสามปีต่อมาก็ต้องไม่ยอมรับสิ”

“ทำไม ทนความทุกข์ทรมานที่อยู่ในใจไม่ไหวแล้วเหรอ”

เจี่ยนถงลดสายตาต่ำลง แผงขนตาปกปิดความเฉยเมยในนั้น อีกทั้งยังปิดกั้นทุกสิ่งบนโลกนี้

คำพูดนี้ คือคำพูดที่เสิ่นซิวจิ่นพูดกับตัวเธอเมื่อสามปีก่อน เธอต้องอธิบาย ต้องอธิบายแม้จะสิ้นหวังก็ตาม

แต่สามปีให้หลังจนถึงวันนี้ เธอไม่เอาอีกแล้ว

เจี่ยนถงไม่ใช่เจี่ยนถงอีกต่อไป เจี่ยนถงที่ไม่หยิ่งในศักดิ์ศรี ไร้ซึ่งจิตวิญญาณของความเป็นเจี่ยนถง เธอยังเป็นเจี่ยนถงอยู่หรือเปล่า

แต่แค่ยังดีที่เธอและเจี่ยนถง คุณหนูคนโตของตระกูลเจี่ยน แห่งเมือง S มีชื่อเดียวกัน

“พูดสิ ฉันบอกให้เธอพูด เธอไม่มีอะไรจะอธิบายงั้นเหรอ” ใบหน้าของชายหนุ่มดูเย็นชาราวกับว่าปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง แต่ในดวงตาที่ล้ำลึกนั้นแฝงไปด้วยความคาดหวังบางอย่าง ที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองคาดหวังคำอธิบายอะไรจากเธอ

บางที คำอธิบายอย่างขอไปทีของเธอ ก็อาจจะทำให้เขาโล่งใจ

แต่เจี่ยนถงยังคงเฉยเมย…ที่จะอธิบาย?

เมื่อสามปีก่อน เธอคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูเหล็กลานบ้านตระกูลเสิ่น เธอคุกเข่าทั้งๆที่เป็นคืนที่ฝนตก แค่ห้านาทีเขายังไม่ฟังในสิ่งที่เธอจะอธิบาย

แต่แล้ววันนี้ จะให้อธิบายอะไรอีกล่ะ

“ให้ติดคุกฉันก็ติดมาแล้ว ให้รับโทษฉันก็ยอมรับแล้ว” เจี่ยนถงค่อยๆพูดอย่างช้าๆด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า แต่ทำให้คนฟังรู้สึกไม่สบายใจที่ได้ยินอย่างนั้น “จะอธิบายหรือไม่อธิบาย มันก็ไม่จำเป็นแล้วล่ะค่ะ”

สายตาของเธอจับจ้องไปที่ร่างของเสิ่นซิวจิ่น “หรือประธานเสิ่นอยากจะเอาฉันไปทิ้งไว้ที่นั่นอีกเหรอคะ ครั้งนี้จะกี่ปีดี สามปี ห้าปีหรือสิบปีดีคะ”

ดวงตาของเธอดูเฉยเมย ราวกับว่าเธอไม่ได้ใส่ใจ ราวกับว่าเรื่องที่สำคัญกับเธอนี้ มันไม่ได้อยู่ในสายตาของเธอเลย

สีหน้าของเสิ่นซิวจิ่นตึงเครียด เขาเหลือบมองหญิงสาวที่อยู่บนเตียงด้วยความโกรธที่ยากที่จะอธิบาย

“ใช่ มันไม่สำคัญว่าจะอธิบายหรือไม่อธิบาย เพราะเธอได้ยอมรับออกมาจากปากของตัวเองแล้ว ว่าเธอติดหนี้ชีวิตอยู่” สายตาของเสิ่นซิวจิ่นดูเย็นชา “แล้วเธอคิดว่าจะชดใช้ให้กับชีวิตนี้ยังไง!”

“ชีวิตที่เหลือของฉันนับจากนี้ พอไหมคะ” เจี่ยนถงพูดเนิบๆ “ถ้ายังไม่พอ ฉันจะชดใช้ต่อในอีกชาติหน้า และถ้ายังไม่พออีก ฉันก็จะชดใช้ในชาติต่อไป จนกว่าจะถึงวันที่พอใจ”

เธอไม่ได้พูดเลยว่า การติดหนี้ชีวิตในครั้งนี้ มันไม่เกี่ยวอะไรกับเซี่ยเวยหมิงเลย

เพราะเธอเคยพูดไปแล้ว แต่เป็นเขาเองที่ไม่เชื่อ

“ประธานเสิ่น นี่กี่โมงแล้วคะ”

“ห้าโมงครึ่ง”

เจี่ยนถงร้องอ๋อ “งั้นฉันไปทำงานแล้วนะคะ”

พูดจบก็ยกผ้านวมขึ้น พลางจะลุกออกจากเตียง

แต่มือข้างหนึ่งของเสิ่นซิวจิ่นจับเธอไว้ก่อนจะเอ่ย “วันนี้เธอลาป่วยได้。”

“ฉันไม่ต้องการค่ะ”

เสิ่นซิวจิ่นหรี่ตาลง “เธอไม่ต้องการงั้นเหรอ เจี่ยนถง ร่างกายเธอขาดอะไรไป เธอไม่รู้เหรอ เธอไม่ต้องการพักผ่อนหรือไง ฮะ?”

เจี่ยนถงราวกับถูกฟ้าผ่า

จู่ๆเธอก็เบิกตากว้าง ฝ่ามือกำเป็นหมัดแน่น!

แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว ก็ไม่สามารถยับยั้งการสั่นไหวของฝ่ามือได้!

เขาพูดออกมาจนได้!

เขาพูดในสิ่งที่เธอไม่ต้องการให้คนอื่นรู้มากที่สุดออกมาต่อหน้าเธอ!

และคนที่เป็นฝ่ายเริ่มเรื่องก็คือเขา !

“ประธานเสิ่น ฉันขาดอะไรไป ฉันรู้ตัวดี!คุณไม่จำเป็นต้องมาเตือนฉัน!” เธอหายใจหอบจนตัวสั่นเทา ดวงตาสีแดงก่ำ

“ทั้งหมดนี่ ต้องขอบคุณในความเมตตาและความดีของคุณ คุณไม่จำเป็นต้องคอยเตือนฉันซ้ำๆว่าฉันต้องรับในความกรุณา ความห่วงใยของคุณ!”

โกรธ เจ็บปวด เศร้า!

เสิ่นซิวจิ่น คุณทำให้ฉันเจ็บปวด แล้วยังซ้ำเติมฉันด้วยน้ำมือของคุณเอง!

บทที่ 61 ความอ่อนโยนที่น่าอึดอัดที่สุด

เสิ่นซิวจิ่นรู้สึก “ จุก ” อยู่ในใจ “ เจี่ยนถง คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม อย่างไงก็เข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ดี ”

เข้าใจผิด?

เจี่ยนถงจ้องไปที่เสิ่นซิวจิ่น เขาพูดว่าเรื่องนี้มีความเข้าใจผิดอยู่?

“ ประธานเสิ่นไม่ได้จะบอกว่า เรื่องนี้คุณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลย เรื่องนี้คุณไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยหรอกนะคะ? ” เธอไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี เธอรู้เพียงว่าหัวใจนั้นเจ็บ และปวดจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว!

“ ประธานเสิ่นคะ ตัวคุณเองเชื่อไหมคะ? ถ้าคุณไม่ได้สั่ง ใครจะกล้าทำเรื่องแบบนี้กับฉัน! ”

เสิ่นซิวจิ่นนิ่งเงียบไป……จริงด้วย! ถ้าเขาไม่ได้สั่ง แล้วใครจะกล้าทำแบบนี้กับเธอ?

หรือว่าจะเป็นเหมือนที่ไป๋ยู่สิงพูดไว้ ทัศนคติที่เขามีต่อเธอเมื่อสามปีก่อน ทัศนคติที่เขามีต่อเรื่องนี้ จะเป็นตัวกำหนดสถานการณ์ และประสบการณ์สามปีมานี้ของเจี่ยนถง?

ฉะนั้น คนเหล่านั้นถึงได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่ไยดี?

เสิ่นซิงจิ่นเงยหน้ามองไปที่เธอ “ ถ้าเกิดผมบอกว่า…… ”

“ คุณไม่ต้องพูดอะไรแล้ว คุณพูดอะไร ฉันก็เชื่อทั้งหมด จริงๆค่ะ ” เจี่ยนถงยิ้มเบาๆพูดขึ้น จะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันสำคัญด้วยเหรอ?

เสิ่นซิวจิ่น มองไปที่เจี่ยนถง ที่บนหน้าของเธอเขียนไว้อย่างเด่นชัด “ ไม่เชื่อเขา ” กำหมัดแน่นขึ้นในทันที กลืนคำที่เตรียมจะอธิบายไว้ลงไป

“ โอเค ในเมื่อคุณรักในการทำงานขนาดนี้ งั้นก็ตั้งใจทำงานไป ถ้าภายในหนึ่งเดือน เงินห้าล้านอยู่ในบัตร ผมก็จะปล่อยคุณไป ไม่อย่างนั้น คุณจะไปไหนก็ไร้ประโยชน์ ”

เสิ่นซิวจิ่นพูดขึ้นด้วยเสียงที่หนักแน่น และใบหน้าที่เย็นชา

“ คุณพูดถูกค่ะประธานเสิ่น ฉันยังเป็นหนี้คุณห้าล้าน คุณจะได้คืนทั้งหมดภายในหนึ่งเดือนแน่ค่ะ ”

“ ถ้าอย่างนั้น ประธานเสิ่นคะ ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ ” เจี่ยนถงพูด

เสิ่นซิวจิ่นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความเย็นชา จ้องมองไปที่ผู้หญิงคนนี้อย่างไม่ละสายตา เธออยากที่จะคืนเงินห้าล้านนั้นให้หมด และอยากจะหนีเขาไป?

เพราะอะไรกัน?

เพื่อลู่เชนหมอนั่นเหรอ?

ทันใดนั้นเอง อารมณ์ ความรู้สึกมากมายก็ได้ปะทุขึ้นมา ทั้งโกรธ อิจฉา หึงหวง ว้าวุ่น เป็นทุกข์…… ทั้งหมดนี้ ราวกับว่าเป็นสีในชามผสมสี ที่กำลังผสานรวมเข้าด้วยกัน

แต่เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าใจของตัวเองเปลี่ยนไป เขารู้เพียงว่า เจี่ยนถงทำให้เขาโกรธ ทำให้เขาหงุดหงิด

หลังจากที่เธอจากไป เสิ่นซิวจิ่นหยิบมือถือออกมา แล้วโทรไปหาซูเมิ่ง “ หญิงเจ้ากรรมนั้นกำลังไปทำงานที่ตงหวงแล้ว เสิ่นยีมียานอนหลับอยู่ ถ้าหญิงเจ้ากรรมคนนั้นไปถึงตงหวงแล้ว คุณหลอกให้เธอกินยานอนหลับครึ่งหนึ่งนะ ”

“……ประธานเสิ่น คุณพูดถึงใครคะ? ” ซูเมิ่งงงงวย

“ เจี่ยนถง! ”

อุ๊ย โกรธอะไรแรงเบอร์นี้? บอสถูกเจี่ยนถงทำให้โมโหอีกแล้ว?

“ ไม่ได้เป็นอะไร แล้วกินยานอนหลับ……ไม่ดีมั้งคะ? ”

“ คุณคิดว่าเธอมีไข้ 38.3 องศา แล้วยังไปทำงานมันดีหรือไม่ดี? ”

“ อ๋อ เข้าใจแล้วค่ะ รอเจี่ยนถงมาถึงตงหวงแล้ว ฉันจะผสมยานอนหลับกับน้ำร้อน ให้เธอดื่มค่ะ ”

ซูเมิ่งพอจะเข้าใจอะไรแล้ว เจี่ยนถงนี่คิดแต่จะหาเงิน โดยไม่สนชีวิตแล้วจริงๆ

“ อีกเรื่อง คุณไม่ต้องหางานให้เธอแล้วนะ ”อยากใช้หนี้ห้าล้าน อยากจะหนีไปเหรอ? ไม่มีทาง!

“ ……นี่ ทราบแล้วค่ะ แต่คนจะอยู่ตงหวง หรือฝ่ายประชาสัมพันธ์คะ คงปล่อยมันคาราคาซังไม่ได้นะคะ แบบนี้ก็ไม่ดี ถ้าเกิดคนอื่นรู้เข้า ไม่นานก็คงมีคนพูดเอาได้ ”

“ ใครพูดไร้สาระก็ไล่ออกให้หมด นี่ยังต้องให้ผมสอนอีกคุณเหรอ? ”

เสิ่นซิวจิ่นพูดขึ้นอย่างเย็นชา

“ …… ”

อย่างไงคุณก็เป็นเจ้านาย คุณจะว่าอย่างไงก็ได้? คุณแค่เอาตงหวงทั้งหมดมาเล่นๆ นั่นมันก็เรื่องของคุณ เจ้านายใหญ่คุณมีความสุขก็พอ

ซูเมิ่งพูด บางครั้ง เสิ่นซิวจิ่น ก็เป็นคนที่……รวย และเอาแต่ใจมากจริงๆเลย

……

เมื่อเจี่ยนถงมาถึงตงหวง และเพิ่งก้าวเข้าประตูตงหวง ก็ต้องหยุดด้วยซูเมิ่ง

“ เจี่ยนถง เธอมาที่ห้องทำงานฉันแป๊บหนึ่ง ”

เธอเดินตามหลังซูเมิ่งไปอย่างเงียบๆ ตลอดทางขึ้นลิฟต์ไม่ได้พูดอะไร และเดินเข้าห้องทำงานของซูเมิ่งไป

“ พี่เมิ่ง มีอะไรหรือเปล่าคะ? มีงานให้ทำแล้วใช่ไหมคะ? ”

มือที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นของซูเมิ่ง สั่นอยู่ครู่หนึ่ง……เธอกลัวประโยคนี้ของเด็กบื้อคนนี้จริงๆ ที่ใกล้จะกลายเป็นหญิงสาวบื้อที่ต้องมนต์สะกด

“ เสี่ยวถง นั่งก่อนสิ ”เธอไปรินน้ำให้เจี่ยนถง พร้อมกับใส่ยานอนหลับลงไปในแก้วอย่างเงียบๆ ก่อนอื่นเทน้ำร้อนลงไปครึ่งแก้ว และเขย่าแก้วไปมา พอยานอนหลับละลายได้ที่แล้ว ค่อยเทน้ำเย็นตามลงไป และให้มันเข้ากัน

“ นี่จ้ะ ดื่มน้ำก่อนนะ ”

“ ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่เมิ่ง ” ตั้งแต่ฟื้นขึ้นจากโรงพยาบาล ยังไม่ได้ดื่มน้ำเลยแม้แต่อึกเดียว น้ำแก้วนี้ของพี่เมิ่ง เหมือนฝนที่มาได้ถูกเวลาจริงๆ “ ฉันกำลังคอแห้งพอดีเลยค่ะ พี่เมิ่งมาได้เวลาพอดีเลย ”

ซูเมิ่งที่อยู่ข้างๆ ฝืนยิ้มออกมา…..เด็กโง่เอ๊ย อย่าไร้เดียงสาขนาดนี้เลย นายใหญ่สั่งให้ฉันให้เธอกินยานอนหลับ เธออย่าคิดไปเรื่อยเลย

เหลือบมองเจี่ยนถงที่ดื่มน้ำในแก้วจนหมดเกลี้ยง และยื่นแก้วให้ตัวเอง “ พี่เมิ่งคะ มีอีกไหมคะ? ”

“ ห้ะ มีจ้ะ! มีๆๆ! ” ต้องมีอยู่แล้ว!

เจี่ยนถงดื่มน้ำสองแก้วในคราวเดียว ถึงรู้สึกว่าคอตัวเองไม่แห้งขนาดนั้นแล้ว

“ พี่เมิ่งคะ มีงานอะไรให้ทำไหมคะ? ”

ซูเมิ่งปวดหัวตุ๊บ เธอกลัวประโยคนี้ของเจี่ยนถงจริงๆ……เมื่อก่อนก็กลัว เด็กบื้อคนนี้ในหัวมีแต่เรื่องเงินเท่านั้นแล้วหรือ?

“ ตอนนี้ยังไม่มี ” ถึงจะมีก็ไม่กล้าให้เธอหรอก นายใหญ่เป็นคนสั่งเธอเองด้วย จึงไม่กล้าสั่งงานเธอหรอก

ถึงจะเห็นใจเจี่ยนถงขนาดไหน ซูเมิ่งก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของเสิ่นซิวจิ่น

เธอที่เคียงข้างเสิ่นซิวจิ่น และค่อยๆมาจนถึงจุดนี้ได้ เธอเห็นทั้งวิธีการ และความสามารถของเสิ่นซิวจิ่นมาเองกับตา ……เธอเองก็กลัว

“ พี่เมิ่งคะ ทำไมฉันรู้สึกง่วงมากขึ้นเรื่อยๆเลย? ” เจี่ยนถงพูดไปด้วย และขยี้ตาไปมาไปด้วย

“ คนเป็นไข้ก็แบบนี้แหละ เธอน่ะควรพักอยู่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการ ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ควรนอนพักอยู่บ้าน ” ซูเมิ่งแตะหน้าผากของเจี่ยนถงไปมา “ ถึงเธอจะมาตงหวงก็ไม่มีประโยชน์อะไร ตอนนี้ก็ไม่มีงานให้เธอทำอยู่ดี มาเสียเที่ยวเแล่าๆ เอางี้ดีกว่า ตอนนี้เธอนอนพักที่ห้องฉันแป๊บหนึ่งก็แล้วกัน ”

“ อืม……แต่ว่าประธานเสิ่นบอกว่า ฉันต้องคืนเงินห้าล้านให้หมดภายในหนึ่งเดือน……พี่เมิ่ง ฉันไปล้างหน้าก่อนก็แล้วกัน ”

เห็นได้ชัดว่าเจี่ยนถงพูดอย่างสะลึมสะลือแล้ว ซูเมิ่งมองไปที่เธอที่ยังคงแน่วแน่

ในหัวก็นึกถึงคำที่เจี่ยนถงพูดเมื่อกี้นี้ เรื่องนั้นจะเป็นไปได้อย่างไง ถึงแม้ว่าจะบวกกับก่อนหน้านี้ ก็ไม่มีทางที่จะเก็บได้ห้าล้านภายในหนึ่งเดือนหรอก

บอสให้เจี่ยนถงทำในสิ่งที่สำเร็จไม่ได้ นี่ก็แสดงว่า แสดงว่าบอสคงไม่ตั้งใจจะให้เจี่ยนถงทำเรื่องนี้สำเร็จหรอกนะ!

“ อืม……พี่เมิ่งคะ…… ”

เมื่อได้ยินเสียงที่งัวเงีย และเหนื่อยล้าของเจี่ยนถง ซูเมิ่งก้มหน้าลง ยัยตัวดี ยาเริ่มออกฤทธิ์แล้ว

เธอหยิบผ้าห่มหนึ่งผืนออกมาจากตู้ ปกติแล้วเธอก็จะนอนที่โซฟาครู่หนึ่ง ตอนเมื่อยล้าเหมือนกัน

ซูเมิ่งก้มลง คลุมผ้าห่มให้กับเจี่ยนถง

ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ประตูห้องทำงานถูกเปิดออก ซูเมิ่งรีบลุกขึ้นยืน “ ท่านประธานเสิ่น ” เป็นบอสที่มา บอสยังพาอีกคนมาด้วย “ สวัสดีค่ะคุณชายไป๋ ”

“ ไป๋ยู่สิง เจาะน้ำเกลือให้เธอเลย ”

ไป๋ยู่สิงรู้สึกหดหู่ใจมาก “ ฉันเป็นหมอ หมอ! ไม่ใช่พยาบาล! ”

“ โอ้~ แม้แต่งานของพยาบาลนายก็ทำไม่เป็นแล้ว ”

“ เหอะ! เจาะน้ำเกลือ เรื่องง่ายขนาดนี้ ฉันไม่เป็น? ฉันจะไม่เป็นได้วะ! ” ไป๋ยู่สิงเล่นหน้าเล่นตา แต่ก็มีความหดหู่ใจอยู่บ้าง จึงโน้มตัวลง และคว้าฝ่ามือของเจี่ยนถง

ทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้ว เมื่อหัวเข็มกำลังจะเข้าไป……

“ ไป๋ยู่สิง แกยังไม่ต้องเจาะ นายบอกฉันมาตามจริง นายช่วยคนอื่นเจาะน้ำเกลือเป็นจริงไหม? ”

เข็มในมือของไป๋ยู่สิงตกใจกับเสียงนี้ จึงไปเจาะผิดเส้นเลือด ชายที่อยู่ข้างๆหน้ามืดครึ้ม “ ไป๋ยู่สิง ถ้านายไม่เป็นต้องบอกนะ ฉันจะหาคนที่เป็นมา อย่าฝืนทำเลย ”

ใครฝืนทำ?

ใครฝืนทำ!

บ้าแกดิเสิ่นซิวจิ่น ถ้าไม่ใช่เพราะนายทำให้ฉันตกใจ ฉันจะเจาะผิดเหรอ?

“ นายอย่าพูดมาก เสิ่นซิวจิ่น ถ้าเกิดว่าฉันเจาะไม่ได้ พรุ่งนี้ฉันจะไปเขียนใบลาออก กลับบ้านไปช่วยตาแก่ทำงาน โอเคไหม ”

บทที่62 ของที่ฉันไม่เอา

ไป๋ยู่สิงพิสูจน์ตัวเองได้สำเร็จ……ว่าเจาะน้ำเกลือให้คนอื่นเป็นจริงๆ!

“ ก็บอกแล้วไง ว่าฉันนะอัจฉริยะ เรื่องง่ายๆแค่นี้ ฉันจะทำไมเป็นเหรอ? ฉันจะบอกอะไรให้นะ เสิ่นซิวจิ่น ที่ฉันเป็นแพทย์ส่วนตัวให้นายได้น่ะ เพราะฉันมีความสามารถ นายคอยดูก็แล้วกัน ”

ทันใดนั้นไป๋ยู่สิงก็รู้สึกโมโหก็อารมณ์ดีขึ้นมา อย่าพูดเลยว่าเมื่อกี้หงุดหงิดมากแค่ไหน ปากนั้นของเสิ่นซิวจิ่นนั้น แสบยิ่งกว่าพิษของปลาปักเป้าเสียอีก

“ ให้เงินเดือนนายเพิ่ม! ”

ไป๋ยู่สิงเลิกคิ้ว เพื่อต้องการดูถูกเสิ่นซิวจิ่น สุดท้ายอีกฝ่ายพูดประโยคหนึ่งขึ้นเสียงดัง “ ฉันจะเพิ่มเงินเดือนให้นาย ”

ไป๋ยู่สิงไม่ได้ขาดเงิน~ ถ้าเขาแคร์เงินจริง ก็คงกลับไปเป็นคุณชายของตระกูลไป๋แล้ว ไปเป็นผู้จัดการ ช่วยพ่อของเขา เงินที่ได้มาทั้งเยอะทั้งเร็ว

“ เสิ่นซิวจิ่น นายจงใจใช่ไหม ฉันช่วยแฟนตัวน้อยของนายเสร็จแล้ว นายยังจะทำให้ฉันดูแคลนอีก? ”

แม้ว่าจะโกรธเพียงไหน ไป๋ยู่สิงก็ไม่คิดจะพูดความในใจ

แบบนี้ก็ดีแล้ว!

ทันใดนั้น!

บรรยากาศที่ตึงเครียด รอบข้างก็ค่อยๆนิ่งสงบลง

“ แฟนตัวน้อย? นายหมายถึงใคร? ” หลังจากนั้นไม่นาน เสียงของเสิ่นซิวจิ่นก็เย็นสงบลง

หลังจากที่ไป๋ยู่สิงพูดจบ ก็แอบ ดุปากตัวเองอยู่ แต่เมื่อมองท่าทีที่นิ่งเย็นชาของเสิ่นซิวจิ่น และใช้หางตาเหลือบไปมองเจี่ยนถงที่กำลังหลับอยู่บนโซฟา

ใจที่โกรธแค้นเคืองใจอยู่ พูดทั้งหมดออกมาอย่างไม่ยั้งคิด

“ ใคร? ไม่ใช่เจี่ยนถงเหรอ? ”

ไป๋ยู่สิงยิ้มมุมปาก “ เสิ่นซิวจิ่น นายอย่าบอกนะว่าเธอไม่ใช่ ถ้าเธอไม่ใช่แฟนสาวของนาย ทำไมนายต้องสนว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไงด้วย เธอเป็นไข้มันเรื่องอะไรของนาย และนายอย่าบอกนะ ว่านายแค่สงสารเธอ

เสิ่นซิวจิ่น นายเป็นคนอย่างไงกันแน่ ตัวเองไม่รู้เหรอ ฉันไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าท่านประธานใหญ่เปลี่ยนไปเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

และอีกอย่าง ถ้าไม่ใช่แฟนสาวนาย นายจะขับรถส่งไปโรงพยาบาลกลางดึกเองทำไม? เลิกฟอร์มสักทีเถอะ! ”

ซูเมิ่งรู้สึกว่า ตอนนี้เธออยู่ที่นี่ไม่ค่อยจะเหมาะสมเท่าไหร่

“ อะแฮ่ม……ประธานเสิ่นคะ ถ้าไม่มีอะไร ฉันออกไป…….” ก่อนนะคะ

“ ฝากเธอไว้กับคุณที่นี่นะ คุณดูแลเธอให้ดีหล่ะ ถ้าเธอตื่นมา คุณก็บอกเธอว่าเธอเป็นลมไป จึงให้คนรู้จักมาเจาะน้ำเกลือให้ ”

เสิ่นซิวจิ่นที่เย็นชา ออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นยื่นมือไปจับแขนของไป๋ยู่สิง เพื่อดึงเขาออกจากห้องทำงาน และมุ่งไปที่บันไดหนีไฟ

“ นายปล่อยมือนะ! เสิ่นซิวจิ่น ฉันเตือนนายนะ ถ้านายยังไม่ปล่อยมือ ฉันจะต่อยนายจริงด้วย ”

ไป๋ยู่สิงถูกเสิ่นซูวจิ่งลางไปที่บันไดหนีไฟ เมื่อไปถึง ไป๋ยู่สิงตะโกนขึ้น จากนั้นเสิ่นซิวจิ่นก็ผลักเขาไปข้างหน้า “ นายจะต่อยฉัน? ได้เลย มาสิ มาลองดูสักตั้ง ”

ดูเสิ่นซิวจิ่นที่โดนกำลังยั่วยุไปมา ไป๋ยู่สิงโมโหจนอดไม่ได้ที่จะดุตัวเอง แม่งเอ๊ย ใครจะอยากต่อยตีกับเขาจริงล่ะ!

“ นี่ มีอะไรพูดกันดีๆ พวกเราเป็นพี่น้องกันนะ มีอะไรค่อยๆเคลียร์ ”

หน้าอันสง่าของเสิ่นซิวจิ่นนิ่งมากขึ้น “ ไป๋ยู่สิง เรื่องระหว่างฉันกับผู้หญิงคนนั้น นายรู้ดีที่สุด! ”

ไป๋ยู่สิงรู้ว่าเสิ่นซิวจิ่นกำลังเตือนตัวเองอยู่ ว่าอย่าพูดเรื่องระหว่างเจี่ยนถงและเสิ่นซิวจิ่นอีก

“ ……แล้วทำไมนายต้องเป็นห่วงว่าเธอจะเป็นตายด้วย ” มันเกี่ยวอะไรกับนาย?

ในแววตาของเสิ่นซิวจิ่นเต็มไปด้วยความนิ่งเฉย ริมฝีปากบางถูกยกขึ้น “ ถึงแม้ว่าจะเป็นของที่ฉันไม่เอาแล้ว ถ้าฉันยังไม่อนุญาต ไม่ว่าจะเป็นจะตายก็เอาไปจากมือฉันไม่ได้ ” สายตาที่เย็นชาของเขา ทำให้ไป๋ยู่สิงสะดุ้งขึ้น

“ พูดแบบนี้แล้ว ยู่สิง นายเข้าใจไหม? ”

ไป๋ยู่สิงมองไปที่เสิ่นซิวจิ่น จากนั้นนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง และเงยหน้าขึ้น “ อาซูว นายคิดแบบนั้นจริงๆเหรอ นายเกลียดเธอมากขนาดนั้นจริงๆเหรอ? ”

“ เธอทำให้เซี่ยเวยเหมิงตาย ”

เพียงประโยคเดียว ทำให้ไป๋ยู่สิงหมดคำจะโต้เถียงไปเลย

เธอทำให้เซี่ยเวยเหมิงตาย…….แค่นี้ก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้เสิ่นซิวจิ่นโกรธเกลียด

“ ทุกคนควรชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป ” เสิ่นซิวจิ่นพูดประโยคนี้กับไป๋ยู่สิงอย่างเลือดเย็น จากนั้นเปิดประตูออกจากทางหนีไฟไป

……

ใต้ตึกตงหวง มีเบนท์ลีย์คันหนึ่งจอดอยู่ที่นั่น ขึ้นไปนั่งที่คนขับ เสิ่นซิวจิ่นเหยียบคันเร่ง จากนั้นรถก็แล่นออกไป

เปิดบลูทูธ และกดโทรไปเบอร์หนึ่ง “ เสิ่นยี ตอนนี้ฉันกำลังรีบไปให้ทัน ”

เป็นประโยคที่กระชับและชัดเจน ประหยัดเวลาทำมาหากินมาก

ตอนนี้เสิ่นซิวจิ่นอารมณ์เสีย อารมณ์เสีย “ มาก ”

ไป๋ยู่สิงหมอนั้น ที่วันนี้เหมือนจะสะกิดผิดจุด และพูดจาไร้สาระ

เจี่ยนถงเป็นแฟนสาว?

หึหึ~

ตรงที่นั่งคนขับ ปลายปากของเขาเต็มไปด้วยคำพูดที่ทั้งถากถาง และเหยียดหยาม…….เขาเป็นห่วงเธอ? ผู้หญิงคนนั้น? เจี่ยนถง?

ถ้าอย่างนั้น แล้วทำไมตัวเองถึงได้ส่งผู้หญิงคนนั้นไปโรงพยาบาลกลางดึกด้วยล่ะ?

ในหัวของเสิ่นซิวจิ่น ก็เกิดความสงสัยนี้ขึ้น

แม้ว่าจะกำลังขับรถอยู่ แต่กลับคิดโน้นคิดนี่ ในหัวยังคงคิด และวิเคราะห์สำหรับคำตอบของปัญหานี้

คำอธิบายเดียวก็คือ เขายังไม่อยากปล่อยผู้หญิงคนนี้ไปง่ายๆ!

“ ชีวิตคนทั้งคน แค่สามปี มันยังน้อยไปสำหรับเธอแล้ว ” เมื่อม่ถึงที่หมาย เหยียบเบรกรถลงที่นั่น ภายในใจเสิ่นซิวจิ่นก้าวผ่านประโยคนั้นมาได้

“ บอส คุณมาแล้ว ” เสิ่นยีรออยู่ปากประตู

นี่เป็นโกดัง

“ เธออยู่ไหน? ”เมื่อเขาลงจากรถ ขาอันเรียวยาวก้าวอย่างรวดเร็วราวกับจะบินได้ พร้อมกับเสิ่นยีที่อยู่ข้างๆไปด้วย

“ อยู่ข้างในครับ ผมนำทางคุณ ” เสิ่นยีไม่พร่ำเพรื่อ พูดอย่างกระชับรัดกุม และพาเสิ่นซิวจิ่นมุ่งไปที่โกดัง

ข้างในนั้น ยังมีห้องเล็กๆห้องหนึ่ง เสิ่นยีเปิดประตูออก “ บอสครับ เธอไม่ยอมฟังเลย เธอโวยวายอยู่นั่น พวกเราไม่มีทางแล้ว จึงปิดปากเธอไว้ และมัดมือแขนมัดขาเธอ ”

เสิ่นซิวจิ่นเดินไปที่ห้องเล็กๆนั้น หญิงสาวที่ขี้อายเมื่อเห็นเสิ่นซิวจิ่นเดินเข้ามานั้น แววตาอันบริสุทธิ์ และสวยงามก็เต็มไปด้วยการขอความเมตตาอย่างน่าสงสาร

ท่าทางแบบนี้ ดูแล้วช่างน่าสงสารจริงๆ ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่น ก็คงจะรู้สึกว่าใจอ่อนระทวย

แต่บนหน้าเสิ่นซิวจิ่นที่สง่า และหล่อเหลานั้น ไม่ได้มีความรู้สึกใดๆแสดงออกมา เขายืน และกระดิกนิ้วไปมา

ทันใดนั้นเสิ่นยีก็สังเกตเห็น และรีบก้าวไปข้างหน้า จากนั้นถอดผ้าออกจากปากเธออย่างเงียบๆ

“ แค่ก แค่กๆๆๆ……. ”

เมื่อเธอไอขึ้น อีกด้านหนึ่ง เสิ่นยียื่นถุงมือหนังสีดำคู่หนึ่งให้กับเสิ่นซิวจิ่นอย่างคุ้นเคย จากนั้นสวมถุงมือขั้นอย่างไม่ลังเล ทั้งๆเป็นแค่เพียงการใส่ถุงมือที่ง่ายๆ แต่เมื่อเป็นเขาทำแล้ว มันกลับดูทั้งสง่า……และน่ากลัว

ผ้าบนปากที่ถูกถอดออก ฉินมู่มู่ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันที แต่ถูกปิดปากด้วยผ้าเป็นเวลานาน แต่หลังจากเอาผ้าออกจากปาก เธอก็อดไม่ได้ที่จะไอขึ้น ไอจนหน้าแดงไปทั้งหน้า

เท้าคู่หนึ่งของชายคนหนึ่ง ปรากฏขึ้นในสายตาของเธอ ฉินมู่มู่หยุดชะงักลง ทันใดนั้น คางของเธอถูกบีบขึ้นอย่างแรง เธอมองเข้าไปในแววตาคู่ที่สุดแสนจะน่ากลัวนั้น

“ ตอนนี้ผมอารมณ์ไม่ดีมาก ไม่มีความอดทนอะไรทั้งนั้น ต่อไป ผมถามอะไรคุณ ทางที่ดีคุณควรตอบมาตรงๆดีกว่านะ ”

ภายในใจของฉินมู่มู่มีความสั่นกลัว แต่มือบนคางนั้น กลับไม่ได้มีความปรานีเลยแม้แต่น้อย มันเจ็บ เจ็บมากๆ เจ็บซะจนน้ำตาของฉินมู่มู่เอ่อล้นออกมา

“ ทำไมต้องให้ร้ายเจี่ยนถง? ”

บทที่63 เจี่ยนถงหลอกล่อคุณเซียวอย่างไร้ยางอาย

เจี่ยนถง!

เจี่ยนถงอีกแล้ว!

ทำไมทุกคนสนใจเจี่ยนถงมากอย่างนี้เชียว

ฉินมู่มู่ไม่ยอมรับว่าเธออิจฉาเจี่ยนถง ในขณะที่เธอยังตกอยู่ในสถานการณ์นี้

“ นาย นายใหญ่คะ ”

เธอพูดขึ้นอย่างสั่นกลัว “ ฉันไม่ได้ให้ร้ายเจี่ยนถงนะคะ ”

“ ผมไม่ฟังคำพูดไร้สาระนี้ ” คำพูดนี้ไร้ซึ่งความอ่อนโยน มือของเขาที่สวมถุงมือหนัง จงใจบีบอย่างแรงไปที่คางของฉินมู่มู่ มันแรงขนาดที่ว่า จะสามารถบดขยี้กระดูกขากรรไกรของเธอได้

ฉินมู่มู่ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ทันใดนั้นเธอก็สงสัย ว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อกี้นี้ จะเป็นเสียงกระดูกของตัวเองที่แตกเป็นเสี่ยงๆ

“ ฉัน ฉัน ฉันบอกค่ะ ” เธอรู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นประหนึ่งปีศาจร้าย ที่เปี่ยมไปด้วยความน่ากลัว มันน่ากลัวมากจริงๆ และยิ่งทำให้เกลียดเจี่ยนถงมากยิ่งขึ้นไปอีก……ทั้งๆที่ต่อหน้าตัวเอง รับปากว่าจะช่วยตัวเองอ้อนวอน!

จริงๆแล้วไม่ได้ช่วงเลย!

จริงๆก็แค่แสร้งเป็นคนดีเท่านั้น!

แสร้งว่ามีน้ำใจ!

น่าขยะแขยง! ผู้หญิงเสแสร้ง!

นังโสเภณี!

คนที่แสดงเก่งที่สุดก็เธอแล้วละมั้ง!

ไม่ว่าฉินมู่มู่จะคิดอะไรอยู่ในตอนนี้ แต่ขณะนี้ เธอกลัวปีศาจร้ายที่อยู่ต่อหน้ามากจริงๆ

“ คุณเซียวค่ะ ”

คุณเซียว? ……เสิ่นซูวเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “ เซียวเหิงเหรอ? ”

“ ใช่ค่ะ ฉันชอบคุณเซียว แต่ว่าเจี่ยนถงทำให้คุณเซียวเกิดความสับสน ถ้าเกิดว่าเจี่ยนถงเป็นหญิงสาวที่ไม่ใช้เล่ห์มารยา ฉันก็คงไม่พอใจเธอมากขนาดนี้

แต่เธอไม่ใช่! เจี่ยนถงเธอทำทุกอย่างได้เพื่อเงิน คุณเซียวกลับหลงกลเธอ และตอนนี้ก็ยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเธอเลย

ฉันไม่อยากให้คุณเซียวถูกผู้หญิงอย่างเจี่ยนถงร่ายคาถา และหลอกลวงเอาได้ เธอหลอกล่อคุณเซียวซะขนาดนั้น ไม่ใช่แค่เงินของคุณเซียวหรอกเหรอคะ? ”

เมื่อฉินมู่มู่พูดเรื่องพวกนี้ ไม่เพียงพูดเรื่องแค่เรื่องที่ตัวเองให้ร้ายเจี่ยนถง หรือเหตุผลที่ไม่ชอบเจี่ยนถง แต่ในใจ เธอยังมีเจตนาแฝง จึงพูดเรื่องพวกนี้ออกมา เพื่อทำให้ชายตรงหน้าคนนี้ มองออกว่าเจี่ยนถงเป็นคนอย่างไง!

เสิ่นยีขมวดคิ้วขึ้น แต่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ได้แค่ยื่นอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆ

บนหน้าที่เย็นชาของเสิ่นซิวจิ่น มองไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไง

สายตาลดลง จ้องมองไปที่ฉินมู่มู่ที่อยู่ตรงหน้า “ คุณบอกว่าเจี่ยนถงหลอกล่อเซียวเหิง มีหลักฐานไหม? ”

“ มีค่ะ! ” เมื่อพูดถึงสิ่งนี้ ตาของฉินมู่มู่เบิกกว้าง ประกายไม่ด้วยความโกรธแค้น “ ตอนฉันอยู่ทางหนีไฟ ฉันบังเอิญเจอพวกเขากำลังจูบกันอยู่ ”

เสิ่นซิวจิ่นถูกดึงให้จมดิ่งลง “ คุณบังเอิญเจอพวกเขาจูบกันที่ทางหนีไฟ? ”

“ ใช่ค่ะ! ฉันเห็นเองกับตา คุณเซียวกับเจี่ยนถง พวกเขาทั้งสองจูบกันอย่างนัวเนียเร่าร้อน! ”

ทันใดนั้น เสิ่นซิวจิ่นก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ก็เดี๋ยวนั้นเองก็ค่อยๆ!

ภายใต้แววตาก็ค่อยๆปรากฏความเยือกเย็นนั้น ความหนาวเย็น และน้ำค้างแข็งแผ่ไปทั่วใบหน้าอันสง่า และหล่อเหลา เสิ่นยีที่ติดตามเสิ่นซิวจิ่นมาเป็นเวลานานที่สุด เป็นคนแรกที่สังเกตเห็นอารมณ์ที่ผันผวน และเปลี่ยนไปของบอสของตัว

“ ยิ่งไปกว่านั้น คุณเซียวไม่ได้ทำกับเจี่ยนถงเหมือนคนทั่วไป ครั้งก่อนที่เจี่ยนถงหกล้ม คุณเซียวยังพยุงโอบเอวเธอขึ้นมาเองกับมือ ”

เมื่อพูดถึงเจี่ยนถง ขณะนั้นเอง ฉินมู่มู่ลืมสถานะตัวเองไปชั่วขณะ ในหัวเต็มไปด้วยความโกรธ ระเบิดออกมา และตะคอกขึ้น

“ เป็นไปได้อย่างไง เจี่ยนถงมีอะไรดีกัน? หน้าตาสะสวย หุ่นดี อารมณ์ดี ภูมิหลังครอบครัวดี หรือว่ามีการศึกษากัน? ”

“ เจี่ยนถงไม่มีสักอย่าง ไม่รู้ว่าเธอใช้ร้อยเล่ห์มายาอะไรกัน ที่เสกให้คุณเซียงหลงกล? บางที่อาบเป็นเพราะเสแสร้งทำเป็นน่าสงสาร และให้คุณเซียวเห็นใจ? ท่าทีแบบนี้อย่างเจี่ยนถง คุณเซียวคงไม่เคยเจอมาก่อน ”

เมื่อฉินมู่มู่พูดถึงเจี่ยนถง เธอโกรธมากจริงๆ และมีความไม่พอใจเจี่ยนถงอยู่เต็มอก ในตอนนี้มีโอกาส ได้พูดเรื่องเธอต่อหน้าเจ้านายเธอ ฉินมู่มู่พูดสิ่งที่อยู่ในใจ วันนี้จะต้องเผยหน้าที่แท้จริงเจี่ยนถงต่อหน้านายใหญ่ให้หมด!

เสิ่นยีขมวดคิ้ว มองไปที่ฉินมู่มู่ที่ไร้เดียงสานี้ ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกว่าอึดอัดใจ ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะลืมแล้ว ว่าเรื่องที่เธอบอกเจี่ยนถงตอนอยู่ที่นี่ เจี่ยนถงยังขอร้องอ้อนวอนต่อหน้านายใหญ่อยู่เลย

ทำคุณบูชาโทษ!

ใบหน้าของเสิ่นซิวจิ่นที่เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง ทันใดนั้นก็ค่อยๆคลายนิ้วออก สะบัดคางของฉินมู่มู่ไปด้านข้างอย่างแรก จากนั้นยืนขึ้น และค่อยๆกวาดสายตามองไปที่ฉินมู่มู่ที่นั่งอยู่บนพื้น

“ น่าขยะแขยงจริง ”

พูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ และเย็นชา จากนั้นมองด้วยสายตาที่รังเกียจ

ฉินมู่ไม่เข้าใจความหมายของเขา พูดขึ้น “ ใช่ค่ะ ผู้หญิงอย่างเจี่ยนถงหน่ะ น่าขยะแขยงจริง ”

“ ไม่ใช่ ผมหมายถึงคุณ น่าขยะแขยงจริงๆ ”

ฉินมู่มู่ตกใจในทันที

เสิ่นซิวจิ่นพูดขึ้น “ ในที่สุดผมก็รู้แล้ว ว่าทำไมเซียวเหิงถึงผลักคุณไปให้กับตู้ลี่ฉุน ” แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงเบา และทุ้มต่ำ “เพราะว่าคุณมันน่าขยะแขยงจริงๆ ”

“ ฉัน……” เธอน่าขยะแขยงตรงไหน? เธอน่าขยะแขยงตรงไหน!

“ ระหว่างฉันกับเจี่ยนถง ”

“ คุณอย่าไปเทียบกับเจี่ยนถงเลย ถึงแม้ว่าชาติหน้าจะยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าหน้าตา รูปร่าง หรือว่าการศึกษา ภูมิหลังครอบครัว คุณก็สู้เธอไม่ได้ ”

หน้าตา รูปร่าง การศึกษา ภูมิหลังครอบครัว……เจี่ยนถงเมื่อสามปีก่อน ไม่เคยขาดสิ่งเหล่านี้

เสิ่นซิวจิ่นรู้สึกอับอายใจอยู่มาก เหมือนว่าเขาเป็นคนฉุดดึงเธอลงมาเองกับมือ ผลักเธอลงมาจากแท่นบูชา

แต่ทุกวันนี้ สิ่งเหล่านี้ที่เจี่ยนถงไม่เคยขาด กลับกลายเป็นเหตุผลที่ฉินมู่มู่ใช้โจมตีเธอ

“ บอสครับ ” เสิ่นยีเรียกขึ้น ช่วงนี้รู้สึกว่าบอสจะเหม่อลอยบ่อย

เสิ่นซิวจิ่นที่โดนเสิ่นยีเรียกขึ้น สติกลับคืนมา มองลงไปที่ฉินมู่มู่ “ ฉากที่เจี่ยนถงจมน้ำจนเกือบตายนั้น จริงๆแล้วเซียวเหิงจัดไว้ให้คุณ ”

ฉินมู่มู่หน้าซีดเป็นไก่ต้มในทันที!

ตาลุกโต……ไม่! เป็นไปไม่ได้!

“ คุณโกหกฉัน! คุณเซียวที่เป็นคนดีขนาดนั้น! ”

เสิ่นซิวจิ่นเกือบกลั้นขำไม่อยู่ เซียวเหิงเป็นคนดี? เป็นคนดีมาก?

เขาขี้เกียจจะต้องพูดอะไรกับฉินมู่มู่ พยักหน้าให้เสิ่นยี เสิ่นยีก็เข้าใจในทันที และเดินไปดึงฉินมู่มู่ขึ้นมา

“ คุณจะพาฉันไปไหน? ” ฉินมู่มู่ตระหนก! เธอกลัวว่านายจะทำอะไรที่น่ากลัวกว่านี้กับเธอ

“ หนวกหู ”

เขาตวาด เสิ่นยีรีบปิดปากของฉินมู่มู่ลงอีกครั้ง และเธอก็ถูกเสิ่นยีจับขึ้นรถ

หน้าโกดัง รวมเบนท์ลีย์ของเสิ่นซิวจิ่น และรถยนต์สีดำเป็นทั้งหมดห้าคัน ขับออกไปพร้อมกัน

……

วิลล่าของเซียวเหิงในเมืองS เป็นที่ที่เขาอาศัยมานาน

รถยนต์สีดำห้าคัน จอดลงทีละคันที่หน้าป้อมยามวิลล่าของเซียวเหิง

“ โทรหาเซียวเหิง บอกกับเขาว่า เสิ่นซิวจิ่นส่งของขวัญมาให้เขา ”

ยามเห็นท่าทางนี้ อีกฝ่ายก็ไม่ได้จะยั่วยุอะไร ท่าทีก็เป็นปกติเหมือนคนทั่วไป และเมื่อได้ยิน “ เสิ่นซิวจิ่น” ชื่อนี้เข้าไป แม้ว่าเขาเป็นยามเฝ้าประตูในชุมชนนี้ แต่ก็เคยได้ยินชื่อเสิ่นซิวจิ่นชื่อดังของเมืองs คนนี้

ไม่กล้าจะมีปัญหาด้วย จึงรีบโทรไปหาเซียวเหิง “ คุณเซียวครับ หน้าประตูมีคนมาเป็นโขยงเลยครับ เขาฝากผมมาบอกคุณด้วย ”

“ ฝากบอกอะไร? ” เซียวเหิงถามขึ้นจากมือถือด้วยความขี้เกียจ

“ เสิ่นซิวจิ่นส่งของขวัญมาให้คุณครับ ”

เซียวเหิงที่เกียจคร้าน รีบขยี้ตาไปมา มีแรงลุกขึ้นมาในทันที ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ เชิญคุณเสิ่นเข้ามานั่งในบ้านสิ ”

เมื่อประตูเปิดออก รถสีดำทั้งห้าก็ถูกปล่อยเข้ามา และไปจอดลงตรงหน้าประตูวิลล่าของเซียวเหิง

“ ประธานเสิ่นมาก็พอแล้ว ยังเอาของขวัญมาด้วย ช่างดีเกินไปแล้ว ” เซียวเหิงสวมชุดนอน ชะโงกหน้าออกมาที่หน้าประตู และพูดขึ้นด้วยความเหน็บแนม

เสิ่นซิวจิ่นยิ้มอย่างเยือกเย็น “ คุณชายเซียวมีนิสัยชอบพูดที่ประตู? ”

“ เชิญครับประธานเสิ่น ” เซียวเหิงรีบมีมารยาท เชิญเสิ่นซิวจิ่นเข้าบ้าน

เมื่อเข้าไปในบ้าน เสิ่นซิวจิ่นก็ไม่มีความเกรงใจ และลงบนโซฟา เซียวเหิงเดินไปที่บาร์ “ ดื่มอะไรครับ? ”

“ คุณชายเซียว ผู้หญิงคนนี้คุณรู้จักไหมครับ? ”

ตอนที่ถามคำถามนี้ ฉินมู่มู่ก็ล้มลง และนั่งลงตรงเท้าของเซียวเหิง

บทที่64 เธอกับเซียวเหิงไปทำอะไรมาบ้าง

เมื่อฉินมู่มู่เงยหน้าขึ้น ก็สบดวงตาอันลึกคู่หนึ่ง

ในตอนนี้ ใบหน้าของฉินมู่มู่ ก็ยังคงแดงระเรื่ออยู่

เธอมองไปที่เซียวเหิงอย่างผวา “ คุณ คุณเซียว ”

กะพริบตาขึ้นลง หวังว่าเซียวเหิงจะช่วยเธอไว้

เซียวเหิงวางเหล้าในมือลง เขาก็มองไปที่ฉินมู่มู่ และหัวเราะขึ้น ฉินมู่มู่ใจเต้นแรงมากกว่าเดิม มีความตื่นเต้นอยู่……แน่นอนว่าเซียวเหิงยังจำตัวเองได้

“ ประธานเสิ่น เธอเป็นใครกัน? ”

ตอนนั้นเอง ฉินมู่มู่ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ราวกับว่าตกเข้าไปในห้วงแห่งความหนาวเย็น

เสิ่นซิวจิ่นนั่งไขว้ขาอันเรียวยาวอย่างสง่าอยู่บนโซฟา “ เธอหน่ะ เธอบอกว่าเธอชอบเซียวเหิง ฉันคิดว่า หญิงสาวที่บริสุทธิ์ ไร้เดียงสานี้ทำไมให้ใจคุณมากขนาดนี้ ในฐานะของหุ้นส่วนที่เติบโตมาด้วยกัน จะว่าอย่างไงดี ผมก็จะพาเธอมาหาคุณชายเซียวเอง เพราะกลัวว่าคุณชายเซียวจะพลาดรักแท้ไป ”

ถ้าเกิดว่าเสิ่นซิวจิ่นจะทำให้เซียวเหิงขยะแขยง งั้นเซียวเหิงก็จะแสดงให้เห็นแล้วว่า……เขาโดนประโยคนี้ของเสิ่นซิวจิ่นทำให้ขยะแขยงจริงๆ

พลาดรักแท้ไป?

ใคร?

“ ก็แค่เล่นๆ จะมาเป็นรักแท้ของผม เซียวเหิงได้อย่างไง? ”

ริมฝีปากบางของฉินมู่มู่สั่นขึ้น เธอคิดไม่ถึงเลยว่า คำจากปากของเซียวเหิง ตัวเองจะไร้ค่าขนาดนั้น

“ โอเค ผมพาคนมาให้คุณแล้ว ส่วนเรื่องหน่ะ จะปล่อยไว้เฉยๆก็ไม่ได้ ” เสิ่นซิวจิ่นดีดนิ้วดังขึ้น “ เสิ่นยี เอาถังใบที่ใหญ่ที่สุดในบ้านของคุณชายมา เติมน้ำให้เต็ม ”

เซียวเหิงไม่พอใจ รีบลุกขึ้นทันที “ เดี๋ยวก่อน! ” เขาขมวดคิ้วเข้ม “ เสิ่นซิวจิ่น นี่มันบ้านผม ใครอนุญาตให้คุณย้ายของในบ้านผมตามต้องการ ”

เสิ่นซิวจิ่นถูมือไปมาอย่างใจเย็น และมองไปที่เซียวเหิงด้วยใบหน้าที่เย็นชา

“ นี่เป็นบ้านคุณ ฉะนั้นผมไม่ควรย้ายของในบ้านคุณตามอำเภอใจ ” ทันใดนั้นเสิ่นซิวจิ่นก็ค่อยๆพูดขึ้น ด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นมิตร “ เจี่ยนถงเป็นคนของผม แล้วใครอนุญาตให้คุณทำร้ายเธอ! ”

เหมือนว่าเป็นแค่การล้อเล่นของเซียวเหิง ทันใดนั้น ตาก็โตขึ้น และกระตุกขึ้นลงไปมา จ้องไปที่เขาที่อยู่บนโซฟา

“ ฉะนั้นที่คุณมาวันนี้เป็นเพราะเจี่ยนถง ”

เขาถาม

เสิ่นซิวจิ่นยิ้มมุมปากขึ้น “ จะว่าใช่ก็ไม่ใช่ ”

ในขณะที่พูด ยกคางขึ้น และชี้ไปที่ฉินมู่มู่ “ ทำไมคุณต้องเกลียดผู้หญิงคนนี้ ผมห้ามไม่ได้ คุณอยากให้บทเรียนกับผู้หญิงคนนี้ หรือว่าจะตั้งใจฆ่าผู้หญิงคนนี้ให้ตาย ผมยิ่งห้ามอะไรไม่ได้

แต่ว่าเซียวเหิง คุณทำอะไรไม่เก็บกวาดเลยหรือไง? ”

เสิ่นซิวจิ่นกล่าวหาอย่างเห็นได้ชัดมาก แต่น้ำเสียงกลับเยือกเย็น ทำให้เซียวเหิงรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“ คุณหมายความว่าอย่างไง? ” ทำไมยังต้องไปยุ่งกับผู้หญิงบนพื้นนั้นอีก

“ ตู้ลี่ฉุน ” เสิ่นซิวจิ่นพูดเพียงสามคำนี้ออกมา แล้วจ้องมองไปที่เซียวเหิง จากนั้นชี้ไปที่ฉินมู่มู่ “ เข้าใจหรือยัง? ”

เมื่อพูดอย่างนี้แล้ว เซียวเหิงจะไม่เข้าใจได้อย่างไร แล้วจะยังมีอะไรน่าปิดบังอีก

แต่เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมผู้หญิงบนพื้นนี้ ถึงได้มีปัญหากับเสิ่นซิวจิ่นได้

“ ผมรู้ว่าเธอเป็นพนักงานตงหวงของคุณ ” หลังจากเซียวเหิงลองชั่งคิดดูแล้ว รู้สึกว่า อาจเป็นเพราะว่าเธอไปทำร้ายพนักงานของเสิ่นซิวจิ่น นิสัยหยาบคายของเสิ่นซิวจิ่นนั่น จะทำอะไรก็ยังไม่รู้เลย

“ แต่เธอก็ไม่ได้เป็นอะไร และก็ไม่ได้ตายซะหน่อย ”

ฉินมู่มู่ที่นอนอยู่บนพื้นในตอนนี้

ถ้าเธอยังไม่เข้าใจ งั้นก็คงโง่เขลาจริงๆแล้ว

มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ใจตัวเองที่คิดถึงแต่คุณเซียว กลับเจตนาทำอย่างนั้นกับเธอจริงๆ เธอวนอยู่ในความคิดไปมา มันเป็นการต่อสู้ที่ทั้งเจ็บปวด อึดอัดราวกับหายใจไม่ออก ทุบกำแพงเพื่อระบายความโกรธเป็นไฟนั้น……เธอทุบไปที่บาร์ตู้คอนเทนเนอร์สั่นอย่างรุนแรง!

ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะว่าตัวเองโชคดี เรื่องนั้นก็คงเป็นตัวเองที่ต้องประสบกับมัน!

“ เสิ่นเอ้อ นายบอกเขาไปสิ ”

เสิ่นเอ้อเอ่ยปากราวกับหุ่นยนต์ บอกเซียวเหิงทั้งหมดอย่างกระชับ และสั้นว่าวันนั้นเรื่องราวอะไรขึ้น

หลังจากพูดจบ เซียวเหิงกำหมัดแน่น แล้วมองไปที่ฉินมู่มู่ที่อยู่บนพื้น ตอนนี้ในหัวของเขาปั่นป่วนไปหมด……คิดไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะเกิดเรื่องราวมากมายขนาดนี้

เสิ่นซิวจิ่นพูดขึ้นอย่างเย็นชา “ เซียวเหิง คุณจะทำอะไรผู้หญิงคนนี้ จะฆ่าทิ้งผมก็ไม่สน แต่คุณจะจัดการอย่างไร ก็ควรจัดการให้ดี อย่าทำอะไรพลาดพลั้ง ” เสิ่นซิวจิ่นนึกถึงเจี่ยนถง “ ถ้ามันนั้นผมไม่บังเอิญกลับไปพอดี เจี่ยนถงก็คงตายไปแล้ว ”

เซียวเหิงรีบถามขึ้น “ เจี่ยนถงเป็นอย่างไงบ้าง? ”

“ เธอโอเคมาก เรื่องของเธอคุณไม่ต้องยุ่ง ” เสิ่นซิวจิ่นพูดขึ้นอย่างเนิบๆ “ คุณจำไว้ด้วย คราวหลังอย่ายุ่งกับเธออีก เธอเป็นของของผม เสิ่นซิวจิ่น ถึงแม้ว่าผมจะไม่เอาแล้ว แต่ไม่อนุญาตให้ใครมาสนใจหรือยุ่งเกี่ยว ”

เมื่อพูดอย่างนี้แล้ว ทำให้เซียวเหิงโกรธควันออกหูเลยทีเดียว!

“ เสิ่นซิวจิ่น คุณคิดว่าคุณเป็นใครกัน? คุณคิดว่าโลกนี้มันขึ้นอยู่กับคุณหรือไงกัน? คุณบอกว่าเธอเป็นของคุณ เธอก็ต้องเป็นของของคุณเหรอ?

ถ้าเธอเป็นของของคุณจริงๆ งั้นคุณรู้อะไรหรือเปล่า ว่าร่างกายของเธอไม่เหมือนกันกับคนอื่น? ”

พูดเพราะตั้งใจจะทำให้เสิ่นซิวจิ่นโกรธ แต่ประโยคนี้ของเขา โดยไม่รู้ว่าไปแหย่โดนรังแตนเข้าแล้ว

ทันใดนั้น สายตาของเสิ่นซิวจิ่นก็เย็นยะเยือกลง แล้วลุกขึ้นยืนทันที จากนั้นเดินไปตรงหน้าของเซียวเหิง ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ พูดมา! คุณรู้อะไร! ”

เซียวเหิงมองเสิ่นซิวจิ่นด้วยความโกรธ แววตาเปล่งประกายสว่างวาบขึ้น แต่เซียวเหิงฉลาดหลักแหลมมาก เสิ่นซิวจิ่นที่มาอย่างไร้อารมณ์ความรู้สึก แต่ในตอนนี้นั้น เพราะว่าเสิ่นซิวจิ่นโกรธมาก จึงสูญเสียความนิ่ง และเย็นชาที่เป็นปกติไป

เมื่อได้ยินคำถามนี้ของเสิ่นซิวจิ่น และหน้าที่แดงขึ้นด้วยความโกรธของเสิ่นซิวจิ่น จากนั้นไม่นาน เซียวเหิงก็เข้าใจแล้ว ว่าเสิ่นซิวจิ่นก็รู้ความผิดปกติของร่างกายของเจี่ยนถงเหมือนกัน

ลดเปลือกตาลง หลับตาแล้วคิดคำนวณ แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง เซียวเหิงใจเย็นมากขึ้น “ อะไรที่ควรรู้ก็รู้ทั้งหมดแหละ ผมไม่เพียงแต่รู้ว่าร่างกายเธอผิดปกติตรงไหน ผมยังเคยจับมาแล้ว ” พูดไปด้วย เซียวเหิงก็ยังยิ้มขึ้นอย่างชั่วร้ายด้วย และเอนไปทางเสิ่นซิวจิ่น “ มันอยู่……อยู่ที่ด้านหลังเอวข้างซ้าย ”

เสิ่นซิวจิ่นราวกับโดนมีดกรีดลงบนใบหน้าที่สง่างามนั้น ความโกรธก็ค่อยๆจางหายไป แต่ในแก่นลึกของดวงตาสี

ดำคู่นั้น ประหนึ่งว่าความนิ่งเงียบก่อนที่จะเกิดพายุลมแรงขึ้น

เขามองไปที่เซียวเหิงเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ค่อยๆเปิดริมฝีปากบางนั้นขึ้น “ ครั้งสุดท้าย ”

อยู่ๆก็พูดคำนี้ขึ้น แต่เซียวเหิงฟังเข้าใจ……เสิ่นซิวจิ่นกำลังเตือนตัวเอง ว่าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ให้เขาเซียวเหิง เลิกมีใจให้กับเจี่ยนถง ผู้หญิงคนนั้นสักที

มิฉะนั้น ครั้งหน้า เกรงว่าจะเป็นการจะต้องเกิดสงครามขึ้นแน่ๆ

เสิ่นซิวจิ่นรู้ดีว่า ตัวเองเป็นครั้งแรกของเจี่ยนถง ไม่ว่าวันนี้เซียวเหิงจะพูดอะไร แต่เปลี่ยนแปลงความจริงไม่ได้อยู่ดี

แต่ไม่ว่าคำพูดของเซียวเหิงจะมีความจริงน้อยแค่ไหน ไม่สนว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าร่างกายของผู้หญิงคนนั้นผิดปกติ ตอนนี้เสิ่นซิวจิ่นก็พร้อมทิ้งทุกอย่างลง และกลับไป จากนั้นจับผู้หญิงคนนั้นมาถามต่อหน้าตัวเอง ว่าเซียวรู้ได้อย่างไร!

เหลือบมองไปที่ฉินมู่มู่ เสิ่นยีพูดขึ้น “ บอสครับ ถังที่บอสสั่งน้ำเต็มแล้วครับ ”

“ เสิ่นยี ลงมือ ” เสิ่นยีที่ติดตามเสิ่นซิวจิ่นมาเป็นเวลานาน คำสั่งนี้ของเสิ่นซิวจิ่น เขาก็เข้าใจในทันที และจับฉินมู่มู่ที่อยู่บนพื้น และทันใดนั้นก็กดหัวฉินมู่มู่ลงไปในถังที่เต็มไปด้วยน้ำ

“ อืม! อืมๆ! ”

ฉินมู่มู่ดิ้นรน

เสิ่นซิวจิ่นยกข้อมือขึ้น มองนาฬิกาด้วย และนับอยู่ข้างๆอย่างเลือดเย็น “ หนึ่ง สอง……สี่นาที เวลาถึงแล้ว ”

จากนั้นเสิ่นยีจึงดึงหัวฉินมู่มู่ขึ้นจากน้ำ ก่อนหน้านั้น ฉินมู่มู่จะดิ้นรนอย่างเจ็บปวด จนในสุดท้ายไม่มีแรงที่จะดิ้นรนต่อ เสิ่นยีก็ยังไม่ยอมหยุด

เสิ่นซิวจิ่นคว้าแขนของฉินมู่มู่ขึ้น และผลักเธอไปในอ้อมแขนของเซียวเหิง “ ต่อไป เธอก็ฝากไว้กับคุณชายเซียวผู้เป็นสุภาพบุรุษแล้วนะครับ ”

จากนั้น เขาก็หันหลังกลับ และกล่าวลา “ พวกเราไปกันเถอะ ”

เขาจะกลับไปถามผู้หญิงคนนั้น ว่าตกลงเธอกับเซียวเหิงทำอะไรกันบ้าง ทำไมเซียวเหิงถึงรู้ได้ว่าร่างกายของเธอผิดปกติ

เขาไม่แสดงอารมณ์แปรปรวนนี้ออกมาทางสีหน้า ทั้งใบหน้าที่หล่อเหลานั้นยังเต็มไปด้วยความนิ่งสงบ แต่เป็นความนิ่งสงบก่อนที่จะเกิดพายุลมแรงโหมกระหน่ำขึ้น!

บทที่65 การตัดสินใจของเขา

ความเร็วตลอดทั้งทางนั้น เสิ่นยีรู้สึกว่า ความเร็วของบอสของตัวเอง มันเร็วซะเหมือนมีความบ้าคลั่งอยู่

ทั้งหมดจอดลงที่ตงหวง

“ บอสครับ……” เขาเพิ่งจะเรียกขึ้น บอสของเขาก็เดินผ่านเขาไปอย่างรวดเร็วแล้ว ก้าวเท้าใหญ่เดินเข้าไปในล็อบบี้ของตงหวง และเดินตรงไปที่ลิฟต์โดยไม่หยุดลง

เสิ่นยีรีบตามขึ้นไป

สายตาของเสิ่นซิวจิ่นทั้งเย็นชา และไร้ความรู้สึก ก้าวขายาวด้วยความถี่ที่รวดเร็ว ราวกับบินไปข้างหน้า ข้างหน้าก็คือห้องทำงานของซูเมิ่ง ตรงหน้าเป็นประตู เขารีบเดินมาตลอดทั้งทาง และไม่กล้าเคาะประตู จากนั้นผลักประตูห้องทำงานเข้าไปอย่างแรก

ทันทีที่เงยหน้าขึ้น ก็เห็นเสิ่นซิวจิ่นที่โมโหเป็นฟืนเป็นไฟเดินมาที่ข้างโซฟา

“ ประธานเสิ่น เสี่ยวถงยังไม่ตื่นค่ะ ” ซูเมิ่งเห็นว่าเสิ่นซิวจิ่นกำลังโกรธมาก จึงรีบพูดเตือนขึ้น “ ประธานเสิ่นคะ คุณมีอะไรรอให้เจี่ยนถงตื่นแล้วค่อยพูดก็ได้ค่ะ ตอนนี้เธอก็เป็นคนไข้คนหนึ่งอยู่ ”

เสิ่นซิวจิ่นไม่แม้แต่มองไปที่ซูเมิ่ง และเสิ่นยีก็ตามมาพอดี

เสิ่นซิวจิ่นก้มลงไปอุ้มหญิงสาวที่ยังห้อยสายน้ำเกลือบนโซฟาขึ้น แล้วส่งสายตาไปที่เสิ่นยี ทันใดนั้น เสิ่นยีก็รีบไปถอดถุงน้ำเกลือที่แขวนอยู่บนราวเหล็กบนข้างบนโซฟาออก

“ ประธานเสิ่นคะ คุณจะพาเสี่ยวถงไปไหนคะ! ” ซูเมิ่งมองดูสถานการณ์แล้วมันไม่ใช่ และไม่สนว่าจะเกิดอะไร รีบวิ่งไปข้างหน้า บังประตูห้องทำงานไว้ ก่อนที่เสิ่นซิวจิ่นจะออกไป ยกมือทั้งสองข้างเป็นแนวขวาง เพื่อปิดกันทางไปของเสิ่นซิวจิ่น

ชายตรงหน้า ที่รูปร่างสูงกำยำ สันทัดและแข็งแกร่ง และใบหน้าตอนนั้นที่เปี่ยมไปด้วยความสง่า แต่ประทับไปด้วยความเย็นชา ถูกซูเมิ่งหยุดไว้ เสิ่นซิวจิ่นเหลือบไปมองซูเมิ่ง

หัวใจของซูเมิ่งเต้นตึกตัก ไม่ต้องพูดเลยว่าเธอกลัวมากแค่ไหน โดนเฉพาะสายตาของเสิ่นซิวจิ่น ก็ทำให้เธอวู่วามใจแล้ว “ ประธานเสิ่นคะ…… ” เธอพูดขึ้น แล้วมองไปที่เจี่ยนถง แล้วกัดฟันพูด

เมื่อซูเมิ่งนึกถึงสิ่งที่เจี่ยนถงต้องทนทุกข์ทรมานในวันนี้……เธอยอมรับเลยว่า เธอไม่ควรยุ่งเรื่องพวกนี้ แต่ว่า……แต่ว่าถ้าเธอไม่สนเด็กบื้อคนนี้ละก็ เด็กบื้อคนนี้ก็คงต้องใช้ชีวิตในความมืดมิดแบบนั้นโดนไม่เห็นเดือนไม่เห็นตะวัน และจะไม่สามารถออกมาได้จริงๆ!

“ ประธานเสิ่นคะ ตอนนี้คุณพาเธอไปไม่ได้ค่ะ ”

ซูเมิ่งทำหัวแข็งข้อพูดขึ้น พระเจ้ารู้ดีว่าตอนนี้ด้านหลังเสื้อของเธอนั้นได้เปียกโชกไปหมดแล้ว

“ ซูเมิ่ง คุณรีบหลบไป บอสไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้หรอก ” เสิ่นยีส่งสายตาเล็กน้อย และพูดกับซูเมิ่งในทันที

ซูเมิ่งไม่รู้ว่าเสิ่นยีกำลังสื่ออะไรให้ตัวเอง แต่ว่า……เธอกำหมัดขึ้นแน่น “ ร่างกายของเสี่ยวถงเธอ…… ”

“ ซูเมิ่ง ผมจะพูดแค่อีกครั้ง ” สายตาที่เย็นชาของเสิ่นซิวจิ่น มองมาที่ซูเมิ่ง ริมฝีปากขยับ และเตือนขึ้นอย่างเยือกเย็น “ หลบไป ”

ในตอนนี้เขาไม่พอใจมาก ถ้าซูเมิ่งอยากตายนัก เขาก็ยินดีที่จะสนอง

ซูเมิ่ง ผมจะพูดแค่อีกครั้ง หลบไป ……ซูเมิ่งเห็นสายตาที่เย็นยะเยือกนั้นของเสิ่นซิวจิ่น ใจของเธอสั่นเกรงกลัว เหงื่อบนหน้าผากไหนออกมาไม่หยุด และมองไปที่เจี่ยนถงอีกครั้ง ในตอนนี้เอง ก็เป็นเวลานานแล้ว อย่างน้อยที่สุดซูเมิ่งก็คิดเช่นนั้นขึ้น

หลังจากนั้น เธอก็ลดหัวลง และเดินไปข้างๆอย่างเงียบๆ……ขอโทษนะ เสี่ยวถง

เธอเองก็กลัวเสิ่นซิวจิ่นเหมือนกัน ผู้ชายคนนี้มีทั้งความสามารถ และวิธีการ อีกทั้งยังเลือดเย็นอีกต่างหาก เธอเห็นทั้งหมดมากับตาเธอเอง

เสิ่นซิวจิ่นจะไม่ยอมอ่อนข้อให้กับลูกน้องที่ไม่เชื่อฟัง

เสิ่นซูซจิ่นพาเธอไปแล้ว เหลือเพียงซูเมิ่งคนเดียว เธอยื่นนิ่งๆอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับไปไหน

นานสักพัก ถึงได้เงยหน้าขึ้นมา พูดเบาๆกับอากาศที่ว่างเปล่านั้น “ เสี่ยวถง ฉันยังคงรักตัวฉันเองมากกว่า ขอโทษด้วยนะ ”

เธอเห็นใจเด็กบื้อคนนั้น เพราะว่าตัวของเด็กบื้อคนนั้น มันทำให้เห็นความบื้อของตัวเองเมื่อก่อน นั่นก็เป็นช่วงเวลาที่ตัวเองก็ไม่อยากจะนึกถึงอีก

แต่ว่า เมื่อเทียบกับความเห็นใจเด็กบื้อคนนั้น……ซูเมิ่งเธอรู้ดี ว่าตัวเองเห็นแต่ตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์เป็นอยู่……เธอรักตัวเองมากกว่า

ซูเมิ่งไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าอยู่ในจุดที่ซูเมิ่งยืนอยู่ แม้จะรู้ว่าบอสตัวเองเป็นคนอย่างไร วันนี้เธอก็กล้าที่จะยืนหยัด และขวางทางของบอสของเธอ เพื่อขอร้องให้กับเจี่ยนถงไม่กี่คำ ……ซูเมิ่ง เคยได้พยายามแล้ว

……

ตงหวงชั้น 28 ที่จริงแล้วบ้านของเสิ่นซิวจิ่นไม่ได้อยู่ที่นี่ เป็นแค่ที่พักชั่วคราวของเขา

เสิ่นยีเงียบตลอดทั้งทาง ราวกับเงาเงาหนึ่ง เขาเดินตามชายตรงหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธมาตลอดทั้งทาง ในมือของเขา ยังคงถือถุงน้ำเกลืออยู่

ติ้ง!

เสิ่นยีเดินออกมาจากลิฟต์พร้อมกับเสิ่นซิวจิ่น และมุ่งเดินไปที่ห้องนอนของชั้น 28

ไม่มีราวเหล็กชั่วคราวสำหรับถุงน้ำเกลือ หลังจากที่วางผู้หญิงในอ้อมแขนลงบนเตียงหลังใหญ่ ไม่พูดอะไรแล้วหยิบถุงน้ำเกลือในมือของเสิ่ยยีขึ้น แขวนบนไม้แขวนเสื้อไปด้วย และพูดขึ้นด้วยความเย็นชาไปด้วย “ นายออกไปได้แล้ว ”

“ ……บอ ” เดิมทีเสิ่นยีจะพูดอะไรบางอย่าง กำลังจะพูดขึ้น เสียงนั้นก็หยุดลงทันที ตัวเองคิดแล้วคิดอีก ลังเลอยู่สักพัก ในที่สุดก็พูดขึ้น “ ครับบอส ”

เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้มองผู้หญิงบนเตียง เดินไปที่หน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดาน นั่งลงบนโซฟาข้างหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดานนั้น

เขาอยากจะเขย่าให้ผู้หญิงบนเตียงนั้นตื่นมาเดี๋ยวนั้นเลย เพื่อจะถามว่า เธอกับเซียวเหิงมันอะไรกันแน่

จากนั้น ก็ยังคงระงับแรงกระตุ้นนั้นลงได้

เขานั่งบนโซฟา ที่ทำมาจากหนังลูกวัวอยู่ริมหน้าต่าง ศอกวางลงบนพนักแขนของโซฟา มืออีกข้างหนึ่งกุมขมับ แล้วมองไปที่เตียงหลังใหญ่นั้นอย่างเงียบๆ

ด้านนอก เกิดพายุฝนฟ้าคะนองขึ้นอย่างกะทันหัน

ฟ้าผ่าและฟ้าร้องต่างเกี่ยวพันกันมา

ภายใต้เสียงที่ดังสนั่นนั้น ผู้หญิงบนเตียงยังคงนิ่งเงียบราวกับร่างที่ไร้วิญญาณอย่างไงอย่างนั้น

ภายในห้องนอน ไม่ได้เปิดไฟดวงใหญ่ เปิดเพียงโคมไฟบนหัวเตียง ที่สามารถส่องเห็นถุงน้ำเกลือว่ายังมีน้ำเกลืออยู่ไหมได้อย่างชัดเจน โคมไฟบนหัวเตียง ก็ไม่สามารถส่องสว่างได้เท่ากับไฟดวงใหญ่ มันส่องสว่างไม่ถึงหน้าต่างที่สูงจรดเพดานด้านนี้

ภายใต้หน้าต่าง แผ่นฟ้าสลัว แสงจากฟ้าแลบ ด้านหลังหน้าต่างและชายคนนั้น ฟ้าผ่ากลางอากาศ แสงสีฟ้าจากสายฟ้าฟาด ทันใดนั้นหน้าต่างก็ส่องสว่างขึ้นมาทันที ภายใต้แสงสีฟ้าเลือนรางนั้น ใบหน้าอันสง่างามของเขา ก็เปล่งแสงความหล่อเหลาขึ้น และเย็นชามากขึ้น

“ อื้ม~ ” อยู่ๆคนบนเตียงก็ส่งเสียงครวญครางขึ้นอย่างเจ็บปวด ชายบนโซฟายังคงนั่งนิ่งไหวขยับ

“ ซี๊ด~ ” น้ำเสียงเจ็บปวดกว่าเดิม

ชายบนโซฟากัดกระดูกขากรรไกรแน่น แต่ยังคงไม่ขยับ

“ โอะ……โอ๊ย…. โอ๊ยๆๆๆ…… ” เสียงนั้นเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆที่เธอนอนอยู่บนเตียง และค่อยๆขดตัว และกอดตัวเองไว้

ทันใดนั้นเอง!

เขาขยับตัวแล้ว!

เสิ่นซิวจิ่นลุกขึ้นยืนทันที สายตาอันเย็นชา ภายใต้ความรู้สึกที่ไร้อารมณ์ ทีละก้าว ทีละก้าว……ตึกๆๆ เดินมาที่ข้างเตียง

เขายื่นแขนออกมาอย่างช้าๆ ฝ่ามือเรียวยาวโน้มเขาไปแตะใบหน้าของคนป่วยคนเตียง

ทันใดนั้น!

นิ้วทั้งห้า ยื่นออกมาล็อกคอคนบนเตียง!

“ ถ้าวันหนึ่ง บนโลกนี้มีใครคนหนึ่งที่สามารถรบกวนอารมณ์ผมได้ ” เสิ่นซิวจิ่นในวัยรุ่นเคยพูดไว้กับไป๋ยู่สิงเอง “ ผมจะเป็นคนทำรู้ความรู้จักกับเธอเอง ”

บทที่66 ถ้าเกิดเจ็บก็กัดสิ

ถ้าวันหนึ่ง บนโลกนี้มีใครคนหนึ่งที่สามารถรบกวนอารมณ์ผมได้ ผมจะเป็นคนทำรู้ความรู้จักกับเธอเอง

นั่นเป็นเสิ่นซิวจิ่นในวัยรุ่น ก็มีความตระหนักรู้แล้ว

ในฐานะทายาทของตระกูลเสิ่น และผู้นำต่อไปในอนาคต เสิ่นซิวจิ่นถูกสอนตั้งแต่เด็ก นับว่าเข้มงวดที่สุด และโหดเหี้ยมที่สุดเหมือนกัน ปู่ของเขา เป็นคนฝึกหลานชายด้วยตัวเอง สอนให้เป็นหุ่นยนต์ที่โหดเหี้ยม และเลือดเย็น

ปู่บอกว่า “ แกต้องไม่มีความอ่อนแอแม้แต่น้อย ถ้าเกิดวันหนึ่ง มีคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เธอสามารถส่งผลต่อการตัดสินใจของแกได้อย่างง่ายดาย ส่งผลต่ออารมณ์แก งั้นก็แสดงว่า คนคนนี้ ก็คือศัตรูที่น่ากลัวที่สุด อาซิวสำหรับศัตรูแล้ว แกต้องลงมือฆ่าเธอด้วยตัวเอง ”

เมื่อเสิ่นซิวจิ่นและไป๋ยู่สิงพูดประโยคนี้ออกมาในเวลาเดียวกัน

ไป๋ยู่สิงที่ก็ยังเป็นวัยรุ่นอยู่นั้น นอกเหนือจากความตกใจแล้ว รู้สึกได้ว่าเสิ่นซิวจิ่นแค่เพียงพูดไปงั้นๆ ตอนที่ยังเป็นวัยรุ่นมีใครไม่เคยพูดประโยคที่ตอนนั้นตัวเองรู้สึกว่า “ เจ๋ง ” เมื่อโตแล้วคิดย้อนไป กลับรู้สึกว่าตอนวัยรุ่นกล้าเกินไปแล้ว?

บางที ไป๋ยู่สิงอาจลืมไปแล้วว่าเสิ่นซิวจิ่นเคยพูดเรื่องพวกนี้ หรือไม่ ไป๋ยู่สิงอาจจะคิดว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นเรื่องล้อเล่น จึงไม่ได้จำหรือสนใจอะไร

แต่ว่า……ไป๋ยู่สิงคงคาดไม่ถึงมาก่อนแน่ๆ ว่าช่วงเวลาวัยรุ่นคนอื่นกับของเสิ่นซิวจิ่นนั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ทางเตียงหลังใหญ่ นิ้วของเขาล็อกไปที่คอของผู้หญิงบนเตียง……แต่แค่ล็อกไว้ ไม่ได้ใช้กำลังเลยสักนิด

ขาสงสัยว่า ทำไมผู้หญิงเลวๆคนนี้ ถึงสามารถทำให้อารมณ์ของเขาแปรปรวนไปมาได้ง่าย?

ทำไมเธอถึงมักทำให้ตัวเองโกรธ โมโหได้ง่าย?

แล้วทำไมเธอนอนขดตัวด้วยความเจ็บปวด ถึงทำให้ตัวเองควบคุมไม่ได้อยากลุกขึ้นมาดู

เขาพยายามมากที่จะควบคุมแล้ว “ อย่าลุกขึ้นไปดู ”

เขาพยายามควบคุมตัวเองสุดฤทธิ์แล้ว…..เป็นเพราะเธอทั้งนั้น! เป็นเพราะเสียงโอดครวญซ้ำแล้วซ้ำเล่าของเธอ!

นิ้วอันเรียวยาวของเขา เห็นกระดูกที่เด่นชัด เป็นมือคู่ที่งดงาม บีบไปที่คอของเธอ……เขากัดฟัน ใช้นิ้วกดลงแรงๆทีละนิด……ไม่เป็นไร เพียงแค่ใช้แรงอีกนิด ก็จะสามารถกำจัดผู้หญิงที่สามารถส่งผลกระทบกับอารมณ์ ความรู้สึกของได้อย่างง่ายดายได้แล้ว

ก็จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากเธอแล้ว ก็จะไม่ต้องขับรถพาเธอไปส่งโรงพยาบาลกลางดึกอย่างผิดปกติแล้ว

เซี่ยเวยเหมิงยังไม่เคยสัมผัส ซึมซับกับการรักษานี้เลย

“ …ซี้ด…….ฮื่อ……ฮื่อ…… ” เธอขดตัวเองเป็นวง เธอขมวดคิ้วขึ้นด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง

ทั้งหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ โคมไฟตรงหัวเตียงสาดส่องลงมา ตราตรึงเขาไปในสายตาของเสิ่นซิวจิ่นอย่างแจ่มแจ้ง

มือของเขาบีบไปที่คอของเธอ ทันใดนั้นเอง! ปล่อย! ทำไม่ได้! ทำไม่ลงจริง!

สักครู่ก็กางมือออก เสิ่นซิวจิ่นราวกับคนไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง วางมือลงบนขอบเตียง พยุงร่างใหญ่ของเขาขึ้น หายใจเข้าลึก ถึงจะสงบลงได้

เมื่อเงยหน้าขึ้น เธอคนนั้นบิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวด

เดิมทีแค่เจ็บปวด จากนั้นขดตัวเป็นวง แต่มันยังเจ็บปวดอยู่อย่างนั้น ทำได้เพียงบิดเนื้อตัวไปมา ในที่สุดเจ็บปวดมากขนาดที่กลิ้งไปมาบนเตียง

ทันใดนั้นเองก็ดึงเข็มน้ำเกลือที่หลังมือออก ตามท่าน้ำเกลือมีเลือดไหลกลับออกมาอย่างรวดเร็ว!

เสิ่นซิวจิ่นจับมือข้างหนึ่งของเธอไว้ มือที่เจาะน้ำเกลือดิ้นไม่ได้ ส่วนที่อื่นๆก็ยังดิ้นไปมาไม่หยุด เสิ่นซิวจิ่นไม่รู้จะทำอย่างไง จะทำอะไรก็กล้าๆเกรงๆ แต่เมื่อคิดจะทำแล้วละก็ ฝ่ามืออันใหญ่อีกข้างหนึ่งจับมืออีกข้างของเธอไว้ เขายังใช้ร่างอันใหญ่โน้มลงไปกดทับตัวเธอไว้ ถึงหยุดให้เธอไม่ดิ้นไปมาได้

“ โอ๊ย……ปล่อยนะ…… ”

เสิ่นซิวจิ่นฟังเธอพูดพล่ามไม่หยุด มันเจ็บปวดเกินคำบรรยาย ทันใดนั้นก็สังเกตได้ว่า เธอที่เจ็บปวด และส่งเสียงรวดร้าวต่างๆนานามาตั้งแต่แรก กลับไปเคยตะโกนว่า “ เจ็บ ” ออกมาแม้แต่คำเดียว

ทั้งๆที่เจ็บ แต่กลับไม่ตะโกน……โดยไร้เหตุผล ใจของเขาก็เต้นระรัวขึ้น

“ ตื่นได้แล้ว! ตื่น! ” เขายกมือขึ้น แล้วตบไปที่หน้ากลมมนของเธออย่างหยาบๆ “ นี่! รีบตื่นสิ! เธอจะนอนไปถึงเมื่อไหร่กัน? ”

เจี่ยนถงลืมตาขึ้น และไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แต่ร่างกายของเธอเจ็บปวดมาก และส่งผลไปยังปลายประสาทเป็นอันดับแรก ความเจ็บปวดนั้น……เธอกัดฟัน!

บนริมฝีปากที่ซีดเผือด มีรองไฟเป็นวงอย่างเห็นได้ชัด

เสิ่นซิวจิ่นเหล่มองอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ “ เธอเป็นอะไรหรือเปล่า? ”

อ๊าก……?

“ ฉันว่าอยู่ที่นี่ได้อย่างไง? ”

“ เธอคิดว่าไงหล่ะ? ” เสิ่นซิวจิ่นเหลือมองไปที่เจี่ยนถง “ ก็บอกเธอตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้ายังป่วยก็อย่าทำงาน ทำงานแล้วเป็นลม แล้วยังมาทำให้ผมเดือดร้อนอีก ”

“ ขอโท…… ซี้ด~โอ๊ย…… ” มันปวดขึ้นมาอีกแล้ว เจี่ยนถงกำลังพูด และกำลังจะขอโทษ ทันใดนั้นก็ต้องเบอกตากว้างด้วยความเจ็บปวด!

“ โอ๊ย! ” ความเจ็บนั้นมันสามารถทรมานคนให้ตายได้ เจี่ยนคงยังคงมีสติ และรู้ว่าตรงหน้าเธอยังมีเสิ่นซิวจิ่นอยู่

ไม่อยากอยู่ต่อหน้าของเสิ่นซิวจิ่น และทำให้เขาเห็นฉากนี้!

ไม่อยากให้เสิ่นซิวจิ่นเห็นเรื่องตลกนี้!

ถึงแม้ว่าเธอ……จะอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว และเคยทำเรื่องตลกไว้มากมายก็ตาม!

ถึงแม้ว่าเธอ……จะอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ทำให้ตัวเองดูเป็นตัวตลก!

พระเจ้ากลับเห็นต่างกับเธอ ทำให้เกิดฟ้าผ่าและฟ้าร้อง อาการปวดที่เอวของเธอทวีขึ้นกว่าเดิม ขาของเธอ ก็ปวดร้าวราวกับว่ามันปวดมาจากกระดูก

เมื่อก่อนอากาศเปลี่ยนไป มันยังคงเจ็บปวดเกินคำบรรยาย ทว่า สามปีแล้ว เธอชินแล้ว หลังจากที่ชินกับความเจ็บนั้น มันก็ไม่รู้สึกยากเหมือนตอนแรกๆที่กว่าจะผ่านไปได้

หลังจากที่ชินกับความเจ็บนั้น เมื่อปวดเข้าไปในกระดูก ก็ขมวดคิ้วแล้วกัดฟัน ทนอย่างอดทนให้มันผ่านไป

แต่วันนี้ ความเจ็บนี้ ทำให้เธอสัมผัสถึงการสูญเสียไตข้างซ้ายไปอีกครั้ง ความทรงจำแรกแบบนั้นมันมักเจ็บปวดเป็นพิเศษเสมอ

ทำไมนะ……ไม่รู้สึกเจ็บแบบนี้มานานแล้ว แล้วทำไมวันนี้

ในหัวเธอรกรุงรังไปหมด เรื่องที่ต้องคิดมากมาย ทั้งสับสนและวุ่นวาย เมื่อคิดทบทวนได้……บางที อาจเป็นเพราะจมน้ำครั้งนี้ เป็นไข้มาหลายวันแล้ว และเป็นลมก็หลายครั้ง

เธอดูเหมือน……ไม่เจ็บแบบนี้มาเป็นเวลานานแล้ว และนานแล้วที่ไม่ได้ถนอมร่างกายไว้เลย……ดูเหมือนว่าจะอย่างนั้น เริ่มตั้งแต่สูญเสียไตด้านซ้ายนั้นไป

เธอใช้ฟันหน้ากัดไปที่ริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว กัดแน่นมากไปที่ริมฝีปาก จนไม่รู้ตัว ว่ามีเลือดแดงสดซึมออกมาจากริมฝีปาก

เสิ่นซิวจิ่นระงับมือและเท้าของเธอได้ แต่ควบคุมฟันของเธอที่กัดริมฝีปากตัวเองไม่ได้ เสิ่นซิวจิ่นไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ปล่อยมือข้างหนึ่ง แล้วปริปากเธอออก จากนั้นรีบเอาแขนของตัวเอง ดันเข้าไปในปากของเธอ

“ ถ้ามันเจ็บมากนักก็ ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ กัดสิ ”

เจี่ยนถงเบิกตากว้าง ไม่พูดอะไร ได้แต่มองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาที่ไร้ความรู้สึก ทันใดนั้น! อ้าปากกัดแรงๆเข้าให้!

เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่พูดอะไรออกมา ปล่อยไปให้เธอกัดแขนของเขาต่อไป

เจี่ยนถงไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงกัดเข้าไปจริงๆ คงเป็นเพราะตอนที่เธอตัดสินใจอ้าปาก เธอกำลังโกรธอยู่ ความเจ็บปวดของเธอ เป็นเขาที่ให้ ความเจ็บนี้ มันเจ็บขนาดไหนกัน เธอไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เธอไม่สามารถจะสรรหาคำไหนมาอธิบายมันได้ เธอทำได้เพียงอ้าปากกัด……เสิ่นซิวจิ่น เรามาลองสัมผัสดู ว่าฉันในตอนนี้ มันเจ็บปวดขนาดไหนกัน!

เมื่อกัดแขนของเขาแล้ว กลิ่นสนิมเค็มๆในปาก……เธอก็รู้ว่า นั่นคือเลือดของเขา ทันใดนั้น ตาทั้งคู่ของเธอก็มีน้ำตาเอ่อล้นออกมาเป็นสองสาย

บทที่67 ทันใดนั้น จูบก็โถมเข้ามา

เสิ่นซิวจิ่นที่กดทับอยู่บนร่างของเธอ ก้มลงมองเธออย่างเงียบๆ และน้ำตาซึมในตาของเธอ

เจี่ยนถงหลับตาคู่นั้นลง

เวลาค่อยๆผ่านไปทีละนิด

ในที่สุด คิ้วที่ขมวดก็คลายลง

เสิ่นซิวจิ่นเหลือบมองถุงน้ำเกลือที่กำลังจะหมดแล้ว

หลังจากนั้นไม่นาน เขาหยิบเข็มออกให้เธออย่างคุ้นเคย

ปู่ของเขาให้เรียนศิลปะการต่อสู้ในตอนที่เขายังเด็ก ในสนามรบสิ่งที่ขาดไม่ได้คืออาวุธ และกระสุน เมื่อบาดเจ็บแล้ว การถอนเข็มเป็นเรื่องเล็กๆ และดูเหมือนเด็กน้อยไปเลย

“ ลุกขึ้นมา ” หลังจากดึงเข็มของแล้ว เสิ่นซิวจิ่นก็พูดกับเธออย่างไม่สนใจไยดี “ คุณจะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน? รีบกลับไปอยู่ที่ที่คุณอยู่ไป ”

เขาไล่เธอไป

เจี่ยนถงก้มหน้าลง และลุกขึ้นมานั่งอย่างเงียบๆ พยุงเตียงแล้วลงบนพื้น

“ รองเท้า ” เขาโยนรองเท้าคู่ใหญ่อย่างเห็นได้ชัดมา มองดูก็รู้แล้วว่าเป็นของเขา

เจี่ยนถงเหลือบมองไปที่เท้าของตัวเอง “ รองเท้าของฉันละคะ? ”

เสิ่นซิวจิ่นยืนกอดอก และมองไปที่เจี่ยนถงแล้วหัวเราะเยาะ “ ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอ? ว่าคุณร่างกายของคุณไม่พร้อม ก็ยังดื้อรั้นจะมาทำงาน แล้วมาเป็นที่ห้องทำงานซูเมิ่งอีก

ยังต้องรบกวนให้บริษัทโทรหาหมอ และใส่น้ำเกลือเพื่อรักษาคุณอีก ”

“ แล้วรองเท้าของฉัน…… ” เจี่ยนถงไม่เข้าใจ ว่าอันนี้มันเกี่ยวกับอะไรกับรองเท้าที่หาย?

“ เฮ้อ~ จะบอกแล้วไม่ใช่เหรอ? คุณเป็นลมตอนที่อยู่ในห้องทำงานของซูเมิ่ง คุณคงไม่คิดว่า ผมเป็นคนอุ้มคุณมาที่ห้องนอนของผม แล้วให้คุณเรียกว่าห้องผู้ป่วยนอกหรอกนะ? ”

“ หึหึ เป็นซูเมิ่งที่ใจดี ช่วยตามหมอมาช่วยเธอเจาะน้ำเกลือ คุณใส่น้ำเกลือที่ห้องทำงานเธอ รองเท้าก็อาจจะหล่นอยู่ที่เธอนั่น

ทว่าห้องของซูเมิ่งเป็นห้องทำงานของผู้จัดการ เธอเป็นแค่พนักงานงอกง่อยไปนอนให้น้ำเกลือที่นั่น มันจะทำให้ภาพลักษณ์ของตงหวงเสียหายเอาได้

มันก็มีแค่ที่นี่ของผม ที่เหมาะสมจะให้อยู่ชั่วคราวที่สุด”

สิ่งที่เสิ่นซิวจิ่นพูดวันนี้ รวมๆกันแล้ว ยังมากซะยิ่งสัปดาห์ก่อนทั้งสัปดาห์ซะอีก ตัวเขาเองก็ไม่ได้สังเกตเห็นจุดนี้

“ คุณคิดว่าผมเต็มใจให้คุณอยู่? ”

เจี่ยนถงนิ่งคิด ไม่พูดอะไรทั้งนั้น……แน่นอนว่า เธอเข้าใจดีแล้วว่า ผู้ชายตรงหน้าคนนี้ ทั้งรังเกียจ และรำคาญตัวเองมากขนาดไหน

เธอเข้าใจดีแล้วจริงๆ ว่าเขาเกลียดตัวเองมากขนาดไหน

“ ขอบคุณค่ะประธานเสิ่น ฉัน…… ขอโทษนะคะ ”

ขอบคุณ ขอโทษ……นอกจากสองคำนี้ เธอจะไม่พูดคำอื่นกับเขาแล้วหรือไง?

ถ้าเกิดว่าเป็นลู่เชนหรือเซียวเหิง เธอก็คงแสดงออกอย่างกระตือรือร้นใช่ไหม?

ถ้าคิดอย่างนี้ยังดีๆอยู่ แต่เมื่อคิดถึงแล้ว ไฟที่ดับสนิทไปเมื่อกี้ ก็กลับลุกขึ้นมาทันที!

ทันใดนั้น เขายื่นแขนอันยาว และมือออกไปคว้าเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ไม่รอให้เจี่ยนถงทันตั้งตัว ฝ่ามือก็ได้โอบเอวบางของเธอไว้แล้ว ทันใดนั้น เจี่ยนถงหน้าซีดเป็นไก่ต้ม……เธอรู้สึกได้ถึงความร้อนของฝ่ามือของเสิ่นซิวจิ่นที่โอบกอดมาที่เอวซ้ายของเธอได้อย่างชัดเจน!

เสิ่นซิวจิ่น! ทำไมคุณ!

“ บอกผม ว่าเซียวเหิงรู้ได้อย่างไรว่าไตคุณหายไปหนึ่งข้าง? ”

เจี่ยนถงหยุดนิ่งหายใจ!

คำพูดของเสิ่นซิวจิ่น ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว เธอรู้สึกเหมือนเห็นภาพหลอน และราวกับว่าสติจะหลุดไป

ในตอนนี้ ในสายตาของเขา มีร่องรอยของความหึงหวงผ่านดวงตานั้น แต่เขาเองไม่สังเกตเห็น

“ บอกคุณ! ”

เจี่ยนถงคิดแล้วคิดอีก……เขา…….เขาเสิ่นซิวจิ่นรู้ได้อย่างไร ว่าเซียวเหิงรู้ความลับของเธอ?

เขาสอบสวนเธอ? ……ความคิดนี้แวบขึ้นมาในหัวอย่างไร้เหตุผล เจี่ยนถงโมโหมาก!

ทำไมกัน! ทำไมกัน!!!

ทำไมเขาอยากจะทำอย่างไงกับเธอ ก็ทำอย่างนั้นกับเธอได้!!!

ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นนักโทษใช้แรงงาน ถึงแม้ว่าเธอจะติดคุกก็ตาม!

“ อย่าบอกเลย? ” ว่าไฟในใจของเสิ่นซิวจิ่นนั้น ลุกโชนแรงขนาดไหน

เหล่ตา……หรือว่า เธอกับเซียวเหิงจะมีอะไรกันจริงๆ?

“ เขาเคยเห็นร่างเปลือยของคุณ? ”

เมื่อถามประโยคนี้ขึ้น ใจของเจี่ยนถงก็เจ็บขึ้นมาทันที

เสิ่นซิวจิ่น! คุณคิดว่าฉันเป็นคนอย่างไงกัน!

มือที่ห้อยอยู่ข้างต้นขา ค่อยๆกำแน่นขึ้น!

เจี่ยนถงเงียบ แต่ตัวกลับสั่นไปด้วยความโกรธ

เขาโกรธมาก ความเข้าใจผิดยิ่งทวีคูณ…….เธอไม่พูด?

“ เท่าไหร่หล่ะ? ”

ฮ่าๆ……

“ คุณชายเซียวไม่ได้ให้เงิน ”

“ ฉันเต็มใจเปลือยให้คุณคุณชายเซียวดูเอง! ”

“ คุณชายเซียวที่หล่อเหลาบาดใจขนาดนั้น ใครจะไม่ชอบบ้างคะ? ”

“ ประธานเสิ่นไม่รู้เหรอคะ? ฉันมันไร้ค่าไร้ราคา ”

“ แต่ความอ่อนโยนของคุณชายเซียว ฉันเต็มใจสมยอมเอง…….อ้อ จูบของคุณชายเซียวนั้น จนถึงทุกวันนี้ มันยังจะทำให้ฉันระลึกความหลังได้อยู่เลย ”

เสิ่นซิวจิ่น ในสายตาของคุณ ฉันก็เป็นผู้หญิงอย่างว่า ดังนั้นคุณถึงพูดคำพวกนั้นออกมาได้

เสิ่นซิวจิ่น ฉันเป็นผู้หญิงอย่างว่า!

“ ถ้าคุณชายเซียวต้องการร่างกายของฉัน ฉันก็เต็มใจเป็นของเล่นให้คุณชายเซียวเล่นสนุก จูบของคุณชายเซียวนั้น มันช่างน่าจดจำ ไม่อาจลืม ถ้าเกิดว่าจะมีอะไรกับคุณชายเซียว รสชาติอันหอมหวานนั้น มันช่างเป็นเรื่องที่วาดฝัน ฉันก็รอคอยที่จะดื่มด่ำกับคุณชายเซียวสักครั้ง ดีที่ได้นะ ”……… นอนกับคุณชายเซียว

“ อื้อฮือ! ”

หลังจากพูดจบ เจี่ยนถงก็ไม่ส่งเสียงอะไรออกมาอีก!

จูบโถมเข้ามาอย่างรุนแรงกะทันหัน

บนหน้าที่สง่างามของเสิ่นซิวจิ่น เต็มไปด้วยความโกรธที่พร้อมจะปะทุ!

คำพูดอะไรที่พ่นออกมาจากปากนั้น?

จูบของคุณชายเซียว ยังตราตรึงมาถึงตอนนี้?

ถ้าคุณชายเซียวเต็มใจอยากได้เธอ เธอก็พร้อมจะเป็นของเล่นให้เล่นสนุก?

เธอจะมีอะไรกับคุณชายเซียว?

เรื่องบนเตียงพวกนี้ เธอก็พูดออกมาอย่างไม่รู้สึกรู้สา?

แต่ละคำพูดของเธอ ทำให้เขาโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเสิ่นซิวจิ่นก็ไม่สามารถทนเธอได้อีกต่อไป โน้มหน้าลงจูบเข้ากับริมฝีปากที่พูดเจื้อยแจ้ว แล้วทำให้คนโมโหนี้

เขาจูบเจี่ยนถง ในหัวก็ถึงนึกแต่จูบของเซียวเหิงที่เจี่ยนถงได้พรรณนาไว้……จูบของเซียวเหิง ทำให้เธอตราตรึง และลืมไม่ลง?

อื่อ~

เสิ่นซิวจิ่นจูบอย่างเร่าร้อน ในไม่ช้าเจี่ยนถงก็ล้มลง……เขาไม่ใช่ไม่เคยจูบเธอ แต่จูบวันนี้ ทำไมมันช่างแตกต่างจากตอนนั้น?

ลมหายใจที่เผ็ดร้อน เธอแทบจะตายจากการจูบของเสิ่นซิวจิ่น

“ อื่ออ้า…… ” ในหัววิงเวียนและเบลอไปหมด จึงร้องขึ้นโดยไม่รู้ตัว

นี่ราวกับเป็นน้ำหอมฟีโรโมนชั้นดี ความโกรธในดวงตาของเขาค่อยๆเปลี่ยนเป็นความปรารถนา และกดเธอลงบนเตียงหลังใหญ่

เดิมทีเธอเป็นเด็กที่ไร้เดียงสา พูดจาขวานผ่าซาก ทำงานทำการหนักเอาเรื่อง ถ้าต้องการจะเผด็จศึก นั่นก็คือจุดอ่อนของคนอ่อนแอ

แต่ก็คิดไม่ถึง ว่าสุดท้ายจะ……

ท้ายที่สุด เสิ่นซิวจิ่นก็ไม่ได้ทำให้ถึงที่สุด ไม่ใช่ไม่อยาก แต่เมื่อนึกถึงร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของเธอนี้แล้ว วันนี้ก็ทรมานมามากพอแล้ว

เขาลุกขึ้นทันที ดวงตาคู่นั้นของผู้หญิงบนเตียงเปี่ยมไปด้วยน้ำแวววับ ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความปรารถนา แต่กลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ ระเริงเลยนะ คุณคงไม่คิดว่าผมจะทำอะไรคุณจริงๆหรอกนะ? ผู้หญิงแบบคุณ ครั้งเดียวก็เบื่อแล้ว อีกอย่าง……เจี่ยนถง ผมคิดว่าคุณมันสกปรก ”

หลังจากพูดจบ ก็ก้าวเท้าเดินออกจากห้องไป ในห้องนอน มีเพียงหญิงที่หน้าซีดที่อยู่ในความอึดอัดใจราวกับร่างไร้วิญญาณ!

ผู้หญิงแบบคุณ ครั้งเดียวก็เบื่อแล้ว อีกอย่างนะ เจี่ยนถง ผมคิดว่าคุณมันสกปรก……อ๋อ ที่แท้แล้วเขาก็แค่อยากรู้ว่ามีอะไรกับผู้หญิงที่ราวกับนักโทษอย่างเธอนั้นมันเป็นอย่างไร

ในสายตาของเขา เจี่ยนถงเธอก็เป็นแค่สิ่งเชยชมที่น่าเบื่อมาก……ไม่มีอะไรต้องเสียใจ เมื่อสามปีก่อนมันก็ไม่ต่างกันไม่ใช่เหรอ?

เจี่ยนถง ผมคิดว่าคุณมันสกปรก……

“ หุบปากๆๆ! ” เธอปิดหูแน่น อยากจะเอาคำพูดของคนคนนั้นออกจากหัวไป!

“ หุบปาก! คุณหุบปาก! หุบปากๆๆ! อ๊าก~อ๊าก! อ๊าก~! ” เจ็บปวด เธอไม่กล้าตะโกนเสียงดัง ทำได้เพียงร้องขึ้นเบาๆอย่างน่าหดหู่!

แต่ละเสียงไม่ใช่เสียงสูง เสียงทุ้มต่ำที่น่ารันทด มันน่าหดหู่มาก! ทำให้คนแทบจะขาดอากาศหายใจ!

บทที่68 ความเกลียดของฉินมู่มู่

ฉินมู่มู่รู้สึกว่าไม่โอเคมาก

คนที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง ก็คือคนที่ตัวเองหายใจเข้าออกก็คิดถึงแต่เขา

แต่ดูเหมือนว่า จะแตกต่างจากคนที่เธอคิดจินตนาการวาดฝันไว้

เซียวเหิงยิ้มมุมปากขึ้น ลากเก้าอี้สไตล์ยุโรปเรียบๆ แล้วนั่งลงตรงหน้าของฉินมู่มู่ “ นั่งสิ ” เขาชี้ไปอีกด้านหนึ่ง

สีหน้าของฉินมู่มู่ไม่สู้ดีนัก การสำลักน้ำสี่นาทีนั้น ทำให้เธอรู้ถึงความเป็นความตาย

“ คุณเซียวคะ ฉัน……”

“ จุ๊ๆ~ ” ชายบนเก้าอี้ยกนิ้วขึ้น แล้วค่อยๆจู๋ปากของตัวเองขึ้น “ อย่าเพิ่งพูดอะไร ให้ฉันมองเธอดีๆก่อน ”

เสียงของเซียวเหิงนั้นมีเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แม้แต่รอยยิ้มที่มุมปาก ยังทำให้ฉินมู่มู่หลงได้อย่างเหลือเชื่อ “ โซ้ม ” ฉินมู่มู่โดนเข้าให้ หน้าแดงระเรื่อ ใจของเธอเต้นเร็วตึกตักไม่เป็นจังหวะ……คุณเซียวหมายความว่าอย่างไร?

เขาบอกว่า เขาจะตั้งใจมองตัวเองดีๆ……นี่หมายความว่าอะไรกัน?

คำตอบออกมาจากใจที่เต้นเร็วนั้น ฉินมู่มู่เงยหน้าขึ้นอย่างประหม่า และมองไปที่เซียวเหิงที่อยู่ตรงหน้า

เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็ไปสบตาเข้ากับดวงตาที่จดจ่อคู่หนึ่ง คุณเซียวเขากำลังมองตัวเองอย่างตั้งใจ!

ในเวลาเดียวกัน ก็มีประโยคหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวของฉินมู่มู่

ผมยาวสลวยของหญิงสาวเปียกโชก เธอนั่งอยู่บนพื้นด้วยสภาพที่อ่อนระทวยผสมไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวอาลัย น้ำบริเวณโคนผมของเธอค่อยๆหยดย้อยจากต้นมาสู่ปลายและไหลลงบนพื้น ในขณะเดียวกันก็ซึมซาบเข้าไปในเสื้อของเธอ แสดงให้เห็นถึงเรือนร่างที่อยู่ภายใน

เสื้อผ้าที่เปียกโชกนั้นแสดงให้เห็นถึงสรีระที่ถูกบดบังอยู่ภายใน สีหน้ากิริยาท่าทางของเธอตอนนี้มันช่างดูบริสุทธิ์ดั่งดอกบัวในยามรุ่งอรุณ แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ช่างดูน่าสงสารอนาถใจอยู่ไม่น้อย

เซียวเหิงขยับขึ้นทันที!

ทันใดนั้น ก็สบตาเข้ากับฉินมู่มู่ที่อยู่ตรงหน้า เมื่อฉินมู่มู่เงยหน้าขึ้นก็ตกใจ ภายในแววตาที่ลึกล้ำของเซียวเหิง เธอรู้สึกราวกับว่าใจจะหลุดออกมาได้

“ คุณเซียวคะ…… ”

เรียกขึ้นด้วยท่าทางที่เขินอาย ในทันที!

“ เฮ้อ ฉันมองไม่ออกจริงๆเลย ว่าใบหน้าที่บริสุทธิ์ผุดผ่องนี้ จะมีใจที่ดำอำมหิต ”

สีหน้าของฉินมู่มู่ดำดิ่งลง รอยแดงที่แก้มยังคงไม่จางลง

ริมฝีปากสั่นระริก เธอโกรธจนตัวสั่น “ จะมากเกินไปแล้วนะคะคุณเซียว คุณเกินไปแล้ว ”

“ คุณอย่าร้องไห้ ผมเกลียดผู้หญิงที่ชอบร้องไห้ฟูมฟาย ”

ฉินมู่มู่ “ สะอึก ” กัดริมฝีปากแน่น แล้วจ้องมองไปอย่างไม่พอใจ

เซียวเหิงลุกขึ้นยืน “ คุณลองบอกสิ ผมควรลงโทษหรือไม่ควรลงโทษคุณดี? ”

ลงโทษอีกแล้ว!

“ ทำไมกัน? ฉันก็ไม่ได้ไปก้าวก่ายคุณเซียว! ” ฉินมู่มู่หงุดหงิด

“ หึ ทำไมคุณโง่ขนาดนี้นะ ยังต้องถามอีกเหรอ ” เซียวเหิงใช้สายตามองไปที่ฉินมู่มู่ “ คุณทำร้ายเจี่ยนถง ก็เหมือนกับทำร้ายผมไง ”

ทำไมเป็นเจี่ยนถงอีกแล้ว

ทำไมทุกคนก็พูด“ เจี่ยนถงๆๆ ” อะไรกันเนี่ย

เธอมีอะไรดีกันแน่? ไม่ว่าจะคุณเซียว หรือนายใหญ่ พวกเขาต่างก็ยืนกรานอยู่ข้างเธอ!

ทันใดนั้นฉินมู่มู่ก็เงยหน้าขึ้น สายตาที่เต็มไปด้วยความริษยา “ เจี่ยนถงไม่ใช่ผู้หญิงดีอะไรเลย! คุณเซียวโดนเธอหลอกแล้ว!

คุณเซียวดูภายนอกเธอใสๆซื่อๆ แท้จริงแล้วเธอร้ายลึกมาก เธอก็แค่แสร้งทำเป็นน่าสงสาร! ”

เซียวเหิงยืนขึ้นทันทีโดยไม่พูดอะไร ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า แล้วกวาดสายตาไปที่ฉินมู่มู่ที่อยู่ข้างล่าง พูดขึ้นเบาๆ

“ ผมรู้แล้วว่าควรลงโทษคุณอย่างไรดี ”

ถ้าเกิดสงสารสามารถแสร้งได้ ตอนที่ผู้หญิงคนนั้นอยู่ตรงหน้าเขา ถึงได้ตัวเกรง และประหม่าไปหมด หลังจากที่เขารู้ความลับของเธอ

เธอน่าจะเปิดชุดให้เห็นเอวด้านหลัง และบอกให้โลกรู้ รีบมาดูสิ ไตฉันหายไปข้างหนึ่ง ฉันน่าสงสารมาก พวกคุณทุกคนต้องสงสารฉัน

แต่ว่าเจี่ยนถงไม่ใช่ ผู้หญิงคนนั้นเก็บซ่อนความลับไว้อย่างลึกล้ำ มันไม่ง่ายเลยที่จะมีใครแตะต้องได้

มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เซียวเหิงรู้สึกว่า เธอสามารถที่จะเก็บซ่อนความลับนี้ไปชั่วชีวิตได้

ยกมือขึ้น กดโทรติดต่อกับใครอยู่ ไม่นานนัก ก็ได้มีชายกำยำที่ใบหน้าไร้ความรู้สึกเข้ามาสองคน

เซียวเหิงชี้ไปที่พรมบนพื้น “ คุณฉินเธอบอกว่าอยากเรียนดำน้ำ พวกนายสองคนช่วยเธอหน่อย พาเธอไปที่สระว่ายน้ำในสวนด้านหลัง ”

ดำน้ำ ตามชื่อเลย ดำลงไปในน้ำ

ชายกำยำทั้งสองคนนี้ต่างเข้าใจดี ว่าสระว่ายน้ำจะดำน้ำได้อย่างไรกัน?

ในตอนนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ชัดเจน แต่ก็เข้าใจดี และไม่สนใจการขัดขืนของฉินมู่มู่ จับกันไปคนละข้าง เสมือนกับว่าเป็นหุ่นยนต์ ลากฉินมู่มู่มุ่งไปที่สระว่ายน้ำด้านหลังในสวน

“ คุณเซียว! คุณเซียว! คุณจะทำกับฉันแบบนี้ไม่ได้นะคะ! คุณทำไม่ได้! ฉันจะฟ้องคุณ ฉันจะฟ้องคุณ ฉันจะฟ้องคุณแน่นอน! ”

เธอกลับเห็นเพียง คุณเซียวที่เธอนึกถึงทุกลมหายใจ ทำแค่เพียงเอามือล้วงกระเป๋า เงยหน้ามองชายกำยำทั้งสองนั้นหนึ่งประโยค “ อย่าฆ่าตายหล่ะ ฉันยังต้องใช้เวลาจัดการปัญหาที่ไร้สาระนี้อยู่ ”

“ ครับ คุณชาย ”

“ คุณฉิน ผมเคยบอกคุณหรือเปล่า ว่าคุณนี่มันจริงๆ…… ” เซียวเหิง “ หึ ” เบาๆ “ มันน่าขยะแขยง ”

เซียวเหิงเข้าใจเสิ่นซิวจิ่น หลังจากที่เสิ่นซิวจิ่นลงโทษฉินมู่มู่อย่างง่ายดาย แล้วพาคนของตัวเองจากไป เซียวเหิงในตอนนั้นก็คิดได้ และรู้ว่าจะเกิดอะไรตามมา เสิ่นซิวจิ่นก็ทำมาเป็น “ คนดี ”ขึ้นมา ดังนั้นจึงทิ้งคนไว้กับเขาแล้ว และตัวเองก็จากไป

เซียวเหิงและเสิ่นซิวจิ่น เป็นศัตรูและเพื่อนร่วมผลประโยชน์กันมาตั้งแต่เด็ก มีประโยคหนึ่งบอกว่า คนที่คุณเข้าใจที่สุด ถ้าไม่ใช่คนที่คุณสนิทที่สุด ก็เป็นศัตรูของคุณ

การกระทำของเสิ่นซิวจิ่นในครั้งนี้ผิดปกติมาก เสิ่นซิวจิ่นไม่รู้เหตุผล แต่……ศัตรูไม่ขยับเขาไม่ขยับ

เสิ่นซิวจิ่นจากไปหลังจากลงโทษเพียงเล็กน้อย ฉะนั้น เซียวเหิงก็ไม่มีเหตุผลที่จะฆ่าคนให้ตาย

ต้องบอกเลยว่า บนโลกใบนี้ เซียวเหิงรู้จักเสิ่นซิวจิ่นดีกว่าคนส่วนใหญ่ซะอีก

เจี่ยนถงไม่ยอมให้เสิ่นซิวจิ่นฆ่าฉินมู่มู่ เสิ่นซิวจิ่นจึงพาฉินมู่มู่ไปหาเซียวเหิงถึงที่ เรื่องที่ตัวคุณเองเป็นคนก่อฉันพาคนมาส่งให้ถึงที่แล้ว เซียวเหิง คุณเองจะจัดการอย่างไงก็แล้วแต่

ในเมื่อตัวเองไม่สามารถฆ่าฉินมู่มู่ตายได้ ถ้าอย่างนั้นก็ให้เซียวเหิงฆ่าตายแล้วกัน

สำหรับเซียวเหิงแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าทำครั้งนี้เสิ่นซิวจิ่นถึงได้จัดการแปลกๆ แต่ยังคงยึดมั่นในหลัก ศัตรูไม่ขยับฉันก็จะไม่ขยับ……โอเคเลย สิ่งที่เสิ่นซิวจิ่นทำได้แต่กลับไม่ทำ ฉันเซียวก็จะไม่ทำเช่นกัน

ทั้งสองคนนี้ ไม่มีใครเป็นคนดีทั้งนั้น

เซียวเหิงนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่น เขาไม่ได้ไปสระน้ำในสวนด้านหลัง เขาคีบบุหรี่แล้วดูด และดูทีวีอยู่อย่างไม่สนใจไยดีในห้องนั่งเล่น

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป

ชายกำยำทั้งสองกลับมาแล้ว “ คุณชายครับ ตามคำสั่งของคุณ พวกเราช่วยสอนคุณผู้หญิงคนนั้นดำน้ำแล้วครับ แต่คุณผู้หญิงคนนั้นโง่เกินไป สำลักน้ำมากเกินไป สภาพร่างกายดำน้ำต่อไม่ไหวแล้วครับ ”

“ คนหล่ะ? ” เซียวเหิงถามขึ้นเบาๆ สายตายังไม่ละจาก ทีวี

“ อยู่สวนด้านหลังครับ ”

“ อ่อ ” เซียวเหิงพูด ยกข้อมือขึ้นแล้วมองเวลา “ นี่ก็ดึกมากแล้ว เชิญคุณฉินกลับไปเถอะ ”

“ ครับ คุณชาย ”

……

กลางคืนที่มืดมิด ผู้หญิงคนหนึ่งถูกโยนออกจากประตูเหล็กขนาดใหญ่ของวิลล่า

ฉินมู่มู่เจ็บไปหมดทั้งตัว โดยเฉพาะลำคอ และได้ไอขึ้นอย่างหนัก

ร่างที่เปียกปอน ลมกลางดึกที่โชยมา ฉินมู่มู่ที่เดินอยู่ข้างถนน หนาวจนตัวสั่น

ในแววตาของเธอมีแต่ความเกลียดชัง เมื่อมองแวบแรก ความเกลียดชังนี้ มันช่างดูน่ากลัวราวกับสัตว์ประหลาด ที่จะกลืนกินทุกสิ่งลงไปได้ เจี่ยนถง! ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจี่ยนถง!

เป็นเพราะเธอทั้งนั้น! ถ้าไม่มีเธอ เธอก็คงไม่ต้องทุกข์ทรมานขนาดนี้!

เธอบอกว่าจะช่วยตัวเองขอร้องอ้อนวอน ที่แท้ก็เป็นคนโกหก! เจ้าเล่ห์!

ผู้หญิงคนนั้น ไม่ได้ขอร้องอ้อนวอนให้ตัวเองเลย!

บทที่69 การพบกันข้างทางในคืนราตรี

หลังจากวันนั้นผ่านไป ซูเมิ่งยืนยันว่าจะรอให้เจี่ยนถงหายดีก่อน แล้วค่อยให้เธอมาทำงาน

หลังจากที่เจี่ยนถงหายป่วยแล้ว ก็กลับสู่ชีวิตการทำงานเหมือนเดิม

แต่ในช่วงนี้ แม้ว่าเธอจะพยายามขนาดไหน ก็ไม่ได้งานเลย

ผู้จัดการสวี่เป็นหัวเป็นหน้าของเธอนั้น ก็ยิ่งไม่ให้งานกับเจี่ยนถง

แต่ทางด้านซูเมิ่ง ปกติแล้วจะขัดคำสั่งของเสิ่นซิวจิ่น

เจี่ยนถงนั่งอยู่คนเดียวในห้องรับรองของฝ่ายประชาสัมพันธ์ และถึงเวลาเลิกงาน

“ เลิกงานแล้วๆ เฮ้อ เหนื่อยจังเลย วันนี้ลูกค้าคนนั้นใจดีมากเลย หนึ่งในนั้นพูดขึ้น คนจำนวนมากในห้องรับรอง ทุกคนต่างพูดคุยกันอย่างยิ้มแย้ม และพูดถึงสิ่งที่เผชิญมาในวันนี้ แต่มีเพียงเจี่ยนถง ที่นั่งโง่ๆอยู่ทางนั้น

เธอเงยหน้าขึ้น และชำเลืองมอง มีผู้หญิงคนหนึ่งหยิบธนบัตรกองใหญ่ที่เรียบร้อบออกมา หนาขนาดนั้น อย่างน้อยๆก็คงมีสามหมื่นห้า เจี่ยนถงจ้องมองไปที่ธนบัตรในมือของคนนั้น จนอีกฝ่ายจับได้

“อ่าว เจี่ยนถง ” ในแววตาของคนคนนั้นเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย “ ทำไมล่ะ? ชอบอันนี้? ” เธอสะบัดเงินในมือต่อหน้าต่อตาของเจี่ยนถง

“ ฉันว่านะเจี่ยนถง ฉันคิดว่าเธอไม่ควรหน้าด้านทนอยู่ที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์แล้วนะ นี่เธอไม่ได้ทำงานนานขนาดไหนแล้ว? ”

“ เจนนี่ อย่าเอาเงินแค่นี้ของเธอ มาสะบัดต่อหน้าเจี่ยนถงแล้ว เงินแค่นี้ของเธอ เจี่ยนถงหน่ะมองว่ามันจิ๊บๆมาก เจี่ยนถงหน่ะ ทำเงินได้ตั้งเยอะ แล้วนับประสาอะไรกับเงินแค่นี้ของเธอ ”

เจนนี่นั่นยิ้มมุมปาก “ นั่นมันก็จริงนะ ใครจะเหมือนเธอที่ปรับตัวเข้ากับทุกสถานการณ์ได้หล่ะ? ไม่ว่าเงินจะเยอะขนาดไหน ฉันก็ไม่อยากได้เหมือนกัน ”

เจี่ยนถงมองไปที่นาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง ลุกขึ้นอย่างเงียบๆ เก็บข้าวของของตัวเอง แล้วเดินผ่านเจนนี่ไปที่นอกประตู

“ หยุดนะ! ” เจนนี่ตะโกนดังขึ้น “ เจี่ยนถง นี่คุณหมายความว่าอะไร? ”

“ เธอ! ” เจนนี่จ้องมองไปที่ดวงตาคู่งาม และชี้ไปที่จมูกของเจี่ยนถงด้วยความโกรธ “ ฉันคุยกับเธออยู่นะ เธอยังไม่ทันตอบฉันก็เดินหนีไปแล้ว นี่เธอหมายความว่าอย่างไง? ดูถูกฉันงั้นเหรอ? ”

เมื่อได้ยินข้อกล่าวที่ไร้เหตุผลแล้ว เจี่ยนถงรู้สึกปวดหัวขึ้นมา และอธิบายด้วยอารมณ์ที่ดี “ ถึงเวลาแล้ว ฉันเลิกงานแล้วนี่ ”

“ คำพูดนี้ของเธอ มันหมายความว่าอย่างไรอีก? ”

“ ฉัน…… ” เธอพูดอะไรผิดอีกแล้วเหรอ? ตอนนี้กำลังพูดเรื่องพวกนี้กับตัวเอง ชื่อว่าเจนนี่ เจี่ยนถงรู้ว่าเจนนี่คนนี้เป็นคนอย่างไง แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองไปเองไปทำอะไรให้เจนนี่คนนี้เข้า คิดแล้วคิดอีก เธอก็ไม่อยากที่จะเถียงกับใครทั้งนั้น ถอนหายใจ แล้วมองไปที่เจนนี่ จากนั้นพูดขึ้นช้าๆ

“ ถ้าฉันทำอะไรให้เธอ ฉันขอโทษก็แล้วกัน ” แบบนี้มันถูกแล้วเหรอ?

เมื่อเจนนี่ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าเบิกบาน เรื่องวันนี้ เป็นเธอที่หาเรื่องเจี่ยนถงก่อน ถ้าเกิดเจี่ยนถงทนไม่ได้แล้วทะเลาะกับตัวเองขึ้นมาแล้วละก็ ถึงเวลานั้นตัวเองจะไปฟ้องผู้จัดการสวี่ว่าเจี่ยนถงทำอะไร

แต่เธอคิดแล้วคิดอีก ก็คิดไม่ถึงว่าจริงๆแล้วเจี่ยนถงไม่อยากจะทะเลาะกับเธอ และคนรอบข้าง แต่เมื่อเจี่ยนถงขอโทษแบบนี้ กลับแสดงให้เห็นถึงความอวดดีของเจนนี่ ท่ามกลางคนมากมาย

“ ดี เธอจะขอโทษใช่ไหม? งั้นก็มาทำให้มันจริงๆหน่อย! ” ด้วยความโกรธ เจนนี่ยกมือขึ้นกวักมือ  ในตอนที่กวักมือ ทันใดนั้นเองก็มีเสียงคำรามดังขึ้นมาจากประตู

“ เจนนี่ เธอจะทำอะไร! ”

“ ผู้จัดการสวี่…… ” เจนนี่ นิ่งไป แต่ทันนั้นก็รีบรายงาน “ ผู้จัดการสวี่คะ คุณต้องเข้าข้างฉันนะคะ เจี่ยนถงเธอดูถูกฉัน ”

“ ยุ่งๆๆ หาแต่เรื่องทะเลาะทั้งวัน เจนนี่ เธอเพิ่งทะเลาะกับอย่างนี้ไปเมื่อสองวันก่อน ตอนนี้มาทะเลาะกับเจี่ยนถงอีกแล้ว ทุกวันนี้นอกจากทะเลาะแล้ว เธอทำอย่างอื่นเป็นบ้างไหม? ”

ผู้จัดการสวี่ส่งสายตาพิฆาต เจนนี่เหลือบด้วยใบหน้าที่เศร้าซึม

ถ้าเกิดว่าเป็นเมื่อก่อน เขาจะไม่พูดแบบนี้เลย แต่……ผู้จัดการสวี่มองไปที่เจี่ยนถงที่ขรึมเข้มตรงหน้า มองผู้หญิงคนนี้ซ้ายขาวบนล่างไปมา ถ้าไม่รู้เรื่องราวภายใน ก็ไม่เชื่อเลยว่าเจี่ยนถงคนนี้ จะมีความสัมพันธ์กับบอสใหญ่ที่ลึกลับคนนั้นแห่งตงหวง

“ ผู้จัดการสวี่คะ ทั้งๆที่เธอ…… ”

“เอาล่ะๆ ได้เวลาเลิกงานแล้ว ” ผู้จัดการสวี่พูดขัดเจนนี่ และแสยะตามองเธอ พูดขึ้นน้ำเสียงที่เย็นชา “ ทำงานในตงหวง ห่วงงานของตัวเองเป็นอย่างแรก อย่ายุ่งวุ่นวายไปทั่ว ”

เขาของเหลือบมองไปที่เจี่ยนถง……อะไรที่ควรเตือนเธอก็เตือนไปแล้ว ส่วนเจนนี่จะเข้าใจไหม ก็ขึ้นอยู่กับความโชคของตัวเธอเองแล้ว

เจี่ยนถงถอนหายใจในใจ หยิบของแล้วออกจากห้องรับรองไป

ออกจากตงหวงไป เธอก็เดินกลับไปทางหอพัก

สายลมยามค่ำคืน เธอเดินอยู่บนถนนคนเดินเพียงลำพัง เสียววาบสันหลังอยู่บ้าง

รถคันหนึ่งขับตามมาจากข้างหลังเจี่ยนถงอย่างช้าๆ

กระจกรถถูกปิดลง เสียวผู้ชายก้องกังวานขึ้น “ คุณเจี่ยน เราเจอกันอีกแล้วนะ ”

เมื่อได้ยินเสียงนั้น เจี่ยนถงหันกลับไป ในกระจกรถ มีใบหน้าอันหล่อเหล่าที่สามารถทำให้คนสยบได้ ภายใต้ไฟกิ่งที่สลัว ร่างที่น่าสะพรึงกลัวก็ปรากฏขึ้นทันที

“ อ่าว……คุณนี่เอง คุณรีบก็เชิญไปก่อนเลยค่ะ ”

เธอคิดว่าอีกฝ่ายแค่เดินผ่านมา และพูดขึ้นอย่างสุภาพ คิดว่าทักอย่างนี้แล้ว อีกฝ่ายจะเดินจากไป

เธอเดินต่อไปอีกสามถึงห้าเมตร รถคันนั้นก็เคลื่อนเคียงข้างเธอมาอย่างช้าๆ

มองขึ้นอย่างสงสัย “ คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ? ”

ชายในรถเม้มปากแล้วยิ้มขึ้น “ ผมมีเกียรติที่จะเชิญคุณเจี่ยนขึ้นรถไหมครับ? ”

“ ไม่เป็นไรค่ะ หอพักของฉันอยู่ตรงหน้านี้เอง ” เธอสัมผัสได้ถึงความอันตรายของผู้ชายคนนี้โดยสัญชาตญาณ เธอไม่อยากจะเข้าใกล้สิ่งที่อันตรายมากเกินไป

“ แล้วถ้าเกิดว่าผม ผมจะดื้อดึงไปส่งคุณเจี่ยนให้ได้ล่ะ? ”

เจี่ยนถงหยุดเดิน แล้วหันกลับมา เผชิญหน้าเข้ากับชายในรถ “ คุณคะ ตอนนี้เป็นเวลาเลิกงานค่ะ ” เธอตั้งใจจะบอกว่า เธอเลิกงานแล้ว เขาไม่ใช่ลูกค้าของเธอแล้ว

ชายบนรถหัวเราะออกมาเบาๆ หยิบกระเป๋าเงินขึ้นจากเบาะ แกว่งธนบัตรไปมาต่อหน้าเจี่ยนถง “ คุณเจี่ยนก็คิดซะว่าทำงานล่วงเวลาก็แล้วกัน? ”

เธอควรจะปฏิเสธ แต่ว่า……เฮ้อ เงิน!

สิ่งที่เธอต้องการอย่างเร่งด่วน ไม่ใช่เงินเหรอ?

เสิ่นซิวจิ่นได้บอกแล้วว่า คืนทั้งหมดห้าล้านภายในหนึ่งเดือน…… แต่ช่วงนี้ก็ไม่ได้ทำงานอะไรเลย

ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป…..เธอจะคืนหนี้ห้าล้านนั้นหมดได้อย่างไง เพื่อค่าไถอิสรภาพ?

ชายบนรถยิ้มมุมปาก……เธอรักเงินจริงๆ

แต่นี่น่าจะเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว เขาขาดทุกอย่าง ยกเว้นเงิน ใช้ทั้งชีวิตก็ใช้ไม่หมด

เป็นเวลานาน เสียงหยาบกร้านของเจี่ยนถงค่อยๆถามขึ้น “ ฉันจะ ต้องทำอะไรให้กับคุณ เพื่อแลกกับทิปของคุณ? ”

ชายบนรถมองอย่างประหลาดใจ รอยยิ้มที่มุมปากยิ้มลึกขึ้น……ช่างน่าสนใจจริงๆ แม้ว่าจะรักเงิน แต่กลับไม่เอาไปฟรีๆ?

แต่จะพูดกันตามตรง ผู้หญิงในฝ่ายประชาสัมพันธ์ มีกี่คนบ้างที่ไม่อยากได้เงินจำนวนมหาศาลนี้มาเปล่าๆ?

“ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่ต้องนั่งข้างผม แล้วให้ผมไปส่งคุณที่หอพัก ”

ช่างเป็นเรื่องที่เสมือนกับความรัก ที่ลูกชายผู้หล่อเหลา และร่ำรวยเงินทองของขุนนาง มาพูดประโยคนี้กับผู้หญิงที่เดินอยู่ข้างถนนคนเดียวตอนดึก ไม่ว่าจะมองอย่างไร ทั้งหมดนี้ก็น่าประทับใจ

กับผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่มีใจ ก็ทำให้ใจเต้นได้

แต่ผู้หญิงที่อยู่ทางเท่านั้น กลับครุ่นคิด นิ่งเงียบอยู่นาน เหมือนว่ากำลังคิด และพิจารณาบางอย่างอยู่ ชายบนรถก็ไม่ได้

รบเร้าอะไร

ห้านาทีต่อมา เธอเงยหน้าขึ้น พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หยาบกร้าน “ คุณคะ ฉันจะต้มบะหมี่ต้นหอมให้คุณชามหนึ่งได้ไหมคะ? ”

บทที่70 ผมชื่อคาร์อัน จำชื่อผมไว้ให้ดี

“ ห้ะ? ” เขาเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ตาคู่นั้นจับจ้องไปที่ผู้หญิงที่อยู่ข้างถนนนั้น

เธอคนนั้นยืนอยู่ใต้แสงไฟข้างทางที่สลัว เงาที่เกิดขึ้นดูหดหู่เล็กน้อย ยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว เขาเกือบจะคิดว่า ภายใต้เสียงไฟนั้นเป็นร่างชายชราแก่ๆคนหนึ่ง เป็นเพราะร่างกาย รวมไปถึงเส้นผมทุกเส้นของเธอ ก็เหมือนจะเผยให้เห็นถึงความผันผวนของชีวิตที่ทุกข์ทรมานมาตลอดหลายปี

ฉะนั้น ถ้าตรวจสอบภายในใจของเธอนั้น คงต้องก้าวเข้าไปลึกมาก…….ถึงมากที่สุด เธอเป็นผู้หญิงแบบไหนกันนะ?

ราวกับว่าแสดงให้เห็นถึงความชราร่วงโรยภายใต้แสงจันทร์ ที่ดูเหมือนเผชิญกับความหนาวเหน็บและเจ็บปวดมาหลายหมื่นปี

“ หอพัก……มีแต่บะหมี่ ต้นหอม แล้วก็ไข่ ฉันไม่มีของดีเลิศกว่านี้มาต้อนรับคุณแล้ว ”

สายลมในยามค่ำคืน มีเสียงหยาบกร่านแผ่วเบาส่งออกมา ทันใดนั้น ใจของผู้ชายบนรถกระตุกขึ้น…..ผู้หญิงคนนี้ แท้จริงแล้วสาเหตุที่เธอยืนครุ่นคิดอยู่นานภายใต้แสงไฟนั้น ก็เป็นเพราะกำลังคิดว่าจะนำสิ่งใดมาตอบแทนกับค่าทิปที่ตัวเขาเองให้

เธอครุ่นคิดอยู่นาน จากนั้นเธอก็พูดขึ้น ในบ้านเหลือแค่ของเหล่านี้ และเธอหาอะไรที่ดีกว่านี้มาขอบคุณเขาไม่ได้แล้ว

ทันใดนั้นเอง เขารู้สึกว่ากองธนบัตรในฝ่ามือพวกนั้นร้อนมากขึ้น เหลือบไปมองที่ธนบัตรในมือพวกนั้น……ธนบัตรแค่นี้ ในสายตาของเขามันแทบจะไร้ค่า แต่ผู้หญิงคนนั้นคิดอยู่นาน และนำสิ่งที่ดีที่สุดที่มีอยู่มาแลก……ในสายตาของเขา ธนบัตรในมือของเขาไม่ใช่กองเงินอะไรเลย

แม้ว่าบะหมี่ต้นหอมชามหนึ่ง จะมีขายอยู่ตกชามละไม่กี่หยวน

ชายในรถจ้องมองไปที่หญิงสาวใต้แสงไฟอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆพูดขึ้น “ โอเคครับ ”

หาได้ยากมาก ที่เขาจะเปิดประตูรถด้วยตัวเอง เขาเดินไปที่นั่งอีกฟากหนึ่งเพื่อเปิดประตูรถให้กับเธอเอง

“ หอพักของคุณอยู่ไหนครับ? ”

“ ตรงไปค่ะ ฉันจะชี้ทางให้เอง คุณขับช้าๆก็พอค่ะ ”

ขับรถตรงไปข้างหน้า แล้วเลี้ยวซ้ายตรงสี่แยก จากนั้นขับไปสักพักค่ะ จอดลงตรงชุมชนที่ค่อนข้างเก่าชุมชนหนึ่ง

ทั้งสองลงจากรถ เขาก็เลิกคิ้วขึ้น “ คุณอยู่ที่นี่? ”

“ ค่ะ ที่นี่ก็ถือว่าดีค่ะ ” มีที่หลบลมหลบฝนเธอก็พอใจมากแล้ว วันที่เธอออกจากเรือนจำ กังวลมากว่าชีวิตจะเอาอย่างไรต่อดี การงานในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ตอนที่เดินออกมาจากประตูเรือนจำ ตอนนั้นเธอก็คิดขึ้น คืนนี้กลับเข้าห้องขังไม่ได้แล้ว ฉันจะอยู่ที่ไหนดีล่ะ?

ตลอดทางจนถึง หยิบกุญแจออกมา กุญแจนี้ยังใหม่เอี่ยม เป็นกุญแจดอกใหม่ที่โลจิสติกส์ของบริษัทเพิ่งเปลี่ยนกลอนประตูหอพักไม่กี่วันที่ผ่านมานี้

แค๊ก ประตูก็เปิดออกแล้ว ผลักประตูออก ประตูเก่าบานบางส่งเสียง “ เอี๊ยดอ๊าด ” “ คุณคะ เชิญเข้ามาค่ะ ”

เจี่ยนถงไม่ค่อยชอบพูดเท่าไหร่ เพราะว่าเสียงของเธอ……แม้แต่ตัวเองยังรู้สึกว่าไม่ไพเราะเลย

“ คุณเชิญก่อนค่ะ ” เธอวางของในมือลง แล้วหันเข้าไปในครัว ผ้ากันเปื้อนธรรมดาๆ และแน่นอนว่าไม่ใช่รสนิยมของวัยรุ่นสมัยนี้ มันกลับดูล้าสมัย และน่าเกลียดอยู่หน่อยๆ

เขาหาที่ที่จะสามารถมองเห็นภาพในห้องครัวได้ และนั่งลง

ผู้หญิงคนนั้นดูไม่ได้เป็นแม่ศรีเรือนเลย แต่ก็ต้มน้ำ ต้มบะหมี่ หั่นหอม ตักบะหมี่ ราดน้ำมัน ตักกระเทียมเจียวได้อย่างกระฉับกระเฉง……ดูๆแล้ว เขาอยากจะกอดเธอจากด้านหลัง โอบหลังเธอไว้

บะหมี่ซอสต้นหอมร้อนๆ ข้างบนท็อปปิ้งด้วยต้นหอมซอย และไข่ทองสีเหลืองทอง

“ นี่คะ คุณลองชิมดู ”

“ คุณไม่กินเหรอครับ? ”

เจี่ยนถงยิ้มเล็กน้อยแล้วส่ายหน้า จากนั้นเช็ดมือให้แห้ง “ ฉันกินที่บริษัทมาแล้วค่ะ ” ถ้ากินอีก ก็จะเปลือกอาหาร

เขากินบะหมี่ในชามจนหมดเกลี้ยง ก่อนจะวางตะเกียบในมือลง “ อร่อยมากครับ ” เขาเงยหน้าขึ้น มองไปที่เธอแล้วพูดขึ้น “ คุณต้องใจทำมากเลย ”

“ เมื่อก่อน มีคนคนหนึ่งชอบกินบะหมี่ซอสต้นหอมมาก ฉันคิดว่าถ้าฉันทำเป็นแล้ว จะทำให้เขากินให้ได้ ”

“ จากนั้นละครับ? ”

“ จากนั้น……คุณเป็นคนแรกที่กินบะหมี่ซอสต้นหอมที่ฉันทำเลยค่ะ ”

“ แล้วตัวคุณเองล่ะ? ฉันควรจะเป็นคนที่สองไม่ใช่เหรอ? ”

“ ฉันเหรอคะ? ถ้ากินหัวหอมก็จะคัน คงเป็นผลมาจากใจฉันละมั้ง ”

“ …… ” อยู่ๆเขาก็เงยหน้าขึ้น “ คุณได้ แต่เรียกผมว่าคุณ แล้วคุณไหมว่าผมชื่ออะไร? ”

“ ลูกค้าก็คือลูกค้าค่ะ จะชื่ออะไรนั้น อย่างมากก็ขึ้นด้วยคุณแล้วค่อยตามด้วยชื่อค่ะ จาก ‘ คุณ’ เปลี่ยนเป็น ‘ คุณหลี่’ ‘ คุณจาง’ ‘ คุณหวัง’ ก็เท่านั้น นามสกุลอะไรก็เรียกอย่างนั้นค่ะ ” สำหรับเธอแล้ว มันสำคัญด้วยเหรอ?

ดวงตาสีกาแฟของเขากะพริบไปมา จากนั้นหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมา นำเงินกองนั้นออกมาวางตรงหน้าเจี่ยนถง “ แลกเปลี่ยนกับคุณ ” พูดไปด้วย และใช้มือหยิบกองเงินในกระเป๋าเงินออกว่าวางตรงหน้าเจี่ยนถง “ จำชื่อผมให้ดีล่ะ ผมชื่อคาร์อัน เงินนี้เป็นทิปที่แลกเปลี่ยนสำหรับการจำชื่อของผม ”

เจี่ยนถงมองไปที่กองเงินตรงหน้า……เธอตะลึงเล็กน้อย

แล้วเงยหน้าขึ้นมามองชายตรงหน้า “ เพียงแค่……จำชื่อคุณได้? ”

เงิน หาได้ง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

เจี่ยนถงยังไม่เข้าใจ มีบางเรื่องที่เธอมองไม่ออก ทว่าถ้าซูเมิ่งอยู่ที่นี่ด้วย ต้องมองออกแน่นอน

คาร์อันกะพริบตาที่เปล่งประกายนั้น จากนั้นยิ้มขึ้น “ แน่นอน “ เป็นไปไม่ได้ที่จะจำชื่อเขาได้……นี่เป็นเหยื่อที่เขากำลังตามล่าด้วยใจที่บริสุทธิ์

ชื่อ……เป็นเพียงแค่ก้าวแรก

“ ดึกมากแล้ว ผมจะกลับแล้ว ” คาร์อันลุกขึ้นยืน เขาสูงมากจริงๆ เจี่ยนถงที่ยืนข้างเขาแล้ว ห่างกันมากไม่น้อย

“ คุณคาร์อันคะ ฉันไปส่ง…… ” คุณคะ……ยังไม่ทันพูดจบ เจี่ยนถงก็ต้องเบิกตากว้างขึ้น หน้าผากของเธอร้อนผ่านขึ้น ทันใดนั้นมีมือยื่นออกมาผลักคนตรงหน้าอย่างแรง และโดนเขาจูบไปที่หน้าผากอย่างจัง “ คุณทำอะไรคะ! ”

อาการบาดเจ็บใหม่ เพิ่งถูกลบเลือน

ไม่ นี่ไม่ใช่เป้าหมาย เป้าหมายคือ……เขาสามารถจูบปากริมฝีปากของเธอ และจูบที่นี่ไม่ได้!

เจี่ยนถงตัวสั่นไปทั้งตัว!

ความโกรธที่มีมาก่อนหน้านี้ เธอแสดงมันออกมาอย่างน่าตึงเครียด กล้าจะหักหลังเธอทั้งหมด

คาร์อันไม่ตอบคำถาม เหล่ตามองแล้วขยับขึ้น “ ไม่ได้เหรอครับ? ”

ไม่ได้!

ไม่ได้แน่นอน!

เธอโกรธจนตาแดงระเรื่อ และชี้ไปที่ประตูด้วยความเหี้ยม “ นี่ก็ดึงมากแล้ว คุณคาร์อัน เชิญออกไปค่ะ! ”

“ ผมจะไม่ขอโทษคุณ ” คาร์อันเชิดคาง และใบหน้าอันสง่าขึ้นเล็กน้อย หันหลังกลับ เมื่อขาที่เรียวยาวก้าวออกจากประตูหอพักไป เธอนั่งลง “ ก้อนเนื้อเน่าถ้าไม่รักษา มันก็จะเน่าเสียจนหมด ”

เล่นสำนวน

เจี่ยนถงตาแดง มองไปที่ชายคนนั้นที่หายไปจากประตู เธอหายใจติดขัด คำพูดสุดท้ายของเขายังคงวนเวียนอยู่ในหู

“ เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย! เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย! ” คุณรู้อะไรกัน! รักษา? รักษาอย่างไง? สภาพของเธอตอนนี้ จะรักษาอย่างไง! เอาอะไรมารักษา!

ประตูยังคงเปิดอยู่ เจี่ยนถงสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วค่อยๆหายใจออกอย่างช้าๆ ค่อยๆก้าวไปหมุนลูกบิด แล้วปิดประตู

มีแรงต้านจากด้านนอก เธอถูกผลักจนเซไปมา

“ ฉินมู่มู่? ”

หน้าประตู ฉินมู่มู่ที่ราวกับวิญญาณร้าย “ เจี่ยนถง เธอมันนางหมาป่าเจ้าเล่ห์ ”

บทที่ 71 เจี่ยนถงโมโห

“คุณบอกว่าคุณช่วยฉันขอร้อง คุณขอร้องแล้วหรอ? คุณอยากจะแสดงความเมตตาของคุณ?

เจี่ยนถง คนไม่เมตตาที่สุดก็คือคุณ!”

ฉินมู่มู่พอเข้าประตู ก็แสดงความโกรธในใจออกมา

“คุณมีความสัมพันธ์กับบอสใช่ไหม? ในเมื่อคุณมีความสัมพันธ์กับบอส ทำไมยังจะยั่วยวนผู้ชายไปทั่ว ทั้งเซียวเหิง และผู้ชายต่างชาติคนนั้นเมื่อสักครู่อีกด้วย

คุณดูกล่องเสียงของฉัน ฟังเสียงของฉัน ถ้าหากคุณขอร้องให้ฉันละก็ กล่องเสียงของฉันจะสำลักเลือดไหลจนหายใจไม่ออกแบบนี้ไหม!

หมอบอกว่ากล่องเสียงของฉันต้องใช้ระยะเวลาพักฟื้นนานมากถึงจะหายดี ถึงแม้จะหายดีแล้ว ก็ไม่หายเป็นปกติเหมือนเมื่อก่อน!

คุณบอกว่าคุณจะช่วยฉันขอร้องไม่ใช่หรอ?

ถ้างั้นฉันขอร้องคุณ ฉันแทบจะก้มหน้ายอมรับผิดต่อคุณ ดูผิวเผินแล้วคุณบอกจะช่วยฉัน แต่จริงๆแล้วคุณไม่ได้ทำอะไรสักอย่างเลย!

เจี่ยนถง ฉันไม่เคยเห็นผู้หญิงหน้าไหว้หลังหลอกอย่างเธอมาก่อน! น่าขยะแขยง เสแสร้งและดัดจริต! "

เจี่ยนถงไม่ได้ขัดจังหวะของฉินมู่มู่ ท่าทีไม่ยินดียินร้าย ไม่โกรธไม่โมโหหน้าผากยังร้อนอยู่ เธอค่อยๆยื่นมือมาลูบที่หน้าผาก ทันใดนั้น เงยหน้าขึ้นมามองฉินมู่มู่ที่กำลังโกรธจัด พูดด้วยเสียงที่เกรี้ยวกราด

“ คุณก็ยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือ?”

"คุณหมายความว่าอะไร" ฉินมู่มู่ชะงัก เบิกตากว้าง จ้องมองเจี่ยนถงด้วยความไม่เชื่อ "เจี่ยนถง! คุณยังหวังอยากจะให้ฉันตายหรอ!"

เสียงกรีดร้องอยู่ข้างหู เจี่ยงถงยิ้มเล็กน้อย

"ฉินมู่มู่ คุณคงรู้สึกว่า ที่คุณต้องทนทุกข์อยู่แบบนี้ ล้วนเป็นเพราะฉันทำร้ายเธอใช่ไหม?”

"ไม่ใช่คุณ ฉันจะกลายเป็นแบบนี้? ฉันจะถูกไล่ออกจากตงหวง? คุณรู้ไหม ตัวคนเดียวอยู่ต่างประเทศ ต้องหางานพาร์ทไทม์เพื่อหาค่าครองชีพและค่าเล่าเรียนเพื่อเรียนมหาลัย! คุณรู้ไหมว่าการมีชีวิตอยู่มันไม่ง่ายเลย?”

เจี่ยนถงอยากจะหัวเราะจากใจ

"ที่แท้คุณก็รู้ การดำเนินชีวิตมันไม่ง่ายเลย ฉินมู่มู่ การมีชีวิตมันไม่ง่าย ทำไมคุณถึงอยากทำลายมัน?"

"คุณไม่ช่วยฉันก็ได้ แต่คุณรับปากแล้วว่าจะขอร้องให้ฉัน แต่ไม่เลย เจี่ยนถง ถ้าคุณไม่ยินดีที่จะขอร้องให้ฉัน ทำไมต้องสัญญาต่อหน้าฉัน คุณอยากเป็นคนดีและแสร้งทำเป็นคนเมตตาอยากได้คำขอบคุณจากฉัน แต่ก็ไม่ไปช่วยฉันขอร้อง

เจี่ยนถง คุณน่ากลัวมาก! "

เจี่ยนถงหลับตาลง เธอเหนื่อยมาก ก่อนหน้านั้นก็มีคุณชายคาย์อัน เขาไม่สนใจว่าเธอยินยอมหรือไม่ยินยอมให้แตะต้องบาดแผล… จูบนั้น ไม่เพียงแค่แตะบาดแผลที่หน้าผากเท่านั้น

ต่อมาฉินมู่มู่ก็โวยวายอย่างไม่มีเหตุผล ถ้าหากเปลี่ยนเป็นเวลาอื่น เจี่ยนถงก็ยังคงเป็นเจี่ยนถงคนที่ได้แต่รับปาก แต่ตอนนี้ไม่ได้

เธอแค่ต้องการพื้นที่ส่วนตัว เพื่อซ่อนตัวเอง ไม่อยากคิดอะไร ไม่ทำอะไรเลย

"ถ้าหากพูดตามเหตุผลละก็ คุณทำร้ายฉันก่อน ฉันสามารถเมินเฉยความเป็นความตายของคุณได้อย่างสิ้นเชิง” เจี่ยนถงค่อยๆพูดขึ้น "ถ้าหาก คุณมีอคติกับฉัน ก็เป็นเหตุผลที่คุณสามารถทำร้ายฉันได้ทุกเมื่อละก็ ถ้างั้น ฉันคิดว่า ฉันก็สามารถตอบแทนสิ่งที่คุณทำกับฉัน

ยิ่งไปกว่านั้น คุณคิดว่าเวลานี้คุณสามารถยืนอยู่ตรงหน้าฉันได้อย่างปลอดภัย เพราะอะไร?”

เธอหัวเราะเบา ๆ "หรือคุณจะไปกวนประสาทบอสอีกครั้ง คุณคิดดู ครั้งต่อไปเขาจะจัดการคุณด้วยวิธีไหน”

คำพูดไม่จำเป็นต้องพูดมาก

ถ้าหากฉินมู่มู่ยังไม่เข้าใจ ไม่ก็ ไม่เข้าใจจริงๆ หรือไม่ก็ ฉินมู่มู่ตัวเขาเองไม่อยากเข้าใจ

"ฉัน ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงอะไร เจี่ยนถงคุณนี่น่าแปลกนะ พูดคำพูดแปลกประหลาดพวกนี้ คุณไม่อยากช่วยฉันก็แล้วไป ไม่จำเป็นต้องพูดคำพูดแปลกประหลาดที่เข้าใจยากพวกนี้ลบล้างข้อสงสัยของตัวเอง”

ถ้าหากพูดถึง "ผู้ต้องสงสัย" คำนี้ละก็ สำหรับคนทั่วไปมันเป็นเพียงความหมายที่เรียนในหนังสือเรียนภาษาจีนและไม่ได้มีความหมายมากนัก แต่สำหรับเจี่ยนถงคำว่า "ผู้ต้องสงสัย" ประโยคนี้เธอรู้สึกทั้งกลัวทั้งเกลียด

สีหน้าของเขาซีดลงอย่างรวดเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หายใจเข้าลึก ๆ แล้วมองไปหาฉินมู่มู่ แม้แต่เสียงเกรี้ยวกราด ก็รู้สึกแหลมคม

แต่น้ำเสียงของเธอที่เกรี้ยวกราดขนาดนั้น แม้ว่าจะเสียงแหลม แต่ก็ทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ลงรอยกันอย่างแปลกประหลาด

"ผู้ต้องสงสัย? ฉินมู่มู่" ขณะนี้เจี่ยนถงเดินเข้าไปใกล้มาหาฉินมู่มู่อย่างโกรธ "คุณรู้ความหมายของคำว่า ‘ผู้ต้องน่าสงสัย’ ไหม?

ผู้ต้องสงสัย?

สงสัยอะไร?

ฉันต้องลบล้างข้อสงสัยอะไร?

ฉันเป็นคนทำร้ายคุณหรอ?

ฉันเป็นคนไปฟ้องเรื่องของคุณหรอ?

ฉินมู่มู่ คุณไม่ขายหน้าบ้างหรอ?

คุณให้ร้ายคนอื่น แต่กลับเผยพิรุธ พอคุณเผยพิรุธออกมา พอถูกบริษัทตรวจเจอ คุณกลับหันมาโทษฉันว่าฉันไม่ขอร้องให้คุณ? ฉินมู่มู่ สรุปแล้ว ใครเป็นคนที่ให้ความกล้าที่โง่เขลาอย่างนี้กับคุณ?

สรุปแล้วใครเป็นคนให้คุณกันแน่ สิทธิ์ที่ได้คืบจะเอาศอกครั้งแล้วครั้งเล่า?”

"คุณ คุณ … คุณ … " ฉินมู่มู่ชะงัก ทุกคำพูดของเจี่ยนถง บีบจนเธอถอยหลังไปหนึ่งก้าว เจี่ยนถงก้าวเข้ามาทีละก้าว ทุกก้าวก็ทำเอาฉินมู่มู่ถอยหลัง เจี่ยนถงที่อยู่ต่อหน้าคนนี้..ทำไมไม่เหมือนกับเจี่ยนถงคนเดิม?

"อ๊ะ !!! เจี่ยนถง! ฉันรู้อยู่แล้ว! ฉันรู้อยู่แล้ว! คุณก็แค่แกล้งทำ! เธอที่หน้าตาน่าสงสารคนนั้น ก็คือเสแสร้ง!

ที่นี่ไม่มีผู้ชาย ไม่มีคุณชายเซียว ไม่มีบอส ส่วนฉันก็ถูกไล่ออกจากตงหวง คุณคิดว่า อยู่ต่อหน้าฉันคุณไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งทำต่ออีก เพราะไม่มีใครสามารถเปิดโปงการกระทำของคุณแล้ว???”

เจี่ยนถงหยุดชะงัก มองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าตัวเองคนนี้…ไม่ เธอไม่ใช่เด็กผู้หญิงแล้ว มองเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นเวลานาน ทันใดนั้นเธอก็หัวเราะ เสียงหัวเราะกับก่อนหน้านั้นไม่เหมือนกัน ครั้งนี้เธอหัวเราะออกมาเสียงดัง เสียงนั้นไม่น่าฟังจนฉินมู่มู่ต้องอุดหูไว้

“มีอะไรน่าหัวเราะ เพราะทุกอย่างถูกฉันมองออกแล้วใช่ไหม?”

เจี่ยนถงมองฉินมู่มู่ด้วยหางตา ส่ายศีรษะ ชัดถ้อยชัดคำ พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า "ฉันอยากพักผ่อนแล้ว คุณไปเถอะ”

"คุณไล่ฉันไป? ฝันไปเถอะ! คุณทำให้กล่องเสียงของฉันเป็นอย่างนี้ หมอบอกแล้ว ต้องพักผ่อนอีกนานกว่าจะฟื้นฟูเป็นปกติ ถึงจะฟื้นฟูก็ไม่สามารถเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เดี๋ยวนี้คุณก็อยากจะไล่ฉันไป ?”

ได้ยินฉินมู่มู่พูดถึงกล่องเสียงของเธออีกครั้ง เจี่ยนถงรู้สึกฝืดๆในลำคอขึ้นมา…เมื่อก่อนเธอ ก็มีกล่องเสียงที่ดีมาก “เรื่องบางเรื่องไม่มีคำว่าเพราะอะไร ไม่มีเหตุผลที่ที่จำเป็นต้องพูด เพียงแค่คุณ กล่องเสียงเสียเพียงชั่วคราว คุณควรรู้สึกถึงความโชคดี ความเสียหายนี้ ไม่ใช่ตลอดไป "

หลังจากที่เธอพูดประโยคที่ไม่ชัดเจนนี้จบ ไม่ได้ให้โอกาสฉินมู่มู่ได้พูด แล้วถามต่ออีกครั้งหนึ่ง “คุณไม่ไปจริงๆ?”

“คุณอย่าคิดที่จะไล่ฉันไป”

เจี่ยนถงพยักหน้า หยิบมือถือขึ้นมา โทรไปหาซูเมิ่ง “พี่เมิ่ง ฉันอยากรบกวนท่านฝากคำพูดไปให้บอส คือว่า ฉันอยากจะถอนคำพูดที่ตอนแรกขอร้องให้บอสไว้ชีวิตฉินมู่มู่ ด้วยเหตุนี้ ฉันยอมชดใช้ทุกอย่าง”

ฉินมู่มู่ฟังแล้ว สีหน้าขาวซีด "เจี่ยนถง อย่านะ!"

โทรศัพท์มือถือของเจี่ยนถงยังไม่ได้วางสาย มองไปที่ฉินมู่มู่แล้วพูดกับซู่เมิงที่อยู่ในสายว่า “พี่เมิ่งโปรดรอสักครู่”

จากนั้นก็หันมามองฉินมู่มู่อีกครั้ง แล้วค่อยๆถามว่า

“ตอนนี้คุณเข้าใจคำพูดก่อนหน้านั้นของฉันแล้วใช่ไหม?"

ฉินมู่มู่สีหน้าซีดเซียว มองโทรศัพท์ในมือของเจี่ยนถงอย่างกังวล ถึงแม้ในสายตาเธอยังรู้สึกไม่พอใจ แต่แล้วก็ต้องพยักหน้า

เจี่ยนถงคุยโทรศัพท์ต่อ "พี่เมิ่ง ขอโทษด้วย เรื่องที่พูดกับท่านเมื่อสักครู่ ฉันยังไม่ได้คิดให้ดี ตอนนี้ก็อย่าพึ่งพูดกับบอสนะ”

เจี่ยนถงพูดอย่างอ้ำอึ้ง แต่ฉินมู่มู่อยากจะหาโอกาสพูดแทรก ก็ไม่มี การพูดของเจี่ยนถงก็ไม่ได้พูดเร็วมาก แต่ไม่ยอมให้ใครขัดจังหวะได้

“ฉินมู่มู่ ฉันกับคุณ เป็นเพียงความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน ฉันไม่ได้ติดค้างคุณ จุดนี้ คุณเคยคิดไหม? ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันไม่ติดค้างคุณ

จะช่วยคุณหรือไม่ช่วย อยู่ที่ความสมัครใจของตัวฉันเอง "

บทที่ 72 เย็นชาขนาดนี้

ฉินมู่มู่เป็นใบ้พูดไม่ออกทันที เธอรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่สามารถหักล้างเจี่ยนถงได้

เธอพูดต่อ "ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันไม่ติดค้างคุณ คุณคิดว่าฉันอยากช่วยขอร้องแทนคุณมากหรอ?”

เจี่ยนถงคนก่อนในสายตาของฉินมู่มู่เป็นคนอ่อนแอ เป็นคนเลอะเลือน แต่ว่าคนเลอะเลือนที่แท้ไม่เคยเลอะเลือนสักนิด อ่อนแอก็ไม่ใช่อ่อนแอจริงๆ

ฉินมู่มู่มีอคติกับเจี่ยนถงอยู่ก่อนแล้ว ต่อมาก็เพราะเซียวเหิงอิจฉาเจี่ยนถงมากเกินไป ถ้าหากเจี่ยนถงเป็นซูเมิ่ง เปลี่ยนเป็นผู้หญิงที่โดดเด่นทั่วๆไป ความริษยาของฉินมู่มู่ก็จะเปลี่ยนเป็นอิจฉาชื่นชม

ระหว่างความริษยากับความอิจฉา ต่างกันเพียงเล็กน้อย

ทั้งๆที่เธอดีกว่าเจี่ยนถงทุกอย่าง เพราะอะไรเซียวเหิงถึงมองไม่เห็นตัวเอง มองเห็นแต่เจี่ยนถง

ทั้งๆที่เจี่ยนถงก็เป็นแค่คนที่เห็นแก่เงินแล้วทำได้ทุกอย่าง ผู้หญิงบริการไม่มีความสามารถอะไรสักนิด แต่ตัวเองนี่รักษาเนื้อรักษาตัวอย่างดี เพราะอะไรสายตาของคนนั้นถึงมีแต่เจี่ยนถง

และถ้าหากคนคนนี้ไม่ใช่เจี่ยนถง แต่เป็นผู้หญิงคนอื่นที่พราวเสน่ห์เก่งกาจ…ถ้างั้นผลลัพธ์ก็จะแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ความธรรมดาและความยากจนของเจี่ยนถง กลายเป็นต้นตอของบาป

แต่ว่า ที่แท้ไอคนเลอะเลือนที่อยู่ต่อหน้าไม่ได้เลอะเลือนสักนิด ที่แท้เจี่ยนถงเธอรู้ทุกอย่าง เข้าใจทุกอย่าง

ฉินมู่มู่เงียบไปสักพัก … "ถ้าอย่างนั้นเธอก็เสแสร้ง ในเมื่อไม่ยินดีทำ ทำไมถึงต้องไปทำ? เพราะอยู่ต่อหน้าบอสจะแสดงความเมตตากรุณาของเธออีกด้านหนึ่งใช่ไหม?”

เจี่ยนถงไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย บางสิ่งบางอย่าง ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้กับคนที่ไม่เกี่ยวข้อง "ไปเถอะ อย่ามากวนฉัน" ในขณะที่พูด เธอก็ปิดประตูใส่ฉินมู่มู่

"เดี๋ยวก่อน!" ด้านนอกประตู ประตูถูกผลักเปิดออกอย่างแรง เจี่ยนถงขมวดคิ้ว … นี่คือ ไม่จบไม่สิ้นเลยนะ?

"ฉัน … ในเมื่อคุณพูดแบบนั้น ฉันเชื่อว่าคุณช่วยฉันขอร้องต่อหน้าบอส" ฉินมู่มู่จ้องที่เจี่ยนถง

“ ในเมื่อคุณสามารถช่วยฉันขอร้องต่อหน้าบอส ให้ถ้าแก่ใหญ่ปล่อยฉัน ทำไมคุณไม่ช่วยฉันขอร้องบอสอย่าได้สืบสาวเอาเรื่องต่ออีกเลย?”

ความหมายที่พูดเหมือนกับกำลังสักถามเจี่ยนถง ในเมื่อสามารถขอให้บอสไว้ชีวิตฉัน แล้วทำไมไม่ขอให้บอสเมตตากรุณาฉันด้วยล่ะ

เจี่ยนถงคิดไม่ถึง ฉินมู่มู่จะถามคำถามนี้ออกมา เงียบไปสักครู่ แล้วเธอก็พูดว่า

"คุณป่วยตาย ฉันไม่สน คุณรถชนตาย ฉันไม่สน ถ้าหากคุณทำให้บอสโมโหโกรธอีกครั้ง ถูกบีบให้ตาย ฉันก็ไม่สน

แต่ว่าครั้งนี้ ยังไงก็เกี่ยวพันถึงฉัน และฉันไม่อยากเป็นหนี้ชีวิตอีก ไม่ว่าจะเป็นใคร คนที่ให้ร้ายฉันหรือคนแปลกหน้า ขอแค่ความเป็นความตายของเขา ก็เกี่ยวกับฉัน ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ฉันก็จะไปขอร้องบอส เพราะฉัน ไม่อยากแบกรับชีวิตที่ยืดเยื้อในช่วงครึ่งหลังของชีวิต”

อย่างน้อย เธอก็สามารถจ่ายในราคาที่ชายคนนั้นเสนอ แต่เธอเป็นหนี้ชีวิตและเธอไม่สามารถตอบแทนมันได้ในชีวิตนี้

“ฉินมู่มู่ ลองพูดกลับกัน ถ้าหากวันนั้นคุณแค่ล่วงเกินบอส แต่ไม่ได้เกี่ยวโยงกับฉันสักนิด ฉันรับรองวันนั้นฉันจะไม่ขอร้องแทนคุณแน่ ถึงแม้ไม่จำเป็นต้องชดใช้อะไรก็ตาม ฉันก็จะไม่ช่วยคุณพูดแม้แต่คำเดียว”

เจี่ยนถงพูดอย่างนี้กับฉินมู่มู่ ตัวเขาเองก็แทบจะเชื่อเหตุผลนี้

เพียงแต่ ในใจส่วนลึกของเธอ เกรงว่าแม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่สังเกตรู้ว่ามีความโอหังอวดดีในตัวเอง…ฉินมู่มู่เป็นใคร? ฉินมู่มู่ไม่ได้เป็นใครทั้งนั้น! ฉินมู่มู่ไม่ใช่อาลู่ ฉินมู่มู่ยังไม่คู่ควรให้ชีวิตที่เหลือของตัวเองต้องมาติดค้างเขา!

ในส่วนลึกในใจของเจี่ยนถง มีความโอหังอวดดีแบบนี้…เต่าหดหัวอย่างเธอในวันนี้ เยือกเย็นอย่างเธอ ธรรมดาอย่างเธอ ติดคุกมาสามปี ทำให้ความหยิ่งยโสที่เคยมีอยู่ในศีรษะ ถูกกดทับเธอลงมา และเป็นสิ่งที่ลบไม่ออกที่อยู่ในสายเลือดใต้กระดูกสันหลัง

เธอ … ลืมทุกอย่างไปตั้งนานแล้ว ตัวเองที่กล้าแสดงออกและมั่นใจในคนนั้น แต่มีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ หลอมรวมเข้าไปในเลือดเนื้อของเขา

ฉินมู่มู่ถูกเจี่ยนถงผลักออกไป ตอนที่ประตูปิด ฉินมู่มู่ก็ยังคงงุนงง

หูของเธออื้ออึง … วันนี้ สิ่งที่ทำให้เธอช็อกมากที่สุดไม่ใช่คำพูดของเจี่ยนถงที่ดูทุกอย่างออก แต่เป็นคำพูดสุดท้ายของเจี่ยนถงประโยคนั้น… ที่เย็นชาและไม่แยแส

เจี่ยนถงพูดว่า ถ้าหากตัวเองจะตาย แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา ถ้างั้น ถึงต้องชดใช้ด้วยอะไรก็แล้วแต่ก็จะไม่ขอร้องแทนเขาแน่นอน

เย็นชาขนาดนี้ … เป็นคนแบบไหน ถึงได้เย็นชาขนาดนี้?

ไม่ผิด ก็เย็นชาอย่างนี้แหละ ผู้หญิงคนหนึ่งที่ฐานะต่ำต้อยได้แต่พูด แต่อยู่ในช่วงความเป็นความตาย กลับเย็นชาได้ขนาดนี้

ความแปลกที่ขัดแย้งกัน

ทันใดนั้น ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเจี่ยงถงทั้งหมดก็โผล่ขึ้นมาในสมอง วินาทีนั้น ฉินมู่มู่แทบจะเข้าใจทั้งหมด เพราะอะไรถึงเรียนแบบหมาคลานอย่างไร้ศักดิ์ศรีอย่างนั้น ไม่มีใครทำเรื่องอย่างนั้นอย่างแน่นอน เจี่ยนถงกลับทำ…เพราะผู้หญิงคนนี้ ไม่แคร์ตัวเอง

ชีวิตที่เหลือนี้ เพื่อความฝันของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

ในเวลาที่ฉินมู่มู่จากไป รู้สึกมึนๆงงๆ เธอก็ยังเกลียดเจี่ยนถงเหมือนเดิม…คุณชายเซียวเพื่อเจี่ยนถงแล้ว ถึงกับลงมือกับตัวเองอย่างโหดเหี้ยม ไม่ว่าเจี่ยนถงจะสงสารจริงๆหรือแกล้งสงสาร อย่างน้อย เจี่ยนถงเพื่อเงินแล้ว สามารถทำเรื่องที่ต่ำทรามพวกนี้ นี่คือความจริง นี่เป็นความลับที่พนักงานทั้งตงหวงก็รู้

คุณชายเซียว … แค่ถูกเจี่ยนถงปิดบังไว้

ฉินมู่มู่คิดอย่างนี้ เธอ จะทำให้คุณชายเซียวรู้ถึงสันดานที่ต่ำทรามของเจี่ยนถงให้ได้!

ในกลางดึก

ทางขึ้นบันไดที่เงียบงัน มีเงาดำยืนอยู่

ฉินมูมู่ตกใจเล็กน้อย

“ คุณ ทำไมคุณยังไม่ไป”

คาย์อันยืนเกาะอก พิงอยู่ที่กำแพง เอียงศีรษะมองไปที่ฉินมู่มู่แล้วยิ้ม “ไม่ทันระวัง ทำมือถือ หล่นที่กระเป๋าคุณ”

พูดไปแล้วยื่นมือ ไปที่กระเป๋าเสื้อโค้ชของฉินมู่มู่

"เฮ้ย! คุณจะทำอะไร จะปล้นหรอ? ฉันจะแจ้ง… " ตำรวจ …

ยังไม่ทันที่จะพูดจบ ฉินมู่มู่ก็ยืนมองอย่างงุนงง มือเรียวยาวของชายคนนั้น ล้วงมือถือออกจากกระเป๋าเสื้อโค้ชของเธอ แล้วมือถือนั้นก็ไม่ใช่ของตัวเอง

“ คุณ … ตั้งแต่เมื่อไหร่ … ทำไมถึง”

"ก็บอกไปแล้วไม่ทันระวังหล่นเข้าไปในกระเป๋าคุณ"

หลอกผีหรอ! ฉินมู่มู่อยากจะด่ากลับ แต่โดยสัญชาตญาณรู้สึกว่า ผู้ชายคนนี้ตัวเองไม่มีปัญญาก่อกวนเขา เขาเคยก่อกวนบอสไปครั้งหนึ่งแล้ว เดี๋ยวนี้พอได้เห็นผู้ชายที่หน้าตาดีหล่อรวยแบบนี้ ก็รู้สึกตื่นเต้น

โทรศัพท์มือถือ แน่นอนจะไม่ "ไม่ระวัง" ตกอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ทของฉินมู่มู่ ตอนคาย์อันลงจากตึก ได้เดินลงไปข้างล่างเดินผ่าน เขาความจำดีมาก ผู้หญิงคนนี้ก็คือคนที่อยู่ในห้องผู้ป่วยกับเจี่ยนถงไม่ใช่หรอ "พอดี" หยิบมือถือออกมากดปุ่ม

"ไม่ระวัง" หล่นลงไปในกระเป๋าของคุณ

"โอ้ ยังมี… ขอบคุณนะ ที่ให้ข้อมูลส่วนกับผม” ทำให้เขารู้เรื่องของเหยื่อฝ่ายตรงข้ามชัดเจนขึ้น

บนหน้าจอของมือถือ ยังปรากฏการณ์อัดเสียงไว้

บทที่ 73 ฟังคำเตือนของพี่เมิ่งอยู่ห่างจากผู้ชายคนนั้นไกลหน่อย

“ พี่เมิ่ง ให้”

ซูเมิ่งผงะไปชั่วขณะ มองไปที่ธนบัตรบนโต๊ะ ในสมองมีแต่ความว่างเปล่า "นั่นมาจากไหน?”

ปฏิกิริยาแรกคือ ใครเป็นคนจัดการงานให้เจี่ยนถง?

เจี่ยนถงก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ก็เอาเรื่องที่เกิดขึ้นในเมื่อคืนพูดคร่าวๆให้ซูเมิ่งฟัง พอฟังจบ คิ้วของซูเมิ่งก็ขมวดขึ้น กลายเป็นเนินเขา

"คือเขา?" เธอก็มองไปที่เจี่ยนถงอีกครั้ง "เสี่ยวถง ฉันเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่หรอ อย่าเข้าใกล้คนคนนี้?”

"แต่ว่า เขาให้เงินฉัน"

แต่ว่า เขาให้เงินฉัน…ถ้าหากไม่ใช่เข้าใจเจี่ยนถงคนนี้ ไม่ใช่รู้ว่าในนี้ยังมีหลายๆเรื่องที่ไม่สามารถให้คนนอกรู้ได้ คิดว่า ทุกคนที่ฟังคำพูดนี้ออกจากปากเจี่ยนถง เวลาพูดคำพูดนี้ออกมา ก็ต้องคิดว่า เจี่ยนถงก็เป็นผู้หญิงที่เห็นแก่เงิน

ทันใดนั้น ทำเอาซูเมิ่งเป็นใบ้พูดไม่ออก

เธอรู้ดีว่า ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเธอคนนี้ ที่ยืนอยู่ตรงมุม เหมือนกับไม่มีความรู้สึกถึงการมีชีวิตอยู่ ยิ่งเข้าใจกว่านั้น ผู้หญิงที่ไม่มีความรู้สึกคนนี้ นิสัยดื้อรั้นมาก

"เจี่ยนถง มา" ซูเมิ่งมองไปที่เจี่ยนถง รู้สึกเหมือนมีบางอย่างจะพูด ตัวเองควรจะชี้แนะเธอสักหน่อย เธอยื่นมือไปกดไหล่เจี่ยนถงไว้ ให้เธอมาอยู่ข้างๆ แล้วโอบเจี่ยนถง

“คุณเชื่อฟังพี่เมิ่งนะ ต่อไปนี้ไม่ต้องมีความผูกพันใดๆกับคนคนนี้อีก พี่เมิ่งถึงแม้จะไม่ได้เจอผู้คนมากมายในโลกนี้ แต่ในตงหวงพี่เคยเห็นผู้ชายมาทุกรูปแบบ

เจี่ยนถง คุณชายคาย์อันที่คุณพูดถึง รับปากกับพี่เมิ่งได้ไหม อย่าไปพบเขาอีก ถึงแม้เขาจะจ่ายเงินให้อีกก็ตาม"

เจี่ยนถงนิ่งเงียบสักพักเงยหน้าขึ้น พูดกับซูเมิ่งอย่างจริงใจ “พี่เมิ่ง ฉันทำไม่ได้”

ซูเมิ่งจับไหล่ของเธอไว้ “คุณเชื่อฟังพี่เมิ่งสักครั้ง”

เจี่ยนถงส่ายศีรษะอย่างหนักแน่น "ขอโทษค่ะ พี่เมิ่ง ฉันทำไม่ได้ ฉันขาดเงิน ประธานเสิ่นพูดแล้ว ภายในหนึ่งเดือนเอาห้าล้านออกมาได้ ต่อไปฉันก็จะมีสิทธิที่เลือกว่าจะอยู่หรือจะไป เขาจะไม่ทำให้ฉันลำบากใจ

พี่เมิ่ง เขาพูดได้ทำได้

ทั้งชีวิตนี้ของฉัน ช่วงแรกของชีวิตก็อาศัยเขา ช่วงหลังของชีวิต จะไม่เอาเขาแล้วได้หรอ?”

เจี่ยนถงก็ไม่ได้เล่ารายละเอียดบุญคุณความแค้นระหว่างเธอกับเสิ่นซิวจิ่น ซูเมิ่งไม่ได้ถาม เธอก็ไม่อยากพูด

แต่ว่า ชีวิตนี้ ช่วงแรกของชีวิตทุกที่เต็มไปด้วยเงาของเสิ่นซิวจิ่น แต่ช่วงหลังของชีวิต เธอกลัวแล้ว เหนื่อยแล้ว ล้าแล้ว เบื่อแล้ว อยากจะปล่อยวางแล้ว

ที่จริง ช่วงเวลาที่ไม่มีเสิ่นซิวเสิ่น ก็ไม่ได้ลำบากอย่างที่เธอคิดไว้

ชีวิตที่อยู่ในคุกสามปี ไม่มีเสิ่นซิวจิ่น สามปีก็ยังผ่านมาได้แล้ว

“ พี่เมิ่งฉันรู้ พี่หวังดีกับฉัน ฉันรู้ดี คุณชายคาย์อันคนนั้นอันตรายมาก ฉันก็รู้ แต่ว่าพี่เมิ่ง ท่านยังจำได้ไหม ตอนที่ฉันเข้างานวันแรก คำพูดที่พูดกับพี่คำนั้นไหม?

ฉันพูดว่า ถ้าหากขายได้ละก็ ฉันยอมอ้าขาสองข้าง และบอกยินดีต้อนรับ”

ความขมขื่นเล็กน้อยปรากฏขึ้นในแววตาของเธอ เธอลืมตาขึ้น เธอตัดสินใจอย่างมุ่งมั่นเด็ดขาด

"ดังนั้น ไม่ว่าคุณชายคาย์อันคนนั้นคิดอยากทำอะไร ไม่ว่าเขามีจุดมุ่งหมายอะไร แม้ว่าคุณชายคาย์อันอยากจะลิ้มรสอะไรเป็นพิเศษ ขอให้ฉันเจี่ยนถงมี ฉันก็ยินยอมที่จะเอาออกมาขาย … รวมถึงร่างกายที่ทรุดโทรมของฉันด้วย แม้แต่ รวมถึงไตอันเดียวที่ฉันยังเหลืออยู่”

เธอไม่รู้เธอ พูดแบบนี้ พี่เมิ่งจะเข้าใจหรือเปล่า

แต่เธอก็ยังคงทะนุถนอมดูแลเธออยู่เสมอ … โชคชะตาที่จะทำให้พี่เมิ่งผิดหวัง

หัวใจของซูเมิ่งหนักอึ้งอย่างไม่มีเหตุผล สะท้อนให้เห็นว่าเมื่อเจี่ยนถงเข้ามาทำงาน ครั้งแรกที่จากปากของเจี่ยนถง ได้ยินคำพูดนั้น ตัวเองยังรู้สึกว่าเป็นผู้หญิงที่รูปร่างไม่ดี ซึ่งเธอรู้ข้อบกพร่องของตัวเองดี

ในตอนนั้นในใจเธอยังชมเจี่ยนถงรู้ประสีประสา

แต่ในขณะนี้ เมื่อตอนที่เธอได้ยินประโยคนี้ เธอถึงเข้าใจ ที่แท้ คำพูดพวกนั้น ไม่ใช่แค่คำพูด เบื้องหลังของมันมีสิ่งที่ทำอะไรไม่ถูกอยู่มากมาย

“ ฉันขาดเงิน ขาดมากขาดมาก เหลือแต่ร่างกายที่ทรุดโทรม ถึงคุณชายคาย์อันไม่มีเจตนาดี แล้วยังไง? ฉันก็เหลือแค่ร่างกายที่ทรุดโทรมเหลือแค่นี้แล้ว เขาอยากได้ ก็เอาไป”

ซูเมิ่งหายใจยังเจ็บปวด … ฉันเหลือเพียงร่างกายที่ทรุดโทรม หากเขาคิดจะหลอกฉัน จะหลอกอะไรได้?

"ไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรสักอย่าง ฉันไม่กลัว"

หลังจากเจี่ยงถงพูดคำนี้จบ เธอก็ขอให้ซูเมิ่งช่วยใส่เงินลงในการ์ด เจี่ยนถงเดินออกไป

ทิ้งซูเมิ่งไว้ในห้องทำงาน มองธนบัตรบนโต๊ะทำงาน ดูไปสักพักใหญ่ๆ สุดท้าย นัยน์ตาก็ค่อยๆกะพริบเล็กน้อย เธอก็เอาเงินนั้นใส่เข้าไปในตู้นิรภัย แล้วหยิบสมุดบัญชีออกมาเล่มหนึ่ง จดจำนวนเลขไว้

“เจี่ยนถง ฉันขอโทษนะ สิ่งที่ฉันสามารถช่วยเธอได้ก็มีเท่านี้” เสิ่นซิวจิ่นคนนั้นในเมื่อเคยพูดไว้แล้ว อย่าเอางานให้เจี่ยนถงอีก

ก็คือตัดสินใจกำหนดเวลาให้เจี่ยนถง หาเงินห้าล้าน แต่ในความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้นก็คือเสิ่นซิวจิ่นตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เคยคิดจะให้เจี่ยนถงโบยบินสู่ฟ้า

สิ่งที่ซูเมิงสามารถทำได้ ก็คือช่วยเจี่ยนถงเก็บเงินแต่ละก้อนๆไว้ เก็บขึ้นมา จนถึงหนึ่งเดือนที่เสิ่นซิวจิ่นกำหนดไว้มาถึง

วันนั้น ถ้าหากครบห้าล้านแล้ว ถ้างั้น ซูเมิ่งค่อยเอาเงินเข้าการ์ดทันที ค่อยเอาการ์ดอันนั้นคืนให้เจี่ยนถง

ถ้าอย่างนั้น เจี่ยนถงก็สามารถถือการ์ดใบนี้ ไปหาเสิ่นซิวจิ่นได้อย่างสง่าผ่าเผย อย่างนั้น เด็กผู้หญิงโง่คนนี้ ก็มีโอกาสและเหตุผลพอที่จะไป

……

ในห้องน้ำ เจี่ยนถงล็อกประตู หลังเธอพิงกับประตู เงยศีรษะมองเพดานอย่างเหม่อลอย……คำพูดของพี่เมิ่ง ยังดังก้องอยู่ในหู

แต่ว่า……ฉันไม่มีอะไรเลย ฉันกลัวอะไรอีก?

เธอหัวเราะเยาะตัวเอง หยิบมือถือขึ้นมา กดเปิดปฏิทิน กำหนดหนึ่งเดือน……ไม่รู้มาก่อน เวลาหนึ่งเดือนสั้นขนาดนี้ ห้าล้าน เธอจะเอาห้าล้านมาจากไหน?

ไม่ดูโทรศัพท์แล้ว ก้มหน้าเดินออกมาจากห้องน้ำ

ห้องน้ำชั้นสุดท้ายของตงหวง เป็นห้องน้ำรวมชายหญิง แต่ว่าแต่ละห้องเป็นห้องเดี่ยว ซ่อนความลับได้ดีเลิศ

ก้มศีรษะเดินออกมา…… “พลั่ก” เสียงนี้ ชนคนเข้า

“ขอโทษ ขอ……”

“ผมสังเกตว่า ทุกครั้งที่พบคุณ ล้วนจะได้ยินคุณพูดขอโทษ คุณชอบขอโทษเป็นพิเศษใช่ไหม?” ได้ยินเสียงของผู้ชายดังขึ้น ทันใดนั้นเจี่ยนถงเงยศีรษะขึ้น “คือ……คุณชายเซียว ขอโทษ ฉันไม่ทันมองทางชนถูกคุณเข้า”

เธอพูดขอโทษจบ เตรียมตัวจะเดินไป แขนข้างหนึ่งยื่นมาขวางเธอไว้ แขนข้างนั้นแค่ใช้แรง ก็ดึงเธอกลับมา “เฮ้ย ทำไมเจอผมก็จะไปแล้ว? คุณรำคาญผมมากหรอ?”

เซียวเหิงขวางคนไว้ อีกข้างหนึ่งก็รีบมากอดเอว มือทั้งสองข้างจับเอวของเจี่ยนถงไว้ และดึงเธอเข้ามาใกล้ตัวเอง

“ไปเถอะ ไปทานข้าวเป็นเพื่อนผม”

เอาแต่ใจขนาดนี้?

“ขอโทษคุณชายเซียว ฉันกำลังทำงาน”

“ทำงานมีความหมายอะไร ไป ผมพาคุณไปทานข้าว”

“แต่ว่าฉัน……”

“อย่าแต่สิ แต่อะไร หัวค่ำแล้ว กลับมาผมช่วยคุณลา”

ขณะที่พูด ก็ยื่นมือมาดึงแขนเจี่ยนถง แล้วเดินออกไป

บทที่ 74 เป็นแฟนกับผมเถอะ

เจี่ยนถงถูกเซียวเหิงบังคับใช้แรงดึงตัวออกไป

มีตลาดกลางคืนที่คึกคักข้างหู ตลอดเวลายังมีพ่อค้าแผงลอยร้องตะโกนขายของ เซียวเหิงจูงมือเธอ เธอไม่คุ้นเคยกับการถูกคนจูงมือพาออกไปแต่คนนี้ ราวกับไม่จบสิ้นง่ายๆ เธอฉวยโอกาสนี้หนีหลายครั้ง แต่เซียวเหิงกลับหัวเราะเหอะเหอะแล้วดึงมือเธอกลับมาใหม่

ขณะนี้ รถรับส่งในตลาดกลางคืน รายล้อมไปด้วยกลิ่นหอม

เจี่ยนถงเดินช้าๆ เซียวเหิงก็ไม่ได้เร่ง

เธอเงยหน้าขึ้น มองคนที่จูงมือตัวเองอยู่ข้างหน้า ร่างที่แข็งแกร่งและเรียวยาวนั้น … เซียวเหิงไม่ได้เร่งให้เธอเดินเร็วขึ้น แต่เธอพบว่าคนคนนี้ไม่พูดอะไรสักคำ ชะลอความเร็วฝีเท้าลง

ตลาดกลางคืนคนแน่นมาก วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ คนยิ่งเยอะ คู่รักรายล้อมมากมาย

ในขณะที่กลุ่มคนพลุกพล่าน ชายหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่ง กำลังจูงผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตาไม่ค่อยสวย ในช่วงที่คนพลุกพล่าน การเคลื่อนไหวก็ค่อยๆช้า

ในร่างกายนี้ ยิ่งเป็นที่น่าสนใจของกลุ่มคน

เจี่ยนถงตระหนักได้ว่าอยากจะหลบการสายตาที่กำลังจ้องมองมาทางตัวเอง … เธอรำคาญสายตาพวกนี้มาก

เป็นไปได้ไหม อย่ามองอีก?

เป็นไปได้ไหม อย่าใช้สายตาอย่างนี้มองตัวเอง?

สายตาเหล่านั้น ราวกับจะมองเข้าไปในเนื้อ และกระดูกของเธอ

เป็นไปได้ไหม…

"ปล่อยมือ! ปล่อยมือ!" มือของเธอบิดอย่างสุดชีวิต "คุณชายเซียว ปล่อยมือได้ไหม!"

"ขอร้อง!"

ในเสียงที่เกรี้ยวกราด แทบจะใช้แรงพลังเสียงทั้งหมดในการตะโกน!

ข้อมือของเธอถูกเขาบีบจนแดง “ ขอร้องคุณ … ” เสียงของเธอ ในที่สุดในเสียงตะโกน ก็เผยคำอ้อนวอนออกมา

เธอมองไปที่เซียวเหิง และเซียวเหิงก็หันศีรษะมามองเธอ ทันใดนั้นเซียวเหิงก็ปล่อยมือเธอออก เจี่ยนถงยังไม่ทันหายใจสะดวก เซียวเหิงก็จับมือเธอไว้แน่นๆอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ แน่นกว่าก่อนหน้านี้ ในอุ้งมือของเซียวเหิง แสดงถึงพลังของผู้ชายคนหนึ่ง

"อย่ากลัว พวกเขาถือเป็นอะไร?" เซียวเหิงพูดไป แล้วทันใดนั้นในแรงฝ่ามือดึงเจี่ยนถงเข้ามาข้างกายตัวเอง วินาทีต่อมา โอบกอดเจี่ยนถงไว้แน่นๆ เขาเงยศีรษะมองไปที่รอบๆ

"มอ? มองอะไรมอง? ไม่เคยเห็นคู่รักเดินตลาดหรือไง?”

สายตารอบข้างที่จ้องมองมา ถูเซียวเหิงตะโกนด่าแบบนี้ รีบหยุดมองทันที

"ไป ไปทานข้าวกัน" เซียวเหิงโอบไหล่ของเจี่ยนถงอย่างแรง ทั้งกอดทั้งผลักเธอไปทางซอยเล็กๆ

ในซอยนั้นมีร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้ออยู่ร้านหนึ่ง ร้านก๋วยเตี๋ยวไม่ได้สวยหรูเหมือนร้านข้างนอก ถึงขั้นแสดงออกได้ชัดว่าเก่ามาก เซียวเหิงทั้งบังคับใช้แรงโอบเธอเข้าร้าน

“ เถ้าแก่ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อสองชาม”

"อ้า เสี่ยวเซียวทำไมวันนี้คุณว่างมาได้ล่ะ?” เถ้าแก่เป็นอาใหญ่ที่มีอายุประมาณห้าสิบกว่า ผมบางส่วนหงอกแล้ว แต่หัวเราะเหอๆตลอด เป็นกันเองมาก มองเซียวเหิงเข้ามา เขารีบวางงานในมือลง เช็ดมือที่ผ้ากันเปื้อน แล้วเทน้ำร้อนแก้วหนึ่งให้เซียวเหิงกับเจี่ยนถง

"นี่คือ?"

"ฉันเป็นเพื่อนของเขา" เจี่ยนถงพูด

เซียวเหิงยิ้ม "เป็นแฟนครับ" เงยหน้าขึ้นมองเถ้าแก่ในร้านก๋วยเตี๋ยว "ลุงหูแฟนผมไม่เลวใช่ไหม"

เจี่ยนถงชะงัก … แฟน?

มึนงงเล็กน้อยและมองไปทางเซียวเหิงที่กำลังพูดคุยกับลุงหูอย่างสนิทสนม

“ ลุงหูท่านอย่าฟังเซียว … ”

"ใช่ ~ ผู้หญิงคนนี้ไม่เลว ใบหน้าได้สัดส่วนงดงาม เพียงแต่ผอมเกินไป”

เจี่ยนถงชะงัก… มองลุงหูด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย ลุงหูท่านนี้มองยังไงถึงดูออกว่าเธอเป็นคนสวย?

ถ้าหากเป็นสามปีที่แล้ว ใบหน้าของเจี่ยนถงสวยงามมากจริงๆ แต่วันนี้ แต่ชัดเจนว่าผ่านโลกมาอย่างโชกโชน

"เสี่ยวเซียว เดี๋ยวลุงหูอาเธอจะไปทำก๋วยเตี๋ยวเนื้อให้"

"พูดมั่วซั่ว ฉันไม่จริงๆ … "

เจี่ยนถงอยากจะอธิบาย แต่ลุงหูเดินจากไปแล้ว และเธอก็อึ้งไปชั่วขณะ …

"เฮ้เฮ้ เฮ้เฮ้ ชอบเหม่อลอยขนาดนี้เลย?”

ข้างหู เสียงของผู้ชายที่เยาะเย้ยน่าฟัง เจี่ยนถงได้สติกลับมา มองไปทางใบหน้าหล่อๆของเขา ทันใดนั้นปรากฏความรู้สึกที่แปลกประหลาดออกมา เสียงเธอก็กระซิบเบาๆอย่างประหลาดว่า "เสี่ยวเซียว?”

เซียวเหิงแหย่จับมือผู้หญิงเล่นท่ามกลางอากาศ ทันใดนั้นกกหูก็แดงขึ้น รีบอธิบายทันที "คุณอย่าไปฟังลุงหูพูดนะ ตอนเด็กๆคนในบ้านไม่ยอมให้ผมกินขนม แถมยังควบคุมอาหารของผมอย่างเข้มงวด ผมชอบวิ่งมาหาลุงหูที่นี่ แอบกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อหนึ่งชาม

ผมจะบอกคุณให้ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อของลุงหู ฝีมือตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ได้ยินมาว่ามีมาตั้งแต่ราชวงศ์หมิงกับราชวงศ์ชิง อยู่ข้างนอกคุณไม่มีโอกาสได้กินนะ”

"เสี่ยวเซียว" ในดวงตาของเจี่ยนถง เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย เธอในตอนนี้ มีเงาของความไร้เดียงสาเหมือนเด็กเมื่อสามปีก่อน

เซียวเหิงหน้าแดงตั้งแต่กกหูจนถึงคอ ด้วยความกังวล “ ลุงหูเป็นผู้อาวุโส คุณหน่ะไม่ใช่ คุณอย่าเลียนแบบเขาเรียกผมอย่างนั้น คุณเรียกผมอาเหิงก็พอ”

เจี่ยนถงปิดปากเงียบ ลุงหูเสิร์ฟก๋วยเตี๋ยวเนื้อร้อนๆสองชามที่โต๊ะ "กินตอนที่ยังร้อน ไม่พอเดี๋ยวอาเพิ่มให้" แล้วกำชับเซียวเหิงเป็นพิเศษ "ให้แฟนของคุณกินเยอะหน่อย ผอมขนาดนั้น คุณนี่เป็นแฟนยังไง”

"ฉันไม่… " เป็นแฟนของเขา …

"ครับๆๆ" เซียวเหิงแย่งเจี่ยนถงพูด ยิ้มแล้วไล่ลุงหู "ลุงหูคุณไปทำงานของคุณเถอะ ผมกับแฟนของผมจะสวีทกัน ท่านอายุมากแล้วห้ามแอบดู?”

“ ไปทางของคุณไป ไอ้เด็กบ้า” ลุงหูยิ้มแล้วทิ้งประโยคไว้

เจี่ยนถงมองไปที่เซียวเหิง "ทำไมคุณถึงหลอกลุงหูฉันไม่ใช่แฟนของคุณเลยนะ"

เซียวเหิงตะเกียบที่ถือไว้ในมือ ส่งให้เจี่ยนถงและพูดว่า "ใครกล้าหลอกลุงหู" พูดไป ทันใดนั้นก็เงยศีรษะขึ้น "เจี่ยนถง ลองพิจารณาผม"

ช็อกเกินไป!

กะทันหันเกินไป!

หูของเจี่ยนถงมีเสียงอื้ออื้อดังขึ้น จ้องมองเซียวเหิงอย่างเหม่อลอยสักพัก… “คุณชายเซียว เมื่อกี้คุณ…พูดว่าอะไรนะ?”

หลังฝ่ามือมีความร้อน ต่อด้วยได้ยินเซียวเหิงพูดว่า “ผมพูดว่า เป็นแฟนกับผมไหม? พวกเรา ลองดู”

เจี่ยนถงรีบดึงมือกลับ โดยไม่ลังเล "คุณชายเซียว ก๋วยเตี๋ยวเย็นแล้ว อีกอย่าง… ต่อไปอย่าล้อเล่นแบบนี้อีก"

“ ผมไม่ใช่ล้อ … ”

"คุณใช่!" จู่ๆเจี่ยนถงก็ตะโกนด้วยความโกรธ "คุณทำได้แค่ล้อเล่น คุณชายเซียว!"

"ผม … " เซียวเหิงต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเสียงของเขาก็หยุดลงทันที จ้องมองเจี่ยนถงที่อยู่ข้างหน้าสักพัก ถอนหายใจ “ใช่ ผมล้อเล่น ก๋วยเตี๋ยวเย็นแล้ว กินเถอะ”

เธอหัวแข็งมาก ในแววตาเธอ มีความทุกข์แวบผ่านมา ไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของเซียวเหิง

ผ่านไปสักพัก “คุณไม่กินต้นหอมเหรอ?” เซียวเหิงเงยหน้าขึ้นและเห็นเจี่ยนถงที่กำลังแอบ เขี่ยต้นหอมสีเขียวออก เซียวเหิงไม่ได้พูดสักคำ ยื่นแขนยาวออกไป แล้วเอาถ้วยของเจี่ยนถงมาอยู่ข้างหน้าตัวเอง

คราวนี้เจี่ยนถงตะลึงจริงๆ ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าท่าทางคล่องแคล่วว่องไว ครู่เดียวต้มหอมทั้งหมดที่อยู่ในถ้วยของเธอก็ไปอยู่ในถ้วยของเขา “ว้าว ผมชอบกินต้นหอมที่สุด”

เจี่ยนถงยังคงมองก๋วยเตี๋ยวที่ส่งกลับมาตั้งอยู่ข้างหน้าตัวเองใหม่อย่างมึนงง ข้างใน หาต้นหอมไม่เจอแม้แต่นิดเดียว

ทั้งสองคนกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อจนหมด เซียวเหิงก็จับมือเจี่ยนถงไว้ เขาเดินมาข้างหน้าเธอห่างกันแค่หนึ่งศอก จูงมือเธอ เดินผ่านท่ามกลางผู้คน ตลอดเวลาที่เจี่ยนถงเดินอยู่ด้านหลังห่างเพียงขึ้นก้าว แล้วพูดถึงตอนเด็กๆของเขาอย่างมีความสุข

ด้านหลัง สายตาของเจี่ยนถง จ้องมองไปที่มือของทั้งสองที่ประสานกัน เหม่อลอยไปแล้ว แล้วแต่ผู้ชายคนนี้จะพาเธอไปไหน พาเธอไป เดินผ่านท่ามกลางผู้คน

“ คุณ คุณไม่กลัวขายหน้าเหรอ?”

ทันใดนั้น เธอก็ถาม

"ทำไมต้องกลัวขายหน้า?”

เจี่ยนถงอ้าปากค้าง เป็นเวลานาน ถึงจะค่อยๆออกเสียงจากลำคอ “เพราะฉันเป็นตัวตลกคนหนึ่ง”

"เรื่องตลกคือพลังบวกที่สามารถทำให้ผู้คนมีความสุข เรื่องของพลังบวก ทำไมผมต้องรู้สึกขายหน้า?"

"… " ยังสามารถ … เข้าใจแบบนี้ได้ด้วยเหรอ?

เจี่ยนถงก้มศีรษะลง เธอรู้สึกว่าเธอน่ารังเกียจ … ตอนที่คุณชายเซียวลากเธอไปทานข้าว ระหว่างทาง ในสมองของเธอคิดแต่ว่า บางทีขอความช่วยเหลือจากคุณชายเซียว เสนอตัวเธอเองให้เขา บางที อาจจะขายตัวเองออกได้ในราคาที่ดี

"คุณมีอะไรจะพูด?" เมื่อเซียวเหิงส่งเจี่ยนถงไปที่ประตูตงหวง ทันใดนั้นเซียวเหิงก็ดึงเจี่ยนถงไว้แล้วถาม

เจี่ยนถงอ้าปาก สักพัก …

"ไม่ ไม่มี ไม่มีอะไร" เดิมทีคิดจะเปิดปากถามชายคนหนึ่งอย่างไร้ยางอาย คุณต้องการจ่ายเงินซื้อฉันไหม คำพูดนี้ ณ เวลานี้เจี่ยนถงรู้สึกคอแห้ง ไม่สามารถถามออกมาได้

หลังจากมองไปที่ดวงตาของเซียวเหิง แล้วเธอก็รีบหันตัวกลับรีบวิ่งไปที่ประตูตงหวง ราวกับกำลังหนีอะไรบางอย่าง

แต่ขาของเธอกลับเดินช้า เหมือนตัวตลก เดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

ไม่กล้ามองคนที่อยู่ข้างหลัง ความรู้สึกที่อับอายยังคงโผล่ขึ้นอยู่ในใจไม่ขาด เจี่ยนถง เธอน่าเกลียดมาก! เจี่ยนถง เธอน่าขยะแขยงมาก!

ยืนอยู่หน้าลิฟต์ เสียงติ้งดังขึ้นประตูลิฟต์เปิดออก เธอกำลังเตรียมตัวจะเข้าลิฟต์ พอเงยหน้าขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มของชายคนนั้น เต็มไปด้วยความโกรธและความเย็นชา

โดยสัญชาตญาณ เจี่ยนถงก้าวถอยหลังไปครึ่งก้าว สัญชาตญาณทำให้รู้สึกได้ว่าขณะนี้ชายคนนี้น่ากลัวมาก ยื่นมือออกมาจากในลิฟต์และดึงเธอเข้าไปในลิฟต์อย่างรวดเร็ว

เธอยังไม่ทันยืนได้มั่นคง ร่างกายที่ร้อนแรง ก็ทับลงมาบนตัวเธอ เบียดชนกำแพง ไม่พูดสักคำ จูบอย่างบ้าคลั่ง ถูกกดทับลงมา

เจี่ยนถงใจเต้นแล้วโมโห ยื่นมือไปผลัก แต่กลับถูกมือใหญ่ทั้งสองข้างของเขา กดไปที่บนผนังลิฟต์

"ฮู่! ฮู่ฮู่ฮู่!" ปล่อยมือ! ปล่อย!

เธอก็ดิ้นรน ฝ่ายตรงข้ามก็ใช้ร่างกายที่สูงยาว กดทับเธอ

เขาจูบ เธอหลบ

เขาโกรธ เธอกลัว

ประตูลิฟต์เปิดออก และคนข้างนอกก็สูดหายใจเข้าด้วยความตกใจ “เจี่ยนเจี่ยนเจี่ยนถง?”

ในใจของเจี่ยนถงนั้นวุ่นวาย เหลือบมองจากหางตา ดวงตาของเธอเบิกกว้าง … "ฮู่!" เธอยิ่งดิ้นรนมากขึ้น

เสิ่นซิ่วจินไม่ได้มองไปที่คนข้างนอก ยื่นมือออกมาหนึ่งข้าง แล้วก็กดปุ่มปิดประตูลิฟต์!

ครั้งนี้ลิฟต์ไม่หยุดที่ชั้นอื่น ตรงไปที่ชั้น 28

ชายคนนั้นหรี่ตาที่เรียวยาว ชำเลืองมองไปที่เจี่ยนถงที่กำลังหายใจอย่างสับสน โค้งลงมากอดเธอไว้ แล้วก้าวออกไป

จนกระทั่งเจี่ยนถงถูกโยนลงบนเตียง ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ชายคนนี้ไม่พูดอะไรสักคำ

เจี่ยนถงถูกโยนลงบนเตียงใหญ่ กระเด้งบนเตียงแล้วทรงตัว พยุงร่างกายด้วยแขน เตรียมที่จะพยุงร่างกายส่วนบนขึ้น และเห็นว่า ที่ปลายเตียงเสิ่นซิวจิ่นกำลังปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวของเขาโดยไม่พูดอะไรสักคำ

บทที่ 75 เจี่ยนถงบ้าไปแล้วเสิ่นซิวจิ่นบ้าไปแล้ว

คนที่พระเจ้าโปรดปราน แม้กระทั่งมือของเขา ก็เป็นผลงานศิลปะที่วิจิตรงดงามที่สุด

เจี่ยนถงเบิกตากว้าง มองไปที่เสิ่นซิวจิ่นที่ยืนอยู่ที่ปลายเตียง พร้อมกับใช้นิ้วเรียวทีละนิ้วของเขาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวสีละเม็ด

โดยสัญชาตญาณเธอถอยหลังไป จนหลังของเธอชนกับหัวเตียง ผู้ชายคนนั้นที่มีดวงตาเรียวราวและแคบคู่หนึ่ง พร้อมกับความเย็นชา มองตัวเองจากบนจรดล่าง แต่นิ้วของเขากลับปลดกระดุมออกอย่างไม่เร่งรีบ ขณะนี้ไม่ว่าเธอจะหดตัวถอยหลังก็ตาม ผู้ชายที่อยู่ปลายเตียงคนนั้น ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาเฉยเมยไม่หวั่นไหวสักนิด

โดยสัญชาตญาณ เธอเงยหน้าขึ้นมองไปที่ประตูห้องนอนที่เปิดอยู่ ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วกระโดดลงจากเตียงและกำลังจะคว้าประตูแล้ววิ่งหนี!

แต่น่าเสียดายที่เท้าของเธอเพิ่งถึงพื้น และแขนยาว ก็กดเธอไว้อย่างแน่น

เสิ่นซิวจิ่นยืนอยู่ที่ปลายเตียง กดไหล่ของเธอด้วยมือข้างหนึ่ง กดเธอกลับเข้าไปในฟูกที่นอน ควบคุมเธอ กดเธอไม่ให้เธอลุกขึ้น และใช้มืออีกข้างหนึ่งของเขา อ้อมไปที่หัวเข็มขัดและถอดสูทกางเกงออก .

การหายใจของเจี่ยนถงเริ่มยุ่งเหยิง รูม่านตาของเธอวิงเวียนเล็กน้อย และเธออ้าปากสั่นระริกหลายครั้ง แต่กลับไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้

หายใจติดขัด ทันใดนั้นเธอก็กรีดร้อง "ไปให้พ้น ไปให้พ้น!"

ผู้ชายคนนั้นแทบจะไม่หวั่นไหวสักนิด ร่างกายที่สูงยาวของเขาทับลงมา

"คุณไปให้พ้น! คุณไปให้พ้นนะ!" เนื้อแก้มของเธอเริ่มสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ และเธอก็ยื่นมือออกไปเพื่อผลัก

เป็นเรื่องธรรมดา ถูกจับกดทับบนหน้าผากได้อย่างง่ายดาย

เธออยากจะร้องไห้ แต่ก็อยากจะหัวเราะด้วย

นี่คืออะไร?

นี่คืออะไร!

“ ฉันเป็นผู้หญิงบริการ!”

"เพื่อเงินฉันทำได้ทุกอย่าง!"

“ฉันต่ำ!”

"ฉันสกปรก!"

"เสิ่นซิวจิน! นี่คุณเป็นคนพูด! คุณเป็นคนพูดทั้งนั้น! คุณลืมแล้วหรอ ???”

“ คุณบอกว่าคุณรังเกียจที่ฉันสกปรก คุณบอกว่าคุณดูถูกจะไม่แตะต้องตัวฉันอีกเป็นครั้งที่สอง!

คุณบอกว่าคุณคลื่นไส้ คุณบอกว่าฉันไร้รสชาติที่สุด!

คุณพูดเอง!

คุณเป็นคนพูดทั้งหมด!

คุณลืมแล้ว?

คุณลืมแล้ว???”

เขาทำอย่างนี้ได้ไง!

เขาลืมมันไปอย่างนี้ได้ยังไง!

ทำให้เจ็บปวดก็เป็นเรื่องง่าย พอจะลืมก็ง่าย?

มีเสียงฉีกขาดดังขึ้น เสื้อผ้าของเธอ ก็อยู่ในสายตาที่มองเห็นอย่างรวดเร็ว พังทลายย่อยยับไปอย่างสิ้นเชิง !

เสียงนี้ "แควก" สีหน้าเจี่ยนถงซึมไปหายวินาที ทันใดนั้นเอง!

ไม่รู้ว่าเธอเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน มือของเธอหลุดจากการเกาะกุมของเขา แทบจะใช้แรงทั้งหมด เธอดึงเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เขาปลดกระดุมออกแล้วแขวนไว้ที่เขาอย่างลวกๆ ใช้แรงดึงไว้ และดึงเขาลงอย่างแรง เงยศีรษะขึ้น อ้าปากกัดไหล่เขาแรงๆ!

กัดแรงครั้งนี้ มีเลือดสีแดงสดไหลออกมาจากมุมริมฝีปากของเธอทันที … เป็นของเขา

เสิ่นซิวจิ่นขมวดคิ้วลดสายตาลงและเห็นผมสีดำของเธอ แต่เขาไม่ขยับ

เจี่ยนถงกัดแล้วกัดอีก เห็นเลือดในทุกคำที่กัด

ทุกครั้งที่กัดลงไป เธอดูเหมือนจะรู้สึกผ่อนคลาย … เสิ่นซิวจิ่น ฉันจะถามคุณ เจ็บไม่เจ็บ!

ทุกครั้งที่กัดลงไป เธอดูเหมือนจะเจ็บมากขึ้น … เสิ่นซิวจิ่น พวกเรามาลิ้มรสด้วยกันเถอะ!

หัวใจของเธอ เจ็บปวดอย่างสะใจ แต่ก็ยังกัดไหล่ของเขาทีละคำทีละคำ

แต่ไหล่ของเขา ไม่มีจุดว่างแล้ว

เสิ่นซิวจิ่นก้มลง กวาดสายตามองไปที่ไหล่ของตัวเอง ซึ่งเต็มไปด้วยรอยฟันของเธอ

ผู้หญิงคนนั้นคงเหนื่อยจากการกัด พิงไหล่ของตัวเองไว้ หายใจหอบแรงๆ จากนั้นเธอก็ก้มลงบนไหล่ที่ว่างแล้ว กัดลงไปอีกครั้ง

เสิ่นซิวจิ่นไม่สะทกสะท้าน สองมือของเขาโอบรอบเอวของเธอและพยุงร่างกายของเธอราวกับจะช่วยให้เธอทำรุนแรงกับตัวเอง

จนกระทั่งเธอเหนื่อยมากจนความแข็งแกร่งในการกัดเขาค่อยๆลดลง ทันใดนั้นเขาก็ดันร่างของเจี่ยนถงเข้ามาอีกครั้ง

ด้วยฝ่ามือของเธอ แม้แต่การรับประกันครั้งสุดท้ายของเธอก็ไม่มีแล้ว

ผู้ชายก้มศีรษะ จูบ ก้มติดๆต่อๆกัน แม้ว่าเธอจะดิ้นรน แต่ครั้งนี้เธอก็ถูกฝ่ามือใหญ่ของเขากันไว้และริมฝีปากบางๆที่ร้อนแรงนั้นอยู่บนร่างกายของเธอ ใช้พลังลิ้นม้วน ทำให้ผิวหนังทุกตารางนิ้วบนร่างกายของเธอ เต็มไปด้วยรอยจูบของเขา

แม้แต่หลังเท้า ก็ไม่เว้น!

เจี่ยนถงทั้งอายทั้งโมโหทั้งเกลียดทั้งไม่รู้ที่สูญเสียทั้งทรมานอึดอัดสุดขีด!

"ปล่อยนะ! ปล่อย!" เธอเตะเท้า! ในใจสั่นเทา! นั่นคือเท้านะ! คือเท้า!

เขาบ้าแล้ว!

เสิ่นซิวจิ่นบ้าแล้ว!

อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่ควรให้เขาทำร้ายตัวเองอีกเด็ดขาด ไม่ควรบ้าไปกับเขาเด็ดขาด!

ด้านหนึ่งเธอก็ใช้ขาเตะเขา ด้านหนึ่งก็อยากจะกระโดดลงจากเตียง หนีออกจากระยะที่เขาควบคุมได้ แต่ที่หนีบเหล็ก รัดข้อเท้าของเธอไว้แน่นชายคนนั้นเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่ลึกล้ำ มองเจี่ยนถงอย่างไม่ชัดเจน ก้มศีรษะ แล้วจูบเบา ๆ ที่ข้อเท้าของเธอ

ในขณะที่บนใบหน้าของเจี่ยนถงกำลังเปลี่ยนสีราวกับจานใส่สี ทันใดนั้นชายคนนั้นก็นอนลงบนเตียง แล้วหนีบเธอไว้ในอ้อมแขนและกอดเธอไว้แน่นๆ

ตั้งแต่ต้นจนจบ ชายคนนี้ไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่หลังจากนอนลงเขาก็อุ้มเจี่ยนถง ไว้ในอ้อมแขน และพูดอย่างทะนุถนอมราวกับทองคำ

"นอน"

"……" ดูไม่เข้าใจ……

ผ่านไปสักพัก……

"ฉันมีหอพัก" เจี่ยนถงพูดเบา ๆ

"นอน"

“ ฉันเป็นผู้หญิงบริการ เป็นคนต่ำ ฉันสกปรก ทำให้คนคลื่นไส้”

"นอนเถอะ" ชายคนนั้นลืมตาขึ้น ดวงตาคมลึก เหลือบมองไปที่ผู้หญิงในอ้อมแขนของเขาและหลับตาลงอีกครั้ง

แล้วผ่านไปอีกสักพัก

ชายคนนั้นก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง และมองลงไปที่ผู้หญิงในอ้อมแขนของเขา น้ำเสียงเย็นชาของเขาค่อยๆดังขึ้น

“ ทางที่ดีคำพูดทั้งหมด พูดที่เดียวให้จบ”

ความอดทนของเขาหมดลงแล้ว

"ฉัน … " เธอรู้สึก ตอนนี้เสิ่นซิวจิ่นยากที่จะสื่อสาร และยากที่จะเข้าใจ “ฉันไม่ได้อาบน้ำ… "

ทันทีที่พูดจบ เธอก็นึกด่าตัวเองในใจก่อนว่า … นี่มันเหตุผลอะไรกันนะ?

รัดเอวแน่น เสิ่นซิวจิ่นพูดอย่างเฉยเมย

"งั้นดีเลย ผมก็ไม่อาบน้ำ เสมอกัน" น้ำเสียงเย็นชาของเขาพูดว่า "คุณจะนอนหรือไม่นอน ไม่นอนจะทำต่อ"

ไม่นอนก็จะทำต่อ …

เจี่ยนถงคงไม่แม้แต่เรื่องแค่นี้ก็ไม่เข้าใจนะ

เธอปิดริมฝีปากของเธอแน่นโดยไม่รู้ตัว ไม่พูดต่อ

ในขณะนี้เสิ่นซิวจิ่น สื่อสารไม่รู้เรื่อง และยากที่จะเข้าใจ

ไม่นาน เจี่ยนถงก็ได้ยินเสียงหายใจถี่อย่างสม่ำเสมอ และค่อยๆเงยศีรษะขึ้น มองใบหน้าที่หลับใหลของเขาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย … จริงเหรอ? นอนหลับแล้ว?

เธอดึงแขนที่เขาโอบเธอไว้อย่างระมัดระวัง แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหนเธอก็ไม่สามารถดึงมันออกไปได้

ในที่สุดก็ยอมแพ้ด้วยความหงุดหงิดและจ้องไปที่เพดานด้วยความงุนงง มันแปลกเกินไป ในวันนี้เสิ่นซิวจิ่น แปลกประหลาดจนทำให้คนไม่สามารถเข้าใจ เจี่ยนถงพูดกับตัวเอง ไม่ต้องไปคิดแล้ว ใครจะไปรู้ ว่าเกมใหม่ที่ลงโทษเธอคืออะไร

ไม่ไปคิดหน่ะ ถูกแล้ว

ยอมรับ เหนื่อยมากจริงๆ ยอมรับ เสียงหายใจถี่ข้างๆ… เจี่ยนถงมองไปที่เพดานอย่างเหม่อลอย เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ

ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ลมหายใจของเธอก็หลับลึก

ในคืนที่มืด เสิ่นซิวจิ่นลืมตาขึ้น ด้วยดวงตาที่ลึกล้ำ มองหญิงสาวในอ้อมแขนที่นอนหลับอยู่ด้านข้าง สายตาก้มลงมองไปที่คอที่เต็มไปด้วยรอยจูบ ดวงตาของเขายิ่งลึกซึ้งมากขึ้น ดูไม่ออกเขาคนนี้คิดอะไรอยู่ เขาก็หลับตาลงอีกครั้ง

เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้คิดว่าเจี่ยนถงจะทำท่าทางอย่างนั้นออกมา บนไหล่ของเขา ทิ้งรอยฟันและรอยเลือดเป็นแถวๆ… เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงไม่ขยับปล่อยให้เธอกัดตามความพอใจ แล้วทำไมเขาถึงเหมือนเป็นบ้า จูบไปทั่วเรือนร่างของเธอ

เสิ่นซิวจิ่นยังพูดกับตัวเองว่า ไม่ต้องไปคิด ใครจะไปรู้ว่าวันนี้ตัวเองเส้นประสาทเส้นไหนมีปัญหา ถึงยอมบ้าไปกับเธอ

บทที่ 76 เจี่ยนถงเจี่ยนถง

ตอนที่เจี่ยนถงตื่นขึ้นมา ดวงตาของเธอแดงก่ำเล็กน้อย ขณะนั้นสมองของเธอยังค้างอยู่ในสภาพนั้น หลังจากผ่านไปสักพัก ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงเรื่องเมื่อวานนี้

"ปัง" เสียงนี้ รีบลุกขึ้นนั่งทันที

แล้วมองไปรอบๆ ผู้ชายคนนั้นไม่รู้ว่าเขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่

ในขณะที่โล่งใจ ก็มีร่องรอยของความเศร้าในใจ…เมื่อตอนที่ลุกขึ้น ถึงได้สังเกตเห็น ตัวเองทั้งคืน ถึงกลับหลับไปโดยไม่ได้ใส่อะไรเลย ก็อดขำตัวเองไม่ได้ … เธอนี่ใจกล้านะ? ถึงขนาดสามารถหลับลึกลงข้างๆคนคนนั้น

เจี่ยนถงยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองสองทีอย่างแรง!

ใครก็ทำได้ แต่เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้!

ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเซ็งสุดๆ…ถึงแม้จะถูกขังอยู่ในคุกนอนหลับไปหนึ่งคืนข้างๆโถส้วม เธอก็ไม่สามารถ และก็ไม่ควรอยู่ข้างกายผู้ชายคนนี้ หลับไปแบบไม่ได้ระวังตั้งตัว

ทำอย่างนี้ได้ไง! ทำไมถึงอยู่ข้างๆผู้ชายคนนั้น หลับไปอย่างสบายแบบนี้ได้ไง?

นั่นคือเสิ่นซิวจิ่น!

เสียงตบหน้า ดังก้องเป็นพิเศษ ณ วินาทีนั้น รู้สึกผิดหวังกับตัวเองแค่ไหน ฝ่ามือนี้ ก็ตบแรงเท่านั้น

เจี่ยนถงก็ยังคงนั่งอยู่บนเตียง ผมถูกสองฝ่ามือตบจนยุ่งเหยิง ในสายตาของเธอมีเธอเท่านั้นที่รู้ว่าเจ็บปวดแค่ไหน แต่ในวินาทีต่อมา เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้น และสวมเสื้อผ้าของเธออย่างช้าๆ

แม้ว่ากระดุมของเสื้อผ้าบางเม็ดจะถูกคนคนนั้นกระชากจนพัง

หลังจากลุกจากเตียง เธอไม่ได้ไปทันที แต่กลับเดินไปที่ห้องอาบน้ำ หน้ากระจกบานใหญ่และสว่างสดใส ผู้หญิงที่อยู่ในสถานการณ์คับขัน ยืนอยู่ตรงหน้ากระจก

เธอยกมือขึ้น และเปิดก๊อกน้ำ เธอรองน้ำขึ้นมา ค่อยๆล้างหน้าของตัวเองให้สะอาดสะอ้านอย่างละเอียด แล้วมองตัวเองในกระจกอีกที ทันใดนั้น เธอก็คว้าแก้วบ้วนปากที่วางไว้บนอ่างล้างหน้า มองไปที่กระจกข้างหน้า ทุบมันอย่างแรง

ทันใดนั้น ก็หยุดมือ!

แก้วบ้วนปากอยู่ห่างจากกระจกเพียงไม่กี่เซนติเมตร ขอเพียงเธอหลับตา ก็เป็นระยะที่สามารถทุบทิ้งได้!

อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงที่อยู่หน้ากระจกถือถ้วยน้ำยาบ้วนปากแน่นสั่นเทาอย่างรุนแรง!

เส้นเลือดที่หลังมือของเธอมองเห็นได้ชัดเจน แต่ถ้วยน้ำยาบ้วนปากกลับถูกจับไว้ที่ฝ่ามือของเธอเท่านั้น … หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ยกแขนที่ถือแก้วน้ำยาบ้วนปากขึ้น วางแก้วในมือลงอย่างหมดแรง แล้วทุบไปที่อ่างล้างหน้าอย่างแรง ทุบไปสิบกว่าครั้งแต่ราวกับว่าเธอไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย

เสียงดังเอี๊ยด เจี่ยนถงรู้สึกเหมือนมีลมพัดผ่านวินาทีต่อมา แขนของเธอถูกคนดึงไว้อย่างแรง และร่างกายของเธอก็ถูกดึงออกไปถึงสี่หรือห้าก้าวข้างหูเธอก็มีเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธตะโกนพูดว่า

“เธอกล้าทำร้ายร่างกายตัวเอง!”

พูดจบ เจี่ยนถงก็ถูกลากและเดินออกไป

"ปล่อยมือ"

ชายคนนั้นดูเหมือนจะไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด และก้าวอย่างเร่งรีบ เพียงแค่ลากเธอไปข้างหน้า

"ปล่อยมือ ปล่อยมือ … ฉันบอกให้คุณปล่อยมือ!"

ทำไมเธอถึงต้องถูกเขาปฏิบัติแบบนี้?

ทำไมเขาคิดอยากทำอะไรก็ทำอย่างนั้นกับเธอ?

ทำไม … ตัวเองต้องอยู่ข้างกายเขา นอนหลับอย่างสงบทั้งคืน!

เกลียด!

เกลียดเขา!

เกลียดเซี่ยเวยเหมิง!

และเกลียดคนตระกูลเจี่ยน

เกลียดที่สุดก็คือตัวเอง!

"พลั่ก" เจี่ยนถงถูกโยนลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น "คุณกล้าทำร้ายร่างกายตัวเอง?" สายตาที่เย็นชาของชายคนนั้นมองไปที่ร่างของเจี่ยนถง "ใครให้สิทธิ์นี้แก่คุณ?"

ในตอนนี้ทุกอย่างในความคิดของเจี่ยนถง ก็คือเธอไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ ถึงกลับนอนหลับข้างกายคนนั้นอย่างง่ายได้ นอนหลับอย่างสงบสุขไปหนึ่งคืน หลังจากที่เธอออกจากคุก ความโกรธเล็กน้อย ก็ไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป เสียงที่เกรี้ยวกราดดังเหมือนตะโกน

"ร่างกายของฉัน นี่เป็นของฉัน ของฉัน ของฉัน! เสิ่นซิวจิ่น! นี่เป็นของฉัน!"

ดวงตาที่แดงก่ำของเธอทั้งคู่ เขียนร้องเรียนอย่างชัดเจนต่อชายที่อยู่ตรงหน้า!

"ร่างกายของฉัน ฉันออกจากคุก ออกจากคุกแล้ว ประธานเสิ่นท่านเข้าใจความหมายนี้ไหม?" ด้านหนึ่งเธอก็หายใจอย่างรุนแรงด้านหนึ่งก็ใช้ตาที่แดงก่ำทั้งคู่จ้องมองไปที่เขา เป็นเสียงที่เกรี้ยวกราดครั้งแรกที่ตะโกนเสียงดังขนาดนี้

"ฉันออกจากคุกแล้ว ฉันเป็นอิสระแล้ว!"

ความดื้อรั้นเขียนอยู่ในดวงตาของเธอ และกลับมาก้าวร้าวอีกครั้ง "ฉันออกจากคุกแล้ว! อิสระแล้ว!"

เธออยากจะบอกเขาว่า เธอจะทำอะไรกับตัวเอง มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เธอได้รับการปล่อยตัวจากคุก เธอเป็นอิสระ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาเลย!

ชายคนนั้นหรี่ตาเฉี่ยวคม นัยน์ตามีแสงระยิบระยับ “อิสระ?” มุมริมฝีปากกระตุกเล็กน้อย “อิสระ? คุณมาบอกผม อิสระที่เป็นหนี้ชีวิตคน ถือว่าเป็นอิสระหรอ?”

ทันใดนั้น!

เจี่ยนถงที่โกรธเกรี้ยวจนหน้าแดงเมื่อสักครู่ สีหน้าเปลี่ยนสี เหลือแต่สีหน้าที่ซีดเซียว

เขาเตือนสติเธอ … อิสระที่เป็นหนี้ชีวิตคน… อาลู่อาลู่ ฉันยังคืนไม่หมดใช่ไหม ชั่วชีวิตนี้ฉันไม่มีวันได้เป็นอิสระแล้วใช่ไหม แม้แต่ความเป็นความตายฉันก็ไม่มีสิทธิ์เลือกใช่ไหม …… ใช่ไหม!”

อาลู่ ขอบคุณที่ช่วยฉัน

อาลู่ ฉันก็เกลียดคุณเช่นกัน เกลียดคุณที่จะตายแทนฉัน เกลียดคุณที่ให้เหตุผลฉันอยู่ต่อ

อาลู่ ฉันขอโทษที่ทำไมฉันถึงเป็นนักโทษไม่มีอดีตไม่มีฐานะไม่มีคนในครอบครัวไม่มีเบื้องหลัง แม้แต่ไปทำตามคำมั่นสัญญาต่อเธอก็ไม่ได้ แม้อยากจะไปชดใช้หนี้ชีวิตนี้ ก็ไม่มีโอกาส!

อาลู่ ฉันไม่เอาไหนจริงๆ

ทันใดนั้นความคิดนับไม่ถ้วนก็ผ่านเข้ามาในใจ ทันใดนั้น! ผู้หญิงที่ล้มลงบนโซฟา ค่อยๆเงยศีรษะขึ้น เธอเงยหน้ามองผู้ชายบนจรดล่าง

"ปล่อยฉันไป"

ปล่อยฉันไป…หัวใจของเสิ่นซิวจิ่นหยุดเต้นไปชั่วขณะ เขาก้มลงมองผู้หญิงที่อยู่บนโซฟา สายตาที่เขามองเธอแปลกมากจนพูดไม่ถูก แปลกประหลาดจนเจี่ยนถงขนลุกเหงื่อแตกทั่วร่าง

ทันใดนั้น เขาก็เปิดปากหัวเราะ แต่ใต้ตากลับรู้สึกเย็นชา

"ได้สิ รอผมตายก่อน"

ริมฝีปากของเจี่ยนถงขาวซีด เธอเบิกตากว้าง เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจและนึกไม่ถึง

"เสิ่นซิวจิ่น! ให้เวลาฉันได้สะใจสักครั้ง บอกฉันสิคุณอยากได้อะไรจากตัวฉันกันแน่ ได้อะไร! ฉันไม่มี อะไรสักอย่าง!"

ที่ไม่มีอะไรอย่างเธอ ผู้ชายคนนี้ ต้องการอะไรจากตัวเธอกันแน่ ยังจะได้อะไรจากตัวเธออีก!

"ฉันไม่มีแล้ว! ไม่มีอะไรสักอย่างแล้ว!" คุณดูฉันดีๆ คุณดูสิ!” เธอท้าวโซฟาไว้ เอาหน้ายื่นเข้าไปอยู่ต่อหน้าเขา ห่างกันประมาณแค่คืบ เสียงเกรี้ยวกราด จนเสียงแหบและแห้ง

"คุณดูให้ละเอียด! ดูให้ละเอียด! คุณดูดีๆฉันยังเหลืออะไร! ยังมีอะไรที่คุณเสิ่นซิวจิ่นเข้าตา คุณพูดออกมา! ฉันให้ "

ขอเพียงอะไรที่คุณสามารถหาได้จากบนตัวฉัน คุณพูดออกมา ฉันให้หมด!”

อาลู่อาลู่ ฉันไม่ใช่คนไม่เอาไหน คุณเห็นแล้วใช่ไหม?

ในใจเสิ่นซิวจิ่นรู้สึกประหลาดกับความงามของเจี่ยนถงในขณะนี้…ความงามนี้ ด้วยความบ้าคลั่งที่สิ้นหวัง เหมือนกับการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของนักโทษประหาร เขาประหลาดใจมากจนลืมหายใจ

เจี่ยนถงเมื่อสามปีก่อน … ดูเหมือนจะกลับมาแล้ว ดูเหมือน… แต่ก็ไม่เหมือนเธอคนเดิม

ไม่มีใบหน้าที่สวยงามเหมือนก่อน ไม่มีออร่าของคุณหนูตระกูลเจี่ยน… ผู้หญิงคนนี้ ในวันนี้ แต่กลับทำให้เขาช็อก งามอย่างบ้าคลั่งที่สิ้นหวัง …

"จริงเหรอ … อะไรก็ให้ใช่ไหม?” เขาค่อยๆสงบอารมณ์ ขยับริมฝีปาก แล้วถาม

บทที่77 ลู่เชนกับคาย์อัน

เธอเป็นบ้าแล้ว เจี่ยนถงรู้ตัวเอง

แต่เธอในตอนนี้ ในสายตาของเสิ่นซิวจิ่น ท่าทึ่งมาก กระทั่งเทียบกับเจี่ยนถงสามปีที่แล้ว ยังน่าทึ่งกว่า…จุดนี้ เธอไม่รู้!

"คุณพูด"

เธอไม่กลัวที่จะสูญเสียของอะไร เพราะเธอไม่มีของอะไรที่จะให้เสีย!

"ผมต้องการ … " เสิ่นซิวจิ่นพูดด้วยความสับสนเล็กน้อย ทันใดนั้น เสียงก็หยุดลงทันที!

สีหน้าเปลี่ยนไป กวาดสายตานิ่งๆมองไปที่ผู้หญิงคนนั้น "คุณสามารถให้อะไรผม?"

เขามีสติปัญญามาตลอด เย็นชามาตลอด เป็นเช่นนั้นเสมอ ทำไมถึงให้ ผู้หญิงคนหนึ่งทำตามอำเภอใจ วุ่นวายตัวเองแล้ว

คำพูดของปู่ แว่วอยู่ในหู เขาพูด ถ้ามีใครสักคนปรากฏขึ้น เขาอาจส่งผลต่ออารมณ์และการตัดสินใจของคุณ ถ้างั้น อย่าลังเล จัดการเขาด้วยมือตัวเอง

เจี่ยนถงหดหู่ … อาลู่ อาลู่ ฉันก็ยังไม่เอาไหนอยู่ดี

เพราะอะไร?

"เพราะอะไรล่ะ? ประธานเสิ่น ฉันสำหรับคุณแล้ว ไม่มีประโยชน์แล้ว ขอให้ท่านใจกว้าง ปล่อยฉันไปเถอะ ถือซะว่าปล่อยชีวิตสัตว์ตัวหนึ่ง เรียบง่ายขนาดนั้น ง่ายดายขนาดนั้น ทำไมถึงไม่ยอมปล่อยฉันไป?”

เธอหดหู่ "ถ้าคุณเกลียดฉัน ฉันก็ติดคุกสามปีไปแล้ว และฉันก็ไม่เหลืออะไรแล้ว คุณเก็บฉันไว้ มีความหมายอะไร?"

เสิ่นซิวจิ่น หัวเราะเบาๆ "เจี่ยนถง สามปี ชีวิตคนหนึ่งชีวิต อันไหนได้เปรียบกว่ากัน? แน่นอนผมต้องเก็บคุณไว้ เก็บคุณไว้ ค่อยๆทรมาน จนกว่าคุณจะใช้หนี้ชีวิตนั้นจนหมด

ถึงแม้ผมยินยอมที่จะปล่อยคุณไป คุณเคยคิดบ้างไหม ว่าพ่อบ้านเซี่ยอายุมากขนาดนี้ ก็มีแค่เวยเหมิงเป็นญาติคนเดียว?

ถ้าปล่อยคุณออกไปง่ายๆอย่างนี้ ผมจะบอกกับพ่อบ้านเซี่ยยังไง?”

เจี่ยนถงไม่พูดอะไรอีก ก้มหน้า เสิ่นซิวจิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย ร่างกายเธองามอย่างสิ้นหวังเมื่อครู่ เหมือนดอกไม้บาน หายไปอย่างไร้ร่องรอย แล้วกลับมาเป็นผู้หญิงที่กล้าๆกลัวๆที่เขามองแล้วสบายตา

“ประธานเสิ่น" ช่วงเวลาที่เสิ่นซิวจิ่นยื่นมือให้เธอ เจี่ยนถงเงยศีรษะขึ้นทันที "ประธานเสิ่น ท่านเคยพูดไว้ ขอแค่ภายในหนึ่งเดือน ฉันสามารถเอาเงินเข้าบัตรนี้จำนวนห้าล้านบาท คุณก็จะไม่สนใจว่าฉันจะอยู่หรือจะไป

ประธานเสิ่น ท่านคือตระกูลเสิ่นผู้มีอำนาจในเมือง S คำพูดของท่านหนักยิ่งกว่าทอง คงไม่กลับคำ ใช่ไหม? "

ไม่ว่าในกรณีใด เธอคงอยากลองดูสักหน่อย … ไม่เช่นนั้น เธอจะเป็นหนี้อาลู่ไปจนถึงชาติหน้า

หญิงสาวบอกว่าเธอไม่เคยไปที่ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ เธออยากจะเปิดโฮมสเตย์ที่ริมทะเลสาบเอ๋อร์ไห่… จากนั้นเธอก็หลับตาและไม่ลืมตาอีกเลย

เจี่ยนถงกำลังรอคำตอบของเสิ่นซิวจิ่น และรอการตัดสินใจของเสิ่นซิวจิ่น

แต่ในขณะนี้เสิ่นซิวจิ่นในใจเต็มไปด้วยความโกรธ … ผู้หญิงคนนี้ที่จะทิ้งเขาไปนั้นแน่วแน่มาก!

มีไฟแรงกล้าลุกขึ้นในใจ แต่สายตากลับเย็นชา "แน่นอน แต่ผมขอเตือนคุณว่ากำหนดเวลาหนึ่งเดือน เหลือไม่มากแล้ว"

ฝั่งซู่เมิ่ง เขาได้ออกคำสั่งไปแล้ว แต่เขาไม่เชื่อว่า ผู้หญิงคนนี้ ยังสามารถเอาเงินห้าล้านมาได้

อย่าว่าแต่ จำนวนห้าล้านเลย ถึงจะเป็นห้าร้อย ตั้งแต่วันนี้ไปจะให้เขาไม่มีแม้แต่บาทเดียว

ฟังจากคำพูดนี้ เจี่ยนถงก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ทุกท่าทางกิริยาของเธอ ขอแค่ขยับก็ถูกผู้ชายคนนี้มองทะลุได้หมด

ดวงตาเรียวยาวโฉบเฉี่ยวเสิ่นซิวจิ่น แสดงถึงความประชด …

เขายกขาที่เรียวเดินไปที่โซฟาอีกด้าน หยิบนิตยสารการเงินบนโต๊ะ และเมื่อเขานั่งลงเขาก็ออกคำสั่งไล่แขกออกไปอย่างใจเย็น

"ออกไป"

เจี่ยนถงก็ไม่ต้องการอยู่ที่นี่เช่นกัน

เธอลุกขึ้นจากโซฟา และเดินไปที่ลิฟต์ โดยไม่รู้ว่า ข้างหลังเธอมีดวงตาคู่หนึ่ง มองตามเธอเข้าไปในลิฟต์ตลอดเวลา

ในขณะที่ประตูลิฟต์ปิดลงเจี่ยนถงมองไปที่เสิ่นซิวจิ่นที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น และชายคนนั้น เริ่มก้มหน้าก้มตาดูนิตยสารอย่างสงบ

เธอละสายตาลง

….

บริษัทลู่ซื่อกรุ๊ป

ลู่เชนกวาดสายตามองไปผู้ชายที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องทำงาน “ช่วงนี้ คุณดูอารมณ์ดีมากเลยนะ”

"แน่นอน ได้เจอเหยื่อที่น่าสนใจมากตัวหนึ่ง"

"คาย์อัน" ลู่เชนได้ยินคำพูดของผู้ชายที่นั่งอยู่บนโซฟา และวางเอกสารลง จ้องมองไปที่ฝั่งตรงข้าม พูดอย่างจริงจัง "อย่าทำต่อเลย นี่มันไม่มีอะไรที่น่าสนุก"

"ไม่ๆๆ อาลู คุณไม่รู้ว่าเหยื่อชิ้นนี้ เป็นสัตว์ที่สูงส่งมากการล่าสัตว์เป็นกีฬาที่สง่างามมาก"

"ถ้าการล่าสัตว์เป็นเรื่องสนุกขนาดนั้น หลายปีมานี้ ทำไมคุณถึงเปลี่ยนเหยื่อไปทีละคนคน?"

คาย์อันยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วส่ายไปมา "ไม่ไม่ไม่ ความสนุกของการล่า ต้องอยู่ที่การถูกชะตากับเหยื่อ เล็กๆน้อยๆแต่ละขั้นตอนของการล่าสัตว์ สิ่งที่ฉันลิ้มรสคือขั้นตอน ขั้นตอน คุณเข้าใจไหม? อาเชนของผม”

ลู่เชนขมวดคิ้วโดยสัญชาตญาณ "ผมไม่มีรสนิยมที่ชั่วร้ายแบบนี้"

"ใช่ใช่ใช่ ในใจของคุณมีเพียงความสงบ ทำไม… " ทันใดนั้นคาย์อันส่งเสียง “คิก ~” “ผมขอโทษ อาเชน"

ในแววตาของลู่เชนเยือกเย็น จางลง

“ ต่อจากนี้ อย่าพูดถึงเธออีก”

ลู่เชนพูดเบา ๆ

"ลู่เชน อย่างนี้ไม่ดี ไม่ดีจริงๆ อยู่ในอดีตต่อไป คุณจะไม่สามารถก้าวออกมาได้"

"ผมไม่เคยคิดจะออกมา" ลู่เชนพูดอย่างไม่แยแส "ดี ออกไปล่าเหยื่อตัวใหม่ของคุณกัน"

เห็นได้ชัดว่า ลู่เชนไม่ต้องการที่จะพูดถึงหัวข้อนี้กับคาย์อันอีกต่อไป

"ฮ่าฮ่า" คาย์อันหัวเราะ พลางเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง จากนั้นยกข้อมือขึ้นแล้วเหลือบมองนาฬิกา "อืม~ยังเช้าอยู่ เธอยังไม่ไปทำงาน"

ลู่เชนดูเหมือนจะจับประเด็นได้ "ไม่ทำงาน …หมายความว่าไง?” เขาเหลือบมองไปที่ —15:37

เวลานี้ เป็นเวลาที่ทำงาน แม้ว่าจะเลิกงานก่อนเวลา งั้นก็ไม่ควรเป็น "เธอยังไม่ไปทำงาน"

"อ้อ เหยื่อคนใหม่ที่น่าสนใจคนนั้น เธอทำงานที่คลับบันเทิงนานาชาติ" งั้นก็เป็นช่วงกลางคืนแล้ว

มีความคิดหนึ่ง แวบขึ้นมาในสมองลู่เชน แต่เขายังไม่ทันจับใจความ ก็หายไปแล้ว

ส่ายศีรษะไปมา … อาจเป็นเพราะช่วงนี้เหนื่อยเกินไป

ลู่เชนขยี้หัวคิ้ว "แต่ว่าผู้หญิงทุกคนในคลับบันเทิงนานาชาตินี้ ฉันไม่รู้สึกว่าน่าสนุกตรงไหน"

"ไม่ไม่ไม่ เธอน่าสนุก เป็นผู้หญิงที่น่าสนุกที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ ไม่มีใครเทียบได้ อาเชน จู่ๆผมก็นึกถึงวิธีที่ดีขึ้นมา ผมไม่ไปคลับบันเทิงนานาชาติแล้ว”

"อ๋อ … งั้นคุณปล่อยเหยื่อใหม่ของคุณแล้วสิ?"

แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ ด้วยนิสัยของคาย์อันเขารู้ดีว่า ไอ้นี่จะไม่มีวันปล่อยเหยื่อจนกว่า … การล่าจะสำเร็จ

"ไม่ไม่ไม่ ผมรู้สึก ไปหาเธอที่คลับ ไม่ดีเท่าวิธีที่เมื่อกี้เพิ่งคิดขึ้นมา ใช่ ใช่ๆ ทำอย่างนี้แหละ” คำพูดของเขาเหมือนกับตอบลู่เชน แล้วก็เหมือนกับคุยกับตัวเอง

ลู่เชนก็เคยชิน เพียงแต่ขมวดคิ้ว บางคำพูด ถึงปากเขาแล้ว ก็กลืนกลับเข้าไป เพราะเข้าใจอดีตของคาย์อัน ดังนั้น บางคำพูด ก็ยากที่จะพูดกับคาย์อัน

"อาเชน ผมไปก่อนนะ"

"อืม"

เมื่อคาย์อันจับลูกบิดประตูห้องทำงาน ในใจของลู่เชนเต้น แล้วถอนหายใจ เฮ้อ …

"คาย์อัน บางครั้งบางเรื่อง ก็ทำแค่พอเหมาะพอควรแล้วหยุดเถอะ ทำร้ายคนอื่นเท่ากับทำร้ายตัวเอง"

"คุณกำลังพูดถึงอะไร ผมไม่เข้าใจ"

ลู่เชนส่ายศีรษะ "ไม่ คุณเข้าใจ ผมพูดว่า……ถ้าหากสักวันหนึ่ง โชคชะตานี้บังเอิญนะ เหยื่อที่คุณถูกชะตา บังเอิญเจอผู้หญิงที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ ผมถามคุณ ถึงเวลานั้น คุณจะทำยังไง? "

"ไม่มีทางเป็นไปได้" ทิ้งประโยคนี้ไว้ คาย์อันก็เปิดประตู และเดินออกจากห้องทำงาน

บทที่ 78 อย่าแตะต้องตรงนั้นอีก

ตอนดึก

เจี่ยนถงเดินไปที่ชั้นล่างของหมู่บ้านคนเดียว ขึ้นไปชั้นสอง แต่ไฟตรงทางเดินบนชั้นสองเสีย

เธอเหลือบมองดู และคิดเพียงว่าไฟทางเดินที่ชั้นหนึ่งเสียแล้ว เธอจึงค่อยๆคลำหาและปีนขึ้นไปชั้นบนอย่างระมัดระวัง เมื่อขึ้นไปถึงชั้นสาม ไฟทางเดิน ยังคงเสีย

หยิบโทรศัพท์ออกมา ใช้ไฟจากโทรศัพท์ ส่องถนนใต้เท้าทางเดิน แล้วคลำไปที่บ้าน

ในที่สุด เมื่อเธอเดินไปที่หน้าประตูบ้าน เจี่ยนถงสั่นเทา "คุณชายคาย์อัน ทำไมคุณถึงมาที่นี่?”

“ผมรอคุณนานแล้ว”

"… " ที่เธอถามคือ ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ถามว่าเขารอนานแค่ไหนนะ

"ท่าน … มีธุระอะไรหรอ?” เจี่ยนถงถือกุญแจไว้ในมือ แต่ไม่ได้เปิดประตูต่อหน้าคาย์อัน เปิดประตูบ้าน เธอต้องตั้งรับตลอดเวลา … คาย์อันมองเข้าไปในดวงตา หัวใจวาบขึ้น มีความรู้สึก … ตื่นเต้นเล็กน้อย

จะเอาชนะเหยื่อที่มีจิตใจที่ระมัดระวังสูง ความรู้สึกแบบนี้… อืม ไม่เลว

"หิวแล้ว"

"……ห้ะ?”

"ผมบอกว่า" คาย์อันแตะท้องของเขา "ผมไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน ผมหิวแล้ว"

เขาหิวแล้ว … มาหาเธอทำไม?

เจี่ยนถงคิดตามไม่ทัน รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “งั้นท่านก็ควรไปหาอาหารมื้อดึกทานนะ”

"อืม คุณพูดถูก ดังนั้นผมมาทานอาหารมื้อดึกไง"

"คุณมา … ทานอาหารมื้อดึก?” “มา” ? “มา” ?

มาที่ไหน?

บ้านของเธอ?

ดังนั้นสิ่งที่เขาหมายถึงคือ "ท่านคงไม่ใช่จะบอกว่า ท่านตั้งใจมารอที่หน้าประตูหอพักของฉัน ก็เพราะเพื่อรอฉันกลับมา ให้ฉันทำอาหารมื้อดึกให้คุณ?”

"อืมๆ ฉลาดจริงๆ"

ไม่ใช่ว่าเธอฉลาดไม่ฉลาดไหม?

"ไม่กินอาหารมื้อดึกของคุณฟรีๆหรอก"

เขาหยิบเช็คออกมา กรอกตัวเลขลงไป "นี่ให้คุณ ผมอยากกินบะหมี่ต้นหอมของเมื่อคืน"

เมื่อมองไปที่จำนวนเงินในเช็ค ดวงตาของเจี่ยนถงดูซับซ้อน … ชายคนนี้ชื่อคาย์อัน เข้าใกล้เธอ ต้องการจะทำอะไรกันแน่?

มองไม่เข้าใจ แต่ … เมื่อเธอเหลือบมองไปที่เช็คอีกครั้ง ในสมองมีคนตัวเล็กสองคนกำลังดึงชักเย่อ

คนหนึ่งบอกว่า อย่าเจอเขาอีก อย่ารับเงินนี้

คนหนึ่งบอกว่า รับไว้เถอะ เธอขาดเงินขนาดนี้ เธอไม่ใช่จะไปไถ่อิสระของเธอคืนหรอ?

“ คุณเจี่ยน? คุณเจี่ยน?”

คาย์อันมองเห็นผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้ากำลังเหม่อลอย จึงตะโกนเรียกสองครั้ง

จู่ๆเจี่ยนถงจากที่อาการเหม่อลอยก็ได้สติคืนมา เธอลดสายตาลง จ้องมองไปที่เช็คใบนั้น สักพัก ก็ยื่นมือที่สั่นเทา ยื่นไปทางเช็คใบนั้น

ดวงตาสีน้ำตาลของคาย์อัน เผยรอยยิ้มออกมา … เงิน ในที่สุดก็เป็นจุดอ่อนของเธอจริงๆ

มีคนเคยพูดว่า ผู้หญิงที่รักเงิน ผู้หญิงที่บูชาทอง ผู้หญิงแบบนี้มีความหมายอะไร?

คาย์อันขี้เกียจไปสนใจ … ในสายตาของเขา ผู้หญิงคนนี้ น่าสนใจมาก

เพียงพอที่จะชดเชยเวลาที่เขาอยู่ในเมือง Sนี้เป็นเวลาสองเดือน หลังจากสองเดือนแล้ว ผู้หญิงที่ชื่อเจี่ยนถงที่อยู่ต่อหน้าเขาคนนี้จะไปไหนทางไหน…อ้อ เขาไม่เคยคิด ยังไง สองเดือนนี้จากนี้ เขาคงล่าเหยื่อคนนี้สำเร็จนานแล้ว ต่อจากนี้ชื่อเสียงการล่าเหยื่อสำเร็จ ก็ถูกจะเพิ่มรายชื่อเข้าไปอีกหนึ่งคน ก็ง่ายแค่นี้เอง

กึก เจี่ยนถงเปิดประตูหอพัก "คุณชายอาย์อัน เชิญเข้าข้างใน ท่านนั่งก่อน ฉันจะไปทำอาหารมื้อดึก”

เธอวางของของตัวเองลง แล้วหันกลับไปเข้าไปในครัว

เช็คใบนั้น แน่นอนว่าร้อนมือ… หนึ่งแสน แสนหนึ่งอีกแล้ว

คนคนนี้หรือว่าจะรู้สึกว่ามีเงินมากมายจนสามารถใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายได้?

ในใจเธอ โกรธขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล… เพราะเงินห้าล้าน เธอจำเป็นต้องทำทุกอย่างที่คนอื่นไม่ต้องการทำ เพื่อแลกกับอิสรภาพของเธอและบางคนมองว่าเงินคือมูลสัตว์?

บะหมี่มาเสิร์ฟร้อนๆ

เช่นเดียวกับครั้งก่อนไม่มีผิด คาย์อันไม่ได้พูดอะไรมาก กินบะหมี่หมดอย่างรวดเร็ว

“คุณชายคาย์อัน บะหมี่ชามเดียว ไม่คุ้มค่ากับเงินที่เยอะขนาดนี้”

เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้น และถามอย่างจริงจัง "เพราะอะไร?”

เพราะอะไรต้องจ่ายแสนหนึ่ง เพียงเพื่อแค่กินบะหมี่ชามเดียว?

คำพูดนี้ พูดออกไป เธอไม่เชื่อแน่นอน

คาย์อันเช็ดมุมปาก "เรื่องที่คุณรู้สึกว่าไม่คุ้ม ผมคิดว่ามันคุ้มก็พอ ผมเป็นคนจ่ายเงิน ผมคิดว่าคุ้มก็พอ"

น้ำเสียงนี้ เหมือนจะบอกว่า ผมจ่ายเงินผมคิดว่าคุ้ม ไม่จำเป็นต้องให้คุณคิด

“ดึกมากแล้ว คุณชายอาย์อัน ฉันไปส่งท่านนะ”

ดวงตาสีน้ำตาลของคาย์อันแวบความรู้สึกสนุกออกมา ถ้าหากเธอยังให้ตัวเองอยู่ แล้วแนบตัวมา เกรงว่าตัวเองจะเอียนหมด… อย่างนี้มีความหมายกว่าเยอะ

ลุกขึ้นยืน เดินไปทางประตู ตอนจากไป เดินรวดเร็วมาก เปิดผมหน้าผากเธอออก จูบ แล้วไปโดนแผลนั้นอีก

เจี่ยนถงจ้องหน้าด้วยความโมโห "คุณชายคาย์อัน ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหม! ห้ามจูบหน้าผากฉัน!"

คนคนนี้มันยังไงกันแน่?

พูดก็ไม่ฟัง

ผมก็เคยบอกแล้ว แผลเก็บไว้ไม่รักษา มันจะเน่า”

"เน่าก็เน่าสิ!" หัวใจของเธอผันผวน สองแก้มโกรธจนแดงก่ำ! จ้องมองไปที่ใบหน้าที่งดงามที่อยู่ตรงหน้า "คุณชายอาย์อัน รบกวนต่อไป อย่าจูบหน้าผากฉันอีก!"

"อ้อ … " เบา "อ้อ" หนึ่งคำ คาย์อันพูดด้วยน้ำเสียงขี้เล่น "ไม่จูบหน้าผาก ให้จูบที่ไหน? ที่นี่หรอ?”

เมื่อพูดจบ เขาก็ก้มลง และจิกที่ริมฝีปากของเจี่ยนถงอย่างรวดเร็ว

สีหน้าเจี่ยนถงเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวขาว ทันใดนั้นก็เปิดปากถาม

“ คุณชายคาย์อัน แสนหนึ่งนี้ รวมจูบนี้ด้วยไหม?”

คาย์อันเกือบจะหัวเราะออกมา ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขา ดูอ่อนโยนที่แท้ส่วนลึกในตัวเธอเป็นแมวป่าตัวน้อย ถ้างั้น… ยิ่งสนุกละสิ

"ไม่รวมจูบนี้นะ แต่รวมจูบหนึ่งทีที่หน้าผากเมื่อกี้ " เสียงพูดที่ร่าเริงของผู้ชาย "แล้วเดินออกจากประตูไป โบกมือ “คุณเจี่ยนไม่จำเป็นต้องส่งแล้ว วันนี้มีความสุขมาก ขอบคุณการต้อนรับของคุณเจี่ยน”

จนไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของคาย์อันที่ระเบียงแล้ว เจี่ยนถงถึงจะปิดประตู

เธอเอามือลูบที่หน้าผาก … เจ็บมาก

ทั้งๆที่ หมอก็พูดแล้ว บาดแผลฟื้นฟูได้ดีมาก ไม่นานก็หายเป็นปกติแล้ว

เจี่ยนถงเดินเข้าไปในห้องน้ำและปลดเสื้อผ้าทีละชิ้น ขณะนี้ ก็เผยให้เห็นร่างกายที่ปกคลุมไปด้วยเสื้อผ้าหลายชั้น ผอมจนดูไม่ได้ แต่กลับเต็มไปด้วยรอยจูบพิศวาส

นอกจากรอยจูบ ยังมีผิวที่เธอใช้ผ้าอาบน้ำถูกจนเป็นแผล… รอยจูบนี้ กลับดื้อรั้นมากทำยังไงก็เช็ดไม่ออก

ชั้นล่างตึก คาย์อันไม่ได้ออกไปทันที เงยหน้าขึ้นมองไปที่หน้าต่างที่ยังสว่างอยู่

เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋า เดินไปเช็ดไป เช็ดแล้วเช็ดอีก สุดท้ายก็รังเกียจโยนผ้าเช็ดตัวลงไปในถังขยะที่เขาเดินผ่าน

ลู่เชนเคยบอกคาย์อันว่า เขาหาเรื่องใส่ตัว ทั้งๆที่จูบปากคนอื่น เป็นสิ่งที่ขยะแขยงจนรับไม่ได้ แต่ทุกครั้งที่เขาเปลี่ยนเหยื่อ เปลี่ยนผู้หญิง เป็นฉากที่ตัวเองรังเกียจ

ในสายตาของคนอื่น คาย์อันนั้นหล่อเหลาและเจ้าชู้ แต่ก็ยังมีผู้หญิงอีกมากมายที่วิ่งเข้าหา จะรู้ได้ไง คาย์อันในสายตาของพวกเธอ เป็นคนละคนกัน——ยึดติด กะล่อนปลิ้นปล้อน เป็นคนเลือดเย็น

คาย์อันที่ดูโรแมนติกมีเสน่ห์ กลับไร้ความรู้สึกมาก

รถ จอดอยู่ข้างทาง คาย์อันเปิดประตูรถ นั่งเข้าไป ไม่หันกลับ เหยียบคันเร่งไปอย่างสง่าผ่าเผย

บทที่ 79 คุณชายคาย์อันฉันต้องการเงินห้าล้าน

ต่อหน้าซูเมิ่ง เมื่อเห็นเช็คที่เจี่ยนถงให้ใบนั้นอีกครั้ง เธอมองไปที่เจี่ยนถง แล้วเก็บเช็คนั้นขึ้นมา

"คุณควรรู้ คนที่ชื่อคาย์อันนี้มีจุดประสงค์ที่ไม่บริสุทธิ์"

“อืม"

อืม?

ซูเมิ่งเลิกคิ้ว "คุณรู้แล้วคุณยังรับเงินของเขาไว้"

เจี่ยนถงไม่ได้พูด

ซูเมิ่งไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเธอ เจี่ยนถงต้องใช้เงินก้อนใหญ่อย่างเร่งด่วน

"ไม่กี่วันแล้ว" ซูเมิ่งเตือนสติ

“ ฉัน … ก็ต้องลองดู”

"คุณจะลองอะไร? เจี่ยนถง ยอมแพ้เถอะ”

ไม่"

"… คุณไม่ชอบประธานเสิ่นขนาดนี้เชียวหรอ?” จริงๆซูเมิ่งอยากจะบอกว่า ประธานเสิ่นไม่ได้ร้ายกับเธอขนาดนั้น ตอนเธอป่วย ประธานเสิ่นเป็นคนอุ้มเธอไปโรงพยาบาล ตอนที่เธอป่วยอยู่ดื้อรั้นจะออกมาทำงาน ตอนเธอเป็นลมประธานเสิ่นก็เป็นคนเรียกหมอส่วนตัวมารักษาให้ เขายังไม่ให้ฉันบอกเธอ

ซูเมิ่งไม่รู้เรื่องระหว่างเจี่ยนถงกับเสิ่นซิวจิ่น เห็นเพียงแค่พวกนี้ เธอรู้สึก บางที เจี่ยนถงไม่จำเป็นต้องกลัวประธานเสิ่นขนาดนี้

เจี่ยนถงไม่รู้จะอธิบายยังไงดี … ระหว่างเธอกับเสิ่นซิวจิ่น มันไม่ใช่แค่เรื่อง "รังเกียจ" หรือไม่ "รังเกียจ" อีกต่อไป

“คุณบอกฉัน คุณจะลองยังไง? เหลือแค่อาทิตย์เดียวแล้ว ฉันคำนวณให้คุณแล้ว ตอนนี้ที่คุณสามารถเอาออกมาได้ ยังไม่ถึงหนึ่งล้าน ผมถามคุณ ที่เหลืออีกสี่ล้าน คุณสามารถเอาออกมาได้หรอ?”

ซูเมิ่งขยี้คิ้วของเธออย่างหมดหนทาง เธอคงบอกเจี่ยนถงโดยตรงไม่ได้ เธอก็อย่าฝันอีกเลย ประธานเสิ่นออกคำสั่งไว้แล้ว ไม่ยอมให้งานคุณ ไม่งั้น เธอนึกว่า ช่วงเวลานี้ เพราะอะไรทำไมเธอถึงไม่มีงานเข้ามาสักงานเลย?

“ ฉัน … ต้องลองดู ยังไม่ถึงท้ายสุด”

“ หาใครลอง? อาศัยคนที่ชื่อคาย์อัน บังเอิญไปหาคุณกินอาหารมื้อดึกสักมื้อ จากนั้นก็ให้เช็คแสนหนึ่ง? ถึงแม้เขาจะไปกินอาหารมื้อดึกทุกวัน อย่างน้อยคุณก็ได้แค่เจ็ดแสน”

ซูเมิ่งหวังว่าจะช่วยเจี่ยนถงได้ แต่ที่เธอทำได้คือ ทำได้แค่ปิดบังเสิ่นซิวจิ่นเรื่องเงินก้อนนี้ได้ชั่วคราว

แต่ว่า ซูเมิ่งก็เห็นได้อย่างชัดเจน เจี่ยนถงอยากใช้เวลาที่เหลือนี้ ถึงเป้าหมายตามที่เสิ่นซิวจิ่นกำหนด นอกเสียว่าจะเกิดปาฏิหาริย์

และเธอ ยังหวังว่าปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้น

"อีกอย่าง เจี่ยนถง คาย์อันคนนั้นอันตรายมาก"

เจี่ยนถง "สำหรับฉันแล้วคนที่อันตรายที่สุดคือประธานเสิ่น”

“พี่เมิ่ง ฉันออกไปก่อนนะ บางทีอาจจะโชคดีมีงานให้ทำ”

ซูเมิ่งไม่ได้ขัดขวางเจี่ยนถง เพียงแค่มองไปข้างด้านของผู้หญิงที่ขามีปัญหา ในแววตาปรากฏเผยความสงสารขึ้นมา … เจ้าเด็กโง่ เธอไม่มีงานหรอก ไม่ใช่เพราะเธอดวงไม่ดี

ในห้องทำงานของฝ่ายประชาสัมพันธ์ เจี่ยนถงรู้สึกผิดหวังกำลังเตรียมตัวจะเลิกงาน … วันนี้ก็เหมือนกับทุกวัน ไม่มีงานสักอย่าง

เธอไม่ได้โง่ หนึ่งวันสองวันก็เป็นอย่างนี้ สามวันสี่วันก็เป็นอย่างนี้ นี่ก็อาจจะเป็นเพราะดวงเธอไม่ดีจริงๆ

เป็นแบบนี้มาเกือบเดือนแล้ว … เบื้องหลังนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะเข้าใจว่ามีอะไรแอบซ่อนอยู่

เดินออกจากตงหวง ตลอดทางเดินกลับไปถึงหอพักในหมู่บ้านเล็กๆ

ประตูใหญ่ในบ้าน ยังคงเหมือนเมื่อวาน ชายลูกครึ่งหน้าตางดงาม ก็อยู่ที่นั่น

ครั้งนี้ เจี่ยนถงไม่ได้ถามอะไรสักคำ เพียงแต่ต่อหน้าชายคนนั้น หยิบกุญแจขึ้นมา กึก “เข้ามาเถอะ คุณชายคาย์อัน”

เสียงที่เกรี้ยวกราดพูดอย่างแผ่วเบา "ฉันจะทำอาหารมื้อดึกให้คุณ"

คาย์อันมองเจี่ยนถงที่อยู่ในห้องครัวที่มีเส้นพันกันอยู่ด้านหลัง ยกมุมปากขึ้น ราวกับว่าเขาอารมณ์ดี

เหมือนเช่นเคย บะหมี่ของเขากินจนไม่เหลือ ตอนวางถ้วยกับตะเกียบลง มุมโต๊ะมีเช็คแสนหนึ่งหนึ่งใบ

“อาหารมื้อดึกนี้แพงและหรูหรากว่าร้านอาหารมิชลิน คุณชายคาย์อัน ท่านบอกเหตุผลฉันได้ไหม?”

"เหตุผลอะไร?"

“ ทำไมคุณถึงยอมที่จะออกเงินขนาดนี้ทุกวัน แล้วรอกินอาหารมื้อดึกที่นี่ ฉันรู้ดี มื้อดึกของฉันไม่มีค่าขนาดนี้ แล้วท่าน… อย่าพูดอีกเลยว่าท่านรู้สึกคุ้ม… สิ่งที่ฉันอยากรู้คือ ท่านรู้สึกว่าอาหารมื้อดึกนี้คุ้ม หรือมีอย่างอื่นที่คุ้ม?”

แววตาของคาย์อันทึ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ … เดิมคิดว่าเธอก็เป็นแค่ผู้หญิงที่มีความสุขกับเงิน คิดไม่ถึง เธอกลับมองทะลุปรุโปร่ง ไม่ได้เลอะเลือน

"ผมเห็นรอยแผลเป็นบนหน้าผากของคุณ ขวางหูขวางตา สำหรับผม ก็เป็นคนที่สนุกกับการท้าทาย” คาย์อันก็ไม่ได้ปิดบัง “คุณเจี่ยนให้ผมมารักษาบาดแผลบนหน้าผากคุณ เป็นไง”

เขาพูดไป นิ้วที่เรียวยาว ก็ยื่นจะไปแตะที่หน้าผากของเจี่ยนถง ถูกเจี่ยนถงเลิกคิ้ว แล้วหลีกเลี่ยง

“ มันดึกมากแล้ว เชิญกลับเถอะ คุณชายคาย์อัน”

คาย์อันก็ไม่ได้ไม่ไป ไม่พูดสักคำ ลุกขึ้นเดินไปที่ประตู เจี่ยนถงระมัดระวัง แม้ว่าส่งคาย์อันไปที่หน้าประตู แต่ตัวเธอเองห่างจากผู้ชายอันตรายคนนั้น ไม่ถึงหนึ่งเมตร

"คุณชายคาย์อัน ค่อย… กรี้ด~" ก่อนที่เธอจะพูดจบ เธอก็ถูกชายตรงหน้าจับไว้ แต่เธอรู้สึกได้ถึงอันตราย ยื่นมือมาปิดแผลที่หน้าผากไว้… แต่ก็สายเกินไป สัมผัสที่อ่อนโยน จูบลงที่หน้าผากเธอหนึ่งครั้ง หลังจากหนึ่งครั้ง ก็ถอยออก

เจี่ยนถงรู้สึกโกรธ ครั้งนี้เธอหลีกเลี่ยงการเข้าถึงของเขาอย่างระมัดระวัง!

"สนุกมากไหม!" เธอตะโกน!

“ ถ้าไม่รักษาแผล มันจะเน่า”

เขาพูดเป็นครั้งที่สาม

ในแววตาของเจี่ยนถงพุ่งขึ้นด้วยความโกรธ คนคนนี้ ทำไมต้องต่อต้านความต้องการของเธอครั้งแล้วครั้งเล่า

“คุณสามารถบอกให้พรุ่งนี้ผมไม่ต้องมาอีก ผมรับรอง ถ้าหากคุณเจี่ยนพูดกับผมอย่างนี้ ผมจะทำตามข้อเสนอของคุณเจี่ยน”

ฟึบ!

เจี่ยนถงวางมือไว้ที่ข้างๆขา กำหมัดไว้แน่น!

เธอขาดเงิน ขาดเงินที่สุด

ได้แค่เงียบ สีหน้ากลับดูไม่ได้เลย

คาย์อันยกมุมปากเบาๆ……เขารู้ว่าจุดอ่อนของเธอ และความอ่อนแอของเธอ เงินไง เขามีเยอะ สิ่งที่เขาไม่แคร์ที่สุดก็คงเป็นกระดาษแต่ละใบๆพวกนี้แหละ

“ถ้าคุณเจี่ยนไม่พูด งั้นผมถือว่าคุณเจี่ยนยินดีต้อนรับให้ผมมากินอาหารมื้อดึก” คาย์อันหัวเราะ “ถ้างั้นคุณเจี่ยนผมไม่กล้ารับรอง เวลามา ผมจะสามารถทนที่จะไม่ไปจูบแผลของคุณได้”

เจี่ยนถงก้มหน้าลง สีหน้าดูไม่ได้……ถ้าหากเป็นไปได้เธออยากจะไล่คนคนนี้ออกไป ไม่อยากเจอคนคนนี้อีกตลอดไป

แต่เดี๋ยวนี้ ที่มาของเงินที่เธอสามารถหาได้ ก็คือคนที่อยู่ตรงหน้านี้

“หรือว่า คุณชายคาย์อันชอบเอาเกลือโรยลงบนแผลคนอื่น?”

“ผิดแล้วคุณเจี่ยน ผมช่วยคุณรักษาแผลนะ ถ้าหากระหว่างนี้ คุณเจี่ยนรู้สึกว่าไม่คุ้นเคย นั่นมันก็แค่ชั่วคราว พอรักษาเสร็จสิ้น แผลของคุณเจี่ยนก็จะหายดีแล้ว ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง”

หน้าด้าน!

การกระทำที่สามารถโรยเกลือลงบนบาดแผลของผู้อื่นอย่างตามใจชอบ ยังพูดออกมาได้อย่างสง่าผ่าเผย

หน้าด้านที่สุด!

แต่เธอ ณ เวลานี้ กลับไม่สามารถเลือกทางอื่นได้ ใครให้เธอ … เป็นหนี้เสิ่นซิวจิ่นตั้งห้าล้านล่ะ

ภายใต้สายตาของคาย์อัน การต่อต้านของเจี่ยนถง การไม่ยอมของเจี่ยนถง เขียนอยู่บนใบหน้าเธออย่างชัดเจน ทันใดนั้น เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า "คุณชายคาย์อัน ฉันต้องการเงินห้าล้าน"

บทที่ 80 การล่าครั้งนี้กลายเป็นเรื่องที่หมดสนุก

คาย์อันที่มีใบหน้างดงามยิ่งกว่าผู้หญิง สบายชิวๆ ดูไม่ออก

เพียงแค่จ้องมองไปที่เจี่ยนถง เขารู้สึกว่า … บางทีการล่าสัตว์ครั้งนี้อาจถึงเวลาสิ้นสุดลงแล้ว

เจี่ยนถงรักเงินได้ เธอรักเงินเขาถึงจับจุดอ่อนของเธอได้ ถึงสามารถเข้าหาเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงจะสามารถล่าเหยื่อตัวนี้ได้ทีละเล็กทีละน้อย

ในเกมสนามล่าสัตว์ครั้งนี้ เงิน คือตัวล่อ เธอ คือเหยื่อ

ความสนุกในการล่าสัตว์ อยู่ที่การต่อสู้ของเหยื่อ ระหว่างการล่านี้

แต่ว่า ตอนที่ผู้หญิงคนนี้อ้าปากขอเงินจากเขา… คาย์อันรู้สึกว่าเกมล่าสัตว์นี้อาจจบลงได้ เพราะ … มันธรรมดาเกินไป

"ดึกมากแล้ว ผมไปก่อนล่ะ" คาย์อันตบกระเป๋ากางเกงชุดสูท อย่างสบายชิวๆ

เจี่ยนถงเม้มริมฝีปากของเธอแน่น พูดว่า "ฉันจะไปส่งคุณ"

"ไม่จำเป็น" น้ำเสียงเรียบง่าย เกรงว่าอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เป็นใครก็รู้สึกได้ถึงความอึดอัด สิ่งที่เขาทำมันชัดเจนเกินไป

“ ไม่ ยังไงก็ต้องไปส่ง”

เจี่ยนถงปิดประตู ครั้งนี้ตั้งใจจะส่งผู้ชายคนนี้ลงไปชั้นล่าง เขามาที่นี่หลายครั้ง เธอเคยส่งถึงแค่ประตูหอ แต่วันนี้จะแหกกฎส่งเขาลงไป

“คุณเจี่ยน” ทันใดนั้นคาย์อันก็หัวเราะขึ้นมา ในใจรู้สึกหมดความอดทนนิดๆ “ห้าล้านผมมีนะ แต่ผมไม่อยากให้คุณ…เพราะเมื่อกี้บะหมี่ต้นหอมของคุณ ก็มีค่าหนึ่งแสนแล้ว”

ห้าล้าน สำหรับคาย์อันละก็ ขนหน้าแข้งไม่ร่วง ยกตัวอย่างง่ายๆ รถสปอร์ตของเขาคันหนึ่งมีมูลค่ามากกว่าด้วยซ้ำ

ทันใดนั้นรู้สึก เอียนขึ้นมา บะหมี่ต้นหอมในชาม พริบตาเดียวมูลค่าก็เปลี่ยน

เจี่ยนถงเงียบไป ทันใดนั้น เธอก็หัวเราะ "คุณชายคาย์อัน ฉันไม่เคยบอกว่าอาหารมื้อดึกที่ฉันทำ มีมูลค่า หนึ่งแสน คุณเต็มใจที่จะจ่าย คุณคิดว่ามันคุ้มค่า แต่ฉันขาดเงิน ขาดมากขาดมาก ฉันเลยรับไว้

ทำไมทั้งๆที่ตัวฉันรู้ว่าราคามันไม่เหมาะสม แต่ฉันก็ยังรับไว้ล่ะ

คุณคงลืมไปว่าฉันเป็นผู้หญิงบริการเพื่อเงินแล้วฉันทำได้ทุกอย่าง

ฉันขาดเงิน ขาดห้าล้าน ห้าล้านนี้สำคัญแค่ไหน?

สำคัญถึงขั้นที่ ถ้าหากไม่เอาเงินห้าล้านออกมาตามเวลาที่กำหนด ฉันก็ต้องสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป”

"นั่นมันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผม" คาย์อันสีหน้าไร้ความรู้สึกใดๆ …การล่า จบสิ้น

เขายกมือขึ้นและเหลือบมองนาฬิกาอีกครั้ง "เสียเวลาไปนานมาก คุณเจี่ยนรบกวนคุณนานมากแล้ว ต่อไป ก็ไม่ต้องพบกันอีก”

"ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ดังนั้น ถึงลงไปส่งคุณถึงข้างล่าง" เธอคิดอยู่พักหนึ่ง "คุณชายคาย์อัน ขอบคุณท่านมาก ยังมีอีก ท่านพูดผิดไปจุดหนึ่ง” เธอพูดอย่างนิ่งๆ

"พวกเราเป็นแค่คนแปลกหน้า จึงไม่มีคำว่า "ต่อไป" "

คำว่า ต่อไป เก็บไว้ให้สำหรับคนสำคัญ

เจี่ยนถงพูดจบ ลมหนาวพัดมา เธอก็เอาเสื้อผ้าห่อตัวเธอไว้แน่น แล้วหันไป ค่อยๆเดินเข้าไปในซอยข้างในตึก

ทันใดนั้น คาย์อันก็คว้าตัวเธอไว้ "คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง? อะไรเรียกว่า คุณก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ถึงมาส่งผมถึงข้างล่าง?”

คาย์อันยิ่งคิดเรื่องนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ คำพูดของเธอหมายความว่าอะไร?… ดูเหมือนว่า คนที่ขอเงินเขาเมื่อสักครู่คนนั้นไม่ใช่เธอ

เป็นเพียงแค่เอาหน้าอย่างไร้เดียงสา หรือว่า …

"คุณชาย ปล่อยมือของคุณออก การตัดสินใจของพวกเราเหมือนกัน ถ้างั้น จำเป็นต้องมาจี้ถามว่ามันหมายความว่าอะไรจากฉันด้วยหรอ?"

ความหมายว่าอะไรสำคัญด้วยหรอ?

ยังไง เธอก็ไม่อยากเจอเขาอีก ส่วนเขา ก็รู้สึกไม่จำเป็นต้องมาวุ่นวายกับตัวเธออีก

เช่นนี้แล้ว ต่างคนต่างยินยอม ความคิดเห็นก็เป็นไปในทางเดียวกัน มีอะไรไม่ดีล่ะ?

สำหรับ “ความหมายอะไร” สำคัญหรอ?“

“ ไม่ได้” ในใจคาย์อันรู้สึกแปลกๆ “คุณต้องพูดให้ชัดเจน ไม่งั้น คืนนี้คุณก็อย่าได้ขึ้นไปเลย”

ในใจเจี่ยนถงโกรธเป็นไฟ คนคนนี้รู้สึกจะทำตามอำเภอใจมากเกินไปแล้ว

“ คุณไม่พูดก็ไม่เป็นไร ผมมีเวลามากพอที่จะตามคุณ อย่างมากก็ตามถึงพรุ่งนี้ตอนคุณไปทำงาน ถึงเวลานั้นคุณยังไม่พูด งั้นก็ไม่ต้องไปทำงาน”

ความรำคาญพุ่งขึ้นในใจ เจี่ยนถงเงียบไปสักพัก ในใจรู้สึกได้ว่า ถ้าหากไม่พูดละก็ คนคนนี้คงทำแบบนี้จริงๆ

“เมื่อสักครู่ก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรอ ห้าล้านสำหรับฉัน สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของฉันอีก” เธอพูดว่านุ่มนวล “แต่ว่าถึงจะสำคัญขนาดนี้ ถึงแม้คุณชายคาย์อันยินยอมให้เงินห้าล้านที่สำคัญกว่าชีวิตของฉันก็เถอะ ฉันก็ไม่อยากให้ท่านมาแตะต้องแผลของฉัน

ไม่เพียงแค่ท่าน ใครก็แตะไม่ได้!

ดังนั้นฉัน รู้ว่าจะไม่ยอมพบคุณชายคาย์อันอีกแล้ว ส่งท่านลงไป เพื่อบอกลาท่าน ขอบคุณเงินของท่าน ยังมีท่าน…เคยกินบะหมี่ต้นหอมของฉัน”

ถ้าหากไม่ใช่คาย์อัน บางทีบะหมี่ต้นหอมชามนี้ ชีวิตนี้ก็ไม่มีใครมาชิม… เธอแค่ทำหน้าที่ แทนคนคนนั้น แต่ก็มีคนเคยชิมแล้วกับครั้งหนึ่งเพื่อคนคนนั้นแล้วเธอถึงฝึกทำบะหมี่ต้นหอม

“ขอบคุณนะ…ทุกครั้งที่คุณกินบะหมี่ชามนั้นจนหมดไม่เหลือแม้แต่เส้นเดียว ขอบคุณนะ… มันมีร่องรอยของการดำรงอยู่เสมอ”

เธอดึงฝ่ามือใหญ่ ที่วางอยู่บนแขนของเธอลง เอวค่อมหลังค่อม มือจับราวบันไดขึ้นไปบนตึก

ปล่อยให้คาย์อันอยู่ข้างล่าง สีหน้าเปลี่ยนไปมาก

เธอ … บอกว่าห้าล้าน ความหมายคืออย่างนี้?

ที่แท้ตัวเองเข้าใจผิด?

ถ้าหากคำพูดนี้เปลี่ยนเป็นคนอื่นพูด คาย์อันไม่เชื่อแน่นอน จะรู้สึกว่าคนอื่นกำลังเล่นลิ้น แต่เปลี่ยนเป็นเธอ เป็นผู้หญิงคนนี้ ในใจคาย์อันพูดไม่ออกว่ามีความรู้สึกยังไง

ทันใดนั้น เขาก้าวขาที่เรียวยาว เหมือนลมพัด ไล่ทันเจี่ยนถงที่กำลังขึ้นบันได เขายืนอยู่ข้างล่างบันไดของเจี่ยนถง เขายื่นมือมา จับคอเธอไว้

ถึงแม้ว่าคาย์อันจะยืนต่ำว่าเจี่ยนถง หนึ่งขั้น แต่เขายืนอยู่ข้างหลังของเจี่ยนถง ก็ยังสูงกว่าเจี่ยนถง

แขนที่แข็งแรงและเรียวยาว รัดเจี่ยนถงไว้แน่น ทันใดนั้น ไหล่ของเจี่ยนถงทรุดลง คาย์อันก้มหน้าลงพอดี เอาศีรษะแนบเข้าไปที่ข้างหูของ เจี่ยนถงและพูดอย่างอันตรายว่า

“ พูดมากไปจะเสีย ตอนสุดท้ายคุณไม่ควรตอบผม ทำให้ผมยิ่งมีความรู้สึกกับคุณ… ”

เจี่ยนถงเงียบ "มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน"

“คุณเจี่ยน… จริงๆแล้วคุณเป็นคนที่เย็นชามาก”

เจี่ยนถงเงียบและไม่โต้แย้ง

มีหรอว่าเธอจะไม่รู้ว่าเธอเป็นคนเย็นชา…ใครสามารถอยู่ในสถานที่ที่ยื่นมือไปก็ไม่เห็นแสงดวงอาทิตย์ เป็นเวลาสามปี ยังจะมีรักที่ร้อนแรงได้อีกหรอ?

อยู่ในสถานที่แบบนั้น ยุ่งเรื่องมาก ก็จะเป็นการทำร้ายตัวเอง อย่างเช่น…อาลู่ก็เพราะว่ายุ่งเรื่องเธอ อายุยังน้อยยังไม่ทันเบิกบาน หนึ่งชีวิตของเขาก็ต้องจบลง

“คุณชายคาย์อันอย่าเจอกันอีกเลย”

เธอยื่นมือเพื่อผลักเขาออกไป แต่เธอก็รู้สึกได้ว่าเธอหันไปอย่างยากลำบาก วินาทีต่อมา คาย์อันก็เอามือทั้งสองข้างของเจี่ยนถงไปไขว้ไว้ข้างหลัง

"คุณกำลังจะทำอะไร!"

คำตอบที่ตอบเจี่ยนถงก็คือ คาย์อันยื่นมืออีกข้างหนึ่ง มือที่เรียวยาวของเขาเสยผมบนแก้มเธอออก

หัวใจของเจี่ยนถงเต้นตึกตัก เบิกตาโตคู่นั้น "หยุดนะ! หยุดนะ!"

แต่ไม่ว่าเธอจะต่อต้านขนาดไหน มือทั้งสองข้างของเธอถูกคาย์อันจับไขว้หลังไว้ เสียงคาย์อัยที่เหมือนแม่เหล็ก พูดหยอกล้อว่า “อย่าขยับ คุณหนีไม่พ้นหรอก”

บทที่ 81 ขอแค่ได้ล่าเหยื่อ ไม่มีหัวใจ

มือนั้นได้เปิดผมที่หน้าผากเธอออก ถึงเธอจะโง่ แต่ก็รู้ว่าคนคนนี้อยากทำอะไร!

“คุณคาย์อัน คนอย่างคุณไม่รู้จักเคารพความปรารถนาของคนอื่นหรือไงคะ?”

“คน?”ริมฝีปากบางของคาย์อันขยับเล็กน้อย “คุณพูดเองไม่ใช่หรอครับ คุณเป็นผู้หญิงขายตัวที่สามารถทำเพื่อเงินได้ทุกอย่าง

ถึงผมจะไม่ใช่คนจีน แต่ก็เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งของประเทศของคุณ คิดเป็นผู้หญิงขายตัวแล้ว ก็อย่าทำเป็นสูงส่งถือตัวไปเลย ผมพูดถูกหรือเปล่าครับ?”

หึ~

เจี่ยนถงรู้สึกแน่นที่หน้าอกทันที แล้วแอบเยาะเย้ยตัวเองในใจ……เธอมันใจอ่อนเกินไป ขนาดผู้หญิงขายตัวเธอยังยอมเป็นแล้วเลย ยังจะทำเป็นห่วงตัวไปทำมากัน

และมือที่ถูกค่อยไว้ด้านหลังกลับกำจนแน่น ฝ่ามือถูกเล็บทิ่มจนทะลุเป็นแผล เวลานี้กลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บเลย

“ที่ไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่ตรงนี้”เธอจ้องตาเขาอย่างแข็งข้อด้วยตาที่แดงก่ำโดยไม่กะพริบตา“ไม่ได้ก็คือไม่ได้”

“ถ้าผมจะเอาให้ได้ล่ะ?”

เจี่ยนถงหลุบตาลง ไม่พูดอะไร……เวลานี้ คาร์อันรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ส่องแสงประกายไปทั้งตัว……บนโลกนี้ ทำไมยังมีผู้หญิงแบบนี้อยู่อีก!?

ทั้งตัวเผยให้เห็นความรู้สึกต่ำต้อย แต่กลับกันอีกมุมก็ทะนงตัวอย่างมาก อะไรกันแน่ที่ทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงแบบนี้ ?

วินาทีก่อนหน้านี้ ยังรู้สึกว่าเธอมันน่าเบื่อ เชยมาก ไม่มีความเป็นผู้หญิงเลย แต่ต่อมา คุณกลับเห็นจุดเด่นบนตัวเธอ และขณะเดียวกันก็ทำให้คนไม่อาจล้าสายตาได้

ริมฝีปากค่อยๆแตะลงที่แผลเป็นนั้น คาร์อันรู้สึกถึงร่างของผู้หญิงที่กลัวจนแข็งทื่อได้อย่างชัดเจน และผิวที่ใต้ริมฝีปากของเขาก็เกร็งไปด้วย……แผลนี้ได้มายังไงกันแน่?

แล้วใครเป็นคนทำ…จะดีแค่ไหน …ถ้า ถ้าเขาก็สามารถสร้างบาดแผลไว้บนตัวเธอโดยที่เธอก็ไม่อาจลืมเลือนได้ และไม่ยอมให้ใครแตะถึงมัน

มือที่กำไว้ของเจี่ยนถงยิ่งแน่นขึ้น เล็บทิ่มเข้าไปฝ่ามืออย่างลึก จนก็มีเลือดไหลออกหยดลงพื้น……ทีละหยดทีละหยด

ในที่สุด คาร์อันก็ยอมปล่อยเจี่ยนถงออก

“เพียะ!”

เสียงตบหน้าที่ชัดแจ๋วในยามค่ำคืนที่ในตึกดังขึ้นมาทีหนึ่ง ชัดเจนเป็นพิเศษ

จนคาร์อันหันหน้าไปอีกทาง นานสักพัก ถึงยกมือมาจับที่หน้าอย่างช้าๆ ด้วยท่าทีที่ไม่อยากจะเชื่อ “ซี้ด~”

“คุณตบได้แรงดีนะ”

มือเจี่ยนถงยังคงสั่นไม่หยุด แต่ตาคู่นั้นกลับดูหนักแน่นไม่เปลี่ยน แถมมีความรู้สึกสะใจที่ได้แก้แค้น “คุณคาย์อันเป็นคนชอบโรยเกลือบนบาดแผลของคนอื่นงั้นเหรอคะ ตอนนี้คงรู้แล้วใช่มั้ยคะ บาดแผลที่ถูกโรยเกลือแล้วมันจะเจ็บ”

พูดจบ เธอไม่สนใจเลยว่าคาย์อันจะมีท่าทียังไง ลากขาแล้วเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างโมโห

คาย์อันยืนอยู่ที่บันไดไม่ได้ตามเธอไป แล้วใช้มือจับหน้าที่ถูกตบจนเจ็บ แต่ตาคู่นั้นกลับมีแสงประกายวับขึ้นมา ใช้สายตาส่งเธอจนหายไปจากสายตาของเขา

เขาเดินลงไปชั้นล่างแล้วได้เดินออกไปนอกโครงการ ไปขึ้นรถสปอร์ตที่จอดอยู่ริมถนน รู้สึกว่าหน้าแสบร้อนไปหมด

เขาจับหน้าอีกครั้ง“ซี้ด~”ขึ้นทีหนึ่ง“เจ็บจัง”

หยิบมือถือขึ้นมาแล้วโทรหาลู่เชนโดยตรง โดยที่ไม่สนใจเลยว่าตอนนี้มันกี่โมงแล้ว

“นายรู้มั้ยว่าตอนนี้มันกี่โมง?”ปลายสายมีเสียงอารมณ์ไม่พอใจถามมา

คาย์อันเอาแต่พูดอยู่คนเดียว โดยที่ไม่สนใจเขาพูดอะไรเลย

“ฉันถูกตบมา”

“อีกฝ่ายคือใคร?มีกันกี่คน นายจัดการไหวมั้ย?”ระหว่างที่พูด ปลายสายก็มีเสียงคนกำลังสวมเสื้อดังมา

“แค่คนเดียว”

“คนเดียว?”ลู่เชนยกมือถือไว้แล้วขมวดคิ้วขึ้น……ใคร?ที่สามารถเอาชนะคาย์อันได้เพียงลำพัง ในเมืองS ลู่เชนพยายามนึกคิดคนที่อยู่ในหัวของเขาเกือบทุกคนในใจอยู่นาน ลังเลพักหนึ่ง “……เสิ่นซิวจิ่น?”

ไม่ใช่เขาดูถูกคนอื่นๆหรอกนะ เรื่องต่อยตีกันไม่เพียงแค่ดูพละกำลังอย่างเดียว ยังต้องดูอิทธิพลเบื้องหลังคนคนนั้นด้วย

อิทธิพลฐานะของคาย์อันรู้ๆกันอยู่ และฝีมือการต่อสู้ของเขาก็ดีเลิศ

คนที่จะเอาชนะเขาได้ต้องมีเบื้องหลังที่แน่นด้วย

“ไม่ใช่ ฉันถูกตบหน้ามา”

“……”ตบ……หน้า?ฟังยังไงก็ไม่เหมือนการมีเรื่องกันระหว่างผู้ชาย “……ใครตบ?”ลู่เชนแอบรู้สึกประหลาดในใจ

“เหยื่อ ก็เหยื่อที่ฉันเคยบอกนายคนนั้นไง อาเชน ฉันรู้สึกว่ายิ่งอยู่ฉันก็ยิ่งสนใจเหยื่อคนนี้แล้วหว่า ถ้าหาก……ถ้าหากฉันสามารถสร้างบาดแผลที่ไม่อาจลบเลือนและไม่อาจจับต้องไว้บนตัวเธอ……”

ยังไม่ทันจะพูดจบ ก็ถูกลู่เชนขัดคอขึ้นมา

“คาย์อัน นายรู้ว่านายกำลังทำอะไรอยู่มั้ย!”ลู่เชนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “นายกำลังเล่นกับไฟอยู่นะ!”

“เอาล่ะ ฉันต้องขับรถแล้ว แค่นี้ก่อน”

“นายรีบวางมือซะ ได้ยินมั้ย รีบ……”ลู่เชนพูดยังไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง“ตู๊ดๆๆ——”เสียงถูกตัดสาย

เขาโยนมือถือในมือลงบนเตียงอย่างแรง

เหยื่องั้นเหรอ?

แค่เหยื่อคนเดียวจริงเหรอ?

แค่เหยื่อคนเดียว จะทำให้คาย์อันผิดแปลกจากเดิมมากขนาดนั้นเชียว?

อย่างน้อย เขาไม่เคยเห็นคาย์อันผิดปกติแบบนี้มาก่อน กับแค่“เหยื่อ”คนเดียว!

“แม่ง~!”ลู่เชนด่าแรงขึ้นมาคำหนึ่ง แล้วหยิบมือถือขึ้นมาใหม่ ส่งข้อความให้คาย์อัน นายรีบวางมือซะ!อย่ากลายเป็นเหมือนฉันอีกคน!

คาย์อันกำลังผ่านไฟแดงแล้วเปิดข้อความขึ้นมาอ่านพอดี หลังเห็นข้อความแล้ว ก็ยิ้มขึ้นอย่างเยาะเย้ยจางๆ “วางมือ?เหยื่อยิ่งอยู่ยิ่งน่าสนใจ เป็นไปได้ไงให้วางมือ?”

สำหรับคำพูดของลู่เชนที่ว่า“อย่ามากลายเป็นเหมือนฉันอีกคน”คาย์อันยิ่งไม่เอามาใส่ใจเลยแม้แต่นิด

ลู่เชนคือลู่เชน เขาก็คือเขา ลู่เชนเป็นคนมีหัวใจ แต่เขาไม่มี

กดปุ่มๆหนึ่ง หลังคารถก็ถูกเปิดออก ความเร็วรถขนาดนี้ ลมพัดมาด้วยความเร็ว บนถนนที่วางเปล่าในตอนกลางคืน คาย์อันตะโกนขึ้นในท่ามกลางถนนที่ว่างเปล่ากับสายลมที่พัดมา

Just Only Game!

คาย์อัน เฟโรกิเอาแค่เหยื่อ มีแต่เกม ไม่มีหัวใจ!

ลมแรงพัดผ่านเหนือศีรษะจนผมเขายุ่งเหยิง……แต่ก็ไม่เป็นไร

……

เจี่ยนถงเห็นเขาที่หน้าประตูหอพักของตัวเองอีกครั้ง

“บอกแล้วไงว่าอย่ามาอีก ไม่ต้องเจอหน้ากันอีก” เธอเครียดจนปวดหัวเพื่อเรื่องเงินในช่วงนี้มากแล้ว รู้สึกว่าสมองตัวเองคงมีปัญหาแน่ ที่วันนั้นมีนายทุนเงินหนายืนอยู่ทั้งคนไม่เอา ตอนที่ตัวเองตกยากลำบากแบบนี้ กลับไปขับไล่คนที่สามารถให้เงินเธอที่มีอยู่หนึ่งเดียวไปด้วยตนเอง

เธอรู้สึกว่าแผลที่ตรงหน้าผากเริ่มเจ็บอีกแล้ว

“หิวแล้ว”น้ำเสียงของคาย์อันดึงดูดและเรียบง่าย หยิบเช็กห้าแสนใบหนึ่งยื่นมาตรงหน้าของเจี่ยนถง ถามอย่างยุยง “แน่ใจนะว่าคุณจะปฏิเสธไม่เอาจริงๆ?หวงศักดิ์ศรียอมตายว่างั้น?”

“คุณยังขาดเงินอยู่ห้าล้านถูกมั้ย?เงินห้าล้านนี้สำคัญต่อคุณมาก?สำคัญกว่าชีวิตตัวเอง?คุณแน่ใจนะ ว่าจะไม่ลองคิดดูใหม่?”พอตอนที่คาย์อันพูดแบบนี้แล้ว เจี่ยนถงแอบหวั่นไหวนิดๆ

“อันที่จริง……ถึงผมอยากจะจับแผลของคุณแล้วไง คุณสามารถหลบได้หนิ แค่คุณหลบครั้งหนึ่ง ผมก็จะไม่แตะมันอีก”

นี่คือการแลกเปลี่ยน

มันไม่มีคำว่ายุติธรรมหรือไม่ยุติธรรมไม่ว่ากับใครก็ตาม

คาย์อันต้องการความสุขจากกันที่ได้ไล่ล่าเหยื่อ

ส่วนเจี่ยนถงต้องการเงิน

“อันที่จริง คุณก็น่าจะรู้ดี ไม่ว่าคุณจะตกลงหรือไม่ก็ตาม ผมก็สามารถทำให้คุณยอมอ่อนข้อจนได้ ไม่รอคุณที่นี่ ผมก็สามารถไปเจอคุณที่ตงหวงได้เหมือนกัน”

คนต่ำช้า!เจี่ยนถงโกรธจนลุกเป็นไฟ!

บบที่ 82 ความเปลี่ยนแปลงของเจี่ยนถง

ถึงเจี่ยนถงจะโมโหมาก แต่ก็เข้าใจเรื่องๆหนึ่ง——ที่คาย์อันพูดมันถูก

เธอก้มหน้าเอาไว้ และคาย์อันไม่ได้เร่งเธอ

นานพักใหญ่ เธอถึงเงยหน้าขึ้น “ฉันยังมีคำขออีกข้อ คุณห้ามใช้กำลังบังคับฉัน ไม่อย่างนั้น ฉันไม่มีทางหลบพ้นอย่างแน่นอน ข้อนี้ คุณคาย์อันน่าจะรู้ดีนะคะ”

“ได้”

คาย์อันรับปากอย่างเต็มปาก ตาสีน้ำตาลสั่นไหวอย่างรวดเร็ว……เจ้าทึ่ม ไม่ใช่ว่ารับปากไม่จับแขนเธอเอาไว้ ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่ใช้กำลัง

แค่เฉพาะเรื่องความเร็ว เขาก็เร็วกว่าเธอหลายเท่าแล้ว

เจี่ยนถงมองหน้าคาย์อันที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความสงสัย รู้สึกว่าเขารับปากเธอไปอย่างเต็มปากแล้วรู้สึกแปลกๆ แต่มาคิดทบทวนคำพูดที่เมื่อกี้พูดไปก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร

“หิวแล้ว”

“เข้ามาเถอะค่ะ”เปิดประตูหอเสร็จ เจี่ยนถงก็เข้าไปทำอาหารในครัวเหมือนปกติที่ผ่านมา

คาย์อันนั่งอยู่ที่นั่งประจำอย่างเคยชิน มองผู้หญิงที่คอยยุ่งอยู่ในครัว

เหมือนเดิมเช่นเคย เธอยกบะหมี่มาถ้วยหนึ่ง แล้วเขาก็ทานจนหมดเกลี้ยง

หลังทานเสร็จ เขาหยิบผ้าออกมาเช็ดปาก ท่าทางนั้นดูสง่าเป็นผู้ดีมาก ระหว่างทั้งสอง ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ ยังไม่ได้พูดคุยอะไรเลย ไม่มีใครพูดอะไร แต่ทั้งหมดนี้ กลับดูกลมกลืนอย่างบอกไม่ถูก ราวกับภาพเหตุการณ์เหล่านี้ เคยเกิดขึ้นซ้ำๆมาแล้วไม่รู้จบ

และเวลานี้ ใบหน้าของเจี่ยนถงก็เผยให้เห็นถึงความระแวงออกมา

เธอไม่ได้พูดอะไร แต่ตาคู่นั้นจ้องคาย์อันโดยไม่ขยับไปไหน ยืนห่างจากเขาระยะไกลเลย

ทันใดนั้น คาย์อันก็ลุกขึ้น หันไปมองผู้หญิงที่มีสีหน้าระแวงคนนี้ “คุณไม่ไปส่งผมหน่อยหรอครับ?”

“ไม่ละค่ะ คุณคาย์อันตอนไปก็ช่วยปิดประตูให้ทีนะคะ”

“โดยปกติแล้วอาชีพของพวกคุณก็คือคอยบริการต้อนรับเอาใจลูกค้าไม่ใช่หรอครับ?แล้วนี่แค่ไปส่งลูกค้าหน่อย ไม่ใช่หน้าที่พื้นฐานที่ควรมีหรอครับ?หรือว่าคุณเจี่ยนถงคิดว่านี่มันเวลาเลิกงานกลับมาถึงห้องแล้ว และไม่ได้อยู่ในตงหวงแล้ว เลยคิดว่าผมไม่ใช่ลูกค้าของคุณแล้วงั้นหรอครับ?

หรือไม่งั้นผมคงต้องคิดดูหน่อยละ ว่าพรุ่งนี้ไปหาคุณเจี่ยนถงที่ตงหวงจะดีมั้ย”

นี่เขาขู่เธออีกแล้ว!

ต่ำช้าๆ ต่ำช้าสุดๆ!

เจี่ยนถงเกลียดผู้ชายที่ชื่อคาย์อันคนนี้เข้าไส้ ทุกครั้งที่เจอกัน เขาก็สามารถทำให้เธอยิ่งรู้สึกเกลียดเขาเข้าไปอีก“คุณคาย์อันพูดถูกค่ะ ฉันจะเสียมารยาทกับแขกไม่ได้ คุณคาย์อันคะ เดี๋ยวฉันไปส่งคุณค่ะ”

เจี่ยนถงพูดไปด้วยและระหว่างนั้นก็เดินไปด้วย แต่ตาคู่นั้นจ้องผู้ชายที่อยู่ข้างกายอย่างระแวงไม่ขยับเลย ใครจะไปรู้ว่าคนคนนี้ป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่ ถึงได้ชอบจูบแผลของคนอื่น……เอ่อ ไม่ใช่สิ คนอย่างเขาชอบโรยเกลือบนแผลของคนอื่นมากกว่า แถมยังพูดอย่างดิบดี“นี่คือช่วยรักษาเธอ”!

“คุณเจี่ยนถง คุณปล่อยตัวให้ตามสบายเถอะครับ วันนี้ผมเหนื่อยมาก ผมรับรองกับคุณได้ว่าจะไม่ไปแตะแผลบนหน้าผากนั้นของคุณหรอกนะครับ”

เจี่ยนถงดูจะเชื่อไม่เชื่อ แต่ผู้ชายคนนั้นพูดซะทำหน้าจริงจังมาก

“ผมเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นนะครับ ไม่โกหกคุณแน่”

เจี่ยนถงมองใบหน้าอันหล่อเหลานั้น บนหน้าใบเต็มไปด้วยความจริงจัง ไม่มีความเจ้าเล่ห์แม้แต่นิดให้เห็น ค่อยยังรู้สึกโล่งใจ“คุณคาย์อันคะ ลา……ก่อน……”

ทันใดนั้น สีหน้าของเจี่ยนถงก็เปลี่ยนในทันที!

“คุณเมื่อกี้เพิ่งพูด……”

“ผมเพิ่งพูดเมื่อกี้ว่าวันนี้ผมจะไม่แตะแผลที่หน้าผากของคุณ?”

“ใช่!”

เจี่ยนถงจับหน้าผากตัวเอง จ้องผู้ชายตรงหน้าด้วยอารมณ์โกรธ……ทำไมคนคนนี้พูดจาไม่ลืมหูลืมตาอย่างนี้?

รับปากเธอแล้ว ก็มากลับคำ?

“คำพูดแบบนี้ คุณก็เชื่อเหรอ?นั้นก็แปลว่าคุณมันโง่เอง ทำไมผมต้องมาใกล้ชิดคุณ……หรือว่าคุณไม่รู้?”

คาย์อันพูดอย่างหน้าตาเฉยแล้วแบมือ ทำหน้าเหมือน“คุณมันโง่เองที่ถูกหลอกง่ายๆ ผมช่วยอะไรได้”แล้วทำท่าจนปัญญา

เจี่ยนถงรู้สึกคันไม้คันมือและคันปากเต็มทน แถมใบหน้าที่อยู่ตรงหน้า เห็นแล้วก็อยากจะตบใส่

“เอาล่ะ”จู่ๆ คาย์อันก็ยื่นมือตบเบาๆที่หน้าผากของเจี่ยนถง “นี่ก็ดึกมากแล้ว พักผ่อนเช้าๆเถอะนะ เจอกันคืนพรุ่งนี้”

พูดจบ ก็เดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผย

คาย์อันอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก

ผู้หญิงคนนี้……ยิ่งอยู่ยิ่งมีชีวิตชีวาขึ้นมาทุกทีแล้ว

ตอนเจอเธอครั้งแรก อย่างกับศพที่มีลมหายใจอยู่อย่างไรอย่างนั้น

……

หลังจากหลายวันต่อจากนี้ ตอนที่เจอคนคนนี้ที่หน้าหอตัวเองในทุกๆคืน ก็รู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา อารมณ์เสียทุกที

ท่องจำไว้ต้องไม่ยอมแพ้ แพ้แล้วก็สู้ใหม่

ในระหว่างที่เวลาผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว แผลนั้นก็เหมือนไม่ได้เซนซิทีฟเหมือนตอนแรกๆแล้ว

และเหมือนกับว่าตอนที่ริมฝีปากของคนที่ชื่อคาย์อันจูบลงที่แผลนั้น ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

แต่ในความเจ็บปวดนี้ เจี่ยนถงก็สามารถกัดฟันทนและยอมรับมันกับการที่ถูกคนโรยเกลือลงบาดแผลของตัวเอง แล้วจ้องคาย์อันกลับด้วยสายตาโกรธ

“ฮ่าๆๆ……โง่จัง คุณเจี่ยนถงครับ คุณทำไมถึงได้โง่ขนาดนี้ เรื่องแบบนี้ คุณก็ยังเชื่อ!”

เจี่ยนถงสูดหายใจเข้าลึก ลืมตาโตแล้วจ้องตาเขาอย่างโมโห “คุณทำตัวเองเลือดเลอะทั้งตัว!แถมบอกว่าถูกคนลอบทำร้ายจนบาดเจ็บ มานอนอยู่หน้าหอฉันทั้งที่เลือดท่วมตัวแบบนี้ ฉันคิดว่าเป็นใครๆก็ต้องเชื่อแหละค่ะ

ใครจะบ้าไปสาปแช่งตัวเองให้ตายไวๆ?”

เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายที่ชื่อคาย์อันคนนี้ เพื่อที่จะให้เธอไปใกล้เขา ถึงขั้นจัดฉากใหญ่โตแบบนี้มาหลอกเธอ

แถมยังเตรียมอุปกรณ์มาครบถ้วน

“ใครให้คุณโง่เองล่ะ ช่วยไม่ได้”คาย์อันลุกขึ้นมาปัดฝุ่นที่ก้นออก “บะหมี่ล่ะ ?ผมหิวแล้ว”

เจี่ยนถงเดินเข้าไปในครัวด้วยอารมณ์โมโห ถ้วยบะหมี่วันนี้ที่เธอทำ เธอตั้งใจใส่พริกลงไปสองช้อน

“ซี้ด~คุณตั้งใจจะฉันผมเผ็ดตายรึไง!”

“ต้องขอโทษจริงๆเลยนะคะ คุณคาย์อัน เมื่อกี้ฉันคงหยิบเครื่องปรุงผิดไป เลยใส่พริกไปสองช้อน ต้องขออภัยด้วยนะคะ”

คาย์อันหรี่ตามองเจี่ยนถงทีหนึ่ง จากนั้น ก็กินทีละคำๆภายใต้สายตาจับจ้องของเธอ กินบะหมี่จนหมดเกลี้ยงกินไปด้วยและเหงื่อแตกไปด้วย

“กินหมดละ ผมไปก่อน”วางถ้วยชามไว้ คาย์อันก็ลุกเดินออกไปทางประตู

เจี่ยนถงมองดูถ้วยที่ไม่เหลืออะไรเลย……รู้สึกแอบตกใจทีหนึ่ง……กินหมดเลยหรอ

“คุณ……”เธอดูออกว่าเขากินเผ็ดไม่ได้ แต่บะหมี่เผ็ดขนาดนี้ ทำไมเขาถึงยังกินจนหมด

เธออยากจะถาม แต่สุดท้าย ก็ไม่ได้ถาม

……

ยังมีเวลาอีกสองวันก่อนถึงเวลากำหนดหนึ่งเดือน เจี่ยนถงนำเช็กที่คาย์อันให้มาในช่วงนี้เก็บรวบรวมไว้ในลิ้นชักของซูเมิ่งทั้งหมด

“เขาอีกแล้วเหรอ?”

ซูเมิ่งตกตะลึงอย่างมาก “เยอะขนาดนี้เลยเหรอ?”เธอเงยหน้าขึ้นมาทันที “เจี่ยนถง เธอทำอะไรกันแน่?”

เช็กใบละห้าแสน มีทั้งหมดห้าใบนี้รวมเป็นเงินสองล้านห้าเลยนะ บวกกับก่อนหน้านี้ที่เก็บสะสมมา มีสามล้านห้าได้แล้ว

“เจี่ยนถง เธอ……ผู้ชายที่ชื่อคาย์อันคนนั้นทำอะไรกับเธอ……ใช่มั้ย”

“เปล่านะคะ พี่เมิ่ง ไม่ใช่ค่ะ”เจี่ยนถงพูดขัดจังหวะซูเมิ่ง “เหลือเวลาอีกแค่สองวันแล้วพี่เมิ่ง คุณคาย์อันให้ฉันวันละห้าแสน ถึงเวลานั้น ฉันก็ยังขาดอีกห้าแสนอยู่ดี ฉัน……ยังมีวิธีอื่นอีกมั้ยคะ?”

หน้าผากของซูเมิ่งเหงื่อแตก ตอนได้ยินเจี่ยนถงพูดว่าคนที่ชื่อคาย์อันให้เธอวันละห้าแสน……เธอทำอะไรลงไปกันแน่?

ให้ตายยังไงซูเมิ่งก็ไม่เชื่อ แค่บะหมี่ถ้วยเดียวเขาจะยอมจ่ายห้าแสนเนี่ยนะ?

เธอหรี่ตามองเสี่ยวถงที่อยู่ตรงหน้า “เสี่ยวถง ระหว่างเธอกับเขามีข้อตกลงอะไรกันแน่?”

เจี่ยนถงตกใจ รีบเงยหน้าขึ้นมามองซูเมิ่ง……ซูเมิ่งเห็นท่าทีของเธอแล้ว ก็พอแน่ใจได้แล้ว……เห็นทีเธอเดาถูกแล้ว

เจี่ยนถงรู้ว่าปิดบังซูเมิ่งไม่ได้แน่ คิดๆแล้วเธอก็ยอมพูดกับซูเมิ่งทั้งหมด

แต่กลับทำให้ซูเมิ่งยิ่งเป็นห่วง

“เห็นชัดว่าคนที่ชื่อคาย์อันคนนี้เขาเห็นเธอเป็นแค่ของเล่นนะ ในสายตาเขา เธอก็แค่เป็นเหยื่อตัวหนึ่งของเขา เจี่ยนถง เธอเข้าใจมั้ย เขาอยากจะทำกับเธอยังไง เขาก็ทำ ทำไมเธอถึงไม่ยอมฟังที่ฉันพูดเลย!”

บทที่ 83 ถูกดึงขึ้นมาจากนรกกลับมาสู่โลกแล้วถูกผลักลงกลับไปอย่างโหดร้าย

“เสี่ยวถง เธอเปลี่ยนไปแล้ว”

สีหน้าของเจี่ยนถงอึ้งไปครู่หนึ่งอย่างสังเกตไม่ออก “พี่เมิ่งคะ……”

“เสี่ยวถง เธอไม่เคยสังเกตเลยเหรอ?อารมณ์และสีหน้าของเธอไม่ได้ตายด้านเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ เมื่อก่อน บนหน้าเธอ ฉันเห็นแต่ร่างที่ไร้วิญญาณ”ซูเมิ่งมองหน้าเจี่ยนถง “แต่ตอนนี้ เธอทำให้ฉันรู้สึกว่า เหมือนเธอมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง”

เจี่ยนถงกำลังอ้าปากอยากจะพูด

“เสี่ยวถง เขาคือใคร คนที่ทำให้เธอมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง ใช่คนที่ชื่อคาย์อันรึเปล่า?”สีหน้าของซูเมิ่งกลับไม่ได้รู้สึกดีใจกับเธอ และสีหน้าก็ดูน่าเกรงขามขึ้นมาทันที แล้วต่อว่าเจี่ยนถงด้วยอารมณ์โกรธ

“แต่เขาไม่หวังดีกับเธอนะ!”

แล้วนี่เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องดีงั้นเหรอ?

การเปลี่ยนแปลงของเจี่ยนถงอยู่ในสายตาเธอมาตลอด แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ เกิดจากผู้ชายที่ตั้งใจเข้ามาใกล้ชิดเจี่ยนถงโดยที่ไม่ได้หวังดีกับเธอตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

เจี่ยนถงเงียบไม่พูดอะไร

ซูเมิ่งถอนหายใจเครียดออกมาทีหนึ่ง “เสี่ยวถง รับปากกับพี่เมิ่งได้มั้ย อย่าไปเจอเขาอีก วันนี้ พี่เมิ่งจะย้ายเธอไปหอใหม่ให้เอง”

“ไม่เอานะคะ!”เจี่ยนถงรีบเงยหน้าตะโกนออกมาทันที แต่พอเธอตะโกนออกมาก็เห็นแววตาที่ผิดหวังของซูเมิ่งที่มองเธออยู่ และกำมือไว้จนแน่น

“พี่เมิ่งคะ ฉันไม่อยากย้ายหอนะคะ ฉันรับปากกับพี่ ขอแค่ได้เงินมาครบห้าล้าน ฉันจะไม่ไปเจอหน้าคนคนนั้นอีก”

ซูเมิ่งรู้สึกเสียใจที่เธอไม่เอาไหน แล้วกัดฟันพูดขึ้นมา “เจี่ยนถง เธออย่ามาเสียใจภายหลังแล้วกัน!”เธอจ้องหน้าเจี่ยนถงด้วยอารมณ์โมโห แล้วพูดอย่างเกลียดชัง ซูเมิ่งเดินออกจากออฟฟิศโดยตรง โดยไม่มองหน้าเจี่ยนถงอีกเลย

เจี่ยนถงยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานตัวคนเดียว ฟังเสียงซูเมิ่งที่ดังก้องอยู่ในหูอย่างเงียบซึม เธอรู้สึกขมปาก……แน่นอนว่าเธอรู้ว่าเป้าหมายที่คาย์อันพยายามใกล้ชิดเธอไม่ได้ธรรมดาแน่ ถึงเธอจะไม่รู้เหตุผลเพราะอะไรที่คาย์อันตั้งใจมาใกล้ชิดเธอ แต่เธอก็ดูออก

“แต่ฉันก็มีความโลภ ฉันก็อยากจะมีความรู้สึกอยากจะมีน้ำตาอยากจะมีเลือดเนื้อเหมือนคนอื่น”ที่คาย์อันมาใกล้ชิดเธอก็เพื่อมีวัตถุประสงค์อื่น เธอรู้ดี เธอควรจะอยู่ให้ห่างจากผู้ชายอันตรายคนนี้……แต่ว่าการปรากฏของเขา กลับทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เธอยังมีความรู้สึก

จากแผลที่ไม่เคยกล้าแตะ ตอนนี้ก็สามารถแตะต้องแผลนั้น……โดยที่ฝืนทนความเจ็บไว้ จากที่แม้แต่แตะยังไม่กล้า จนถึงตอนนี้กลับทนได้ที่ถูกแตะโดนมัน

แล้วคนคนนั้นล่ะ?จะสามารถค่อยๆจางหายไปในใจของเธอได้มั้ย ไม่ว่าจะความรัก ความแค้นหรืออะไรก็ตาม……จะสามารถลืมมันไปได้มั้ย เหมือนกับแผลบนหน้าผากของเธอ ที่กลายเป็นไม่มีความหมายอะไรเลย?

สำหรับคาย์อัน……เธอรู้ว่าเขาก็เหมือนยาพิษ แต่ถึงจะเป็นยาพิษ เธอก็จะกินมันเข้าไป ไม่ใช่ว่าเธอชอบหรือว่ารักหรอกนะ แค่เพราะว่า……เธอใช้ชีวิตอยู่ในนรกที่ไม่เห็นแสงเห็นตะวันมานานมากแล้ว และหัวใจของเธอก็เริ่มมีความโลภที่อยากจะใช้ชีวิตอยู่ใต้แสงตะวันเหมือนคนธรรมดาบ้าง

เธอรู้ว่าช่วงเวลานี้ ยิ่งอยู่เธอก็ยิ่งเหมือนคนมีชีวิตมีวิญญาณขึ้นมา ไม่ใช่ศพที่มีแค่ลมหายใจและเดินได้อีกต่อไป และเธอก็รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่ที่คาย์อันมารอเธอที่หน้าประตูหอทุกคืน และรอยจูบที่ฝากไว้บนหน้าผากตอนก่อนจากไปทุกครั้ง

เวลาที่กำหนดไว้กับเสิ่นซิวจิ่นใกล้เข้ามาแล้ว นับถอยหลังวันที่สอง คาย์อันก็มาหาเธอเหมือนปกติเช่นเคย ตอนที่เขาเตรียมตัวจะไปนั้น กลับถูกน้ำเสียงที่แหบพร่าเร่งรีบตะโกนเรียกให้หยุด “เดี๋ยวก่อนค่ะ”

“อืม?คุณยังมีธุระอะไรกับผมเหรอ?”

เขาหันมามองผู้หญิงที่เงียบซึมที่อยู่ด้านหลังของตัวเอง ถึงเธอจะไม่พูดอะไร แต่เรื่องกลุ้มใจในหลายวันนี้ เผยออกมาบนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้ถามเธอ รอให้เธอเป็นคนเปิดปากพูดเอง

“ฉัน……”เจี่ยนถงยืนอยู่ต่อหน้าของคาย์อัน ฝ่ามือมีเหงื่อออกเต็ม ความรู้สึกเหนอะหนะยิ่งทำให้เธอกระวนกระวาย

“คุณทำไมครับ?คุณเจี่ยนไม่เป็นไรครับ คุณพูดเลย ผมฟังอยู่”

ผู้ชายตรงหน้า ท่าทางสุภาพบุรุษและดูสง่างามมาก แต่ว่าเวลานี้ เจี่ยนถงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา อ้าปากขึ้นมา กลับพูดคำพูดที่วนเวียนอยู่ในหัวของเธอมานานไม่ออกสักที

“คุณเจี่ยนครับ ถ้าไม่มีอะไร วันนี้ผมรู้สึกเหนื่อยมากแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ”

พูดจบ คาย์อันก็หันเดินไป

จู่ๆก็ถูกคนดึงแขนเสื้อเอาไว้ เขาหลุบตาไปดู มือข้างหนึ่งกำลังดึงแขนเสื้อเขาเอาไว้ แล้วคาย์อันก็มองขึ้นมาตามแขน จู่ๆ!

หนังตาเขากระตุกเบาๆทีหนึ่ง

ผู้หญิงตรงหน้ามือข้างหนึ่งจับแขนเสื้อเขาเอาไว้ และมืออีกข้างเปิดผมที่หน้าผากของเธอออก เผยให้เห็นแผลเป็นที่น่าเกลียดนั้นออกมา แล้วหันหน้าไปด้านข้างโดยที่ไม่พูดอะไร

แต่ที่จริงแล้ว เธอแสดงความต้องการของเธอแล้ว

ตาสีน้ำตาลของคาย์อันหดตัวทีหนึ่ง สักพัก ริมฝีปากบางขยับ“คุณต้องการอะไร?”

น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ ถามขึ้นมาอย่างช้าๆ

สีหน้าของเจี่ยนถง ภายใต้แสงไฟในห้องดูซิดเซียวเล็กน้อย เธอหันหน้าไปด้านข้างอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่หันมามองหน้าคาย์อันเลย แต่ใช้มืออีกข้างรวบผมม้าขึ้นไป เผยให้คาย์อันเห็นอย่างชัดเจน

“ห้าแสน คุณคาย์อัน……ฉันอยากขอเบิกเงินห้าแสนของวันพรุ่งนี้ล่วงหน้าค่ะ”

คาย์อันเข้าใจความหมายของเธอแล้ว เธอต้องการใช้จูบนั้นแลกกับเงินล่วงหน้าห้าแสน

ทันใดนั้น คาย์อันก็หัวเราะ “Gameover คุณเจี่ยนครับ คุณหมดค่าแล้วในตอนนี้”

เมื่อเธอเป็นคนริเริ่มที่จะเลิกดื้อรั้นกับเขา เมื่อเธอยอมสยบเขาเอง“สิ่งที่มีค่าที่สุดในตัวคุณ ก็คือบาดแผลที่ใครก็ไม่อาจแตะต้องได้นี้ สิ่งที่น่าดึงดูดที่สุดก็คือนี่เหมือนกัน แต่ตอนนี้คุณเอามันมาแลกเงินกับผม มันก็ไม่สามารถดึงดูดผมได้อีก เพราะฉะนั้น คุณเจี่ยนถง เดิมที ผมยังคิดว่าคุณเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจมาก ที่แท้ ก็เหมือนคนอื่นๆทั่วไป”ใบหน้าอันงดงามของคาย์อัน มีสีหน้าประชดแว็บผ่าน “ทำให้คนรังเกียจสุดจะทน”

แม้แต่“ลาก่อน”คำเดียวคาย์อันก็ไม่ได้พูด แล้วหายไปในสายตาของเจี่ยนถง

แต่เจี่ยนถงไม่ได้รู้สึกกระทบจิตใจอย่างหนักจนเสียใจ

เธอยืนอยู่หน้าประตูอย่างเงียบซึม ลมหนาวที่ระเบียงทางเดินของตึกพัดมากระทบกับหน้าของเธอ ราวกับเธอไม่รู้สึกอะไรเลย……กับคาย์อันแล้ว เธอไม่ได้มีความรู้สึกรัก เธอกระทั่ง……สามารถเปิดปากขอขายตัวแลกเงินกับคาย์อัน แต่กลับไม่สามารถพูดกับเซียวเหิงได้

แต่ว่า……เจี่ยนถงจับที่หน้าผาก จู่ๆไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี สิ่งที่มีค่าที่สุดบนตัวเธอ กลับเป็นคนคนนั้นที่มอบให้กับเธอ

เธอมองดูรอบตึกที่ไม่มีใครเลย แล้วหัวเราะออกมาเบาๆทีหนึ่ง แล้วพูดกับตัวเอง “ถึงจะเป็นยาพิษ ฉันก็จะกิน เพราะยาพิษนี้ สามารถทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันยังมีชีวิตอยู่ใต้แสงตะวันได้ชั่วครู่”

เจี่ยนถงรู้สึกขอบคุณคาย์อัน เขาเป็นคนช่วยดึงเธอขึ้นมาจากนรก แล้วหลังจากนั้น ก็ผลักเธอลงไปนรกอีกครั้งอย่างโหดร้าย

เธอพูดอยู่ในใจว่าไม่เป็นไร

เธอโลภเอง ทั้งๆที่ชาตินี้เธอควรใช้ชีวิตอยู่แต่ขุมนรก กลับเพ้อฝันคิดว่าตัวเองจะได้ใช้ชีวิตภายใต้แสงตะวันจริงๆ

รู้ทั้งรู้ว่าคาย์อันก็คือยาพิษ แต่เธอกลับเต็มใจที่จะกินมัน เป็นเพราะเธอโลภเอง ที่โหยหาชีวิตที่มีเลือดเนื้อมีความรู้สึกเหมือนคนมีชีวิตปกติในเวลาสามปีนั้นที่ผ่านมานาน

เพราะฉะนั้น……

“เธอมันสมน้ำหน้า เจี่ยนถง”เธอพูดกับตัวเอง เป็นสัญลักษณ์ที่นักโทษคุมประพฤติอย่างเธอไม่มีวันลบเลือนไปได้ เห็นมั้ย การที่ลืมว่าตัวเองเป็นใคร โลภในสิ่งที่ไม่ใช้ของตัวเอง มันไม่มีวันมีจุดจบที่ดีได้หรอก……ทำไมเธอถึงเรียนรู้ไม่ได้สักทีนะ!

แต่ว่า……

“เงินหน่าหายากจริงๆ~”

พรุ่งนี้ เสิ่นซิวจิ่นก็คงจะมาหาตัวเองแล้วสินะ

คาย์อันจากไปแล้ว รู้สึกเบื่อๆเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง

“ลู่เชน ฉันจะหาเหยื่อใหม่”เหมือนปกติเช่นเคย ทุกครั้งหลังจากจบเกมล่าเหยื่อเกมหนึ่ง เขาก็จะบอกกับลู่เชนเพื่อนสนิทของเขา

บทที่ 84 เสี่ยวถงเธอสบายดีมั้ย

การจากไปของคาย์อัน ก็ได้นำเอาวิญญาณของเจี่ยนถงที่ถูกฉุดขึ้นมาจากนรกอย่างยากลำบากไปด้วยอย่างสิ้นเชิง

การที่ไปกระตุ้นบาดแผลของคนคนหนึ่งซ้ำๆ ที่จริงแล้วก็คือเป็นการเพิ่มร่องรอยสำหรับตัวเองบนตัวคนคนนั้น

คาย์อันเป็นผู้ยอดเชี่ยวชาญด้านความรัก เขาเข้าใจอย่างดี ที่เขาไปแตะบาดแผลของเจี่ยนถงบ่อยๆ และไปกระตุ้นบาดแผลของเธอซ้ำๆ สำหรับเจี่ยนถงแล้ว มันทำให้ความคิดและความเคยชิน พฤติกรรมของเธอค่อยๆเปลี่ยนไปอย่างไม่รู้ตัว เจี่ยนถงไม่รู้ แต่คาย์อันรู้อยู่แก่ใจดี

ยิ่งน่าแค้นก็คือ ทุกครั้งที่เธอตั้งใจทำบะหมี่ให้รสชาติเปรี้ยวหรือเผ็ดจัด ถึงเขาจะทานเผ็ดไม่ได้ แต่ทุกครั้ง เขาก็จะทานจนหมดเกลี้ยงไม่ให้เหลือ

เพราะฉะนั้น เกมไล่ล่าเหยื่อเกมนี้เขาเป็นฝ่ายชนะ และชนะอย่างขาดลอย ไม่มีที่ว่างสำหรับให้เจี่ยนถงได้ทำใจเลย

……

“เงินหามาครบหรือยัง?”

วันที่สอง ซูเมิ่งเรียกเจี่ยนถงไปหาที่ออฟฟิศ

เจี่ยนถงส่ายหัว

ซูเมิ่งขมวดคิ้วขึ้น “เธอไม่ได้เอ่ยปากกับเขาเหรอ?”

เจี่ยนถงส่ายหัวเหมือนเคย

ซูเมิ่งเข้าใจทันที

“ความคิดของคนรอย คนธรรมดาอย่างเราไม่มีวันเข้าใจได้หรอกนะ เจี่ยนถง เธอรู้สึกเสียใจมั้ย?”เห็นชัดว่าซูเมิ่งคงเดาอะไรออกแล้ว “เจี่ยนถง ฉันมีข่าวร้ายจะบอกเธอ เมื่อกี้ประธานเสิ่นโทรมา บอกว่าเขาจะเข้ามาสายหน่อย

และฉันก็มีข่าวดีจะบอกเธออีก เธอยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงที่จะหาเงินมาให้ครบ”

ซูเมิ่งหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา “เจี่ยนถง เงินห้าแสนฉันมี แต่ฉันไม่กล้าให้เธอ”ซูเมิ่งเป็นคนตรงมาก เธอไม่ได้รู้สึกผิดต่อเจี่ยนถง เพราะที่เธอช่วยเจี่ยนถงปกปิดเงินก้อนนี้ถือว่าที่สุดที่เธอสามารถช่วยได้แล้ว

“ขอบคุณมากเลยนะคะพี่เมิ่ง ฉันรู้ค่ะ พี่ช่วยฉันมาเยอะแล้ว คนอย่างประธานเสิ่น……ฉันรู้ดี เพราะฉะนั้น ถ้าฉันเป็นพี่ ฉันก็คงทำอย่างที่พี่ทำเหมือนกันค่ะ”

……

เธอกำลังขึ้นลิฟต์ แล้วประตูลิฟต์ก็เปิดออก ข้างนอกมีคนคนหนึ่งยืนอยู่ เจี่ยนถงเห็นแล้วแข็งทื่อไปทั้งคน

คนที่ยืนอยู่ข้างนอกก็มองเจี่ยนถงอย่างตกตะลึง ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก

“เสี่ยวถง……”คนที่ยืนอยู่ข้างนอกเรียกชื่อเธอขึ้นเบาๆอย่างตกใจ

ฟูด!

สีหน้าของเจี่ยนถงขาวซิดในทันที “คุณผู้ชายคะ คุณคงทักผิดคนแล้วค่ะ ฉันไม่ใช่เสี่ยวถงคนที่คุณรู้จัก ไม่ใช่ค่ะ”

เธอพูดจบ ก็รีบเอื้อมมือไปกดปุ่มปิดประตู

“เดี๋ยวก่อนครับ รอก่อน!”คนทียืนอยู่ข้างนอกรีบเบียดเข้ามาแล้วจับมือของเจี่ยนถงไว้อย่างรีบร้อน “เสี่ยวถง เสี่ยวถง เธอคือเสี่ยวถงฉันจำไม่ผิดแน่”

“ฉันไม่ใช่ค่ะ คุณคะ คุณทักผิดคนแล้วค่ะ”

“เสี่ยวถง ถึงเธอจะกลายเป็นขี้เถ้า ฉันก็ยังจำเธอได้ เสี่ยวถง พี่ขอโทษเธอนะ……”

คำว่า“พี่”หัวใจของเจี่ยนถงถึงกับสั่นสะท้าน

“ฉันไม่ใช่ค่ะ ฉันไม่รู้จักคุณ”

“เสี่ยวถง เธอเป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ย?พี่คิดถึงเธอมากเลยนะ พี่มันไม่ดีเอง พี่ขอโทษ ทุกวันนี้ พี่รู้สึกผิดต่อเธอมาก เสี่ยวถง เธออยู่ในคุก……ที่ตรงนั้น มีใครรังแกเธอมั้ย ทำไม ทำไมถึงได้สภาพโทรมขนาดนี้?”

คนคนนั้นจับไหล่ของเจี่ยนถงไว้จนแน่นแล้วพูดอย่างตื่นเต้น “ให้พี่ได้ดูหน้าเธอดีๆหน่อย เสี่ยวถงของพี่ผอมไปเยอะเลยนะ……”

“หยุดพูดได้แล้ว!ฉันบอกไปหุบปากไง!”อารมณ์ของเจี่ยนถงควบคุมไม่ได้อีกต่อไป……เขาพูดเหมือนกับห่วงใยเธอมากแบบนี้ออกมาได้ยังไง?

“พี่คิดถึงฉันงั้นเหรอ?รู้สึกผิดต่อฉันงั้นเหรอ?เวลาสามปี สามปีมานี้ พี่และคนในตระกูลเจี่ยนเคยมาเยี่ยมฉันสักครั้งมั้ย?

ฉันสบายดีมั้ยเหรอ?ฉันสบายหรือเปล่า พี่ดูเองไม่เป็นเหรอ?”

แถมยังมาถามว่ามีใครรังแกฉันมั้ย?

ฮ่าๆๆๆ……

“เสี่ยวถง พี่ขอโทษ……”

ไม่มีใครต้องการคำขอโทษจากเขา?

“ในเวลาสามปีนี้ ขอแค่พี่กับคนในตระกูลเจี่ยนมีใครสักคนมาเยี่ยมฉันที่คุกบ้าง ฉันก็รู้สึกซาบซึ้งแล้ว เพราะฉะนั้น คุณเจี่ยน ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกนะคะ ระหว่างเรา ไม่มีอะไรที่ต้อง‘ขอโทษ’เชิญคุณหลบไปหน่อยค่ะ อย่ามาขวางทางหาเงินขอฉัน”

“หา……เงิน?หาเงินอะไร?”พี่ชายของเจี่ยนถง เจี่ยนโม่ป๋ายทำหน้ามึนงง

จู่ๆเจี่ยนถงก็หันหน้ามาแล้วหัวเราะให้พี่ชายของเธอ “ก็หาเงินจากผู้ชายไงล่ะคะ คุณชายเจี่ยน คุณนึกว่าที่ฉันอยู่ที่ตงหวง คือมาเที่ยวเหมือนคุณงั้นเหรอคะ?

คุณชายเจี่ยน คุณคิดผิดไปแล้วค่ะ ฉันทำงานที่นี่ เงินที่ฉันหาก็คือเงินที่คอยเอาใจลูกค้า ทำให้ลูกค้าดีใจ‘เงินแบบนั้นไงล่ะคะ’!”

เจี่ยนโม่ป๋ายทั้งโกรธทั้งโมโห ราวกับเขาไม่รู้จักเจี่ยนถงอย่างไรอย่างนั้น “เสี่ยวถง เธอหาเงินแบบนั้นได้ยังไง?เธอมาทำงานแบบนี้ได้ยังไง?เธอทำไมถึงได้ทำตัวเหลวแหลกแบบนี้!”

“เธอโกหกพี่ใช่มั้ย เสี่ยวถง พูดมาสิ เธอโกหกพี่ใช่มั้ย?เธอเป็นคนมั่งใจในตัวเองมาก เธอกล้าเชิดหน้าต่อหน้าของเสิ่นซิวจิ่นอย่างเย่อหยิ่ง ฉันไม่เชื่อหรอกว่า ไม่เชื่อว่าเธอจะกลายเป็นคนที่ทำอะไรก็ได้เพื่อเงิน!”

กลอด!!ดังขึ้นทีหนึ่ง เจี่ยนถงเหมือนได้ยินเสียงกัดฟันร่วงของตัวเอง!

จู่ๆ เธอเหมือนนึกอะไรได้ เจี่ยนถงมองใบหน้าที่คุ้นเคยตรงหน้านี้แล้วหลับตาลง ตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกทีนั้น เธอควบคุมอารมณ์เจ็บปวดอารมณ์โกรธและความโมโหของตัวเอง พยายามให้ตัวเองมีสติ

“ในฐานะที่เราสองคนมีสายเลือดเดียวกัน โตมาด้วยกัน ในฐานะฉันเป็นน้องสาวพี่มาหลายปี ฉันขอยืมเงินพี่ห้าแสนหน่อย”

“เธอจะเอา……เงินห้าแสนไปทำอะไร?”

“ฉันติดหนี้เสิ่นซิวจิ่น”เจี่ยนถงพูดอย่างเรียบเฉย “คุณชายเจี่ยนสำหรับคุณแล้ว กับแค่เงินห้าแสนคงเป็นแค่เศษเงิน แต่ตอนนี้ฉันจำเป็นต้องใช้เงินห้าแสน เด่น ในฐานะที่ฉันเคยเป็นน้องสาวของคุณ อยากให้คุณช่วยฉันครั้งนี้ครั้งหนึ่ง”

ถ้าเป็นไปได้ เจี่ยนถงไม่อยากเจอหน้าใครก็ตามที่เป็นคนของตระกูลเจี่ยน ยิ่งไม่อยากเอ่ยปากขอยืมเงินใครด้วย ……แต่เจอเรื่องที่หนักทั้งสองเรื่องพร้อมกันก็ต้องเลือกที่มันเบากว่า เมื่อเทียบกับเสิ่นซิวจิ่นกับอิสระของเธอแล้ว เจี่ยนถงคิดไตร่ตรองอยู่หลายรอบ สุดท้ายเลยยอมเปิดปากขอความช่วยเหลือจากพี่ชายเธอ

เธอนึกว่าครั้งนี้ เธอจะสามารถหาเงินครบห้าล้านก่อนเสิ่นซิวจิ่นมาถึงได้สักที คืนเงินเขาไป หลังจากนี้เธอก็จะได้เป็นอิสระในที่สุด

แต่พอเจี่ยนโม่ป๋ายได้ยินชื่อ“เสิ่นซิวจิ่น”นี้แล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนเล็กน้อย“……ขอโทษนะ”

หูของเจี่ยนถงดังหึ่งๆ แล้วมองหน้าพี่ชายของเธออย่างเซ่อๆ “เมื่อกี้พี่พูดว่าอะไรนะ?”

“ตอนนั้นคุณเสิ่นเคยส่งข้อความถึงที่บ้าน บอกว่าไม่ก็ตระกูลเจี่ยนไม่เคยมีคนชื่อเจี่ยนถง ไม่ก็เมืองSไม่มีตระกูลเจี่ยน”เจี่ยนโม่ป๋ายทางหนึ่งรู้สึกผิดและอีกทางก็ลำบากใจ “เสี่ยวถง ขอโทษนะ……พ่อกับแม่ทั้งสองอายุมากแล้ว จะทนกับเรื่องที่มากระทบจิตใจอีกไม่ไหวแล้ว”

เจี่ยนถงมองหน้าของเจี่ยนโม่ป๋ายอย่างเซ่อๆอยู่สักพัก ในหัวมีแต่คำพูดของเจี่ยนโม่ป๋าย……ผ่านไปนาน เธอก้มหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไม่ทำให้คุณชายเจี่ยนต้องลำบากใจแล้วค่ะ”

“เสี่ยวถง เธออย่าทำแบบนี้ได้มั้ย ฉัน พี่……ก็จนปัญญาจริงๆ เธออย่าโทษพี่เลยนะ”ระหว่างที่เขาพูดก็เม้มปาก แล้วหยิบกระเป๋าตังออกมาจากอกเสื้อ เอาเงินออกมาปึกหนึ่ง วัดจากสายตาแล้วคงมีราวๆเกือบหมื่นได้ แล้วยื่นให้เจี่ยนถง “เงินนี้เธอเก็บไว้ก่อน ไปซื้อของกินและของใช้ส่วนตัวนะ”

เจี่ยนถงยืนอยู่กับที่ไม่ขยับ ยิ่งไม่มีวันรับเงินนั่น

เจี่ยนโม่ป๋ายจับมือของเจี่ยนถงไว้แล้วนำเงินยัดใส่มือของเจี่ยนถง “เสี่ยวถง อย่าเอาแต่ใจได้มั้ย ควรยอมรับความหวังดีจากคนอื่นบ้าง อย่าเอาแต่ใจเหมือนเมื่อก่อนอีกเลยนะ”

เจี่ยนถงมองดูเงินที่อยู่ในมือแล้วรู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวใจ เจ็บจนเธอหน้าซิดอย่างกับถูกดูดเลือดไปหมด……

“พี่คะ ฉันเป็นผู้หญิงขายตัวก็จริง แต่เงินของตระกูลเจี่ยน ฉันไม่เอา!”เสียงแหบพร่าของเธอดังขึ้น แล้ว“พรึ่บ”ทีหนึ่ง มือของเจี่ยนถงยกขึ้น ในลิฟต์เต็มไปด้วยเงินที่ค่อยๆปลิวร่วงหล่น

“และอีกอย่าง นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันเรียกพี่ว่าพี่”

บทที่85 ความดื้อรั้นและความเข้มแข็งที่ต่ำเข้าไปในกระดูกดำ

ดิ๊ง!

ลิฟต์ได้กลับมาสู่จุดเดิม ประตูลิฟต์เปิดออก เจี่ยนถงไม่แยแสเจี่ยนโม่ป๋าย เธอก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอกแล้วถูกดึงแขนไว้อีก “ไม่ได้ เสี่ยวถง ตอนนี้เธอลงไปไม่ได้ เธอ เธอ เธอหาที่หลบซ่อนก่อน”

“คุณชายเจี่ยน กรุณาปล่อยมือด้วยค่ะ ฉันยังมีงานต้องทำอีก”

“ไม่ได้ เสี่ยวถง ถ้าเธอออกไปตอนนี้จะถูกพวกเขาเห็นได้ วันนี้พวกเสี่ยวอู่นัดปาร์ตี้กันที่นี่”เจี่ยนโม่ป๋ายดึงเจี่ยนถงเข้าไปในลิฟต์ “เสี่ยวถง เธอก็คงไม่อยากให้เพื่อนๆที่เคยเล่นด้วยกันมาเห็นสภาพแบบนี้ของเธอมั้ง”

เจี่ยนถงหายใจติดขัด ในแววตามีความหวาดกลัวเอ่อล้นออกมา………

คำพูดของเจี่ยนโม่ป๋าย เหมือนดังอยู่ในหู นี่ก็เป็นปีศาจหัวใจส่วนหนึ่งของเธอ——เธอ ไม่กล้าไปเจอเพื่อนสมัยก่อน ด้วยสภาพที่ต่ำต้อยแบบนี้

เธอไวกว่าเจี่ยนโม่ป๋าย ยื่นมือไปกดปุ่มลิฟต์อย่างลนลาน

“แหม คุณชายเจี่ยนนี่คือหาสาวสวยได้ และกำลังเพลิดเพลินอยู่ในลิฟต์หรอเนี่ย~”เสียงแซวเล่นดังขึ้น ประตูลิฟต์ที่เดิมทีจะปิด ก็ถูกมือที่อยู่หน้าลิฟต์ขัดขวางเบาๆ และเปิดออกอีกครั้ง

พริบตาเดียวเจี่ยนโม่ป๋ายก็กดศีรษะของเจี่ยนถงเข้าไปในอ้อมกอดเขา “เห้ออู่ พอได้แล้ว”มือข้างเดียวของเจี่ยนโม่ป๋ายก็กั้นมือของเห้ออู่ที่จะยื่นมาหาเจี่ยนถง “เด็กผู้หญิงเขาขี้อาย เห้ออู่ ห้องด้านบนเปิดเรียบร้อยแล้ว พวกนายขึ้นไปก่อนเลย”

ระหว่างที่พูดก็ได้กดหน้าของเจี่ยนถงเข้ามาในอ้อมกอด และพาเจี่ยนถงที่อยู่ในอ้อมกอดเดินไปด้านนอก

“คุณชายเจี่ยน นายจะไปไหน? ขึ้นไปด้วยกันสิ”

“ฉันมีธุระส่วนตัวนิดหน่อย พวกนายขึ้นไปก่อน เดี๋ยวฉันตามมา ค่าใช้จ่ายของวันนี้ฉันรับผิดชอบเอง ทุกคนสนุกให้เต็มที่เลยนะ”

เสียงผิวปากก้องมาจากด้านหลังของลิฟต์ “ฟังสิ คุณชายเจี่ยนบอกว่ามีธุระส่วนตัว กับใครเนี่ย? สาวน้อยที่เขาโอบอยู่ในอ้อมกอด คุณชายเจี่ยนนี่ยิ่งอยู่ยิ่งมีคารมและเอาอกเอาใจผู้หญิงเก่งแล้ว”

ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิด เจี่ยนถงยังสามารถได้ยินเสียงหัวเราะ“ฮ่าๆ”อย่างมีความสุขของทุกคน

เจี่ยนโม่ป๋ายพาเธอมาถึงที่มุมอับ “เสี่ยวถง วันนี้เธออย่าทำงานเลยนะ”

หัวใจของเจี่ยนถงเจ็บจี๊ดทีหนึ่ง ตัวเธอเองไม่กล้าสู้หน้าเพื่อนในอดีตเหล่านั้น แต่ว่า แต่ตอนที่ผู้ชายคนตรงหน้าที่เธอเรียก“พี่ชาย”มายี่สิบกว่าปีพูดคำนี้ออกมา มือของเจี่ยนถงได้หยิกไปที่ต้นขาอย่างไม่รู้ตัว นาทีนี้ในใจมีความวู่วามที่อยากจะตะคอกใส่เขา

เจี่ยนถง เธอคือนักโทษคุมประพฤติ เธอไม่มีคนในครอบครัว สามปีก่อนคนของตระกูลเจี่ยนล้วนละทิ้งเธอหมดแล้ว เจี่ยนถง อย่าเศร้าใจไปเลย น้ำตาที่ควรจะไหล หัวใจที่ควรจะเจ็บ สามปีนี้ไหลจนแห้งและเจ็บจนสิ้นแล้ว……เธอพูดเกลี้ยกล่อมตัวเองอยู่ในใจอย่างไม่ขาดสาย ซ้ำไปซ้ำมาสิบกว่ายี่สิบรอบ ในที่สุด………

เจี่ยนถงค่อยๆเงยหน้าขึ้น และยกมือปัดฝ่ามือที่เจี่ยนโม่ป๋ายจับแขนตัวเองไว้ “วันนี้ไม่ทำงาน พรุ่งนี้ล่ะ มะรืนล่ะ ตราบใดที่ตงหวงยังเปิดอยู่ พวกเขาก็จะต้องมาใช้บริการอยู่ดี ไม่แน่สักวันก็ต้องเจอหน้ากันอยู่ดี”

เธอมองหน้าเจี่ยนโม่ป๋ายไว้ อยากได้ยินกับหูตัวเองว่าเวลานี้ คนที่เธอเรียกพี่ชายมายี่สิบกว่าปีคนนี้จะตอบยังไง จะเลือกยังไง

“เสี่ยวถง อย่าอยู่ที่นี่เลย เปลี่ยนงานใหม่เถอะ”

“เปลี่ยนงานใหม่? คุณชายเจี่ยนจะช่วยฉันแนะนำงานอะไรคะ?” เจี่ยนถงถามด้วยรอยยิ้มที่แปลกประหลาด เธอกำลังรอเจี่ยนโม่ป๋ายจะดับไฟเสี้ยวสุดท้ายในใจเธออย่างสิ้นเชิงยังไง

และเธอก็รอว่าเจี่ยนโม่ป๋ายจะตัดสินใจเหนือการคาดการณ์ของเธอ…..ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ

เจี่ยนถงบอกกับตัวเองว่า ถ้าครั้งนี้เจี่ยนโม่ป๋ายทำการการตัดสินใจที่เหนือการคาดการณ์ของเธอ งั้น ไม่ว่าตอนที่อยู่ในคุกเคยผิดหวังหรือเคยเกลียดชังคนของตระกูลเจี่ยนมากแค่ไหน นับแต่นี้ไปจะปล่อยวางความแค้นนี้

เจี่ยนโม่ป๋ายเงียบไปสักพัก “เสี่ยวถง พี่ขอโทษเธอ…..คนอย่างเสิ่นซิวจิ่นโหดเกินไป ตระกูลเจี่ยน….ไม่กล้าไปเดิมพัน”

แววตาของเจี่ยนถงมืดมนลงมา สุดท้ายเธอก็ไม่ได้คำตอบที่เหนือการคาดการณ์ของเจี่ยนโม่ป๋าย

“งั้นก็ต้องขอโทษคุณชายเจี่ยนด้วยค่ะ ฉันไม่สามารถเปลี่ยนงานได้”

เจี่ยนถงปฏิเสธอย่างเรียบเฉย

เจี่ยนโม่ป๋ายกลับโมโหขึ้นมา “เสี่ยวถง เธอกำลังเอาแต่ใจอยู่นะ ทำไมถึงเปลี่ยนงานไม่ได้ ทำไมดันจะต้องอยู่ที่นี่และทำงานแบบนี้ด้วย?”

“คุณชายเจี่ยน ขอฉันเตือนคุณหน่อย ฉันเป็นแค่นักโทษคุมประพฤติคนหนึ่ง เป็นคนที่เคยติดคุก คุณชายเจี่ยนนึกว่าฉันจะสามารถหางานจริงจังอะไรทำได้?”

“เจี่ยนถง คนที่เคยติดคุกออกมาบนโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียว ทำไมคนพวกนั้นสามารถทำงานขยันหมั่นเพียรหาเลี้ยงตัวเองได้ แต่เธอดันต้องอยู่สถานที่แบบนี้ มาสร้างความบันเทิงให้คนอื่น? เสี่ยวถง เธอกำลังทำตัวเสื่อมทรามนะ”

ไหล่ของเจี่ยนถงสั่นเทา เธอใช้มือหยิกต้นขาไว้แน่น ถึงจะสามารถอดทนไว้ไม่วู่วามไปตบหน้าเจี่ยนโม่ป๋าย!

จู่ๆเธอแหงนหน้ามองเจี่ยนโม่ป๋าย คนคนนี้คือคนที่เธอเรียกพี่ชายมายี่สิบกว่าปี ความทรงจำที่สวยงามในอดีต ความรักและความเอ็นดูจากพี่ชาย พี่ชายที่ยอมเธอทุกอย่าง……ที่แท้ สามปีมานี้ คนที่เปลี่ยนไปไม่ได้มีแค่เธอคนเดียว แต่ยังมีเจี่ยนโม่ป๋ายด้วย

เจี่ยนโม่ป๋ายไม่เข้าใจทำไมน้องสาวที่ดีจะกลายเป็นผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าแบบนี้ ทำไมเสี่ยวถงที่มีความมั่นใจ โอ้อวดและหยิ่งในศักดิ์ศรีมากๆ จะกลายเป็นผู้หญิงที่แค่อยากจะเอาใจผู้ชายเพื่อหวังได้ทิปแบบนี้!

“เสี่ยวถง เธอเปลี่ยนไปแล้ว”

เจี่ยนโม่ป๋ายมองเจี่ยนถงที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าผิดหวัง “เสี่ยวถง เมื่อก่อนเธอไม่ได้เป็นแบบนี้ ถ้าพ่อกับแม่เห็นสภาพของเธอตอนนี้จะต้องผิดหวังมากแน่ๆเลย อะไรที่ควรพูดพี่ก็พูดแล้ว นับแต่นี้ไป เธอจะใช้ชีวิตยังไง จะต่ำให้ถึงที่สุดเหมือนหนอน หรือว่าจะขยันหมั่นเพียรใช้ชีวิตอยู่ใต้แสงอาทิตย์ ล้วนเธอเป็นคนเลือกเอง”

เจี่ยนโม่ป๋ายพูดไปด้วยพร้อมส่ายหัวอย่างผิดหวังด้วย จากนั้นได้หันหลังเดินออกไปทางหน้าประตูของตงหวงและล้วงมือถือออกมาโทรหาฝั่งนู้นด้วย “เห้ออู่ ฉันมีธุระนิดหน่อย วันนี้ไม่ปาร์ตี้กับทุกคนแล้ว พวกนายสนุกให้เต็มที่เลยนะ บิลจดไว้ในนามของฉันเลย แค่นี้นะ”

มุมเปลี่ยวของห้องโถง เจี่ยนถงยืนตัวตรงอยู่ที่นั่นอย่างโดดเดี่ยว เหมือนรูปปั้นแกะสลักที่ไม่กระดิกตัวเลย

แต่ถ้าเดินเข้าไปใกล้หน่อย จะสามารถมองเห็นว่าไหล่ของเธอกำลังสั่นคลอน มือที่ทิ้งตัวอยู่ข้างกายกำแน่นเป็นหมัด เธอก้มหน้ามองดูปลายเท้า เหมือนที่เท้ามีของล้ำค่ารอให้เก็บอยู่……เธอควบคุมสุดฤทธิ์เพื่อไม่ให้ตัวเองวู่วามแล้วตะคอกออกมา แต่ในลำคอมีเสียงงือๆที่แปลกประหลาดเอ่อล้นออกมาเป็นพักๆ

ใช่ ใช่! เจี่ยนโม่ป๋าย พี่พูดถูกแล้ว บนโลกใบนี้มีคนที่ติดคุกออกมาเป็นพันเป็นหมื่น บางคนทำตัวต่ำเข้าไปกระดูกดำต่อ บางคนใช้บั้นปลายชีวิตอย่างขยันหมั่นเพียร…….พี่นึกว่าฉันไม่อยากเหรอ! พี่นึกว่าฉันอยากเป็นแบบนี้เเหรอ! พี่นึกว่าเรื่องที่ฉันไม่อยากทำก็สามารถไม่ทำได้เเหรอ!

เจี่ยนโม่ป๋าย คนที่เคยติดคุกแล้วออกมามีเยอะเป็นพันเป็นหมื่น แต่พวกเขามีครอบครัว มีฐานะ มีอดีต!

ฉันล่ะ?

แต่ฉันล่ะ!

ฉันมีอะไร!

คนที่ไม่มีอดีต เพิ่งออกมาจากคุก ตอนที่ออกมามีเงินติดตัวอยู่แค่ไม่กี่สิบหยวน ใส่เสื้อฉีกขาดทั้งตัวและมีบัตรประชาชนอยู่ใบเดียว นอกเหนือจากนี้แล้ว ไม่มีอะไรเลย

ครอบครัว บ้าน อดีต เพื่อน ถึงจะย่ำแย่แค่ไหนก็น่าจะมีที่บังลมบังฝนมั้ง แต่เธอล่ะ……ไม่มีอะไรเลย!……เธอเป็นกระดาษขาวใบหนึ่งที่เขียนไว้ว่า“นักโทษคุมประพฤติ” อย่าอื่นไม่มีอะไรเลย

มุมเปลี่ยวนั้น ดูเหมือนปกคลุมด้วยเมฆครึ้ม ภายใต้เมฆครึ้ม มือของผู้หญิงคนนั้นกำลังสั่นเทา เธอได้ล้วงมือถือออกมาดูแว็บหนึ่ง สูดจมูกแล้วเงยหน้าขึ้นมาใหม่ จากนั้นได้ค่อยๆหันหลังเดินไปยังทิศทางของลิฟต์

เธอจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด ถึงจะเหลือเวลาอีกแค่สี่สิบนาที เธอก็จะไขว่คว้าจนถึงวินาทีสุดท้าย……..เจี่ยนถงเดินเข้าไปในลิฟต์อย่างขากะเผลก

ใครเล่าที่จะใจแข็งเหมือนหินจริงๆ ใครบ้างจะไม่เสียใจ…..แต่ว่า เธอยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องไปทำ คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในนรก ใช่ว่าจะไม่เจ็บ แต่แค่สูญเสียสิทธิ์ที่จะร้องเจ็บ

เหมือนเจี่ยนโม่ป๋ายได้ใช้มีดแทงเข้าไปลึกๆในใจของเจี่ยนถงอีกแผลหนึ่ง ส่วนเธอ ในขณะที่ลิฟต์เปิดใหม่อีกครั้ง เธอเงยหน้ามองไปยังกระจกในลิฟต์ พร้อมยกนิ้วขึ้นมาฉีกรอยยิ้มที่หน้า เสร็จแล้วได้สูดจมูก เก็บความเศร้าและความเจ็บปวดทั้งหมดไว้ จากนั้นได้แหงนหน้าฮึดสู้ขึ้นมา พร้อมบอกกับตัวเองว่า “เธอยังมีห้าแสนหยวน หนี้ก้อนโตรออยู่นะ”

บทที่86 แหม นี่ไม่ใช่คุณหนูเจี่ยนเหรอ

“เฮ้ๆ เธอได้ยินหรือยัง? ฉันเห็นเจี่ยนถงคนนั้นถามไปทั่วเลยว่ามีงานแนะนำรึเปล่า หล่อนทำได้ทุกอย่าง”

“ผู้หญิงคนนี้นี่รักเงินจนบ้าไปแล้ว แต่เดิมทีคนอย่างหล่อนก็ไม่เหมาะที่จะอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์อยู่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าข้างบนให้ขี้หนูก้อนนี้เข้ามาได้ยังไง นี่ไม่ใช่ดึงคุณภาพเฉลี่ยของฝ่ายประชาสัมพันธ์เราให้ต่ำลงเหรอ”

“หล่อนน่าจะไม่ได้รับงานอะไรมาเป็นเดือนแล้วมั้ง? ฉันดูหล่อนคงรีบร้อนจนบ้าไปแล้ว วันนี้ได้ไปเที่ยวถามฝ่ายประชาสัมพันธ์ของเราทั่วเลย”

ในห้องน้ำ สาวๆที่อยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ได้เติมเครื่องสำอางอยู่หน้าอ่างล้างมือและซุบซิบนินทาไปด้วย

“เอาล่ะ อย่าพูดถึงหล่อนเลย อารมณ์เสียเปล่าๆ ไปๆๆ คุณชายเห้อไม่ได้มาเที่ยวตั้งนานแล้ว วันนี้คุณชายพวกนั้นได้เปิดห้องVIPของชั้นหก พวกเราไปหาพวกคุณชายเห้อกันเถอะ”

สาวๆทั้งหลายที่แต่งหน้าจัดเต็มได้ขึ้นไปชั้นหก

เจี่ยนถงขอร้องทุกคนที่สามารถขอร้องได้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผล เธอได้กลับไปที่ห้องพักผ่อนของประชาสัมพันธ์อย่างผิดหวัง

เธอเงยหน้าดูนาฬิกาแขวนในห้องพักผ่อน เวลากำลังผ่านไปทุกวินาที

ซูเมิ่งส่งข้อความมาให้เธอ บอกเธอว่าอีกยี่สิบนาทีเสิ่นซิวจิ่นจะมาถึงที่ตงหวง

เธอรู้อยู่ว่าแต่ไหนแต่ไรเสิ่นซิวจิ่นเป็นคนที่ตรงต่อเวลา พูดคำไหนคำนั้น ความสิ้นหวังในใจยิ่งอยู่ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

“เฮ้ เจี่ยนถง ไปกับพี่”

ประตูของห้องพักผ่อนถูกผลักออก พอเงยหน้าก็เห็นซูเมิ่งที่สะสวยยืนอยู่ตรงนั้น และกำลังมองตัวเองอย่างหน้าบึ้ง

“พี่เมิ่ง?” เจี่ยนถงตกใจและสีหน้าซีดเซียวทันที “เขามาแล้วเเหรอคะ?”

แป๊บเดียวก็มาถึงแล้วเหรอ?

เจี่ยนถงในนาทีนี้หมดหนทางจนเหมือนเด็ก ในใจซูเมิ่งอุดอู้ ทรมานจนหายใจติดขัด เธอหายใจอย่างหนักทีหนึ่ง ถึงมองเจี่ยนถงและพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “บอสใหญ่ยังไม่มา เธอไปกับพี่”

“พี่เมิ่ง?”

ซูเมิ่งขมวดคิ้ว “เธอยังยืนเซ่ออยู่ทำไม? พี่พาเธอไปหาลูกค้าที่พี่รู้จัก”

เจี่ยนถง“ฟึ๊บ”ลุกขึ้นมา “พี่เมิ่ง มาแล้วค่ะ”

ซูเมิ่งไม่ได้พูดอะไร แค่พาเจี่ยนถงขึ้นไปชั้นบน

“ชั้นหก?” สีหน้าของเจี่ยนถงค่อนข้างแปลกประหลาด

“เธอนึกว่า ลูกค้าที่แม้แต่ชั้นหกก็ไม่มีปัญญาใช้จ่าย จะสามารถเอาสินน้ำใจออกมาห้าแสนหยวนเหรอ?” ซูเมิ่งหยุดอยู่ที่หน้าห้องVIPห้องหนึ่ง “เจี่ยนถง ที่พี่สามารถช่วยเธอก็มีแค่นี้แล้ว เดิมทีพี่ไม่ควรพาเธอมาที่นี่……เรื่องบางอย่าง พี่ไม่สะดวกพูดกับเธอ เธอต้องรู้นะว่าพี่เอ็นดูและสงสารเธอ แต่พี่ก็อยากใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยเหมือนกัน”

เจี่ยนถงก้มหน้าลง เธอเข้าใจคำพูดที่ไม่ชัดเจนของซูเมิ่งว่าหมายความยังไง เธอรู้ว่าวันนี้ซูเมิ่งพาเธอมาห้องนี้ ทำการตัดสินใจแบบนี้ ซูเมิ่งลำบากใจมากแค่ไหน “พี่เมิ่งฉันรู้ค่ะ ฉัน….ขอบคุณพี่มากนะคะ ฉันเข้าใจทุกอย่างค่ะ”

คำว่า“ฉันเข้าใจทุกอย่างค่ะ” ได้พูดชัดเจนทุกอย่างแล้ว หนังตาของซูเมิ่งกระตุก มองผู้หญิงตรงหน้าที่ไม่สะดุดตาอย่างละเอียด…….เจี่ยนถง คนที่มองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งแต่กลับไม่พูดอะไร เธอสิถึงเป็นคนที่ปลงอย่างแท้จริง

ซูเมิ่งไม่มองเจี่ยนถงอีก ก่อนจะเคาะประตู เธอได้พูดกับเจี่ยนถงที่อยู่ด้านหลังคำหนึ่งว่า “สิ่งที่พี่ทำได้ก็มีแค่นี้แล้ว แต่จะสามารถมีปาฎิหาริย์หรือเปล่า มันก็ต้องดูที่ตัวเธอแล้ว”

จู่ๆเจี่ยนถงนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอได้ดึงมือที่จะเคาะประตูของซูเมิ่งไว้ “พี่เมิ่งคะ ลูกค้าที่พี่รู้จักในห้องนี้ เขาแซ่อะไรเเหรอคะ?”

“แซ่เห้อ…..เดี๋ยว เจี่ยนถง เธอจะไปไหน!” ซูเมิ่งพูดยังไม่ทันจบ ก็เห็นเจี่ยนถงสีหน้าซีดเซียวจะหันหลังไป ซูเมิ่งรีบจับมือเธอไว้ “นี่เธอจะทำอะไร”

ซูเมิ่งขมวดคิ้วอย่างงุนงง และจับมือเจี่ยนถงไว้ เพราะเมื่อครู่ได้เคาะประตูของห้องจนดังแล้ว คิดไม่ถึงว่าลูกค้าที่อยู่ด้านในจะมีความสนใจวิ่งมาเปิดประตูเอง

“ซูเมิ่ง ไหนเธอบอกว่าจะพาคนมาไม่ใช่เหรอ ทำไมเพิ่งมาล่ะ” เห้ออู่ยืนอยู่หน้าประตู มองเจี่ยนถงอย่างและพูดอย่างมีความสนใจ เขายังดูไม่ออกว่าคือเจี่ยนถง แต่เขาคุ้นกับเสื้อผ้าที่เจี่ยนถงใส่มาก “อุ๊ย นี่ไม่ใช่ของรักของหวงชิ้นใหม่ของคุณชายเจี่ยน ที่เพิ่งเจอในลิฟต์เมื่อกี๊เหรอ?”

เห้ออู่เดินมาข้างหน้า อ้อมมาที่ตรงหน้าของเจี่ยนถง ใช้มือยกคางของเจี่ยนถงอย่างเหลาะแหละ

เจี่ยนถงก้มหน้าก้มตาและอดทนไว้

“แฮะ! สาวน้อยคนนี้อายซะด้วย ยังไม่ให้ดูอีก” เห้ออู่ที่นิสัยอันธพาลก้าวมาข้างหน้าทันที “วันนี้ฉันจะต้องดูให้ได้”

ซูเมิ่งูดอยู่ข้างๆ “เจี่ยนถง เธอไม่ต้องกลัวนะ คุณชายเห้อแค่หยอกเธอเล่นเฉยๆ ที่จริงเขาเป็นคนนิสัยดีอยู่ดี”

มือที่เห้ออู่ยกคางเจี่ยนถงได้หยุดชะงักไว้ มองผู้หญิงที่ก้มหน้าก้มตาตรงหน้านี้ด้วยความสงสัย และถามไปที่ซูเมิ่งว่า “เมื่อกี๊เธอว่า….หล่อนชื่ออะไรนะ?”

เจี่ยนถงตกใจ และตะโกนอย่างหนักแน่น “พี่เมิ่ง อย่าพูดค่ะ!”

พอเธอตะโกนปุ๊บ ถึงพบว่าตัวเองได้ทำเรื่องที่ไม่ควรทำ แบบนี้มีแต่จะทำให้เห้ออู่ยิ่งสงสัย

สีหน้าของเห้ออู่เต็มไปด้วยความสงสัย ซูเมิ่งก็สังเกตเห็นความผิดปกติ ปฏิกิริยาของเจี่ยนถง……แปลกประหลาดเกินไป!

ส่วนปฏิกิริยาของเห้ออู่ ก็แปลกประหลาดมากเหมือนกัน

“เจี่ยนถง?” สายตาของเห้ออู่แฝงด้วยความสงสัย จู่ๆได้คลายมือที่ยกคางของเจี่ยนถงไว้ ไม่รอให้เจี่ยนถงได้หายใจหายคอ ทันใดนั้นก็รู้สึกเจ็บหนังศีรษะ ข้างหูคือเสียงตะโกนของซูเมิ่ง “คุณชายเห้อ นี่คุณทำอะไรคะ!”

ในขณะเดียวกัน เจี่ยนถงได้สบตาเข้ากับดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือด เจ้าของๆดวงตาคู่นั้นเลียริมฝีปากอย่างคึกคะนอง “เป็นเธอจริงๆด้วย เจี่ยนถง คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะเปลี่ยนแปลงจนขี้เหร่อย่างนี้ แต่ว่า ถึงเธอจะกลายเถ้าถ่าน ฉันก็จำได้อยู่ดี!”

สีหน้าของเจี่ยนถงซีดเซียวทันที

เห้ออู่กระชากผมของเธอไว้ แต่กลับทำท่าทางที่สุภาพบุรุษออกมา “เสี่ยวถง จะให้ฉันเชิญเธอเข้าไปในห้อง หรือเธอเข้าไปเอง?”

สีหน้าของเจี่ยนถงเปลี่ยนไปมาหลายครั้ง แดงกับเขียวสลับกัน เธอรู้ดีว่ายังไงวันนี้หนีไม่พ้นแล้ว

เห้ออู่……..ไม่ปล่อยตัวเองไปแน่นอน!

“ไม่ต้องลำบากให้คุณชายเห้อลงมือเองหรอกค่ะ” เสียงแหบพร่าของเธอพูดอย่างช้าๆ จากนั้นได้ยกมือปัดมือที่เห้ออู่กระชากผมของเธอทิ้ง พร้อมพยายามรักษาความสงบนิ่งเดินเข้าไปในห้อง

จนถึงตอนนี้ ซูเมิ่งก็รู้ดีว่าเรื่องผิดปกติ จึงได้ตามเข้าไป

“มาๆๆ ทุกคนมาดูหน่อยเร็ว นี่คือเจี่ยนถงเชียวนะ” หลังจากเห้ออู่เดินตามเข้าไปในห้อง ก็ได้ยิ้มแฉ่งพร้อมพูดทักทายกับเพื่อนๆในห้อง

แว็บ!

สายตาของแต่ละคนแฝงด้วยการสำรวจและดูตลกต่างๆนานา มองสำรวจเจี่ยนถงอย่างไม่ขาดสาย

ซูเมิ่งมีใจอยากไกล่เกลี่ย “คุณชายเห้อ ที่แท้คุณรู้จักเสี่ยวถงเเหรอคะ แต่วันนี้เสี่ยวถงยังมีธุระอย่างอื่น เดี๋ยวค่อยให้เธอทักทายกับพวกคุณนะคะ ฉันขอพาตัวเสี่ยวถงไปก่อนค่ะ” ระหว่างที่พูดก็จะจูงมือเจี่ยนถงเดินออกไป

มือของซูเมิ่งเพิ่งจูงมือของเจี่ยนถงไว้ ก็ถูกเห้ออู่ผลักออก “ซูเมิ่ง เธอหลีกไปเลย ที่นี่ไม่มีธุระของเธอ ไม่ก็ดูอย่างเงียบๆ ไม่ก็ออกไป แต่ถ้าเธออยากพานังนี่ไป เธอลองถามทุกคนในนี้ดูว่ายอมหรือเปล่า?”

สีหน้าของซูเมิ่งตึงเครียดขึ้นมาทันที

ฐานะของคุณชายพวกนี้ไม่ธรรมดา แต่ละคนล้วนเป็นตระกูลไฮโซในเมืองS

นี่ไม่ใช่เศรษฐีใหม่ทั่วไปเชียวนะ

ซูเมิ่งมีใจอยากถามเจี่ยนถงว่า “เสี่ยวถง เธอรู้จักคุณชายเห้อเหรอ?” ใจจริงเธออยากถามเจี่ยนถงว่ามีเรื่องบาดหมางอะไรกับคุณชายเห้อ

แต่เจี่ยนถงกลับเงียบกริบไม่พูดจา

เห้ออู่กลับพูดด้วยรอยยิ้ม “เธอว่านังนี่ไม่รู้จักฉัน? จึกๆ ซูเมิ่ง เธอมาเมืองSช้าไป คงไม่เคยได้ยินผู้หญิงที่หยิ่งยโสและมีความมั่นใจที่สุดของไข่มุกชายหาดแห่งเมืองS เจี่ยนถง”……ที่เย่อหยิ่งของตระกูลเจี่ยนมั้ง?

“คุณชายเห้อ เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะนะคะ!” เจี่ยนถงพูดขัดจังหวะเห้ออู่ “มันผ่านไปแล้วค่ะ!”

เห้ออู่หัวเราะอย่างเย็นชา “ผ่านไปแล้ว? เธอว่าผ่านไปแล้วก็ผ่านไปแล้วงั้นเหรอ? ฮ่าๆๆ……เจี่ยนถงนะเจี่ยนถง ก่อนหน้านี้ฉันฟังซูเมิ่งบอกว่า ตอนนี้ซูเมิ่งมีพนักงานคนหนึ่งร้อนเงินห้าแสนหยวน พนักงานคนนั้นก็คือเธอสินะ? ฮ่าๆๆ……เจี่ยนถงที่ยโสโอหังก็ขัดสนเงินแค่ห้าแสนหยวนนี้ด้วย?”

เห้ออู่ล้วงเช็คออกมาใบหนึ่งแล้วตบอยู่บนโต๊ะคริสตัล “ได้ เจี่ยนถง วันนี้ฉันจะไม่ให้เธอลำบากใจ เธอคุกเข่าลงมา และตบหน้าตัวเองหนึ่งร้อยที ตบทีหนึ่งก็พูดคำว่า‘ฉันเป็นผู้หญิงสำส่อน’ทีหนึ่ง เสร็จแล้วเงินห้าแสนนี้เธอก็เอาไปเลย”

บทที่87 ตอนนี้คุกเข่าได้แล้ว

เจี่ยนถงมองเช็คที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่ไม่ได้ไปแตะต้องมัน

เห้ออู่หัวเราะอย่างเย็นชา “ทำไม? ไม่อยากทำหรอ?”

“คุณชายเห้อ ช่างเถอะ ยังไงเธอก็เป็นไข่มุกเม็ดที่หยิ่งยโสที่สุดในเมืองSนะ” พวกที่มาพร้อมกับเห้ออู่พูดเกลี้ยกล่อม แต่การเกลี้ยกล่อมนี้ กลับไม่ได้พูดออกมาจากใจจริง เหมือนหยอกล้อกลั่นแกล้งมากกว่า

“หยิ่งยโส?” เห้ออู่หัวเราะ จุดบุหรี่ขึ้นมาดูดทีหนึ่ง จากนั้นได้มองเจี่ยนถงด้วยหางตาทีหนึ่ง “หน้าผีๆอย่างหล่อนเนี่ยนะ?”

ซูเมิ่งรู้สึกเสียใจแต่ก็สายไปแล้ว

แม้แต่ฝันเธอก็ยังคิดไม่ถึงว่าเจี่ยนถงจะมีความบาดหมางกับเห้ออู่แก๊งไฮโซพวกนี้ ถ้าเธอรู้ ไม่ว่ายังไงก็ไม่พามาที่ตรงหน้าคนพวกนี้ที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำออกมาได้

เจี่ยนถงเงยหน้ากวาดสายตาไปรอบๆ ใบหน้าแต่ละคนที่คุ้นเคย เพื่อนๆที่เคยเล่นด้วยกัน ตอนนี้กลับแปลกหน้าจนเธอไม่รู้จัก

ก็เหมือนตัวเธอเอง ทำไมมองหน้าแล้วคนที่เคยรู้จักก็ยังดูไม่ออกว่าคือเธอเลย

“เจี่ยนถง ติดคุกสนุกมั้ย?”

บนโซฟา จู่ๆมีผู้ชายคนหนึ่งเปิดปากถาม

หัวใจของเจี่ยนถงบีบแน่น เธอมองไปตามเสียง…..นั่นเป็นเพื่อนที่เคยเล่นเกมด้วยกัน กินกุ้งมังกรน้อยยามดึกด้วยกันและวิ่งไปซิ่งรถเล่นกันอย่างสนุกสนานและมีความสุขด้วยกัน

“ย่าคุน……”

“อย่า เธออย่าเรียกฉันแบบนี้เชียวนะ” ย่าคุนที่ไม่เห็นหัวใคร นั่งอยู่บนโซฟาพร้อมรีบยกมือ “ฉันไม่เป็นเพื่อนกับฆาตกรหรอก”

ร่างกายของเจี่ยนถงเซเล็กน้อย วินาทีต่อมา เธอกัดฟันไว้แน่น ค่อนข้างวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง ข้างหูคือเสียงเล่นกันของสมัยก่อน

ซูเมิ่งเองก็ตื่นตะลึงมาก……ฆาตกร?

เธอรู้ว่าเจี่ยนถงเคยติดคุก แต่ว่าฆ่าคน?

ไม่ ไม่ๆๆ ยัยเด็กคนนี้โง่ขนาดนี้ จะฆ่าคนได้ยังไง

“ได้ยินว่าเธอขัดสนเรื่องเงิน” ย่าคุนล้วงกระเป๋าตังค์ออกมาจากทรวงอก ธนบัตรเป็นปึก ใช้สายตาวัดแล้วมีประมาณสามหมื่นหยวน ย่าคุนล้วงเงินออกมาจากกระเป๋าตังค์ และฟาดอยู่บนโต๊ะคริสตัล “ที่ฉันมีเงินอยู่นิดหน่อย ก็ถือซะว่าเป็นสินน้ำใจที่เดี๋ยวดูเธอคุกเข่าและตบหน้าตัวเองก็แล้วกัน”

กำปั้นที่เจี่ยนถงกำไว้ข้างกาย คลายออกแล้วกำแน่น กำแน่นแล้วคลายออก

ถึงแม้คนอื่นไม่ได้บีบบังคับคนเหมือนเห้ออู่กับย่าคุน แต่ๆละคนกลับมองเจี่ยนถงอย่างกับดูละครสนุกๆ

“จะปฏิเสธเหรอ? เจี่ยนถง เธอคิดดีๆนะ ได้ยินว่าเธอร้อนเงินก้อนนี้ ใช่ ฉันไม่รู้ว่าร้อนเงินมากแค่ไหน แต่ว่าสามารถให้ซูเมิ่งมาพูดทักทายโดยเฉพาะ ว่าพาเธอมา……เหอะๆ”

ซูเมิ่งฟังคำพูดของเห้ออู่แล้วเสียใจแต่ก็สายไปแล้ว!

ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าระหว่างเจี่ยนถงกับพวกเขามีเรื่องแบบนี้ เธอจะไม่พาเจี่ยนถงเข้ามาในถ้ำหมาป่านี้เด็ดขาด

“คุณชายเห้อ อะไรที่ให้อภัยได้ก็ให้อภัยเถอะนะคะ”

“ซูเมิ่ง ที่นี่มีสิทธิ์ให้เธอพูดด้วยหรอ เธอก็เป็นแค่สุนัขเฝ้าประตูที่บอสใหญ่ผู้ลึกลับของตงหวงคนนั้นเฉยๆ พวกเราพูดจาดีๆกับเธอ นั่นมันเพราะเห็นแก่บอสที่อยู่เบื้องหลังของเธอ แต่ถ้าเธออยากแสดงความคิดเห็นในเมืองSนี้ ล่ะก็ เธอยังไม่มีสิทธิ์!”

เห้ออู่เดินมาที่ตรงหน้าของเจี่ยนถง และมองเธอลงมาจากที่สูง “เจี่ยนถง เกียรติยศสำคัญกว่า หรือว่าเงินห้าแสนสำคัญกว่า?”

เขายิ้มพร้อมถามอย่างแปลกประหลาด

นี่มันจับจุดอ่อนที่เจี่ยนถงขัดสนเงินสุดๆได้ชัดๆ

สีหน้าของซูเมิ่งซีดแล้วดำ ดำแล้วเขียว…….แต่กลับไม่กล้าขัดใจลูกคนรวยพวกนี้อย่างสิ้นเชิง

ซูเมิ่งคอยคิดคำนวณอยู่ในใจด้วยว่าจะพาเจี่ยนถงออกไปยังไง และพิจารณาว่าจะจัดการแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายหลังให้ดียังไง

ถึงแม้เสิ่นซิวจิ่นเอง ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกับตระกูลของคุณชายพวกนี้เพื่อเจี่ยนถง

“มีอะไรที่ดันจะต้องคุกเข่าด้วยคะ ดูไม่มีรสนิยมเอาซะเลย คุณชายเห้อถือว่าเห็นแก่บอสใหญ่ของพวกเรา วันนี้ก็ช่างเถอะนะคะ” ซูเมิ่งเกลี้ยกล่อมทางอ้อม

“เพี๊ยะ” เห้ออู่หันไปตบหน้าซูเมิ่งอย่างโหดทีหนึ่ง พร้อมทั้งด่าทออย่างเจ็บแสบ “ฉันบอกแล้วใช่มั้ย! ว่าที่นี่มีสิทธิ์ให้เธอพูดด้วยเหรอ!”

เจี่ยนถงตาแดงก่ำ “เห้ออู่! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพี่เมิ่ง! คุณมีสิทธิ์อะไรไปลงมือตบเธอ!”

“อุ๊ย เจี่ยนถง เธอคงไม่ใช่นึกว่าเธอยังเป็นเจี่ยนถงสมัยก่อนมั้ง จะให้ฉันเตือนเธอมั้ย ตอนนี้เธอสู้ไม่ได้แม้กระทั่งขี้หมา ยังมาทำตัวน่าเกรงขามอีก”

ระหว่างที่เห้ออู่พูดก็สีหน้าเปลี่ยนไปเลย ได้ยื่นมือตบ“เพี๊ยะ”ที่หน้าซูเมิ่งอีกทีโดยตรง “ฉันจะตบมันแล้วจะทำไม? เจี่ยนถง เธอนึกว่าเธอยังเหมือนเมื่อก่อนเหรอ แม่ง ก็ไม่ดูหนังหน้าตอนนี้ของมึงเลย ยังมาสาระแนเรื่องคนอื่นอีก?”

“คุณอย่าตบพี่เมิ่ง!”

“ได้ เธอคุกเข่าสิ คุกเข่าลงมาขอร้องฉันสิ” เห้ออู่พูดพร้อมหัวเราะเสียงดัง “คุกเข่าลงมาขอร้องฉัน แล้วฉันจะปล่อยมันไป”

“เจี่ยนถง พี่ไม่เป็นไร เขาได้แค่ตบพี่ไม่กี่ที อย่างอื่นเขาไม่กล้าหรอก เธอไม่ต้องสนใจเขา” ซูเมิ่งมองเห้ออู่ด้วยสายตาเย็นชา ฐานะของเธอค่อนข้างลำบากใจ ก็เพราะเธอเป็นแค่คนนำหน้าของบอสผู้อยู่เบื้องหลังของตงหวง ดังนั้น เห้ออู่ถึงได้อยากตบเธอก็ตบ และก็เพราะเธอเป็นคนนำหน้าของบอสตงหวง เห้ออู่ก็แค่กล้าตบเธอ ไม่กล้าเอาเธอให้ตาย

“เพี๊ยะ!”เห้ออู่ตบไปอีกทีหนึ่ง “ลองดูว่าฉันจะกล้าหรือเปล่า!”

“เห้ออู่!” เจี่ยนถงตาแดงก่ำ “นี่เป็นความแค้นระหว่างเรา คุณอยากทำอะไรกันแน่!”

เจี่ยนถงทั้งโกรธและโมโห ดวงตาทั้งคู่แดงเถือก

ตั้งแต่รู้จักซูเมิ่งมา สิ่งที่ซูเมิ่งทำเพื่อเธอ สิ่งที่ซูเมิ่งดีกับเธอ เจี่ยนถงล้วนทะนุถนอมมาก

บางทีคนบางคนเป็นพวกที่ในหนึ่งร้อยเรื่อง คุณทำดีกับเธอ99เรื่อง แต่มีเรื่องเดียวที่คุณทำไม่ดีกับเธอ ก็จะทำลาย99เรื่องที่ดีก่อนหน้านี้ทิ้งไปหมด

แต่เจี่ยนถงไม่ใช่ เธอทะนุถนอมความดีที่ซูเมิ่งทำให้เธอมาก

แน่นอนว่าซูเมิ่งไม่สามารถทำดีเพื่อเธอทุกเรื่อง ซูเมิ่งก็มีชีวิตของตัวเอง มีอนาคตของตัวเอง คนอื่นไม่ได้ติดค้างเจี่ยนถงสักหน่อย ความดีที่มีต่อตัวเองเหล่านั้น ก็คือบุญวาสนาของเธอแล้ว

แต่เห้ออู่กลับตบหน้าซูเมิ่งทีแล้วทีเล่าต่อหน้าเธอ

นี่ทำให้เจี่ยนถงทรมานจิตใจยิ่งกว่าตบหน้าเธอเสียอีก

“คุณบอกมา! คุณอยากให้ฉันทำอะไรกันแน่! เห้ออู่! คุณบอกมา! คุณบอกมา! คุณบอกมาสิ!”

เธอตวาดด้วยความโกรธ! เสียงที่แหบพร่ายิ่งขัดหูเข้าไปใหญ่!

ซูเมิ่งชะงัก…….เธอไม่เคยเห็นเจี่ยนถงเผยอารมณ์แบบนี้ต่อหน้าเธอมาก่อน ที่ผ่านมาเจี่ยนถงล้วนเป็นคนที่เฉยเมยและน่าเบื่อ ไม่มีสีหน้าอารมณ์สักเท่าไหร่……แต่ว่า เจี่ยนถงกลับเปลี่ยนไปไม่เหมือนเจี่ยนถงที่ตัวเองรู้จัก เพียงเพราะตัวเองถูกตบไปหลายที?

“เสี่ยวถง พี่ไม่เป็นไร…….”

“เพี๊ยะ!” ซูเมิ่งยังพูดไม่จบ เห้ออู่ก็ตบมาที่ใบหน้าของซูเมิ่งโดยตรงจนหน้าบวม หลังศีรษะกระแทกใส่มุมโต๊ะ ส่งเสียง“ปึ๊ก”ออกมา

เจี่ยนถงมองดูร่างกายของซูเมิ่ง ขยับไปด้านหน้าเล็กน้อย แววตามีการสูญเสียก่อตัวอยู่ครู่หนึ่ง

หัวใจเธอกระตุกทีหนึ่ง “เห้ออู่! ฉันจะคุกเข่า!” เสียงแหบพร่าของเธอ ใช้แรงทั้งหมดตะคอกใส่เห้ออู่ “ฉันคุกเข่า!”

หัวเข่าของเจี่ยนถงย่อลงมา เตรียมจะคุกเข่า

“เดี๋ยว” เสียงของเห้ออู่ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียง“เพล้ง” แก้วเหล้าในมือของเห้ออู่ตกใส่พื้น แตกเป็นเศษแก้วเล็กๆ เห้ออู่ยิ้มพร้อมพูดว่า “ตอนนี้คุกเข่าได้แล้ว”

บทที่88 ปล่อยฉันไปเถอะ

ย่าคุนที่นั่งอยู่บนโซฟากำลังโทรศัพท์อยู่ พูดอะไรกับคนในสายได้สักพัก จากนั้นก็ได้เรียกเจี่ยนถงไว้ “เฮ้ย เจี่ยนถง เธอลองทายดูซิว่าเมื่อกี๊ฉันโทรหาใคร?”ย่าคุนยิ้มอย่างร้ายๆ แววตาระยิบระยับ “พี่ชายเธอ เธอทายดูว่าพี่ชายเธอพูดอะไรบ้าง? เขาบอกว่าตระกูลเจี่ยนไม่มีคนที่ชื่อเจี่ยนถง ฮ่าๆ เจี่ยนถงนะเจี่ยนถง เธอช่างน่าสงสารจริงๆ ทำเพื่อนสนิทตัวเองตายมีประโยชน์อะไร? เวยเหมิงซวยมาแปดชั่วโคตรถึงได้มาเป็นเพื่อนกับเธอ!”

ย่าคุนที่พูดคำพูดนี้ แววตามีความโกรธเคืองแว็บผ่าน สายตาที่มองเจี่ยนถงไว้ เหมือนจะสับเจี่ยนถงให้เป็นชิ้นๆ!

เจี่ยนถงก้มหน้าก้มตาไว้ คนอื่นดูสีหน้าแววตาเธอไม่ออก

เธอก็ไม่หักล้าง เธอรู้ว่าย่าคุนชอบเซี่ยเวยเหมิง……เธอไม่ได้อธิบาย มุมปากมีรอยยิ้มที่เยาะเย้ยตัวเอง ใครๆก็ไม่เชื่อเธอหรอก อธิบายแล้วจะมีประโยชน์อะไร?

แต่ในใจลึกๆยังคงเจ็บจี๊ดเพราะคำพูดของเจี่ยนโม่ป๋ายอีกเช่นเคย

เจี่ยนถงหัวเราะเบาๆ ก็ไม่รู้ว่ากำลังหัวเราะตัวเองหรือหัวเราะย่าคุน หรือหัวเราะเจี่ยนโม่ป๋าย เธองอเข่าลงอย่างช้าๆพร้อมรอยยิ้ม

ซูเมิ่งตะโกนเสียงดัง “เจี่ยนถง อย่า!”

“ปัง!”

เสียงหัวเข่ากระแทกพื้นอย่างแรง เจี่ยนถงคุกเข่าลงไปอย่างตัวตรง เศษแก้วได้ทิ่มเข้าไปเนื้อของหัวเข่า ใช่ว่าเธอจะไม่เจ็บ แต่กลับเงยหน้ามองไปที่เห้ออู่ “คุณปล่อยพี่เมิ่ง”

ซูเมิ่งเบิกตากว้าง

เห้ออู่มองดูฉากนี้แล้วหัวเราะขึ้นมาทันที “ฮ่าๆๆๆ…..เจี่ยนถงที่หยิ่งยโสทั่วเมืองS! ฮ่าๆๆ…..เธอคุกเข่าลงมาแล้ว! ฮ่าๆๆๆๆ…..เจี่ยนถง เธอก็มีวันนี้ด้วยเหรอ? เธอยังจำได้มั้ยว่าตอนนั้นฉันทุ่มเทแรงกายมากขนาดนั้นตามจีบเธอ เธอแค่พูดอย่างชิวๆคำหนึ่งว่า‘คุณไม่คู่ควรกับฉัน’ ก็ทำให้ฉันจากไป ตั้งแต่นั้นมาก็ให้ฉันกลายเป็นตัวตลกของเมืองS!”

เขามองหน้าเจี่ยนถง แววตามีความสะใจที่ได้แก้แค้น “เจี่ยนถง เจี่ยนถง เจี่ยนถง! เธอเคยคิดมั้ยว่าเธอก็มีสภาพอย่างวันนี้? เธอเคยคิดมั้ยว่าสวรรค์ไม่ปล่อยให้คนร้ายลอยนวลหรอก ทีนี้กรรมตามสนองแล้วสะใจรึยัง!”

เขาหยิบเช็คที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา และถอยหลังไปสี่ห้าก้าว จากนั้นได้ชูเช็คในมือขึ้น “อยากได้เงินมั้ย? เธอคลานมาเลย เงินอยู่แค่ตรงนี้เอง”

เขายื่นมือชี้ใต้ขาตัวเอง “เธอคลานไปจากที่นี่ เงินห้าแสนนี้ก็จะเป็นของเธอ ฉันเป็นคนที่พูดคำไหนคำนั้น เป็นยังไงบ้าง?”

สมัยนั้น เจี่ยนถงแค่พูดคำเดียวว่า“คุณไม่คู่ควรกับฉัน”ก็ได้ฉีกหน้าเขา วันนี้เห้ออู่ก็จะเอาเงินห้าแสนหยวนนี้มาทำให้เจี่ยนถงขายหน้า

“เจี่ยนถง อย่า!”ซูเมิ่งเสียใจ เธอมาเสียใจภายหลังแล้วจริงๆ!

เจี่ยนถงเงยหน้ามองเช็คห้าแสนหยวนที่อยู่ในมือของเห้ออู่ทีหนึ่ง

ข้างหูคือเสียงของซูเมิ่ง แววตาระยิบระยับ

จู่ๆเจี่ยนถงหันไปมองซูเมิ่งอย่างช้าๆ

ลมหายใจของซูเมิ่งหยุดชะงักไว้ พร้อมกับม่านตาหด!

เจี่ยนถงหันไปมองหน้าซูเมิ่งไว้……ขอโทษค่ะ ฉันมีทางของฉันต้องเดิน ฉันยังมีเรื่องมากมายที่ยังไม่ได้ทำ ฉันจะหนีพ้นจากฝ่ามือมารของผู้ชายคนนั้น

เจี่ยนถงหายใจลึกๆและหลับตาลง……มีอะไรต้องตกใจด้วย เพราะก็ไม่ใช่เพิ่งจะคุกเข่าเป็นครั้งแรกแล้ว เพราะเธอ……ก็ไม่เหลืออะไรตั้งนานแล้ว

ไม่ว่าเป็นใคร แล้วมีความแตกต่างอะไร?

เหอะๆ…….

เสียงแก้วหล่นร่วงลงไปอีกสองที ซูเมิ่งด่าใหญ่เลย “คุณชายเห้อ คุณมีความแค้นใหญ่โตอะไร ถึงต้องต่ำช้าขนาดนี้!”

“เพี๊ยะ!”เห้ออู่ตบซูเมิ่งจนเสพติดแล้ว

หัวใจของเจี่ยนถงกระตุกทีหนึ่ง เธอเงยหน้าขึ้นมาอย่างเย็นชา “อย่าแตะต้องพี่เมิ่ง”

ระหว่างที่เธอพูดหัวเข่าก็ได้เขยิบไปข้างหน้า ทุกครั้งที่เขยิบ เศษแก้วนั้นก็จะทิ่มเข้าไปลึกๆ ทุกครั้งที่ขยับ ก็จะมีเศษแก้วที่มากกว่าทิ่มเข้าไปในเนื้อ ซูเมิ่งจะก้าวไปขัดขวาง แต่กลับถูกคนอื่นขัดขวาง “ผู้จัดการซูดูอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆก็พอ ถ้ายั่วโมโหคุณชายเห้อเข้าจริงๆ เสี่ยวถงคนนี้จะต้องทนทุกข์ทรมานอีกแน่”

เหมือนข่มขู่ เหมือนตักเตือน และเหมือนย้ำเตือน ซูเมิ่งฟังจนร้อนรนใจ แต่กลับไม่กล้าขมับไปซี้ซั้ว

“พวกคุณทำแบบนี้ บอสใหญ่ของพวกเราจะต้องโกรธแน่ๆ”

“โอเค บอสใหญ่ของพวกเธอคือใคร ถ้าเขาโกรธจริงๆ เธอแจ้งชื่อของพวกเราโดยตรงเลย”เขาไม่เชื่อหรอกว่าอยู่ในเมืองSนี้ ถ้าตระกูลของเพื่อนๆที่อยู่ในนี้ร่วมมือกัน ยังจะมีคนกล้าผลีผลามพุ่งออกมาเป็นศัตรูกับพวกเขามั้ย

ใครก็ไม่โง่ถึงขั้นขัดใจตระกูลทั้งหลายในห้องนี้ แค่เพื่อพนักงานบริษัทคนหนึ่งที่เล็กจนไม่มีค่าให้เอ่ยถึง

ถึงแม้มีระยะห่างแค่สี่ห้าก้าว แต่ทุกการขยับเขยื้อนกลับเหมือนคุกเข่าอยู่บนปลายมีดแหลมคม

บนหน้าผากมีเหงื่อซึม ด้านหลังของเสื้อก็เปียกชุ่มไปหมด

เจี่ยนถงเงยหน้ามองเห้ออู่ทีหนึ่ง

“ลอดสิ”

“ลอดสิ”

“ลอดไปสิ”

ในห้องVIP มีคำว่า“ลอดสิ”ทะลุเข้าไปที่หูของเจี่ยนถงอย่างไม่ขาดสาย

ซูเมิ่งแค่พูดคำเดียวว่า“เจี่ยนถง อย่า”ก็ถูกคนพวกนั้นปิดปากเอาไว้

“ลอด! ลอด! ลอด! รีบลอดสิ!”

เสียงเร่งรัดแต่ละคำที่มีความสุขบนความทุกข์คนอื่น แววตาที่อดใจรอไม่ไหวดหมือนดั่งหมาป่า แผ่นหลังของเจี่ยนถงยืดตัวตรง กลับเกร็งไปทั้งเนื้อทั้งตัว……ห้าแสน ห้าแสน! แค่ลอดใต้ขาครั้งเดียวก็ได้เงินห้าแสน! เธอได้กำไรแล้วไม่ใช่เหรอ? แต่ทำไมหัวใจของเธอถึงเจ็บจนหายใจไม่ออก?

เจี่ยนถง เธอก็แค่นักโทษคุมประพฤติคนหนึ่ง เธอยังจะเอาศักดิ์ศรีอะไรอีก?

ของแบบนั้นมันหรูหราเกินไป เธอไม่มีตั้งนานแล้ว แล้วมัวแต่สำออยอะไรอยู่!

เป็นกะหรี่ ก็ต้องเป็นกะหรี่

ที่ผ่านคุณสมบัติสิ!

อยู่ภายใต้การจับตามองของผู้คน เธอค่อยๆโก่งตัว ก้มตัวกับศีรษะไว้ และคืบคลานอยู่ใต้ขาของเห้ออู่ มือทั้งสองยันอยู่บนพื้น มือขวาขาขวา มือซ้ายขาซ้าย คลานไปที่ใต้ขาของเห้ออู่ทีละก้าวๆ

ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร……แค่นี้นับประสาอะไร?

เธอเคยลอดใต้ขาของคนที่อยู่ในคุกพวกนั้นมาแล้ว แค่นี้นับประสาอะไร?

แต่ทุกก้าวที่คลานไป ความทรงจำเก่าๆที่เจี่ยนถงไม่อยากจะรื้อฟื้น ยิ่งผุดขึ้นมาในหัวอย่างชัดเจน

ห้องน้ำในสถานกักกัน พวกหล่อนดักเธอที่หัวมุม ให้เธอลอดใต้ขาพวกหล่อนไป คลานและลอดไปทีละคนคน บางคนยิ่งเจตนาร้ายฉี่ใส่ใบหน้าและหัวของเธอ ในขณะที่เธอลอดผ่าน

ถ้าเธอไม่ยอม ก็จะถูกพวกหล่อนใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันที่เย็นเฉียบฉีดใส่ ไม่ว่าจะหน้าร้อนหรือหน้าหนาว ขอแค่ต่อต้าน ก็จะใช้วิธีการที่น่ากลัวกว่ากับเธอ

เจี่ยนถงไม่รู้ว่าตัวเองลอดไปยังไง ร่างกายเธอสั่นอย่างแรง นาทีนี้ ได้พาเธอกลับไปสู่ชีวิตในคุกเมื่อสามปีก่อนอีกครั้ง

“ชิ คุณหนูเจี่ยนที่เคยหยิ่งยโสสุดๆ เพื่อเงินห้าแสนหยวน ถึงกับลอดใต้ขาผู้ชายแล้ว”

“รีบถ่ายรูปเร็ว พรุ่งนี้จะต้องพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งแน่ๆ”

สีหน้าของเจี่ยนถงซีดเซียวลงมาทันที ความโกรธที่เธอฝืนทนไว้ ในที่สุดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอพูดด้วยริมฝีปากที่ซีดเซียว “อย่าถ่ายรูป”

ถ่ายรูปไม่ได้!

“เธอบอกว่าห้ามถ่ายก็ห้ามถ่ายงั้นเหรอ เธอนึกว่าเธอยังเป็นคุณหนูของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปอยู่อีกเหรอ ชิ~”

ม่ายตาของซูเมิ่งหดตัว พร้อมมองเจี่ยนถงอย่างตกใจมาก……คุณหนูของเจี่ยนซื่อกรุ๊ป? !

เจี่ยนถง? ? ?

แต่ถ้าเธอเป็นคุณหนูตระกูลเจี่ยน แล้วทำไมถึงกลายเป็นสภาพแบบนี้? !

แทบไม่อยากจะเชื่อเลย!

คำว่า“ถ่ายรูป”นี้ ได้ทำลายความแข็งกร้าวที่เจี่ยนถงเสแสร้งขึ้นมาจนพัง แป๊บเดียวก็พังพินาศโดยสิ้นเชิง เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้น “…….ขอ…ขอร้องพวกคุณ อย่าถ่ายรูป”

“ขอร้อง? เห้ออู่ นายได้ยินหรือยัง? เมื่อกี๊คุณหนูเจี่ยนบอกว่า‘ขอร้อง’? คุณหนูเจี่ยนแห่งหาดเซี่ยงไฮ้ที่เคยหยิ่งยโส ถึงกับพูดกับนายว่า‘ขอร้อง’!”

“ฮ่าๆๆๆ……”

เสียงเยาะเย้ยและกลั่นแกล้งของรอบๆ จะทำให้เจี่ยนถงจมลงไปอย่างมืดฟ้ามัวดิน!

บนใบหน้าเธอเหลือแค่ความตื่นตระหนก “อย่าถ่ายรูป! อย่าถ่ายรูป! ! !”เธอกรีดร้อง แต่เธอยิ่งต่อต้าน คนที่หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายก็ยิ่งเยอะ พวกเขายิ่งถ่ายยิ่งมีความสุข

“ฮ่าๆๆๆๆ……”

“ฮ่าๆๆๆๆ…….”

เสียงหัวเราะติดๆกัน เหมือนดั่งคำสาปลมหายใจของเจี่ยนถงยิ่งอยู่ยิ่งเร่งรีบ เธอส่ายหัวสุดฤทธิ์ “อย่าถ่ายรูป อย่าถ่าย!”

ถ่ายรูปไม่ได้ ห้ามถ่าย!

ความน่าอนาถของเธอ เผยอยู่ที่ตรงหน้าของเพื่อนๆที่เคยเล่นด้วยกันอย่างชัดแจ๋ว ส่วนพวกเขาต่างก็กำลังมองดูเธอขายหน้า

เจี่ยนถงรู้สึกสิ่งของทุกอย่างที่อยู่รอบๆ ไม่ว่าจะคนก็ดี สิ่งของก็ดี ล้วนกำลังหมุนติ้วๆอย่างบ้าคลั่ง เธอแหงนหน้ามองฝ้าเพดานที่หมุนติ้วๆ พร้อมเริ่มพูดจาค่อนข้างเหลวไหลแล้ว “ปล่อยฉันไป ปล่อยฉันไป ขอร้องพวกคุณปล่อยฉันไปเถอะ……”

ซูเมิ่งมองเจี่ยนถงที่เป็นแบบนี้แล้วเจ็บปวดใจจนหลับตาลง……เจี่ยนถง ยัยเด็กโง่คนนี้!

“ไม่อยากถ่ายรูปงั้นเหรอ?”ย่าคุนคว้าเหล้าขวดหนึ่งมาพร้อมนั่งยองๆ จากนั้นได้ยื่นมาที่ตรงหน้าของเจี่ยนถง “มาๆๆ ดื่มมันซะ แล้วพวกเราจะหยุดถ่าย”

บทที่89 เซี่ยเวยเหมิงไม่ได้ผู้บริสุทธิ์ใจ

“เธอยังจำได้มั้ย ตอนที่เธอบังคับให้เวยเหมิงกรอกวิสกี้ลงไปขวดหนึ่ง? เจี่ยนถง คุณหนูเจี่ยน ตอนนั้นเธอเคยคิดหรือเปล่าว่าเธอจะมีวันนี้”

เจี่ยนถงมองย่าคุนที่สีหน้าเต็มไปด้วยความเคียดแค้นอย่างเอ๋อ แววตาเต็มไปด้วยความงงงวย “ฉัน? บังคับ? เวยเหมิง? กรอกวิสกี้ลงไปขวดหนึ่ง?”

ทุกคำพูดของเธอแฝงด้วยความสงสัย เธอไม่แยแสที่จะไปทำเรื่องบังคับคนหรอก ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้วิธีชั้นต่ำแบบนี้กับเซี่ยเวยเหมิง บังคับให้เซี่ยเวยเหมิงกรอกวิสกี้ลงไปขวดหนึ่ง

เรื่องแบบนี้ เธอไม่เคยแยแสที่จะไปทำเลย

“แกล้งโง่งั้นเหรอ? คุณหนูเจี่ยน ตอนนั้นเธอเบ่งอำนาจขนาดไหน ริษยาเวยเหมิง แกล้งใช้วิธียั่วยุปลุกปั่นกับเวยเหมิง ให้เวยเหมิงจำต้องดื่มวิสกี้ลงไปขวดหนึ่ง เธอนึกว่าเรื่องนี้ไม่มีคนเห็น คนอื่นก็จะไม่รู้งั้นเหรอ?”

จู่ๆเจี่ยนถงพูดขัดจังหวะย่าคุน และพูดด้วยเสียงแหบพร่า “ไม่ ฉันไม่เคยทำเรื่องที่คุณพูด”

“ชิ~”ดวงตาอำมหิตของย่าคุนแทบอยากจะจ้องอยู่ที่บนตัวของเจี่ยนถง “เธอว่าเธอถูกฉันปรักปรำ? หรือว่าเวยเหมิงพูดโกหก? ตอนนั้นเวยเหมิงดื่มเมาเละเทะอยู่บนถนน โชคดีที่ถูกฉันพบเห็น มิเช่นนั้นยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น! เจี่ยนถง เธอกำลังว่าเวยเหมิงเมาเหล้าเป็นเรื่องเท็จ หรือว่าเรื่องที่ฉันเห็นกับตาเป็นเรื่องเท็จ? !”

เจี่ยนถงเหมือนถูกฟ้าผ่า!

ม่านตาหดตัวทันที…… เวยเหมิงเมาเละเทะ ถูกย่าคุนพบเห็น?

“เวยเหมิง……เป็นคนพูดเเหรอคะ?”สีหน้าแววตาของเธอดูแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก

ย่าคุนทนเห็นเธอแบบนี้ไม่ได้ “เธอเสแสร้งเก่งจริงๆ! เสแสร้งเป็นตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว! เธอนึกว่าต่อหน้าดีกับเวยเหมิงขนาดนั้น ลับหลังกลับทำเรื่องชั่วช้า เธอนึกว่าสามารถปิดบังคนได้จริงเหรอ? แล้วที่แขนขาของเวยเหมิงมีรอยช้ำอยู่บ่อยๆมันยังไงกันแน่?”

“คุณเห็นฉันเป็นคนแบบนี้เหรอ? คุณนึกว่าฉันใจร้ายและย่ำยีเซี่ยเวยเหมิง?”ผู้หญิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ลำแสงในแววตาลึกๆของเธอยิ่งอยู่ยิ่งมืดมน…..ระหว่างคิ้วของเธอ มีความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก

แต่ไม่นานก็จางหายไปหมด…….เรื่องบางเรื่อง ที่จริงก็เดาออกแล้ว

เวลาสามปี กี่ค่ำคืนที่ถูกล็อกกุญแจมือให้นอนอยู่ที่ข้างชักโครก กี่ค่ำคืนที่เจ็บปวดจนยากที่จะนอนหลับ แม้แต่หายใจก็ยังลำบาก ค่ำคืนที่ได้แต่พิงอยู่ที่หัวมุมผนังและมองดูฝ้าเพดานอย่างเซ่อๆ……เงียบเหงาอ้างว้างจนนอกจากเหม่อลอยก็ยังเหม่อลอย ค่ำคืนที่หาเรื่องอย่างอื่นทำไม่ได้อีกต่อไป……หรือว่า ยังไม่พอให้เธอเข้าใจเรื่องที่เมื่อก่อนดูไม่ชัดเจนอีก?

เธอใช้เวลาสามปีในการคิดทบทวน ตอนแรกเพื่อหาหลักฐานที่ตัวเองถูกปรักปรำ

แต่ว่าพอยิ่งคิดมาก เธอก็ยิ่งตาสว่าง

มาจนสุดท้าย ตอนที่เธอกลับไปทวนซ้ำเรื่องราวพวกนั้นอีก ไม่ใช่เพื่อหาหลักฐานที่ตัวเองถูกปรักปรำแล้ว แต่เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองเดาผิด

หัวเราะขึ้นมาเบาๆอย่างไม่พูดจา มุมปากเธอมีรอยยิ้มที่ขมขื่นลุกลามอยู่ในปาก…….สุดท้ายเธอก็เดาถูกอยู่ดี

ตั้งแต่ที่ย่าคุนเริ่มกล่าวหาเจี่ยนถง เจี่ยนถงก็รู้ว่าในสามปีนั้น ตัวเองได้ทำเรื่องที่น่าขำน่าเศร้าและน่าสงสารแค่ไหน——ไม่นึกเลยว่าเธอเพื่อพิสูจน์ตัวเองเดาผิด เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของเซี่ยเวยเหมิง เธอทรมานตัวเองไปรื้อฟื้นความทรงจำที่เธอไม่ค่อยอยากรื้อฟื้นเท่าไหร่อย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เธอโง่หรือเปล่า?

เธอโง่!

มิเช่นนั้น ในสามปีนั้นก็สังเกตเห็น“ความสกปรก”ของเซี่ยเวยเหมิงตั้งนานแล้ว แต่ยังคงรื้อฟื้นความทรงจำครั้งแล้วครั้งเล่าอีกเช่นเคย อยากไปหาหลักฐานที่“บริสุทธิ์ใจ”ของเซี่ยเวยเหมิงเจอจากความทรงจำที่ผ่านมา ใช้มาโค่นล้มความสงสัยที่ปรุโปร่งอยู่ลึกๆในใจของตัวเอง

“เธอหัวเราะ เจี่ยนถง เธอหัวเราะแล้ว เธอกำลังหัวเราะอะไรอยู่? เธอหัวเราะเวยเหมิงตายไปแล้ว เธอหัวเราะแผนการของเธอได้บรรลุเป้าหมายแล้ว? เจี่ยนถง เธอมันไร้ยางอาย! เธอยังหัวเราะอีก! เธอห้ามหัวเราะ!”ย่าคุนถูกรอยยิ้มที่บอกไม่ถูกว่าแปลกประหลาดยังไงของผู้หญิงที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้ายั่วโมโห ในใจโกรธเป็นเป็นไฟอย่างไม่ทราบสาเหตุ

เธอแหงนหน้ามองย่าคุนแล้วหัวเราะ แต่ไม่ส่งเสียงหัวเราะออกมาเลย หัวเราะจนทำให้คนสะอิดสะเอียนปานนั้น รอยยิ้มนั้น แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก ไม่ว่าย่าคุนก็ดี เห้ออู่ก็ช่าง หรือคนอื่นๆก็ตาม ต่างก็ทำให้คนกลัวจนหัวใจสั่น

ในที่สุดผู้หญิงคนนั้นก็อ้าปาก เสียงที่แหบพร่ากระตุ้นโดนประสาทสมองของทุกคน “ย่าคุน ขอบคุณ ขอบคุณๆมาก ขอบคุณจากใจจริง”คุณเป็นคนดึงฉันออกมาจากความเพ้อฝัน ทำให้ในที่สุดฉันก็กล้าเพ่งมองความสงสัยที่มีต่อเซี่ยเวยเหมิงอยู่ในใจลึกๆ

คำกล่าวหาของย่าคุน เธอไม่เคยทำ ความเกรี้ยวกราดของย่าคุนช่างจริงจังขนาดนี้ งั้นแสดงว่าอะไร?

แสดงว่าเซี่ยเวยเหมิงเคยพูดเรื่องเท็จแบบนี้กับย่าคุนจริงๆ!

เรื่องของตอนนั้น มีจุดน่าสงสัยหลายจุด เธอไม่เคยทำอะไรสักอย่าง สุดท้ายกลับกลายเป็น“หลักฐานที่เป็นอันตรายต่อเธอ” แล้ว“หลักฐาน”ที่ว่านั้นคืออะไร?

ก็คือข้อความและรายการบันทึกโทรเข้าที่อยู่ในมือถือของเซี่ยเวยเหมิง ก่อนที่เธอจะเกิดเรื่องได้ส่งข้อความและโทรหาตัวเอง!

ตอนนั้นเธอไม่เคยคิดไปถึงบนตัวของเซี่ยเวยเหมิงเลย

เธอขอบคุณย่าคุนจริงๆ

แต่คำพูดนี้ ฟังอยู่ในหูของคนพวกนี้เหมือนยุแหย่มากกว่า

ย่าคุนโกรธเนื่องจากละอายใจ คำว่า“ขอบคุณ”ของเจี่ยนถง ก็สามารถทำให้ประสาทสมองของเขาแตกอย่างสิ้นเชิง “ขอบคุณ? เธอบอกว่าขอบคุณ?” นี่เขากำลังเหยียดหยามเธออยู่นะ แต่เธอกลับพูดว่า“ขอบคุณ”?

เย็ดแม่ง!

เย็ดแม่ง!

เย็ดแม่ง!

เขายื่นมือกระชากผมของเจี่ยนถงไว้ เอาเหล้าที่อยู่ในมือยื่นมาที่ตรงหน้าของเจี่ยนถงอย่างหยาบคาย “ได้ เธอจะขอบคุณฉันใช่มั้ย งั้นก็ดื่มเหล้าขวดนี้ซะ เธอดื่มเหล้าขวดนี้หมด ฉันก็จะให้พี่ๆน้องๆในนี้ลบรูปและคลิปทั้งหมดในมือถือทันที”

“เป็นไง ยุติธรรมมั้ย ตอนนั้นเธอบังคับให้เวยเหมิงดื่มวิสกี้ลงไปขวดหนึ่ง วันนี้เธอก็ดื่มวิสกี้ขวดหนึ่ง ฉันสาบานที่นี่เลยว่าต่อไปจะไม่หาเรื่องเธออีก”ย่าคุนสีหน้าดุร้าย “เอาไง จะดื่มหรือไม่ดื่ม?”

จะดื่มหรือไม่ดื่ม?

เจี่ยนถงหลุบตาลง มองวิสกี้ขวดนั้นแล้วเงียบกริบ

ซูเมิ่งถูกปิดปากไว้ เธอเบิกตากว้าง ได้แต่ครวญ“อื้ออออออ”แต่พูดไม่ออก

“ฉันไม่เคยทำ และฉันก็ดื่มเหล้าไม่ได้ค่ะ” เธอค่อยๆอธิบาย เธอไม่เคยทำ ไม่เคยทำก็คือไม่เคยทำ และเธอก็ดื่มเหล้าไม่ได้ด้วย

เพื่ออะไร เธอถึงได้ทนกับความอัปยศอดสูมากมายขนาดนั้น ทนกับการหัวเราะเยาะเหล่านั้น ไปทำเรื่องที่ไม่มีใครยอมไปทำ…..เพื่อจะไม่ดื่มเหล้า เธอถึงขั้นสามารถคุกเข่าให้คนอื่น สามารถเดิมพันชีวิตโดยการเข้าไปแช่ในน้ำ สามารถร้องเพลงจนกล่องเสียงถูกอักเสบ สามารถทำเรื่องนับไม่ถ้วน แต่ไม่สามารถดื่มเหล้าอย่างเดียว

“ฉันไม่ดื่มเหล้า”เธอ“ฟึบ”เงยหน้าขึ้น และพูดอย่างเชื่องช้า แต่กลับแน่วแน่สุดๆ“บอสใหญ่เคยรับปากฉันว่าไม่ต้องดื่มเหล้าค่ะ”

“ฮ่าๆๆ……ฉันเพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกว่าทำงานแบบนี้แล้วไม่ดื่มเหล้า เจี่ยนถง เธอนึกว่าเธอยังเป็นคุณหนูเจี่ยนอยู่อีกเหรอ อยากทำอะไรก็ทำ ไม่อยากทำอะไรก็ไม่ทำ? ฮ่าๆ”

ย่าคุนล้วงมือถือออกมา พร้อมชูมือถือขึ้น จากนั้นได้เอาคลิปวิดีโอที่เพิ่งถ่ายเมื่อครู่ให้เจี่ยนถงดู “ฉันแค่กดปุ่มนี้ คลิปวิดีโอนี้ก็สามารถโพสไปที่วีแชทโมเม้นต์ของฉันโดยตรงแล้ว เอาไง ไม่ดื่มจริงเหรอ?”

บทที่90 บอส ช่วยด้วยค่ะ

ไหล่ของเจี่ยนถงสั่นคลอน……

“ในวีแชทโมเม้นต์ของฉันมีใครบ้าง เจี่ยนถง เธอรู้จักหมดเลยเชียวนะ”

หัวใจของเธอบีบรัดกะทันหัน!

ซูเมิ่ง“อื้ออออออ”ร้องเสียงหึ่งๆพร้อมกับเบิกตากว้าง……ไม่ได้ ไม่ได้! เจี่ยนถงดื่มเหล้าไม่ได้!

ซูเมิ่งมองผู้หญิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นได้ค่อยๆยกมือขึ้นมากุมวิสกี้ที่ย่าคุนยื่นมาให้ พร้อมกับได้ยินเสียงแหบพร่าของผู้หญิงคนนั้นพูดว่า “ฉันดื่มค่ะ”

“อื้อออออ!” ไม่ได้! ไม่ได้!

ซูเมิ่งเบิกตากว้าง พยายามเขยิบไปหาเจี่ยนถงอย่างสุดชีวิต แต่คนที่จับเธอไว้แรงเยอะเกินไป

เห้ออู่มองมาที่เธอพร้อมยิ้มอย่างเหลาะแหละ “ซูเมิ่ง วันนี้ต้องขอโทษเธอด้วยนะ แต่นี่เป็นเรื่องระหว่างพวกเรากับเจี่ยนถง เธออย่าสาระแนจะดีกว่า”

“อื้อๆ!”ไม่ใช่! ไม่ใช่อย่างนี้! เธอจะตายได้นะ! พวกคุณจะเอาเจี่ยนถงให้ตายเลยเเหรอ!

เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น สีหน้าของซูเมิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่วินาทีต่อมาก็ได้เปลี่ยนไปทันที!

ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน เธอได้เอาศีรษะไปชนคนที่จับเธอเอาไว้อย่างแรง อาศัยตอนที่คนคนนั้นโซซัดโซเซอยู่ ซูเมิ่งไม่เคยรับสายไวขนาดนี้มาก่อน “บอส! ช่วยด้วยค่ะ! อยู่ชั้นหก……”

มือที่อยู่ข้างๆได้ปัดมือถือของซูเมิ่งทิ้ง เห้ออู่หัวเราะอย่างเย็นชา “ซูเมิ่ง เธอเยี่ยม เธอเยี่ยมจริงๆ! เมื่อกี๊คือบอสใหญ่ผู้ลึกลับของเธอใช่มั้ย? ได้ วันนี้พวกฉันจะรออยู่ที่นี่ ฉันจะดูซิว่าบอสของเธอจะทำอะไรพวกเราได้!”

มือถือของซูเมิ่งยังอยู่ในโหมดคุยสายอยู่ ผู้ชายที่อยู่ในสายสีหน้าเย็นชา

จนกระทั่ง……

“ย่าคุน ให้เธอดื่ม! พวกเราดูหน่อยซิคุณหนูเจี่ยนที่เคยมีชื่อเสียงสะเทือนหาดเซี่ยงไฮ้ สลัดความหยิ่งยโสของเธอทิ้งยังไง!”

ผู้ชายที่อยู่ในสายได้กุมมือถือแน่นขึ้นทันที!

“เสิ่นยี พาคนมาด้วย ขึ้นไปชั้นหก”

เขาก้าวเท้าเดินไปที่ลิฟต์อย่างเร่งรีบ เสิ่นยีตกใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นได้รีบหยิบมือถือขึ้นมาติดต่อคนอื่น พร้อมเดินตามผู้ชายที่อยู่ข้างหน้าอย่างเร่งรีบ “บอส เกิดอะไรขึ้นครับ?”

ผู้ชายที่อยู่ในลิฟต์เม้มริมฝีปากบางไว้ ไม่พูดสักคำ แต่แววตาที่ดุร้ายเหมือนเหยี่ยวได้เผยความรู้สึกลึกๆในใจออกมา

ดิ๊ง!

เสิ่นซิวจิ่นออกจากลิฟต์ จากนั้นได้ผลักประตูหาคนทีละห้อง

เสิ่นยีมีความคิดแหลมคมอย่างเฉียบพลัน……เห็นได้ชัดว่าบอสร้อนรนใจมาก อีกอย่างกำลังตามหาคนด้วย

ในห้องVIPตึงเครียดขึ้นมาทันที ย่าคุนเล่นโทรศัพท์ในมือ พร้อมยิ้มร้ายๆ “ดื่มสิ คุณหนูเจี่ยนกำลังรออะไรอยู่? ฉันเตรียมจะโพสต์ลงไปในวีแชทโมเม้นต์แล้วนะ หลังจากทุกคนได้ยินข่าวที่คุณหนูเจี่ยนออกจากคุกแล้ว จะต้องคิดถึงเธอมากแน่ๆเลย”

“เดี๋ยว”เจี่ยนถงเรียกย่าคุนไว้ด้วยสีหน้าซีดเซียว สายตาจ้องย่าคุนทีหนึ่ง “ฉันดื่มค่ะ”

เธอรู้ว่าเธอไม่จำเป็นต้องไว้หน้าให้กับตระกูลเจี่ยน แต่ว่า….. เจี่ยนถงรู้ว่าตัวเองไม่เอาไหน ตระกูลเจี่ยนไม่เอาเธอละทิ้งเธอไปตั้งนานแล้ว แต่เธอยังคงไม่อยากให้ตระกูลเจี่ยนขายหน้าเพราะเธออีกเช่นเคย

“อื้อๆ!”อย่านะ! ซูเมิ่งเริ่มกระวนกระวายแล้ว

เจี่ยนถงดื่มเหล้าไม่ได้ ถ้าดื่มเหล้าก็คือเอาชีวิตไปเดิมพันเลย!

คนอื่นดื่มเหล้า มากสุดก็แค่เมาเหล้า เจี่ยนถงดื่มเหล้า นั่นคือไปเดินเล่นที่หน้าประตูนรกเลยนะ!

เจี่ยนถงมองซูเมิ่งแล้วยิ้มให้กับซูเมิ่งทีหนึ่ง รอยยิ้มนั้นกลับทำเอาซูเมิ่งอึ้ง…….ที่แท้เวลายัยเด็กโง่คนนี้ยิ้มขึ้นมาสวยขนาดนี้เลย

เจี่ยนถงกลับจะใช้แว็บเดียวนี้ จะมองซูเมิ่งให้เข้าไปอยู่ในใจ

“เอาล่ะๆ ไม่ใช่แยกตายจากกันสักหน่อย แค่ดื่มเหล้าเอง ต้องขนาดนี้เลยเหรอ”เห้ออู่พูดแดกดัน

แหย่ให้ซูเมิ่งมองเขาสายตาโกรธเคือง

เจี่ยนถงยิ้มอย่างสงบจิตสงบใจ ยกขวดเหล้ามาที่ปาก ตอนเงยหน้าเธอพูดกับอาลู่ว่า ถ้าพี่ไม่ตาย ก็จะตอบแทนบุญคุณของเธอต่อ ถ้าพี่ตายไปอยู่ขุมนรก เธอก็อย่ารังเกียจว่าพี่ไม่เอาไหนเลยนะ พี่….พยายามสุดความสามารถแล้ว

วิสกี้กรึ๊บหนึ่ง เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นหึ่ง…..เธอไม่ได้ดื่มเหล้ามานานแค่ไหนแล้ว แค่ดื่มเข้าไปก็สำลักจนไออย่างรุนแรง เหล้าที่อยู่ในปากได้ไอออกมาจนเกือบหมด

“โถๆๆ คุณหนูเจี่ยน เหล้านี้แพงมากเลยนะ~อย่าสิ้นเปลืองสิ~”

คนที่โห่ร้องก็โห่ร้อง “รีบดื่ม รีบดื่ม”

คนที่เยาะเย้ยก็เยาะเย้ย “คุณหนูเจี่ยนกำลังรังเกียจว่าเหล้าอันนี้ไม่ดีหว่า ย่าคุน นายควรเอาเหล้าดีๆให้คุณหนูเจี่ยนหน่อยสิวะ”

อะไรเรียกว่าเมื่อตกต่ำแล้วผู้คนก็มารุมกันกระทืบซ้ำ?

เจี่ยนถงมีความแค้นใหญ่หลวงขนาดนั้นกับพวกเขาจริงเหรอ?

คนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่คือดูความเฮฮาแล้วไม่กลัวเรื่องจะใหญ่โต

“ปัง!”

เสียงกระแทกประตูดังสนั่น ผู้คนมองไปที่ประตูห้องVIPด้วยจิตใต้สำนึก หน้าห้องมีชายรูปร่างสูงใหญ่ที่หันหลังให้กับแสง

สายตาของเสิ่นซิวจิ่นไม่ได้ไปสนใจคนอื่นๆที่อยู่ในห้องVIPนี้ ดวงตาดั่งเหยี่ยววอกแวกอยู่ในห้องVIPแล้วหาเป้าหมายเจอ!

พอเห็นขวดเหล้าในมือผู้หญิงคนนั้นชัดแล้ว ม่านตาของเขาหดในทันที!

หัวใจของเขาลนลานอย่างไม่มีเหตุผล ไม่พิจารณาอะไรทั้งนั้น เขาก็ได้พุ่งไปคว้าขวดเหล้าในมือผู้หญิงมาไวอย่างกับสายลม จากนั้นได้ยื่นมือโอบเธอมาในอ้อมกอด

“ใคร? ฝีมือใคร!” ทันใดนั้น แววตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงของเขาได้กวาดผ่านใบหน้าของทุกคนอย่างน่าเกรงกลัว!

เห้ออู่ก็ช่าง ย่าคุนก็ดี ทุกคนที่อยู่ในนี้ต่างก็อึ้งค้าง……ทำไมถึงเป็นเขา?

“ประธาน…..เสิ่น?”

เห้ออู่เปิดปากเรียกอย่างหยั่งเชิง

“เสิ่นยี ให้ซูเมิ่งพูด” ซูเมิ่งยังถูกคนควบคุมตัวไว้ ที่จริงเสิ่นซิวจิ่นออกคำสั่งนี้ ปุ๊บ เสิ่นยีไม่ต้องทำอะไรเลย คนที่ควบคุมตัวซูเมิ่งไว้ก็ได้ปล่อยซูเมิ่งเหมือนได้สัมผัสโดนเผือกร้อนลวกมือทันที

“เธอดื่มไปเท่าไหร่?”เสียงของเสิ่นซิวจิ่นเย็นชา แต่ถ้าตั้งใจฟัง ก็สามารถฟังความตื่นเต้นและความกังวลจากน้ำเสียงของเขาออก

“ประธานเสิ่นมาทันเวลา เพิ่งดื่มไปสองสามกรึ๊บค่ะ”

สีหน้าของเสิ่นซิวจิ่นยังคงเย็นชาอีกเช่นเคย สองสามกรึ๊บสำหรับคนธรรมดาไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่สำหรับเจี่ยนถงแล้ว มือของเขาหล่นอยู่ที่เอวข้างซ้ายของเจี่ยนถงด้วยจิตใต้สำนึก

เจี่ยนถงแข็งทื่อไปทั้งตัว ไม่กล้าขยับ หน้าอกเจ็บแปล๊บๆ กระเพาะปวดแสบปวดร้อน วิสกี้สองกรึ๊บนี้ก็ทรมานจนเธอไม่สบายตัวแล้ว

สีหน้าของเสิ่นซิวจิ่นเย็นชา สายตาที่ดุร้ายเหมือนเหยี่ยวแว็บผ่านใบหน้าของทุกคน “เดี๋ยวค่อยคิดบัญชีกับพวกนาย อย่าคิดจะหนีแม้แต่คนเดียว”

แววตาเย็นชามีความแรงอาฆาตแว็บผ่าน จากนั้นได้ตะคอกว่า “เสิ่นยี ให้คนเฝ้าจับตาพวกมันไว้” พอพูดจบก็ได้โน้มตัวอุ้มเจี่ยนถงขึ้น และก้าวเท้ายาวเดินออกจากห้องVIP “ซูเมิ่ง ไปกับฉัน”

ซูเมิ่งรีบเดินตามไป

เจี่ยนถงเอาศีรษะซุกในอ้อมกอด ปล่อยให้เสิ่นซิวจิ่นอุ้มตัวเองไว้ หัวใจกลับหนาวสั่น……เธอเงียบกริบไม่พูดจา แต่ไม่อาจซาบซึ้งกับการช่วยเหลือของเสิ่นซิวจิ่นได้

เงียบกริบตลอดทาง

เสิ่นซิวจิ่นอุ้มเจี่ยนถงนั่งเข้าไปในรถยนต์ที่จอดอยู่ตรงชั้นล่าง “ซูเมิ่ง ขับรถ”

เขาอุ้มเจี่ยนถงไว้ พร้อมนั่งอยู่ที่เบาะหลัง

จู่ๆ เช็คใบหนึ่งได้ยื่นมาที่ตรงหน้าเขา “ประธานเสิ่น นี่คือห้าแสนหยวนสุดท้าย ฉันอิสระแล้วค่ะ”

แววตาเคร่งขรึมของผู้ชายจ้องมองอยู่ที่เช็ค เขาเป็นคนฉลาดมาก สามารถเดาเรื่องส่วนใหญ่ได้จากคำพูดของเจี่ยนถง ทันใดนั้นเขาเงยหน้า สายตาเยือกเย็นได้หล่นอยู่ที่หลังศีรษะของซูเมิ่งที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับ

ซูเมิ่งกลัวจนเหงื่อแตก แม้แต่หายใจก็ยังไม่กล้าเสียงดัง

เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้ถาม เธอก็ไม่ได้อธิบาย

เสิ่นซิวจิ่นดึงสายตากลับ จากนั้นได้หันมามองผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอด จู่ๆได้ยิ้มและพูดว่า “ผมได้พูดแบบนี้เหรอ? ผมบอกว่าให้คุณโอนเข้าไปในบัญชีเดือนละห้าล้านหยวน”

ผู้ชายยกข้อมือขึ้น จากนั้นหลุบตาดูนาฬิกาข้อมือทีหนึ่ง “ตอนนี้4ทุ่ม48นาที ยังเหลือเวลาอีก1ชั่วโมงกับอีก12นาที คุณสามารถโอนเงินเข้าบัญชีนั้นห้าล้านหยวน จำไว้นะ ที่ผมต้องการไม่เพียงแค่ห้าล้านหยวน ที่ผมพูดในตอนนั้นคือภายในหนึ่งเดือน โอนเงินห้าล้าน‘เข้าบัญชีนั้น’ ”

ผู้ชายย้ำคำนั้นเป็นพิเศษ

เจี่ยนถงเข้าใจในทันที!

“คุณทำแบบนี้ไม่ได้!”

“ไม่ ผมทำได้” ผู้ชายยิ้มมุมปาก

ม่านตาของเจี่ยนถงหดและตะคอก “คุณมันไร้ยางอาย!”

เขาวางอุบายเธอ! เขาโต้แย้งอย่างไม่มีเหตุผลชัดๆ! เขาเล่นเกมคำศัพท์!

ทำไมถึงได้ไร้ยางอายขนาดนี้!

“ปล่อยฉันลงไป!”เธอตะโกนด้วยความตื่นตระหนก “พี่เมิ่ง พี่เมิ่ง ไปธนาคาร พี่ส่งฉันไปธนาคาร!”

มือข้างหนึ่ง บีบอยู่ที่ใต้คางของเธออย่างแรง แล้วเชิดคางของเธอขึ้นมา บังคับให้เธอเงยหน้า ดวงหน้าหล่อเหลานั้น อยู่ใกล้เพียงแค่คืบเดียว!

แววตาเย็นชาของเสิ่นซิวจิ่นจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเธอ “ไปโรงพยาบาล หรือธนาคาร? เจี่ยนถง ฉันจะให้โอกาสเธออีกครั้งหนึ่ง”

เขาเอาหน้าเข้าไปใกล้กับเจี่ยนถง จนเห็นรูขุมขนของเขาได้อย่างชัดเจน ในแววตาของเธอประกายแววดื้อรั้นและยืนหยัด “ฉันจะไปธนาคาร”

เธอพูดชัดๆทีละคำ ไม่ยอมถอยแม้แต่ครึ่งก้าว

“ไม่มีไตข้างหนึ่งแล้ว เธอยังจะกล้าดื่มเหล้าอีก” เสียงเย็นเยียบของเขาพูดเป็นเชิงเตือน “เธอไม่อยากมีชีวิตแล้วเหรอ?”

“ฉันจะไปธนาคาร!”

“จะตายแล้ว ก็ยังจะไปธนาคารเหรอ?”

เธอมองเขาเขม็ง อ้าปาก พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ใช่” เรื่องของการเอาชีวิตมาพนัน มันไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อยที่เธอทำ วิสกี้เพียงแค่สองอึกแค่นั้น มือของเธอที่อยู่ข้างกาย พลันยกขึ้นมากระชากสูท และคอเสื้อของเขาออกอย่างไม่รู้ตัว แต่ชายหนุ่มมองการกระทำของเธอในทุกย่างก้าว

เปลือกตาที่เย็นเฉียบ หลับลง หลังจากที่เธอกระชากเสื้อสูทของเขาออกแล้วนั้น มือคู่นั้นของเธอก็ถูกรวบมาไว้ด้านหลัง ขยับไม่ได้

สายตามองไปที่ใบหน้าของหญิงสาว แววตาของเขา เอาแต่จับจ้องอยู่ที่เธอ เสิ่นซิวจิ่นกำลังคิด ผู้หญิงคนนี้ เมื่อก่อนชอบโผล่มาหาเขาประจำ ชอบแวบไปแวบมาตรงหน้าของเขา จนเขาต้องเงยหน้าดูเธอสักครั้ง ทำให้เธออารมณ์ดีไปได้ทั้งวัน

ตั้งแต่เมื่อไหร่ ในขณะที่เขาไม่ทันได้รู้ตัว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

ถึงแม้ว่าจะ…ใกล้ตายแล้ว ก็ยังจะไปธนาคาร ก็จะหนีไปจากข้างกายของเขา?

ในแววตาสีดำขลับ มีของบางอย่างที่คลุ้มคลั่งที่รอเวลาปะทุอยู่ในนั้น มองจ้องเข้าไปที่ใบหน้าของเจี่ยนถง แววตาที่ลุ่มลึกของเขาคู่นั้น ยิ่งยากที่จะคาดเดา

“เจี่ยนถง เธอต้องการไปธนาคารตอนนี้เลยจริงๆเหรอ?” เธอต้องการจะหนีไปจากข้างกายของเขาตอนนี้เลยจริงๆเหรอ?

ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ควรจะเป็นแบบนี้!

ระหว่างพวกเขา คนที่จะพูดได้ว่ามัน “จบลง” มีเพียงเขาเท่านั้น!

นิ้วเรียวยาวหนีบตั๋วใบนั้นออกมาจากมือของเธอ แล้วสะบัดไปมา “ให้เธอไปธนาคารแล้วจะทำอะไรได้? ธนาคารก็ปิดแล้ว ตู้ATMเบิกเช็คได้เหรอ?”

ตู้ATMเบิกเช็คได้เหรอ?… ต้องไม่ได้อยู่แล้วสิ!

เจี่ยนถงรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดลงมา!

เธอยืนมองเช็คในมือของเขาด้วยตาละห้อย… เธอพยายามมาทั้งหมดเพื่อที่จะได้เช็คมา ที่แท้เป็นเพียงกระดาษไร้ค่าใบหนึ่ง?

ดังนั้น… เธออดทนทุกอย่าง เพื่อกระดาษใบนี้อย่างนั้นเหรอ?

ทันใดนั้น เธอเงยหน้าขึ้นมา “ประธานเสิ่น ประธานเสิ่น ฉันขอร้องล่ะ เงินทั้งนั้น ตั้งห้าล้าน ขาดไม่ได้เลยสักแดงเดียว ไม่ต่างกันหรอก ถ้าจะเข้าบัญชีวันนี้ หรือพรุ่งนี้ มีอะไรที่ต่างกันเหรอ?”

เธอพูด พลางคุกเข่า “ประธานเสิ่น ฉันขอร้องล่ะ ฉันคุกเข่าขอร้องคุณ ฉันไม่มีอย่างอื่นแล้ว ฉันเหลือแค่เพียงเข่าคู่นี้เท่านั้น ให้คุณหมดเลย ฉันได้มอบสิ่งสุดท้ายที่มีอยู่แก่คุณแล้ว ขอแค่คำเดียวจากคุณ ฉันก็จะเป็นฉันก็จะได้ไปจากที่นี่แล้ว…”

“ตุ้บ”

เสิ่นซิวจิ่นมองไปอีกทาง ยังคงแกว่งเช็คในมือไปมา แล้วฟาดลงที่ใบหน้าของเจี่ยนถง “สิ่งสุดท้ายของเธอ? ไม่ใช่อิสระหรอกเหรอ?”

หัวเข่า? เป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอให้กับเขา?

เพลิงโทสะที่เสิ่นซิวจิ่นพยายามกลั้นไว้ ยากที่จะปลดปล่อย…สิ่งสุดท้ายที่เธอสามารถให้เขาได้ คือหัวเข่าคู่นั้นที่คุกลงไปงั้นเหรอ?

เมื่อก่อน เธอได้ให้ความรักและความหลงใหลแก่เขา ไม่ว่าจะความรัก หรือความหลง ก็น่าภาคภูมิใจ ถึงแม้ว่าจะเป็นตัวเอง ก็รู้สึกว่ามีคุณค่ามาก

แล้ววันนี้ เธอพูดอะไรออกมา?

สิ่งสุดท้ายที่เธอจะให้แก่เขาได้ คือหัวเข่า?

หัวเข่าบ้าบออะไรกัน!

เธอยังต้องการไปจากเขาอีก!

ไม่อนุญาต!

ไม่อนุญาตเด็ดขาด!

เขาไม่เข้าใจ ทำไมเขาจะต้องไม่ยอมให้เธอไปจากเขา ในจิตใต้สำนึก แค่เพียงคิดถึงเรื่องนี้ ก็รับไม่ได้อย่างรุนแรง

เขาไม่เข้าใจสาเหตุ แต่เขาไม่อนุญาตอย่างแน่นอน!

ไม่อนุญาตก็คือไม่อนุญาต!

เจี่ยนถงหน้าซีด… เธอเข้าใจแล้ว เธอเข้าใจทุกอย่างแล้ว

“อิสระ เจี่ยนถง เธอจำเอาไว้เลยนะ ว่าอิสระสิ่งนี้ ฉันบอกว่าเธอไม่มี เธอก็จะมีไม่ได้!”

ซูเมิ่งนั่งขับรถอยู่ประจำตำแหน่งคนขับ ใจเต้นแรงมาก

ความแค้นอะไรกัน ที่ทรมานคนได้ขนาดนี้

“ซูเมิ่ง ขับเร็วอีกหน่อย” ชายหนุ่มไม่ได้มองหญิงสาวที่อยู่ด้านข้าง นิ้วเรียวที่เห็นกระดูกชัดเจนหยิบมือถือขึ้นมา กดโทรออก “จะถึงโรงพยาบาลแล้ว เธอดื่มเหล้าไปนิดหน่อย”

“ใคร?”

“เจี่ยนถง”

ปลายสาย แทบจะระเบิด “อะไรนะ? เธอกลัาดื่มเหล้าเหรอ? เธออยากตายมากเลยหรือไง”

“ตอนนี้ฉันจะพาเธอไป นายเตรียมตัวให้เรียบร้อย”

พูดจบ ไป๋ยู่สิงกำลังคิดจะบอกว่า “วันนี้ไม่เข้าเวร” แต่ปลายสายวางไปเสียก่อน

ไป๋ยู่สิงรีบบุกขึ้นมาจากผ้าห่ม “เวรละ!”

คบคนพาลพาไปหาผิดจริงๆ!

ในรถ เจี่ยนถงหยิบเช็คแผ่นนั้นขึ้นมา มองเช็คในมือด้วยแววตาละห้อย จากนั้นก็ยิ้มขึ้นมา… เสิ่นซิวจิ่น นายรู้ไหม?

เพื่อเช็คแผ่นนี้ ฉันผ่านอะไรมาบ้าง?

“พี่เมิ่ง เปิดกระจกหน่อย” ในห้องโดยสาร หญิงสาวค่อยๆพูดขึ้นมาอย่างห้วนๆ

ซูเมิ่งลังเล จากนั้นมองผ่านกระจกเป็นเชิงถามเสิ่นซิวจิ่น

ที่เบาะนั่งด้านหลัง เสิ่นซิวจิ่นหรี่ตาลงเล็กน้อย มองกวาดไปทางเจี่ยนถง แล้วพยักหน้าเบาๆ ซูเมิ่งกดเปิดกระจก แล้วกระจกของด้านหลังรถก็ค่อยๆเลื่อนลงมา

เธอมองจากกระจกมองหลังรถ กวาดสายตาด้วยความระมัดระวัง มองไปมองมา จนเธอแทบจะลืมหายใจ!

หญิงสาวที่นั่วอยู่ด้านหลังรถ มีสีหน้านิ่งเฉย ฉีกเช็คในมือออกเป็นสองชิ้น จากนั้นฉีกออกเป็นสี่ชิ้น แปดชิ้น… เช็คมูลค่าห้าล้านใบนั้น ถูกฉีกคามือเธอเป็นชิ้นๆ หญิงสาวคนนั้นกำเศษกระดาษไว้ในมือ แล้วยื่นมือออกไปที่นอกหน้าต่าง แบมือออก ให้กระดาษที่อยู่ในมือปลิวไปตามสายลม

ซูเมิ่งทนไม่ได้ มองด้วยความตกใจ “เธอบ้าไปแล้วเหรอ! เธอลืมเหรอ ว่าเธอต้องผ่านอะไร ถึงได้เช็คใบนี้มา! ทำไมเธออยู่ๆถึงได้ทำมันเป็นกระดาษไร้ค่าแบบนั้นล่ะ!”

สายตาของเจี่ยนถง ไม่แม้แต่กะพริบตา ใบหน้าของเธอ ก็เรียบนิ่งเสียจนน่ากลัว

เมื่อได้ยินที่ซูเมิ่งพูด เธอจึงค่อยๆหันมา ตอบเพียงแค่สามคำ “ไม่สำคัญ”

ไม่สำคัญ!

ทำไมจะไม่สำคัญ!

ซูเมิ่งใจร้อนมาก แต่เมื่อมองไปที่หญิงสาวเธอสงบนิ่งมาก พลันรู้สึกว่า พูดอะไรไม่ออก

ใช่สิ ทำไมจะไม่สำคัญ? ความดูแคลนที่มาจากเพื่อน และที่หยามเกียรติกันมากที่สุดคือเป็นคนเคยรู้จักกันทั้งนั้น ต่อหน้าผู้คนที่เคยรู้จักเจอหน้ากันทุกวันเหล่านี้ ก้มลง ปีนผ่านขวากหนาม ลอดผ่านความลำบาก แม้กระทั่งเอาชีวิตเข้าพนัน… ทำไมจะไม่สำคัญ?

ต่างก็บอกว่าเจี่ยนถงรักเงิน อะไรก็ทำได้เพื่อเงิน

ความจริงเป็นแบบนั้นเหรอ?

คนอื่นเห็นเพียงแต่ตอนที่เธอรีบก้มลงเก็บเงินด้วยสีหน้ามีความสุข ก็คิดว่ารอยยิ้มนั้นของเธอน่ารังเกียจเหลือเกิน

คนอื่นจะถามเธอบ้างไหมว่า เจี่ยนถง ทำไมเธอต้องทำแบบนี้?

เจี่ยนถงเธอไม่เจ็บปวดจริงๆเหรอ?

ณ ตอนนี้ ซูเมิ่งเกลียดตัวเองมาก และโทษเสิ่นซิวจิ่น… เจี่ยนถงเธอฉีกความหวังจนแหลกสลายไปกับมือ ซูเมิ่งไม่กล้าจะคิด ว่าภายใต้ใบหน้าที่เรียบนิ่งนั้น เก็บความเจ็บปวดไว้มากมายเท่าไหร่ ใช้ความพยายามไปเท่าไหร่ ที่อดทนแล้วแสดงออกมาเพียงความนิ่งเฉย

คนโง่คนนี้ จะมีท่าทีแบบไหนอีก ฉีกเช็คใบนั้น ซูเมิ่งรู้สึกนับถือผู้หญิงคนนี้มาก… หลายคนต่างพูดว่าเจี่ยนถงเป็นคนชั้นต่ำ แต่ผู้หญิงที่ไม่มีที่ยืนในสายตาพวกเขาคนนี้ อดทนและแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าใครหลายคนบนโลกนี้

นัยน์ตาที่ลุ่มลึกของเสิ่นซิวจิ่นมองไปที่ตัวของเจี่ยนถง “ทำไมถึงฉีกมันทิ้ง?”

เจี่ยนถงสงบนิ่ง “มันก็เป็นเพียงแค่กระดาษไร้ค่าใบหนึ่งเท่านั้น”

เธอพยายามใช้แรงทั้งหมด ในการได้กระดาษที่ไร้ค่ามาใบหนึ่ง

สิ้นหวังแล้ว ละทิ้งแล้ว… พอได้แล้วมั้ง?

เธอรอเขา เบื่อละครบทนี้ แล้วปล่อยเธอเป็นอิสระเสียที

ก่อนหน้านี้ เป็นห่วงโซ่ที่หนีไม่หลุด เหนื่อยเหลือเกิน…

ที่โรงพยาบาล

ไป๋ยู่สิงจัดการให้เจี่ยนถงเรียบร้อย

“เธอโชคดีมากนะ” ไป๋ยู่สิงอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน “ตัวเองอาการเป็นยังไงไงยังไม่รู้อีกเหรอ? ดื่มเหล้า?”

พูดจบ ก็ลุกขึ้รเดินออกไปด้านนอก พร้อมกับปิดประตูลง ด้านนอก เสิ่นซิวจิ่นกำลังสูบบุหรี่อยู่

“เอามามวนหนึ่ง” ไป๋ยู่สิงยื่นมือไปทางเสิ่นซิวจิ่น อีกฝ่านก็หยิบบุหรี่ออกมาจากกล่อง แล้วยื่นให้แก่เขา

ไป๋ยู่สิงไม่เกรงใจ จุดบุหรี่ขึ้นมาสูบ “เกิดอะไรขึ้น?” เขามองไปยังอีกคนที่อยู่ด้านหลังประตู เขาจำได้ หลังจากที่เจี่ยนถงออกมาจากคุก เจอกันเป็นครั้งแรก เจี่ยนถงที่เย่อหยิ่งทำเพื่อไม่ดื่มเหล้า ถึงกับยอมคุกเข่าต่อหน้าผู้คนมากมาย

อีกฝ่ายสูบบุหรี่เงียบๆ ไม่พูดอะไร

ไป๋ยู่สิงก็ไม่ได้สนใจในความเฉยชาของเขา

พ่นควันออกมาจากปาก “ได้ยินมาว่านายให้เธอหาเงินมาให้ได้ห้าล้านภายในหนึ่งเดือนเหรอ แล้วจะปล่อยเธอเป็นอิสระ?” พ่นควันบุหรี่ออกมาอีกครั้ง “นายจะปล่อยเธอไปไหม?”

“เป็นไปไม่ได้” ชายหนุ่มที่เงียบมาตลอด พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

“…” ไป๋ยู่สิงเงียบไปสักพัก เขาตกใจที่เสิ่นซิวจิ่นมีอารมณ์วู่วาม จึงยื่นมือไปจับ “นี่ นายยังไม่รู้ตัว ว่าเวลานายเผชิญกับเรื่องของเธอ นายมักจะผิดปกติเหรอ?”

ชายหนุ่มไม่เข้าใจ “อยากพูดอะไรก็พูดมาตามตรง อย่าวกไปวนมา”

“แค่ก็…” นี่นายให้ฉันพูดตรงๆเองนะ ไป๋ยู่สิงกระแอมในลำคอ “ฉันรู้สึกว่านายสนใจเจี่ยนถงมากจนเกินไป”

นี่ไม่เหมือนกับตัวนายที่เคยเป็นก่อนหน้านี้ นายสังเกตคนรอบข้างเก่งขนาดนี้ นายไม่รู้สึกว่าตัวเองผิดปกติเหรอ?”

เขาไม่เชื่อ ว่าสภาพจิตใจของเสิ่นซิวจิ่นเองก็เปลี่ยนไปเข่นกัน โดยที่เขาเองไม่รู้ตัว

แต่ว่า…

ผ่านไปสามสิบวินาที…

“ไม่ใช่มั้ง?” ไป๋ยู่สิงตกใจ “นายไม่พูดอะไร แสดงว่านายเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน นายไม่ปฏิเสธหน่อยเหรอ?”

“เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ผ่านไปสักพัก เสิ่นซิวจิ่ก็ถามขึ้น

แววตาของไป๋ยู่สิงเปลี่ยนไปแปลกมาก เขามองมาที่เสิ่นซิวจิ่น… เจ้านี่ไม่พูดอะไรมาตั้งนาน กว่าจะพูดขึ้นมาได้ ก็มาถามแต่เรื่องของเจี่ยนถง?

ไม่แปลกหรอกไม่แปลก… ไป๋ยู่สิงพูดในใจ

“โชคดีไม่เลวเลยนี่ ดื่มไม่เยอะ แต่ว่าเรื่องแบบนี้ อย่าให้เกิดขึ้นอีก” พูดต่อ “แต่ว่าแผลที่หัวเข่าของเธอลึกมาก”

ริมหน้าต่าง เสิ่นซิวจิ่นแววตาสงบนิ่ง สูบบุหรี่เข้าไป “อืม” ตอบรับออกมา แล้วผลักประตูห้องผู้ป่วยเข้าไป

ไป๋ยู่สิงจะตามเข้าไป เสียง “ปั้ง” ดังขึ้นมา เป็นเสียงของประตูไม้ของห้องผู้ป่วย ที่ถูกล็อกลงอย่างไร้เยื่อใย

ลูบที่จมูก ไป๋ยู่สิงบ่นอุบอิบที่ปาก “มีอะไรน่าสนใจขนาดนั้น ก็แค่เข้าห้องไม่ได้เองไม่ใช่เหรอ? เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าค่อยไปก็ได้ ฉันไปได้ทุกวันอยู่แล้ว ห้องผู้ป่วยคือบ้านหลังที่สอง”

ในใจรู้สึกไม่สงบแต่ก็ไม่อยู่ต่อ เขาเดินไปจากทันที

ในห้องผู้ป่วย

“เธอไม่มีอะไรจะพูดกับฉันเหรอ?” ชายหนุ่มอยู่ยืนอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย มองหญิงสาวจากมุมสูง

หญิงสาวก้มหน้า ทั้งห้องเงียบสงัด

รอจนสักพัก ไม่เห็นว่าเธอมีปฏิกิริยาตอบรับ เสิ่นซิวจิ่นก็รู้สึกโมโหขึ้นมา “พวกเขาให้เธอคุกเข่า เธอก็ทำอย่างนั้นเหรอ? เจี่ยนถง เพื่อเงิน เธอยอมคุกเข่าให้ใครมาบ้างแล้ว?”

ไม่อาจจะยอมรับเธอในสภาพที่ย่ำแย่ขนาดนี้… เจี่ยนถงที่เคยเจิดจรัสโดดเด่นกว่าใคร หายไปไหนแล้ว!

หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงยังคงเงียบ

เขายิ่งโมโห!

“เธอบอกฉันสิ ว่าถ้าสุดท้ายฉันไปอยู่ตรงนั้น เธอก็จะดื่มเหล้านั้นลงไปจนหมด! ทำไมเธอไม่หวงชีวิตตัวเองเลย?!” เขาไม่อยากจะเชื่อ ว่าหญิงสาวจะใช้ชีวิตของตัวเองแลกกับเงิน!

นี่ไม่ใช่แค่ครั้งแรก!

ครั้งนั้นที่แสดงจมน้ำก็เช่นกัน!

ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่ชีวิตของเจี่ยนถงไร้ค่าขนาดนี้!

ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่เธอไม่สนใจชีวิตของตัวเองขนาดนี้!

และเธอ ทำไมยังนิ่งเฉยได้ขนาดนี้!

เจี่ยนถงนิ่งเฉยเหรอ? หึ…

มือของเธอที่อยู่ใต้ผ้าห่ม ที่เขามองไม่เห็นนั้น กำแน่นเสียยิ่งกว่าอะไร !

“เจี่ยนถง มีโชคชะตาอีกกี่อันที่ให้เธอไปเสี่ยง มีชีวิตอีกกี่ชีวิตที่ให้เธอไปพนัน? เธอบอกฉันมา ถ้าฉันไปไม่ทัน เธอจะทำอะไรอีก!”

เพราะคำพูดนี้ ทำให้สติทั้งหมดที่เจี่ยนถงมี หายไป!

เงยหน้าขึ้นอย่างเร็ววัน!

โหดเหี้ยมกว่าอะไร!

“ใครสนใจว่านายจะมาไม่มากัน? ใครให้นายมา! ใครขอร้องให้นายมา!”

เธอโมโหจนตัวสั่น! จ้องเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ!

เสิ่นซิวจิ่น!ใครกัน ที่ทำให้ฉันกลายเป็นแบบนี้! นายอย่ามาเสแสร้ง! ฉันคุกเข่า ฉันย่ำแย่ ฉันใช้ชีวิตเข้าพนัน นายคงจะดีใจมากสินะ!

ใครใช้ให้ฉัน ‘ทำร้าย’ เซี่ยเวยเหมิงคนที่นายรักกันล่ะ!

ใครใช้ให้ฉันตกหลุมรักนาย!

ฉันผิดไปแล้ว! ฉันผิดไปแล้วพอได้แล้วรึยัง!

“ประธานเสิ่น! ฉันไม่ทางขอบคุณคุณแน่นอน!”

ให้อภัยไม่ได้!

ไม่มีทางให้อภัย!

ถ้าหากเธอผิดจริงๆ อย่างนั้น ตอนนี้เธอกลายมาเป็นสภาพนี้ ก็สมควรแล้ว!

แต่เธอไม่เคยทำ และเขา ไม่ยอมฟังที่เธออธิบาย!

ที่สองสวนเธอในรถนั้น คำถามเหล่านั้น ยังดังก้องอยู่ในหัว!

คำพูดเหล่านั้น ก็บ่งบอกว่าเซี่ยเวยเหมิงเป็นพยานบุคคล!

ครั้งแรก เธอมองไปในตาของเสิ่นซิวจิ่น ในนั้นแฝงไปด้วยความโกรธแค้น!

ถ้าหากเขายอมเสียเวลา ถ้าหากเขายอมเชื่อตัวเอง ถ้าหาก… ไม่! ไม่มีถ้าหาก! มีเพียงผลลัพธ์ที่เธอต้องไปเป็นแพะรับบาปในคุกเท่านั้น!

เธอเห็นสภาพที่เสิ่นซิวจิ่นตกตะลึง มองเห็นความโกรธแค้น ที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าสามปีก่อนหรือสามปีหลัง ไม่ว่าจะเป็นเจี่ยนถงที่เย่อหยิ่ง หรือเจี่ยนถงที่ตกต่ำ ก็ไม่เคยมี!

แต่ว่าวันนี้ เขากลับมองเธอด้วยสายตาโกรธแค้น!

ความเจ็บปวดนั้น แพร่ออกมาจากภายใน ลมหายใจของเขาแรงขึ้นเรื่อยๆ!

เจี่ยนถงทำได้เพียงรักเขาเท่านั้น เธอจะเกลียดเขาได้อย่างไร?

คิดได้เช่นนั้น เธอจึงสะกดความโกรธในใจลงไป

แววตาของเขาที่มองมาทางเธอ

เจี่ยนถงหัวเราะเบาๆ “ประธานเสิ่น เวยเหมิงของนายไม่ได้ใสซื่อขนาดนั้น!”

“หึ… เรื่องถึงขนาดนี้แล้ว เธอยังกล้าไม่ยอมรับอีกเหรอ?”

เจี่ยนถงเพิ่งจะรู้สึกมีความหวัง แล้วมันก็ดับลง… เป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆ เขาไม่เชื่อในเธอ เขายึดมั่นแบบนั้นในใจ

ในขณะการอธิบายกลายเป็นการปกปิดในสายตาของเขา… เจี่ยนถงจึงบอกกับตัวเอง ไม่ต้องไปอธิบาย

เธอบอกกับตัวเอง อย่าทำอะไรโง่ๆอีก ที่จะให้เขาได้เชื่อใจเธอ

แต่เธอยังคงอึดอัด เธอทรมานใจของตัวเองจนแทบจะบ้าแล้ว เธอจ้องมองชายหนุ่มที่ข้างเตียง พูดเชิงเย้ยหยัน “เซี่ยเวยเหมิง ตายอย่างอนาถ ช่างสมน้ำหน้าจริงๆ!”

มือข้างหนึ่งยกขึ้นมา ชี้มาที่หน้าของเธอ เจี่ยนถงหน้าซีด แล้วรีบหลับตาลง

ความเจ็บปวดที่คิดเอาไว้กลับไม่เกิดขึ้นที่เธอ เสียง “ตุ้บ” ดังขึ้น เป็นเสียงของหมัดกระแทกกับกำแพง ดังขึ้นที่ข้างหูของเธอ

“เจี่ยนถง เธอกลายเป็นแบบไหน ไม่ว่าจะย่ำแย่ หรือตกต่ำ ฉันยังคงมองเธอเป็นเจี่ยนถงอยู่ดี คนก็ตายไปแล้ว ทำไมเธอยังไปดูถูกอีก ปากของเธอนี่ ช่างน่าขยะแขยงจริงๆ!

เสียงดังขึ้นสนั่น เสิ่นซิวจิ่นเผยแววตาผิดหวังออกมา แล้วก็เปิดประตูออกไปทันที!

ในห้องผู้ป่วย หญิงสาวที่อยู่บนเตียงนั่นนิ่งราวกับรูปปั้น เธอเงียบเสียจนน่ากลัว

ผ่านไปหนึ่งนาที สองนาที… ห้านาที…สิบนาที!

ในที่สุด!

“กรี๊ด!! กรี๊ด~!! …อ๊าก!!!” เซี่ยเวยเหมิงเป็นแค่คนตาย แล้วเธอล่ะ! เธอล่ะ!!เธอล่ะ!!!

เจี่ยนถงกรีดร้องออกมา อย่างทนไม่ได้!

เสิ่นซิวจิ่น!นายตาฟางแล้วยังใจบอดอีกเหรอ!!!

ฉันล่ะ?

ฉันมันสมควรแล้ว? ฉันก็คือตายอย่างอนาถ?

ปากของฉัน ทำให้คนรู้สึกขยะแขยง? ฉันดูถูกคนที่ตายไปแล้ว? …แต่คนที่ตายไปแล้วนั้นไม่ได้ใสซื่อ!

“อ๊าก~!! อยาก~!!!” ในลำคอของเธอ มีเสียงร้องออกมาราวกับสัตว์ประหลาด หลับตาลงด้วยความเจ็บปวด… เสิ่นซิวจิ่น เรื่องที่ฉันเสียใจที่สุดในชีวิตนี้คือการเจอนาย!

ซูเมิ่งเผชิญหน้ากับเสิ่นซิวจิ่น รู้สึกประหม่ามาก “ประธานเสิ่น ฉันรู้สึกว่าเจี่ยนถงน่าสงสารมากนะ”

เธอกำลังอธิบาย ว่าทำไมถึงช่วยเจี่ยนถงปิดบังที่มาของเงินกับชายหนุ่มตรงหน้า

เสิ่นซิวจิ่นตอนนี้ก็ไม่ได้อารมณ์ดีมากนัก

สิ่งที่หญิงสาวพูดในตอนสุดท้ายนั้น ยังดังก้องอยู่ในหู ไม่หายไปเสียที ตอนนี้ได้ยินซูเมิ่งพูดบางอย่าง

“เจี่ยนถงน่าสงสาร” เช่นนี้ ทำให้ปากบางเผยรอยยิ้มที่เย็นชาขึ้นมา

“ซูเมิ่ง ลูกน้องฉันไม่มีใครเป็นคนดีหรอกนะ”

ผู้หญิงคนนั้นน่าสงสาร?… ยังด่าว่าคนที่ตายไปแล้วเนี่ยนะ?

คนแบบนี้เหรอ ที่น่าสงสาร?

เขาโกรธมาก จนพูดไม่ออก!

จนตอนที่พบว่าเธอน่าสงสาร ก็ยังไม่โกรธเท่าตอนนี้!

เจี่ยนถงในหัวของเขา เย่อหยิ่งจองหอง ยกตนเหนือใคร เธอไม่มีทางไปด่าว่าหรือเหยียดหยามคนที่ตายไปแล้วอย่างแน่นอน!

แต่ตอนนี้ ทำให้เขาได้เข้าใจแล้ว… ความโกรธที่ไม่มีที่มา และความผิดหวังที่บอกไม่ถูกนี้ เขาไม่เข้าใจ ว่ากำลังผิดหวังกับอะไร!

หน้าผากของซูเมิ่งเหงื่อไหลออกมาเม็ดโต ชายหนุ่มตรงหน้าเธอ คำพูดของผู้ชายตรงหน้านี้ สามารถตัดสินความเป็นตายของเธอได้

แต่… แต่ไม่รู้สึกเสียดาย!

“ประธานเสิ่น ฉันทำผิดต่อคำสั่งของคุณ เป็นความผิดของฉัน ฉันยอมรับโทษ” ซูเมิ่งพูดขึ้นด้วยความแน่วแน่

ผ่านไปชั่วครู่ แววตาของเสิ่นซิวจิ่นมีความสั่นเทาเล็กน้อย เห็นภาพของเจี่ยนถงในความทรงจำ ที่กล้ายอมรับในแบบเดียวกัน ที่เวลาเผชิญหน้าเขา จะมีแต่ความกล้าหาญแน่วแน่ อย่างเดียวกัน… ไม่เสียดาย!

“พรุ่งนี้เช้า ไปที่ห้องสารภาพบาป รับบทลงโทษ” เสียงที่เย็นชาเมื่อพูดจบรู้สึกราวกับเหล็กแหลม ขายาวๆนั้นค่อยๆลุกขึ้น เดินออกไปด้านนอก

เหลือเพียงซูเมิ่งที่ร่างกายอ่อนยวบ หลังพิงกับผนังสีขาว ผ่านไปเนิ่นนาน แล้วถอนหายใจออกมา

หลังจากถอนหายใจ ก็ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผากของตนเอง… เสิ่นซิวจิ่นให้เธอไปรับบทลงโทษที่ห้องสารภาพบาป คงจะเป็นเรื่องที่ดี

แล้วคิดกลับมาอีกที เจี่ยนถงจะเป็นอย่างไรบ้างนะ?

เมื่อคิดเช่นนั้น ซูเมิ่งเดินไปยังห้องผู้ป่วยของเจี่ยนถงอย่างไม่ลังเล

เมื่อมาถึงหน้าห้องผู้ป่วย ซูเมิ่งกำลังจะยกมือเคาะประตู แต่ก็หยุดลงกลางอากาศ เธอเงี่ยหูฟังเสียงดังคำรามนั้น ไม่ใช่หูฝาดไปแน่ๆ

อีกฝั่งของประตูนั่น เสียงคำรามราวกับสัตว์ตัวเล็กกำลังร้อง เหมือนเสียงที่พยายามสะกดเอาไว้ ไม่น่าฟังเลย… ใช่แล้ว นั่นคือเสียงของยัยซื่อบื้อ

อดกลั้น ทรมาน ราวกับสัตว์ตัวน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ ไม่กล้าร้องออกมา

ซูเมิ่งไม่ก้าวเข้าไป เธอยืนนิ่งราวกับรูปปั้น อยู่ที่หน้าห้องผู้ป่วยของเจี่ยนถงอยู่นาน

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในห้องผู้ป่วยนั้น เสียงร้องของเธอนั้น ค่อยๆเงียบไป ซูเมิ่งยิ่งตั้งใจฟังยิ่งขึ้น จนมั่นใจ ว่าในห้องไม่มีเสียงอะไรแล้วจริงๆ

เธอไม่รีบร้อนที่จะเข้าไป ยังยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตู รอจนได้เวลา แล้วจึงยกมือขึ้นเคาะประตู

เปิดประตูเข้าไป

มองไปยังคนที่นอนอยู่บนเตียง และเป็นจังหวะที่เธอมองมายังเธอพอดี

ทั้งสองสบตากัน เรียวหน้าของซูเมิ่งยิ้มหวานขึ้นมา “เสี่ยวถง เป็นยังไงบ้าง?”

“อืม ไม่เป็นอะไรแล้ว” คนที่อยู่ไม่บนเตียงไม่แสดงท่าทางเจ็บปวดเหมือนดั่งเมื่อครู่ เธอพูดต่อเบาๆ “คุณหมอบอกว่า ฉันโชคดีมาก”

ท่าทางสงบนิ่ง ทำให้ซูเมิ่งรู้สึกปวดใจ ถ้าหากก่อนหน้านี้ ไม่ได้ยินเสียงที่เธอโอดร้องเองกับหู คงจะเชื่อคำที่เธอพูด

ซูเมิ่งมองเจี่ยนถงด้วยแววตาลุ่มลึก แล้วเธอก็ยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง เดินไปทางเจี่ยนถง ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆเตียง แล้วยื่นมือไม่วางไว้ที่หลังมือของเจี่ยนถง “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว รักษาอาการให้ดี ครั้งนี้หัวเข่าเธอบาดเจ็บไม่น้อยเลย”

ซูเมิ่งอยากจะจับเจี่ยนถงมาเขย่าไหล่แล้วถามเธอ ว่าทำไมเธอไม่ร้องออกมา! ทำไม ทำไมเธอไม่พูดออกมา! ทำไมเธอต้องทำเหมือนไม่เป็นไร!

เธอไม่เป็นอะไรจริงๆเหรอ? แล้วทำไมตอนที่ไม่มีคนอยู่ เธอต้องร้องโอดครวญออกมาแบบนั้น! ในเสียงนั้นทำไมเหมือนกับเธอพยายามสะกดความเจ็บปวดเอาไว้!

ทั้งๆที่คนที่บาดเจ็บคือเจี่ยนถง แต่คนที่มือไม้สั่นคือซูเมิ่ง

ซูเมิ่งราวกับเห็นตัวเองในสมัยก่อนในตัวของเจี่ยนถง… อดีตที่ควรตายไปแล้ว เธออยากจะลืม แต่ว่าตอนนี้ เพราะเจี่ยนถง ทำให้เธอจำมันได้ชัดเจน!

“หิวไหม?” ผ่านไปสักพัก ซูเมิ่งพยายามสะกดอารมณ์ของตัวเอง แล้วถามเจี่ยนถงด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “อยากกินอะไร? ฉันจะไปซื้อมาให้”

พูดพลางลุกขึ้นเตรียมจะเดิน ทันใดนั้น มือก็ถูกคว้าเอาไว้จากคนที่อยู่บนเตียง แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “พี่เมิ่ง” ซูเมิ่งไม่ได้หันกลับไปมอง

เสียงแหบพร่าจากด้านหลังดังขึ้นอีกครั้ง “…ฉันขอ ยืมไหล่หน่อย ได้ไหม?”

ซูเมิ่งใจแกว่ง น้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตา… เธอไม่ตอบรับ แต่หันกลับไป แล้วใช้แขนข้างหนึ่งโอบเอวของเธอเอาไว้ แล้วเธอก็เอาหัวมาซุกที่อ้อมกอดของเธอ

สัมผัสได้ชัดเจน ว่าหัวที่ซบอยู่ในอ้อมกอดเธอนั้น กำลังสั่นเทา ซูเมิ่งมองไม่เห็นอารมณ์ของเจี่ยนถง แต่เธอพอจะเดาออก ว่ายังซื่อบื้อนี้กำลังแอบร้องไห้อยู่

ถอนหายใจออกมา… เรื่องพวกนี้ก็ดี

คนหนึ่งร้องไห้ไม่เป็น ร้องไห้ออกมาได้เสียที

“เสี่ยวถง เธอยังจำได้ไหม ที่ฉันเคยบอก ว่าฉันซูเมิ่งเคยใช้ชีวิตคลุกคลีมาในเมือง S ผ่านเรื่องแย่ๆมาเยอะ แต่ปฏิบัติต่อเธอเป็นพิเศษ ไม่ใช่เพราะว่าฉันจิตใจดี ตัวฉันเองไม่ใช่คนดีอะไรมากนัก แต่ฉันยังปฏิบัติต่อเธออย่างคนอยู่

ตอนเด็ก เมื่อก่อน ฉันรู้สึกว่าเธอเหมือนกับฉันในตอนแรกมาก

แต่ว่าตอนนี้ ฉันพบว่า พวกเราไม่เหมือนกันเลย

ฉันเพิ่งรู้ ว่าเธอเป็นคุณหนูไฮโซ เป็นคุณหนูคนโตของตระกูลเจี่ยนแห่งเมือง S

แต่ฉัน เป็นเพียงเด็กที่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน

ฉันเคยลำบากมาก่อน ลำบากตั้งแต่เล็ก ดังนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลังนี้ ฉันยังคงยืนหยัดได้ ยังดีที่ตอนเด็กๆลำบากมาเยอะ

แต่เธอแตกต่าง ตั้งแต่เล็กจนโตเธอไม่เคยขาดอะไรเลย การผ่านการดูถูกเหยียดหยามเหล่านี้ เธอยังคงเป็นเธอที่เย่อหยิ่งสง่างามได้นั้น เจี่ยนถงเธอแข็งแกร่งกว่าฉันมาก”

ความยากลำบากในวัยเด็กที่ผ่านมา จนได้ตั้งตัวขึ้นมาใหม่ กับเด็กที่โตมากับการถ่ายข้างทางกลับถูกทำร้ายจิตใจอย่างรุนแรง ยังคงใช้ชีวิตได้ดี… เมื่อเทียบกันนั้น เจี่ยนถงยังคงแข็งแกร่งกว่าต้นหญ้าพวกนั้น

ยากที่คาดฝัน ทายาทบริษัทใหญ่ และคุณหนูไฮโซ กลับอ่อนแอราวกับต้นหญ้า

“พี่เมิ่ง” เจี่ยนถงไม่ได้เงยหน้า ยังคงอยู่ในอ้อมกอดของซูเมิ่ง จากนั้นค่อยๆพูดขึ้นมา “พี่เมิ่ง พวกเขาบอกว่าฉันฆ่าคน เพราะว่าอิจฉา ตั้งใจวางแผนจะฆ่าเซี่ยเวยเหมิง ผู้หญิงที่ประธานเสิ่นรักที่สุด เพื่อนรักที่สุดของฉัน”

“ฉันไม่เชื่อ ว่าเธอจะไปทำเรื่องเช่นนี้”

ซูเมิ่งตอบรับเบาๆ

เจี่ยนถงที่ซุกอยู่ในอ้อมกอดของซูเมิ่งเจี่ยนถง น้ำตาร่วงออกมามากมายอย่างไม่รู้สาเหตุ

เสิ่นซิวจิ่น… เป็นฉันเองที่ตาฟางใจบอด!คนคนหนึ่งที่เพิ่งรู้จักได้เพียงครึ่งปี ยังเข้าใจฉันดีกว่าเธอ!

“พวกเขา… รวมถึงประธานเสิ่นด้วยเหรอ?”

ได้ยินเช่นนั้น ซูเมิ่งก็สัมผัสได้ว่าเจี่ยนถงที่อยู่ในอ้อมกอดเขาร่างกายแข็งขึ้นมา

ถอนหายใจออกมาอย่างไม่มีเสียง… ก็คงจะใช่

พวกเขาต่างก็ไม่เชื่อ… รวมถึงเสิ่นซิวจิ่นด้วย

จนถึงตอนนี้ ไม่ต้องให้เจี่ยนถงพูดอะไรอีกมากมาย ซูเมิ่งก็ค่อนข้างเดาออก ว่าระหว่างเจี่ยนถงและเถ้าแก่มีความขัดแย้ง

เซี่ยเวยเหมิง… ในสองปีมานี้ที่ตามเสิ่นซิวจิ่นมา เหมือนกับเคยได้ยินว่าเขาเคยเอ่ยถึงชื่อนี้

เคยได้ยิน… ผู้หญิงที่ชื่อว่าเซี่ยเวยเหมิง ในใจของเถ้าแก่ต่างจากคนอื่น เพียงแต่หลังจากนั้นตายด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่อายุยังน้อย

ไม่เคยรู้ ว่าเด็กผู้หญิงคนพิเศษในใจของเถ้าแก่นั้น ตายไปเพราะอะไร

จนตอนนี้ ได้เข้าใจแล้ว

แต่… เธอไม่เชื่อ

เจี่ยนถงออกจะเย่อหยิ่ง เธอจะลดตัวไปทำอย่างนั้นทำไม

ซูเมิ่งยกมือขึ้นมาลูบหัวของเจี่ยนถง เธอไม่ได้ถามเจี่ยนถง ว่าทำไมไม่ไปอธิบายให้เสิ่นซิวจิ่นฟัง ทำไมไม่ไปยืนยันว่าตัวเองบริสุทธิ์

เพราะว่ามีเพียงคนที่ประสบเหตุการณ์เดียวกันนั้น ถึงจะเข้าใจ ว่า การที่ไม่ถูกเชื่อจากคนที่เรารัก ความรู้สึกนั้น ทำอะไรไม่ได้และเศร้าโศกเพียงไหน

เพราะเธอเคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ดังนั้นจึงเข้าใจว่าทำไมเจี่ยนถงถึงไม่พยายามอธิบาย หรือเจี่ยนถงเธออาจจะอธิบายแล้ว แต่ไม่มีคนเชื่อ แม้แต่คนจะรับฟังก็ยังไม่มี… และยิ่งไปกว่านั้น คนคนหนึ่งจะไม่เชื่อ ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรก็ไร้ประโยชน์

“แล้วมีแผนยังไง?”

“รอจนเขาเบื่อ”

เบื่อ?

เขาจะเบื่ออะไร?

เบื่อเจี่ยนถงเหรอ?

คุ่นคิดสักพัก ซูเมิ่งจึงพูดขึ้น “ฉันไม่ปิดบังเธอนะ ว่าเงินและเช็คที่เธอให้ฉันในตอนหลัง ฉันเก็บมันไว้ที่ตู้เซฟ ไม่ได้ฝากเข้าบัญชีเลย

ตอนแรกจะรอปาฏิหาริย์ วันนี้เธอหาเงินได้ครบห้าล้าน ฉันอยู่ในเมืองSในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ก็น่าจะมีคอนเนคชั่นอยู่บ้าง สุดท้ายแล้วค่อยเอาเงินพวกนี้ฝากเข้าบัญชี

แต่ฉันไม่คิดว่า จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”

“เจี่ยนถง ไม่มีอะไรที่ฉันจะช่วยเธอได้ แต่เงินพวกนี้ ประธานเสิ่นไม่ได้ต้องการ และไม่มีทางเอาเงินจำนวนนั้นเข้าบัญชี เดี๋ยวฉันจะเอาเงินและเช็คมาให้เธอ เก็บไว้ให้ดี รอจนกระทั่งที่เธอสามารถไปจากตรงนี้ได้ ก็เอาไปให้หมด

เธอก็อย่าโทษที่ฉันไม่อาจพาเธอหนีไปจากที่นี่ได้ ฉันซูเมิ่งหรือจะเรียกอย่างไพเราะว่าผู้จัดการของตงหวง แต่ที่จริงแล้วฉันก็แค่เป็นหมาเฝ้าประตูของเถ้าแก่เท่านั้น”

เจี่ยนถงรู้สึกตราตรึง “ฉันรู้ สิ่งที่เธอทำเพื่อฉันก็เสี่ยงมากพอแล้ว” เธออยากจะพูด “ขอบคุณ”ต่อซูเมิ่ง แต่ก็รู้สึกว่า “ขอบคุณ” เพียงแค่คำเดียวมันช่างด้อยค่า ทำได้เพียงกอดซูเมิ่งเอาไว้แน่นเท่านั้น!

“โอเค ฉันต้องขอตัวก่อนแล้ว”

……

ทางด้านของเสิ่นซิวจิ่น ทยอยรับโทรศัพท์หลายสาย คุณปู่ของเห้ออู่ท่านแก่เห้อโทรหาเขาเอง “เสี่ยวอู่ไม่ค่อยรู้เรื่อง ล่วงเกินหลานเสิ่นไป หลานเสิ่นช่วยสั่งสอนเจ้าเด็กคนนี้ที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงแทนปู่เห้อหน่อย ให้เขาได้จำไว้ซะบ้าง”

วันนี้ผู้หลักผู้ใหญ่ไฮโซมากมายต่างพูดจาเหยียดหยามเจี่ยนถงในบ็อกซ์ตงหวง โทรข้ามากมาย บางคนอ้อนวอนขอร้อง รับผิด มีเพียงผู้อาวุโสจากตระกูลเห้อเท่านั้น ที่บอกให้เขาสั่งสอนเธอ

ฟ้ามืดลง ที่ริมหน้าต่าง ชายหนุ่มมีแววตาเคร่งขรึม มองไปยังท้องฟ้าด้านนอกที่มืดมิด สำหรับท่านแก่เห้อแล้วนั้น เขาหลับตาลง แล้วค่อยๆพูดขึ้น

“ในเมื่อท่านแก่เห้อพูดขึ้นมาแล้ว งั้นผมจะทำตามครับ ท่านแก่เห้อสบายใจได้ ผมจะทำตามคำสั่งของท่านแก่เห้อ สั่งสอนเขา ว่าต้องทำตัวยังไง เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเดือดร้อนขึ้นอีก ตอนนี้ดึกมากแล้ว ท่านแก่เห้อรีบพักผ่อนเถอะครับ”

นิ้วเรียวยาวกดวางสายไม่แม้แต่ชายตามอง

ฝั่งปลายสายนั้น ชายสูงวัยผมที่เงินโยนโทรศัพท์ในมือด้วยความโมโห “เจ้าเด็กบ้านตระกูลเสิ่น!” แล้วหันไปด่าทอพ่อบ้านที่อยู่ข้างๆต่อ

“แกคิดดูซิ ตระกูลเสิ่นนี่จะมากเกินไปแล้ว! คนอย่างฉันอยู่ในวงการธุรกิจมานานเป็นกี่สิบปี ก็ไม่ใช่คนไม่มีชื่ออะไร อายุก็มากกว่าเสิ่นซิวจิ่นถึงสองช่วงวัย มันเสิ่นซิวจิ่นแค่เด็กในบ้านตระกูลเสิ่น กล้าหักหน้าฉันในสายเมื่อกี้!”

พ่อบ้านที่อยู่ข้างๆ จึงได้แต่พูดปลอบ “คุณท่านใจเย็นๆนะครับ ท่านก็บอกแล้ว ว่าเด็กสมัยนี้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ท่านก็คิดซะว่ายอมเด็กมันไป” ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่ในใจของพ่อบ้านก็ไม่รู้จะทำอย่างไร คุณท่านครับ เขานั่นคือเสิ่นซิวจิ่นแห่งตระกูลเสิ่น ท่านโกรธแทบตายแล้วจะทำอะไรเขาได้?

จะมีเรื่องกับตระกูลเสิ่นเหรอ?

ท่านมีใจกล้าพอไหม มีความอดทนพอไหม มีความสามารถพอไหม?

แน่นอน ว่าคำพูดเหล่านี้ เขาไม่อาจพูดกับคุณท่านได้

พ่อบ้านอยู่กับคุณท่านมานาน รู้ใจคุณท่านดี จึงถามขึ้น “เมื่อสักครู่ตอนที่คุณชายรองโทรมาขอความช่วยเหลือ เหมือนมีพูดถึงลูกสาวของบ้านตระกูลเจี่ยนนะครับ?”

เมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้น ท่านแก่เห้อก็เสียงดังขึ้นมา “ลูกสาวของตระกูลเจี่ยน ไม่ได้ติดคุกไปแล้วเหรอ?” เมื่อคิดเช่นนั้น เขาจึงตัดสินใจจะโทรไปถามที่บ้านตระกูลเจี่ยนเอง ต้องการถามเจี่ยนเจิ้นตงเองกับปาก

ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา ดึกขนาดนี้แล้ว ยังจะโทรไปบ้านคนอื่น ซึ่งแน่นอนปลายสายมีคนรับสาย เสียงที่ไม่ค่อยพอใจดังขึ้นมา “ดึกขนาดนี้แล้ว ใคร”

“เจิ้นตง นายนอนแล้วเหรอ?”

ปลายสายได้ยินว่าเป็นเสียงของท่านแก่เห้อจึงเสียงอ่อยลง ขจัดความง่วงไปได้มาก “อ๋อ เป็นท่านแก่เห้อนั่นเอง ดึกขนาดนี้แล้ว ท่านแก่เห้อมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”

“เจิ้นตง ฉันยินดีกัยนายด้วยนะ”

เจี่ยนเจิ้นตงสงสัย “ท่านแก่เห้อหมายความว่ายังไงครับ มีเรื่องน่ายินดีอะไร?”

“ยินดีที่บ้านนายพร้อมหน้าพร้อมตากันเสียที เสี่ยวถงออกมาจากคุกแล้วสินะ?”

เจี่ยนเจิ้นตงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แล้วพูดขึ้นด้วยความเคร่งขรึม “คุณท่าน ที่โทรมาดึกดื่นเพราะเรื่องนี้เหรอครับ?”

เวลาเดียวกัน ในใจก็คำนวณเวลา… คาดว่า เวลานี้เจ้าลูกสาวกบฏน่าจะออกมาจากคุกแล้ว

เมื่อคิดถึงลูกสาวกบฏ เจี่ยนเจิ้นตงก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา… ตอนนั้นที่บ้านตระกูลเจี่ยนเจอมรสุมหนัก แทบจะทำลายรากฐานของตระกูลที่มีมาช้านาน เพราะเจ้าลูกกบฏคนนี้ ที่ทำให้บ้านตระกูลเจี่ยนกลายเป็นเรื่องตลกของเซี่ยงไฮ้!

ท่านแก่เห้อหัวเราะ “เสี่ยวอู่ของพวกเรา นายก็รู้ว่าเด็กวัยรุ่น ชอบไปที่กลางคืนแบบนั้น ตกใจนะ เด็กอย่างเสี่ยวถงฉันก็เห็นมาแต่เล็ก เธอยังทำผิดซ้ำอีก คนเป็นพ่อก็ไม่น่าปล่อยลูกตกไปอยู่ในมือตงหวงได้ เป็นเรื่องตลกของผู้ชายเอา!”

ปั้ง!

ท่านแก่เห้อได้ยินเสียงแก้วกระแทกลงกับโต๊ะ แล้วก็ยิ้มขึ้นมา… ในเมื่อเรื่องนี้เกิดจากลูกของเจี่ยนเจิ้นตง ที่สร้างความเดือดร้อนมายังเสี่ยวอู่ เจี่ยนเจิ้นตงจะเอาดีฝ่ายเดียว นอนหลับสบาย ฝันหวานเหรอ… ไม่มีทาง!”

หลังจากที่วางสาย เจี่ยนเจิ้นตงก็รีบลุกขึ้นจากเตียง หยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมาคลุม

คุณหญิงเจี่ยนที่กำลังงัวเงียอยู่นั้นก็ถามสามีด้วยความงุนงง “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

“เกิดอะไรขึ้น?” เจี่ยนเจิ้นตงโมโห “ลูกสาวของเธอไปเป็นกะหรี่แล้ว!”

ป้าบ!

คุณหญิงเจี่ยนรู้สึกเหมือนหูระเบิดเฉียบพลัน!

รีบลุกขึ้นมานั่ง “คุณว่ายังไงนะ?”

เธอต้องฟังผิดไปแน่ๆ

“ท่านแก่เห้อโทรมาเองเลย ว่าเห้ออู่เห็นเองกับตาว่านังลูกกบฏนั้นขายตัวอยู่ที่ตงหวง!”

คุณหญิงเจี่ยนร้อนรน “เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน! เสี่ยวถงเย่อหยิ่งเสียขนาดนั้น ไม่มีทางไปทำเรื่องแบบนี้แน่นอน! ลูกของตระกูลเห้อตาฝาดไปรึเปล่า?”

“ท่านแก่เห้อโทรมาเองกับตัว เธอว่ายังไงล่ะ?” เจี่ยนเจิ้นตงหน้าดำหน้าแดง

“ดึกดื่นขนาดนี้ คุณจะไปทำอะไร?” คุณหญิงเจี่ยนคว้าข้อมือสามีเอาไว้แน่น “เจิ้นตง ดึกขนาดนี้แล้ว จะทำอะไรได้?”

เจี่ยนเจิ้นตงที่อายุเกือบจะ 50แล้วนั้น ยังคงดูแลคงความหล่อไว้อย่างดี ผมสีขาวนั้นไม่ได้ทำให้เขาเธอ้อยลงเลย และยิ่งทำให้เขาดูมีเสน่ห์ยิ่งขึ้นอีกด้วย ต้องยอมรับเลยว่า เจี่ยนเจิ้นตงเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มาก ตอนวัยรุ่นน่าจะเป็นคนรักสนุก

แต่ตอนนี้ ถึงแม้ว่าเจี่ยนเจิ้นตงจะมีริ้วรอยของช่วงวัยแล้วก็ตาม แต่เขายังแฝงไปด้วยเสน่ห์มากล้น

กัดฟันด้วยความโกรธ “สามปีก่อน นังลูกกบฏนำพาความบรรลัยมาสู้บ้านของพวกเรา ทำให้ทุกคนในตระกูลเจี่ยนตกเป็นตัวตลกของทั้งเซี่ยงไฮ้

จนเวลาผ่านไปแล้วสามปี เรื่องราวค่อยๆสงบลง ตระกูลเจี่ยนกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง นังลูกกบฏยังไปขายตัวที่ตงหวงอีก! ทำให้ตระกูลเจี่ยนกลายเป็นตัวตลกอีกครั้ง นังลูกกบฏ ทำไมไม่ยอมออกไปจากตระกูลเจี่ยนเสียที!

ฉันเจี่ยนเจิ้นตงเคยทำผิดอะไร ถึงได้มีลูกแบบนี้!

ฆ่าคน ทำร้าย หรือว่าทำต่อเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกัน!

เธอรักเสิ่นซิวจิ่น แต่ก็ไม่น่าถึงกับต้องลงมือกับเซี่ยเวยเหมิง น่าจะคิด ว่าเซี่ยเวยเหมิงคือคนสำคัญของเสิ่นซิวจิ่น นังลูกกบฏ! ทำลายชาติตระกูล เพียงเพื่อความต้องการของตัวเอง!

จนตอนนี้ออกมาจากคุก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านมา นี่ทำตัวหนักกว่าเดิม ไปทำตัวตกต่ำที่ตงหวงอีก!

“เจิ้นตง ใจเย็นๆก่อน อาจจะ… อาจจะ เธออาจจะมีความทุกข์ของเธอ” คุณหญิงเจี่ยนสีหน้าอมทุกข์ อย่างน้อยเธอก็เป็นคนคลอดเจี่ยนถงออกมา “เจี่ยนตง คุณลองคิดดู เสี่ยวถงเธอเย่อหยิ่งจะตาย จะตกต่ำถึงขั้นนั้น…จนถึงขั้น จนถึงขั้นเป็นผู้หญิงแบบนั้นได้อย่างไร?”

คุณหญิงเจี่ยนไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่เชื่อ ว่าลูกสาวตัวเองไปขายตัวที่ตงหวง

“เจิ้นตง เรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนก่อน อย่าฟังแต่คำของเห้ออู่แค่ฝ่ายเดียว”

เจี่ยนเจิ้นตงหัวเราะด้วยความเย็นเยียบ “ฉันจะหาคนไปสืบอย่างแน่นอน ดูซิว่านังลูกกบฏจะทำเรื่องน่าอายอะไรอีก” พูดจบ ก็โบกมือไล่คุณหญิงเจี่ยน แล้วเดินเข้าห้องหนังสือไป “วันนี้ฉันจะนอนห้องหนังสือ”

พูดด้วยความเย็นชา แล้วทิ้งให้คุณหญิงเจี่ยนอยู่กับความทุกข์เพียงลำพัง

เจี่ยนเจิ้นตงไปที่ห้องหนังสือ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วกดโทรออก “นังลูกกบฏนั่นออกมาจากคุกแล้ว แกไปสืบเรื่องราวและร่องรอยหลังออกมาจากคุก สืบรู้อะไรมาแจ้งฉันให้หมด”

แล้วก็เห้ออู่พวกนั้น อยู่กับทางเสิ่นซิวจิ่นไม่สบายดี ยังถูก “สั่งสอน” อีกยกใหญ่ แล้วยังเสิ่นยีส่งกลับบ้านทีละคน

เสิ่นยีไม่เข้าใจ “บอสครับ ในเมื่อคุณเจี่ยนเลวร้ายมาก ทำไมจะต้องปกป้องคุณเจี่ยนอีก”

แววตาลุ่มลึกชายหนุ่มฉายแววสงสัย แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว จนแทบจะมองไม่เห็น แม้กระทั่งตัวเขาเองก็แทบจะไม่รู้สึกตัว ดวงตาสีดำขลับนั้นหรี่ลง แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ฉันสั่งสอนใคร ฉันแค่ไม่ชอบพวกเขา ไม่เกี่ยวกับผู้หญิงเสียหน่อย”

……

ที่โรงพยาบาล

ไป๋ยู่สิงตรวจร่างกายครั้งสุดท้ายให้กับเจี่ยนถง “โอเค ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว เจี่ยนถง วันหลังอย่าล้อเล่นกับชีวิตตัวเองอีก”

เดิมทีเขาไม่อยากจะพูดเรื่องพวกนี้กับเจี่ยนถง แต่ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อไป๋ยู่สิงมองหญิงสาวที่เอาแต่นั่งก้มหน้าไม่พูดจาคนนี้ พลันนึกถึงบทสนทนาที่คุยกับเสิ่นซิวจิ่นที่ห้องนอนของเขาที่ตงหวงชั้น28 ในวันนั้น

มองแววตาของเจี่ยนถง แล้วไป๋ยู่สิงก็พูดขึ้น “ในเมื่อออกมาจากคุกแล้ว ก็ใช้ชีวิตให้ดี มีชีวิตที่ดี เรื่องที่ผ่านมาแล้ว ก็ให้มันผ่านไป สิ่งที่เธอควรชดใช้ ก็ชดใช้ไปหมดแล้ว ถึงแม้ว่า… เวลาที่อยู่ในคุกสามปี จะแลกกับหนึ่งชีวิตที่เสียไปไม่ได้ แต่…เธอก็สูญเสียไปมากเช่นกัน”

เดิมหญิงสาวก็เศร้าเสียจนไม่อยากจะพูดอะไร อยู่ๆก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา “สิ่งที่ควรคืน… คืนหมดแล้วหรือยัง?”

ไป๋ยู่สิงถูกเสียงที่แหบพร่านั้นพูดเสียดสีขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว?

เขาก้มลงมองเจี่ยนถงด้วยความสงสัย แววตาครุ่นคิด “เธอ… หมายความว่ายังไง?”

ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยด้วยอารมณ์ที่ยากจะคาดเดา เจี่ยนถงค่อยๆก้มหน้าลง “ไม่ได้หมายความว่าอะไร”

ไป๋ยู่สิงยิ่งไม่เข้าใจ… หรือเมื่อกี้เขาฟังผิดไป?

“หลังจากนี้… ก็ยอมเสิ่นซิวจิ่นหน่อย เธออย่าหัวแข็งไปหน่อยเลย”

เจี่ยนถงหัวเราะ ไม่ออกความคิดเห็น

คิดว่าเธอมีความผิดทั้งนั้น คิดว่าเธอคือคนที่ทำผิดทั้งนั้น คิดว่าสามปีนั้นคือการที่เธอชดใช้ความผิด… เฮ้อ ใครก็ได้มาบอกเธอหน่อย ว่าเธอทำอะไรผิดไป? เธอชดใช้ความผิดข้อหาอะไร?

รู้สึกว่าเซี่ยเวยเหมิงโดนใส่ร้าย ตายอย่างบริสุทธิ์ รู้สึกว่าเจี่ยนถงสมควรแล้วที่ได้รับโทษ… หนึ่งคนสองคน ต่างด่าทอว่าเธอใจร้ายไส้ระกำ… แต่พวกเขาจะมีใครสักคนไหม ที่เห็นว่าเธอเป็นคนฆ่าเซี่ยเวยเหมิง?

ความเหนื่อยล้าประดังประเดเข้ามาทั่วทั้งร่างกาย

ช่วงนี้เธอ… เหนื่อยง่ายมากๆ เจี่ยนถงยกมือขึ้นมา นวดที่หางคิ้วตัวเอง พยายามคลายความเหนื่อยล้าในร่างกาย

“แล้วก็… ที่จริง เสิ่นซิวจิ่นก็ค่อนข้าง…” ใส่ใจเธอ… เก็บคำพูดนั้นเอาไว้ รู้สึกไม่เหมาะสม ไป๋ยู่สิงหยุดพูดลง แล้วเปลี่ยนเรื่อง “ไม่เป็นไรแล้ว วันหลังก็ทำตัวดีๆ ”

ได้ยินเช่นนั้น เจี่ยนถงก็ใช้นิ้วเรียวชี้ไปที่หัวใจ แรงเสียจนจะทำให้หัวใจแหลกสลาย… จากนั้นเจี่ยนถงก็เงยหน้าขึ้นถาม แววตาจ้องไปที่ไป๋ยู่สิง แล้วถามขึ้น

“ไป๋ยู่สิง ถ้าหากฉันบอกว่า การตายของเซี่ยเวยเหมิงไม่เกี่ยวข้องกับฉัน สามปีก่อน ฉันไม่เคยทำอะไรเซี่ยเวยเหมิง นายจะเชื่อไหม!”

“ถ้าหากฉันบอกว่า เรื่องในสามปีก่อน เป็นผลกรรมของเซี่ยเวยเหมิง เธอสมควรที่จะโชคร้าย เชื่อไหม!”

“ถ้าหากฉันบอกว่า ตั้งแต่ต้นจนจบ เซี่ยเวยเหมิงแอบพูดกับฉันมาตลอด เธอไม่ชอบเสิ่นซิวจิ่น นายจะเชื่อไหม!”

“ถ้าหากฉันบอกว่า เซี่ยเวยเหมิงต่างหากที่เป็นคนทำเรื่องเลวร้าย สมควรที่จะตกนรก เธอจะเชื่อไหม!”

เสียงของเธอแหบพร่าไม่น่าฟัง และรีบร้อนเสียยิ่งกว่าอะไร ราวกับกำลังรีบกล่อมไป๋ยู่สิงให้คล้อยตาม อยากได้ความเชื่อมั่นจากไป๋ยู่สิง ไป๋ยู่สิงจ้องหญิงสาวตรงหน้า แววตาของเธอสะอาดเกินไป มุ่มนมั่นเกินไป ทำให้คนรู้สึกเชื่อมั่นโดยที่ไม่รู้ตัว!

แต่ว่า!

“เจี่ยนถง ตอนแรกฉันคิดว่าการที่เธอติดคุกมาสามปี จะทำให้เธอลดความทะนงตัว เจียมเนื้อเจียมตัวขึ้นมาบ้าง แต่ไม่คิดว่า หลังจากออกมาจากคุกแล้ว เธอยังคงน่ารังเกียจขนาดนี้! …ไม่ นี่อาจจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของเธอ!

ใช่! นี่คือตัวตนที่แท้จริงของเธอ หลายปีมานี้ เธอหลอกคนมากมายได้สำเร็จ!

ถ้าหากนี่ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเธอ สามปีก่อนเธอไม่คงไม่มีทางลงมือทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้นออกมาได้หรอก!

เจี่ยนถง ฉันขอความเห็นใจของฉันคืน”

ไป๋ยู่สิงมองแววตาของเจี่ยนถง แววตานั้นช่างเย็นเยือก ไร้ซึ่งความเป็นคน พูดจบ ก็เดินออกไปด้านนอกด้วยความรวดเร็ว

เปิดประตูออกไปอย่างแรง ไป๋ยู่สิงเพ่งมอง!

ด้านนอก มีสายลมเย็นพัดผ่านมา

เสิ่นซิวจิ่น!

“เสิ่นซิว…” ไป๋ยู่สิงจะพูดแต่ก็ไม่พูดออกไป เสิ่นซิวจิ่นท่าทางน่ากลัวมาก ไป๋ยู่สิงเห็นก็พลางรู้สึกกลัวไปด้วย

เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้สนใจไป๋ยู่สิง แววตาคมกริบนั้น จ้องไปที่ตัวของเจี่ยนถง แววตาของเขาในตอนนี้น่ากลัวมาก! ต่อหน้าหญิงสาวคนนี้ นอกจากความโกรธแล้ว ยังมีความแค้นมากมายในใจที่ไม่อาจแสดงมันออกมา!

“เธอนี่ ไม่รู้จักเชื่อฟัง”

เสียงเย็นชาของชายหนุ่ม

ไป๋ยู่สิงก็รู้สึกกลัวไปด้วย เขามองไปที่เสิ่นซิวจิ่นและเจี่ยนถงสลับกัน บรรยากาศภายในห้องเย็นเสียจนเป็นน้ำแข็ง!

มองดูเงียบสงบ แต่ก็แอบมีการเคลื่อนไหวแฝง!

หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย จังหวะที่เห็นคนนี้เข้ามาในห้อง เธอก็ห่อไหล่ขดตัวลงมา เธอทั้งเกลียดและกลัวคนคนนี้

หน้าซีดเผือด

“สามปีเธอยังไม่รู้จักเชื่อฟัง จนตอนนี้เริ่มเหิมเกริมมากขึ้น” เสียงของเขาเย็นชามาก จนแทบจะทำให้ใจของเธอเยือกแข็งตามลงไปด้วย!

ไม่ว่าจะอีกกี่ครั้ง ก็ไม่กล้าไปยุ่งกับเสิ่นซิวจิ่น ถึงแม้จะผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงแม้จะบอกตัวเองว่า “ไม่สนใจ” แล้วก็ตาม เธออยากเพียงแค่ “ใช้ชีวิตดีๆ ” ใช้หนี้ “ดีๆ ” แต่เจี่ยนถงยังคงรู้สึกเจ็บแปลบที่บาดแผล

“งั้นนายส่งฉันเข้าคุกไปสิ!” เธอไม่ควบคุมความโกรธของตัวเอง แล้วตะคอกออกไป “เสิ่นซิวจิ่น นายส่งฉันเข้าคุกไปสิ!

ฉันจะบอกนายให้ สามปีครั้งเดียว สองครั้ง หรือสามครั้ง!

ไม่ว่าจะอีกกี่ครั้ง!

จนถึงวันที่ฉันตาย ฉันยังคงขอสาปแช่งให้เซี่ยเวยเหมิงตกนรก!”

เมื่อก่อนเธอและเซี่ยเวยเหมิงดีต่อกันขนาดไหน ตอนนี้เธอก็เกลียดเธอขนาดนั้น!

เวลาสามปี ที่เธอถูกขังไม่เห็นดาวเห็นเดือนในนั้น เธอใช้เวลามากมายไปคิด ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในคืนนั้น

เวลาสามปี มากพอที่จะให้เธอเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน

เพียงแต่ จนกระทั่งวันที่เธอออกมาจากคุกวันนั้น เธอยังไม่อยากจะเชื่อ เหมือนกับเธอหลับลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า หลับตาแล้วบอกกับตัวเอง ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ ต้องเป็นเพราะเธออยู่ในคุกมานาน ถูกทรมานมามากมาย ดูถูกเหยียดหยามมามากมาย ความสกปรกและความมืดมิดมามากมาย จึงทำให้จิตใจของเธอเปลี่ยนไป เธอมองใครก็ดูเป็นคนเลวไปหมด จนทำให้เธอพาลโกรธเซี่ยเวยเหมิงไปด้วย

หลอกตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นจิตใจของเธอจึงเปลี่ยนไป ไม่ใช่ความผิดของเซี่ยเวยเหมิง เป็นเพราะจิตใจของเธอเอง ที่คิดต่อเซี่ยเวยเหมิงไปในด้านแย่ๆ

เซี่ยเวยเหมิง,เซี่ยเวยเหมิง!

แต่เมื่อตอนที่เธออยู่ที่ตงหวง ย่าคุนสงสัยว่าทำไมเธอถึงต้องบังคับให้เซี่ยเวยเหมิงดื่มวิสกี้นั้น ทำให้เธอไม่อาจหลอกตัวเองได้ต่อไป

ที่แท้ไม่ใช่เพราะเธอผ่านความทรมานแล้ว จิตใจถึงเปลี่ยนไปหรอก

แต่มันเป็นมาตั้งแต่แรกต่างหาก เธอหลงผิดที่ไปเชื่อหญิงสาวที่มีรอยยิ้มหวานๆ เรียวหน้าอ่อนโยนนั้น!

ถามตัวเองว่าเธอไม่เคยผิดต่อผู้หญิงคนนี้ แต่เธอกลับแสดงละครตบตาต่อหน้าเธอหลายต่อหลายครั้ง ทุกครั้งเธอจะบอกกับเธอว่า “ที่จริงฉันไม่ชอบที่พี่จิ่น” นั้น ในนั้นมีแผนการมากมาย!

ทุกครั้งที่เธอพยายามตามจีบเสิ่นซิวจิ่น แล้วถูกปฏิเสธนั้น เซี่ยเวยเหมิงก็จะมาปลอบใจ ให้กำลังใจเธอ แม้แต่ตัวเธอเองยังเชื่อใจและประทับใจในตัวของเธอ

เจี่ยนถงยังมองเห็นได้ว่า หลายครั้งที่เธอพยายามสารภาพรักกับเสิ่นซิวจิ่น แต่ล้มเหลวนั้น มักจะพบว่าทุกครั้งคนที่ยืนมองเห็นทุกเหตุการณ์ก็คือเซี่ยเวยเหมิง ปลอบใจตัวเอง พลางหัวเราะที่ตัวเองถูกเธอเล่นอย่างกับตัวตลก

เจี่ยนถงไม่อยากจะนึกถึงความทรงจำเหล่านั้น แต่ความทรงจำเหล่านั้นก็ไม่อาจปล่อยเธอไป ราวกับน้ำที่ไหลลงมา ที่ไหลมาเรื่อยๆ และพยายามกดเธอให้จม!

ความทรงจำในอดีตเหล่านั้น!

เซี่ยเวยเหมิพูดกับเธอด้วยสีหน้าลำบากใจ ฉันไม่ชอบพี่จิ้น

เซี่ยเวยเหมิปลอบใจเธอราวกับเป็นแสงอาทิตย์ที่สดใส ไม่เป็นไรนะ พี่จิ้นก็นิสัยแบบนั้น แต่พี่เสี่ยวถงเพอร์เฟ็คขนาดนี้ สักวันหนึ่งพี่จิ้นจะเข้าใจในความรู้สึกของพี่เอง

เซี่ยเวยเหมิงพูดด้วยความเขินอาย พี่เสี่ยวถง เหมือนฉันจะตกหลุมรักคนคนหนึ่ง แต่ว่าฉันกลัวพี่จิ้น พี่รีบจีบเขาให้ติดเร็ว แบบนี้ฉันก็ไม่กลัวพี่จิ้นแล้ว แล้วถึงตอนนั้นพี่เสี่ยวถงก็ช่วยพูดกับพี่จิ้นให้ฉันหน่อยนะ

แล้วยังมีคืนนั้นที่เซี่ยเวยเหมิงลากแขนเธอไปด้วยหน้าที่ไร้เดียงสา พี่เสี่ยวถง พี่พาฉันไปเที่ยวที่ผับหน่อยสิ ฉันไม่เคยไปเลย อยากไปมาก พี่เสี่ยวถง พวกเราไป ‘ร้านเย่สื้อ’ กันเถอะ ได้ยินเพื่อนบอกมาว่า นักร้องรูปไล่ที่นั่นร้องเพลงเพราะมาก

ที่น่าตลกคือ ตัวเองเชื่อใจเธอด้วยความไร้เดียงสา!

ต่อมา… ต่อมาเซี่ยเวยเหมิงถูกข่มขืน แล้วตัวเองล่ะ ตัวเองถูกเสิ่นซิวจิ่นลากเข้าคุก อยู่ไปอยู่มาก็เป็นเวลาสามปี สามปีนั้นมีทั้งความทรมานดูถูกเหยียดหยาม แบกชื่อว่านักโทษคดีฆาตกรรมไปตลอดชีวิต

น่ารังเกียจ!

ความเกลียดที่ควบคุมไม่ได้ เธอควบคุมความเกลียดนี้ไว้ไม่ได้ เธอควบคุมความโกรธในใจไม่ได้ เธอควบคุมอะไรไม่ได้ทั้งนั้น!

เธอเงยหน้า มุมปากยกขึ้นมาเหมือนกับกำลังจะร้องไห้ แววตาของเธอเจ็บปวดมาก แต่กลับบอกตัวเอง ว่าห้ามร้องไห้!

“เสิ่นซิวจิ่น! นายเก่งจริงก็ฆ่าฉันเสียให้ตายสิ!”

ต่อให้นายฆ่าฉันให้ตาย ฉันก็ยังจะพูดแบบนี้!

เซี่ยเวยเหมิงต้องไม่ตายดี!

เซี่ยเวยเหมิงต้องไม่ตายสงบ!

เซี่ยเวยเหมิงสมน้ำหน้า!

เซี่ยเวยเหมิงไปตกนรกซะ! ฉันจะใช้แรงทั้งหมดที่มีสาปแช่งเธอ! เซี่ยเวยเหมิงไม่ต้องไปผุดไปเกิด!”

เธอเหมือนกับใช้แรงทั้งหมดที่มี ไปตะโกนแหกปาก!

เธอเกือบจะใช้ลมหายใจทั้งหมดที่มี หลังจากที่เธอออกมาจากคุกเธอไม่เคยพูดได้เต็มปาก รวดเร็ว และเต็มที่ขนาดนี้มาก่อน!

เธอ… แทบจะบ้าตายแล้ว!

เมื่อก่อนเชื่อใจขนาดไหน วันนี้ก็เจ็บปวดขนาดนั้น!

เมื่อก่อนดีมากขนาดไหน วันนี้ก็เกลียดมากขนาดนั้น!

ตั้งแต่ที่ย่าคุนเริ่มถามในห้องนั้น เจี่ยนถงก็แทบจะบ้าตาย เธอน่าจะบ้าอย่างนี้ตั้งแต่แรก จะมีอะไรแน่ไปยิ่งกว่าการถูกเพื่อนที่ดีที่สุดของตัวเอง ใช้มีดแทงข้างหลัง และมีดเล่มนั้นเกือบจะเอาชีวิตเธอ!

ไม่… ไม่ใช่เกือบ มันได้เอาชีวิตของเจี่ยนถงไปแล้ว!

เจี่ยนถงที่ไร้ซึ่งทุกสิ่งอย่าง เจี่ยนถงที่ไร้ซึ่งความเย่อหยิ่งจองหอง… ยังเป็นเจี่ยนถงอีกเหรอ?

เธอพยายามอดทนทุกอย่าง ความคิด และความเกลียดของเธอที่แทบจะระเบิดออกมา!

แต่ท้ายที่สุด ก็หนีไม่พ้นคำพูดของเสิ่นซิวจิ่น ที่ค่อยๆเล่า เขามักมีวิธี ที่พูดเพียงไม่กี่ประโยคก็ทำให้เธอแหลกสลายไปได้!

“เซี่ยเวยเหมิงไปตกนรกเสียเถอะ! ฉันขอใช้แรงทั้งหมดที่มีในการสาปแช่งเธอ! เซี่ยเวยเหมิงขอให้เธอไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด!”

“เพี๊ยะ!”

เสียงตังโกนเงียบลง ตามด้วยเสียงฝ่ามือที่ฟาดลงมาอย่างแรง บรรยากาศในห้องพักคนไข้ดูตึงเครียด!

บนเตียงผู้ป่วย หัวของหญิงสาวหันไปอีกทาง ผมยุ่งเหยิง กุมหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกข้างอยู่ในเงา ใบหน้าข้างซ้าย เต็มไปด้วยความเจ็บปวด และความเจ็บปวดนั้นได้แทรกซึมเข้าไปในใจของเธอ

เธอไม่ได้ใช้มือไปลูบ มุมปากมีเลือดไหลออกมา ค่อยๆไหลลงมาที่จะหยด… หยดเลือดสีแดงสด หยดลงบนเตียง

“เจี่ยนถง เธอไม่ควรว่าเวยเหมิงต่อหน้าเสิ่นซิวจิ่น อย่าดื้อ พูดอะไรที่เบาๆก็พอแล้ว” ไป๋ยู่สิงใจเต้นแรงมาก สถานการณ์ตอนนี้ เกินกว่าที่เขาจะคาดเดาถึง กลัวว่าเจี่ยนถงจะดื้อปากแข็ง จึงรีบพูดขึ้นมาเตือนให้เธอยอมอ่อน แล้วค่อยบอกให้เสิ่นซิวจิ่นออกไป ให้เรื่องนี้มันจบไปไวๆ

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สิ่งที่เจี่ยนถงพูดออกมาเมื่อสักครู่ก็แรงเกินไป อย่างไรซะเซี่ยเวยเหมิงก็ตายไปแล้ว ยังไงเธอก็ไม่ควรไปสาปแช่งคนตาย… ไป๋ยู่สิงไปมองหญิงสาวบนเตียงอย่างไม่เห็นด้วย

เสิ่นซิวจิ่นที่เคยนิ่งเฉย และกล้าที่จะยอมรับทุกการกระทำของตัวเองนั้น ตอนนี้มือข้างนั้นเหมือนกับถูกลวก เอามือแอบไว้ที่ด้านหลัง และมือข้างนั้นสั่งอย่างไร้การควบคุม

ดวงตาคู่นั้นมองไปยังหญิงสาวบนเตียง เมื่อเห็นรอยเลือดบนเตียง ก็แอบรู้สึกผิด… มือนั้นของเขาที่แอบไว้ด้านหลังสั่นแรงมาก

ไม่ต้องพูดถึงความดีเลวของเซี่ยเวยเหมิง รูปร่างของเซี่ยเวยเหมิงเขาแทบจะจำไม่ได้แล้ว แต่สภาพของหญิงสาวคนนี้เมื่อสามปีก่อน เขากลับยังจำได้ดี

เขาไม่อาจปล่อยเจี่ยนถงไป!

เจี่ยนถงผู้หญิงคนนี้ ไม่ควรจะกลายเป็นสภาพที่น่าสงสารและโทษฟ้าโทษดินแบบนี้ เขา… ไม่อยากจะเห็นเจี่ยนถงที่น่ารังเกียจคนนี้อีก!

เจี่ยนถง คงจะเชื่อมั่นในตัวเองมาก เย่อหยิ่งจองหอง เอาแต่ใจตัวเอง!

ถ้าหาก เจี่ยนถงกลายเป็นสภาพที่น่าสงสาร… เขา ก็ไม่อนุญาต!

“หลังจากนี้ คำพูดเหล่านี้อย่าให้ฉันได้ยินอีก!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน

หญิงสาวที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยนั้น แอบสัมผัสบาดแผลที่มุมปากของตัวเอง แล้วหัวเราะออกมาแบบไม่มีเสียง… “ประธานเสิ่น ไม่ปล่อยฉันไป ก็ส่งฉันกลับเข้าไปที่นั่นซะ” หันไปมองเขา เธอหัวเราะแบบไร้เสียง แล้วท้าทายอย่างไร้ความหวัง!

สามปีก่อนที่อยู่ในคุกได้พรากอิสระไปจากเธอ

หลังจากนั้นสามปี เขายังใช้อำนาจในการพรากอิสระไปจากเธออีก!

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะต่างอะไรกับการที่เธออยู่ในคุก?

ถ้าหากไม่ปล่อยเธอไปให้เป็นอิสระเสียตั้งแต่ตอนนี้ ก็ส่งเธอเข้าคุกเสีย จะออกหรือไม่ออกมาก็ไม่มีอิสระเหมือนกัน

หลังจากออกมาจากคุก ตอนแรกเธอเชิดหน้า ถ้าหากไม่เห็นสภาพที่ย่ำแย่ของเธอ อารมณ์ ความจองหอง และมุมปากของเธอนั้นที่เอาแต่ใจ ถูกยกขึ้นมา และหัวเราะแบบไม่มีเสียง นี่คือการท้าทาย ท้าทายท่ามกลางความสิ้นหวัง!

ท้าทายแบบแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ!

เสิ่นซิวจิ่น นายเลือกเถอะ!

ไป๋ยู่สิงดูจนไม่รู้จะทำอย่างไร!

เสิ่นซิวจิ่นดูจนงงไป!

เจี่ยนถง!

ในใจของทั้งสอง เกือบจะคิดออกมาแบบเดียวกันสองคำ

คือเจี่ยนถง!

นี่แหละคือเจี่ยนถง!

เธอย่ำแย่ ครึ่งหน้าของเธอบวมเฉ่ง มุมปากที่รอยเลือดซึมออกมา และเจ็บปวดอย่างรู้สึกได้ชัด!

เธอหัวเราะออกมาแบบไม่มีเสียง ขยับรอยแผลที่มุมปาก เธอหรี่ตาลงเล็กน้อย เธอเชิดหน้าขึ้นด้วยความเย่อหยิ่ง… นี่แหละคือเจี่ยนถง!

แต่ว่า… เธอพูดว่าอะไร?

ไม่ปล่อยเธอไป ก็ส่งเธอกลับเข้าคุก?

เสิ่นซิวจิ่นค่อยๆเสียสติ ความน่ากลัวกลับเข้ามา เสียงที่เย็นชาพูดด้วยความเรียบนิ่ง “ออกไป”

ไป๋ยู่สิงใจสั่น เขาอยากจะพูดบางอย่าง แต่เมื่อสายตาที่เย็นชาหันมามองที่เขา ไป๋ยู่สิงจึงออกไปจากห้องผู้ป่วยอย่างเงียบๆ แล้วรีบปิดประตูลง

“เธอรู้ผิดแล้วรึยัง?”

เสียงดุดันดังขึ้น

เขาถามเธอ รู้ตัวว่าผิดแล้วหรือยัง?

ผิด?

อะไรคือถูก?

อะไรคือผิด?

“ฉันไม่ผิด”

เธอพูด

ในใจรู้สึกเจ็บปวดมาก

เขาถามเธอ ว่ารู้ตัวว่าผิดแล้วหรือยัง?

ฮ่าๆ!

“ประธานเสิ่น ถ้าหากคุณบอกว่าฉันผิด งั้นฉันก็คงต้องผิด แต่คุณถามฉัน ว่ารู้ผิดแล้วหรือยัง” เธอเชิดหน้าขึ้นด้วยท่าทางจองหอง ไม่น่ามอง มุมปากที่บาดเจ็บนั้นยกขึ้น เหมือนกับเจี่ยนถงที่สดใสปราณีในสมัยก่อนไม่มีผิด “ฉันไม่รู้ว่าผิดตรงไหน”

เกลียด!

ความเกลียดชังที่มีต่อเซี่ยเวยเหมิง เธอไม่มีทางที่จะหลอกตัวเองได้อีกต่อไป เจี่ยนถงบอกกับตัวเอง จะล้มอีกครั้ง จะเป็นยังไง?

อย่างมาก ก็แค่ถูกส่งไปยังที่กินคนนั้นอีกครั้ง!

เธออยากจะจากไปขนาดนี้?

ปล่อยเธอไป? ปล่อยให้เธอจากไป ให้เธอโบยบินไปกับลู่เชน?

เสิ่นซิวจิ่นนึกถึงหญิงสาวที่อยู่ในความฝัน ยังคงร้องเรียกแต่ “อาลู่ อาลู่” ในใจก็รู้สึกโกรธขึ้นมา เธอมองหญิงสาวที่อยู่บนเตียงด้วยแววตาเย็นชา “ตายใจไปเสียแต่ตอนนี้ ระหว่างเธอและฉัน ถ้าฉันไม่บอกว่าหยุด ก็ไม่มีทางหยุด!”

อยากจะจากไปเหรอ? อยากจะตามลู่เชนไปใช้ชีวิตที่หวานแหววเหรอ?

ฝันไปเถอะ!

เจี่ยนถงพยายามสะกดความกลัวแล้วเชิดหน้าอยู่อย่างนั้น “เสิ่นซิวจิ่น! เมื่อกี้คุณเพิ่งถามฉัน ว่ารู้ผิดแล้วหรือยัง ฉันนึกขึ้นมาได้แล้ว” มุมปากของเธอเผยรอยยิ้มขึ้นมา “ฉันมีความผิด!”

“ฉันผิดไปแล้ว ฉันผิดไปแล้วจริงๆ ความผิดที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ คือตกหลุมรักคุณ!

ฉันผิดไปแล้ว! ผิดไปแล้วก็ต้องแก้ ฉันจะแก้!”

แววตาที่มุ่งมั่นของเธอ ความตั้งใจที่เธอพูดออกมาว่า “ฉันผิดไปแล้ว” แววตาที่ตั้งใจนั้น เหมือนกับเธอในตอนนั้น ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา สารภาพรักต่อเขาหลายต่อหลายครั้ง เหมือนกันไม่มีผิด!

ในสายตาของชายหนุ่ม จ้องหญิงสาวที่อยู่บนเตียงเขม็ง แววตาของเธอ… ตั้งใจเหมือนกับตอนนั้นที่มาสารภาพรักกับเขา… เหตุการณ์ที่หญิงสาวผู้แสนจะเย่อหยิ่งสารภาพรัก ตรงหน้าในตอนนี้ ดวงหน้านั้น เหมือนกับตอนนั้น ความมุ่งมั่น ที่บอกเขาว่า “เธอผิดไปแล้ว” !

เธอบอกว่าเธอผิดไปแล้ว เธอจะแก้ไข!

เธอจะแก้ไขอะไร?

ที่หัวใจรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา มีอารมณ์คลุ้มคลั่ง ที่แทบจะระเบิดออกมา!

เขารู้เพียงว่า ผู้หญิงที่สมควรตายคนนี้ อยากจะไปจากเขา จะหนีไปกับลู่เชน!

ไม่อนุญาต!

“เจี่ยนถง ฉันเคยบอกเธอไหม ว่าถึงแม้ว่าเป็นของที่ฉันไม่ต้องการ คนอื่นไชก็ไม่อาจแตะต้อง?” เสียงของเสิ่นซิวจิ่นนั้นอ่อนโยนลงมา แต่วินาทีนั้น เสียงที่อ่อนโยนทำให้ขนลุกในเวลาเดียวกัน

เจี่ยนถงหายใจติดขัด เธอกำที่นอนในมือแน่น ทันใดนั้นเธอกลั้นลมหายใจอย่างไม่รู้ตัว แววตาเบิกโต มองชายหนุ่มที่ค่อยๆย่างเข้ามาหาเธอ

ตึกตัก… ตึกตัก…

เสียงของรองเท้าหนังเหยียบลงบนพื้น ทุกย่างก้าว ทำให้ใจของเจี่ยนถงเต้นแรงมาก ชายหนุ่มค่อยๆเดินเข้ามาใกล้เธอทีละก้าวๆ ความกดดันประเดประดังเข้ามา ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออก

ยิ่งเขาใกล้เข้ามาเท่าไหร่ สีหน้าของเจี่ยนถงก็ยิ่งซีดลง แต่เธอยังคงเชิดหน้าอยู่เช่นนั้น ไม่ยอมก้มลง

เจี่ยนถงกลัวเขา!

ใบหน้าที่ซีดเผือด ค่อยๆแดงระเรื่อขึ้นจากอาการป่วย มือของเธอยังคงกำที่นอนไว้แน่น… ไม่ว่าเธอจะแสดงออกไปอย่างไร ก็ไม่อาจปกปิดความจริงได้

แววตาสีดำขลับของชายหนุ่มมองเห็นทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกการกระทำของเธอ ทุกท่วงท่าอารมณ์ของเธอ เขาเห็นมันหมดทุกอย่าง… ว่าเธอกลัวเขา!

สัมผัสได้ว่าในแววตาของชายหนุ่มมีความโหดร้ายปรากฏออกมา

เขาเองไม่รู้ตัว ที่เจี่ยนถงกลัวเขา นั้นทำให้เขารู้สึกแย่เสียยิ่งกว่าที่เจี่ยนถงด่าเซี่ยเวยเหมิงเสียอีก!

“ไม่ว่าจะสามปีก่อน หรือหลังจากนั้นสามปี เจี่ยนถง” ร่างสูงมาหยุดยืนที่ตรงหน้าเธอ ก้มลงมองหญิงสาวที่อยู่บนเตียง แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ระหว่างเธอและฉัน เธอไม่ใช่คนที่จะตัดสินได้ทุกอย่าง”

ในหัวของเสิ่นซิวจิ่น เขายึดมั่นว่า

เจี่ยนถงรักเสิ่นซิวจิ่นได้คนเดียว เจี่ยนถงเป็นของเสิ่นซิวจิ่นเพียงคนเดียว ทุกอย่างของเจี่ยนถง ก็คือของเสิ่นซิวจิ่นเช่นกัน ไม่ว่าจะแค่แววตา ก็เป็นเพียงของเขาได้แค่คนเดียว!

นอกจากเขา จะเป็นใครก็ไม่ได้ เซี่ยเวยเหมิงก็ไม่ได้!

ที่เขาโกรธไม่ใช่เพียงเพราะผู้หญิงที่สมควรตายคนนี้ ใช้เวลาสามปี เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนไร้จิตใจปากกล้าขนาดนี้ ที่เขาต้องการคือเจี่ยนถงในสามปีก่อน! ไม่ใช่เจี่ยนถงที่มีจิตใจไม่ดีแบบทุกวันนี้!

เขาโกรธผู้หญิงคนนั้นที่มีจิตใจโหดร้าย ที่เธอจะใช้เวลาทั้งหมดที่เหลือในชีวิตไปสาปแช่งคนที่ตายไปแล้วเมื่อสามปีก่อน!

เจี่ยนถงอยากจะใช้เวลาที่เหลือในชีวิตไปสาปแช่งเซี่ยเวยเหมิง ชีวิตที่เหลือของเจี่ยนถงเป็นของเสิ่นซิวจิ่น เจี่ยนถงมีสิทธิ์อะไรที่ใช้ของของเขา ไปสาปแช่งคนอื่น?

ไม่ว่าจะเป็นลู่เชน หรือเซี่ยเวยเหมิง ที่ไม่มีตัวตน ในสายตาของเสิ่นซิวจิ่นเป็นสิ่งกีดขวางทั้งนั้น

เสิ่นซิวจิ่นกลับไม่พบว่า ที่เขามองเจี่ยนถงเป็นสิ่งของแบบนี้มันผิดปกติ และยิ่งไม่รู้สึกตัวว่า ตัวเองเกิดความรู้สึกกับผู้หญิงคนนี้ไปเสียแล้ว มิเช่นนั้นเขาก็คงเกลียดมากในอนาคตแบบนี้!

ทันใดนั้น!

ร่างสูงค่อยๆก้มลง ยื่นแขนมาช้อนเธอเข้าไปในอ้อมแขน เธอตกอยู่ในอ้อมกอดของเขา ริมฝีปากของเขาแนบชิดอยู่ที่หูของเธอ ลมหายใจอุ่นๆรดลงมาที่ข้างหูของเธอ เธอต้องการอิสระ อยากจะไปจากเขา เธอที่สมควรตายคนนี้อย่าแม้แต่จะคิดเลย เขายกมุมปากยิ้มขึ้นมาแล้วก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูเธอ

“ของของฉัน ฉันไม่อยากได้ คนอื่นก็ห้ามแตะต้อง เจี่ยนถง เธออยากมีอิสระมีความสุข ชีวิตนี้อย่าฝันเลย! ฆาตกรคดีฆาตกรรมควรค่าแก่การมีความสุขเหรอ?”

ผู้หญิงที่สมควรตายอยากจะโบยบินหนีไปกับลู่เชน อยากจะไปมีความสุขกับผู้ชายคนอื่น เธอฝันไปเถอะ!

เสิ่นซิวจิ่นสัมผัสได้ชัดเจน หญิงสาวที่ถูกเขากอดอยู่ในอ้อมแขน ร่างกายแข็งทื่อ รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูก แล้วก็ถูกกดทับอย่างรวดเร็ว… เธอทำให้เขาไม่สบาย ไม่มีความสุข เธอทำให้เขารู้สึกแย่มาก

เจี่ยนถงหลับตาลง เธอเจ็บในทุกๆลมหายใจ… เจี่ยนถง เธอต้องการความสุขต้องการอิสระ ชีวิตนี้ฝันไปเถอะ! ฆาตกรคดีฆาตกรรมควรค่าแก่การมีความสุขเหรอ?

เธออ้าปาก อยากจะพูดปฏิเสธขึ้นมา เธอไม่ใช่ฆาตกร เธอไม่ได้ทำร้ายเซี่ยเวยเหมิง

แต่ต่อมา สิ่งที่ต้องการจะพูด ก็ถูกกลืนลงไป… ไม่ เธอเป็นฆาตกร เธอติดหนี้เขาหนึ่งชีวิต เสิ่นซิวจิ่น… พูดไม่ผิด

เธอเอง!

ฆาตกรมีสิทธิ์ที่ได้รับอิสระและมีความสุขเหรอ?

ใช่ ใช่ ฆาตกรมีสิทธิ์ที่ได้รับอิสระและมีความสุขเหรอ? อาลู่ยอมสละชีวิตไปเพื่อเธอ นั่นเป็นชีวิตใหม่!

ที่เธอติดค้าง ชีวิตนี้ก็ชดใช้ไม่หมด!

สีหน้าของเธอค่อยๆซีดลง ริมฝีปากที่ซีดเซียว มีรอยช้ำ พูดขึ้นด้วยความตะกุกตะกัก “ประธานเสิ่นพูดถูก คนอย่างฉัน ที่จะร้องขออิสรภาพ ถือว่าเป็นความผิดครั้งยิ่งใหญ่” สำหรับความสุข และความต้องการ

คำพูดที่รุนแรงของเสิ่นซิวจิ่น เหมือนกับมีดที่ปักในใจของเจี่ยนถง

ยอมรับเองกับปาก ว่าเป็นเจี่ยนถงที่ปักมีดซ้ำลงบนแผลในใจนั้น!

ร่างกายที่เย็นเฉียบของเธอ ราวกับไม่มีเรี่ยวแรงอะไรเหลืออยู่ นั่งอ่อนแรงพิงอยู่ที่ไหล่ของเขา ยอมให้เสิ่นซิวจิ่นได้กอดเอาไว้

เสิ่นซิวจิ่น นายชนะอีกแล้ว …เจี่ยนถงค่อยๆหลับตาลง เพื่อปกปิดความเจ็บปวด

“อย่าใช้เวลาที่เหลือทั้งชีวิตไปสาปแช่งเซี่ยเวยเหมิง” เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นมา เขาค่อยๆพูด “เธอยังมีชีวิตที่เหลือที่ไหนกัน?” ชีวิตที่เหลือของเธอเป็นของฉัน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนอื่น… เขาพูดเสริมขึ้นในใจ

แต่เขาไม่รู้เลยว่าได้ทำร้ายจิตใจเธอไปเสียแล้ว

เธอยกมุมปากขึ้นมา “ใช่ค่ะ ประธานเสิ่นพูดถูก” ทั้งๆที่อยากจะดื้อรั้น ทั้งๆที่เกลียดเซี่ยเวยเหมิงแทบตาย ทั้งๆที่ให้เขาเห็นว่าเธอขาดใจไปต่อหน้า สุดท้ายก็ยังคงเป็นคำนี้ “เธอยังมีชีวิตที่เหลืออะไรกัน” จึงได้แต่กดเก็บความโกรธแค้นทั้งหมดไว้ในใจ

เธอยังมีชีวิตที่เหลืออะไรกันเล่า… ชีวิตที่เหลืออะไร ที่เธอจะสามารถไปเกลียดเซี่ยเวยเหมิงได้อีก?

ดังนั้น ความโกรธแค้นนี้เธอจะไปโกรธแค้นไม่ได้อีกแล้วใช่ไหม?

วันนี้ที่เธอมีความกล้ามากพอที่จะไปแย่งชิง สุดท้ายกลับพบว่าตัวเองไม่มีแรงเหลือพอที่จะไปแย่งชิงเสียแล้ว

เสิ่นซิวจิ่น ฉันยอมแพ้แล้ว ฉันไม่แย่งชิงอีกแล้ว ฉันเหนื่อยจนไม่มีแรงแล้ว จะไม่ไปดื้อรั้นแย่งชิงอะไรอีกแล้ว

……

ความคิดที่จะปล่อยทุกอย่างไปนั้นเข้ามาในหัวของเธอ เธอคิดว่า เธอไม่ไปแก่งแย่งแล้ว เธอจะเป็นคนนิ่งเฉยแบบนี้ รอจนเขาเบื่อทุกอย่าง รอจนเขาไม่อยากจะมองเธออีก รอจนเขาปล่อยทิ้งเธอเอาไว้ จนถึงตอนนั้น ก็คงจะแอบหนีไปได้

“เจี่ยนถง อย่าไปสาปแช่งเซี่ยเวยเหมิงอีกเลย เธอตายไปแล้ว แต่เธอยังมีชีวิตอยู่ อย่าทำให้ตัวเองแย่เพียงเพราะคนที่ตายไปแล้วคนหนึ่งเลย ไม่ควรค่า” คนที่ตายไปแล้วคนหนึ่ง ไม่ควรค่าแก่การที่เธอจะทำให้ตัวเองดูแย่ ไม่ควรค่า!

เจี่ยนถงตกตะลึง มีเพียงเสี้ยววินาที ที่เธอรู้สึกว่าภายใต้คำพูดของเสิ่นซิวจิ่นนั้นมีความห่วงใย แต่… จะเป็นไปได้อย่างไร? ฮ่า~ ยิ้มขึ้นมา ใบหน้าทางด้านซ้ายของเธอยังชาอยู่ รู้สึกหนังอึ้งในใจ และกลัวจนเข้ากระดูก

วินาทีต่อมา เจี่ยนถงพบว่าร่างกายของตัวเองลอยขึ้นกลางอากาศ เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอมีสติพอที่เอามือโอบคอชายหนุ่มเอาไว้

เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงที่โอบลงมาที่คอของตัวเอง ริมฝีปากบางของเสิ่นซิวจิ่นก็เผยรอยยิ้มออกมา อุ้มหญิงสาวเดินออกจากห้องผู้ป่วย “ออกจากโรงพยาบาล”

ชายหนุ่มอุ้มหญิงสาวเดินไปทางลิฟต์

“ฉันเดินเองได้” เจี่ยนถงพูดแล้วทำท่าจะลง

แต่ชายหนุ่มกอดเธอไว้แน่น “เชื่อฟัง”

เจี่ยนถงที่อยู่ในอ้อมแขน กลับอ่อนไหวต่อคำพูดสองคำนี้ ไม่กล้าขยับตัวอีก

เสิ่นซิวจิ่นจับเจี่ยนถงนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ คาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อย “ฉันจะส่งเธอกลับหอพัก”

ระหว่างทาง เจี่ยนถงประหม่าและรู้สึกกลัวมาก

วันวานเหมือนไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด

ตอนที่เลิกงาน

ซูเมิ่งหยิบเช็คพวกนั้น ยัดใส่ให้เจี่ยนถงทั้งหมด

“พี่เมิ่ง ขอบคุณค่ะ” เจี่ยนถงไม่ได้ปฏิเสธ เงินเหล่านั้นเธอจะเก็บมันไว้อย่างดี รอจนเสิ่นซิวจิ่นเบื่อเกมนี้ เธอจะเอาเงินเหล่านี้ ออกไปจากที่นี่ หนีไปไกลๆ ไม่กลับมาอีก

เจี่ยนถงเดินออกมาออฟฟิศของซูเมิ่ง หยิบถุงที่ใส่เงินและเช็คเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองอย่างระมัดระวัง เจี่ยนถงลูบมันด้วยความทะนุถนอม… อาลู่ นี่เป็นกุญแจที่จะไปสู่เอ๋อร์ไห่ รอฉันก่อน อาลู่ ตกลงกับฉัน ฉันจะต้องพยายามทำมันให้สำเร็จ

เธอนึกขึ้นมาได้ว่า กระดูกของอาลู่ยังเก็บไว้ในสุสาน …อาลู่ รอฉันก่อน! ฉันจะต้องพาเธอไปเอ๋อร์ไห่เอง ไปดูท้องฟ้าสีคราม!

นานๆทีจะสบาย วันนี้เลิกงานเจี่ยนถงก็เรียกรถแท็กซี่กลับบ้าน

ด้านล่างหอพัก รถแท็กซี่จอดลง เจี่ยนถงเดินลงจากรถ กอดกระเป๋าผ้าเอาไว้แน่น

เมื่อจ่ายค่ารถเสร็จ เธอก็รีบเดินขึ้นตึกไป

ทางเดินในตึกเงียบเชียบ เธอชินกับการกลับบ้านเวลาดึกดื่นแบบนี้แล้ว ทางเดินที่เงียบเชียบ

เธอเดินพลางหยิบกุญแจขึ้นมา เงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูหอ ไฟสลัวส่องไปยังสองร่างที่ยืนอยู่ที่หน้าประตู เจี่ยนถงตกใจจนกุญแจในมือตกลงบนพื้น

มองไปยังคนสองคนที่ยืนหน้าประตู เหมือนเวลาหยุดนิ่งลง

อ้าปาก เธอไม่ได้เรียกสรรพนามทั้งสองนี้มานาน แต่สุดท้าย… ก็ก้มหน้าลง แล้วทำได้เพียงเรียกเบาๆ “คุณเจี่ยนคุณหญิงเจี่ยน”

นี่คือพ่อและแม่ของเธอ!

แต่เธอไม่อาจจะเรียกพวกเขาว่าคุณพ่อคุณแม่ได้อีกแล้ว

เธอก้มหน้าลง ไม่อยากจะให้พวกเขาเห็นสภาพอันย่ำแย่ของเธอ แบบตอนนี้!

เธอพยายามทำเหมือนไม่เป็นอะไร แต่เสียงที่เรียกว่า “คุณเจี่ยน” และ “คุณหญิงเจี่ยน” ถูกกลืนลงไปในคอ และแสดงความรู้สึกภายในออกมา

คุณหญิงเจี่ยนสะเทือนในใจ “เจี่ยนถง เป็นยังไงบ้าง?” คุณหญิงเจี่ยนสวยมาก หน้าตาสละสลวย ท่าทางอ่อนโยน เสียงที่เรียกเธอว่า “ถงถง” ทำให้เธอน้ำตารื้นขึ้นมา

เสียงที่เรียกเธอว่า “ถงถง” เจี่ยนถงไม่ได้ตอบรับในทันที เธอเอาแต่ก้มหน้า เธอแทบอยากจะรีบวิ่งเข้าไปกอด มือทั้งสองของเธอกำลังสั่นเทา

ใบหน้าเรียวยาวของเจี่ยนเจิ้นตง แววตาที่ดุดัน มองไปยังลูกสาวของตัวเอง ในทางเดินนี้ กลัวว่าจะเสียงดังรบกวนคนอื่น เขาไม่อยากจะขายหน้า ไม่อย่างนั้น คงจะลงมือตบเธอ!

เจ้าลูกกบฏนี้ก็รู้จักอายด้วยเหรอ? ไม่กล้าเงยหน้ามองพวกเขาด้วยเหรอ?

“คุณหญิงเจี่ยน” เจี่ยนถงพยายามสะกดอารมณ์ ขอบตาร้อนผ่าว เธอไม่คิดเลย ว่าหลังจากออกมาจากคุก จะได้เจอพ่อและแม่อีกครั้ง แล้วแม่ของเธอยังถามอีก ว่าเป็นยังไงบ้าง ? … “ฉัน สบายดีค่ะ” เธอตอบออกไปอย่างฝืนๆ

“ถงถง เปิดประตูก่อน ฉันและพ่อของเธอมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย”

คุณหญิงเจี่ยนพูดขึ้น เจี่ยนถงสับสน ไม่รู้ว่ากำลังดีใจ หรือเจ็บปวด เธอไม่รู้เลย

ในหัวตีกันไปหมด เธอก้มลงเก็บกุญแจ แล้วค่อยๆเดินไปที่หน้าประตู “แกร๊ก” เปิดประตูออก

“เชิญค่ะ”

หลังจากที่เธอเห็นพ่อและแม่ เจี่ยนถงก็พูดเสียงเบาลง พยายามทำให้เสียงดูอ่อนโยนลงหน่อย… เธอไม่อยาก แสดงอะไรแย่ๆต่อหน้าพ่อและแม่ที่เลี้ยงเธอมา!

ดังนั้นไม่ว่าจะเช็กน้อยขนาดไหน ถ้าเธอทำได้ เธอก็จะพยายามทำ

เจี่ยนเจิ้นตงและคุณหญิงเจี่ยนฟังอาการไม่ออก พวกเขาแค่คิดว่าเจี่ยนถงเป็นหวัด ทำให้เสียงแหบ

เมื่อเข้ามาในห้อง เจี่ยนถงก็รีบร้อนลนลาน “คุณเจี่ยน คุณหญิงเจี่ยน ฉัน… เดี๋ยวฉันไปรินน้ำมาให้ค่ะ”

ภายใต้ความลนลาน เธอวางกระเป๋าผ้าที่สะพายอยู่บนไหล่ลงบนโต๊ะ รีบเดินเข้าไปรินน้ำในห้องครัว

วันนี้เธอได้ต้มน้ำทิ้งเอาไว้ก่อนแล้ว ทำให้เปิดมามีน้ำอื่นพร้อมดื่มทันที แต่ในห้องครัวเธอมีเพียงชามเซรามิกสองใบ ทำให้เธอรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ซื้อแก้วติดห้องเอาไว้บ้าง

เธอเดินถือถ้วยเซรามิกเข้ามาในห้องรับแขก “คุณเจี่ยน คุณหญิงเจี่ยน ในบ้าน… ไม่ได้เตรียมแก้วเอาไว้ แต่ว่าวางใจได้ ถ้วยพวกนี้ล้างสะอาดแล้ว”

คุณหญิงเจี่ยนพลันรู้สึกเศร้า… ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ว่านี่คือเสี่ยวถงลูกสาวที่เธอประคบประหงมมาแต่เล็กเหรอ?

เจี่ยนถงเดินมาที่โต๊ะ เพิ่งจะวางถ้วยลง แล้วเงยหน้าขึ้นมา ก็รู้สึกตกใจ สีหน้าซีดเผือด! —กระเป๋าผ้าที่เธอวางไว้บนโต๊ะถูกเปิดออก ทำให้เห็นเงินในนั้นเป็นปึกๆ และเช็คอีกหลายใบ!

“เจี่ยนถง ไหนบอกฉันซิว่าเงินพวกนี้มาจากไหน!”

เจี่ยนเจิ้นตงดุเสียงดัง ทำเอาเจี่ยนถงตกใจ จนมือที่ถือถ้วยอยู่สั่นเทา น้ำในถ้วยกลิ้งวนไปมา น้ำในถ้วยเป็นน้ำร้อนที่เก็บไว้ในขวดน้ำร้อน ผ่านมาแล้วทั้งวัน ทำให้ตอนนี้น้ำกำลังร้อนมาก แต่เหมือนเสี่ยวถงไร้ความรู้สึกนั้น เธอราดน้ำลงบนมือของตัวเอง

“คุณเจี่ยน” เธอพยายามสงบสติ “ดื่มน้ำก่อนค่ะ…”

“เพี๊ยะ!”

เจี่ยนเจิ้นตงปัดถ้วยทิ้งอย่างแรง ทำให้น้ำร้อนๆนั้นรดลงบนแขน ใบหน้าและคอของเธอ!

น้ำร้อนได้ซึมเข้าเสื้อผ้า ทำให้เจี่ยนถงร้อนไปหมดทั้งตัว

“เจิ้นตง คุณทำอะไร!” คุณหญิงเจี่ยนหน้าซีดเผือด รีบเข้าไปประคองเจี่ยนถง “ถงถง ให้แม่ดูหน่อยซิ ลวกขนาดนี้…”

“หวังเมิ่งเคอ! ออกไป! คุณตามใจมันอย่างนี้ไง ถึงได้กลายเป็นแบบทุกวันนี้!” มือข้างหนึ่งกระชากคุณหญิงเจี่ยนออกมา ทำเอาคุณหญิงเจี่ยนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวล้มลงไปอย่างแรง “เจิ้นตง คุณใจเย็นก่อน ฟังลูกอธิบายก่อนสิ อย่างไรซะ คุณก็ไม่ควรวู่วามแบบนี้”

เจี่ยนถงหน้าซีด รีบเข้าไปประคองคุณหญิงเจี่ยน แต่มือของเธอกลับถูกปัดออก “อย่าเอามือสกปรกของแกมาจับแม่ของแกนะ!”

เพียงแค่ประโยคเดียว ทำเอาเจี่ยนถงชะงักไป เธอหยุดอยู่กับที่ราวกับรูปปั้น… แล้วจึงค่อยๆถามขึ้น “คุณเจี่ยนปล่อยมือก่อนค่ะ อย่ามาแตะตัวเนื้อตัวคนสกปรกอย่างฉัน เดี๋ยวจะทำคุณสกปรกไปด้วย”

เจี่ยนเจิ้นตงสะบัดมือของเจี่ยนถงออก “แกปากดีให้มันน้อยๆหน่อย เจี่ยนถง อธิบายมาซิ เรื่องเงินบนโต๊ะนี้!” เขาชี้ไปที่กระเป๋าบนโต๊ะ “แกหามาจากไหน!”

เจี่ยนถงที่เอาแต่ก้มหัวมาตลอด ทำให้เจี่ยนเจิ้นตงและคุณหญิงเจี่ยนเห็นหน้าไม่ชัดตั้งแต่แรก เพียงแค่ใช้ความเคยชินของพ่อแม่ที่มีต่อลูก และข่าวที่ได้สืบมา ก็สามารถรู้ได้ว่านี่คือห้องของลูกสาวตัวเอง—เจี่ยนถง!

เจี่ยนถงก้มหน้า มือสั่นแรงมาก ฟังสิ่งที่พ่อแท้ๆของตัวเองถามออกมา เธอแอบยิ้มขึ้นเบาๆในมุมที่ไม่มีใครเห็น…

“คุณเจี่ยนจะถามฉันว่าได้เงินมาจากไหน สู้ถามฉันว่าได้เงินมาจากผู้ชายคนไหน แล้วก็ได้มาด้วยวิธีไหนไม่ดีกว่าหรอคะ” เธอหัวเราะเบาๆ… เธอถูกทอดทิ้งมาตั้งแต่แรก ความเป็นจริงนี้ จะลืมมันได้อย่างไร?

เจี่ยนเจิ้นตงโกรธจนตัวสั่น!

ชี้หน้าเจี่ยนถง “นังนอกคอก! นังนอกคอก! ทำไมฉันถึงได้มีลูกที่นอกคอกแบบนี้!”

อดทนกับความเจ็บปวดที่มีอยู่ เจี่ยนถงอดทนเอาไว้ เธอกลัวว่าถ้าเผลอพูดออกไป จะกลายเป็นคำพูดที่รุนแรง!

สูดลมหายใจเข้าลึก เธอพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “คุณเจี่ยน คุณหญิงเจี่ยน ดึกมากแล้ว เชิญท่านทั้งสองกลับไปได้แล้วค่ะ”

มือทั้งสองข้างที่ถูกน้ำลวกกลับไม่รู้สึกอะไร

การเจอหน้ากันครั้งแรกหลังออกมาจากคุก เธอไม่คิดว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้

“แกอธิบายที่มาของเงินพวกนี้มาเดี๋ยวนี้นะ!” เจี่ยนเจิ้นตงไม่ยอมปล่อยเจี่ยนถงไปง่ายๆ ทั้งสองสบตากัน “หรือว่าจะให้ฉันช่วยพูดไหม? ว่าเงินพวกนี้ของแก มันเป็นเงินสกปรก!”

คำว่า “สกปรก” เพียงคำเดียว ทำเอาเจี่ยนถงเริ่มมีอารมณ์!

“ออกไป! พวกแกออกไป!” เธอยังคงก้มหน้า แต่ใช้มือชี้ไปทางประตู “ถ้ายังไม่ออกไป ฉันจะแจ้งตำรวจ! พรุ่งนี้ประธานเจี่ยนซื่อกรุ๊ปและภรรยาได้พาดหัวข่าวแน่ บุกบ้านคนอื่นยามวิกาล!”

ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ เธอไม่ต้องการความอ่อนโยน หรือความรักจากพ่อแม่ เธอยอมรับได้ว่าถูกทิ้ง แต่ว่าสองสามีภรรยาตรงหน้านี้ มีสิทธิ์อะไรมายืนด่าเธอว่าสกปรก?

“แกกล้า!”

เจี่ยนถงไม่พูดอะไรทั้งนั้น เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า กดโทรออกต่อหน้าเจี่ยนเจิ้นตง คุณหญิงเจี่ยนที่อยู่อีกฝั่งจึงรีบรุดตัวเข้ามา “ถงถง อย่าวู่วาม พ่อของแกเขาก็ฟังเสียงนกเสียงกามา เขาเป็นห่วงเธอ ไม่อย่างนั้น ดึกดื่นเขาจะมาที่แบบนี้ทำไมกัน เขาหวังดีกับแกนะ”

คุณหญิงเจี่ยนแย่งโทรศัพท์ของเจี่ยนถงมาไว้ในมือ

เจี่ยนเจิ้นตงพูดขึ้น “ไม่กี่วันก่อน ปู่เห้อโทรมาหากลางดึก ว่าเห้ออู่เจอแกที่ตงหวง ฉันยังไม่อยากจะเชื่อ จึงให้คนไปสืบเรื่องของแก ฉันก็ยังไม่เชื่อ จนวันนี้ได้มาเห็นเงินบนโต๊ะ เหมือนกับตบหน้าฉันอย่างแรง!

สามปีก่อน แกทำผิด ยังไม่รู้จักแก้ตัว!

หลังจากออกมาจากคุก ยังไม่ทำตัวดีๆ สำนึกผิด ยังตกต่ำจนไปอยู่ในที่แบบนั้น! แกทำให้บ้านตระกูลเจี่ยนขายหน้ามาก!

หน้าของฉันกลายเป็นเรื่องตลกของคนทั้งเซี่ยงไฮ้แล้ว!”

เจี่ยนถงกัดฟันแน่น ตัวของเธอสั่นแรงมาก!

เธอหลับตาลง… โง่จริง!

วันนี้ที่ได้เจอสองสามีภรรยานึกว่าพวกเขาคิดถึงเธอ เห็นแก่ความเป็นพ่อแม่ลูก จึงมาหากลางดึก

เธอยังคิดว่า วันนี้พวกเขาก็มาหาเธอแล้ว เรื่องแย่ทั้งหมดในใจ ก็ลืมๆมันไป

เธอยังคิด ว่าวันนี้พวกเขามาหาเธอ อย่างน้อยก็ต้องมีคิดถึงเธอบ้าง สามปีก่อน เพียงเพราะอำนาจของผู้ชายคนนั้น จึงต้องจำยอม

จนตอนนี้เธอได้เข้าใจแล้ว!

ทำไมถึงได้โง่ขนาดนี้!

ถ้าหากว่าพวกเขาคิดถึงเธอจริงๆ ทำไมถึงมาเจอ ควรจะเป็นตั้งแต่วันที่เธอออกจากคุกแล้วสิ

จนวันนี้เธอออกมาจากคุกได้ครึ่งปีแล้ว ไม่ว่าจะสองสามีภรรยานี้ ไม่ว่าจะเจี่ยนโม่ป๋าย ไม่ว่าจะใครก็ตามในบ้านเจี่ยน ไม่มีใครมาหาเธอเลยสักคน

จนตอนนี้ พวกเขามาหาเธอกลางดึก เข้ามายังไม่ทันได้คุยอะไร ก็มากล่าวหา… สืบสวน เพราะเห้ออู่เจอเธอที่ตงหวงเท่านั้น พวกเขาถึงได้มาสืบสวนกับเธอ

“ถงถง รีบบอกกับพ่อสิ ว่าเรื่องพวกนั้นมันเป็นแค่เรื่องถูกใส่ร้ายเข้าใจผิด มีความนัย รีบอธิบายกับพ่อสิ อย่าให้คุณพ่อโมโห”

คุณหญิงเจี่ยนรีบจับแขนของเสี่ยวถง พูดกล่อมเธอไม่หยุด

เจี่ยนถงกำมือแน่น แน่นเสียจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ หญิงสาวที่อ่อนโยนข้างๆนี้คือแม่ของเธอ!

แม่ของเธอกำลัง “พูด” กับเธออยู่!

แต่ทุกประโยคที่เธอพูดนั้น เจี่ยนถงรู้สึกว่าใจของเธอกลายเป็นผุยผง!

เจี่ยนเจิ้นตงยืนด้วยสีหน้าเย็นชาอยู่อีกด้าน กำลังรอฟังเธออธิบาย

สามีภรรยาคู่นี้ที่วันนี้มา เพื่อต้องการให้เธออธิบายใช่ไหม? …เจี่ยนถงก้มหน้า จากนั้นมีเสียงหัวเราะที่แปลกประหลาดดังขึ้น ในนั้นปะปนไปด้วยความเจ็บปวดโกรธแค้นและใจที่ตายด้าน

“ถงถง เธอเป็นอะไร อย่าทำให้แม่ตกใจสิ” คุณหญิงเจี่ยนเดินเข้ามาใกล้เจี่ยนถง เสียงหัวเราะนั้น แปลกเสียจนน่าตกใจ จนทำให้คุณหญิงเจี่ยนรู้สึกกลัว

“ไม่ได้เข้าใจผิดหรอก ไม่ได้มีความนัยด้วย ฉันทำงานที่ตงหวง คุณหญิงเจี่ยนต้องการให้ฉันอธิบายอะไรกับคุณเจี่ยนเหรอคะ?

อธิบายว่าฉันยอมคุกเข่าหน้าห้องรับแขกเพื่อเงิน นอนเหมือนหมาบนพื้นแบบนั้นเหรอ?

หรืออธิบายว่ายอมให้ผู้ชายมากหน้าหลายตากอดจูบเพียงเพราะเงินแบบนั้นเหรอ?

หรือว่าต้องการให้อธิบายว่า ฉันขึ้นเตียงกับผู้ชาย ใช้เรี่ยวแรงของตัวเองที่มี เพื่อเงินอย่างนั้นเหรอ…” ดี…

“เพี๊ยะ!”

ยังไม่ทันพูดจบ ฝ่ามือก็ฟาดลงไปอย่างแรง ทำเอาเจี่ยนถงล้มลงไปกับพื้น เจี่ยนเจิ้นตงตัวสั่นเทา แววตาเย็นชา มองลูกสาวที่ล้มลงอยู่บนพื้นด้วยความโมโห

“ลุกนอกคอก! ลูกนอกคอก! ฉันมีลูกที่นอกคอกแบบแกมาได้ยังไง! ออกมาจากคุก ยังไม่ทำตัวดีๆ ! ไปเป็นกะหรี่!

เพื่อเงินถึงกับยอมไปทำเรื่องตกต่ำที่ตงหวง!”

แก้ตัวให้ดี? ทำตัวให้ดี?

เจี่ยนถงหัวเราะร่า “ฮ่าๆ” หนูฝั่งที่ถูกตบมีรอยนิ้วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เธอพูดด้วยใบหน้าที่ชานั้น “จากที่คุณเจี่ยนพูด ฉันจะเป็นคนดียังไง มีชีวิตที่ดียังไงเหรอ?”

“แกก็ไปเป็นพนักงานที่ร้านสะดวกซื้อ อย่างน้อยก็น่าจะดีกว่าไปเป็นกะหรี่!”

เจี่ยนเจิ้นตงพูดประโยคสุดท้ายทิ้งเอาไว้ด้วยความโมโห! มองหน้าเจี่ยนถง เหมือนกับมองศัตรู!

คุณหญิงเจี่ยนย่อตัวลง ไปประคองลูกสาวที่ล้มอยู่บนพื้น เจี่ยนถงไม่ได้ปฏิเสธ เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา เธอไม่ควรปิดบังเสียงที่แหบพร่าของเธอ

เพื่อปกปิดเสียงที่ไม่น่าฟังนั้น เธอบีบที่คอตัวเองเบาๆ รู้สึกเจ็บจนพูดไม่ออก และเธอไม่ต้องการให้พ่อแม่ของตัวเอง ได้ยินเสียงนั้นเช่นกัน

แต่ตอนนี้รู้สึกว่า ตัวเองโง่เกินไป พวกเขาวันนี้มาเพื่อสั่งสอนเธอ เพื่อสืบสวนเธอ คงไม่มีใครสนใจเสียงของเธอ แม้กระทั่งการใช้ชีวิตของเธอ ก็ไม่สนใจ จะมาสนใจเธอที่ถูกทำลายเส้นเสียงไปแล้วทำไม?

“คุณเจี่ยน ทำไมคุณพูดง่ายแบบนั้น ทำไมคุณไม่ยื่นมือมาตั้งแต่วันที่ฉันออกจากคุก? ดูหน้าใบนี้ของฉันสิ คุณอาจจะเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำ บ้านเจี่ยนจะมีเจี่ยนถงหรือไม่ ฉันเป็นขี้คุกที่เคยติดคุก ฉันไม่มีอดีต ไม่มีญาติ ไม่มีเรื่องราว

ฉันคนนี้ คุณให้ฉันที่เพิ่งออกจากคุกหางานที่ไหนทำ ใครจะกล้ารับฉันเข้าทำ?

ถ้าหากฉันไม่ไปตงหวง ฉันก็ต้องทนหิว นอนข้างทาง ตอนนั้น คุณอยู่ทีไหน?”

คุณหญิงเจี่ยนที่อยู่ใกล้กับเจี่ยนถงมากที่สุด ในจังหวะที่เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นมา แววตาของเธอมีแววหวาดกลัว ค่อยๆปล่อยมือที่จับแขนของเจี่ยนถงอยู่ ตกใจจนล้มลงไปบนพื้น “เธอ เธอ หน้าของเธอ?”

เธอชี้มาที่หน้าของเจี่ยนถง แล้วก็นึกถึงเสียงของเจี่ยนถง “เสียงของเธอ…”

นี่ไม่ใช่เจี่ยนถงของเธอ!

นี่ไม่ใช่ลูกสาวของเธอ!

ลูกสาวของเธอคือดอกกุหลาบแห่งเซี่ยงไฮ้!

“เธอ เธอ… เธอคือใคร!”

ดูเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ในดวงตาเธอกลับแสดงความเจ็บปวดที่อธิบายไม่ได้ออกมา… คนที่ทำร้ายตัวเองได้ มักจะเป็นคนที่ใกล้ชิดมากที่สุด เจี่ยนถงหัวเราะเบาๆ คู่สามีภรรยานี้น่าสนุกจริงๆ คนหนึ่งสงสัยว่าทำไมเธอถึงมีชีวิตที่แย่ขนาดนี้ ตกต่ำได้ขนาดนี้ อีกคนแย่ยิ่งกว่า ที่สงสัยว่าเธอคือใคร

ความเหน็ดเหนื่อยเกิดขึ้นมาในใจ

แต่ว่า สงครามครั้งนี้ยังไม่จบลง

สิ่งที่เจี่ยนถงพูดต่อเจี่ยนเจิ้นตง ทำเอาเขามีสีหน้าเหยเก และรู้สึกผิดขึ้นในใจ แต่ยังคงสั่งเจี่ยนถงอยู่อย่างเดิม “เปลี่ยนงานซะ! งานหน้าไม่อายแบบนี้ อย่าไปทำอีก! น่าขายหน้า!”

สายตาของเขามองไปยังเงินที่อยู่บนโต๊ะ และเช็คอีกมากมาย ความรู้สึกผิดนั้นก็หายไปทันที!

“เงินสกปรกพวกนี้! แกเอาไปใช้จ่าย มันน่าอายไหม!” มองเงินพวกนั้น คิดถึงที่มาของเงิน เจี่ยนเจิ้นตงก็โมโหขึ้นมา!

“แคว่ก” มือใหญ่จับเช็คขึ้นมา “เงินสกปรก! เงินสกปรกพวกนี้! ไม่เอามันเสียดีกว่า!” พูดไม่ทันจบ เจี่ยนเจิ้นตงก็ฉีกเช็คพวกนั้นทิ้งด้วยความโมโห!

เจี่ยนถงเบิกตาโต รีบลุกขึ้นมา พุ่งไปทางเจี่ยนเจิ้นตง “นี่เป็นของของฉัน! มีสิทธิ์อะไรมาฉีกของฉัน!”

“ปล่อยมือ! ปล่อยมือ!”

แต่ก็สายไปแล้ว เจี่ยนเจิ้นตงได้ฉีกเช็คในมือแหลกละเอียด มองไปบนโต๊ะ แล้วเจี่ยนถงก็มองตามสายตาของเขา ก็เข้าใจขึ้นมา จึงรีบเข้าไปปกป้องเงินและเช็คที่เหลืออยู่บนโต๊ะเอาไว้ เจี่ยนเจิ้นตงเร็วกว่าเธอ “แคว่ก” เศษเช็คที่ถูกฉีกลอยไปบนอากาศ กระจายแล้วร่วงลงมา เจี่ยนถงอึ้ง… นี่เป็นฝนห่าใหญ่ที่แพงที่สุด!

ในใต้สายฝนที่มาจากเงิน เธอตกตะลึง ถูกฉีกลอยละล่องอยู่ในอากาศนั้นไม่ใช่เงิน แต่มันคือความฝันของเธอ!

ความฝันของเธอและอาลู่!

เหมือนเธอเห็น ความฝันเอ๋อร์ไห่ของเธอที่ถูกก่อขึ้นมาด้วยเงิน กว่าจะก่อขึ้นมาได้นั้น เพียงแค่เสี้ยววินาที ก็ล่มสลายลงต่อหน้าต่อตาเธอ และเธอทำได้เพียงยืนดู!

“เงินสกปรกพวกนี้! ทำลายทิ้งซะ!”

เจี่ยนเจิ้นตงพูดอย่างเย็นชา

เจี่ยนถงก้มหน้าลง แล้วก็ถามขึ้นมา “มีสิทธิ์อะไร… คุณมีสิทธิ์อะไร”มาทำลายความฝันเอ๋อร์ไห่ของฉันและอาลู่!

คุณมีสิทธิ์อะไรมาทำลายของที่คนอื่นใช้ความพยายามแลกมา!

เขาบอกว่าสกปรก?

เงินพวกนี้สกปรก?

เธอยังไม่เคยอ้าขาให้ใครทำเลย เธอยังไม่เคยแก้ผ้าขายเนื้อ… ขายศักดิ์ศรี ขายจิตวิญญาณของตัวเองเลย เงินที่ได้มา… พ่อแท้ๆของเธอ มีสิทธิ์อะไรมาบอกว่ามันสกปรก! บอกว่าเงินสกปรก!

เขาไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำ!

ยังบอกว่าเงินพวกนี้สกปรก แล้วฉีกทำลายมันอีก?

ฮ่าๆๆ…

“ฮ่าๆๆ…”

“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ…”

เจี่ยนเจิ้นตงสงสัยในความผิดปกติของเจี่ยนถง “เธอหน้าด้าน! เงินสกปรกพวกนี้! เธอเอาไปใช้ยังมีความละอายใจไหม!”

“ยังจะหัวเราะอีก? มีความละอายใจบ้างไหม! ยังมีหน้าหัวเราะออกมา?”

“ไม่มี!” เจี่ยนถงตะคอกกลับ เสียงแหบพร่าของเธอพูดขึ้นด้วยความโกรธ “ฉันมันหน้าด้าน! ไร้ความละอายแก่ฉันก็คือกะหรี่แบบที่คุณเรียก!”

“เพี๊ยะ~”

เจี่ยนเจิ้นตงโมโหจนฟาดมือลงไปอีกครั้ง ตบไปที่หน้าของเจี่ยนถง “นอกคอก! นอกคอก! ทำตัวตกต่ำ ไร้ค่า! ฉันบอกให้แกรีบหางานใหม่ สถานที่ตกต่ำแบบนั้นอย่าไปทำอีก! มันน่าอาย!”

เจี่ยนถงย่นมองชายวัยกลางคนด้วยความนิ่งเฉย… นี่คือพ่อแท้ๆของเธอ!

สามปีก่อน เขายอมทอดทิ้งเธอเพื่อตระกูลเจี่ยน มันก็บอกว่าที่ทำลงไปมีเหตุผล

แล้วสามปีหลังจากนั้นล่ะ? คนเป็นพ่อ เขาจะทำอะไรอีก?

“คุณเจี่ยน คุณยังจำได้ไหม ว่าวันที่ฉันออกมาจากคุกคือวันไหน?”

เธอพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบนิ่ง

เจี่ยนเจิ้นตงอึ้งไป มือใหญ่โบกขึ้นมา “วันที่น่าอับอายขนาดนั้น ฉันยังต้องจดจำอีกเหรอ? จำมันไปทำไม?”

เธอบอกว่าเธอไม่สนใจ แต่ความผิดหวังก็ยังเกิดขึ้นเล็กน้อย จนคนไม่ทันได้รับรู้… เธอตั้งใจมองไปที่พ่อแท้ๆของเธอ มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า

จึงพบว่า คนคนนี้ช่างไร้ยางอายจริงๆ

ในสามปีนั้น เขาไม่เคยไปเยี่ยมเธอที่คุกเลยสักครั้ง แม้กระทั่งวันที่เธอออกจากคุก เขาก็จำไม่ได้ แล้ววันนี้เขามีสิทธิ์อะไรมายืนตรงนี้ มาสั่งให้เธอย้ายงาน?

“ไม่เปลี่ยน” เจี่ยนถงค่อยๆพูดขึ้นมา ไม่สนเจี่ยนเจิ้นตงที่กำลังโมโห เธอฉีกยิ้มขึ้นมา “ตอนที่ท่านแก่เห้อโทรมาหาคุณ ไม่ได้บอกเหรอ ว่าตงหวงเป็นของเสิ่นซิวจิ่น?

คุณเจี่ยน ถ้าคุณสามารถพูดกล่อมประธานเสิ่นได้ ให้เขาปล่อยฉันไป ฉันจะรู้สึกขอบคุณมาก” เจี่ยนถงยิ้มด้วยสายตา “คุณเจี่ยน หรือว่าคุณจะโทรหาประธานเสิ่นตอนนี้เลยก็ได้ ถามเขาดู ว่าฉันพอจะย้ายงานได้ไหม?”

เจี่ยนเจิ้นตงตกตะลึง!

ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน… ตงหวงเป็นของเสิ่นซิวจิ่น?

ที่นักลูกนอกคอกย้ายงานไม่ได้เป็นเพราะคำสั่งของเสิ่นซิวจิ่น?

เจี่ยนเจิ้นตงเป็นนักธุรกิจ เขาเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ไม่ยาก สีหน้าพลันเปลี่ยนไปในทันที “นอกคอก! เธอทำอะไรผิดต่อประธานเสิ่นกันแน่!”

ตอนนี้เจี่ยนถงไม่อาจบอกว่ารู้สึกผิดหวังแล้ว ต่อหน้าผู้ชายวัยกลางคนคนนี้ หลังจากได้ยินที่เธอพูด อย่างแรกคือสงสัยในตัวเธอ ว่าทำอะไรผิดต่อผู้ชายคนนั้น!

เธอมองพ่อแท้ๆของตัวเอง ที่มีท่าทีแข็งขืน และเมื่อเธอพูดถึงเสิ่นซิวจิ่น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที!

นี่… คือพ่อแท้ของเธอ!

“หลังออกมาจากคุก ก็ไม่คิดว่าจะอยู่ที่นั่น หลังจากเจอกับประธานเสิ่น จึงถูกย้ายไปทำแผนกโฆษณา คนที่ตัดสินใจเรื่องนี้ ก็คือประธานเสิ่น”

เธอมองเจี่ยนเจิ้นตง เธอบอกกับพ่อแท้ๆของเธอ ว่าหลังจากออกมาจากคุก ก็ไปที่ตงหวง แต่ว่าไปเป็นพนักงานทำความสะอาด

แต่เห็นได้ชัด ว่าพ่อของเธอฟังไม่เข้าใจ… หรือจะบอกว่า เธอไม่ใส่ใจว่าเจี่ยนถงไปทำความสะอาด หรือไปขายตัว

ที่เขาสนใจคือ…

เจี่ยนเจิ้นตงสีหน้าเหยเก เขาจ้องเจี่ยนถงที่ล้มลงอยู่บนพื้น… ดูท่าเสิ่นซิวจิ่นน่าจะเกลียดนังนอกคอกนี้มาก ถึงได้ย้ายมันไปทำแผนกนั้น ตั้งใจจะเหยียดหยามนังนอกคอก ให้มันไปเป็นกะหรี่!

“ไปเถอะ!”

เจี่ยนเจิ้นตงไม่พูดอะไรทั้งนั้น เขารีบเดินออกจากห้องของเจี่ยนถงในทันที

คุณหญิงเจี่ยนงงที่ถูกเจี่ยนเจิ้นตงลากออกมา จึงสะบัดออก

“เจิ้นตง ทำไมอยู่ๆถึงรีบออกมาล่ะ?”

เจี่ยนเจิ้นตงรีบเดินด้วยความรวดเร็ว “ไม่ไปแล้วจะอยู่เป็นเรื่องกับเสิ่นซิวจิ่นที่นี่เหรอ? เมื่อกี้เธอไม่ได้ยินที่นังนอกคอกพูดเหรอ! ดูท่าเสิ่นซิวจิ่นจะเกลียดมันจนเข้ากระดูกดำ

คืนนี้เดี๋ยวเธอไปเตรียมของขวัญนะ พรุ่งนี้จะเอาไปเยี่ยมเสิ่นซิวจิ่นเสียหน่อย ต้องไปแสดงท่าที ว่านักนอกคอกนั้นไม่ใช่คนตระกูลเจี่ยนแล้ว พรุ่งนี้ต้องแถลงข่าว ว่าตระกูลเจี่ยนไม่ยอมรับคนคนนี้ เพื่อความบริสุทธิ์ ห้ามมีคนที่ชื่อเจี่ยนถงคนนี้”

คุณหญิงเจี่ยนตกตะลึง… ตอนแรกที่ไม่ยอมช่วยเจี่ยนถงนั้น มีท่าทีอีกอย่างหนึ่ง แต่เมื่อถึงขั้นแถลงการณ์ตัดเลิกความสัมพันธ์แล้ว นั่นคือสิ่งที่เสียใจไม่ได้แล้ว

“นี่…”

“นี่อะไรกัน! เธอลองคิดดู เสิ่นซิวจิ่นคนนั้นเป็นคนเด็ดขาด เธอไม่ต้องรู้สึกผิด ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต สิ่งที่นังนอกคอกคนนี้ทำ ตอนนี้ต้องมายอมรับสิ่งที่ตัวเองทำ พวกเราก็ถือเสียว่าหมดสิ้นต่อกันแล้วกัน”

“เพราะเธอตระกูลเจี่ยนได้ขายหน้าไปครั้งหนึ่งแล้ว อย่าให้เธอมาทำลายตระกูลเราอีก

ประตูหอพักที่เปิดอยู่ ในห้องนั่งเล่น เธอนอนดูกระเบื้องปูพื้นอยู่ที่พื้นอย่างเหม่อลอย

เธอจ้องมองแผ่นกระเบื้องอย่างเหม่อลอย น้ำตาไหลลงมาเป็นสาย มันค่อยๆไหลลงมาตามใบหน้าของเธอ

เคยมีคนบอกว่ารอยยิ้มของโมนาลิซา ดวงตาข้างหนึ่งกำลังร้องไห้ ดวงตาอีกข้างหนึ่งกำลังยิ้ม มันช่างเป็นเรื่องที่เหลวไหลและไม่มีทางเป็นไปได้

เจี่ยนถงรู้สึกเห็นด้วยมาตลอด คิดว่ามันเป็นความบังเอิญ คิดว่ามันคือปัญหาการใช้สีของจิตรกร ต่อมาถูกคนรุ่นหลังพูดจนเกินจริง

บนโลกใบนี้จะมีดวงตาข้างหนึ่งที่กำลังร้องไห้และอีกข้างกำลังยิ้มได้ยังไง?

เหลวไหลเกินไปแล้ว!

แต่วันนี้ เจี่ยนถงรู้สึกว่าโลกใบนี้มีสองอารมณ์ที่ถูกแบ่งแยกออกจากกัน

อย่างเช่นตัวเองในตอนนี้ เธอก็เป็นเช่นนั้น

ความสุขของการแก้แค้นทำให้เธออยากจะหัวเราะดังออกมา ความรู้สึกที่ญาติๆเห็นเธอเป็นเหมือนขยะ ทำให้เธออยากจะร้องไห้……สุดท้าย หยดน้ำตาที่ไหลออกมาช่างดูบ้าคลั่ง

เธอไม่รู้ว่าเธอกำลังหัวเราะร้องไห้หรือว่าร้องไห้หัวเราะ

วันต่อมา

ในคฤหาสน์ของตระกูลเสิ่น บนโซฟาในห้องรับแขก มีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่อย่างสง่างาม

และที่ฝั่งตรงข้ามของโซฟา คือคู่สามีภรรยาวัยกลางที่กำลังเอาอกเอาใจเขาอย่างระมัดระวัง

ข้างหลังของชายคนนั้นมีพ่อบ้านแก่ที่สีเคร่งขรึมยืนอยู่คนหนึ่ง เขามีผมหงอกและใบหน้าที่ไม่ยิ้มแย้ม

เสิ่นซิวจิ่นกวาดสายตาไปที่โต๊ะกาแฟตรงหน้าและมองไปที่คู่สามีภรรยาที่อยู่ตรงข้าม

เขายิ้มมุมปาก “ผมเข้าใจความหมายของประธานเจี่ยวแล้วครับ” ดวงตาของเขาเป็นประกาย หลังจากพูดเสร็จเขาก็ลุกขึ้นและพูดว่า “ลุงเซี่ย ส่งประธานเจี่ยนกับคุณหญิงเจี่ยนด้วย”

“ครับ คุณเสิ่น”

พ่อบ้านเซี่ยก้าวเข้าไปข้างหน้า โค้งตัวลงและทำท่าทาง“เชิญ” “ช่วงนี้คุณเสิ่นงานยุ่ง ความหมายของคุณเจี่ยนกับคุณหญิงเจี่ยน คุณเสิ่นเข้าใจแล้ว เชิญทางนี้ครับ”

“เช่นนั้นของขวัญชิ้นนี้……” เจี่ยนเจิ้นตงรู้สึกตึงเครียด เขามองไปที่เสิ่นซิวจิ่นด้วยความคาดหวัง

เขาเอียงหน้าพร้อมกับริมฝีปากที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “น้ำใจของประธานเจี่ยน ผมต้องรับไว้อยู่แล้ว”

ได้ยินแบบนี้ เจี่ยนเจิ้นตงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก……รับของขวัญไว้แล้ว ก็แสดงว่าเขาสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับเจี่ยนซื่อกรุ๊ปและคนอื่นๆในตระกูลเจี่ยนเพราะคนไม่รักดีคนนั้น

“ประธานเสิ่นเชิญตามสบายครับ ผมขอตัวก่อน”

เจี่ยนเจิ้นตงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย เขาเดินตามพ่อบ้านเซี่ยที่มีสีหน้าเคร่งขรึมออกไปจากบ้าน

หยุดอยู่ตรงข้างๆรถของพวกเขา พ่อบ้านเซี่ยยืนอยู่ห่างจากเจี่ยนเจิ้นตงและคุณหญิงเจี่ยนสองเมตร

ก่อนที่เจี่ยนเจิ้นตงจะขึ้นรถ จู่ๆเขาก็ลังเล หันกลับมามองพ่อบ้านเซี่ย “พ่อบ้านเซี่ย เราสั่งสอนคนไม่รักดีคนนั้นไม่ดีเอง ให้ทำร้ายเด็กดีๆอย่างเวยเหมิงไป ผมขอโทษพ่อบ้านเซี่ย”

ถ้าเจี่ยนถงอยู่ที่นี่ เธอคงจะรู้สึกเสียใจ……เธอยังไม่ยอมรับผิด แต่พ่อแท้ๆของเธอกลับยอมรับความผิดแทนเธอไปแล้ว

ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของพ่อบ้านเซี่ย เขายังคงมีใบหน้าที่เคร่งขรึมเหมือนเดิม เขาพูดอย่างเย็นชา “เวยเหมิงตายไปสามปีแล้ว ถ้านี่คือโชคชะตาของเวยเหมิง ผมก็ยอมรับมัน

บาปกรรมที่คุณเจี่ยนเป็นคนทำก็ให้คุณเจี่ยนเป็นคนชดใช้เอง มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเจี่ยนและคุณหญิงเจี่ยน ถึงแม้ว่าผมจะเป็นแค่พ่อบ้านของตระกูลเสิ่น แต่ผมก็แบ่งแยกความดีความเลวได้อย่างชัดเจน

ได้ยินมาว่า……ที่คุณเจี่ยนเขียนข่าวเช้านี้ ความสัมพันธ์พ่อลูกของคุณกับคุณเจี่ยนหายไปหมดแล้ว?”

“พ่อบ้านเข้าใจความชอบธรรมแบบนี้ ผมเจี่ยนเจิ้นตงรู้สึกละอายใจ คนไม่รักดีแบบนั้นผมเก็บเอาไว้ไม่ได้แล้ว ตระกูลเจี่ยนก็แบกรับลมมรสุมไม่ได้อีกแล้ว ถ้าการเขียนข่าวครั้งนี้สามารถทำให้ประธานเสิ่นและพ่อบ้านเซี่ยสบายใจขึ้น ผมเจี่ยนเจิ้นตงก็ยอมทำเรื่องที่แบบนี้”

ในที่สุดใบหน้าที่เคร่งขรึมของพ่อบ้านเซี่ยก็ยิ้มออกมา “ดึกมากแล้ว คุณเจี่ยนกับคุณหญิงเจี่ยนเดินทางโดยสวัสดิภาพครับ”

มองดูรถของเจี่ยนเจิ้นตงขับออกไปจากคฤหาสน์ของตระกูลเสิ่น จากนั้นพ่อบ้านเซี่ยก็หันหลังเดินกลับไป

เดินมาถึงชั้นสอง “คุณเสิ่น ไปแล้วครับ”

“อืม” เสิ่นซิวจิ่นยังถือของขวัญของเจี่ยนเจิ้นตงอยู่ในมือ ถือไว้ข้างหน้าแล้วมองดู สายตาของเขาเต็มไปด้วยความดูถูก สะบัดมือโยนของขวัญลงไปที่เท้าของพ่อบ้านเซี่ย “เอาไปทิ้ง”

“ครับ คุณเสิ่น” ตอนที่พ่อบ้านเซี่ยก้มตัวลงไปหยิบของขวัญที่พื้น เขาก็ได้ยินเสิ่นซิวจิ่นถามว่า:

“ที่ผมบอกให้คุณไปสืบมา ผู้หญิงคนนั้นเจออะไรมาบ้างในคุก คุณสืบเจอหรือยัง”

พ่อบ้านเซี่ยก้มตัวลงอย่างสั่นไหว สายตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาแล้วก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เขาทำสีหน้าเคร่งขรึมและพูดว่า:

“คุณเสิ่นหมายถึงคุณเจี่ยนใช่ไหมครับ” พ่อบ้านเซี่ยหยิบของขวัญบนพื้นขึ้นมาแล้วยืนตัวตรง “ตอนที่คุณเจี่ยนเข้าไปในคุกแรกๆ เธอมีความเย่อหยิ่ง ทำให้คนบางคนเกลียดชัง เธอคงจะลำบากอยู่ไม่น้อย”

คิ้วที่สวยงามของเสิ่นซิวจิ่นขมวดเล็กน้อย “ไตของเธอเป็นอะไร?”

ทำให้คนเกลียดชัง ถูกทุบตีก็คงเป็นเรื่องธรรมดา แต่ทำไมไตถึงถูกตัดออกไปตอนอยู่ที่นั้น

“มันมีความเข้าใจผิด” พ่อบ้านเซี่ยพูดอย่างเคร่งขรึม “คุณเจี่ยนก็คงซวย นักโทษในนั้นมีคนป่วย เพื่อการรักษา จะต้องตัดไตออก คุณเจี่ยนมักจะทำให้ใครหลายคนขุ่นเคือง โดนพวกเขาเล่นงานเข้าให้ พวกเขารวมหัวกันเล่นละคร

แต่คุณเจี่ยนก็เจอกับหายนะที่ไม่คาดคิดจริงๆ”

พ่อบ้านเซี่ยพูดจบก็เงยหน้าขึ้น เห็นสายตาที่ดูเหมือนกำลังยิ้มมองมาที่ตัวเอง พ่อบ้านเซี่ยไม่ได้มีสีหน้าอะไร แต่ในใจเขากลับสั่นไปหมด “คุณเสิ่น คุณเจี่ยนน่าเวทนาจริงๆ ถึงแม้ว่าผมจะเกลียดเธอมากแค่ไหน แต่คุณเจี่ยนก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเวยเหมิง

ไม่ว่าผมจะเกลียดคุณเจี่ยนมากแค่ไหน แต่ผมก็ไม่มีทางปิดบังเรื่องในคุกกับคุณ”

หมายความว่าเรื่องที่เขาสืบมาได้ก็มีแค่นี้ แต่ที่อีกฝ่ายพูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่เขาก็ไม่รู้

เสิ่นซิวจิ่นหรี่ตาลงพร้อมกับครุ่นคิด เขาถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่า นิสัยเมื่อสามปีก่อนของเจี่ยนถง……เธอเย่อหยิ่งจริงๆ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนตกลงมาจากยอดเขาแล้วตกลงไปในโคลน เขายังรับไม่ได้ ใช่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้

นึกถึงคำพูดที่เจี่ยนถงพูดในวันนั้น ไม่มีท่าทางเหมือนเสิ่นซิวจิ่น คนพวกนั้นกล้าแตะต้องเธอได้ยังไง……แต่ท่าทางของเธอในตอนนี้ คงจะเกี่ยวข้องกับเสิ่นซิวจิ่น

เขาโบกมือให้พ่อบ้านเซี่ย “ออกไปเถอะ”

พ่อบ้านเซี่ยลังเลไปพักหนึ่ง

“มีอะไรก็พูดมา”

พ่อบ้านเซี่ยพยักหน้า “คุณเสิ่น……ได้ยินมาว่าคุณเจี่ยนทำงานที่ตงหวง?”

บนโซฟา สายตาที่เย็นชาของเขามองไปที่ใบหน้าของพ่อบ้านเซี่ย ทำเอาหัวใจของพ่อบ้านเซี่ยเต้นเร็วขึ้นมาทันที เขาเหงื่อไหลออกมาที่หน้าผาก และในตอนนี้เอง สายตาที่เย็นชานั้นก็มองผ่านพ่อบ้านเซี่ยไป:

“ลุงเซี่ย เรื่องที่คุณได้ยินมามีไม่น้อยเลยนะ”

แค่คำพูดไม่กี่คำก็ทำให้พ่อบ้านเซี่ยรู้สึกตึงเครียดขึ้นมา “ไม่ใช่ครับ คุณเสิ่น ผมแค่……”

“ผมเข้าใจว่าลุงเซี่ยเป็นห่วงฆาตกรที่ฆ่าลูกสาวของตัวเอง เรื่องนี้ผมให้อภัยได้ แต่ลุงเซี่ย หน้าที่ของคุณคือการดูแลคฤหาสน์หลังนี้”

เสียงตักเตือนเบาๆทำเอาหัวใจของพ่อบ้านเซี่ยเต้นแรง เขารีบพูดออกมาอย่างรวดเร็ว “คุณเสิ่นพูดถูกครับ”

“อืม ไปเถอะ”

เสิ่นซิวจิ่นกำลังเตือนพ่อบ้านเซี่ยว่าอย่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องของเจี่ยนถง ถ้าเขารู้ มันอาจจไม่มีผลดี

พ่อบ้านเซี่ยเดินออกไปจากประตูห้องนอน บีบของขวัญของเจี่ยนเจิ้นตงอย่างแรง เส้นเลือดสีเขียวโผล่ขึ้นมาที่หลังมือ เขากัดฟันแน่น!

เวยเหมิงตายไปแล้ว แต่คนชั่วคนนั้นกลับติดคุกแค่สามปี!

ก็แค่ถูกตัดไตไปไม่ใช่เหรอ?

เวยเหมิงของเขาถึงกับเสียชีวิต!

ทันใดนั้นเสิ่นซิวจิ่นก็ไม่อยากไปตงหวง

“ทำไมช่วงนี้นายไม่ไปตงหวงเลย?” ไป๋ยู่สิงนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานของเสิ่นซิวจิ่นอย่างไม่รักษาภาพลักษณ์

อีกฝ่ายกลับไม่ขยับไปไหน ซีเฉินยิ้มเบาๆและพูดว่า “ทำไม ยู่สิง นายคาดหวังให้เขาไปทำอะไรที่ตงหวง?”

ไป๋ยู่สิงมองบนใส่ซีเฉิน มีเรื่องราวตั้งมากมาย ช่วงก่อนซีเฉินไม่ได้อยู่ในประเทศ เขาเลยไม่รู้เรื่องอะไร

“เฮ้ คงจะไม่ใช่เพราะเธอใช่ไหม?” ไป๋ยู่สิงใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ

เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้พูดอะไร ซีเฉินยื่นหน้าเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ใคร? ใคร? เพราะเธอ? เธอคือใคร?” จากนั้นเขาก็ยิ้มด้วยความอยากรู้อยากเห็น:

“เอ๊ะ ท่านประธานเสิ่นมีคนที่ชอบแล้ว?ใครกัน เมื่อไหร่จะเอามาให้พวกเรารู้จัก”

ไป๋ยู่สิงมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ซีเฉิน ฉันคิดว่าถ้านายยังถามต่อ นายเจอดีแน่”

“อย่ามายุ่ง!ไม่เกี่ยวกับนาย ฉันถามเขาอยู่ ท่านประธานเสิ่น ใครกัน ผู้หญิงคนไหนกันที่โดนใจท่านประธานเสิ่นของเรา”

ทันใดนั้นก็มีหมัดลอยเข้ามาที่ใบหน้าของซีเฉิน รูม่านตาของซีเฉินหดตัวลง เขารีบหลบแล้วตบที่หน้าอกของตัวเองเบาๆ “นาย!เสิ่นซิวจิ่น!นายลงไม้ลงมือ!”

ไป๋ยู่สิงหัวเราะอย่างมีความสุข “โง่จริงๆ ฉันเตือนนายแล้วว่าถ้านายยังถามอีกนายถูกต่อยแน่ ไม่เชื่อเอง สมน้ำหน้า”

ซีเฉินมองดูไป๋ยู่สิงและเสิ่นซิวจิ่นด้วยความสงสัย ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจขึ้นมาทันที “อย่าบอกนะว่าเจี่ยนถง?”

“ผัวะ!”

พึ่งจะพูดจบ ซีเฉินก็ถูกต่อยเข้าแล้วจริงๆ

“ฉันเดาถูกแล้ว!ฉันต้องเดาถูกแล้วแน่ๆ! ไม่งั้นนายจะต่อยฉันทำไม? เสิ่นซิวจิ่น นายรีบบอกฉันมาว่าในช่วงที่ฉันไม่อยู่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

สายตาของซีเฉินเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น สายตาที่เฉียบคมมองมาที่เขา เสิ่นซิวจิ่นถามเขาอย่างเคร่งขรึม “นายอยากจะกินหมัดหรือกินฝ่ามือ"

“เอ่อ……”

ไป๋ยู่สิงดึงซีเฉินไปข้างหลังแล้วหันหน้าไปมองเสิ่นซิวจิ่นที่อยู่หลังโต๊ะทำงาน:

“นายคิดว่ายังไงกันแน่?”

ปากกาในมือของเสิ่นซิวจิ่นหยุดเขียนทันที ผ่านไปไม่นานเขาก็วางปากกาลงบนโต๊ะ หรี่ตาลงและครุ่นคิด

ไป๋ยู่สิงก็ไม่ได้เร่งเขา

เสิ่นซิวจิ่นเงยหน้าขึ้นมาพูดกับไป๋ยู่สิง:

“ฉันอยากเจอกับเจี่ยนถงเมื่อสามปีก่อน”

ได้ยินเขาพูดแบบนี้ ไม่เพียงแต่ไป๋ยู่สิงเท่านั้น แม้แต่ซีเฉินก็ยังตกใจ

“ย้อนเวลากลับไปไม่ได้แล้ว”ไป๋ยู่สิงพูดออกมาเบาๆ “ตอนนี้เธอเป็นแบบนี้ นายเปลี่ยนแปลงเธอไม่ได้”

“ฉันไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนแปลงเธอ” ชายที่อยู่หลังโต๊ะทำงานพูดออกมาด้วยใบหน้าที่จริงจัง “ฉันไม่ชอบเธอในตอนนี้ เจี่ยนถงที่ไม่มีศักดิ์ศรีและจิตวิญญาณ เธอไม่ใช่เจี่ยนถง"

“นายก็ทำเป็นไม่เห็นสิ” ในมุมมองของไป๋ยู่สิง เสิ่นซิวจิ่นกำลังรนหาที่เอง ไม่ชอบก็ไม่ต้องไปสนใจสิ

“เธออยากไป นายก็ปล่อยเธอไปสิ” ไป๋ยู่สิงเห็นว่าเสิ่นซิวจิ่นไม่พูดไม่จา เขาจึงพูดเสริม

คิดไม่ถึงว่าแค่เขายื่นข้อเสนอนี้ออกมา ท่าทางของเสิ่นซิวจิ่นก็น่าสงสัย ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปและพูดอย่างเย็นชาว่า “เป็นไปไม่ได้ จะให้เธอไปจากฉัน ฝันไปเถอะ!”

แบบนี้ ไม่เพียงแต่ไป๋ยู่สิงที่ดูออก แม้แต่เพลย์บอยที่สนใจแต่เรื่องซุบซิบนินทาอยู่เสมออย่างซีเฉินก็ดูออกเหมือนกัน

“เสิ่นซิวจิ่น นายเสร็จแน่” ไป๋ยู่สิงเปล่าประกาศ

ใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสของซีเฉินก็ไม่มีรอยยิ้ม หลงเหลือแค่สีที่เข้มงวด “อาการสต็อกโฮล์ม นายกลับทำตรงกันข้าม”(อาการสต็อกโฮล์เป็นอาการของคนที่ตกเป็นเชลยหรือตัวประกันเกิดมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนที่เป็นคนร้าย)

“แล้วที่นายไม่ยอมไปตงหวงก็เพราะเธอ?เพราะอะไรของเธอ?นายไม่อยากเห็นหน้าเธอ?หรือว่านาย……กลัวที่จะเห็นหน้าเธอ?” ไป๋ยู่สิงเป็นหมอ เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา!

“จะเป็นไปได้ยังไง เขากลัวที่จะเห็นหน้าเธอ? เป็นไปไม่ได้”

“นายตกหลุมรักเธอแล้ว” ซีเฉินพูดต่อคำพูดของไป๋ยู่สิง

ชายหน้าตาหล่อเหล่าที่อยู่หลังโต๊ะทำงาน ค่อยๆยิ้มอย่างเย็นชา “ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้!”

เขาจะตกหลุมรักผู้หญิงคนนั้น?

เหลวไหลสิ้นดี!

ซีเฉินถามต่อ “ถ้าไม่ใช่ ทำไมช่วงนี้นายไม่ไปตงหวง?”

“ฉันยุ่ง ไม่มีเวลาไปเล่นสนุกที่นั้น”

ไป๋ยู่สิงและซีเฉินได้ยินแบบนี้เขาก็หันหน้ามามองหน้ากัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เชื่อคำพูดไร้สาระนี้

“เสิ่นซิวจิ่น นายกลัวที่จะเห็นหน้าเจี่ยนถงที่น่ารังเกียจใช่ไหม วันนั้นเธอด่าเซี่ยเวยเหมิงต่อหน้านายกับฉัน ความผิดที่ไม่มีวันชดใช้ได้ของเธอ เธอด่าให้เซี่ยเวยเหมิงไปตกนรก……เธอไม่ใช่เจี่ยนถงเมื่อสามปีก่อนอีกต่อไป เธอกลายเป็นคนที่น่ารังเกียจ ไม่เพียงแต่หน้าตา แม้แต่จิตใจของเธอก็ทำให้คนขยะแขยง……นายไม่อยากเห็นเจี่ยนถงที่เป็นแบบนี้ใช่ไหม นายถึงไม่ยอมไปตงหวง”

ซีเฉินฟังไป๋ยู่สิงพูดอย่างเงียบๆ ทีแท้ตอนที่เขาไม่อยู่มันเกิดเรื่องขึ้นมากมาย

ถ้าไป๋ยู่สิงบอกว่าเจี่ยนถงด่าเซี่ยเว่ยหมิง แสดงว่ามันต้องเป็นความจริง ด่าคนที่ตัวเองทำให้เธอต้องตาย มันน่าขยะแขยงจริงๆ

ไป๋ยู่สิงมักจะพูดตรงไปตรงมาเสมอ!

เสิ่นซิวจิ่นค่อยๆขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆ!

“นายหุบปาก !” เขาหน้าดำหน้าแดง “เธอไม่ควรกลายเป็นคนที่น่ารังเกียจเพราะคนนอกแค่คนเดียว! มันไม่คุ้มค่า!"

สายตาของไป๋ยู่สิงและซีเฉินเปล่งประกายด้วยความตกใจพร้อมกัน!

โดยเฉพาะไป๋ยู่สิง!

วันนั้น เขาอยู่ที่นั่น!

เขารู้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น!

เจี่ยนถงด่าเซี่ยเวยเหมิงที่ตายไปแล้วสามปียังไง เขารู้ดี!

แต่ตอนนี้ สิ่งแรกที่เสิ่นซิวจิ่นคิดถึงไม่ใช่การตายของเซี่ยเวยเหมิงหรือการที่เจี่ยนถงด่าเธอ แต่สิ่งที่เสิ่นซิวจิ่นสนใจคือ เจี่ยนถงไม่ควรกลายเป็นคนที่ถูกคนอื่นรังเกียจเพราะว่าเซี่ยเวยเหมิง เขาคิดว่าการที่เจี่ยนถงกลายเป็นคนที่น่ารังเกียจเพราะเซี่ยเวยเหมิง มันไม่คุ้มค่า!

ไป๋ยู่สิงมองไปที่ชายหลังโต๊ะทำงานด้วยความตกใจ……เสิ่นซิวจิ่น! นายรู้ไหมว่าตัวเองเปลี่ยนไป!

นายรู้ไหมว่าหัวใจของตัวเองกำลังเปลี่ยนไป!

สายตาของไป๋ยู่สิงซับซ้อน ถ้าเป็นเจี่ยนถงเมื่อสามปีที่แล้ว เขาจะยกมือยกเท้าสนับสนุนเสิ่นซิวจิ่นกับเจี่ยนถง แต่เจี่ยนถงในตอนนี้ เธอไม่คู่ควรกับเสิ่นซิวจิ่น!

น่ารังเกียจ!

ต่ำช้า!

เลวทราม!

นักโทษที่ไม่มีความเป็นตัวเอง!

เธอไม่คู่ควรกับเสิ่นซิวจิ่น!

สีหน้าของไป๋ยู่สิงซับซ้อนไปหมด หัวใจของเขาปั่นป่วน เขาหรี่ตาลง แต่เขาก็ไม่ได้พูดเตือนเสิ่นซิวจิ่นเรื่องความรู้สึกที่เปลี่ยนไปของเขา

“ถ้าฉันเป็นนาย ฉันจะเอาเธอไปอยู่ในที่ที่ฉันมองไม่เห็น” ไป๋ยู่สิงพูดเตือนอย่างเย็นชา “การตายของเซี่ยเวยหมิงเกี่ยวข้องกับเธอเต็มๆ

นายแค่ตกใจกับการเปลี่ยนแปลงของเจี่ยนถง เพราะยังไงพวกนายก็โตมาด้วยกัน เสิ่นซิวจิ่น นายก็แต่ตกใจกับการเปลี่ยนแปลงของเธอ แค่นั้นจริงๆ”

เสิ่นซิวจิ่นเงียบไปพักหนึ่งแล้วพูดว่า “ให้ฉันคิดดูให้ชัดเจนก่อน”

บางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่

ไม่ว่าอารมณ์จะแย่แค่ไหน แต่เสิ่นซิวจิ่นก็รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง……เขาไม่สามารถเพิกเฉยต่อเธอได้! ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนี้กลายเป็นคนที่น่ารังเกียจแบบนี้! แต่เขาก็บีบคอเธอให้ตายไม่ลง!

ไป๋ยู่สิงและซีเฉินออกไปจากห้องทำงานของเสิ่นซิวจิ่น ซีเฉินดึงแขนไป๋ยู่สิงและพูดว่า “ทำไมนายถึงต้องพูดอย่างนั้นกับเขา?”

เขาไม่เชื่อว่าแม่แต่เขายังดูออก แต่คนอย่างไป๋ยู่สิงจะดูไม่ออก!

ไป๋ยู่สิงแค่กวาดตามองซีเฉินและพูดว่า “รูปร่างหน้าตาของคนเปลี่ยนเป็นขี้เหร่ได้ แล้วจิตใจล่ะ?เกลียดแค้นคนที่ต้องตายเพราะตัวเอง ด่าว่าคนที่ตายไปแล้วสามปีว่าไม่ตายดี ตายไปลงนรก ไม่มีวันได้ผุดได้เกิด……

นายคิดว่า เจี่ยนถงในตอนนี้ยังคู่ควรกับเสิ่นซิวจิ่นอยู่เหรอ?”

ซีเฉินถึงกับพูดไม่ออก

ท้องฟ้าแจ่มใส แสงดวงอาทิตย์ค่อนข้างร้อนแรง เจี่ยนถงใส่เสื้อคลุมแน่น ถนนสายเล็กที่มีต้นไม้เรียงราย วันนี้คนค่อนข้างน้อย แต่ทุกครั้งที่มีคนเดินผ่านเธอไป พวกเขาก็มักจะมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ

“นี่……สมองผิดปกติหรือเปล่า?”

คู่รักหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินผ่านเธอไปก็ยังไม่ลืมที่จะหันกลับมามองเธอ พวกเขาซุบซิบนินทา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดต่อหน้าเจี่ยนถง แต่พวกเขาก็ไม่ได้จงใจพูดเสียงเบา

เสียงซุบซิบนินทาที่กระจัดกระจายดังอยู่ในหัวของเธอ เธอชินแล้ว สำหรับสีหน้าประหลาดๆของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา เธอก็ชินแล้ว

เงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า เธอเข้าใจว่าการแต่งตัวของเธอน่าตกใจแค่ไหนในสายตาของคนอื่น

ในตอนที่ทุกคนล้วนแต่ใส่กางเกงขาสั้นเสื้อแขนสั้นหรือกระโปรงสั้น แต่เธอกลับใส่เสื้อคลุมอย่างมิดชิด

มองดูเสื้อเชิ้ตแขนยาวบนตัว เธอก็รู้สึกเสียใจ…….น่าจะใส่เสื้อคลุมที่หนากว่านี้

เธอเจ็บปวดที่กระดูก และข้างๆก็มีคู่รักหนุ่มสาวอีกคู่ขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านเธอไป

ผู้หญิงใส่ชุดกระโปรงสีขาว ผู้ชายใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว ผู้หญิงมีนิสัยน่าเริง สามารถได้ยินเสียงของเธอมาแต่ไกล:

“เฮ้เฮ้ ไปเลย เดี๋ยวเราจะไปสวนสนุกกันเถอะ วันนี้อากาศดีแบบนี้ ไม่ไปคงน่าเสียดาย”

“โอเค โอเค เอาที่คุณว่า เราไปสวนสนุกกัน”

“งั้นตอนเย็นไปตั้งแคมป์กันไหม?ฉันซื้อเต็นท์มา”

ในขณะที่พูดคุยกันอยู่ พวกเขาก็ขี่ผ่านเจี่ยนถง

“เฮ้ เดี๋ยวก่อน”

“อะไรเหรอ?” คู่รักสองคนนั้นตกใจ ผู้ชายวางเท้าลงบนพื้นแล้วหยุดรถ “คุณเรียกเราเหรอ……?” มองเจี่ยนถงตั้งแต่หัวขรดเท้า ผู้ชายหน้าตาหล่อเหลา ขมวดคิ้วสีกาแฟที่สวยงาม “มีอะไรรึเปล่า?” เขาทำหน้าสงสัย……นี่ นี่ เป็นคนบ้ารึเปล่า?

เจี่ยนถงตกใจ……เธอไม่ได้อยากจะเรียกหยุดคู่รักสองคนนั้น แต่เธอกลับอดไม่ได้ที่จะเรียก

“คุณ……คุณเป็นอะไรไหม?” ผู้หญิงสาวที่นั่งซ้อนข้างหลัง ย้อมผมสีเกาลัด เอียงหน้าแล้วยื่นมือออกมาโบกๆตรงหน้าเจี่ยนถง

เจี่ยนถงเหม่อลอย “ฉัน……?”ฉันอะไรเหรอ

ทำไมจู่ๆถึงได้เรียกหยุดคนแปลกหน้าอย่างพวกเขา?

“คุณอยากถามทางใช่ไหม ไม่เป็นไร ถามได้ แฟนของฉันรู้ทุกอย่าง เขาคุ้นเคยกับถนนทุกสายในย่านนี้”

เสียงของผู้หญิงช่างมีชีวิตชีวา เจี่ยนถงรีบหลับตาลงอย่างรวดเร็ว เธอกะพริบตา ยกมือขึ้นเช็ดความเจ็บปวดที่มุมตาราวกับไม่ได้ตั้งใจแล้วพูดเบาๆว่า:

“ฉัน ฉัน……วันนี้ฝนจะตก ฉันดูพยากรณ์อากาศมา”

เธอพูดจบก็หันหลังเดินออกไป เท้าของเธอไม่สะดวก เธอเลยเดินบิดเบี้ยวเล็กน้อย แต่เมื่อมองจากฝีเท้ามันทำให้เธอเดินดูไม่เป็นธรรมชาติ

เสียงพูดคุยกันของคู่รักคู่นั้นเริ่มไกลออกไปเรื่อยๆ

ยังคงได้ยินคลุมเครือว่า “หา? พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้ฝนจะตกเหรอ?”

สีหน้าของผู้ชายมึนงง “หรือว่า……เธอดูผิด?แต่ว่าเธอเป็นคนดีจริงๆ……”

เสียงค่อยๆหายไป เจี่ยนถงหัวเราะอย่างขมขื่น………คนดีเหรอ?

ถ้าพวกเขารู้ว่าเธอเคยติดคุก ไม่รู้ว่าพวกเขายังจะบอกว่าเธอเป็นคนดีอยู่ไหม?

ก้าวไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย

เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เจี่ยนถงถึงกับตกใจ……

ใต้ต้นไทร เธอเห็นผู้ชายที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสีกากี

เขายืนอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ สอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงและยิ้มให้เธอ เผยให้เห็นฟันขาวของเขา และแล้ว แม้แต่อากาศก็ยังมีฟองสีชมพู……

ในความมึนงง ราวกับว่าเธอมองเห็นฤดูร้อนของปีนั้น

ใต้ต้นไทรที่ใหญ่กว่าต้นนี้ ผู้ชายคนที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสีกากี ใส่รองเท้าผ้าใบสีขาว ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ เธอวิ่งเหยาะๆเข้าไปอย่างรวดเร็ว เขาทำสีหน้าไม่พอใจและพูดเร่งเธอว่า

“ช้าจังเลย ผู้หญิงนี่วุ่นวายจริงๆ รีบหน่อย ถ้าคุณยังไม่รีบ ผมจะไปแล้วนะ”

เขาพูดแบบนี้แต่กลับยังยืนรอเธออยู่ใต้ต้นไทรเงียบๆ

นั้นมันเรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว?

อ้อ……ตอนม.สาม……

เมื่อไหร่ที่ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาเปลี่ยนเป็นตึงเครียด เปลี่ยนเป็นความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เปลี่ยนเป็นความสัมพันธ์ที่แปลกหน้าและมีระยะห่าง?

จำไม่ได้แล้ว……

“เสิ่น……” ดวงตาของเธอพร่ามัว อ้าปากเรียกชายที่อยู่ใต้ต้นไม้

ทันใดนั้นชายที่อยู่ใต้ต้นไม้ก็เรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงที่สดใส “เจี่ยนถง ผมรู้อยู่แล้วว่าต้องมารอคุณที่นี่”

เสียงเรียกนี้ทำให้เจี่ยนถงตัวสั่น เธอได้สติกลับมาก็มองไปที่ชายที่อยู่ใต้ต้นไม้ มือสอดอยู่ในกระเป๋ากางเกง เธอยิ้มมุมปาก รอยยิ้มอันขมขื่นที่บรรยายไม่ได้……

ไม่ใช่ผู้ชายคนนั้น……

“คุณเซียว สวัสดีค่ะ”

เธอทักทายชายที่อยู่ใต้ต้นไม้อย่างสุภาพ

เซียวเหิงยิ้มฟันขาว เอียงหน้าและพูดกับเธอว่า “คุณมานี่สิ ยืนทำอะไรตั้งไกล มานี่มานี่”

เขากงักมือเรียกเธออีกครั้ง

เจี่ยนถงก้าวไปข้างหน้าช้าๆ:“คุณเซียว คุณรอฉัน?”

ถ้าเธอไม่ได้หูแว่วไป เมื่อกี้เขาพูดแบบนั้นจริงๆ

“ใช่ ผมกำลังรอคุณ” เซียวเหิงตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “เจี่ยนถง คุณยังไม่ได้ให้คำตอบผมเลย เป็นแฟนผมไหม?”

เจี่ยนถงตกใจ

“ก่อนหน้านี้ผมไปมิลานมา มีโปรเจกต์ที่ต้องรีบไปจัดการ ตอนเช้าวันนี้ขึ้นเครื่องบินมาถึงเมืองS ผมก็มาที่นี่ทันที ผมรู้อยู่แล้วว่าต้องเจอกับคุณที่นี่”

“เจี่ยนถง เป็นแฟนผมไหม?”

หัวใจของเจี่ยนถงเต้นแรงขึ้นครึ่งจังหวะ เงยหน้าขึ้นเธอก็มองเข้าไปในดวงตาที่กำลังส่องแสงคู่หนึ่ง ดวงตาคู่นี้กับชายคนนั้นมันช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เธอเชื่องช้าไปครึ่งจังหวะ จ้องมองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหล่าที่อยู่ใกล้ๆอย่างเหม่อลอย

เธอสับสนมาก ใช้คำพูดที่เป็นที่นิยมตอนนี้ก็คือ แบลงค์ไปหมด

เธอมองไปที่ใบหน้านั้นอย่างเหม่อลอย

“เฮ้ ถ้าคุณมองผมอยู่แบบนี้ ผมจะไม่เกรงใจแล้วนะ”

เสียงของเซียวเหิงดังขึ้นมาในหูของเธอ

เจี่ยนถงตกใจ เงยหน้าขึ้นด้วยความมึนงง เธอกะพริบตา “อะไรนะ?”

เห็นเธอเป็นแบบนี้ เซียวเหิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “แบบนี้” พูดเสร็จ ก็มีเงาสีดำเอนลงมา เจี่ยนถงรู้สึกว่ามีอุณหภูมิอุ่นๆมากระทบกับริมฝีปากของเธอแล้วก็หายไป

“โทษผมไม่ได้นะ คุณจ้องผมอยู่แบบนี้ ผู้ชายคนไหนจะทนไหว”

เซียวเหิงพูด ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา มองไปที่เจี่ยนถง “หูของคุณแดง”

มันจะไม่เป็นไรถ้าเขาไม่พูด แต่พอเขาพูด หูของเจี่ยนถงก็ยิ่งแดงขึ้นกว่าเดิม

“เจี่ยนถง” จู่ๆเซียวเหิงก็ยื่นมือออกมาจับมือของเจี่ยนถงไปไว้ในฝ่ามือขนาดใหญ่ของตัวเอง จับมันไว้ที่หน้าอก “คบกับผมนะ”

ตอนที่เขาอยู่ที่มิลาน เขาก็คิดไปต่างๆนานา สุดท้าย เขาแน่ใจแล้วว่าเขาต้องการผู้หญิงคนนี้ ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล เพียงแค่มองไปที่หูที่แดงของเธอก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงไม่หยุด

เพียงแค่มองไปที่ริมฝีปากของเธอก็ทำให้เขาอยากจะหยุดคิดแต่ก็หยุดไม่อยู่

เรื่องแบบนี้ ใครบอกว่าต้องตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งที่รูปร่างหน้าตา?

ทุกครั้งที่หยอกล้อเธอ มันมักจะทำให้เขารู้สึกสบายใจและมีความสุขที่สุด

“เจี่ยนถง คบกับผมนะ”เขาบอกว่า “ผมจะดูแลคุณเอง”

ช่วงฤดูร้อนตอนม.สาม เธอบอกว่า “เสิ่นซิวจิ่น คบกับฉันนะ คุณดูแลฉันนะ”

ชายหนุ่มที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวหันหน้ามามองเธอด้วยดวงตาที่เฉียบคม เขามองอยู่อย่างนั้นแต่ก็ไม่พูดอะไร เขาหันหลังเดินออกไป เธอก็เดินตามไป จับมือของเขามาจากด้านหลัง “ขี้งกจริงๆ ฉันเลี้ยงง่ายจะตาย คุณเลี้ยงไม่ไหวเหรอ?”

คำตอบของชายหนุ่มคนนั้น เจี่ยนถงยังคงจำได้จนถึงทุกวันนี้

เขาบอกว่า “ไม่ใช่ผมเลี้ยงไม่ไหว แต่ว่าคุณไม่ใช่คนที่ใช่” หลังจากพูดเสร็จเขาก็หันหลังจับมือเธอออกไปนอกโรงเรียน

เจี่ยนถงยังจำได้ว่าเธอเหลือบไปมองมือที่จับกันอยู่ของเขาสิงคนตอนนั้น ตอนนั้นเธอกำลังทำอะไรอยู่?

อ้อ……จำได้ละ

ตอนนั้นเธอคิดว่า ถ้าฉันไม่ใช่คนที่ใช่ เสิ่นซิวจิ่น แล้วทำไมคุณไม่ปล่อยมือฉัน?

เธอจับแขนของเขาอยู่ข้างหลังอย่างมีความสุข และยิ้มอย่างมีความสุข “เสิ่นซิวจิ่น ถ้าฉันไม่ใช่คนที่ใช่ บนโลกใบนี้ก็คงไม่มีคนที่ใช่สำหรับคุณแล้ว”

……

“เจี่ยนถง? เจี่ยนถง?” เซียวเหิงเรียกชื่อเธอสองครั้ง เขาไม่พอใจที่เธอคิดฟุ้งซ่าน……สายตาที่ผิดหวังของเธอ ดูเหมือนว่าในใจของผู้หญิงคนนี้จะมีคนอยู่คนหนึ่ง และคนคนนั้น คงจะอยู่ในชีวิตของเธอก่อนเขา

แต่วินาทีต่อมา แววตาของเขากลับมาสดใสอีกครั้ง จับมือของเธอมาไว้ในฝ่ามือ:

“ลองดู ลองดูก็ได้ เชื่อผมนะ ผมจะไม่มีทางทำให้คุณเสียน้ำตาแม้แต่หยดเดียว”

เจี่ยนถงไหล่สั่น สายตาของเธอเต็มไปด้วยร่องรอยของความปรารถนา เงยหน้าขึ้น เธอก็มองเห็นใบหน้าที่จริงใจของเซียวเหิงอีกครั้ง จู่ๆเธอก็รู้สึกว่ามือของเธอร้อนจนเจ็บปวด เธอสะบัดมือของเซียวเหิงออกและเอามือทั้งสองข้างไปไว้ข้างหลัง จากนั้นก็รีบถอยหลังออกไปสองสามก้าวอย่างรวดเร็ว ถอยออกห่างจากเซียวเหิงเล็กน้อย ดวงตาสีดำของเธอจ้องมองไปที่เซียวเหิง

“คุณพูดอะไรสักคำสิ……เจี่ยนถง คุณจะหลบหนีไม่ได้”

เขาเดินเข้ามาใกล้ เจี่ยนถงก็เดินถอยหลังออกไปอีก

สายตาของเซียวเหิงเป็นประกาย เขาเดินเข้าไปใกล้อีก

แต่เจี่ยนถงก็เดินถอยหลัง

เซียวเหิงทนไม่ไหวแล้ว เขายื่นแขนออกไปดึงเจี่ยนถงเข้ามา จากนั้นก็ใช้แขนสองข้างโอบเอวของเธอเอาไว้ทันที ล็อกเธอไว้ข้างหน้าตัวเอง “เจี่ยนถง คุณอย่าคิดที่จะหลบหนี ผมไม่มีทางให้โอกาสหลบหนีนี้กับคุณ”

เธอไม่ได้หลบหนี…… เช่นเดียวกับที่เสิ่นซิวจิ่นพูดในตอนนั้น ไม่ใช่คนที่ใช่ แล้วทำไมจะต้องหลบหนี?

ทันใดนั้น เจี่ยนถงก็เข้าใจขึ้นมาทันที……ที่แท้ เหตุผลที่คนคนนั้นไม่ปล่อยมือเธอในตอนนั้น ยอมให้เธอจับมือตัวเอง ก็เพราะว่าเธอไม่ใช่คนที่ใช่ แล้วทำไมต้องสนใจ ทำไมต้องทำอะไรที่เกินความจำเป็น

คิดแบบนี้ พฤติกรรมที่กล้าหาญของตัวเองหลายปีที่ผ่านมา……ที่แท้ก็เป็นแค่เรื่องตลก

เซียวเหิงเลิกคิ้ว……ผู้หญิงคนนี้ วันนี้เธอเหม่อลอยครั้งที่สามแล้ว

บอกไม่ได้ว่าตอนนี้รู้สึกยังไง เซียวเหิงเอนตัวลงไปจูบที่ปากของเจี่ยนถง

“เสิ่นซิวจิ่นใช่ไหม?”

จู่ๆเขาก็ถามขึ้นมา

เจี่ยนถงตัวสั่น

เซียวเหิงยิ้ม แต่รอยยิ้มนี้นั้นกลับไม่ค่อยมีความสุข “เจี่ยนถง ลืมเขาไปเถอะ ไม่ว่าคุณกับเขามีอดีตด้วยกันแบบไหน แต่มันก็ล้วนแต่เป็นความเจ็บปวด"

ประสาทของเจี่ยนถงตอบสนองอย่างรวดเร็ว เธอเงยหน้าขึ้นและถามว่า “คุณแน่ใจได้ยังไงว่ามันมีแต่ความเจ็บปวด?”

เซียวเหิงจ้องมองไปที่ผู้หญิงที่กอดแน่นอยู่ในอ้อมแขน……ผู้หญิงคนนี้คงจะไม่รู้ สีหน้าของเธอในตอนนี้มีแต่สีหน้าที่ไม่เป็นมิตร เขายิ้มมุมปากเบาๆ……ไม่เป็นไร เขาจะทำให้เธอลืมไอ้สารเลวที่นามสกุลเสิ่นให้ได้

“อดีตของพวกคุณเคยมีความสุขด้วยเหรอ? ถ้ามี แล้วทำไมผมถึงเห็นแต่ความผิดหวังบนใบหน้าของคุณ?”

“……” เงียบ พูดไม่ออก

“เจี่ยนถง อย่างน้อยคุณลองดูก็ได้ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ตกลงเป็นแฟนผมตอนนี้ แต่อย่างน้อยคุณก็ควรให้โอกาสตัวเองได้มีความสุข

คุณจะมีชีวิตอยู่ในความทรงจำ จมปลักอยู่กับอดีต อยู่ในโลกใบเล็กๆของคุณตลอดไปไม่ได้

เจี่ยนถง ลืมเขาไปซะ ไม่ว่าพวกคุณจะเคยมีความทรงจำ มีอดีตแบบไหน แต่ผมเชื่อว่าอดีตและความทรงจำที่ไม่มีความสุขเหล่านั้น มันจะต้องถูกแทนที่ด้วยความทรงจำที่มีความสุขของคุณกับผม”

จู่ๆหัวใจของเจี่ยนถงก็เต้นแรง……ความสุขเหรอ ใครจะปฏิเสธได้? เจี่ยนถงถูกสะกดด้วยคำที่สวยงามสองคำนี้

“ตกลง……” เธอพึ่งจะพูดออกมาว่า “ตกลง” แต่เธอก็ได้สติขึ้นมา “ไม่ได้”

ความสุขเหรอ ใครไม่อยากมีความสุข

แต่ว่าเธอคู่ควรที่จะได้รับมันเหรอ?

เธอในวันนี้ ยังคู่ควรกับสิ่งที่ทุกคนบนโลกต้องการเหรอ?

“เจี่ยนถง?” เซียวเหิงเรียกชื่อเธอเบาๆอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ทำไมล่ะ?”

ทำไมผู้หญิงคนนี้แม้แต่โอกาสก็ไม่ให้?

“คนที่แซ่เสิ่น เขาสำคัญกับคุณมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”

เขามองดูผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า

เธอก้มหน้าลงมองไปที่นิ้วเท้าของตัวเองอยางนิ่งๆ เธอรู้สึกขมขื่น……เซียวเหิง คุณรู้จริงๆเหรอว่าว่าฉันเป็นใคร?

คุณเข้าใจจริงๆเหรอว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคุณตอนนี้ คนที่คุณสารภาพรักคนนี้ เธอคือคนที่มีร่างกายและจิตใจที่มีชีวิตอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่บนโลกนี้ หรือเป็นเพียงแค่คนที่มีแค่จิตวิญญาณที่ไม่เคยมองเห็นแสงสว่าง?

คุณรู้จริงๆเหรอว่าฉันเป็นใคร ฉันเคยทำอะไรลงไป และฉันกำลังแบกรับอะไรอยู่?

คุณคิดว่าคนอย่างฉัน……ยังคาดหวังที่จะมีความสุขอยู่จริงๆเหรอ?

“……ฉันขอโทษ”

เซียวเหิงไม่พอใจ เขาเอนตัวลงอย่างไม่ยอมแพ้ ริมฝีปากที่อ่อนโยนของเขาจูบเข้าไปที่ริมฝีปากที่ซีดเซียวของเธออีกครั้ง

เจี่ยนถงไม่ได้ดิ้นหนีไปไหน เธอปล่อยให้ชายที่อยู่ตรงหน้าจูบตัวเองอยู่อย่างนั้น

หลังจากการจูบเสร็จ เซียวเหิงก็เงยหน้าขึ้น “ดูสิ คุณไม่ปฏิเสธ” สายตาที่จริงจังและดื้อรั้นของเขาทำให้เจี่ยนถงไม่กล้าที่จะมองหน้าเขาตรงๆ

เธอก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด หลับตาลงเพื่อปิดบังอารมณ์ที่อยู่ในสายตา และเธอก็พูดเบาๆว่า:

“คุณเซียว คุณลืมไปแล้วเหรอว่าฉันทำอะไร ถึงแม้ว่าฉันจะพึ่งเข้าไปทำงานได้ไม่นาน แต่ฉันก็รู้หลักการของลูกค้า ฉันไม่เคยได้ยินว่า ผู้หญิงขายตัวคนไหนจะปฏิเสธความเฟรนลี่ของลูกค้า คุณเซี่ยว คุณเคยได้ยินไหม?”

เซียวเหิงสีหน้าซีดเซียว

เขาโต้กลับไปด้วยความไม่พอใจ “แล้วเมื่อกี้ที่คุณเดินเข้ามา ครั้งแรกที่คุณเห็นผม สายตาแบบนั้น มันคืออะไร?

เจี่ยนถง ผู้หญิงขายตัวจะมองลูกค้าด้วยสายตาแบบนั้นเหรอ?”

เจี่ยนถงลืมตาขึ้นมองเซียวเหิงอย่างจริงจัง สายตาแบบนี้ เต็มไปด้วยร่องรอยของสิ่งที่อธิบายไม่ได้ หัวใจของเซียวเหิงเต้นแรง แม้แต่หัวใจของเขาก็ยังเต้นแรงขึ้นภายใต้สายตาที่จ้องมองมาแบบนี้

เขาก้มหน้าลงมองหน้าผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง ราวกับว่ากำลังรอคำตอบของเจี่ยนถง

ผ่านไปไม่นาน เจี่ยนถงก็ถอนหายใจเบาๆ เธอมองไปที่เซียวเหิงแล้วพูดว่า:

“ปีนั้น ผู้ชายที่ฉันชอบก็ยืนอยู่ใต้ต้นไทร เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวเหมือนกัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฉันก็ตกหลุมรักเสื้อเชิ้ตสีขาว

วันนี้คุณบังเอิญใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวยืนอยู่ใต้ต้นไทร ฉันก็เลยลืมตัว จมดิ่งเข้าไปในอดีต”

ดังนั้น ทุกอย่างมันไม่เกี่ยวกับคุณ

ใบหน้าที่หล่อเหลาของเซียวเหิงมีร่องรอยของความผิดหวัง แต่มันก็หายวับไปในพริบตา และต่อมาเขาก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แววตาเป็นประกาย ออกแรงดึงผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขนเข้ามาอย่างง่ายดาย ก้มหน้าลงและจูบไปที่ปากของเธออีกครั้ง:

“งั้นคุณก็คิดว่าผมเป็นลูกค้าซะ เจี่ยนถง”

หัวใจของเจี่ยนถงสั่นไหว ตอนนี้เวลานี้ เธอดูผู้ชายที่บางครั้งก็ไร้เดียงสาแต่บางครั้งก็เจ้าเล่ห์ตรงหน้าคนนี้ไม่ออก

เธอคิดว่าการพูดแบบนั้นจะทำให้เขาโมโหและจากไป

แต่เธอกลับรู้สึกอึดอัดขึ้นมา

เธอพูดกับเซียวเหิงว่า “จูบของคุณเซียวเมื่อกี้ไม่ใช้จูบฟรีๆ คุณเซี่ยวอย่าลืมโอนเงินให้ฉันด้วย”

พูดแบบนี้……คงจะได้ผล?

เจี่ยนถงคิดแบบนี้

เธอเห็นเขาปล่อยมือ ล้วงเข้าไปในกระเป๋าและยื่นมือออกมา ฝ่ามือของเขาก็อยู่ตรงหน้าเธอ “อ่ะ นี่ให้”

เจี่ยนถงตกใจ เธอไม่เคยเจอใครเหมือนเซียวเหิง

มองไปที่ธนบัตรสีแดงในมือของเซียวเหิง แต่เจี่ยนถงกลับไม่รู้ว่าจะรับมือยังไง

“……” เขาให้เงินฉันแบบนี้……

เดิมทีคิดว่าเผยด้านที่น่ารังเกียจของตัวเองต่อหน้าเขา บรรยายตัวเองแบบนี้ต่อหน้าเขา มันจะทำให้เขากลัวและหนีไป

“เจี่ยนถง ผมบอกแล้วว่าคุณหนีไม่พ้นหรอก ผมจริงจัง”

เสียงที่หนักแน่นของเซียวเหิงดังเข้ามาในหู

แต่เจี่ยนถงกลับสับสนมากขึ้นกว่าเดิม

จริงจัง!

จริงจัง!

เรื่องที่จริงจัง……เธอไม่กล้ารับมันมา!

เธอคู่ควรกับเรื่องที่“จริงจัง”ที่ไหนกัน? !

“เจี่ยนถง คุณทำแบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับผม”

จู่ๆ เจี่ยนถงก็เงยหน้าขึ้น สายตาของเธอมีความรู้สึกแปลกๆ “เซียวเหิง” เสียงที่หนักแน่นขัดจังหวะเซียวเหิง เธอมองเซียวเหิงอย่างอย่างจริงจังและถามว่า “เจี่ยนถงในสายตาของคุณเป็นยังไง?”

เซียวเหิงตกใจไปพักหนึ่ง เขาคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้จะถามคำถามแบบนี้

นี่……มันสำคัญเหรอ?

ในที่ที่เซียวเหิงมองไม่เห็น เจี่ยนถงถูปลายนิ้วมือสองข้างไม่หยุด ไม่หยุดแม้แต่วินาทีเดียว……คนที่สนิทกับเธอจะรู้ได้ทันทีเลยว่า เธอในตอนนี้ ในใจของเธอ มันไม่ได้สงบนิ่งเหมือนสีหน้าของเธอ

“เซียวเหิง ฉันไม่มีอะไรเลย” เจี่ยนถงพูดเตือนเขาเบาๆ

เซียวเหิงร้อนรน “ใครบอก?”

“เซียวเหิง ฉันไม่มีอะไรจริงๆ ทำไมคุณถึงต้องเอา“ความจริงจัง”ของคุณให้กับฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า?

“คุณแข็งแกร่ง เข้มแข็งและจิตใจดี คุณกล้าทำกล้ารับ นอกจากเผชิญหน้ากับความรู้สึกของผม คุณไม่เคยหลบหนีอะไร ตอนคุณหูแดงคุณก็น่ารัก ตอนจูบคุณมันมักจะรู้สึกเหมือนรักครั้งแรก”

เซียวเหิงรีบพูดออกมา “เจี่ยนถง คุณไม่ใช่ไม่มีอะไร คุณดีมาก ดีจนสิ่งภายนอกเหล่านั้นมันไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อย”

เจี่ยนถงฝืนยิ้มออกมา……เข้มแข็ง? จิตใจดี? กล้าทำกล้ารับ? ไม่หลบหนี?

เธอมองดูผู้ชายที่ยังไม่โตตรงหน้าของเธอ สายตาที่จริงจังและแน่วแน่ของเขา……เจี่ยนถงรู้สึกแค่ว่าเธอไม่กล้ามองเห็นเขาตรงๆ รู้สึกว่าแก้มทั้งสองข้างของเธอกำลังร้อน

สายตาที่แน่วแน่และจริงจังแบบนั้น……เจี่ยนถงกำลังอ้าปากอยากจะพูดว่า “เซียวเหิง คุณคิดผิดแล้ว คนที่คุณพูดถึงไม่ใช่ฉัน” เธออยากจะพูดแบนี้ แต่สุดท้ายเมื่อเห็นดวงตาที่เป็นประกายของเซียวเหิง ประโยคที่ติดอยู่ที่ปาก เธอไม่ได้พูดมันออกไป

บางที ตอนนี้เธออาจจะไม่มีแรงรักใครสักคน และก็ไม่มีความสามารถรักใครสักคน หรือบางทีมันอาจจะเป็นความเห็นแก่ตัวลึกๆในใจของเธอ……

“เจี่ยนถง คุณไม่จำเป็นต้องเดินมาหาผม คุณไม่จำเป็นต้องเดิมมาใกล้ผม แค่คุณยืนตรงนั้นก็พอ ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน ผมจะเป็นคนเดินไปหาคุณเอง เดินเข้าไปใกล้ๆคุณ เดินเข้าไปกอดคุณ แค่คุณยืนอยู่นิ่งๆไม่ขยับไปไหน ไม่ต้องทำอะไร ที่เหลืออยู่ผมเป็นคนทำเอง”

“เจี่ยนถง ถ้าคุณไม่ลองคุณจะรู้ได้ยังไงว่าโลกของคุณไม่มีทางมีคำว่าความสุข?”

“เจี่ยนถง ลองดูไหม ลองดู ผมไม่มีทางทำให้คุณเสียใจ เสียน้ำตาแม้แต่หยดเดียว”

“เจี่ยนถง ให้โอกาสผมและให้โอกาสตัวเอง ให้โอกาสเราสองคนได้มีความสุขไปด้วยกัน”

“เจี่ยนถง……”

“เจี่ยนถง……”

“เจี่ยนถง……”

เสียงเรียก“เจี่ยนถง” เสียงเรียกนี้กำลังจะเข้าไปในหัวใจของเธอ ทำยังไงดี?

ทำยังไง!

เจี่ยนถง คุณคิดว่าคุณในตอนนี้คู่ควรที่จะมีความสุขแล้วเหรอ?” เสิ่นซิวจิ่นพูดแบบนี้

“เจี่ยนถง ให้โอกาสเราสองคนได้มีความสุขไปด้วยกัน” เซียวเหิงพูดแบบนี้

เสียงสองเสียงนี้ดังวนอยู่ซ้ำๆ วนอยู่ในหัวของเธอตลอดเวลา หัวของเธอจะระเบิดอยู่แล้ว!

ความสุข เธอจะมีความสุขได้ยังไง! เธอเป็นคนบาป! อาลู่ตายเพราะเธอ แต่เธอกลับได้รับความสุขที่คนบนโลกอยากจะได้มากที่สุด?

เหลวไหล!

คนที่ควรตายไม่ตาย คนที่ไม่ควรตายกลับตาย คนที่สมควรตายกลับมีความสุข? คนที่ควรมีความสุขคืออาลู่! ชีวิตของเธอตอนนี้แย่งมาจากอาลู่!

ถ้า…… ถ้าอาลู่ไม่ได้ตายไปเพราะเธอ อาลู่ในตอนนี้คงจะมีความสุขใช่ไหม?

แย่งชีวิตของอาลู่มาแล้ว ยังจะไปแย่งความสุขของอาลู่อีก?

ดิ้นรน เจ็บปวด เกลียดแค้น ปฏิเสธตัวเอง เกลียดตัวเอง……ความรู้สึกแบบนี้ถาโถมเข้ามาอย่างล้นหลาม!

เจี่ยนถงกำลังจมดิ่งอยู่ในการออกห่างตัวเองรังเกียจตัวเอง เธอแยกไม่ออก ความสุขของเธอกับความสุขของอาลู่ไม่เหมือนกัน เธอคิดว่าอาลู่ตายแทนเธอ ตอนนี้เธอมีชีวิตอยู่ก็เพราะอาลู่ ชดใช้ให้กับอาลู่ ถ้าอาลู่ยังมีชีวิตอยู่ วันนั้นเธอคงตายไปแล้ว ทุกลมหายใจในตอนนี้ควรเป็นของอาลู่

แล้ว……ความสุขล่ะ?

เสียงของเซียวเหิงยังคงดังอยู่ในหู!

เจี่ยนถงโบกมือให้เซียวเหิง “หุบปาก! หุบปาก! ฉันไม่อยากมีความสุขอะไรทั้งนั้น~!” เธอตะโกนใส่เซียวเหิงราวกับสัตว์ร้าย เซียวเหิงไม่ทันได้เตรียมตัว เขาคิดไม่ถึงว่าเธอจะโมโหขนาดนี้ เขาไม่ทันระวังถูกเธอผลักออกไป เดินเซไปข้างหลังสองก้าว พึ่งจะยืนมั่นก็เห็นเธอเดินกะเผลกๆ จับขาข้างหนึ่งไว้เหมือนจะวิ่งเหยาะๆ

เจี่ยนถงอยากจะออกห่างจากเซียวเหิง

เซียวเหิงเดินตามไป

“เจี่ยนถง คุณกลัวอะไรอยู่!”

บนถนนสายเล็กที่มีต้นไม้เรียงราย ผู้หญิงคนหนึ่งรีบวิ่งกะเผลกๆ ชายใส่เสื้อเชิ้ตสีขาววิ่งตามมาข้างหลัง วิ่งตามไปพร้อมกับถามคำถาม บรรยากาศแบบนี้กลายเป็นการวิ่งไล่จับ

หรือว่านี่อาจจะไม่ใช่วิ่งไล่จับ เพราะความสามารถของคนที่วิ่งตามกับคนที่ถูกวิ่งตามนั้นไม่เหมือนกัน คนหนึ่งขายาวแขนยาว ฝีเท้าแข็งแกร่ง อีกคนหนึ่งเดินกะเผลกๆ ลากขาพิการข้างหนึ่ง

ท้องฟ้าเป็นไปตามอารมณ์ของเทพเจ้า อยากจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน

ก่อนหน้านี้ยังท้องฟ้าแจ่มใส แสงอาทิตย์สาดส่อง

วินาทีต่อมา……เปรี้ยง!

จู่ๆพายุฝนก็โหมกระหน่ำ!

ไม่รู้ว่าเมฆฝนสีดำมาจากไหน มันลอยมาปกคลุมท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ทันที จากนั้นฝนก็ตกหนัก!

“เจี่ยนถง หยุดวิ่งได้แล้ว คุณหนีผมไม่ได้หรอก”

เซียวเหิงตะโกนอยู่หลังเจี่ยนถง ระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งสองใกล้กันเรื่อยๆ มองดูระยะห่างประมาณห้าหกเมตร เจี่ยนถงร้อนรน เธอวิ่งพร้อมกับหันหน้ากลับไปมองเซียวเหิง “ฉันบอกว่า ฉันไม่ต้องการความ……”

“เจี่ยนถง ระวัง!”

เธอยังพูดไม่จบก็เห็นสายตาที่ตกใจของเซียวเหิง เจี่ยนถงยังไม่รู้ตัว ข้างหูของเธอมีเสียงชน“ปัง”ดังขึ้นมา เธอกำลังคิดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตัวเธอก็ล้มลงกลิ้งอยู่กับพื้นไปแล้ว

“เอี๊ยด~” เสียงรถเบรกเสียดแก้วหู คนขับรถยื่นหน้าออกมาและด่า “เป็นบ้ารึไง อยากตายแม่น้ำหวงผู่อยู่ข้างหน้าน่ะ!”

“ขอโทษค่ะ ขอโทษที…” เจี่ยนถงรีบกล่าวทัก นับว่ายังเป็นโชคดี ดีที่คนชับรถเบรกรถได้เร็ว จึงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น

เซียวเหิงถลึงตาใส่คนขับรถคนนั้น “คุณพูดแบบนี้ได้ยังไง? ชนคนแล้วยังจะกล้า?”

เซียวเหิงเกรี้ยวกราด คนขับรถจึงหวาดกลัวเล็กน้อยและด่ากระปอดกระแปด “ผัวเมียทะเลาะกันก็กลับไปทะเลาะที่บ้าน บ้าบอ” เขาพูดพลางขับรถออกไป

ถึงแม้เซียวเหิงจะมีท่าทางเกรี้ยวกราด แต่ก็รู้ว่าจะโทษคนขับรถก็ไม่ได้ แล้วจึงมองไปที่เจี่ยนถง เธอไม่ได้ล้มลงอย่างแรงแต่มีแผลถลอกแน่นอน

เขารีบวิ่งไปที่เจี่ยนถง “เจี่ยนถง อย่าขยับ ฉันจะพาเธอไปโรงพยาบาล”

“คุณอย่าเข้ามา!”

เจี่ยนถงนั่งอยู่บนพื้น สีหน้าสงบลง

ท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักบนพื้นดินที่เป็นโคลน เธอเงยหน้าขึ้นผ่านม่านฝน เสียงแหบพร่าดังขึ้นช้าๆ

“คุณเซียว ฉันไม่ต้องการความสุขใดๆ และฉันก็ไม่ต้องการการไถ่โทษ ชีวิตของฉันตอนนี้มันดีมาก รบกวนคุณอย่าได้มาวุ่นวายกับชีวิตฉันอีก” และอย่าเข้ามาในชีวิตฉันตามอำเภอใจอีก

เมื่อทุกสิ่งจมอยู่ในความมืด ลำแสงนั้นไม่ใช่การไถ่โทษ แต่เป็นความผิดและเป็นบาป

สีหน้าของเซียวเหิงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาและช้อนสายตามองไปที่หญิงสาวแอ่งโคลนท่ามกลางสายฝน ฝนยังตกกระทบตัวเขาจนคิ้วเปียกชุ่ม เขาไม่สนใจผู้หญิงคนนั้นและก้าวเท้าเข้าไปหาเธอ

เจี่ยนถงสีหน้าเปลี่ยน “คุณอย่าเข้ามานะ!” น้ำเสียงแหบพร่าของเธอดังขึ้น!

เธอใช้การปฏิบัติจริงเพื่อปฏิเสธผู้ชายคนนี้ในการเข้ามาในชีวิตของเธอ

“คุณเซียว คุณรู้ไหมว่าฉันเป็นคนยังไง?” ท่ามกลางสายฝน เธอยิ้มเล็กน้อย สายฝนปกคลุมความเจ็บปวดในแววตาของเธอ แต่กลับทำให้รอยยิ้มของเธอยิ่งเจิดจ้า “คุณเซียว คุณมีเงินไหม? ถ้ามีคุณก็คือเศรษฐี ฉันเห็นแก่เงิน คุณเอาเงินมาที่ตงหวง ฉันไม่มีทางทำให้คุณผิดหวังแน่นอน”

เธอพูด “คุณเซียว ฉันจะรอคุณอยู่ที่ตงหวง”

เซียวเหิงมองไปที่ผู้หญิงในหลุมโคลนพยายามใช้มือและเท้าเพื่อลุกขึ้นมาอย่างลำบากและเดินกะเผลกไปกลางสายฝน

คำพูดของเธอยังดังอยู่ข้างหู คุณมีเงินไหม? ถ้ามีคุณก็คือเศรษฐี ฉันเห็นแก่เงิน คุณเอาเงินมาที่ตงหวง ฉันไม่มีทางทำให้คุณผิดหวังแน่นอน

ฉินมู่มู่เคยบอกเขาว่าเจี่ยนถงเห็นแก่เงิน เพื่อเงินเธอทำอะไรก็ได้

ตอนนั้นเขาไม่พูดอะไรและเข้าใจความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเจี่ยนถง

แต่ตอนที่เขาสารภาพกับเธอ นำความจริงในใจเปิดเผยตรงหน้าเธอในวันนี้ เขาไม่คิดเลยว่าเธอจะเลือกรักเงินมากกว่าแบบนั้น

เซียวเหิงไม่โทษเจี่ยนถงที่หน้าเงิน…โลกนี้มีใครไม่ชอบเงินบ้าง?

แต่ว่ากลับรู้สึกหดหู่อยู่บ้างที่เจี่ยนถงเลือกที่จะทำในวันนี้

ตรงหน้าเธอ ส่วนหนึ่งคือความรู้สึกของเขาเซียวเหิงตัดสินใจจริงจังเป็นครั้งแรกในรอบสิบกว่าปีมานี้ อีกส่วนก็คือเรื่องเงินๆทองๆ…แต่ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะรักเงินมากกว่าหน่อย

เซียวเหิงอึ้งอยู่ตรงนั้นกระทั่งเจี่ยนถงเดินไปไกลจนมองไม่เห็นแล้ว เขาจึงได้สติและเมื่อคิดจะตามไปก็ไม่เห็นเธอแล้ว

เอื้อมมือไปเคาะหัว “คิดผิดแล้ว… ถ้าผู้หญิงคนนี้รักเงินมากล่ะก็ ก็ควรจะต้องจับตนเองไว้สิ?”

แต่ไม่ใช่การผลักไสเขา แต่จับเขาไว้ นี่มันเงินทองให้คว้าเอาไว้ ไม่ใช่เหรอ?

ทันใดนั้นเซียวเหิงก็เกิดสงสัยขึ้นมา…ทำไมกันนะ? เพราะคนแซ่เสิ่นงั้นเหรอ?

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าใช่ เกิดความรู้สึกมั่นใจบนใบหน้าของเซียวเหิง “คนแซ่เสิ่น ไม่ช้าก็เร็วเจี่ยนถงจะต้องยอมรับฉัน”

……

เจี่ยนถงรีบกลับไปที่หอ พอถึงห้องก็รีบปิดประตูราวกับมีสัตว์ร้ายกำลังไล่ตามหลังเธอมา

เสื้อผ้าของเธอหลุดลุ่ยตอนที่สะดุดล้ม ดีที่คนขับรถคนนั้นยังเบรกรถทันและดีที่เธอใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว จึงไม่ได้รับบาดเจ็บมากมายตอนที่ล้มลงไป ฝ่ามือเธอมีแผลถลอกแต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร

หลังจากทำแผลที่ฝ่ามืออย่างลวกๆ ก็หยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาและลังเลพักหนึ่งก่อนจะโทรออกหาซูเมิ่ง “ฉัน…วันนี้อยากจะขอลาค่ะ”

ซูเมิ่งประหลาดใจและตั้งใจหยิบโทรศัพท์ออกมาและดูหน้าจอเพื่อให้มั่นใจว่าเป็นสายโทรเข้าของเจี่ยนถง เธอยังคงแปลกใจเล็กน้อย “เสี่ยวถง เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

“…ไม่มีอะไรค่ะ เหนื่อยนิดหน่อย อยากจะพักสักวัน”

ซูเมิ่ง “อือ” สั้นๆ และรู้สึกโล่งใจ “ก็ได้” เธอตอบอย่างกระปรี้กระเปร่า “เธอน่ะ ในที่สุดก็รู้สักที่ว่าควรพักผ่อน ได้ วันนี้พักผ่อนดีๆ ล่ะ ทางนี้เธอไม่ต้องห่วง”

โทรศัพท์ถูกวางสาย

เจี่ยนถงยืนขึ้น เดินไปที่โต๊ะไม้เล็กๆ ข้างหน้าต่างห้องนอนแล้วนั่งลง ค่อยๆ ดึงลิ้นชักออก และหยิบสมุดบันทึกออกมาจากด้านใน

หลังจากที่เธอได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ เธอไม่มีงานอดิเรก และไม่มีกิจกรรมยามว่าง สมุดบันทึกเล่มนี้กลายเป็นงานอดิเรกเพียงอย่างเดียวของเธอและการใช้ชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายหลังจากที่เธอได้รับการปล่อยตัว

เธอไม่ได้เขียนบันทึกนานแล้ว บันทึกล่าสุดที่เธอเขียน เนื้อหาคือ

‘ผ่านไปสามปี ฉันได้พบเขาอีกครั้ง’

ไม่มีการอธิบายอะไร ไม่มีการเขียนถึงอารมณ์ใดๆ มีเพียงคำแถลงเรื่องนี้เท่านั้น

เปิดสมุดบันทึกที่มีปากกาลูกลื่นอยู่ในนั้น เจี่ยนถงหยิบขึ้นมาแล้วเขียนช้าๆ

‘จู่ ๆ เซียวเหิงก็ปรากฏตัว เขาถามฉันอีกว่าเต็มใจจะเป็นแฟนของเขาไหม’

ตลอดมาเข้าใจผิดว่า การถามครั้งแรกนั้นก็เป็นเพียงความสนใจของผู้ชายคนนั้นจึงถามขึ้น

หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอเขาอีก

แต่วันนี้เขาก็ปรากฏตัวตรงหน้าฉันอีกครั้งและคำถามเดิม

ฉันอยากจะคิดว่ามันคือเรื่องล้อเล่นมาก

แต่เซียวเหิงไม่ ฉันเห็นสายตาที่จริงจังและยืนกรานขนาดนั้นของเขา

เขาบอกว่าเขาจริงจัง และสายตาของเขาบอกฉันว่าเขาไม่ได้พูดโกหก

เขาบอกว่าเธอไม่จำเป็นต้องพยายามเข้าหาฉัน ให้ฉันเป็นฝ่ายเข้าหาเธอ เขาบอกว่าเขาจะทำให้ฉันมีความสุข ไม่ให้ฉันเสียน้ำตา

ความสุข…ใครไม่อยากได้บ้างล่ะ?

วินาทีนั้น ใจฉันเต้นนะ ใจสั่นไปครู่หนึ่ง ไม่อย่างนั้นไม่คิดจะถามเขาทันใด ‘’เจี่ยนถงในสายตาคุณเป็นแบบไหน‘

……ถ้าตอนนั้นใจฉันไม่ได้ใจเต้น ฉันคงไม่ถามแบบนั้น ที่ใจเต้นไม่ใช่เพราะเซียวเหิง แต่เป็นสิ่งที่เซียวเหิงพูดถึง “ความสุข”

ฉันอยากรู้ว่าฉันในสายตาของเขากับฉันในความจริงมันแตกต่างกันเพียงไร

ท้ายที่สุดฉันเห็นแก่ตัว ฉันสามารถพูดคุยเรื่องความต่ำต้อยและความลำบากของตัวเอง เปิดเผยด้านที่น่าอายที่สุดที่ต่อเขา ฉันสามารถจะบอกเขาไปตรงๆ ‘ไม่ใช่ ฉันไม่ใช่คนที่งดงามอย่างที่คุณพูด’

ฉันสามารถจะให้เขาเห็นตัวตนของฉันในตอนนี้ ต่ำต้อย ขี้ขลาด ไร้ความสามารถ เย็นชา…อีกทั้งยังเห็นแก่ตัว!

ในตอนที่ฉันคิดจะพูดความจริงออกไป ฉันเห็นความจริงจังลึกในแววตาของผู้ชายคนนั้น มันจริงจัง ยืนหยัด และ…ใจจดใจจ่อมาก

นาทีนั้นฉันคิดถึงแต่ตัวเอง จู่ ๆ ฉันก็ไม่อยากให้เขาเห็นความน่าเกลียดของฉัน

ฉันรู้ ฉันไม่สามารถจะรักเขาได้…เพราะหัวใจที่ตายไปแล้วของฉันมันเต้นตามเครื่องกระตุ้นหัวใจที่ติดอยู่ในหัวใจของฉัน มันไม่สามารถจะรักใครได้ ฉันจะตอบสนองต่อความรู้สึกที่จริงใจได้ยังไง?

แต่ตอนนี้น้อยคนบนโลกใบนี้ที่จะยอมมองเธออย่างไร้สิ่งปรุงแต่ง ตั้งใจสบตาฉันอย่างจดจ่อและจริงใจ…จู่ ๆ ฉันก็เกิดกลัวมากว่าสายตาแบบนี้จะเปลี่ยนเป็นความรังเกียจและดูถูกเหมือนคนอื่น

เขาพูดขึ้นอีก ‘ลองดู ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าจะไม่มีความสุข?’

ฉันรู้เลยว่า——มันไม่มีทางมีความสุข!

คนแบบฉัน แบกรับภาระหนี้ชีวิต จะมีสิทธิ์อะไรจะมีชีวิตที่มีความสุขใต้ดวงตะวันดวงนี้?

ใช้ชีวิตของอาลู่แลกมาซึ่งความสุขอย่างนั้นเหรอ?

เหลวไหล!

แต่ฉันยิ่งรังเกียจความสกปรกของตัวเอง!

ถึงแม้ฉันจะไม่กล้าจะยอมรับมันนับครั้งไม่ถ้วน แต่นี่ก็เป็นความจริง——

ฉันหนี…ไม่ใช่เพียงเพราะรู้สึกติดค้างอาลู่จนไม่ต้องการจะคาดหวังจะมีความสุข ฉันรู้ว่าฉันสกปรก สุดท้ายแล้วยังต้องใช้ประโยชน์จากคนที่ตายไปแล้วเพื่อหลีกหนีจากความรู้สึกของเซียวเหิง

อย่าเจอกันอีกเลย เขาเองก็คงไม่มาปรากฏตัวตรงหน้าฉันอีกแล้ว

แบบนี้ ก็ดีแล้ว

ชีวิตที่เหมือนน้ำนิ่งสงบไม่มีคลื่นลม นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการที่สุดในตอนนี้

ไม่สามารถจะฝืนทนพายุได้ เมื่อได้เงินมากพอ เมื่อถึงเวลาที่คนคนนั้นเบื่อกับทุกอย่าง ก็ถึงเวลาที่ฉันควรจะจากไป

ปิดสมุดบันทึก หญิงสาวลุกขึ้นและเปิดหน้าต่างปล่อยให้ฝนสาดเข้ามาเป็นครั้งคราว

สายฝนหนาวเหน็บจนจับเข้าไปในกระดูก เธอตัวหนาวสั่นและกอดอก ในหัวกลับชัดเจนเป็นประวัติการณ์

เธอชัดเจนว่าตอนนี้กำลังทำอะไร ชัดเจนกับทุกเรื่องที่เธอทำ

เจี่ยนถงไม่เคยเห็นคนอย่างเซียวเหิงมาก่อน

“เฮ้ อึ้งทำไม ขึ้นรถสิ”

ใต้ต้นไทรใหญ่ ชายหหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีขาวยังคงยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนเมื่อวาน ยกเว้นวันนี้เขามีจักรยานมาด้วย

“…”

“อย่าเอาแต่อึ้งสิ ขึ้นรถๆ”

“…คุณมาทำไมอีก?”

มีรอยยิ้มเจิดจ้าบนใบหน้าของเซียวเหิง “ทำไมฉันจะมาไม่ได้?”

ไม่ใช่ว่ามาไม่ได้ แต่เธอคาดไม่ถึงว่าหลังจากเกิดเรื่องเมื่อวาน เขายังจะมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเธอ

เซียวเหิงตัวสูง เขาใช้ขาข้างหนึ่งยันพื้นไว้และใช้ขาอีกข้างหนึ่งเหยียบแป้นถีบจักรยาน ยื่นมือออกไปดึงหญิงสาวเข้ามาอย่างไม่ต้องพยายามและให้เธอนั่งที่นั่งด้านหลัง

เจี่ยงถงกำลังจะยืนขึ้น

“เธออย่าขยับสิ ตกลงไปฉันไม่สนนะ” ในขณะที่เขาพูด ขาก็เหยียบที่แป้นถีบและรถจักรยานก็พาเจี่ยนถงขับไปข้างหน้า

เดิมทีเจี่ยนถงกำลังจะลุกและจักรยานก็ออกไปอย่างไม่ทันตั้งตัว ด้วยความเฉื่อย เธอล้มลงบนเบาะหลังอีกครั้ง ยื่นมือออกมาโดยไม่รู้ตัว และจับเอวบางๆ ของเซียวเหิงที่อยู่ข้างหน้าไว้แน่น

ด้วยความสับสนในหัว คนคนนี้…ยังไงกันนะ?

“ฉันเดินเองก็ได้” เจี่ยนถงพูดด้วยความกระสับกระส่าย

เสียงจากด้านหน้าดังลอยมาทันที

“ไม่ได้”

“…”

และอีกครู่หนึ่ง

“คุณเซียว เมื่อวานเราไม่ได้คุยกันชัดเจนแล้วเหรอคะ?”

คนข้าหน้า ฮึดฮัดเบาๆ

“เมื่อวานเราคุยอะไรกันเหรอ? ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย?”

เพื่อน…นายทำแบบนี้ เราก็คุยอะไรไม่ได้แล้ว เจี่ยนถงใจสลาย…ทำไมคนนี้ถึงไม่เล่นไพ่ตามเกม?

“…งั้นคุณรู้เหรอว่าฉันจะทำอะไร?” จึงได้พาเธอขึ้นรถมา?

เธอกวาดสายตาไปที่จักรยานและคิดไม่ออกว่าเซียวเหิงดูแล้วก็ไม่น่าจะใช่คนที่ชอบขี่จักรยาน

“เราไปกินข้าวกันก่อน ฉันดูแล้ว ฉันรู้จักร้านอร่อยอยู่ร้านหนึ่ง”

เจี่ยนถงแทบจะเป็นบ้า…คนคนนี้ไม่เพียงแต่ไม่เล่นตามเกม ยังตอบไม่ตรงคำถามด้วย

“ฉันไม่ชอบนั่งรถจักรยาน”

“อย่าหลอกกันเลย เมื่อวานใครกันที่เห็นคู่รักขี่จักรยานกันก็ตาร้อนแล้ว?” เซียวเหิงพูด “เจี่ยนถง ฉันรู้นี่คงจะเป็นความทรงจำระหว่างเธอกับเสิ่นซิวจิ่น ดวงตาของเธอปิดใครไม่ได้หรอก”

เจี่ยนถงอึกอักแต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง

เซียวเหิงพูดลอย ๆ

“คุณอาจจะยังไม่เปิดรับฉันในเวลานี้ เดิมทีเวลาจีบสาว ก็ต้องใช้เวลาและพลังงาน เจี่ยนถง ฉันจะบอกเธอว่า นี่เป็นครั้งแรกของฉันที่ตามจีบผู้หญิงอย่างจริงจัง

ถ้าหากฉันทำอะไรไม่ดี ทำไม่ถูก ทำให้เธอไม่พอใจ เธอคงจะพอถูไถไปได้ ใครใช้ให้ฉันอ่อนประสบการณ์กัน”

“คุณเซียว เราเป็นลูกค้ากับ…”

“ฉันรู้ว่าเธออยากจะพูดอะไร” เซียวเหิงฮึดฮัดและขัดจังหวะผู้หญิงที่อยู่ด้านหลัง “เธอเห็นฉันเป็นลูกค้าก็ได้ ฉันไม่มีความคิดเห็น”

ฉันมีนะ…เจี่ยนถงกะพริบตา ความสิ้นหวังในดวงตานั้นชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย

ไม่รู้ว่าเซียวเหิงจงใจหรือยังไง คำเร็วของจักรยานไม่ได้ช้า เจี่ยนถงอยากจะกระโดดลงไปก็ใจไม่กล้าพอ

หลังผ่านไปประมาณสิบห้านาที เซียวเหิงเลี้ยวซ้ายและพาเธอขับเข้าไปในตรอกเล็กๆ

เมื่อเห็นตรอกลึก เจี่ยนถงก็รีบถาม “คุณจะพาฉันไปไหนกันแน่?”

“ชู่~” เขากระซิบเบาๆ “เดี๋ยวก็ถึงแล้ว”

พูดจบ รถก็เลี้ยวไปอีกและหยุดอยู่หน้ากำแพงดอกกุหลาบ เซียวเหิงก็ลงจากรถอย่างเรียบร้อย “ถึงแล้ว นี่เป็นประตูหลัง เมื่อก่อนตอนฉันมาก็เข้าประตูหน้าตลอด เธออย่ามองว่าประตูหลังเงียบและแคบ ประตูหน้านั้นยิ่งใหญ่มากนะ”

เมื่อได้ยินแบบนี้เจี่ยนถงก็ไม่ค่อยอยากจะลงจากรถแล้ว

ราวกับว่าเทปกาวสองหน้าติดอยู่ใต้ก้นของเขา เซียวเหิงเลิกคิ้วเล็กน้อย มองดูเธอทำตัวเหมือนเด็กในตอนนี้… “ลงมาสิ เอาแต่อยู่บนรถแบบนั้น ไม่มีประโยชน์หรอก”

“ฉันไม่!” กะพริบตาและคว้าเบาะรถไว้ใต้ก้นอย่างแน่นหนาด้วยมือทั้งสองข้าง

เซียวเหิงแทบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว แต่ว่าเขารู้ว่า ถ้าหากเขาขำออกมาตอนนี้ ผู้หญิงคนนี้คงจะแปลงร่างกลายเป็นเม่นที่มีหนามอยู่เต็มไปหมดและขดตัวกลม และเขาคงหมดหวังจะเข้าใกล้เธอได้อีก

“ไม่ลงจริงอะ?” คิ้วสวยของเขาสั่นเทาอย่างน่าสงสัย แต่ก็เพียงครู่เดียวและในวินาทีถัดมามันก็กลับมาสงบอีกครั้ง และไม่มีใครเห็นความน่าสงสัยของช่วงเวลานั้น

“ฉันไม่หิว” อย่างไรก็ตามก็คือไม่ค่อยอยากจะเข้าไป

“ฉันหิว”

“งั้นคุณก็เข้าไปสิ ฉันกลับเองได้”

“เจี่ยนถงมีสองทางเลือก หนึ่ง เธอลงจากรถเองแล้วเข้าไปกินกับฉัน สอง ฉันอุ้มเธอลงจากรถและอุ้มเธอเข้าไปกินข้าว”

“…” เจี่ยนถงมีสีหน้าไม่สู้ดี เธอไม่ค่อยอยากจะเข้าไปจริงๆ ตอนนี้มาอยู่ในที่เกี่ยวข้องกับความ “ดูดี” มันเป็นที่ที่เธอไม่อยากจะมาที่สุด ใครจะรู้ว่าจะได้เจอกับคนคุ้นเคยสักคนสองคนหรือเปล่า?

ไม่อยากจะเจอ ไม่ได้เหรอ?

เซียวเหิงรีบหันหน้าไปอีกทาง…เขากลัวจริงๆ ว่าตัวเองจะหลุดขำออกมา จึงรีบหันไปทางอื่นและแอบหัวเราะแล้วจึงหันกลับมาแล้ว และจงใจยั่วเจี่ยนถง

“เอ๊ะ? เธอเลี้ยง?” เสียงอ้อยอิ่ง ทำให้ฟังแล้วโกรธจนกัดฟันกรอด “กินบะหมี่เนื้อ?”

ครั้งนี้ เจี่ยนถงไม่ค่อยจะสบอารมณ์แล้ว…บะหมี่เนื้อแล้วไง?

“คุณไม่กินก็ช่าง” เจี่ยนถง “ชิ” ออกมา และไถลลงจากจักรยานแล้วหันหลังเดินไปด้านนอก ทันใดนั้นแขนของเธอก็ถูกคว้ามาจากด้านหลัง “กิน ใครว่าฉันไม่กิน บะหมี่เนื้ออร่อยจะตาย ฉันชอบกินที่สุด ไป ตอนนี้เราไปหาลุงหูกัน”

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเซียวเหิงก็คว้าเจี่ยวถงกลับมาแล้วกดลงบนเบาะหลังอีกครั้ง “เธออย่าได้คิดชักดาบ คุณพูดแล้วว่าจะเลี้ยงบะหมี่เนื้อผม” เขากลัวว่าเธอจะหนี

จักรยานถูกขับเข้าไปในตรอกอีกครั้ง กำแพงอิฐสีแดงทั้งสองข้างของตรอกถูกปกคลุมไปด้วยดอกกุหลาบป่าเป็นแถวสีขาวและสีชมพูสดใสและสีเหลืองอ่อน รถแล่นไปมาระหว่างกำแพงดอกไม้และลมก็พัดผ่านไป และ หน้าผากของเจี่ยนถงถูกปกคลุม เผยให้เห็นรอยแผลเป็นอันน่ากลัวภายใน เธอนั่งอยู่บนเบาะหลังของจักรยาน จิตใจของเธอค่อนข้างสะเปะสะปะ

ดอกกุหลาบสีชมพู สีขาว และสีเหลืองที่ผลิบานผ่านไป ทันใดนั้นเจี่ยนถงก็เงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ มองไปที่ร่างสูงตรงหน้าเธอและกะพริบตา…ไม่ใช่ว่าเขาลากเธอออกมากินข้าวหรอกเหรอ? ทำไมสุดท้ายถึงได้เป็นเธอที่เลี้ยงล่ะ?

เธอยังคงคิดไม่ได้ สุดท้ายทำไมถึงกลายเป็นเธอเลี้ยง? ? ?

“คะ…คุณ” เซียว…

“นั่งดีๆ” พอเปิดปาก ยังไม่ทันจะพูดจบ จู่ ๆ ผู้ชายที่อยู่ข้างหน้าก็สั่ง “จับเอวฉันดีๆ!”

เจี่ยนถงไม่ทันได้คิดและยื่นมือออกไปจับเอวที่แข็งแรงของเซียวเหิงแน่น ผ่านไปครู่หนึ่ง…

“เมื่อกี้…เป็นอะไรไป?”

“อ้อ เมื่อกี้ ไม่รู้พวกจิตไร้สำนึกที่ไหนทิ้งขวดน้ำบนถนน ฉันกลัวเธอตกรถ”

“งั้นเหรอ ขอบคุณนะคะ คุณเซียว”

“อือ ไม่เป็นไร เรื่องเล็กเท่านั้นแหละ” เซียวเหิงเสียงใส และพูดเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไร ริมฝีปากบางหงายขึ้นเล็กน้อยโดยที่เจี่ยนถงมองไม่เห็น

เจี่ยนถงคิดว่ากินข้าวแล้วก็จบ

แต่เห็นชัดๆ ว่ามีบางคนไม่ได้คิดแบบนั้น

เจี่ยนถงหมดหนทางในแววตา “คุณเซียว บะหมี่เนื้อก็กินแล้ว” แถมยังกินตั้งสามชาม!

“อะฮะ บะหมี่เนื้ออร่อยดี”

“…” พวกเขากำลังคุยกันเรื่องบะหมี่เนื้อเหรอ?

“คุณเซียว คุณไม่ต้องตามติดฉันแล้วได้ไหมคะ?” คนคนนี้ยังกับตังเม

“คุณเซียว ฉันบอกคุณแล้วถ้าคุณมีเงิน เอาเงินไปที่ตงหวง ฉันจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง คุณอยากจะทำอะไรก็ได้”

มุมปากของเซียวเหิงมีรอยยิ้มที่ชั่วร้ายแล้ว “อ้อ” เบาๆ “อะไรก็ได้เหรอ?”

คนบางคนเริ่มขุดหลุมพรางแล้ว

“ใช่ คุณมีเงิน เอาเงินไปที่ตงหวง คุณคือลูกค้า ลูกค้าคือพระเจ้า”

“อ้อ…” เขาลากเสียงยาว ฟังดูลึกซึ้ง มีเพียงเจี่ยนถงที่ฟังไม่ออก “เธอพูดเองนะ คืนนี้เจอกัน”

พูดจบก็หันหลังแล้วขี่จักรยานออกไป

เจี่ยนถงหัวหมุนไปหมดและไม่เข้าใจคนอย่างเซียวเหิง แต่ในที่สุดเธอก็โล่งอก…ในที่สุดเขาก็ไปเสียที

หากยังมาป้วนเปี้ยนที่ใต้หอเธอละก็…เจี่ยนถงมองไปที่สายตาของผู้คนรอบข้างที่มองเธออย่างระมัดระวัง

“หนู ผู้ชายคนเมื่อกี้น่ะ เป็นพี่ชายหนูเหรอ?” ป้าคนหนึ่งวิ่งเข้ามา

“…ไม่ใช่ค่ะ”

“อ้อ งั้นก็เป็นเพื่อนร่วมงาน?”

เจี่ยนถงส่ายหน้า

“โธ่เอ๊ย ไม่ว่าจะเป็นใคร หนูจ๊ะ หลานสาวฉันลูกพี่สะใภ้คนที่สามน่ะ ปีนี้เพิ่งจะเรียนจบยังไม่มีแฟนพอดี สาวน้อย เธอช่วยพูดหน่อยสิ”

ป้าคนนี้คว้าแขนเธอด้วยความจริงใจแบบนี้ เจี่ยนถงรู้สึกเกินรับไหวเล็กน้อย และมองไปที่ป้าคนนั้นอย่างลำบากใจ…เธอไม่สามารถจะบอกคุณป้าคนนี้ได้ว่าเซียวเหิงคือ “ลูกค้า” ของเราหรอกนะ?

“อุ๊ยตาย ต้าเฟิ่งจ๊ะ จู่ ๆ เธอก็ปรี่เข้าไปถามเด็กสาวที่อยู่ในตึกแบบนี้ ผู้ชายคนนั้นก็ต้องเป็นแฟนของสาวน้อยคนนี้แน่นอนอยู่แล้วใช่ไหม?”

“ไปๆ เป็นไปไม่ได้นะ ฉันดูผู้ชายคนนั้น ฐานะไม่เลวเลย กับแม่สาวน้อยคนนี้…ตายแล้ว แม่สาวน้อยจ๊ะ ฉันไม่ได้ว่าเธอไม่เหมาะกับผู้ชายคนนี้นะ ก็แค่ ก็แค่…ตายละ! ไม่พูดแล้ว! แม่สาวน้อยเธออย่าโกรธฉันเลยนะ”

เจี่ยนถงพยักหน้าอย่างงุนงง สีหน้าลำบากใจเล็กน้อยและรีบเดินขึ้นตึก

แต่ก็ยังคงได้ยินเสียงของป้าๆ กลุ่มนั้นพูดคุยกันตามหลังเธอมา

“ต้าเฟิ่ง เธอพูดถึงแม่หนูคนนั้นแบบนั้น ไม่กลัวจะทำให้เธอเสียหายเหรอ”

“นี่ ก็ฉันพูดตรงๆ ฉันตรงไปตรงมา พวกเธอไม่ใช่ไม่รู้ เดิมที เด็กคนนี้ดูแล้วไม่เหมาะกับผู้ชายคนนี้เลย ดูห่างกันคนละชั้นเลย

จะพูดไป แม่สาวเนี่ย พวกเธอไม่รู้อะไร ฉันอยู่ห้องถัดไปจากเธอ แม่หนูเนี่ยไม่รู้ทำงานที่ไหน กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ…”

เจี่ยนถงเร่งฝีเท้าอย่างไม่ทันตั้งตัว

เมื่อกลับถึงห้อง หน้าของเธอก็ซีดเผือด

ป้าๆ พวกนั้นดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจ แต่เจี่ยนถงกลับฟังและจำฝังใจแล้ว

เธอไม่สามารถจะตอบรับความรู้สึกของเซียวเหิงได้ สายตาของเขาเวลาที่มองตนเอง ทั้งจริงจังและมุ่งมั่นแบบนั้น แต่ยิ่งเป็นแบบนั้น เธอยิ่งรู้สึกว่าตนเองสกปรก

เธอเข้าห้องน้ำ ล้างหน้า เอามือวางบนอ่าง มองดูตัวเองในกระจก เจิมผมที่หน้าผาก ดูแผลเป็นอย่างระมัดระวัง ดูแล้ว สายตาเธอเลื่อนผ่านรอยแผลเป็นลงไป เห็นใบหน้าที่ซีดเผือด

มือของเธอค่อย ๆ สัมผัสหลังส่วนล่างของเธอ…สัมผัสที่ว่างเปล่า เตือนสติเธอว่า ตนเองไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบและปกติธรรมดา

รอบตัวเงียบสงัด เงียบจนเธอได้ยินเสียงหัวใจตัวเองกำลังเต้น มือของเธอเคลื่อนขึ้นไปที่หัวใจของตนเอง

หัวใจห้องซ้ายกำลังเต้นระรัว…นอกจากหัวใจที่กำลังเต้นอยู่แล้ว เธอยังมีอะไร!

แววตามุ่งมั่น และยิ่งมุ่งมั่น ไม่คู่ควรก็คือไม่คู่ควรตลอดไป

……

แต่เหมือนว่าเรื่องนี้จะไม่ได้จบอยู่ที่เจี่ยนถงพูดอะไรแล้วก็จบ

เมื่อค่ำคืนมาถึง ภายใต้แสงไฟหลากสีสัน มีคนจำนวนเท่าใดที่มีวิญญาณที่ตายแล้วกำลังมองหาสิ่งที่เรียกว่า "วิญญาณ" และ "ความสุข" ในมุมต่างๆ ใต้แสงไฟของเมือง

“เจี่ยนถง 602 มีแขกเรียก” พนักงานต้อนรับคนหนึ่งเคาะประตูห้องพักผ่อนและบอกเจี่ยนถง

เจี่ยนถงรีบลุกขึ้นและเดินตามพนักงานต้อนรับไปจนถึงชั้นหก

“คุณผู้ชาย เจี่ยนถงมาแล้ว”

พนักงานต้อนรับเคาะประตูและยืนอยู่ที่หน้าห้องรับรอง

เมื่อยื่นมือออกไปก็ค้างอยู่ในอากาศ ประตู ถูกเปิดออกจากด้านใน เจี่ยนถงหยุดนิ่งไปในตอนนั้น

เซียวเหิงยืนอยู่ตรงกลางประตูพร้อมรอยยิ้มเจิดจรัส ฟันขาว โดยเฉพาะดวงตาเป็นประกายนั้น “เจี่ยนถง ลูกค้าเธอมาแล้ว”

เจี่ยนถงปวดหัว และรู้สึกคายไม่เข้าคายไม่ออก…เขาพูดจริงทำจริงเสียด้วย

และวางมือลงและเดินเข้าไปในห้องรับรอง “อยู่ในห้องรับรองจะมีความหมายอะไร” ยังไม่ทันเข้าห้องก็ถูกเซียวเหิงดึงมือไว้ “ไป ฉันพาเธอออกไปเที่ยวข้างนอก”

“…ฉันทำงานอยู่นะคะคุณเซียว”

“ฉันเป็นลูกค้าของเธอ ไม่ใช่ว่า ลูกค้ามีอำนาจสูงสุด ลูกค้าคือพระเจ้าเหรอ? ไม่ใช่ว่า คืนนี้หอบเงินมาตงหวงแล้ว เธอจะไม่ทำให้ฉันผิดหัวเหรอ?” ริมฝีปากบางของเซียวเหิงแย้มยิ้มร้ายออกมา ทันใดนั้นก็เขยิบตัวผมดำเข้มของเขาเขยิบเข้ามาใกล้หูของเธอ ริมฝีปากบางของเขาเกือบจะแนบชิดกับหูของเจี่ยนถงและพูดออกมาพร้อมเสน่ห์ร้าย

“ไหนบอกว่าอยากทำอะไรก็ได้ไม่ใช่เหรอ?”

แววตาของเขายิ้มร้าย จงใจเขยิบเข้าไปใกล้ข้างหูของเธอและปล่อยลมร้อน

“อ้อ…หรือว่าเธอจงใจจะหลอกฉัน? เจี่ยนถง เธอนี่ใจร้ายนะ”

หูของเจี่ยนถงไวต่อความรู้สึกมันจึงแดงขึ้นมาในทันที เธอหลบอย่างเร็ว แต่เอวของเธอก็ถูกแขนแกร่งเกี่ยวขวางไว้ตลอด เซียวเหิงเขยิบหน้าอกเข้าไปใกล้ ริมฝีปากบางขยับไปมาที่ข้างหูเธออย่างคลุมเครือ

“ไปเถอะ เราไปเที่ยวกัน ห้องนี่อุดอู้จะตาย ถ้าเธอไม่ไปจะถือว่าไม่เคารพต่อพระเจ้าคนนี้ ถ้าเธอไม่ไป…พรุ่งนี้ฉันจะไปรอเธอที่ใต้หอ”

ยังจะทำ…แบบนี้อีกเหรอ?

เจี่ยนถงสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา!

กัดฟันเล็กน้อย “คุณเซียว ฉันทำงานอยู่!” เธอจงใจกัดฟันเน้นเสียง! เตือนเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้!

“ฉันรู้ ฉันรู้กฎของตงหวงดีกว่าเธออีก ถ้าฉันพาเธอออกไป ก็จดไว้แล้วคิดค่าใช้จ่ายตามชั่วโมง หากยังไม่ได้ ฉันช่วยเธอลางานได้ เธอว่าไง?”

เขาหยิบเงินออกมาปึกหนึ่ง “ปัก” วางไว้ตรงหน้าเจี่ยนถง “เธอก็ถือเสียว่าทำงานสิ เห็นแก่เงินที่อยู่ตรงหน้า ฉันรับรองว่าแค่จะพาเธอออกไปกินของว่างรอบดึก ลุงหูบอกว่าถ้าไม่พาแฟนตัวเล็กของฉันไปด้วย เขาจะไม่ทำให้กิน…เจี่ยนถง เจี่ยนถง เจี่ยนถง…”

“คุณไม่ต้องเรียกแล้ว” เรียกจนเธอวุ่นวายใจ

“ได้สิ เธอก็ไปกินของว่างกันฉันสิ”

เจี่ยนถงมองไปที่เซียวเหิงดูเหมือนเขาจะตัดสินใจแน่วแน่ จนเธอปวดขมับและใช้มือนวด “แค่กินของว่างใช่ไหม?”

“ใช่ แค่กินของว่าง” มิน่า…

“ก็…ได้”

เมื่อออกมาจากตงหวงก็ไปกินอาหารว่าง

ในตลาดกลางคืนเซียวเหิงจับมือของเธอเดินฝ่าฝูงชน

สิ่งที่ขาดไม่ได้คือสายตาที่จับจ้องและชี้ไม้ชี้มือของคนรอบข้าง

“จะไปไหนอีกคะ?” ถนนเส้นนี้ไม่ใช่ทางกลับไปตงหวง

“ถึงแล้วเธอก็รู้เอง”

“ไม่ใช่ตกลงกันแล้วว่าไปกินมื้อดึกอย่างเดียวไง?”

“กินเสร็จก็ต้องเดินเล่นสิ” …คำพูดแบบนั้นใครเชื่อก็ไร้เดียงสาไปแล้ว

เจี่ยนถงประหม่าเล็กน้อยขณะที่รถขับขึ้นทางหลวงยกระดับ “จะไปไหนกันแน่?”

“ขับรถเล่น”

“…”

อย่างไรเสียเจี่ยนถงก็ดูออก เซียวเหิงไม่ได้อยากจะบอกเธอ เธอถามไปก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี

จึงหันหน้าไปมองทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่าง

“อือ ถึงแล้ว”

เจี่ยนถงเบิกโตตาตอนที่จอดรถ… “สวนสนุก?”

“ใช่ ฉันอยากเล่น เธอมาเป็นเพื่อนฉัน”

เซียวเหิงเอามือเท้าเอวแล้วพูดอย่างไม่ละอาย “ผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่ทั้งร่ำรวยเงินทองและหล่อเหลา มีความรู้และฉลาด แน่นอนว่าไม่มีทางจะเหมือนคนทั่วไปที่ต่อแถวตอนกลางวันเพื่อเล่นของพวกนี้ได้

หากไม่เหมาที่นี่ แล้วจะดึงเสน่ห์ของคุณชายออกมาได้ยังไง?”

เจี่ยนถง “หึ” ในใจ มองไปที่เซียวเหิงที่อยู่ไม่ไกลอย่างไร้ชีวิตชีวา…ให้ตายสิ เธอคิดไม่ถึงว่าเซียวเหิงจะพูดคำพูดหน้าไม่อายแบบนี้ออกมาได้

ยิ่งกว่านั้น เรื่องรูปหล่อพ่อรวย เธอยอมรับ

ฉลาดรอบรู้…ก็คงใช่แหละ

แต่ผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่จะมาเล่นสวนสนุกเหรอ?

อีกอย่าง…ใครก็ได้อธิบายให้เธอฟังที… “เหมากับเสน่ห์ มันเกี่ยวอะไรกัน?”

เจี่ยนถงถามความสงสัยในใจโดยไม่รู้ตัว

ใบหน้าที่หล่อเหลาของเซียวเหิงมีรอยยิ้ม และในชั่วพริบตา เขาก็กลายเป็นคนไร้ยางอายอีกครั้ง “เธอเคยดูทีวีไหม? ในทีวีท่านประธานผู้สูงส่งเย็นชาเดินไปไหนก็มีบอดี้การ์ดคุ้มกัน จะทำอะไรก็ ‘ท่านประธานของเราเหมาที่นี่ไว้แล้ว ท่านประธานเราเคลียร์สถานที่แล้ว’ …ใช่ปะ? เคยไหม?

มี! ใช่!

มันก็มีแหละ! ใช่!

แล้วนางเอกทำยังไง?

สองมือกุมหน้าแดงๆ และมีสีหน้าชื่นชมพระเอก นี่มันเป็นเสน่ห์ของพระเอกที่แสดงออกอย่างชัดเจนไม่ใช่เหรอ?

ท่านประธานที่ไม่เหมาสถานที่ไม่ใช่ผู้ชายที่ดี!”

“…” ถ้าหากเจี่ยนถงตอนนี้ยังเป็นเจี่ยนถงเมื่อสามปีก่อน เธอคงจะหัวเราะจนท้องขดท้องแข็ง

เซียวเหิงไปเอาความคิดบรรเจิดแบบนี้มาจากไหน หรือได้รับอิทธิพลมาจากละครเกาหลีกัน

“อะแฮ่ม” เจี่ยนถงยังคงกะพริบตา มองดูเซียวเหิงอย่างตกตะลึงเมื่ออีกฝ่ายทำตัวเหมือนปีศาจอีกครั้ง เขากำมือแน่น วางท่าทางที่ริมฝีปาก กระแอมสองครั้งแล้วพูดว่า “เจี่ยนถง เธอรออะไรอยู่?”

“อะไรนะ?”

เจี่ยนถงมีท่าทางพิศวงงงงวย

มีร่องรอยของความไม่พอใจระหว่างคิ้วของเซียวเหิงและมองไปที่เจี่ยนถง “ตาเธอแล้ว!”

“ฮะ?”

“จับแก้ม มองฉันอย่างชื่นชมไง? ความชื่นชมของเธอล่ะ? ทำตาแป๋วๆ ของเธอล่ะ?”

“…” แม่เจ้า ปัญญาอ่อนจากไหนเนี่ย!

แต่เธอไม่ใช่ไง

ดังนั้นเธอจึงได้แต่มองหน้าเซียวเหิงด้วยสีหน้าแปลกๆ… “ช่วงนี้คุณดูอะไรน่ะ?”

“เจี่ยนถง ฉันไม่สน เธอเร็วๆ สิ! จับแก้ม ต้องทำตัวเขินอาย! มองฉันด้วยความชื่นชม!”

“เจี่ยนถง ฉันคือพระเจ้า! พระเจ้าให้เธอทำอะไร เธอก็ต้องทำ!”

“เจี่ยนถง เธอจะทำไม่ทำ…ไม่ทำชั้นจะฟ้องหัวหน้าเธอ”

“…” สุดท้าย ภายใต้คำขอที่รุนแรงของเซียวเหิง เจี่ยนถงยื่นมือออกมาอย่างไม่เต็มใจและจับหน้าฝืนยิ้ม(จับแก้มแดง) มองไปที่เขาอย่างชื่นชม(อย่างพูดไม่ออก) “แบบนี้ได้รึยัง?”

“เธอย่าขยับ ใช่ ค้างไว้ท่านั้น”

เพียงแวบเดียว เซียวเหิงใช้ความเร็วสูงสุดหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและเดินไปด้านหลังของเจี่ยนถง ใช้ไหล่โอบเจี่ยนถงไว้แล้ว “แชะ” แสงแฟลชสว่าง ภาพของทั้งสองคน เซียวเหิงกอดเจี่ยนถงและเจี่ยนถงปิดหน้าอย่างเขินอายถือกำเนิดขึ้น

“เสร็จแล้ว ไปเถอะ เราเข้าไปกัน” เซียวเหิงจูงมือเจี่ยนถงเดินเข้าไปในสวนสนุกอย่างมีความสุข

เจี่ยนถงสีหน้าไม่ค่อยดี… “คุณเซียว คุณกำลังละเมิดสิทธิ์ในการถ่ายภาพบุคคลของฉัน ฉันขอสั่งอย่างเด็ดขาดให้คุณลบออก”

“มีสิทธิ์อะไร?”

“นั่นมันรูปของฉัน ฉันไม่ได้ยินยอมให้คุณถ่าย”

“นี่คือภาพที่ฉันถ่ายด้วยทักษะของฉัน ทำไมต้องให้เธอยินยอมด้วย?”

เซียวเหิงในตอนนี้ทำให้เจี่ยนถงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เธอโกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน!

โลกนี้…ทำไมถึงได้มี…คนหน้าไม่อายแบบนี้!

“คุณจะลบไม่ลบ?”

“ไม่ลบ”

“แบบนี้ไม่ถูกนะ”

“คุณก็ไปฟ้องผมสิ”

เจี่ยนถงได้ยินผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าพูดจาฮึมฮัมแล้วก็รู้สึกเหมือนเอาหัวโขกฝ้ายในทันที

พลังของ "การต่อสู้" ทั่วร่างกายของเธอมันหายไปอย่างสมบูรณ์

สุดท้ายจึงได้ขู่ “งั้นคุณ…ห้าเอาไปให้บุคคลที่สามดู”

ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าปรากฏรอยยิ้มแห่งชัยชนะที่มุมปาก “ได้ ฉันรับรองจะไม่ให้บุคคลที่สามดู”

เจี่ยนถงลืมไปแล้วว่าเธอโดนผู้ชายคนนี้หลอกให้ออกมาจากตงหวง และถูกผู้ชายคนนี้หลอกจากมื้อดึกให้มาสวนสนุก

เซียวเหิงอารมณ์ดี “รถบั๊ม เราไปเล่นรถบั๊ม”

“…ฉันไม่”

“แต่ฉันไม่ยอม อย่าคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงแล้ว ฉันจะอ่อนข้อให้นะ”

“…ไม่ต้องมายอมให้ฉัน” ใครขอให้ออมมือกัน

……

“ตรงนั้น ม้าหมุน ไปๆ ๆ ไปนั่งม้าหมุน”

“นั่นมันของเล่น…” เด็กเล่นกัน…

“เธอคงไม่ใช่ไม่กล้านั่งหรอกนะ? แม้แต่ม้านั่งยังไม่กล้าเล่น ขายหน้าไหมเนี่ย เมื่อกี้ตอนเล่นรถบั๊ม ฉันก็ดูออก เธอแกล้งทำเป็นกล้า”

“เล่น ไปเล่นตอนนี้เลย” ใครกันไม่กล้าเล่นม้าหมุน?

……

“ตกปลา ตกปลาน้อย”

“ไม่…” ไป…

“รถบั๊มก็ไม่สนุก ม้าหมุนก็ไม่กล้านั่ง เธอคงแม้แต่ปลาตัวเล็กๆ ก็ตกไม่เป็นหรอกนะ?”

“คุณเซียว เรามาแข่งกัน ใครจะตกปลาได้มากกว่า”

……

“รถไฟเหาะ…รถไฟเหาะก็ได้ ไม่มีความหมายเลยสักนิด สู้ฉันขับรถบนทางยกระดับยังตื่นเต้นกว่า ไปๆ ๆ อันนี้ไม่เล่น”

“คุณเซียว คุณกลัวเหรอ?”

“ใครบอกว่าฉันกลัว? นี่มันไม่น่าสนใจ ของเด็กเล่น จะสนุกอะไร เราไม่เขาวงกตเถอะ?”

“ไปเถอะ อย่าไปมอง ฉันส่งเธอกลับหอ”

เซียวเหิงช่วยไม่ได้นอกจากพูดแล้วคว้ามือเจี่ยนถง แล้วเดินไปที่ Maserati ของเขา

“ไปส่งฉันที่ตงหวงก็ได้ค่ะ”

“กลับตงหวง? เธอดูก่อนว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว?”

ด้วยคำเตือนนี้ เจี่ยนถงจึงได้รู้สึกว่านี่มันดึกมากแล้ว

เซียวเหิงไปส่งเจี่ยนถงที่ใต้หอ ดึงมือเจี่ยนถงและสัมผัสหน้าผากของเธอด้วยความอบอุ่น เพื่อไม่ให้ร้อนจัด เธอจึงรีบหลบ ผลักประตูรถแล้วรีบจากไป

เซียวเหิงยื่นหน้าออกมาจากหน้าต่างรถ

“เจี่ยนถง ครั้งหน้า เราไปนั่งชิงช้าสวรรค์กัน”

ข้างหลังผู้หญิงข้างหน้าสั่นเล็กน้อย…เขาเห็นแล้ว! เขาดวงตาของเธอปรารถนาที่จะนั่งชิงช้าสวรรค์ที่สวนสนุก

เจี่ยนถงไม่ได้หันไป ด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่นเล็กน้อยในลำคอของเธอและในที่สุดก็ค่อย ๆ ถามความสงสัยในใจของเธออย่างช้าๆ

“คุณเซียว วันนี้เป็นคุณที่อยากจะไปสวนสนุก หรือคุณดูออกว่าฉันอยากจะไปสวนสนุก?” ถ้าหากเซียวเหิงเห็นเธอวันก่อนที่จ้องมองคู่รักที่ขี่จักรยาน เซียวเหิงเป็นคนที่กระตือรือร้นและฉลาดมาก บางที…เขาอาจจะเดาถูกแล้ว?

เสียงของเซียวเหิงประหลาดใจ “เธอหลงตัวเองไปแล้ว แน่นอนว่าเป็นฉันอยากจะไป”

เจี่ยนถงถอนหายใจและกล่าว “ขอบคุณ” และรีบขึ้นข้างบนอย่างไม่ลังเล

เซียวเหิงหายไปตรงบันไดตึก จึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและคลิกที่อัลบั้ม และภาพทั้งหมดเป็นภาพรอยยิ้มร่าเริงของเจี่ยนถงและการเล่นอย่างมีความสุข

ริมฝีปากบางหงายขึ้นและดวงตากำลังยิ้ม…เธอสามารถยิ้มอย่างมีความสุข นี่สิดีที่สุด ฟ้าดินรู้ว่าเขารำคาญสวนสนุกที่สุด

เบนท์ลีย์สีดำหยุดอยู่ไม่ไกล ซ่อนตัวอยู่ในความมืดและเงาของต้นไม้ในยามค่ำคืน ไม่เด่นชัดนัก

ที่เบาะด้านหลัง ซูเมิ่งกำลังพูดอย่างสุภาพ “ขอบคุณประธานเสิ่นนะคะที่มาส่ง เช่นนั้น ประธานเสิ่น ฉันขอตัวก่อน” พูดแล้วก็ยื่นมือไปจับที่จับประตูรถ

ซูเมิ่งกดที่จับประตูรถเล็กน้อย และกำลังจะผลักประตูรถ มีมือที่ยื่นออกมาแนวเฉียงและปิดหลังมือของเธอแน่น ซูเมิ่งตกใจ และหันศีรษะของเขาด้วยความประหลาดใจทันที

ข้างๆ เธอ ใบหน้าหล่อเหลาคมดั่งรูปปั้นสลักจากสวรรค์ บัดนี้ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ดวงตาคู่หนึ่ง มืดมนอย่างหาที่เปรียบมิได้ จ้องเขม็งไปที่…นอกหน้าต่าง?

ซูเมิ่งมองตามสายตาของเขาโดยไม่รู้ตัว ภาพและคนที่อยู่ในสายตา ทันใดนั้นตาคู่สวยของซูเมิ่งก็เบิกโพลง…เสี่ยงถง? ยังมี…คุณชายตระกูลเซียว?

เจี่ยงถงเลิกงานออกมา พอเงยหน้ามาก็เจอเซียวเหิง เจี่ยนถงคุ้นชินไปเสียแล้ว ทุกคืนเวลาเลิกงานออกมาที่หน้าประตูตงหวงก็จะเจอใบหน้าหนุ่มหล่อพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์

บางครั้ง ตัวเธอก็งงๆ…ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วคุณชายท่านนี้จะตื๊อเธออยู่ตรงนี้ไปอีกนานแค่ไหน

“เร็วๆ สิ ช้าจริงๆ” เซียวเหิงเอนกายพิงประตู Maserati ของเขาเป็นบางครั้ง มองเจี่ยนถงเดินออกมา และทักทายทันที

และหลายครั้งเขามาเปิดห้องที่ตงหวง บางครั้งก็ลากเจี่ยนถงไปเดินเล่นตลาดกลางคืนกินมื้อดึก หรือเดินเล่นข้างแม่น้ำหวงผู่ ชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมือง S

เหมือนกับว่าพวกเขากำลังคบกันจริงๆ

เซียวเหิงเดินเข้าไปใช้มือใหญ่โอบเธอไว้และอุ้มหญิงที่เฉื่อยชาไว้ในอ้อมแขนของเขาอย่างมีความสุข และพาเธอเข้าไปนั่งในที่นั่งข้างคนขับ

ในรถ ราวกับพายุเย็นที่กำลังใกล้เข้ามา ชายคนนั้นจ้องที่มือของเซียวเหิงอย่างเย็นชาด้วยดวงตาที่ยาวและแคบ…ให้ตายสิ ผู้หญิงคนนี้ ไม่ปฏิเสธสักนิด ให้คนแซ่เซียวทั้งกอดทั้งอุ้ม! มีความต้องการที่จะดึงมือของหมูที่น่าขยะแขยงออกจากไหล่ของผู้หญิงคนนั้น และเสิ่นซิวจิ่นก็เต็มไปด้วยลมหายใจเย็น

ซูเมิ่งตัวสั่นและแอบมองไปที่ Boss ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง และมีความรู้สึกน้ำตาตก…ใครใช้ให้มีอุโมงค์ที่เก็บน้ำแข็งอยู่ข้างๆ จะผ่อนคลายได้ที่ไหนกัน?

ในตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงเจี่ยนถงขึ้นมาแล้ว

ชัดเจนว่า Boss ใหญ่ผู้เย็นชาสูงส่งที่อยู่ข้างๆ เธอ สายตาที่จ้องมองเจี่ยนถงนาทีนี้ เรียกว่าเป็นมิตรไม่ได้เลย ไม่เพียงแต่ไม่เป็นมิตร ยัง…น่ากลัวมากด้วย

ที่เบาะหลังรถ ชายคนนั้นเต็มไปด้วยความหนาวเย็น และดวงตาสีเข้มของเขาล็อกร่างซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหน้าต่างไว้แน่น

ไม่มีดูออกว่านาทีนี้เขาคิดอะไรอยู่

“ประธานเสิ่นคะ?” ซูเมิ่งมองชายข้าง ๆ อย่างสงสัย ฝ่ามือใหญ่ดึงมือของเธอออกจากที่จับประตูรถและฝ่ามือของเขาเองกำที่จับประตูรถไว้แน่น

ซูเมิ่งเห็นแล้ว ในใจ “กึก” ในทันที…ท่าไม่ดีแล้ว!

ในใจเกิดความคิด ซูเมิ่งมองไปที่เจี่ยนถงที่นอกรถและพูดว่า

“นั่นเจี่ยนถงไม่ใช่เหรอ? ฉันเกือบจะจำไม่ได้ เธอทำงานที่ตงหวงนานขนาดนี้ ฉันยังไม่เคยเห็นเธอยิ้มอย่างมีความสุขและผ่อนคลายเท่านี้มาก่อนเลย

ฉันยังคิดว่าเธอยิ้มไม่เป็นเสียอีก แต่แบบนี้ก็ดี รู้จักยิ้มเสียที ถือว่าไม่แย่”

ซูเมิ่งกัดฟันมองไปที่เสิ่นซิวจิ่น “ประธานเสิ่น คุณไม่รู้อะไร ก่อนหน้านี้ฉันเห็นเจี่ยนถงคนนี้ ทำงานอย่างกับหุ่นยนต์ก็ไม่ปาน”

ด้วยความคิด ชายคนนั้นจึงปล่อยนิ้วที่ดึงที่จับประตูรถออก มือของเขายังคงปิดที่จับประตู แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะผลักประตูเพื่อออกจากรถในตอนนี้

“ถ้ารอยยิ้มของเจี่ยนถงกลับมา นั่นก็ดีไม่ใช่เหรอคะ อย่างน้อยก็เหมือนคนเป็น ไม่ใช่เหมือนคนซังกะตายที่มีแต่ลมหายใจ”

ซูเมิ่งพูดจาครึ่ง ๆ กลาง ๆ คล้ายจะตั้งใจและไม่ตั้งใจ คำพูดนี้พูดเพื่อให้ Boss ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ได้ยิน

ตอนนี้เธอเหงื่อออกเต็มหลัง…เธอเองก็กลัว Boss ใหญ่ผู้ทำได้ทุกอย่างของเธอคนนี้จะอ่านเกมเธอออก แต่ถ้ามันสามารถหยุด Boss ใหญ่ได้มันก็ดี ไม่อย่างนั้น ก็ไม่รู้ว่าเด็กโง่นั่นจะต้องทนทุกข์กับอะไรบ้าง

ชายคนนั้นหรี่ตาลงและมองไปยังชายและหญิงที่อยู่ไม่ไกลกันอย่างซับซ้อน โดยธรรมชาติแล้ว สายตาของเขาจ้องมองไปที่ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้น เขาอยู่ในความงุนงง…นานแค่ไหนแล้วที่เจี่ยนถงยิ้มอย่างจริงใจ?

รอยยิ้มนั้น ไม่ได้เสแสร้ง ไม่ได้ฝืนยิ้ม มันดึงดูด…ให้ตายสิ! และขัดหูขัดตา…ให้ตายเถอะ!

ไม่ไกล เซียวเหิงยัดเจี่ยนถงเข้าไปในที่ข้างคนขับแล้วเดินอ้อมไปที่คนขับ และ Maserati ก็ขับออกไปช้าๆ

แววตาของเสิ่นซิวจิ่นเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ ออกคำสั่งกับคนขับข้างหน้าอย่างเย็นชา “ตามไป”

เสิ่นยีตอบรับ “ครับ” และสตาร์ทเครื่องยนต์ ตาม Maserati ข้างหน้าเขา ตามรถของเซียวเหิงไปจนถึงชุมชนที่หอพักของเจี่ยนถงตั้งอยู่

เซียวเหิงจอดรถที่ใต้ตึกหอพักของเจี่ยนถง เสิ่นยี่หันไปถามชายที่นั่งหลังรถ “Boss จะลงไหมครับ?”

“ไม่ต้อง จอดรถตรงนี้” ผู้ชายหน้าตาเย็นชา “รอ”

ไม่ไกล เซียวเหิงลงจากรถเดินอ้อมที่นั่งข้างคนขับของเจี่ยนถงและเปิดประตู เมื่อเจี่ยนถงลงจากรถเขาก็หันศีรษะและมองไปทางเสิ่นซิวจิ่นและกระทำการที่ยั่วยุ – รอยยิ้มบนริมฝีปากของเขา

ภายใต้โคมไฟถนนตรงทางเข้าทางเดิน รอยยิ้มของเซียวเหิงถูกเปิดเผยอย่างเต็มที่…การยั่วยุที่เปลือยเปล่า!

“Boss เขาจงใจ ผมลงจากรถไป”

เสิ่นยีพูด

“ไม่ต้อง”

ด้านนั้น เจี่ยนถงลงจากรถ “คุณเซียวมองอะไรคะ?”

เธอยื่นหน้ามาแล้วมองไปที่ด้านหลังจากเซียวเหิง เซียวเหิงขยับไปครึ่งก้าวโดยไร้ร่องรอย บังสายตาของเธอ “ฉันมองพระจันทร์คนนี้สวยจัง”

เขาพูดแบบนี้ เจี่ยนถงจึงเงยหน้ามองพระจันทร์ด้วย

ริมฝีปากบางของเซียวเหิงยกยิ้มและมองใบหน้าด้านข้างของเธอ “ใช่ไหม? สวยมาใช่ไหมล่ะ?”

“…อือ” อันที่จริงก็พอได้ ไม่ใช่พระจันทร์เต็มดวง แค่พระจันทร์เสี้ยว บางทีดวงตาทั้งคู่ของเธอคงจะเห็นแต่ความอัปลักษณ์ จนมองไม่เห็นความงามในชีวิตอีกแล้ว?

ในตอนนั้นเองเจี่ยนถงก็เกิดข้อสงสัยในใจ

ลมกระโชกแรงพัดผมของเจี่ยนถงให้ยุ่งเหยิง เซียวเหิงเอื้อมมือออกไปตามธรรมชาติเพื่อสะบัดผมยุ่งๆ ให้เธอ “อย่าขยับ ยุ่งหมดแล้ว” มือของเขาจับผมของเจี่ยนถงแล้วทัดผมที่ยุ่งเหยิงไว้หลังใบหูเธอ “รีบพักผ่อนนะ”

อาจจะเป็นช่วงนี้เซียวเหิงจะทำอะไรเยอะแยะ เจี่ยนถงก็ไม่ได้อ่อนไหวนัก…อย่างไรเสีย คนคนนี้ บอกเขา เขาก็ไม่ฟัง

เมื่อบอก “ราตรีสวัสดิ์” เซียวเหิงก็มองดูเจี่ยนถงขึ้นตึก

เขาไม่รีบร้อนจะจากไป เขาจุดบุหรี่และบรรจงสูบมัน นับเวลา เงยหน้าขึ้นและเหลือบมองไปยังชั้นที่หอพักของเจี่ยนถงตั้งอยู่ ไฟในห้องนั่งเล่นเปิดอยู่ และเสี่ยวเหิงจึงได้ทิ้งก้นบุหรี่ เดินอ้อมไปที่รถของเขา เหลือบมองไปทางเสิ่นซิวจิ่วอีกครั้ง จากนั้นดึงประตูและเข้าไปในรถ สตาร์ทเครื่องยนต์ หันหลังกลับ เหยียบคันเร่ง แล้วรถก็ค่อยๆ ขับออกไป

เมื่อผ่านรถเบนท์ลีย์สีดำภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ Maserati ก็ไม่ได้หยุด

“Boss?” เสิ่นยีถาม

ที่เบาะหลังของรถ เสียงเย็นชาของชายผู้นั้นออกคำสั่งเบาๆ “ตามไป ขวางมันไว้”

ในชุมชนธรรมดา คืนนี้ รถหรูสองคันเข้ามาทีละคัน และออกมาทีละคัน คุณลุงเวรยามเฝ้าประตูก็เวียนหัวเล็กน้อย

บนถนนอันเงียบสงบในค่ำคืน เสียงเบรกกะทันหันดังขึ้น

เมื่อ Maserati ของเซียวเหิงและเบนท์ลีย์ของเสิ่นซิวจิ่นหยุดลง มีระยะห่างกันเพียงห้าเซนติเมตรระหว่างรถทั้งสองคัน

ที่เบาะหลังของเบนท์ลีย์ หน้าต่างค่อยๆ ถูกเลื่อนมา เผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาและว่างเปล่า และดวงตาของฟีนิกซ์คู่หนึ่ง มองดูเซียวเหิงอย่างเย็นชาในที่นั่งคนขับของรถฝั่งตรงข้าม

กระจกรถของเซียวเหิงก็ถูกลดลงเช่นกัน ในทำนองเดียวกัน แยกจากกันด้วยเส้นขอบถนน ชายสองคนเผชิญหน้ากัน

“โย่ ประธานเสิ่นไม่ใช่เหรอ?” เซียวเหิงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ และพูดอย่างไร้สาระกับเสิ่นซิวจิ่นในรถฝั่งตรงข้าม “ดึกดื่นป่านนี้ประธานเสิ่นไม่หลับไม่นอน สะกดรอยตามผม นี่ถ้าให้คนเมืองS รู้ว่าคุณเป็นพวกโรคจิตชอบสะกดรอยตามคนอื่น ไม่รู้ว่าจะคิดว่าประธานเสิ่นเป็นคนยังไงกันนะ?”

เสิ่นซิวจิ่นสีหน้านิ่งเฉย และขยับริมฝีปากบาง “ความคิดคนอื่น เกี่ยวอะไรกับผมด้วย? ผมไม่จำเป็นต้องใส่ใจความคิดของคนอื่น” สายตาแหลมคงของเขามีแววอาฆาต “คุณต่างหากและของที่ไม่ควรแตะ มือคุณยังอยากจะเก็บไว้ไหม?”

เซียวเหิงหัวเราะเบาๆ“ของคุณหรือ ท่านประธานเสิ่นหมายถึง? ”

“รู้อยู่แก่ใจ จะพูดออกมาทำไม”

“หากท่านประธานเสิ่นหมายถึงเสี่ยวถงล่ะก็ ” รอยยิ้มที่ริมฝีปากของเซียวเหิงจางหายไป “ท่านประธานเสิ่น เสี่ยวถงเธอเป็นคนที่มีชีวิตจิตใจ ไม่ใช่สิ่งของของใคร”

บนใบหน้าที่หล่อเหลาของเสิ่นซิวจิ่นไม่มีอารมณ์ใดๆ ดวงตาคู่นั้นจ้องเขม็งไปที่อีกฝ่าย

“ผมเคยเตือนคุณแล้วนะ สิ่งของของผม ถึงแม้ผมจะไม่เอาแล้ว ก็ห้ามคนอื่นมาเก็บไป”

บนใบหน้าเซียวเหิงมีประกายเฉียบคมแวบผ่าน“เจี่ยนถงเธอเป็นคนที่มีชีวิต เธอมีความคิดเป็นของตัวเอง และเธอก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกคู่ครองเอง เสิ่นซิวจิ่น คุณควบคุมมากเกินไปหรือเปล่า ”

“ใช่ บางทีท่านประธานเสิ่นกับเสี่ยวถงอาจจะเคยมีอดีตที่ไม่สามารถบอกใครได้ แต่ว่าอดีตก็คืออดีต เสิ่นซิวจิ่น ในเมื่อคุณก็พูดเอง คุณไม่เอาเธอเองแล้วทำไมถึงไม่ยอมปล่อยมือ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ความเย็นชาในดวงตาคู่ลึกของเสิ่นซิวจิ่นก็หายวับไป…..เธอเคยพูดอะไรกับเซียวเหิงหรือ

“แม้ว่าพวกคุณจะเคยมีอะไรกันมาก่อน มันก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีอะไร เสิ่นซิวจิ่น หากคุณไม่ตาบอด ก็จะมองเห็นว่า ผมสามารถทำให้ใบหน้าเธอมีรอยยิ้มได้ ”เซียวเหิงไม่ยอมอ่อนข้อ“เสิ่นซิงจิ่น คุณสามารถทำได้ไหม”

ซูเมิ่งรู้สึกได้ว่า ร่างกายของBOSSที่อยู่ข้างๆแข็งทื่อ แม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่เธออยู่ใกล้ชิดกับเขา จึงมองเห็นอย่างชัดเจน

ทันใดนั้น เสิ่นซิวจิ่นหรี่ตา “คุณรู้จักเธอดีไหม ”

“ก็กำลังอยู่ระหว่างทำความรู้จักอยู่ไม่ใช่หรือ” เซียวเหิงตอบพึมพำ

“ถ้าอย่างนั้นคุณรู้จักอดีตของเธอ ว่าเธอเป็นใครหรือเปล่า”

“เธอเป็นใครนั้น ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือ เจี่ยนถงเธอเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง”

เซียวเหิงเลิกคิ้วขึ้นทันที “ไม่ใช่ว่าท่านประธานเสิ่นก็ตกหลุมรักเสี่ยวถงเข้าแล้วหรือ มิฉะนั้น จะมาขวางทางผมทำไมในเวลานี้ ท่านประธานเสิ่น หากคุณตกหลุมรักเจี่ยนถงแล้ว เรามาแข่งขันกันแบบยุติธรรมไหม ”

เมื่อเสิ่นซิวจิ่นได้ยินเช่นนั้น รู้สึกอายจนโกรธ“ผมตกหลุมรักเธอหรือ” เขายิ้มเยาะเย้ย“ผมเสิ่นซิวจิ่นจะตกหลุมรักใคร ก็จะไม่รักเธอ ” ผู้หญิงหลายใจคนนี้ ไหนจะอะลู่ เวลานี้ก็ไปเกาะแกะกับคุณชายรูปหล่อร่ำรวยอย่างเซียวเหิงคนนี้อีก

เสิ่นซิวจิ่นผู้ทะนงและเย็นชา จะไปตกหลุมรักผู้หญิงหลายใจที่เห็นแก่เงินได้อย่างไร

เวลานี้เสิ่นซิวจิ่นรู้สึกอายจนโกรธ เขาก็ไม่ได้คิดว่า เบื้องหลังอารมณ์ที่ผิดปกติของเขาทั้งหมดนี้ จริงหรือที่เขาไม่เคยตกหลุมรักเจี่ยนถงตาที่เขาพูด

เขาทะนงเกินไป ความทะนงสูงส่งจนไม่สามารถเผชิญความจริงที่ตัวเองตกหลุมรักเจี่ยนถงได้ ความทะนงสูงส่งทำให้เขาปฏิเสธใจตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า

เกี่ยวกับพฤติกรรมอารมณ์แปรปรวนเล็กน้อยของเสิ่นซิวจิ่นนี้ หว่างคิ้วของเซียวเหิงมีประกายความประหลาดใจเล็กน้อย เสิ่นซิวจิ่นในตอนนี้กับคนที่เขารู้จักคนนั้น คนที่มักมีเหตุมีผล เย็นชา และเฉยชาอยู่ตลอดเวลา เขาเหมือนหุ่นยนต์เสิ่นซิวจิ่นที่ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก เป็นคนคนเดียวกันจริงหรือ

เซียวเหิงมองไปที่เสิ่นซิวจิ่นที่สีหน้าอารมณ์แปรปรวนอยู่อีกฝั่งหนึ่งเป็นเวลาประมาณสามสิบวินาทีเต็มๆ แล้วความประหลาดใจในดวงตาของเขาค่อยๆจางหายไป เขาเข้าใจแล้ว และพริบตาเดียวก็หายวับไป

กระตุกยิ้มที่มุมปาก ……ในเมื่อคนแซ่เสิ่นพูดว่าชาตินี้เขาจะไม่มีวันตกหลุมรักเจี่ยนถง ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามความต้องการของคนแซ่เสิ่นซะ และตัวเองก็ไม่มีหน้าที่ที่จะไปเตือนคู่แข่งใช่ไหม

แม้แต่ซูเมิ่งกับเสิ่นยี ก็ไม่ใช่คนโง่ ต่างสังเกตเห็นถึงความแปลกประหลาดของBossใหญ่ของพวกเขาแล้ว

เซียวเหิงหัวเราะเบาๆ“ถ้าอย่างนั้นผมเข้าใจประธานเสิ่นผิดไปแล้ว แต่ว่าเจี่ยนถงถูกสเปคผมมาก ใครๆต่างพูดว่าผมเซียวเหิง เป็นผู้ชายหลายใจแท้จริง ผมก็ไม่ปฏิเสธ แต่สำหรับเจี่ยนถง ผมอยากจะจริงๆจังๆกับเธอ”

เซียวเหิงกล่าวเบาๆพร้อมรอยยิ้ม เมื่อเอ่ยถึงเจี่ยนถง มีประกายรอยยิ้มในดวงตาโดยไม่รู้ตัว ความอ่อนโยนและอ่อนหวานนั้น ราวกับสามารถทะลุออกมานอกหน้าต่าง ผ่านกระจกรถ จนล้นเข้าไปในรถเบนท์ลี่ย์ของเสิ่นซิวจิ่น

ไม่รู้ว่าทำไม ในใจเสิ่นซิวจิ่นมีความขุ่นเคือง ไม่เต็มใจ แม้กระทั่งยังมีความไม่พอใจ….แต่อารมณ์นี้ สำหรับเขาแล้ว รู้สึกแปลกมาก

ชายที่นั่งอยู่เบาะหลังของรถเบนท์ลี่ย์ เผยรอยยิ้มจางๆออกมาจากริมฝีปากบางๆแต่รอยยิ้มนั้น กลับดูไม่ดีเท่าดวงตา ของเขาที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม

“ถ้าเธอไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดล่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นผมเซียวเหิงก็ยังยืนยันว่าเป็นเธอ”

บนใบหน้าดั่งหยกของเสิ่นซิวจิ่น ค่อยๆปรากฏให้เห็นถึงการเสียดสี กระตุกปากบางแล้วกล่าวว่า“คุณชายเซียวผู้มั่นคงรัก ต้องการจะบอกผมว่า ความรักของคุณกับผู้หญิงคนนั้นมั่นคงกว่าเงินทองหรือ ไม่ว่าจะประสบพบเจออะไร คุณก็จะไม่ปล่อยทิ้งผู้หญิงคนนั้น จะไม่จากไม่ทิ้งเธอไปใช่ไหม ”

น้ำเสียงเยาะเย้ยดังขึ้น“เอาล่ะ ผมไม่อยากทำให้คู่รักแตกแยกกัน แต่ผมจะดูว่า คุณชายเซียวจะมีความสามารถแค่ไหน”

เซียวเหิงตอบกลับไปว่า“ภูเขากับสายน้ำมาบรรจบกัน เรามารอดูกัน”

“เสิ่นยี ออกรถ” เสิ่นซิวจิ่นออกคำสั่งเรียบๆ แล้วกระจกรถเบาะหลังรถเบนท์ลี่ย์ค่อยๆเลื่อนขึ้น รถเบนท์ลี่ย์ลายดำตีโค้งสวยหรู กลับรถตรงหน้าเซียวเหิงแล้วจากไป

ในรถเบนท์ลี่ย์ ซูเมิ่งไม่กล้าหายใจแรง เพราะกลัวจะไปกระตุกต่อมขุ่นเคืองของBossใหญ่ที่อยู่ข้างๆในขณะนี้

ร่างกายสูงยาวของเสิ่นซิวจิ่น เอนหลังพิงเก้าอี้ ในดวงตาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น มือที่ห้อยอยู่บนต้นขา กำแน่นแล้วแน่นอีก

ทำได้ดีมาก เจี่ยนถง

คุณทำได้ดีจริงๆ

ก่อนนั้นมีลู่เชน หายใจเข้าหายใจออกมีแต่“อะลู่ อะลู่” แล้วตอนนี้ ไปคบหากับเซียวเหิงอีกแล้วหรือ

เซียวเหิงบอกว่าเขาตกหลุมรักเธอเข้าแล้วหรือ

เป็นไปได้อย่างไร

เขาจะตกหลุมรักหญิงหลายใจที่สำส่อนเห็นแก่เงินได้อย่างไร

จนถึงตอนนี้ เสิ่นซิวจิ่นได้รับรู้ชัดเจนอีกครั้งว่า เจี่ยนถงไม่ใช่เจี่ยนถงคนเดิมคนนั้นอีกแล้ว

เจี่ยนถงในตอนนั้น ไม่แยแสในการจะไปทำให้ใครพอใจ รวมทั้งผู้ชายด้วย แต่เจี่ยนถงในวันนี้ คบผู้ชายคนแล้วคนเล่า

ใบหน้าหล่อเหลาของเสิ่นซิวจิ่นในตอนนี้ เปลี่ยนเป็นสีดำ ซูเมิ่งออกห่างจากเขาไปไกลๆ พยายามไม่ออกเสียงเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ชายที่กำลังจะระเบิดออกมาคนนี้

“เสิ่นยี ที่ดินผืนนั้นบนฉินหวงเต่า ฉันจำได้ว่าพรุ่งนี้จะเปิดประมูลใช่ไหม ”

เสิ่นยีที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับตอบว่า“ใช่ครับ Boss แต่ว่าเสิ่นซื่อกรุ๊ปของเราไม่มีแผนจะเข้าร่วมประมูล”

“ตอนนี้มีแล้ว ” ชายที่นั่งอยู่เบาะหลังรถเปล่งประกายกลิ่นความเย็นชาทั่วทั้งตัว“ประมูลมาให้ได้”

“อันนี้…Boss ถึงแม้จะเป็นการประมูล แต่ว่าครั้งนี้ตระกูลเซียวได้เข้าร่วมประมูลด้วย ไม่มีใครพูดต่อหน้า แต่ล้วนรู้กันส่วนตัวว่า การประมูลครั้งนี้ ตระกูลเซียวจะต้องชนะ พูดได้ว่าแทบจะอยู่ในกำมือของตระกูลเซียวแล้ว ”

ซูเมิ่งอดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่……เสิ่นยี คุณใช้สมองหมูของคุณคิดใคร่ครวญก่อนไหม ถ้าไม่ใช่ของตระกูลเซียว ไม่แน่ว่าBossอาจจะไม่ร่วมประมูลก็ได้

“เพราะฉะนั้นถึงต้องประมูลมาให้ได้”

ทันใดนั้นเสิ่นยีก็ถึงบางอ้อ

แล้วก็รู้สึกเสียใจที่ตัวเองปากไวกว่าหัวสมอง Bossตั้งใจจะโจมตีคนของตระกูลเซียวนี่เอง

แต่ว่า……เพื่อผู้หญิงคนนั้นหรือ

เหลือบมองผ่านกระจกมองหลังอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง จากในกระจกมองหลังเห็นสีหน้าของBossที่นั่งอยู่เบาะหลังรถแล้ว เสิ่นยีตกใจจนมือที่วางอยู่บนพวงมาลัยรถสั่น

สีหน้าของ….. Boss น่ากลัวมาก

ซูเมิ่งกลั้นใจถามว่า“Boss…….ในเมื่อเจี่ยนถงเธอไม่สำคัญกับท่านแล้ว ถ้าอย่างนั้นทำไม……..ยังจะลงมือกับตระกูลเซียว”

ในความคิดของซูเมิ่ง เบื้องหลังวิธีการทั้งหมดนี้ของเสิ่นซิวจิ่น ล้วนกำลังบีบบังคับเซียวเหิง

“เซียวเหิงเพิกเฉยต่อคำเตือนของฉัน ของของฉัน ฉันไม่เอาแล้ว ก็ห้ามใครมาเก็บไป”น้ำเสียงเย็นชาของผู้ชายค่อยๆดังขึ้น“คนหนึ่งหนุ่มเพลย์บอย คนหนึ่งนักโทษปฏิวัติแรงงาน ต่อหน้าฉัน จะมาแสดงอะไรว่าความรักที่ยิ่งใหญ่ ว่าความรักมั่นคงกว่าเงินทองหรือ ฉันจะดูว่า เขาจะเลือกอย่างไร ”

ซูเมิ่งขนลุกขนพอง ทันใดนั้น รู้สึกว่าความกดอากาศรอบด้านต่ำมาก

แล้วยังรู้สึกเสียดายแทนเจี่ยนถง เซียวเหิงกับชาวต่างชาติที่ชื่อคาย์อันคนนั้นไม่เหมือนกัน ในช่วงหลายปีมานี้ซูเมิ่งได้ติดต่อกับคนหลายประเภท ความสามารถในการดูคนนั้นมีไม่น้อย

และวันนี้ ตอนที่Bossกับคุณชายเซียวเกิดปะทะกัน เธอก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย

การแสดงออกของคุณชายเซียว เกินความคาดหมายของเธอ

อย่างน้อยซูเมิ่งก็ไม่เคยคิดว่า คำพูดเหล่านั้น จะออกมาจากปากของคุณชายเซียวคนที่เป็นคุณชายหลายใจในสายตาของทุกๆคน

ว่ากันว่า คนที่กลับตัวเป็นคนดีมีค่ามากกว่าเงินทอง ……หรือคุณชายเซียวจะเป็นคนที่ทำให้ประโยคนี้เป็นจริง

แต่ซูเมิ่งไม่เข้าใจความคิดของเสิ่นซิวจิ่น…..หรือว่าBossเขาไม่รู้ ตั้งแต่ไหนแต่ไรเขาเองไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านอยู่แล้วไม่ใช่หรือ

Bossไม่รู้หรือว่าตอนนี้เขาได้เสียศูนย์ไปแล้ว วันนี้เมื่อเห็นเจี่ยนถงกับคุณชายเซียวอยู่ด้วยกัน เหมือนกับคนที่เป็นสามีเห็นกับตาว่าภรรยาตัวเองนอกใจ และจับชู้เช่นนั้น

“เสิ่นยี จัดวางคนสองคน จับตาดูเธอไว้”

เสิ่นยียังไม่ทันตั้งตัว…….จับตาดูใคร

“มีสถานการณ์ ให้รีบรายงานฉันด่วน”

มาถึงตอนนี้ เสิ่นยีถึงตระหนักรู้ว่า…… Bossให้เขาจับตาดูเจี่ยนถง

แต่ปัญหาใหม่เกิดขึ้นแล้ว“มีสถานการณ์”คือ……มีอะไร“สถานการณ์”อะไร

เขาไม่สามารถจะรายงานทุกรายละเอียดของทั้งวันให้Bossอยู่ตลอดเวลาใช่ไหม

เสิ่นยีสีหน้าขมขื่น แทบอยากจะเกาหัวขึ้นมา

“ถ้าผู้หญิงคนนั้นกล้าทำเรื่องที่ผิดต่อฉัน….”ชายที่นั่งอยู่เบาะหลังรถ ใบหน้าราวหยก เยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง ในดวงตาฉายแววความอาฆาตแค้น

แต่ เสิ่นยีกับซูเมิ่งทั้งสองคน ต่างก็สั่นสะท้านในใจพร้อมกัน และมีสีหน้าแปลกๆลอยอยู่บนใบหน้าพวกเขา…….หากเจี่ยนถงกล้าทำเรื่องที่ผิดต่อBoss……ตอนที่Bossพูดคำนี้ออกมา ในอีกความหมายหนึ่งแล้ว หมายความว่ายอมรับอะไรหรือเปล่า

วันรุ่งขึ้น

ตอนที่เจี่ยนถงไปทำงาน ระหว่างทางเดินอาคาร ถูกร่างหนึ่งขวางทางไว้

“……ประธานเสิ่น”

หลังจากที่ห่างหายไปช่วงหนึ่ง ในที่สุดเสิ่นซิวจิ่นก็ปรากฏตัวที่ตงหวงอีกครั้ง ก้มหน้ามองดูผู้หญิงตรงหน้าแล้ว ไฟอารมณ์ในใจก็พุ่งขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

“อืม”เขาตอบเสียงทุ้มเบาๆหนึ่งคำ แล้วไม่พูดอะไรอีก

เจี่ยนถงรู้สึกตึงไปทั้งตัว อ้อมผ่านเสิ่นซิวจิ่น แล้วก้มหัวเดินไปข้างหน้า

ในสายตาของผู้ชายที่อยู่ข้างหลังเธอ ความโกรธยิ่งทวีคูณ

ก้าวเท้าใหญ่เดินตามขึ้นไปแล้ว จับแขนเธอไว้ “คุณหนูเจี่ยนรีบเร่งขนาดนี้จะไปที่ไหนหรือ” จะไปพบชู้รักของเธอหรือ

เมื่อนึกถึงการกระทำต่างๆของผู้หญิงคนนี้ เขาก็อยากบีบคอให้เธอตายด้วยมือของตัวเอง

เจี่ยนถงประหม่ามาก“ฉัน เลิกงานแล้ว ท่านประธานเสิ่นปล่อยมือค่ะ ฉันจะกลับหอพัก”

“จะกลับหอพัก หรือว่าจะไปพบชู้รักกันแน่”

สีหน้าเจี่ยนถงซีดลงทันที เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นสายตาประชดประชันของชายตรงหน้า

หยุดหายใจไปครู่หนึ่ง แสร้งทำเป็นเข้มแข็งและเย็นชา“ฉันเป็นหญิงโสเภณีอยู่แล้ว โสเภณีหลังจากเลิกงาน ไม่ไปพบชู้รักแล้วจะให้ทำอะไร ท่านประธานเสิ่น กรุณาปล่อยมือค่ะ”

เสิ่นซิวจิ่นโกรธจนขึ้นหัว มือนั้นกลับจับไหล่เจี่ยนถงไว้แน่นๆไม่ยอมปล่อย

เจี่ยนถงมองไปที่มือของเขาที่จับตัวเองไว้ด้วยสายตาเย็นชา แล้วกล่าวเรียบๆว่า“หรือว่า ท่านประธานเสิ่นก็ต้องการจะเที่ยวโสเภณีสักครั้ง”

เสิ่นซิวจิ่นที่โกรธอยู่กลับยิ้มตอบว่า“ก็ได้ วันนี้คุณก็ไม่ต้องกลับไปแล้ว วันนี้ผมขอเป็นลูกค้าของคุณหนึ่งครั้ง”

ทันใดนั้น มือข้างหนึ่ง ได้ยื่นไปตรงหน้าเขา

“อะไรหรือ” เขากึ่งเลิกคิ้วถาม

มองดูผู้หญิงที่สูงแค่คางของเขาแล้ว กล่าวอย่างมั่นใจว่า“เงินหรือ ”เจี่ยนถงกล่าวอย่างเรียบๆ“ถึงแม้คุณจะเป็นBossใหญ่ เที่ยวโสเภณีก็ต้องให้เงิน ไม่มีเหตุผลที่จะเล่นฟรี”

ดวงตาของเสิ่นซิวจิ่นเต็มไปด้วยความตกตะลึง

เมื่อมองดูฝ่ามือที่แบอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง ในใจบอกไม่ถูกว่ามีความรู้สึกอย่างไร มันรู้สึกเจ็บแปล๊บแปลกๆ ถ้าจะพูดว่า เมื่อกี้ตอนที่พบเจอเธอ เขาโกรธมาก ไม่รู้ว่าเริ่มจากตรงไหน และก็ไม่รู้ว่าจะระบายอย่างไร

แต่ว่าในตอนนี้ ผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะทำให้ใจเขาหงุดหงิด สายตาที่เขามองเธอเปลี่ยนไปแล้ว“คุณหนูเจี่ยน ผมไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ คุณหนูเจี่ยนได้ฉลาดขึ้นขนาดนี้ ทำไมหรือ อะลู่ของคุณไม่เอาคุณแล้วหรือ คุณถึงได้หันไปคบกับคุณชายตระกูลเซียว”

บูม!

เสียงดังกึกก้องอยู่ในหู

เจี่ยนถงมองดูชายตรงหน้าอย่างมึนงง…….เขารู้จักเซียวเหิงได้อย่างไร

เสิ่นซิวจิ่นมองดูอาการมึนงงของเธอ รู้สึกสะใจที่ได้แก้แค้นบ้าง แต่ที่มากกว่าคือ ความอัดอั้นในใจ เขา…..ทำอะไรเธอไม่ได้เลย

ตั้งแต่ไหนแต่ไรเสิ่นซิวจิ่นก็คิดว่า การทำลายที่ทรงพลังที่สุดไม่ใช่คำพูด แต่เป็นกำลัง การเผชิญกับคู่ต่อสู้ทุกประเภท เขาใช้วิธีการสุดโหดอย่างไม่เกรงใจ กล่าวอีกนัยหนึ่งตามวลีฮิตบนอินเทอร์เน็ต…….ลงมือทำได้ จะไม่ใช้ปากทำ

แต่การเผชิญกับเจี่ยนถงผู้หญิงคนนี้ เขากลับ……รู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาทันที

แล้วเขาก็กวาดสายตาไปที่ผู้หญิงตรงหน้าอีกครั้ง ในหัวสมองเขาปรากฏภาพรอยยิ้มที่เธอแสดงต่อเซียวเหิงเมื่อคืนนี้

ทันใดนั้น สายตาผู้ชายเปลี่ยนไป ยื่นมือออกมาจับคางเธอไว้“ยิ้ม”

เขาหวงแหนคำพูดเหมือนทองคำ แต่ออกคำสั่งแบบหยาบคาย“คุณไม่ได้ยินหรือ ผมให้คุณ ยิ้ม”

หว่างคิ้วเจี่ยนถงขมวดขึ้นมา มือที่จับคางเธอไว้ ใช้แรงบีบเกินไป เธอไม่เข้าใจว่าผู้ชายคนนี้ต้องการจะทำอะไร เมื่อก่อนก็ไม่เข้าใจเขาแล้ว ตอนนี้ยิ่งไม่เข้าใจไปใหญ่

“เจี่ยนถง ยิ้ม”

น้ำเสียงเสิ่นซิวจิ่นเย็นชา แต่ยิ่งเขาเป็นเช่นนี้ เจี่ยนถงก็ยิ่งไม่อยากยิ้ม

มีความคิดที่จะสวนทางเขา เมื่อเจี่ยนถงลืมตาขึ้น มองดูเสิ่นซิวจิ่นด้วยความเฉยเมย……ทำไมจะต้องยิ้ม ทำไมจะต้องฟังเขา ทำไมจะต้องยิ้มให้กับคนที่ทำให้ครึ่งค่อนชีวิตของเธอพังด้วย

สายตาของเธอที่มองดูเสิ่นซิวจิ่นในเวลานี้ ทำให้ในใจเขาเจ็บจี๊ด สายตานี้ บาดตาไร้ที่เปรียบ

รู้สึกเจ็บจี๊ดในใจแบบอธิบายไม่ถูก ดวงตาเย็นชาของเสิ่นซิวจิ่น มองไปที่เธอ“ไม่ยิ้มหรือ ขายยิ้มแต่ไม่ยิ้มหรือ เจี่ยนถง แค่นี้คุณก็ทำไม่ได้หรือ แล้วยังจะบอกว่า คุณจะทำอันนี้”

ขณะที่พูด มือซ้ายหยิบธนบัตรสีแดงหลายใบออกมาจากในกระเป๋า “จะเอาอันนี้ ถึงจะยอมยิ้มใช่ไหม”

ดวงตาเจี่ยนถงค่อยๆหันไปมองสีแดงแสบตาในมือของเสิ่นซิวจิ่น ไม่มีใครดูออกว่าตอนนี้เธอกำลังคิดอะไร เธอเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ตาไม่กะพริบ ประสานสายตาคู่ดำของเสิ่นซิวจิ่นเข้า สายตาสองคู่ต่างจ้องมองอีกฝ่าย

มุมปากกระตุกขึ้น แสร้งทำเป็นฉีกยิ้ม เธอถามว่า“พอใจหรือยัง ” บังคับให้เธอทำในสิ่งที่เธอไม่ชอบ แล้วเขาก็ดีใจขนาดนั้นหรือ

เสิ่นซิวจิ่นก็จ้องมองรอยยิ้มของหญิงตรงหน้า เขาต้องการจะค้นหาเงาเมื่อวานจากรอยยิ้มในฉบับมาตรฐาน……ไม่ใช่ ไม่ใช่รอยยิ้มแบบนี้

มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

คำพูดของเซียวเหิงก้องขึ้นในหูอีกครั้ง ผมสามารถทำให้รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอ คุณทำได้ไหม

เขาทำได้ไหม

เขาทำได้ไหม…….เสิ่นซิวจิ่นถามตัวเองอยู่ในใจครั้งแล้วครั้งเล่า เขาทำได้ไหม

คำตอบพร้อมจะออกมา แต่…..รับไม่ได้

“ไป” เขาสะบัดแขน อย่างโกรธจัด“ไปให้ไกลหน่อย อย่าให้ผมเจอคุณอีก”ราวกับจะโน้มน้าวใจตัวเอง แล้วเขาก็หันหน้าจ้องมองเธอด้วยดวงตาโกรธแดงก่ำ แล้วเสริมว่า“ผมกลัวจะเลอะตาของผม”

เจี่ยนถงไม่พูดอะไร จากไปทันที ในใจนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่คุ้นเคย เธอเลือกที่จะทำเป็นมองไม่เห็นความเจ็บปวดนี้

ข้างหลัง ผู้ชายมองดูประตูทางออกที่ไร้เงาคนไปนานแล้ว เขาคลำผมที่ท้ายทอยอย่างหงุดหงิด รู้สึกเจ็บแน่นที่หน้าอก……ทำไมไม่ยิ้ม ทำไมในสายตาเจี่ยนถงที่เคยมีเพียงเขา วันนี้ไม่คาดคิดว่าจะแสดงรอยยิ้มต่อหน้าชายอีกคน

ทำไมเมื่อคิดถึงผู้หญิงบ้าคนนี้……จึงทำให้เขาอารมณ์เสียวิตกกังวลได้เพียงนี้

ทันใดนั้นเขาทุบหมัดไปที่ผนังข้างๆ เสียงดังอู้อี้ แล้วร่องรอยของเลือดก็ไหลลงมาตามหมัด

ในวันสุดสัปดาห์วันนี้ เซียวเหิงมารับเจี่ยนถงที่ใต้อาคารหอพักไปทานข้าวอีกครั้ง สุดสัปดาห์วันนี้เป็นวันหยุดของเจี่ยนถง ร้านบะหมี่เนื้อที่ตลาดนัดกลางคืนเป็นสถานที่ที่เจี่ยนถงกับเซียวเหิงไปบ่อยที่สุด

ลุงหูก็คุ้นเคยกับเซียวเหิงที่พาแฟนสาวมาทานบะหมี่เนื้อในร้านของเขาแล้ว

วันนี้หลังจากทานอาหารเที่ยง เซียวเหิงก็พาไปดูหนังต่อ

เวลานี้เจี่ยนถงยังรู้สึกเพ้อฝันไปเล็กน้อย แก้วเครื่องดื่มกับป๊อปคอร์นในมือ เตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลา……เธอถูกเซียวเหิงหลอกอีกครั้งแล้ว

แต่ว่า ริมฝีปากของเจี่ยนถง เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว

พูดได้ว่า เซียวเหิงเป็นคนที่อารมณ์ดี ถ้าเขาต้องการจะทำดีกับใคร คนคนนั้นจะต้องมีความสุขอย่างแน่นอน ขณะที่คิด จู่ๆรอยยิ้มบนใบหน้าของเจี่ยนถงก็จางหายไป

มองดูชายข้างกายด้วยความสับสนเล็กน้อย ในใจได้ตัดสินใจแล้วว่า วันนี้หลังจากดูหนังจบ จะต้องพูดกับเซียวเหิงให้ชัดเจน……เธอไม่ได้ตกหลุมรักเขา

แล้วก็ต้องพูดกับเขาให้ชัดเจน ว่าให้จบกันแค่นี้

เธอยอมรับว่า เธอโลภรักตอนที่เซียวเหิงมองดูเธอ สายตาแบบที่เห็นเธอเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ปราศจากการดูแคลนและเสียดสี ไม่มีการเยาะเย้ยและดูถูก

และเธอก็ยอมรับว่า เธอโลภแสงสว่างที่ลอดผ่านรอยร้าวเข้ามานี้ ในความมืดก็ดูมีค่ายิ่งขึ้น

แต่ว่า สิ่งต่างๆก็กำลังพัฒนาไปในทิศทางที่เหนือการควบคุมของเธอ…….ชะตาลิขิตมาแล้วว่าไม่สามารถตอบรับชายผู้นี้ที่แสร้งทำเป็นหนักแน่น แท้จริงก็คือเขาเป็นผู้ชายที่เป็นเด็กผู้ชายตัวโตเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะต้องพูดกับเขาให้เข้าใจชัดเจนโดยเร็วที่สุด

เธอจมลึกอยู่ในโคลนตม จะคู่ควรมีความสุขได้อย่างไร

จะดึงคนบริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้อง ลงไปในตมได้อย่างไร

แน่นอนว่า การปล่อยมือ ถึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ทันใดนั้น หลังมือเธอรู้สึกอบอุ่น เจี่ยนถงรู้สึกราวกับถูกลวก ก้มหน้ามองไป บนหลังมือ ฝ่ามือใหญ่ของเซียวเหิง กำมือของเธอแน่น “อย่าหลบ” น้ำเสียงเคร่งขรึม มีพลังแบบทำให้คนไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้

เจี่ยนถงใจสั่นหวิว ปล่อยให้ฝ่ามือของเขาห่อหุ้มเธอไว้ แล้วหันหน้าไปดูหนังเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เพียงแต่ในใจยิ่งแน่วแน่แล้วว่า รอให้ดูหนังจบแล้ว จะต้องหาโอกาสพูดกับเซียวเหิงให้ชัดเจน……เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี และก็ไม่คู่ควรที่จะมีความสุข ยิ่งไม่สามารถจะตอบรับความรักของเขาได้

แรกเริ่ม เธอเพียงแค่คิดว่าเด็กผู้ชายตัวโตคนนี้เพียงแค่ความอยากรู้อยากเห็นมาก แต่ต่อมา……การกระทำทั้งหมดของเซียวเหิง สายตาที่เซียวเหิงมองเธอ เหล่านี้ ไม่สามารถหลอกใครได้นี่

ในความมืดทางด้านซ้ายมือ ทันทีที่เจี่ยนถงหันกลับไป ใบหน้าหล่อเหลาของเซียวเหิงยิ้มกว้าง ในรอยยิ้ม เต็มไปด้วยความพึงพอใจที่ไร้ที่เปรียบและมีความสุขจากใจจริง แต่เจี่ยนถงมองไม่เห็น

หนังพูดถึงเรื่องอะไร เจี่ยนถงดูไม่เข้าหัว ตลอดเวลาระหว่างดูหนังไป ในใจและหัวสมองของเธอกำลังคิดว่า อีกสักครู่จะพูดกับเด็กผู้ชายตัวโตข้างกายนี้อย่างไร

เมื่อหนังจบลง ไฟสว่างขึ้น เซียวเหิงจับมือเจี่ยนถงไว้ ไม่ยอมปล่อย จูงมือเธอ เดินตามกลุ่มคน ออกไปข้างนอก

เจี่ยนถงรู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย เงยหน้าชำเลืองมองที่ด้านหลังของผู้ชายตรงหน้า ในฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อเปียกที่เหนียวเหนอะหนะแล้ว เธออดไม่ได้ที่จะมองไปที่มือทั้งสองประสานกันไว้ อดที่จะคิดไม่ได้ว่า หรือเขาไม่รู้สึกว่าสองมือที่เหนียวเหนอะหนะจับไว้ด้วยกันแล้ว ทำให้รู้สึกไม่สบายมาก

แต่เห็นได้ชัดว่า ต่างจากเจี่ยนถงที่มีเรื่องหมกมุ่นตลอดการดูหนัง ซึ่งเซียวเหิงมีความสุขมาก เดินจูงมือเจี่ยนถงจนไปถึงลานจอดรถ เจี่ยนถงเข้าไปนั่งตรงข้างคนขับ แล้วเซียวเหิงก็เข้ามานั่งลง

“รอสักครู่ค่อยออกรถ”

“หือ” เซียวเหิงหันหน้ามา ด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“คุณมีอะไรที่อยากจะซื้อหรือ”

แวบแรกที่เขานึกขึ้นได้เมื่อจู่ๆเธอเรียกให้รถหยุดคือ มีสิ่งของอะไรที่อยากจะซื้อแล้วยังไม่ได้ซื้อหรือเปล่า…..ยิ่งเป็นแบบนี้ ในใจเจี่ยนถงก็ยิ่งอึดอัดมากขึ้นเท่านั้น

เหมือนตีบในลำคอ

เซียวเหิงเร่งอีกครั้ง“อยากได้อะไร ในเมื่อวันนี้เป็นสุดสัปดาห์ สิ่งที่เรามีคือเวลา”

“………ไม่ใช่ ”เธอกัดฟัน มีความแน่วแน่ในดวงตา“คุณเซียว เราแบบนี้…..”ก็ไม่ใช่เรื่อง…….เธอกำลังจะพูดขึ้นมาว่าเรื่องเหล่านี้

“ขอบฟ้าที่ไร้ขอบเขตคือความรักของผม……”เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นมา

เซียวเหิงหยิบโทรศัพท์ออกมามองไปที่หน้าจอแวบหนึ่ง แล้วคิ้วขมวดเล็กน้อย เงยหน้าพูดกับเจี่ยนถงว่า“เสี่ยวถง ผมขอรับโทรศัพท์ก่อน” แล้วยื่นมือกดปุ่มรับสาย

ในโทรศัพท์ได้ยินน้ำเสียงคนแก่ เข้มงวดหาที่เปรียบไม่ได้“แกกลับบ้านเดี๋ยวนี้”

เซียวเหิงไม่พอใจ“คุณปู่ ผมยังมีธุระ…..”

“ไม่ต้องพูดแล้ว แกจะต้องกลับบ้านทันทีเดี๋ยวนี้”

พูดจบ เสียงสายไม่ว่าง “ตู๊ดๆ” ดังขึ้นที่ปลายอีกด้านของโทรศัพท์

เซียวเหิงมองดูมือถือที่ถูกตัดสายทิ้ง หว่างคิ้วยิ่งขมวดเข้มขึ้น แทบจะกองเป็นเนินเขา

“หากคุณเซียวมีธุระด่วน ฉันกลับไปเองได้”

เจี่ยนถงถอนหายใจเฮือก……ดูแล้ววันนี้ไม่มีโอกาสพูดเรื่องเหล่านั้นให้ชัดเจนแล้วล่ะ

“ผมส่งคุณกลับหอพัก” เซียวเหิงดึงแขนเจี่ยนถงไว้ ห้ามเธอเปิดประตูรถลงรถไปเอง “ส่งคุณกลับหอพัก เสียเวลาไม่เท่าไหร่ มันทางผ่านผม ”

“ก็ได้ คุณเซียว วันนี้ต้องขอบคุณมากที่เลี้ยงข้าวฉัน แล้วยังเชิญไปดูหนังด้วย”

เซียวเหิงชำเลืองตาดูเจี่ยนถงด้วยความไม่พอใจอีกครั้ง“คุณจะต้องสุภาพขนาดนี้หรือ พูดกี่ครั้งแล้วว่า เรียกคุณเซียวคุณเซียว ฟังดูแปลกมาก”

ขณะที่พูด เหยียบคันเร่งจนสุดเท้า ตรงดิ่งไปทางหอพักเจี่ยนถง

“ถึงแล้ว ลงรถระวังด้วย”เขาครุ่นคิด แล้วก็พูดกับเจี่ยนถงที่ลงรถไปแล้วอีกครั้งว่า“เจี่ยนถง ผมหวังว่าวันหนึ่ง คุณจะไม่เรียกผมว่าคุณเซียว”

เจี่ยนถงหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วยิ้มให้เซียวเหิง “คำเรียกคุณเซียวคำนี้ เป็นการเคารพต่อคุณ คุณเซียวคุณรีบไปเถอะ ฉันคิดว่าคุณกำลังรีบ”

เมื่อเธอพูดจบ หันหลังเดินจากไป ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้พูดแม้แต่น้อย เพียงแค่ถอนหายใจเฮือก……ดูเหมือนวันนี้จะอธิบายให้กระจ่างไม่ได้ ต้องหาโอกาสใหม่อีกครั้งแล้ว

บนใบหน้าเซียวเหิงมีความหดหู่เล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็ฮึดขึ้นมา มองดูทิศทางที่เจี่ยนถงหายเข้าไป ดวงตาที่ร้อนรุ่มมุ่งมั่นขึ้นมาอีกครั้ง……ไม่ช้าก็เร็ว ไม่ช้าก็เร็วจะสามารถเปิดประตูหัวใจที่ปิดตายของเธอให้ได้

ไม่เชื่อ!

ภูมิปัญญาของคนรุ่นก่อนได้พูดไว้ไม่ใช่หรือว่า คนที่มีเจตจำนงจะทำการสำเร็จ มุ่งมั่นสู้ให้ถึงที่สุดไม่หวั่นไหว

ทันทีที่เหยียบคันเร่ง ออกตัวไป บินตรงดิ่งกลับไปที่วิลล่าตระกูลเซียว

ที่บ้านตระกูลเซียว

ท่านแก่เซียวที่บนหัวเต็มไปด้วยผมสีเทา และใบหน้าที่จริงจังมาตั้งแต่เกิด เวลานี้ยิ่งจริงจังเข้มงวดมากขึ้น เมื่อเผชิญหน้ากับเซียวเหิงที่อยู่ตรงหน้า สีหน้าดูไม่ดีเลย

“คุณปู่”ไม่ว่าตอนอยู่ข้างนอกเซียวเหิงจะโอ้อวดขนาดไหน แต่ต่อหน้าท่านแก่เซียว เขาให้เกียรติและเคารพนับถือท่าน

ท่านแก่ปั้นหน้าแข็งทื่อเป็นพิเศษ นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เซียวเหิงไม่ค่อยอยากกลับมาวิลล่าเก่า

ท่านแก่ยื่นมือไปทางข้างหลัง พ่อบ้านที่อยู่ข้างหลังรีบนำซองเอกสารวางลงในมือของท่านแก่

“ปัง”หนึ่งที ท่านแก่โยนซองเอกสารในมือใส่ตรงหน้าเซียวเหิง “แกดูเอาเอง ช่วงนี้ตระกูลเซียวสูญเสียไปเท่าไหร่”

เซียวเหิงก้มลงเก็บซองเอกสารขึ้นมาด้วยไม่มีอาการใดๆ หลังจากเปิดออกแล้ว กวาดสายตาดูอย่างรวดเร็ว ยิ่งดู สีหน้าก็ยิ่งเคร่งเครียด ซองเอกสารในมือ โยนลงบนโต๊ะน้ำชาอีกครั้ง“คุณปู่ นี่มันเรื่องอะไรกัน ” เวลาไม่ถึงครึ่งเดือน ความมั่งคั่งของบริษัทเซียวซื่อกรุ๊ป แทบจะเป็นการสูญเสียแบบการระเหย

ถึงแม้เขาจะชอบเที่ยวเล่น ไม่ค่อยเต็มใจที่จะเข้าแทรกแซงบริษัทของที่บ้าน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเซียวเหิงจะเป็นถุงไวน์ถุงข้าวที่ไร้ความสามารถ

“แกยังมีหน้ามาถามฉันอีก ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ” ท่านแก่พึมพำเยาะเย้ย ชี้หน้าเซียวเหิง “คิดดูดีๆ ช่วงนี้เคยไปมีเรื่องกับใครหรือเปล่า แล้วใครที่มีความสามารถขนาดนี้ ที่สามารถใช้เวลาสั้นๆเพียงแค่ครึ่งเดือน ก็ทำให้ตระกูลเซียวเราไม่ให้ความสำคัญไม่ได้”

ทันใดนั้นเซียวเหิงก็เข้าใจแล้ว

“เสิ่นซิวจิ่น”เขาแทบจะกัดฟันโพล่งสามคำนี้ออกมา

“คุณปู่…..”เซียวเหิงกำลังจะพูดอะไร ท่านแก่เซียวตัดบทเสียงเย็นชา

“ออกห่างจากผู้หญิงคนนั้น”

คำสั่งเย็นชาของท่านแก่เซียวดังเข้าไปในหูของเซียวเหิง ทันใดนั้น เซียวเหิงหรี่ตา เหลือบมองไปทางท่านแก่“คุณปู่ให้คนสืบเรื่องผมหรือ”

สายตาเซียวเหิงที่มองดูท่านแก เปลี่ยนเป็นเย็นชาเล็กน้อย

ท่านแก่เซียวบ่นพึมพำ“แกไปหาเรื่องยั่วยุคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดนี้มา ฉันคนที่เป็นผู้ปกครองใหญ่สุดในตระกูลเซียว จะไม่ควรหาต้นสายปลายเหตุให้ชัดเจนหรือ จะต้องปล่อยให้แกไปก่อเรื่องมาให้ตระกูลเซียวอย่างนั้นหรือ หืม ”

“คุณปู่กลัวแล้วใช่ไหม คุณปู่กลัวตระกูลเสิ่น คุณปู่กลัวแม้แต่คนรุ่นหลังคนหนึ่งของตระกูลเสิ่น ถึงว่าหลายปีมานี้ ใครๆต่างพูดว่าตระกูลเซียวไม่สู้ตระกูลเสิ่น………”

เซียวเหิงยังพูดไม่ทันจบ ท่านแก่ก็กำไม้เท้าที่อยู่ข้างๆขึ้นมา ฟาดไปใส่เซียวเหิงแรงๆ“หุบปาก ” ท่านแก่ที่แข็งนอกอ่อนใน ดวงตาสีเทามัวๆคู่หนึ่ง จ้องเขม็งไปที่หลานในไส้ที่อยู่ตรงหน้าตัวเองด้วยความโกรธ

สามารถพูดได้ว่าหลานชายคนนี้ เป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในชาตินี้ของตระกูลเซียว แต่มีความขี้คร้านเป็นโรคประจำตัว ท่านแก่มีความหวังกับหลานชายคนนี้มาโดยตลอด ไม่เคยคิดมาก่อนว่า หลานชายคนนี้ยังทำให้ตระกูลเซียวต้องเจอศัตรูที่แข็งกล้าเช่นนี้

หากตระกูลเซียวไม่สู้ตระกูลเสิ่น หลายปีมานี้ถึงแม้ข้างนอกจะมีคนปล่อยข่าวลือ แต่ไม่มีใครกล้าพูดต่อหน้าเขา ใบหน้าแก่ของท่านแก่เซียวแดงก่ำ………นี่แทบจะเป็นโรคหัวใจของท่านแก่เซียวเลย

เซียวเหิงเก็บอาการขี้เล่นที่ผ่านมา ไม้เท้าของท่านแก่ฟาดลงบนร่างกายของเขา ท่านแก่ได้ใช้ความรุนแรงแล้วความดื้อรั้นในสายตาเซียวเหิงไม่ยอมเปลี่ยน และยิ่งไม่หลบไม้เท้าอันนั้น ปล่อยให้ท่านแก่เซียวใช้ไม้เท้าทุบตีบนร่างตัวเอง

พ่อบ้านที่อยู่ข้างหลังทนดูไม่ได้ จึงห้ามท่านแก่ “ท่านแก่ ใจเย็นๆ คุณชายอายุยังน้อย หลายเรื่องหากท่านสั่งสอน เขาก็จะเข้าใจได้”

ท่านแก่เซียวอารมณ์ฉุนเฉียว พ่นลมหายใจ“ต่อไปห้ามไปพบผู้หญิงคนนี้อีก”

ทันใดนั้นเซียวเหิงกำหมัดแน่น จ้องไปที่ท่านแก่เซียวด้วยความโกรธ“เป็นไปไม่ได้”

“แกพูดอีกครั้ง ”ความโกรธของท่านแก่ที่ลดลงแล้ว ได้ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง“เซียวเหิง แกให้ฉัน พูดอีกครั้ง”

พูดก็พูด

“ผมบอกว่า ผมไม่มีวันละทิ้งเธออย่างแน่นอน”

“แก”ท่านแก่โกรธจนหายใจหอบหน้าอกกระเพื่อม“ดี ดีมาก แกปีกกล้าขาแข็งแล้ว” ด่าเซียวเหิงไปด้วย ท่านแก่ก็ไปตามหาไม้เท้าที่ถูกเขาโยนไว้ข้างๆเมื่อกี้นี้ “เหล่าหลี่ ไม้เท้าล่ะ ไม้เท้า”

พ่อบ้านเหล่าหลี่ที่อยู่ข้างหลังสีหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล นำไม้เท้าซ่อนไว้ข้างหลัง แล้วมองไปทางเซียวเหิงอีกครั้ง“คุณชาย ท่านแก่อายุมากแล้ว คุณก็พยักหน้า รับปากท่านแก่เถอะ ”

บนใบหน้าที่หล่อเหลาของเซียวเหิง เต็มไปด้วยความไม่ยอมแพ้ เม้นริมฝีปากแน่น ไม่ยอมเอ่ยปากสักคำ

“ไม้เท้า”ท่านแก่เซียวโกรธ จ้องเขม็งไปที่พ่อบ้านเหล่าหลี่ด้วยความโกรธ แล้วยื่นมือไปทางเขา “เหล่าหลี่ เอาไม้เท้ามาให้ฉัน”

“คุณชาย” เหล่าหลี่ยังคงไม่ละความพยายาม

เซียวเหิงกัดฟันพูดอย่างดุเดือด “ลุงหลี่ เอาไม้เท้าให้เขา”

หน้าอกของท่านแก่เซียวกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง แย่งไม้เท้ามาจากมือของพ่อบ้านเหล่าหลี่ สะบัดมือทุบไปบนหลังของเซียวเหิงอย่างแรง “แกปีกกล้าขาแข็งแล้ว ” ใช้ไม้เท้าทุบไปบนหลังของเซียวเหิงหนึ่งที

“แกเก่งแล้ว”แล้วไม้เท้าก็ฟาดไปอีกหนึ่งครั้ง ทิ้งร่องรอยไม้เท้าสีเลือดไว้บนแขนของเขา

ท่านแก่ยังไม่หายโกรธ ยกไม้เท้าขึ้นสูงๆแล้วฟาดลงไป ทุบตีแล้วทุบตีลงไปอีก ทุบจนเซียวเหิงครางเบาๆ แต่ดวงตายังคงเต็มไปด้วยความแน่วแน่ ไม่ยอมแพ้

“เพื่อผู้หญิงคนเดียว แกจะทำให้ตระกูลเซียวตกอยู่ในอันตราย เซียวเหิง ฉันไม่รู้ว่า แกเริ่มเรียนรู้ความหลงใหลในความรักแบบพี่ชายแกตั้งแต่เมื่อไหร่”

ทันใดนั้น ดวงตาเซียวเหิงเบิกกว้าง

เงยหน้าขึ้นทันที จ้องเขม็งไปที่ท่านแก่เซียวด้วยความโกรธเกรี้ยว ดวงตาคู่น่าหลงใหลของเขา เวลานี้ไม่มีความขี้เล่นไม่เกรงใจ และก็ไม่มีความรู้สึกหมกมุ่นเหมือนตอนที่มองดูเจี่ยนถง ดวงตาแดงก่ำคู่นั้น จ้องเขม็งไปที่ท่านแก่เซียวอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ

“คุณปู่ พี่ชายของผมได้เสียไปแล้ว”

ทุกคนรู้เพียงว่าตระกูลเซียวมีเซียวเหิง แต่ไม่รู้ว่า ตระกูลเซียวยังมีหลานคนโตผู้ติดดินคนหนึ่ง นั่นก็คือพี่ชายของเซียวเหิง แต่ได้เสียชีวิตไปนานแล้วเมื่อตอนที่ย้ายไปอยู่อเมริกา

ความผิดพลาดของพี่ชายเซียวเหิง คือความเจ็บปวดในใจของเซียวเหิงที่ไม่สามารถลบทิ้งไปได้

เขาจ้องเขม็งไปที่ท่านแก่เซียวด้วยความโกรธ และมีความเกลียดชังซ่อนอยู่ในดวงตาของเขา

พ่อบ้านเห็นท่าไม่ดี รีบดึงท่านแกเซียวไว้“ท่านแก่ ท่านใจเย็นๆ”

ท่านแก่เซียวก็ตกใจกับดวงตาแดงก่ำของเซียวเหิงคู่นั้น บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบด้วยความแปลกๆ …….เนิ่นนาน ท่านแก่เซียวคลายมือออก แล้วไม้เท้าในมือ“คลิก” ร่วงลงบนกระเบื้องพื้นหินอ่อน ท่านแก่ร่างกายอ่อนระทวย เสียงดัง“ปัง” ล้มนั่งลงบนโซฟาข้างหลัง

ราวกับทันใดนั้น ชายชราผมบลอนด์ผู้แข็งแรงมีชีวิตชีวาเมื่อกี้นี้ ได้แก่ลงไปสิบปีในพริบตา ในดวงตาที่เหี่ยวย่น มีประกายความสิ้นหวังกับความเสียใจ เพียงแต่บนใบหน้าเคร่งขรึมนั้น ยังคงตึงเครียดและแข็งทื่อไร้ที่เปรียบ

ดวงตาแดงก่ำของเซียวเหิง มองไปที่คนชราที่นั่งอยู่บนโซฟา เขาหลับตา ปิดบังอารมณ์ซับซ้อนใต้ดวงตา กัดฟันแน่น แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง ในที่สุดดวงตาคู่แดงนั้นก็ฟื้นคืนความสงบ สีเลือดได้จางหายไปเล็กน้อย

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมจะเข้าไปในเครือบริษัทเซียวซื่อกรุ๊ปอย่างเป็นทางการ ” เขายืนตัวตรง ไม่กระดุกกระดิก เพียงแต่ดวงตาคู่นั้นละห้อย จ้องมองไปที่ชายชราบนโซฟา แล้วกล่าวอย่างแข็งกร้าว

“เจี่ยนถง คือผู้หญิงคนแรกที่ผมชอบอย่างจริงจัง ผมจะไม่ปล่อยเธอไป ไม่ว่าทางด้านเสิ่นซิวจิ่นจะกดดันทางตระกูลเซียวอย่างไร ผมก็จะไม่ปล่อยเธอไป คนไหนทำคนนั้นรับ ครั้งนี้เสิ่นซิวจิ่นพุ่งตรงมาหาผม ในเมื่อผมเป็นคนชักนำอันตรายมาให้ตระกูลเซียว ผมก็จะขอรับผิดชอบคนเดียว เข้าสู่เซียวซื่อกรุ๊ป ผมจะเผชิญหน้ากับเสิ่นซิวจิ่นเอง”

ท่านแก่เซียวอ้าปาก ราวกับต้องการจะพูดอะไร แต่เมื่อเห็นความแน่วแน่ในสายตากับน้ำเสียงที่หนักแน่นของหลานชายตรงหน้าแล้ว เขาก็หุบปากไม่พูด

ก่อนที่เซียวเหิงจะจากไป ได้มองดูชายชราบนโซฟาอีกครั้ง แล้วกล่าวเรียบๆว่า

“ผมไม่ใช่พี่ชายของผม จะไม่เลือกเหมือนเขา ผมจะไม่ทิ้งผู้หญิงที่ตัวเองชอบเพราะท่าน หรือเพราะใครคนใดคนหนึ่ง และผมก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีความสามารถปกป้องผู้หญิงและครอบครัวตัวเอง”

เมื่อท่านแก่เซียวเงยหน้าขึ้น สิ่งที่เห็นคือ เงาหลังที่สูงเพรียวของเซียวเหิง ได้หายไปจากประตูใหญ่แล้ว

พ่อบ้านเหล่าหลี่ร้องเรียก“ท่านแก่ครับ คุณชายเขา”

“ปล่อยเขาไป”ท่านแก่เซียวพึมพำเสียงเย็นชา กวักมือไปทางเหล่าหลี่ “ฉันเหนื่อยแล้ว แกลงไปก่อน”เมื่อเหล่าหลี่ลงไปแล้ว ท่านแก่เซียวหน้าตึงเครียด ภายในดวงตาลุ่มลึกนั้น……..สำหรับทางเลือกต่อไป จะต้องดูหลานชายคนโปรดของเขาก่อน ว่าจะสามารถทำได้เพียงใด

รถของเซียวเหิงควบไปบนสะพานอย่างรวดเร็ว

ลมพัดผ่านกระจกรถที่เปิดอยู่ ผมสีดำปลิวว่อนยุ่งเหยิง เซียวเหิงกดโทรศัพท์โทรออก แล้วใส่หูฟังบลูธูท

“เสิ่นซิวจิ่น แกฟังให้ดี ฉันจะไม่ปล่อยเจี่ยนถงไป และตระกูลเซียว ฉันก็จะปกป้องดูแลรักษาไว้ เรามาดูกันว่า ในที่สุดแล้ว ใครจะแพ้ใครจะชนะ”

ทางปลายสายโทรศัพท์ มือเรียวยาวของผู้ชายเคาะไปที่เคสมือถือสองครั้ง เมื่อได้ยินเช่นนั้น กระตุกยิ้มที่มุมปาก แล้วน้ำเสียงทุ้มๆก็ดังขึ้น“ตกลง คุณอยากทำอะไรผมก็จะร่วมด้วยจนถึงที่สุด แต่ของของผม อย่าคิดแตะต้อง”

ทั้งสองฝ่ายตัดสายเกือบจะพร้อมกัน และไม่มีอะไรจะต้องพูดอีก ต่างคนเข้าสู่สภาวะเตรียมทำสงคราม

ช่วงนี้คุณชายแห่งตระกูลเซียวขยันมาก นี่เป็นสิ่งที่คนในวงการธุรกิจรู้กันดี

งานเลี้ยงธุรกิจในค่ำคืนนี้ คุณชายตระกูลเซียวก็เข้าร่วมด้วย ด้วยเหตุนี้ หญิงสาวเซเลบคนดังไม่น้อย จึงแต่งตัวมาเป็นพิเศษ

แสงสว่างเริ่มส่องแสงขึ้น ที่สระว่ายน้ำ วิลล่าที่นี่เต็มไปด้วยบุคคลชั้นสูงของเมืองS ทั้งชายหญิงที่แต่งกายด้วยชุดจีน

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ในวงการบุคคลชั้นสูงนี้ ก็ยังคงมีการแบ่งชนชั้นอยู่

“ช่วงนี้ประธานเซียวกระตือรือร้นเป็นพิเศษ ขยันเช่นนี้ หรือว่าท่านประธานเซียวได้รับแรงบาดาลใจจากสาวสวยคนไหนหรือเปล่า ” ชายหน้าตาดีวัยสามสิบคนหนึ่ง ชนแก้วกับเซียวเหิง แล้วคุยติดตลกไปด้วย

แต่ก็ไม่เคยคิดว่า ประธานเซียวอายุยังน้อยคนนี้ยอมรับแบบเปิดเผย“เป็นเช่นนั้นจริงๆ สายตาท่านผู้อำนวยการหวังยังคงหลักแหลมเหมือนเดิม”

ผู้อำนวยการหวังสีหน้าประหลาดใจ“เป็นคุณหนูบ้านไหน ช่างโชคดีเช่นนี้ สามารถทำให้ประธานเซียวโปรดปรานได้”

เซียวเหิงโบกไม้โบกมือ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม“ผู้อำนวยการหวังพูดเช่นนี้ไม่ได้ เป็นผมเซียวเหิงที่โชคดีได้พบเธอ ในชีวิตนี้ ได้พบเจอเธอ ถือเป็นบุญวาสนาของผมเซียวเหิง ถ้าหากสามารถแต่งงานกับเธอ ยิ่งเป็นบุญวาสนาที่ยิ่งใหญ่ของผมเซียวเหิงในชาตินี้ ”

ขณะที่พูด ก็มีเสียงโกลาหลดังมาจากข้างหน้า

เซียวเหิงกับผู้อำนวยการหวังก็ถูกเสียงโกลาหลนั้นดึงดูดสายตา ให้มองไปทางประตูใหญ่

“นั่นคือ……ประธานเสิ่นแห่งเสิ่นซื่อกรุ๊ปหรือ” ผู้อำนวยการหวังที่อยู่ข้างๆพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ“ไม่เคยได้ยินว่างานเลี้ยงกลางคืนในวันนี้ นักล่าใหญ่แห่งวงการจะมาร่วมงานด้วยนะ ”

ขณะที่พูด หันทางไปถามเซียวเหิงอีกครั้ง“ประธานเซียว คุณรู้หรือไม่ว่าตระกูลเสิ่น……”

ตอนที่ผู้อำนวยการเสิ่นหันหน้าไปมองเซียวเหิง คนหลังไม่ได้สนใจเขาเลย ห่วงแต่เอาแก้วเหล้าในมือวางลง แล้วเดินตรงดิ่งไปทางประตูใหญ่

ผู้อำนวยการหวังสีหน้าดูประหลาดใจ เขาจ้องมอง ร่างที่เป็นเป้าหมายของประธานเซียวน้อยตรงประตูใหญ่ที่ทำให้เกิดความโกลาหลจนนับไม่ถ้วน

ประธานเซียวน้อยย้ายถิ่นฐานไปอยู่อเมริกา กลับมาประเทศจีนยังไม่ถึงหนึ่งปี ส่วนประธานเสิ่นตั้งถิ่นฐานรกรากอยู่ในประเทศจีนมาโดยตลอด สองคนนี้ ไปพบกันตั้งแต่เมื่อไหร่

เกี่ยวกับเรื่องระหว่างเซียวเหิงกับเสิ่นซิวจิ่นในวัยเด็กนั้น คนในแวดวงธุรกิจทุกวันนี้ รู้กันไม่มาก

ทันทีที่เสิ่นซิวจิ่นปรากฏตัว จึงทำให้เกิดความโกลาหลขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ดวงตาเป็นประกาย ตอนที่เห็นเขาปรากฏตัวที่ประตูใหญ่

พวกผู้ชายนั้นอยากเดินเข้าไปทักทาย ให้พอคุ้นหน้าคุ้นตา ส่วนพวกผู้หญิงนั้นตกแต่งใบหน้า ดึงกระโปรงให้เข้าที่เข้าทาง จัดแต่งทรงผมอีกครั้ง สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่เสิ่นซิวจิ่น

แล้วหัวของผู้คนก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง คนทั้งสองข้างเปิดทางออก แล้วเผยให้เห็นร่างของเซียวเหิง

“โอ้ นี่ไม่ใช่ประธานเสิ่นหรือ” บนใบหน้าหล่อเหลาของเซียวเหิง ทะลึ่งยิ้มชั่วร้าย มือข้างหนึ่งใส่ในกระเป๋ากางเกงชุดสูท เดินไปทางชายที่อยู่ตรงประตูใหญ่ด้วยท่าทางสง่างาม“ไม่คิดว่า ประธานเสิ่นก็มีความสนใจกับงานเลี้ยงเล็กๆเช่นนี้ด้วย”

ดวงตาทรงหงส์ของเสิ่นซิวจิ่นไม่แยแส ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ สังเกตดูเซียวเหิงที่ก้าวเท้าใหญ่เดินมาทางตัวเอง “แค่ออกมาผ่อนคลาย งานเลี้ยงกลางคืนที่ไหนก็เหมือนกันหมดแหละ”

“ผ่อนคลายหรือ…..อ๋อ ช่วงนี้ประธานเสิ่นพบเจอเรื่องลำบากใจอะไรหรือ”ขณะที่เซียวเหิงพูด“ผมเชิญประธานเสิ่นไปเที่ยวตงหวงกันไหม”

ดวงตาทรงหงส์ลุ่มลึกของเสิ่นซิวจิ่น หรี่ลงทันที จ้องไปที่เซียวเหิง……รู้ทั้งรู้ว่าตงหวงเป็นของเขา……นี่เซียวเหิงเจตนาจะยั่วยุเขา

เขาทำท่าขยับมุมปากเหมือนน่าเบื่อหน่าย แล้วเขาก็กวักมือเรียกพนักงานเสิร์ฟที่อยู่ไม่ไกลออกไป พนักงานบริการรีบยกถาดเดินเข้ามา หยิบไวน์แดงจากถาดหนึ่งแก้ว ยื่นให้เซียวเหิง ตัวเองก็ยกขึ้นหนึ่งแก้ว “ประธานเซียวเป็นห่วงผมเช่นนี้ ก็จะต้องเป็นห่วงตัวเองให้มากด้วย ทำไมผมถึงเห็นรอยคล้ำใต้ดวงตาของประธานเซียวเพิ่มขึ้นอีกแล้ว ช่วงนี้ ไม่ได้นอนดึกใช่ไหม”

มือเซียวเหิงที่ยกแก้วไวน์แดงไว้สั่นเล็กน้อย จากนั้นก็ดื่มไวน์แดงหมดแก้วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้ววางแก้วลงในถาดของพนักงานบริการที่อยู่ข้างๆ และหันมาจ้องมองเสิ่นซิวจิ่น

“นอนดึกอยู่ไม่น้อย ไม่นอนดึกแล้ว จะรับมือกับการหาเรื่องของประธานเสิ่นรอบแล้วรอบเล่าได้อย่างไร”

“เฮ้ย ในวงการธุรกิจ ไม่มีใครหาเรื่องใคร มีเพียงใครแกร่งใครอ่อนแอเท่านั้น” เสิ่นซิวจิ่นพูดเรียบๆหนึ่งคำ แล้วแกว่งแก้วไวน์แดงในมือไปมา โดยไม่ดื่มสักคำ จากนั้นก็วางกลับไปที่ถาดอีกครั้ง ดวงตาทรงหงส์ที่เย็นชา กวาดมองไปข้างๆ

“ผมเคยพูดแล้ว ของของผม ถึงผมจะไม่เอาแล้ว ก็จะไม่ให้คนอื่น ประธานเซียวสู้ๆ การนอนดึกหลายคืน อาจจะสามารถฟื้นตัวจากเกมพ่ายได้ ก็ไม่แน่นะ ”

รอยยิ้มบนใบหน้าเซียวเหิงค่อนข้างแข็งทื่อ มากกว่านั้นคือการไม่ยอมแพ้ “ประธานเสิ่นเน้นย้ำตลอดเวลาว่าของที่ตัวเองไม่เอาแล้ว…….ฮาๆ ประธานเสิ่นคุณห่วงใยเธอขนาดนี้ แต่บอกว่าตัวเองไม่สนใจ ประธานเสิ่น คุณคงไม่ใช่ว่ารักแล้วไม่ได้ จึงเกิดความอิจฉาในใจใช่ไหม ”

อุณหภูมิในดวงตาของเสิ่นซิวจิ่นลดลงทันที สายตาที่เย็นชาจับจ้องไปที่ใบหน้าเซียวเหิง“ผมจะเป็นอย่างไร ไม่ต้องให้ประธานเซียวมาห่วงใย ประธานเซียวดูแลตัวเองก่อนเถอะ”

พูดจบแล้ว ก็เดินอ้อมเซียวเหิงจากไป

ถึงแม้ว่าบรรยากาศของทั้งสองคนจะไม่ค่อยกลมกลืนนัก แต่ว่าต่างก็กดน้ำเสียงให้เบา จึงทำให้คนข้างๆไม่ได้ยินว่ากำลังพูดอะไร เห็นเพียงผู้ชายดีๆทั้งสองคนกำลังพูดคุยธุรกิจกัน

เสิ่นซิวจิ่นอ้อมไปข้างๆเซียวเหิง แล้วเดินไปข้างใน และเดินเข้าไปทางห้องน้ำอีกครั้ง มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ดีในใจว่าตอนนี้เขาโกรธมาก

เขาจะตกหลุมรักผู้หญิงแบบเจี่ยนถงหรือ เขาจะอิจฉาเจี่ยนถงกับเซียวเหิงหรือ

ไร้สาระ

ผู้หญิงคนนี้ เห็นแก่ตัว โลภมาก เห็นแก่เงิน ต่ำต้อย ต่ำช้า เกรงว่าผู้ชายปกติทั่วไปเห็นเธออยู่ในสายตา แล้วเขาเสิ่นซิวจิ่นจะตกหลุมรักผู้หญิงเช่นนี้ได้อย่างไร

เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

แต่อีกเสียงหนึ่ง ได้บอกเขาในใจว่าคุณมีใจให้เธอแล้ว มิฉะนั้น ทำไมคุณถึงไปโจมตีบริษัทเซียวซื่อกรุ๊ปกับตระกูลเซียวล่ะ

คุณสามารถขังเธอเอาไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้เธอก็จะไม่สามารถไปเข้าใกล้เซียวเหิงได้ ทำไมคุณไม่ทำ……คุณกลัวว่ารอยยิ้มบนหน้าเธอที่ปรากฏออกมา จะมลายหายไปอีกครั้งใช่ไหม

เสิ่นซิวจิ่นเดินเข้าไปในห้องน้ำ สายตาเย็นชาจ้องมองตัวเองในกระจก พูดในใจเงียบๆอย่างหนักแน่นว่า ไม่ ไม่ใช่ ผมเสิ่นซิวจิ่นจะไม่มีวันตกหลุมรักผู้หญิงที่จิตใจสกปรกแบบนั้นอย่างแน่นอน ที่โจมตีตระกูลเซียว บริษัทเซียวซื่อกรุ๊ป ก็เพราะว่าไม่ถูกชะตากับเซียวเหิง เซียวเหิงกล้าแตะต้องสิ่งของของผม จะต้องได้รับการสั่งสอนเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็เท่านี้เอง

เซียวเหิงได้กลับถึงบ้านนานแล้ว โดยไม่รอให้งานเลี้ยงเลิกรา

ค่ำคืนเงียบสงบ ที่ห้องหนังสือชั้นสอง ตรงหน้าต่างยังมีแสงไฟสว่างอยู่

ข้างหลังโต๊ะหนังสือ มีชายคนหนึ่งกำลังนั่งทำงานอย่างขะมักเขม้น

นิ้วมือของเซียวเหิงเคาะไปที่แป้นพิมพ์ไม่หยุด ยุ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยกกาแฟข้างๆขึ้นมา ดื่มลงท้องแทนน้ำชา แล้วก็ก้มหน้าก้มตาทำงานขึ้นมาอีกครั้ง

เสิ่นซิวจิ่นพูดถูก——ถ้าหากเขากล้าที่จะประมาทเลินเล่อและละเลย จะไม่สามารถรับมือการโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าจากเสิ่นซิวจิ่นได้

มีเพียงเวลานี้เอง ที่เซียวเหิงรู้สึกได้ถึงความไร้อำนาจ…….ตอนวัยเด็กเขากับเสิ่นซิวจิ่น เป็นทั้งเพื่อนและศัตรู จะต้องแข่งขันกันทุกอย่าง แต่เขาไม่เคยชนะเลย

ตอนนั้นไม่ยอมแพ้ การไม่ยอมแพ้นี้ จนกระทั่งเติบโต จนถึงวันนี้ ก็ยังเหมือนเดิม

เพียงแต่ว่า เสิ่นซิวจิ่นเป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ ตอนที่ปะทะมือกับเขาเซียวเหิงถึงค้นพบว่า บุคคลนี้มีพรสวรรค์เฉพาะตัวในวงการธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นด้านวิธีการหรือว่าด้านเงินทุน

“ตอนเด็กไม่เคยชนะ ครั้งนี้จะแพ้ไม่ได้” มีเพียงเจี่ยนถงเท่านั้น ที่ไม่สามารถจะแพ้ให้คนแซ่เสิ่นได้

เวลาตีสี่ ไฟในห้องหนังสือของเซียวเหิงถึงดับลง

เมื่อเจี่ยนถงออกจากบ้าน เห็นผู้ชายที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงลำลองคนนั้นอยู่ใต้ต้นไทรแก่ต้นนั้นอีกแล้ว

ภายในตามีความตกตะลึงเล็กน้อย “คุณเซียว”

เขาไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเธอเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว

ในวันนี้อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหัน

“ไป หิวแล้วใช่ไหม” ผู้ชายที่อยู่ใต้ต้นไม้เดินมาข้างหน้า ยื่นมือออกมาที่เธออย่างอัตโนมัติ จับมือของเธอไว้ เจี่ยนถงอยากจะหลบ ทันใดนั้น เซียวเหิงเงยหน้าขึ้นมา “คุณก็รู้อยู่ แรงของคุณไม่เคยใหญ่เท่าผม”

ความหมายโดยนัยคือกำลังเตือนเจี่ยนถง:ไม่ต้องทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์

“ขึ้นรถ ช่วงนี้ยุ่งมาก ไม่ได้กินบะหมี่เนื้อวัวของลุงหูมาหลายวันแล้ว ไปกินเป็นเพื่อนผมหน่อย”

เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นมาเงียบๆ มองเซียวเหิงที่อยู่ตรงข้างหน้าแวบหนึ่ง ยกขาขึ้นมา เข้าไปนั่งอยู่ในรถ…เฮ้อ มีเรื่องอะไรที่จะพูด รอกินบะหมี่กับเขาเสร็จค่อยพูดเถอะ

ตลอดทาง สองคนดูมีความรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

เหมือนเซียวเหิงจะไม่ค่อยชอบพูดสักเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับชายหนุ่มที่อยู่ในความทรงจำของเจี่ยนถงแล้ว นี่มันคนสองคนชัดๆ

เธอแอบไปเหลือบมองเซียวเหิงที่ขับรถอยู่ข้างๆ หลายครั้งตลอดทาง

เจี่ยนถงยิ่งมั่นใจการคาดเดาในใจกว่าเดิม…สีหน้าของเซียวเหิงดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถึงแม้หน้าตาจะสะอาดสบายตา แต่ความบวมใต้ตาและขอบตาดำกลับมิอาจปกปิดได้

สองคนลงจากรถ เจี่ยนถงก็ตามเซียวเหิงเข้าไปร้านบะหมี่เนื้อวัวเหมือนเมื่อก่อน

ตอนที่กินข้าว มือถือของเซียวเหิงดังไม่หยุด ข้อความส่งมาอยู่ตลอดเวลา

พอได้ทานข้าวมื้อหนึ่งแล้ว ในใจเธอครุ่นคิดว่ารอกินบะหมี่เสร็จ ก็ควรคุยกับชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ คนนี้ให้เข้าใจกันแล้ว

“เซียว…” เธอวางตะเกียบในมือลง กำลังจะพูดขึ้นมา

มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะของเซียวเหิงก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

รอบนี้ไม่ใช่ข้อความ เซียวเหิงดูมือถือ ระหว่างคิ้วกองกันเป็นเนินเขา หยิบมือถือที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา ลุกขึ้นเดินไปข้างนอกด้วย บอกกับเจี่ยนถงด้วยว่า “รอสักครู่ ผมรับมือถือแป๊บหนึ่ง” จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอกร้านบะหมี่อย่างรวดเร็วแล้ว

เจี่ยนถงดูไปทางนอกประตู เหมือนเซียวเหิงกำลังอารมณ์เสียอยู่ เดินไปเดินมาไม่หยุด ในใจมีความสงสัยโผ่ขึ้นมา รอเซียวเหิงกลับมา เจี่ยนถงกะพริบตา เห็นความวิตกกังวลและความโกรธเคืองในตาของชายหนุ่มคนนี้อย่างชัดเจน

ส่วนเนินเขาระหว่างคิ้วของเขายิ่งลึกกว่าเดิมแล้ว

“คุณเซียว ช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นเหรอ”

เซียวเหิงนึกไม่ถึงว่าเจี่ยนถงที่เงียบๆ ไม่ค่อยพูดอะไรมาตลอด อยู่ๆ จะมาถามเขาแบบนี้

เงยหัวขึ้นมา “ทำไมถึงถามแบบนี้เหรอ”

“ฉัน…ก็แค่รู้สึกว่าคุณ ช่วงนี้เหมือนจะมีเรื่องเก็บไว้ในใจ”

หลังจากเจี่ยนถงพูดจบ ก็รู้สึกเสียใจที่ทำแบบนี้แล้ว…เซียวเหิงมีเรื่องเก็บไว้ในใจหรือไม่ หรือว่าเขาเกิดเรื่องอะไรจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองควรยุ่งเกี่ยวด้วยอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นคือวันนี้ยังเตรียมจะคุยกับเขาให้รู้เรื่อง ไม่ว่าการสารภาพรักของเขาที่มีต่อเธอจะจริงหรือปลอม มีความจริงใจเท่าไหร่ เจี่ยนถงก็รู้สึกไม่ควรลากคนคนหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยเข้ามาในนรกจากใจจริง

แต่วินาทีนี้ในใจเซียวเหิงกลับดีใจ ดูเจี่ยนถงที่ก้มหน้าลงและไม่ยอมพูดคุย ในใจรู้สึกหวานมาก…นี่เจี่ยนถงเธอกำลังเป็นห่วงตัวเองอยู่เหรอ

“ไม่มีอะไร” เนินเขาระหว่างคิ้วของเขาคลายออกเล็กน้อย เพิ่มความอ่อนโยนนิดหน่อย “เรื่องในบริษัท เสี่ยวถงไม่ต้องกังวล เรื่องแค่นี้เอง ผมสามารถจัดการได้”

“ออ…” เธอคิดว่าถ้าไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่โตมากขนาดไหน เช่นนั้น ก็ถึงเวลาพูดคำพูดที่ไม่เคยเปิดเผยเหล่านั้นแล้ว “จริงๆ แล้ว วันนี้ฉันอยากจะบอกคุณ…” อดีตของฉัน…

“อย่างเวิ้งว้าง…” เสียงเรียกเข้ามือถือที่คุ้นเคยดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง พอเสียงเรียกเข้านี้ดังขึ้นมา เจี่ยนถงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ คนนี้มีลมหายใจอันมืดเย็นลอยขึ้นมาในชั่วขณะ “เสี่ยวถง ผมส่งคุณกลับบ้านก่อน วันนี้บริษัทผมมีประชุมวิสามัญ”

เซียวเหิงกวาดสายตามองหน้าจอมือถือแวบหนึ่ง ไม่ได้รับสาย ปล่อยเสียงเรียกเข้าอันติดหูเพลงนั้นดังก้องอยู่ในร้านบะหมี่เล็กๆ นี้ แต่กลับทิ้งแบงก์สีแดงเหลือไว้อย่างปราดเปรียว ดึงแขนของเจี่ยนถงขึ้นมา เดินไปที่รถของเขาอย่างเร่งรีบ

ขึ้นมาบนรถ ในที่สุดเซียวเหิงก็นึกขึ้นมาได้ว่า ก่อนหน้านี้เหมือนเจี่ยนถงมีอะไรจะพูด “ใช่แล้ว เมื่อกี้คุณอยากจะพูดอะไรเหรอ คุณอยากบอกเรื่องอะไรกับผม”

“ฉัน…” อยากบอกอดีตของฉันให้คุณ ผู้หญิงที่อยู่ตรงเบาะข้างคนขับ ตอนแรกอยากจะพูดแบบนี้ หลังจากนั้นลองคิดดูแล้ว เธอลังเลได้สักพัก ยังคงตัดสินใจว่าเรื่องนี้ยังไงก็ต้องพูดออกมาไม่นานก็ช้า ไม่จำเป็นต้องรีบในชั่วครู่ชั่วยาม แต่เหมือนเซียวเหิงจะมีเรื่องที่จัดการยากจริงๆ คิดไปคิดมา คำพูดที่อยู่ตรงปากก็ได้แก้ไขแล้ว “ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไรมากนัก รอช่วงนี้คุณเซียวยุ่งเสร็จ ฉันค่อยบอกคุณก็ไม่สาย”

ในตาของเซียวเหิงอ่อนโยนอีกครั้ง…ผู้หญิงคนนี้เริ่มเป็นห่วงตัวเองโดยไม่รู้สึกตัวแล้ว

ไม่ว่าเสิ่นซิวจิ่นเคยมีบทบาทอะไรในชีวิตที่ผ่านมาของเธอ พวกเขาเคยมีเรื่องราวอย่างไหนก็ตาม เขาแค่อยากอยู่เคียงข้างผู้หญิงคนนี้ตลอดไป เซียวเหิงเชื่อว่า การอยู่เคียงข้างกันคือคำสารภาพรักที่ยั่งยืนที่สุด เธอเคยชินกับการมีอยู่ของเขา เคยชินกับการอยู่เคียงข้างกันของเขา…ดังนั้น สุดท้ายแล้วอดีตก็เป็นได้แค่อดีต เป็นได้แค่เรื่องราวมุมหนึ่งในความทรงจำเท่านั้นเอง

ถ้าเจี่ยนถงรู้ว่าเซียวเหิงคิดแบบนี้ เช่นนั้นวันนี้ไม่ว่ายังไงเธอก็จะไม่ใจอ่อน ไม่ไปล่าช้าเวลานี้อีก

“ช่วงนี้…ช่วงนี้ยุ่งหน่อย เสี่ยวถง คุณอยู่ดีๆ นะ ผมจะมาหาคุณให้เร็วที่สุด ก่อนหน้านี้ต้องปกป้องตัวเองให้ดี อย่าได้รับบาดเจ็บ สัญญากับผมนะ”

หัวใจของเจี่ยนถงเพิ่มความเร็วขึ้นมาครึ่งจังหวะอย่างกะทันหัน มองลงไปข้างล่าง ตกลงมาตรงมือใหญ่ที่คลุมมือของเธอไว้แน่นๆ ของเซียวเหิง ในใจอยู่ๆ ก็สั่นขึ้นมา…จะให้ไม่ซึ้งใจยังไงล่ะ

มีคนคนหนึ่งบอกกับเธอว่า ปกป้องตัวเองให้ดี อย่าได้รับบาดเจ็บ

เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นมา สายตาตกลงมาที่ใบหน้าของชายหนุ่มคนนี้ แรงกระตุ้นที่อยากจะพูดทุกอย่างในลำคอออกมาให้ชัดแจ้ง กางอดีตของเธอออกมาต่อหน้าเขา ให้เขารู้อย่างชัดเจนว่าตกลงเธอเป็นใคร และเธอเป็นคนยังไง…เธออยากบอกความจริงให้เขา…เท่ากับว่าบอกตัวเองออกมาให้เป็นชั้นๆ เปิดเผยด้านที่น่าเกลียดที่สุดออกมาต่อหน้าเขา

แต่เธออยากพูดว่าวินาทีนี้เธอมีแรงกระตุ้นนี้อย่างรีบร้อน

“คุณเซียว ฉันชื่อเจี่ยนถง ‘เจี่ยน’ที่เป็นของตระกูลเจี่ยนนั้น!” เธอเปิดปากอย่างกะทันหัน รวบรวมความกล้าหาญทั้งหมด หลับตาลง ตะโกนพูดออกมาอย่างรุนแรง!

ใช่ คือ“ตะโกน” ขณะนี้หัวใจเธอเต้นเร็วมาก เธอกลัวว่าถ้าเธอไม่ตะโกนออกคำพูดเหล่านี้ออกมาสุดแรง เธอก็จะไม่มีความกล้าหาญที่จะพูดออกมาอีกแล้ว

“เจี่ยนที่เป็นของตระกูลเจี่ยนนั้น” ที่เน้นเป็นพิเศษ เจี่ยนถงกัดฟันไว้ ตัดสินใจว่าไหนๆ ก็พูดออกมาแล้ว เช่นนั้นก็พูดออกมาให้หมดเลย “ฉันเคยทำ…”

หัวเราะ “คึๆ” ออกมาเบาๆ ริมฝีปากร้อนขึ้นมาอย่างกะทันหัน แค่ชั่วขณะเดียว เสียงอ่อนโยนที่อยู่ข้างหูนั้นพูดว่า “ผมรู้อยู่แล้ว คุณคือเจี่ยนถง ไม่ว่าคุณเคยทำอะไร ผมชอบคุณนะ เสี่ยวถง”

เจี่ยนถงลืมตาขึ้นอย่างงงงัน สิ่งที่เข้าตา คือรอยยิ้มอันสดใสของชายหนุ่มคนนั้น เผยฟันขาวออกมา ในตานอกจากหยอกล้อแล้ว ยังมีความรักใคร่อันอ่อนโยนที่เธอมิอาจมองเข้าไปตรงๆ ได้ “คุณเซียว…” เธองงงันกว่าเดิม

“ลงรถเถอะ รอผมจัดการทุกอย่างนี้เสร็จเรียบร้อย ผมก็มาหาคุณ”

เซียวเหิงโดนท่านแก่เซียวตีอีกแล้ว ตอนไป เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ใส่อยู่สะอาดไม่มีคราบ เมื่อออกมาจากบ้านใหญ่อีก เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกย้อมด้วยเลือด

พ่อบ้านเหล่าหลี่วิ่งตามออกมา “คุณชาย ถือไว้”

เซียวเหิงกวาดสายตามองไปที่ยาครีมในมือของพ่อบ้านเหล่าหลี่ ความเยือกเย็นในตาจางหายไปเล็กน้อย ยื่นมือรับมา “ขอบคุณลุงหลี่”

พ่อบ้านลังเลสักพัก เรียกเซียวเหิงก่อนที่เขาจะขึ้นรถ “คุณชาย คุณก็…จำเป็นต้องทำแบบนี้ไหม”

“ลุงหลี่ ท่านไม่เข้าใจ”

“ก็แค่ผู้หญิงหนึ่งคน…ถ้าคุณชายอยากได้ ในอนาคตยังจะมีอีกเยอะแยะมากมาย”

“ผู้หญิงมีเยอะแยะมากมาย เจี่ยนถงมีแค่คนเดียว”

“เฮ้อ…ท่านแก่ไม่มีทางให้ผู้หญิงแบบนั้นเข้าประตูบ้านตระกูลเซียวหรอก คุณชายจำเป็นต้องพยายามขนาดนี้ไหม คนนั้นของตระกูลเสิ่นไม่ใช่คบหากันได้ง่ายนัก ก่อนหน้านี้คุณก็ไม่เคยสัมผัสธุรกิจของเซียวซื่อ ตอนนี้คุณจู่ๆ ก็มารับช่วงต่อ เป็นข้อต้องห้ามของอาชีพนี้แล้วนะ

คุณชายสามารถรับช่วงต่อ ทุกวันนี้ทำถึงระดับนี้แล้ว ก็ทำให้ท่านแก่รู้สึกตกใจมากแล้ว

แต่ว่าคุณชาย วันนี้ผมลุงหลี่ขออาศัยที่ตนมีอายุมากและเป็นผู้อาวุโสทีเถอะนะ” พ่อบ้านเหล่าหลี่พูดว่า “ตอนเด็ก ไม่ว่าเรื่องอะไรคุณชายก็ชอบแข่งกับเด็กแสบของตระกูลเสิ่นคนนั้น ผู้ใหญ่ของตระกูลเซียวและตระกูลเสิ่นทั้งสองตระกูลล้วนเห็นแก่ตา

คุณชายตอนสมัยเด็กๆ คุณแพ้เยอะมาก

วันนี้คุณชายและเด็กแสบของตระกูลเสิ่นคนนั้นก็ล้วนโตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว”

เหล่าหลี่ก็ไม่ไว้หน้าให้เซียวเหิงสักนิดเดียวเลยจริงๆ ถามตรงๆ ว่า “คุณชาย คุณก็คงเคยได้สัมผัสอุบายและความสามารถของคนนั้นของตระกูลเสิ่นแล้ว

คนในกี่รุ่นนี้ของตระกูลเสิ่น ถือว่าเสิ่นซิวจิ่นใจร้ายที่สุดโหดเหี้ยมที่สุดแล้ว แต่กลับเป็นคนแบบนี้ที่ความสามารถกับสภาพจิตใจยังเสนียดจัญไรมาก กลับเป็นคนแบบนี้ที่ยิ่งเลือดเย็นด้วยซ้ำ

คุณชาย คนแบบนี้ ถ้าไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้ ก็ไม่ควรเป็นศัตรูกับแก หลักการเช่นนี้ คุณชายควรรู้อยู่แล้ว”

รู้แต่ทำไม่ได้

ทั้งๆ ที่รู้ก็ยังจงใจละเมิด จึงเป็นสิ่งที่ผิดที่สุด

ส่วนคนฉลาดอย่างคุณชายของพวกเขา กลับทำผิดสิ่งที่ไม่ควรทำผิด

ในใจเหล่าหลี่อดไม่ไว้ที่จะมีความไม่พอใจต่อผู้หญิงที่ชื่อเจี่ยนถงคนนั้น

สองมือที่วางอยู่บนพวงมาลัยของเซียวเหิงค่อยๆ กุมแน่นตามคำพูดของเหล่าหลี่…พอเงยหน้าขึ้นมา เหล่าหลี่ยิ้มออกมา ถามพ่อบ้านเหล่าหลี่ว่า “ลุงหลี่ ทุกคนล้วนคิดว่าผมจะแพ้ใช่ไหม”

คาดคิดไม่ถึงว่าเซียวเหิงจะถามแบบนี้ ทันใดนั้น เหล่าหลี่อึ้งมาก พูดอะไรไม่ค่อยออก “คุณชาย…ไม่ได้หมายถึงแบบนี้…”

เซียวเหิงยิ้มแห้งทีหนึ่ง “ลุงหลี่” เขากวาดสายตามองแขนเสื้อเสื้อเชิ้ตที่ย้อมด้วยเลือดตรงแขนตัวเอง “ไม้เท้าของคุณปู่ตีลงมาที่ตัวมันเจ็บมากเลย แต่ถ้าให้ผมละทิ้งยัยโง่คนนั้น มันเจ็บยิ่งกว่าถูกไม้เท้าร้อยอันของคุณปู่ตีตรงร่างกาย”

พูดอยู่ก็สตาร์ตรถ โบกมือให้พ่อบ้านเหล่าหลี่ที่หน้าตะลึงทั้งใบ “ผมรู้ว่าผมในตอนนี้ยากที่จะชนะเสิ่นซิวจิ่นได้ แต่ดีที่ความไม่ถนัดชดเชยได้ด้วยความขยัน สถานการณ์ในตอนนี้ยังไม่ถือว่าแย่มาก ถึงแม้ว่าความเสียหายก่อนหน้านี้จะไม่ได้ชดเชยกลับมา แต่สถานการณ์ในทุกวันนี้ก็ได้ดีขึ้นแล้ว ลุงหลี่…ยังไม่ถึงเวลาที่ผมต้องยอมแพ้เลย”

สีหน้าของเหล่าหลี่ซับซ้อน “คุณชาย ผู้หญิงที่ชื่อเจี่ยนถงคนนั้น คุ้มพอที่จะให้คุณชายยอมทำให้ท่านแก่โมโห ยอมแบกความกดดันจากบริษัท แบกความกดดันจากผู้ถือหุ้น แบกความกดดันจากครอบครัวใหญ่ของเซียวซื่อ ไม่เสียดายทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ไม่ยอมละทิ้งเลยเหรอ มันคุ้มเหรอ”

ริมฝีปากของเซียวเหิงเปิดออก แทบไม่เคยลังเล “คุ้ม” เขาแน่วแน่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ “ลุงหลี่ บริษัทยังมีเรื่องให้ผมไปจัดการอยู่ ผมขอตัวไปก่อน”

รถยนต์ค่อยๆ ขับออกไป ริมฝีปากของเซียวเหิงโค้งขึ้น คิดถึงเจี่ยนถงขึ้นมาอีก จับริมฝีปากบางของเขา นี่คือผู้หญิงคนแรกที่จูบเธอครั้งหนึ่งก็ทำให้ใจเขาเต้นแรงขนาดนี้…ผู้หญิงบนโลกใบนี้มีเยอะแยะมากมาย แต่เจี่ยนถงมีแค่คนเดียว

เพื่อเธอ เขาสามารถแบกรับความกดดันจากตระกูลไว้ แบกรับความกดดันจากบริษัทและผู้ถือหุ้นไว้!

ไม่ยอมแพ้! เด็ดขาด!

หัวใจของเขาตื้นตันราวกับความเร็วของรถคันนี้! …เสิ่นซิวจิ่น เขาเป็นใคร!

……

ครึ่งเดือนผ่านไป

เจี่ยนถงเจอเซียวเหิงอีกครั้ง เขาผอมลงเยอะมาก แต่คนกลับมีชีวิตชีวามากขึ้น โดยเฉพาะความสดใสในดวงตาในขณะนี้

“ไป! ผมพาคุณไปที่หนึ่ง” ไม่ให้คนได้พูดได้จาอะไร ก็ดึงคนขึ้นไปบนรถแล้ว

“ไปไหนเหรอ”

“เดี๋ยวไปถึงก็รู้แล้ว” เขาพูดอีกว่า “คืนนี้ลางานเถอะ”

“…”

“ลาแค่วันนี้วันเดียวเอง ได้ไหม”

“…” ไม่ดี

“เฮ้อ…ชีวิตผมช่างโชคร้ายจริงๆ เลี้ยงบะหมี่เนื้อวัวให้ใครบางคนตั้งหลายมื้อ…ใครบางคนกลับไม่รู้จักขอบคุณเลย จุ๊ๆๆ กินบนเรือนขี้รดบนหลังคาเฮ้ย” ผู้ชายที่อยู่บนเบาะคนขับ ขับรถไปด้วย เหมือนจะพูดพึมพำกับตัวเองไปด้วย แต่เสียงกลับดังจนเจี่ยนถงอยากจะเพิกเฉยก็ยาก

“เฮ้อ…เสียดายบะหมี่เนื้อวัวตั้งหลายถ้วยเลยจริงๆ เลี้ยงให้ใครบางคนกินฟรีๆ แล้ว”

เจี่ยนถงยังคงเงียบต่อไป ไม่ออกความคิดเห็น

“บะหมี่เนื้อวัวน้อบะหมี่เนื้อวัว…เธอตายได้น่าสงสารจริงๆ เลย ใครๆ ก็พูดกันว่ากินของเขา รับของเขา ปฏิเสธไม่ได้ ผู้หญิงบางคนกินบนเรือนขี้รดบนหลังคามากเกินแล้ว กินบะหมี่เนื้อวัวของผมไปตั้งหลายถ้วย แค่ลาวันเดียวยังไม่ยอมเลยน้อ”

“…” เจี่ยนถงเริ่มมีแรงกระตุ้นแบบ “เลือดเดือดพุ่งพล่ำ” เล็กน้อยแล้ว ส่วนความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้มีมานานมากแล้ว อย่างน้อยช่วงนี้ที่เซียวเหิงหายไป อารมณ์ของตัวเองก็ไม่เคยผันผวนแบบนี้

“บะหมี่เนื้อวัวของผมน้อ…”

เจี่ยนถงบดฟัน ในที่สุด…

“ความจริง…” เธอค่อยๆ เปิดปาก ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ ตาสว่างขึ้นมา……ในที่สุดเธอก็ยอมพูดแล้ว “ความจริง…ฉันไม่ได้ชอบกินบะหมี่เนื้อวัว”

ข้างๆ มุมปากที่โค้งขึ้นของผู้ชายจู่ๆ ก็ชะงักลง สั่นคลอนอย่างพะอืดพะอมได้ครู่หนึ่ง “แค่ก แค่กๆ…คุณพูดว่าอะไรนะ อยู่ๆ ผมก็หูหนวกไม่ได้ยินแล้ว! ไม่!ได้!ยิน!”

“ฉันบอกว่า” ในตาเจี่ยนถงมีความจำใจลอยผ่าน “ฉันสัญญากับคุณ คืนนี้จะลา แต่คุณต้องบอกฉันว่าจะทำอะไร”

เธอเพิ่งพูดจบ ผู้ชายข้างๆ ที่อยู่ตรงเบาะคนขับก็หันหน้ามาอย่างดีใจถามเธอว่า “จริงเหรอ จริงๆ ใช่ไหม”

“…ไหนคุณเซียวหูหนวกแล้วไม่ใช่เหรอ”

“หูหนวกชั่วคราว ตอนนี้หายดีแล้ว”

“…” ถึงแม้คนอย่างเจี่ยนถงอารมณ์ไม่ค่อยผันผวนมากเท่าไหร่ ใช้ชีวิตอย่างเย็นชา ขณะนี้หน้าก็ยังสั่นกี่ทีอย่างสงสัย เธอก้มหน้าลงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ตามองจมูก จมูกมองใจ

มุมตาของเซียวเหิงกวาดสายตามองเห็นฉากนี้ ในตามีรอยยิ้มลอยผ่าน

เจี่ยนถงนึกขึ้นมาได้อีกว่า “คุณเซียว คุณยังไม่ได้บอกฉันเลย ทำไมฉันต้องลา คุณจะไปทำอะไรเหรอ”

กำลังพูดอยู่ รถก็เบรกและจอดลง

“ถึงแล้ว” เซียวเหิงเปิดปากยิ้มให้เธอ “ลงรถกันเถอะ เดี๋ยวคุณก็จะรู้ในเร็วๆ นี้”

เจี่ยนถงทำหน้าสงสัย เซียวเหิงลงไปจากรถแล้ว เดินอ้อมไปฝั่งเบาะข้างคนขับ เปิดประตูรถออกมาให้เธอ “เสี่ยวถง ลงรถ”

เจี่ยนถงดูอาคารที่อยู่ข้างหน้าแวบหนึ่ง จัดวางโครงสร้างใหม่จากโรงงานเก่าแห่งหนึ่ง ไม่ถือว่าหรูหรา…เธอโล่งใจได้สักที เซียวเหิงจับมือเธอขึ้นมาเดินเข้าไปข้างในโดยที่ไม่ให้เธอมีโอกาสได้พูดอะไรเลย

หลังจากที่เข้าไปแล้วจึงพบว่าที่นี่ถือว่าเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจและดื่มน้ำชา

“เสี่ยวถง เค้กแบล็คฟอเรสต์ของที่นี่อร่อยมากนะ เดี๋ยวสั่งให้ชุดหนึ่ง คุณลองชิมดู”

เซียวเหิงพูดไปด้วย พาเจี่ยนถงเดินเข้าไปยังห้องส่วนตัวที่อยู่ข้างในสุดด้วย

เจี่ยนถงทำเป็นแค่ว่าเซียวเหิงจู่ๆ ก็เกิดความคิดแปลกๆ ขึ้นมาอีกแล้ว พาเธอมากินของหวาน

รอยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องส่วนตัว ดวงตาของเซียวเหิงวูบวาบขึ้นมา บอกกับเธอว่า “ผมจะแนะนำกลุ่มเพื่อนซี้ของผมตอนเรียนที่เมืองนอกให้คุณรู้จัก”

พอได้ยินปุบ เจี่ยนถงก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที “ฉันไม่…”

“แอ๊ด” เสียงเดียว เซียวเหิงกลับผลักประตูห้องส่วนตัวออกมาแล้ว “เสี่ยวถง มา ผมแนะนำให้คุณ ลู่เชน คาย์อัน เพื่อนซี้ของผมตอนเรียนที่เมืองนอก”

พอประตูเปิดออกมา ตาทั้งสามคู่อึ้งอยู่กับที่

ชั่วขณะนั้น สีหน้าของเจี่ยนถงซีดขาวทั่วหน้า!

ลู่เชนและคาย์อันก็ตะลึงเมื่อชั่วขณะที่ประตูเปิดออกมาเหมือนกัน

แต่วินาทีต่อไป ลู่เชนก็ยิ้มพูดกับเซียวเหิงว่า “ไอ้เวร เก่งน้อ เร็วได้ทันใจจริงๆ เลย” ความทรงจำที่เขามีต่อเจี่ยนถง ก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องส่วนตัววันนั้น

บนใบหน้าที่สวยยิ่งกว่าผู้หญิงของคาย์อัน มีรอยยิ้มอันน่าค้นหาลอยขึ้นมา:

“เราเจอกันอีกแล้วนะ คุณเจี่ยน”

ทั้งเซียวเหิงและลู่เชนต่างตกใจกันมาก

“พวกเธอรู้จักกันเหรอ”

เซียวเหิงหันหน้าไปยิ้มถามเจี่ยนถง “ไปรู้จักคาย์อันตอนไหนเหรอ”

แต่ขณะนี้ แขนขาของเจี่ยนถงแอบสั่นเล็กน้อย

คาดคิดไม่ถึงเลยว่าสามคนนี้จะเป็นเพื่อนซี้ด้วยกัน

ยิ่งคาดคิดไม่ถึงว่าเซียวเหิงจะพาเธอมาเจอเพื่อนที่สนิทกับเขา

เจี่ยนถงถามตัวเอง ถ้ารู้ก่อนหน้านี้แล้ว เธอยังจะมาอีกไหม

ไม่…คำตอบเด่นแจ้งและเห็นชัด

เซียวเหิงดึงเก้าอี้ออกมาให้เจี่ยนถงอย่างเอาใจใส่ “นั่งเถอะ คุณไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้ก็ได้ ลู่เชนและคาย์อันเป็นเพื่อนของผมทั้งสองคน อย่าเห็นว่าเขาสองคนเข้าหากันยาก จริงๆ แล้วเป็นคนดีมาก”

เจี่ยนถงสีหน้าซีดขาว ยิ้มอย่างอิดออด นั่งลงตามคำพูด

ลู่เชนพูดล้อเล่นว่า “เพลย์บอยอย่างคุณชายเซียว ไปรู้จักคำว่าใส่ใจตั้งแต่ตอนไหนแล้ว”จากนั้นก็เถียงต่ออีกประโยคว่า “อีกอย่าง อะไรคือฉันกับคาย์อันเข้าหากันยาก เราไม่เหมือนคนที่เข้าหากันง่ายหรือไง”

“คาย์อัน ถูกไหม” ลู่เชนพูดไปด้วย หันหน้าใช้ข้อศอกแตะคาย์อันที่อยู่ข้างๆ ไปด้วย

กลับเห็นคาย์อันจ้องมองเจี่ยนถงอย่างฮึกเหิมอยู่ตลอด

ลู่เชนขมวดคิ้ว “คาย์อัน แกอย่าจ้องคุณเจี่ยนแบบนี้สิ เดี๋ยวเธอตกใจนะ ระวังคุณชายเซียวไปชกต่อยกับแกเนอะ”

คาย์อันยิ้มเยาะ “อ้อ ใช่เหรอ” ถามเจี่ยนถงอย่างใจลอย “ผมทำให้คุณตกใจเหรอ ‘คุณ’ เจี่ยน”

คำว่า “คุณ” นั้น เมื่อคายออกมาจากปากของคาย์อัน มีความหมายแฝงเป็นพิเศษ

สีหน้าของเจี่ยนถงยิ่งซีดขาวกว่าเดิม

จู่ๆ สายตาของเซียวเหิงโฟกัสที่คาย์อัน ปลายลิ้นแตะเพดาน “ทำไมฉันรู้สึกว่าแกคิดไม่ซื่อกับแฟนฉันอ่า” เซียวเหิงไม่ชอบที่คาย์อัน จ้องมองเจี่ยนถงแบบนี้ และก็ไม่ชอบคำว่า “คุณเจี่ยน” ที่คาย์อันพูดเมื่อกี้ด้วย…ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเขาเจ้าชู้หรือหรือเปล่า แต่ครุ่นคิดยังไงก็ยังแปลกอยู่ดี

คาย์อันผ่อนลมหายใจสองคำ ตามองบน มุมตาเหลือบมองเซียวเหิงแวบหนึ่ง ทันใดนั้นรู้สึกน่าสนใจขึ้นมา กวาดสายตาไปยังเจี่ยนถงอ่อนๆ อีกครั้ง พูดอย่างเฉยเมยว่า “สบายใจได้เลย ฉันไม่รู้สึกสนใจกับประเภทนี้หรอก”

ลู่เชนอยู่ข้างๆ หันหัวกวาดสายตามองคาย์อันแวบหนึ่ง…วันนี้ไอ้เวรนี้เป็นอะไรเหรอ ทำไมแต่ละประโยคที่พูดออกมาฟังดูแปลกๆ

ความไม่พอใจลอยผ่านในตาเซียวเหิง มองลอดคาย์อันแวบหนึ่ง จากนั้นก็ยื่นมือกุมตรงหลังมือของเจี่ยนถง มุมปากโค้งขึ้น ไถ่ถามทุกข์สุขขึ้นมา “อยากกินอะไร”

“ฉัน…ห้องน้ำอยู่ตรงไหนเหรอ ฉันอยากไปเข้าห้องน้ำก่อน” ถ้ายังอยู่ภายใต้สาตตาอัน “ร้อนแรง” ของคาย์อันต่อ เธอกลัวว่าคงยืนหยัดต่อได้ไม่นานแล้ว

“ออกจากประตูเลี้ยวซ้าย”

คำพูดของเซียวเหิง เพิ่งจบลง เจี่ยนถงก็ “สวบ” ลุกขึ้นทันที รีบเดินออกไปข้างนอก

“สงสัยจะรีบจริงๆ นะเนี่ย” จู่ๆ คาย์อันก็โยนออกมาอีกหนึ่งประโยค

เซียวเหิงจ้องไปที่คาย์อันในชั่วขณะ “วันนี้แกเป็นบ้าอะไร! เห็นกูมีแฟน แกอิจฉา หมั่นไส้เหรอ”

“โธ่~กูจำเป็นไหม” ยังจะอิจฉา หมั่นไส้เหรอ กับใคร ผู้หญิงคนนั้นเหรอ

คาย์อันมองบน “แกคิดมากแล้ว กูออกไปสูบบุหรี่”

พูดอยู่ก็ดึงเก้าอี้ออก ขายาวก้าวออกไปห้องส่วนตัว

ลู่เชนไกล่เกลี่ยอย่างถูกเวลา “วันนี้แกกินระเบิด ช่างเขา”

เซียวเหิงเม้มปากไม่พูดอะไร ดูออกได้ว่าไม่พอใจ

ผ่านไปสักพัก จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมา “แกกับเสี่ยวถงรู้จักกันได้ยังไง”

ลู่เชนเงียบลงสักพัก ก็ไม่ได้บอกรายละเอียดที่พวกเขารู้จักกันออกมาตรงๆ ถามเซียวเหิงขึ้นมาว่า “พวกแกเป็นแฟนกันเหรอ ถ้าอย่างนั้นแกก็น่าจะรู้ เธอทำงานที่ไหน”

“ฉันรู้ ตงหวง เพราะฉะนั้นแกหมายถึงว่าแกกับเธอรู้จักกันที่ตงหวงเหรอ”

พอได้ยินเซียวเหิงรู้แล้วว่าเจี่ยนถงทำงานที่ตงหวง ลู่เชนโล่งอกไปที ถ้าเซียวเหิงรู้แล้ว เช่นนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังแล้ว จึงเล่าเหตุการณ์วันนั้นให้เขาฟังคร่าวๆ แน่นอน ก็ได้ละเว้นบางช่วงออก

……

เจี่ยนถงเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างตะขิดตะขวงใจ ในหัววุ่นวายไปหมด ตอนนี้เธอไม่อยากกลับเข้าไปห้องส่วนตัวมากๆ

แต่เซียวเหิงดันโทรมาหาแล้ว

“ใกล้จะเสร็จแล้ว เดี๋ยวจะรีบกลับไป” ถอนหายใจคำหนึ่ง…ไม่มีทางหลบได้หรอก

เธอเพิ่งเปิดประตูห้องน้ำออกมา แรงใหญ่คนหนึ่งก็บุกเข้าไป “ปัง” เสียงหนึ่ง ประตูถูกล็อกจากด้านนอก

“ชู่~คุณก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าคุณกับผมถูกล็อกไว้ในที่ส่วนตัวอย่างห้องน้ำแบบนี้สองต่อสองใช่ไหม” ข้างหู เสียงคุ้นเคยคนหนึ่งแนบชิดกับใบหูค่อยๆ ดังขึ้น

เจี่ยนถงสั่นทั้งตัว แขนที่อยู่ตรงบริเวณหน้าท้องเพิ่มความแรงขึ้นมา “เย็นชาขนาดนี้เลยเหรอ… ‘คุณ’ เจี่ยน คิดไม่ถึงเลยว่าแผนการของคุณสูงจริงๆ เลย จงใจดึงดูดความสนใจจากผม และยังยั่วคุณชายเซียวที่ทั้งหล่อทั้งรวยคนนั้นได้ด้วย”

“ฉันไม่ได้ทำ” ฉันไม่ได้จงใจดึงดูดความสนใจจากคุณ และยิ่งไม่มีใจอยากไปยั่วผู้ชายคนไหนอีกด้วย รวมทั้งเซียวเหิง

“โธ่~ในปากบอกว่าไม่ใช่ ก็เหมือนกับ…ร่างกายบอกว่าไม่เอา” พูดไปด้วยใบหูของเจี่ยนถงก็เจ็บไปด้วยอย่างกะทันหัน เธอเจ็บจนขมวดคิ้วขึ้นมา ฟันของคนนั้นกัดที่ใบหูของเธอแรงๆ คนนั้นพูดเยาะเย้ยว่า “คุณดูสิ เจ็บก็ร้องออกมาสิ~หรือว่าคนที่ทำอาชีพนี้อย่างพวกคุณ ใส่หน้ากากไว้บนหน้า ชิมกับการไม่จริงใจทุกเวลาแล้ว

จริงๆ แล้วเจ็บมาก แต่กลับสามารถทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ออๆๆ…ก็เหมือน ‘นักแสดงหญิง’ ใน ‘หนังแอ็คชั่น’ เหล่านั้นที่เป็นอุตสาหกรรมหลักของบางประเทศเกาะหรือเปล่า ทั้งๆ ที่ไม่สบายมาก แต่กลับร้อง ‘อิคึๆ’ สุดแรง”

เจี่ยนถงควบคุมตัวเองไม่ให้ลงมือต่อยหน้าสวยใบนั้นของคาย์อันอย่างพยายาม…กุมหมัดไว้แล้วก็คลายออก

“คุณคาย์อันรู้ไหม มีบางคนไม่ใช่ร้องเจ็บไม่เป็น แต่เวลาเจ็บร้องเจ็บกลับไม่ถูกใส่ใจ แต่ดันถูกตบตีอย่างรุนแรงอีก” สิ่งที่เธอพูดถึงคือชีวิตในสามปีนั้น:

“ฉันขอถามคุณคาย์อันหน่อย แค่เพื่อที่จะไม่ถูกตบตีครั้งหนึ่ง จึงทนไว้ไม่ร้องเจ็บ คนเหล่านั้นผิดไหม ก็คือพวกเขาไม่จริงใจใช่หรือไม่”

คาย์อันตะลึงอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่นาน บนใบหน้าสุดสวยมีรอยยิ้มเยาะเย้ยลอยขึ้นมา:

“สงสัยคุณเจี่ยนจะมีความสามารถด้านแสร้งทำให้ดูน่าสงสาร คุณพูดแบบนี้ อย่างกับผมทำคุณเจ็บเลย ถ้าคุณร้องเจ็บ ผมยังจะตบตีคุณอีกอย่างนั้น”

เจี่ยนถงมองลงไปข้างล่าง…คนที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์แบบนั้น ไม่เข้าใจหรอก มีคนบอกว่า ปลูกฝังนิสัยได้ภายในสิบเจ็ดวัน ถ้าสามารถปลูกฝังนิสัยได้ภายในสิบเจ็ดวัน เช่นนั้น…สามปีล่ะ

เช่นนั้น เข้าใจก็คือเข้าใจ ไม่เข้าใจก็คือไม่เข้าใจ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากแล้ว

“คุณคาย์อัน คุณควรปล่อยมือแล้ว เมื่อกี้คุณเซียวโทรมาให้ฉันรีบกลับไป ถ้าฉันอยู่ที่นี่นาน สงสัยคุณเซียวคงจะมาตามหาแล้ว”

“คุณขู่ผมอยู่เหรอ” คาย์อันยกคิ้วข้างหนึ่ง “ได้สิ เรียกเซียวเหิงมาเลย เขามาแล้วก็ให้เขาดูตัวจริงของคุณพอดีเลย”

“ได้สิ ก็เรียกคุณเซียวมาสิ เขามาแล้วก็ให้เขาดูเพื่อซี้ที่เขาพูดถึงเนี่ย ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของเขาเลย”

เจี่ยนถงอยากจะหัวเราะ ผู้ชายคนนี้ เอาอะไรมาคิดว่าความคิดของเขาก็คือความคิดของตัวเอง และเอาอะไรมาคิดว่าเธอไม่อยากบอกทุกอย่างให้เซียวเหิงรู้

ออ…สงสัยในสายตาของผู้ชายคนนี้ ตัวเองเป็นผู้หญิงที่ไร้ยางอาย!

“แก…” สายตาของคาย์อันเปลี่ยนแล้ว กลายเป็นยิ่งรังเกียจกว่าเดิม “แกนี่ทุเรศจริงๆ แกบอกว่ากูไม่คำนึงถึงความรู้สึกของเซียวเหิง ตอนที่แกพูดประโยคนี้ออกมา ก็บ่งบอกถึงแกไม่คำนึงถึงความรู้สึกของเซียวเหิงเลย เสียดายความจริงใจของเซียวเหิงที่มีต่อแก ฝากไว้ให้ผิดไปแล้วจริงๆ”

ในใจเจี่ยนถงพูดว่า ใช่แล้ว ฝากไว้ให้ผิดไปแล้ว

“ฉันเห็นด้วยกับความคิดเห็นของคุณ คุณคาย์อัน”

คาย์อันคาดคิดไม่ถึง เจี่ยนถงจะยอมรับโดยที่ไม่ปิดบังอะไรเลยแบบนี้!

ในใจโมโหสุดๆ! รู้สึกไม่คุ้นแทนเซียวเหิง!

“แกอย่าดีใจเกินไปเลย! กูจะให้เขาเห็นว่าแกเป็นผู้หญิงแบบไหนแน่นอน! ผู้หญิงอย่างแก ก็เหมือนกับเนื้อหงอกมีพิษ กูไม่ยอมให้เนื้อหงอกมีพิษอย่างแกแบบนี้อยู่ข้างเพื่อนกูและทำร้ายเขาหรอก!”

พูดจบ ปล่อยมือออก

……

เจี่ยนถงและคาย์อันแทบจะกลับมาห้องส่วนตัวพร้อมกัน

ลูกตาของเซียวเหิงเปลี่ยนไป คาย์อันเพิ่งนั่งลง พอเงยหน้าขึ้นมาก็เจอตาอันลึกซึ้งของเซียวเหิง

“ตัวแกไม่มีกลิ่นบุหรี่” ริมฝีปากบางดิ้นเล็กน้อย เซียวเหิงมองคาย์อันอยู่ตรงข้ามอย่างเย็นชา

บอกว่าไปสูบบุหรี่ บนตัวกลับไม่มีกลิ่นบุหรี่สักนิดเลย แล้วยังกลับมาห้องส่วนตัวแทบจะพร้อมกับเจี่ยนถง บวกกับคำพูดเหล่านั้นที่หาเรื่องเจี่ยนถงก่อนหน้านี้ เซียวเหิงย้อนกลับไปคิดอีก ก่อนหน้านี้คาย์อันก็ออกไปจากห้องส่วนตัวตามหลังเจี่ยนถงเหมือนกันด้วย

ทันใดนั้น สีหน้ายิ่งเย็นชากว่าเดิม

ลู่เชนอยู่ข้างๆ มือที่ถือแก้วกาแฟอยู่นิ่งงันตรงริมฝีปาก

“ฉันไปทักทายคุณเจี่ยนแล้ว ไหนๆ เราก็รู้จักกันที่ตงหวง ก็ถือว่าเป็นคนรู้จักกัน ไม่ใช่เหรอ”

เซียวเหิงเหล่ตาลง “ฉันรู้ว่าเธอทำงานที่ตงหวง แกไม่ต้องทำตัวแปลกๆ”

คาย์อันเกือบโมโหจนหัวเราะออกมา นิ้วมือเรียวยาวควักกล่องบุหรี่ออกมา จุดบุหนี่หนึ่งม้วน แช็กเสียงหนึ่งต่อหน้าเจี่ยนถง สูบคำหนึ่งอ่อนๆ

เซียวเหิงยกคางขึ้นมาอีกนิด หันไปทางคาย์อัน “ทีนี้ไม่ไปสูบบุหรี่ข้างนอกแล้วเหรอ”

เมื่อกี้ไปทำอะไรเหรอ

เขาว่าแล้ว คนอย่างคาย์อันเคยสนใจความคิดเห็นของคนอื่นสักที่ไหน

ลู่เชนเห็นว่าแปลกๆ ลุกขึ้นมาทันที “ฉันนึกได้แล้ว ฉันยังมีเรื่องต้องทำ เมื่อกี้ฉันดื่มเหล้าแล้วนิดหน่อย คาย์อัน แกไปส่งฉันหน่อย”

ดึงคาย์อันขึ้นมาก็จากไปโดยที่ไม่ให้โอกาสพูดอะไรอีก “คุณเจี่ยน ไว้เจอกันคราวหน้า”

คนไปแล้ว เซียวเหิงหันหลัง ดูเจี่ยนถงตั้งแต่หัวจรดเท้า “เมื่อกี้แกทำอะไรคุณ”

“ไม่มี”

“แล้วแกพูดอะไรกับคุณเหรอ”

“ก็แค่ทักทายคำหนึ่งเฉยๆ”

เซียวเหิงขมวดคิ้วมองเธอ เห็นได้ว่าไม่เชื่อคำพูดหลอกผีนี้

เจี่ยนถงก็ไม่อธิบายอะไรมาก แล้วแค่เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ

“เรื่องช่วงนี้ของผมยุ่งยากหน่อย แค่สถานการณ์เปลี่ยนดีขึ้นมาเล็กน้อยเอง เสี่ยวถง รอผมจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็สามารถพาคุณออกมาจากตงหวงแล้ว”

ออกจากตงหวง? …มีชั่วขณะหนึ่ง เธอรู้สึกดีใจมาก

แต่ว่า ถ้าออกจากตงหวงง่ายขนาดนั้นจริงๆ เธอก็ออกมาตั้งนานแล้ว

ถ้าเสิ่นซิวจิ่นไม่ยอมปล่อยเธอไป ถึงแม้เธอจะออกไปจากตงหวง คนนั้น ก็สามารถหาเธอให้เจอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบัตรประชาชนที่เป็นใบเดียวที่สามารถพิสูจน์ตัวตนของตัวเองได้ยังอยู่ในมือของเขาอยู่เลย ถ้าออกไปตอนนี้ เธอไม่มีบัตรประชาชน ก็เท่ากับไม่สามารถไปไหนได้เลย

……

หลังจากคาย์อันจากไป ไม่ได้กลับบ้านก่อน นัดคุณหนูคนหนึ่งเจอกันที่ร้านกาแฟ พูดอะไรสักอย่าง ตอนที่จากกัน คุณหนูคนนั้นยังพยักหน้าไม่หยุดพูดว่า “ไว้ใจได้เลย ฉันจะช่วยคุณ ทำให้เพื่อนของคุณเห็นตัวจริงของผู้หญิงคนนั้นแน่นอน

แต่ว่า ที่คุณตกลงกับฉัน…อืม หนึ่งคืน อย่าลืมนะ”

คาย์อันยิ้มเยาะคำหนึ่ง แนบชิดติดกับใบหูของคุณหนูคนนี้อย่างยั่วยวน “แน่นอนสิ คนสวยอย่างคุณเว่ย ผมจะเทนัดได้ยังไงล่ะ”

เสียงทุ้มต่ำ บวกกับใบหน้าที่ผู้หญิงเจอแล้วก็จะถูกสะกดจิตของคาย์อันใบนั้น คุณเว่ยคนนี้หลงใหลกับสิ่งนี้มากจนไม่อยากจะจากไป “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงกันแล้วนะ ฉันจะลงมือคืนพรุ่งนี้ พอถึงเวลา คุณก็ต้องมานะ เดี๋ยวใครบางคนจะได้ไม่มาบอกว่าฉันทำงานไม่ดี”

“เป็นไปได้ไง คุณเว่ยงดงามร่ำลือกันทั่วทั้งเมือง ความสามารถยอดเยี่ยม ผมเชื่อใจความสามารถในการทำงานของคุณเว่ยแน่นอนอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง…ล้มเหลวแล้ว สาวสวยอย่างคุณเว่ย ผมก็ไม่พลาดอยู่แล้ว”

แกล้งจนคุณเว่ยดีใจสุดๆ

“เช่นนั้น ยินดีล่วงหน้าให้กับคุณเว่ยที่สำเร็จนะ” พูดอยู่ วินาทีที่หันหลังจากไป ในลูกตาสีน้ำตาลของคาย์อันมีความรังเกียจลอยผ่าน ไม่ยอมอยู่ต่ออีก รีบจากไปทันที

……

กลางคืน

เซียวเหิงไม่เคยบอกเจี่ยนถง ทำไมถึงให้เธอลา

“คุณเซียวให้ฉันลา ก็เพราะจะพาฉันมานั่งชิงช้าสวรรค์เหรอ” เจี่ยนถงดูชิงช้าสวรรค์ใหญ่ที่อยู่ข้างหน้าอย่างไม่น่าเชื่อ

“ไป ผมเคยสัญญากับคุณ จะพาคุณมานั่งชิงช้าสวรรค์”

มือของเซียวเหิงยื่นมา เจี่ยนถงกลับถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างระวังตัว

“เสี่ยวถง?” หรือว่าเธอไม่อยากนั่งชิงช้าสวรรค์เหรอ

เจี่ยนถงมองเซียวเหิงอย่างระมัดระวัง “คุณเซียว…ขอโทษ”

ขอโทษ ที่ฉันเหลือให้คุณมีแค่ “ขอโทษ” คำเดียว

เซียวเหิงอึ้งอยู่กับที่ ผ่านไปสักพัก บนใบหน้าเคร่งขรึมมีรอยยิ้มโผล่ออกมา “ไม่เป็นไร วันนี้ไม่ได้นั่ง สักวันเราต้องไปนั่งชิงช้าสวรรค์ด้วยกัน” คำพูดนี้ มีอีกความหมายแอบแฝงอยู่

เจี่ยนถงเงียบ เงยหัวขึ้นมองท้องฟ้า จากนั้นจึงพูดว่า “คุณเซียว ฉันเหนื่อยแล้ว คุณส่งฉันกลับไปหอเถอะ”

พอได้ยิน เซียวเหิงมองเจี่ยนถงแวบหนึ่งอย่างลึกซึ้ง ในที่สุด เสียงอันมีเสน่ห์ดังขึ้นมา “ได้”

รอมาถึงข้างล่างหอของเจี่ยนถง

“ฉันมีเรื่องอยากบอกคุณเซียว คุณเซียว ฉันไม่ชอบ…” ฉันไม่ชอบคุณ

“รอแป๊บหนึ่งนะ!” ผู้ชายที่อยู่ตรงเบาะคนขับ จู่ๆ ก็บอกให้หยุด “ผมมีสายโทรเข้ามา เจี่ยนถง คุณลงรถก่อน”

“คุณเซียว ทำไมคุณไม่ยอมฟังฉันพูดให้จบก่อน" สายตาของเจี่ยนถง ตกอยู่ที่หน้าของเซียวเหิง เธอเคยได้ยินเสียงเรียกเข้ามือถือของเขาหลายครั้งมากแล้ว แต่เมื่อกี้นี้ไม่มีวี่แววอะไรเลย เขากลับโกหกว่ามีสายโทรเข้ามา–นอกจากว่าเขาไม่อยากให้เธอพูดจบ เธอหาเหตุผลอย่างอื่นไม่ได้อีกแล้ว

“เจี่ยนถง ลงรถเถอะ ช่วงนี้เรื่องที่บ้านและเรื่องที่บริษัทมีเยอะมาก ยุ่งเหยิงมากเลย” เขาพูดอยู่ กลับเห็นหน้าตาดื้อรั้นของเจี่ยนถง พอใจอ่อน สีหน้าก็อ่อนลงตามแล้ว “เสี่ยวถง ถ้ามีเรื่องอะไร รอผมจัดการเรื่องที่อยู่ในมือเหล่านี้ให้เรียบร้อยก่อนค่อยพูดได้ไหม…ไม่ต้องรีบตอนนี้…ได้ไหม”

แววตาที่เขามองเธอนี้ เหมือนเป็นการขอร้องนิดหน่อย หัวใจของเจี่ยนถงสั่นทีหนึ่ง สติบอกตัวเองว่าควรพูดให้ชัดเจน ณ ตอนนี้ แต่…เธอมองไปที่ความเหนื่อยล้าและการขอร้องในตาของชายหนุ่มคนนี้อีกครั้ง คำพูดที่เตรียมไว้ตั้งนานเหล่านั้น วินาทีนี้กลับยังไงก็พูดไม่ออกอยู่ดี

ถอนหายใจเบาๆ เธอไม่ได้พูดอะไรเลย ลงจากรถอย่างไร้คำพูด

วันถัดมา

ระหว่างทางที่เจี่ยนถงไปทำงานตอนกลางคืน จู่ๆ ก็มีรถกี่คันขับผ่านเธอ และยังจอดลงตรงที่อยู่ใกล้เธอไม่ถึงเจ็ด แปดเมตร

ท่ามกลางเสียงเบรก เจี่ยนถงค่อยๆ จ้องตาโตขึ้นมา มองใบหน้าอันคุ้นเคยลงมาจากรถทีละคนๆ

“เอ๋ นี่มันเจี่ยนถงไม่ใช่เหรอ” ผู้หญิงที่เดินนำ การแต่งหน้างดงามและละเอียดอ่อน ใส่รองเท้าส้นสูงเข้าใกล้เจี่ยนถง สีหน้าตกใจ “เป็นเจี่ยนถงที่โด่งดังในหาดเซี่ยงไฮ้เมื่อตอนนั้นจริงๆ นะเนี่ย แต่ว่า” ผู้หญิงคนนี้พับจมูก “ทำไมแกกลายเป็นหน้าตาแบบนี้ไปแล้วอ่า ฉันยังจำความสวยงามในตอนนั้นของแกได้อยู่นะ”

เจี่ยนถงรู้จักผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าคนนี้แน่นอนอยู่แล้ว–เว่ยซือซาน

รอบข้างใบหน้าที่คุ้นเคยเข้ามารวมตัวกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“เอ๋ๆ นี่มันเจี่ยนถงจริงๆ เลยนะเนี่ย! เมื่อกี้แกบอกว่านี่คือเจี่ยนถง ฉันยังไม่เชื่อเลย ตอนนี้ดูดีๆ แล้ว ใช่เจี่ยนถงจริงๆ เลย”

“แต่ว่าเจี่ยนถง…ทำไมแกถึงกลายเป็นหน้าตาแบบนี้เหรอ”

“ใช่สิ พี่เจี่ยนถง”

“ยังเรียกพี่อยู่เหรอ แกไม่อายเหรอที่มี ‘พี่สาว’ เคยติดคุกอ่ะ” เว่ยซือซานพูดเยาะเย้ย เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้สักอย่าง รีบทำหน้าใส่ใจถามเจี่ยนถง “เจี่ยนถง แกออกมาจากคุกตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว ออกมายังไงอ่ะ ทำไมไม่บอกพวกเราสักคำเลย อย่างน้อยๆ เมื่อก่อนก็เคยเล่นด้วยกัน ออกมาแล้วก็บอกพวกเราหน่อยสิ พวกเราจะได้​รับขวัญให้แก”

สีหน้าของเจี่ยนถงซีดขาวลงเรื่อยๆ…เรื่องแบบนี้ ยังจะรับขวัญอยู่เหรอ เธอเงยหน้าขึ้น กวาดสายตาไปที่เว่ยซือซาน เธอจงใจอยากให้ตัวเองเสียหน้า อยากให้ตัวเองอายชัดๆ

“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงวันนี้ก็เจอกันแล้ว อย่างนั้นก็จัดงานเลี้ยงรับขวัญย้อนหลังให้วันนี้เลย” เว่ยซือซานพูดอยู่ โอบไหล่เจี่ยนถงไปด้วย “ไป เจี่ยนถง วันนี้พวกเราก็เตรียมงานเลี้ยงรับขวัญให้แก ไปๆๆ”

“ฉันไม่ไป!” เจี่ยนถงผนึกแนบอยู่กับที่ ไม่ยอมไปกับเว่ยซือซานพวกเธอ

“แบบนี้มันได้ที่ไหนเล่า แกไม่ไปได้ยังไง นี่คืองานเลี้ยงรับขวัญที่เตรียมให้แกโดยเฉพาะเลยนะ ไม่มีนางเอก เป็นไปได้ยังไง”

เว่ยซือซานพูดอีก ดึงเจี่ยนถงไปด้วย ยัดเธอเข้าไปในเบาะหลังรถของเธอ “เจี่ยนถง นี่แกทำแบบนี้คือไม่ให้หน้าพวกเราพี่น้องนะ”

จากนั้นพูดอยู่ก็ควักมือถือออกมา “ถ้าแกไม่ให้หน้าพวกเราพี่น้อง ฉันจะปล่อยคลิปนี้ออกไปแล้วนะ”

พูดอยู่ ก็ถือมือถือไปที่ข้างหน้าเจี่ยนถง

ทันใดนั้น!

เจี่ยนถงจ้องตาโตขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ “แกมีได้ไง! ทำไมแกถึงมีอันนี้! ทำไมแกถึงมีคลิปนี้!” ใบหน้าเธอไม่มีสีของเลือดเลย “เอามาให้ฉัน! เอามาให้ฉัน!”

มือถือในมือของเว่ยซือซานโยนไปที่มืออีกคน “อยากแย่งเหรอ แย่งสิ แย่งอันนี้ไป ฉันยังมีสำรองอยู่” พูดอยู่ก็เอาสองมือกอดอกพร้อมกับยิ้มเยาะ ดูเจี่ยนถงขายหน้าชัดๆ “ก็ถามแกเองสิ จะให้หน้าพวกเราพี่น้องไหม งานเลี้ยงรับขวัญนี้ แกไป หรือไม่ไป”

ไป หรือไม่ไป?

สีหน้าเจี่ยนถงสิ้นหวัง “ฉันไป! แกเอาเอกสารสำรองมาให้ฉัน”

“ส่วนอันนี้เหรอ…ก็ต้องดูแกทำตัวในงานเลี้ยงรับขวัญยังไงแล้ว”

“แก…มีคลิปนี้ได้ยังไง” แต่ละฉากที่ถูกอัปยศในคลิปนี้ ใจของเจี่ยนถงทะลุเป็นรูพรุนตั้งนานแล้ว คลิปนี้เหมือนพาเธอย้อนกลับไปทบทวนเหตุการณ์เมื่อสามปีที่แล้วอีกครั้งหนึ่ง

“เรื่องนี้แกไม่จำเป็นต้องรู้” ความจริงเธอก็ได้มาโดยบังเอิญเหมือนกัน

“วันนี้พวกแก ตกลงอยากจะทำอะไร”

เว่ยซือซานหัวเราะพูดว่า “ทำอะไรเหรอ จะทำอะไรเดี๋ยวแกไปถึงก็รู้แล้ว” เธอพูดต่อว่า “ใครให้แกไม่มีดวงร่ำรวย แต่กลับอยากบินบนกิ่งไม้และกลายเป็นนกฟีนิกซ์ล่ะ แกก็อย่ามาโทษฉันนะ ฉันก็ทำตามที่คนอื่นสั่งแค่นั้นเอง”

“ทำตามที่คนอื่นสั่ง…เขาเป็นใคร”

“เจี่ยนถง แกนี่ก็ตลกจริงๆ แกยังคิดว่าแกเป็นคุณหนูเจี่ยนในตอนอยู่เหรอ แกถามอะไรฉันก็ต้องตอบแก ฮ่าๆ”

คำพูดของเว่ยซือซานเหมือนอยู่ตรงหู เจี่ยนถงไม่มีคำไหนมาเถียงได้–นี่คือความจริง

เธอลงจากรถตามเว่ยซือซานคนกลุ่มนี้ จู่ๆ กลับหยุดก้าวเท้าลง

“ทำไมไม่เดินต่อแล้วล่ะ” เว่ยซือซานหันหัวไปมองผู้หญิงที่หยุดลงข้างหลัง คิ้วตาละเอียดอ่อนของเธอขมวดขึ้นมา…ยังคงไม่ชิมกับเห็นเจี่ยนถงที่เป็นสภาพแบบนี้ แต่พอคิดอีกอย่างแล้ว…ก็ใช่สิ ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คุณหนูของตระกูลเจี่ยนอย่างตอนนั้นแล้ว ตอนนี้ก็แค่คนชั้นต่ำที่ขายตัวในตงหวงแค่นั้นเอง

หัวเราะเยาะเบาๆ เว่ยซือซานเก็บสายตาที่ตกอยู่ตรงเจี่ยนถงกลับมา…เจี่ยนถงในตอนนี้ ไม่คุ้มพอที่จะให้เธอให้เกียรติแล้ว ผู้หญิงที่ขี้หวาดกลัว ใช้ชีวิตอย่างกับหนูที่อยู่ในท่อระบายน้ำมืดๆ คนหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้ ไม่มีวันกลับไปเป็นเจี่ยนถงในตอนนั้นอีกแล้ว

วันหลัง ก็จะไม่มีคนเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเธออีกแล้ว

“ที่นี่…จัดงานเลี้ยงอยู่” เจี่ยนถงพูด

เว่ยซือซานฟังอยู่ จู่ๆ หัวเราะขึ้นมา “เฮ้ย เจี่ยนถง แกยังจะใสซื่อคิดว่าวันนี้พวกเราจะจัดงานเลี้ยงรับขวัญให้แกอยู่จริงๆ เหรอ งานเลี้ยงมันแปลกตรงไหน” วินาทีที่แล้วยังยิ้มพูดอยู่ วินาทีต่อไปก็เปลี่ยนสีหน้าแล้ว “ตกลงแกจะเข้าไปหรือไม่เข้าไป”

เธอพูดอยู่ มือหนึ่งจับมือถือของเธอเล่นต่อหน้าเจี่ยนถงอย่างจงใจ

สื่อความหมายโดยที่ไม่ต้องพูดออกมา ถ้าแกไม่ไป ฉันก็จะโมโหแล้ว ถ้าฉันโมโห คลิปเหล่านี้ของแกก็จะถูกฉันปล่อยออกไปหมด

หน้าใบนั้นของเจี่ยนถงเมื่ออยู่ภายใต้เสาไฟถนนแล้วซีดขาวราวกับผี เธอหายใจเข้าลึกๆ “เข้า” คำที่เกือบจะโผล่ออกมาจากฟันกรามหลัง “ฉันเข้า!”

“ยังจำที่นี่ได้ไหม” เว่ยซือซานหัวเราะขบขำจู่ๆ ก็เข้ามาใกล้เจี่ยนถง “ฉันยังจำได้อยู่นะ คืนที่แกอายุเข้าสิบแปดปี อยู่ตรงนี้ ตะโกนออกไปประโยคหนึ่งดังๆ ต่อหน้าคุณชายและคุณหนูไฮโซที่มีหน้ามีตาของเมือง Sเกือบทุกคน เจี่ยนถง ประโยคนั้นคืออะไรนะ

อุ๊ย คนมีอายุแล้วความจำก็จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไหนๆ วันนี้แกก็กลับเยี่ยมเยือนที่เก่าแล้ว หรือว่าตะโกนอีกรอบสิ”

เจี่ยนถง สีหน้าซีดขาว ที่นี่…ที่นี่มีความทรงจำที่เธอเคยคิดว่าภาคภูมิใจที่สุด วันนี้ กลับกลายเป็นที่เก่าที่เสียหน้าที่สุด

ในคืนนั้น สิ่งที่เธอตะโกนออกมาดังๆ ต่อหน้าทุกคนคือ เสิ่นซิวจิ่น ฉันรักคุณ ฉันจะทำให้คุณก็รักฉันเหมือนกันแน่นอน!

ตอนนั้นอายุน้อยทำตัวเป็นจุดสนใจ ตอนนั้นเธอเย่อหยิ่งสุดๆ ตอนนั้นเธอยกคางขึ้นมาเล็กน้อย มองเขาที่โดดเด่นเห​นือผู้อื่นในผู้คน ตอนนั้น เขาไม่พูดสักคำ หันหลังจากไป แต่เธอยังคงมั่นใจมาก เย่อหยิ่งจนไม่ยอมก้มหัวลง

“ดูหน้าตาน่าสงสารนี้สิ…ช่างเถอะ ไม่ให้แกตะโกนล่ะ” เว่ยซือซานพิจารณาแทนเจี่ยนถงอย่างใจดีและเห็นใจ “ไปเถอะๆ ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว” เธออยากจะรีบจัดการเรื่องที่ตกลงกับชายปิศาจคนนั้นให้เร็วที่สุด…พอคิดถึงหน้าปีศาจและรูปร่างเรียวยาวแข็งแรงของคนนั้น เว่ยซือซานหัวใจเต้นแรงขึ้นมา

ที่นี่คือคลับเฮาส์แห่งหนึ่ง มีคนจัดปาร์ตี้ที่นี่บ่อยๆ เจี่ยนถงพยายามก้มหัวให้ต่ำลง อยากจะเอาหน้าซ่อนไว้แทบตาย ไม่กล้าให้คนที่อยู่ในงานเลี้ยงนี้เห็น…เธอไม่กล้าคิดเลย ถ้ามีคนเห็นตัวเองจริงๆ จะต้องเจอกับเหตุการณ์อะไรบ้าง

ยังดีที่ว่าเหมือนเว่ยซือซานก็ไม่ได้อยากให้คนอื่นเห็นตัวเองเหมือนกัน เจี่ยนถงก็ซ่อนอยู่ในท่ามกลางฝูงคุณหนู ก้มหัวลงต่ำๆ เดินไปตามเว่ยซือซาน เดินผ่านผู้คน บางครั้งชนโดนเสื้อของใครบางคน เจี่ยนถงรีบกล่าวคำว่า “ขอโทษ” จากนั้นก็ยกเท้าเดินตามเว่ยซือซานต่อ ไม่กล้ายกหัวขึ้นมาแม้แต่สักนิดเลย

ฝีเท้าของเว่ยซือซานเร่งรีบมาก เจี่ยนถงตามอย่างลำบาก ผู้คนรอบๆ น้อยลงเรื่อยๆ ยิ่งเดิน คนก็ยิ่งน้อย สุดท้ายรอบข้างเงียบเหงา เธอถึงเหลือบมองแวบหนึ่งอย่างระมัดระวัง จึงสังเกตเห็นเว่ยซือซานเดินไปสุดทางของระเบียงชั้นสองโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว

ประตูบานเลื่อนอันมีสองห่วงที่สร้างด้วยโลหะ แค่เห็นก็รู้สึกหนักมาก เว่ยซือซานหยุดลงตรงหน้าประตูใหญ่อย่างกะทันหัน มุมปากแสยะยิ้มออกมา “เจี่ยนถง ถึงแล้วนะ”

เงยหัวขึ้นมาอย่างนิ่งเงียบ ดูประตูใหญ่อันหนักหน่วงที่อยู่ต่อหน้าบานนี้ ในใจเจี่ยนถง ชัดเจนแล้ว วันนี้นี่…ไม่ใช่งานเลี้ยงรับขวัญ นี่คือ…งานเลี้ยงหลุมพราง!

สายตาของเธอตกอยู่ที่บนหน้าของเว่ยซือซานอย่างสงบ ในตาของเธอสงบลงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ อารมณ์หวาดกลัวเหล่านั้นเมื่อก่อนหน้านี้มิอาจหาได้ในตาของเธออีกแล้ว

เมื่อแน่ใจสุดๆ แล้ว นางเอกของ “งานเลี้ยงหลุมพราง” ในวันนี้ก็คือตัวเอง เจี่ยนถง กลับกลายเป็นสงบลงมา…เมื่อลิขิตไว้แล้วว่าหนีไม่พ้น สิ่งที่เธอเรียนรู้ได้ในสามปีนั้นก็คือ…ร่วมมือกับการแสดงฉากนี้

“ตาคู่นี้ของแกนี่มันน่าเกลียดจริงๆ เลย!” เว่ยซือซานถูกดวงตาอันสงบนิ่งสุดๆ ของเจี่ยนถงคู่นั้นมองอยู่ ไม่รู้ทำไม รู้สึกโกรธเนื่องจากความ​ละอายและขุ่นเคือง จ้องไปที่คนข้างๆ “พวกแกหูหนวกหรือไง โยนเธอเข้าไปข้างในสิ” บนใบหน้าอันงดงามของเว่ยซือซานในตอนนี้ ยังมีความโกรธแค้นอย่างไร้คำพูด…อธิบายไม่ถูก ทำไมอยู่ๆ ถึงมีไฟแค้นรุกไปถึงใจ เธอก็คือเกลียดสายตาที่คนชั้นต่ำที่มีนามสกูลเจี่ยนมองเธอแบบนั้น!

คนชั้นต่ำที่ขายตัวคนหนึ่ง เธอยังคิดว่าตัวเองเป็นคุณหนูตระกูลเจี่ยนที่โด่งดังในหาดเซี่ยงไฮ้คนนั้นอยู่อีกเหรอ

สองคนที่อยู่ข้างหลังเธอ ดึงประตูใหญ่อันหนักหน่วงที่อยู่ตรงหน้าเจี่ยนถงบานนี้ออกมาคนละข้างตามคำพูดของเธอ เมื่อเจี่ยนถงยังไม่ทันได้คิดอะไรเลย อยู่ๆ กลับถูกคนผลักหลังแรงๆ “เข้าไปเลย~”

พูดจบ เจี่ยนถงก็ถูกผลักเข้าไปในประตูใหญ่บานนั้นแล้ว ฝีเท้าเรือนเซอีกด้วย ยืนไม่นิ่งจนแทบจะล้มลงไปกับพื้นแล้ว

เธอรู้ดี เธอควรแสดงละครตาม เธอรู้ดี เธอควรล้มลงไปแบบนี้เลย…มีแต่แบบนี้ ถึงสามารถทำให้พวกเขาดีใจได้

แต่!

ไม่!

ก็คือไม่!

เธอรู้ดี จิตใจของคนสามารถดีมาก จิตใจของคนก็สามารถมืดมนมากเช่นกัน

เธอรู้ดี สิ่งที่พวกเขาอยากเห็นคืออะไร–การเสียหน้าของเธอ การตะลีตะลานของเธอ…แต่ไม่!

อยู่ๆ ในใจแน่นอกขึ้นมา ในตามีความแข็งแกร่ง…ไม่! ห้ามล้มลงไปอย่างตะลีตะลานเด็ดขาด! อย่าถามเธอว่าทำไมวันนี้ยืนหยัดแบบนี้ เธอไม่รู้! ก็แค่…อยู่ๆ ก็ไม่อยากยอม!

อันที่จริงฝีเท้าเรือนเซตั้งหลายก้าว

หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว…ใครๆ ก็ดูออกกัน เมื่อก้าวที่สี่ ผู้หญิงคนนั้นที่เรือนเซยืนไม่นิ่งควรที่จะเดินเซจนล้มลงไปกินขี้หมา

แต่!

สี่ก้าว ห้าก้าว หกก้าว…เธอไม่มีตรงไหนที่สามารถประคองไว้ได้ ไม่มีที่เท้าแขนทำให้เธอไม่ล้ม เธอก็คือไม่อยากล้มลงไปแบบนี้ต่อหน้าคนพวกนี้ ก็คือไม่!

สิ่งเดียวที่ทำได้ ก็คือเรือนเซไปเรื่อยๆ ทีละก้าว สองก้าว แค่ไม่ทำให้ล้มลง เธอก็จะก้าวเท้าออกไปอย่างยืนกราน แค่ขยับอยู่ตลอด ก็สามารถทำให้ไม่ล้มลงชั่วคราวกระมัง…เธอคิดอยู่แบบนี้ และทำอยู่แบบนี้

แต่รู้ดีว่าผลที่ทำแบบนี้ ถึงแม้จะทำให้เธอยังไม่ล้มลง แต่กลับทำให้ขาที่บาดเจ็บข้างนั้นเจ็บปวดไม่หยุด!

ผู้หญิงที่ควรเรือนเซล้มลงไปตั้งนานแล้ว กลับเดินเซอีกตั้งระยะหนึ่งภายใต้สายตาการจ้องมองของทุกคน ในที่สุด…มือจับตรงขอบโต๊ะกาแฟได้แล้ว ในที่สุดก็ไม่ได้ล้มลงอย่างเสียหน้า…แต่ก็ ไม่ได้ดูดี

ขณะนี้ บนหน้าผากของเธอมีเหงื่อเย็นไหลออกมาเป็นเส้นๆ แต่ เธอยิ้มแล้ว…ถึงจะต่ำต้อย แล้วทำไม

เธอหันหน้าไปมองเว่ยซือซานที่อยู่ข้างหลัง ในตามีแสงสว่าง…เธอทำได้แล้ว! อย่างน้อยครั้งนี้ ก็ไม่ได้ล้มลงอย่างตะลีตะลานตามความ ต้องการของพวกเขา

เจี่ยนถงในขณะนี้ เหมือนทำให้เว่ยซือซานเห็นผู้หญิงที่เย่อหยิ่งสุดๆ ในตอนนั้นอีกแล้ว

ไม่!

เจี่ยนถงไม่เหมาะ!

บนใบหน้าอันละเอียดอ่อนของเว่ยซือซาน มีความเยือกเย็นค่อยๆ ลอยขึ้นมา

เจี่ยนถงบอกว่า “ฉันมาที่นี่กับแกแล้ว ตอนนี้แก ลบสิ่งที่อยู่ในมือถือออก เอาเอกสารสำรองให้ฉันได้หรือยัง”

อยู่ๆ เว่ยซือซานก็หัวเราะเยาะเย้ยขึ้นมา ริมฝีปากคายสามคำออกมาอ่อน “ฉัน ไม่ ให้” เธอพูดออกมาทีละคำๆ ออกเสียงชัดเจนสุดๆ

เจี่ยนถงไม่รู้จริงหรอ ว่าทำไมวันนี้ตัวเองถึงไม่อยากให้ความร่วมมือกับการแสดงนี้ต่อหน้าคนพวกนี้?

ไม่ เธอรู้ดี

ความเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่ว่าจะเจอกับอุปสรรคเลวร้ายแค่ไหนในชีวิตก็ไม่มีวันลบเลือน และคนที่อยู่ตรงหน้าพวกนี้ เมื่อสามปีก่อนอยู่ต่อหน้าเธอเคยเป็นยังไง?

ในใจเธอดูถูกคนพวกนี้มาก หลังจากผ่านมาสามปี เธอก็ไม่ยอมทนต่อสายตาดูถูกและเยาะเย้ยของพวกเขา

ถึงสุดท้ายจะน่าสังเวชเหมือนเช่นเคยก็แล้วยังไง?เธอทำแล้ว ท้ายที่สุดเธอก็สำเร็จ ไม่ได้ล้มหัวฟาดพื้นตามที่คนพวกนั้นหวังเอาไว้……แค่นี้ก็พอแล้ว

เห็นชัดว่าเป็นเพราะความเย่อหยิ่งในตัวทำให้เธอไม่ยอมร่วมมือกับการแสดงของคนพวกนี้ เธอรู้เหตุผลดี

เวลานี้ หลังเจี่ยนถงได้ยินคำพูดขี้โกงของเว่ยซือซาน เธอไม่ได้ไปถกเถียงกับเว่ยซือซาน ถามเธอว่าทำไมถึงพูดแล้วกลับคำและไม่ทำตามที่พูด

เธอเคยติดคุกมา เลยเรียนรู้ที่จะอ่อนน้อมถ่อมตน เธอเสียไตไปข้างหนึ่งก็จริง แต่เธอไม่ได้ขาดสมองไป……อำนาจการต่อรองอยู่ที่หล่อน หล่อนจะทำยังไงก็ได้

คุณคุยเหตุผลกับอเมริกา อเมริกาก็จะพูดเรื่องความเมตตากรุณากับคุณ พอคุณคุยเรื่องความเมตตากรุณากับอเมริกาแล้วเขากลับจะพูดเหตุผลมา……เรื่องเดียวกัน เธอพูดเหตุผลกับเว่ยซือซาน เว่ยซือซานก็จะคุยข้อตกลงกับเธอ พอเธอคุยข้อตกลงกับเว่ยซือซาน เว่ยซือซานก็จะพูดเหตุผลกับเธอต่อ ทั้งหมดทั้งมวล เป็นเพราะ……อำนาจการต่อรองอยู่ที่เว่ยซือซาน!

แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องคุยข้อตกลง

“คุณต้องการอะไรกันแน่ ถึงยอมลบคลิปนี้ออกและเอาข้อมูลสำรองให้ฉัน?”

เว่ยซือซานรู้สึกค่อยยังพอใจหน่อย……เจี่ยนถงเหมาะที่จะอ้อนวอนของร้องอย่างคนต่ำต้อย เธอมีสิทธิ์อะไรที่มาจ้องตัวเองด้วยสายตาไม่ยอมอ่อนข้อแบบนั้น?

“เธอเป็นแบบที่……เป็นอยู่ตอนนี้ก็ถูกแล้ว”จู่ๆเว่ยซือซานก็เอามือถือยื่นมาตรงหน้าของเจี่ยนถงอย่างไม่มีเหตุผล “เธออยากได้ข้อมูลสำรองในนี้งั้นหรอ ได้สิ เธอ……”จู่ๆเธอก็ชี้นิ้วไปที่ผู้ชายวัยกลางคนพุงใหญ่และหัวล้านที่นั่งอยู่บนโซฟา “ไปสิ ไปเอาใจเขา”

ไหล่ของเจี่ยนถงสั่นคลอนทีหนึ่ง……หันไปมองเว่ยซือซานอย่างช้าๆ ไม่กล้าเชื่อที่ตัวเองได้ยิน

และหลังจากนั้น ริมฝีปากแดงก็ยิ้มขึ้นมา รอยยิ้มดูยิ่งชัดขึ้น “ฉันได้ยินพวกเห้ออู่พูดว่าตอนนี้เธอทำงานด้าน‘บริการ’แถมได้ยินมาว่า……เธอร้อนเงินมาก?”

“จื่อๆๆ~พวกเรารู้จักการมาตั้งหลายปี อย่าว่าเพื่อนๆไม่อดหนุนเธอเลยนะ”มีคนหนึ่งดันกล่องมาตรงหน้าของเจี่ยนถง เสียงดังขึ้นทีหนึ่ง กล่องถูกเปิดออก มีธนบัตรสีแดงปรากฏออกมาอย่างน่าตกใจ……แดงจนกระแทกตา!

“เธอแค่โชว์‘ความสามารถ’ของเธอออกมาให้เพื่อนๆได้เปิดหูเปิดตากันหน่อย ดูสิว่าคุณหนูเจี่ยนในอดีต‘ระดับความสามารถในการบริการ’ถึงขั้นไหน”

เสียงที่แสบแก้วหูดังมาอยู่หูของเจี่ยนถง เธอก้มหน้าไว้ เล็บมือทิ่มจนถึงเนื้อข้างใน ใช้แรงทั้งหมดที่มียับยั้งความโกรธที่จะปะทุขึ้นมา……ในความโกรธยังมีความหมดหนทางอยู่ด้วย……ที่แท้ ไม่ว่าเธอจะพยายามปกป้องศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่อันน้อยนิดเท่าไหร่ สุดท้ายก็เปลี่ยนความจริงข้อหนึ่งไม่ได้——เธอเป็นเพียงแค่ตัวเลข“926”นักโทษคุมประพฤติ นอกจากนั้นไม่ใช่อะไรเลย!

“เจี่ยนถง เธออยากลืมนะ คลิปที่อยู่ในมือถือของฉันฉันสามารถโพสต์ได้ตลอดเวลา ถ้าฉันโพสต์ไปยังweibo momentsหรือแม้แต่instagramเธอว่ามันจะเป็นยังไงนะ?”

เจี่ยนถงกัดฟันอย่างแรง สีหน้าดูแย่มาก และมือสองข้างกำแน่นจนสั่น!

อยากจะขัดขืนให้ถึงที่สุด แต่พยายามขัดขืนเท่าไหร่!กลับสังเกตว่า สุดท้ายแล้วก็สูญเปล่า……ความรู้สึกที่จนปัญญาเช่นนี้ ทำให้คนสิ้นหวังสุดๆ!

จู่ๆก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรง……ในเมื่อต่อสู้ยังไงก็ไม่ได้ผลละก็……ความรู้สึกสิ้นหวังได้โผล่ขึ้นในใจและแทรกซึมเข้าไปในทั่วร่าง!

เธอหลับตาลง มือที่กำไว้จนแน่นได้คลายออกอย่างสิ้นหวัง

สายตาเธอหยุดลงที่หน้าของเว่ยซือซานอีกครั้ง แล้วพูดทีละถ้อยคำอย่างชัดเจน

“คุณเว่ย คุณแน่ใจว่าครั้งนี้ฉันทำตามที่คุณบอก แล้วคุณจะเอาข้อมูลสำรองทั้งหมดให้ฉัน และรับรองว่าจะไม่ให้คลิปนั้นรั่วไหลออกไปใช่มั้ย?”

ตอนที่เว่ยซือซานยังอยากจะแกล้งทำเป็นเล่นตัว อยากจะเยาะเย้ยเจี่ยงถงต่อ บอกกับเจี่ยวถงว่าหล่อนไม่มีสิทธิ์ต่อรองและไม่มีทางเลือก หล่อนต้องทำตามที่ตัวเองบอกเท่านั้น เธอเพิ่งจะทำเสียงหึ! แล้วกำลังจะพูดนั้น

“คุณเว่ย ทุกคนต่างก็มีความลับที่คนอื่นไม่รู้ ถ้าครั้งนี้ คุณเล่นตุกติกกับฉันอีกละก็ฉันรับรองได้เลย ว่าฉัน——เอา คุณ ตาย แน่!”

ฟืด~!

เว่ยซือซานกลับสูดหายใจเข้าทีหนึ่ง ตาคู่นั้นแทบจะละสายตาจากใบหน้าของผู้หญิงต่ำต้อยนั้นไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว!

หัวใจของเว่ยซือซานเต้นแรงมาก ตกใจทำอะไรไม่ถูก……คนสารเลวอย่างเจี่ยนถง เธอพูดจริงทำจริง!

และนี่คือเว่ยซือซานอ่านจากสายตาที่ไม่ยอมแพ้ของเจี่ยนถง!

เว่ยซือซานถูกสายตาของเจี่ยนถงจ้องจนตกใจถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แล้วรู้สึกเสียหน้าเลยรีบทำหน้าดุขึ้นมาเพื่อกู้หน้าตัวเองคืน

“หึ~เธอคิดว่าเธอเป็นใคร!เจี่ยนถง ฉันไม่ใช่เธอ ฉันไม่ได้ต่ำช้าเหมือนเธอหรอกนะ……ในเมื่อฉันพูดแล้ว ถ้าเธอแสดงให้พวกเราดู ทำให้เพื่อนๆฉันพอใจ แน่นอนว่าของที่เธออยากได้ ฉันต้องให้เธอแน่”

กล้าพูดเนอะว่าตัวเองเที่ยงตรง……ใครกันแน่ที่เมื่อกี้อยากจะกลับคำ?

สายตาของเจี่ยนถงส่อด้วยความประชดประชัน

เธอพยักหน้าอย่างเงียบๆโดยไม่มีอะไรจะพูด “ได้ค่ะ คุณเว่ยพูดแล้วต้องทำให้ได้นะคะ”เธอไม่อยากจะติดค้างชีวิตคนอีกหนึ่งชีวิต แต่ว่าเมื่อกี้ เธอมีความคิดที่จะเอาเว่ยซือซานให้ตายจริง!

เธอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าก็เผยให้เห็นรอยยิ้มเสแสร้งที่ฝึกฝนมานาน แล้วพูดกับผู้ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนโซฟา

“คุณผู้ชายคะ ฉันไม่ดื่มเหล้า ไม่ขายตัว อย่างอื่นทำได้หมดค่ะ”

คนรอบข้างต่างก็ตกใจ……ไม่มีใครในนี้กล้าเชื่อเลยว่าคุณหนูเจี่ยนที่หยิ่งยโสโอหังในอดีต จะพูดคำพูดแบบนี้ออกมาได้

นี่มัน……ต่ำช้าสิ้นดี!

ไม่รู้ว่าพวกเว่ยซือซาน ไปหานักแสดงแบบนี้มาจากที่ไหนกัน ผู้ชายวัยกลางคนที่อ้วนท้วนหัวล้านคนหนึ่ง ไหนจะเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน พอเห็นทั้งหมดในเมื่อกี้ เขาได้ตกใจจนอึ้งไปตั้งนานแล้ว

“นี่ นี่……”เขาตื่นเต้นจนพูดความจริงออกมาหมด “คุณเว่ยครับ ไหนคุณบอกว่าเป็นแค่ตัวแสดงประกอบไงครับ……แล้ว แล้วตากล้องอยู่ไหนละครับ?”

เห็นชัดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เกินกว่าที่ผู้ชายวัยกลางคนคนนี้จะรับได้ เขามองหน้าเว่ยซือซานอย่างลำบากใจ ทำน่าสงสาร “คุณเว่ย……นี่มันคือการข่มขู่คุณผู้หญิงคนนั้นชัดๆเลยนะครับ”

จู่ๆเว่ยซือซานก็ตะคอกขึ้นมา “นายหุบปากเลยนะ!รับของจากคนอื่นแล้วก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ‘ค่าตัว’ของนายไม่อยากได้แล้วหรอ?”

“นี่……”พอนึกถึงค่าตัวที่มากขนาดนั้น แทบจะเป็นเงินเดือนทั้งเดือนของเขาเลย คุณลงที่ถูกจ้างมาเป็นตัวประกอบ สีหน้าเต็มไปด้วยความลังเลและเสียดาย

เจี่ยนถงเข้าใจในทันที——ทั้งหมดของวันนี้คือเกม……เกมที่จัดขึ้นเพื่อเธอโดยเฉพาะ

พวกเธอ……ต้องการเหยียบย้ำเธอ ทำให้เธออับอาย เธอยิ้มมุมปากอย่างขมขื่นและแล้วพริบตาเดียวรอยยิ้มนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของเธอก็มีรอยยิ้มที่ฝึกฝนต่อหน้ากระจกมานับไม่ถ้วนอีกครั้ง “คุณผู้ชายคะ คิดเสร็จหรือยังคะ?คุณต้องการให้ฉันทำอะไรคะ?”

“เออ……เออ……”คุณลุงแปลกหน้าคนนี้ลังเลไม่รู้ควรทำยังไงจู่ๆคิดได้ก็พูด “ช่วงนี้เท้าผมปวดเมื่อยมาก คุณช่วยนวดให้ผมหน่อยแล้วกัน”

ทันใดนั้น รอบๆเงียบลงในทันที ตาแต่ละคู่จับจ้องอยู่ที่ตัวของเจี่ยนถง รอดูว่าเธอจะทำยังไงต่อ

เจี่ยนถงถึงจะก้มหน้าเอาไว้ แต่เธอก็สัมผัสถึงสายตาที่จับจ้องที่ตัวเธอ ใบหน้าเธอยังคงรอยยิ้มเอาไว้ เธอคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วช่วยถอดรองเท้าของลุงที่นั่งอยู่บนโซฟาออกภายใต้สายตาของทุกคน แล้วเอาเท้าของเขาวางตากหัวเข่าของตัวเอง

บึม!

ทุกคนต่างโห่ร้องขึ้นมา!

“พระเจ้า!ฉันเห็นอะไรเนี่ย!”

“ต่ำช้า……จริงๆ!”

“ที่แท้นี่ก็เป็นสันดานที่แท้จริงของผู้หญิงคนนี้ ฉันถึงว่าล่ะ ว่าทำไมตอนนั้นประธานเสิ่นถึงไม่สนใจเธอ ที่แท้ประธานเสิ่นของเราเห็นท่าแท้ของผู้หญิงคนนี้ตั้งนานแล้ว”

“โชคดีที่ตอนนั้น ประธานเสิ่นไม่ถูกผู้หญิงคนนี้หลอก แต่กลับเลือกเธอ โชคดีจริงๆ”

เจี่ยนถงช่วยคุณลุงวัยกลางคนนวดขาอยู่ จู่ๆรู้สึกแน่นหน้าอกแล้วยิ้มอย่างจนปัญญา……ที่แท้ ที่แท้

เป็นเพราะเธอมันสันดาน“ต่ำช้า”เพราะคนคนนั้นดูคนเก่ง?เลยเห็นท่าแท้ของเธอตั้งนานแล้ว?

ที่จริง……ที่จริง!

เธออยากจะหัวเราะ กลับสังเกตว่าทำยังไงก็ยิ่งไม่ออก

……

เซียวเหิงได้รับข้อความแปลกข้อความหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนในทันที ไม่นาน ก็รีบขับรถมาอย่างรวดเร็ว

งานเลี้ยงคึกคักมาก เขาไม่ทันได้เปลี่ยนชุด รีบหยุดงานในมือทุกอย่างแล้วเร่งรีบมาจากบริษัท

รูปร่างที่สูงใหญ่ หลังผ่านการทำงานมาเหนื่อยทั้งวัน แถมทำงานล่วงเวลาเซียวเหิงในเวลานี้ดูมอมแมมไปเล็กน้อย ถ้าเป็นเวลาปกติจะไม่รู้สึกเท่าไหร่ แต่วันนี้ ในงานเลี้ยงที่เป็นทางการ ภายใต้ผู้คนที่แต่งตัวอย่างสวยหรูเต็มยศแล้ว รู้สึกแปลก……ต่างจากคนอื่น

เป็นเพราะออกมาอย่างเร่งรีบ แม้แต่เนคไทยังไม่ทันจะผูกดี ปล่อยหละหลวมอยู่ที่คอ มีคนเห็นเขาแล้วเดินเข้ามาทัก “ประธานเซียว วันนี้ว่างมางานเลี้ยงได้ยังไงครับ?”

สายตาของเซียวเหิงกลับมองหาผู้หญิงคนหนึ่งในงานเลี้ยงตลอด

“ประธานเซียวกำลังหาคนหรอครับ?”

เซียวเหิงอึ้ง แล้วรีบคว้าแขนคนคนนั้นเอาไว้ “ใช่ คุณเห็นเจี่ยน……”จู่ๆนึกขึ้นได้ ที่นี่จะมีใครรู้จักเจี่ยนถงได้ยังไง?เสียงได้หยุดลงทันที

“เจี่ยน?……เจี่ยนอะไรครับ?”

“ไม่มีอะไรครับ”

เซียวเหิงเดินจากไปโดยตรง

แล้วถูกคนข้างหลังจับแขนไว้อีก “รอก่อนครับ ประธานเซียว ถ้าคุณกำลังหาคนอยู่ละก็ ถ้าที่นี่หาไม่เจอ นั้นคุณสามารถไปที่ที่หนึ่งครับ”

“ที่ไหนครับ?”

“ชั้นสองสุดทางเดินครับ”ระหว่างที่คนคนนั้นพูด “ผมพาคุณไปเองครับ”

เซียวเหิงพูดขอบคุณคำหนึ่ง “นั้นต้องรบกวนประธานเจี่ยนแล้วครับ”

ตอนที่เจี่ยนโม่ป๋ายพาเซียวเหิงขึ้นไปชั้นสองนั้น ยังรู้สึกสงสัยมาตลอดทาง……หรือว่าเมื่อกี้เขาจะฟังผิด?อาจจะ……เซียวเหิงอาจจะไม่ได้พูดคำว่า“เจี่ยน”เลยด้วยซ้ำ

อาจเป็นเพราะตัวเองเซนซิทีฟต่อนามสกุลของตัวเองมากเกินไป

แต่ว่า เซียวเหิงถือว่าเป็นคนหน้าใหม่ของวงการธุรกิจที่กำลังรุ่ง เรื่องช่วยหาคนเป็นเรื่องง่ายๆ พยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาไว้ ถือว่าไม่เสียหายอะไร

“ดูสิครับ ผมบอกแล้วไง ถ้าข้างล่างไม่เจอ น่าจะหาเจอได้ที่นี่แน่นอนครับ……ดูสิครับ ประธานเซียว ประตูยังเปิดอยู่เลย”

เซียวเหิงไม่ทันจะพูดอะไร เร่งรีบเดินไปทางห้องมุมสุด เป็นประตูคู่ ประตูอีกบานถูกเปิดไว้เป็นช่องเล็กๆ ระหว่างที่เซียวเหิงกำลังจะเปิดประตู จู่ๆสายตาก็ไปเห็นอะไรแล้วตกใจ!

เขา……หาเจี่ยนถงเจอแล้ว!

แต่!

เขาเห็นอะไรจากช่องเล็กนี้?

เจี่ยนโม่ป๋ายเดินไป“ประธานเซียวครับ ทำไมยังยืนอยู่……”ข้างนอก……

จู่ๆ!

ยังไม่ทันจะพูดจบ ก็ถูกมือปิดปากตัวเองไว้อย่างแรง เจี่ยนโม่ป๋ายเงยหน้าขึ้นก็เห็นตาคู่นั้นของเซียวเหิงเต็มไปด้วยเส้นเลือดราวกับจะฆ่าคน

วินาทีต่อมา เขาก็มองตามสายตาของเซียวเหิงผ่านช่องประตูนั่น

เจี่ยนโม่ป๋ายตกใจจนลืมตาโตทันที !

เสี่ยวถง……

ทำไมถึง?

เธอ เธอ เธอ……กำลังทำอะไรอยู่!

ความอัปยศอดสูและความโกรธปะทุขึ้นมาจนยับยั้งไม่ไหว!

สีหน้าของเจี่ยนโม่ป๋ายอับอายจนไม่กล้าเงยหน้า!

เสี่ยวถง……เธอทำเรื่องต่ำช้าแบบนั้นได้ยังไง!

ในห้อง เซียวเหิงกับเจี่ยนโม่ป๋ายต่างก็เห็นคนที่คุ้นเคยคนนั้น เธอนั่งอยู่ที่พื้น ช่วยผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งนวดเท้าอยู่ด้วยท่าทางที่ต่ำต้อยสุดๆ!

สายตาของเซียวเหิงค่อยๆมองเห็นคนอื่นๆที่อยู่ข้างในอย่างชัดเจน ตอนที่เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยหลายคนกำลังเยาะเย้ยเจี่ยนถงอย่างบ้าคลั่งนั้น จู่ๆ เขาก็ได้สติกลับมา แล้วเกิดโทสะอยากจะฆ่าคน——พวกสารเลวพวกนั้น!กล้ารังแกเจี่ยนถงงั้นหรอ!

ณ เวลานี้ เซียวเหิงใจร้อนจนอยากจะอัดคนพวกนั้นด้วยมือตัวเองให้น่วม ตอนที่เขายกมืออยากจะผลักประตูนี้ออกอย่างแรงนั้น วินาทีต่อมา มือกลับหยุดคาไว้บนอากาศ

“เจี่ยนถง ไม่นึกเลยว่าคุณหนูเจี่ยนที่เจิดจรัสในอดีต จะมีวันนี้ได้ เพื่อเงินแล้ว……ถึงขั้นเพื่อเงินที่เหม็นเน่าพวกนี้ ต่ำช้าได้ถึงเพียงนี้” เสียงเหยียดหยามดังขึ้นในห้อง

เจี่ยนถงทำเหมือนไม่ได้ยิน จุดจ่ออยู่กับการนวดเท้าให้กับชายวัยกลางคนคนนั้น……ไม่มีความจำเป็นต้องไปเถียงแก้ตัว ถ้าเธอบอกว่าเธอไม่ได้ทำเพื่อเงินพวกนี้ มีคนยอมเชื่อมั้ย?

ถ้ามี นั้นก็คงไม่มีคนพูดแบบนี้แล้ว

แววตาเธอยิ่งดูเย็นชา……ไม่เป็นไร เธอพูดกับตัวเองแบบนั้น

คนที่ไม่สำคัญก็ปล่อยให้เขาพูดไป ไม่เป็นไร

อยากจะคิดยังไง กล่าวหาหรือใส่ร้ายเธอยังไง ก็ไม่เป็นไร……การใส่ร้ายที่ไร้ยางอายกว่านี้เธอยังเคยเจอมาแล้วเลยเมื่อสามปีก่อน ยังมีอะไรมาเทียบกับการกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีของเซี่ยเวยเหมิงได้อีก?

เว่ยซือซานสั่งเกตสถานการณ์ข้างนอกมาตลอดตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว เห็นชัดว่าช่องประตูนั้นเธอตั้งใจเปิดเอาไว้เอง สายตาเหลือบไปเห็นผู้ชายที่อยู่ใต้แสงไฟ แล้วตาสว่างทันที ริมฝีปากแดงของเว่ยซือซานยิ้มขึ้น

“นี่ เจี่ยนถง ฉันนึกไม่ถึงเลยนะ ตอนนี้เธอจะกลายเป็นสารรูปนี้ได้ เป็นผู้หญิงที่นอนกับใครก็ได้

นึกถึงเจี่ยนถงในอดีต มีหน้ามีตาขนาดไหน?

แล้วดูสารรูปตอนนี้ของเธอสิ หึๆ คนละคนเลย

แต่ว่า เธอก็สมควรแล้ว ใครให้เธอเพื่อผู้ชายคนเดียว โดยที่ใจร้ายใจดำลงมือกับเพื่อสนิทที่โตมาด้วยการอย่างโหดเหี้ยมล่ะ พูดถึงคนอย่างเธอมันช่างใจร้ายใจอำมหิตจังเลยนะ

ฉันยอมแพ้เธอเลย จ้างนักเลงพวกนั้นมา วางแผนให้พวกเขาลุมข่มขืนเซี่ยเวยเหมิง……แต่เธอไม่คิดไม่ฝันมาก่อน ว่าเซี่ยเวยเหมิงจะทนความอัปยศนี้ไม่ไหวแล้วฆ่าตัวตาย

ถ้าเซี่ยเวยเหมิงไม่ตาย แผนการของเธอก็คงสำเร็จลุล่วงไปแล้ว เธอ……เธอนี่มันมีจิตใจที่ทั้งสกปรกทั้งเหม็นเน่าจริงๆ!”

ประตูใหญ่ มือของเซียวเหิงคาอยู่กลางอากาศ สมองว่างเปล่า……เขาได้ยินอะไรมา?

เว่ยซือซาน ผู้หญิงคนนั้นกำลังพูดอะไร?

ทำไมเขาถึงฟังไม่รู้เรื่องเลย?

เจี่ยนถง?

วางแผนให้ร้ายเพื่อนสนิทของตัวเอง?

ใช้เงินจ้างนักเลงพวกนั้นมา?

ลุมข่มขืนเพื่อนตัวเอง?

สุดท้าย ทำให้เพื่อนสนิทฆ่าตัวตาย?

ไม่ไม่ไม่!

เป็นไปไม่ได้!

นี่กับเจี่ยนถงที่เขารู้จัก คนละคนกันเลย!

“เจี่ยนถง เธอคงคิดไม่ถึงเลยสินะ ว่าเสิ่นซิวจิ่นที่เธอพร่ำเพ้ออยู่ทุกวี่ทุกวัน หลังจากเซี่ยเวยเหมิงเสียชีวิต จะจับเธอเข้าคุกด้วยมือของเขาเอง?เจี่ยนถง เธอไม่เพียงแค่น่ารังเกียจ ยังน่าเวทนาอีกด้วย!วางแผนมาอย่างดี สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไร!”

เว่ยซือซานตั้งใจขยับร่างไปอีกทาง ตั้งใจให้ธนบัตรที่บาดตากล่องนั้น สามารถถูกคนที่อยู่นอกประตูมองเห็นได้อย่างชัดเจน

ริมฝีปากแดงยิ้ม “เธอในอดีต เห็นเงินทองเป็นเศษดิน แล้วเธอในตอนนี้ล่ะ?เพื่อเงินแค่นี้ สามารถลดตัวเพื่อเอาใจชายแก่หัวล้านคนหนึ่ง เจี่ยนถง ฉันดูถูกเธอมาก”

ลมหายใจของเซียวเหิงเต้นไม่เป็นจังหวะ

ไม่!

นี่ไม่ใช่เรื่องจริง!

นี่ไม่ใช่เจี่ยนถงที่เขารู้จักเลยสักนิด!

แต่สายตาของเขากลับหยุดอยู่ที่ธนบัตรกล่องนั้นไม่ยอมขยับไปไหน!

เขาโกรธกัดฟันยื่นมือไปผลักประตูออกอย่างแรง!

เซียวเหิงยืนอยู่ที่ประตู “ผมไม่เชื่อ!”สายตาของเขาหยุดลงที่ตัวของเจี่ยนถงอย่างดื้อดึง!

เซียวเหิง!

ในที่สุด เจี่ยนถงก็รู้ว่าเกมนี้จัดขึ้นเพื่ออะไรแล้ว

เว่ยซือซานพูด ได้รับความไหว้วานจากคนอื่น ก็ต้องทำให้ดีที่สุด

“คน”คนนี้คือใครไม่สำคัญ

แต่ที่เซียวเหิงมาปรากฏที่นี่ คือความบังเอิญงั้นหรอ?

เธอเสียไตไปไม่ใช่สมอง

เธอเข้าใจทันที เธอไม่ได้หันไปมองเซียวเหิงแต่มองไปทางเว่ยซือซานที่อยู่ข้างๆ เว่ยซือซานเองก็รู้สึกถึงสายตาที่เธอมองมา พอหันไป กลับไม่ได้เห็นความพ่ายแพ้และน่าเวทนาบนใบหน้าของเจี่ยนถง แต่กลับเห็นแววตาที่ใสสะอาดของเจี่ยนถง เหมือนกับมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง

วินาทีนั้น เว่ยซือซานรู้สึกวิตกกังวล ภายใต้สายตาที่มองทุกอย่างอย่างทะลุปรุโปร่งของเจี่นรถง เธอรู้สึกเหมือนได้กลับไปเผชิญหน้ากับเจี่ยนถง เมื่อสามปีก่อน……ตอนนั้น เธอประชันกับเจี่ยนถงซึ่งๆหน้าก็ดีหรือว่าแอบลงมือลับๆก็ดี ไม่ว่าเธอจะทำยังไง ดวงตาของเจี่ยนถงมัดจะเผยให้เห็นแววตาที่เข้าใจทุกเรื่องอย่างปรุโปร่งอยู่เสมอ!

เหมือนกับลูกไม้พวกนั้นของเธอไม่อยู่ในสายตาของเจี่ยนถงเลย……แต่นั่นมันสามปีก่อน!

สามปีก่อน ตอนนั้นเจี่ยนถงยังมีภูมิหลังอยู่!

แต่ตอนนี้ล่ะ?

เจี่ยนถงที่ไม่มีภูมิหลัง ทำไมถึงยังมีดวงตาที่ใสสะอาดแบบนี้ได้อีก?

สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมซะเลย!

ถือสิทธิ์อะไร ผู้หญิงขายตัวที่สำส่อนแบบนี้ ยังคงแววตาแบบนี้ได้อีก!

เซียวเหิงกำหมัดไว้“ผมไม่เชื่อ!คุณหนูเจี่ยนอะไร ?ใช้เงินจ้างนักเลงอะไร?เจี่ยนถงเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา!เธอจะเอาเงินมาทำเรื่องพวกนี้จากไหน!”

เว่ยซือซานโมโหเจี่ยนถง เวลานี้ เห็นเซียวเหิงทุ่มตัวปกป้องผู้หญิงคนนี้ ความริษยาในใจแทบจะกลืนกินเธอทั้งคน “คุณชายเซียวเนี่ยตลกดีนะคะ คนที่ยืนอยู่ข้างกายคุณก็คือพี่ชายของเจี่ยนถง คุณชายเจี่ยนไม่ใช่หรอคะ?แต่ว่า นี่จะโทษคุณชายเซียวก็ไม่ได้ ใครให้คุณย้ายไปอยู่อเมริกาตั้งนานล่ะคะ ไม่รู้เรื่องในประเทศก็ไม่แปลก”

เว่ยซือซานพูดจบก็หัวเราะเยาะเย้ยขึ้นทีหนึ่ง

“ผู้หญิงธรรมดาที่คุณพูดถึง เธอชื่อเจี่ยนถง สามปีก่อนเธอยังคือคุณหนูเจี่ยน ชื่อเสียงของเธอ ตอนนั้นทั่วหาดเซี่ยงไฮ้มีใครบ้างที่ไม่รู้?

แต่ว่าเธอกลับให้ร้ายเพื่อนสนิท ทำให้เพื่อนถูกนักเลงรุมโทรม เพื่อเสิ่นซิวจิ่นผู้ชายคนเดียว เลยทำให้เพื่อนสนิทรับไม่ได้ฆ่าตัวตาย เรื่องนี้ ตอนนั้นสะท้านทั่วหาดเซี่ยงไฮ้และไม่มีใครไม่รู้เหมือนกัน

แต่ที่ตลกก็คือ ผู้ชายที่เธอคิดถึงทุกวี่ทุกวันกลับเป็นคนส่งเธอเข้าคุกเอง”

แววตาที่เซียวเหิงมองไปที่เจี่ยนโม่ป๋ายเต็มไปด้วยความสงสัย “……คือเรื่องจริงหรอครับ?”

เจี่ยนโม่ป๋ายเงียบ แปลว่ายอมรับ

เซียวเหิงตกใจอย่างหนัก เหมือนถูกอะไรหล่นทับ!

เขามองไปที่เจี่ยนถงต่อ “จริงใช่มั้ยครับ?”

เจี่ยนถงมองเซียวเหิงที่มีผู้คนกีดขวางอยู่……แววตาที่สับสนของชายหนุ่มคนนั้นเธอเห็นอย่างชัดเจน

เว่ยซือซานเติมพริกเติมเกลือ “เสิ่นซิวจิ่นเป็นคนระดับไหน คุณชายเซียวไม่เคยได้ยินคงไม่ใช่มั้งคะ?ตอนนั้น เขาเป็นคนส่งเจี่ยนถงเข้าคุกกับมือเอง

ถ้าไม่มีเรื่องนี้อยู่จริง ……นั้นคุณก็ลองถามคุณชายเจี่ยนที่อยู่ข้างๆดูสิคะ ลองถามตระกูลเจี่ยนของพวกเขาดูสิ ว่ายังจำเจี่ยนถงคนนี้ได้มั้ย!”

“ฉันจำได้ว่า ตระกูลเจี่ยนลงข่าวในหนังสือพิมพ์ ไม่ยอมรับว่าตระกูลเจี่ยนมีคนที่ชื่อเจี่ยนถงอยู่”เว่ยซือซานพูด สายตาได้หยุดลงที่หน้าของเจี่ยนโม่ป๋าย “คนนอกอย่างพวกเราไม่เชื่อเธอก็พอเข้าใจ ถ้าแม้แต่คนที่บ้านยังไม่เชื่อเธอละก็ งั้นคุณชายเซียว คุณลองพูดดูว่าเธอมีความผิดมั้ยคะ?”

ถ้าแม้แต่คนที่บ้านยังไม่เชื่อเธอละก็ งั้นคุณชายเซียว คุณลองพูดดูว่าเธอมีความผิดมั้ย!

คำพูดนี้ ทำเอาใจของเซียวเหิงว้าวุ่นไปหมด!

เขามองมาที่เจี่ยนโม่ป๋าย แต่เจี่ยนโม่ป๋ายกลับหันหน้าหนี……ความหมายเห็นได้อย่างชัดเจน——ที่เว่ยซือซานพวกเธอพูดเป็นความจริง!

เซียวเหิงรู้สึกสับสนมึนงง……เขาคิดมาโดยตลอดว่าเจี่ยนถงเป็นแค่ผู้หญิงที่จำใจต้องมาเป็นสาวบริการ

เขากลับไม่รู้ว่าเธอเป็นถึงคุณหนูของตระกูลเจี่ยน เคยทำเรื่องเลวทรามแบบนั้นมาก่อน!

ใส่ร้าย ว่าจ้าง วางแผน รุมโทรม……ไม่ว่าข้อหาไหนก็ดูต่ำช้าสุดๆ!

เขารู้สึกสับสน จู่ๆมองไปที่กล่องธนบัตรนั่น แล้วนึกถึงคำพูดที่เว่ยซือซานพวกเธอพูดเมื่อกี้ เจี่ยนถง เพื่อเงินแล้ว เธอมันทำได้ทุกอย่าง!

เขายังนึกขึ้นว่าเมื่อวาน ตอนที่อยู่ในห้องVIP คาย์อันที่พูดจาแปลกๆ ……เพราะฉะนั้น ที่แท้ทุกคนรู้หมด มีแต่เขาที่ถูกปิดอยู่คนเดียวงั้นหรอ?

เขาสามารถยอมรับทุกอย่างของเจี่ยนถงได้ แต่……

ความรู้สึกเจ็บใจเหมือนกับคลื่นทะเลได้ซัดเข้ามา!

เซียวเหิงรับไม่ได้ ผู้หญิงที่ตัวเองจริงใจด้วยครั้งแรกในชีวิต……กลับเป็นคนแบบนี้!คนที่เย่อหยิ่งอย่างเขา ทำไมถึงไปรักฆาตกรที่เห็นแก่ตัวเป็นสันดานและต่ำช้าสิ้นดีแบบนี้!

เธอไม่จำเป็นต้องสวย ไม่จำเป็นต้องน่ารัก ร่างกายจะบกพร่องก็ไม่เป็นไร!แต่สิ่งเดียว!

จะบกพร่องความเป็นคนไม่ได้!หัวใจที่เหม็นเน่า สกปรกและดำ!

เขาไม่สามารถรับได้!

ไม่ไม่ไม่……เขาก็แค่หลงใหลร่างกายของเธอ หลงใหลริมฝีปากของเธอ แค่สมองเสื่อมไปชั่วขณะ……เขาเซียวเหิงที่เป็นถึงผู้สืบทอดของตระกูลเซียวจะไปรักผู้หญิงที่เป็นฆาตกร ที่ทั้งต่ำช้าไร้ยางอายและน่าขยะแขยงน่ารังเกียจแบบนั้นได้ยังไง!

เป็นไปไม่ได้แน่!

เขาปฏิเสธทั้งหมดนี้อย่างหนักแน่นในใจ!

ท้ายที่สุด สายตาของเซียวเหิงมองไปที่บนตัวของผู้หญิงที่นั่งคุกเข่าข้างเดียวและกำลังช่วยผู้ชายวัยกลางคนนวดเท้าอยู่ ท่ามกลางผู้คน……“ผมให้โอกาสคุณ ที่พวกเธอพูด……มีคำไหนที่ไม่จริงบ้าง?”

เซียวเหิงในเวลานี้ ไม่ใช่เด็กหนุ่มในสายตาของเจี่ยนถงอีกต่อไป แตกต่างกับผู้ชายร่าเริงแจ่มใสของเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง ที่ไม่ไกล ผู้หญิงที่ต่ำช้าน่ารังเกียจในสายตาผู้คน——เจี่ยนถง สายตาของเธอจ้องอยู่ที่ตัวของผู้ชายที่อยู่เคียงข้างเธอมานานระหว่างที่มีผู้คนขวางกั้นอยู่……ท้ายที่สุด เขาก็ได้เห็นอีกด้านที่น่ารังเกียจของตัวเอง รู้ว่าเธอคือใคร และมีอดีตยังไง

เจี่ยนถงมองข้ามความเจ็บปวดในใจ มองไปทางเซียวเหิงระหว่างที่มีผู้คนขวางอยู่……แต่เธอนึกไม่ถึงว่า จะไขกล่องแพนโดร่าด้วยวิธีแบบนี้ เผยให้เขาเห็นอดีตและความทุเรศของเธอ

เธอเปิดปากพูดอย่างช้าๆ “เซียวเหิง”นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเรียกชื่อผู้ชายที่เหมือนชายหนุ่มตั้งแต่รู้จักมา “ถ้าฉันบอกว่าฉันไม่ได้ทำร้ายเซี่ยเวยเหมิง คุณจะเชื่อมั้ย?”

เว่ยซือซานหัวเราะ “เจี่ยนถง เธอกล้าทำแต่ไม่กล้ารับ เธอยังมียางอายอยู่หรือเปล่า!ถ้าไม่มีเรื่องแบบนี้อยู่จริง พวกเราจะปรักปรำเธอได้ยังไง?ถึงพวกเราจะปรักปรำเธอ แล้วเสิ่นซิวจิ่นจะปรักปรำเธอด้วยหรอ?

ถ้าเธอไม่ได้ทำจริง เธอลองอธิบายมาสิ ว่าทำไมพ่อแม่แท้ๆของเธอถึงไม่นับเธอเป็นลูก ทั้งๆที่เจี่ยนโม่ป๋ายพี่ชายเธอก็ยืนอยู่ตรงนี้ เห็นเธอถูกรังแก ทำไมเขาถึงไม่ออกปกป้องเธอ?ปล่อยให้เธอถูกพวกเราเหยียบย่ำแบบนี้?”

ทุกประโยค ทุกคำพูด กระแทกเข้าไปในใจของเจี่ยนถง!

ถ้าเธอไม่ได้ทำ เสิ่นซิวจิ่นจะเข้าใจเธอผิดหรอ?

ถ้าเธอไม่ได้ทำ ทำไมพ่อแม่เธอถึงไม่นับเธอเป็นลูก?

ถ้าเธอไม่ได้ทำ พี่ชายเธอก็ยืนอยู่ตรงหน้าของเธอ ปล่อยให้เธอถูกเหยียบย่ำโดยที่ไม่ออกมาปกป้องเธอ!

คำแล้วคำเล่า!

เจี่ยนถงหายใจเข้าลึกๆ หน้าอกเจ็บจนแทบจะหายใจไม่ออก……เธอก็อยากจะตะคอกกลับไป

เสิ่นซิวจิ่นเข้าใจฉันผิดเป็นความผิดของฉันงั้นหรอ!

พ่อแม่ไม่นับฉันเป็นลูกก็เป็นความผิดฉันอีกหรอ!

พี่ชายฉันเห็นฉันถูกรังแกต่อหน้าโดยที่นิ่งเฉยไม่ทำอะไรก็เป็นความผิดฉันอีกงั้นหรอ!

เป็นเพราะการตัดสินใจของเสิ่นซิวจิ่น ของพ่อแม่ฉันและพี่ชายฉัน……เพราะฉะนั้น ฉันไม่มีความผิดก็ต้องกลายเป็นมีความผิดงั้นหรอ!

มีใครบ้างที่สนใจความจริง!

ขนาดเสิ่นซิวจิ่นยังลงมือกับเธอ คาดว่าเรื่องนี้ก็คงจริงไม่ผิด ต้องเป็นเธอทำแน่!

ขนาดพ่อแม่เธอก็ยังไม่นับเธอเป็นลูก ดูท่าเรื่องนี้ต้องเป็นเธอทำแน่!

ขนาดพวกเรารังแกเธอถึงขนาดนี้ พี่ชายเธอที่อยู่ข้างๆไม่ยอมออกมาช่วยเธอพูดต่างสักคำ……ต้องเป็นเธอทำแน่!

สายตาเธอมองดูผู้คนรอบหนึ่ง……ต่างก็คิดแบบนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่หรอ?ในเมื่อไม่ใช่เรื่องของตัวเองก็เลยเพิกเฉยไม่สนใจ เพราะยังไงซะวงการนี้ก่อนหน้ายังเป็นเพื่อนกันอยู่ วินาทีต่อมา พอบ้านไหนตกอับ คนที่ลงมือกับคุณคนแรกก็คือบ้าน“เพื่อนสนิท”ที่ใกล้ชิดที่สุด!

จู่ๆเธอก็หลับตา!แบบนี้ถึงปกปิดอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมาอย่างกับพายุมรสุมที่ซัดกระหน่ำเข้ามา!

ปล่อยให้พวกเขาเห็นไม่ได้ เธอไม่ยอมให้พวกเขาเห็น……และพวกเขาไม่คู่ควรที่จะเห็น!

มือที่ห้อยอยู่ข้างกายของเซียวเหิงกุมเอาไว้แน่น เขาเลือกที่จะเชื่อเธอ แต่ว่า……คนมากมายขนาดนี้ล้วนบอกว่าเธอมีบาป เสิ่นซิวจิ่นบอกเธอมีบาป บางทีอาจจะปรักปรำเธอ แต่ถ้าแม้แต่ญาติพี่น้องของเธอ พ่อแม่ของเธอ พี่ชายของเธอต่างก็บอกว่าเธอมีบาป……เซียวเหิงอยากจะเชื่อ แต่ก็ไม่สามารถเชื่อเธอได้!

เขาไม่สามารถให้อภัยกับการโกหกของเธอ! ไม่สามารถยอมรับตัวเองที่เย่อหยิ่ง แต่กลับไปรักผู้หญิงที่จิตใจอำมหิตแบบนี้!

แต่เซียวเหิงลืมไปอย่างหนึ่งว่าเจี่ยนถงต้องการๆให้อภัยของเขาหรือเปล่า! แล้วเขา มีสิทธิ์อะไรที่จะเลือกว่าให้จะอภัยหรือไม่ให้อภัย!

เจี่ยนถง เคยทำเรื่องที่ทำร้ายเขาหรือเปล่า!

เซียวเหิงลืมเรื่องพวกนี้ไป นาทีนี้เขาโกรธเกรี้ยวสุดๆ ความภาคภูมิใจและความเย่อหยิ่งในใจ ทำให้เขาไม่อาจยอมรับ ผู้หญิงที่ตนเองจริงใจด้วยเป็นครั้งแรกในชีวิต กลับเป็นผู้หญิงที่ต่ำช้าไร้ยางอาย!

“เจี่ยนถง” เซียวเหิงเชิดหน้าขึ้น “ผม เซียวเหิง สูงศักดิ์เป็นคุณชายของบริษัทเซียวซื่อกรุ๊ป ผู้สืบทอดของตระกูลเซียว ผมแค่กระดิกนิ้วก็มีผู้หญิง เป็นโขยงแย่งกันวิ่งข้ามาหาแล้ว! เจี่ยนถง มีผู้หญิงแบบไหนที่ผมจะหาไม่ได้? กินปลากินเนื้อมาเยอะ บางครั้งก็อยากจะกินอะไรที่มันจืดๆหน่อย”

เขาเชิดหน้า มองผู้หญิงต่ำช้าสุดๆจากที่สูงลงมาที่ต่ำ “ผมก็แค่เล่นๆกับคุณเฉยๆ คุณก็อย่าเอามาใส่ใจเลย”

เขาพูดจบก็ได้หันหลังจากไปอย่างสง่าผ่าเผย

สายตาของเจี่ยนถงจ้องอยู่ที่ร่างเงานั้นตลอด

ร่างเงานี้คุ้นเคยสุดๆ แม้แต่เธอเองก็จำไม่ได้แล้วว่ามีอยู่กี่ครั้งที่ผู้ชายสูงใหญ่คนนี้จูงมือเธอเดินผ่านหมู่คน

แต่นาทีนี้ ร่างเงาที่คุ้นเคยนี้กลับเหมือนคนแปลกหน้าสุดๆ

เจี่ยนถงใช้สายตาส่งร่างเงานั้นอย่างเงียบๆ จนกระทั่งเขาสูญหายไปจากสายตาของเธออย่างสิ้นเชิง

จากนั้นสายตาของเธอก็ได้หล่นอยู่ที่บนตัวของเจี่ยนโม่ป๋ายที่สีหน้าตกที่นั่งลำบาก แต่ไม่ถึงหนึ่งวินาทีก็ได้มองผ่านเจี่ยนโม่ป๋ายไป——ถ้ามีครอบครัวที่ไม่สามารถให้ความอบอุ่นได้ กลับกันยังกลายมาเป็นอาวุธที่ให้คนอื่นมาทำร้ายตัวเอง งั้นก็สู้ไม่มีดีกว่า

เจี่ยนโม่ป๋ายหันหน้าไปอีกข้าง เขาเองก็ไม่อยากอยู่ต่ออีก ได้หันหลังเดินออกไปอย่างใจร้อน

ในใจของเว่ยซือซานสะใจอย่างบอกไม่ถูก……เจี่ยนถง ฉันจะคอยดูว่าใครจะเอาฉันไปเทียบกับแกอีก? ฉันจะคอยดูว่าแกยังจะกิ้งก่าได้ทองอีกมั้ย! แกก็เน่าไปถึงดินโคลนเถอะ! ชาตินี้อย่าคิดจะได้โงหัวขึ้นมาเลย!

“ฟรึบ” เว่ยซือซานเอากล่องที่เต็มไปด้วยเงินสดถีบมาตรงหน้าของเจี่ยนถงพร้อมพูดอย่างแบ่งปันน้ำใจ “เงินนี้เป็นของแกแล้ว”

“ข้อมูลสำรอง” เจี่ยนถงยื่นมือออกไป จ้องมองเว่ยซือซานด้วยสายตาด้านชา “ฉันเคยบอกแล้ว ครั้งนี้ถ้าเธอยังกล้าเล่นตุกติกกับฉันอีก ฉันก็จะลากเธอไปลงนรกด้วยกัน”

อาจจะเพราะสีหน้าของเจี่ยนถงน่ากลัวเกินไป พริบตาเดียวใบหน้าสะสวยของเว่ยซือซานก็มีความหวาดกลัวโผล่ขึ้นมา พร้อมชูคอทำท่าไม่พอใจ “ฉันไม่มีข้อมูลสำรองอะไร มีแค่ชุดที่อยู่ในมือถือ แกดูดีๆล่ะ” เว่ยซือซานพูดไปด้วยและเอาซิมมือถือออกมาด้วย จากนั้นได้เรียกคนที่อยู่ข้างๆ “เอาไฟแช็คมา”

เธอได้เผาซิมนั้นต่อหน้าเจี่ยนถง “เจี่ยนถง แกดูชัดๆล่ะ ฉันเผาหมดแล้ว ต่อไปถ้าใครยังมีคลิปวิดีโอนี้อีก นั่นก็เป็นเรื่องของเขา อย่ามาปรักปรำฉัน ฉันไม่นับว่าเป็นคนดีอะไร แต่สัจจะแค่นี้ยังพอมีอยู่”

เว่ยซือซานพูดจบก็ได้พาคนทั้งกลุ่มจากไปอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร ลุงพุงใหญ่คนนั้นมองดูสถานการณ์แล้วก็ได้รีบตามพวกเขาไป……เขาถือว่าดูออกแล้ว เรื่องของวันนี้เป็นกับดักที่มุ่งเป้าไปหาเด็กผู้หญิงคนนั้นชัดๆ ตัวเองอย่าแทรกแซงดีกว่า

ในห้องเงียบสงบลงมา เหลือแค่ผู้หญิงคนเดียว

มีคนคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังของที่บังลม เท้าคู่หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเธอ เธอค่อยๆเงยหน้ามองขึ้นไปตามขาคู่นี้

ผู้หญิงพูดอย่างมีความสุข “คุณเจี่ยน ฉันเคยบอกแล้วว่าฉันจะให้เซียวเหิงเห็นธาตุแท้ของคุณ ไม่นึกเลยว่าคุณจะเป็นคนของตระกูลเจี่ยน แถมยังมีอดีตแบบนั้น นี่ช่างเหนือความคาดหมายของฉันจริงๆ คุณแย่กว่าที่ฉันรู้เสียอีก”

เจี่ยนถงไม่พูดจาสักคำ เอามือยันพื้นแล้วลุกขึ้นมา

“นี่~ห้าแสนหยวน” ฝ่ามือเรียวยาวคีบเช็คไว้ใบหนึ่ง และยื่นมาที่ตรงหน้าของเจี่ยนถง “คืนนั้น เธอขอยืมกับฉันหน้าแสนหยวน ตอนนี้สามารถให้เธอแล้ว ยังไงซะ……เธอก็ได้ให้ฉันดูละครแก่งแย่งชิงดีกันของตระกูลไฮโซ สนุกอย่างหาที่เปรียบไม่ได้”

ระหว่างที่พูดก็ได้จับมือของเจี่ยนถงไว้ จากนั้นได้เอาเช็คใบนั้นยัดเข้าไปในฝ่ามือของเจี่ยนถง

เจี่ยนถงหลุบตาลง สายตาหล่นอยู่ที่เช็คใบนั้น ภายใต้การจับตาดูของคาย์อัน ฝ่ามือเธอได้ค่อยๆขยับ

แววตาลึกๆของคาย์อันมีความดูถูกแว๊บผ่าน

เจี่ยนถงชูเช็คใบนั้นขึ้นโดยที่ไม่ดูเลย พอยกมือขึ้นเช็คก็ได้ฟาดอยู่บนใบหน้าของคาย์อัน ตามด้วยเสียงที่แหบพร่าดังขึ้น “ขอบคุณความใจกว้างของคุณคาย์อันนะคะ แต่ว่า ฉันไม่ต้องการแล้ว”

เว่ยซือซานบอกว่า รับการว่ายวานจากผู้อื่น ก็ควรจะพยายามทำให้ดี คนคนนี้ ก็คือคนที่อยู่ตรงหน้านี้สินะ

ถูกหรือผิด อยู่ที่เธอได้กลายเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์แล้ว

เจี่ยนถงก้าวฝีเท้า

เธอคุกเข่าข้างเดียวอยู่บนพื้นนานเกินไปจนขาชา เธอจึงได้ลากขาข้างที่เดินไม่สะดวกออกจากห้องนี้ทีละก้าว ไม่หันกลับมามอง และไม่สนสายตาของคนที่อยู่ข้างหลัง

เธอเดินออกไปทางประตูหลัง เท่าที่เคยคุ้นเคยกับที่นี่ เธอได้เดินออกไปทางประตูหลัง สามารถหลีกเลี่ยงฝูงชนของด้านหน้า

ตลอดทางคอยเดินลากขา เปิด

ประตูกลมของประตูหลัง เธอแหงนหน้ามองท้องฟ้า……เธอยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย และพูดกับท้องฟ้าอย่างไร้เสียง คุณดูสิ ฉันไม่ได้ร้องไห้

“คุณดูสิ” “คุณ”ที่เธอหมายถึงคือใครกันแน่? เจี่ยนถง เธอกำลังเรียกใครดูกันแน่? ไม่มีคนรู้

เธอพูดกับตนเองอีก เดิมทีก็จะเปิดเผยทุกอย่างแล้ว ให้เซียวเหิงได้รู้อดีตของเธอ……ตอนนี้ก็รู้แล้ว แค่ได้เปลี่ยนวิธีรู้แบบหนึ่งเฉยๆ ยังไงซะ……ก็บรรลุเป้าหมายแล้ว มันก็เหมือนๆกันแหละ

เหมือนกันจริงๆเหรอ?

งั้นทำไมเธอถึงยังเจ็บอยู่?

เธอรักเซียวเหิงมั้ย?

เจี่ยนถงรู้ดี ไม่เลย ก็แค่คนที่เข้ามาในชีวิตของเธอ บอกกับเธออย่างไม่รับผิดชอบ เขามาหาประสบการณ์ชีวิต ให้เธออย่าจริงจัง

เจี่ยนถงอยากหัวเราะ แต่เธอหัวเราะไม่ออก

เธอตะโกนใส่ท้องฟ้าอย่างไร้เสียงอีกครั้ง คุณดูสิ! ฉันไม่ได้ร้องไห้!

แต่……บนโลกใบนี้ มีคนอยู่ไม่มาก ตอนที่มองเธอไม่แฝงด้วยความดูถูก ตอนที่มองเธอก็คือมองสายตาของเธอ……ไม่มีแล้ว!

ไม่มีแล้ว สายตาที่จดจ่ออย่างนั้น

ไม่มีแล้ว สายตาที่จริงจังอย่างนั้น

ไม่มีแล้ว สายตาที่จริงใจอย่างนั้น!

เจี่ยนถงก้าวเท้าวิ่ง ตั้งแต่ขาของเธอไม่สะดวก ไม่เคยมีครั้งไหนที่วิ่งเร็วเท่านี้มาก่อน……ความเจ็บปวด ลุกลามจากขาขึ้นมาที่เอว เจ็บปวดจนแทบจะขาดใจตลอด!

แต่ผู้หญิงที่วิ่งอย่างโซซัดโซเซนั้น กลับเหมือนว่าไม่เคยสังเกตเห็นเลย เธอยิ่งไม่รู้ว่าท่าทางที่เธอวิ่งในนาทีนี้ เหมือนนกแพนกวินที่ขากะพร่องกะแพร่ง!

ทุเรศสุดๆ!

ห้องริมสุดในงานเลี้ยงชั้นสอง

คาย์อันมองเช็คที่ลอยอยู่บนพื้นใบนั้น แล้วยื่นมือนวดตำแหน่งที่ถูกฟาดหน้า เขาส่งเสียงเยาะเย้ยทีหนึ่ง ไม่แยแสที่จะไปเก็บเช็คบนพื้นเลยด้วยซ้ำ ยกฝีเท้าก็เตรียมตัวจากไปเลย

จู่ๆมือข้างหนึ่งกลับยื่นไปที่เช็คใบนั้น และหยิบมันขึ้นมา

สีหน้าของซูเมิ่งก็ซับซ้อนเหมือนกัน เธอแค่เบื่อหน่ายงานเลี้ยงอย่างนี้ จึงได้ไปหาที่หลบเงียบๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้ยินและเห็นความลับที่น่าทึ่งขนาดนี้ เพราะความเห็นแก่ตัว……เธอไม่ได้วิ่งออกมาปกป้องเจี่ยนถงทันที ก็เพราะช็อกกับสิ่งที่พูดออกมาจากปากของเว่ยซือซานเกี่ยวกับฐานะและอดีตของเจี่ยนถงที่ ซูเมิ่งลังเล ไม่ได้วิ่งออกมาให้ทันท่วงที

ซูเมิ่งย่อตัวเก็บเช็คบนพื้นขึ้นมา แล้วยื่นมาที่ตรงหน้าของคาย์อัน “ฉันรู้จักคุณ คาย์อัน” เธอหัวเราะเบาๆทีหนึ่ง จากนั้นสายตาได้มองไปที่เช็คอีกครั้ง “เช็คห้าแสนใบนี้ อยู่ในค่ำคืนนั้น ก็คือทุกอย่างของเด็กโง่คนนั้น คือชีวิตของเธอ แต่ตอนนี้ สำหรับเด็กโง่คนนั้นแล้วไม่มีค่าอะไรเลย”

ซูเมิ่งพูดจบได้คลายนิ้วมือทั้งสองออก เช็คใบนั้นก็ได้ตกลงสู่พื้น เธอยกฝีเท้าแล้วได้เดินออกไปอย่างรีบเร่ง

คาย์อันตกใจ จึงได้ตะโกนเรียกอยู่ข้างหลังซูเมิ่ง “คุณรอก่อน! ทำไมคืนนั้น เช็คใบนี้คือทุกอย่างของเธอ แต่ตอนนี้กลับไม่มีค่าอะไรเลย? เงินห้าแสนนี้ก็ยังเป็นเงินห้าแสนนั้นอยู่ ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย!”

ซูเมิ่งหัวเราะเบาๆทีหนึ่ง ไม่ได้ตอบคำถามของคาย์อัน แต่นาทีที่ก้าวเท้าออกจากประตู กลับได้พูดคำพูดกับคาย์อันอย่างตอบไม่ประเด็น

“นาทีนี้ฉันมั่นใจ เธอไม่ได้ให้ร้ายและฆ่าคน เด็กโง่คนนั้นไม่ไปทำเรื่องต่ำช้าอย่างงั้นหรอก!”

ซูเมิ่งพอพูดจบ ก็ได้ก้าวฝีเท้าให้ไวขึ้น……ถ้าเด็กโง่คนนั้นให้ร้ายและฆ่าคนล่ะก็ ก็ไม่ย่ำแย่ถึงขั้นนี้แล้ว แต่เมื่อครู่ตัวเองเกือบจะหลงเชื่อซะแล้ว——ก็มันมีแรงโน้มน้าวซะขนาดนั้น

ถ้าเจี่ยนถงไม่ได้ทำ ทำไมต้องติดคุก?

ถ้าเจี่ยนถงไม่ได้พูด ทำไมแม้แต่พ่อแม่บรรเกิดเกล้าของเธอก็ยังไม่นับเธอเป็นลูกเลย?

ถ้าเจี่ยนถงไม่ได้ทำ แล้วเสิ่นซิวจิ่นจะลงมือกับเธอได้อย่างไร?

คุณดู……แนวความคิดสากลอย่างนี้ บนโลกใบนี้คอยฉายซ้ำๆอยู่ทุกวัน ไม่ใช่แค่เรื่องของเจี่ยนถงเท่านั้น

คดีดังของบางประเทศกล่าวไว้ว่า ถ้าคุณไม่ได้ชนคน ทำไมต้องไปพยุงผู้ประสบภัยคนนั้นด้วย?

ทำเอาซะตอนนี้ใครๆก็ไม่กล้าทำเรื่องดีแล้ว

ซูเมิ่งวิ่งออกไปตาม……เวลานี้ จะปล่อยให้เด็กโง่คนนั้นอยู่คนเดียวไม่ได้

แต่เธอวิ่งตามออกไป หายังไงก็หาคนไม่เจอ……ไม่น่าหนิ ขาของเด็กโง่คนนั้นไม่สะดวก ทำไมแค่ระยะเวลาสั้นๆก็วิ่งจนหาไม่เจอแล้วล่ะ?

แต่ เด็กโง่คนนั้นได้หายตัวไปจริงๆ!

ซูเมิ่งพูดอีกว่า หรือเธอจะกลับไปที่หอพักแล้ว?

มาถึงหอพักของเจี่ยนถงอย่างเร่งรีบ เธอได้ใช้กุญแจสำรองเปิดประตู ด้านในไม่มีคน เธอก็พูดอีกว่า เด็กโง่คนนั้นอาจจะอยู่ระหว่างเดินทางอยู่ ซูเมิ่งก็ได้รออยู่ในหอพักของเจี่ยนถงไป40นาที แต่รอยังไงก็ไม่เห็นเธอกลับมา

ตอนนี้เธอก็กลัวว่าเจี่ยนถงจะยังอยู่ในงานเลี้ยงไม่ได้ออกมาอีก พอคิดแบบนี้ก็ได้ลงจากตึกอย่างเร่งรีบและขับรถไปที่งานเลี้ยงอีก พอถามบริกรทั้งหมดต่างก็บอกว่าไม่เห็นเจี่ยนถงเลย จากนั้นเธอก็ได้หาทุกที่ที่สามารถหาได้อีกรอบหนึ่ง

เธอพูดอยู่ในใจอีกว่าหลังจากที่เธอออกมาจากหอพักของเจี่ยนถง เจี่ยนถงก็ได้กลับบ้านไปแล้ว?

พอคิดแบบนี้เธอก็รีบโทรหาผู้จัดการสวี่อีก ให้ผู้จัดการสวี่ไปดูที่หอพักของเจี่ยนถงว่าเธอกลับมาหรือยัง ไม่นานผู้จัดการสวี่ก็ได้โทรมาหาบอกเธอว่าในห้องของเจี่ยนถงไม่มีคนอยู่

ซูเมิ่งก็คิดอีกว่า ถ้าเกิดเจี่ยนถงยังอยู่ที่ตงหวงล่ะ เธอได้รีบโทรหาผู้จัดการสวี่อีก คำตอบที่ได้ไม่ค่อยสู้ดีนัก

ซูเมิ่งดูนาฬิกาแว๊บหนึ่ง ตอนนี้ได้ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงครึ่งแล้ว

ทันใดนั้นเธอรู้สึกวิตกกังวล!

เด็กโง่คนนั้นคงไม่ใช่เกิดเรื่องอะไรขึ้นมั้ง……เพราะเพิ่งผ่านเรื่องพวกนั้นมา ขอแค่เป็นคนก็คงยากที่จะยอมรับได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าเกิดเด็กโง่คนนั้นคิดสั้นขึ้นมาล่ะ?

สีหน้าของซูเมิ่งลังเล สุดท้ายเธอได้กัดฟันไว้อย่างโหด พร้อมล้วงมือถือออกมา “ประธานเสิ่นคะ เจี่ยนถงหายตัวไปค่ะ!”

หนังตาของผู้ชายที่อยู่ในสายกระตุก แต่สีหน้ากลับสงบเยือกเย็น “พูดให้ชัดเจน”

ซูเมิ่งก็ไม่รู้ว่าตนเองทำถูกหรือเปล่า……แต่ว่า หลังจากที่เกิดเรื่องเมื่อครู่ขึ้น เธอไม่เคยเห็นรอยยิ้มที่ค่อยๆเพิ่มมากขึ้นจากใบหน้าของเด็กโง่คนนั้นเลย แต่ตอนนี้ คนที่ทำให้ใบหน้าของเด็กโง่คนนั้นมีรอยยิ้มเพิ่มขึ้น ได้เป็นคนจ้วงแทงเด็กโง่คนนั้นเอง!

ถ้าเซียวเหิงจ้วงแทงเจี่ยนถงแผลหนึ่ง งั้นพ่อแม่และพี่ชายของเจี่ยนถง ก็คือคนที่จ้วงแทงเจี่ยนถงแผลที่สอง!

ไม่เจ็บจริงเหรอ?

ไม่แคร์จริงเหรอ?

ถ้าไม่เจ็บ ไม่แคร์ คนที่ขัดสนเงินขนาดนั้น คนที่ปกติแทบจะใช้เงินอย่างประหยัดสุดๆ จะมองข้ามเงินกล่องนั้นแล้วเดินขากะเผลกไปแบบนี้เฉยเลยได้อย่างไร?

ถ้าไม่แคร์จริงๆ ตามนิสัยหัวดื้อยิ่งกว่าวัวอย่างเด็กโง่คนนั้นแล้ว จะปฏิเสธเรื่องที่ตนเองให้ร้ายเซี่ยเวยเหมิงต่อหน้าผู้คนมากมาย และถามเซียวเหิงว่าเชื่อเธอหรือเปล่าทำไม?

นาทีนี้ซูเมิ่งนึกแล้วจู่ๆก็รู้สึกสะเทือนใจ……เด็กโง่คนนั้น ปกติปากของเธอก็เหมือนหอยแมลงภู่ แงะก็แงะไม่ออก แต่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้กลับถามเซียวเหิงว่าเชื่อเธอหรือเปล่า

เด็กโง่คนนั้นคงใช้เรี่ยวแรงที่มีทั้งหมด ถึงได้ถามเซียวเหิงว่า“เชื่อฉันหรือเปล่า”แบบนี้ออกมา

แต่นาทีนี้ เธอหาเด็กโง่คนนั้นไม่เจอ ทั้งๆที่ขาไม่สะดวก เดินได้ไม่ไกล แต่ตนเองหาจนทั่วก็ไม่เจอเงาของเด็กโง่คนนั้นเลย……ซูเมิ่งอกสั่นขวัญหาย กลัวเด็กโง่คนนั้นจะเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ

เธอไม่กล้าปิดบังคนที่อยู่ในสาย จึงได้รายงานเรื่องที่เห็นไปอย่างละเอียดยิบ

แววตาของผู้ชายที่อยู่ในสายมีความกังวลแว๊บผ่าน “ฟึบ” เขาลุกขึ้นมา “คุณไปหาดูอีกที ผมจะไปเดี๋ยวนี้!”

ไม่มีคำพูดที่มากกว่า พอวางสายทิ้งผู้ชายก็ได้หยิบกุญแจ แล้วเดินไปที่คลังรถยนต์อย่างเร่งรีบ

อยู่หน้าประตู เขาได้เรียกเสิ่นยีกับเสิ่นเอ้อ “ปลุกพวกเขาตื่นให้หมด ไปกับฉันหมดเลย”

น้ำเสียงออกคำสั่งที่เย็นชา ทำให้เสิ่นยีกับเสิ่นเอ้อต่างตกใจไปตามๆกัน ทั้งสองสบตากัน นี่คือเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น?

ไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่ง เสิ่นยีรีบไปขับรถ ส่วนเสิ่นเอ้อก็ได้ไปปลุกคนที่เหลือ

“ไม่ต้องให้นายขับรถ นายไปพร้อมกับพวกเสิ่นเอ้อเลย”

ผู้ชายปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ไม่ให้เสิ่นอีคอยติดตามด้วย

เขาได้บอกที่อยู่ให้กับเสิ่นยี จากนั้นตนเองได้เหยียบคันเร่งและถอยรถออกจากคลังรถยนต์ พวงมาลัยหมุนอย่างรวดเร็ว อยู่ในค่ำคืนที่เงียบสงัดนี้ เสียงที่ดังสนั่นแสบแก้วหูมากเป็นพิเศษ

เสิ่นยีม่านตาหดกะทันหัน รวมตัวกับเสิ่นเอ้อและคนอื่นๆที่มาอย่างเร่งรีบ “เกรงว่าคืนนี้คงไม่ได้นอนแล้ว ขับคนละคันกันเถอะ”

ดูท่าคือเกิดเรื่องใหญ่แล้ว คนเยอะรถเยอะ สะดวกกับการขับรถกันคนละคันและเคลื่อนไหวคนเดียว

เสิ่นยีไม่มีความคิดเห็น บอดี้การ์ดหกคนที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีต่างก็ได้ขึ้นรถเบนซ์ไปคนละคน รถทั้งขบวนขับออกจากคฤหาสน์ อลังการไม่เบาเลย

ความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ ย่อมกระทบการพักผ่อนของพ่อบ้านอยู่แล้ว พ่อบ้านมองออกไปทางหน้าต่าง แววตามีความสงสัยโผล่ขึ้นมา

คิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาได้โทรหาเสิ่นยีอีก “มีเรื่องอะไรเหรอ?”

“มีเรื่องเร่งด่วนครับ” เสิ่นยีพูดแค่ดำเดียวก็ได้วางสายทิ้ง“เรื่องเร่งด่วน”งั้นก็แสดงว่าเสิ่นยีก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร งั้นน่าจะเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหัน

“เอี๊ยด”เสียงหนึ่ง เสียงเบรคที่เร่งรีบ กับเสียงล้อรถยนต์เสียดสีกับพื้นอย่างรวดเร็ว ซูเมิ่งมองไป หน้าประตูมีรถจอดอยู่คันหนึ่ง เธอรีบวิ่งไปอย่างไว

ผู้ชายที่อยู่ในรถลงจากรถอย่างไว “หาเจอรึยัง?” ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาสุดๆ

“ยังค่ะ ฉันผิดเองที่มัวแต่ไปพูดจาไร้สาระกับคาย์อัน ไม่งั้นก็ไม่ทำให้เจี่ยนถงวิ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้วค่ะ” ซูเมิ่งร้อนรนใจจริงๆ เลยไม่แคร์ว่าเหมาะสมหรือเปล่า “ประธานเสิ่นว่าเด็กโง่คนนั้น ผ่านการถูกทิ่มแทงใจติดกันสองแผล จะคิดไม่ตกแล้วฆ่าตัวตายหรือเปล่าคะ?”

ใต้แสงไฟข้างถนนที่มืดสลัว ผู้ชายรู้สึก“ตกใจ” รู้สึกใจหายในชั่วขณะ แววตามีความตื่นเต้นแว๊บผ่าน ใบหน้าหล่อเหลากลับยิ่งเย็นชา ไม่เผยให้เห็นความรู้สึกเลยสักนิด “หุบปาก เธอไม่อ่อนแอขนาดนี้หรอก”

ข้างหลังมีเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นอีก เสิ่นยี เสิ่นเอ้อและคนอื่นๆ จอดรถเรียงกันเป็นแถวยาวหกคันหน้าประตูห้องจัดเลี้ยง

ผู้ชายเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าของเสิ่นยี จากนั้นก็ทำเรื่องน่าตกใจ

“เพียะ!” เสียงตบอย่างรุนแรงดังขึ้น

“ไหนคนล่ะ!” น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นมา

เสิ่นยีงงไปหมด “คนไหนครับบอส”

“เจี่ยนถงที่ฉันให้แกจับตาดูไว้ไง ไปไหนแล้ว!” สายตาเย็นชามองไปที่เสิ่นยี เมื่อเสิ่นยีได้ยินชื่อเจี่ยนถง หัวใจของเขาแทบจะหล่นลงไปที่ตาตุ่ม สีหน้าของเขาซีดเผือด “บอส ผม…”

“แกไม่ได้ทำตามคำสั่งของฉัน แกไม่ได้สนใจเจี่ยนถง วันนี้แกไม่ได้ส่งคนไปจับตามองเธอใช่ไหม!”

“บอส…” เหงื่อเต็มหน้าผากของเสิ่นยี เขาไม่ได้สนใจเจี่ยนถงจริงๆ ผู้หญิงคนไหนมีอะไรดี เธอฆ่าเซี่ยเวยเหมิง แถมยังด่าทอคนที่เธอฆ่าตายด้วย

ใบหน้าอันหล่อเหล่าของเสิ่นซิวจิ่นเต็มไปด้วยความเย็นชา เขาชี้หน้าเสิ่นยีแล้วพูดว่า “ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาจัดการแก” พูดจบ เขาก็รีบสั่งเสิ่นเอ้อที่ยืนอยู่ข้างๆ “จัดหาคนมา พาลูกน้องที่อยู่เมือง S กลับมาให้หมด หาเธอให้เจอ!”

เสิ่นเอ้อจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาไม่เห็นบอสเป็นอย่างนี้มาหลายปีแล้ว เขารีบพยักหน้าทันที

เสิ่นซิวจิ่นมองห้องจัดเลี้ยงข้างหน้า จู่ๆ เหมือนเขานึกอะไรได้ หลายปีก่อน ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่บนสปริงบอร์ดข้างสระว่ายน้ำ เธอตะโกนสารภาพรักกับเขาที่นั่น

ประกายในตาของเขาหายวับไป เขารีบหันหลังขึ้นรถ “ซูเมิ่ง แกเฝ้าอยู่ที่นี่ ถ้าเจอเธอให้รีบแจ้งฉัน” เขากวาดตามองคนอื่น “พวกแกด้วย ใครหาเจี่ยนถงเจอ ให้รีบแจ้งฉันทันที”

เหมือนเขานึกอะไรขึ้นได้อีก “ส่งคนไปเฝ้าใต้หอพักกับบริษัทของเธอ ถ้าเจอให้รีบรายงานฉัน”

พูดจบ เขาก็เหยียบคันเร่ง รถพุ่งตัวออกไปหลงเหลือไว้เพียงควันรถ

เจี่ยนถง!

บนที่นั่งคนขับ ใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่ม นอกจากความเย็นชายังมีความกังวลอยู่ด้วย

เขาไม่รู้ว่าทำไม เมื่อรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นหายตัวไป เขาถึงร้อนใจแบบนี้

เขาไม่รู้ว่าทำไมซูเมิ่งถึงพูดว่าผู้หญิงคนนั้นจะฆ่าตัวตายหรือเปล่า เขากระวนกระวายใจมาก

เขาไม่รู้อะไรเลย

แต่ว่าเขาต้องตามหาเธอให้เจอ!

นี่คือความคิดของเสิ่นซิวจิ่น

รถเคลื่อนตัวอยู่บนถนนในเมือง S ผ่านถนนแต่ละเส้น เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้สังเกตเรื่องหนึ่ง เขากำลังทำเรื่องที่โง่แสนโง่ นั่นก็คือการงมหาในทะเล เขากำลังพยายามตามหาใครคนหนึ่งท่ามกลางคนมากมาย!

แต่เขาก็ต้องทำแบบนี้

เขาใส่หูฟังบลูทูธ จากนั้นก็โทรหาซูเมิ่ง เสิ่นยีและเสิ่นเอ้อ รวมถึงลูกน้องพวกนั้นด้วย “หาเจอไหม”

“เจอเธอไหม”

“เธอกลับบ้านหรือยัง”

“ที่บริษัทล่ะ”

ทุกสายที่โทรออกไป ทำให้ลูกน้องของเสิ่นซิวจิ่นยิ่งตกใจ

เวลาผ่านไปทุกวินาที พริบตาเดียวก็เป็นเวลาห้าทุ่มครึ่งแล้ว อีกครึ่งชั่วโมงจะเป็นวันใหม่แล้ว

ทันใดนั้น!

ผู้ชายที่อยู่ตรงเบาะคนขับ ภาพในหัวของเขาหายแวบไป

จู่ๆ เขาก็หักพวงมาลัยเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง

เหมือนรถถึงที่หมาย ขายาวก้าวลงจากรถ

ชายหนุ่มลงจากรถและปิดประตูรถ

เขาก้าวเข้าไปที่ประตู

เป็นไปตามคาด เธออยู่ที่นี่จริงๆ

ตรงมุมประตู ผู้หญิงคนนั้นนั่งพิงประตูเหล็กอย่างหมดสภาพ ชายหนุ่มก้าวขายาวเข้าไปหยุดตรงหน้าเธอ

เจี่ยนถงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย

“นายมาเยาะเย้ยฉันใช่ไหม” เธอถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เธอไม่อยากรู้ว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงปรากฏตัวอยู่ที่นี่ในเวลาแบบนี้ เธอไม่อยากรู้ เพราะคืนนี้เธอเหนื่อยเหลือเกิน

“ซูเมิ่งบอกว่าเธอหายไป” เสียงทุ้มดังขึ้น

เขาหมายความว่า ฉันตามหาเธออยู่

แต่เจี่ยนถงในตอนนี้ คงไม่รับรู้และสนใจสิ่งที่อยู่ในคำพูด

เขายืนอยู่ตรงหน้าเธอ ก้มหน้ามองเธออยู่อย่างนั้น

อย่างนั้น แค่ช่วงเวลาหนึ่ง

จู่ๆ เหมือนเขาตัดสินใจอะไรบางอย่างที่สำคัญได้

ชายหนุ่มก้มลงและยื่นมือไปหาเธอ

“ปึก” เจี่ยนถงปัดมือของชายหนุ่มอย่างแรง “อย่ามาแตะต้องตัวฉัน” คืนนี้เธอไม่อยากแสดงอะไรอีก

แต่ทว่าสายตาของชายหนุ่ม ค่อยๆ มองไปตรงมือที่โดนปัด เขาไม่ได้โมโหและตัดสินใจนั่งยองลงตรงหน้าเธอ “ตอนเด็กๆ ฉัน เธอ แล้วก็เซี่ยเวยเหมิงโดดเรียนมาเล่นสวนสนุกแห่งนี้ด้วยกัน เซี่ยเวยหมิงขี้ขลาดเลยถูกเธอลากออกมาด้วย ส่วนฉันไม่อยากฟังตาแก่สอน ก็เลยทำตามที่เธอบอก เราสามคนพากันโดดเรียนมาที่สวนสนุกแห่งนี้ เหมือนว่าจะเล่นเครื่องเล่นเกือบทุกอย่าง โดยเฉพาะชิงช้าสวรรค์นั่น เวยหมิงอยากนั่งมาก แต่เธอไม่ยอม เธอไม่อยากนั่งก็เลยไม่ยอมให้ฉันนั่งด้วย ตอนนั้นฉันจำได้ว่าเธอพูดอย่างเอาแต่ใจว่า ‘ก่อนที่เสิ่นซิวจิ่นจะตกหลุมรักเจี่ยนถง เจี่ยนถงจะไม่นั่งชิงช้าสวรรค์เด็ดขาด’ ”

เหมือนเจี่ยนถงจะเกิดความรู้สึกขึ้นในใจ เธอพูดต่อจากเสิ่นซิวจิ่นว่า “ฉันจำคำตอบของนายในตอนนั้นได้ นายตอบบอกฉันอย่างหนักแน่นว่า ‘ชาตินี้เสิ่นซิวจิ่นไม่มีทางรักเจี่ยนถง’ ” เธอกำมือแน่น สิ่งไม่ดีทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเธอ มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เธอรักเสิ่นซิวจิ่น

เธอมองผู้ชายตรงหน้า ใบหน้านี้ คนคนนี้ ทำให้เธอเสียอะไรไปหลายอย่าง

สิ่งแรกคือใจ ต่อมาคือตัวตนและอดีตของเธอ รวมไปถึงอิสระและศักดิ์ศรี จากนั้นก็มีดวงตาอันสดใสปรากฏขึ้นในชีวิตของคนที่กำลังจะขาดอากาศหายใจท่ามกลางความมืดมน แววตาที่จ้องมองมาไม่มีการเยาะเย้ยแม้แต่น้อย แต่วันนี้มันกลับหายไปแล้ว

เธอนั่งคิดอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานาน ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอมี จะต้องถูกลิดรอนไปทีละนิด เหตุผลก็คือเสิ่นซิวจิ่นคนที่อยู่ตรงหน้านี่ไง

แววตาของชายหนุ่มฉายแววความเจ็บปวด แต่พริบตามันก็หายไป เขาไม่ชอบแววตาที่ผู้หญิงคนนี้มองมาในตอนนี้

เขาดันกระพุ้งแก้มไปมา จากนั้นจึงยื่นมือไปหาเธออีกครั้ง

ครั้งนี้ เขาใช้แรงกดไปที่มือเล็กที่ใช้ปัดมือของเขาเมื่อครู่ เขาใช้เทคนิคดึงมือเธอพร้อมกับตัวเธอเข้ามาในอ้อมอก เขาเลื่อนมือลงมาโอบเอวของเธอแล้วอุ้มขึ้นมา เสิ่นซิวจิ่นลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกมา

“ไปกับฉัน”

เจี่ยนถงดิ้นไปมา “ปล่อยฉันนะ!” เธอกลัวคนคนนี้ แต่ตอนนี้เธอไม่อยากเห็นหน้าเขามากกว่า

“ฟึบ” เขาเอาตัวของหญิงสาวยัดเข้ามาตรงเบาะข้างคนขับ และกดไหล่ของเธอไว้ นิ้วชี้จรดอยู่ที่ริมฝีปากของเธอ “ตอนนี้เธอต้องพักผ่อน”

ในใจของชายหนุ่มมีความรู้สึกเจ็บปวดซ่อนเอาไว้ ขนาดตัวเขาเองยังไม่รู้เลย

“ร่างกายของฉัน ฉันดูแลเองได้ ฉันไม่นอน” วันนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย เธอไม่อยากแสดงอีกแล้ว

ชายหนุ่มทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วเดินอ้อมมาตรงที่นั่งคนขับ “ฉันบอกว่าเธอต้องพักผ่อน เธอต้องฟัง ไม่งั้นเด็กดื้อจะต้องโดนลงโทษ”

น้ำเสียงของชายหนุ่มเย็นชาเล็กน้อย แต่ถ้าลองฟังดีๆ ก็จะรู้ว่าในคำพูดของเขาเต็มไปด้วยความรัก

แต่ทว่ากลับไม่มีใครสัมผัสได้ ไม่ว่าจะเป็นเจี่ยนถงหรือตัวเสิ่นซิวจิ่นเอง

ตอนนี้เจี่ยนถงขยะแขยงคำว่าลงโทษมากที่สุด!

“ประธานเสิ่นไม่พูดไม่จาก็ลงโทษ ถ้าวันนี้ฉันไม่ยอมฟังคำพูดของคุณล่ะ ประธานเสิ่นจะลงโทษฉันยังไง” เธอยังเจอบทลงโทษของเขาไม่พอเหรอ

ลงโทษก็ลงโทษสิ หญิงสาวที่นั่งตรงข้างคนขับคิดเช่นนั้น… “ถ้าประธานเสิ่นอยากลงโทษฉันก็เชิญตามสบาย” เธอยอมแพ้ หดหู่ไปหมดแล้ว ลงโทษไปสิ เธอไม่สนใจอีกแล้ว

จะเป็นยังไงอีก จะทำอะไรได้อีก!

แววตาของชายหนุ่มที่นั่งตรงเบาะคนขับวูบไหว จากนั้นก็ลึกลงไป เขาหันหน้ามาพูดด้วยเสียงทุ้ม “ได้ ถ้าเธออยากรู้ ฉันจะสนองให้เธอเอง” พูดจบ เขาก็ใช้มือรวบคอของเจี่ยนถงมาตรงหน้า ส่วนอีกมือหนึ่งก็ถูไปบนริมฝีปากของเจี่ยนถง เสียงทุ้มของเขาดังขึ้นในรถ

“เธอรู้ไหม ฉันเกลียดปากของเธอที่สุด มันเปื้อนลมหายใจของคนอื่น” นิ้วโป้งของเขาเอาแต่ถูไปที่ริมฝีปากของเธอไม่หยุด จู่ๆ เขาก็โน้มตัวลงมากัดริมฝีปากของเจี่ยนถงอย่างแรง

ใช่ เขากัดริมฝีปากของเธอ!

“อื้อ!” ความเจ็บทำให้เจี่ยนถงส่งเสียงออกมา เธอรีบยกมือขึ้นมาผลักเสิ่นซิวจิ่น แต่ทว่าชายหนุ่มกลับผละตัวเองอย่างรวดเร็ว เขาสตาร์ทรถ ใส่เกียร์แล้วเหยียบคันเร่งออกไปอย่างรวดเร็วดั่งสายน้ำ

เมื่อรถออกตัว เจี่ยนถงเอามือที่ปิดปากเอาไว้ลง กลิ่นที่เหมือนกับสนิม เธอรู้ว่ามันคือกลิ่นของเลือด

แต่ว่าเธอเหนื่อยจริงๆ เธอนอนพิงกับเบาะอย่างหมดแรง ตามใจเขาเถอะ จะทำอะไรก็ทำ ถึงเธอจะดิ้นรนแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์

เสิ่นซิวจิ่นโทรหาลูกน้อง “ทุกคนกลับตงหวง”

เมื่อรถเคลื่อนตัวมาจอดใต้อาคารตงหวง ชายหนุ่มก้มตัวลงอุ้มเจี่ยนถงอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นจึงเดินเข้าไปข้างในตงหวง

“อย่าขยับ ถ้าเธอไม่อยากให้ฉันทำกับเธอเหมือนที่ทำในรถ ถ้าเธอขึ้นไปแสดงอีกครั้ง ทางที่ดีทำตัวดีๆ อย่ายั่วโมโหฉัน มันไม่มีผลดีกับเธอ”

เสิ่นซิวจิ่นรู้ว่าเจี่ยนถงจะขัดขืน เขาจึงใช้สายตาอันเย็นชาหยุดเธอเอาไว้

ในใจของเจี่ยนถงเต็มไปด้วยความโกรธ ไอ้หมอนี่ไม่เคยถามว่าเธอยอมหรือไม่ แต่เมื่อเธอกวาดตามองไปรอบๆ เธอทำได้เพียงหลับตา เธอไม่มีสิทธิ์เลือกอะไร มีสิทธิ์ทำได้เพียงไม่มอง

เสิ่นยีกับคนอื่นๆ มาถึงตงหวงตั้งนานแล้ว เขายืนรออยู่ ตอนนี้เสิ่นซิวจิ่นอุ้มเจี่ยนถงเดินเข้ามาในลิฟต์ เขามองแล้วพูดว่า “พวกนายตามฉันขึ้นมา”

ชั้น 28

เสิ่นซิวจิ่นอุ้มเจี่ยนถงออกจากลิฟต์ เขาโยนเธอลงบนเตียงในห้องนอนแล้วพูดทิ้งท้ายว่า “คืนนี้เธอนอนที่นี่ ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น” เขาหันหลังเดินออกไปสั่งบอดี้การ์ดด้วยน้ำเสียงเฉยชาว่า

“ดูเธอให้ดี ไม่อนุญาตให้เธอออกจากชั้นนี้”

“ครับบอส!”

สีหน้าของเจี่ยนถงซีดเผือด “ไม่!” วันนี้เธอต้องทุ่มสุดตัว นี่เรียกว่าเอาแต่ใจแล้ว “นายไม่มีสิทธิ์!”

“หุบปาก” ชายหนุ่มหันมา เขามองเจี่ยนถงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ฉันมีทางเลือกให้เธอเลือกสองทาง หนึ่งคือไปอาบน้ำนอน สองคือให้ฉันช่วยเธออาบน้ำแล้วนอนเป็นเพื่อนเธอ”

สีหน้าของเจี่ยนถงไม่สู้ดี แววตาของเธอเต็มไปด้วยความโมโห

เสิ่นซิวจิ่นยกยิ้มมุมปากแล้วหันหลังเดินออกไป

เมื่อเข้ามาในลิฟต์ ลิฟต์เคลื่อนตัวลงมาข้างล่าง เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก เสิ่นยีกับเสิ่นเอ้อยืนรออยู่ข้างๆ ตอนที่ชายหนุ่มก้าวออกจากลิฟต์ เขาก็พูดสั่งออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ไปสืบมาว่าไอ้เลวนั่นอยู่ที่ไหน!”

……

เซียวเหิงดื่มจนเมาแอ๋ เขาจับหน้าอกด้วยความเจ็บปวด เหมือนเขาโดนควักอะไรออกไป

มีเสียงดังขึ้นมาว่า นายต้องเชื่อเธอ เธอเป็นคนยังไง นายไม่รู้เหรอ

ส่วนอีกเสียงหนึ่งกลับพูดขึ้นว่า คนในครอบครัวต่างพากันไม่เชื่อเธอ ทุกคนต่างบอกว่าเธอทำผิด เธอเป็นคนทำเรื่องไม่ดีพวกนั้น นายยังเอาแต่พร่ำเพ้อถึงผู้หญิงแบบนี้ นายโง่หรือเปล่า ผู้หญิงแบบนั้นไม่สมควรได้รับความรักจากเซียวเหิง ศักดิ์ศรีและเกียรติของนายล่ะ คุณชายเซียวผู้เย่อหยิ่งไปชอบฆาตกรที่วางแผนฆ่าเพื่อนรักของตัวเอง นี่มันเป็นเรื่องที่น่าขำมาก ฮ่าๆๆๆ

“หุบปากๆๆๆ” เซียวเหิงทุบขวดเหล้าในมือลงกับพื้นจนแตกละเอียด

เสียงแตกของขวดเหล้า ตามมาด้วยเสียงเคาะประตู

เซียวเหิงนั่งเอนหลังอยู่บนโซฟาอย่างหมดสภาพ อยู่ๆ เขาก็ตวาดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “ตายแล้ว ไม่ต้องเคาะ!”

แต่ทว่าคนข้างนอกยังคงเคาะต่อเรื่อยๆ

“ไสหัวไป ฉันบอกว่าตายแล้วไง ไม่ได้ยินเหรอ ออกไป!”

ปังๆๆๆ

“ไอ้ฉิบหาย!” เซียวเหิงโมโหกับเสียงเคาะประตู เขารีบเดินมาเปิดประตูออกอย่างแรง เขาก่นด่าออกมาโดยที่ไม่ได้มอง “เคาะอะไรนัก…”

พลั่ก!

พูดยังไม่ทันจบ หมัดหนักๆ กระแทกเข้ามาที่หน้าของเซียวเหิง หมัดนี้หนักมาจนทำให้เซียวเหิงเซถอยหลัง เขาเกือบจะยืนไม่อยู่

ใช้เวลาอยู่นานกว่าที่จะยืนเป็นปกติ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับเสิ่นซิวจิ่นยืนอยู่หน้าประตูบ้าของเขา

“เสิ่นซิวจิ่น แกบ้าไปแล้วหรือไง!”

แววตาของชายหนุ่มเย็นชา ความเย็นยะเยือกแผ่ออกมาจากตัวของเขา สายตาของเขาจ้องไปที่ไอ้ขี้เมาตรงหน้า เขาเหวี่ยงหมัดไปมา จากนั้นก็ชกออกไป

“นี่คือที่แกบอกกับฉันว่า ‘ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ปล่อยผู้หญิงคนนั้น’ ใช่ไหม”

เขาต่อยออกไปอีกครั้ง “นี่หรือที่แกเรียกว่า ‘จะไม่มีวันเปลี่ยนใจถึงจะพ่ายแพ้’ ใช่ไหม ”

“เซียวเหิง งั้นสิ่งที่แกทำในวันนี้คืออะไร ที่แกบอกว่าไม่ยอมแพ้กับผู้หญิงคนนี้ แต่สิ่งที่แกทำวันนี้ไม่ได้เรียกว่ายอมแพ้ แต่มันเรียกว่าทำร้าย!”

หมัดของเสิ่นซิวจิ่นหนักมาก เซียวเหิงโดนต่อยจนสร่างเมา เขาโดนต่อยติดกันสามหมัด เซียวเหิงก็ไม่ยอมคน เมื่อได้ยินสิ่งที่เสิ่นซิวจิ่นพูด เขาจึงโกรธขึ้นมาทันที เขายกหมัดขึ้นมาต่อยไปหาคนข้างหน้าอย่างไม่เกรงใจ

“แกมีสิทธิ์อะไรมาว่าฉัน!”

“ตัวแกเองล่ะ”

“สิ่งที่แกทำไม่ได้เรียกว่าทำร้ายเธอเหรอ!”

“เสิ่นซิวจิ่น ถ้าแกมาที่นี่เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมแทนเจี่ยนถง ฉันขอถามแกหน่อยเถอะ” เซียวเหิงมองอย่างโกรธแค้น “แกมีสิทธิ์ทำแบบนั้นเหรอ!”

แววตาของเสิ่นซิวจิ่นเย็นชาและหลบหมัดของเซียวเหิงไปด้วย

ชายทั้งสองคนไม่หลงเหลือภาพลักษณ์อันงดงาม พวกเขาต่อยตีกันเหมือนอันธพาล

พลั่ก!

เสียงดังสนั่นเกิดขึ้นอีกครั้ง เซียวเหิงโดนเสิ่นซิวจิ่นต่อยจนไปกระแทกกับกำแพงและล้มลงกับพื้น เศษขวดเหล้าที่แตกอยู่บนพื้นบาดตัวเขา

ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้สิ่งที่อยู่ในใจของเขาหลังจากที่กลับมาจากงานเลี้ยงปะทุออกมาทันที

เขาเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาแดงก่ำมองชายที่อยู่ตรงหน้า

“เสิ่นซิวจิ่น! แกมีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนฉัน!”

“แกรู้อยู่แก่ใจว่ารักผู้หญิงคนนั้น แต่ฉันขอถามแกแค่คำถามเดียว แกกล้ายอมรับจากปากของแกไหมว่าแกรักผู้หญิงคนนั้น! แกยอมรับไหมว่าตัวเองชอบผู้หญิงที่วางแผนลงมืออย่างโหดเหี้ยม! ถึงแกจะรักผู้หญิงคนนั้น แต่ก็จะรับได้ไหม แกพูดออกมาจากปากของแกสิ กล้าไหมล่ะ!”

ในที่สุดเขาก็พูดความขัดแย้งอันเจ็บปวดที่อยู่ในใจออกมา

เซียวเหิงหัวเราะออกมา แต่ทว่าแพขนตาของเขากลับเต็มไปด้วยความเปียกชื้น…

“เราทั้งสองเหมือนกัน เรามีศักดิ์ศรี จิตใจของเราสูงส่งขนาดนั้น ทุกคนจับตามองเราตั้งแต่เด็ก เสิ่นซิวจิ่น คนที่รักในศักดิ์ศรีและถือตัวอย่างพวกเรา จะยอมรับผู้หญิงที่เป็นรักแรก ผู้หญิงที่โดนคนอื่นรังเกียจ ผู้หญิงที่แม้แต่ตัวเองยังยอมรับไม่ได้ ได้ยังไงกัน! เสิ่นซิวจิ่นแกรักเจี่ยนถง อย่าปฏิเสธเลย คนที่เย็นชาอย่างแก ถ้าไม่ได้หวั่นไหวกับเธอ คงไม่มาจัดการฉันซะดึกดื่นขนาดนี้หรอกใช่ไหม เห็นชัดๆ ว่าแกหวั่นไหวกับเธอ แต่แกรับได้เหรอ แกยอมรับจากปากของตัวเองสิว่าแกชอบเธอ แกทำไม่ได้!”

เซียวเหิงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง เขามองไปยังชายคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล “เสิ่นซิวจิ่น ขนาดตัวแกเองยังทำไม่ได้ มีสิทธิ์อะไรมาบอกให้ฉันทำ! ฉันเป็นคุณชายตระกูลเซียว ฉันแค่กวักนิ้ว ผู้หญิงคนไหนก็เข้ามาหา ฉันไม่ชอบเธอ ฉันไม่ยอมรับหรอกว่าหวั่นไหวกับเธอ! ฮ่าๆๆๆ”

เสียงหัวเราะนั้นบ้าคลั่ง แต่มันทำให้ใจสลาย และหางตาของเซียวเหิงก็เปียกชื้นมากขึ้น เขายังคงตะโกนออกมา

“ไม่มีทางรักผู้หญิงคนนั้นอย่างแน่นอน!”

เหมือนมีก้อนอะไรจุกอยู่ที่คอของเสิ่นซิวจิ่น “เซียวเหิง ต่อไปแกห้ามเข้าใกล้เธออีก ให้เธอมีความสุขบ้าง ถ้านี่คือวิธีแสดงความรักของแก งั้นฉันก็จะใช้วิธีบอกสิ่งที่ฉันไม่สามารถพูดออกมาได้เหมือนกัน!”

ใช่ พวกเขาล้วนหยิ่งในศักดิ์ศรี ในบรรดาคนที่โดดเด่นอย่างพวกเขา เซียวเหิงพูดถูก แต่เขาเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“ฮ่าๆๆๆ…” ราวกับเซียวเหิงได้ยินเรื่องตลก “เสิ่นซิวจิ่น ฉันจะรอดูว่าแกจะใช้วิธีอะไร ฉันยกผู้หญิงแบบนั้นให้แกไปเลย ฉันไม่สนใจหรอก!”

เสิ่นซิวจิ่นหันหลังเดินออกไป “ฉันหวังว่าแกจะทำตามคำพูด อย่าเข้าใกล้เธออีก”

เซียวเหิงไม่สนใจเศษขวดเหล้าบนพื้น เขายกมือขึ้นมากุมตรงหัวใจ มีเพียงสิ่งนี้ที่จะทำให้เขาควบคุมความว่างเปล่าและความเจ็บปวดในหัวใจได้

เสียงในหัวของเขาเริ่มตีกันอีกครั้ง

เสียงแรกบอกให้เขาอย่าทำผิดพลาด

อีกเสียงหนึ่งบอกว่าทำถูกแล้ว

เสียงแรกบอกว่าเขาจะต้องเสียใจ เขาจะต้องเสียใจ!

“ไม่! ฉันไม่มีทางเสียใจ!” เซียวเหิงทุบหมัดลงบนพื้นอย่างแรง มือของเขาเต็มไปด้วยเศษแก้ว แต่เขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บ เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดเหมือนใจจะขาดเท่านั้น

เขาไม่เคยคิดเลยว่าความเจ็บปวดในอนาคตอันแสนยาวนานจะเจ็บปวดกว่าตอนนี้มากแค่ไหน

หลังจากนี้หลายปี เซียวเหิงพูดกับเสิ่นซิวจิ่น

พวกเราไม่ต่างกัน พวกเราสมน้ำสมเนื้อแล้ว ดังนั้นฉันสมควรได้รับ แกก็สมควรได้รับ ฉันยอมรับความกดดันจากตระกูลเพราะเธอ สุดท้ายต้องพ่ายแพ้ให้กับความอวดดีและศักดิ์ศรีจอมปลอม ฉันไม่ได้แพ้ให้แก แต่ฉันแพ้ให้กับตัวเอง ตอนที่ฉันทำทุกอย่าง ฉันเข้าใจว่าทำเพื่อเธอ สุดท้ายมันก็กระทบจิตใจฉันเอง แท้ที่จริงแล้วพวกเราแค่หลงใหลเท่านั้น และสุดท้ายความหลงใหลทำให้เราเสียคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป

กลางดึกอันเงียบสงัด เขาขับรถอยู่บนถนน ก่อนที่จะถึงสวนสนุก มีเรื่องที่เขายังคิดไม่ตก ตอนที่เขายังไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นตรงมุมประตูสวนสนุก เขาทำอะไรไม่ถูก

เธอไม่อยู่แล้ว ในใจของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและเครียด เขาไม่พูดออกมา แต่เขารู้อยู่แก่ใจ ดังนั้นเขาจึงตามหาเธอบนถนนแต่ละเส้น รวมถึงโทรไปถามเรื่องเบาะแสของเธอ ตอนนั้นเขาร้อนใจจนไม่มีเวลาไปคิด ทำไมผู้หญิงที่ไม่สำคัญคนนั้นหายไป เขาถึงต้องกังวลด้วย

เธอหายไปก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เขาเย็นชามาโดยตลอด ไม่จำเป็นต้องสนใจ

ต่อมา เมื่อเขาเจอผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่มุมประตูสวนสนุก เธออยู่ที่นี่จริงๆ เขารับรู้ได้อย่างชัดเจน เมื่อเห็นผู้หญิงคนนี้ ความกังวลและความเครียดในใจกลับหายไป

เขาเดินมาตรงหน้าเธอ และมองเธออยู่พักใหญ่ ในช่วงเวลานั้นมีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่

รถจอดลงใต้อาคารตงหวงอย่างช้าๆ ชายที่อยู่บนรถไม่ได้เดินลงจากรถทันที แต่เขาหยิบกล่องบุหรี่ออกมา แสงจากไฟแช็กสว่างขึ้นท่ามกลางความมืด ก้นบุหรี่สีแดงก็กะพริบเป็นไฟสีแดง เขาสูดมันเข้าปอด จากนั้นก็ดับก้นบุหรี่และเดินลงจากรถ

เมื่อเดินเข้ามาในลิฟต์และประตูลิฟต์เปิดออก บอดี้การ์ดที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงชั้น 28 กำลังจะกล่าวทักทาย

“บอส…”

ชายหนุ่มเอานิ้วชี้แตะที่ริมฝีปาก เขาส่งสายตาให้สองบอดี้การ์ด ทั้งสองพยักหน้าและเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ

เขาผลักประตูเข้ามา สายตามองไปบนเตียง จากนั้นจึงเอ่ยถามขึ้น “ทำไมไม่นอน”

ผู้หญิงบนเตียง กำลังนอนพิงหัวเตียง เธอนั่งกอดเข่าอยู่อย่างนั้น เมื่อได้ยินเสียงจึงละสายตาจากหน้าต่างมาหาผู้ชายที่อยู่ตรงประตู “ไม่ง่วง”

สายตาเย็นชาของชายหนุ่มมองไปบนชุดของเธอ “ก่อนที่ฉันจะไป ฉันบอกว่ายังไง ข้อแรกคืออาบน้ำนอน ข้อสองคือฉันช่วยเธออาบน้ำและจะนอนเป็นเพื่อนเธอ” ชายหนุ่มมองชุดที่เธอใส่และมองหน้าเธอ “ถ้าไม่อาบน้ำ ฉันจะไม่ให้นอนบนเตียง”

ทันใดนั้นผู้หญิงที่อยู่บนเตียงก็เลิกผ้าห่มออก แล้วลุกขึ้นมานั่งข้างเตียง เพื่อที่จะลงจากเตียง

ชายหนุ่มที่อยู่ตรงประตู หรี่ดวงตาเรียวลง เขายืนขวางอยู่ตรงประตูไม่ขยับไปไหน สายตาของเขายังคงมองไปที่หญิงสาวคนนั้น เขามองเธอลงจากเตียงและเดินมาที่ประตู เขานึกขำอยู่ในใจ ผู้หญิงคนนี้ช่างดื้อรั้นจริงๆ

หญิงสาวเดินมาที่ประตู ดูท่าเหมือนจะออกไป

เมื่อเดินผ่านผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงประตู จู่ๆ เขาก็เอื้อมมือมาดึงปกเสื้อด้านหลังของเธอเอาไว้

อย่าดูจากการแต่งตัวเลย จริงๆ แล้วเธอไม่มีเนื้อมีหนังอะไรเลย ผู้ชายคนนี้หิ้วเธอเข้าไปในห้องน้ำได้อย่างง่ายดาย

“จะทำอะไรน่ะประธานเสิ่น” เธอหงุดหงิดมาก บอกแล้วไงว่าวันนี้ไม่อยากแสดงอะไรแล้ว แล้วก็ไม่อยากเจอหน้าเขาด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเธอไม่อยากเถียงกับเขา

ชายหนุ่มไม่พูดอะไร เขายื่นมือออกมาถอดเสื้อของเธอ

ขณะนั้นเจี่ยนถงกระวนกระวายขึ้นมา สีหน้าของเธอซีดเผือด “ออกไป อย่ามาแตะต้องตัวฉัน!”

เจี่ยนถงผลักผู้ชายตรงหน้าอย่างเต็มแรง จากนั้นเธอจึงถอยหลังกรูด และมองชายตรงหน้าอย่างหวาดระแวง ฝ่ามือของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อ “ประธานเสิ่น คนที่บอกว่าฉันสกปรกก็คือนายไม่ใช่เหรอ คนที่รังเกียจฉันก็คือนาย การที่นายมาทำแบบนี้ หมายความว่ายังไง!”

ชายหนุ่มได้ยินก็เลิกคิ้วขึ้น เขามองเธอแล้วพูดอย่างเหนื่อยใจว่า

“ข้อหนึ่งอาบน้ำแล้วนอน ข้อสองฉันช่วยเธออาบและจะนอนกับเธอด้วย ในเมื่อเธอไม่ยอมทำตามข้อแรก งั้นก็แปลว่าอยากให้ทำแบบข้อสอง เธอไม่ยอมอาบน้ำนอน แถมยังรอฉันจนดึกขนาดนี้ ฉันก็เลยเข้าใจว่าเธอต้องการแบบนั้น เธอกำลังอ้อนวอนขอความรักจากฉัน เธออยากให้ฉันอาบน้ำให้และนอนกับเธอ ไม่ต้องวุ่นวายขนาดนั้นก็ได้ บอกฉันมาตรงๆ ฉันจะสนองให้เอง”

“.…..” แค่ชั่วพริบตาเดียว เจี่ยนถงมึนงงไปหมด พอเธอตั้งสติได้ หูของเธอแดงไปหมด เธอรีบเงยหน้าขึ้นมาพูดเสียงแหลมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ฉันอาบเองได้!”

ในที่สุดก็ยอมสักที สี่คำเมื่อครู่เธอกัดฟันพูดออกมา!

น้ำร้อนจากฝักบัวไหลจากศีรษะลงสู่ข้างล่าง เธอหลับตาและปล่อยความคิดไป ไม่รู้เลยว่าจะเดินต่อไปยังไงในอนาคต

ถ้ายอมแพ้มันก็ง่ายไป ผู้หญิงไม่เอาไหนอย่างเธอ พ่อแม่แท้ๆ ก็ไม่รัก รับมือกับปัญหามากมายได้อยู่แล้ว แต่เธอแค่หงุดหงิดใจ

ถ้าหนี้ของอาลู่ยังไม่ได้ชำระ เธอไม่มีเหตุผลที่จะต้องยอมแพ้

แต่สำหรับผู้ชายคนนั้น เจี่ยนถงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย จะต้องแสดงความไม่จริงใจแบบนี้ไปถึงเมื่อไร

ไม่ได้ เธอจะนั่งรอความตายแบบนี้ไม่ได้ เธอคาดเดาว่าเขาจะเบื่อเธอเร็วกว่านี้ และจะปล่อยตัวเธอไป เธอไม่จำเป็นต้องไปผิดใจเขา สำหรับเรื่องเงิน….สรุปว่าหาวิธีออกจากสายตาของเขาให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก

เจี่ยนถงมองตัวเองในกระจก หลังจากที่เธออาบน้ำเสร็จ เธอก็เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ เธอยืนคิดอยู่ในห้องน้ำ

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน จากความรู้สึกน่าจะผ่านไปราวๆ 30-40 นาที เธอคิดว่าถ้าผู้ชายคนนั้นยังไม่ไปก็คงหงุดหงิดจนมาเร่งเธอแล้ว เพราะเธอครุ่นคิดอยู่ในห้องน้ำนานมาก

แต่รออยู่ครู่ใหญ่ ก็ไม่มีเสียงอะไรดังอยู่ข้างนอก

เธอเริ่มวางใจและเปิดประตูออก เธอเงยหน้ามองไปรอบๆ จู่ๆ เธอก็อึ้งไป เป็นไปได้ไง…

ใต้โคมไฟตั้งพื้นที่กระจกบานใหญ่ คนคนนั้นยังไม่ไป

เขานั่งอยู่ตรงโซฟาเดี่ยว เขาเหมือนคุณชายสง่างาม เจี่ยนถงยืนอยู่ที่ประตูห้องน้ำ เธอก้าวเท้าไม่ออก เพราะเธอไม่อยากเข้าไปใกล้ผู้ชายคนนั้น ตอนนี้ถ้าทำได้ เธออยากจะกลับเข้าไปในห้องน้ำแล้วล็อกประตู เพื่อที่จะกั้นเธอกับเขาให้อยู่คนละที่

แต่ในความเป็นจริงสถานการณ์มันไม่สามารถรับมือได้

เมื่อคนนั้นได้ยินเสียง จึงเงยหน้าจากหนังสือและมองมาที่เธอ ตาเหยี่ยวที่ลุ่มลึกและแฝงไปด้วยความก้าวร้าว

แต่เขาไม่ได้มองเธอนานขนาดนั้น แล้วก็ละสายตาออกไป

เจี่ยนถงแอบถอนหายใจออกมา

เสียงขยับดังขึ้น ชายคนนั้นลุกขึ้นจากโซฟา และค่อยๆ เข้ามาหาเธอ

เจี่ยนถงไม่รู้ว่าตอนนี้สีหน้าของเธอเป็นอย่างไร แต่ชายหนุ่มเห็นอย่างชัดเจน

สายตาของเธอหวาดระแวง ถ้าให้วัดจากระดับแผ่นดินไหว คงจะให้อยู่ในระดับการป้องกันที่เจ็ดหรือแปด ความเจ็บปวดก่อตัวขึ้นในใจของเขา เขาจงใจทำเป็นเหมือนไม่สนใจ และเดินตรงเข้าไปหาเธอ

เขาเดินเข้าไปใกล้เธอ หญิงสาวก้าวถอยหลังอัตโนมัติและจ้องผู้ชายตรงหน้าเขม็ง น่าจะมองเขาเหมือนพวกกุ๊ยที่เข้ามาในหมู่บ้านในตอนนั้น สายตานั้นทำให้เขาไม่ชอบใจเอาเสียเลย

เขาเดินเข้าไปไกลเธออีก สุดท้ายหญิงสาวก็เริ่มจะไม่สามารถเก็บงำความกลัวที่อยู่ในใจได้อีก สีหน้าของเธอดูตื่นตระหนก “นาย…”

“อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ” เสียงทุ้มดังขึ้นมาทันเวลา

เจี่ยนถงมองคนตรงหน้าด้วยสายตาหวาดระแวง “อืมๆ”

“เธออาบเสร็จแล้ว แต่ฉันยังไม่ได้อาบ”

“……” เสียงทุ้มแล้วราบเรียบ เจี่ยนถงฟังไม่ออกว่ามันสื่อถึงอะไร ผ่านไปครู่หนึ่งเธอจึงพูดเบาๆ ว่า “เอ่อ…” หลังจากที่ตั้งสติได้ เธอจึงถามออกมาว่า “ประธานเสิ่นจะอาบน้ำที่นี่เหรอ”

คิ้วของเธอขมวดเป็นปม เขาจะใช้ลูกไม้ไหนอีกเนี่ย

“ก็นี่ที่พักของฉัน ฉันไม่อาบที่นี่จะให้ไปอาบที่ไหน” ชายหนุ่มเดินเอี้ยวตัวผ่านเจี่ยนถง เขาหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำจากราวที่อยู่อีกด้าน เขาหันมามองคนที่ยืนขวางอยู่หน้าห้องน้ำ เขาเหลือบมองผู้หญิงที่กำลังแอบมองไปที่ประตูห้อง “ไม่ต้องมองหรอก ลิฟต์ล็อกหมดแล้ว เธอลงไปไม่ได้แล้ว เธอไปนอนรอฉันบนเตียง”

ใบหน้าของเธอซีดเผือด เธอหันไปมองคนที่กำลังปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตอย่างไม่อยากจะเชื่อ มือที่วางอยู่ข้างตัวกำแน่น ในใจของเธอเต็มไปด้วยความตกตะลึง เขาพูดอย่างนี้หมายความว่าอะไร

เธอก้มหน้าลง ในหัวเอาแต่ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ถ้าขอร้องเขา…ไม่ ยังไม่ถึงเวลาที่จะขอร้องเขา

“ยืนอึ้งอะไรอยู่ล่ะ ไปนั่งรอฉันบนเตียง อ้อ อย่าเพิ่งนอนล่ะ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ น้ำเสียงของเขาไม่ได้เคร่งขรึม แต่ฟังดูเหมือนคำสั่ง แถมยังทำให้คนไม่กล้าขัดอีกด้วย ที่เขาเน้นคำว่าอย่าเพิ่งนอน จิตใจของเจี่ยนถงกระวนกระวายไปหมด

เธอรีบปิดประตูห้องน้ำแล้วก้มหน้าลง เห็นเท้าเปลือยเปล่าของตัวเอง ตอนที่อาบน้ำเธอลืมรองเท้าไว้ในห้องน้ำ

เธอหันหน้าไปมองห้องน้ำที่ปิดสนิท

เธอไม่สนว่าจะใส่รองเท้าหรือไม่ เธอรีบออกไปจากห้องนอนพร้อมเท้าอันเปลือยเปล่า เธอมาถึงหน้าลิฟต์และใช้มือกดปุ่มอย่างเอาเป็นเอาตาย เป็นไปตามคาด ประตูลิฟต์ไม่ขยับแม้แต่น้อย

เจี่ยนถงใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว การที่เขาอาบน้ำ เป็นการปล่อยให้เธอมีเวลา ถ้าลิฟต์ของชั้นนี้ถูกล็อกไว้ เขาน่าจะมีรีโมทหรือการ์ดแม่เหล็ก เธอวิ่งกลับไปหาที่โต๊ะชา ชั้นวางรองเท้า และที่ที่มันพอจะวางพวกรีโมทหรือการ์ดแม่เหล็กได้

แต่มันกลับไม่มีอะไรเลย

เธอเหลือบไปเห็นประตูห้องนอนที่มีแสงสลัวๆ เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หรือจะกัดฟันเข้าไปอีกครั้ง

เสียงน้ำในห้องน้ำยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง เจี่ยนถงรู้สึกโล่งอก เธอรีบทำเรื่องที่จะทำนั่นก็คือการหารีโมทและการ์ดแม่เหล็ก

เธอรีบวิ่งเข้าไปหาที่ตู้ตรงหัวเตียงทันที เธอหาพลางฟังเสียงน้ำที่ดังออกมาจากห้องน้ำ

เธอไม่เห็นว่าประตูห้องน้ำถูกเปิดออกโดยไม่มีเสียง ชายหนุ่มยืนกอดอกอยู่หน้าห้องน้ำ การกระทำของเธออยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด

เจี่ยนถงรีบร้อนมาก มันอยู่ไหนกันเนี่ย

“อยู่ไหนกันเนี่ย เป็นไปไม่ได้” เธอหาในที่ที่มันสมควรจะอยู่ ทำไมถึงหาไม่เจอล่ะ

“หาอะไรอยู่เหรอ” เสียงดังขึ้นมาจากข้างหลังเบาๆ เจี่ยนถงเหมือนโดนสะกดจิตเอาไว้ เธอยืนชะงักอยู่ที่เดิม

ชายหนุ่มมองเธอนิ่งๆ โดยไม่ได้เร่งอะไร จนกระทั่งผ่านไปประมาณหนึ่งนาที ผู้หญิงที่อยู่ข้างเตียง หันกลับมาอย่างแข็งทื่อ เธอเบิกตาโพลง!

“นาย…น้ำ..นาย..” สีหน้าของเธอซีดเผือด เธอชี้ผู้ชายที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำ และชี้ไปยังฝักบัวที่มีน้ำไหลออกมา ฝักบัวยังไม่ได้ปิด เขาน่าจะยังอาบน้ำไม่เสร็จ ทำไมถึงมายืนอยู่หน้าห้องน้ำได้…เขายืนดูเธอมานานแค่ไหนแล้ว

เจี่ยนถงไม่กล้าคิดเลยว่าประตูเปิดตั้งแต่เมื่อไร เขามายืนอยู่ข้างหลังเธอตั้งแต่เมื่อไร จู่ๆ เธอรู้สึกว่าตัวเองเหมือนตัวตลก เรื่องทั้งหมดอยู่ในกำมือของเขา คล้ายจะบอกว่าไม่ว่าเธอจะทำอย่างไร ก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือของเขา

ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เธอทั้งตกใจและหงุดหงิด

“อ้อ เธอจะบอกว่ายังไม่ได้ปิดน้ำเหรอ ฉันไม่ได้บอกเธอเหรอ กระจกในห้องน้ำนี้ ข้างนอกมันจะมองไม่เห็นข้างใน แต่คนที่อยู่ข้างในสามารถมองเห็นข้างนอกได้นะ”

“งั้นฉัน…”

“งั้นทำไมเธอถึงไม่เห็นใช่ไหม” เขาถามขึ้นแทนเธอ เขาหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ปกติฉันจะปิดม่านลง แต่เมื่อกี้ฉันเพิ่งดึงมันขึ้นน่ะ”

เขาพูดพลางเดินเข้าไปปิดฝักบัวในห้องน้ำ เมื่อเขาเดินกลับมาเขาก็ชูการ์ดแม่เหล็กในมือ “เธอหาอันนี้อยู่เหรอ”

เมื่อสายตาปะทะกับการ์ดแม่เหล็ก ไหล่ของเจี่ยนถงสั่นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ…

เขาเดาความคิดของเธอได้นานแล้ว!

ผมข้างหน้าของเสิ่นซิวจิ่นเปียก น้ำหยดลงมาตามผมของเขา เขาเดินเข้ามาหาเจี่ยนถง

ไม่มีทางหนีแล้ว เธอกลืนน้ำลายลงคอ ตอนนี้เธอเครียดมาก

“ประธานเสิ่น ฉันผิดไปแล้ว ขอโทษ!” แววตาของเธอเป็นประกายแวบหนึ่ง เธอพูดพลางจะคุกเข่าลงตรงหน้าชายคนนั้น

มีมือหนึ่งพุ่งลงมาช้อนแขนเธอเอาไว้ เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้น เธอเห็นใบหน้าที่ห่างกันไม่ถึงคืบ ใบหน้านั้นก้มลงมองเธอแบบจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “ประธานเสิ่น…ฉันขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว”

“ห๊ะ? สำนึกผิดแล้วเหรอ” ชายหนุ่มก้มหน้าลงถามแบบจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “งั้นรู้ไหมว่าทำอะไรผิด”

เสิ่นซิวจิ่นหมายความว่าอะไรกันแน่ เจี่ยนถงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ฉันควรเชื่อฟังคำพูดของประธานเสิ่น…” ตอนที่เธอกำลังพูดออกมา เธอไม่คิดว่าแววตาหงุดหงิดของเธอจะถูกผู้ชายคนหน้าเห็นอย่างชัดเจน

เธอพูดยังไม่ทันจบ ก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นมา จู่ๆ เจี่ยนถงรู้สึกเหมือนตัวเธอลอยได้ “ประธานเสิ่น!” เมื่อตัวเธอลอยขึ้นอย่างกะทันหัน เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยจนหน้าซีดเผือดและอุทานออกมา

ยังไม่ทันได้คิดว่าผู้ชายคนนี้จะทำอะไรเธอ วินาทีต่อมา เธอถูกอุ้มมาที่เตียง เมื่อเธอนั่งบนฟูก “ชู่วว” สัญญาณบอกให้เงียบดังขึ้นบนหัวของเธอ ทันทีที่เธอเงยหน้าขึ้น ก็มีเงาสีดำเคลื่อนตัวเข้ามา เขาเอื้อมมือออกไปหาเธอ เธอคิดว่าเธอจะถูกตี

“อย่าตีฉัน!”

ราวกับแทบจะไม่ได้คิด เมื่อเธอเห็นมือของเขาเอื้อมเข้ามา เธอรีบร้องออกมาตามสัญชาตญาณ จู่ๆ เธอก็กลัวจนตัวสั่น

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเตียง เขาหรี่ตาลงมองมือตัวเองและมองผู้หญิงที่ตกใจจนเอามือกุมเอาตัวเอง เขาค้นพบอย่างลึกซึ้งว่าพฤติกรรมของผู้หญิงคนนี้ในตอนนี้เป็นการตอบสนองทางระบบประสาททั้งหมด ซึ่งเป็นพฤติกรรมการป้องกันที่เธอสร้างขึ้นโดยสัญชาตญาณ

ภายในแววตาลุ่มลึก ความเย็นชายิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เขาแค่ยื่นมือออกมาอย่างกะทันหัน อย่างมากคนทั่วไปก็แค่หลบ แต่คนที่ทำถึงขนาดเอามือกุมหัวตัวเองตามสัญชาตญาณ แถมยังพูดออกมาว่า “อย่าตีฉัน” ความอาฆาตค่อยๆ เกิดขึ้นจากตัวของเสิ่นซิวจิ่น

เจี่ยนถงกัดฟันแน่น มือทั้งสองข้างของเธออยู่บนหัว การป้องกันตัวของเธอดีกว่าพวกที่เคยได้รับการฝึกฝนมาอีก ถ้าให้คะแนน เธอคงจะได้คะแนนเต็ม

เธอก้มหัวลงจนติดหน้าอก เธอหลับตาปี๋จนขนตาสั่น เธอรอความเจ็บปวดที่กำลังลงมา ราวกับนักโทษรอการประหาร จู่ๆ ก็มีฝ่ามือวางลงบนศีรษะของเธอ เปลือกตาของเธอสั่นและกัดปากแน่น มันมาถึงแล้วเหรอ

มันไม่ใช่เสียงของหมัด แต่เป็นเสียงของไดร์เป่าผมที่ดังขึ้นข้างหู

หลังจากนั้น เธอก็อึ้งไป

จู่ๆ เธอรู้สึกว่ามันไร้สาระ เขาไม่ได้จะตีเธอ เขาเป่าผมให้เธออย่างนั้นเหรอ

เสิ่นซิวจิ่นเป่าผมให้เจี่ยนถงอย่างนั้นเหรอ

นี่มันเป็นเรื่องน่าขำมากเลยนะ!

เธอไม่กล้าพูดอะไร และแอบเหลือบมองไปข้างหลัง เสื้อคลุมสีขาวสะบัดไปมา และมีสัมผัสเกิดขึ้นบนศีรษะของเธอ เธอยังรู้สึกถึงความอ่อนโยนของนิ้วที่สัมผัสกับศีรษะของเธอ แต่นี่มันเป็นไปได้ยังไง

“อย่าขยับ” น้ำเสียงสั่งดังขึ้นอย่างราบเรียบ เจี่ยนถงนั่งเกร็งเข้าไปอีก เธอไม่กล้าขยับไปไหนแม้แต่น้อย

มีเพียงเสียงของไดร์เป่าผมดังขึ้นเบาๆ เมื่อลุกขึ้นมาก็เห็นผู้หญิงที่อยู่บนเตียงมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวงเหมือนนกตัวน้อย เขาเดินออกไปต่อหน้าต่อตาของผู้หญิงคนนั้น

เจี่ยนถงเบิกตาโตและจ้องเขาเขม็ง เธอเข้าใจว่าเขาจะไปปิดประตู จากนั้นก็… “ใช่สิ เสื้อของเธอโดนน้ำ แล้วมาเปื้อนเตียงของฉัน เธอก็รู้ว่าฉันไม่ชอบ”

จากนั้น…ก็เดินออกไปงั้นเหรอ

ปัง

เสียงปิดประตูดังขึ้นเบาๆ เจี่ยนถงแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด เขาเดินออกจากห้องนอนไปแล้ว

แต่ไม่รอให้เธอได้โล่งอก ประตูถูกผลักเข้ามาอีกครั้ง จู่ๆ เธอก็ตกใจขึ้นมาอีก

แต่ชายคนนั้นกลับหยิบผ้าห่มออกมาจากตู้ข้างๆ แล้วเดินออกจากห้องนอนโดยไม่พูดอะไรสักคำ

หมายความว่าเขาไม่นอนในห้องนอนอย่างนั้นเหรอ

คืนนี้เจี่ยนถงนอนลืมตาจนถึงเช้า เธอไม่รู้ว่าเขาตั้งใจทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นการเป่าผมให้เธอ หรือการเอาผ้าห่มออกไปนอนข้างนอก เธอดูไม่ออกว่าเขาต้องการทำอะไร

หลายครั้งที่เธอคิดจะผลักประตูออกไปดูที่ห้องรับแขก เขาใจดีสละเตียงให้เธอนอนแล้วตัวเองไปนอนโซฟาอย่างนั้นเหรอ

สุดท้ายเธอจึงหัวเราะออกมาเบาๆ หวังจะเห็นความใจดีของคนคนนั้นเหรอ รอให้แม่หมูปีนต้นไม้ได้ยังจะดีกว่า

เธอนอนลืมตาจนเช้า เธอรู้ว่าเมื่อถึงตอนเช้า เธอจะกลับไปเป็นแบบเดิมใช้ชีวิตอย่างสงบ

แต่เธอคิดไม่ถึงว่าตอนที่ประตูถูกผลักเข้ามา โลกของเธอไม่สามารถกลับไปในวันที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้อีกแล้ว

“แต่งตัวซะ” เสื้อผ้าชุดหนึ่งถูกโยนให้เธอ เขากำลังจัดการกับแขนเสื้อเชิ้ตของตัวเอง “อีกเดี๋ยวไปบริษัทกับฉัน”

“บริษัท…เปิดตอนกลางคืนไม่ใช่เหรอ”

ทันใดนั้น!

สายตาอันเย็นชาก็มองมาที่เธอ “ใครบอกเธอว่าจะไปที่นั่น”

น้ำเสียงราบเรียบฟังดูไม่ช้าไม่เร็วดังขึ้น “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนเช้ามีประชุม”

เหมือนขาของเจี่ยนถงมีรากงอกออกมา เธอยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน

“ยืนทำอะไรอยู่ล่ะ” เสียงชายหนุ่มดังขึ้น

เจี่ยนถงเริ่มหงุดหงิดใจ “ประธานเสิ่น คุณเป็นบอสใหญ่ แต่ฉันทำงานในตงหวง ฉันเป็นพนักงานในตงหวง ไม่ใช่พนักงานในบริษัทอื่น” เธอหงุดหงิดกับเสื้อผ้าที่อยู่ในมือ ไม่รู้เธอไปเอาความกล้ามาจากไหน จู่ๆ เธอก็ปล่อยเสื้อผ้าให้หล่นลงพื้น

เสิ่นซิวจิ่นปรายตามอง เขาเลิกคิ้วขึ้น “เก็บขึ้นมา” น้ำเสียงราบเรียบ แต่ฟังแล้วไม่สามารถขัดขืนได้

เจี่ยนถงยืนอยู่ที่เดิม เธอถูมือที่อยู่ข้างหลังไปมาและไม่ขยับไปไหน

“เจี่ยนถง เก็บขึ้นมา” เขาพูดเป็นครั้งที่สอง แววตาของเขาลุ่มลึก และดูก้าวร้าวเป็นอย่างมาก

เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเธอ “ฉันเป็นพนักงานของตงหวง ฉันทำงานแผนกประชาสัมพันธ์ที่ตงหวง ฉันไม่ใช่พนักงานของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป” คำพูดของเธอแฝงไปด้วยความแน่วแน่ว่าจะไม่ไปบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปกับเขา

เสิ่นซิวจิ่นก้าวเข้ามาหาเธอ เจี่ยนถงอยากถอยหนี แต่เหมือนเท้าของเธอมีรากงอก เสิ่นซิวจิ่นเดินมาตรงหน้าของเธอ เขาสบตาเธอ ในขณะที่เธอกำลังมองอยู่ เขาก็ก้มลงไปหยิบเสื้อผ้าแล้วยื่นให้เธออีกครั้ง

“เจี่ยนถง เธอทำของหล่น ฉันเลยเอามันกลับมาให้เธอ” สายตาของเขาจ้องไปยังผู้หญิงตรงหน้า “ไปเปลี่ยน”

ตอนนี้เจี่ยนถงไม่เข้าใจความหมายของคำพูดเมื่อครู่ แต่ต่อจากนี้สักวันหนึ่ง เธอจะเข้าใจคำพูดของเสิ่นซิวจิ่นเมื่อครู่

ณ ตึกบริษัทเสิ่นซื่อ

รถเบนซ์สีดำค่อยๆ ขับเข้ามาจอด พร้อมกับขายาวๆ ยื่นออกมาจากบนรถ หลังจากนั้นเสิ่นซิวจิ่นก็เดินลงมาอย่างสง่า แล้วเดินมาฝั่งด้านข้างคนขับ พร้อมกับเปิดประตูออก

เสิ่นซิวจิ่นหรี่ตามองหญิงสาวในรถที่นั่งเงียบมาตลอดทาง โดยไม่พูดเร่งอะไรเธอ เพียงแค่รอให้เธอเป็นคนเลือกลงมาจากรถเอง

จนถึงวินาทีนี้ เจี่ยนถงก็ยังไม่รู้ว่าทำไมตอนนั้นถึงได้ยอมเขา พร้อมทั้งยังเปลี่ยนชุดที่เขาเตรียมมาให้และทำตามคำสั่งของเขาด้วย

ความรู้สึกเกลียดตัวเองกำลังถาโถมเขามาในใจ——และเกลียดตัวเองที่ไร้ความสามารถแบบนี้ เกลียดที่ตัวเองไม่กล้าที่จะขัดขืนแบบนี้!

ในเวลาทำงานแบบนี้ พนักงานของบริษัทเสิ่นซื่อก็เริ่มเข้าออกกันเยอะ เจี่ยนถงทนกับสายตาที่อยากรู้อยากเห็นของคนพวกนั้นไม่ได้ จึงทำหน้านิ่งแล้วเดินลงมาจากรถ

พึ่งลงจากรถ สายตาของคนที่เดินเข้าออกในบริษัทต่างก็ยิ่งจับจ้องมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ จนเธอต้องก้มหน้าลง มองตรงหน้าอกตัวเอง และในขณะนั้นพอเดินมาตรงกลางแจ้ง ตอนที่สัมผัสได้ถึงแสงพระอาทิตย์ กลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นเลย กลับสัมผัสได้แต่สายตาอิจฉาริษยาแบบนั้น

เสิ่นซิวจิ่นเดินนำหน้า ส่วนเจี่ยนถงเดินตามมาด้านหลัง เสิ่นซิ่งจิ่นที่เดินเข้ามาในตึก อยู่ดีๆ ก็หยุดเดิน แล้วหันมามองเจี่ยนถงที่อยู่ด้านหลัง

ผู้หญิงคนนั้น ทำท่าทางลังเลอยู่หน้าประตู ไม่ยอมก้าวขาออกมา เดินเข้ามาในประตู ไม่กล้าเดินข้ามเส้นตรงนั้น

เสิ่นซิวจิ่นหรี่ตามองพลางครุ่นคิด…….ตอนนั้น ผู้หญิงคนนี้เดินเข้ามาในบริษัทเขา โดยไม่สนใจใครแล้วเดินเข้าไปที่ห้องทำงานเขาทันที อย่างเย่อหยิ่งและมั่นใจ

ส่วนคนที่เขินๆ อายๆ มาตลอดนั้นจะเป็นเซี่ยเวยเหมิง ไม่มีทางใช่เจี่ยนถงแน่นอน

ในตอนนี้ ความทรงจำที่ผ่านมานั้น กลับไม่สามารถหวนกลับไปเมื่อก่อนแล้ว

แล้วเขาก็นึกถึงตอนที่เธอพึ่งออกมาจากคุก ที่อยู่ต่อหน้าพวกคนต่ำช้า และทำให้นึกถึงเรื่องเมื่อคืนกับท่าทางป้องกันตัวเอง ที่ร้องออกมาอย่างน่าตกใจว่า “อย่าตีฉัน” ……

ถ้าหากว่า ในช่วงสามปีนั้น ทำให้เธอทำของบางอย่างหายไป เขาคิดว่า เขาจะช่วยเธอเอากลับมาแน่นอน……ถ้าหาก ทำให้เธอยิ้มขึ้นมาได้ นี่เป็นเธอในแบบที่เซียวเหิงชอบ อย่างนั้น เขาก็จะช่วยเธอเอาความอวดดีและเคร่งขรึมที่หายไปกลับมา——นี่ถึงเป็นเธอในแบบที่เขาชอบ

“เธอเดินเข้ามาได้ หลังจากนั้นก็ไปประชุมกับฉัน หรือจะหันกลับไปอยู่ในที่ของเธอ” เสิ่นซิวจิ่นกวาดตามองเจี่ยนถงครั้งหนึ่ง “ฉันไม่ได้พูดเล่น และไม่ขัดขวางด้วย”

เจี่ยนถงกัดปากตัวเองแน่น พร้อมกับหันไปมองหน้าเขา เพื่ออยากจะดูสีหน้าของเขา แต่เสิ่นซิวจิ่นไม่เคยแสดงออกทางสีหน้า และตอนนี้แววตาก็ดูไม่มีความรู้สึก เธอมองไม่ออกเลยจริงๆ

มีสองอย่างให้เลือก……เหรอ?

เธอก็ยังก้มหน้าลงครึ่งหนึ่ง เพียงแต่ใช้หางตาเหลือบมองรอบข้าง คนพวกนั้นที่แอบเหล่มองเธอด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น สำหรับเธอในตอนนี้ ราวกับว่าเธอเป็นตัวอัปมงคล เธอก็ทำเสียง “บ่นๆ” เบาพร้อมกับใช้หางตามองเสิ่นซิวจิ่น

เธอพยายามเอียงหูฟัง เสียงพูดพวกนั้นแม้ว่าจะเป็นเสียงเบา แต่เธอก็พอจะรู้ว่ากำลังนินทาตัวเองอยู่ และยังมีสายตาที่จับจ้องมองมาด้วยความรังเกียจและดูถูก

“ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ทำไมดูท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ……”

“ประธานเสิ่นทำไมถึงรู้จักกับผู้หญิงที่ดูไม่มีสง่าราศีแบบนี้ได้……”

“ดูเสื้อผ้าที่เธอใส่ก็ดูมีระดับ แต่พอใส่เข้าไปแล้วก็ยังกลบกำพืดตัวเองไม่ได้……”

เสียงวิจารณ์ดังต่อเนื่อง แม้ว่าจะได้ยินไม่หมด แต่ก็พอได้ยินคร่าวๆ

สีหน้าของเธอซีดขาว พร้อมกับก้มหน้าลง แล้วกัดปากตัวเองอย่างแรง จนสัมผัสได้ถึงความหวานคาวของเลือด

สายตาของเสิ่นซิวจิ่นนั้นจับจ้องที่เธออย่างไม่ละสายตา และเสียงคนอื่นที่นินทาเธอนั้น เจี่ยนถงก็ได้ยินหมด แน่นอนว่าเขาเองก็ได้ยินเหมือนกัน แต่เสิ่นซิวจิ่นกลับไม่ได้ต่อว่าอะไรพวกนั้น เพียงแต่ใช้สายตาจ้องมองที่เจี่ยนถงอย่างเดียว……เมื่อก่อนเจี่ยนถงไม่สนใจคำพูดใคร เธอเคยบอกเขาว่า “ทำไมเธอต้องไปสนใจคำพูดของคนที่เทียบเธอไม่ติด?”

แต่เจี่ยนถงในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นสายตา หรือคำพูดพวกนั้น สำหรับเธอแล้ว มันเป็นสิ่งไม่ดี ที่สามารถทำให้เธอจมลงได้ง่ายๆ

สายตาดูถูกหลายคู่นั้น พร้อมกับคำนินทาที่ดังอยู่……เธอตัดสินใจหันหลังกลับ แล้ววิ่งออกไปข้างถนน พร้อมกับยื่นมือเรียกรถแท็กซี่ทันที

เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้ออกไปขวางเธอ เพียงแค่ยืนมองเธอเรียกรถอย่างนิ่งๆ

เขาเม้มปาก พร้อมกับยกมือขึ้นมา เสิ่นยีที่อยู่แถวนั้นก็รีบเข้ามา เขาจึงกระซิบข้างหูเสิ่นยี “ตามเธอไป แล้วก็จ่ายค่าแท็กซี่ให้เธอด้วย ตัวเธอไม่ได้พกเงิน”

“ครับ บอส”

เสิ่นซิวจิ่นหันไปมองที่ที่เจี่ยนถงออกไปอีกครั้ง และหันกลับมา แล้วเดินเข้าไปด้วยสายตามีเลศนัย และจังหวะนั้นก็มีแววตาบางอย่างเปล่งออกมา วันนี้หนีไปได้ ก็ยังมีพรุ่งนี้

……

พอเลิกประชุม เสิ่นซิวจิ่นก็ออกจากบริษัททันที

รถเบนซ์ขับเข้ามาในหมู่บ้านของเจี่ยนถง และดูตามที่อยู่จนมาถึงหอพักของเจี่ยนถง

ตื้อดึ่ง

“ใคร?” เสียงคนในห้องถามขึ้น

ผู้ชายที่อยู่ด้านนอกไม่ตอบ และยกมือขึ้นมากดออดที่หน้าประตูอีกสองครั้ง

ประตูเปิดออก “ใคร……ทำไมเป็นคุณ?”

“ทำไมจะเป็นผมไม่ได้?” เขาถามขึ้นพลางหยักคิ้ว

เจี่ยนถงแง้มปาก เหมือนจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด แล้วจึงถามขึ้นด้วยความประหม่า “ประธานเสิ่น……คุณมา ด้วยธุระเหรอ?”

“เธอจะไม่เชิญฉันเข้าไปดื่มน้ำชาหน่อยเหรอ?”

“ที่ห้องไม่มีน้ำชา”

“น้ำร้อนธรรมดาก็ได้”

“……เชิญค่ะ”

เสิ่นซิวจิ่นไม่สนใจกับท่าทางที่ดูไม่ยินยอมของเจี่ยนถง แล้วเดินเข้ามาในห้องอย่างสบายใจ

“ฉันไปรินน้ำให้……” เธอกำลังจะเดินคอตกเข้าไปในห้องครัว แต่อยู่ๆ กับถูกจับข้อมือเอาไว้ เสิ่นซิวจิ่นกดเสียงแล้วพูดขึ้นเสียงแข็ง “ไม่ต้องแล้ว ไปเก็บของแล้วไปกับฉัน”

“จะไปไหนเหรอ?ฉันไม่จำเป็นต้องเก็บ ไปแบบนี้แหละ”

พอเงยหน้าขึ้น สีหน้าของเขาก็ดูกึ่งยิ้ม “ฉันหมายถึง ไปเก็บของใส่กระเป๋า ต่อไปไม่ต้องอยู่ที่นี่แล้ว”

“……แล้วไปอยู่ที่ไหนล่ะ?” ความกังวลปะทุขึ้นทันที ถ้าไม่อยู่ที่นี่ เธอจะไปอยู่ไหนได้ล่ะ?

“ไปอยู่กับฉัน” เสิ่นซิวจิ่นพูดออกอย่างชัดถ้อยชัดคำ

เจี่ยนถงยืนตัวแข็งทื่อทันที แล้วคิดว่าตัวเองน่าจะฟังผิดไป

“……ประธานเสิ่น ฉันอยู่ที่นี่ก็ดีมากเลย”

เสิ่นซิวจิ่นไม่ตอบเธอ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมามองนาฬิกา “ให้เวลาเธอเก็บของสิบห้านาที หลังจากสิบห้านาที ฉันจะพาเธอไป” พอพูดจบเขาก็หันมามองเธออีกครั้ง แล้วพูดขึ้น “ไม่ว่าเธอจะเก็บเสร็จหรือไม่ก็ตาม”

ในจังหวะนั้นเจี่ยนถงลนทันที “ประธานเสิ่น คุณกำลังเป็นเผด็จการ ไม่มีเหตุผล ไม่สนใจคนอื่น!ฉันอยู่ที่นี่ก็ดีอยู่แล้ว ฉันไม่อยากย้ายไปไหน” และยิ่งไม่อยากไปอยู่กับคุณด้วย!

เสิ่นซิวจิ่นจึงพูดขึ้นเสียงใส “ที่เธออยากจะพูดมากที่สุด คือไม่อยากอยู่กับฉันใช่ไหม?”

เจี่ยนถงได้ยินแบบนั้น สีหน้าขาวซีดขึ้นมาทันที!

พอเห็นเธอเป็นแบบนั้น เสิ่นซิวจิ่นก็ยิ้มออกมาทันที “ดูแล้วฉันคงเดาถูก” เมื่อกี้ยังหัวเราะอยู่เลย พอตอนนี้ หน้ากลับถอดสี สายตาก็ดูเลิ่กลั่ก “สิบห้านาที จะไม่มีการต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น”

“ตกลงคุณต้องการจะทำอะไรกันแน่!” เจี่ยนถงกำหมัดแน่น ผู้ชายคนนี้ ตกลงว่าอยากจะได้อะไรในตัวของเธอกันแน่ “ประธานเสิ่น คุณดูให้ละเอียด!ตรวจดูให้ละเอียดเลย!ตั้งแต่หัวจรดเท้าของฉันนี่ ยังมีอะไรที่คนมีอำนาจล้นฟ้าอย่างคุณต้องการอีก!”

“คุณบอกมาสิ!เพียงแค่พูดออกมา ฉันให้คุณได้หมด!” แล้วอยู่ดีๆ ก็เข้ามาวนเวียนในเรื่องการใช้ชีวิตของเธอแบบงงๆ “ประธานเสิ่น!ฉันไม่ใช่เจี่ยนถงคนเดิมในตอนนั้นแล้ว!คุณต้องเข้าใจในจุดนี้!

ฉันคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าอะไรถึงทำให้คนที่คนอื่นนับหน้าถือตาอย่างคุณ ถึงได้มาตามตอแยกับฉันอย่างยากเย็นแบบนี้ ตกลงว่าคุณชอบอะไรในตัวฉันกันแน่?”

ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ ถูกเว่ยซือซานลากขึ้นรถ เพื่อไปที่งานเลี้ยงบ้าบอนั่น แล้วยังไปเจอคนที่ไม่ควรจะเจอในบ้านหลังนั้นอย่าง ——เซียวเหิง!

มีดที่เซียวเหิงแทงมาในใจนั้นยังไม่ทันดึงออกมา พี่ชายแท้ๆของเธอก็รีบเข้ามาแทงเป็นอีกครั้งหนึ่ง!

แล้วหลังจากนั้นน่ะเหรอ?หลังจากนั้นก็เป็นผู้ชายคนนี้ ที่เข้ามาปรากฏตัวอย่างงงๆ และยังมาทำอะไรของเขาก็ไม่รู้ เธอดูไม่ออก และไม่อยากดูแล้ว

ถึงจะเป็นพวกวัวควายที่ต้องถูกฆ่า ถึงแม้จะเปรียบเธอเป็นสัตว์พวกนั้น……แต่ก็ต้องให้เธอได้พักหายใจหายคอบ้างสิ ถึงแม้จะเป็นเพชฌฆาตที่ฆ่าสัตว์ ก็คงไม่มีทางที่ยังไม่ดึงมีดออกมา แล้วแทงเข้ามาอีกรอบหรอก มีดที่สองนั้นแทงเข้ามาเรียบร้อยแล้ว……มันก็วุ่นวายมากพอแล้ว!

วุ่นวายมากพอแล้ว!

เสิ่นซิวจิ่น ทำไมคุณถึงต้องเข้ามาเพิ่มความวุ่นวายอีก!

คุณด่าฉันสิ คุณตีฉันเลย ดูถูกฉัน พูดเสียดสีฉันเถอะ!ขอแค่อย่าเข้ามาวุ่นวายในชีวิตฉันอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย……ฉันขอร้องล่ะ!

ขอร้องล่ะ อย่าเข้ามาทรมานฉันเลย……พอแล้ว!พอแล้ว!

เธอก้มหน้าลง พร้อมกับกดเสียง แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น “ประธานเสิ่น ฉันคิดไปคิดมา สิ่งที่ฉันเหลืออยู่ ก็คงจะเป็นร่างกายเน่าๆ นี้แหละ……ถ้าหากว่าประธานเสิ่นไม่รังเกียจ คุณเอาไปได้เลย”

ไม่เห็นต้องกังวลแล้ว วิญญาณก็ตายไปแล้ว จะยังเอาร่างนี้ไปเพื่ออะไร?

เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้น พร้อมกับหันไปมองคนตรงหน้า แล้วยกมือขึ้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเหมือนกับในการ์ตูน เธอยืนอยู่ตรงหน้าเสิ่นซิวจิ่นอยู่แบบนั้น พร้อมทั้งยื่นมือออกมาเพื่อปลดเสื้อผ้าตัวเอง

เสิ่นซิวจิ่นเจ็บปวดใจขึ้นมาทันที อยากจะเข้ามาขัดขวาง แต่กลับถูกสายตาของเธอจ้องอยู่ จนไม่กล้าขยับ และก้าวขาไม่ออก

เธอไม่ได้ร้องไห้ รอบดวงตาไม่มีน้ำตาเลยสักหยด แต่กลับมีบางอย่างที่ไม่ใช่สำหรับคนวัยนี้ ที่ควรจะไม่แยแส “ประธานเสิ่น คุณตรวจให้ละเอียด ในร่างกายฉัน ยังมีอะไรที่คุณรู้สึกสนใจ?คุณเอาไปให้หมดเลย แต่ต้องขออภัยที่ร่างกายเน่าๆ นี้ไม่สมบูรณ์ ขาดไตไปข้างหนึ่ง”

สายตาของเสิ่นซิวจิ่นที่เอาแต่จ้องมองดวงตาของเจี่ยนถง เขาไม่ขยับขาและก็ไม่ยอมย้ายสายตาไปไหนเหมือนกัน จนได้ยินตอนที่เธอบอกว่า “ขาดไตไปข้างหนึ่ง” สายตาของเขาชะงักไป แล้วถึงได้มองต่ำลง ตรงเอวซ้ายของเธอ

“ไม่ต้องเล่นแล้ว คุณอยากได้อะไร เอาไปเถอะ หลังจากเอาไปแล้ว ก็ไม่ต้องมาก่อกวนฉันอีก” เธอหลับตาลงอย่างไม่แยแส และท่าทางไม่สนใจอะไรปล่อยให้เขาทำตามใจเลย……เธอบอกตัวเองว่า ไม่เป็นไร

ตึกตึก ตึกตึก……เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เขามายืนอยู่ตรงหน้าของเธอ และถึงแม้ว่าจะหลับตาอยู่ แต่เจี่ยนถงก็สามารถสัมผัสได้ พลางทำใจแข็ง กัดฟันแน่น

มีบางอย่างคลุมที่ตัวเธอ เธอชะงักไป พร้อมกับลืมตาขึ้น แล้วค่อยๆ มองมาที่เสื้อสูทที่คลุมบนตัวเธอ

เธอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง แล้วมองไปที่เขา ด้วยสายตาที่ไม่ใช่ขอบคุณ แต่เป็นความผิดหวัง……ถ้าดูจากที่เธอดูเขาแล้ว ตกลงมันคือเรื่องอะไรกันแน่ ถึงทำให้เขาเสียเวลามาตอแย มาเล่นกับเธอแบบนี้

เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แล้วก้มลง แล้วเงยหน้าขึ้น ทำแบบนั้นอยู่สามครั้ง สุดท้าย เธอแข็งใจ พร้อมกัดฟันแน่น ยื่นมือออกไป โดยไม่กะพริบตา แล้วโอบไปที่คอของเขาเอาไว้ ในตอนนี้เธอกำลังตัวสั่น

“ประธานเสิ่น คุณไม่ต้องการฉันเหรอ?” ประโยคนี้ที่พูดออกมา คอของเธอก็แดงขึ้น จนไม่สามารถจะอธิบายความเขินนี้ได้ ประโยคนี้ เป็นตอนที่เธอเคยเห็นผู้หญิงคนอื่นพูดกับผู้ชายวัยกลางคนในห้องวีไอพี

เพียงแต่ ไม่ว่ายังไงเธอก็ยังไม่สามารถเลียนแบบท่าทางยั่วยวนของผู้หญิงปากแดงพวกนั้นได้……แต่สำหรับเธอแล้ว กลับรู้สึกทรมานกว่าการคุกเข่าอย่างมาก

สายตาของเสิ่นซิวจิ่นเปลี่ยนไปทันที กล่องเสียงขยับ ในใจก็ผุดขึ้นมาเสียงหนึ่ง “สมควรตาย” แต่เขากลับไม่พูดแล้วผละออกจากเจี่ยนถง พร้อมกับยื่นมือออกมาติดกระดุมให้แน่น แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบ “ผ่านไปแล้วห้านาที ตอนนี้เธอเหลือเวลาสิบห้านาที ในการเก็บของ”

เจี่ยนถงนิ่งไป แล้วพูดขึ้นอย่างเสียสติ “ทำไม……สิ่งที่ฉันเหลืออยู่ ก็มีแค่ร่างกายแล้ว แต่ทำไมล่ะ?” ทำไมเธอลุกขนาดนี้ เขากลับผลักเธอออก?

เธอคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเธอยังมีอะไรที่ให้เขาได้อีก สิ่งที่เขาต้องการ ถ้าไม่ใช่ร่างกาย แล้ว……มันคืออะไรกันแน่?

เธอยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม แล้วก็ยืนบื้ออยู่ตรงนั้นสิบนาที

ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่ได้เร่งเร้าเธอ

“หมดเวลา” เขาพูดแค่นี้ แล้วก็ยื่นมือไปดึงเจี่ยนถงเข้ามาซบที่อก หลังจากนั้นก็ขยับมือลงมากอดที่เอวของเธอไว้อย่างแน่น พร้อมกับพยายามพาเธอออกมาจากประตู

จู่ๆ เจี่ยนถิงที่แข็งทื่อไปก็ได้สติกลับมา สีหน้าเธอซีดขาว แล้วพยายามดิ้นไปมา “ฉันไม่ไป ประธานเสิ่น ฉันไม่ไป ได้ไหม ฉันอยู่คนเดียวก็ดีอยู่แล้ว จริงๆ นะ ขอร้องล่ะ ฉันไม่อยากจะย้ายไปไหน”

เธอพยายามไม่ยอมเดิน แต่ว่าแรงของเธอจะไปสู้แรงผู้ชายได้ยังไง?

ในเมื่อขอร้องไม่ได้ผล เธอจึงพูดจาต่อว่าเขา “เสิ่นซิวจิ่น!คุณมันคนเผด็จการ!บุกรุกบ้านคนอื่น!ใช้อำนาจบังคับคนอื่น!คุณจะต้องถูกจับ!”

ยังไม่ทันจะพูดจบ เขาก็ยื่นโทรศัพท์มาตรงหน้าเธอ “เอาไป แจ้งความ”

“……” ไม้ไหนก็ใช้หมดแล้ว ขอร้องก็ทำแล้ว ยอมเป็นทาสก็ทำแล้ว หรือว่าการด่าก็ทำแล้ว เขาก็ยังไม่โกรธ……คนคนนี้ ปัญญาน่ากลัวมาก!

“ตกลงว่า คุณต้องการอะไรกันแน่?” ไม้ไหนก็ใช้หมดแล้ว ไม้ไหนก็ไม่ได้ผล เจี่ยนถงที่รู้สึกไร้ความสามารถ สุดท้ายจึงก้มหน้าลงอย่างคอตก ดูท้อแท้ใจอย่างมาก เสียงพูดก็ดูไร้เรี่ยวแรง ค่อยกว่าตอนขอร้อง และยังน้อยกว่าอารมณ์ตอนด่าคน มีเพียงความรู้สึกสิ้นหวัง…… “ประธานเสิ่น……ฉันเหนื่อย ขอร้องล่ะ……”

ขอร้องปล่อยฉันไปเถอะนะ

หัวใจของเธอแตกสลาย สิ้นหวังจนแทบไม่มีอะไรมาเทียบได้ เหมือนกับถูกขังในห้องมืดๆ เล็กๆ จนมองไม่เห็นแสง เธอเองแทบไม่รู้เลยว่าในห้องนี้ มีอะไรอยู่ข้างๆ เธอ

เสิ่นซิวจิ่นในตอนนี้นั้น คือคนที่ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว

แขนแข็งๆ ที่กอดเอวเธอไว้นั้น เริ่มสั่นขึ้นมาเล็กน้อย…… ด้วยประโยคนั้น “ฉันเหนื่อย ขอร้องล่ะ……”

เธอไม่ได้พูดว่าขอร้องอะไรเขา แต่ว่าเขาเองก็รู้ดี ว่าสิ่งที่เธอขอร้องนั้นคืออะไร

เขาส่ายหน้า “ไม่ได้” ตอนที่เขารู้ว่าตัวเองเริ่มชอบเธอ เขาก็ไม่สามารถวางมือและปล่อยเธอไปได้แล้ว

เพียงแต่ตอนนี้เสิ่นซิวจิ่นไม่เข้าใจ ปลาที่จับได้ ยิ่งจับแน่น ก็จะยิ่งหลุดมือได้ง่าย บางทีเขาอาจจะเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ แต่เขากลับคิดว่า เจี่ยนถง ควรจะเป็นของคนอย่างเขา

“หลังจากนี้ เธอต้องอยู่ที่นี่” เสิ่นซิวจิ่นพาเจี่ยนถงมาอยู่ที่ตงหวงชั้น 28 และพูดขึ้นอีกว่า “ฉันช่วยจัดการลาออกจากฝ่ายนั้นให้เธอแล้ว หลังจากเข้ามาในบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ต่อไปเธอต้องเข้ามาอยู่ข้างๆ ฉัน”

“งานที่ฉันทำอยู่ก็ดีอยู่แล้ว!” เธอมองด้วยสายตาไม่พอใจ เขามีสิทธิ์อะไรมาตัดสินใจให้เธอ?

“งั้นเหรอ?งานที่เอาแต่ยิ้มให้คน เธอคิดว่าดีงั้นเหรอ?เจี่ยนถง ถึงเธอยินยอมทำ แต่ฉันไม่ยอมให้เธอทำต่อไปหรอก”

เจี่ยนถงอยากจะหัวเราะ……รีบไปทำไม?ตอนนั้นใครกันล่ะที่บอกให้เธอไปทำงานประชาสัมพันธ์?

ช่าง……น่าขำจริงๆ !

“ประธานเสิ่น ตอนนั้นคุณไม่ได้พูดแบบนั้น?เป็นคุณเองนะที่ส่งให้ฉันไปอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ หรือว่าคุณลืมไปแล้วเหรอ?” เจี่ยนถงกัดฟันพูด “ตอนนั้นคุณให้ฉันไปทำ แล้วทำไมตอนนี้ถึงไม่ยอมให้ทำแล้วล่ะ?”

เสิ่นซิวจิ่นใช้สายตาซับซ้อนมองมาที่เจี่ยนถง “เธออยากรู้งั้นเหรอ?” เจี่ยนถงไม่ตอบ เสิ่นซิวจิ่นจึงพูดขึ้นเสียงเรียบ “หลังจากนี้เธอก็จะรู้เอง”

“เจี่ยนถง ตอนที่เธอทำงานนี้ เธอมีความสุขไหม?”

มีความสุขไหมเหรอ……เธอชะงักไปชั่วขณะ

เสิ่นซิวจิ่นพูดจบ ก็หันหลังเดินออกไปทันที ทิ้งไว้แค่เจี่ยนถงคนเดียว……ผู้ชายคนนี้ นานวันเข้าก็ยิ่งเข้าใจยากขึ้นเรื่อยๆ

แต่ว่ามีอย่างหนึ่ง ที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย

เขาคิดอยากทำอะไรก็จะทำ เขาได้ตัดสินใจอะไรแล้วก็ต้องเป็นแบบนั้น!

และที่เกลียดที่สุด ก็คือเขาที่เป็นแบบนี้……ก็เหมือนตอนนั้นที่เขาบอกว่าเธอมีความผิด เธอก็ต้องมีความผิด!

แต่จนถึงทุกวันนี้ เธอก็ยังไม่สามารถขัดขืนเขาได้!

“ตกลงว่า……จะให้ฉันทำอะไร!”

ตลอดบ่ายวันนี้ เขาทำงานในห้องหนังสือ แต่เจี่ยนถงกลับนั่งเหม่อลอยที่ห้องรับแขก……สำหรับอนาคตจะเป็นยังไง เธอเองก็ได้ตัดสินใจได้แล้ว

ยังไงก็ต้อง……หนี!

ในสมองตอนนี้ได้เริ่มคิดแผนการไว้แล้ว

เสิ่นซิวจิ่นคนนี้ การกระทำของเขาในตอนนี้ยิ่งนานวันยิ่งเกินไปแล้ว ถึงเธอดูไม่ออกแต่กลับรู้สึกได้ถึงอันตราย และเธอเองก็เริ่มเสียดายเวลา ต้องคิดวางแผนให้ดีๆ

ตอนเย็น หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ เขาก็เข้าไปในห้องหนังสืออีกครั้ง จนถึงสามทุ่ม ถึงออกมาจากห้องนั้น

พอเห็นเจี่ยนถงนั่งอยู่ห้องรับแขก เขาก็พูดขึ้นเสียงใส “เธอไปนอนในห้องนอน ฉันจะนอนที่โซฟา”

เจี่ยนถงลุกขึ้นมาอย่างเงียบๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องนอน……เขาเป็นแบบนี้อีกแล้ว มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกกลัว

เช้าวันต่อมา

เจี่ยนถงถูกทิ้งชุดเอาไว้ให้อีกครั้ง และก็เป็นหน้าประตูทางเข้าของบริษัทเสิ่นซื่อ เธอต้องเลือกอีกครั้ง “เดินเข้ามา ไปประชุมกับฉัน เธอหันหลังกลับ เพื่อจะกลับไปที่คอนโด”

แต่ตอนที่เจี่ยนถงหันหลังจะเดินออกไป เสิ่นซิวจิ่นกลับยื่นมือออกไป แล้วออกแรงนิดหน่อย ก็สามารถดึงเธอเข้ามาในบริษัทได้แล้ว

“ประธานเสิ่น คุณบอกว่าให้ฉันเป็นคนเลือกเอง!”

“ฉันพูดแล้ว” เขาพูดออกมาแบบไม่สนใจ

“งั้นคุณก็กลับคำพูดตัวเอง” เธอพูดพร้อมกดเสียงลง

“ตอนนี้เธอสามารถสะบัดมือฉัน แล้วหันหลังกลับไปได้ มันก็เหมือนกัน”

จะเหมือนกันได้ไง!ตอนนี้เธอถูกเขาลากเข้ามาแล้ว มีสายตาหลายคู่มองมาที่เธอ และโดยเฉพาะถูก “เขา” ลากเข้ามาด้วย!

ถ้าหากว่าตอนนี้เธอสะบัดเขาออก แล้ววิ่งหนีออกไปคนเดียว……เธอก็ไม่กล้า ดูจากสายตาหลายคู่นั้น คงมองตั้งแต่ตรงนี้จนถึงถนนแน่

เธอจึงก้มหน้าลงอีกครั้ง แล้วเดินตามหลังเขา เธอครุ่นคิด ขอเพียงเข้าไปในลิฟต์ สายตาสอดรู้สอดเห็นพวกนั้นก็จะไม่มีแล้ว

“ถึงอย่างไรเธอก็ต้องเผชิญ เจี่ยนถง เงยหน้าขึ้น ยืดหลังตรง มันน่ากลัวขนาดนั้นเหรอ?”

“?”

น่ากลัว น่ากลัวอยู่แล้ว!

มือของเสิ่นซิวจิ่น ไหลลงมาที่หลังของเจี่ยนถง เขาออกแรงเล็กน้อย แล้วดันไปด้านหน้า หลังของเจี่ยนถงที่ถูกดันก็ยืดตรงขึ้น จังหวะที่เธอกำลังจะพูด ก็ได้ยินเสียงเขาพูดเสียงสั่ง “เดิน”

รับรู้ทันที เธอทำตามคำสั่งเขา ตั้งแต่ต้นจนจบ ฝ่ามือที่อยู่ด้านหลัง ไม่ยอมเอาออกไปไหนเลย

เขาและเธอเดินกันแบบนี้ ผ่านห้องโถงใหญ่ ในสายตาของคนอื่นนั้น ก็ดูเหมือนจะหวานกันมาก จนเดินเข้ามาในลิฟต์ของประธานกรรมการ

จังหวะที่ประตูลิฟต์ปิดลง เจี่ยนถงมองเห็นสายตาที่ไม่อยากเชื่อพวกนั้น มองมาที่เธอ เธอก็รู้สึกกังวลอีกครั้ง เหมือนกับข้อกังขาตกลงมาอยู่ที่เธอ……ถ้าหาก ถูกจำได้ขึ้นมา……

ตือดึ้ง

ลิฟต์หยุดลง และตอนที่ประตูเปิดออก ใจที่คัดค้าน ก็ยังถูกเสิ่นซิวจิ่นที่อยู่ด้านหลัง กดหลังไว้อยู่ เธอเดินหลังตรงออกมาจากลิฟต์

เขาเดินกดหลังเธอมาจนถึงห้องทำงานประธานกรรมการ ในตอนที่เดินเข้ามาถึง เจี่ยนถงก็ถอนหายใจออกเฮือกใหญ่ ที่นี่ไม่มีสายตาสอดรู้สอดเห็นของพวกนั้น จึงทำเธอรู้สึกสบายใจขึ้น

“ตรงนั้นมีหนังสือ เธอไปดูเอาเอง ฉันจะไปเข้าประชุม”

เจี่ยนถงมีท่าทีงุนงง พลางมองเสิ่นซิวจิ่นที่พูดจบก็เดินออกไปจากห้องทำงานทันที แล้วปล่อยให้เธออยู่ที่นี่คนเดียว

เธอหันไปมองรอบๆ การตกแต่งที่นี่กับเมื่อสามปีก่อน ไม่ได้ดูแตกต่างกันมาก เป็นความชอบในแบบของผู้ชายคนนั้น

ผ่านมาสองคืนติด การนอนในห้องนอนของเขา ทำให้เธอหลับไม่ลงมาสองคืนแล้ว เธอจึงเดินมานั่งที่โซฟา ผ่านไปไม่นาน ก็หลับไป พร้อมกับเอนตัวลงนอนที่โซฟา

ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ประตูเปิดออกแบบไม่มีเสียงเลย

เขายืนอยู่ที่ประตู ก็พลางมองเห็นเธอนอนเอนตัวอยู่ที่โซฟา เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แล้วก็เดินมายืนอยู่ด้านหน้าโซฟา พร้อมกับจ้องมองผู้หญิงตรงหน้าสักพักหนึ่ง เหมือนเธอจะหนาว จึงทำให้เธอหลับไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ แล้วขยุกขยิกไปมา

นิ้วมือเรียวยาว กำลังปลดเสื้อคลุม แล้วห่มให้เธอ ตอนที่เข้าไปใกล้ๆ ได้ยินเสียงละเมอดังขึ้นหนึ่งครั้ง

“อาลู่……”

มือที่ถือเสื้ออยู่ชะงักไปเล็กน้อย พร้อมขมวดคิ้ว แล้วแสดงสีหน้าเยือกเย็นออกมา

ยังนึกถึงลู่เชนอยู่อีก……ช่างดูรักกันลึกซึ้งจริงๆ เลยนะ

เขาไม่ได้ล้อเล่น ริมฝีปากเขาสบถสองสามครั้ง

แล้วเรื่องของเซียวเหิงมันเกิดอะไรขึ้น?

ความสัมพันธ์ระหว่างลู่เชนกับเซียวเหิงคืออะไร เสิ่นซิวจิ่นรู้ดี

สายตาเขาดูซับซ้อน พร้อมกับถามหยั่งเชิง “อะลู่คือ……ลู่เชนเหรอ?”

“อาลู่……ขอโทษ……”

และแน่นอนว่า เจี่ยนถงที่นอนหลับอยู่ ไม่มีทางจะตอบเสิ่นซิวจิ่นได้

เขาขมวดคิ้วแน่น ทันใดนั้นเสิ่นซิวจิ่นก็ยืนขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องทันที พอเดินออกมาข้างๆ ห้องประชุมเล็ก เขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วโทรไปหาลู่เชน “ฉันเอง เสิ่นซิวจิ่น”

ลู่เชนที่กำลังวุ่นอยู่ก็พลันแสดงความตกใจออกมาทันที “ประธานเสิ่นถ้าไม่มีธุระอะไรคงไม่โทรมา เชิญพูดมาได้เลย” เขาเองก็ไม่พูดมากความ แล้วถามออกไปตรงๆ ทันที

เสิ่นซิวจิ่นก็ยิ่งพูดตรง “คุณกับเจี่ยนถิงเป็นอะไรกัน?”

พอได้ยินประโยคนี้ ที่จริงก็รู้สึกงุนงง

ขนาดคนหนักแน่นอย่างลู่เชน ยังอึ้งไปชั่วขณะ แล้วถึงพูดขึ้น “เคยมีคุยกันระยะหนึ่ง”

ในใจก็พลันฉุกคิดว่าทำไมเสิ่นซิวจิ่นถึงถามเขาแบบนี้

หลังจากนั้น กลับได้ยินเสียงเขาพูดขึ้น “เคยคุยกันของประธานลู่ ดูแล้วค่อนข้างลึกซึ้งเลยทีเดียว จนเจี่ยนถิงเอาเก็บไปฝันแล้วพูดชื่อ ‘อะลู่’ ออกมา”

“เฮอะ!แฮ่กแฮ่กแฮ่กแฮ่ก……” ลู่เชนที่กำลังกินน้ำอยู่ถึงกับสำลักออกมา แล้วรีบพูดขึ้น “ประธานเสิ่น คำพูดพวกนี้ อย่าได้พูดซี้ซั้วเชียวนะ คุณหนูเจี่ยนเป็นคนที่เซียวเหิงชอบ ไม่ควรเล่นกับคนของเพื่อนนะ คนอย่างลู่เชนยังไม่ได้ตีท้ายครัวครอบครัวพี่น้องหรอกนะ”

“เมื่อกี้คุณบอกว่า คุณหนูเจี่ยนละเมอเป็นชื่อผมเหรอ?” ถ้าหากฟังไม่ผิดละก็ “อะลู่” คงจะหมายถึงเขาใช่ไหม?สีหน้าลู่เชนดูแปลกใจ……แฮ่กแฮ่กแฮ่ก ตัวเองคงจะมีเสน่ห์มากเกินไป?เพราะจากวันนั้นที่เซียวเหิงพาเจี่ยนถงมารับการแต่งตั้ง เขากับเจี่ยนถง ก็ได้เจอกันเพียงแค่ครั้งเดียว

“เสิ่นซิวจิ่น เธอละเมอว่า ‘อะลู่’ จริงเหรอ?” มันดูน่าแปลกใจมาก ลู่เชนทำท่าเหมือนจะตาย

เขายังพูดไม่จบ คนที่โทรมาอีกด้านก็ตัดสายไปแล้ว

“ฮะโหล?ฮะโหล?เสิ่นซิวจิ่น คุณยังไม่ตอบผม!”

สายฝั่งนั้น เสิ่นซิวจิ่นตัดไปแล้ว

ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินเธอละเมอเรียกชื่อ ‘อะลู่’ สองคำออกมาแล้ว ถ้าหากไม่ใช่ลู่เชน……แล้วจะเป็นใคร?

เขากำมือแน่น แล้วค่อยๆ เคาะลงบนโต๊ะทำงาน จู่ๆ ก็หยุดลง แล้วรีบโทรหาเสิ่นยี “นายไปตรวจสอบดู ในคุกมีคนที่ชื่อ ‘อะลู่’ หรือเปล่า”

เห็นได้ชัดมากกว่า เสิ่นซิวจิ่นแม้ว่าจะไม่สามารถมั่นใจว่าในสามปีก่อนนั้นจะมีคนที่ชื่อ ‘อะลู่’ อยู่ข้างกายเจี่ยนถงหรือไม่ แต่ว่าหลังจากสามปีที่เธอกลับมา เวลาละเมอก็จะมีแต่ชื่อนี้ อย่างงั้นเบาะแสที่สามารถสืบหาได้ก็คงอยู่ที่คุก——คุกที่เธออยู่มาสามปี!

เขาหันหลัง แล้วกลับเข้าไปในห้องทำงานอีกครั้ง

ผู้หญิงที่หลับบนโซฟานั้น หลับลึกมา ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลย

เขาจึงนั่งลงด้านหลังโต๊ะทำงาน เลขาจึงเข้ามา “ประธาน……” ”

เลขาพึ่งจะพูดขึ้น ก็พลันมองเห็นเขายกมือขึ้นมาที่ปาก เพื่อบอกให้เบาๆ แล้วส่งสายตาไปที่โซฟา เลขาคนนั้นมองตามสายตาของเขาไปทันที แล้วเห็นผู้หญิงนอนอยู่บนโซฟา ในตอนนั้นเธอจึงรีบพยักหน้าเพื่อบอกว่ารับทราบ

เธอไม่พูดอะไร แล้วเดินเข้ามาห้องทำงาน แต่เสียงของรองเท้าส้นสูงนั้นไม่สามารถทำให้เบาได้ เธอจึงถูกเขาส่งสายตาต่อว่าอีกครั้ง เลขาผู้น่าสงสารหัวใจเต้นตึกตักตึกตักอย่างกังวล แล้วพยายามรีบเขย่งเท้าเดินอย่างเร็ว

ดูแล้ว เรื่องแบบนี้ คงจะมีเพียงผู้หญิงเท่านั้นที่รู้ ใส่ส้นสูงเจ็ด แปดนิ้ว แล้วก็ต้องเขย่งเท้าเดิน เรื่องนี้ถือว่าเป็นสุดยอดสิบเรื่องเลยก็ว่าได้!

ยากมากกว่าจะเดินมาถึงหน้าห้อง แล้วเอาเอกสารวางที่โต๊ะ พร้อมกับกดเสียงให้เบาแล้วพูดขึ้น “ประธานเสิ่น เอกสารนี้ต้องเซนต์ค่ะ”

เลขาเห็นเจ้านายเซนต์ลงไปเรียบร้อย อย่างสบายใจ แต่เธอกลับรู้สึกขมขื่น เพราะดูเขาเซนต์ชื่อแสนจะง่าย แต่การที่เธอเอาเอกสารเข้ามา แล้วต้องเอาออกไปอีกนั้น……แทบจะเอาชีวิตไม่รอดเลย

แต่ว่า เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นเจ้านายที่หน้าตาเย็นชามาตลอด ดูกังวลและเป็นห่วงคนคนหนึ่ง แล้วก็ทำให้รู้สึกสงสัย จึงหันไปเหลือบมองตรงโซฟา……เอ่อ ผิดหวังแล้ว

ผู้หญิงธรรมดาเอง……

มองไปมองมาก็เริ่มมีความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น จึงจ้องมองอย่างละเอียด ดูแล้ว ยิ่งมองนานก็ยิ่งเหมือน

ขณะนั้น เธออดไม่ได้จึงถามขึ้น “ประธานเสิ่น ผู้หญิงคนนี้……คล้ายกับคุณหนูเจี่ยนในสมัยก่อนเลย”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอตกใจจนเผลอพูดดังไปหรือว่าเป็นเพราะแอร์ที่เย็นมาก ผู้หญิงที่หลับบนโซฟา จึงได้ลืมตาขึ้น ตอนที่ลืมตาศีรษะก็ยังอยู่ในท่าผิดปกติ

เธอกะพริบตาไปมา แล้วมองภาพด้านหน้า พร้อมกับหันไปมองรอบๆ พอสายตาไปสะดุดเข้ากับเสิ่นซิวจิ่นตรงโต๊ะทำงาน จังหวะนั้นเธอก็ตื่นทันที

“มา มานี่ เจี่ยนถง” เขาเรียกเธอที่พึ่งตื่นไปหาเขาที่โต๊ะ

ดูจากท่ากวักมือเรียกแล้ว เจี่ยนถงอึ้งทันที เลขาเองก็อึ้งไปเหมือนกัน……เอ่อ……

“คุณ……คุณหนูเจี่ยนเหรอ?” เลขาพูดขึ้นอย่างตกใจ

เจี่ยนถงสัมผัสได้ถึงสายตาที่ไม่อยากเชื่อของเลขา ตัวเธอแข็งทื่อทันที

“คุณคือ……เจี่ยนถง?” ดูเหมือนเลขาจะยังไม่เชื่อ พร้อมกับเดินตรงไปที่โซฟา

สีหน้าเจี่ยนถงซีดขึ้นมาอีกครั้ง การโดนคนจับจ้องแบบนี้ และยิ่งเป็นสายตาที่มองแบบไม่อยากเชื่อ ทำให้เธอไม่สามารถรับตัวเองได้

สายตาแบบนี้ เหมือนกับเป็นการตอกย้ำเธอ ว่าในสามปีนั้นผ่านความทรมานพวกนั้นมา เธอต้องการอยู่แบบการเคารพรักกัน เธอเองก็อยากอยู่แบบมั่นใจและน่าเกรงขาม……

“เลขาตู้” เธอพูดออกมาด้วยเสียงประหม่าและใบหน้าขาวซีด “ไม่เจอกันนานเลย”

ขนาดการทักทาย ยังฟังดูไม่มีชีวิตชีวาเลย

เลขาตู้แทบไม่อยากเชื่อเลยว่า ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าตัวเองเป็นเจี่ยนถงคนที่ดูน่าเกรงขามคนนั้นจริงๆ !

“คุณเป็นอะไร……” ทำไมถึงเปลี่ยนไป……เลขาตู้อยากถามแบบนี้ จู่ๆ ก็คิดได้ว่าดูไม่เหมาะสม จึงไม่ได้พูดออกไป จังหวะนั้นก็รู้สึกประหม่าจึงพูดขึ้น “คุณหนูเจี่ยน ฉันขอตัวออกไปทำงานก่อนนะ”

เธอพูดพลางเดินออกไปจากห้องทำงานของประธานทันที

ไม่รู้ว่าตอนไหน ที่เสิ่นซิวจิ่นยืนขึ้น พร้อมกับเดินมาทางนี้ แล้วยกแขนขึ้นเพื่อดูเวลา “ไปกันเถอะ ได้เวลาแล้ว ลงไปกินข้าวข้างล่างกัน”

พอนึกได้ว่าต้องไปเจอกับสายตาของกลุ่มคนพวกนั้นที่มองมา เจี่ยนถงก็แทบไม่อยากออกไปจากห้องทำงานเลย พลันก้มหน้าลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่น “ฉันไม่หิว”

เสิ่นซิวจิ่นหยักคิ้วข้างหนึ่ง “ฉันหิว”

“ฉัน……ไม่อยากกิน ฉัน……ไม่สบาย กินไม่ลง ไม่อยากกิน”

เสิ่นซิวจิ่นมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเธออยากจะหลบ จึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าธรรมดา “อ๋อ ไม่สบายสินะ ได้ เดี๋ยวฉันส่งเธอไปโรงพยาบาล”

เขาพูดพลางหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วโทรออก “ไป๋ยู่สิง ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลไหม?”

เขากำลังถาม อยู่ดีๆ ผู้หญิงที่อยู่ตรงโซฟาก็ยื่นมือออกมา เพื่อดึงแขนเสื้อเขา เขาดูตกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าพอโทรหาไป๋ยู่สิงจะยั่วโมโหเธอได้ จู่ๆ ตัวเองก็โน้มไปด้านหน้า เขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จึงรีบเอามืออีกข้างดันที่โซฟาไว้ทันที

“ฮะโหล?ฮะโหลฮะโหล?” เสียงโทรศัพท์อีกด้านยังคงดังอยู่ ไป๋ยู่สิงทำหน้างง “ฉันทำงานอยู่ เสิ่นซิวจิ่น?ยังอยู่ไหม?”

“อืม อย่างนี้ อีกสักพัก……” เขากำลังจะพูด มือเล็กๆ มือหนึ่งก็ยื่นออกมา แล้วปิดปากเขาเอาไว้

เขาทำสายตาแปลกใจ แล้วเลื่อนมามองที่ใบหน้าเธอ ดังนั้น เขามองเธอด้วยสายตาไม่ใช่ล้อเล่น อีกมือก็ถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็ชี้ลงไปด้านล่าง เพื่อเป็นการถามเธอแบบไม่พูดว่าจะไปโรงพยาบาลหรือจะลงไปกินข้าว

สำหรับเธอแล้ว ไม่อยากไปทั้งสองอย่าง

“เรา……เราสั่งเดลิเวอรี่ก็ได้” เธอเดินถอยหลังไป แล้วพูดขึ้นพร้อมส่งสายตาขอร้อง……ว่าไม่อยากลงไปเจอสายตาพวกคนเหล่านั้นจริงๆ เดิมทีเธอก็ใช้ชีวิตอยู่ในที่มืดๆ ทำไมถึงต้องบีบบังคับเธอให้ออกมาในที่แจ้งด้วย?

เขาหยักคิ้ว ดูไม่มีความเห็นอะไร และในสายโทรศัพท์ ไป๋ยู่สิงกำลังเรียกเขา “เสิ่นซิวจิ่น!แกอยู่กับเจี่ยนถงเหรอ?แกอยู่กับเจี่ยนถงใช่ไหม!……พูดสิ!”

ไป๋ยู่สิงถามแบบร้อนใจ ปลายสายจึงใช้มือกด แล้วเสียงก็หายไปทันที

“ตู้ดตู้ดตู้ด——” ไป๋ยู่สิงมองโทรศัพท์อย่างตกตะลึง แล้วสบถออกมา “ว้าว!”

เสิ่นซิวจิ่นมองผู้หญิงที่อยู่ข้างล่าง โดยไม่ละสายตา แล้วมองมาที่มือของเธอที่ปิดปากเขาไว้ เจี่ยนถงจึงมองไปตามสายตาของเขา แล้วนึกได้ ว่ามือตัวเองยังปิดปากเขาอยู่ จึงรีบเอามือออกทันที

ทันใดนั้น!

มือของเธอก็ถูกกุมเอาไว้ เจี่ยนถงหันตาม ก็เห็นเขาจับมือเธอไว้ พร้อมกับก้มหน้าลงมา แล้วจูบที่มือเธอเบาๆ

ขณะนั้น ฝ่ามือของเธอเหมือนถูกไฟเผา!

ในตอนที่เจี่ยนถงอึ้งอยู่นั้น เสิ่นซิวจิ่นก็ยื่นมือออกไป ลูบศีรษะเธอเบาๆ “ก็ได้ ฉันจะเรียกเดลิเวอรี่”

จนถึงเดลิเวอรี่มาส่ง เจี่ยนถงก็ยังดูเหม่อลอย……แล้วก็แอบมองเสิ่นซิวจิ่นที่ยืนตรงหน้าต่างอย่างระมัดระวัง——นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นว่าเสิ่นซิวจิ่นยอมประนีประนอม

ตอนที่กินข้าว เสิ่นซิวจิ่นบังคับเธอให้กินครึ่งถ้วยอีกครั้ง

“ทำไมไม่กินซุป?ไม่อร่อยเหรอ?”

ตั้งแต่เมื่อกี้ ก็ยังไม่เห็นเธอแตะซุปเลยสักคำ

เขาจึงยกมาให้เธอ แล้วยื่นไปตรงหน้า

แต่กลับเห็นเธอดูลังเล กินหรือไม่กินดี

บังคับอยากหนัก เธอถึงได้ยอมถือถ้วยเล็ก แล้วใช้ช้อนซดทีละคำอย่างไม่เต็มใจ

แต่……

สายตาของเสิ่นซิวจิ่นมองมาที่มือและถ้วยที่เธอถืออยู่ มองอยู่นานก็พอจะเข้าใจ เขาจึงแย่งถ้วยจากมือเธอ แล้วแย่งช้อนไป จากนั้นก็ตักผักหอมที่ลอยอยู่ในซุปออก แล้วยัดถ้วยซุปกลับไปใส่มือเจี่ยนถงตามเดิม

แล้วจึงหันไปมองเธอเงียบๆ เจี่ยนถงใจเริ่มสั่น จึงก้มหน้าลงพร้อมถือถ้วยซุป เธอแทบอยากจะเอาหัวมุดลงไปในถ้วยซุป จะได้ไม่ต้องใช้ช้อนอีก

“ถ้าไม่ชอบก็ให้พูดออกมา” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

เจี่ยนถงที่มือถือซุปอยู่ ถึงกับกระตุก ถ้าหากว่าในถ้วยนี้ไม่มีซุป เธอคงจะทุบมันแล้วเงยหน้าขึ้น พร้อมกับจ้องไปที่คนตรงหน้า……ฉันไม่ชอบคุณ คุณปล่อยฉันไปได้ไหม?

ดังนั้น ไม่ชอบก็ให้พูดออกมา พอพูดออกมาแล้ว มีประโยชน์เหรอ?

เธอก้มหน้าลงเหมือนเดิม โดยไม่ยิ้ม……แค่รู้สึกว่าเธอกับเขาตอนนี้ ไม่มีอะไรที่จะขัดกันมากไปกว่านี้แล้ว

ตอนนั้นเธอชอบเขามาก คลั่งไคล้มาก แต่เขากลับรังเกียจที่เธอจน และยิ่งหลังจากเกิดเรื่องกับเซี่ยเวยเหมิง ยังคิดว่าไม่น่าจะมานั่งกินข้าวสงบๆ ด้วยกันได้ แถมหลังจากนั้นเขาเองก็ยังทำเรื่องแบบนั้นกับเธอ ที่เอาผักหอมออกให้ ราวกับว่าระหว่างพวกเขาสองคน ไม่มีเรื่องบาดหมางอะไรกัน

ในเมื่อเกลียดเธอ ทำไมต้องมาทำเรื่องแบบนี้ด้วย?การกระทำพวกนั้น ดูเหมือนเขารักเธอมาก แต่ถ้าหากว่ารักเธอ แล้วทำไมถึงใจดำได้ขนาดนี้ เอาเธอไปขังไว้จนไม่เห็นแสงเห็นตะวัน ……เป็นเวลาตั้งสามปี ความรู้สึกที่เคยมี นั้นถูกความกลัวและความโกรธกลบเอาไว้จนไม่สามารถโผล่ขึ้นมาจากน้ำได้

บทสุดท้ายที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา ก็คือการเจอกันแบบคนแปลกหน้า ถึงตายก็ไม่ต้องเผาผี อย่างน้อย เจี่ยนถงก็คิดแบบนี้

หลังจากตลอดช่วงบ่าย เขาก็ทำงานในห้องทำงาน เธอก็อ่านหนังสืออยู่โซฟา

ถ้าหากไม่รู้จักพวกเขา ก็จะรู้สึกถึงความสงบอยู่

ตอนเลิกงาน ประตูห้องทำงานก็ถูกเคาะ แล้วก็มีคนที่แต่งตัวแฟชั่นทยอยเดินเข้ามา มีทั้งหญิงทั้งชาย

“ตอนเย็นมีงานเลี้ยง เธอไปร่วมงานกับฉัน” เขาไม่ยอมให้เธอได้ปฏิเสธ แล้วพูดเสียงแข็งดักทางไว้ “ทางที่ดีที่สุดเธออย่าปฏิเสธ ฉันไม่ได้มีความอดทนมากขนาดนั้น เธอยังจำ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ได้ไหม?”

เจี่ยนถงพยายามนึก กองทุนดวงหัวใจ เป็นสิ่งที่คุณปู่มอบให้เธอ หลังจากเข้าไปอยู่ในคุก ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ก็ตกไปอยู่ในมือของคนอื่นในตระกูลเจี่ยน ตอนนั้นที่คุณปู่ได้มอบ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ให้เธอ เป็นมรดกจำนวนหนึ่ง แต่ว่ามีข้อแม้ ก่อนที่เธอจะแต่งงาน ห้ามทำอะไรผิด ไม่อย่างนั้น กองทุนนี้ก็จะถูกโอนย้ายไปให้คนอื่นโดยอัตโนมัติ

ผ่านไปหลายปีแล้ว เจี่ยนถงเองนั้นรู้ดี หลังจากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ทำไมคนทั้งตระกูลเจี่ยนถึงได้ยอมแพ้กัน

ญาติของเธอพวกนั้น……ไม่ได้ยอมแพ้เลย!พวกเขาต้องการสมบัติที่อยู่ในมือเธอ!

“เจี่ยนถง เธอไม่อยากไปดูหน่อยเหรอ ว่าตอนนี้ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ เป็นยังไงบ้าง?” นั่นเป็นสิ่งที่เธอทำมันขึ้นมาด้วยมือตัวเองคนเดียว และพูดได้ว่า แค่ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ อันเดียวสามารถเลี้ยงได้ครึ่งตระกูลเจี่ยน!

แต่ก่อนตอนที่ท่านแก่เจี่ยนยังอยู่ ท่านก็จะเอ็นดูเจี่ยนถงเด็กคนนี้มากเลย ทั้งยังเอาใจ ขนาดเจี่ยนโม่ป๋ายยังไม่สำคัญเท่าหลังเจี่ยนถง……

ไม่มีใครรู้เลยว่าทำไมท่านแก่เจี่ยนถึงรักเจี่ยนถงมากขนาดนี้ ตอนที่เจี่ยนถงอายุสิบหกปี ท่านก็ได้เอามรดกออกมาครึ่งหนึ่ง แล้วสร้างเป็นกองทุนดวงหัวใจ และในวันเกิดอายุครบสิบแปดของเจี่ยนถง ท่านก็ได้เซนมอบอำนาจให้เรียบร้อย ตั้งแต่ตอนนั้น ประธานของ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ก็คือเจี่ยนถงที่เป็นเด็กอายุสิบแปด

และก็เป็นเพราะเรื่องของท่านแก่เจี่ยน ที่ชอบพาเจี่ยนถงไปด้วยตั้งแต่เด็ก แล้วเลี้ยงดูเอง เจี่ยนโม่ป๋ายจึงไม่มีสิทธิ์ในเรื่องนี้…… ตอนนั้นถึงได้มีชื่อคุณหนูเจี่ยนผู้อวดเบ่งในหาดเซี่ยงไฮ้

อย่าได้ดูว่าครอบครัวจะร่ำรวยขนาดไหน ถ้าหากว่าเป็นผู้หญิงแล้ว ในตอนเป็นเด็กนั้นได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี แต่พอถึงวัยผู้ใหญ่ เรื่องเงินทองพวกนี้ มีมากแค่ไหนก็ต้องนำมาเป็นข้อต่อลองในการแต่งงานเหรอ?

ขนาดเจี่ยนถงเอง ที่ติดตามปู่มาตั้งแต่เล็ก โดนท่านสอนมาเอง จนแทบจะน้อยมาก และอย่าได้พูดถึง ตอนที่ ท่านแก่เจี่ยนยังเป็นผู้ดูแลบริษัท ก็มีแต่พาเจี่ยนถงไปด้วย ไม่ว่าจะไปร่วมงานประชุม ก็จะพาไปด้วยตลอด ขนาดตอนนั้นที่ท่านแก่เจี่ยนต้องไปเจอราชนิกุลบางประเทศ ท่านไม่เอาใครไปเลย และยังพาแค่เจี่ยนถงไปคนเดียวเท่านั้น

เรื่องพวกนี้ เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างชื่นชมและพูดกันเยอะ โดยเฉพาะตอนที่เจี่ยนถงอายุสิบสามปี ท่านแก่เจี่ยนได้พาเธอไปพบกับชายาคนหนึ่ง

บอกว่าพาไปจนเป็นปกติก็ได้ แต่ว่าในโอกาสสำคัญแบบนี้ ก็ยังมีบางอย่าง……ในตระกูลร่ำรวย ที่ดูไม่ใช่เรื่องดีเลย ก็เป็นเรื่องส่วนตัว พูดแล้วผู้หญิงก็ต้องน้ำตาซึม แต่กลับต้องยิ้มรับไว้กับทุกสถานการณ์

หลังจากนั้น ท่านแก่เจี่ยนก็ได้สร้าง “กองทุนดวงหัวใจ” ขึ้นมา แล้วป่าวประกาศออกไปว่าเป็นการสร้างขึ้นมาเพื่อให้หลานสาวอย่างเจี่ยนถงได้เรียนรู้

และไม่นาน เรื่องนี้ก็เกิดเป็นประเด็นของทั้งตระกูล……เกี่ยวกับกองทุนนั่น มีคนต้องการจะตรวจสอบ แล้วจะตรวจสอบไม่ได้ได้ไง นี่ไม่ใช่เรื่องผักชีโรยหน้า มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเงิน!

และก็ยิ่งมีคนต้องการหัวเราะเยาะเธอ อยากจะดูว่าเด็กที่อายุสิบกว่าขวบนั้นจะขนาดไหน มีความสามารถอะไร ที่จะมาเป็นผู้ดูแลกองทุน

อย่าได้พูดถึงพวกผู้ใหญ่ในตระกูลร่ำรวยเลย ขนาดพวกอายุเท่ากันอย่างพวกคุณชายคุณหนูพวกนั้น ต่อหน้าพูดชม พูดดี แต่ลับหลังกลับเอาแต่หัวเราะเยาะเธอไม่น้อยเลย

เพราะว่าการที่ท่านแก่เจี่ยนสั่งสอนเลี้ยงดูต่อเจี่ยนถง ไม่ว่าจะเป็นพวกคุณหนูในตระกูลร่ำรวยอื่นนั้น หรือพวกคุณชายทั้งหลายล้วนไม่มีแบบนี้เลย

พอหลังจากที่ท่านแก่เจี่ยนสร้างกองทุนดวงหัวใจขึ้นมาแล้ว เดิมทีก็ปล่อยและไม่สนใจอยู่แล้ว โดยมอบให้หลานสาวเป็นคนดูแล เจี่ยนถงเองก็ไม่ทำให้ท่านแก่เจี่ยนผิดหวัง ในตอนที่เธอยังไม่เข้าวัยผู้ใหญ่ ตอนแรก ก็เจอเรื่องหนักเหมือนกัน แต่กลับสามารถรักษากองทุนเอาไว้ได้ หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นดีขึ้น

และในตอนนั้น พวกคนแก่ที่คอยด่าเจี่ยนถงอยู่ลับหลังพวกนั้นก็เหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง ผู้ใหญ่พวกนั้นโมโหที่ไม่ได้ระบาย ก็ไปลงที่ลูกหลานตัวเอง ในตอนนั้น บรรดาตระกูลร่ำรวยทั้ง เมือง S เหล่าคุณชายคุณหนูต่างๆ ล้วนเคยได้ยินประโยคนี้

“ลองดูอย่างเจี่ยนถงสิ แล้วมาดูตัวเอง ว่าตระกูลเราห่างจากตระกูลเจี่ยนไปมากเท่าไหร่แล้ว ทำไมพวกแกถึงไม่ได้เรื่องเหมือนหลานสาวคนอื่นเลย”

เสิ่นซิวจิ่นเข้าใจ นี่เป็นเรื่องของสามปีก่อน เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้คนโยนหินลงบ่อ

หลังจากออกมาจากคุก ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคนพูดถึง “กองทุนดวงหัวใจ” คำนี้ หลังจากที่เจี่ยนถงออกมาจากคุกแล้ว ก็ไม่ได้ติดตามเรื่องนี้เลย

“ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ……ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน พ่อของฉัน……คนในตระกูลเจี่ยน สามารถดูแลมันและคงรักษามันได้”

ยังไง “กองทุนดวงหัวใจ” ก็ไม่ใช่ของเธอคนเดียว ในนั้นมีหยาดเหงื่อของคุณปู่อยู่กว่าครึ่ง ไม่มีเหตุผลที่คนตระกูลเจี่ยนจะไม่ปกป้องและดูแลมันให้ดี

เธอคิดไปเองว่าควรจะเป็นแบบนั้น ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ หัวเราะออกมาทันที “เจี่ยนถง ถ้าหากว่าฉันไม่เห็นด้วยตาตัวเองว่าเธอเป็นคนสร้าง ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ขึ้นมากับมือ ฉันก็คงจะสงสัยว่าทำไมเธอดูใสซื่อขนาดนี้ เจี่ยนถง เธอมองคนตระกูลเจี่ยนดีเกินไปแล้ว”

ได้ยินแบบนั้น เสียงหัวใจของเจี่ยนถงดัง “ตึกตัก” ขึ้นมาทันที พร้อมกับมีความรู้สึกไม่ดีบางอย่าง “ประธานเสิ่นหมายความว่ายังไง?”

“งานเลี้ยงคืนนี้ สำคัญและมีความหมายมาก เพราะเป็นงานการประมูล และตระกูลเจี่ยนก็เป็นเจ้าภาพ สถานที่ก็อยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเจี่ยน”

เจี่ยนถงยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่ามีอะไร “ประมูล……อะไร?”

คงไม่ใช่……

“คืนนี้พ่อกับพี่ชายเธอจะเปลี่ยนประธานของ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ และหมายความว่า……”

“พวกเขาต้องการจะขาย ‘กองทุนดวงหัวใจ’ !” เขายังไม่ทันได้พูด เธอก็พูดขัดขึ้นมาอย่างดัง!

เสิ่นซิวจิ่นไม่พูดมากความ พร้อมกับลุกขึ้น “ไปไม่ไปก็แล้วแต่เธอ”

เจี่ยนถงกัดฟันแน่น……และเห็นด้วย เธอกลัวที่ต้องไปอยู่ในที่ที่มีคนเยอะ กลัวต้องไปเผชิญกับสายตาดูถูกของคนที่รู้จัก กลัวการเผชิญหน้า แต่ว่า……แต่ว่านั่นคือ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ เลยนะ

“ไป ฉันจะไปกับคุณ” ยังไงเธอก็ต้องไปดูให้เห็นกับตา ไม่งั้นจะสบายใจได้ยังไง

เสิ่นซิวจิ่นพยักหน้า พร้อมกับหันไปกวักนิ้วพวกช่างแต่งนายแบบที่อยู่ข้างๆ “เธอ ยกให้พวกคุณจัดการแล้วกันนะ”

เจี่ยนถงนั่งบนโซฟา แล้วปล่อยให้พวกเขาจัดการปัดๆ ถูๆ บนใบหน้าของเธอ……ครั้งนี้ เป็นเธอเองที่ต้องการจะไป! ‘กองทุนดวงหัวใจ’ เป็นของขวัญที่คุณปู่มอบให้เธอ แม้ว่าตอนนี้จะตกไปอยู่ในมือของพวกเขา เธอก็ต้องการไปดูให้เห็นกับตาตัวเองว่า “คนในครอบครัว” นั้นทำยังไงกับหยาดเหงื่อของเธอกับคุณปู่!

เหมือนกับเป็นการแสดง ไม่ว่าพวกช่างแต่งหน้าให้เธอทำอะไร เธอก็ทำตามอย่างไม่พูดไม่จา เสิ่นซิวจิ่นนั่งเอนหลังอยู่ข้างๆ พร้อมกับมองภาพที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ

ไม่ได้แต่งตัวสวยมาก แต่ก็ทำให้ใบหน้าของเธอดูเป็นเจี่ยนถงคนก่อนมาก……แปลกมาก ที่เขายังจำเจี่ยนถงคนก่อนได้ ห่างหายไปนานถึงสามปี หน้าตาของเวยเหมิง เริ่มจะจำไม่ค่อยได้แล้ว แต่สำหรับท่าทางการสารภาพรัก ตอนโมโห ตอนหยิ่งยโส รวมถึงท่าทางหลงตัวเอง……ตอนนี้เขากลับจำได้อย่างชัดเจน

เธอทำตามคำแนะนำของช่างแต่งหน้า จึงต้องเปลี่ยนเป็นสวมชุดเดรสสีขาว

“รอแป๊บ” เสิ่นซิวจิ่นที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้น เจี่ยนถงจึงหันมามอง และพวกช่างแต่งหน้าเองก็หันไปมองเขาด้วย เสิ่นซิวจิ่นลูกขึ้น แล้วเดินไปที่ราวเสื้อผ้าที่ช่างแต่งหน้านำมาด้วย แล้วจ้องไปที่ชุดราตรีสีดำ จากนั้นก็ยื่นมือ แล้วหยิบออกมาหนึ่งชุด “ใส่สีดำตัวนี้เถอะ”

สายตาของเจี่ยนถงจ้องมองไปที่ชุดกระโปรงยาวที่อยู่ในมือเขา แล้วค่อยยื่นมือไปรับมา

หลังจากนั้นก็เดินเข้ามาในห้องรับรองใกล้ๆ ห้องทำงาน ไม่นาน ประตูห้องรับรองก็ถูกเปิดขึ้นมาเบาๆ เสิ่นซิวจิ่นหันไปมอง ในตอนนั้นสายตาเขาก็ดูตะลึงไปทันที……แต่ไม่ใช่เพราะรูปลักษณ์ของเธอ แต่เป็นเพราะชุดราตรีสีดำที่เธอใส่อยู่นั้น มันเหมือนกับว่าทำให้เขาเห็นภาพตอนที่เธออายุสิบขวบที่เธอสารภาพรักเขาต่อหน้าคนมากมาย

ในสายตาของเขา แสดงออกถึงใจเต้นถี่ออกมาอย่างที่ตัวเองไม่เคยรู้สึก เจี่ยนถงมองเห็นสายตาอันเร่าร้อนของเขา ก็ยิ่งทำให้ทำตัวไม่ถูก เขาจึงยกมือขึ้น “ออกงานได้”

……

รถกำลังแล่นอยู่บนถนน แต่ในระหว่างทาง ก็เข้าไปในอุโมงค์ อุโมงค์ไม่ใหญ่ สามารถเอารถเข้าไปได้หนึ่งคัน

ไม่นาน รถก็มาจอดด้านหน้าของร้านแฮนด์เมดหลังหนึ่ง

เสิ่นซิวจิ่นลงจากรถอย่างสบายใจ แล้วเดินอ้อมมาอีกทาง พร้อมกับเปิดประตูรถออก “ลงรถ”

“ประธานเสิ่น สถานที่จัดงานไม่ใช่บ้านตระกูลเจี่ยนเหรอ?” พอลงรถ เจี่ยนถงก็ถามขึ้นเบาๆ

เขาจับมือเธอเอาไว้ แล้วเดินไปข้างหน้า “ก่อนที่จะไปงานเลี้ยง มีเรื่องหนึ่งที่ต้องจัดการ”

รอจนเจี่ยนถงเดินเข้ามาด้านในร้านแฮนด์เมดอย่างเงียบๆ ถึงรู้ว่า ที่นี่ไม่ใช่ร้านแฮนด์เมดธรรมดา

แผงโชว์ทั้งสองด้าน ล้วนเป็นเครื่องประดับหลากหลายแบบ ถือว่ามีจำนวนไม่มาก แต่ทุกแบบต่างก็ดูสร้างสรรค์ทั้งนั้น

อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ “ร้านเล็กๆ นี้ เป็นกิจการของนักธุรกิจคนไหนเหรอ?”

ถึงเธอจะเคยอยู่ในคุกมา เสิ่นซิวจิ่นสามารถลบล้างสถานะของเธอ ลบล้างอดีตที่ผ่านมาของเธอได้ แต่ว่าไม่สามารถลบล้างความสามารถที่ท่านแก่เจี่ยนสอนเธอมาตั้งแต่เด็กได้ เพราะเธอถูกบ่มเพาะมาตั้งแต่เด็กให้มีความละเอียดอ่อน

“ฉันก็ว่าทำไมวันนี้ตื่นมา ถึงได้ยินเสียงนกสาลิกาปากดำร้องทัก?ที่แท้ก็เป็นคุณชายเสิ่นมาใช้บริการนี่เอง คุณชายเสิ่นทำไมถึงได้มาที่ร้านเล็กๆ ของฉันได้?” มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านในห้อง ดูลึกลับแบบคนตะวันออก และยังดูเซ็กซี่แบบตะวันตก ภาษาจีนที่เธอพูดออกมานั้น ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าผู้หญิงที่เดินออกมานี้ เป็นลูกครึ่ง

เจี่ยนถงค่อยๆ กวาดสายตามองหญิงลูกครึ่งคนนี้ เธอเองก็มองมาที่เธอเช่นกัน

เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้ตอบคำถามของหญิงลูกครึ่งที่จู่ๆ ก็เดินออกมาจากด้านในคนนี้ แต่กลับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ พร้อมกับใบหน้ายิ้มแต่ในใจไม่ใช่

“ยุคนี้แล้ว เธอยังได้ยินเสียงนกสาลิกาปากดำร้องทักอีกเหรอ?อริส เธอรู้ว่านกสาลิกาปากดำเป็นตัวแบบไหนไหม ?”

ที่แท้ชื่อของหญิงลูกครึ่งคนนี้คือ อริส เจี่ยนถงหยุดมองเธอทันที

“เสิ่น เธอเป็นใคร?” อริสถามขึ้นอย่างสงสัย แล้วก็มองมายังมือพวกเขาสองคนที่จับกันอยู่ ในขณะนั้น สายตาของเธอก็นิ่งไป

เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้สนใจเธอ แล้วหยิบเช็กออกมา พร้อมกับปากกา แล้วเขียนลงไป จากนั้นก็กดไว้ด้านข้างตู้กระจก “ฉันจำได้ว่าเธอมีชุดเครื่องประดับหินอัญมณีสีน้ำเงิน ฉันต้องการจะซื้อมัน”

อริสอึ้งทันที……หลังจากนั้นก็หันไปมองมือเขากับเจี่ยนถงที่กุมไว้แน่น พร้อมกับแสดงสีหน้าไม่เข้าใจ

และก็มองไปที่จำนวนเงินในเช็กที่วางอยู่ ด้วยสายตาครุ่นคิด หลังจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น “เสิ่น คุณช่างมีเงินมากจริงๆ” เธอหันหลังแล้วเดินเข้าไปในห้อง และตอนที่เดินออกมาอีกรอบนั้น ก็ได้ถือกล่องออกมาด้วย

ตอนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเจี่ยนถง อริสก็พูดด้วยความอ่อนหวานนุ่มนวลกับเจี่ยนถง “เธอต้องดูแลรักษามันไว้ให้ดีนะ เครื่องประดับชุดนี้ มันล้ำค่ามากเลย จนถึงตอนนี้ฉันไม่เคยคิดอยากจะส่งต่อให้คนอื่น” สายตาของเธอดูอ่อนโยนขึ้นอีก

“ถ้าหากว่าคนต้องการไม่ใช่เสิ่น ฉันไม่มีทางยกให้แน่นอน”

เจี่ยนถงมองอริสครั้งหนึ่ง……ทำไมเธอรู้สึกว่า อริสจงใจกอดเธองั้นเหรอ?และประโยคนี้ ก็ยิ่งฟังดูว่ามีอะไรแอบแฝง?

ด้านข้างก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมา แล้วรับกล่องจากมือของอริสไป พร้อมกับวางไว้ที่ตู้กระจก จากนั้นก็หยิบสร้อยหินอัญมณีสีน้ำเงิน พร้อมกับเดินอ้อมมาด้านหลังเจี่ยนถง แล้วใส่ให้เธออย่างไม่คิดอะไร พลางพูดขึ้นเสียงเรียบ

“เครื่องประดับในกล่องนี้ ฉันซื้อแล้ว เป็นของเธอแล้วนะ เธออยากจะใส่อยากจะเก็บไว้หรือจะจัดการยังไง ก็ขึ้นอยู่กับเธอ ฉันจะไม่ยุ่ง”

ความหมายจากสิ่งที่เขาพูดคือ ผู้หญิงของฉัน ฉันซื้อของให้เธอ ฉันจะไม่ยุ่งวุ่นวายว่าเธอจะทำยังไงกับของขวัญที่ฉันมอบให้ และเธอก็ไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่ง

สีหน้าของสาวลูกครึ่งอย่างอริส แดงก่ำขึ้นมาอย่างรู้สึกผิด และแววตาก็ดูเสียใจ

“แฮะแฮะ……เสิ่น คุณยังไม่ได้แนะนำให้ฉันรู้จักเลย คุณหนูคนนี้……เป็นคุณหนูตระกูลไหนเหรอ?”

เสิ่นซิวจิ่นจับข้อมือของเจี่ยนถงไป แล้วก็หยิบเอาสร้อยข้อมือหินอัญมณีสีน้ำเงินในกล่อง แล้วใส่ให้เธอ และยังหยิบต่างหูออกมาด้วย

“ฉันใส่เอง” เจี่ยนถงรีบห้ามไว้ แต่เสิ่นซิวจิ่นกับหลบมือที่ยื่นออกมาของเธอ “อย่าขยับ” ตอนที่อยู่ต่อหน้าอริส เขาก็ได้ใส่ต่างหูให้เจี่ยนถง

จนมาถึงแหวน……

“ไม่ต้องหลบ” เขาจับมือของเธอเอาไว้ แล้วค่อยๆ สวมแหวนให้เธอ

สายตาของเจี่ยนถงดูสับสนมาก…… ภาพเหตุการณ์นี้ เคยเกิดขึ้นในฝันของเธอมาหลายครั้งแล้ว แต่เธอกลับไม่เคยคิดว่า วันนี้ “ฝันจะกลายเป็นจริง” แต่กลับไม่รู้สึกอะไรมานานแล้ว

แต่สำหรับอริสนั้น กลับรู้สึกเสียใจตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้

สำหรับอริสแล้ว เสิ่นซิวจิ่นกลับไม่รู้สึกอยากขอโทษเลย เขาให้เงิน เธอก็ให้ของ เป็นการแลกเปลี่ยนของสองฝ่าย เขาและเธอนั้นก็เป็นแค่คนที่รู้จักกันจากงานประมูลก็เท่านั้น และชื่นชอบในความสามารถก็ของกันและกัน เพียงแต่ความชื่นชอบในความสามารถ……ในโลกใบนี้คนที่มีความสามารถในการออกแบบอัญมณี ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียว

วันก่อนนี้ ผู้หญิงคนนี้ก็ฉลาดมาก เธอไม่เคยแสดงความรู้สึกออกมาต่อหน้าเขาเลยสักนิด

แต่ว่า ในเมื่อวันนี้ได้แสดงออกมาแบบนี้แล้ว งั้นหลังจากนี้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องติดต่อกันอีกแล้ว

รถวิ่งเข้ามาจอดที่หน้าประตูตระกูลเจี่ยน

ตอนที่พวกเขามาถึงตระกูลเจี่ยน ตรงหน้าประตูก็ได้มีรถหรูจอดอยู่ที่ถนนเป็นแถว

ตอนนี้ เจี่ยนถงยืนอยู่ตรงประตูเหล็กลวดลายสวยงามของตระกูลเจี่ยน แต่ลังเลไม่ยอมเดินเข้าไป

“กลัวเหรอ?” ผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านข้างจึงถามขึ้นด้วยเสียงธรรมดา “ถ้ากลัว พวกเรากลับไปตอนนี้ก็ได้”

“ไม่!” แทบจะทันที เธอพูดปฏิเสธเขาทันที พร้อมหายใจเข้าออกลึกๆ แล้วเตรียมก้าวขาเข้าไปในประตูเหล็ก

“เธอจะเข้าไปแบบนี้เหรอ?” เสียงสุขุมดังขึ้นอีกครั้ง

เจี่ยนถงไม่เข้าใจ “อะไร?”

เขายื่นมือออกมา แล้วดันเอวของเธอให้ตรง พร้อมกับจับที่คางของเธอแล้วดันขึ้น “เจี่ยนถง ถ้าหากว่าอาย พวกเราก็กลับกันเลยตอนนี้

แต่วันนี้ที่เธอมาที่นี่ ไม่ใช่แค่เป็นตัวแทนเธอคนเดียว

เธออย่าลืมล่ะ เธอในตอนนี้ เป็นคู่ควงของเสิ่นซิวจิ่น”

เจี่ยนถงเคยเห็นเขาที่ชอบพูดจาเย็นชา เคยเห็นท่าทางเขาที่เย็นชามากกว่าน้ำแข็งอีก แต่กลับไม่ค่อยเห็นเขาที่รอบคอบ และพูดจาเคร่งขรึมแบบนี้

“ทำหลังให้ตรง แล้วเชิดหน้าขึ้น ที่นี่คือตระกูลเจี่ยน เป็นที่ที่เธออยู่มากว่ายี่สิบกว่าปี เธอไม่ควรจะกลัว ไม่ควรจะอาย ไม่ควรจะหนีไปแบบนี้”

เขาพูดต่อ “เจี่ยนถง ที่บ้านหลังนี้ ไม่ได้มีแค่คู่สามีภรรยาเจี่ยนเจิ้นตงกับเจี่ยนโม่ป๋าย แต่มันยังเคยเป็นที่อยู่ของท่านแก่เจี่ยน!”

“เธอต้องการให้ท่านแก่เจี่ยนเห็นเธอเดินเข้ามาในบ้านแบบขี้ขลาดงั้นเหรอ?เธอต้องการให้เขาเห็นว่าเธอเอาแต่หลบๆ ซ่อนๆ ไม่กล้าเจอใคร ถูกกดขี่ข่มเหงในบ้านนี้อย่างงั้นเหรอ !”

ประโยคคำถามพวกนี้ ดังเข้าไปในหูของเจี่ยนถง และก็ดังเข้าไปถึงหัวใจของเธอ……พร้อมตั้งคำถามตัวเอง เธออยากจะต่อต้าน เธออยากจะพูดว่า……เสิ่นซิวจิ่น ที่ฉันมีวันนี้ ก็ไม่ใช่เพราะคุณเหรอ! ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการจะเห็นเหรอ!แต่ตอนนี้คุณกลับจะมาเรียกร้องเอาอะไร?

แต่เธอพูดไม่ออก……คุณปู่ ไม่เคยสอนให้เธอหลีกเลี่ยงและหลบหนี แม้ว่าในใจจะรู้สึกเกลียด แม้ว่าจะรู้สึกกลัว รู้สึกเกลียดและรู้สึกตำหนิคนข้างๆ แต่ว่าในตอนนี้ ในที่ที่เธออยู่มายี่สิบกว่าปี และเต็มไปด้วยความหวังของคุณปู่ เธอ——คนอย่างเจี่ยนถง……ถึงตายร้อยครั้งก็ไม่ควรจะขี้ขลาด!……อย่างน้อยที่นี่!ก็เป็นที่ที่คุณปู่อยู่มาทั้งชีวิต!

หน้าอกของเธอยึดขึ้น แม้ว่าเธอจะไม่พูดอะไร แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยพายุโหมกระหน่ำ ไม่สงบนิ่ง!แล้วหลับตาลงอีกครั้ง พร้อมกับสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ทันใดนั้น!ก็ลืมตาขึ้น!

เธอในตอนนี้ มีเรี่ยวแรงทั่วทั้งร่างกาย!

เหมือนจะตัี้วใจเข้าสนามสงคราม เธอยื่นมือออกไป เกาะที่แขนของชายที่อยู่ข้างๆ ตามมารยาท เสียงเธอไม่ดังมาก แต่ก็รับรู้ว่าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว “เข้าไปเถอะ”

เธอเดินไม่สะดวก เดิมทีเวลาเดินก็ต้องระวังอยู่แล้ว และวันนี้ยังต้องมาใส่กระโปรงยาวสีดำกับรองเท้าส้นสูงนี่อีก

รองเท้าส้นสูงสีเงิน ที่ดูงดงามมาก แต่กัดเท้าแบบสุดๆ

เท้าเล็กๆ สองข้างนั้นของเธอรู้สึกถึงความผิดปกติมากกว่าคนอื่น แล้วเหยียบลงไปในรองเท้าส้นสูงที่สวยงามมาก และเดินเข้าไปในบ้านตระกูลเจี่ยนทีละก้าว

หายไปสามปี กลับเข้ามาในบ้านนี้อีกครั้ง เธอยังจำได้ ในวันนั้นเมื่อสามปีก่อน เธอหยุดอยู่ตรงหน้าประตูเหล็ก แล้วก็มองพี่ชายของเธอที่อยู่อีกฝั่ง

แต่วันนี้ ได้เข้ามาในประตูที่กั้นเธอกับตระกูลเจี่ยนไว้อีกครั้ง

เธอเดินอย่างตั้งใจและทำดีมาก ถึงแม้ว่าจะเดินได้ค่อนข้างช้า แต่ก็เดินได้อยู่บนความจริง ทุกก้าวที่เหยียบลงไปคือความจริง

ตอนที่พวกเขาเดินเข้าไป ก็มีสายตามากมายจับจ้องมา

เสิ่นซิวจิ่น เขาเป็นคนมีออร่าตั้งแต่เกิด ไม่เคยไม่มีใครสนใจ

และผู้คนที่มองในวันนี้ กลับไปสะดุดอยู่ที่ร่างกายของเจี่ยนถง

เธอได้แต่งตัวมา ทำให้เจี่ยนถงคนเมื่อสามปีก่อนได้กลับมาในตัวเธอเล็กน้อย ผู้คนที่จำได้ก็มีไม่น้อยเลย

“นั่นมัน……เจี่ยนถงเหรอ?”

“เธอมาได้ยังไง?”

“หรือว่าไม่ควรถาม ว่าทำไมเธอกับประธานเสิ่นถึงมาด้วยกัน?”

“ไม่ใช่ว่าเธออยู่ในคุกเหรอ?”

“เรื่องนั้นมันนานเท่าไหร่แล้ว?เธอออกมาจากคุกได้ครึ่งปีแล้ว เธอไม่รู้เหรอ?ช่วงก่อนหน้านี้ได้ยินเว่ยซือซานบอกว่า เธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคน กลายเป็นหญิงสาวที่ดูอ่อนแออย่างกับไม่เคยเจอโลกภายนอกมาก่อน”

รอบข้างต่างพากันซุบซิบ สายตาหลายคู่ ต่างจับจ้องมาที่เสิ่นซิวจิ่นและเจี่ยนถง

ในสายตาคนพวกนั้น บางคนดูสงสัย บางคนก็เหมือนรอดูละครที่น่าสนุก

เจี่ยนโม่ป๋ายกับเจี่ยนเจิ้นตงสองพ่อลูก ตอนแรกนั้นยืนคุยอยู่กับแขก ในตอนนี้ทั้งสองคนกลับมองมาที่เจี่ยนถงด้วยสีหน้าที่ดูไม่ดีเท่าไหร่

“นังสารเลวคนนี้มาได้ยังไง?แกบอกมันเหรอ?” เจี่ยนเจิ้นตงหันไปถาม

เจี่ยนโม่ป๋ายรีบอธิบายทันที “พ่อ ผมไม่ได้เจอเธอเลย อาจจะมากับเสิ่นซิวจิ่น”

ได้ยินดังนั้น เจี่ยนเจิ้นถงก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา “นังคนเลวนั่นคงไม่ได้ไปทำอะไรประธานเสิ่นหรอกนะ?นี่เป็นการลงโทษอีกอย่างเหรอ?” ตอนที่ถามประโยคนี้ เจี่ยนเจิ้นตงเองก็กำลังครุ่นคิด……หรือนี่จะเป็นการลงโทษในรูปแบบใหม่?

แต่……เรื่องจริงนั้นก็อยู่ตรงหน้าแล้ว ถ้านังสารเลวคนนี้ไม่ได้ไปทำอะไรประธานเสิ่น ทำไมถึงได้มาอยู่กับประธานเสิ่นได้?

“พ่อ หรืออาจจะเป็นเพราะเสี่ยวถงกับประธานเสิ่นมีความสัมพันธ์กันบางอย่างที่ดูไม่แน่ชัด?” เขาไม่ได้พูดออกมาชัดเจนมาก แต่ความหมายนั้นชัดเจน ที่ต้องการสื่อกับเจี่ยนเจิ้นตง ว่าเสิ่นซิวจิ่นอาจจะหลงรักเจี่ยนถงแล้ว

เจี่ยนเจิ้นตงเองก็เป็นคนที่ฉลาด พอได้ยินสิ่งที่ลูกชายสื่อก็เข้าใจแล้ว “จะเป็นไปได้ยังไง?” คิดดูก็ยังไม่อยากจะปฏิเสธ “ถ้าบอกว่าสามปีก่อน อาจจะมีความเป็นไปได้ แต่ว่าดูสารรูปของนังสารเลวนี่แล้ว ไม่ถือว่าสวยมาก ขนาดราศีของคนหน้าตาพอใช้ยังไม่มีเลย

อีกอย่าง ประธานเสิ่นลงมือเอง ที่เป็นคนส่งเธอเข้าไปในนั้น ตอนนั้นที่พ่อเจอเธอ คอของเธอก็แทบจะพูดไม่ได้ เธอเองก็เปลี่ยนไปแล้ว สงสัยคงจะทรมานจากที่นั่นมามาก

ถ้าหากไม่ได้รับคำสั่งจากประธานเสิ่น ที่นั่นก็ไม่มีใครกล้าลงมือกับเธอ”

เจี่ยนโม่ป๋ายรู้สึกกังวลขึ้นมาอีกครั้ง “พ่อ งั้นคืนนี้ ยังจะประมูล ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ไหม?” ยังไงเจี่ยนถงก็อยู่ในงาน แบบนี้…… “ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

“มีอะไรไม่ดี?ตอนนั้นคุณพ่อตามใจเธอ สุดท้ายแล้วเธอถึงได้กลายเป็นแบบนั้น ถึงขนาดสั่งให้แก๊งขมขื่นไปทำร้ายคนอื่น

ที่พูดมา ท่านแก่เจี่ยนตามใจเธอมาสิบกว่าปี แต่กลับทำร้ายเธอไปทั้งชีวิต

เธอได้ทำผิดร้ายแรง ส่วน ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ก็ควรเป็นของเราตั้งนานแล้ว สำหรับเราจะจัดการยังไงนั้น มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเธอแล้ว”

เธอยืนห่างจากกลุ่มคน เจี่ยนถงจึงหันไปมองสองพ่อลูกนั้น ชายที่อยู่ข้างๆ จึงถามขึ้นเสียงต่ำ “อยากจะไปไหม?”

เจี่ยนถงพยักหน้า “ฉันไปเอง” เธอมีประโยคหนึ่ง ที่ต้องไปถามพวกเขาด้วยตัวเอง

เสิ่นซิวจิ่นยิ้มอ่อนแล้วปล่อยมือเจี่ยนถง

“ได้ ไปเถอะ ไปทักทายพวกเขาหน่อย”

ทางด้านเจี่ยนเจิ้นตงสองพ่อลูก จู่ๆ เจี่ยนโม่ป๋ายก็กังวลขึ้นมา “พ่อ พ่อ น้องเดินมาทางเราแล้ว”

“นิ่งๆ ……” ไว้……เจี่ยนเจิ้นตงกำลังจะพูด พอเงยหน้าขึ้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

จู่ๆ คุณหญิงเจี่ยนก็เข้ามา แล้วจับข้อมือเจี่ยนถงไว้แน่น “เสี่ยวถง ทำไมถึงมาที่นี่ได้?”

เธอกำลังพูดคุยทักทายอยู่กับแขกผู้หญิง พอเห็นเจี่ยนถงกับเสิ่นซิวจิ่น และก็เห็นเสิ่นซิวจิ่นปล่อยมือเจี่ยนถง เจี่ยนถงก็เดินตรงมาหาเจี่ยนเจิ้นตง ดังนั้น เธอจึงรีบเข้ามาก่อน

เจี่ยนถงรู้สึกใจสั่น……ทำไมเธอถึงจะอยู่ที่นี่ไม่ได้?!

“เสี่ยวถง กลับไปเถอะ งานเลี้ยงวันนี้สำคัญมาก อย่ามาก่อกวน กลับไปดีๆ เถอะนะ?”

“คุณหญิงเจี่ยน คุณจะให้ฉันกลับไปที่ไหน? “ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ซ่อนอยู่ในใจ เจี่ยนถงหันไปมองแม่ผู้ให้กำเนิดเธอมาด้วยสายตานิ่งๆ

แค่ “คุณหญิงเจี่ยน “สองคำนี้ได้ทำให้เกิดเส้นแบ่งความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคน

สีหน้าของคุณหญิงเจี่ยนดูไม่ดีขึ้นมาทันที แต่กะพริบตานั้นก็หายไป และทำได้เพียงแต่จับมือของเจี่ยนถงไว้แน่น แล้วลากเธอมาทางประตูทางเข้าของตระกูลเจี่ยน “เสี่ยวถง อยากก่อเรื่องแล้ว แม่ขอร้อง งานในวันนี้ ไม่ว่ายังไงก็ห้ามก่อเรื่องทั้งนั้น ลูกกลับไปเถอะ ได้ไหม?”

เหมือนกับโดนฟ้าผ่า!ไหล่ของเจี่ยนถงสั่นระริก ความเจ็บปวดเต็มไปทั่วหัวใจ แล้วจึงค่อยๆ มีสติ พร้อมกับมองไปที่ผู้หญิงวัยกลางคนตรงหน้า

คุณหญิงเจี่ยนที่อยู่ตรงหน้า มีผิวพรรณขาวใสผุดผ่องอย่างผู้ดี ขนาดตรงรอบดวงตา มีเพียงแค่ตอนหัวเราะเท่านั้นถึงจะมีริ้วรอยให้เห็น เธอสวมใส่ชุดราตรีราคาแสนกว่าที่หรูหรา เรือนร่างก็เต็มไปด้วยเครื่องประดับ และเป็นเครื่องประดับแบรนด์เนมที่มีจำนวนจำกัด ใบหน้าของเธอ แต่งหน้าสะสวย ดูเป็นผู้ดีมาก……จริงสิ~ผู้หญิงคนนี้ คือคุณหญิงเจี่ยนของตระกูลเจี่ยนแห่งหาดเซี่ยงไฮ้

“คุณหญิงเจี่ยน คุณเป็นคุณหญิงเจี่ยนผู้เหมาะสม” เจี่ยนถงค่อยหันมามองเธอแล้วพูดขึ้น “การเป็นผู้ดีให้เหมาะสมอย่างคุณหญิงเจี่ยน ก็สามารถละเลยความรับผิดอย่างอื่นที่คุณมีอย่างนั้นใช่ไหม?” อย่างเช่น แม่ของเธอ ควรจะรัก ปกป้องเธอ……คุณหญิงผู้ดีที่อยู่ตรงหน้าตัวเองตอนนี้ คงจะลืมเรื่องนี้ไปตั้งนานแล้วสินะ

สีหน้าของคุณหญิงเจี่ยนเปลี่ยนไปชั่วขณะ เธอได้รับเคารพและนับหน้าถือตามาหลายๆปีแล้ว จะรับไหวกับคำกล่าวหาแบบนี้ได้ยังไง คนที่กล่าวหาตัวเองนั้น ยังเป็นคนที่ออกมาจากท้องตัวเองอีกด้วย แต่ว่า เธอใช้หางตาชำเลืองมองสามีและลูกชายที่อยู่ไม่ไกล คุณหญิงเจี่ยนจำเป็นต้องยอมกลืนคำกล่าวหาเหล่านี้ลงไป

พร้อมทำสีหน้าสดใส ยิ้มแย้มขึ้นมาอีกครั้ง แม้ว่ารอยยิ้มนี้จะเป็นรอยยิ้มที่แข็งมากขนาดไหน แต่ก็ต้องลากแขนเจี่ยนถงออกมา กล่าวอย่างขมขื่น

“เสี่ยวถง ถือว่าแม่ขอร้องนะ ลูกกลับไปเถอะ ได้ไหม?ขอแค่ผ่านวันนี้ไป……ขอแค่ผ่านวันนี้ไป แม่จะไปหาลูกนะ วันนี้บ้านเรามีเรื่องต้องจัดการ ลูกกลับไปเถอะ”

เจี่ยนถงก้มหน้าลง แล้วจู่ๆ ก็หยักไหล่ขึ้น และก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะที่ค่อยๆ ดังขึ้น

“คุณหญิงเจี่ยน ใครต้องการให้คุณมาหา?” ออกมาจากคุกตั้งนาน ถ้าหากว่านึกถึงเธอจริงๆ ก็คงมาหาตั้งนานแล้ว ทำไมต้องรอให้มายืนอยู่ที่นี่ในวันนี้ ถึงพูดแบบนี้ออกมา?

แล้วใครมันจะไปเชื่อคำพูดแบบนี้ของคุณหญิงเจี่ยนได้ คิดว่าตัวเองที่ออกมาจากท้องของเธอ อยากร้องขอให้เธอมาหามากงั้นเหรอ?

หลังจากที่สิ้นหวังทั้งหมดแล้ว ก็ทำให้ตัวเองได้เข้าใจชัดเจนมากยิ่งขึ้น และพอคิดอะไรได้จากคำพูดของคุณหญิงเจี่ยนที่ว่า “ผ่านวันนี้ไป แม่จะไปหาลูก” ตั้งแต่ประโยคนี้ มันก็ได้แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกของคุณหญิงเจี่ยนแล้ว…… “คุณหญิงเจี่ยน จนถึงตอนนี้ คุณคิดว่ามาหาฉัน เหมือนเป็นการให้ทานใช่ไหม?”

ถ้าหากไม่ใช่ ทำไมคุณถึงพูดออกมาได้อย่างสบายใจขนาดนี้!

เจี่ยนถงยื่นมือออกไป แล้วแกะมือของคุณหญิงเจี่ยนที่กุมมือเธออย่างแน่นออกอย่างไม่ลังเล และก็ดันออก “ขออภัยด้วย คุณหญิงเจี่ยน ฉันยังมีเรื่องต้องทำ ขอตัว”

เธอพูดออกมาเสียงเรียบ แล้วหันหลังกลับไป พร้อมกับเดินไปด้วยท่าทางทุลักทุเล แล้วตรงไปหาเสิ่นซิวจิ่นทันที……เธอไม่ได้เดินไปหาเจี่ยนเจิ้นตงกับเจี่ยนโม่ป๋ายสองพ่อลูกนั่น……เพราะ ไม่มีอะไรจำเป็นต้องถามแล้ว!

เจี่ยนเจิ้นตงกับเจี่ยนโม่ป๋ายอยู่ไม่ไกล พอเห็นว่าเจี่ยนถงไม่ได้เดินมาทางนี้ ก็หายใจออกอย่างโล่งใจ แต่ก็ยังไม่ได้ผ่อนคลาย เพราะยังมีความรู้สึกแปลกใจ…… “ทำไมเธอยังเดินไปหาประธานเสิ่นอีกล่ะ?”

เจี่ยนเจิ้นตงถามเจี่ยนโม่ป๋ายอย่างร้อนใจ เจี่ยนเจิ้นตงไม่เข้าใจ แล้วเจี่ยนโม่ป๋ายจะเข้าใจได้ยังไง

แต่คุณหญิงเจี่ยนที่ถูกเจี่ยนถงสลัดออก หัวใจก็เจ็บปวดมาก และก็ร้อนระอุเหมือนเปลวไฟ……เธอเองก็บริสุทธิ์!ครอบครัวที่มีลูกสาวลูกชายดีๆ ตอนนี้กลับกลายต้องมาแตกแยกแบบนี้ เธอออกไปไหน ก็โดนคนหัวเราะเยาะ ถ้าพูดตามจริง ถ้าหากว่าเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะเจี่ยนถงคิดไม่ดี แล้วไปลงมือกับหญิงสาวแส้เซี่ย เรื่องในวันนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น

คุณหญิงเจี่ยนเดินไปหาสามีและลูกชาย เจี่ยนเจิ้นตงรีบยื่นมือไปลากตัวคุณหญิงเจี่ยนทันที พร้อมกับพาไปหลบมุม แล้วถามขึ้นเบาๆ

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมยังให้เธออยู่ที่นี่อีก!”

คุณหญิงเจี่ยนได้ยินคำพูดสามีแบบนั้น ในใจก็โมโหขึ้นมาทันที “ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าลูกจะผลักฉันออก!”

“เป็นเพราะคุณ คุณให้นังสารเลวนั่นเกิดมา!ถึงได้ทำให้ตระกูลเจี่ยนเดือดร้อน!”

“ทำไมถึงเป็นความผิดฉันคนเดียวล่ะ คลอดลูกออกมาแล้ว คุณก็มีส่วนไม่ใช่เหรอ!”

“ผมยุ่งวุ่นวายกับธุรกิจตลอด เรื่องในบ้านคุณต่างหากที่จัดการ การที่เกิดเหตุการณ์ในวันนี้ขึ้น ก็เป็นเพราะคุณที่ไม่สามารถสั่งสอนนังสารเลวนั่นให้ดี!คุณดูคนอื่นที่เรารู้จัก มีลูกใครบ้างที่เข้าไปอยู่ในคุก!”

คุณหญิงเจี่ยนยิ่งโมโหมากกว่าเดิม อย่างไม่สบายใจ “ฉันเป็นคนสอนเสี่ยวถงเหรอ?ตั้งแต่เล็กเสี่ยวถงก็ถูกคุณพ่อสอนมา!พอวันนี้ทำผิด จะมาโทษฉันได้ยังไง!”

เจี่ยนโม่ป๋ายที่อยู่ใกล้ๆ ก็พลันได้ยินสิ่งที่พ่อแม่ถกเถียงกัน โทษกันไปโทษกันมา ในใจก็รู้สึกรำคาญ จึงพูดขึ้นทันที

“พอแล้ว พ่อ แม่ ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว!ยังไงเสี่ยวถงก็เป็นคนตระกูลเจี่ยน อยู่กับพวกเรามาก็ยี่สิบกว่าปี!เรื่องที่เธอเคยทำผิดพลาดในอดีต เธอเองก็ได้รับบทเรียนแล้ว ในเมื่อวันนี้ออกมาจากคุกแล้ว ก็ถือว่าได้เริ่มใหม่แล้ว

อีกอย่าง พ่อ พ่อได้อธิบายลงหนังสือพิมพ์แล้ว!”

พอพูดแบบนี้ สีหน้าคู่สามีภรรยาตระกูลเจี่ยนถึงได้ดีขึ้น

เจี่ยนเจิ้นตงขมวดคิ้ว พร้อมกับหันไปมองเสิ่นซิวจิ่น “ตอนนี้พวกเราต้องคิดหาวิธีว่าควรทำยังไง เจี่ยนถงก็มาร่วมงานวันนี้ แล้วการประมูลยังจะจัดตามปกติได้เหรอ?”

เจี่ยนเจิ้นตงสบถออกมา “ทำไมจะไม่ได้?”

“แต่ว่า……”

“ฉันรู้ว่าแกจะพูดอะไร แต่ว่า ตอนนั้นคุณพ่อที่ได้มอบ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ให้กับนังสารเลวนั่น ก็เคยพูดไว้ ก่อนที่เธอจะแต่งงาน ห้ามทำผิดอะไรทั้งนั้น ไม่อย่างงั้น ‘กองทุนดวงหัวใจ’ จะเป็นของเรา

นังสารเลวนั่นไม่รู้จักรักษามันไว้เอง……ถ้าหากการฆ่าคนไม่ใช่ความผิดร้ายแรง แล้วในโลกนี้ยังมีความผิดที่ร้ายแรงกว่านี้อีกเหรอ?

พอแล้ว เดี๋ยวอีกสักหน่อยฉันจะไปเป็นพิธีกรในการประมูลครั้งนี้

ในเมื่อ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ เป็นของพวกเรา พวกเราจะทำอะไรก็ได้ จัดการยังไงก็ได้ ทำไมต้องฟังความเห็นของเธออีก?ถ้ามีความสามารถ ก็ให้เธอประมูล ‘กองทุนดวงหัวใจ’ กลับไปสิ!

เจี่ยนโม่ป๋ายกับคุณหญิงเจี่ยนหันไปมองตามแผ่นหลังของเจี่ยนเจิ้นตง และพอเห็นท่าทางแน่วแน่ของเขาก็ไม่พูดอะไรอีก

เจี่ยนโม่ป๋ายหันไปมองที่เสิ่นซิวจิ่นอีกครั้ง ครั้งนี้ที่เขามองไปนั้นรู้สึกประหม่ามาก เพราะดันไปสบตากับเสิ่นซิวจิ่นที่หันมามองเขาเข้าพอดี เจี่ยนโม้ป๋ายรู้สึกประหม่า และกำลังจะยกมือขึ้นทักทาย แต่สายตานั่น กลับกวาดสายตาไปทางอื่น เหมือนกับว่าสายตานั้นเป็นเพียงการมองแบบหยั่งเชิงเขา

ทางนั้น เสิ่นซิวจิ่นถามเจี่ยนถงด้วยน้ำเสียงธรรมดา “ไม่ไปหาคุณเจี่ยนกับคุณหญิงเจี่ยนแล้วเหรอ?”

เธอเงียบไม่พูดไม่จา เพียงแต่กำหมัดแน่น และแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ตอนนี้ของเธอ

เจี่ยนถิงยังมีความหวังอยู่ส่วนหนึ่ง หวังว่าการมาในครั้งนี้ของเธอจะมีผลอะไรกับตระกูลเจี่ยนบ้าง อย่างน้อย ต่อหน้าของเธอจะยังสามารถช่วยให้คิดได้ และยกเลิกการประมูลในวันนี้

แต่ว่า เรื่องจริงสุดท้ายก็ตรงข้ามกับความคิด และนี่ก็แสดงให้เห็นว่าความโหดร้ายของคนตระกูลเจี่ยนที่ซ่อนไว้

ที่ไม่ไกล เจี่ยนเจิ้นตงกำลังสรรหาคำพูดดีๆ มาพูด และพอพูดให้ดูดีแล้ว ถึงได้เข้าเรื่องหัวข้อสำคัญ

“ดังนั้น พวกเราตระกูลเจี่ยนจึงตัดสินใจ ที่จะมอบ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ให้ไปอยู่ในมือของคนที่มีความสามารถ พัฒนาและทำให้มันมีคุณค่ามากที่สุด และนี่จึงเป็นการตัดสินใจของคนในตระกูลเจี่ยน

อย่างนั้นตอนนี้ ผมขอประกาศให้เริ่มการประมูล ‘กองทุนดวงหัวใจ’ เริ่มที่ราคาแปดร้อยล้าน”

ได้ยินดังนั้น เจี่ยนถงก็ตะลึงงัน “เป็นไปไม่ได้! ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ตอนนั้นกระแสเงินสดก็มีแปดร้อยล้าน !ถ้าคิดแบบจริงจัง ทั้ง ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ก็เกินสองพันล้านแล้ว!เป็นไปได้ยังไงถึงมาเริ่มที่แปดร้อยล้าน!”

เธออยู่ในภาวะตกตะลึง!

เสิ่นซิวจิ่นที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่แสดงอาการอะไร สำหรับแค่นี้นั้นเขาไม่ตกใจเลยสักนิด เจี่ยนถงหันไปมองเขาที่นั่งนิ่งๆ ก็รับรู้ถึงความรู้สึกไม่ดีบางอย่าง แล้วเธอจึงหันไปมองสีหน้าของคนที่อยู่รอบข้าง……ทันใดนั้น เธอก็หัวเราะออกมาด้วยความขมขื่น ที่แท้คนที่อยู่ที่นี่ มีแค่เธอที่ไม่รู้เรื่องสินะ

เธอจึงหันไปมองเจี่ยนเจิ้นตงที่เป็นพิธีกรบนเวที พร้อมกับสีหน้าที่ขมขื่น และเจ็บปวด แต่ก็ยังเจ็บปวดไม่เท่าหัวใจข้างใน……ทำไมพวกเขาถึงยอม ยอมละทิ้ง ‘กองทุนดวงหัวใจ’ แบบนี้!

ถึงพวกเขาจะไม่นึกถึงเธอ แต่ก็ควรจะนึกถึงคุณปู่บ้างสิ!

ทำไมถึงได้……ทำไมถึงโหดร้ายและเห็นแก่ตัวแบบนี้……ที่ทำลายผลลัพธ์หัวใจของสองปู่หลานได้ลง!

“เธอไม่เคยนึกเลยเหรอ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ เป็นเพราะสองคนพ่อลูกตระกูลเจี่ยนไร้ความสามารถ จนต้องขายมรดก และจำใจต้องประมูล ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ?”

หลังจากออกมาจากคุก ในสายตาของเสิ่นซิวจิ่น เจี่ยนถงก็กลายเป็นคนที่ฟังคำสั่งคนอื่น แล้วก็ยอมก้มหัวให้คนอื่น ตอนนี้แววตากลับดูมีความคิด เจี่ยนถงส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “เป็นไปไม่ได้ พ่อ……เจี่ยนเจิ้นตงถึงแม้จะพัฒนาไม่พอ แต่ถ้าให้รักษานั้นได้ ดูจากความสามารถของเขาแล้ว ถ้าหากตั้งใจ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ก็คงไม่ต้องถูกประมูลที่ราคาแปดร้อยล้านแบบนี้” พูดถึงตรงนี้ แววตาของเธอก็คล้ำลง “อย่างเดียวที่สามารถอธิบายได้ก็คือ เขาใช้ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ หมดแล้ว และวันนี้เขาแค่ต้องการจะใช้ประโยชน์ครั้งสุดท้ายจาก ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ”

คำพูดนี้ พูดออกมาง่าย แต่ตอนที่พูดออกมา แผลที่อยู่ในใจก็ยิ่งลึกเข้าไปเรื่อยๆ ……เธอกำหมัดแน่น แล้วพยายามเอาชนะตัวเอง ไม่อย่างนั้น เธอเกรงว่าตัวเองจะทนไม่ได้แล้วโผล่ไปอัดหน้าคนที่เธอเรียกว่า “พ่อ” มายี่สิบกว่าปี

สีหน้าของผู้คนที่อยู่ที่นี่ดูเข้าใจทุกอย่าง และรู้ดีว่า “กองทุนดวงหัวใจ” ก็เป็นแค่เปลือกที่ไม่มีอะไรอยู่ข้างในแล้ว แต่ว่ายังมีคนสนใจเยอะ มีการให้ราคาไม่หยุด เธอได้ยินเสียงคนเสนอราคาไปไม่หยุด……เกลียดตัวเองที่ไร้ความสามารถ เกลียดตัวเองที่ทำได้เพียงมองดู แล้วกำมือไว้แน่น จนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อตัวเอง

“เธอทำ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ไว้ดีมากไป” เสิ่นซิวจิ่นพูดขึ้นมาอย่างลึกซึ้ง แล้วยื่นมืออีกข้างมาดึงมือเธอออกไม่ให้จิกตัวเอง

เจี่ยนถงกัดฟันแน่น……ใช่ เธอทำ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ไว้ดีเกินไป ดังนั้นแม้ว่าคนที่อยู่ในงานนี้ต่างก็รู้ว่า “กองทุนดวงหัวใจ” เหลือแค่เปลือก แต่กลับยังจะแข่งกันต่อรองราคา เพราะว่าชื่อของ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ยังอยู่ ชื่อเสียงของ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ไม่เคยลดลง!

เธอเกลียด!

“ยังมีคนให้ราคาไหม?” เธอหันไปมองเจี่ยนเจิ้นตงที่ดูตื่นเต้นกับแขกที่มาร่วมงานในวันนี้พลางพูดขึ้น “ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ เป็นสิ่งที่คุณพ่อที่ล่วงลับไปแล้วก่อตั้งขึ้น ตั้งแต่การก่อตั้ง ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ขึ้นมาทุกคนต่างก็ให้ความสนใจ ชื่อเสียงของ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ผมเชื่อว่าแขกผู้มีเกียรติทุกคนก็คงจะได้ยินกันบ้าง

คุณพ่อของผมท่านแก่เจี่ยน สามารถพูดได้เต็มปากว่า ก่อนที่ท่านจะจากไป สิ่งที่ท่านภูมิใจมากที่สุดไม่ใช่ บริษัทเจี่ยนซื่อกรุ๊ป แต่เป็น ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ถ้าหากไม่มีใครเสนอราคาแล้ว อย่างนั้น ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ก็จะตกเป็นของท่านแก่เห้อ”

เจี่ยนถงกัดฟันจนแทบจะแตก!

พร้อมกับลืมตา แล้วจ้องไปที่เจี่ยนเจิ้นตง……ทำไมเขาถึงพูดออกมาได้!ทำไมเขายังมีหน้าพูดถึงคุณปู่ต่อหน้าทุกคน!

“อย่างนั้น ยินดีกับท่านแก่เห้อ ดูแล้วคุณพ่อของผมที่จากไปแล้ว ต้องดีใจมากแน่ ในที่สุด ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ก็ไปอยู่กับคนที่เหมาะสมแล้ว” เจี่ยนเจิ้นตงพูดออกมา

ท่านแก่เห้อหัวเราะออกมา “ท่านแก่เจี่ยนก็เป็นคนที่ผมให้ความเคารพมากอีกหนึ่งท่าน ถ้าหากท่านแก่เจี่ยนที่อยู่ใต้ดินได้รับรู้ว่า ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ได้ตกมาอยู่ในมือของคนตระกูลเห้อ ต้องดีใจแน่นอน”(เมื่อคนจีนเสียชีวิต โลงศพผู้เสียชีวิตจะฝังอยู่ใต้ดิน ซึ่งบางทีจะเรียกผู้เสียชีวิตว่าเขาอยู่ใต้ดิน)

คำพูดของท่านแก่เห้อ ทำให้ทุกคนมีสีหน้าแปลกใจ ใครบ้างไม่รู้ว่าท่านแก่เจี่ยนเป็นคนยังไง ในเมื่อ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ เป็นสิ่งที่ท่านหวงแหนที่สุด แต่ตอนนี้กลับตกไปอยู่ในมือคนอื่น ท่านแก่เจี่ยนที่อยู่ใต้ดินจะดีใจก็บ้าไปแล้ว!

เจี่ยนเจิ้นตงเองก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป พร้อมกับแววตาทรมาน คุณหญิงเจี่ยนที่อยู่ข้างๆ รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบหัวเราะขึ้นมาแล้วพูดขึ้น

“ใช่ใช่ ท่านแก่เห้อพูดถูก……”

ท่านแก่เห้อหัวเราะกับสิ่งที่เจี่ยนเจิ้นตงพูดมา คุณหญิงเจี่ยนจึงพูดขัดเพื่อให้กลบความน่าอายนี้……มือของเจี่ยนถงสั่นเทา ไหล่ก็สั่นไปด้วย……ตอนนี้เริ่มสั่นไปทั้งตัว!

“เห้อเฟิงเป่ย คุณปู่ของฉันที่อยู่ข้างล่างจะดีใจหรือไม่ แกเคยลองลงไปถามด้วยตัวเองเหรอ” แสงไฟส่องสว่าง และบรรยากาศที่คึกคัก พอมีเสียงหยาบๆ ดังขึ้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

ในขณะนั้น ทุกคนที่อยู่รอบๆ เงียบลงทันที!ทุกคนหันมาตามเสียง แล้วเห็นเพียงหญิงสาวที่ก้มหน้าลง และเสียงสั่นนั้นก็มาจากปากของเธอเอง

ผ่านไปไม่กี่วินาที!

ก็มีสองสามเสียงดังขึ้น!

“เสี่ยวถง รีบมาขอโทษท่านแก่เห้อเร็ว!” นี่เป็นเสียงของคุณหญิงเจี่ยน

“ลูกไม่รักดี ใครใช้ให้แก่มาแสดงอำนาจบาตรใหญ่!” นี่เป็นเสียงของคุณเจี่ยน

“ต่ำช้า!แกกล้าสาบแช่งคุณปู่ฉันไปตาย!” นี่เป็นเสียง……เห้ออู๋!

ส่วนท่านแก่เห้อแม้ว่าจะไม่พูดอะไร แต่สีหน้าก็ดูไม่ดีเลย พร้อมกับหันมาจ้องเขม่นเจี่ยนถง

เจี่ยนถงพยายามเอาชนะตัวเองโดยการก้มหน้าลง แต่ว่า……ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว!

ในสถานการณ์แบบนี้ นอกจากความรู้สึกเจ็บปวดแล้ว ก็ยังมีทั้งความรู้สึกโมโหและเกลียดมากๆ ด้วย!

และในตอนที่สายตามากมายจับจ้องมา ทุกคนก็เห็นเพียงหญิงสาวที่ถูกไฟส่อง แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเธอจ้องมองไปที่สองสามีภรรยาตระกูลเจี่ยน

“คุณปู่จากไปแล้ว คุณเจี่ยน คุณปู่เป็นคนเลี้ยงดูท่านมา เกรงว่าคุณปู่คงไม่เคยคิดว่า หลังจากที่ท่านจากไปแล้ว จะถูกลูกชายแท้ๆ ของตัวเองรังแกดูถูก และยิ่งไปกว่านี้ ยังอยู่ต่อหน้าสา๊ธารณะแบบนี้ ยอมให้คนอื่นพูดจาดูถูกท่านด้วย!”

เจี่ยนถงพยายามเอาชนะใจตัวเอง ถึงสามารถควบคุมตัวเองไม่ให้โผ่ไปฉีกร่างผู้ชายที่ตัวเองเรียกว่าเป็นพ่อ!

“เจี่ยนเจิ้นตง!ท่านมันไร้ความสามารถ!คุณทำผิดต่อท่านแก่เจี่ยนที่จากไปแล้ว!คุณไม่คู่ควรกับสิ่งของของคุณปู่!”

เจี่ยนถงพูดออกมา จนทำให้ทุกคนเริ่มพูดออกมา!

“พูดเหลวไหล!ท่านเป็นพ่อแท้ๆ ของฉัน!ฉันเจี่ยนเจิ้นตงไปรังแกท่านตั้งแต่ตอนไหน!” เจี่ยนเจิ้นตงพูดขึ้นด้วยเสียงตำหนิ!

“คุณไม่ได้ทำงั้นเหรอ!คุณก็รู้ดีแก่ใจว่าสิ่งที่คุณปู่หวงแหนมากที่สุดก็คือ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ คุณกลับเอา ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ไปขายให้คนอื่น คุณปู่จะดีใจงั้นเหรอ!

คุณกำลังรังแกคุณปู่!

แปดร้อยล้าน!แปดร้อยล้าน!เจี่ยนเจิ้นตง คุณไม่เคยเห็นเงินเหรอ!แปดร้อยล้าน คุณกลับเอาความหวังของคุณปู่ไปขาย!คุณยังกล้าบอกว่า ถ้าคุณปู่รู้ต้องดีใจแน่ๆ ไม่ใช่ว่าคุณกำลังรังแกความคิด ความดี และความสามารถของคุณปู่อยู่เหรอ!”

เธอด่าด้วยสิ่งที่อยู่ในใจ เธอเกลียด แต่อารมณ์หลายอย่างที่มาผสมผสานกัน!

คนที่เธอเรียกว่า พ่อ กลับทำให้เธอผิดหวังแบบนี้!

“ลูกไม่รักดี!ที่นี่แกสามารถพูดได้เหรอ!

‘กองทุนดวงหัวใจ’ จะเป็นยังไง ฉันจะจัดการยังไง มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคนนอกอย่างแก!”

เจี่ยนเจิ้นตงเองก็โมโหมาก พร้อมกับจ้องไปที่เธอ “ถ้าหากว่าจะพูดกันจริงๆ ถ้าหากท่านยังอยู่ ก็คงจะตายไปเพราะเรื่องเลวๆ ที่แกทำแล้ว!”

เจี่ยนถงสั่นไปทั้งตัว ไม่นึกเลยว่าเจี่ยนเจิ้นตงจะกล้าเอาเรื่องที่เธอไม่ใช่คนในตระกูลเจี่ยน เธอเป็นนักโทษฆ่าคน และก็พึ่งจะออกมาจากคุกพูดในที่แบบนี้ และต่อหน้าทุกคน!

และพูดออกมาแล้ว ว่าเป็นเรื่องคนในครอบครัวไม่เกี่ยวกับคนนอก…… อืม ผิดไปแล้ว คุณเจี่ยนผู้นี้ไม่ใช่พูดออกมาแล้วเหรอว่า เธอเป็น “คนนอก” !

เธอกำหมัดแน่น เธอจะค้านได้เหรอ!เธอควรจะคัดค้านยังไง!เธอจะเอาอะไรมาคัดค้านเขา!

ความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยถาโถมเข้ามาในใจ เธอหลับตาลง แล้วค่อยลืมขึ้น แววตาที่มืดลงเมื่อครู่ นั้นกลับมาสว่างอีกครั้ง ทำให้เธอรู้สึกฮึกเหิม

“คุณเจี่ยน ถ้าหากว่าคุณปู่ยังอยู่ ท่านคงจะพยายามสุดชีวิตในการปกป้องฉันไว้อย่างรอบคอบ เพราะว่าคุณปู่นั้นเชื่อในตัวฉันมาโดยตลอด!”

แววตาของเจี่ยนถง เปล่งประกายด้วยน้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน และภายใต้แสงไฟนี้ ก็ดึงดูดสายตาทุกคนได้เป็นอย่างดี ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ ต่างไม่มีใครสังเกตเห็นว่า ผู้หญิงคนสำคัญในเรื่องนี้ เริ่มหน้าซีดขึ้นเรื่อยๆ

เจี่ยนโม่ป๋ายที่ยืนอยู่ด้านข้าง ตอนนี้ไม่รู้ว่าทำไมถึงเดินมา “อย่าก่อกวนเลย” เขาเดินมาตรงหน้าเจี่ยนถง และห่างจากเธอไม่ถึง สองถึงสามเซนติเมตร หน้าตาหล่อเหลานั้น เต็มไปด้วยความโกรธ

“อย่าก่อเรื่องอีกเลย เธออยากให้ตระกูลเจี่ยนพังไปกับเธออีกครั้ง แล้วให้คนทั้งเมือง Sหัวเราะเยาะงั้นเหรอ?

เมื่อก่อน คุณปู่ตามอกตามใจเธอ ท่านคอยอบรมสั่งสอนและพาเธอไปด้วยตลอด แต่คุณปู่เป็นคนเก่งและฉลาดมาทั้งชีวิต ไม่นึกเลยว่าจะดูคนผิด ท่านมักจะพูดว่า เธอเป็นคนโดดเด่นที่สุดในรุ่นใหม่ของตระกูลเจี่ยน แต่สุดท้ายท่านก็ยังคงดูคนผิดแล้ว

ฉันว่า คุณปู่จนถึงสุดท้ายก็คงคิดไม่ถึง ว่าเธอจะกล้าทำเรื่องแบบนั้น ถ้าหากว่าท่านรู้เรื่องที่เธอทำทุกอย่าง ท่านจะยังเชื่อเธองั้นเหรอ?แล้วยังจะปกป้องเธอไหม?

เสี่ยวถง อย่าคิดเอาเองว่า จะมีคนปกป้องเธอ ในตอนนี้ที่เธอต้องกลายมาเป็นแบบนี้ ก็เพราะการตัดสินใจตามอำเภอใจของเธอ”

เจี่ยนถงเดิมทีโกรธจนตัวสั่นอยู่แล้ว แต่พอหลังจากที่เจี่ยนโม่ป๋ายพูดจบ เธอกลับนิ่ง แล้วเงยหน้าขึ้น มองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของพี่ชาย แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา

“ฉันไม่เคยรู้มาก่อน ว่าพี่อิจฉาฉันมากขนาดนี้ คุณปู่เอาฉันไปด้วยและอบรมสั่งสอนฉัน พี่กลับคิดว่าฉันกลายเป็นคนโปรด แล้วแย่งตำแหน่งพี่ไปงั้นเหรอ?

คุณชายเจี่ยน คุณคิดว่า ฉันเป็นคนแย่งสิ่งที่ควรจะเป็นของคุณเหรอ?” อยู่ดีๆ เธอก็รู้สึกว่า การอยู่กับคนที่เราเรียกว่า “ครอบครัว” มายี่สิบกว่าปี เธอกลับไม่รู้จักพวกเขาเลย

“คุณปู่ให้โอกาสฉัน และท่านก็ได้ให้โอกาสพี่เหมือนกัน หน้าร้อนของปีนั้น อากาศร้อนมากจนไข่ไก่ดิบที่ตกลงพื้นยังสุก คุณปู่ให้เราสองคนคัดคำภีร์ทางพุทธศาสนาตรงใต้ร่มไม้

แต่ว่าพี่มัวแต่ติดเล่น แล้วก็ไม่ชอบร้อน นั่งไม่อยู่กับที่ แล้วก็วิ่งออกไปรับลมเย็นในห้องแอร์

ฉันกลัวคุณปู่ลงโทษพี่ พอคัดของตัวเองเสร็จ ฉันก็ไปคัดของพี่อีกรอบ

คุณชายเจี่ยน……ตั้งแต่ที่พี่ลุกขึ้นจากร่มไม้ แล้ววิ่งเข้าไปนั่งในห้องแอร์ ก็เป็นเพราะพี่เองที่ละทิ้งมัน”

เจี่ยนถงพูดเรื่องอดีตอย่างละเอียด “แต่คุณปู่เห็นว่าพี่เป็นหลานคนโต ควรจะดูแลตระกูล หลังจากนั้นท่านก็สอนฉัน และก็ให้อาจารย์ช่วยสอนพี่ด้วย รายการบันทึกของท่าน ท่านให้เวลาฉันจำหนึ่งอาทิตย์ แล้วก็เอารายการบันทึกส่งให้พี่

แต่สุดท้ายพี่ก็เอาไปวางไว้ที่ชั้นไม้วางหนังสือจนฝุ่นเกาะเต็ม

คุณปู่สอนฉันด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่ฉันได้ พี่ก็ได้!

แต่ว่า พวกเรายิ่งโต ความสามารถก็ยิ่งต่างกัน

คุณปู่กลัวว่าต่อไปฉันจะไม่สนใจความรัก ไม่รู้จักรักมรดก ก็เลย สร้าง ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ขึ้นมา พี่คิดว่า ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ตอนนั้นมันดีมากเหรอ?

คุณปู่กับฉันพนันกัน ท่านให้ฉันสาบาน ถ้าหากทำให้ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ เติบโตก่อนเป็นผู้ใหญ่ได้ อย่างงั้น ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ก็จะมอบเป็นของขวัญวันเกิดในวันครบรอบ สิบแปดปี และก็เป็นสิ่งเดียวที่ฉันจะได้จากตระกูลเจี่ยน แต่มีข้อดีข้อหนึ่ง ต้องเป็นอิสระในการแต่งงาน

แต่ถ้าพูดกลับกัน ‘กองทุนดวงหัวใจ’ พังแล้ว อย่างนั้นฉันจะต้องแต่งงานเพื่อธุรกิจของตระกูล และได้แค่ส่วนเดียว อย่างอื่นก็ไม่ต้องคิด

คุณชายเจี่ยน ที่วันนี้พี่มายืนอยู่ตรงนี้ พี่มีสิทธิ์อะไรมากล่าวว่าฉันเอาสิ่งที่ควรเป็นของพี่ทั้งหมดไปงั้นเหรอ?

ทุกอย่างที่คุณปู่ให้พี่ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ทำเสร็จเรียบร้อย ในส่วนที่คุณปู่ให้ฉัน กลับเป็นสิ่งที่ฉันจะต้องไปหาเองทำเอง!

ทำไมพี่ไม่เห็นต้องทำอะไร ก็สามารถได้ทุกอย่าง ทำไมฉันที่พยายามขนาดนี้ อดหลับอดนอนตั้งเท่าไหร่ เพื่อผลประโยชน์ ความพยายามทุกหยาดเหงื่อสุดท้ายของฉัน กลับตกมาอยู่ที่นี่ ในที่ที่ฉันอยู่มายี่สิบกว่าปี และยังถูกพวกพี่เอาไปขาย!”

ความลับแบบนี้ จนถึงตอนนี้ เจี่ยนถงถึงยอมพูดออกมา!

ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ไม่มีใครที่ไม่ตกตะลึง!

เมื่อก่อน ท่านแก่เจี่ยนรักเจี่ยนถงมาก ทุกคนต่างก็เห็น รวมถึงพาเธอไปพบพระชายาของบางประเทศ แต่กลับไม่พาหลานชายไปด้วย……ดังนั้นทุกคนจึงคิดว่าท่านแก่เจี่ยนรักเจี่ยนถง

แต่พอได้ฟังจากสิ่งที่เจี่ยนถงพูดออกมาในวันนี้แล้ว ท่านแก่เจี่ยนนั้นเอ็นดูหลานสาว ดังนั้นถึงได้เลี้ยงเธอมาจนโต แต่ถึงจะรักยังไง ก็ไม่คิดที่จะยกบริษัทเจี่ยนซื่อกรุ๊ปให้เจี่ยนถง

และเหล่าผู้ดีพวกนั้น คุณชายคุณหนู ต่างฟังจนอึ้งไปตามๆ กัน……

เสิ่นซิวจิ่นแววตาครึ้มดำมาก แล้วก็จ้องมองไปยังผู้หญิงคนนั้น……เธอไม่ได้มีความอ่อนโยน และความสง่างามแล้ว และไม่มีความเย่อหยิ่งเหมือนเมื่อก่อนด้วย แต่ตอนนี้ ตัวเธอนั้นกำลังเปล่งประกาย

และยิ่งหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่พูดออกมาจากปากเธอแล้ว……หัวใจของเสิ่นซิวจิ่นก็ยิ่งเต้นเร็วขึ้น เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เขามองใครในสายตา และมองเข้าไปถึงหัวใจ!

และยิ่งทำให้เข้าใจเธอมากกว่าเมื่อก่อน ความอวดดีของเธอ ความทะเยอทะยาน สูงจนไม่มีใครเทียบได้ รวมถึงใบหน้าที่หยิ่งทะนง ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ ไม่ได้เกิดจากการตามใจของท่านแก่เจี่ยนและมรดกพันล้านจาก ‘กองทุนดวงหัวใจ’ รวมถึงความสามารถของเธอ แต่เป็นความเชื่อมั่นและเคารพตัวเองที่มีอยู่ในจิตวิญญาณ

บนใบหน้าที่หล่อเหลาของเจี่ยนโม่ป๋ายมีสีแดงปรากฏขึ้นคำพูดของเจี่ยนถง ไม่ใช่แค่สะกิดใจของเขา ยิ่งไปกว่านั้นคือทำให้เขารู้สึกเสียหน้าต่อหน้าผู้คนมาก

ตามที่เธอพูด แม้ว่าเธอจะเป็นคนที่ท่านแก่เจี่ยนให้ติดตามอยู่ข้างกายและได้รับการสอนจากท่านด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่เธอมี ตัวเองก็มีเช่นกัน แต่ในที่สุด ตอนที่ท่านแก่เจี่ยนยังมีชีวิตอยู่ เกือบทุกคนหายใจเข้าออกก็เป็นตระกูลเจี่ยน และคนแรกที่นึกถึงก็จะเป็นเจี่ยนถง คนต่อมาถึงจะเป็นตัวเอง

ใบหน้าของเจี่ยนเจิ้นตงดูไม่ดีเลย เจี่ยนเจิ้นตงเสียหน้า ตัวเองก็เสียตามไปด้วย ดวงตามืดครึ้ม ตะโกนใส่เจี่ยนถงว่า

“พอได้แล้ว วันนี้ที่นี่ไม่ต้อนรับแก เมื่อสามปีก่อน ภายในคืนเดียวคุณทำให้ตระกูลเจี่ยน กลายเป็นตัวตลกของหาดเซี่ยงไฮ้ยังไม่พออีกเหรอ คืนนี้แกยังจะมาก่อความวุ่นวายที่นี่อีก

แกมีเจตนาอะไรกันแน่!

ตระกูลเจี่ยนให้กําเนิดแกและเลี้ยงดูแกไม่ได้ละเลยคุณเลย เมื่อสามปีก่อน แกเป็นคนทำผิดเอง ความผิดของแกมันเกินไปจริงๆ หลังจากนั้น คนของตระกูลเจี่ยนทุกคนเมื่อออกไปข้างนอก ก็มักจะถูกผู้คนจ้องมองและชี้หน้าด่าทอ คนนั้นก็คือเจี่ยนเจิ้นตง ที่มีลูกสาวเป็นฆาตกร

พี่ชายของแกไปร่วมงานเลี้ยง ก็มักจะถูกผู้คนหัวเราะเยาะ

คุณแม่ของแกยิ่งไม่กล้าสู้หน้าเพื่อนๆ

เดรัจฉาน

แกทำให้พวกเราเสียใจที่สุด”

เจี่ยนถงเลือดไหลย้อนกลับทั่วร่างกาย

ฉันทำให้พวกคุณเสียใจเหรอ

ความผิดของฉันร้ายแรงมากเหรอ

ฉันเป็นฆาตกรเหรอ

ในเวลาที่ไม่มีใครเชื่อเธอ เสิ่นซิวจิ่นก็สามารถไม่เชื่อเธอได้ แต่ในฐานะที่เป็นคนในครอบครัวของเธอพ่อ แม่ พี่ชายทุกคนก็ไม่เชื่อเธอ

ไม่อยากจะเชื่อ หรือว่าไม่คิดที่จะเชื่อ

เธอยอมรับ เสิ่นซิวจิ่นมีความกดดันของตระกูลเสิ่นครอบครัวที่อยู่ตรงหน้าเธอสามารถไม่สนใจเธอได้ แต่ถ้ามีใจ ทำไมไม่ยอมเจอเธอแม้แต่ครั้งสุดท้าย แม้แต่จะถามความจริงกับลูกสาวแท้ๆของตัวเองกับปากก็ยังไม่เต็มใจ

ในอกมีความอัดอั้นตันใจ เธอพยายามมองอย่างไม่กะพริบตาแม้แต่ครั้งเดียว เธอกลัวว่าหลังจากกะพริบตา ก็จะไม่สามารถควบคุมน้ำตาได้ ทําไม… มีข้อแก้ตัวมากมายเช่นนั้น

“อยากได้ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ก็พูดกับฉันตรงๆ ฉันก็จะให้แน่นอน” ผู้หญิงคนนั้น ยังมีเงาเจี่ยนถงเมื่อสามผีก่อน แต่แตกต่างกันไปมาก มีความขมขื่นแผ่ซ่านไปทั่ว เธอยังคงขยับมุมปากของเธอ ฉีกรอยยิ้มออกมา เธอต้องการรอยยิ้มที่อบอุ่น แต่ความขมขื่นในใจถูกเปิดเผยโดยไม่ตั้งใจ

เธอมองคนสามคนที่อยู่ตรงนั้น ริมฝีปากขยับ “เพราะพวกเราเป็น ครอบครัวกัน” น้ำตา ก็ไม่สามารถควบคุมได้ รีบก้มหน้าลง เอามือเช็ดอย่างเร่งรีบ แต่ลืมไปว่า วันนี้บนหน้าของเธอมีเครื่องสำอางเพราะเธอแต่งหน้ามา ทันใดนั้น เครื่องสำอางก็เลอะเต็มหน้า

เธอแค่คิดว่าถ้าเธอเช็ดน้ำตาให้แห้ง แล้วเงยหน้าขึ้นมา คนอื่นๆก็จะดูไม่ออก

จะรู้ได้อย่างไรกลับทำให้ตัวเองเงอะงะ ใบหน้าเลอะเครื่องสำอางไปหมด มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะดูไม่ออก

แค่ในเวลานี้ ก็ไม่มีใครจะไปเตือนเธอเรื่องนี้โดยเฉพาะ

คนธรรมดาใบหน้าเลอะเครื่องสำอาง เดินไปบนถนน ก็จะดึงดูดสายตาของผู้คน ยิ่งไปกว่านั้นนี่คือวงการของคนที่เสแสร้งและไม่แยแสที่สุด พวกผู้ชายก็ยังโอเค แต่พวกคุณหนูสาวๆ ต่างพากันจ้องมองเจี่ยนถงราวกับว่ากำลังดูละครอยู่

เสิ่นซิวจิ่นหรี่ตาลง กำลังจะยกขาก้าวออกไป ก็ต้องหยุดลง

“แกไม่จำเป็นต้องให้ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ตอนนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับคุณแล้ว” ปฏิกิริยาที่น่าเกลียดก็ปรากฏออกมา เจี่ยนเจิ้นตงประกาศอย่างเสียงดัง

“ตอนนี้‘กองทุนดวงหัวใจ’ได้เป็นของท่านแก่เห้อแล้ว”

“ฉันไม่เห็นด้วย” เจี่ยนถงตําหนิอย่างโกรธ “มันเป็นน้ำพักน้ำแรงของคุณปู่กับฉัน”

“แกยังกล้าพูดถึงคุณพ่อ คุณพ่อต้องอับอายเพราะแก ตระกูลเจี่ยนของพวกเราก็ต้องอับอายเพราะแก ตระกูลเจี่ยนของพวกเราไม่มีฆาตกรที่ชั่วร้ายอย่างแก”

ฆาตกรที่ชั่วร้าย

เจี่ยนถงกัดริมฝีปากอย่างแรง หัวใจถูกทุบด้วยค้อนยักษ์ อย่างไรก็ตาม น่าจะชินตั้งนานแล้วถึงจะถูก แต่วันนี้ จิตใจยังคงผันผวน

“ฆาตกร ฆาตกร พูดซ้ำๆว่าฆาตกร คุณเห็นกับตาเหรอว่าฉันฆ่าคน” เธอถามด้วยเสียงเบา ประโยคนี้แอบซ่อนอยู่ในใจมานานมากแล้ว นับครั้งไม่ถ้วน อยากพูดออกมา แต่ก็รู้ดีว่า พูดออกมาก็คงไม่มีใครเชื่อ และเธอก็หาพวกอันธพาลที่ก่ออาชญากรรมในตอนนั้นไม่เจอด้วย ไม่พบหลักฐานใดๆที่เป็นประโยชน์ต่อเธอเลย ได้แต่หุบปากด้วยความสิ้นหวัง และแบกรับความผิดทุกอย่าง

ในขณะที่เธอถามประโยคนี้ เสียงเบามาก เหมือนปฏิกิริยาตอนที่เธอพูด เมฆก็จางลมก็เบาแปลกๆเล็กน้อย

คนนอกเห็นแค่ท่าทางสงบของเธอ ไม่สามารถเจาะเข้าไปชั้นผิวหนังนั้นได้ เห็นวิญญาณกำลังร้องไห้

อีกด้านหนึ่ง เสิ่นซิวจิ่นเหมือนนกกระเรียนในฝูงไก่ผู้ชายที่พราวสุดๆหายใจติดขัด แต่ไม่ได้ห้ามหรือดุว่าอะไร

เจี่ยนเจิ้นตงก็ชะงักเช่นกัน ต้องบอกว่า จิ้งจอกเฒ่าในทางการค้าตอบสนองเร็วมาก “เมื่อสามปีที่แล้วโทรศัพท์และข้อความทางโทรศัพท์อยู่ที่นั่น อยากให้คนอื่นเห็นกับตาอีกเหรอ”

แน่นนอน ถ้าเจี่ยนถงไม่ใช่คู่กรณี เช่นนั้นแล้ว บทสนทนาในข้อความ ยังมีสายเรียกเข้าทั้งหมดที่โทรหาเธอ ถ้าเธอยืนยันว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์จริง เกรงว่าจะสงสัยเธอด้วย

ในโลกนี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง อะไรจะบังเอิญขนาดนี้……..ขำตัวเอง ผิดแล้ว ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นเพราะคนวางแผนขโมยไก่ไม่ได้เสียข้าวสารอีกกำมือ นับตัวเองเข้าไปด้วย แต่เธอเจี่ยนถงกลับตกเป็นเหยื่อของความผิดพลาดของแผนการครั้งนี้

และคนที่รู้ความจริง นอกจากตัวเอง ก็คือเซี่ยเวยเหมิงที่เสียชีวิตไปแล้ว นอกจากนี้ยังมีพวกอันธพาลสองสามคนที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยหลังเกิดเรื่อง

เว้นแต่จะหาพวกอันธพาลเหล่านั้นกลับมาได้ ไม่อย่างนั้นเธอคงจะไม่สามารถล้างความผิดนี้ได้

ที่บังเอิญก็คือ คนอื่นๆในตระกูลเจี่ยนในตอนนั้น ก็กำลังจับตามอง‘กองทุนดวงหัวใจ’ที่อยู่ในมือเธอ เวลานี้พอเคาะนิดเดียวก็เข้าจังหวะพอดีเลย ถ้าตอนนั้นคนทั้งตระกูลเจี่ยนร่วมกัน ให้เสิ่นซิวจิ่นลงมือกับเธอช้าลงอีกนิด เช่นนั้น บางทีเธออาจจะมีเวลา ค้นหาหลักฐานที่เป็นประโยชน์กับตัวเองได้บ้าง

อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปสามปี เบาะแสที่มีอยู่ในตอนนั้น ก็คงจะถูกกำจัดไปอย่างไร้ร่องรอยนานแล้ว

ดังนั้น…….ตั้งแต่ถูกส่งไปที่นั่น เธอก็เข้าใจแล้ว แม้ออกจากคุก ก็ไม่มีสิทธิ์พูดอีกต่อไปเพราะไม่มีทางจะหาเบาะแสที่เหลืออยู่ในปีนั้นได้อีกแล้ว

หลังจากออกจากคุก ไม่ใช่ว่าไม่เคยไปที่เกิดเหตุเลย…….ทุกครั้งที่มีวันหยุด รอบบาร์“เย่สื้อ” เธอเคยไปที่นั่นครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งๆที่ทุกครั้งที่เธอไป ‘เย่สื้อ’ก็ปิดไปตั้งนานแล้ว ได้รื้อถอนอาคารเก่า กลายเป็นร้านกาแฟไปแล้ว

เธอพูดไม่ออก กัดฟันด้วยความโกรธ ให้ข้อกล่าวหาและสายตาเหล่านี้จ้องมอง ท่องจำข้อกล่าวหาว่าเป็น‘ฆาตกร’นี้ให้ขึ้นใจ

เจี่ยนเจิ้นตงแสดงความขอโทษต่อทุกคนในงาน “ขอโทษจริงๆ ที่งานเลี้ยงวันนี้ต้องถูกรบกวน ฉันขอกราบขอโทษทุกท่าน” ขณะพูดก็ยกแก้วขึ้น “ฉันขอปรับตัวเอง” ด้วยการดื่มหมดแก้ว

มีการแสดงความยินดีกับท่านแก่เห้ออีกครั้ง

ท่านแก่เห้อหัวเราะเสียงดัง ดูภูมิใจมาก

สีหน้าของเจี่ยนถงเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก

“เห้อเฟิงเป่ย คุณเอาของของคุณปู่ฉันไป ไม่กลัวว่าคืนนี้คุณปู่ของฉันจะมาหาคุณเหรอ”

เห้ออู่ที่อยู่ข้างๆท่านแก่เห้อได้ยิน โกรธเคืองมาก “นางตัวแสบ คุณกล้าแช่งคุณปู่ของฉันครั้งแล้วครั้งเล่า ฉัน……..”

เห้ออู่พุ่งไปตรงหน้าของเจี่ยนถง ทุกคนตาโตจ้องมอง ฉากนองเลือดกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

ร่างร่างหนึ่งยืนขวางอยู่ตรงหน้าเจี่ยนถง “คุณต้องการอะไร”

เห้ออู่หยุดเดิน ตะลึงสักครู่ คนรอบข้างก็ตะลึงไปด้วย……วันนี้เพราะเป็นงานการประมูล ‘กองทุนดวงหัวใจ’เสิ่นซิวจิ่นพาเจี่ยนถงมาด้วย ทุกคนต่างคิดไปในทางเดียวกันว่าเสิ่นซิวจิ่นทำเช่นนี้เพื่อให้เจี่ยนถงอับอาย จึงได้พาเจี่ยนถงมาด้วย

ไม่……..ไม่…….มันไม่ถูกต้อง

ทุกคนตะลึงสักครู่ มองไป ชายผู้นั้นหน้าตาหล่อเหลาและเย็นชามาก ไม่มีร่องรอยของความอบอุ่นแม้แต่นิดเดียว โอบไหล่เจี่ยนถงไว้ ดวงตานกฟีนิกซ์หรี่ลง “เห้ออู่ เธอสาปแช่งเห้อเฟิงเป่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วคุณจะทำไม”

แล้วคุณจะทำไม

กำเริบเสิบสานมาก

“เห้อเฟิงเป่ย คุณมีความคิดเห็นอย่างไร” ดวงตาสีดำของชายผู้นั้นหันมามองท่านแก่เห้อที่อยู่อีกด้าน บนหน้าแก่ๆ โกรธอย่างเห็นได้ชัด และอายมาก

ผู้มีปัญญาย่อมดูออก ด้วยปฏิกิริยาที่น่ารำคาญของเสิ่นซิวจิ่นท่านแก่เห้อช็อกก็ถือว่าดีแล้ว ไม้ค้ำของเห้อเฟิงเป่ยถูกเขากำไว้ในฝ่ามือ ค้ำไว้บนพื้น สั่นไม่หยุด สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร

เจี่ยนถงช็อกมาก เงยหน้ามองผู้ชายคนนั้นที่อยู่ข้างๆ………คนคนนี้ ต้องการจะทำอะไรกันแน่

เสิ่นซิวจิ่นก้มลง สายตามองไปที่หน้าของเจี่ยนถงริมฝีปากบางก็โค้งงอ “เจี่ยนถง คุณจะทำอย่างไร”

เธอจะทำอย่างไร

เจี่ยนถงรู้ดีว่าเสิ่นซิวจิ่นย่อมไม่พรั่งพรูออกมาด้วยความกรุณา และในขณะที่เสิ่นซิวจิ่นถามประโยคนี้ ทุกคนรอบตัวตกตะลึงมาก มีการพูดคุยกันมากมายรอบด้าน “ ประธานเสิ่น คงจะไม่ใช่กำลังสนับสนุนเธอมั่ง” แต่เจี่ยนถงรู้จักผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างกายของตัวเองตอนนี้มาก

ถ้าเขาเป็นคนดีจริงๆ……..ตัวเองจะตกอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร

เพราะรู้อยู่แก่ใจดี

เจี่ยนถงปิดตากะทันหัน ในใจมีสองทีมที่กำลังชักเย่ออยู่ เธอต้องตัดสินใจ เธอรู้ว่า เธอจะต้องตัดสินใจ………ชายคนนี้กำลังบังคับให้เธอต้องตัดสินใจ

เธอจะเอาอย่างไร

ความโปรดปรานของคุณปู่ไม่ง่ายขนาดนั้นแน่นอน แต่เธอก็ต้องขอบคุณคุณปู่ ไม่มีเขา ตัวเองก็จะเหมือนพวกที่หลบอยู่ด้านหลังของพ่อแม่ ในที่สุดก็จะเหมือนพวกคุณหนูที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแต่งงาน ไม่มีท่าน ตัวเองก็จะไม่ได้รู้จักโลกที่กว้างใหญ่นี้ ก่อนติดคุกก็คงจะไม่มีช่วงชีวิตที่ยากแต่แสนวิเศษเช่นนั้น

เกิดในตระกูลมั่งคั่ง มีชีวิตที่สุขสบายตามที่คนภายนอกเห็น ก็ถูกลิขิตไว้แล้ว จะต้องสูญเสียบางอย่างไป โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง คุณปู่ให้โอกาสเธอได้เลือก ยกเว้นการคำนึงถึงตระกูลเจี่ยน สิ่งเหล่านี้ เธอจำได้และรู้สึกขอบคุณมาก

ทันใดนั้น เธอลืมตาขึ้น มีความแน่วแน่ในดวงตา “ประธานเสิ่น ฉันขอยืมคุณสี่ร้อยล้าน”

ผู้ชายที่โอบไหล่เธออยู่ ยกมุมปากขึ้นอย่างมีความสุข ชื่นชมและยินดีในดวงตา……..ถ้าเธอจะเหมือนคนเหล่านี้ คิดว่าตัวเองกำลังเมตตาใจดี จะสนับสนุนเธอ จะช่วยเธอเอา ‘กองทุนดวงหัวใจ’กลับมา เช่นนั้นเธอก็คงจะไม่ใช่เจี่ยนถงที่เขารู้จักแล้ว

เสิ่นซิวจิ่นมีเสียงดังขึ้นในใจ จริงๆแล้ว ไม่ว่าผู้หญิงคนนี้จะเปลี่ยนไปแค่ไหนในกระดูกก็ยังคงเป็นเจี่ยนถงคนเดิมในตอนนั้น

ถ้าเธอเอ่ยปากขอเขาโดยตรง ให้เขาช่วยเอา ‘กองทุนดวงหัวใจ’กลับมา ……เช่นนั้นแล้ว เธอกลายเป็นอีกคนจริงๆ

แต่…….

“สี่ร้อยล้าน…….. คุณเอาอะไรมาเจรจากับฉัน ฉันเป็นนักธุรกิจ ไม่ใช่นักบุญ เจี่ยนถงคุณคิดให้ดีๆนะ จะเอาอะไรมารับประกัน ว่าไง?”

ชายผู้นั้นถามอย่างไม่เร่งรีบ

เอาอะไรมารับประกัน ……..เจี่ยนถงมองผู้ชายตรงหน้าอย่างสับสน กัดฟัน แล้วพูดออกไปว่า “จากนี้ไป จะทำตามคำสั่งของประธานเสิ่นแต่เพียงผู้เดียว”

นี่คือการเซ็นสัญญาการขายตัวแล้ว

เมื่อเสิ่นซิวจิ่นได้ยิน มีความสุขทันที แต่เห็นผู้หญิงตรงหน้าตึงไปทั้งตัว ดูตื่นเต้นอย่างมาก เสิ่นซิวจิ่นรีบกล่าวว่า

“ตกลง ฉันให้คุณยืม”

เจี่ยนถงตึงแน่นไม่กล้าปล่อย “ขอบคุณประธานเสิ่น” เธอพูดจบ ก็หันหลัง จ้องมองไปที่เจี่ยนเจิ้นตง “ฉันอยากได้ของของฉันคืนมา สี่ร้อยล้าน ประมูล‘กองทุนดวงหัวใจ’”

เธอจ้องมองเจี่ยนเจิ้นตง ไม่มีความอบอุ่นในดวงตา

เจี่ยนเจิ้นตงสูญเสียเสียงในทันใด เขาอึดอัดมาก เวลานี้ด้านหลังเดรัจฉานมีเสิ่นซิวจิ่นยืนอยู่ แต่เมื่อครู่ได้ให้ท่านแก่เห้อประมูล ‘กองทุนดวงหัวใจ’ไปแล้ว ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่กล้าทำให้เสิ่นซิวจิ่นไม่พอใจ ใครจะไปรู้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเดรัจฉานนี้กับเสิ่นซิวจิ่นคืออะไรกันแน่

อย่าว่าแต่เจี่ยนเจิ้นตงดูไม่ออกเลย เริ่มแรก ทุกคนต่างคิดว่าที่เสิ่นซิวจิ่นพาเจี่ยนถงกลับมาที่ตระกูลเจี่ยนก็เพื่อให้เจี่ยนถงได้อับอาย แต่คิดไม่ถึงว่าในขณะที่เห้ออู่เตรียมจะลงมือ กลับยืนอยู่ข้างกายเจี่ยนถง และในขณะที่ทุกคนคิดว่าเสิ่นซิวจิ่นจะสนับสนุนเจี่ยนถง

ก็ได้ยินเจี่ยนถงถามยืมเงินกับเสิ่นซิวจิ่น……. ถ้าจะสนับสนุนเจี่ยนถงจริงๆ ถ้าเสิ่นซิวจิ่นมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเจี่ยนถงจริง แล้วทำไมต้องเอ่ยปากยืมเงินด้วย

ความสัมพันธ์นี้ ทุกคนไม่เข้าใจ

เจี่ยนเจิ้นตงดูไม่ออก แต่ก็ไม่อยากทำให้เสิ่นซิวจิ่นไม่พอใจ ชำเลืองมองท่านแก่เห้อด้วยหางตา แสงวาบขึ้นในดวงตา กล่าวทันทีว่า “อันนี้ เสี่ยวถง เมื่อครู่คุณก็เห็นแล้วว่า ท่านแก่เห้อได้ประมูล‘กองทุนดวงหัวใจ’ไปแล้ว”

คนตระกูลเห้อได้ยิน ต่อว่าเจี่ยนเจิ้นตงในใจทันทีว่าแย่มาก ตัวเองไม่อยากทำให้คนอื่นไม่พอใจ ก็โยนให้พวกเขาเป็นแพะรับแทน

สายตาของเจี่ยนถงย้ายไปที่ท่านแก่เห้อ “‘กองทุนดวงหัวใจ’เป็นสิ่งที่ฉันกับคุณปู่สร้างมาด้วยกัน เรื่องของวันนี้ ตระกูลเห้อจะยุ่งกับน้ำโคลนนี้ทำไมท่านแก่เห้อเป็นคนฉลาด สู้ตัดความสัมพันธ์กันเลยดีกว่า”

เธอไม่อยากแม้แต่จะพูดไร้สาระ ให้ท่านแก่เห้อยอมปล่อย‘กองทุนดวงหัวใจ’โดยตรง

ท่านแก่เห้อโกรธมาก สายตามองเห็นด้านหลังของเจี่ยนถง สายตาคู่นั้นเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มด้วยความขมขื่น ในใจหงุดหงิดมาก “ฉันท่านแก่เห้อไม่มาทะเลาะกับเด็ก พูดออกไปขาดขี้หน้า ฮึ”

คำพูดเหล่านี้ได้แสดงจุดยืนแล้ว

สายตาของเจี่ยนถงตกอยู่ที่เจี่ยนเจิ้นตงอีกครั้ง “เมื่อสามปีก่อนการตัดสินของตระกูลเจี่ยนเด็ดขาดมาก ไม่มีที่ว่างให้เปลี่ยนได้ ความจริงคือกลัวว่าจะโดนเกี่ยวโยงจริงๆ หรือมีสาเหตุอื่น คุณและฉันรู้อยู่แก่ใจ

เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว จะพูดถึงอดีต ก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป

คุณเจี่ยน ฉันมาที่นี่ในวันนี้ เป็นเพราะ‘กองทุนดวงหัวใจ’เป็นของขวัญที่คุณปู่มอบให้ฉัน ถึงแม้คุณปู่จะเสียใจที่ฉันไม่ได้เกิดมาเป็นเด็กผู้ชาย แต่ความรักและความเอ็นดูที่ท่านมีให้ฉันเป็นเรื่องจริง มีเพียง‘กองทุนดวงหัวใจ’อยู่ในมือของฉัน คุณปู่ที่อยู่บนสวรรค์ ถึงจะได้สงบสุข

“ฉันขอถามคุณเจี่ยนแค่ประโยคเดียว สี่ร้อยล้าน คุณจะให้‘กองทุนดวงหัวใจ’กับฉันไหม”

ณ ตอนนี้ คนที่อยู่ในงาน เหมือนเห็นกุหลาบเย็นในหาดเซี่ยงไฮ้ในปีนั้น จากสาวร่างผอมน่าเกลียดที่อยู่ตรงหน้า

แม้ว่าเธอจะถามว่า “จะให้ฉันไหม” แต่เห็นได้ชัดว่า ท่าทางที่เด็ดเดี่ยวนั้น มีความมุ่งมั่นที่ “ถ้าคุณไม่ให้ฉัน ฉันก็จะแย่งมา”

เจี่ยนเจิ้นตงหน้าดำหน้าแดงคล้ำเครียด ดูแย่มาก เหมือนจานสี ต่อหน้าผู้คนมากมาย ถูกถามและข่มเหงโดยลูกสาวที่ตัวเองไม่ยอมรับแล้ว ไม่รู้จะเอาหน้าแก่ๆไปไหวไหนแล้ว

ลงจากเวทีไม่ได้ เจี่ยนเจิ้นตงมองดูคนรอบข้าง สายตาที่กำลังจ้องมอง ทำให้เขารู้สึกโมโหมาก

คุณหญิงเจี่ยนที่อยู่ข้างๆยืนออกมาอย่างสง่างาม “เสี่ยวถงพวกเรารู้ว่า‘กองทุนดวงหัวใจ’เป็นสิ่งที่คุณปู่ให้คุณ ถ้าคุณต้องการจะเอากลับไป ก็บอกพวกเราแค่คำเดียว หน้าตาของพ่อคุณ มันสำคัญกับคุณไหม………ถ้าคุณพูดกับคุณพ่อดีๆ คุณพ่อของคุณก็จะใจอ่อนและยอมให้แล้ว

“ฉันขอพูดแทนคุณพ่อของคุณหน่อย ขอตัดสินใจแทน ‘กองทุนดวงหัวใจ’ให้คุณไป”

มอง “คนในครอบครัว” ตรงหน้า เจี่ยนถงใจเย็นชาไปหมด พูดได้น่าฟังมาก ใครเป็นคนทำให้เธออับอายต่อหน้าทุกคน ขับไล่เธอออกไป

หรี่ตาลง……..ขอแค่ได้‘กองทุนดวงหัวใจ’กลับมาอีกครั้ง ก็แล้วแต่คนในครอบครัวนี้จะพูดอะไร

เธอถามยืมสี่ร้อยล้านกับเสิ่นซิวจิ่น เพียงเพราะว่า……. เธอจะเอาคืนมาด้วยตัวเอง

เสิ่นซิวจิ่นพาเจี่ยนถงออกไป ในขณะที่ทุกคนกำลังพลุกพล่านคึกคัก ตรงกันข้ามอีกมุมของตระกูลเจี่ยน ลู่เชนลูบคางอย่างสนุกสนานพูดด้วยเสียงทุ้มๆ “เจี่ยนถงเหรอ”

เจี่ยนถงในวันนี้ ให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงลู่เชนประกายแสงวาววับในนัยน์ตาสีดำสนใจไม่น้อย ริมฝีปากบางๆขยับเล็กน้อย มือล้วงในกระเป๋าสูทแล้วเดินออกจากบ้านตระกูลเจี่ยน

“เดาดูสิว่าวันนี้ฉันเจอใคร” ระหว่างเดินไปที่รถที่อยู่ข้างถนนของตัวเอง ก็โทรคุยกับเซียวเหิงไปด้วย “คุณจะต้องคิดไม่ถึงแน่นอน”

“ในเมื่อคิดไม่ถึง เช่นนั้นฉันก็จะไม่ถามแล้ว” เสียงดังกึกก้อง ดังมาจากในโทรศัพท์ เสียงของเซียวเหิงเอ้อระเหยลอยชาย“ลู่เชน จะมาสนุกด้วยกันไหมหงจิ่ง มีน้องใหม่ๆน่าสนใจมาก”

ลู่เชนฟังเสียงเอ้อระเหยลอยชายของเซียวเหิง ก็ไม่ได้สนใจเขา พูดต่อว่า “เจี่ยนถง ฉันเจอเจี่ยนถงที่ตระกูลเจี่ยน”

อีกด้านของโทรศัพท์ เงียบไปสักครู่ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้ชายดังขึ้น “ฉันนึกว่าใคร เธอเหรอ ลู่เชนคุณน่าเบื่อมาก ผู้หญิงอย่างเธอฉันเล่นจนเบื่อแล้ว คุณตั้งใจโทรหาฉันเพราะเรื่องเธอเหรอ”

ลู่เชนถอนหายใจในใจ “จริงเหรอ เซียวเหิงถ้าในใจคุณคิดอย่างนั้นจริงๆทำไมถึงอยู่แถวๆนั้นทั้งวัน”

“ฮ่าๆ คุณตลกจริงๆ ลู่เชน ฉันก็เป็นคนเช่นนี้อยู่แล้ว คุณก็คิดว่าช่วงก่อนสมองของฉันถูกประตูหนีบแล้วกัน ก็เลยเลอะเลือนไปช่วงหนึ่ง”

ทางเซียวเหิงเริ่มหมดความอดทนแล้ว “พอได้แล้ว ฉันกำลังสนุกอยู่ ถ้าไม่มีธุระอะไรฉันจะขอวางสายก่อนแล้ว”

กำลังจะวางสายโทรศัพท์ ก็มีเสียงเบาๆของลู่เชนดังขึ้นจากในโทรศัพท์ “คุณรู้จัก ‘กองทุนดวงหัวใจ’ใช่ไหม วันนี้ตระกูลเจี่ยนจัดงานเลี้ยง เพื่อประมูล‘กองทุนดวงหัวใจ’เสิ่นซิวจิ่นยืมเงินให้เจี่ยนถงสี่ร้อยล้าน ‘กองทุนดวงหัวใจ’ถูกเจี่ยนถงประมูลไปแล้ว เซียวเหิง คุณต้องคิดให้ดีนะ เจี่ยนถงคนที่สกปรกในสายตาของคุณ ตอนนี้มี‘กองทุนดวงหัวใจ’อยู่ในมือแล้ว อย่าให้ท้ายสุด คุณชายตระกูลเซียวอย่างคุณ ต้องมาพ่ายแพ้ให้กับคนอย่างเจี่ยนถงแล้วกัน”

ครั้งนี้ ไม่ต้องรอเซียวเหิงพูดว่าวางสาย หลังจากที่ลู่เชนพูดจบ ไม่พูดพร่ำทำเพลง วางสายทันที

“ติ๊ด” ดังขึ้น ประตูรถปลดล็อกลู่เชนเปิดประตูรถแล้วนั่งเข้าไป รถเคลื่อนออก…..สิ่งที่ทำได้เขาก็ได้ทำมันแล้ว ส่วนเซียวเหิงจะก้าวออกมาจากความเสื่อมได้ไหม ก็ต้องดูระเบิดที่เขาวางลงไป ว่ามันจะแรงมากแค่ไหน

นึกถึงเจี่ยนถงลู่เชนสีหน้าค่อนข้างสับสน ร่องรอยของความเสียใจแวบผ่านดวงตา……”ขอโทษ เจี่ยนถง ที่แอบอ้างคุณ” แต่ขอเพียงเซียวเหิงสามารถลุกขึ้นได้อีกครั้ง ลู่เชนก็จะไม่เสียใจ ที่แอบอ้างผู้หญิงที่ไม่มีความแค้นเคืองอะไรกับเขา………ผู้หญิงคนนั้น ไม่ได้มีค่าอะไร

ปากบางๆยกขึ้น เย็นยะเยือกกว่ากรอบแว่นทองในวันธรรมดา

นักธุรกิจให้ความสำคัญกับกำไร……..เขาเป็นนักธุรกิจ แก่นแท้ของนักธุรกิจคือความเย็นชา

“จริง……..จริง ขอแค่ไอ้เซียวเหิงสามารถยืนขึ้นอีกครั้ง………” อย่าว่าแต่ประโยคที่เขาพูดไป จะทำให้เซียวเหิงยิ่งเข้าใจเจี่ยนถงผิด หรือเจี่ยนถงจะไม่ได้รับความยุติธรรม………รัศมีมุมปากของลู่เชน ก็ไม่มีร่องรอยของความอ่อนโยนแม้แต่นิดเดียว และได้แสดงท่าทางออกมาอย่างเห็นได้ชัดว่า แลกเจี่ยนถงกับเซียวเหิง แลกไหม

แลก!

หงจิ่ง

ตั้งแต่เซียวเหิงวางสาย ก็ก้มหน้านิ่ง นั่งอยู่ข้างๆก็ได้เพื่อนกินดื่มอีกมากมาย กินและดื่มกันอย่างเมามัน เซียวเหิงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

“คุณชายเซียว กำลังคิดถึงสาวสวยคนไหนถึงได้หมกมุ่นขนาดนั้น พี่ๆน้องๆกำลังชวนคุณดื่ม”

ชายหนุ่มผมหยิกหยักศกสั้นสีเหมือนเกาลัดยิ้มและเดินเข้ามาหาเซียวเหิง ทั้งสองคนเอามือวางบนไหล่ของเซียวเหิง ในมือถือแก้ววิสกี้ “คุณชายเซียว พวกเราพี่น้องดื่มให้คุณ ดื่ม”

จู่ๆ เซียวเหิงก็ลุกขึ้น ยกมือขึ้น และคว่ำแก้วไวน์ในมือของชายผู้นั้น พูดด้วยความเย็นชาว่า

“ใครเป็นพี่น้องกับคุณ คุณเป็นพี่น้องใคร”

“โอ้…….” ชายคนนั้นตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง วินาทีถัดมาก็ยิ้ม “อ้อ รีบมาดูกัน ทุกคนรีบมาดูเร็ว วันนี้คุณชายเซียวของพวกเราเล่นอารมณ์ขันอีกแล้ว”

ขณะพูด ก็ถูกเซียวเหิงขัดจังหวะ “เฮอๆ~ดื่มกับพวกคุณสองแก้ว พูดคุยเล็กน้อย ก็สนิทสนมกัน เห็นฉันเป็นพี่น้องแล้ว

ขอโทษด้วย แม่ของฉันไม่ได้คลอด‘ลูกชาย’มากมายขนาดนี้

เรื่องได้คืบจะเอาศอก ก็ต้องดูอารมณ์ของคนอื่นด้วย เวลาอารมณ์ดี ดื่มกับคุณสองแก้ว อารมณ์ไม่ดี พวกคุณเป็นน้องฝ่ายไหนมิทราบ”

พูดด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา หยิบธนบัตรออกมา โยนลงหนึ่งกอง “หลายวันมานี้พวกคุณเล่นเป็นเพื่อนฉัน วันนี้มื้อนี้ถือว่าฉันเลี้ยง เล่นให้สนุกนะ” พูดจบ ขาเรียวยาวก็เดินออกจากห้องไป

ตอนออกจากห้อง วินาทีที่ประตูห้องปิดลง ชายหนุ่มในห้องที่กล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูดออกมา ด่าว่าทันทีที่เขาออกไปแล้ว

เซียวเหิงไม่ได้สนใจ หันกลับมาแล้วเหลือบมองประตูห้องเล็กน้อย หยิบบุหรี่ออกมา จุดบุหรี่ ดูดไปหนึ่งคำ แล้วพ่นควันขาวๆออกมา บุหรี่ที่จุดใหม่ ยังมีอีกเยอะที่ยังไม่ได้สูบ เมื่อปล่อยมือ ร่วงลงบนพื้นอย่างไร้เสีย รองเท้าที่สั่งทำ รองเท้าหนังวัวเหยียบลงอย่างแรง ขยี้ไปมาอย่างดุเดือด

ดวงตาพีชเย็นชาทันที มองไปทางหน้าต่างด้วยสีหน้าที่ไม่ดี ยกเท้าที่ขยี้บุหรี่ขึ้น แล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

รถเล่นอย่างเร็วบนถนน ความเร็วนั้น เหมือนกำลังบิน แต่ดูหมือนเขาจะไม่สังเกตเลย สายตาจ้องมองไปด้านหน้า คันเร่งใต้ฝ่าเท้าเหยียบอย่างรุนแรง

ในคืนนั้น เป็นเวลาห้าทุ้มเที่ยงคืนแล้ว

มาเซราตีคันหนึ่ง บินอยู่บนถนน สุดท้ายจอดอยู่หน้าบ้านใหญ่ของตระกูลเซียว

เมื่อรถจอดลง ประตูรถก็ถูกเปิดออก หลังจากนั้น เซียวเหิงก็ลงจากรถ เดินเข้าไปในบ้านอย่างเร่งรีบ

เมื่อพ่อบ้านได้ยินเสียง รีบมาเปิดประตูบ้าน เห็นร่างที่ยืนอยู่ด้านนอก ตะลึงไปสักครู่ ทันใดนั้น

“คุณชาย คุณท่านสั่งไว้ ห้ามท่านเข้าบ้าน”

เซียวเหิงผอมลง แก้มผอมๆเย็นยะเยือก เสียงพูด แหบแบบบอกไม่ถูก

“ฉันมาหาคุณปู่”

พ่อบ้านกล่าว “คุณชาย คุณรอสักครู่ ฉันจะไปถามคุณท่านก่อน”

พ่อบ้านไปแล้วกลับมา มองเซียวเหิงด้วยความลำบากใจ “คุณท่านบอกว่าท่านหลับแล้ว……”

ในเมื่อท่านแก่เซียว “บอกว่า” ตัวเองหลับแล้ว แล้วจะหลับได้อย่างไร

เซียวเหิงก้มลง ถามด้วยเสียงแหบว่า “ฉันรู้แล้ว ลุง”

“เช่นนั้น……ฉันไปส่งคุณชาย”

“ไม่ต้องแล้ว”

พ่อบ้านทำไรไม่ถูก ทำได้เพียงแค่ปิดประตู

เซียวเหิงยืนอยู่ด้านนอกประตู หันหลังแล้วเดินกลับ หยุดอยู่ในกลางห้องโถง ทันใดนั้น “ปัง” ดังขึ้น คุกเข่าลงบนพื้น

ท่านแก่เซียวยืนอยู่ชั้นสอง พ่อบ้านเดินมา “คุณท่าน………ในตอนหนุ่มสาวมีใครบ้างที่ไม่เคยทำผิด ท่านก็…….”

“ที่นี่ไม่มีธุระของคุณแล้ว คุณกลับพักผ่อนเถอะ” ท่านแก่เซียวไม่รอพ่อบ้านพูดจบ พูดเบาๆไล่คนออกไป

เหลืออยู่คนเดียว ยืนอยู่ที่หน้าต่าง มองร่างที่คุกเข่าอยู่ด้านล่าง………เขามีความคาดหวังสูงสำหรับหลานชายคนนี้แต่ไม่สามารถให้เขาทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก

“คุกเข่าไปสักพักแล้วกัน” ท่านแก่เซียวกล่าวกับตัวเองเบาๆ

ในเวลาเดียวกัน ชั้นที่28ของตงหวง

ในห้องน้ำที่ใกล้ห้องนอน ผู้หญิงชำระร่างกายแล้ว ยืนอยู่หน้ากระจก ในตาแสดงออกอย่างตะลึง……สำหรับอนาคต เธอจะต้องตะลึงมากกว่านี้ จู่ๆก็เอา “กองทุนดวงหัวใจ” กลับมาอย่างกะทันหัน ไม่ได้อยู่ในแผนชีวิตของเธอเลย ทำให้ทุกอย่างยุ่งไปหมด

แต่……..เธอไม่เคยเสียใจ

ในเวลาที่คุณปู่เอ็นดูตัวเอง ก็เคยมีความเห็นแก่ตัวด้วย ถ้าเธอเป็นหลานสาวของคุณปู่ แล้วเจี่ยนโม่ป๋ายก็จะไม่ใช่หลานชายของคุณปู่เหรอ

หรือว่าบางเรื่องคุณปู่ทำมันได้ไม่เนียน แต่เจี่ยนถงเข้าใจ ความเข้มงวดของคุณปู่ยังเต็มไปด้วยความห่วงใย

มิฉะนั้น ก็จะไม่มีวันเกิดของ‘กองทุนดวงหัวใจ’ถ้าคุณปู่ไม่ไว้ใจเธอจริงๆ ในอนาคตเธอจะคิดร้ายกับตระกูลเจี่ยนหรือไม่ ก็คงจะใช้กฎของครอบครัวมั่งคั่งบนโลกนี้ ——ส่งเธอไปแต่งานเพื่อสานความสัมพันธ์ก็ได้

คุณปู่จับมือเธอไว้ก่อนจากไป “บริหารมันให้ดี”

วันนี้ ‘กองทุนดวงหัวใจ’กลับมาอยู่ในมือของตัวเองอีกครั้ง…….ทันใดนั้น ความมืดมนในตาเธอก็สลายไปหมดความสับสนและมีการตัดสินใจบางอย่างเกิดขึ้น หรือว่า การทำเช่นนี้สุดท้ายจะเป็นการทำร้ายเจตนาของคุณปู่

หลับตาลง แล้วลืมตาขึ้นมาใหม่ มีสีที่ดิ้นรนในดวงตาเดินไปที่ประตูห้องน้ำอย่างลำบากข้างหน้ามีเพียงประตูกั้นระหว่าง แต่รู้สึกว่าห่างกันราวฟ้ากับดิน เดินออกมาจากประตู ก็ไม่มีทางที่ให้ย้อนกลับ………ไม่ เธอเคยมีทางที่ย้อนกลับตั้งแต่เมื่อไหร่

เหยียดมือที่สั่นออกมา จับลูกบิดประตู หายใจเข้าลึกๆ ออกแรงบิด ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก

เมื่อเงยหน้าขึ้น มองดูโคมไฟตั้งพื้นที่ดับอยู่ตรงหน้าต่างสูงจรดเพดานโดยไม่รู้ตัว ไม่แปลกใจอะไร ชายผู้นั้น นั่งบนโซฟาเดี่ยวหนังวัวอย่างขี้เกียจ ถือเอกสารต้นฉบับ นั่งดูอย่างเงียบๆ

เขามักจะนั่งอ่านหนังในขณะที่เธอไปอาบน้ำ และนั่งอยู่บนโซฟาหนังวัวตัวนั้น อ่านหนังสืออย่างเงียบๆ แม้แต่ ถ้าเธอไม่เข้าใจเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างตัวเองและชายผู้นั้น ตัวเองกับชายคนนั้นติดหนี้ชีวิตกันไว้ เธอยังให้ภาพลวงตาที่น่าขัน——ราวกับว่าในช่วงเวลานี้ของทุกวัน เขาจะมานั่งบนโซฟา อ่านหนังสืออย่างเงียบๆ เพียงแค่อยู่เป็นเพื่อนเธออย่างเงียบๆ

แต่……..เจี่ยนถงหัวเราะเยาะตัวเอง——อย่าโง่อีกเลย ผลของความไร้เดียงสาก็คือถูกโยนลงไปในขุมนรก ส่วนเธอ ร่างกายกำลังอยู่ในนรกแล้ว

เธอรู้ว่าร่างกายของตัวเอง เวลานี้สั่นอย่างรุนแรง……..คืนนี้ เหมือนจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

เรื่องที่เกิดขึ้นที่ตระกูลเจี่ยนคำสัญญาที่เธอมีกับเขา ก็เหมือนตอนที่ เธอขอยืนจากเขาสี่ร้อยล้าน เขาถามว่า

คุณเอาอะไรมายืนเงินสี่ร้อยล้านนี้ และเธอก็ให้คำสัญญาว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จะฟังคำบัญชาจากคุณ

ทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองเหลืออะไรอีกบ้าง แต่เธอก็ขายทั้งหมดของตัวเองให้เขา

“ประ…….ประธานเสิ่น” คิดอยู่สักครู่ แม้แต่เสียงของเธอก็ยังสั่นเวลาถาม “ฉัน……ฉันชำระร่างกายสะอาดแล้ว”

ฉันล้างสะอาดแล้ว…..คุณจะทำอะไรก็เชิญเลย

แต่ประโยคหลังนี้ ไม่ว่าจะอย่างไร เธอก็อึดอัดที่จะพูดออกไป

น่ารังเกียจคุณนี่มันน่ารังเกียจจริงๆ เจี่ยนถง ในฝันคุณจะอยากอาเจียนความน่ารังเกียจนี้ไหม

คนคนนี้ เขาทำลายคุณทุกอย่างด้วยมือของเขาเองให้คุณตกลงไปบ่อโคน ทำให้คุณสกปรก ทำให้คุณถูกดูถูก คุณเกลียดความหรูหรา แต่คุณในเวลานี้ แต่คุณในตอนนี้ยังต้องอ้อนวอนเขาและเปิดต้นขาเพื่อถามเขา คุณผู้ชาย ฉันทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ท่านมีอารมณ์จะขึ้นฉันไหม

ขยะแขยง!ขยะแขยง!ขยะแขยง!

เจี่ยนถง คุณทำตัวได้น่ารังเกียจมาก

ผู้หญิงบนเตียง มือจับผ้าห่มแน่นมาก มองผู้ชายที่อยู่บนโซฟา พยายามฝืนตัวเองให้ยิ้ม บังคับตัวเองยิ้มให้ผู้ชายบนโซฟาอย่างประจบสอพลอ แต่ไม่รู้ตัวว่า ใบหน้าที่ยิ้มแย้มที่ปกคลุมไปด้วยผมเปียกของเธอ ขาวซีดเหมือนผีเลย

ผู้ชายที่อยู่บนโซฟา เงยหน้าขึ้นจากหนังสือ สายตามองไปที่หน้าของเธอก่อน หลังจากนั้น ค่อยๆมองไปที่มือที่จับตรงอกอย่างแน่น ดวงตาสีเข้ม มองจากนิ้วมือที่เธอบีบจนขาวซีด จนเส้นเลือดสีเขียวโผล่ออกมาทางหลังมือ ขยับขึ้น ตกไปอยู่บนใบหน้าที่ซีดกว่าผีของผู้หญิง

ดวงตาสีดำเหล่มอง เจี่ยนถงที่อยู่บนเตียง ไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาหรือเปล่ารู้สึกว่าอุณหภูมิโดยรอบลดลงหลายองศาใจสั่นระรัวนิ้วเธอกำผ้าปูที่นอนแน่น ปลายนิ้วขาวซีด กลัวจนไม่กล้ากะพริบตา จ้องมองผู้ชายใต้แสงไฟที่อันตราย “ปะ ประธานเสิ่น……..” ใช่ มันอันตรายมาก

เวลานี้ชายผู้นั้นมีลมหายใจที่อันตรายทั่วร่างกาย เธอไม่รู้ว่า ตัวเองพูดประโยคไหนผิดไปหรือเปล่า ทำให้ชายผู้นั้นโมโห เธอพูดกับตัวเองว่า เจี่ยนถง อดทนไว้ แค่แป๊บเดียว กะพริบตาแป๊บเดียวก็ดีแล้ว

“ประธานเสิ่น ฉัน ฉันทำความสะอาดเสร็จแล้ว” เธอพูดอย่างรวดเร็วเป็นครั้งที่สอง “ท่านไม่ต้องกังวล ฉันจะไม่ยืมสี่ร้อยล้านของท่านโดยเปล่าประโยชน์แน่นอน ในเมื่อสัญญากับคุณแล้ว ฉันก็จะ……..ทำด้วยความเต็มใจ”

ประโยคสุดท้ายนั้น เธอกัดฟันพูด บีบออกมาจากถุงลม

“ด้วยความเต็มใจ” ใต้แสงไฟ ในน้ำเสียงของชายผู้นั้น มีความโกรธซ่อนอยู่ ยิ้มเบาๆ

“คุณพูดว่า ด้วยความเต็มใจ”

“…..ใช่”

ดวงตาที่ลึกของเสิ่นซิวจิ่น จ้องมองผู้หญิงที่อยู่บนเตียง มองปากเล็กๆขณะที่พูดประโยคนี้ออกมา สายในหัวแทบขาดความโกรธที่อธิบายไม่ได้ ทันใดนั้นแทบจะกลืนเหตุผลลงไป

“ด้วยความเต็มใจ ด้วยความเต็มใจอะไร ด้วยความเต็มใจ…..” ถูกฉันขึ้นเหรอ

น้ำเสียงที่โมโหของชายผู้นั้น มาถึงจุดจบอย่างกะทันหัน เหตุผล เหลือแค่นิดเดียว ก็เกือบจะแตกสลายหมด ในวินาทีสุดท้าย ก็กลับมา

หนังสือที่กางอยู่ในมือ ปิดลงกะทันหัน ทันใดนั้นก็มีเสียงเหมือนทุบสิ่งของดังขึ้น “ปัง” ดังขึ้นอย่างดัง ชายผู้นั้นไม่ได้พูดอะไร สายตาคู่นั้น จ้องหน้าของผู้หญิงที่อยู่บนเตียง

นิ้วมือคั่นหนังสืออยู่ บีบหนังสือจนเต็มไปด้วยรอยนิ้วมือ

สายตาของเขา ยิ่งลึก และสับสน ยิ่งทำให้…….เธอดูไม่ออก

เขาจ้องมองตัวเอง แต่เจี่ยนถงกลับไม่รู้ ทำไมเวลานี้ฉันถึงรู้สึกตื่นตระหนกและกลัวเขามากกว่าครั้งแรกที่เจอเขาหลังจากที่ถูกปล่อยตัวออกจากคุก

ดึงผ้าห่มสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทันใดนั้น

ผู้ชายที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ลุกขึ้นอย่างกะทันหัน

เจี่ยนถงหดตัวกะทันหัน “ปะ ประธานเสิ่น” เธอเงยหน้าขึ้น ขนาดผิวหน้ายังสั่น แต่ยกหัวขึ้น พยายามยิ้มให้เขา “ปะ ประธานเสิ่น ฉัน ฉันพร้อมแล้ว”

ชายผู้นั้นเดินตรงไปหาเตียง ขาวเรียวยาวคู่นั้น อยู่ในสายตาของเธอ เขาเอื้อมมือออกไปอย่างกะทันหัน กวักมือเรียกเธอ ออกคำสั่งเบาๆ “ขยับมา”

เจี่ยนถงไม่เข้าใจ แต่ภายใต้สายตาคู่นั้น เธอกัดฟันแล้วขยับเข้าใกล้เขาเล็กน้อย ชายผู้นั้นหยิบผ้าขนหนูจากชั้นวางด้านข้างคลุมศีรษะของเจี่ยนถง เช็ดอยู่สักครู่

แล้วหยิบไดร์เป่าผมมา

ตอนผมแห้ง “ต่อไป อย่านอนทั้งที่ผมเปียก” เสียงของชายผู้นั้น ไม่มีความอ่อนโยน แต่เบาและเฉยๆ

เสิ่นซิวจิ่นทำเช่นนี้ ไม่ได้ทำให้เจี่ยนถงรู้สึกสบายใจขึ้นเลย

ตรงกันข้าม เธอกำลังจะเป็นบ้าเพราะผู้ชายที่ไม่เหมือนคนอื่นคนนี้

เหมือนสัตว์เดรัจฉานค่อยๆถูกเขาต้อนจนชนมุม แม้แต่พื้นที่ในการขยับตัวก็ยังไม่มี

เธอไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร แต่ก็ทนไม่ไหวที่เขาเป็นแบบนี้ เธอยินดีให้ชายผู้นี้ทำกับเธอเหมือนเดิม และไม่หวังให้ชายผู้นี้เปลี่ยนมาอ่อนโยนกับเธอเช่นนี้อย่างกะทันหัน

นี่ น่ากลัวมาก!

น่ากลัวกว่าจับเธอเข้าคุกซะอีกยังจะทำให้เจี่ยนถงตื่นตกใจด้วย

“ประธานเสิ่น ทำไม?” ในที่สุด ก็อดไม่ไหว เธอหลับตา ขณะลืมตาขึ้นก็ถามออกไป

ทำไมจู่ๆก็อ่อนโยน……เสิ่นซิวจิ่นอ่อนโยนเป็นด้วยเหรอ

เป็น!

แต่คงไม่ปฏิบัติต่อเธอ!

ชายผู้นั้นเปิดไดร์เป่าผม รวบผมเธอไปที่หลังหู ไม่ตอบแต่พูดเบาๆว่า “พักผ่อนให้สบาย”

เขาหันหลัง เจี่ยนถงอยากเอื้อมมือไปคว้ามุมเสื้อผ้าของเขา แต่สุดท้ายก็เก็บมือที่เอื้อมไปกลับมา

ไม่ได้เพื่อสิ่งอื่น เพื่อสีหน้าที่นิ่ง

“อ้อ คุณต้องคิดดีๆนะ‘กองทุนดวงหัวใจ’ภาระหน้าที่ที่คุณต้องรับผิดชอบ” ขณะที่เสิ่นซิวจิ่นเดินไปถึงประตู ก็หันกลับมาพูดกับเจี่ยนถงอย่างกะทันหัน

พูดจบก็หันกลับไป

ในคืนนี้ สำหรับเจี่ยนถง ก็เป็นคืนที่นอนไม่หลับอีกหนึ่งคืน

เธอไม่ค่อยตื่นแต่เช้าเปลี่ยนชุดสูท แต่งตัวและจัดทรงผมอย่างพิถีพิถัน ขณะที่มือไปโดนผมตรงหน้าผาก นิ่งไปสักครู่ หลังจากนั้น ก็ยังไม่กล้ารวบผมขึ้น ให้เห็นแผลนั้น

มองตัวเองในกระจก มองตัวเองในกระจกด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ เจี่ยนถง คุณจะมีความกล้าพอที่จะยืนอยู่ตรงหน้าทุกคนเหรอ

แต่เธอ ไม่มีทางที่ให้ถอยแล้ว

ไม่สามารถทำให้อาลู่ผิดหวัง และไม่สามารถทำให้คุณปู่ผิดหวังเช่นเดียวกัน

สิ่งที่ฉันสามารถทำได้ก็คือ……..เผชิญหน้า

“กองทุนดวงหัวใจ” วันนี้หดหู่แค่ไหน เธอสามารถเดาได้ ถ้าก่อนจากไป ไม่สามารถทำให้ ‘กองทุนดวงหัวใจ’กลับไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้ เธอคิดว่า ตัวเองคงจะผ่านอุปสรรคในใจนี้ไปไม่ได้

ออกจากห้องน้ำ วินาทีที่เปิดประตูห้อง มีแสงส่องมาบนใบหน้า เธอพยายามหลับตา และเห็นว่าผู้ชายที่นอนบนโซฟาได้ตื่นแล้ว

ดวงตาดำของเสิ่นซิวจิ่น มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า หยิบเสื้อสูทอยู่ข้างๆขึ้นมา พูดเบาๆว่า “ไปกันเถอะ”

เจี่ยนถงเดินตามหลังเสิ่นซิวจิ่นอย่างเงียบๆ รถรอพวกเขาที่ใต้ตึก เธอกับเสิ่นซิวจิ่นนั่งเข้าไปด้านหลังคนขับ

คนขับที่นั่งเบาะคนขับ ยื่นอาหารเช้ามาสองชุด เสิ่นซิวจิ่นหยิบหนึ่งชุดแล้วยื่นไปด้านหน้าของเจี่ยนถง “รับไป”

เจี่ยนถงไม่ได้เอื้อมมือไปรับ

“ทานแล้วถึงจะมีแรงไปสู้รบ” ชายผู้นั้นกล่าว “สิ่งที่คุณต้องเผชิญ มันรับมือยากกว่าที่คุณคิดอีกมาก”

เจี่ยนถงเข้าใจว่าเสิ่นซิวจิ่นกำลังพูดอะไร เมื่อสามปีก่อน เพียงพอที่จะให้คนของตระกูลเจี่ยนชำระล้าง‘กองทุนดวงหัวใจ’ ความมั่นใจที่เธอมี จะต้องว่างเปล่า แต่ตำแหน่งที่สำคัญ ได้เป็นของคนอื่นไปตั้งนานแล้ว

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถึงแม้‘กองทุนดวงหัวใจ’จะอยู่ในมือของเธอแล้ว แต่ในเวลาเดียวกัน เธอก็ไม่มีประสบการณ์แบบนี้

ควรทำอย่างไร…….เธอไม่มีความมั่นใจเลย

รับอาหารเช้าจากมือของเสิ่นซิวจิ่นโดยไม่พูดอะไร ทานไปทีละคำ ไม่ได้หิวมาก แต่ในเวลานี้ สิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้ก็คือทานให้อิ่ม ทานอิ่มแล้วถึงจะมีแรงไปสู้รบได้

รถจอดอยู่หน้าอาคารแห่งหนึ่ง “กองทุนดวงหัวใจ”สี่ตัวอักษรทองบนป้ายขนาดใหญ่ เธอรู้สึกเหมือนเห็นความสำเร็จของการก่อตั้งครั้งแรก

ในวันนี้ กลับซบเซามาก

“เสิ่นเอ้อ ดูแลความปลอดภัยให้เธออยู่ข้างๆ” เสิ่นเอ้อลงจากรถ เสิ่นซิวจิ่นเปิดประตูรถ แล้วนั่งกลับไปในตำแหน่งคนขับ

เหลือบมองผู้หญิงข้างๆ เขายิ้ม “เจี่ยนถง‘กองทุนดวงหัวใจ’ไม่ใช่ของฉัน คุณคงไม่คิดว่าฉันจะเป็นคนดีที่คอยคุ้มกันให้คุณตลอดทางใช่ไหม”

เจี่ยนถงหยุดหายใจ กำหมัดแน่น……..เธอเกือบลืมไปแล้วว่า เสิ่นซิวจิ่นไม่ใช่คนสนับสนุนที่ดีของเธอ

“เสิ่นเอ้อ เดินตามหลังเธอ อย่าให้ใครทำอะไรเธอได้”

“ครับ Boss”

ก่อนที่เสิ่นซิวจิ่นจะขับรถออกไป ได้เหลือบมองเจี่ยนถงอีกครั้ง

เจี่ยนถงยืนอยู่หน้าประตู หายใจเข้าลึกๆ รวบรวมความกล้า ยกเท้าก้าวเข้าประตู

“คุณได้นัดไว้หรือไม่” แผนกต้อนรับเป็นหญิงสาวอายุยี่สิบห้า ยี่สิบหกปี แต่งหน้าพราวเสน่ห์ ขณะที่เจี่ยนถงเดินเข้าไป เธอกำลังลับเล็บอยู่

ภาพนี้ เจี่ยนถงโมโหในใจ…….เธอรู้ว่า‘กองทุนดวงหัวใจ’แย่มาก แต่ไม่คิดว่าจะแย่ขนาดนี้

เช้าตรู่ เป็นเวลาเข้างาน ในฐานะที่เป็นแผนกต้อนรับ มาลับเล็บต่อหน้าแขก และถามอย่างไร้มารยาทว่าได้นัดไว้หรือไม่

ทันใดนั้น ความเศร้าโศกและความโกรธเคือง

ความเศร้าโศกนั้นก็ความทุ่มเทที่เธอและคุณปู่ได้ทำมันพังทลายหมดเลย ความโกรธเคืองก็คือในฐานะเป็นครอบครัวสายเลือดเดียวกัน พวกเขาทำลายความทุ่มเทของเธอและคุณปู่ไปหมดเลย

สีหน้าของเจี่ยนถงเปลี่ยนไปมาก พยายามเข้มแข็ง “ข้อแรก เวลาทำงาน อย่าทำเรื่องไร้สาระ ข้อสอง ในฐานะที่เป็นแผนกต้อนรับ แต่พูดกับแขกอย่างไร้มารยาท ข้อสาม การแต่งตัวของคุณไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมของ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ตอนนี้คุณถูกไล่ออกแล้ว”

หญิงสาวที่แผนกต้อนรับจ้องมองเจี่ยนถงเยาะเย้ย “คุณเป็นใคร มาโบกไม้โบกมืออะไรที่นี่ คุณคิดว่าคุณเป็นเจ้าของ‘กองทุนดวงหัวใจ’เหรอ ถึงได้กล้ามาออกคำสั่งที่นี่”

จากไปสามปี เจี่ยนถงในใจโกรธจนสั่น ฝ่ามือที่อยู่ด้านหลัง บีบอย่างแน่น คอยบอกตัวเองในใจ อย่ากลัว คุณสามารถจัดการได้ ไม่ต้องกลัว คุณต้องจัดการให้ที่สุด เพื่อจัดการความวุ่นวายเหล่านี้ให้สะอาดเรียบร้อย คุณไม่มีทางให้ถอยแล้ว

อดทนต่อความกลัวเวลาอยู่ต่อหน้าคนแปลกหน้า เจี่ยนถงกล่าวกับหญิงสาวแผนกต้อนรับด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ว่า

“บังเอิญ ฉันก็คือเจ้าของ‘กองทุนดวงหัวใจ’ที่คุณเอ่ยถึง” ในขณะพูดไปด้วย ก็หยิบสัญญาการเปลี่ยนเจ้าของทรัพย์สินที่ลงนามเมื่อวานนี้ออกมา

“เห็นชัดหรือยัง ตอนนี้ ฉันมีสิทธิ์ เชิญคุณเก็บของแล้วออกไปหรือยัง”

หญิงสาวแผนกต้อนรับหน้าซีด กำลังจะขอความเมตตา เจี่ยนถงยกมือขัดจังหวะ “ไม่ต้องขอความเมตตา คุณเป็นคนแรก แต่จะต้องไม่ใช่คนสุดท้ายแน่นอน” ในคำพูดมีความรู้สึกของความโหดเหี้ยม

ดูออร่าของเธอ คนอื่นเดาไม่ออก เจี่ยนถงในเวลานี้กำลังต่อสู้กับความกลัวที่อยู่ในใจของตัวเองอยู่

“เสิ่นเอ้อ” เจี่ยนถงเรียก “เชิญคุณผู้หญิงท่านนี้ออกจาก‘กองทุนดวงหัวใจ’”

หญิงสาวแผนกต้อนรับยังไม่อยากจะยอม แต่เมื่อเห็นเสิ่นเอ้อที่มีรูปร่างสูงใหญ่ กลืนน้ำลายด้วยความกลัวทันที ด่าว่าพึมพำกับตัวเอง “ฮึ ไม่เห็นมีอะไรดีเลย ก็เหลือแค่เปลือกที่ว่างเปล่า ไม่เห็นอยากจะอยู่ที่แย่ๆแบบนี้เลย”

เจี่ยนถงขวางหญิงสาวแบกต้อนรับไว้ “ฉันสัญญากับคุณว่า‘กองทุนดวงหัวใจ’จะไม่เป็น ‘สถานที่แย่ๆ’ความทุ่มเทของเธอกับคุณปู่ จะไม่ปล่อยให้เป็น‘สถานที่แย่ๆ’ในปากของคนอื่นแน่นอน

ชี้ไปที่คนทำความสะอาดที่เดินผ่านมา “คุณน้า คุณรู้หรือไม่ต้องต้อนรับแขกอย่างไร”

คุณน้าที่ทำความสะอาดอึ้งไปสักครู่ “ฉันเรียนแค่ระดับประถม ไม่รู้อะไรลึกซึ้งขนาดนั้นหลอก ก็รู้แค่นิดเดียว พวกเราต้องทักทายแขกอย่างสุภาพและมีมารยาท”

เจี่ยนถงพยักหน้า “คุณน้า ตอนนี้ คุณเป็นแผนกต้อนรับของ‘กองทุนดวงหัวใจ’แล้ว ถ้าแขกมา สุภาพและมีมารยาทหน่อยนะ”

พนักงานต้อนรับคนนั้นที่ถูกไล่ออกรู้สึกอับอาย ชี้หน้าเจี่ยนถงและด่าว่า “คุณกล้าใช้คนทำความสะอาดมาทำหน้าที่แผนกต้อนรับแต่กลับไม่รับฉันซึ่งจบมหาวิทยาลัยโดยตรง ฉันว่าสมองของคุณถูกเผาไปจนหมดแล้ว”

เจี่ยนถงหัวเราะอย่างเย็นชา “ฉันยอมรับคนทำความสะอาดดีกว่า ที่จะรับนักศึกษามหาวิทยาลัยอย่างเธอ คุณควรจะพิจารณาตัวเองได้แล้วว่าเพราะอะไร”

เรื่องมันไม่ง่ายเหมือนไล่พนักงานต้อนรับออกทั้งวัน เจี่ยนถงเหนื่อยจนอ่อนแรงไปหมด แต่ไม่กล้าแสดงออกมาแม้แต่นิดเดียว

พระเจ้ารู้ทันทีว่า ขณะเธอก้าวเข้ามาในห้องทำงานของประธาน เกือบจะวิ่งหนีด้วยความตกใจ

แต่เธอพูดกับตัวเองว่า อย่าทำเช่นนั้น

ใช่ อย่าทำเช่นนั้น ดังนั้นจึงต้องเผชิญหน้า ดังนั้นจึงต้องเอาชนะทุกอย่างให้ได้ ไม่ว่าสามปีที่เธออยู่ในคุก จะเจอกับอะไรมาบ้าง ไม่ว่าอุปนิสัยของเธอจะเปลี่ยนไปในช่วงสามปีที่ผ่านมาหรือไม่ และในสามปีนั้นทำให้เธอเสียศักดิ์ศรีของการยืนต่อหน้าคนอื่นหรือไม่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอต้องยืดอกเอาชนะความกลัว จนไม่รู้สึกละอายต่อคุณปู่ และละอายต่อในตัวเอง

สิ่งที่เจี่ยนถงไม่รู้ก็คือ ผู้ชายคนที่เย็นชาในสายตาของเธอ หลังจากขับรถออกจากอาคาร แล้ววนกลับมาจากอีกฟากหนึ่ง รถจอดอยู่ใต้อาคาร ในเวลาเดียวกัน ในรถมีเสียงของเจี่ยนถงดังขึ้น และในขณะนี้ เจี่ยนถงกำลังเผชิญหน้ากับผู้บริหารระดับสูงของตระกูลเจี่ยนและจิ้งจอกเฒ่าพวกนั้นใต้อาคาร

ทุกอย่างที่เจี่ยนถงพูดและทำในอาคาร ในขณะเดียวกัน ก็ส่งถึงหูของเสิ่นซิวจิ่นเช่นกัน

ฟังผู้หญิงคนนี้กำลังเผชิญความยากลำบากกับเสื้อเฒ่าพวกนั้น แม้จะห่างไปจากสังคมสามปี แต่รากฐานที่มั่นคงเหล่านั้น ในเวลานี้ ทำให้เธอตกอยู่ในที่นั่งลำบาก

ได้ยินเช่นนี้ เสิ่นซิวจิ่นทอดถอนใจอย่างใจหายท่านแก่เจี่ยนที่เสียชีวิตไปแล้วได้สั่งสอนเจี่ยนถงอย่างเข้มงวด ตัวเขาที่เกิดในตระกูลเสิ่น รู้ดีที่สุด ถึงแม้จะเกิดเป็นผู้ชาย จะทำได้อย่างเจี่ยนถง ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และไม่ได้อธิบายให้เข้าใจด้วยคำพูดแค่ไม่กี่คำ

จู่ๆก็นึกขึ้นได้ว่าผู้หญิงคนนี้เคยพูดกับเขาในวันเกิดอายุ19ปีของเธอ เรื่องราวและความสำเร็จทุกสิ่งที่เกี่ยวกับโชค ถ้าไม่ถูกลิขิตด้วยฟ้า ก็จะมีเบื้องหลังความพยายามที่คนอื่นมองไม่เห็น

ในตอนนั้น ตัวเองไม่ค่อยได้ใส่ใจ แต่วันนี้ ได้ยินการดิ้นรนด้วยเหตุผลของเจี่ยนถงกับหูผ่านการโทรของเสิ่นเอ้อแล้ว ความเข้าใจในประโยคนั้นของเขาในตอนนั้น ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

“เจี่ยนถง ศึกครั้งนี้ สู้ได้สวยงามมาก” หันไปมองประตูที่เปิดออกของ‘กองทุนดวงหัวใจ’เสิ่นซิวจิ่นพูดกับตัวเองเสียงเข้มแต่ด้วยความภูมิใจภูมิใจแทนเจี่ยนถง

สตาร์ทรถเหยียบคันเร่งรถแล่นไปตามถนนอย่างไม่เร่งรีบ…..ข้อเท็จจริงได้รับการพิสูจน์แล้วเธอไม่ต้องการความช่วยเหลือจากตัวเอง เธอทำได้

เจี่ยนถงยืนอยู่หน้าห้องประชุม วางมือบนโต๊ะ สายตากวาดมองจากชั้นบนลงล่าง เธอรู้ ชัยชนะในศึกแรก

“ในเมื่อทุกคนเห็นด้วยกับความคิดของฉัน เช่นนั้น ก็ไปทำงานกันได้แล้ว” เธอประกาศเลิกประชุม รอจนกว่าในห้องประชุมเหลือเพียงเธอกับเสิ่นเอ้อ ไม่มีคนอื่น ในที่สุด ขาอ่อนแรงทรุดตัวลงกับพื้น

เสิ่นเอ้อรีบไปรับไว้ “คุณเจี่ยน คุณไม่เป็นไรนะ”

ขณะที่เสิ่นเอ้อยื่นมือเข้าไปประคองเจี่ยนถง ตกตะลึง “คุณเจี่ยนด้านหลังเสื้อคลุมของคุณเปียกหมดแล้ว เดี๋ยวฉันให้เลขาหน้าห้องไปซื้อตัวใหม่มาให้นะ”

“ห้ามไป” เจี่ยนถงตาหด เรียกเสิ่นเอ้อทันที เสิ่นเอ้อไม่เข้าใจ “แต่ว่าเสื้อของท่าน”

เจี่ยนถงมองเสิ่นเอ้อแล้วส่ายหน้า “ถ้าคุณไป ก็จะทำให้คนอื่นสงสัยในความมั่นใจและความน่าเกรงขามของฉันเมื่อครู่ที่แสดงออกไป ก็จะล้มเหลวทั้งหมด”

เสิ่นเอ้ออ้าปาก ไม่รู้ควรจะพูดอะไร

ใครว่าคุณเจี่ยนเป็นคนอ่อนแอ

ใครเป็นคนพูดว่าเธอหลังจากออกจากคุก กลายเป็นคนต่ำต้อยถูกคนดูถูก

แสดงให้เห็นว่า พวกเขาเป็นคนตาบอด

เสิ่นเอ้อเห็นกับตา ผู้หญิงที่แม้แต่ก้าวเดินก็ยังลำบากคนนี้ ยืนอยู่ในห้องประชุมที่ใหญ่อย่างอ่อนแรง ต้องเผชิญกับพวกที่มีความคิดต่าง และต้องเผชิญกับจิ้งจอกเฒ่าพวกนี้ อยู่ภายใต้ฝูงหมาป่า เผชิญกับทุกอย่างอย่างโดดเดี่ยวและความกดดัน

เจี่ยนถงหายใจเข้าและหายใจออกอย่างแรง ในเวลานี้สีหน้าเริ่มดีขึ้น พยุงพื้น ยืนขึ้นด้วยความเจ็บปวดที่เอวและขา

“ฉันช่วยพยุงคุณนะ” เสิ่นเอ้อเห็นเธอเดินเซไปมา รีบเดินเข้าไป

เจี่ยนถงผลักมือของเสิ่นเอ้อออก “ขอบคุณ” แต่ฉันไม่ต้องการ

เธอไม่ได้พูดประโยคที่สอง เพราะปฏิกิริยาของเธอ ได้บอกเจตนาของเธออย่างชัดเจนแล้ว

ตอนเธอเดินออกจากห้องประชุม ทุกคนในแผนกเลขาต่างจ้องมองเธอ เจี่ยนถงไม่ได้สนใจเหล่านี้ หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าของตัวเอง โทรหาเบอร์เบอร์หนึ่งเมื่อสามปีที่แล้ว “วิเวียน ฉันคือเจี่ยนถง ฉันเอา‘กองทุนดวงหัวใจ’กลับมาแล้ว ฉันต้องการให้พวกคุณกลับมา”

สิ่งที่เธอพูดคือ “พวกคุณ” ไม่ใช่ “คุณ” อีกฝ่ายของโทรศัพท์วิเวียนปิดปากด้วยความตกใจเวลาเกือบสามสิบวินาที ในโทรศัพท์ไม่มีเสียงอะไรเลย เจี่ยนถงไม่ได้เร่ง เกือบหนึ่งนาที คนในสายกลืนน้ำลาย ดึงศักยภาพของมืออาชีพออกมา

“ตกลง หนึ่งชั่วโมง ประธาน……..เจี่ยน”

เจี่ยนถงกะพริบตา เก็บความเจ็บปวดในตา “ถดถอย คุณปล่อยให้อารมณ์ของคุณควบคุมแล้ว”

แม้เจี่ยนถงจะวิจารณ์วิเวียน แต่คนด้านหลังน้ำตาไหลพรากๆ…….ใช่ นี่คือเจี่ยนถงข่าวลือก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องเท็จ

ผู้หญิงที่หยิ่งผยองเช่นนั้น จะยอมทิ้งความภาคภูมิใจของตัวเองได้อย่างไร

วิเวียนคิดอย่างนั้น แต่เธอไม่รู้ ผู้หญิงที่วิจารณ์เธอเหมือนที่ผ่านมาในโทรศัพท์ จริงๆแล้ว ความคิดได้เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมตั้งนานแล้ว

เมื่อก่อนเธอทำสิ่งเหล่านี้ด้วยความระมัดระวัง แต่ตอนนี้ทำสิ่งเหล่านี้ เป็นการบังคับให้ตัวเองทำ

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป วิเวียนนำพาทีมเดิม มาปรากฏตัวตรงหน้าของเจี่ยนถง “ประธานเจี่ยน ขอโทษด้วย ในสิบคนขาดไปสามคน”

วิเวียนพูด

เจี่ยนถงพยักหน้า เธอเข้าใจการตัดสินใจของสามคนนั้น ดังนั้นรู้สึกขอบคุณเจ็ดคนที่อยู่ตรงหน้า “ขอบคุณพวกคุณมาก ที่มาปรากฏอยู่ตรงหน้าฉันในวันนี้”

“ประธานเจี่ยน พวกเรากำลังรอคุณกลับมา พวกเราเชื่อว่าคุณจะต้องกลับมา‘กองทุนดวงหัวใจ’” วิเวียนตาแดง “ประธานเจี่ยน หลังจากที่เกิดเรื่อง พวกเราหลายคนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อพบคุณแต่ทุกครั้งก็จะถูกขัดขวางอย่างแปลกใจ หลังจากที่ครบกำหนดพวกเราก็อยากจะเลี้ยงต้อนรับคุณ

แต่เมื่อพวกเราไปถึง รอท่านหนึ่งวัน แต่ก็ไม่เจอ ต่อมา พวกเราก็ติดต่อท่านไม่ได้อีกเลย” แม้ต่อมาจะได้ยินคำซุบซิบว่าเจี่ยนถงอยู่ที่ตงหวง แต่พวกเธอก็ไม่กล้าไปหาเจี่ยนถงแล้ว เพราะรู้ว่าถ้าคำซุบซิบเหล่านั้นเป็นเรื่องจริง ประธานเจี่ยนจะต้องไม่อยากให้ใครเธอในสภาพเช่นนั้น

คำพูดของวิเวียน ได้หว่านความสงสัยไว้ในใจของเจี่ยนถง

มองดูใบหน้าทั้งเจ็ดตรงหน้า เจี่ยนถงไม่ได้สงสัยคำพูดของพวกวิเวียน รู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานที่แบบนั้น มีคนคิดถึงมีคนมาเยี่ยม ใจของเธออ่อนลง หัวใจที่เยือกเย็นมานานมีอุณหภูมิของคนที่มีชีวิตอยู่

และในสามปีนั้น ตัวเองไม่เคยได้ยินข่าวว่ามีใครมาเยี่ยมเลย……..เสิ่นซิวจิ่น คุณใจร้ายมาก!

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจี่ยนถงเหมือนจะเปลี่ยนเป็นอีกคน เงียบขรึมมากขึ้นแต่ดูเหมือนจะเชื่อฟังมากขึ้น…….เชื่อฟังที่เสิ่นซิวจิ่นบอก

เขาบอกทางขวา เธอก็จะไม่ไปทางซ้าย

เขาบอกว่าท้องฟ้าเป็นเหลี่ยม เธอก็ไม่เคยบอกว่ามันกลม

ภายใต้ความเชื่อฟังนี้ กลับมีใจที่อยากจะหนีไปให้เร็วที่สุด

เรื่องของ‘กองทุนดวงหัวใจ’เธอต้องทำงานหนักมาก เป็นหนังหน้าไฟเสมอ สิ่งที่คนของตระกูลเจี่ยนเคยทำหลังจากที่เธอเข้าคุก เธอก็ทำให้กลับมาเหมือนเดิมใช้วิธีที่ให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้นอย่างรวดเร็วที่สุด ให้พวกวิเวียนขึ้นดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจในการบริหารจัดการ และเหมือนปลาวาฬกินเนื้อ ในเวลาอันสั้น ยุติความวุ่นวายภายในบริษัท

เรื่องภายในของบริษัทเหล่านี้ให้พวกวิเวียนเป็นคนดำเนินการ และสิ่งที่เธอต้องทำก็คือ ไว้วางใจอย่างแท้จริงและการกระจายอำนาจ

และสิ่งที่เจี่ยนถงต้องทำมากที่สุดก็คือ การเยี่ยมเยียนพันธมิตรของ‘กองทุนดวงหัวใจ’เป็นรายๆ กลับมาร่วมมือกันใหม่

คงจะมีเรื่องยุ่งยากมากมายที่นี่

ความวุ่นวายในบริษัทสงบลง มันก็ได้ทำลายรากฐาน แต่เธอสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างราบรื่น ทำให้หลายคนไม่สบายใจ และเธอได้ไปเยี่ยมพันธมิตรที่เคยร่วมมือกันเมื่อไม่นานมานี้

คนที่สนใจ ก็สามารถค้นหาแผนการทำงานของเธอได้

ยังไม่ทันรอเธอเจรจากับพันธมิตรเหล่านั้นสำเร็จ คลื่นที่อยุติธรรมก็เกิดขึ้น คนในบริษัทก็เผยแพร่คลิปตอนหนึ่งออกไป เนื้อหาในคลิปก็คือเจี่ยนถงคุกเข่าตรงหน้าผู้ชายหัวล้านวัยกลางคนที่มีพุงใหญ่คนหนึ่ง กำลังนวดเท้าให้ชายผู้นั้น แต่ในคลิปวิดีโอ ข้างๆเจี่ยนถงมีกระเป๋าที่เต็มไปด้วยเงินหนึ่งใบ

ระยะเวลาของคลิปวิดีโอไม่ยาว สั้นมากไม่ถึงหนึ่งนาที แต่ทำให้ทุกคนเห็นผู้หญิงในคลิปเป็นคนที่น่ารังเกียจมาก

ทันใดนั้น ‘กองทุนดวงหัวใจ’เดือดร้อนกันมาก เจี่ยนถงเพิ่งมาทำงาน ก็สังเกตเห็นทุกที่ที่เดินผ่าน ต่างจ้องมองเธอด้วยสายตาที่ผิดปกติ

ขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น”ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะถาม

เริ่มแรกไม่มีใครยอมพูด เจี่ยนถงเห็นสีหน้าทุกคนแปลกๆ โดยเฉพาะสายตาแต่ละคู่ ดูเหยียดหยาม……..เธอคุ้นเคยมาก

ทันใดนั้น ความกลัวที่เป็นนิสัยก็ปรากฏออกมา…….ความกลัวแบบนี้ เจี่ยนถงไม่สามารถควบคุมได้ เป็นผลสืบเนื่องหลังจากที่ถูกทรมานเป็นเวลานาน

เหมือนเงื่อนไขกำลังย้อนกลับมา เมื่อได้สัมผัสจุดนี้ ความกลัวของการสะท้อนกลับนี้น่ากลัวมาก

เธอยกเท้าขึ้น คิดอยากจะหนีไปให้ไกล

ยกเท้าขึ้นเดินไปได้ไม่กี่ก้าว

จู่ๆก็มีวัตถุแปลกปลอมโยนมา “ผู้หญิงต่ำต้อยอย่างเธอ มีสิทธิ์อะไรมาดูแล‘กองทุนดวงหัวใจ’ไสหัวไป‘กองทุนดวงหัวใจ’” คนที่โยนสิ่งของมาตะโกนออกมาอย่างเสียงดัง

เหมือนสวิตซ์อะไรถูกเปิดออก อยู่ดีๆก็ควบคุมไม่ได้ หลังจากที่มีเสียงแรก ก็มีเสียงที่สอง เสียงที่สาม เสียงที่สี่ตามมา ………เสียงนับไม่ถ้วนพุ่งมาที่เจี่ยนถง สิ่งของนับไม่ถ้วนถูกโยนมาที่เจี่ยนถง มีก้อนกระดาษ มีอาหารเช้า แซนด์วิช ไข่สไปซี่ เครปจีน……..

ไม่นาน สิ่งของโบยบินอยู่เต็มท้องฟ้า

การตอบสนองของเสิ่นเอ้อรวดเร็วมาก ป้องกันให้เจี่ยนถงทันที แต่ก็รอดยาก

“ไสหัวไปจาก‘กองทุนดวงหัวใจ’”

“คุณไม่สมควรเป็นประธานของ‘กองทุนดวงหัวใจ’”

“ผู้หญิงที่น่ารังเกียจ คุณจะทำให้‘กองทุนดวงหัวใจ’เดือดร้อน”

เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ เจี่ยนถงหน้าซีด พวกวิเวียนรีบลงมาใต้ตึก “ประธานเจี่ยน”

“พวกคุณกำลังทำอะไร พวกคุณไม่เคารพประธานเจี่ยนเลย”

“หยุดโยนได้แล้ว”

พวกวิเวียนเสริมเข้าไปในความวุ่นวาย ตะโกนอย่างต่อเนื่อง แต่ช่วยอะไรไม่ค่อยได้เลย

“ไม่เคารพ สำหรับผู้หญิงที่น่ารังเกียจอย่างนั้น ยังหวังความเคารพจากคนอื่นอีกเหรอ”

เจี่ยนถงหน้าซีด เอื้อมมือออกไปผลักเสิ่นเอ้อออก พวกวิเวียนปกป้องเจี่ยนถงอยู่ด้านหน้า ก็ถูกเจี่ยนถงผลักออกเช่นกัน

เธอเดินไปด้านหน้าหนึ่งก้าว ทันใดนั้นก็มีกาแฟหนึ่งแก้วโยนมาบนหัวของเจี่ยนถงเสิ่นเอ้ออยากจะขวางไว้ แต่ไม่ทัน กาแฟราดบนหัวเจี่ยนถง ทันใดนั้น ของเหลวสีน้ำตาล ราดอยู่บนหัว ไหลลงตามเส้นผมลงมาบนตัวเปียกไปหมด

เธอยกมือขึ้นเช็ดหน้าผาก สายตาตกอยู่บนคอมพดิวเตอร์ที่อยู่บนโต๊ะทำงานที่ใกล้ที่สุด ภาพบนนั้นสะดุดตา ทันใดนั้น ในใจเธอ ขึ้นๆลงๆ

ยกเท้าขึ้นแล้วเดินเข้าไปใกล้ เปิดคลิปขึ้นมา วิดีโอเริ่มเล่น สีหน้าเธอยิ่งซีด เมื่อรอวิดีโอเล่นจบ บนหน้าที่ไม่มีเลือดฝาดเลยซีดมาก

เป็นภาพตอนที่เว่ยซือซานพาเธอไปงานเลี้ยง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องนั้น

แต่…….มีคลิปวิดีโอได้อย่างไร

ฝีมือใคร!

เดี๋ยวก่อน มุมนั้น!

ใจเจ็บปวดจนแทบขาดใจ!

เห็นคลิปวิดีโอเล่นซ้ำแล้วซ้ำอีก ตาของหญิงสาวชาไปหมด

“ประธานเจี่ยน ระวัง” เมื่อเห็นหลังของหญิงสาวสั่น วิเวียนตกใจมาก รีบเข้าไปพยุงเจี่ยนถง “ประธานเจี่ยน ท่านโอเคไหม”

คลิปวิดีโอนั้นเธอก็เห็นแล้ว ในเวลานี้สีหน้าของวิเวียนก็สับสนเช่นกัน ในใจของเธอ เจี่ยนถงเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจและหยิ่งในศักดิ์ศรีมาก ไม่สามารถเอาไปเชื่อมโยงกับผู้หญิงในคลิปวิดีโอนั้นได้

เจี่ยนถงชาไปหมด สายตาคู่นั้นยังจับจ้องไปที่วิดีโอ ตาไม่กะพริบเลย ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เธอกำลังคิดอะไรอยู่

“ประธานเจี่ยน คุณจะไปไหน” วิเวียนปล่อยมือ ไม่ได้พยุงเจี่ยนถงผู้หญิงคนนั้นวิ่งออกไปด้วยความตื่นตระหนก

เสิ่นเอ้อตามไป

“ไม่ต้องตามมา” เจี่ยนถงหันมา ตะโกนด้วยน้ำเสียงที่แหบ

ด้านนอกฝนกำลังตก เธอวิ่งออกไป ล้มลงบนบันได ฝนตกหนักมาก เธอวิ่งออกไปข้างถนน ยื่นมือออกไปโบกรถแท็กซี่คันหนึ่ง

“คุณไม่เป็นไรใช่ไหม คุณผู้หญิง” คนขับรถแท็กซี่มองผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้านหลังหน้าซีดเหมือนผี “คุณผู้หญิง คุณไม่สบายใช่ไหม ฉันส่งคุณไปโรงพยาบาลไหม”

ที่เบาะหลัง เจี่ยนถงกอดตัวเองไว้อย่างแน่น สีหน้าซีดเหมือนกระดาษ เธอสามารถแสดงความมั่นใจต่อหน้าผู้คน แต่วันนี้หลังจากที่คลิปวิดีโอนั้นแพร่ออกไป สายตาที่เหยียดหยามหลายคู่……..เหมือนตกอยู่ในฝันร้าย ถูกกระชากผม ทุบตี ถุยน้ำลายใส่……..ศักดิ์ศรี ความเป็นคนของเธอ ค่อยๆลบออกจากตัวเธอ

กาลครั้งหนึ่งนักโทษในเรือนจำเดียวกันมองตัวเองด้วยรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยาม สายตาที่เคยจ้องมองนั้น รวมกับสายตาที่ดูหมิ่นในวันนี้

จ่ายเงิน ลงจากรถ เธอไม่เคยกระตือรือร้นที่จะเข้าไปในที่ที่เธอไม่ชอบมาโดยตลอด

ตลกมาก ห้องที่รังเกียจ จะกลายเป็นที่หลบภัยสำหรับเธอในวันนี้

มองไปรอบๆ ร่องรอยของการเสียดสีเกิดขึ้นในใจ

……..

เมื่อเสิ่นซิวจิ่นรับสาย ก็รีบกลับมาทันที

ผ้าม่านหนาๆถูกดึงปิดหมด ไม่เปิดไฟ ในห้องมืดมาก ตามหาในห้องหนึ่งรอบ สุดท้ายเจอเธออยู่ในตู้ห้องเก็บของ

วินาทีที่เปิดตู้ ชายผู้นั้นเจ็บปวดในใจ ก้อนเล็กๆนี้ เบียดอยู่ในตู้ เขาค่อนข้างมั่นใจ ในขณะที่เปิดประตูตู้ คนในตู้วินาทีนั้นอยากจะหลบหนีมาก ตู้ก็ใหญ่แค่นี้ จะสมปรารถนาของเธอได้อย่างไร

แต่ปฏิกิริยาของเธอ น่าสงสัยมาก

ต่อมาวันหนึ่งเขาได้เห็นคลิปวิดีโอที่ถูกซ่อนโดยเจตนาของบางคน ถึงได้รู้ว่า เจี่ยนถงเธอ ทำไมถึงเหมือนคุ้นชินกับการอยู่ในที่แคบเช่นนั้นได้…….คลิปวิดีโอตอนนั้น ตีความทุกอย่าง ——ผู้หญิงคนหนึ่งโดนแกล้งและถูกขังในกรงหมา

ในตอนนั้น ถึงได้เข้าใจ ทำไมผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเองคนหนึ่ง ในระยะเวลาสามปี กลายเป็นคนที่ถูกผู้คนดูถูกเหยียดหยาม

ในตอนนั้น……..เขาโกรธมากอยากจะฉีกคนที่ทำร้ายเธอแยกออกเป็นชิ้นๆ แต่ที่เกลียดที่สุดคือ ก็คือตัวเขาเอง

“คุณมาเพื่อหัวเราะฉันใช่ไหม” เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้น มองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า มีรอยยิ้มเศร้าอยู่ที่มุมปาก “ประธานเสิ่น ท่านเห็นแล้ว ท่านดีใจมากใช่หรือไม่ ยิ่งฉันแย่ ท่านก็จะยิ่งมีความสุขไม่ใช่เหรอ”

ฮ่าๆ ยิ่งเธอแย่ ยิ่งทำให้เซี่ยเวยเหมิงที่อยู่ข้างล่างยิ่งหลับสนิทมากว่า

“ประธานเสิ่น……จริงๆแล้วคุณ ไม่เห็นต้องทำอะไรมากมายขนาดนี้ ทุกอย่างที่คุณทำก่อนหน้านี้ ไม่เหมือนคุณ ฉันคิดมาโดยตลอด ทำไมคุณถึงเปลี่ยนการกระทำที่มีต่อฉัน…….ที่แท้ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง”

เสิ่นซิวจิ่นนัยน์ตาดำคล้ำลง หายใจไม่ออก ใช้สายตาที่เสียใจมาก มองผู้หญิงที่กอดเป็นก้อนในตู้

เสียงที่แหบต่ำ จู่ๆก็ดังขึ้น “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ แบบนี้คือแบบไหน”

เสียงแหบต่ำ แต่ทุกคำพูดก็เข้าไปในหูผู้หญิง ผู้หญิงกอดตัวเองแน่น ในใจเหมือนคลื่นโหมซัดสาด………ทำไมเขายังถามออกมาด้วยความมั่นใจได้ แบบนี้คือแบบไหน

“เหอๆ เหอๆ…….แบบนี้คือแบบไหน ประธานเสิ่น คุณกำลังถามฉันใช่ไหม แบบนี้คือแบบไหนใช่ไหม” เอเงยหน้าขึ้นมอง มองผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ใบหน้าที่เย็นชาและหล่อเหลานั้น ทันใดนั้น ชี้ไปที่ตัวเองอย่างโหดร้าย “ประธานเสิ่น คุณดูเองไม่เป็นเหรอ”

แบบนี้คือแบบไหน

ทุกอย่างอยู่ใต้จมูกของคุณไม่ใช่เหรอ

ฉันรู้ ในสายตาของคุณ ฉันเป็นฆาตกรที่ทำให้เซี่ยเวยเหมิงต้องเสียชีวิต คุณเกลียดฉัน คุณตอบโต้ แต่ฉันเป็นคน เป็นคนนะ

ฉันก็เจ็บเป็น ฉันมีความรู้สึก ฉันไม่ใช่หุ่นเชิด”

เจี่ยนถงเงยหน้า ดวงตาที่ชาของเธอ สุดท้ายนี้เป็นครั้งแรกที่เธอพูดตรงไปตรงมาโดยไม่ปิดบังความเจ็บปวดในดวงตา พูดต่อหน้าเสิ่นซิวจิ่น เธอบอกว่า น้ำตาของเธอไหลจนแห้งแล้ว เธอบอกว่า เธอร้องไห้ไม่ออกแล้ว แต่วินาทีนี้ ในดวงตามีหยดน้ำใสๆไหลออกมา ลืมตาขึ้น เงยหน้าขึ้นมองผู้ชายตรงหน้า พูดเบาๆว่า

“เมื่อสามปีก่อน คุณน่าจะปล่อยให้ฉันตายไปเลยน่าจะดีกว่า” กะพริบตา น้ำตาไหลซึม

ตายแล้ว ก็ไม่ต้องถูกกดลงบนเตียงผ่าตัด เอาไตไป “คุณจะต้องไม่เข้าใจ รับรู้ส่วนหนึ่งของร่างกาย ตอนถูกคนอื่นเอาออกไปจากร่างกายของตัวเองโดยมีสติอยู่ ความรู้สึกนั้น แย่กว่าการสูญเสียก็คือมีสติตั้งแต่ต้นจนจบรับรู้ทุกอย่าง

คุณไม่เข้าใจ อยู่ในสถานที่แบบนั้น ท้องฟ้าที่มองผ่านหน้าต่างเหล็กเล็กๆนั้นเป็นอย่างไร คุณไม่เข้าใจชีวิตสามปีในหนึ่งพันกว่าวันนั้น มันยากแค่ไหน คุณร็ว่าถ้าไม่เชื่อฟัง ก็จะวินาทีนั้นที่ถูกถอดเสื้อผ้าแล้วมัดไว้…..” อยู่ข้างๆโถชักโครกเธอหวังว่าจะตายไปให้รู้แล้วรู้รอดซะดีกว่า……..เจี่ยนถงสำลัก ไม่ได้พูดต่อไป เพราะพูดต่อไปไม่ไหวแล้ว!

จะให้เธอพูดอย่างไร!

ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี!

จะให้เธอบอกคนที่อยู่ตรงหน้าที่ทำให้เธอมีชีวิตอยู่เหมือนตายพูดกับผู้กระทำผิดในสถานการณ์ที่น่าอายและเจ็บปวดนี้ได้อย่างไร

แล้วเธออยากให้เขาพูดอะไร?

ขอโทษ?

หรือว่า…….สมน้ำหน้า?

“เสิ่นซิวจิ่น” เธอแสร้งทำต่อไปไม่ไหวแล้ว ทุกๆคำเรียก“ประธานเสิ่น”นั้น ไม่สามารถแสดงออกถึงความรู้สึกความเกลียดชังที่สับสนต่อผู้ชายตรงหน้าได้ “เสิ่นซิวจิ่น คุณจะไม่ให้ฉันเกลียดคุณได้อย่างไร”

หลับตา น้ำตาที่เหือดแห้งในปีนั้น จู่ๆก็กลับมา น้ำตาที่สะสมมาหลายปี เหมือนไม่ต้องการเงิน เธอหลับตา น้ำตาไหลอาบหน้า เธอไม่สามารถควบคุมน้ำตานั้นไว้ได้

ไหลเลย ไหลเลย ไหลให้มันแห้งไปเลย อดทนมากพอแล้ว ไม่ทนแล้ว “เสิ่นซิวจิ่น!เสิ่นซิวจิ่น!เสิ่นซิวจิ่น!” เสียบหยาบนั้น ดื่มจนปวดใจ เรียกชื่อเขาอย่างหดหู่ ไม่มีอย่างอื่น ความรักและความเกลียด ความสุขและความทุกข์ทั้งหมด ความคิดถึงและความกลัว ไม่ต้องการการร้องเรียนอะไรเลย “เสิ่นซิวจิ่น” สามคำนั้น เพียงพอที่จะครอบคลุมทุกสิ่ง และมีเพียงสามคำนี้ท่ามารถพูดถึงครึ่งแรกของชีวิตของเจี่ยนถงได้

“เสิ่นซิวจิ่นเสิ่นซิวจิ่นเสิ่นซิวจิ่น…….” ฝนนอกหน้าต่าง เสียงในบ้าน…….ความเศร้าโศกและความเจ็บปวดในอากาศความขุ่นเคืองและความเกลียดชัง เพียงแค่ความรักในตอนนั้น ยังคงเหลือสักเท่าไหร่

ความเจ็บปวดของชายคนนั้น บาดเจ็บขึ้นอีก ความเสียใจมันทำให้ใจสลาย

ชายผู้นั้นยืนอยู่หน้าตู้ มองดูผู้หญิงที่กำลังร้องไห้อย่างหนัก คอหอยกลิ้งไปมา มีคำพูดอีกมากมายที่ควรจะพูด แต่ก็พูดไม่ได้

รูปร่างสูงใหญ่ โน้นตัวลง สองแขนยื่นออกไป

“อย่าแตะต้องตัวฉัน” เสียงแหบแห้ง จู่ๆก็ตะโกนขึ้นมา ชายผู้นั้นเห็นความเกลียดชังในสายตาของผู้หญิง ความเจ็บปวดในใจแผ่ซ่าน เหลือบมองผู้หญิง ยืนมือไปให้เธอต่อไป

“ฉันบอกว่า ไม่ต้องแตะต้องตัวฉัน” เจี่ยนถงจ้องหน้าเสิ่นซิวจิ่น เหมือนกำลังจ้องหน้าศัตรู มือคู่นั้นของเขา เพียงแค่ยื่นมา เหมือนเม่นที่กำลังทำร้ายเขา และทำร้ายตัวเองด้วย

เสิ่นซิวจิ่นยื่นแขนออกไปอย่างไร้คำพูด วินาทีต่อมา เจ็บแปลบที่มือซ้าย คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย เหลือบมองผู้หญิงที่กัดแขนเขาด้วยฟันแหลมคม ดวงตาสีเข้ม ยอมโดยปริยาย

“สะใจหรือยัง” เป็นเวลานาน เสียงทุ้มของชายผู้นั้น ขัดจังหวะความเงียบของห้อง

เล่ากันว่า เจี่ยนถงตาหด เงยหน้าขึ้นมองทันที ใบหน้าอันหล่อเหลาของชายผู้นั้นก็สงบลง ไม่กี่วินาทีต่อมา เธอยิ้มอย่างเศร้าโศกแบบเงียบๆ

สะใจหรือยัง?

สะใจ?

หลับตา…….เสิ่นซิวจิ่น คุณไม่เข้าใจฉัน

พยายามทำใจให้สงบ ใจเย็นๆเท่านั้น จึงจะมีสติและปัญญา

”ใจเย็นลงหรือยัง” ข้างหู มีเสียงทุ้มดังขึ้นอีกครั้ง

เจี่ยนถงลืมตาขึ้น

“ถ้าใจเย็นลงแล้ว ไปที่ห้องน้ำ ไปล้างหน้าล้างตา หลังจากนั้นไปพบฉันที่ห้องหนังสือ” เขาพูด หันหลังแล้วเดินไปที่ห้องหนังสือ เดินไปด้วยพูดไปด้วย “สิบห้านาที ฉันจะรอคุณเพียงแค่สิบหน้านาที”

ตอนเขาหันหลัง สายตาที่เหลือบมองเจี่ยนถง มีความกดดันในนั้น บอกเจี่ยนถงแม้เธอไม่เต็มใจ ให้ทำตามที่เขาสั่ง

สิบห้านาทีต่อมา เธอยืนอยู่หน้าประตูห้องหนังสือ ลังเลอยู่สักครู่ ยกมือขึ้นกำลังจะเคาะประตู ก็ได้ยินเสียงเย็นชาที่เป็นเอกลักษณ์ของชายผู้นั้นดังออกมา “เข้ามา”

ตะลึงสักครู่…….เขารู้ได้อย่างไรว่าเธอยืนอยู่ด้านนอกประตู

ผลักประตูเข้าไปตามเสียง ผู้ชายในห้องหนังสือนั่งอยู่หลังโต๊ะ ชี้ไปที่โซฟาที่อยู่ตรงข้าม เจี่ยนถงเดินไปเงี่ยบๆ แล้วนั่งลง

มีความเงียบแปลกๆ เกิดขึ้นอีกครั้งในห้องหนังสือ ชายผู้นั้นไม่ได้พูดอะไรออกมาทันที แต่ในเวลานี้เธอรู้สึกเหมือนมีตะปูอยู่ใต้ก้น สายตาเฉียบแหลมของชายผู้นั้น แม้เธอจะก้มหน้าก้มตาอยู่ก็ตาม แต่ก็ยังสัมผัสได้ชัดเจน

“หนีทัพ” ผ่านไปไม่นานเสียงเย็นชาก็ดังขึ้น

สองคำนี้ออกมา เจี่ยนถงไหล่สั้นทันที แม้แต่การหายใจยังติดขัด แต่ก็ยังคงจ้องที่หัวเขาไม่พูดอะไร

“คนขี้ขลาด” เสียงเย็นชาพูดขึ้นอีกครั้งอย่างไม่ลังเล

เจี่ยนถงนั่งตัวแข็งบนโซฟา แต่ก็ไม่พูดอะไรเหมือนเดิม เม้มปากไว้แน่น เผยความไม่พอใจของเธอออกมา

“ท่านแก่เจี่ยนปกป้องเธอดีเกินไป ใช้ชีวิตอยู่ในความคุ้มครองของท่านแก่เจี่ยนมาโดยตลอด คุณไม่สามารถดูแล‘กองทุนดวงหัวใจ’ในฐานะผู้ก่อตั้งได้”

เจี่ยนถงที่นั่งอยู่บนโซฟา อารมณ์แปรปรวน เงยหน้าขึ้นทันที โกรธมาก “จะว่าอะไรฉันก็ได้ คุณมีสิทธิ์อะไรมาว่าฉันดูแล‘กองทุนดวงหัวใจ’ไม่ได้ ‘กองทุนดวงหัวใจ’เป็นสิ่งที่ฉันค่อยๆสร้างมันขึ้นมากับมือ” จะว่าอะไรก็ได้ แต่ผู้ชายที่สมควรตายคนนี้ ไม่ควรจะพูดว่าฉันดูแล‘กองทุนดวงหัวใจ’ไม่ได้

เสิ่นซิวจิ่นเอามือไว้หลังหัว เอนหลังพิงเก้าอี้ เหลือบมองเจี่ยนถง เหมือนกำลังพูดว่า “อ้อ~คุณเก่งมากเลย” แต่สายตานั้น แต่เธอรู้สึกถึงความประชดประชันอย่างเห็นได้ชัด “คุณเก่งมาก” จากนั้นก็มีความประชดในระดับที่มากขึ้น

“ผู้หญิงตัวคนเดียว แต่อยากจะเข้าสนามรบของผู้ชาย ตั้งแต่เริ่มแรก คุณก็ต้องเตรียมใจไว้แล้ว วิถีแห่งความล้มเหลว มันไม่ใช่แค่ความพ่ายแพ้ คุณคงไม่คิดว่า คู่ต่อสู้ของคุณ ทุกคนเป็นสุภาพบุรุษใช่ไหม” เสียงนุ่มบอกความจริงที่โหดร้ายที่สุด

“ตั้งแต่ที่คุณเดินเข้าไปในสนามรบของผู้ชายคนนี้ คุณก็ต้องเข้าใจสิ่งหนึ่ง ในทางธุรกิจ มีแค่สำเร็จและล้มเหลว คู่ต่อสู้ของคุณ จะขัดขวางคุณในรูปแบบต่างๆ

แค่คลิปวิดีโอคลิปเดียว คุณก็รับไม่ได้แล้ว” พูดถึงเรื่องนี้ เสียงหัวเราะที่ต่ำทุ้ม เข้าไปในหูของเจี่ยนถงอย่างชัดเจน “เจี่ยนถง ว่าไปแล้ว ก็ยังเป็นเพราะท่านแก่เจี่ยนของคุณคุ้มครองคุณดีเกินไป คุณยังไม่เคยได้เผชิญหน้าจริงๆ อะไรเรียกว่า สนามรบที่ไม่มีเขม่าปืน”

พูดจบ ชายผู้นั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ จัดระเบียบเสื้อผ้า หันหลังแล้วเดินออกไป ออกจากห้องหนังสือโดยไม่มีคำพูด

ในห้องหนังสือว่างเปล่า เหลือแค่เจี่ยนถง ที่นั่งอยู่บนโซฟา มองโต๊ะที่ไม่มีร่องรอยแล้ว ตอนนี้ ในหูยังมีมีเสียงหึ่งๆอยู่

เมื่อก่อน……..ไม่ เป็นก่อนวันนี้ เจี่ยนถงคิดมาโดยตลอด ความเป็นเลิศของตัวเอง ไม่แพ้ผู้ชายคนไหน คิดเช่นนี้มาโดยตลอดว่าการเติบโตของ‘กองทุนดวงหัวใจ’โตขึ้นอย่างฉับพลัน ได้มาจากพรสวรรค์และความพยายามของตัวเอง

แต่ตอนนี้ เธอก็ยังคงคิดเช่นนั้น แต่ เมื่อสักครู่นี้ ชายผู้นั้นแสดงให้เห็นว่าในธุรกิจ เธอไม่เคยเห็นอีกมุมหนึ่งเลย——คู่ต่อสู้ของคุณ ไม่ใช่สุภาพบุรุษทุกคน

ในความเป็นจริง ตั้งแต่เธอก้าวเข้าในวงการธุรกิจเป็นวันแรก คุณปู่ก็สอนเธอว่า ในธุรกิจกระแสน้ำมืดโหมกระหน่ำ แค่ฉันไม่เคยคิดจริงจังกับมัน

เธอไม่ใช่คนโง่ คำพูดของชายคนนั้นเมื่อสักครู่ ไม่ว่าจะเยาะเย้ยเธอก็ดี หรือแนะนำเธอก็ดี แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่น่าจะผิดไปได้——เรื่อง “คลิปวิดีโอ”ในวันนี้ มีคนอดกลั้นไม่ไหวแล้ว

นั่งอยู่บนโซฟา ผู้หญิงก้มหัวลง มองดูพรมแล้วเงียบอยู่นาน

แต่ในหัวหมุนเร็วมาก

ก่อนอื่น มุมกล้อง เป็นมุมที่ส่องมาจากประตูใหญ่ และเธอย้อนคิดถึงเรื่องราววันนั้น………ที่ประตูใหญ่มีใครอยู่

แต่ แล้วจะมีใครที่ไร้สาระเอากล้องมาถ่ายทั้งหมดไว้

หยิบโทรศัพท์ออกมา ในสมองมีตัวเลข11ตัว ความทรงจำยังคงอยู่ หยุดนิ้วค้างไว้ที่ปุ่มโทรออกอยู่นาน

เวลาผ่านไปทีละนิด กัดฟัน แล้วกดลงไป

“ตึ๊ด——ตึ๊ด——“ ดังอยู่นาน ในระหว่างที่เจี่ยนถงกำลังจะวางสาย อีกฝ่ายก็มีเสียงรับโทรศัพท์ดังขึ้น

เงียบเหมือนกัน

ทั้งสองคน แต่ละคนถือโทรศัพท์ในมือ ในสายที่ไม่มีเสียง ไม่มีใครยินดีพูดก่อน

ความเกลียดชังในสายตาของเซียวเหิง ซ่อนไม่อยู่…..เพราะผู้หญิงคนนี้ ทำให้ตัวเองอับอายเป็นตัวตลก

ทุกครั้งที่เขาฝันถึงความรู้สึกดีๆที่มีให้ผู้หญิงคนนี้ ตามใจเธอตลอด เขาก็จะรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนโง่มาก โง่จริงๆ เป็นตัวตลกที่โง่ตั้งแต่ต้นจนจบ

เพื่อผู้หญิงคนนี้เพียงคนเดียว เป็นศัตรูกับคุณปู่ของตัวเอง ขัดกับคนแซ่เสิ่น แตกหักกับคณะกรรมการบริษัท และขัดต่อคนในตระกูลเซียวทุกคน

แต่เธอ ให้อะไรตอบแทนกับเขาบ้าง?

อัปยศ!

อัปยศที่สุด!

ไม่มีความเห็นถากถางดูถูกอีกแล้ว เหลือเพียงความเกลียดชังเท่านั้น!

“นัดเวลา เจอกันสักครั้งเถอะ”

สักพัก ในโทรศัพท์มีเสียงแหบดังขึ้น

นิ้วมือเซียวเหิงที่ถือโทรศัพท์อยู่ จับโทรศัพท์ไว้อย่างแน่น ฟังเสียงแหบที่คุ้นเคยทางโทรศัพท์ คอหอยเคลื่อนไปมา หัวใจเต้นรัวสองครั้ง เป็นความคิดถึงที่สมควรตาย

ไม่ ภาพลวงตา!

เขากัดฟันแน่น ขุ่นเคืองมาก แต่เสียงแหบมาก “ได้สิ ปลาใหญ่เนื้อดีๆก็กินมาแล้ว นานทีได้ดูการแสดงของตัวตลกบ้างก็ไม่เลวนะ”

ท่ามกลางลมและฝน มีผู้หญิงคนหนึ่ง เดินออกมาจากตงหวง เดินฝ่าลมฝน หาร่มมาจากในล็อกเกอร์ ไม่ว่าชายผู้นั้นจะน่ารังเกียจแค่ไหน แต่ก็มีประโยคหนึ่งที่เขาพูดถูก

เธอหนีทัพ เป็นคนขี้ขลาด

แต่ จะยอมได้อย่างไร?

เดินไปข้างทาง ข้างทางมี Bentley สีดำรออยู่

รับรู้ได้ในพริบตา เจ้าของรถ นอกคนยโสโอหังอย่างเสิ่นซิวจิ่นแล้วจะมีใครอีก

เดินเข้าไป กระจกรถเลื่อนลง แสดงหน้าคนขับออกมา

“คุณเจี่ยน เชิญขึ้นรถ” เสิ่นเอ้อลงจากรถมา อ้อมไปที่หลังเบาะคนขับ เปิดประตูรถออก

ยกเท้าแล้วขึ้นรถไป เสิ่นเอ้อก็กลับไปที่นั่งคนขับ

“เขาเรียกให้คุณมาเหรอ”

เสิ่นเอ้อได้ยินเสียงจากเบาะหลัง เงยหน้าขึ้นมองผ่านกระจกมองหลัง กระจกมองหลังส่องไปที่ผู้หญิงที่นั่งอยู่เบาะหลัง ผู้หญิงคนนั้นเงียบมาก หันหน้าไปด้านข้าง มองออกไปนอกหน้าต่างรถอย่างเงียบๆ

เสิ่นเอ้อไม่เข้าใจผู้หญิงคนนี้ เมื่อสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ เธอวิ่งออกจากตึกอย่างบ้าคลั่ง เวลานั้น บนตัวเธอ แสดงความสิ้นหวังอย่างสุดซึ้ง เกือบล้นออกมา ชัดเจนจนให้เขาผู้แข็งแกร่ง ที่มีรูปร่างสูงใหญ่180 สามารถสัมผัสได้ บนตัวเธอ มีความสิ้นหวังและความกลัวจากในใจ

เสิ่นเอ้อมองดูผู้หญิงที่นั่งเบาะหลังอย่างระมัดระวังผ่านกระจกมองหลัง……..เงียบเกินไป

“อืม ประธานเสิ่นให้ฉันขับรถมารอท่านที่ใต้ตึก”

เจี่ยนถงมองออกไปนอกหน้าต่าง อันที่จริงมองไม่เห็นทัศนียภาพนอกหน้าต่าง ฝนทำให้กระจกหน้าต่างเปียกและเบลอ แต่เธอมองอย่างใจจดใจจ่อ รถแล่นไปตามถนนอย่างนุ่มนวล จนลงจากรถ เสิ่นเอ้อก็ยังเดาความคิดของผู้หญิงที่นั่งเบาะหลังไม่ออกเลย

เห็นแค่ความหมดหวังของเธอ และเห็นความเงียบของเธอกับตา……ความแตกต่างที่แปลก

“คุณเจี่ยน ถึงแล้ว”

เจี่ยนถงจากนั้นจึงลดกระจกหน้าต่างลงเล็กน้อย มอง“กองทุนดวงหัวใจ”ตัวหนังสือสี่ตัวนี้อย่างชัดเจน มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย

“ฉันไม่ได้บอกว่าจะมา‘กองทุนดวงหัวใจ’”

“Bossบอก ไม่ว่าคุณเจี่ยนจะไปที่ไหนก็ตาม ต้องมาที่‘กองทุนดวงหัวใจ’ก่อน”

ไป ‘ร้านกาแฟหลิงตู้’”

”แต่ Bo……”

“คุณสามารถรายงานเขาได้ แต่ตอนนี้ ฉันจะไป‘หลิงตู้’”

เสิ่นเอ้อไม่รู้จะพูดอย่างไร ได้ยินเสียงหยาบๆที่เบาะหลังรถอย่างช้าๆ “หรือว่า ฉันเรียกรถไปเอง”

เสิ่นเอ้อมุมปากกระตุกเล็กน้อย เห็นเจี่ยนถงเปิดประตูรถจริงๆ

“เดี๋ยวก่อน คุณเจี่ยน ฉันส่งคุณไปเอง”

รถแล่นบนอีกครั้ง ไม่นาน ก็ถึง‘หลิงตู้’แล้ว เจี่ยนถงเปิดประตูรถออก ไม่ได้สนใจว่าเสิ่นเอ้อจะโทรรายงานคนคนนั้นหรือไม่

ห้องส่วนตัวในร้านกาแฟ

เสียงประตูเปิดออก ผู้ชายในห้องเงยหน้าขึ้น หัวเราะเย้ยหยัน “ไม่เจอกันนาน คุณโตขึ้นเยอะเลย”

เจี่ยนถงก้มดูขา ไม่พูดอะไร รอคำเสียดสีต่อไปของเขา

“ความสามารถในการดึงดูดความสนใจของผู้ชายพัฒนาขึ้นเยอะเลย”

ขณะที่เซียวเหิงพูดประโยคนี้ออกมา เจี่ยนถงไม่แปลกใจเลย มองบนพื้น มุมที่เซียวเหิงมองไม่เห็น เธอยกมุมปากขึ้นเบาๆ ความเจ็บปวดตรงหน้าไม่ทันแสดงออก ก็ซ่อนมันไว้แล้ว “เซียวเหิง”

เจี่ยนถงที่เคยเรียกเขาว่า ”คุณเซียว” เปลี่ยนไปเรียกชื่อโดยตรง ชายผู้นั้นโกรธทันที “ใครอนุญาตให้คุณเรียกชื่อฉัน ชื่อของฉันออกจากปากของคุณ ฉันรู้สึกคลื่นไส้”

เจี่ยนถงมองเซียวเหิง หยิบโทรศัพท์ออกมาอย่างเงียบ ๆ เปิดคลิปวิดีโอ ผลักไปตรงหน้าเซียวเหิง ไม่พูดอะไร สายตาเพ่งมองชายตรงข้าม

คลิปวิดีโอสั้นมาก ไม่ถึงหนึ่งนาที แต่เมื่อเซียวเหิงเห็นคลิปวิดีโอนี้ในครั้งแรก เจี่ยนถงไม่อยากจะเชื่อมาโดยตลอดว่า ได้รับการยืนยันแล้ว

ไม่ได้พูดอะไรอีก ยืนขึ้น หยิบโทรศัพท์บนโต๊ะ “ประธานเซียว ความเร่งรีบวุ่นวายของโลกมีไว้เพื่อประโยชน์ทั้งนั้น เหตุผลมั้นคืออย่างนี้ก็จริง แต่วิธีการของคุณในครั้งนี้ น่ารังเกียจ”

เซียวเหิงรำคาญ “เจี่ยนถง อีกะหรี่อย่างคุณ จะคุยเหตุผลอะไรกับฉัน”

ผู้หญิงอย่างเธอ มีสิทธิ์มาคุยเกี่ยวกับหลักการดำเนินชีวิตด้วยเหรอ “ฉันน่ารังเกียจ จะน่ารังเกียจกว่าคุณเหรอ ขายความไม่พอใจ แสร้งทำเป็นน่าสงสาร ยั่วฉัน ตอนนี้ก็ไปยั่วเสิ่นซิวจิ่น” เซียวเหิงเอ่ยถึงเสิ่นซิวจิ่น เมินเฉยมากขึ้น “เหอๆ” จู่ๆก็หัวเราะอย่างเย็นชา “ฉันรู้สึกแปลกใจมาก ครั้งนี้คุณ ยั่วยวนคนแซ่เสิ่นอย่างไรอีก”

นิ้วเรียวยื่นออกมา เตะคางของเจี่ยนถง “คืออะไร ร่างกายของคุณ หรือว่าความเป็น……ดอกทองของคุณ”

เจี่ยนถงเลือดขึ้นๆลงๆ เลือดบนหน้าจางลง เธอคาดไม่ถึง คำพูดที่น่าละอายเช่นนี้ จากออกมาจากปากของเซียวเหิง……หรือว่า เธอคาดเดาว่าเซียวเหิงจะทำให้เธออับอาย แต่ไม่คิดไม่ถึงว่าเซียวเหิงจะพูดเช่นนี้ ถึงขั้นดูถูกกันเลยทีเดียว

“ปล่อยมือ”

เสียงหยาบแผ่วเบาลง แต่ถ้าตั้งใจฟัง อารมณ์พลุ่งพล่านด้วยน้ำเสียงสงบ ไม่เหมือนความสงบที่แสดงออกบนใบหน้า

“เฮอ จะแสร้งทำไป”

เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นมอง ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า จำได้เลือนรางเมื่อเราพบกันครั้งแรก เขามักจะดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ หลังจากที่คบหากัน เธอรู้ เซียวเหิงในสายตาของคนอื่นไม่ใช่เซียวเหิงตัวจริง “คุณจริงจัง”

เซียวเหิงตกใจ ริมฝีปากบางยิ้มอย่างชั่วร้าย

รอยยิ้มนี้ เหมือนตอนเจอเขาที่บันไดเป็นครั้งแรกมาก ทั้งหมดไม่ได้พูดออกไป เจี่ยนถงเข้าใจดี พยายามไม่ต้องการเผชิญหน้าแบบตัวต่อตัว นี่คือแสงที่ปรากฏขึ้นในโลกมืดของเธอ ถ้าเป็นไปได้ เธอก็ไม่อยากขัดแย้งกับเขา

แต่ตอนนี้ ความขัดแย้งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีก

“เซียวเหิง ฉันไม่ได้ติดหนี้คุณ” ผู้หญิงคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่หยาบคาย

เล่ากันว่า เซียวเหิงโกรธมาก “ใครบอกว่าคุณไม่เป็นหนี้ฉัน”

“ฉันเป็นหนี้คุณเรื่องอะไร”

“คุณเป็นหนี้ฉัน เป็นหนี้ฉัน………” ผู้หญิงเลวคนนี้ เป็นหนี้อะไรเขากันแน่ ทำไมเธอถึงพูดแบบนั้น ทำให้เขาโกรธขนาดนั้น

ชายผู้นั้นที่กำลังโกรธมาก ดูเหมือนไม่มีเหตุผลอะไร

“เซียวเหิง ฉันไม่เป็นหนี้คุณ บนโลกนี้ คนที่ฉันเป็นหนี้มีเพียงคนเดียว ก็คือคนตายหนึ่งคน” เธอยกโทรศัพท์ในมือขึ้น “ฉันไม่รู้ว่าคลิปวิดีโอนี้มาจากไหน แต่ว่าเซียวเหิง คุณต้องเคยดูคลิปวิดีโอนี้แน่นอน” มิฉะนั้น เมื่อครู่ที่คุณเห็นคลิปนี้เป็นครั้งแรก ปฏิกิริยาของเขาชัดเจนมากว่าไม่แยแส เหมือนเคยเห็นมาแล้วหลายครั้ง

“วันนี้ คลิปวิดีโอนี้ เผยแพร่ใน‘กองทุนดวงหัวใจ’ของฉัน พนักงานในบริษัททุกคนเห็นหมดแล้ว แต่ในเวลานี้ คลิปวิดีโอนี้ คิดว่าน่าจะเผยแพร่ออกไปสู่โลกภายนอกแล้ว พรุ่งนี้ ……..ไม่ ไม่ต้องพรุ่งนี้ วันนี้ เวลานี้ ไม่แน่ คนในวงการ อาจจะเห็นกันแล้วก็ได้

เซียวเหิง ทั้งๆที่ฉันรู้ว่าในเวลานี้ ควรแข่งกับเวลาเพื่อควบคุมสถานการณ์ที่แย่ๆในตอนนี้ แต่ฉันใช้เวลาอันมีค่าของฉันในตอนนี้ มาพบคุณ………เซียวเหิง คลิปวิดีโอนี้ คุณเป็นคนปล่อยมันออกไปใช่ไหม” ถึงแม้จะรู้ คลิปวิดีโอนี้มาจากไหน เธอก็ไม่อยากไปสอบสวน ทำไมคลิปวิดีโอในคืนนั้น ถึงมีคนถ่ายคลิปไว้

ไม่รู้ทำไม ตอนเห็นสีหน้าที่ผิดหวังของผู้หญิง เซียวเหิงก็รู้สึกเจ็บที่ใจอย่างกะทันหัน “คุณคิดว่าคลิปวิดีโอนี้ฉันเป็นคนถ่ายเหรอ เหอะ ฉันไม่ไร้สาระขนาดนี้”

เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยเกลียดชัง ตัวเองก็ไม่รู้ว่า ประโยคนี้ในเวลานี้ กำลังพยายามเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง……..แต่เขาไม่นึกเลยว่า ทำไมถึงได้แคร์ความรู้สึกผิดหวังของเจี่ยนถง

เจี่ยนถงดึงมือของเซียวเหิงที่จับข้อมือเธออย่างแน่น มองเซียวเหิง “มันผ่านไปแล้ว ถ้าคุณคิดว่า ก่อนวันนี้ ฉันเป็นหนี้คุณจริง เช่นนั้นหลังจากที่คุณปล่อยคลิปวิดีโอนี้ออกไปพวกเราสองคนก็ไม่เป็นหนี้กันอีกต่อไป” เธอกับเขา เป็นคนมีเหตุผล ดังนั้นเธอบอกว่า คลิปวิดีโอเขาเป็นคนปล่อยออกไป และเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ อย่างแท้จริง เขาไม่ใช่คนที่ถ่ายคลิปวิดีโอ แต่……สุดท้ายกลับเป็นเขาที่ปล่อยคลิปวิดีโอออกไปด้วยมือของเขาเอง

เมื่อเงยหน้าขึ้น ผู้หญิงคนนั้นหันหลังแล้วเดินออกไปอย่างสง่างาม…….เธอมีสิทธิ์อะไรจากไปด้วยท่าทางสง่างามเช่นนั้น

จู่ๆก็ยื่นมือออกมา จับแขนของเจี่ยนถงอย่างแน่น ดึงตัวเธอเข้าหาตัวเองอย่างแรง ใบหน้าที่หล่อเหลานั้น กลายเป็นผีร้าย “เจี่ยนถง เป็นผู้หญิงเลวก็อย่ามีซุ้มประตูเลย” เธอบอกว่าไม่เป็นหนี้กันแล้ว ก็ไม่เป็นหนี้กันแล้วเหรอ คุณเล่นตัวเอง ทำให้ตัวเองเหมือนคนโง่คนหนึ่ง เธอบอกว่าไม่เป็นหนี้กัน ก็ต้องไม่เป็นหนี้กันเหรอ

ฝันไปเถอะ

“ก็คอยดู คนแซ่เสิ่นหรือฉันที่สามารถตอบสนองความต้องการของคุณได้”

จับแขนของเจี่ยนถงไว้อย่างแน่น เขาจูบปากอย่างร้อนแรง

“เพี๊ยะ!” เสียงตบหน้า ดังกังวานขึ้นทันที!

แววตาเธอไร้ความรู้สึก “วุ่นวายพอหรือยัง?”

น้ำเสียงที่เย็นชา แตกต่างจากเจี่ยนถงที่เซียวเหิงเคยรู้จักอย่างมาก ลูบใบหน้าหล่อเหลาด้านซ้ายที่เริ่มเจ็บ ค่อยๆเผยความโกรธ

“วุ่นวาย? ใครวุ่นวายกับเธอ?” เขายิ้มเย็นชา “เล่น เข้าใจไหม? หยอกเธอเล่น เธอเข้าใจไหม!”

ขณะที่พูด เขาก็พุ่งเข้ามาอีกครั้ง เจี่ยนถงเอื้อมมือผลักทันที มองเขาอย่างเย็นชา “ประธานเซียว ในเมื่อรู้สึกว่าฉันมันน่าขยะแขยง แล้วนายยังจะพุ่งเข้ามา? งั้นนายหรือเปล่าที่ไม่เจียมตัว?

ขอเตือนประธานเซียวอีกเรื่องหนึ่ง ฉันเจี่ยนถงไม่ว่าจะก่อร่างสร้างตัวแบบไหน ในมือฉันมี ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ที่สมบูรณ์แบบ ประธานเซียว นายล่ะ?”

เซียวเหิง ในมือนายมีอะไรบ้าง!

“ถึงยังไงฉันก็เป็นกะหรี่” เธอโค้งรอยยิ้มเบาๆ คนตรงหน้าทำให้เธอรำคาญใจจริงๆ! ริมฝีปากโค้งรอยยิ้ม “ประธานเซียว ฉันเป็นกะหรี่แล้ว เคยนอนกับคุณประธานเซียวเซียวเหิงไหม?”

เธอติดค้างอะไรกับคนคนนี้ล่ะ? คนคนนี้ในตอนที่เธออยากที่จะปีนขึ้นมาจากขุมนรก กลับผลักเธออย่างโหดร้าย

คนคนนี้ ต้องรู้ว่า คำพูดเดียวฆ่าคนได้ แค่คำพูดเดียวก็ช่วยคนได้

“วิดีโอนี้มีความยาวไม่ถึงหนึ่งนาที ประธานเซียวฆ่าคนแม้แต่นาทีเดียวก็ไม่จำเป็น” เธอพูด

ถ้าบอกว่าเธอมีความผิด นั่นก็แค่ปิดบังอดีตของเธอเท่านั้น

แต่อดีตของเธอ เป็นอดีตของเธอจริงๆเหรอ?

“ประธานเซียวเป็นคนยุ่งมาก ฉันไม่รบกวนแล้ว”

เซียวเหิงเลือดสูบฉีด โกรธจนแทบบ้า คว้าเจี่ยนถงไว้ด้วยใบหน้าดุร้าย “ใช่ ฉันไม่เคยนอนกับเธอ นามแซ่เสิ่นเคยนอนด้วยมาแล้ว เจี่ยนถง เธอมี ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ไม่ใช่ว่าแซ่เสิ่นออกเงินซื้อเธอเหรอ?

จุจุ อย่างเธอเนี่ย ยังดูไม่ออกเลย บนเตียงมีความพยายามมากล่ะสิ”

“นายพูดอะไร!”

“ฉันพูดอะไร? เธอไม่รู้เหรอ? หรือต้องให้ฉันพูดอย่างไม่น่าฟัง เธอถึงจะรู้?

แซ่เสิ่นไม่ทำการค้าขายที่ขาดทุน ถ้าเธอไม่ทำให้เขาสุขสบาย เขาจะออกเงินช่วยเธอฟรีๆ?

กะหรี่คนหนึ่ง เธอนอกจากเอาใจผู้ชายแล้ว เธอเจี่ยนถงยังมีความสามารถอื่นที่ทำให้ผู้คนชื่นชมได้หรือเปล่า?” เซียวเหิงมองอย่างเหยียดหยาม

“ยังไงกะหรี่ก็รักเงิน มีเงินก็ขึ้นคร่อมเธอได้นี่ เธอต้องการเงิน เธอก็บอกสิ ฉันก็มี”

เจี่ยนถงโกรธจนสั่นไปทั้งตัว!

ในมือเซียวเหิงหยิบกระเป๋าตังออกมา ควักธนบัตรหนึ่งปึก โยนไปกลางอากาศ ขณะเดียวกันก็แผดเสียงด้วยความโมโห “อยากได้เงิน เอาไป” จู่ๆก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “เจี่ยนถง” ในแววตาเซียวเหิงเผยความเหยียดหยาม “ได้ยินว่าเพื่อเงินแล้วเธอทำได้ทุกอย่าง ถอดสิ ถอดต่อหน้าฉันนี่แหละ”

มือของเจี่ยนถงที่ห้อยอยู่ข้างตัว กำหมัดอย่างเอาเป็นเอาตาย

ทันใดนั้นก็หยิบแก้วน้ำบนโต๊ะขึ้นมา สาดไปที่ใบหน้าของเซียวเหิง

“เซียวเหิง นายไม่เข้าใจฉัน” เธอพูดค่อยๆ

แต่ชายหนุ่มที่อยู่ในความโกรธได้ยินคำนี้ กลับโมโหยิ่งขึ้น นอกจากความโกรธ ยังมีความอิจฉาที่หนาแน่น “ฉันไม่เข้าใจเธอ แล้วแซ่เสิ่นเข้าใจเธอเหรอ? เธอจำไว้นะ เธอหลอกฉันก่อนมาตั้งแต่ต้น!”

“ดังนั้น เธอติดค้างฉัน!” ราวกับสัตว์ร้ายที่พร้อมโจมตี ภายใต้สายตาที่ตกตะลึงของเจี่ยนถง เขากดเธอลงบนโซฟาอย่างรุนแรง ลงมือกระชากเสื้อผ้าของเธอ “เธอติดค้างฉัน เธอติดค้างฉันทั้งหมด เธอต้องชดใช้ เธอไม่อยากติดหนี้อะไรฉันไม่ใช่เหรอ?

ได้เลย

นอนกับฉันครั้งหนึ่ง เพียงแค่เธอนอนกับฉันครั้งเดียว หลังจากนี้ไป พวกเราก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก เป็นไง?”

เจี่ยนถงตะลึงงันในตอนแรก จากนั้นก็ตกใจ ในใจยังมีร่องรอยความเจ็บปวดแผ่ซ่านอยู่ ยังไม่ทันรอให้สมองของเธอฟื้นคืนสติ

เสียงของเซียวเหิงก็ดังเข้ามาในหูอีกครั้ง

“คำนวณดูเพื่อนผู้หญิงของตัวเองมายาวนานแล้ว เจี่ยนถง ฉันไม่ได้ไม่ชอบผู้หญิงอย่างเธอ ว่าไง? นอนกับฉันสักคืน เธอก็จะใช้หนี้ฉันได้แล้ว”

เธอมองชายหนุ่มที่มีสีหน้าบ้าคลั่ง ใบหน้านี้ ในความทรงจำมีแต่ความอ่อนโยนและสดใส ความอ่อนโยนและสดใสนี้ เป็นความผูกพันที่เธอไม่อยากตื่นขึ้นมาเร็วเกินไป เธอมองใบหน้าตรงหน้านี้อย่างละเอียดอีกครั้ง ในใจก็ถอนหายใจ……ชายหนุ่มอ่อนโยนแต่ก่อนที่ทำให้เธอคิดถึง จะไม่กลับมาอีกแล้ว

“นายบอกว่า ฉันโกหกนายปกปิดอดีตของฉัน” หญิงสาวค่อยๆพูดด้วยน้ำเสียงหยาบๆ “เซียวเหิง ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย นายฟังให้ดี

ฉัน เจี่ยนถง ไม่เคยมีความคิดที่จะทำร้ายเซี่ยเวยเหมิง และไม่ได้วางแผนที่จะจัดฉากเซี่ยเวยเหมิง การตายของเธอ ถ้าจะต้องพูดให้ได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับฉัน ถ้าใช้หนึ่งประโยคจากอารยธรรมโบราณอธิบายการตายของเธอ เช่นนั้น กรรมใดใครก่อกรรมนั้นคืนสนอง คำคำนี้ ก็เหมาะกับเธอแล้ว”

เธอพูด “ไม่ว่านายจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม นี่คือความจริง นายบอกว่าฉันติดค้างความจริงนายหนึ่งเรื่อง ถ้างั้นตอนนี้ ฉันบอกความจริงกับนายไปแล้ว ฉันไม่ติดค้างนายแล้ว”

พูดจบ เจี่ยนถงก็เอื้อมมือออกไปผลักเซียวเหิง แต่เซียวเหิงเพียงแค่เห็นการปฏิเสธของเธอ ยิ่งเธอเป็นแบบนี้ เขาก็ยิ่งเกิดความริษยาในใจ จะทำยังไงให้ฟังคำพูดของเจี่ยนถง ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในคำพูดของเจี่ยนถงมีความหมายที่ลึกไปอีกชั้น

ในเวลานี้ ในสมองเขาเต็มไปด้วย ผู้หญิงคนนี้ปฏิเสธตน ผู้หญิงคนนี้ปฏิเสธตนอีกแล้ว! เขาเคยหวงแหนเธอขนาดนั้น เคยนับว่าเธอเป็นของล้ำค่า แต่เธอกลับยินยอมให้แซ่เสิ่นแตะต้อง ไม่ให้ตนแตะต้อง!

“เธออย่าคิดว่าแค่คำพูด2-3คำก็สามารถล้างมลทินให้ตัวเองได้ บนโลกนี้ไม่มีเรื่องดีๆแบบนั้น! แซ่เสิ่นแตะต้องเธอได้ ทำไมฉันทำไม่ได้!” ตะคอกอย่างดุร้าย แล้วก้มหน้าลงจูบหญิงสาวที่อยู่ล่างตัว

“เซียวเหิง! ปล่อยนะ!”

“ฝันไปเถอะ!

จูบของเขาหยาบคายเย่อหยิ่ง เจี่ยนถงหลบเลี่ยงไม่หยุด เซียวเหิงยื่นมือออกไปจับมือทั้งคู่ของเธอ วางไว้บนเหนือศีรษะเธอ ไม่สามารถขยับได้ เขากดอยู่บนตัวเธอ มองดูเธอจากมุมสูง

“แซ่เสิ่นให้เงินเธอเท่าไหร่ ฉันให้เธอสองเท่า!”

“อย่าทำให้ฉันเกลียดนาย”

มองไปที่แววตาแน่วแน่ของหญิงสาวที่อยู่ล่างตัว ในใจของเซียวเหิงก็เจ็บปวดอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้เขาชะงักไปชั่วขณะ อาศัยช่วงเวลาที่เขาชะงักอยู่นั้นเอง เจี่ยนถงใช้กำลังจากทั่วร่าง ออกแรงผลักเขาออก ใช้มือเท้าจนออกมาจากห้องส่วนตัว

ออกมาจากห้องส่วนตัว กลับยังคงตื่นตระหนก ไม่สนใจขาเท้า ก้าวขายาวออกไป ที่มุมหนึ่ง “ปัง” กระแทกเข้ากับกำแพงคน

ไม่ทันได้พูดอะไร รอบเอวถูกวงแขนหนึ่งกอดไว้แน่น กลิ่นหญ้าที่คุ้นเคยบนตัวคนคนนี้อยู่เต็มจมูก ทันใดนั้นเมื่อเงยหน้าขึ้น ก็หลุดเข้าไปในดวงตาสีเข้มคู่นั้น

เม้มปากโดยไม่รู้ตัว เธอไม่พูดจา

แขนเหล็กของชายหนุ่มโอบอยู่ที่เอวเธอ แนบแน่น แน่นขึ้น……กล้ามเนื้อแก้มทำงานอย่างต่อเนื่อง ดวงตาเหยี่ยว ตกลงบนตัวเธออย่างเอาเป็นเอาตาย เฉียบคมหาใดเปรียบ ล็อกริมฝีปากของเธอไว้

ทันใดนั้นมือข้างหนึ่งก็ยกขึ้น ฝ่ามือเรียวยาวจับคางของเธอ นิ้วโป้งลูบปากแดงระเรื่อของเธอครั้งแล้วครั้งเล่า รอบตัวเขา มีความโกรธที่เย็นเยือกแผ่ซ่าน

ด้วยเสียงเล็กน้อยตรงหน้า เสิ่นซิวจิ่นยกเปลือกตาขึ้นทันที มองเงาคนที่อยู่ไม่ไกล ดวงตาทั้งคู่หรี่ลงทันที สายตาราวกับมีดน้ำแข็ง มองพุ่งตรงไปที่คนตรงหน้า

“แกทำเหรอ?” น้ำเสียงที่เยือกเย็น ล้นออกมาจากริมฝีปากบางของเสิ่นซิวจิ่น เยือกเย็นราวกับน้ำแข็งในห้องใต้ดิน

เซียวเหิงมองเสิ่นซิวจิ่นที่ไม่มีตรงไหนเข้าตา เชิดคางขึ้นอย่างยั่วยุ “ใช่ แกจะทำอะไรฉันได้?”

เสิ่นซิวจิ่นกวาดตามองไปที่เซียวเหิง ด้วยสายตาอันตรายสุดขีด ใบหน้าที่หล่อเหลาแนบแน่น ทันใดนั้นก็ขยับมุมปาก เผยรอยยิ้มออกมา เจี่ยนถงรู้สึกถึงเพียงพลังที่ยืดหยุ่นได้ ผลักตัวเองออกมา ในตอนที่ต่อยสนองอีกครั้ง พริบตาเดียว หัวใจแทบจะหยุดเต้น!

“ฉันจะทำอะไรแกได้?” เสิ่นซิวจิ่นส่งเสียงหึเบาๆ ร่างสูงพุ่งไปที่เซียวเหิง ยิ้มอย่างดูถูก กระแทกกำปั้นออกไป “ตอนนี้ฉันจะบอกแกให้!”

ลมหมัดพุ่งเข้ามา สีหน้าเซียวเหิงเปลี่ยนทันที ไม่มีการหลบเลี่ยงใดๆ ปล่อยหมัดพุ่งออกไปเช่นกัน……ผัวะ!

สองหมัดกระทบกัน เซียวเหิงถูกบังคับให้ถอยไปสองก้าว ยืนอย่างมั่นคง แววตาเปลี่ยนไปหลายครั้ง ราวกับอิจฉาเสิ่นซิวจิ่นมาก ปากเสือถูกทำให้ชา ในใจเซียวเหิงโกรธเล็กน้อย กัดฟันเย้ยหยัน

“แกต่อยสิ ฉันแตะต้องไปแล้ว” แววตาหยาดเยิ้มมองไปที่เจี่ยนถงที่อยู่ไม่ไกล สายตามืดมน แสงหายวับไป “อย่าว่าแต่ปากเธอเลย ทั่วทั้งตัวเธอฉันสัมผัสมาหมดแล้ว เมื่อกี้อยู่ในห้องส่วนตัว ฉันกับเธอมีอะไรกันไปรอบหนึ่งแล้ว

ไอ้แซ่เสิ่น แกต่อยฉันได้อะไรไหม? ผู้หญิงของแก ฉันขึ้นคร่อมมาแล้ว พูดตามหลักเหตุผล ให้แกต่อยสักหมัด ก็ไม่ขาดทุน”

ในขณะที่เซียวเหิงพูดเพ้อเจ้อ เลือดบนใบหน้าของเจี่ยนถงก็จางหายไป กัดฟันอย่างเอาเป็นเอาตาย กำปั้นที่ห้อยอยู่ข้างตัว สั่นอย่างต่อเนื่อง!

ในเวลานี้การหายใจของเจี่ยนถงล้วนยุ่งเหยิง

ใบหน้าเล็กๆซีดเผือด ดวงตาเพยความเจ็บปวด…..เซียวเหิง ทำไมถึงได้สร้างเรื่อง ใส่ร้ายเธอ!

เซียวเหิงมองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้า แววตาค่อยๆเยือกเย็นลง ในใจมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก…..ไอ้แซ่เสิ่น อะไรที่ฉันไม่ได้ แกก็อย่าคิดจะได้ไปเลย!

ในขณะที่มีความสุข หางตาก็กวาดมองหญิงสาวที่อยู่ไม่ไกล เมื่อเห็นหญิงสาวใบหน้าซีดขาวไร้เลือด มองมาที่เขา ด้วยแววตาผิดหวัง ในใจเซียวเหิงก็ราวกับถูกทิ่มแทง ตัดสินใจ ยิ้มอย่างเย็นชาต่อ

“ทำไมมองฉันแบบนั้น? หยอกล้อเธอเล่นไง หยอกเล่น เข้าใจไหม? คิดจริงจังไปได้?

เธอคิดว่าฉันคุณชายใหญ่ตระกูลเซียว จะสนใจผู้หญิงสำส่อนอย่างเธอ?

จุจุ ราคาถูกจริงๆ นอนกับกะหรี่ยังต้องจ่ายเงิน นอนกับเธอแม้แต่เงินก็ไม่ต้องให้ แต่ว่านะ ของราคาถูกคุณภาพไม่ดี ตอนนี้คิดดูแล้ว ขยะแขยงจนอยากจะอ้วก…..”

“ผัวะ!”

ตามเสียงหมัดมา ก็เป็นเสียงสังหารของเสิ่นซิวจิ่น ดังขึ้นทันที “เซียวเหิง แกมันตัวอะไร! แกไม่หากระจกส่องตัวเองให้ดีๆ! ยังมีอีกเรื่อง

เจี่ยนถงไม่มีทางปล่อยให้แกแตะต้อง! ไม่ต้องพูดถึงเมื่อกี้ ต่อให้เป็นทั้งชีวิตนี้ของแก แกก็ไม่มีโอกาสที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับเธอ! ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกายหรือจิตใจ!”

“ไอ้แซ่เสิ่น แกอย่ามั่นใจไปนัก เธอก็แค่ผู้หญิงที่จ่ายตังก็สามารถแหวกขาออกได้! แกคิดว่าเธอเป็นสาวถือพรหมจรรย์?

เรื่องนี้ ตัวแกเองรู้ดีที่สุดไม่ใช่เหรอ!

แกมีสิทธิ์อะไรมาบอกว่ากะหรี่คนหนึ่ง ฉันเซียวเหิงชั่วชีวิตนี้จะนอนด้วยไม่ได้?”

เพราะเป็นคำพูดของศัตรูในจินตนาการตนเอง ถึงได้ยิ่งโมโหมากขึ้น แล้วยิ่งเป็นเพราะเสิ่นซิวจิ่นพูดเรื่องจริงออกมา คุณชายใหญ่เซียวอย่างเขา กับผู้หญิงที่ไล่ตามมานาน สัมผัสที่ใกล้ชิดที่สุด ก็เพียงแค่เคยจูบ เป็นเพราะเรื่องจริงเป็นเช่นนี้ เขาถึงยิ่งไม่พอใจ

ตะคอกใส่เสิ่นซิวจิ่นอย่างหัวเสีย “กะหรี่คนเดียว! ก็แค่กะหรี่ที่จ่ายตังก็ทำอะไรก็ได้เท่านั้น! เธอมันก็แค่กะหรี่เท่านั้น!” มีสิทธิ์อะไรที่เขาเซียวเหิงมีเงิน แต่กลับแตะต้องไม่ได้?

เลือดทั่วร่างเจี่ยนถงไหลย้อนกลับ ซวนเซจนแทบจะเป็นลม ได้เพียงพิงกำแพง สำหรับเซียวเหิง ความรู้สึกฉันท์หญิงชายที่เธอเคยมี เกรงว่าจะไม่มีแล้ว

ไม่เคยรัก แต่มือคู่นั้น เคยพาเธอเดินฝ่าลมฝน ผ่านกระแสของผู้คน ปากนั้น ก็เคยพ่นคำรักที่อ่อนโยนที่สุด…..ปลอม! มันปลอมทั้งหมด!

คนคนนั้น ก็เคยอ่อนโยนมาก่อนนะ!

แค่เพราะได้ยินข่าวลือเรื่องอดีตของเธอ ได้ยินมาว่าอดีตเธอเป็นผู้หญิงที่โหดร้ายน่ารังเกียจ เพราะว่าเธอเคยติดคุก เพราะว่าเธอเคยคุกเข่าอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนต่อหน้าเขา คนที่เคยอ่อนโยน ก็เปลี่ยนไปแล้ว?

เธอพิงกำแพง เดินโซเซไปข้างหน้า ใบหน้าซีดขาว ในใจเซียวเหิงยิ่งเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ตนเองก็อธิบายไม่ได้ แปลกตา พูดยาก…..ไม่อาจขยับปากได้!

เสิ่นซิวจิ่นบีบกำปั้นอย่างรุนแรง ไม่อยากให้เธอกับไอ้สารเลวแซ่เซียวมีการติดต่อกัน แต่ในนาทีที่ก้าวขาเดินไปทางเธอ ก็หยุดลงกะทันหัน เธอจำเป็นต้อง เติบโตด้วยตัวเอง

เจี่ยนถงเดินโซเซมาถึงหน้าเซียวเหิง “ฉันไม่เคยเสียใจที่ได้รู้จักนาย เซียวเหิงในสายตาฉัน อ่อนโยนสดใส เขาเคยเป็นแสงสว่างในชีวิตที่มืดมนของฉัน

แต่ไม่ใช่อย่างที่ฉันเห็นอยู่ตอนนี้ ผู้ชายที่เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม ใบหน้าน่าเกลียดน่าชัง…..เซียวเหิง ถ้านายเชื่อว่า ฉันเป็นกะหรี่ กะหรี่ที่ใครๆก็ย่ำยีได้ ขอนายอย่าปล่อยให้ตัวเองเปลี่ยนเป็นคนที่น่ารังเกียจ เพียงเพราะกะหรี่ไร้ยางอายคนหนึ่งที่ใครๆก็ย่ำยีได้

ฉันซาบซึ้ง และจดจำ นายในช่วงที่งดงามที่สุด”

เจี่ยนถงค่อยๆพูดประโยคนี้จนจบ แล้วหันตัวอย่างมั่นคง เดินไปทางเสิ่นซิวจิ่น เธอมองไปที่เสิ่นซิวจิ่นตรงหน้า มองดูผู้ชายคนนี้….แววตาเผยความสิ้นหวังของแก้วที่หล่นแตก…..มาเถอะ เกี่ยวพันเถอะ ไม่ตายไม่พักเถอะ ชีวิตนี้ตั้งแต่ที่เธอเริ่มหลงรักชายคนนี้ ก็กำหนดจุดจบไว้แล้ว—เหลือเพียงความพัวพันไม่สิ้นสุดและความสิ้นหวังไม่รู้จบเท่านั้น!

ถึงอย่างนั้น เธอกลับคิดหนีอย่างใสซื่อ…..คิดว่าหลังออกจากคุกมาแล้ว ก็จะได้รับอิสระ ถ้าอย่างนั้น คุกในใจล่ะ?

ความบาดหมางระหว่างเธอกับเสิ่นซิวจิ่น ไม่ว่าใครก็ไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าใครก็เข้ามาเกี่ยวข้องไม่ได้!

เซียวเหิง คนที่ไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้อง และเข้ามาเกี่ยวข้องไม่ได้…..เธอไม่ควรโหยหาความอบอุ่นนั้นตั้งแต่ต้น เธอควรบอกอดีตที่น่าอับอายของเธอ ให้กับเด็กหนุ่มคนนี้ฟัง

“ประธานเสิ่น เราไป ‘กองทุนดวงหัวใจ’ กันเถอะ”

แขนที่แข็งแรงโอบไหล่เธอ ทันใดนั้นโลกก็หมุน สมองของเจี่ยนถงวิงเวียน ในตอนที่ได้สติ ก็ถูกอุ้มไว้ในอ้อมแขนของชายหนุ่มแล้ว เธอห้อยศีรษะ ไม่ได้ดิ้นรน ปล่อยให้เขาอุ้มเธอ เดินออกไป

เซียวเหิงยืนมือเท้าชาอยู่ที่เดิม รอกระทั่งตรงนี้มองไม่เห็นเหงาของผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว ทันใดนั้นขาก็อ่อน เดินโซเซไปพิงกำแพงด้านหลัง มีกำแพงหนุนจากด้านหลัง ถึงได้ไม่ล้มลงไป

เธอหมายความว่ายังไง?

เธออยากเป็นคนดี?

เขาด่าเธอไปขนาดนั้น ทำให้เธออับอาย ดูถูกเธอ ทำไมเธอถึงไม่ด่ากลับ? เธอควรชี้จมูกสาปแช่งเขาอย่างบ้าคลั่ง!

ทำไมเธอไม่สาปแช่งเขา ทำไมไม่ด่าว่าเขา ทำไม…..ไม่เกลียดเขา?

ฉันไม่เคยเสียใจที่ได้รู้จักนาย เซียวเหิงในสายตาฉัน อ่อนโยนสดใส เขาเคยเป็นแสงสว่างในชีวิตที่มืดมนของเธอ…..เธอบอก เขาคือแสงสว่างของเธอ!

ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…..”ฉันคือแสงสว่างของเธอ…..ฉันคือแสงสว่างของเธอ…..แสงสว่างของเธอ! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…..” หางตา มีบางอย่างที่อบอุ่น เอ่อล้นออกมา เซียวเหิงขยี้ตา ทั้งหัวเราะทั้งสะอื้น “ฉันคือแสงสว่างของเธอล่ะ…..ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…..”

“ใครให้เธอแสร้งทำเป็นคนดี! ใครต้องการ! ก็แค่กะหรี่คนหนึ่ง เธอแค่เป็นกะหรี่อย่างจริงใจสงบเสงี่ยมก็พอ เธอเกลียดฉันก็ดีแล้ว เธอด่าฉันสิ สาปแช่งฉัน…..ใครให้เธอเป็นคนดี! ใครต้องการความซาบซึ้งจากเธอ! ใครจะ…..เป็นแสงสว่างของเธอ! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…..ฮือฮือฮือ…..”

เสิ่นซิวจิ่นอุ้มเจี่ยนถงมาตลอดทาง ร่างกายที่สูงใหญ่ กลับทำให้คนรู้สึกโดดเดี่ยว

วางเธอไว้ที่ตำแหน่งผู้โดยสาร เสิ่นเอ้อวิ่งเข้ามา จะเป็นคนขับรถแทนให้เสิ่นซิวจิ่น มือที่เห็นข้อต่อชัดเจนของเสิ่นซิวจิ่นโบกขึ้น ไม่ได้พูดอะไร เสิ่นเอ้อหยุดชะงัก ถอยไปที่ด้านหนึ่ง

ร่างที่สูงเพรียวของชายหนุ่มเดินไปที่หน้ารถ เปิดประตูฝั่งคนขับ ก้าวเท้า เข้าไปนั่ง

หลังพิงพนักเบาะ เขานั่งนิ่งอยู่นาน รถ ยังคงจอดนิ่งอยู่ที่เดิม นานมาก ถึงจับพวงมาลัย สตาร์ทรถ เหยียบคันเร่ง ครู่เดียว รถก็แผดเสียงคำราม เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น ริมฝีปากบางของเสิ่นซิวจิ่นก็เปิดขึ้นพูดคำหนึ่งคำ ถูกเสียงคำรามนั้นปกคลุม ได้ยินเพียงเสียงที่คลุมเครือ “เจี่ยนถง”

เจี่ยนถงเงยหน้าไม่เข้าใจ “นายพูดอะไร?” เสียงคำรามดังเกินไป แต่เสียงที่ต่ำเบาของชายหนุ่ม กลับแทบจะจมดิ่ง

มุมปากเสิ่นซิวจิ่นขยับเล็กน้อย “ฉันพูดว่า ฉันจะไปส่งเธอที่ ‘กองทุนดวงหัวใจ’

เจี่ยนถงชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้า แล้วก็มองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง

ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับ นิ้วมือที่เรียวยาว จับพวงมาลัยแน่นขึ้น มีเพียงแค่เขาที่รู้ ว่าสิ่งที่เขาพูดเมื่อกี้คือ เจี่ยนถง ฉันอิจฉา

ใช่แล้ว เขาอิจฉาเซียวเหิง!

อิจฉาจนแทบบ้า!

ผู้หญิงคนนี้เคยมองเซียวเหิงเป็นแสงสว่าง…..แต่คนที่เคยครองตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในใจของผู้หญิงคนนี้คือตนเอง

ผู้หญิงคนนี้กลับใส่ความอ่อนโยนให้เซียวเหิง…..ถ้าหากเธอไม่อ่อนโยนต่อเซียวเหิงเพียงพอ ทำไมวันนี้กลับดึงเซียวเหิงออกมาจากความสิ้นหวัง?

ท้ายที่สุดเธอเดินมาหาตน…..แต่เสิ่นซิวจิ่นไม่ดีใจเลยแม้แต่น้อย

เขาดีใจไม่ออก…..หญิงสาวในวันนี้ เดินมาหาตน ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับความรักเลย

อันที่จริง…..เขาเสิ่นซิวจิ่น ในชีวิตของผู้หญิงคนนี้ ได้กลายเป็นสิ่งที่ลบไม่ออกแล้วยังน่าขยะแขยงที่สุดไปแล้ว?

ไม่เชื่อ และไม่ยอมรับ

สิ่งที่เขาเชื่อก็คือ สามารถทำให้เธอหลงรักได้ครั้งหนึ่ง ก็สามารถหลงรักเขาได้อีกครั้ง…..

ถึงจุดหมายปลายทาง เจี่ยนถงลงจากรถ เมื่อหันกลับมา เสิ่นซิวจิ่นเองก็ลงจากรถตามมาด้วย

“ฉันคนเดียวได้”

เธอปฏิเสธการร่วมทางของเขาอย่างสุภาพ

“ฉันไปด้วย”

“……”

ตลอดทางไร้คำพูด เข้าไปถึงกองทุนดวงหัวใจ สถานที่นั้นเงียบลงทันที ภายใต้สายตาตกตะลึง เจี่ยนถงยืดหลังตรง เดินเข้าไปในลิฟต์

“วิเวียน เรียกประชุมผู้บริหารทันที”

ในตอนที่วิเวียนได้รับสายจากเจี่ยนถง ก็ตกตะลึง ทั้งยังคิดไม่ถึงว่า ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำนี้ เจี่ยนถงจะสามารถยืนหยัดต่อหน้าผู้คนอีกครั้งได้รวดเร็วขนาดนี้ ปรับปรุงตัวเองใหม่ กลับมาที่สนามรบกองทุนดวงหัวใจนี้อีกครั้ง

ชะงักไปหนึ่งวินาที วิเวียนก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว “ค่ะ ประธานเจี่ยน”

บนใบหน้าของวิเวียน เผยความมั่นใจขึ้นอีกครั้ง อย่างจริงใจ วิดีโอนั้น โจมตีเธอและคนอื่นอีกหลายคนอย่างมาก เจี่ยนถงที่เป็นแบบนั้น มากเกินกว่าคนต้อยต่ำจะบรรยายได้ มันแทบจะ…..ไร้ศักดิ์ศรี

ล้วนแต่เป็นคนที่ทำงานอยู่เบื้องหลังเจี่ยนถง เคยเห็นผู้หญิงที่สง่างามคนนั้น ทำตัวต่ำต้อยแบบนั้นเหรอ?

แน่นอน ไม่สามารถรับได้ไม่ช่วงหนึ่ง

ยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเขาเป็นคนใกล้ชิดของเจี่ยนถง เจี่ยนถงหนีไปแล้ว เจ้านายหนีไปแล้ว พวกเขาเหล่านี้ ได้เพียงประกบหางไว้

กองกำลังต่างๆในกองทุนดวงหัวใจ กองกำลังเก่าแก่และพวกเขา จะต้องเป็นลมตะวันออกที่พัดผ่านลมตะวันตก หรือลมตะวันตกที่พัดเข้าหาลมตะวันออก…..จำเป็นต้องแยกแยะผู้แข็งแกร่งและผู้อ่อนแอ

เจี่ยนถงหนีไปแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องแบกรับก็มีมากขึ้น

ผิดหวัง แม้ว่าบางคนจะรู้สึกเสียใจ…..การถูกจับผิดไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือเจ้านายของพวกเขาตายตั้งแต่ยังไม่ต่อสู้ หนีไปเอง! สถานการณ์ของพวกเขาน่าอึดอัดยิ่งกว่าเมื่อก่อน

วิเวียนต้านทานแรงกดดัน ตั้งตารอหญิงสาวที่เคยแข็งแกร่ง สามารถปรับปรุงตัวเองได้ในเวลาที่รวดเร็วที่สุด ยืนขึ้นมาอีกครั้ง กลับมาที่สนามรบแห่งนี้ ถึงตอนนั้น ต่อให้แพ้ พวกเขาก็ยอมรับ

อย่างน้อย เจ้านายของพวกเขาก็ไม่ใช่คนที่ขี้ขลาดหนีทหาร!

แต่วิเวียนนึกไม่ถึงว่า เจ้านายของเธอ ผู้หญิงคนนั้นจะสามารถกลับมาที่สนามรบแห่งนี้ได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้

ในนาทีที่เห็นเจี่ยนถงกับตาตัวเอง หัวใจของวิเวียนก็พองโต “เจ้านาย พวกเราเตรียมพร้อมแล้ว!”

วิเวียนเป็นเพราะตื่นเต้นมาก ในนาทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก ในสายตาเห็นเพียงแค่เจี่ยนถง แต่กลับมองข้ามเสิ่นซิวจิ่นที่เดินไปที่ไหนก็เปล่งประกายที่อยู่ข้างๆเจี่ยนถงไปโดยสิ้นเชิง

เจี่ยนถงพยักหน้า เดินตรงไปที่ห้องประชุม

เมื่อผลักประตูเปิด ดวงตากวาดมองไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว บนโต๊ะห้องประชุม ยังนั่งไม่เต็ม กองทุนดวงหัวใจมีผู้บริหารกี่คน แน่นอนว่าในใจเธอมีจำนวนอยู่ มีกี่คนที่ไม่มา ใครไม่มา แน่นอนว่าเธอมองแวบเดียว ก็รู้ได้เป็นอย่างดี

เดินไปที่ที่นั่งด้านหน้าสุดอย่างไม่ส่งเสียง “วิเวียน ถึงเวลาหรือยัง?”

“เหลืออีกหนึ่งนาทีค่ะ?”

เจี่ยนถงพยักหน้า

นั่งลงบนเก้าอี้ หลับตาพักสมอง

คนอื่นๆในห้องประชุม เห็นเธอแบบนี้ ก็ไม่เข้าใจ หันหน้ามองกัน ต่างก็เห็นความไม่เข้าใจและสับสนในแววตาของอีกฝ่าย

ประมาณหนึ่งนาที ทันใดนั้น ผู้หญิงคนนั้นที่อยู่กลางโต๊ะห้องประชุม ก็ลืมตาขึ้น กวาดสายตาไปที่วิเวียน วิเวียนเข้าใจความคิดของเธออย่างสงบ ยกข้อมือขึ้นมองนาฬิกา พยักหน้าส่งสัญญาณให้เจี่ยนถง “ถึงเวลาแล้ว”

“ขอโทษด้วย วันนี้เรียกประชุมผู้บริหารกะทันหัน” ในแววตาเธอไม่มีอุณหภูมิ กวาดตามองฝูงคน “คนที่มาในวันนี้ อดีตเคยทำอะไรไว้ ในใจมีเรื่องเล็กน้อยอะไร ฉันไม่ถือโทษโกรธเคือง” พูดมาถึงตรงนี้ ก็มองไปที่วิเวียน “ตอนนี้แจ้งฝ่ายบุคคล ผู้บริหารที่ไม่มาในวันนี้ และไม่ได้ลาหยุดล่วงหน้า ปลดออกตามกฎหมาย”

ที่เธอพูดคือ “ไล่ออก” แต่ไม่ใช่ “ปลดออก” สองคำนี้ดูแล้วอาจเหมือนกัน แต่ในความเป็นจริงกลับต่างกันมาก

ยิ่งบริษัทใหญ่ยิ่งเป็นแบบนี้

วิเวียนชะงักไป แต่เห็นใบหน้าเจี่ยนถงไร้อารมณ์ไร้ความลังเลใดๆ หัวใจก็พองขึ้น “ค่ะ ประธานเจี่ยน”

ตั้งแต่แรกเธอก็แสดงอำนาจ ถ้าหากคนที่มาในที่ประชุม มีทัศนคติมากมาย ไม่กล้าไม่เกรงใจอีก แม้แต่คนที่ส่งเสียงบ่น ในตอนที่เห็นชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังเจี่ยนถง ก็จะปิดปากแต่โดยดี

“เชื่อว่าพวกคุณได้ดูวิดีโอนั่นแล้ว ขอเตือนทุกคนไว้หน่อย ไม่ว่าพวกคุณจะชอบฉันหรือไม่ หรือคิดยังไงกับฉัน ‘กองทุนดวงหัวใจ’แซ่เจี่ยน เจี่ยนของเจี่ยนถง ดังนั้น ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ นอกเสียจากคุณไม่ทำงานใน กองทุนดวงหัวใจ ไม่อย่างนั้น ไม่ว่าพวกคุณจะยินดีหรือไม่ มีความคิดเห็นต่อฉันยังไง ทั้งหมดนั้นเก็บไว้ในท้อง ทำงานให้ดี”

เจี่ยนถงในตอนนี้ สายตาปกปิดขอบ และเฉียบคม กวาดมองทุกคนที่อยู่บนโต๊ะห้องประชุม ไม่ท้อถอยแม้แต่น้อย

หลังที่เหยียดยาวของเธอ มีเหงื่อออกอยู่นานแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่านั่งอยู่บนเก้าอี้ ก็คงจะขาอ่อนไปนานแล้ว แต่ในตอนนี้ ในตอนที่ท้อถอยไม่ได้ เธอเจี่ยนถงก็ไม่อาจงอแง จำเป็นต้องเฉียบขาด ครอบครองความเหนือกว่า

ดวงตาสีเข้มของเสิ่นซิวจิ่นเผยความภาคภูมิใจ ใจเต้นเร็วขึ้น…..ได้เห็นผู้หญิงคนนั้นในปีนั้นอีกครั้ง เขาไม่เคยคิดเลย ว่าตนจะคิดถึงสไตล์ของผู้หญิงคนนั้นในปีนั้น!

เขายิ่งไม่เคยคิดเลยว่า สักวันหนึ่ง เขาจะใจเต้นรัวเพราะคนที่เสียงดังเด็ดเดี่ยวคนนี้!

……

คืนนั้น

ออฟฟิศของซูเมิ่งตงหวง ซูเมิ่งพึ่งจะรายงานธุระเสร็จ ประตูก็ถูกเคาะ

“เข้ามา”

เสิ่นยีผลักประตูเข้ามา “Boss คุณหาผม?”

“ฉันจะให้แกตรวจสอบเรื่องเมื่อสามปีก่อนว่ามีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า”

“สามปีก่อน…..เรื่องของคุณเวยเหมิง?” เสิ่นยีประหลาดใจ ไม่อยากจะเชื่อ “เรื่องนั้นมีคำตัดสินไปแล้วไม่ใช่หรือครับ?”

ยังจะตรวจสอบอะไร?!

“ฉันจะทำยังไง เมื่อไหร่ ต้องมีคำอนุญาตของแกด้วย? เหรอ?”

เสิ่นยีตัวสั่น เหงื่อเย็นไหลออกหน้าผาก ผม…..Boss กระผมก็แค่รู้สึกว่า เรื่องนี้มันผ่านมาสามปีแล้ว พูดอีกอย่าง บันทึกการโทรและข้อความบนมือถือของคุณเวยเหมิง ก็บอกถึงปัญหาชัดเจนแล้ว กระผมเพียงแค่คิดว่า ไม่จำเป็นต้องเสียเวลา กับข้อเท็จจริงที่ตัดสินไปแล้ว”

เสิ่นซิวจิ่นสายตาเย็นชาล้ำลึก นัยตาอันเฉียบคมเย็นลงทันที จ้องบนใบหน้าของเสิ่นยี “ดูเหมือนแก ไม่ต้องการให้ฉันตรวจสอบเรื่องเมื่อสามปีก่อน?”

“เฮ้อ” เล็กน้อย สีหน้าของเสิ่นยีซีดขาว ไม่คิดมากมาย เข่าทรุดลงกับพื้นอย่างแรง “Bossรู้ดี กระผมไม่ได้มีความหมายว่าอย่างนั้น กระผมเพียงแค่รู้สึก Boss….. Bossคุณเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปจนไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว

แม้ว่าคุณเจี่ยนจะมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อคุณ แต่ว่าตอนนี้Bossเปลี่ยนเป็นใจอ่อนเพราะคุณเจี่ยนแล้ว นายท่าน กำชับกระผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในฐานะหัวหน้าตระกูลเสิ่น Bossคุณไม่ควรใจอ่อนเหมือนคนทั่วไป นั่นจะทำให้คุณอ่อนแอ กลายเป็นจุดอ่อน ศัตรูของตระกูลเสิ่นมีมากเกินไป Bossคุณมีความรับผิดชอบที่ใหญ่หลวง…..ไม่สามารถเปลี่ยนไปเพราะผู้หญิงคนเดียว…..”

“พอแล้ว!” เสิ่นซิวจิ่นแผดเสียงลุกขึ้นทันที กวาดมองเสิ่นยีที่คุกเข่าอยู่กับพื้นด้วยสายตาเย็นชา แววตาเยือกเย็นราวกับแช่แข็งได้!

“แกยังจำได้ไหม คนใกล้ชิดผู้นำตระกูลทุกคนของตระกูลเสิ่น เลือกมาด้วยวิธีไหน?” ด้วยสายตาเย็นชา จ้องไปที่เสิ่นยี “ฉันเลือกคนตอนเจ็ดขวบ ในสิบคน เลือกแกเป็นคนแรก ดังนั้นแกถึงชื่อเสิ่นยี เริ่มตั้งแต่นาทีแรกที่แกชื่อว่าเสิ่นยี เจ้านายที่นายจะต้องพักดีและเชื่อฟัง คือฉันเพียงคนเดียว

การตัดสินใจของฉันแกจงฟัง คำสั่งของฉันแกทำตาม นี่เป็นเพียงเรื่องเดียวที่แกต้องทำ เริ่มตั้งแต่นาทีที่แกอยู่ข้างกายฉัน ที่แกถูกเรียกว่าเสิ่นยี เชื่อฟัง ฟังคำสั่งของฉัน”

เสิ่นยีหน้าผากเหงื่อหยด Bossน้อยมากที่จะพูดคำเหล่านี้กับพวกเขา จนแทบจะกลายเป็นข้อห้าม ตอนนี้ในใจตื่นตระหนก ใบหน้าที่เข้มแข็งเมื่อกี้ของเสิ่นยี ซีดเผือดราวกับผี “ปัง”! หัวกระแทกพื้น ส่งเสียงดังสนั่น ซูเมิ่งที่อยู่ด้านข้างเองก็ไหล่เกร็งด้วยความประหม่า ไม่กล้าหายใจเฮือกใหญ่

เธอมีเรื่องจะขออนุญาต แต่ไม่กล้ามากเรื่อง

ยิ่งกว่านั้น เสิ่นยีก็ทำผิดครั้งใหญ่

ทาสหนึ่งคนไม่รับใช้นายสองคน!

แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นปู่แท้ๆของBossเอง ก็ไม่สามารถข้ามเส้นได้เช่นกัน!

สายตาที่เย็นชาของเสิ่นซิวจิ่นตกลงบนตัวเสิ่นยี จากนั้นก็ขยับเล็กน้อย โบกมือ “ช่างมัน แกชดใช้ไปแล้วกัน ไปตรวจสอบเรื่องเมื่อสามปีก่อน ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ไหม”

เสิ่นยีขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า เดินออกมาจากออฟฟิศของซูเมิ่ง ในนาทีที่ประตูปิดลง ใบหน้าที่แข็งแกร่งเมื่อกี้ กลับเผยสีหน้าซับซ้อน…..Bossปล่อยเขาไป บนตัวมีรสสัมผัสของความเป็นคน แต่…..เสิ่นยีไม่ดีใจกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย!

บนตัวBossมีความเป็นคนมากขึ้น บอสมีสมบัติทั้งหมดของตระกูลเสิ่น แต่กลับมีความเป็นคนเหมือนอย่างคนธรรมดาทั่วไป…..เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน ทำไมบอสถึงให้อภัยเขาง่ายๆแบบนี้?

ในมุมของเสิ่นยี บนตัวBossมีความเป็นคนมากขึ้น หมายความว่าบนกระจกมีรอยแตก ผู้นำตระกูลเสิ่นที่สมบูรณ์แบบมีข้อบกพร่องแล้ว

ภายในออฟฟิศ ซูเมิ่งยังอยู่ “มีเรื่องหนึ่ง…..ประธานเสิ่น ฉันไม่เข้าใจมาตลอด”

“ถามมา”

“เกี่ยวกับเรื่องเมื่อสามปีที่แล้ว ทำไมก่อนหน้านี้คุณประธานเสิ่นไม่ตรวจสอบ ตอนนี้กลับอยากตรวจสอบดู?”

เสิ่นซิวจิ่นประสานสิบนิ้วเข้าด้วยกัน วางลงบนโต๊ะทำงานตรงหน้า เมื่อได้ฟังนิ้วโป้งก็ขยับเล็กน้อย…..ทำไมเรื่องเมื่อสามปีก่อน ตอนนี้ถึงผุดความคิดที่จะตรวจสอบขึ้นมา?

เพราะเซียวเหิง เพราะต่อหน้าเซียวเหิง ฆาตกรในสายตาเขาเสิ่นซิวจิ่นคนนั้น เพื่อผู้หญิงที่คำนวณด้วยความเห็นแก่ตัวและทำร้ายเพื่อนของตัวเอง แต่หลังจากที่ถูกเซียวเหิงด่าทอให้อับอายไปชุดใหญ่แล้ว กลับเดินไปตรงหน้าเซียวเหิง ก่อนจะจากไป กลับยังทำให้ความเกลียดชังของเซียวเหิงสงบลง

อดที่จะถามตัวเองไม่ได้ว่า คนแบบนี้ จะฆ่าคนเพราะความเห็นแก่ตัวจริงๆเหรอ?

ดวงตาที่สวยงามของซูเมิ่งเย็นลงเล็กน้อย “เธอออกจากคุกมาก็เกือบปีแล้ว ทำไมเวลาเนิ่นนานขนาดนี้ คุณกลับไม่ตรวจสอบ?”

“เสี่ยวถงเธอ…..ก็เน้นย้ำไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง ความผิดของเธอ สามปีก่อนคุณไม่อยากตรวจสอบ ในสามปี คุณก็ไม่อยากตรวจสอบ แล้วทำไม เธอออกจากคุกมาจะปีหนึ่งแล้ว คุณก็ตรวจสอบได้ คุณกลับไม่ตรวจสอบมาโดยตลอด จนกระทั่งวันนี้ ถึงอยากที่จะตรวจสอบดู?”

นี่มันเหตุผลอะไรกัน!

“ประธานเสิ่น คุณไม่เคยตรวจสอบมาก่อน เพราะคุณไม่สนใจ งั้นตอนนี้จู่ๆคุณจะตรวจสอบเรื่องนี้ มันแปลว่าอะไร? แต่ไหนแต่ไรคุณสงบนิ่งไม่แยแส คุณตรวจสอบได้ พูดได้ว่าคุณสังเกตเห็นจุดบกพร่องในเรื่องนี้

ถึงอย่างไร การฆ่าคนก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ คุณจะตรวจสอบข้อบกพร่องของเรื่องนี้ ไม่ใช่จะสังเกตเห็นได้ในชั่วข้ามคืน คุณสังเกตเห็นข้อบกพร่อง แน่นอนว่าเป็นเวลาสองสามเดือนมาแล้ว”

ซูเมิ่งกำหมัดแน่น ตอนแรก เธอไม่ได้คิดจะพูดมากมายขนาดนี้ แต่โดยไม่รู้ตัว ก็นึกถึงความขมขื่นที่ยัยโง่นั่นได้รับ

“ประธานเสิ่น” ซูเมิ่งตื่นเต้นผิดปกติเล็กน้อย ราวกับไม่ใช่แสวงหาความยุติธรรมเพื่อเจี่ยนถง แต่เพื่อตัวเธอเอง “ในเมื่อคุณสังเกตเห็นความผิดปกติของเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว ทำไมคุณถึงผลัดวันประกันพรุ่งมาจนวันนี้ถึงตรวจสอบ! คุณรู้ไหมว่า ผู้หญิงคนหนึ่ง แบกรับอาชญากรรมที่เลวร้ายเหล่านี้ มากขึ้นวินาทีหนึ่งล้วนแต่ทำให้เธอจิตใจเหนื่อยล้า นานขึ้นสักวินาทีก็ทำให้เรื่องราวมากมายมากมายเปลี่ยนแปลงได้!”

ซูเมิ่งเอ่ยถามเสิ่นซิวจิ่น เสียงสูงขึ้นเรื่อยๆ สูงจนตัวเธอเองยังไม่รู้ตัว เธอรู้สึกเพียงแค่ความสุขและความสบายใจ!

ความคับข้องใจและไม่พอใจตลอดหลายปี ทั้งยังความโกรธและความไร้หนทาง ความสงสัยและการกล่าวโทษทั้งหมด ได้ถูกประณามออกมาแล้ว!

ปลดปล่อยทุกอย่าง!

ใบหน้าตรงหน้าตน ราวกับทับซ้อนกับใบหน้าคนเมื่อหลายปีก่อน!

แต่เมื่อความตื่นเต้นหายไป โครงร่างของใบหน้าตรงหน้าก็ชัดเจนขึ้น “ฮะ” เล็กน้อย เลือดบนใบหน้าซูเมิ่งก็จากไป “ประธานเสิ่น ฉัน ฉัน ฉัน…..ขอโทษค่ะ! คุณลงโทษฉัน ฉันยอมรับโทษ!”

ชายหนุ่มที่พิงเก้าอี้อยู่ไม่พูดจา ร่างเพรียวยาว ยืนขึ้นโดยไม่มีการเตือน “เธอพูดได้ดีมาก” ใบหน้าชายหนุ่มไร้อารมณ์เดินไปที่ประตูใหญ่ ก้าวออกไป

ที่ซูเมิ่งพูดไม่ผิดเลย เขาสังเกตเห็นอยู่นานแล้วว่าเรื่องนี้อาจมีอะไรซ่อนอยู่ ทำไมไม่ตรวจสอบ?

ถามได้ดี!

ทำไมไม่ตรวจสอบ?

ก่อนหน้านี้เพราะไม่เปลืองแรงไปตรวจสอบ เพราะไม่สนใจ ยิ่งไปกว่านั้นหลักฐานแต่ละประเภทก็วางอยู่ตรงนั้น เขาก็ขี้เกียจจะไปสืบสวนอีก สำหรับเขาแล้ว ตอนที่เซี่ยเวยเหมิงยังมีชีวิตอยู่ เป็นผู้หญิงที่เขาพิจารณาจะแต่งงานด้วย ตายแล้ว ก็ไม่มีแม้แต่ความสัมพันธ์ขั้นนี้แล้ว ตายแล้วก็ไม่มีค่าอะไร ไม่สำคัญแล้ว

สำหรับเจี่ยนถง ตอนนั้นไม่เคยสนใจ

ไม่ต้องพูดถึงการถูกขังอย่างอยุติธรรมสามปี ต่อให้ตายอย่างอยุติธรรมสามปี เกี่ยวอะไรกับเขา?

หลังจากนั้น…..หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น?

มุมปากชายหนุ่มเผยรอยยิ้มที่ขมขื่น…..”ไม่กล้าตรวจสอบไง…..” ถอนหายใจเบาๆ เดินออกจากตงหวง เงยหน้าขึ้นมองค่ำคืนที่มืดมิด แม้แต่ดาวสักดวงยังไม่มี

ทำไมตอนนี้ยังจะตรวจสอบ?

เพราะอะไร? …..เพราะผู้หญิงคนนั้นไม่เปลี่ยนความตั้งใจเดิมเมื่อเผชิญหน้ากับเซียวเหิง เพราะประโยค “ขอนายอย่าปล่อยให้ตัวเองเปลี่ยนเป็นคนที่น่ารังเกียจ เพียงเพราะกะหรี่ไร้ยางอายคนหนึ่งที่ใครๆก็ย่ำยีได้” เธอที่เป็นแบบนี้ เขาจะปล่อยให้ถูกคนทั้งโลกดูหมิ่นเหยียดหยามได้ยังไง!?

แต่ถ้าความจริงที่ตรวจสอบออกมา…..

ถ้าหากเธอเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาจะเผชิญหน้ากับเธอยังไง? จะเอาอะไรไปชดใช้?

“นายมาทำอะไรที่นี่?” ห้องแห่งหนึ่งในคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น เสิ่นยีกำลังลื้อกล่องและลิ้นชักอยู่ในนั้น พ่อบ้านเซี่ยถือถาดอยู่ในมือ ยืนอยู่หน้าประตู มองเสิ่นยีอย่างเย็นชาพักหนึ่ง แล้วจึงเรียกให้หยุด

เสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน เสิ่นยีตกใจเล็กน้อย วินาทีต่อมาก็หันหน้าไปมอง “อา~นายเองเหรอ”

คิ้วสีเทาของพ่อบ้านเซี่ยขยับเล็กน้อย สายตาขยับลงทีละนิ้ว สายตาตกลงบนสมุดในมือของเสิ่นยี “ในมือนายถืออะไรอยู่?”

“อ๋อ นายหมายถึงนี่เหรอ ก็สมุดบันทึกการติดต่อสื่สารของห้องเรียนคุณเวยเหมิงไม่ใช่เหรอ?”

“นายจะเอาไปทำอะไร?”

“แน่นอนว่า…..” เสิ่นยีกำลังจะอธิบาย อีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเรียกเขา “เสิ่นยี เร็วหน่อยสิ พวกพ้องรอคุยธุระกับพี่อยู่” เมื่อเงยหน้า เสิ่นเอ้อก็เดินมาทางเขากับพ่อบ้านเซี่ย

เสิ่นยีไม่โง่ พวกพ้องไม่ได้นัดกับเขาไว้ ธุระมาจากไหน? นั่นคือเสิ่นเอ้อจงใจขัดจังหวะเขากับพ่อบ้าน…..ครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เข้าใจแล้ว “อืม” พูดตอบไป “พ่อบ้านเซี่ย ฉันยังไม่ธุระต้องไปทำ ไว้คุยกัน”

พ่อบ้านเซี่ยหลายสิบปีก็เหมือนวันเดียว บนใบหน้าแก่เฒ่าเคร่งขรึม เผยสีหน้าครุ่นคิด ลูกตาสลัวขยับ “สมุดบันทึกของเวยเหมิง…..เขาจะเอาของสิ่งนี้ไปทำอะไร?”

ในใจเกิดความสงสัย พ่อบ้านเซี่ยหันตัวก้าวเท้ายาว ไม่ใช่ไล่ตามเงาของเสิ่นยีเพื่อถามให้ชัดเจน แต่เดินอย่างรวดเร็วไปที่ห้องนอนของตนในคฤหาสน์

เข้ามาในห้องนอนของตน พลิกมือล็อกประตู คิ้วขมวดแน่น ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หยิบมือถือออกมาทันที กดเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่ได้โทรหามานาน

ฝั่งปลายสายส่งเสียงเย้นหยันอย่างขี้เกียจ “โอ้ ฉันก็ว่าใครโทรมา พ่อบ้านเซี่ยคุณมีอะไรเหรอ?” เห็นได้ชัด เจ้าของเสียงปลายสายโทรศัพท์ มีความดูถูก ต่อพ่อบ้านเซี่ยคนนี้

พ่อบ้านเซี่ยคิ้วล็อกแน่น ไม่สนใจการเย้ยหยันที่เผยความดูถูกของปลายสาย รีบเอ่ยปาก “เมื่อกี้เสิ่นยีเข้าไปในห้องอเนกประสงค์ หยิบสมุดบันทึกของเวยเหมิงออกมา ผิดปกติเกินไป แกต้องช่วยหน่อย ดูว่าเขาจะทำอะไรกันแน่”

“ฮิฮิ~ตาแก่เซี่ย แกก็รู้อยู่แก่ใจ เสิ่นยีเป็นคนของเขา เสิ่นยีผู้คุ้มกันคนหนึ่ง ปกติแล้วจะไม่มาหายสมุดบันทึกโดยไม่มีเหตุผลความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวที่ทำให้เสิ่นยีทำแบบนี้ ก็เพราะเจ้านายเขาสั่งภารกิจใหม่ให้กับเขา”

ในเวลานี้ บนใบหน้าแก่เฒ่าของพ่อบ้านเซี่ยเผยความโกรธที่ยากจะควบคุม ตะโกนใส่ปลายสายด้วยความโมโห “เวยเหมิงตายไปแล้ว!”

เวยเหมิงก็ตายไปแล้ว เป็นฝุ่นเถ้าธุลีไปแล้ว!

แล้วยังจะพลิกสมุดบันทึกในตอนนั้นเพื่ออะไรอีก!

“พอแล้ว ตาแก่เซี่ย ฉันไปช่วยดูให้แก ว่าเจ้านายของบ้านแก คิดจะทำอะไรกันแน่” ขณะที่พูด จู่ๆคนปลายสายก็ยิ้มออกมาเบาๆ “แต่ฉันว่านะ ตาแก่เซี่ย แบบนี้แกไม่ถือว่าทรยศเหรอ?”

มีที่ไหนคนใช้ในบ้านติดตามตรวจสอบเจ้านายตัวเองลับหลัง?

ใบหน้าพ่อบ้านเซี่ยดำมืด แผดเสียงอย่างหยาบคาย “สนใจเรื่องของแกให้ดีเถอะ ฉันจะบอกแกให้ ลู่หมิงชู ไม่มีใครสะอาดไปกว่าใคร ด้านหลังก้นล้วนแต่ติดไข่มูลลา จุดประสงค์แกไม่บริสุทธิ์ แต่ฉัน ก็เพื่อลูกสาวที่น่าสงสารของฉันที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเยาว์”

ลู่หมิงชูยิ้มใส่ปลายสายอย่างไร้เสียง ไม่รู้ว่ากำลังยิ้มอะไรอยู่ ในลึกลงไปในดวงตา เห็นได้ชัดว่าดูถูกและเหยียดหยามพ่อบ้านเซี่ย…..พูดได้น่าฟัง เพื่อลูกสาวที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเยาว์ของตน เรื่องเหล่านั้นที่ทำลับหลัง มีเรื่องไหนที่น่ากลัวน้อยกว่าอาชญากรรมที่ลูกสาวสุดที่รักของเขาต้องทนทุกข์ถึงสิบเท่า?

แต่ว่า เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเขา

บนโลกมีคนน่าสงสารมากมาย หรือให้เขาเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือทีละคนเหรอ?

จะโทษก็โทษที่ยัยแซ่เจี่ยนนั่นเคราะห์ร้าย ทำไมถึงมารู้จักนังงูพิษอย่างเซี่ยเวยเหมิงได้!

“ตาแก่เซี่ย แกก็อย่าพูดขัดขาฉัน เรื่องมีประโยชน์ฉันจะทำ เรื่องไม่มีประโยชน์ฉันไม่พูด”

พ่อบ้านเซี่ยหรี่ตาลง เมื่อได้รับคำรับปากจากลู่หมิงชู ในใจก็สงบลง แต่ก็ยังจะปลุกใจเป็นพิเศษ “แกเห็นแก่ความระทมทุกข์ของคนหัวหงอกที่ส่งถึงคนผมดำอย่างฉัน หมิงชู แกควรจะเข้าใจความเจ็บปวดที่สูญเสียผู้หญิงที่รัก สูญเสียคนและสิ่งของที่สำคัญกับตนมากไป ความรู้สึกแบบนั้น…..

หมิงชู เดิมทีแกไม่ควรแซ่ลู่ เดิมทีแกควรจะเปล่งประกายสดใส…..”

“หุบปาก!” ฝั่งปลายสาย ลู่หมิงชูขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน “ตาแก่เซี่ย แกคิดว่าแกเป็นใคร? แกคิดว่าหมาที่ตระกูลเสิ่นเลี้ยงดูมาอย่างแก จะชี้มือชี้ไม้ใส่ฉันได้เหรอ!

ฉันนามแซ่อะไร เกี่ยวอะไรกับแก!

ฉันนามแซ่อะไร ฉันก็เปล่งประกายได้! ไม่เกี่ยวอะไรกับนามแซ่ฉันสักนิด!”

“ปัง!”

มือถือในมือของลู่หมิงชู กระแทกอย่างแรงบนโต๊ะทำงาน แววตามืดมน!

ใบหน้านั้น ไม่ว่าดูยังไง ก็ดูคุ้นเคย บนโต๊ะทำงานของเขา มีกรอบรูปกลับด้านวางอยู่ ลู่หมิงชูหยิบกรอบรูปขึ้นมา รูปภาพในกรอบนั้น เข้าสู่สายตาทันที!

“เสิ่นซิวจิ่น!” เขากัดฟันกราม แววตาเกลียดชัง ราวกับจะล้นออกมาจากเบ้าตา เสียง“ผัวะ”ดังขึ้น หมัดของเขากระแทกลงบนโต๊ะทำงานไม้สักสีทอง ลมหายใจเย็นยะเยือกขึ้นเรื่อยๆ คำสามคำผุดออกมาจากหลังฟัน “คอยดูเถอะ!”

ทันใดนั้นก็ยืนขึ้น ร่างของเขาสูงมาก เทียบได้กับความสูงของเสิ่นซิวจิ่น หยิบกุญแจรถบนโต๊ะขึ้นมา ออกประตูไปอย่างรวดเร็ว

……

อีกด้านหนึ่ง เสิ่นยีและเสิ่นเอ้อเดินคู่กัน “ทำไมเมื่อกี้แกไปอยู่ที่นั่น?”

เสิ่นยีถามเสิ่นเอ้อ แต่อันที่จริงไม่ได้จะถามว่า เสิ่นเอ้อทำไมจู่ๆไปปรากฏตัวอยู่ที่นั่น ที่เสิ่นยีถามจริงๆคือ แกเสิ่นเอ้อเมื่อกี้ทำไมห้ามไม่ให้ฉันบอกความจริงกับพ่อบ้านเซี่ย

“พี่ใหญ่” เสิ่นเอ้อชะงักฝีเท้า เผชิญหน้ากับเสิ่นยี “พี่ไม่รู้จริงๆหรือแกล้งไม่รู้? ในเมื่อเรื่องที่Bossให้พี่ตรวจสอบ เป็นเรื่องเมื่อสามปีก่อนนั่น งั้นแน่นอนว่ามันต้องพัวพันกับเซี่ยเวยเหมิง พ่อบ้านเซี่ยเป็นพ่อของเซี่ยเวยเหมิง หนีความเกี่ยวข้องยาก

เมื่อกี้…..เมื่อกี้ถ้าไม่ได้ฉันขัดจังหวะพี่กะทันหันนะ พี่ใหญ่” ใบหน้าที่แข็งแกร่งของเสิ่นเอ้อ ยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้น จ้องเสิ่นยีที่อยู่ตรงหน้า “เมื่อกี้พี่ คิดว่าถ้าผิดก็ผิด จะบอกความหมายของBoss ต่อพ่อบ้านเซี่ยโดยไม่ส่งเสียงใช่ไหม?”

สีหน้าเสิ่นยีเปลี่ยนไปกะทันหัน แข็งนอกอ่อนใน ตะคอกเสียงดัง “แกพูดมั่วอะไร! ฉันจะไปจงใจบอกพ่อบ้านเซี่ยเรื่องที่Bossจะตรวจสอบคดีเมื่อสามปีก่อนอีกครั้งได้ยังไง!”

ทันทีที่พูดจบ บนใบหน้าแข็งนอกอ่อนในของเสิ่นยี การแสดงออกบนใบหน้าก็เปลี่ยนไปทันที! “ฮะ”ไปครั้งหนึ่ง สีเลือดถูกดึงออกจากใบหน้า! ……เขาไม่กล้าสบตากับเสิ่นเอ้อ บนใบหน้าเสิ่นเอ้อแสดงออกว่า “อย่างนี้นี่เอง”!

เสิ่นยีกัดฟันเสียงดัง “กรอด”….. “แกหลอกถามฉัน?”

“พี่ใหญ่ ถ้าพี่เป็นเพราะประมาทจริงๆ ไม่ได้เข้าใจอย่างชัดเจนถึงความสัมพันธ์ของพ่อบ้านเซี่ยกับเรื่องนี้ แล้วพลั้งปากพูดไป ฉันจะหลอกถามพี่ด้วยประโยคเดียวได้ยังไง?

เมื่อกี้ตัวพี่เองพูดว่าอะไร? พูดว่าพี่จะไปจงใจบอกพ่อบ้านเซี่ยเรื่องที่Bossจะตรวจสอบคดีเมื่อสามปีก่อนอีกครั้งได้ยังไง? …..พี่ก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ควรให้พ่อบ้านเซี่ยรับรู้?

พี่ใหญ่ ฉันรู้ว่าปีนั้นที่คุณเวยเหมิงลาโลกไป พี่เองก็เศร้าใจ…..แต่ว่าพี่ใหญ่! ต่อให้คุณเวยเหมิงยังมีชีวิตอยู่ พี่กับเธอก็เป็นไปไม่ได้!”

ใบหน้าเสิ่นยีซีดขาว “หุบปาก! ฉันไม่เคยมีความปรารถนาต่อคุณเวยเหมิง! แกอย่าพูดไร้สาระอีก!”

“พี่ใหญ่พี่บอกพี่ไม่เคย แล้วทำไมพี่ถึงต้องมุ่งเป้าไปที่คุณเจี่ยนซ้ำแล้วซ้ำเล่า?”

ใบหน้าเสิ่นยีเผยความดุร้าย “ฉันก็แค่ไม่พอใจผู้หญิงคนนั้นอาศัยสถานะของตัวเอง ทำเรื่องชั่วช้าเลวทราม ทำร้ายชีวิตคน บนโลกนี้คนดีอายุไม่ยืน คนที่เป็นตัวหายนะอายุพันปี!”

“พอแล้ว! พี่ใหญ่! Bossให้พี่ไปตรวจสอบเรื่องในปีนั้น แปลว่าBossเชื่อว่าเรื่องในปีนั้นมีบางอย่างซ่อนเร้น……ตอนนี้พี่ตัดสินโทษคุณเจี่ยน มันไม่สมเหตุสมผลเกินไปหรือเปล่า?” เสิ่นเอ้อมองไปที่เสิ่นยีด้วยความโศกเศร้า

“พี่ใหญ่ เรื่องในวันนี้ ฉันจะไม่ปริปากพูด แต่พี่ต้องลดอคติลง ตรวจสอบเรื่องในปีนั้นอย่างจริงจัง”

เสิ่นยีมองเสิ่นเอ้อย่างลึกซึ้ง “ฉันไม่ได้ทำอย่างนั้น เรื่องที่Bossสั่งฉัน ฉันจะทำอย่างจริงจัง! ส่วนจะตรวจสอบได้เยอะแค่ไหน ฉันไม่รู้

ผ่านมาสามปี เรื่องเมื่อปีนั้นหาไม่ง่าย อันธพาลพวกนั้นก็ไม่เห็นร่องรอย คนที่รู้เหตุการณ์ก็มีแค่เจี่ยนถงผู้หญิงคนนั้นแล้ว สถานที่เดียวที่สามารถลงมือได้ บางทีเพื่อนร่วมชั้นของคุณเวยเหมิงในปีนั้นอาจจะรู้อะไรบ้าง”

……

เสิ่นยีอาศัยสมุดบันทึก โทรนัดเจอทีละคน

ในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง หญิงสาวสามสี่คนนั่งอยู่บนโต๊ะกาแฟหนึ่ง ในโต๊ะเดียวกันยังมีผู้ชายในชุดสูท ผู้ชายคนนี้ก็คือเสิ่นยี

“พวกเธอลองนึกดูอีกที ตอนนั้นมีเรื่องอะไรพิเศษหรือเปล่า เซี่ยเวยเหมิงได้พูดอะไรไว้ไหม?”

หญิงสาวสี่คนขมวดคิ้วไม่คลาย “ไม่มี จำไม่ได้แล้วจริงๆ”

โต๊ะของพวกเขาติดกับหน้าต่าง เป็นห้องส่วนตัวที่เปิดครึ่งหนึ่ง ไม่รู้เลยว่า ในห้องส่วนตัวติดกัน มีชายขายาวมือยาวนั่งอยู่ เล่นแก้วกาแฟในมือด้วยความสง่า แต่ฟังบทสนทนาของห้องถัดไปอย่างสบายใจ

เสิ่นยีเม้มริมฝีปาก ลุกขึ้นยืน “เอางี้แล้วกัน พวกเธอกลับไปนึกให้ละเอียดอีกที ถ้าคิดอะไรออกขึ้นมา ก็โทรมาที่เบอร์นี้” นามบัตรไม่กี่ใบส่งไปให้หญิงสาวทั้งสี่ “ฉันไปก่อนล่ะ ฉันได้เช็คบิลเรียบร้อยแล้ว พวกเธอค่อยๆกิน”

เสิ่นยีเดินผ่านห้องด้านข้าง แต่กลับไม่เห็นคนที่อยู่ข้างใน

ลู่หมิงชูโค้งริมฝีปากเบาๆ มุมปากเผยรอยยิ้มเยาะเย้ย…..เสิ่นซิวจิ่น เพื่ออะไรกัน?

ในเมื่อรู้ว่าวันนี้จะเกิดความรู้สึก ทำไมต้องชั่วร้ายตั้งแต่แรก?

ลู่หมิงชูเป็นคนแบบไหน? นี่ยังเป็นตัวหลักที่ฉลาดอีกด้วย เพียงแค่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ก็สามารถคาดเดาเรื่องราวต่างๆได้ ตัวอย่างเช่น จากการกระทำของเสิ่นยีทั้งหมด ก็สามารถเดาได้ว่า เสิ่นซิวจิ่นเริ่มมีความรู้สึกต่อเจี่ยนถงแล้ว

“ตอนแรกนึกว่า ‘เด็กดี’ที่หน้านางฟ้าแต่ใจงูพิษนั่นเป็นจุดอ่อนของแกเสิ่นซิวจิ่น แต่ที่แท้คือฉันคิดผิด” มิน่าล่ะ…..มิน่าล่ะ ‘เด็กดี’ตายไปก่อนวัยอันควร ไอ้แซ่เสิ่นถึงไม่สนใจไยดี

“กลับกลายเป็นว่าฉันคิดผิด” แดกดันเบาๆ “ก็ดี ก็ดี”

หยิบมือถือขึ้นมา “ตรวจเจอแล้ว เจ้านายของบ้านแกเกรงว่าจะมีใจให้ฆาตกรสาวของแกจริงๆแล้ว”

ยังไม่ทันพูดจบ ในหูก็มีเสียงทำของตกเพล้งดังสวนมา

ปลายสาย มือของพ่อบ้านเซี่ยอ่อนลง มือถือได้ไม่มั่นคง ลื่นตกลงไปที่พื้น รูม่านตาขยาย หายใจลำบาก ริมฝีปากเป็นสีม่วง…..หลังจากนั้นสักพัก ก็ก้มตัวลงอย่างสั่นเทา หยิบมือถือขึ้นมาจากพื้น “เสิ่นยีกำลังตรวจสอบเรื่องในปีนั้น”

ประโยคนี้ของพ่อบ้านเซี่ยเป็นประโยคบอกเล่า ไม่ใช่ประโยคคำถาม

“ฮ่า ~” ลู่หมิงชูเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “จะตรวจสอบเรื่องในปีนั้นออกมาได้หรือไม่ ฉันก็ไม่รู้ แต่ในเมื่อจะตรวจสอบเรื่องในปีนั้น ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะตรวจดูเรื่องในสามปีนี้ ตาแก่เซี่ย แกต้องรีบแล้ว เช็ดเก๊กฮวยเก่าของแกให้สะอาดซะ”

พูดจบ ก็ตัดสายไป

เรื่องในสามปี งั้นก็จะตรวจสอบเรื่องอื้อฉาวในคุกด้วย

นี่มัน……เป็นเรื่องที่สกปรก!

พ่อบ้านเซี่ยรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

เขารู้ดี ต้องแข่งขันกับเวลาในตอนนี้!

แล้วสิ่งที่เขาพึ่งพาในตอนนี้ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าความหมายในการดูแลเสิ่นซิวจิ่นในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ความเชื่อใจในตัวเขาของเสิ่นซิวจิ่น

เมื่อความเชื่อใจพังทลาย…..พ่อบ้านเซี่ยไม่กล้าจินตนาการ ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น!

ห้องหนังสือที่มืดมน เสิ่นซิวจิ่นมองดูรายงานฉบับนี้ที่อยู่ตรงหน้าตน ท่าทางเคร่งขรึม

“นี่ คือผลลัพธ์ที่ได้จากการตรวจสอบของแก?” กระดาษแผ่นบางไม่กี่ใบ แต่กลับไม่ได้พลิกคดีให้ผู้หญิงคนนั้น กระทั่งยิ่งยืนยันคำพูดและการกระทำที่ชั่วร้ายของผู้หญิงคนนั้นในตอนนั้น

เสิ่นยีพยักหน้า “Boss เรื่องเมื่อสามปีก่อน ไม่มีอะไรซ่อนไว้จริงๆครับ ผ่านมาสามปี คนที่รู้เรื่องที่แท้จริง นอกจากคุณเจี่ยน ก็ไม่มีคนอื่นแล้ว

กระผมทำได้เพียงสอบถามจากเพื่อนร่วมชั้นข้างกายคุณเวยเหมิงในตอนนั้น

คนสามคนบนเอกสารนี้ ล้วนแต่เป็นรูมเมทที่อยู่หอเดียวกันกับคุณเวยเหมิงในปีนั้น ตามความทรงจำของพวกเธอ สามปีก่อนก่อนที่จะเกิดคดี คุณเวยเหมิงดีใจมากเป็นพิเศษ หนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นผู้หญิง ตอนนั้นยังแซวคุณเวยเหมิงว่าจะไปเจอแฟนหนุ่มดีใจขนาดนี้เลย

ตอนนั้นคุณเวยเหมิงพูดว่า คุณเจี่ยนตอนค่ำจะพาเธอไปบาร์ ‘เย่สื้อ’ เจอกันนานหน่อย

คำพูดนี้ เด็กสาวทั้งสามคนที่เป็นรูมเมทในตอนนั้นต่างก็ได้ยินกันหมดครับ”

อีกความหมายหนึ่งก็คือ เรื่องนี้มีเหตุมีผล รูมเมทสาวทั้งสามคนได้ยินด้วยกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเท็จ

“ยังมีรายละเอียดอื่นอีกเล็กน้อย ได้บันทึกไว้บนเอกสารแล้ว” เสิ่นยีพูด “Boss เรื่องเมื่อสามปีก่อนเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเท็จ”

หลังโต๊ะทำงาน นิ้วเรียวยาวของเสิ่นซิวจิ่นขดตัว เคาะโต๊ะดัง “ป๊อกป๊อกป๊อก” ครั้งแล้วครั้งเล่า สายตาตกลงบนเอกสารนั้น ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักอะไรบางอย่าง

“เสิ่นยี” ทันใดนั้น เขาก็เอ่ยปาก น้ำเสียงต่ำนิ่งดังขึ้น “นายไปตรวจสอบที่เรือนจำดูอีกครั้ง”

“Bo….คือ Boss” เดิมทีเสิ่นยีอยากจะโต้แย้ง แต่สุดท้ายก็ประนีประนอม

ในเมื่อBossใส่ใจเรื่องเมื่อสามปีก่อนขนาดนี้ ใส่ใจเรื่องของผู้หญิงคนนั้นขนาดนี้ งั้นเขาก็ไปตรวจสอบ…..ไม่เชื่อเหรอกว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์

ถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ นั่นก็หมายความว่าคุณเวยเหมิงมีปัญหาเหรอ?

ไม่ นี่เป็นไปไม่ได้!

คุณเวยเหมิงเป็นคนดีขนาดนั้น อ่อนโยนบอบบาง เทียบกับคุณเวยเหมิงแล้ว คนที่จะมีปัญหา ต้องเป็นผู้หญิงคนนั้นที่มีปัญหามากกว่าถึงจะถูก

เสิ่นยีหันตัวออกจากห้องหนังสือ ในใจเขาหายใจไม่ออก Bossให้ตรวจสอบเรื่องเมื่อสามปีก่อน แล้วยังให้ตรวจสอบเรื่องในคุก อันที่จริงแล้วในใจBoss บางทีอาจจะเชื่อว่าคุณเวยเหมิงมีปัญหา

รอก่อนเถอะ รอให้เขาตรวจสอบเรื่องในคุกมาอย่างชัดเจน เอาเรื่องเปลือยเปล่าที่เป็นความจริง ทั้งหมดมาเปิดเผยต่อหน้าBoss Bossก็จะไม่เข้าข้างผู้หญิงคนนั้นอีกต่อไป!

ในห้องหนังสือ

เสิ่นซิวจิ่นอ่านเอกสารดูอีกครั้ง คิ้วซ่อนความซับซ้อนอยู่

ในตอนที่หยิบรายงานการสอบสวน แล้วเห็นผลลัพธ์การสอบสวน เขาก็เคร่งขรึม และต้องยอมรับว่า ตอนนั้นเขาถอนหายใจอย่างโล่งอก…..รู้ว่าตนไม่ได้ทำผิดต่อเธอ ในใจเขาก็รู้สึกสบายใจอยู่บ้าง

แต่ความสบายใจแบบนี้ กลับไม่สามารถทำให้เขาเมินเฉยไปอย่างเห็นแก่ตัวได้ การละเมิดของเรื่องราวทั้งหมดนี้

ผลลัพธ์การสอบสวนของเสิ่นยีไม่ผิดพลาด…..แต่บางที เรื่องนี้ อาจจะผิดมาตั้งแต่แรกแล้ว?

เสิ่นเอ้อยืนอยู่ข้างกายเสิ่นซิวจิ่นมาตลอด ราวกับเป็นมนุษย์ล่องหน

แต่ตอนนี้…..

“เสิ่นเอ้อ ทั้งหมดเมื่อกี้ แกก็เห็นหมดแล้ว งั้นแก ก็จะต้องเข้าใจเรื่องบางอย่างแล้ว ใช่ไหม?” นัยน์ตาคล้ายเหยี่ยวของเขา ตกลงบนใบหน้าของเสิ่นเอ้อ เสิ่นเอ้อในตอนที่ได้ยินคำนี้ ดวงตาก็หดลงทันที สักพักหนึ่ง ถึงพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ใช่ เขาเข้าใจแล้ว

แล้วยังเข้าใจชายหนุ่มตรงหน้าที่เหมือนกับจักรพรรดิ ความหมายของสิ่งที่เขาพูด–ที่Bossหมายถึงคือ เสิ่นยีมีความคิดส่วนตัวมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นรายงานการสอบสวนฉบับนี้มีปัญหา

“Boss เสิ่นยีติดตามคุณมาตั้งแต่ยังเล็ก เขาอาจจะมีความคิดส่วนตัวอยู่บ้าง แต่กับเรื่องใหญ่เรื่องโต เขาจะไม่ทรยศคุณแน่นอนครับ”

ยังพูดไม่ทันจบ เสิ่นซิวจิ่นก็ยกมือขึ้น หยุดไม่ให้เสิ่นเอ้อพูดต่อ “รายงานฉบับนี้ เขาไม่ปลอมแปลงเหรอก แต่เขาจะถูกคนใช้ประโยชน์ เพราะเขาเห็นไม่ชัดเจนมาตั้งแต่แรก

รายงานเขาปลอมแปลงไม่ได้ แต่ผลลัพธ์ของรายงานฉบับนี้ เป็นจริงหรือเป็นเท็จ ก็พูดยากแล้ว” เสิ่นซิวจิ่นผลักรายงานไปตรงหน้าเสิ่นเอ้อ

“ฟังนะ สิ่งที่ฉันจะให้แกทำ ก็คือแอบตรวจสอบเรื่องเมื่อสามปีก่อน แต่ว่าเรื่องนี้ ต้องเก็บเป็นความลับ แม้แต่เสิ่นยีก็บอกไม่ได้”

ในความคิดส่วนตัว เขาหวังว่า เสิ่นยีจะไม่ถูกคนอื่นหลอกใช้ ความแท้จริงของรายงานฉบับนี้เชื่อถือได้ ถ้าเป็นแบบนี้ เกี่ยวกับเรื่องเมื่อสามปีก่อน เขาก็ไม่ได้ทำผิดต่อผู้หญิงคนนั้น…..แต่ว่า ผู้หญิงคนนั้นใช้พฤติกรรมของตนบอกกับเขา—ว่าเธอทำเรื่องที่เลวร้ายอย่างเมื่อสามปีก่อนไม่ได้!

สามปีก่อนเขาทำใจให้เหมือนน้ำนิ่งได้ ละเลยความจริง

แต่วันนี้ สำหรับเธอ มันยากที่จะกลับไปมีความคิดที่ไม่แยแสอย่างเมื่อสามปีก่อน……

แน่นอน ว่าได้สังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่เมื่อก่อนไม่เคยสนใจ ความสงสัยเล็กๆน้อยๆเหล่านั้นที่ไม่เคยใส่ใจ……

อยากจะตรวจสอบ ก็ต้องตรวจสอบ กระดูกสันหลังของเธอถูกเขาเป็นคนงอ เขาก็ควรสารภาพกับเธอ

เสิ่นเอ้อชีวิตอยู่ในอันตราย แต่ในเวลานี้ มือถือบนโต๊ะก็ดังขึ้น

นิ้วเรียวยาวกดปุ่มรับสาย สีหน้าของชายหนุ่ม ชั่วพริบตา มืดครึ้มหม่นหมอง

ถ้าหากเมื่อกี้ยังมีความรู้สึกผิด แต่ในตอนนี้ บนใบหน้าที่หล่อเหลาไม่เหมือนคนทั่วไปนั้น มืดมนราวกับเมฆดำ!

พรึบ!

ลุกขึ้นทันที ร่างที่สูงเพรียว ควบแน่นราวกับจะระเบิดออกมา!

“Boss? เกิดอะไรขึ้นหรือครับ?” สีหน้าของเสิ่นเอ้อเองก็เปลี่ยนไป เสิ่นซิวจิ่นที่เป็นแบบนี้ น้อยนักที่จะเคยเห็น!

“คิดไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงคนนั้นไม่เคยลดละ ความคิดที่จะวิ่งหนีไปจากฉัน!”

ชายหนุ่มกัดฟันกราม ราวกับว่าทุกคำพุ่งออกมาจากหลังฟันอย่างดุเดือด!

บนในหน้าที่หล่อเหลา เต็มไปด้วยความเยือกเย็น!

แม้ว่าเสิ่นเอ้อจะเป็นชายวัยกลางคนที่ติดตามอยู่ข้างกายเขามาเป็นเวลานาน ก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นอย่างรุนแรง!

ในตอนที่ได้ยินคำพูดของเสิ่นซิวจิ่น ในใจเสิ่นเอ้อก็ส่งเสียง “ครืน” อย่างหนักหน่วง! ในใจเอ่ย “ไม่ดีแล้ว” ยังไม่ทันได้เอ่ยคำ คนตรงหน้า ก็พุ่งออกไปราวกับลม

เสิ่นเอ้อรีบตามออกไป เขาจำเป็นต้องวิ่ง ถึงสามารถพอจะถูไถไล่ตามร่างสูงเพรียวที่เด็ดเดี่ยวตรงหน้าได้!

“Boss สุขทุกข์ อาจจะเป็นการเข้าใจผิด!” เสิ่นเอ้อไล่ตามไป เห็นสีหน้าของเสิ่นซิวจิ่นในตอนนี้ ราวกับจะฆ่าคนเขาอยู่ข้างกายเสิ่นซิวจิ่น เห็นกับตาตัวเองถึงความรู้สึกที่เสิ่นซิวจิ่นมีต่อเจี่ยนถง ถ้าBossมีอารมณ์ตื่นเต้นแล้ว เสิ่นเอ้อกลัวจริงๆว่าเสิ่นซิวจิ่นจะทำเรื่องที่ต้องเสียใจภายหลังลงไป!

หากเป็นเช่นนั้น จะไปดีได้ยังไง!

เสิ่นซิวจิ่นพุ่งไปราวกับสายฟ้า ไม่สนใจเสิ่นเอ้อแม้แต่น้อย

ดึงประตูรถออกแล้วขึ้นไปนั่ง การเคลื่อนไหวต่างๆราวกับน้ำไหล รถออกตัวไปอย่างรวดเร็ว เสิ่นเอ้อมาไม่ทันขึ้นรถ ได้เพียงไปที่รถอีกคันหนึ่งด้านข้าง ดึงเปิดประตูรถ เข้าไปนั่ง แล้วรีบไล่ตามรถคันข้างหน้าไป

แต่รถคันข้างหน้านั้น กลับไปอย่างรวดเร็ว ว่องไวจนแทบจะเหมือนนักแข่งรถ เสิ่นเอ้อมองดูBossของบ้านตนด้วยความตกใจอยู่บนสะพานสูง รถบินไปอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นตระหนกฉากต่อฉาก

เขาก็ทำได้เพียงติดตามรถคันข้างหน้าอย่าพอถูไถ แต่ก็ยังคงตามไม่ทัน

ได้เพียงตามจากด้านหลังไกลๆ!

รถลงจากสะพานสูง ขับชิดซ้าย ทันใดนั้นก็เบรกกะทันหัน หยุดลงกลางอากาศ!

เอี๊ยด~

เสิ่นเอ้อไล่ตามมาทันอย่างยากลำบาก เมื่อเงยหน้า กลับแปลกใจ……สถานีตำรวจ?

มาทำอะไรที่นี่?

ไม่ทันได้คิดอะไรมาก เสิ่นเอ้อรีบลงจากรถ ไล่ตามเข้าไป

……

“คุณผู้หญิง คุณเก็บไว้ให้ดี นี่คือบัตรประชาชนใบใหม่ของคุณ”

“ขอบ…..”คุณ…..

พูดยังไม่ทันจบ จู่ๆก็มีมือหนึ่งดึงบัตรประชาชนไปจากมือของพนักงานตรงหน้าต่างบริการ

“คุณหยิบผิดแล้ว นี่มันบัตรประชาชนของฉัน…..” เจี่ยนถงหันหน้าไป ชั่วขณะหนึ่ง แข็งทื่อ ริมฝีปากซีดขาวสั่นเทาขึ้นมา “นาย นายทำไม มา มาได้?”

“เธอคิดจะหนีไปจากฉัน?” ใบหน้าที่เคร่งขรึมของชายหนุ่ม เต็มไปด้วยความเยือกเย็น ไม่ตอบแต่ถามกลับ

“เปล่า เปล่านะ……”

“เปล่า?” นิ้วมือเรียวยาวใช้แรงสะบัดบัตรประชาชนในมือ “งั้นนี่คืออะไร? เธออธิบายมา?” บัตรประชาชนของเธอ ถูกเขาเก็บไว้ตั้งนานแล้ว แต่ผู้หญิงคนนี้ กลับวิ่งมาทำบัตรประชาชนใบใหม่……ทั้งหมดทั้งมวลนี้ นอกจากบอกว่า เธอจะหนีไปจากเขาแล้ว จะบอกว่าอะไรได้อีก?

“ฉัน…..” เธอจะพูดอะไรได้? เสิ่นซิวจิ่นไม่ใช่คนโง่!

“เจี่ยนถง เธอนี่มันสุดยอดจริงๆ เวลาเนิ่นนานขนาดนี้ เป็นเด็กดีอยู่ข้างกายฉัน ทำให้ประสาทของฉันชินชา ให้ฉันผ่อนคลายความระมัดระวัง จากนั้นก็ฉวยโอกาสที่ฉันไม่ระวัง ไม่มีความระวังเธอ เธอก็หนีมาทำบัตรประชาชนใบใหม่? ฮึ~”

เจี่ยนถงกัดริมฝีปากล่างอย่างเอาเป็นเอาตาย……หรือว่า ล้มเหลวแล้วเหรอ?

“นายเอาบัตรประชาชนมาให้ฉัน” เธอใบหน้าซีดขาว “เสิ่นซิวจิ่น นายส่งบัตรประชาชนของฉันมาให้ฉัน!”

“ฮิฮิ~”

“ถ้านายยังไม่ให้ฉันอีก ฉันจะแจ้งตำรวจ พอดีเลย ตอนนี้อยู่ที่นี่พอดี เสิ่นซิวจิ่น นายจะให้ไม่ให้!”

ในใจชายหนุ่มไฟลุก ในสมองเต็มไปด้วย “ผู้หญิงที่สมควรตายคนนี้จะหนีไปจากข้างกายฉัน” ความคิดนี้ แทบทนไม่ไหวที่จะแผดเผาสติสัมปชัญญะทั้งหมดของเขา!

แต่ในตอนนี้ คำพูดของหญิงสาว กลับยิ่งเหมือนเติมเชื้อเพลิงให้กองไฟ

“แจ้งตำรวจ?” มุมปากยกขึ้น แต่ความดีใจกลับไม่ถึงตา “เอาสิ เธอแจ้งเลย”

เจี่ยนถงตะโกนในห้องโถงของสำนักงานตำรวจอย่างรวดเร็ว “ตำรวจ! ตำรวจ! ฉันจะแจ้งความ คุณเห็นแล้วใช่ไหม คนคนนี้แย่งบัตรประชาชนของฉันไป ไม่คืนให้ฉัน”

“คุณผู้ชาย นี่คุณ……” พนักงานตรงหน้าต่างยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูด

ชายหนุ่มยกแขนยาว ดึงเจี่ยนถงเข้ามาในอ้อมแขนตน “หล่อนเป็นเมียฉัน ผัวเมียหนุ่มสาวทะเลาะกันนิดหน่อย เรื่องในครอบครัว พวกเธอต้องยุ่งด้วย?”

“เอ่อ……”

“ใครเป็นเมียนาย เธออย่าฟังเขาพูดมั่ว ฉันไม่รู้จักเขาเลยสักนิด! เจี่ยนถงไม่พูดคำนี้ยังดีกว่า พอพูดแบบนี้ คนที่นี่ ต่างก็เชื่อว่าเธอกับชายหนุ่มข้างกายเป็นคู่สามีภรรยาวัยเยาว์จริงๆ

เธอบอกว่าไม่รู้จัก แล้วทำไมทีแรกถึงเรียกชื่อผู้ชายคนนี้ออกมาได้?

“คุณผู้หญิง พวกคุณสามีภรรยาจะทะเลาะกัน ก็กลับไปทะเลาะที่บ้าน ที่นี่เป็นสถานที่อะไร ไม่ดูเสียหน่อย!”

“ฉันไม่ใช่จริงๆ!”

ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็โค้งตัวลง เอนศีรษะพิงไหล่เธอ พูดอย่างอันตรายหาใดเปรียบ “เจี่ยนถง เธอคิดว่าที่นี่ไม่มีคนรู้จักฉันจริงๆเหรอ? ต่อให้พนักงานระดับล่างคนนี้ไม่รู้จักฉัน แล้วข้าราชการที่สูงกว่าหล่อนล่ะ?”

ชั่วพริบตาเดียว!

เธอก็เข้าใจอย่างชัดเจน!

ที่นี่มีคนรู้จักผู้ชายคนนี้!

เพียงแต่ไม่ได้ลุกขึ้นมาห้าม…..เห็นได้ชัดว่า ไม่อยากทำให้เขาขุ่นเคือง!

ชั่วขณะหนึ่ง ราวกับมะเขือที่โดนน้ำค้างแข็ง ในปากเจี่ยนถงเริ่มขม

เสิ่นซิวจิ่นยืดตัวตรงทันที มือข้างหนึ่งคว้าแขนของเธออย่างรุนแรง น้ำเสียงต่ำนิ่งน่าสะพรึงกลัวหาใดเปรียบ “ไปกับฉัน!”

เขาลากเธอออกจากห้องโถงสำนักงาน ลากเธอไปที่รถด้วยความเร็วสูง

“ปล่อยมือ ปล่อยมือ! นายทำให้ฉันเจ็บ!” หญิงสาวมือหนึ่งพยุงเอวด้านหลัง อีกมือพยายามที่จะถอดคีมหนีบเหล็กของชายหนุ่มออก

ชายหนุ่มไม่ได้สนใจเธอ ดันเธอเข้าไปในที่นั่งเบาะหลังอย่างดุเดือด ตัวเองก็ตามเข้าไปนั่ง เสิ่นเอ้อวิ่งเหยาะๆตามเข้ามาทันที นั่งลงตรงที่นั่งคนขับ

ฉากกั้นระหว่างที่นั่งเบาะหน้ากับเบาะหลัง ฉากกั้นยกขึ้นเครื่องกลส่งเสียง “วี้~” ฟังอยู่ในหูของเจี่ยนถง ในใจยุ่งเหยิง

ก็ไม่รู้ว่าเอาแรงมาจากไหน แต่ตัวเองก็อยู่บนรถแล้ว เสิ่นซิวจิ่นคลายการควบคุมที่มีต่อเธอลง เธอตื่นตระหนกกับฉากกั้นที่กำลังดันขึ้น “เสิ่นเอ้อ เสิ่นเอ้อ นายเอาฉากกั้นลง นายจะเลื่อนแกกั้นขึ้นทำไม นายรีบเอาลง……”

เสิ่นเอ้อใบหน้าลำบากใจ เงยหน้าเหลือบมองหญิงสาวที่รูม่านตาหดตัวด้วยความประหม่า บนใบหน้านั้น ซีดเซียว คนที่ได้เห็นเป็นต้องใจอ่อน แต่…..เสิ่นเอ้อทำใจโหดร้าย เหลือบมองอย่างระมัดระวังไปที่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะหลัง ทั่วร่างแผ่ซ่านความมืดมน “อะแฮ่ม……คุณเจี่ยน เรื่องนี้ผมทำไม่ได้ครับ” ในความหมายนี้คือ คุณขอร้องผิดคนแล้ว

“คุณเจี่ยน คุณรีบนั่งให้ดีๆเถอะครับ ฉากกั้นจะทำให้เจ็บ……”

พูดไม่ทันจบ เสิ่นเอ้อก็เห็นมือหนึ่งดึงเธอกลับไป แล้วฉากกั้น ไม่กี่วินาทีต่อมาก็แยกช่องว่างระหว่างด้านหน้าและด้านหลังโดยสมบูรณ์

เจี่ยนถงหดตัว ในใจไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร

กลัวแล้วจริงๆ กลัวเขาถึงขีดสุดแล้ว

“ทำไมถึงปิดบังฉัน มาทำบัตรประชาชนเสริม?” น้ำเสียงต่ำนิ่ง ค่อยๆดังขึ้นภายในรถที่เงียบสนิท ฟังดูรื่นหูมาก แต่ภายในหูของเจี่ยนถง ฟังดูแล้วราวกับเผชิญการสักถามของซาตาน

ถ้าไม่ระวัง ก็จะตอบคำผิด

“ฉัน…..ฉันไม่มีบัตรประชาชน ไม่สะดวกมากๆ ประธานเสิ่นก็ ก็รู้ว่าตอนนี้มีเรื่องมากมายที่ฉันต้องใช้บัตรประชาชน” ไม่ต้องให้ใครบอก ตัวเธอเองก็รู้ ว่าคำพูดโกหกของเธอมันงี่เง่าแค่ไหน

บนหน้าผาก ค่อยๆมีเหงื่อเย็นไหลออกมา ประหม่าจนลืมทุกอย่างไปหมดสิ้น

“ฉันจะฟังความจริง”

“ความ ความจริง…..นี่ก็คือความจริง…..” ประหม่าจนแทบจะกัดโดนลิ้น จนกระทั่งตอนนี้ เธอยังคงพยายามปิดบังเรื่องที่ผ่านมา

“หนึ่ง” น้ำเสียงที่เย็นชา ดังขึ้นอีกครั้ง

เมื่อเจี่ยนถงเงยหน้าขึ้น ก็มองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่มอย่างไม่อยากจะเชื่อ

ริมฝีปากเธอซีดขาว ขยับเปิดปิด “ฉันไม่ได้หลอกนาย…..”

“สอง”

“เป็นเรื่องจริง…..”

ชั่วพริบตาต่อมา เสียงที่พยายามแก้ตัวของเธอ ก็หยุดลงกะทันหัน!

เธอเห็นบนใบหน้าของเขา สายตาที่เยือกเย็นไปถึงกระดูก มองตรงมาที่ใบหน้าของเธอ

“จริงๆนะฉัน……”

เสียงที่เย็นชาขัดจังหวะคำแก้ตัวที่ตะกุกตะกักของเธอ “เธอลองพูดคำว่า “จริง” อีกครั้งสิ” ดวงตาสีเข้มเยือกเย็นเต็มไปด้วยหิมะ “นี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้าย เจี่ยนถง”

ภายใต้การจ้องมองที่เยือกเย็น เธอไม่มีทางหนีรอดไปได้!

แต่ว่า เขามีสิทธิ์อะไรมาใช้สายตา “เธอทำเรื่องที่ผิด” แบบนี้มามองเธอ?

เธอทำเรื่องที่ผิดเหรอ?

เธอทำอะไรผิด?

“ฉันก็แค่อยากจะได้บัตรประชาชนของฉันคืน” ท่ามกลางความเงียบ เธอค่อยๆเอ่ยปาก น้ำเสียงแหบพร่า ซึ่งปกปิดเสียงสะอื้นได้เป็นอย่างดี ลดศีรษะลง หลับตา บังคับความแสบตาและความขมขื่นในปาก…..เสิ่นซิวจิ่น ฉันเพียงแค่อยากได้บัตรประชาชนของฉันคืน เอาคืนหลักฐานเพียงอย่างเดียวว่าฉันยังคงมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

นายเคยมีประสบการณ์อย่างนี้ไหม?

เมื่อโลกทั้งใบ เหลือเพียงแค่บัตรประชาชนใบเดียวที่สามารถพิสูจน์ได้ว่านายเป็นใคร ความน่าเศร้าแบบนั้น? แต่เมื่อบัตรใบเดียวที่สามารถพิสูจน์ได้ว่านายเป็นใครไม่ได้อยู่กับตัวนาย ในตอนนั้น ไม่ใช่น่าเศร้า แต่ไม่มีความรู้สึกปลอดภัย

ใช่ เธอยอมรับ เธอทำบัตรประชาชนใหม่เพราะมีวัตถุประสงค์อื่น

แต่นี่มันบัตรประชาชนของเธอนะ!

อำนาจพื้นฐานที่พลเมืองทั่วโลกต่างมี……ที่เธอต้องการก็แค่สิ่งนี้เท่านั้น!

โลภมากเกินไปเหรอ?

ทำผิดไปเหรอ?

จู่ๆก็มีแรงหนึ่งฉุดเธอไป เข้าไปในอ้อมแขนของชายหนุ่ม วินาทีต่อมา กรามก็ปวดขึ้น ถูกบังคับให้ยกคางสูง โต้ตอบไม่ได้ เงาดำเงาหนึ่งกดลงมา สัมผัสที่ร้อนผ่าวจากริมฝีปาก คอยเตือนเธอ ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น

“อุ๊บ”

ดิ้นรน ไร้ประโยชน์

ต่อต้าน ไร้ประโยชน์

ฉีกขาด ถูกแขนเหล็กนั้นควบคุมไว้อย่างดุเดือด

ปากนั้น กัดลงไปอย่างแรง ให้เขาได้ลิ้มรสความเจ็บปวดของลิ้นที่ฉีกขาด

แต่เขาไม่เจ็บ แต่กรามของเธอกลับมีเสียง “กรอด” ดังสวนมา ตามด้วยเสียงกรอบของกระดูก ความเจ็บปวดเกิดขึ้นที่คาง แทบจะไม่ต่างจากการโดนมีดที่เอวด้านหลังในตอนนั้นเลย!

โฮ…..โฮ…..โฮ…..หอบหายใจเฮือกใหญ่ ความเจ็บนั้น เข้าไปในกระดูก แขนขาสี่ข้างล้วนเจ็บไปหมด…..เธอลืมตาทั้งสองข้าง เห็นด้วยตาตัวเองว่าคนคนนี้จูบตนอย่างลึกซึ้ง…..ในใจค่อยๆเข้าสู่ความเยือกเย็น เลือดก็ค่อยๆแข็งตัวเพราะมัน…..เขาทำมันได้ยังไง?

ด้านหนึ่งถอนคางของเธอ อีกด้านก็จูบอย่างลึกซึ้งเช่นนี้?

ใบหน้าที่หล่อเหลานั้น ดวงตาเหยี่ยวปิดแน่น คิ้วเข้มหนาขมวดเบาๆ…..จูบตนอย่างใจจดใจจ่อขนาดนั้น…..เจี่ยนถงก็ลืมตาอยู่แบบนี้ มองดูใบหน้าตรงหน้าที่จูบตนอย่างใจจดใจจ่อ ในดวงตามีน้ำตาใสๆไหลลงมาช้าๆ

ใช่แล้ว คนคนนี้ ชอบกดขี่มาโดยตลอด เคยยอมรับการปฏิเสธไหม? …..ทำไมเธอถึงลืมความจริงที่เป็นเหมือนเหล็กนี้ไว้หลังสมองได้?

เจี่ยนถง เธอมันโง่จริงๆ

เป็นไงล่ะ เจ็บปวดหรือยัง

แต่ทำไมเขาถึงทำร้ายเธอไปด้วย พร้อมกับจูบเธออย่างใจจดใจจ่อแบบนี้ไปด้วยได้?

เขาทำได้ยังไง!?

คางถูกถอดออก เธอก็กลายเป็นตุ๊กตา ปล่อยให้เขาครอบครอง

ริมฝีปากที่เปียกชื้นและเร่าร้อนประกบกัน หมุนพลิกไป แต่เนื่องจากคางไม่สามารถกลืนน้ำลายได้ จึงไหลออกมาตามมุมปากของเธอ…..นี่มันจูบที่ลึกซึ้งตรงไหนกัน?

นี่มันเป็นการทรมานทั้งร่างกายและจิตใจชัดๆ!

น้ำตาไหลเข้าไปกลางปาก เธอได้ลิ้มรสเค็มของน้ำตา เธอได้ชิมมัน เขาเองก็ได้ชิมมัน แต่คนคนนี้ ไม่มีความคิดที่จะหยุดลงเลยแม้แต่น้อย

เธอหลับตาลง จะไม่ยอมหลั่งน้ำตาอีก…..เป็นอีกครั้ง หลังจากสามปีที่ห่างหายไปนาน ผู้ชายคนนี้ได้สอนเธออีกครั้ง—ว่าสำหรับเขาแล้ว น้ำตาของเธอมันไร้ค่า!

จูบนี้ สำหรับเจี่ยนถงแล้ว เป็นการทรมานทางร่างกายและจิตใจ

สำหรับเสิ่นซิวจิ่นแล้ว หรือจะเป็นการล้อเล่นกับจิตใจ?

ทันทีที่รู้ว่าเธอจะทำบัตรประชาชนใบใหม่ เขาก็บ้าคลั่ง!

ปิดบังเขาไปทำบัตรประชาชนใหม่ เธอคิดจะทำอะไร?

จุดประสงค์มันชัดเจนในตัวเอง!

แต่ว่า…..สายไปแล้ว ทุกอย่างมันสายไปแล้ว!

ขอโทษนะ เจี่ยนถง ฉัน…..หลงรักเธอแล้ว

ขอโทษนะ…..ไม่สามารถให้อิสระเธอได้แล้ว

ขอโทษนะ…..ที่ทำให้เธอเจ็บ แต่ถ้าทำเธอเจ็บแล้วสามารถทำให้เธอจดจำความเจ็บนี้ สามารถทำให้เธอ “กลัว” ถ้า “ความกลัว” กับ “หวาดกลัว” มันจะทำให้เธอไม่กล้ามีความคิดที่จะไปจากข้างกายฉันอีก งั้นเธอก็ “กลัว” ฉันเถอะ…..ขอโทษนะ สายไปแล้ว ทุกอย่างมันสายไปแล้ว ไม่สามารถปล่อยมือไปได้อีกแล้ว!

ในตอนที่รถหยุดนิ่ง มือของเขาก็ดันคางของเธอกลับเขาไปอีกครั้ง เสียง “กรอด” ดังขึ้นอีกครั้ง ฝีมือของเขาชำนาญมาก แต่สำหรับเจี่ยนถง ไม่อยากที่จะแบกรับความเจ็บนี้อีกเป็นครั้งที่สอง

“ชู่ว~ อย่าพึ่งพูด มันจะเจ็บ” น้ำเสียงอ่อนนุ่มดังอยู่ในหู “ขอแค่เธอเป็นเด็กดี ไม่คิดที่จะหนีอีก เจี่ยนถง…..เธออยากแต่งงานกับฉันมาตลอดไม่ใช่เหรอ ขอแค่เธอเป็นเด็กดี ชั่วชีวิตนี้ฉันจะปกป้องเธอเอง ดีไหม?”

ราวกับมีลมหนาวพัดผ่านมา หญิงสาวในอ้อมแขนของชายหนุ่ม ตัวสั่นเทาเล็กน้อย คอที่เผยอยู่ด้านนอก ก็มีขนลุกชันขึ้น

นัยน์ตาที่สดใส เผยความกลัวที่หยั่งลึก…..กัดริมฝีปากล่างที่ซีดขาวอย่างรุนแรงได้ทันเวลา ถึงหยุดเสียงกรีดร้องจากความกลัวที่เกือบจะล้นออกมาจากคอ

แต่เธอไม่อาจควบคุมความเย็นที่พุ่งออกมาจากหัวใจได้ ตัวสั่นเทาด้วยความกลัวอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่ม!

วันนี้ ตอนที่เสิ่นซิวจิ่นพบว่าเธอคิดจะหนี ในตอนนี้ตระหนักได้ว่าตนได้หลงรักผู้หญิงในอ้อมแขนคนนี้โดยสมบูรณ์แล้ว ในตอนที่เขาตระหนักว่าไม่อาจจากไปไม่อาจปล่อยมือได้อีก…..นี่มันสำหรับความรู้สึกแล้ว ชายหนุ่มช่างซื่อบื้อราวกับเด็กอนุบาล ใช้วิธีที่โง่ที่สุดและผิดพลาดที่สุด เพื่อรั้งหญิงสาวที่ในอ้อมแขนไว้ ลิขิตว่าในอนาคต เขาจะต้องแบกรับหัวใจที่บอบช้ำอย่างที่มาก

แค่เป็นเด็กดี ก็จะไม่เจ็บอีกแล้ว ฟังดูแล้วช่างเป็นเรื่องที่ง่ายดาย…..เธอมีเหตุผลอำรที่จะไม่ทำแบบนี้?

“เธอไม่ต้องไป‘กองทุนดวงหัวใจ’แล้ว”

“……”เพราะอะไร? หญิงสาวขยับริมฝีปากขึ้นลง ท้ายที่สุดก้กลืนคำถามคัดค้านนี้ลงไปในท้อง…..ขอแค่เป็นเด็กดี ก็จะไม่เจ็บอีก….. “…..อืม”

“โปรเจกต์ที่ติดตามอยู่ตอนนี้ ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ‘กองทุนดวงหัวใจ’ ส่งมอบให้คนที่เธอไว้ใจทำให้หมด…..อืม วิเวียนคนนั้นก็ไม่เลว” ชายหนุ่ม “เสนอ” ขึ้นอีกครั้ง

“แต่…..” แต่มีหลายคนที่จัดการลำบาก วิเวียนรับมือไม่ได้…..เธออยากที่จะโต้แย้งโดยไม่รู้ตัว ในสมองนึกย้อนประโยคนั้น “ขอแค่เธอเป็นเด็กดี ก็จะไม่ทำแบบนั้นกับเธออีก” ลดศีรษะลงอย่างระมัดระวัง กัดริมฝีปากอย่างทำอะไรไม่ได้ เจี่ยนถง ไม่ต้องโต้เถียง ไม่มีประโยชน์ เปลืองแรงเปล่า เขาไม่ปล่อยมือ เธอแม้แต่จะไปจากเมืองนี้ก็ทำไม่ได้

ไม่ต้องโต้เถียง เขาจะถอดคางของเธอ

“เข้าใจแล้ว” ศีรษะเล็กๆห้อยลง พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

แต่ทำไมถึงไม่เต็มใจขนาดนั้น!

รอบตาเริ่มแดงเล็กน้อย ในที่สุดก็ทนไม่ไหว “ทำไมแม้แต่ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ฉันก็ไม่ได้ได้?” การฝึกฝนตนท้ายที่สุดก็ยังไม่พอ ภายใต้ความน้อยใจ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก

“มีเสิ่นเอ้อไง ฉันหนีไม่ได้เหรอก”

เสียงเหนือศีรษะ ส่งเสียงหัวเราะเยาะ ดวงตาสีเข้มของชายหนุ่มตกลงบนศีรษะสีดำที่อยู่ตรงหน้า เส้นผมบนศีรษะนั้น เส้นผมพลิ้วไหว ยื่นมือออกไป วางบนศีรษะของเธอ ลูบเบาๆ “ที่แท้เสี่ยวถงของฉันก็รู้ว่าไม่ควรหนีด้วย?”

ได้ยินดังนั้น หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน…..เท่าที่จำได้ คนคนนี้เคยเรียกเธอว่า “เสี่ยวถง” ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแบบนี้ด้วยเหรอ?

คำว่า “เสี่ยวถง” ที่ตั้งตารอมายี่สิบปี มาถึงอย่างไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ แต่ทำไมเธอถึงอยากหัวเราะเยาะขนาดนั้น?

ดีที่ ก้มศีรษะอยู่ เขามองไม่เห็นความประชดประชันในแววตาเธอ

ยังกลัว ว่าถ้าถูกเขาเห็นความเย้ยหยันในแววตา ไม่รู้ว่าจะคิดวิธีทรมานเธอแบบไหนออกมาอีก

“เธอแค่เป็นเด็กดีอยู่ข้างกายฉันก็พอ เรื่องทางด้าน ‘กองทุนดวงหัวใจ’ เธอไม่จำเป็นต้องกังวล เรื่องที่วิเวียนจัดการไม่ได้ ให้รายงานมาที่ฉัน แน่นอนว่า ฉันจะช่วยเธอจัดการเอง” เหนือศีรษะ มีเสียงที่ต่ำนิ่งของเขาดังสวนมา “เธอแค่ต้องอยู่ข้างกายฉัน” เหมือนกับเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว รักฉันอย่างสุดหัวใจก็พอแล้ว …..เขาพูดเสริมขึ้นในใจ

“…..อืม” แค่เชื่อฟัง…..ริมฝีปากเธอทำมุมองศาโดยไม่พูดจา ยิ้มโศกเศร้าอย่างเงียบๆ แค่เชื่อฟัง! แท้จริงแล้ว เขาจะทำอะไรกันแน่?

เงยหน้ามองไปนอกหน้าต่างรถ เมื่อวานถูกลากจากโถงสำนักงานขึ้นรถ ไปที่ตงหวง เขากลับไม่แตะต้องเธอ คืนวันนี้ เธอนับวินาทีรอจนฟ้าสว่าง

ที่ไม่เคยคิดเลยคือ ถึงเวลาเข้างานของเขาแล้ว เขากลับพาเธอขึ้นรถมาอีกครั้ง

เสาไฟนอกหน้าต่าง เลื่อนไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว

มองไปมองไป…..

ในใจก็แตกตื่น ตกใจจนอุทานออกมา “ถนนเส้นนี้ไม่ได้ไปเสิ่นซื่อ!”

พึ่งพูดจบ ไหล่ก็ทรุดลง พัวพันไปด้วยความอบอุ่น “ถูกต้อง” เสียงหนักแน่นที่มีกลิ่นอายความหอมของหญ้าและกลิ่นนิโคตินจางๆ พ่นลมหายใจใส่หูเธอ “ตั้งแต่วันนี้ไป เธอจะมาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น”

ฉันพาเธอกลับบ้านแล้ว …..ในใจเขา พูดเสริมอย่างไร้เสียง และเพราะประโยค “ฉันพาเธอกลับบ้านแล้ว” ในใจนี้ ใจที่สงบนิ่งก็มีระลอกคลื้น ตื่นเต้นขึ้นมาอย่างไร้คำพูด…..ห้องของเขา มีเธออยู่ ถึงจะเป็นบ้าน

เป็นครั้งแรก ที่มีความรู้สึกเหมือนบ้าน เฝ้ารอบ้านที่จะมีเธออยู่

เมื่อก่อน ผู้หญิงคนนี้เข้ามาในคฤหาสน์ เขารู้สึกเพียงว่ายัยตัวปัญหานี่มาพัวพันอีกแล้ว ไม่ว่าเขาจะแสดงท่าทีเย็นชาและไม่อยากเห็นเธอปรากฏตัวที่คฤหาสน์ตระกูลเสิ่นแค่ไหน ผู้หญิงคนนี้ก็ไร้ยางอายมาโดยตลอด แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจคำขับไล่ของเขา ดื้อด้านอยู่ในคฤหาสน์เขาไปยอมไปไหน

เขาทำงานในห้องหนังสือ เธอก็อาบแดดอยู่ในสนามหญ้ากับเวยเหมิง

บางครั้งเมื่อเขาเหนื่อย ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างจรดพื้น มองเห็นเธอดึงกางเกงถอดรองเท้าอยู่ในสนาม ไม่มีรสชาติความเรียบร้อยอ่อนโยนของหญิงสาว นั่งเอกเขนกอยู่บนสนามหญ้า

คิดแบบนี้ ความทรงจำก็ลึกซึ้งอย่างหาใดเปรียบ เขาตั้งตารอวันคืนที่จะมาถึงนี้อย่างมาก

แต่หญิงสาวข้างตัวเขา กลับไม่คิดเช่นนั้น

ไหล่สั่นเล็กน้อย…..คฤหาสน์ตระกูลเสิ่น มีความทรงจำที่เกี่ยวกับเขาและเธอมากเกินไป ความทรงจำที่เกี่ยวกับเธอและเซี่ยเวยเหมิง…..หลังจากนี้ จะต้องเข้าไปอยู่ที่นั่นแล้ว?

ริมฝีปากสั่นเทา กลายเป็นสีเทาที่ตายด้านไปแล้ว…..อยากที่จะหนีไป

“ฉัน…..ฉัน ตงหวงค่อนข้างดีเลย ฉันอยู่จนชินแล้ว”

จนถึงตอนนี้ แม้แต่การโต้แย้งของเธอก็ดูไร้เรี่ยวแรงและอ่อนแอถึงเพียงนั้น

“เป็นเด็กดี เชื่อฟัง คฤหาสน์ใหญ่กว่า ในตอนบ่าย เรียกคนใช้มาทำเค้กแบล็คฟอเรสต์ให้เธอ ห้องหนังสือของฉันมีหนังสือ เธอสามารถหยิบหนังสือ ไปนั่งในสวน อาบแดดไปด้วยดื่มชายามบ่ายไปด้วย”

แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ!

เข้าไปอยู่ในสถานที่ที่มีความทรงจำมากมายขนาดนั้น?

“เป็นไปได้ไหมถ้าฉัน……”

“ไม่เชื่อฟังอีกแล้ว?” น้ำเสียงแข็งกร้าว พ่นคำออกมาเบาๆ หญิงสาวเกร็งไปทั้งตัว ฝ่ามือที่วางอยู่บนต้นขา กำหมัดขึ้นอย่างเอาเป็นเอาตาย

สักพัก ก็ค่อยๆคลายออกช้าๆ “ฉันจะเชื่อฟัง” เสียงหยาบกร้าน ไร้เรี่ยวแรงดังขึ้นมา

ชายหนุ่มถึงลูบศีรษะของหญิงสาวอย่างพึงพอใจ “ให้รางวัลเธอ ตอนบ่ายให้ซูเมิ่งไปเดินเล่นกับเธอที่ห้างสรรพสินค้า อยากได้อะไร ชอบอะไร ก็ซื้อกลับมา”

ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ก็คงจะซาบซึ้งดีใจอย่างมาก

Bossเอ่ยปาก อยากได้อะไรก็ซื้ออันนั้น ผู้ชายคนหนึ่งพูดกับผู้หญิงคนหนึ่ง เธออยากได้อะไร ก็ซื้อกลับมาให้หมด…..แต่ในเวลานี้ ในใจของเจี่ยนถง ทิ่มแทงทิ่มแทง และเริ่มหนาวสั่น!

ตั้งแต่เรื่อง ‘กองทุนดวงหัวใจ’ เขาไม่ให้เธอยื่นมือเข้าไป

ตั้งแต่ย้ายจากตงหวง เข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น

แล้วตอนนี้ ให้ซูเมิ่งไปซื้อเสื้อผ้าเป็นเพื่อนเธอ…..ทุกสิ่งทุกอย่าง คือเขากำลังลิดรอนอิสรภาพของเธอทีละน้อย ควบคุมทุกอย่างของเธอ!

ไม่ให้ยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องของ ‘กองทุนดวงหัวใจ’ คือแยกเธอออกมาจากแวดวงนั้น

ย้ายเข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น คือควบคุมอิสรภาพส่วนตัวของเธอ

แล้วให้ซูเมิ่งไปเดินห่างฯกับเธอ…..เขาจงใจทำเหมือนเธอเป็นนกขมิ้นที่เอามาเลี้ยง!

ความโกรธที่ไร้คำพูด แพร่กระจายเข้าไปในหัวใจ!

“เธอต้องเชื่อฟัง” เสียงที่เยือกเย็นดังขึ้นเหนือศีรษะให้เวลาที่เหมาะสม

เจี่ยนถงที่กำลังโมโห ได้สติขึ้นมาทันที ตัวสั่นอย่างรุนแรง! ระงับความโกรธที่ไร้เสียงนั่นลงทันที!

ไม่มีประโยชน์ คนคนนี้ไม่ยอมปล่อยเธอไป ทุกอย่างที่เธอทำมันไม่มีประโยชน์! ต่อต้านก็มีแต่จะทำให้เธอทุกข์ระทมมากขึ้นเท่านั้น!

ยังไงซะ……ยังไงซะไม่ว่าจะทำยังไง ก็ล้วนแต่ไม่มีประโยชน์ เจี่ยนถง อย่าโกรธเคืองเขาต่อไปเลย

รถแล่นเข้าไปในประตูเหล็กดัด คฤหาสน์ตระกูลเสิ่นเหมือนกับในความทรงจำทุกอย่าง ทุกอย่างล้วนเป็นระเบียบ

เธอควบคุมตัวเองไม่ให้หันไปมองข้างหลังไม่ได้ ทะลุผ่านหน้าต่างด้านหลังรถ มองเห็นประตูเหล็กดัดสีดำไกลห่างออกไปเรื่อยๆ ค่อยๆปิดลงจากทั้งสองฝั่ง…..ตั้งแต่วันนี้ไป ที่นี่ ก็คือกรงทองของเธอ หลับตาลง ซ่อนน้ำตาไว้ เธอเงยหน้า แล้วเป็นเจี่ยนถงที่ “เชื่อฟัง” อีกครั้ง

เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง ชายหนุ่มมองไปที่เธอ ในดวงตาคมดั่งเหยี่ยว เผยความรู้สึกผิด…..ขอโทษนะ เสี่ยวถง

เขาไม่รู้จริงๆว่าควรใช้วิธีไหน ถึงจะทำให้ผู้หญิงคนนี้อยู่ข้างกายเขาได้…..ถึงจะทำให้ใจของผู้หญิงคนนี้ กลับไปเป็นเหมือนเมื่อสามปีก่อน ทั้งใจทั้งสายตามีแต่เขา

แต่ต่อให้เขาเฝ้าดู กักขังเธอไว้ เขาก็จะไม่วางมือ!

ไม่นานนัก ความบ้าคลั่งเหี้ยมโหดก็เผยขึ้นในแววตาสีเข้ม…..ขอโทษนะ ฉันรักเธอ ไม่ปล่อยมือเด็ดขาด!

“คุณชาย คุณกลับ……!” ประตูรถเปิดออก เป็นร่างแก่ชราที่สีหน้าดูดีของพ่อบ้านเซี่ย เสี่ยงของพ่อบ้านเซี่ย กลับหยุดลงกะทันหัน ทันทีที่ประตูรถเปิดออก!

ดวงตาที่ขุ่นมัว ราวกับจะถลนออกมา ใบหน้าแก่ชราที่แข็งกร้าวนั้น เขียวไปทั้งหน้า!

“คุณชาย ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่?” น้ำเสียงของพ่อบ้านเซี่ย ในที่สุดก็ไม่แข็งกร้าวแล้ว กัดฟันกรามมองเจี่ยนถงที่อยู่ในรถ พูดเอ่ยถาม!

ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่!

ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้!

ทำไมคุณผู้ชายถึงพาเธอเข้ามาที่นี่ได้!

นี่เป็นสถานที่ที่เวยเหมิงใช้ชีวิตมาตั้งแต่เด็ก สถานที่นี้ไม่อนุญาตการมาถึงของผู้หญิงคนนี้!

ผมสีเงินของพ่อบ้านชราห้อยอยู่บนหน้าผาก เส้นเอ็นสีเขียวเผยให้เห็น!

พยายามสุดความสามารถที่จะอดทนต่อความโกรธที่คำรามออกมาจากอก!

ท้ายที่สุดก็เป็นพ่อบ้านชราของตระกูลเสิ่น รับใช้ตระกูลเสิ่นมารุ่นสู่รุ่น พ่อบ้านชราตอนนี้อดทนสุดพลัง เส้นในสมองใกล้จะแตกแล้ว แต่ก็ยังรักษาความมีเหตุมีผลสุดท้ายไว้ “คุณผู้ชาย เธอ….. ‘คุณเจี่ยน’ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”

ในตอนที่กล่าวคำว่า “คุณเจี่ยน” พ่อบ้านชรากัดฟันกราม สายตาเย็นชา มองไปที่เจี่ยนถง

เจี่ยนถงยังคงนั่งอยู่ที่เบาะหลังรถ แต่ก็ไม่สงบ

ศีรษะที่ฝังอยู่ลึก ไม่ใช่เพราะว่ารู้สึกผิด แต่เพราะว่าเธอมองดูชายชราที่เรียกว่า “พ่อบ้านเซี่ย” มาตั้งแต่เล็ก กลับไม่รู้ว่าตอนนี้ตอนนี้ควรจะเข้าหาอย่างไร

การตายของเซี่ยเวยเหมิง เป็นความอยุติธรรมต่อเธอเจี่ยนถงจริงๆ ชายชราที่ผมเงินทั้งหัวคนนี้ โศกนาฏกรรมที่เขาคนผมขาวส่งให้คนผมดำ ควรให้ใครมาแบกรับ

“ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่”

หญิงสาวภายในรถ ทำลายความเงียบลงอย่างเป็นประวัติการณ์

ชายหนุ่มที่อยู่นอกรถใบหน้าประหลาดใจ

จากนั้นก็โบกมือให้หญิงสาวที่อยู่ในรถ “มานี่” น้ำเสียงต่ำนิ่ง มีความใช้อำนาจที่ไม่อนุญาตให้คัดค้าน

เห็นหญิงสาวภายในรถไม่ขยับ เสิ่นซิวจิ่นก็ก้มตัวเข้าไปทันที ฝ่ามือคว้าจับข้อมือของหญิงสาวที่อยู่ในรถ พาเธอออกมาอย่างแยบยล

ทั้งหมดรวดเร็วจนไม่ทันป้องกัน เจี่ยนถงตกใจจนอุทาน “อ้ะ” ไม่ทันได้คิดเยอะ ในตอนที่ถูกลากออกมานอกรถ เท้าไม่มั่นคง วินาทีต่อมาก็ถูกแขนยาวแข็งแรงโอบกอด จากนั้น เหนือศีรษะก็มีเสียงเฉยเมยของคนคนนั้นดังขึ้น

“พ่อบ้านเซี่ยถ้าไม่เต็มใจที่จะอยู่ในคฤหาสน์นี้ งั้นวันนี้ก็สามารถเก็บข้าวเก็บของกลับไปอยู่ข้างกายคุณปู่ได้ แน่นอน ฉันจะให้เงินบำนาญจำนวนมากกับนายด้วย ถ้าพ่อบ้านเซี่ยไม่ยินดีที่จะกลับไปอยู่ข้างกายคุณปู่ เงินบำนาญก้อนนี้ก็เพียงพอที่พ่อบ้านเซี่ยจะเพลิดเพลินได้อย่างสุขสบาย”

ครืด!

พ่อบ้านเซี่ยตกใจทันที เงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหัน “คุณผู้ชายเข้าใจผิดแล้ว ผม…..เพียงแปลกใจว่า ‘คุณเจี่ยน’ทำไมจู่ๆถึงมาปรากฏตัวที่นี่ ผม…..เพียงแค่รับมือไม่ทัน กับการมาอย่างกะทันหันของคุณเจี่ยน ไม่มีความหมายอื่นเลยครับ”

“เป็นอย่างนั้นเหรอ?” น้ำเสียงทุ้มลึก พ่นคำถามออกมาโดยไม่ลังเล

ในตอนนี้แผ่นหลังพ่อบ้านเซี่ยเปียกชื้น สายตาเหนือศีรษะนั้น ราวกับคมมีด ที่สามารถเจาะทะลุหัวใจของเขา เกร็งหนังหัวพยักหน้า “คุณผู้ชายโปรดวางใจ ครอบครัวเซี่ยของเรา ภักดีต่อเจ้านายมาหลายชั่วอายุคน คนตระกูลเซี่ยเกิดมาสิ่งแรกที่ต้องเรียนคือ ปฏิบัติตามจรรยาบรรณของพอบ้าน ไม่ว่า…..ระหว่างผมกับคุณเจี่ยนจะมีความไม่สบายใจใดๆอยู่หรือไม่ ผมก็จะดำรงไว้ซึ่งการปลูกฝังตัวเอง ปฏิบัติตัวอย่างสุภาพกับคุณเจี่ยน”

พ่อบ้านเซี่ยโค้งตัวลง แม้จะมองไม่เห็นสีหน้าของเสิ่นซิวจิ่น แต่ทั่วร่างแข็งเกร็ง ในใจตึงเครียดหาใดเปรียบ จนกระทั่งสายตาที่อยู่เหนือศีรษะนั้นไม่อยู่แล้ว ถึงถอนหายใจอย่างโล่งอก

ไม่รู้ว่าเสิ่นซิวจิ่นเชื่อคำพูดของพ่อบ้านเซี่ยจริงๆหรือไม่ เขากวาดตามองพ่อบ้านเซี่ยนิ่งๆ “ทางที่ดีนายควรทำให้ได้อย่างที่พูด” แม้ว่าปากจะพูดแบบนี้ แต่ในใจเริ่มคิดคำนวณ มองหาคนมาแทนที่พ่อบ้านเซี่ยแล้ว

เพียงแต่ว่าตระกูลเซี่ยได้รับใช้ตระกูลเสิ่นมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ถ้าเปลี่ยนพ่อบ้านเซี่ยไปอย่างเร่งรัด…..นึกถึงมิตรภาพระหว่างเจ้านายกับลูกน้องตลอดหลายปีนี้ เสิ่นซิวจิ่นมองชายชราตรงหน้าที่แม้ว่าจะบุคลิคดี แต่ก็ดูแก่ชราแล้ว ตั้งแต่จำความได้ พ่อบ้านเซี่ยก็ดูแลชีวิตประจำวันของเขาแล้ว

“อีกสิบนาที นายมาที่ห้องหนังสือฉัน” เขาทิ้งไว้หนึ่งประโยค แล้วพาเจี่ยนถงเดินไปที่ห้อง

“ครับ คุณผู้ชาย” พ่อบ้านเซี่ยยังคงรักษาท่าทางโค้งตัวอย่างเคารพ จนกระทั่งด้านหลังไม่มีเสียงฝีเท้าแล้ว ถึงค่อยๆยืดหลังตรง หันหลังให้คฤหาสน์หลังใหญ่ ใจที่ถูกอาบด้วยยาพิษมานานแล้ว ตอนนี้พิษที่ชื่อว่า “ความเกลียดชัง” ได้แผ่ขยายออกมา

“พักผ่อนเสียหน่อยก่อน กินข้าวกลางวันแล้ว ฉันจะให้ซูเมิ่งไปเดินห้างฯกับเธอ” เสิ่นซิวจิ่นนำเจี่ยนถงมาที่ห้องนอนห้องหนึ่ง

อันที่จริงเจี่ยนถงคุ้นเคยกับโครงสร้างของคฤหาสน์แห่งนี้เป็นอย่างดี ในตอนที่เขานำเธอเดินขึ้นมาชั้นสอง ก็รู้แล้วว่า จะพาเดินไปทางไหน เสิ่นซิวจิ่นมองไม่เห็นสีหน้าที่ซับซ้อนของหญิงสาวข้างกาย เป็นธรรมดาที่จะไม่รู้ความคิดของเธอในตอนนี้

เพียงแค่นำเธอเข้าไปในห้อง พูดสั่งเสียงเบาสองสามคำ แล้วก็หันตัวจากไป

แต่เจี่ยนถง ยืนอยู่ที่เดิม สักพักใหญ่ ถึงค่อยๆหันศีรษะและคอ มองดูรอบด้าน เธอมองอย่างช้ามาก ราวกับจะมองทุกมุม360°ของห้องนี้ให้ทั่ว

ทันใดนั้น สายตาของเธอ ก็ชะงัก!

สายตาทั้งหมด มุ่งไปที่หัวเตียงของเขา

ถ้าตอนนี้เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้ไปที่ห้องหนังสือ แต่ว่ายังอยู่ที่นี่ละก็ จะต้องรู้สึกว่าท่าทางของหญิงสาวในตอนนี้ แปลกไปไม่ปกติอย่างแน่นอน

พูดไม่ถูกว่าดีใจหรือว่าไม่ดีใจ เพียงแต่บนใบหน้าที่ผอมเพรียวนั้น มีการแสดงออกที่พิลึกพิลั่น…..ดูเศร้า ดูแค้น ดูคิดถึง…..ฝีเท้า จะยกขึ้น ก็ลังเล สายตาเพียงคู่เดียว จ้องไปที่ทิศทางนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย

ในที่สุด!

ก็ก้าวเท้าขึ้น เดินไปที่ทิศทางนั้น

ชั้นไม้หัวเตียง พอมีน้ำหนักอยู่ ด้านในไม่รู้ว่าคนคนนั้นเก็บของอะไรไว้ ยิ่งหนักขึ้นไปอีก

มือทับมือ วางอยู่บนชั้นหัวเตียง ออกแรงดึง เช็ดเหงื่อไปหนึ่งที แล้วทำต่อ

ไม่กล้าที่จะทำให้เกิดเสียง งานนี้ ยิ่งทำยากขึ้นเรื่อยๆ

เธอกลับยังมีใจเยาะเย้ยกับตัวเอง ปีนั้นตัวเองยังอายุน้อย ไม่รู้ว่าไปเอาแรงมาจากไหน เหมือนฉีดเลือดไก่เข้าไป แอบเข้าไปในห้องของเขา อาศัย “ความรัก” ที่ทนต่อไปไม่ไหว ดึงชั้นไม้ที่หนักอึ้งนี้ออกมา

เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า หลายปีมาแล้ว เขาจะไม่เคยเปลี่ยนเตียง…..

“ครืด” ในที่สุดก็มีเสียงขยับเขยื้อน ตกใจราวกับนกทันที ร่างแข็งเกร็ง มองไปที่ประตูอย่างร้อนตัว

ห้าวินาทีหลังจากนั้น ประตูยังคงปิดอยู่เหมือนเดิม ตอนนี้ถึงคิดขึ้นมาได้ คนคนนั้นไปห้องหนังสือ เธอเคยไปห้องหนังสือนั้น มีระยะห่างจากห้องนี้อยู่ช่วงหนึ่ง คนคนนั้นเข้าไปในห้องหนังสือ มักจะชอบปิดประตูห้อง

คิดมาถึงตรงนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกรอกตากับตัวเอง…..มัวกลัวอะไรอยู่ เขาไม่ได้ยินเหรอก

เช็ดเหงื่อ จากนั้นก็พยายามทำต่อ ทั้งหยิบทั้งรื้อ ในที่สุดก็ใต้ชั้นหัวเตียงในความทรงจำ พื้นสามชั้นที่ปีนั้นถูกเธอขุดก็เอาขึ้นมาได้

เปิดพื้นออก ทันใดนั้นก็เห็นกระดาษเก่าๆแผ่นหนึ่ง

บนกระดาษนั้นเขียนอะไรไว้ ถึงตอนนี้ ยังคงจำได้อย่างชัดเจน

เธอมองดูจดหมายเก่าแผ่นนั้นที่อยู่ใต้พื้น มองดูอยู่ห้านาที สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาอย่างไร้เสียง ไม่แม้แต่จะเอานิ้วไม่แตะสักนิด

“หัวเราะความเป็นวัยรุ่นบ้าคลั่งของตัวเองในปีนั้น เยาะเย้ยความไม่รู้ของตัวเอง…..ยังคิดจะคำนวณโชคชะตาของตัวเองอย่างโง่เขลา ท้ายที่สุดก็เข้าคุก หัวใจตายด้าน ชีวิตนี้รักผิด มันก็พังไปชั่วชีวิต” หลับตาลง น้ำตาเปียกปอนใบหน้า เธอขำที่ตัวเองรักคนผิด ทำลายชีวิตนี้ไป

ยกแขนขึ้น เช็ดน้ำตาจนแห้ง ใบหน้าของเธอกลับมาสู่ความสงบอีกครั้ง ราวกับว่าทุกอย่างเมื่อกี้ไม่ใช่เรื่องจริง มือทับมือเอาพื้นสามชั้นนั้นวางลงอีกครั้ง ออกแรงอีกที ผลักชั้นไม้หัวเตียงกลับไปเหมือนเดิม

จดหมายนั่น ก็ทิ้งไว้ที่นี่เถอะ…..สักวันหนึ่ง เมื่อใจสิ้นหวัง หมดสิ้นความหวังที่จะเป็นอิสระแล้ว งั้นก็…..ไม่ดิ้นรนแล้ว…..จะเผาทิ้งเสียให้หมด!

ตลอดทั้งวัน คนคนนั้นยุ่งกับงานอยู่ในห้องหนังสือ แม้แต่หลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จแล้ว ยังรีบเข้าไปที่ห้องหนังสือ

เพียงแค่กำชับเธอไว้หนึ่งประโยค มีเรื่องอะไร เรียกหาคนใช้ได้เลย

เจี่ยนถงนั่งอยู่ตรงทางเดินด้านนอกคฤหาสน์ มองดูคนสวนตัดหญ้าแต่งดอกไม้ แสงแดดดีมาก ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า แม้แต่ลม ยังมีกลิ่นดอกไม้เบาบาง ตกอยู่ในภวังค์ เหมือนย้อนกลับไปในอดีต

ไม่มีใครมารบกวนเธอ ไม่ทันรู้ตัว ก็เอนตัวเผลอหลับไปบนม้านั่งไม้ไผ่ตัวยาว

ทุกอย่างดีไปหมด ดีจนเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง

ถ้ามองข้ามเงาร่างที่แข็งทื่อตรงส่วนท้ายของทางเดินไป งั้นทุกอย่างก็ดีไปเสียหมดจริงๆ

สุดทางเดินที่อยู่ไม่ไกล ผมเงินขาวปลิวตามลม ไม่อาจปกปิดความแค้นภายใต้คิ้วสีเทาและดวงตาแก่ชราได้

พ่อบ้านชรามือข้างหนึ่งจับเสาด้านข้างไว้ ดวงตาทั้งคู่ร้ายกาจหาใดเปรียบ ตกลงบนร่างของคนที่นอนอยู่ตรงทางเดิน…..กึก!

นิ้วมือจับอยู่ที่เสาไม้ เส้นเลือดสีเขียวผุดขึ้นที่หลังมือ เขาไม่พอใจ!

ทำไมคนที่ตายต้องเป็นเวยเหมิงของเขา!

ลูกสาวของเขา กตัญญูและเป็นเด็กดี ทำไมพระเจ้าไม่มองการณ์ไกล ให้คนที่ตายเป็นลูกสาวที่แสนดีของเขา!

ในใจหนักอึ้งหาใดเปรียบ พ่อบ้านชราเดินไปทางคนที่หลับสนิทอย่างเงียบๆ หยุดลงข้างเก้าอี้ยาว ดวงตาชราสีเทา เปรียบราวกับเครื่องจักร เลือดเย็นสุดขีด เย็นเยือกหาใดเปรียบ เลื่อนลงทีละนิ้ว ทีละนิ้ว ทีละนิ้ว อีกทีละนิ้ว…..สายตาหยุดนิ่งลงทันที ล็อกไปที่ใบหน้าของเจี่ยนถง

“ตื่นมาหน่อย”

หลังจากเขามองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเก้าอี้ยาวอยู่อีกพักใหญ่ ก็เอ่ยปากอย่างแข็งกร้าว “ตื่นได้แล้ว”

เจี่ยนถงได้ยินเสียงในความสะลึมสะลือ ตกใจตื่นขึ้นมา เมื่อลืมตาขึ้น ก็เห็นพ่อบ้านเซี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆตน ความง่วงที่เหลืออยู่นิดหน่อย จางหายไปทันที

ในตอนที่อ้าปากขึ้น คิดจะพูดอะไรบางอย่าง จู่ๆก็ไม่มีเสียง…..เผชิญหน้ากับพ่อของเซี่ยเวยเหมิง เธอสามารถพูดอะไรได้?

เรียกร้องความยุติธรรม?

ร้องทุกข์?

เกรงว่าชายชราคนนี้คงไม่อยากฟังหรอก?

ขอโทษ?

เสียใจ?

……มีสิทธิ์อะไร?

อย่างเรียบง่าย ค่อยๆลดศีรษะลง เธอไม่พูดจา พ่อบ้านชราที่อยู่ด้านข้างกลับมองหญิงสาวตรงหน้าอยู่พักใหญ่….เขาอยากจะรอให้เธอเอ่ยปาก อยากจะฟังดูว่าหลังจากผ่านไปสามปี เธอจะพูดอะไรกับเขา!

พ่อบ้านเซี่ยรอหญิงสาวตรงหน้าได้ไม่นาน คนบาปที่ฆ่าลูกสาวในสายตาเขา ริเริ่มพูดกับเธอก่อน

“คุณเจี่ยน เธอไม่มีอะไรจะพูดกับฉันหรอ?”

“……”อ้าปากขึ้น หญิงสาวที่นิ่งเงียบ นิ่งเงียบยิ่งกว่าเดิม…..พูดอะไรล่ะ? ให้เธอขอโทษหรอ?

เผชิญหน้ากับใคร เธอก็สามารถพูด “ขอโทษ” ได้อย่างใจเย็นแต่ขัดต่อเจตจำนง เพราะว่า “ขอโทษ” คำคำนี้สามารถแลกกับการเฆี่ยนตีเธอน้อยลง สามารถทำให้คนเหล่านั้นที่แทบทนไม่ไหวที่จะจับศีรษะเธอมายอมรับว่าตนเป็นคนผิดไม่รู้จบเพื่อความพึงพอใจและเห็นแก่ตัวของคนพวกนั้น

แต่ มีเพียงแค่พ่อของเซี่ยเวยเหมิงตรงหน้า…..ชั่วชีวิตนี้เขาอย่าคิดเลยว่าจะได้ยินคำสองคำนั้นที่เขาอยากได้ยินจากปากเธอ!

อย่าคิดตลอดไป!

ในสายตาของคนอื่น เธอต่ำต้อยเกินไป ต่ำต้อยจนสามารถซื้อได้ สามารถไร้ซึ่งศักดิ์ศรี สามารถปล่อยให้คนอื่นมองว่าเธอเป็นตัวตลก…..ใช่ ในสายตาของคนอื่น เธอ—เจี่ยนถง ตอนนี้ ก็เป็นแค่คนไร้ค่าคนหนึ่ง

“คุณเจี่ยนไม่มีอะไรจะพูดกับฉัน ญาติของเซี่ยเวยเหมิง ชายผมขาวที่ส่งมอบให้คนผมขาว พ่อที่สูญเสียลูกสาวไปเมื่อสามปีก่อน!”

ใจของพ่อบ้านเซี่ยราวกับไฟลุกไหม้ ตะคอกใส่เจี่ยนถงอย่างเคร่งขรึมหาใดเปรียบ!

เขาอยากจะเห็น ต้องเห็นให้ได้ เจี่ยนถงที่ไม่ยอมตายคนนี้ การสารภาพบนหน้าเธอ!

แต่!

หญิงสาวตรงหน้า ศีรษะที่เดิมทีก้มอยู่

ตอนนี้ ภายใต้แววตาที่ตื่นเต้นแค้นเคืองของเขา เธอ—เจี่ยนถงที่เอาแต่นิ่งเงียบมาตลอด ค่อยๆเงยหน้าขึ้น ยกศีรษะขึ้นสูง ดวงตาของเธอ สบตากับสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นของพ่อบ้านเซี่ยตรงหน้าอย่างไม่ลดละ ที่แตกต่างกับพ่อบ้านเซี่ยคือ แววตาของเจี่ยนถงชัดเจน ใสสะอาด ตรงไปตรงมา!

“คำที่เธอจะพูดกับฉันล่ะ?” คำสารภาพบาปบนหน้าเธอล่ะ! ทำไมถึงไม่มี?

ทำไมถึงไม่มีอยู่เลย!

ทำไมถึงไม่มีร่องรอยของการสารภาพบาปอยู่บนใบหน้าเธอเลย? ลูกสาวเขาตายแล้ว!

แลกกลับการสารภาพบาปของผู้หญิงคนนี้ไม่ได้หรอ!

มองดูชายชราที่เผยความน่าเกลียดน่าชังตรงหน้า บนใบหน้าที่สงบนิ่งของเจี่ยนถง ค่อยๆเผยรอยยิ้มเบาๆ “พ่อบ้านเซี่ยดูไม่ออกหรอ? ฉัน ได้ตอบนายไปแล้ว”

เธอมักจะโค้งหลัง ขดตัวอย่างไร้อารมณ์กระทั่งทำท่าทางเหยียดแข้งเหยียดขาออกมาอย่างน่ากลัว มองตรงไปที่สายตาเคียดแค้นของพ่อบ้านเซี่ย ในดวงตาของเธอชัดเจน ใจกว้างและเปิดเผย! – นี่ คือคำตอบของเจี่ยนถง!

จะมีคำใดที่เหนือกว่าการกระทำที่ใจกว้างและเปิดเผยของเธอในตอนนี้? 

เจี่ยนถงมองฟ้า ฝนใกล้จะตกแล้ว

เธอลุกขึ้นและหันหลังเดินเข้าไปในห้องอย่างเงียบๆ

พ่อบ้านเซี่ยไม่กล้าเชื่อ ว่าเจี่ยนถงก็เดินจากไปอย่างเงียบๆ ภายใต้สายตาของเขา

แน่นอนว่าเขาสามารถตามเซ้าซี้เธอได้ แต่เมื่อตอนเช้า คำพูดของคนที่เขาปรนนิบัติมาทั้งชีวิต ยังคงวนเวียนอยู่ข้างหู

สีหน้าของพ่อบ้านเซี่ยเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก

คุณชายปกป้องเธอ โดยบอกว่าถ้าเขาไม่สามารถปฏิบัติกับเจี่ยนถงด้วยความสุภาพและเยือกเย็น คุณชายจะส่งเขากลับไปอยู่กับคุณท่าน และจะให้เงินเงินก้อนโตกับเขา

แต่ถึงแม้เงินจะเยอะสักเท่าไร มันสามารถซื้อชีวิตลูกสาวของเขากลับมาได้ไหม

คุณชายกลับปกป้องผู้หญิงคนนี้ขนาดนี้!

เมื่อเจี่ยนถงกลับมาถึงห้อง ความรู้สึกกระอักกระอ่วนที่เหมือนโดนคนจ้องตลอดเวลา ถึงจะหายไป

เมื่อเข้ามาในห้อง เธอรู้สึกไร้เรี่ยวแรง

เธอมองไปทั่วห้อง……รู้สึกยากที่จะจินตนาการ ว่าชีวิตต่อจากนี้จะทรมานอย่างไร

ความขัดแย้งระหว่างเธอกับพ่อของเซี่ยเวยเหมิงในวันนี้ คำพูดในวันนี้ไม่ได้คลายความค้างคาใจ

เธอส่ายหัวไปมาเพื่อสลัดความคิดที่สับสนวุ่นวายออกจากหัว……

……

ฟ้าค่อยๆ มืดลง ในห้องอาหารคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น บนโต๊ะอาหารมีผู้หญิงคนหนึ่งกับผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งรับประทานอาหารอย่างเงียบๆ

มองสีสันที่อยู่ตรงหน้า อาหารหอมกรุ่น แต่เธอกลับไม่รู้สึกอยากทานอาหาร

เธอฝืนทานข้าวเข้าไปสองคำ ชิ้นเนื้อถูกคีบด้วยตะเกียบมาวางไว้ในถ้วยของเธอ

เมื่อเธอเห็นเนื้อมาอยู่ในถ้วย เจี่ยนถงไม่ปฏิเสธอะไร

แต่ทว่าเมื่อเธอใช้ตะเกียบคีบข้าวขึ้นมาทาน ไม่รู้ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจที่จะหลีกเลี่ยงชิ้นเนื้อชิ้นนั้น

เมื่อชายที่นั่งอยู่ด้านข้างเห็นดังนั้น เขาจึงเลิกคิ้วขึ้น ตะเกียบถูกยื่นออกไปที่ถ้วยของเธออีกครั้ง ชิ้นเนื้อชิ้นนั้นถูกคีบขึ้นมาจ่อที่ปากของเธอ “กิน”

เจี่ยนถงมองเนื้อที่ตะเกียบ เธอรู้สึกมวนท้อง บวกกับสายตากดดันที่มองมา ภายใต้สายตาที่ดุดัน เธอจึงจำใจค่อยๆ อ้าปากกัดชิ้นเนื้อเข้าปาก

เธอเคี้ยวชิ้นเนื้อสองครั้ง มันยังไม่ทันละเอียด เธอแทบอยากจะกลืนมันลงไปทั้งชิ้น

“ฉันไม่ถือสาที่จะเคี้ยวเนื้อแล้วใช้ปากป้อนให้เธอนะ” น้ำเสียงราบเรียบดังขึ้นจากด้านข้าง เมื่อเจี่ยนถงได้ยิน วินาทีนั้นเธอเข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อทันที

เนื้อที่เธอกำลังจะกลืนลงท้องไปทั้งชิ้น ติดอยู่ที่คอหอย เธอไม่กล้ากลืนมันลงไปทั้งชิ้น เพราะไม่อยากท้าทายความอดทนของชายที่นั่งอยู่ข้างๆ

กรามที่แข็งทื่อค่อยๆ เริ่มขยับบดชิ้นเนื้อที่อยู่ในปาก

พ่อบ้านนำซุปที่ถ้วยสุดท้ายมาเสิร์ฟ เขาทำตามธรรมเนียมปฏิบัติ โดยการตักซุปใส่ในถ้วยเล็กและส่งให้เสิ่นซิวจิ่นเป็นคนแรก จากนั้นจึงเตรียมที่จะตักซุปอีกถ้วยให้เจี่ยนถง

“เดี๋ยว” น้ำเสียงราบเรียบของชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ดังขึ้น เสิ่นซิวจิ่นหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาเช็ดปาก นิ้วมือยาวยื่นออกมาแย่งถ้วยซุปที่อยู่ในมือของพ่อบ้านเซี่ย

“เธอไม่ทานต้นหอม” เสียงทุ้มพูดขึ้น แต่ในมือกลับวุ่นอยู่กับการเอาต้นหอมออกจากถ้วยซุป พลางพูดกำชับพ่อบ้านเซี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่เงยหน้าขึ้นมา

“ต่อไปไม่ต้องใส่ต้นหอมในอาหารอีก”

ในถ้วยซุปไม่มีต้นหอมอีกแล้ว เขาเขี่ยมันออกจนไม่เหลือแม้แต่เงาของต้นหอม จากนั้นจึงดันถ้วยซุปไปตรงหน้าเจี่ยนถง และพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า

“ดูให้แล้ว เขี่ยต้นหอมออกจนเกลี้ยง กินให้หมด”

บนโลกใบนี้คงมีเพียงเสิ่นซิวจิ่นเพียงคนเดียว ที่สามารถพูดคำที่แสดงความใส่ใจให้เหมือนกับคำสั่ง

พ่อบ้านเซี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ ขบกรามแน่น มือที่ไพล่อยู่ข้างหลังข้างหนึ่งกำขึ้นจนแน่น

ขนาดเรื่องละเอียดอ่อนขนาดนี้ยังจำได้เป็นอย่างดี!

แล้ว……เวยเหมิงล่ะ?

เวยเหมิงคืออะไร?

ในใจของคุณชาย……ยังมีเวยเหมิงอยู่ไหม?

ถ้าแม้แต่คุณชายยังลืมเวยเหมิง……งั้นเวยเหมิงไม่น่าสงสารมากเลยเหรอ

ไม่ ไม่ได้!……แววตาของพ่อบ้านเซี่ยฉายแววเยือกเย็น เขาจะไม่ยอมให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด!

ต้องลงมือให้เร็ว!

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วครู่ก็เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว

ทุกสิ่งทุกอย่างมันสงบ แต่มันกลับสงบจนทำให้เจี่ยนถงรู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก

ตั้งแต่คนเอาแต่ใจอย่างเสิ่นซิวจิ่นพาเธอมาอยู่ในตระกูลเสิ่น เธอก็เอาแต่กินๆ นอนๆ ในสายตาของคนอื่น เขาปฏิบัติกับเธออย่างไร้ข้อกังขาใด

ถ้าขืนเป็นคนอื่นคงจะซาบซึ้งตื้นตันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่การที่เขาทำเช่นนี้ กลับทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ

เวลาที่เธออาบน้ำ เขาชอบเข้ามานั่งที่ข้างเตียงในห้องนอนของเธอ เขามักจะอ่านหนังสือภายใต้แสงไฟที่หัวเตียง เมื่อเธอออกมา เขาก็ลุกขึ้นมาเป่าผมให้เธออย่างเป็นธรรมชาติ เขายืนอยู่ข้างหลังเธอ นิ้วมือของเขาสอดเข้ามาที่ผมดำเงาของเธอ

ตอนเช้าตรู่ เขายังชอบบีบยาสีฟันให้เธอตอนแปรงฟันอีกด้วย

เขามักจะจูบเธออย่างเอาแต่ใจอีกด้วย

ยังมีเรื่องราวแบบคู่รักอีกมากมาย

แต่ทว่ากลับไม่มีเรื่องที่คู่รักควรทำนั่นก็คือการนอนเตียงเดียวกัน พวกเขาแยกห้องกันนอนมาโดยตลอด

แต่ทุกครั้งที่เขาแสดงให้เธอเห็นถึงความห่วงใยที่มีเพียงคู่รักหรือคู่รักเท่านั้นที่ทำได้ เจี่ยนถงอยากจะหัวเราะออกมา

ตอนนี้เสียงของเครื่องเป่าผมยังดังอยู่ข้างหูของเธอ มันเป็นเหมือนทุกคืน เจี่ยนถงนั่งอยู่ที่ขอบเตียง ผมของเธอเปียกชื้น อากาศค่อยๆ เย็นขึ้น…..เธอก้มมองชุดที่สวมอยู่บนตัว เสื้อคลุมชุดนอนตัวหนาสีชมพูห่อหุ้มอยู่บนตัวเธอ……เสื้อคลุมชุดนอนชุดนี้ คนที่อยู่ด้านหลังเธอเป็นคนซื้อมาให้เมื่อวาน

แน่นอนว่าชุดทำออกมาด้วยความประณีต คิดว่าราคาคงจะ ‘ประณีตไม่น้อย’ แต่เขาคิดยังไง ทำไมถึงคิดว่าเธอชอบสีชมพู

ได้ยินเสียงเครื่องเป่าผมดังอยู่ข้างหูเป็นระยะ เธอรู้สึกถึงสัมผัสเบาๆ บนศีรษะ จู่ๆ หญิงสาวก็ก้มหน้าลงชิดอก เธอหัวเราะอย่างขมขื่น มันเป็นการหัวเราะที่ไร้เสียง น้ำตาคลออยู่ที่ในตา……มันน่าขำมากไม่ใช่เหรอ!

นี่มันอะไรกันแน่?

“แห้งแล้ว” เธอเอ่ยปากพูดเสียงเบา จิตใต้สำนึกปฏิเสธการดูแลและทุกการกระทำของเขา

ตอนที่พูดว่า “แห้งแล้ว” เจี่ยนถงเบี่ยงศีรษะออกเล็กน้อย ชายที่อยู่ด้านหลังจ้องเขม็ง……การกระทำที่ไม่เป็นธรรมชาติของเธอ บอกถึงความคิดที่อยู่ในใจลึกๆ ของเธอแล้ว

นี่เธอ…..กำลังปฏิเสธไม่ให้เขาเข้าใกล้ใช่ไหม

ผิดหวัง

ทรมาน

อีกทั้งยังรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตัดสินใจไปแล้วอย่างยากที่จะอธิบายออกมา

เขากำลังเสียใจกับอะไร มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจ

เมื่อได้ยินดังนั้น เขาจึงกดปิดสวิตช์เครื่องเป่าผมและวางมันลง

มีเสียงสะอึกสะอื้นดังขึ้นบนเตียง เขาหันไปมอง วินาทีต่อมาเขาจึงยื่นมือออกมาหวังที่จะจับผู้หญิงที่กำลังจะขยับไปอีกด้านของเตียง

“เราแต่งงานกันเถอะ”

จู่ๆ ชายหนุ่มพูดขึ้นมา โดยไม่ทันได้ตั้งตัว

ส่วนเจี่ยนถงก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง เธอมองความว่างเปล่าตรงหน้า วินาทีนั้นเธอรู้สึกว่าตัวเองได้ยินเสียงหลอนหู

จากนั้น มือที่อยู่ข้างหลังก็มาทาบบนไหล่ของเธอ

บรรยากาศมันเงียบไปหมด เงียบจนทำให้เจี่ยนถงรู้สึกเย็นยะเยือก

เธอรู้สึกสั่น สั่นเหมือนกระแสไฟฟ้าไหลเข้ามาในตัว เธอสั่นไปทั้งตัว

ผ่านไปนาน เธอยังไม่หันกลับมาและยังคงมองความว่างเปล่าตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง

“ฉันมันก็แค่ฆาตกร ไม่คู่ควรกับคนมีชื่อเสียงอย่างคุณเสิ่นหรอก”

พูดจบ เธอก็รีบคลุมเสื้อและล้มตัวลงนอนอย่างรวดเร็ว เธอดึงผ้านวมที่อยู่อีกด้านมาคลุมตัวและนอนหันหลังให้ชายที่อยู่ข้างหลัง ไหล่ของเธอถูกปิดด้วยผ้าห่ม ศีรษะของเธอโผล่ออกมานอกผ้าห่มเพียงครึ่งศีรษะ ไม่จำเป็นต้องอธิบายเลยว่าเธอกำลังปฏิเสธ

มือของชายหนุ่มที่อยู่ข้างเตียงชะงักอยู่กลางอากาศ เขาหรี่ตามองแผ่นหลังของผู้หญิงบนเตียง “เธอเคยบอกไม่ใช่เหรอว่าเธอไม่ได้ทำร้ายเซี่ยเวยเหมิง ถ้าฉันบอกว่าฉันเชื่อเธอล่ะ”

เป็นครั้งแรกที่คนหยิ่งยโสอย่างเสิ่นซิวจิ่นลดความยโสของตัวเองลง!

ดวงตาดำขลับของเขายังคงจ้องแผ่นหลังที่อยู่บนเตียง

เขากำลังรอคอย

ภายในแววตาอันดำขลับฉายแววตึงเครียดอย่างไม่รู้ตัว

“ไม่ ฉันทำให้เซี่ยเวยเหมิงต้องตาย ฉันเป็นฆาตกร” เธอยังไม่พลิกตัวกลับมาและหันหลังพูดกับเขา ดวงตาอันว่างเปล่าจ้องความว่างเปล่า แต่ทว่าน้ำตาของเธอกลับไหลออกมาโดยที่ชายหนุ่มมองไม่เห็น……เธอเม้มปากสะกดกลั้นความสะอื้นเอาไว้ ไม่ว่ายังไงเธอจะไม่มีทางให้เขาได้ยินเสียงร้องไห้ของเธอ!

เธอเม้มปากสะกดกลั้นเสียงร้องไห้อย่างเงียบๆ….. สายไปแล้ว มันสายไปแล้ว! ความเชื่อใจของนาย มันไม่มีค่าอะไรเลย!

เธอรอคอยความเชื่อใจจากเขามานานมากแล้ว นานจนเธอสิ้นหวัง เสิ่นซิวจิ่นมีเวลาตั้งนาน นายไม่ยอมเชื่อ ในเมื่อไม่ยอมเชื่อใจ ก็ไม่ต้องมาเชื่อใจกันอีก!

ตอนที่จิตใจเธอแห้งเหี่ยว เขากลับมาบอกว่าเชื่อใจเธอ

“นี่ก็ดึกแล้ว ประธานเสิ่นกลับไปนอนเถอะค่ะ” เจี่ยนถงเอ่ยขึ้น

ชายหนุ่มยืนมองหญิงสาวที่หันหลังให้เขาอยู่ข้างเตียง เขารู้สึกเหม่อ ไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไร…..เหมือนหัวใจของเขาถูกขุดออกมา

เธอไม่สนใจภาพลักษณ์ของเธอในสายตาของเขาอีกแล้ว

ไม่สนใจว่าเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่ออีกแล้ว

เขายืนหลังตรงสง่าผ่าเผยอยู่ข้างเตียง แต่ทว่าแววตาของเขากลับสับสน……เขากำลังคิดว่าหลายปีมานี้ ทำไมเธอถึงเปลี่ยนไป

เธออยู่ข้างกายของเขาชัดๆ แต่ทำไมกลับรู้สึกว่ามันห่างไกลจนสุดขอบฟ้า

เมื่อหลายปีก่อน เธอข้ามน้ำข้ามทะเลไปอเมริกาเพื่อที่จะเจอหน้าเขา ระยะทางไกลแค่ไหนก็มิอาจกีดกั้นความรู้สึกของเธอ เธอเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ดังนั้น……เพราะเขาหรือที่เป็นคนเผาผลาญเธอจนหมดสิ้น

ทำไมตอนนี้ แค่เตียงนี้ กลับทำให้เขารู้สึกห่างไกลเหมือนคนแปลกหน้าที่รู้จักกันดี

ความกลุ้มใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าเฉยเมยของเสิ่นซิวจิ่น

เขาไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เขาสามารถหันไปเจอได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าเขาจะอยู่ไกลแค่ไหนหรืออยู่ที่ไหน แค่เขาหันหลังกลับมาก็เจอเธออยู่ข้างหลังเขาเสมอ จู่ๆ จะมีวันที่เขาหันหลังกลับมาแล้วไม่เจอเธอที่คุ้นเคยอีกแล้ว

เพราะเขา…..อวดดีเกินไปงั้นเหรอ?

เพราะเขา……ไร้ความรู้สึกเกินไปงั้นเหรอ?

เพราะเขา…..ทำลายความรักครั้งสุดท้ายของผู้หญิงคนนี้งั้นเหรอ?

ทั้งสองคน คนหนึ่งนอนหันหลังให้คนข้างหลัง ดูเหมือนเธอเฉยเมยไม่รู้สึกอะไร แต่บนใบหน้าของเธอกลับเต็มไปด้วยคราบน้ำตา เธอร้องจนไม่เหลือความเป็นตัวเอง

ยังไงก็ตาม เจี่ยนถงก็ยังเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง เธอยังอ่อนแอต่อหน้าเขา

ส่วนอีกคนเอาแต่ยืนเหม่อมองแผ่นหลังของผู้หญิงบนเตียง คนที่เย็นชา ไม่รู้จักความรักมาตั้งแต่ไหนแต่ไร กลับรู้สึกสับสนขึ้นในใจ

จู่ๆ ที่นอนก็ยวบลง

เจี่ยนถงรับรู้ได้ถึงความร้อนข้างหลัง เธอรีบยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา เธอไม่มีวันให้เขาได้เห็นน้ำตาของเธอ!

แต่ก็ไม่เร็วเท่าชายหนุ่ม จู่ๆ ชายหนุ่มก็พลิกตัวขึ้นคร่อมตัวเธออย่างรวดเร็ว เมื่อมองลงไปยังหญิงสาวที่อยู่ใต้ตัวผู้หญิงคนนั้นยกแขนขึ้นปิดใบหน้าของเธอเอาไว้อย่างมิดชิด

เขารู้สึกสงสัยจึงยื่นมือออกมาขยับแขนของเธอ

“อย่า”

เธอปฏิเสธ แต่ก็ไม่สามารถหยุดความพยายามของเขาได้……เธอปิดหน้า เพราะไม่อยากเห็นเขาอย่างนั้นเหรอ

ความเจ็บปวดที่เห็นได้น้อยนักฉายออกมาทางแววตาของเสิ่นซิวจิ่น เขาพยายามดึงแขนของเธอออก แต่วันนี้เจี่ยนถงดื้อมาก เธอไม่ยอมเอามือที่ปิดหน้าออก เสิ่นซิวจิ่นบุ่มบ่าม จู่ๆ เขาจับข้อมือทั้งสองข้างของเจี่ยนถงอย่างเอาแต่ใจ เขาใช้แรงโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้มือของเธอขยับออกจากใบหน้า เขาแผดเสียงออกมาว่า “มอง……” หน้า……

ในที่สุดเขาก็ขยับมือเธอออกได้ แต่เขาก็อึ้งไป

แววตาของเขาจริงจัง คนที่โดนเขาจ้องอย่างเจี่ยนถงต้องเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

“เธอ……” เขาเอาแต่มองผู้หญิงที่โดนคร่อมอยู่ใต้ตัว มองขนตาอันเปียกชื้นของเธอ ขอบตาที่ยังเปียกชื้น เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างไม่มีเหตุผล และแอบดีใจเล็กน้อย “เธอร้องไห้……” เธอร้องไห้ นั่นแสดงว่าภายใต้ความเฉยชาและไร้ความรู้สึกที่เธอแกล้งแสดงออกมา แท้ที่จริงแล้วในใจลึกๆ ของเธอยังแคร์เขาอยู่อย่างนั้นเหรอ

เจี่ยนถงกัดปาก “ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย”

ฉันไม่ได้ร้องไห้เพราะนาย

เธออยากบอกประโยคนี้กับเขา

แต่ทว่าตอนนี้ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่ม จู่ๆ เขาก็ก้มลงมาจูบเธออย่างรวดเร็ว “เสี่ยวถง”

เขาก้มลงมาจูบเธออีกครั้งเหมือนยังไม่หนำใจ “เสี่ยวถง”

เขาเรียกเสี่ยวถงทุกครั้งที่จูบ

เจี่ยนถงสับสนไปหมด……ควรเชื่อเขาไหม

จะเชื่อเขาได้ไหม

ไม่!

เคยให้โอกาสไปหลายครั้ง ความเชื่อใจของเธอ กลับได้มาซึ่งความผิดหวังเสมอ

เธอยื่นมือออกมาผลักคนบนตัว “ประธานเสิ่น อยากทำเหรอ”

ใบหน้ามีความสุขของเสิ่นซิวจิ่นชะงักไป เขามองผู้หญิงใต้ตัวอย่างไม่อยากจะเชื่อ……เธอพูดอะไรออกมา

“ประธานเสิ่นน่าจะรู้ว่าฉันเคยเข้าคุก เป็นคนร้ายที่เคยทำผิด ซึ่งจุดนี้มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้

ความสัมพันธ์ของฉันกับประธานเสิ่นเหมือนหญิงบริการกับแขกผู้มีพระคุณ”

เธอเป็นฝ่ายยื่นมือมาดึงผ้าห่มออก และดึงชุดคลุมนอนของตัวเองออก

แขนข้างหนึ่งของเธอเลื้อยไปบนลำคอของเสิ่นซิวจิ่นเหมือนงู ตอนนี้เจี่ยนถงสวยหยาดเยิ้มกว่าปกติ

แต่ทว่าเสิ่นซิวจิ่นที่คร่อมอยู่บนตัวเธอ กลับลุกขึ้นมา เพื่อหลบแขนที่มาเกี่ยวคอของเขา

เจี่ยนถงราวกับงู เธอนั่งและเอามือค้ำบนเตียง เธอเลื้อยเข้ามาเหมือนเงาและหัวเราะเบาๆ ว่า “ประธานเสิ่น ไม่อยากเหรอคะ”

เสิ่นซิวจิ่นมองเจี่ยนถงที่ออดอ้อนเหมือนคนแปลกหน้า เขามองเธออย่างพูดไม่ออก ในใจของเขารู้สึกเจ็บปวด

เจี่ยนถงกัดฟัน คนที่ไวต่อความรู้สึกอย่างเธอ……รับรู้ถึงความเจ็บปวดในดวงตาของเขาอย่างชัดเจน……แต่ทำไม ในแววตาของเขาต้องเจ็บปวดด้วย

เพราะเธออย่างนั้นเหรอ

ไม่ ไม่ ไม่

คนร้ายที่ค่อยๆ บีบบังคับให้เธออยู่ในสภาพกระอักกระอ่วนแบบนี้ ก็คือประธานเสิ่นที่กำลังมองเธออย่างเจ็บปวดอยู่ตรงหน้า!

แล้วความเจ็บปวดนั่นมันคืออะไร

เรื่องของเขาสิ เจี่ยนถงพึมพำกับตัวเอง

“ประธานเสิ่น……” เธอทำตัวเหมือนงูที่เลื้อยเข้าไป แขนอันเนียนนุ่มทั้งสองข้างเกี่ยวลำคอของชายหนุ่มเอาไว้ เธอคุกเข่าลงบนเตียงและใช้สองแขนเกี่ยวคอของเขา เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย

“ประธานเสิ่น……คุณคือแหล่งเงินของฉัน แถมฉันยังเป็นหนี้คุณหลายร้อยล้าน การที่คุณนอนลงบนเตียง เป็นการบอกโดยนัยว่าประธานเสิ่นต้องการไม่ใช่เหรอ”

ตอนนี้เธอบีบบังคับเอาจิตวิญญาณของตัวเองออกไป ทิ้งความละอายในสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่เหลืออยู่ไม่มาก เธอยั่วยวนผู้ชายตรงหน้าเหมือนนางปีศาจ พลางพยายามพูดล้างสมองของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร จะต้องไม่เป็นไร

ในสายตาของเขา ฉันมันต่ำตมจนเหมือนโคลนตม ยังจะแคร์อะไรอีก ขอแค่เขาต้องการ ฉันก็สามารถเป็นผู้หญิงต่ำตมได้มากกว่านี้อีก ติดคุกก็เคยมาแล้ว จะกลัวอะไรอีก พยายามอย่าทำให้สถานการณ์มันแย่ไปกว่านี้

หรือว่า……หรือว่าเขาคิดว่าเธอต่ำตม จนทำให้หมดความน่าสนใจ

งั้นก็ดีสิ งั้นก็ทำเรื่องน่าอับอายออกมา ใครก็อย่าก้าวเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เธอก็แสดงอย่างสุดความสามารถ แก้มของเธอแดงระเรื่อและพูดด้วยเสียงกระเส่า เธอแทบอยากจะบีบคอให้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ประธานเสิ่น ไม่อยากจริงเหรอ”

เธอรู้ดีว่าการกระทำของเธอในตอนนี้ มันด้อยค่าเป็นอย่างมาก เธอรู้ว่าในสายตาของผู้ชายคนนี้……ไม่สิ! ในสายตาของคนที่เห็นเธอในตอนนี้ เจี่ยนถงคือสินค้าที่สามารถประเมินค่าได้ด้วยเงิน

เธอรู้ดีทุกอย่าง!

แล้วมันจะทำไมล่ะ

กลับกัน เธอไม่แคร์

นิ้วมือของเธอวาดไปที่ลำคอของเขาอย่างยั่วยวน เสิ่นซิวจิ่นหรี่ดวงตาดำขลับลง ดวงตาของเขาเข้าใจอย่างชัดเจน เขาหลุบตาลงมองผู้หญิงตรงหน้า สายตาของเขามองออกทุกอย่าง

เขาไม่หลบเหมือนก่อนหน้านี้ จู่ๆ เขาก็ยื่นฝ่ามือเรียวออกมาจับมือที่กำลังพาดผ่านไหปลาร้าของเขา “ใครสอนเธอทำแบบนี้”

เสียงทุ้มฟังดูเหมือนหยกตกลงไปในจาน เขาพูดออกมาเบาๆ ว่า “หืม?” แค่พยางค์เดียวก็ดูเหมือนอันตรายมาก มันเหนือกว่าการยั่วยวนของเจี่ยนถงเมื่อสักครู่ ถ้าให้พูดเรื่องการยั่วยวน เสิ่นซิวจิ่นคือผู้มีฝีมือที่แท้จริง

สีหน้าของเจี่ยนถงเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ประธานเสิ่น คุณ……ลืมแล้วเหรอว่าฉันทำอะไร เรื่องแบบนี้จำเป็นต้องให้ใครมาสอนเหรอ ถ้าจะให้พูดว่าใครสอนจริงๆ งั้น……ก็น่าจะเป็นพวกผู้ชายที่เข้าออกตงหวงละมั้ง”

เสิ่นซิวจิ่นกำมือของเจี่ยนถงเอาไว้แน่น เขาลูบฝ่ามือที่เล่นสักพัก จากนั้นจึงพูดเนิบๆ ว่า “เธอน่าจะเข้าใจผิดนะ ฉันหมายถึงการกระทำและเทคนิคของเธอมันเก้ๆ กังๆ

ถ้าเธอบอกว่าผู้ชายที่เข้าออกตงหวงเป็นคนสอนเธอ งั้นคงบอกได้แค่ว่า เขาไม่ได้เรื่อง”

สีหน้าของเจี่ยนถงสลดลงทันที……เสิ่นซิวจิ่นพูดอะไรลามกแบบนี้เป็นด้วยเหรอ

“เธอรู้ไหมอะไรเรียกว่ายั่วยวน” ชายหนุ่มพูดอย่างสง่างามพลางเล่นกับมือของเธอ “มาสิ” จู่ๆ เขาก็ยื่นมือออกมารวบตัวเธอ เจี่ยนถงรู้สึกสับสนไปหมด เมื่อเธอตั้งสติได้ ตัวของเธอก็อยู่ในอกของเขาแล้ว “มาสิ เดี๋ยวฉันสอนเธอเอง”

ความเย็นยะเยือกที่ปลายนิ้วสัมผัสลงบนผิวของเธอ ความหนาวเย็นส่งผ่านมาจากปลายนิ้วของเขา

“สัมผัสเบาๆ คือการเริ่มต้นยั่วยวน” เสียงทุ้มของเขาดูยียวน ปลายนิ้วสัมผัสบนลำคอของเธอ แต่ทว่าเขากลับไม่เลื่อนปลายนิ้วลงมา เขาวนนิ้วไปมาอยู่ที่ลำคอของเธอตามอำเภอใจและไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ แต่เมื่อทุกที่ที่ปลายนิ้วสัมผัสลงไป ทำให้ผิวหนังบนลำคอของหญิงสาวรู้สึกขนลุก

เจี่ยนถงขัดขืนตามสัญชาตญาณ

คนนั้นหัวเราะออกมาเบาๆ เสียงทุ้มดังขึ้นเหนือศีรษะของเธอ “ทำเป็นหรือยัง”

“.…..?”

“แบบนี้ไง” ชายหนุ่มเห็นสีหน้างุนงงของเธอ เขาจึงใช้ปลายนิ้วขูดเบาๆ ผิวหนังที่ลำคอของเธอขนลุก “ทำเป็นหรือยัง”

จู่ๆ เจี่ยนถงก็เข้าใจขึ้นมาทันที สีหน้าของเธอแดงระเรื่ออย่างไม่สามารถควบคุมได้!

คนคนนี้หน้าไม่อายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ

ทำเรื่องแบบนี้ แล้วยังมาถามเธอว่าทำเป็นหรือยัง!

“ประธานเสิ่น ฉันง่วงแล้ว” ดังนั้น นายออกไปได้หรือยัง

แน่นอนว่าเสิ่นซิวจิ่นฟังออกว่าเธอกำลังพูดไล่แขก

“เสี่ยงถง เธอยั่วเองนะ” เขาจับมือของเจี่ยนถงเอาไว้ อีกทั้งยังเอามือของเธอไปทาบไว้ตรงนั้น “เสี่ยวถง เธอยั่วมันขึ้นมาเองนะ”

“ปล่อยมือ ปล่อยมือนะประธานเสิ่น!”

แววตาของเสิ่นซิวจิ่นวูบไหว “ถ้าฉันไม่ปล่อย เธอจะทำอะไร” คำพูดของเขาแฝงไปด้วยความคิด ความกลุ้มใจ ความจริงจังที่ซ่อนอยู่ในใจ ทำให้คำพูดยั่วยวนดูผิดปกติ

ตอนนี้แววตาของเสิ่นซิวจิ่นลุ่มลึก ดวงตาของเขาเหมือนอินทรีที่จ้องคนที่อยู่ในอ้อมกอด

“ฉันจะเกลียดนาย”

เมื่อเสิ่นซิวจิ่นได้ยินประโยคนี้ เหมือนหัวใจของเขาถูกคนเอามีดมากรีดทีละนิด

สีปากที่ดูปกติ ตอนนี้เริ่มซีดลง

ภายใต้ใบหน้าไร้ความรู้สึก ปากบางเม้มเข้าหากัน……ภายใต้ใบหน้าอันราบเรียบ มันสับสนวุ่นวายตั้งนานแล้ว

ขณะที่กำลังสับสน อุณหภูมิรอบตัวเริ่มลดลง

เธอขยับตัวตามสัญชาตญาณและห่อตัว

สำหรับเธอมันก็แค่ไม่สิบกว่าวินาที แต่สำหรับเสิ่นซิวจิ่นเหมือนหนึ่งศตวรรษ

‘หนึ่งศตวรรษ’ ภายในช่วงสิบกว่าวินาที ในหัวของเขาเริ่มตั้งแต่ตื่นตระหนก จนกระทั่งตัดสินใจได้

เจี่ยนถงรู้สึกเหมือนโลกหมุน เธอโดนกดตัวลงกับเตียง วินาทีต่อมาเงาดำก็คร่อมอยู่บนตัวของเธอ

ปลายนิ้วเย็นเหมือนเมื่อครู่ วาดลงบนผิวหนังของเธอ ไม่พูดก็ไม่ได้ว่าเขามีเทคนิคมาก

เหงื่อเม็ดเล็กซึมออกมาจากหน้าผากของเจี่ยนถง “หยุดนะ! ประธานเสิ่น!”

“นี่คือสัมผัสของรัก”

“อะไรนะ” เธอบอกให้เขาหยุด แต่เขากลับตอบไม่ตรงคำถาม

ไม่รอให้เธอได้คิดอะไร เสิ่นซิวจิ่นก้มหัวศีรษะลงอย่างกะทันหัน ริมฝีปากร้อนผ่าวซึ่งแตกต่างจากปลายนิ้วเย็นอย่างสิ้นเชิง ประทับลงบนกระดูกไหปลาร้าของเธอ

ไม่ว่าเจี่ยนถงจะดิ้นรนเพียงใด ผู้ชายที่อยู่บนตัวกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย ริมฝีปากร้อนผ่าวประทับลงบนตัวเธอ รอยจูบอยู่บนตัว บนขาและขาอ่อนของเธอ เขาทำต่อไปเรื่อยๆ…..สีหน้าของเจี่ยนถงเปลี่ยนไป “หยุดนะ! หยุดนะ! หยุดนะ! เสิ่นซิวจิ่น! นายบ้าไปแล้วหรือไง!”

เท้าอันสวยงามของเธอถูกเขาจับเอาไว้ เขาจูบลงบนหลังเท้าของเธอและนิ้วเท้าของเธอ……เจี่ยนถงอุทานออกมา “เสิ่นซิวจิ่น! ไอ้โรคจิต!”

สติของเธอกระเจิดกระเจิง จนตวาดออกมาเสียงดัง เธอไม่รู้เลยว่าหน้าของตัวเองแดงขนาดไหน ทุกตารางนิ้วบนเรือนร่างของเธอยังพูดอย่างเงียบๆ ว่า “ร่างกายของเธอกำลังมีอารมณ์”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาเรียวและเฉียบคมมองผู้หญิงที่กำลังสติกระเจิดกระเจิง……เธอควรจะรู้ว่าคนที่ยโสอย่างเขายอมก้มหัวไปจูบทุกส่วนบนร่างกายของเธอ……เธอควรจะรู้ว่าผู้ชายคนหนึ่งสามารถละทิ้งความละอายและความภาคภูมิใจในตนเองของมนุษย์ เพื่อก้มลงจูบเท้าและนิ้วเท้าของผู้หญิงอย่างซื่อสัตย์

“นี่คือจูบ” เขาตอบเธออย่างไร้ความรู้สึก

แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนก็คือ “สัมผัสรัก” ก่อนหน้านี้มันกลายเป็น “จูบ”

“เจี่ยนถง ∑εαγαπώ(S'agapo)” จู่ๆ ปากบางของเสิ่นซิวจิ่นก็ขยับอย่างรวดเร็ว

“นายพูดอะไร”

“ฉันพูดว่า งั้นเธอก็เกลียดฉันสิ” เมื่อพูดจบ เขาก็โน้มตัวลงมา ขณะที่ดวงตาของหญิงสาวกำลังหวาดกลัว เขาก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับหญิงสาว

ความหวาดกลัวภายในดวงตาของเธอเริ่มมีความเกลียดชังขึ้นมา

เสิ่นซิวจิ่นยื่นมือออกมาปิดตาของเธอ ปิดดวงตาคู่ที่ทำให้จิตใจของเขากดดัน…..

ทุกจังหวะ ในใจของเขายิ่งจมลึก……เกลียดสิ! เกลียดสิ! เกลียดสิ!

เห็นได้ชัดว่าร่างกายเข้ากันได้อย่างมีความสุข แต่ทว่าหัวใจกลับจมดิ่งลงไปในเหว……พระเจ้า เสิ่นซิวจิ่นไม่เคยขออะไรท่านเลย ผมขอให้ท่าน……คืนเจี่ยนถงเมื่อสามปีก่อนกลับมาให้ผมเถอะ!

"เสิ่นซิวจิ่น ฉันเกลียดคุณ"

ปลายนิ้วของเขาสั่น แต่ยังคงยื่นมือออกมาแล้วค่อยๆเช็ดเม็ดเหงื่อที่ผุดแน่นออกมาบนหน้าผากเธอ สายตาลึกซึ้งซับซ้อนนั้นราวกับว่าเก็บสิ่งที่พูดไม่ได้อธิบายไม่ถูกไว้อยู่ภายใน เจี่ยนถงมองแล้วไม่สามารถเข้าใจได้ แต่เมื่อสบตากับดวงตาคู่นั้น หัวใจที่อกข้างซ้ายของเธอในเวลานั้นก็ชาขึ้นมา และความเจ็บปวดที่คุ้นเคยดีและห่างหายไปนานก็กลับมาอีกครั้ง เธอกัดฟันโกรธ เธออึดอัดและรู้สึกเสียใจ มึนชาไปหมดแล้ว ทำไมมันเหมือนกับตอนนั้นเลย เพราะแววตาคู่นั้นของเขา หัวใจก็เจ็บเหมือนถูกฉีกออกเป็นเสี่ยงๆ

บนหน้าผาก รู้สึกถึงนิ้วมือเขาที่สัมผัส ค่อยๆเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของเธอออกอย่างเบามือ…ป้าบ!

"อย่ามาแตะต้องตัวฉัน!" สายตาเย็นชาของเจี่ยนถงจ้องมองไปยังชายที่อยู่ตรงหน้า "ประธานเสิ่น ฉันเกลียดคุณ ฉันจะเกลียดคุณตลอดจนชีวิตที่เหลืออยู่ ถึงแม้ว่าวันหนึ่งฉันจะลืมว่าฉันเป็นใคร ชื่ออะไร แต่มีเพียงอย่างเดียวที่ฉันจะไม่มีวันลืม นั่นก็คือคุณ ฉันเกลียดคุณ"

เธอกลั่นคำพูดออกมาจากปากทีละคำ "เจี่ยนถง เกลียดเสิ่นซิวจิ่น!"

เจี่ยนถง เกลียด เสิ่นซิวจิ่น

สายตาของเขาหดลงอย่างแรง เขาอยากจะเอามือจับกุม กุมไปที่หัวใจห้องซ้ายอย่างจะขาดใจ อยากปกปิดความเจ็บปวดที่เหมือนโดนฉีกเป็นเสี่ยงๆนั้นไว้

ปล่อยมือ กับ เธอเกลียดเขา…ทางเลือกของเขา เขาไม่เคยคิดมาก่อน ถ้าไม่ปล่อยมือ ก็เกลียดเถอะ!

แต่ว่าตอนที่เธอพูดคำง่ายๆหกคำนั้นออกมา "เจี่ยนถง เกลียดเสิ่นซิวจิ่น"!

"เมื่อก่อนเธอเคยพูดว่าเธอรักฉัน ถึงแม้ว่าวันหนึ่งเธอจะลืมว่าเธอเป็นใคร แต่สิ่งที่เธอจะไม่ลืมแน่นอน คือเธอรักเสิ่นซิวจิ่นคนนี้…เสี่ยวถง เธอเคยพูด!"

เธอเคยพูดไว้แล้วแท้ๆ ทำไมถึงเปลี่ยนใจไปได้!

ทำไมเปลี่ยนได้ง่ายๆแบบนี้!

"จำไม่ได้แล้ว"

เสิ่นซิวจิ่นเจ็บลึกจนพูดไม่ออก…เขาจ้องมองไปที่เธอ

เขาตั้งใจขนาดนี้ ร้อนใจขนาดนี้ เพื่อรอประโยคเดียว"จำไม่ได้แล้ว"?

ไม่เคยเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อนเลย

แม้ว่าเธอจะคิดหาวิธีการต่างๆมากมายเพื่อหนีไปจากเขา แต่ความเจ็บปวดนั้น ก็เทียบไม่ได้กับความเจ็บ ณ เวลานี้เลย

ในใจเขา ราวกับติดตั้งระเบิดไว้ และเธอก็เป็นสายชนวนระเบิด เมื่อจุดไฟ…ปั้ง! เสียงนั้นดังขึ้น ก็ระเบิดแตกเป็นเสี่ยงๆ

มือที่ยื่นออกไป นิ้วเรียวยาวของเสิ่นซิวจิ่น ก็ค่อยๆไล้ไปที่คางของเธอ มุมปากของเธอ จมูกของเธอ ไปจนถึงตาของเธออย่างน่าเกรงขามและปิดมันไว้!

"ฉันไม่สนใจ" เสียงทุ้มต่ำนั้นพูดอยากเย็นชาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ "เจี่ยนถง เธอมีคุณสมบัติอะไรที่จะมาพูดว่าเกลียดฉัน เธอเอาความมั่นใจมาจากไหนที่คิดว่าฉัน เสิ่นซิวจิ่นคนนี้จะสนใจความคิดของคนอย่างเธอ"

คำพูดที่เยือกเย็น ออกจากปากอย่างไม่น่าให้อภัย ทุกคำทุกประโยค เหน็บแนมตรึงเข้าไปในใจอย่างโหดเหี้ยม

แต่เขา…ไม่มีทางเลือกแล้ว!

"เจี่ยนถง ฉันเพียงแค่สนใจคนของเธอ ไม่สนว่าในใจเธอจะคิดยังไง ก็เก็บไว้ไม่ต้องให้ฉันรู้"

เจี่ยนถงได้ยินคำพูดที่ไร้ความปรานีของเสิ่นซิวจิ่น หัวใจเธอก็ยังคงความเจ็บปวดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตาของเธอถูกฝ่ามือใหญ่ของเขาปิดไว้ มองไม่เห็นสายตาของชายตรงหน้า ดวงตาดำขลับคู่นั้นที่ค่อยๆแผ่ความเจ็บปวดให้แทรกซึมออกมา

ณ เวลานี้ ความรู้สึกมากมายผสมปนเปในสายตาที่ซับซ้อนคู่นั้น มีทั้งความเสียใจ ความแค้นเคือง และสายตาอ้อนวอนขอ แต่ที่มากกว่านั้นคือสายตาของความเกลียดชังที่แสนอึดอัด ความเกลียดชังที่มีต่อตัวเอง!

แต่ทันใดนั้นเขาก็พลิกตัวลงจากเตียง และก้มตัวลงอุ้มเธอที่อยู่บนเตียงขึ้นมา

"อ๊ะ!"

อยู่ๆตัวก็ลอยขึ้นกลางอากาศ เธอร้องเสียงแหลม "เสิ่นซิวจิ่น! คุณคิดจะทำอะไรอีก!"

"เสิ่นซิวจิ่น! ปล่อยฉันลง!"

"เสิ่นซิวจิ่น! ฉันไม่อยากเป็นบ้าไปกับคุณ!"

เขาไม่พูดอะไรออกมา ยังคงอุ้มเธอไว้ พร้อมก้าวยาวๆตรงไปยังห้องอาบน้ำ และทิ้งเธอลงในอ่างอาบน้ำ ท่าทางไม่ถึงกับอ่อนโยน แต่ก็ไม่ได้ทำเธอเจ็บแต่อย่างใด

"ค่ำแล้ว" วางเธอลงที่อ่างอาบน้ำ ปากบางนั้นก็พูดออกมาอย่างไม่มีความอ่อนโยนในท่าที พร้อมจ้องที่เธออย่างนิ่งๆ "เกมไล่ล่าครั้งนี้ ฉันคือนายพราน ส่วนเธอคือเหยื่อ ฉันพูดแล้วเธอต้องเชื่อฟัง"

เจี่ยนถง เกลียดเสิ่นซิวจิ่น จะเกลียดตลอดจนชีวิตที่เหลืออยู่ ถึงแม้ว่าวันหนึ่งเธอจะลืมว่าตัวเองเป็นใคร แต่มีเพียงอย่างเดียวที่เธอจะไม่มีวันลืม นั่นก็คือเธอเกลียดเขา…ในเมื่อมันไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว ในเมื่อเธออยากเกลียดเขาไปตลอดชีวิต…งั้นก็เกลียดเถอะ!

เกลียดไปเลย เกลียดซะ เกลียดไป!

เกลียดจนกว่าโลกนี้จะแหลกสลายไม่มีชิ้นดี นั่นนับว่าเป็นเรื่องโชคดีของครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่ของเขา เสิ่นซิวจิ่นคนนี้แล้ว…แค่เพราะว่า ถ้ามันเหลือแค่วิธีนี้วิธีเดียว ที่สามารถพัวพันกับเธอไปได้ตลอดชีวิต ถ้าเช่นนั้น เธอเกลียดเขา เขารับได้และยินยอมรับความเจ็บปวดทนทุกข์นี้!

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจี่ยนถงก็หน้าซีด…ใช่สิ ใครที่ทำให้เธอกล้าหาญและเชื่อมั่นในตัวเอง พออยู่ต่อหน้าเขา เธอก็ไม่มีอะไรเลย!

เสิ่นซิวจิ่นนั่งลงยองๆ พร้อมยื่นฝ่ามือไปทางเจี่ยนถง เธอคิดจะหลบแต่ก็ถูกเขาจับกุมไว้ เธอเงยหน้าขึ้นอย่างโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ นัยน์ตาดำที่ลึกซึ้งนั่นราวกับมองทะลุคนได้ "ยี่สิบปีมานี้ เรื่องไหนที่ฉันต้องการ ฉันก็ได้ในสิ่งที่ต้องการเสมอ"

เสียงกระตุกดังขึ้นชัดเจน เจี่ยนถงก็ตะโกน "เฮ้~" พร้อมเชยตาขึ้นมา มองถลึงตาจ้องไปที่เขา…ไอ้บ้านี่! พร้อมกับก้มมองไปที่ขาตัวเองอีกครั้ง ผิวหนังมีรอยนิ้วมือทั้งห้าปรากฏอยู่

"บอกเธอไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ให้เชื่อฟัง แล้วจะไม่ลำบาก"

"ฉันเกลียดคุณ!"

วันนี้เธอพูดคำนี้ไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

"แล้วแต่เธอ" สามคำนั้นพูดออกมาอย่างเย็นชา เสิ่นซิวจิ่นเติมน้ำร้อนด้วยท่าทางคล่องแคล่ว พร้อมกับล้างร่างกายให้เธอทั้งตัว

"ฉันทำเองได้"

เจี่ยนถงยื่นมือไปคว้าผ้าขนหนูจากมือเสิ่นซิวจิ่น

แต่เขาก็หลบมือเธอได้อย่างว่องไวโดยไม่พูดอะไรออกมา พร้อมเช็ดทำความสะอาดตัวเธอ เมื่อยืนขึ้น เขาก็ยื่นมาข้างหนึ่งไปหยิบผ้าขนหนูอีกผืนที่อยู่บนโต๊ะข้างตัว พร้อมกับนำมาห่อตัวเธอไว้ทั้งตัว พร้อมกับอุ้มร่างที่ห่อด้วยผ้าเช็ดตัวนั้นขึ้นมา เดินไปข้างเตียงแล้วโยนเธอลงบนเตียง

ตัวเธอนั้นดีดลุกนั่งบนเตียงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยื่นเท้าไปเพื่อจะลงเตียง พร้อมก้าวยาวๆอย่างรีบร้อนเพื่อจะเดินไปที่ประตูใหญ่

แสงอาทิตย์อยู่ตรงหน้านั้นอยู่ๆก็หายไป และตัวเธอก็ลอยขึ้นกลางอากาศ เอวนั้นถูกพาดไว้บนบ่า หน้าเล็กของเจี่ยนถงซีดลง สายตาแน่วแน่ พร้อมอ้าปาก แล้วกัดไปที่ต้นแขนของเขาอย่างโหดเหี้ยม

เนื้อที่ถูกกัดนั้นเลือดไหล กล้ามเนื้อเกร็งอย่างฉับพลัน แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อย

"เสิ่นซิวจิ่น! คุณมันบ้าไปแล้ว!"

เธอตะโกนเสียงแหลม และโห่ร้องอย่างหยาบคาย ยิ่งทำให้เสียงแหลมนั้นบาดหูเข้าไปใหญ่

เปิ้ง!

ท้องฟ้าหมุนเคว้ง ร่างทั้งร่างของเธอถูกโยนลงบนฟูกเตียง เมื่อลืมตา ใบหน้าที่คุ้นเคยก็มาหยุดอยู่ตรงสายตาเธอพอดี เขาคนนั้นยืนอยู่ข้างเตียงแล้วปรายตาลงมามองเธอ "นอน" ปากบางนั้นเอ่ยออกมาเพียงสองคำ

ความดื้อรั้นในดวงตาของเจี่ยนถงไม่ลดลงเลย มือนั้นค่ำลงบนฟูก เพื่อดันให้ตนเองลุกขึ้นมาอีกครั้ง แล้วใช้มือช่วยคลานลงเตียงไป เขาที่ยืนอยู่ข้างเตียงไม่ได้หยุดเธอในทันที

ขาและเท้าของเธอเจ็บเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังคงคลานไต่ไปยังประตูใหญ่อย่างรีบร้อน

อย่างเช่นที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ แสงอาทิตย์นั้นอยู่ตรงหน้า แต่เธอก็ถูกหามพาดบ่าไปอีกครั้ง เธอไม่เพียงแต่ใช้ปากกัด แต่รอบนี้ยังใช้เท้าเตะ เตะไปที่ขาของเขาครั้งหนึ่ง แต่เมื่อเตะครั้งที่สอง ขาคู่นั้นก็โดนฝ่ามือใหญ่ของเขาจับควบคุมไว้

เปิ้ง!

เธอโดนโยนลงบนฟูกเตียงอีกครั้ง เสิ่นซิวจิ่นยังคงยืนอยู่ข้างเตียงแล้วชายตามองไปยังเธอที่อยู่บนเตียง

"นอน!"

เธอไม่ยอมแพ้ ทั้งไต่ทั้งดิ้น เหมือนกับก่อนหน้านี้แต่ผลก็เป็นเช่นเดิม เธอโดนเขาจับโยนลงบนเตียงอีกเช่นเดิมอยู่อย่างนั้น

"ยังจะหนีอีกไหม?" เขาพูดด้วยเสียงแหบแต่หนักแน่น

เธอกัดฟัน พร้อมหลับตาอย่างไม่ยินยอม เพื่อปิดบังสายตาดื้อรั้นนั้นไว้ พร้อมกับค่อยๆพูด

"เธอต้องการอะไร?"

เธอกำมือแน่น "ฉันจะไม่ขอร้องคุณอีกต่อไป!"

เขาต้องการให้เธอขอร้องเขางั้นเหรอ?

ฝันไปเถอะ!

ยังไงก็จะไม่กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนตอนนั้นอีก ไม่ยอมอ่อนข้อให้ได้ใจหรอก!

ไม่ว่ายังไงก็จะไม่เอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากเขา!

"ปากแข็ง" ปากบางนั้นเอ่ยออกมาเพียงสองคำ แต่สองคำนี้กลับทำให้ข้างในใจเจี่ยนถงมั่นใจ ว่าเขาต้องการทรมานเธอ ทำให้เธอดูต่ำต้อย ต้องการเห็นเธออ้อนวอน…พอสิ้นหวังแล้ว ใครจะมาสนใจ?

เขามองเธอที่อยู่บนเตียง ถอนหายใจออกมาเบาๆ เธอคิดว่าเขาจะทำอะไร เธอพูดว่ายังไงเธอก็จะไม่ขอร้องเขา…ที่เขาต้องการมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ใช่เห็นเธอต่ำต้อย ไม่ใช่เห็นเธออ้อนวอน!

แต่สิ่งที่เขาต้องการ…คือผู้หญิงที่รักเขาเหมือนอย่างเช่นยี่สิบปีก่อน เขาต้องการผู้หญิงคนนั้นกลับคืนมา!

เมื่อจัดการยัดเธอไปในผ้าห่ม ตัวเขาก็เข้าไปด้วยทันที พร้อมยื่นมือไปกอดเธอไว้แน่นภายใต้ผ้าห่ม และยืดขาไปรัดขาเธอที่กำลังเตะก่อกวนไปมาไว้ "ถ้าไม่นอน ก็ลองทำอีกรอบ รอจนถึงเวลาที่เธอเหนื่อยแล้วก็หลับไปเอง เป็นยังไง?"

เป็นยังไง?

เขาถามเธอว่าเป็นยังไงเหรอ?

อ่า…

"ประธานเสิ่น เชิญคุณจำไว้ด้วย คุณกำลังจะนอนร่วมเตียงกับฆาตกร!"

เขาที่หลับตาไปแล้ว ก็ลืมตาขึ้นมาอย่างทันทีทันใด ดวงตาสีดำขลับนั้น จ้องมองไปยังหญิงที่อยู่บนเตียงข้างเขา บนใบหน้าหล่อเหลานั้น มุมปากก็ยกขึ้น ริมฝีปากนั้นแสดงรอยเล็กน้อยทำให้คนที่เห็นนั้นประหลาดใจ หลังจากนั้นไม่มีคำพูดอะไร เขาก็หลับตาลง

ไม่นาน เสียงหายใจเบาๆก็ค่อยๆดังขึ้น

เจี่ยนถงคิดจะฉวยโอกาสนี้คลานออกไปจากอ้อมแขนเขา

แขนที่หนีบเอวของเธอแน่นราวกับคีมหนีบนั้น รัดพันเธออย่างแน่น แม้แต่จะขยับยังทำไม่ได้

ค่ำขนาดนี้แล้ว แทนที่จะเงียบสงบ เนื่องจากไปไหนไม่ได้ ได้แต่มองหน้าเขา สีหน้าของเจี่ยนถงก็ดูยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก

เธอชำเลืองมองไปที่หัวเตียง…เวลานี้ คาดไม่ถึงว่าเธอยังมีอารมณ์ที่จะล้อเล่น เธอคิด กระดาษจดหมายที่วางอยู่ตรงนั้น คงจะใช้เวลาอยู่ข้างเขานานกว่าเธออีกมั้ง?

ช่างน่าขันจริงๆ

ตกลงแล้ว มันคือวาสนาตื้นความรักลึกซึ้ง หรือคือวาสนาลึกซึ้งความรักตื้นกันแน่นะ?

แต่ไม่ว่าจะเป็นยังไง ที่รู้แน่ๆคือวาสนาครั้งนี้ มันคือบาปกรรม!

ใช่! บาปกรรม!

บาปกรรม…ที่ควรจะสิ้นสุดลงสักที!

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ก็ค่อยๆยื่นมือออกไปข้างหนึ่งอย่างหลวมๆ แล้วค่อยๆ ค่อยๆ ยื่นเข้าไปใกล้ๆที่คอของชายที่นอนอยู่ข้างเธอ ค่อยๆวางจับลงที่คอของเขา… ถ้าเพียงแค่เธอออกแรงกำลังไป ก็จะเป็นการสิ้นสุดเวรกรรมระหว่างเธอและเขา ใช่หรือไม่?

และจากนี้ไปเธอก็จะเป็นอิสระ แล้วก็สามารถไปที่ริมทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ได้ ใช้หนี้ชีวิตที่ต่อให้ใช้ทั้งหมดของชีวิตก็ใช้คืนไม่หมด? เธอยิ่งคิดยิ่งสับสน ยิ่งคิดยิ่งไม่แน่ใจ

นิ้วทั้งห้านิ้วของเธอค่อยๆบีบแรงขึ้นทีละนิด ค่อยๆบีบกั้นทางเดินหายใจในร่างกายเขา…และทันใดนั้น! ร่างนั้นก็สั่นขึ้นมา สายตาก็ค่อยๆชัดเจนขึ้น มองเห็นทั้งหมดตรงหน้าอย่างชัดเจน มองเห็นมือของเธอที่วางอยู่ที่คอของเขา…เธอ…เธอจะทำอะไรกันแน่!

เธอคิดจะทำอะไรกันแน่!

สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และทันทีนั้นเบ้าตาก็ชื้นคลอไปด้วยน้ำตา!

ตกใจจนปล่อยมือทันที มือนั้นที่กำลังจะฆ่าเขาเมื่อกี้ ก็กุมปิดปากตัวเองอย่างแน่น พร้อมฝืนบังคับไม่ให้เสียงร้องไห้ในลำคอเล็ดลอดออกมา!

ค่ำคืนอันเงียบสงัด ถ้าตั้งใจฟังดีๆ ก็จะยังคงได้ยินเสียงกระซิกร้องไห้แบบขาดๆหายๆอยู่

เธอหันหัวเอียงไปมาพร้อมกดหัวเข้าไปในหมอน…ไม่ดู ไม่ฟัง ไม่คิด…ฝ่ามือเธอในเวลานี้ ยังคงสั่นแรงอยู่อย่างนั้น และเธอก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเธอนั้น เย็นไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า มันยังติดอยู่ในใจเธอ แล้วก็ยังสั่นอยู่เช่นนั้น

เขาลืมตาขึ้น สายตามองไปที่หัวดำขลับของหญิงที่อยู่ข้างๆ สายตาเจ็บปวดเสียใจ แต่ก็ยังแผ่ความอ่อนโยนออกมาด้วย…คนโง่

…เขาหลับตาลงใหม่อีกครั้ง ไม่รบกวนเธอที่ในเวลานี้ราวกับนกที่กำลังตื่นตระหนกตกใจกลัว

มือที่ซุกอยู่ใต้ผ้าห่ม ยิ่งเพิ่มความรักแน่น และขาสองข้างนั้นก็ยิ่งพันรัดขาของเธอแน่นยิ่งขึ้น

ระหว่างเธอและเขาหลังจากคืนวันนั้น เพียงชั่วพริบตา ก็ผ่านไปสัปดาห์หนึ่งแล้ว

ในบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ถึงเวลาเลิกงานแล้ว เขารีบหยิบกุญแจรถที่อยู่บนโต๊ะโดยไว ออกจากห้องอย่างรีบร้อน เมื่อสตาร์ทรถได้ก็ขับออกไปอย่างรวดเร็ว รถนั้นวิ่งด้วยความเร็วสูง แต่ใจของเขานั้นบินกลับไปถึงบ้านแล้วเร็วยิ่งกว่า

ณ คฤหาสน์ตระกูลเสิ่น ถูกปกคลุมไปด้วยท้องฟ้ายามเย็นในฤดูหนาว ท้องฟ้ามืดอย่างไว มีแค่ไฟจากสองข้างทางถนนที่ส่องสว่าง ประตูเหล็กดัดลวดลายสวยงามสีดำบานใหญ่นั้นดูหนักแน่นมั่นคงกว่าในฤดูร้อน แต่ในสีดำนี้ ก็ทำให้คฤหาสน์ทั้งหลังนั้นดูไม่มีชีวิตชีวาเลย ดูเศร้าน่าอึดอัดอย่างไม่มีอะไรเปรียบ

รถเบนท์ลีย์สีดำที่เปิดไฟจ้าวิ่งเข้าทางประตูใหญ่ที่สามารถเปิดออกได้ทั้งสองข้าง ไม่ว่าจะวิ่งผ่านตรงไหนคนสวนยังไม่ทันที่จะได้จัดการกับใบไม้แห้งที่ร่วงบนพื้น ก็ต้องรีบมาเปิดประตูให้รถเบนท์ลีย์ที่วิ่งเข้ามา พอวิ่งพ้นไป ก็ปิดประตูลงตามหลัง

เขาเปิดประตู พร้อมก้าวเท้าลงรถอย่างสุขุม ร่างใหญ่สูงตรงนั้นดูแข็งแรง หากถอดเสื้อก็คงเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแต่พอสวมเสื้อผ้าก็ดูเข้ารูปอย่างไร้ที่ติ พระเจ้าช่างเอาใจใส่เขาจริงๆ แม้แต่เส้นผมแต่ละเส้นนั้นยังดูดีแบบไร้ที่ติ ช่างเพอร์เฟคจริงๆ

"คุณชาย กลับมาแล้ว" พ่อบ้านชรายืนนิ่งๆอยู่ทางประตูทางเข้าอย่างที่ทำมาเสมอ พร้อมยื่นมือไปรับกระเป๋าเอกสารจากมือเขา และยื่นผ้าเช็ดตัวกำมะหยี่ให้ จากนั้นนิ้วเรียวยาวก็จับลงไปบนผ้าที่ชุ่มไปด้วยน้ำอุ่นที่มีไอร้อนระเหยขึ้นมา พร้อมกับเอาขึ้นมาเช็ดหน้าอย่างเร็ว จากนั้นก็คืนให้กับพ่อบ้านชรา "เธอล่ะ?"

"…" พ่อบ้านชราเมื่อได้ยินคำถามสั้นๆด้วยเสียงต่ำนั้นก็ชะงักไป แต่เขาก็ปิดบังไว้ได้ดี วินาทีต่อมา เขาก็ทำตามหน้าที่ไม่ขาดตกบกพร่องต่อหน้าที่พ่อบ้านเลยสักนิด "คุณเจี่ยนอยู่ในห้องนอน"

"ทั้งวันไม่ลงมาเลยเหรอ?"

"ครับ"

เขาหรี่ตา "ข้าวกลางวันก็ไม่กินเหรอ?"

พ่อบ้านก้มหน้าอย่างรู้สึกละอาย คิ้วหย่อนคล้อยนั้นตกลง "คุณเจี่ยนไม่ยอมลงมา เลยได้เพียงแต่เอาอาหารกลางวันไปส่งไว้ให้ที่หน้าประตู"

เขาพยักหน้า ใบหน้าหล่อเหลานั้นตึงเครียด "สิบนาทีหลังจากนี้ เอาข้าวเย็นไปส่งไว้ให้หน้าประตูห้องนอนด้วย"

เมื่อสั่งคำสั่งไปอย่างนิ่งๆ เขาก็เดินขึ้นบันไดไป ดูราวกับรีบร้อน

พอเดินขึ้นไปถึงหน้าประตูห้องนอน เขาก็ปรายตามองไปที่อาหารบนรถเข็นที่อยู่หน้าประตูห้องนอน…คิ้วนั้นขมวดเล็กน้อย …ไม่กินอีกแล้วเหรอ?

เขายกมือขึ้นเคาะประตู หลังประตูเงียบสนิท แต่เขาชินแล้ว ในอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ก็เป็นแบบนี้ตลอดไม่ใช่เหรอ?

มือเอื้อมไปจับที่ลูกบิด พร้อมกดลด แล้วดันเปิดเข้าไป

เมื่อประตูเปิด เขาก็กวาดตาไปเห็นทันที หัวใจของเขาเต้นเร็วแทบจะทะลุออกมาจากอก

สีหน้าเปลี่ยนไปทันที "เจี่ยนถง! ลงมา!"

เขาร้องเสียงดัง!

เธอนั่งอยู่บนขอบหน้าต่าง ขาสองข้างนั่งห้อยออกไปข้างนอกนั่น แกว่งไปแกว่งมา

พอได้ยินเสียงเขามาจากด้านหลัง หัวก็หันหลังกลับมามองทางด้านหลัง

"เสี่ยวถง อย่าดื้อ…ลงมาเถอะ" ใบหน้าหล่อเหลาของเสิ่นซิวจิ่นเวลานี้ ดูร้อนใจมาก

เธอหันหน้ากลับมามองเพียงแวบเดียว ไม่รู้ร้อนรู้หนาวแล้วหันหน้ากลับไปดังเดิม พร้อมหันหลังให้กับเขา

ขานั้น ยังคงห้อยออกไปนอกหน้าต่างดังเดิม แกว่งไปแกว่งมา ราวกับว่าคำพูดเขานั้น ไม่ผ่านเข้าหูเลยสักนิด

เขาค่อยๆก้าวเดินอย่างระมัดระวังเข้าไปใกล้ๆ

แต่เธอที่นั่งอยู่บนขอบหน้าต่างนั้น ก็ไม่ได้ขยับอะไรแต่อย่างใด เห็นเช่นนั้นเสิ่นซิวจิ่นเลยสบายใจขึ้นมาหน่อย ว่าเธอคนนี้ไม่ได้จะคิดสั้นแบบนั้น

สองมือโอบรัดแน่นไว้ที่เอวเธอ พร้อมกับอุ้มเธอมา โยนลงไปบนเตียง "เธอรู้ไหม ที่เธอทำเมื่อกี้มันอันตรายแค่ไหน!"

เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นมองนิ่งๆ กลีบปากนั้นค่อยๆขยับพูดออกมาเพียงสามคำ "สนุกดีนะ"

"สนุกเหรอ? ตกลงเธอรู้หรือไม่รู้กันแน่! ความอันตรายเมื่อกี้? ถ้าไม่ระวังนี่สามารถพลัดตกลงไปได้เลยนะ!…แต่เธอกลับบอกว่าสนุกเหรอ? เรื่องนี้มันน่าล้อเล่นมากเลยหรือไง? เรื่องแบบนี้มันน่าเอามาเล่นสนุกไหม!"

"สนุก" เธอยังคงพูดเช่นเดิม

"เธอ!" เขาโมโหจนจะตายอยู่แล้ว พร้อมกับลากเธอมาอย่างเร็วแล้วกดเธอไว้กับขาเขาที่ยกขึ้นมา ถลกกางเกงเธอออก พร้อมจัดการฟาดทันที!

ปังปังปังปังปังปัง!

เสียงฝ่ามือฟาดติดๆกัน ความกังวลในใจนั้นเริ่มคลายลง สีหน้าที่ตึงเครียดเริ่มผ่อนคลายลงไปแล้ว

เจี่ยนถงที่หน้าคว่ำลงกับต้นขาของเขานั้น รู้สึกเย็นๆก้น เธอตอบสนองอะไรไม่ทัน หูนั้นได้ยินเพียงเสียงฝ่ามือดังกังวาน ตอนนั้นเองที่เธอได้รู้และเข้าใจ ว่าเมื่อกี้นั้นเกิดอะไรขึ้น!

"หยุด! คุณหยุดเดี๋ยวนี้!"

เมื่อมองร่างเธอที่ดิ้นขัดขืน ยังคงมีความรู้สึกที่ว่า "คุณมาตีฉันด้วยเรื่องอะไร"อยู่เล็กน้อย เสิ่นซิวจิ่นที่เดิมทีความโกรธลดลงแล้ว กลับโดนทำให้ความโกรธลุกโหมขึ้นมาอีก คิ้วนั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา

"ยังกล้าจะทำอีกเหรอ?"

ทันใดนั้น เจี่ยนถงก็มีความรู้สึกประหลาดพิลึกขึ้นมา โดนตีก้นเพราะพูดไม่เชื่อฟัง นั่นไม่ใช่เด็กน้อยหรอกเหรอ?

พ่อแม่ที่ตีก้นลูก จากนั้นก็จับเด็กที่กำลังร้องไห้จ้านั้นมาถาม ยังกล้าจะทำอีกเหรอ?

"ฉันไม่ใช่เด็กน้อยแล้วนะ! คุณมีเหตุผลอะไรมาตีฉัน!"

เธอถลึงตาโตด้วยความโกรธ พร้อมกับถาม!

"ยังไง ฉันตีผิดเหรอ?" คิ้วดกดำนั้น ยกขึ้นข้างหนึ่งเบาๆ และตัวเขาก็นิ่งราวกับไม่รู้ร้อนรู้หนาว เหมือนกับว่าที่ทำนั้นมีเหตุผลเป็นที่สุด

ภายใต้การแสดงออกว่านิ่งๆอย่างมีเหตุผลนั้น เวลานี้หัวใจเขายังคงเต้นเร็วแรงอยู่…เมื่อกี้ ไม่ช็อกตายก็นับว่าเขาโชคดี

เจี่ยนถงยังคงถลึงตาโกรธอยู่อย่างนั้น "ฉันทำอะไรผิด? ฉันไม่ใช่เด็กน้อยแล้วนะ!"

กำลังพูดอยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตูห้องนอนดังขึ้นสองครั้ง "คุณชาย เข้าไปได้ไหมครับ?"

ทำให้ทั้งสองคนต่างก็ตกใจ เขารีบคว้าผ้าห่มข้างๆ มาปิดร่างของเธอที่อยู่บนขาเขา พร้อมพูดนิ่งๆ "อือ เข้ามาสิ"

พ่อบ้านชราเข็นรถอาหารเข้ามาในห้องนอน

เพราะเสิ่นซิวจิ่นที่รีบเข้ามาเมื่อกี้ เลยไม่ทันได้ปิดประตูใหญ่ของห้องนอน เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องระหว่างพวกเขาเมื่อครู่นี้ พ่อบ้านชราที่อยู่ข้างหลังประตูได้ยินหมดทุกอย่าง

พ่อบ้านชราเข็นรถอาหารเข้ามาถึงหน้าเตียงโดยสายตานิ่งไม่ว่อกแว่ก "คุณชาย ยังต้องการสั่งอะไรอีกไหม?" เขาถามอย่างนอบน้อม

เสิ่นซิวจิ่นโบกมือ "คุณลงไปพักผ่อนเถอะ"

พ่อบ้านชราก้มตัวลงอย่างนอบน้อม พร้อมหมุนตัวเดินจากไป ขณะที่หมุนตัวกลับ สีหน้าของพ่อบ้านชราก็เคร่งขรึมดูดุร้ายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ กำปั้นที่ห้อยอยู่ข้างลำตัว ก็กำแน่นขึ้นมา…เวยเหมิงของเขา จริงๆแล้วเป็นอะไรกันแน่!

ตอนที่เวยเหมิงยังมีชีวิตอยู่ คุณชายไม่เคยปฏิบัติต่อผู้หญิงคนนี้เหมือนเวยเหมิงเลย เขาเป็นคนที่อยู่ในขนบธรรมเนียมและสุภาพ ไม่เคยใกล้ชิดสนิทสนมกันขนาดมาก่อน?

เวยเหมิงของเขา…จะไร้ชื่อไร้ตัวตนได้ขนาดนี้ไม่ได้ ท้ายสุดแล้วก็จะค่อยๆจางหายไปจากใจของคุณชาย สุดท้ายแล้วก็จะไม่มีคนคนนี้อีกต่อไป!

ขอเพียงแค่…ขอเพียงแค่ผู้หญิงคนนี้ตายไป!

พ่อบ้านเซี่ยหยิบมือถือขึ้นมา เป็นอีกครั้งที่เขาโทรหาเบอร์นั้นที่ไม่ค่อยได้ติดต่อกันบ่อยเท่าไหร่ นอกจากเบอร์ของเสิ่นซิวจิ่นแล้ว ก็คงจะเป็นเบอร์นี้แหละ ที่เขาจำได้แม่นที่สุด

"ฉันอยากให้เธอตาย!"

ปลายสายนั้น เมื่อรับสาย ก็ชะงักไปเล็กน้อย ทันทีหลังจากนั้นก็ยิ้มออกมาเล็กๆ เมื่อฟังวัตถุประสงค์ของเขา ก็ตอบปลายสายไป "ทำไมฉันต้องช่วยแก?"

"ลู่หมิงชู!" พ่อบ้านชราพูดด้วยเสียงต่ำ พร้อมตะโกนอย่างลับๆ "แกก็คงไม่อยากให้คุณเสิ่นรู้เรื่องนั้นหรอกใช่ไหม?"

นัยน์ตาสลัวของพ่อบ้านชรา นั้นเห็นชัดว่าอายุมากแล้ว แต่กลับขัดกันอย่างสุดขั้วกับความโหดเหี้ยมดุร้ายที่แสดงออกทางนัยน์ตานั้นอย่างที่ชายชราในวัยนี้ไม่มี!

ปลายสายนั้นเงียบไปสักพัก คิ้วที่ขมวดแน่นอยู่ของพ่อบ้านชรา ก็คลายลง…กลัว ก็ดีแล้ว

"ตาแก่เซี่ย ไม่มีใครเคยบอกแกหรือไง" เสียงเหน็บแนมของลู่หมิงชูก็ทะลุออกมาจากปลายสายนั้น "แกโคตรไร้ยางอาย?"

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็กัดฟันแน่น

พร้อมตอบกลับอย่างแข็งกร้าว "ถ้าหญิงสารเลวคนนี้ตายไป มันก็เป็นผลดีกับทั้งแกและฉัน ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น คนตายคนหนึ่ง ตายแล้วเรื่องทุกอย่างก็จะจบลง"

บอกได้เป็นนัยๆว่า…คนตายก็เหมือนไฟที่มอดดับไป คนตายแล้ว ใครจะมาพูดแทนคนตายได้?

"คุณลู่ ฆ่าหญิงสารเลวคนนั้นให้ตาย แกก็จะได้ผลประโยชน์เช่นกัน" เสียงแก่นั้นน่าพิศวง ก่อนหน้านี้ยังใช้อำนาจคุกคามอีกฝั่งอยู่เลย ตอนนี้กลับเรียกชื่อของอีกฝั่งอย่างสุภาพ "คุณลู่"

ฟังดีๆ ก็มีน้ำเสียงหัวเราะเยาะขึ้นมาเบาๆ "ติดตามคนในบ้านตระกูลเสิ่น นี่แกเรียนรู้ความโหดเหี้ยมร้ายกาจของคนในบ้านตระกูลเสิ่นมากแค่ไหนกัน ตาแก่เซี่ย แกอย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าในใจแกคิดอะไรอยู่ ฆ่าเธอตายแล้วใจของแกจะสงบสุขงั้นเหรอ?"

ที่ปลายสายนั้น ปลายนิ้วมือของคุณลู่นั้นคีบซิการ์มวนหนาขนาดเท่านิ้วโป้ง พร้อมกับค่อยๆสูบอย่างไม่รีบร้อน เขม่าที่ปลายซิการ์ค่อยๆเผาไหม้ไป เพียงใช้นิ้วดีด เถ้าที่ปลายทั้งหมดนั้นก็ร่วงลงไปบนพรมขนสัตว์สีขาวหิมะที่สั่งทำขึ้นพิเศษจากต่างประเทศ

"ตาแก่เซี่ย ฉันจะบอกแกให้ชัดๆ แกอยากให้ใครตาย แกก็คิดหาวิธีเอง" สายตาของคุณลู่นั้นเลือดเย็น ริมฝีปากบางนั้นคล้ายกับเสิ่นซิวจิ่นเป็นอย่างมาก มุมปากนั้นเบ้ลงอย่างหยาบคาย "และอย่าเอานามสกุลเสิ่นมาควบคุมฉัน! ฉันคุณลู่คนนี้จะทำเรื่องเลวทรามยังไงก็คงไม่เท่าแก! เซี่ยเวยเหมิงตายยังไง แกไม่รู้จริงๆงั้นเหรอ?"

ทางสายฝั่งนี้ มือที่ถือโทรศัพท์อยู่ของพ่อบ้านเซี่ยก็สั่นอย่างแรง อีกนิดเดียวก็แทบจะถือไม่ไหวแทบจะหล่นลงพื้น

เขาจับโทรศัพท์อย่างทื่อๆ สายตาชรานั้นคลุมเครือ "ฉันรู้อยู่แล้ว! ว่าคือผู้หญิงเลวทรามคนนั้นที่ฆ่าลูกสาวฉัน ลูกสาวคนเดียวของฉัน! ความอับอายและระทมทุกข์มากมายที่ลูกสาวฉันได้รับเมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ ลูกสาวฉันตายแล้ว! แต่ผู้หญิงเลวทรามคนนั้นเพียงแค่ติดคุกสามปีเท่านั้น!"

"'เพียงแค่'ติดคุกสามปี'งั้นเหรอ?" คุณลู่พูดด้วยเสียงประหลาดใจ พร้อมพูดซ้ำอยู่อย่างนั้นเบาๆ

เส้นเลือดบนหน้าผากของพ่อบ้านเซี่ยนั้นปูดโปน "ลูกสาวฉันตายแล้ว เธอติดคุกแค่สามปีก็ออกมาได้แล้ว! พระเจ้าช่างไม่ยุติธรรมเลย! ดูถูกเธอเกินไปแล้ว!"

"ดูถูกเธอเกินไปแล้วเหรอ?" คุณลู่พูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจยิ่งกว่าเมื่อครู่ พร้อมถามเบาๆ

หากเขาไม่ได้เห็นฉากนั้นด้วยสายตาของตัวเอง หากเขาไม่ได้รู้ว่าเธอคนนั้นอยู่ที่นั่นน่าเวทนาน่าสงสารแค่ไหน ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นสามปีราวกับนกที่หวาดกลัว หากว่าไม่ใช่วันที่เธอออกจากคุกวันนั้น ด้วยความอยากรู้ เขาบอกคนขับรถให้ขับไปที่นั่น เห็นเธอคนนั้นกับตาตัวเอง ที่เดินออกมาจากประตูที่เปิดออกนั้น สภาพที่ดูไม่ใช่คน ถ้าหากว่าไม่บังเอิญที่เขาอยู่ตงหวงในคืนนั้นพอดี ได้เห็นกับตาว่าเธอคนนั้นเปลี่ยนไปอย่างมาก ความหยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างเมื่อสามปีก่อนหายไปแล้ว เธอดูนอบน้อมและดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ให้ผ่านไปในแต่ละวัน!

บางที เขาอาจจะเชื่อคำพูดของไอ้แก่สกุลเซี่ยนี่ไปแล้วก็ได้ บางทีอาจจะหลงไปตามอย่างที่ไอ้แก่นี่คิดจริงๆก็ได้ อาจจะเห็นใจและช่วยมันกำจัดผู้หญิงคนนั้น

สามปีก่อนหน้านี้ มีเพียงแค่เซี่ยเวยเหมิงที่คิดวางแผนร้ายต่อเธอคนนั้นเหรอ?

ผิดแล้ว!

สามปีก่อนหน้านี้ ทุกคนนั้นเป็นคนลงมือ! ทุกคนล้วนแล้วแต่คิดวางแผนร้านต่อเธอคนนั้น!

ทำไมเสิ่นซิวจิ่นไม่ตรวจสอบ? ทำไมสืบไม่เจอ?

ตัวเสิ่นซิวจิ่นเองที่ลงมือ…เสิ่นซิวจิ่นไม่เคยคิดจะตรวจสอบเลย เพราะเขาไม่ได้สนความเป็นความตายของเจี่ยนถงเลย

อีกอย่างหลายฝ่ายก็แข่งขันกันเอง และค่อนข้างจะประมาทกัน อาจทำให้แพ้กันทั้งหมด ใจของเสิ่นซิวจิ่นนั้นมุ่งคิดแต่เรื่องการแข่งขันนั้น ไม่สามารถวางมือจากงานเพื่อไปตรวจสอบเรื่องนี้ได้ รอจนกระทั่งถึงเวลาที่เขาชนะเรื่องทั้งหมดนี้ เขาก็คงไม่คิดด้วยซ้ำว่ามีเจี่ยนถงอยู่ในคุก ยิ่งไปกว่านั้น หลักฐานที่แสดงอยู่ที่นั่นว่าเจี่ยนถงฆ่าเซี่ยเวยเหมิง ขาดเพียงแค่"พยานหลักฐานที่เห็น" ในเมื่อตอนนั้นเซี่ยเวยเหมิงอยู่ในความดูแลของเสิ่นซิวจิ่น และคนที่อยู่ในความดูแลของเสิ่นซิวจิ่นตายอย่างเสียเกียรติเช่นนั้น ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีสักคนที่ต้องรับผลที่ตามมานั้น ดังนั้น เจี่ยนถงที่ไม่ได้รับความแยแสจากเสิ่นซิวจิ่น จึงกลายเป็นคนที่ซวยที่สุดจากเรื่องนี้!

แต่ ร่างกายที่ทรมานและการตายของเซี่ยเวยเหมิง ในนี้มีลายมือของหลายคนเกินไป…รวมถึงเขาลู่หมิงชูคนนี้

แต่เรื่องที่ลู่หมิงชูสนใจ คือไม่ว่าจะดีก็เจี่ยนถง หรือแย่ก็เจี่ยนถง…เขาประเมินความชั่วร้ายไร้ความปรานีของเสิ่นซิวจิ่นต่ำเกินไป และประเมินค่าความโหดเหี้ยมอำมหิตของตาแก่เซี่ยต่ำเกินไปเช่นกัน!

ผู้หญิงคนนั้น…ลู่หมิงชูส่ายหัว…เขาไม่ได้ไร้ยางอายขนาดนั้น เธอคนนั้นโดนพวกเขาขู่เข็ญจนถึงตอนนี้ทำได้เพียงแค่ใช้ชีวิตแบบร้องรอไปวันๆ…ทำให้เขายิ่งเวทนาถ้าต้องลงมือกับเธอ…เขาลู่หมิงชูคนนี้ยังมียางอายอยู่!

ทางฝั่งปลายสาย ตาแก่เซี่ยยังคงด่าสาปแช่งเธอคนนั้นอยู่ ฟังตาแก่เซี่ยตะโกนด่าเธอว่าเลวทราม ลู่หมิงชูที่มีนิสัยไม่ชอบให้ใครมาบังคับก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ยกมือขึ้นดึงทึ้งผมสีเกาลัดของตัวเอง "น่ารำคาญ!" เขาตะโกนลั่น "ตาแก่เซี่ย ฉันยังยืนยันคำเดิม แกอยากฆ่าใคร ก็ลงมือเอง ฉันไม่ขัดขวางแต่ก็ไม่ช่วยด้วยเหมือนกัน"

ไอ้สารเลวตระกูลเซี่ยพูดถูก…ถ้าเธอคนนั้นตาย ก็จะส่งผลดีต่อเขาลู่หมิงชูคนนี้เช่นกัน ถ้าเป็นตอนสามปีที่แล้วคงไม่เป็นที่สนใจ

เมื่อคนหนึ่งจากอีกคนหนึ่งไป เมื่อเวลาผ่านไปคนคนนั้นก็จะถูกลืม โลกนี้ช่างเยือกเย็น คนเป็นยังตามหาความจริงให้ตัวเองได้ แต่คนตาย จะมีคนตามหาความจริงให้พวกเขาไหม?

"ลู่หมิงชู! เรื่องนี้แกต้องช่วย ถ้าไม่เช่นนั้นฉันจะบอกคุณเสิ่นเรื่องนั้นที่แกทำไว้เมื่อสามปีก่อน!"

"สกุลเซี่ย ที่จริงแกรู้ว่าเจี่ยนถงไม่ใช่คนผิด" ลู่หมิงชูหัวเราะเยาะเบาๆ แต่พ่อบ้านเซี่ยหลังจากได้ยินประโยคนี้ของลู่หมิงชู ก็ปิดปากทักที…ประโยคที่เป็นภัยต่อลู่หมิงชูที่พ่อบ้านเซี่ยพูดออกมา "ฉันจะบอกคุณเสิ่นเรื่องนั้นที่แกทำไว้เมื่อสามปีก่อน"นั้น ถือเป็นการยอมรับโดยอ้อมแล้ว ว่าจริงๆแล้วเขารู้อยู่แก่ใจ ว่าเจี่ยนถงไม่ใช่คนผิด

พ่อบ้านเซี่ยกัดฟันโกรธ พร้อมพูดเสียงแข็ง "ฉันไม่รู้ว่าแกกำลังพูดเรื่องอะไร! ฉันรู้แค่ว่า ที่เวยเหมิงไปบาร์'เย่สื้อ'ก็เพราะนังสารเลวนั่น! และคุณลู่แกลงมือลับหลังคุณเสิ่น ใช้วิธีการสกปรกเพื่อสกัดลูกค้าของคุณเสิ่น และฉวยโอกาสนั้นแย่งชิงลูกค้าคนสำคัญของคุณเสิ่นไป ถ้าคุณเสิ่นรู้เรื่องพวกนี้ เกรงว่าจะใช้วิธีการที่รุนแรงจัดการกับแกและบริษัทของแก ถึงเวลานั้น แกก็อันตรายแล้วล่ะ"

ลู่หมิงชูยิ้มเย็นที่มุมปาก จนถึงเวลานี้ พวกบ้านเก่าก็ยังคงใช้อำนาจคุกคามเขา ให้เขาช่วยฆ่าเธอคนนั้น…ขอโทษ ให้ไปรังควานคนที่เคราะห์ร้ายนั้นเขาทำไม่ได้

"โอเค แกก็ไปบอกซะสิ" ลู่หมิงชูเริ่มยิ้มเย็นๆ "อย่าหาว่าฉันไม่เตือน เรื่องพวกนี้แกคนเดียวที่เป็นพ่อบ้านที่อยู่ข้างกายเสิ่นซิวจิ่นรู้ทุกอย่าง แกคิดว่าคนสกุลเสิ่นไร้สมองงั้นเหรอ? สำหรับแกเรื่องนี้รู้เพียงแค่ผิวเผินหรือเปล่า หรือยังมีเรื่องอื่นที่ไม่รู้อีกหรือเปล่า ตาแก่เซี่ย แกรู้อยู่แก่ใจชัดเจน ทั้งยังเรื่องการตายของเซี่ยเวยเหมิง ตัวแกเองก็รู้ดีที่สุด ฉันพูดมามากพอแล้ว แกสามารถปรับตัวเองได้ ถ้าฉันเป็นแก ฉันจะไม่โทรมาหาฉันอีก นี่แกเลือกจะรังแกคนที่อ่อนแอกว่าเหรอ?"

ลู่หมิงชูใช้น้ำเสียงเย้ยตำหนิ "แกเกลียดเจี่ยนถง ก็ลงมือเอง อย่ามายุ่งกันฉันอีก!"

พูดจบ ก็ไม่ไว้หน้าพ่อบ้านเซี่ย ไม่ให้ทันได้พูดตอบก็วางสายไป

พ่อบ้านเซี่ยที่ถือโทรศัพท์อยู่ในมือ ร่างนั้นกำลังสั่นเทา…ลู่หมิงชูรู้อะไรมากันแน่? ประโยคทิ้งท้ายของลู่หมิงชู มันหมายความว่ายังไงกันแน่นะ?

ไม่]

เวยเหมิงตายแล้ว! มันเป็นความผิดของนังสารเลวนั่น!

นั่งสารเลวคนนั้น ต้องถูกฝังไปพร้อมกับเวยเหมิง!

"Boss ผมรู้สึกผิดที่คุณไว้วางใจ" ในห้องหนังสือที่มืดสลัว เสิ่นเอ้อรู้สึกละอายใจเป็นอย่างมาก

เสิ่นซิวจิ่นสีหน้าไม่ได้แสดงอารมณ์ใดออกมา "สืบไม่เจอเหรอ?"

เสิ่นเอ้อยิ่งก้มหัวต่ำลงไปอีก เขาตำหนิตัวเองในใจ "Boss เรื่องที่คุณสั่งกำชับ ผมทำมันไม่ได้ ทั้งหมดเพราะผมไม่มีความสามารถมากพอ ถ้าเปลี่ยนไปให้เสิ่นยีทำ คงจะสืบเจอตั้งนานแล้ว"

Bossสั่งเขาให้ไปสืบเรื่องเมื่อสามปีก่อนอย่างลับๆ ดูจากเวลาสามปีแล้ว เรื่องนี้จริงๆไม่ใช่จะสืบได้ง่ายๆ แต่ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว เขายังสืบอะไรที่เป็นประโยชน์ไม่ได้เลยสักนิด

สืบไปสืบมา หลักฐานทั้งหมดที่สืบมานั้นไม่เป็นประโยชน์ต่อคุณเจี่ยนเลย

แต่…เขากับเสิ่นยี่ไม่เหมือนกัน ใจของเสิ่นยีนั้นคิดแล้วว่าคุณเจี่ยนมีความผิด แต่เขาเสิ่นเอ้อนั้นไม่เชื่อว่าคุณเจี่ยนจะเป็นคนแบบนั้นตั้งแต่เริ่มแรก

ดังนั้นเมื่อรู้ว่าBossต้องการจะสืบเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง

เขาและเสิ่นอีเหมือนกัน และยังมีคนอื่นๆอีกไม่กี่คน ทั้งหมดคือคนที่Bossเลือกมาตั้งแต่ยังเด็ก ติดตามเคียงข้างBossมาตลอด เป็นธรรมดาและนับได้ว่าเป็นคนที่โตมาพร้อมกับคุณเจี่ยนตั้งแต่เด็ก

ตอนที่Bossสั่งให้เขาไปสืบเรื่องเมื่อสามปีก่อน เขานั้นเต็มไปด้วยความดีใจ แต่ว่าสืบมานานขนาดนี้แล้ว แต่สิ่งที่สืบค้นมาได้ กลับยิ่งยืนยันให้คุณเจี่ยนตกเป็นที่ต้องสงสัย

คำให้การของคุณเจี่ยนที่สืบมา เวลานี้ถูกวางไว้บนโต๊ะหนังสือของBoss ตอนที่เสิ่นเอ้อจัดทำเอกสารคำให้การชุดนี้ เขาก็ลังเลว่าจะนำเอกสารนี้ส่งให้Bossดีหรือไม่

เสิ่นซิวจิ่นหยิบรายงานขึ้นมา หลังจากเปิดดู นัยน์ตานั้นกวาดดูอย่างรวดเร็ว ภายในห้องหนังสือนั้นเงียบสงบ มีเพียงแค่เสียงเปิดแผ่นเอกสารเท่านั้นที่ดังขึ้น

"ข้อมูลทุกอย่างที่สืบค้นมาได้ อยู่ในนี้หมดแล้วเหรอ?" เขาวางเอกสารลง ใบหน้าอันหล่อเหลาด้านหนึ่งนั้นซ่อนอยู่ในเงามืด ส่วนอีกด้านนั้นโดนแสงไฟจากโคมไฟที่เปิดอยู่สาดส่องอยากที่จะคาดเดา

เสิ่นเอ้อพยักหน้าอย่างกดดัน "ครับ" เขาพูดพร้อมพยักหน้าอีกทันที พร้อมรีบพูด "แต่ว่าBoss ผมก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่าคุณเจี่ยนเป็นคนแบบนั้น" แต่ว่า เอกสารชุดนี้ เขาทำเองกับมือ การสืบค้นทั้งหมดก็เป็นเขาที่ดำเนินการทั้งหมดเพราะงั้นเลยทำงานได้ช้า แม้แต่เสิ่นยีที่สนิทกับเขาขนาดนี้ก็ไม่รู้ว่าเขาแอบสืบเรื่องนี้อย่างลับๆ

เขาเต็มใจที่จะเชื่อคุณเจี่ยน แต่ข้อมูลในเอกสารนี้กำลังหัวเราะเยาะ'ความเชื่อ'ของเขา!

ตึกตึก ตึกตึก…

นิ้วเรียวยาวของเสิ่นซิวจิ่นเคาะเบาๆอยู่บนโต๊ะอยู่อย่างนั้น หรี่ตาจ้องมองไปยังเอกสารที่เปิดแผ่ออกอยู่อย่างนั้นเงียบๆ มองอยู่นาน สายตานั้นจมอยู่กับความคิด

"Boss ผมมันไม่มีประโยชน์ สืบหามาได้แค่ข้อมูลพวกนี้" ข้อมูล"หลักฐาน"ในนี้ใกล้เคียงกัน ถูกทำขึ้นมาแนบเนียน ไม่ว่าจะเปลี่ยนใครมาดูเอกสารหลักฐานนี้อีกกี่ครั้ง ก็ต้องคิดว่าเจี่ยนถงมีความผิด

"ถ้าเป็นเสิ่นยี ถ้าหากว่าเป็นเขาล่ะก็ บางทีอาจจะสืบหาได้มากกว่านี้…"

เสิ่นเอ้อพูดอย่างละอายใจเป็นที่สุด โทษตัวเองที่ความสามารถเทียบกับเสิ่นยีไม่ได้ พูดยังไม่ทันจบก็ถูกชายที่อยู่หลังโต๊ะหนังสือ พูดตัดบทขึ้นมา

"เปลี่ยนให้เสื่นยีทำ ก็สืบหาไม่เจอเหมือนกัน"

นัยน์ตาดำสนิทของเสิ่นซิวจิ่น ปรากฏแววตาเคร่งขรึมออกมาแวบหนึ่ง "ฉันต้องการสืบเรื่องเมื่อสามปีก่อนสืบหาหลักฐานที่เป็นประโยชน์กับเธอ เหอะเหอะ…สุดท้ายแล้วก็สืบหามาได้แต่ข้อมูลหลักฐานที่ยิ่งมัดตัวเธอ ยิ่งยืนยันข้อกล่าวหาเธอ"

"Boss คุณเจี่ยนไม่มีทาง…"

"ใช่ เธอไม่มีทางทำ" เสิ่นซิวจิ่นลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที นิ้วมือสอดเข้าที่กระเป๋ากางเกง เดินไปที่หน้าต่างพร้อมมองออกไปนอกหน้าต่าง หันหลังให้เสิ่นเอ้อ "อีกนิดเดียว ฉันก็จะเชื่อ'หลักฐาน'พวกนี้ ทำไมทำได้แนบเนียนขนาดนี้ วนไปวนมาให้คนผลัดตั้งคำถาม แต่เมื่อเห็นแล้วคำถามก็หมดไปทันที นี่ ยิ่งทำให้มีปัญหาหนักเข้าไปใหญ่"

"Boss…" ทันใดนั้นเสิ่นเอ้อก็เงยหน้าขึ้นมา ลืมตากว้างและสั่นด้วยความหวาดกลัว!

เขาติดตามเสิ่นซิวจิ่นมาตั้งนานขนาดนี้ เมื่อเสิ่นซิวจิ่นพูดประโยคนี้จบ เสิ่นเอ้อก็แทบจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง!

"ไม่มีทาง!"

ชายที่ยืนอยู่หน้าหน้าต่างหัวเราะเยาะออกมาเบาๆ…หึหึ ขนาดเสิ่นเอ้อที่ติดตามข้างกายเขามายังเดาออกได้บ้างแล้ว ริมฝีปากบางของเขานั้นยกขึ้น แต่รอยยิ้มก็เยือกเย็นไม่สู้สายตา "คุณปู่นะ คุณปู่"

"เป็นไปไม่ได้ เจ้าตระกูลใหญ่ไม่มีความจำเป็นที่จะ…"

"ฉันประมาทเอง" เขามองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมพูดอย่างนิ่งๆ เสิ่นเอ้อสั่นไปทั้งตัว ไหล่หนักอึ้ง…Bossแน่ใจแล้วว่าเรื่องนี้เจ้าตระกูลใหญ่เป็นคนทำ

"Boss ทบทวนดีๆ เรื่องนี้เบื้องลึกต้องมีอะไรที่พวกเรายังไม่รู้อีกแน่ๆ ได้โปรดให้เวลาผมอีกเดือนหนึ่ง ผมต้องคิดหาหนทางหาเบาะแสออกมาได้แน่!" เสิ่นเอ้อคุกเข่าลงทันทีพร้อมพูดอย่างเด็ดเดี่ยว ตระกูลเสิ่นมีบุญคุณต่อเขา ถ้าเป็นเพราะรายงานฉบับนี้ของเขา ไม่สามารถลบล้างความผิดให้คุณเจี่ยนได้ แถมยังทำให้คนในตระกูลเสิ่นขัดแย้งกันภายในอีก เขาเสิ่นเอ้อรู้สึกเจ็บปวด!

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นซิวจิ่นก็หันหน้ากลับมานิ่งๆ ปรายตากวาดมองทางเสิ่นเอ้อที่คุกเข่าคลาน มองทะลุไปความคิดของเสิ่นเอ้อ พร้อมยิ้มเบาๆ "ฉันให้นายไปแอบสืบเรื่องเมื่อสามปีก่อน แต่ดูจากตอนนี้แล้ว เสิ่นเอ้อ นายยังคิดอยู่เหรอว่าเรื่องนี้ไม่มีใครรู้?"

นิ้วมือนั้นเคาะไปที่กองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะ สายตาเยือกเย็นนั้นหรี่ลง "เกรงว่าตั้งแต่ตอนที่นายเริ่มปฏิบัติการ ก็ตกอยู่ในสายตาของคนอื่นเรียบร้อยแล้ว ลองมองดูที่'หลักฐาน'พวกนี้ที่ทำมาได้อย่างแนบเนียนนี้" เพียงแต่ ทำไมคุณปู่ถึงตัดสินใจทำแบบนี้เมื่อสามปีก่อน?

นี่เป็นเรื่องที่เสิ่นซิวจิ่นยังไม่อยากเข้าใจในตอนนี้

ถ้าจะพูด จริงๆเมื่อสามปีที่แล้วเกิดเรื่องบางอย่างที่ทำให้เขากังวลใจเป็นอย่างมาก การแข่งขันกันเอง แต่นี่ก็เป็นเรื่องของตระกูลเสิ่นเอง ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม คุณปู่ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลากเด็กสาวที่ตอนนั้นเพิ่งจะอายุยี่สิบมาเป็นเป้ารับกระสุนเลย

"นายออกไปเถอะ" เสิ่นซิวจิ่นยกมือขึ้นโบกเป็นสัญญาณให้เสิ่นเอ้อออกไป

เสิ่นเอ้ออยากจะพูดมากกว่านี้ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็ดูเหมือนว่าถูกนัยน์ตาดำขลับที่จ้องมองอยู่นั้นมองทะลุความคิดเขาแล้ว "เสิ่นเอ้อ ฉันรู้ว่านายคิดอะไรอยู่ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่แผนการเล็กๆง่ายๆระหว่างผู้หญิงสองคน"

"แต่คุณเจี่ยน…"

"ฉันจะแต่งงานกับเธอ"

เสิ่นเอ้อนิ่งไป แล้วตาสองข้างก็เปิดกว้างทันทีพร้อมกะพริบตาปริบ…Bossบอกว่าจะทำอะไรนะ?

"ถ้าเกิดว่าเป็นคุณท่านจริงๆ…งั้นคุณท่านจะให้คุณเจี่ยนเข้าตระกูลเสิ่นเหรอ?"

"ฉันจะแต่งงานกับเธอ จะดูแลปกป้องเธอไปตลอดชีวิต" ตอนที่เสิ่นซิวจิ่นพูดประโยคนี้ ไม่ได้กัดฟันพูด แต่ก็ไม่ได้มีแววตาของความอ่อนโยนหรือความรัก แต่เสิ่นเอ้อเชื่อว่าชายตรงหน้าเขานั้น ไม่ใช่คนประเภทที่จะพูดอะไรออกมาเฉยๆ

เขาก็คิดถึงคนที่เมื่อก่อนวิ่งตามBossไปทุกที่ เธอคนนั้นคนที่ยืนอยู่ข้างหลังBossมาเสมอ ไม่รู้ว่าควรยินดีกับคุณเจี่ยนไหม สนใจแทนว่าเธอจะมีชีวิตที่ดี หรือเจ็บปวดใจแทนเธอดี คำมั่นสัญญาเมื่อครู่นี้อาจจะกลายเป็นลมพายุที่คอยพัดทำลายโลกของเธออย่างช้าๆ

เมื่อเสิ่นเอ้อออกมาจากห้องหนังสือ เขาก็ยังไม่สามารถสงบอารมณ์ได้

แค่หวังว่าหญิงที่น่าสงสารคนนี้ จะสิ้นสุดความลำบากตั้งแต่นี้ไป และจากนี้ไปจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขให้เหมือนเช่นกับอยู่ในโลกของเทพนิยาย

เสิ่นซิวจิ่นเวลานี้ไม่ได้รีบร้อน เกี่ยวกับเรื่องที่คุณปู่ลงมือทำเมื่อสามปีก่อน ในใจเขาแทบจะมั่นใจแล้ว

แต่เรื่องคุณปู่ทำไมต้องเป็นกับเจี่ยนถงเขาหยุดคิดไม่ได้ เสิ่นซิวจิ่นคิดหาเหตุผลต่างๆมากมาย คิดยังไงก็หาปมของเรื่องไม่เจอ

หากจะบอกว่าเจี่ยนถงมีอะไรที่เหนือกว่า ใช่ มี ความขยันและความอดทนของเธอรวมทั้งการยอมก้มหน้าทำทุกอย่าง ในแวดวงสังคมหรูหราไฮโซนี้แม้กระทั่งผู้ชายก็คงไม่มีใครเทียบเธอได้

ความดีเลิศของเธอนั้น ไม่จำเป็นต้องสงสัยเลย

ถ้าหากจะพูดว่าคุณปู่กลัวเธอจะโดดเด่นเกินไป กลัวว่าจะเป็นหินขวางทางของกระกูลเสิ่น…ก็ดูไม่สมเหตุสมผลเลย

ถ้าหากจะพูดว่าเกี่ยวกับการแข่งขันเมื่อสามปีก่อนนั้น ก็ยิ่งไม่สมเหตุสมผลเข้าไปใหญ่ ตระกูลเล็กๆอย่างตระกูลเจี่ยน ตอนที่ท่านแก่เจี่ยนยังมีชีวิตอยู่นั้นจริงๆแล้วก็มีความสำคัญอยู่ แต่ในตอนนั้นท่านแก่เจี่ยนตายไปแล้ว การแข่งขันกันนั้น ตระกูลเจี่ยนไม่ได้สนใจที่จะเข้าร่วมด้วยและไม่มีทางที่จะทำอะไรได้

เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้โง่ คงไม่โง่เดินเข้าไปที่นั่นเพื่อถามคุณปู่ ว่าทำไม

เขายกมือขึ้นมองเวลา ก้าวเท้าออกจากห้องหนังสือตรงไปยังห้องนอน พร้อมผลักประตูเข้าไป "เย็นนี้ไปร่วมงานเลี้ยงธุรกิจการค้ากับฉัน"

"ไม่ไป" ในห้องนอน เธอนั่งเงียบๆอยู่หน้าหน้าต่าง ดูหน้าต่างที่ตอนนี้ติดตั้งลูกกรงกันขโมยไว้แล้ว ทะลุกระจกออกไปมองท้องฟ้า พอได้ยินเสียงของเขาก็หันหน้ามาตอบนิ่งๆ

"ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเธอ"

เขาพูดเสียงต่ำ พูดนิ่งๆอย่างไร้อารมณ์

เธอที่หันหลังใส่เขา มุมปากก็ยกขึ้นอย่างยียวน "ในเมื่อไม่ได้ขึ้นอยู่กับฉัน ประธานเสิ่นก็ไม่จำเป็นต้องมาประกาศให้ฉันรู้นี่?" คล้ายกันกับเขา

หลังจากวันนั้น เธอก็ถูกกักขังไว้ในคฤหาสน์นี้ ออกไปไม่ได้ เหมือนนกคีรีบูนที่ถูกคุมขัง

หน้าต่างทุกบานในคฤหาสน์นี้ ติดตั้งลูกกรงเสร็จทั้งหมดภายในสองวัน…ลูกกรง สำหรับป้องกันใคร

"ครึ่งชั่วโมงหลังจากนี้ จะมีคนมาช่วยเธอออกแบบสไตล์"

พูดจบ ก็ปิดประตูไปเงียบๆ

มองประตูบานนั้นที่ปิดไป เจี่ยนถงก็กำหมัดแน่น…ทำไมมันถึงก้าวมาถึงวันนี้จุดนี้ได้!

ทำไมหลังจากเกิดเรื่องขึ้นมากมายขนาดนี้ เขาถึงยังสามารถสงบนิ่งได้เช่นนี้?

ทำไมต้องกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์สวยหรูนี้ด้วย!

จนถึงปัจจุบันนี้ ซูเมิ่งกลายเป็นเพียงทางเดียวที่เธอสามารถติดต่อโลกภายนอกได้

เธอนั่งใจลอยอยู่หน้าหน้าต่าง สามารถมองเห็นกว่าครึ่งหนึ่งของคฤหาสน์นี้ ประตูเหล็ก2บานที่มีความทรงจำเด่นชัดนั้นก็เปิดกว้างออก ปล่อยให้รถที่ทำงานวิ่งเข้ามา

หน้าต่างนั้นเปิดออกให้มีช่อง รถนั้นส่งเสียงเครื่องยนต์ดังออกมา ทั้งยังมีเสียงเบรกรถ เสียงดับเครื่อง หลังจากนั้นพ่อบ้านชราก็พูด"ตามฉันมา"สามคำทื่อๆ เจี่ยนถงที่นั่งอยู่หน้าหน้าต่าง เมื่อได้ยินประโยคนั้น ในหัวของเธอก็ปรากฏภาพใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของพ่อบ้านเซี่ยขึ้นมาชัดเจน

เธอหันตัวไปทันทีพร้อมลุกขึ้นและวิ่งไปยังประตูห้องนอน วางนิ้วไว้บนที่จับประตู เสียง"แครก"ดังขึ้น ดึงประตูเปิดแล้ววิ่งออกไปข้างนอก

ทางที่เธอวิ่ง เธอจำได้ ห้องหนังสือของเขา…เธอกำลังวิ่งไปทางห้องหนังสือ วิ่งจนหอบเล็กน้อย

เปิ้ง!

เสียงประตูกระแทกกับผนังอย่างแรง

"เสิ่นซิวจิ่น ฉันไม่ไป!"

ในห้องหนังสือ เหมือนเมฆหมอกบดบัง เขานั่งอยู่ในห้องหนังสือเช่นเดิมกำลังดูดบุหรี่อยู่ในมือ ตอนที่ประตูถูกกระแทกเปิดมาพร้อมเสียงดังที่ลอยมา ปลายก้นบุหรี่ที่คีบในมือก็เอียงเล็กน้อยจากนั้นก็ตกลงพื้นไปอย่างรวดเร็ว

นัยน์ตาดำขลับนั้น มองไปที่ร่างของเธอที่ยื่นอยู่หน้าประตู มองเธอที่กำลังหายใจหอบ "เธอวิ่งมาเหรอ?" ปากบางนั่นเอ่ยถามเบาๆ

"ฉันไม่ไป!" เธอจ้องเขม็งไปที่เขา ไม่ตอบคำถามแต่กลับยิ่งแสดงความปรารถนาของตัวเองอย่างหนักแน่น

"ฉันถามเธอ เธอวิ่งมาจากห้องนั้นเหรอ?" ดวงตาราวกับเหยี่ยวนั้นจ้องไปที่เธอที่ยืนอยู่ตรงประตู สายตานั้นเด็ดขาด

เจี่ยนถงไม่ได้สนใจ จะวิ่งมาหรือไม่ได้วิ่งมา ยังไงก็มาที่นี่อยู่ดีนี่ มันเกี่ยวอะไรกันเหรอ? สำคัญไหม?

สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือ…

"ฉันบอกว่า! ฉันไม่อยากไป!"

"ฉันจะถามเธอครั้งสุดท้าย เธอวิ่งมาจากทางห้องนั้นเหรอ?" สายตาเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น จ้องตรงเขม็งไปที่เธอที่อยู่หน้าประตู

เหมือนเมฆหมอกปกคลุม สายตานี้ที่โดนละอองควันปกคลุมอยู่นั้น กะพริบด้วยความโกรธ

เธอที่ยืนอยู่ตรงประตู กัดเม้มปากแน่น พลังงานความขู่เข็ญนั้นแผ่กระจายออกมารอบตัวจากร่างของเขาที่นั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือนั้น พุ่งตรงมาที่เธอจนรู้สึกหายใจติดขัด

แต่ แน่นอนว่าเธอยังคงดื้อรั้นอย่างที่สุด ยังคงกัดเม้มปากแน่น ยังคงยืนหยัดอย่างไม่ยอมแพ้อยู่ตรงหน้าประตูแบบไม่พูดไม่จา พร้อมแสดงท่าทีจ้องตรงเขม็งกลับไปที่เขาเช่นเดียวกัน

หัวใจเต้นเร็วขึ้นเร็วขึ้นราวกับจะกระเด็นออกมาจากอก กระตุ้นให้เบ้าตาตัวเองนั้นยิ่งแดงก่ำเข้าไปอีก แต่ยังคงดื้อรั้นอดทนไม่ยอมเอ่ยปาก พร้อมจ้องถลึงตากับเขากันอยู่เช่นนั้น

สองคนถลึงตาใส่กันไปมา ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นทันที ร่างสูงยาวนั้นก้าวเท้ายาวเดินมาทางประตูในทันที

เจี่ยนถงก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ ชายคนนี้ยังคงเหมือนเมื่อก่อน…ไม่สิ เขาดูดุดันยิ่งกว่าเดิมเสียอีก!

ถอยไปครึ่งก้าว ก็เหมือนเธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เธออยากจะตีหัวตัวเองซะจริงๆเลย ทำไมถึงใจร้อนแบบนี้ ทำไมถึงต้องยั่วยุเขา?

เธอหมุนตัวกลับ เตรียมจะวิ่ง

แต่มือข้างหนึ่ง ก็ค่อยๆจับที่ไหล่เธอไว้จากทางด้านหลังอย่างมั่นคง เสี่ยงต่ำของเขานั้นก็ลอยเข้ามาที่ข้างหู "คิดจะวิ่งไปไหน?"

เธอไม่พูดอะไรพร้อมกับเอียงหัวไปข้างหนึ่ง นั่นก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้ว

เขายิ้มอ่อนหัวเราะเยาะ ทันใดนั้นเขาก็อุ้มร่างเธอขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน พร้อมก้าวเท้ายาวตรงไปยังห้องนอน

พอมาถึงประตูห้องนอน คิดไม่ถึงว่าพ่อบ้านชราได้จัดคนมาไว้แล้วรอคอยอยู่ตรงหน้าประตู กำลังจะผลักเปิดเข้าไป

"คุณ…ผู้ชาย?" พ่อบ้านชราเป็นคนแรกที่เห็นเสิ่นซิวจิ่น แววตานั้นปรากฎความร้ายกาจขึ้นมาแวบหนึ่ง พร้อมไล่ลงมองไปที่มือของเสิ่นซิวจิ่น สายตาชรานั้นก็กระตุกประกายวับ

"อือ" เสิ่นซิวจิ่นส่งเสียงนิ่งๆ พร้อมเดินเข้าไปในห้องนอน

ถ้าไม่มีคำสั่งจากเขา ก็ห้ามใครเข้ามาในนี้ พุ่งพรวดเข้าไปในนั้นอย่างโง่เขลา ปกติแล้วก็ไม่มีใครหันหลังกลับออกมาได้เองเช่นกัน

กลุ่มคนที่จัดเตรียมมานั้นรออยู่ที่หน้าห้อง เมื่อประตูใหญ่เปิดออก ก็ไม่มีใครกล้าแอบมองเข้าไปในห้องการจัดงานเลี้ยงครั้งนี้ คนแต่ละคนที่มาล้วนเป็นคนสำคัญๆ ใครที่หยอกได้ใครที่หยอกไม่ได้ เรื่องอะไรที่สามารถทำได้ เรื่องอะไรทำไม่ได้ ต้องควบคุมใจตัวเอง

เสิ่นซิวจิ่นโยนเธอลงบนเตียง ไม่รอให้เธอลุกขึ้นมาได้ เขาก็นั่งลงบนเตียงที่ปูไว้ เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาที่นั่งอยู่ตรงขอบเตียง มือข้างหนึ่งจับขาข้างซ้ายของเธอยกขึ้น

เธอหน้าซีดทันที สายตามองไปทางประตู…คนเยอะขนาดนี้! ไม่ใช่ว่าเขาคิดจะ…

คิดคาดเดามาถึงตรงนี้ สีหน้าของเจี่ยนถงก็ยิ่งซีก เธอยื่นขาเตรียมจะเตะ

เวลานี้ แรงที่จับอยู่ที่ข้อเท้าเธอ ก็ยิ่งรัดแน่น เขาหันหน้ามาเหลือบตามองเธอ สายตามองเตือนนั้นมีความหมายชัดเจน

เจี่ยนถงใจสั่น กัดฟันแน่นพร้อมกับคิดจะควบคุมเท้าเตะไปทางขาคู่นั้นของเขา

มือยาวของเสิ่นซิวจิ่นนั้นคว้าจับข้อเท้าเธอไว้ พร้อมค่อยๆยกขึ้น…การกระทำนี้! เจี่ยนถงกัดเม้มปากแน่น ใบหน้าซีดจนไร้สีเลือด

เสิ่นซิวจิ่น ถ้าคุณอยากให้ฉันอับอายนี่ก็อับอายพอแล้ว!

สายตาหลายคู่ด้านนอกนั้น…เจี่ยนถงเพียงรู้สึกว่าเวลานี้ อยากจะตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอด ไม่ก็กัดคนตรงหน้านี้ให้แหลกเป็นชิ้นๆซะ!

เธอหลับตาลง!

แต่สายตาพวกนั้น แววตาอับอายพวกนั้น มันยังคงกระจัดกระจายอยู่ในหัวสมองเธอเต็มไปหมด!

ร่างนั้นสั่นไปทั้งตัว

"ขอร้อง…"ความเคยชินที่เคยอธิษฐานขอการยกโทษตลอดสามปีในคุกนั้น เวลานี้ เธอเอ่ยปากร้องขออยากไม่รู้ตัว เพียงแค่คำว่า"ขอ"ที่เล็ดลอดออกมาเบาๆจากปากเธอเมื่อครู่ มันทำให้ได้สติทันที

ร่างที่ดื้อรั้นไม่มีใครเทียบนั้นบีบรัดผ้าปูเตียงไว้แน่น!

เคยบอกว่าจะไม่ขอร้อง ก็จะไม่ขอร้อง!

ร่างนั้นยังคงสั่นเทาอย่างแรง เธอรู้ตัวว่าตัวเองในตอนนี้ ดื้อรั้นจนไม่ยอมที่จะเอ่ยปากขอร้องเขา และควบคุมตัวเองไม่ให้ยอมอ่อนข้อให้เขา

แต่ร่างกายที่ควรจะตายไปนี้!

แต่ร่างที่ควรจะตายไปในคุกเมื่อสามปีก่อน ร่างที่ถูกตราหน้าว่า"เลวทรามต่ำช้า"! เธอรู้ตัวว่าเธอกลัว ทั้งยังพยายามอย่างที่สุดที่จะเกลี้ยกล่อมตัวเอง "เงยหน้าขึ้น ไม่ต้องกลัว ยืดอกเข้าไว้ ไม่มีอะไรที่จัดการไม่ได้"

เธอเกลี้ยกล่อมตัวเองไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ร่างกายที่สมควรตายไปในคุกเมื่อสามปีที่แล้วนี้กำลังสับสน จำไว้ว่าถ้าหากขอร้อง ถ้าหากอ่อนน้อม ถ้าหากด้อยค่า ถึงจากสามารถพาร่างกายนี้ให้สงบสุขได้ แต่เธอไม่มีวิธีที่จะควบคุมจิตใจตัวเองให้ได้เหมือนกับร่างกาย!

เหมือนกับหุ่นยนต์ที่ทำความสะอาดพื้น เมื่อเจอสิ่งกีดขวาง ก็จะเริ่มทำงานทันที

เธอควบคุมร่างกายให้อ่อนน้อมต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว!

สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ คือกัดปากเม้มแน่น เม้มปากไว้ก็จะสามารถควบคุมไม่ให้คำขอร้องนั้นหลุดออกมาได้

เธอหลับตาอย่างแน่วแน่ ภายใต้สายตาหลายคู่ของกลุ่มคนมากมายที่อยู่หน้าประตูนั้น ขอเธอก็ค่อยๆยกขึ้นทีละน้อย

ยังไม่ทันได้เริ่มอับอาย เสียงทุ้มต่ำแกมต่อว่าของชายหนุ่มก็ดังเข้ามาในหู

“คราวหน้าอย่าให้ผมเห็นคุณรีบวิ่งมาอย่างนี้อีก”

เสิ่นซิวจิ่นเอ่ยพูดพร้อมกับวางขาของเจี่ยนถงลง ถ้าผู้หญิงคนนี้รู้จักเป็นห่วงตัวเองสักนิด เขาก็คงไม่ดุเธอหรอก

สายตาเย็นชากวาดมองเท้าของเธอ “รองเท้าล่ะ?”

“……..?” รองเท้า?

รองเท้าอะไร?

เจี่ยนถงมองตามสายตาของเขา ถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เธอรีบร้อนมากเกินไป เพราะตอนนั้นในใจเธอเอาแต่จะมาหาผู้ชายคนนี้ให้ได้ เธออยากประท้วงเขา อยากแสดงความกรุ่นโกรธที่อัดแน่นอยู่ในใจมานานออกมาให้หมด เธอรีบร้อนวิ่งเท้าเปล่าออกมาจนลืมใส่รองเท้า

เพราะงั้น…..เมื่อกี้เขากำลังดูเท้าให้เธออยู่เหรอ?

ในใจของเธอกลับมาฟุ้งซ่านอีกครั้ง……คนคนนี้ดีขนาดนี้เลยเหรอ? เป็นห่วงเธอขนาดนี้เลย?

พรึบ!

ฟูกพลันเด้งขึ้น เมื่อร่างกายของคนตรงหน้าลุกขึ้นยืน

“ผมนัดเธอไว้อีกครึ่งชั่วโมง” เสิ่นซิวจิ่นยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู หลังจากที่เอ่ยพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ ก็หันหลังเดินตัวปลิวออกไป

เจี่ยนถงหน้าเปลี่ยนสี!

“เดี๋ยวก่อน!” เธอแทบไม่คิดอะไร ยื่นมือออกไปฉุดชายเสื้อของเขาเอาไว้

เสิ่นซิวจิ่นหลุบตามองชายเสื้อที่ถูกจับ แล้วไล่สายตามองมือของเธอ นัยน์ตาสีดำขยับขึ้น จดจ้องใบหน้าของเธอแน่นิ่ง

สายตาของเขา ทอแววลุ่มลึก

หัวใจของเจี่ยนถงเริ่มว้าวุ่น

“มีอะไรอีกเหรอ?” เสียงทุ้มลึกน่าดึงดูด เปี่ยมไปด้วยความสง่าราวสวรรค์สรรค์สร้าง

“ฉัน…..ฉันไม่ไป! ฉันไม่อยากไป!” เธอยังคงยืนกรานหนักแน่น

มือของเธอฉุดชายเสื้อของเขาเอาไว้สุดชีวิต ราวกับว่าทำอย่างนี้ แล้วเธอจะสามารถตัดสินใจพูดออกมาได้ “ไม่อยากไป”

“ผมขอเหตุผล” ถ้าไม่ไป ก็ต้องมีเหตุผล

“ก็แค่ไม่อยากไป”

“นี่ไม่ใช่เหตุผล”

“ฉัน….กลัวหนาว” เธอหลุบตาลง อาศัยขนตาบดบังแววตาเอาไว้

เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้นมาเหนือหัว จากนั้น มือของเขาก็ขยี้ผมของเธอ เสียงทุ้มลึกเอ่ยพูดเสียงนุ่มนวลว่า “ผมอยากฟังเหตุผลจริงๆ”

“………” เหตุผลจริงๆ…..”ฉันกลัวหนาวไง”

เจี่ยนถงก้มหน้าลง บนหัวมีเสียงหัวเราะเบาๆของชายหนุ่มดังขึ้นมาอีกครั้ง เขาเคาะหัวเธอเบาๆ แล้วจับมือที่กำลังจับชายเสื้อของเขาออก จากนั้นก็เดินออกไป

เธอคอยฟังเสียงเท้าเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ได้ยินพ่อบ้านเซี่ยเอ่ยพูดอย่างนอบน้อมว่า “คุณชายเดินทางปลอดภัยครับ”

นั่นหมายความว่า ผู้ชายคนนั้นเดินออกไปจากห้องนอนแล้ว

เจี่ยนถงลนลาน กระวนกระวาย!

เธอเงยหน้าขึ้นมา พร้อมกับส่งเสียงสบถ “ก็แค่ไม่อยากไป!จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ!” เธอโกรธมาก!

คนคนนี้ ทำไมถึงเอาแต่ใจอย่างนี้?

ชายหนุ่มไม่ได้หันกลับไป มีเพียงเสียงพูดนิ่งๆลอยเข้ามาในหูของเจี่ยนถง

“เสี่ยวถง หยุดหนีได้แล้ว ลองดูก่อน เปิดใจทำความรู้จักคนอื่นบ้าง คุณคนก่อน ทำเอาไว้ได้ดีมาก”

เขาไม่เห็น ว่าสีหน้าของผู้หญิงด้านหลังในตอนนี้ซีดเผือดเพียงใด ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยความหวาดหวั่น!

ความรู้สึกที่ถูกคนอื่นอ่านใจออก มันไม่ได้รู้สึกดีเลยสักนิด!

โดยเฉพาะคนอย่างเธอ ที่แตกสลายไปนานแล้ว เธอคิดว่าเธอสามารถปกปิดความรู้สึกได้ดี แต่กลับถูกอ่านใจออก

มันช่างอึดอัด

เจี่ยนถงรู้สึกขมขื่นในปาก จ้องมองแผ่นหลังที่กำลังเดินออกไปของผู้ชายคนนั้น

พ่อบ้านเซี่ยจ้องมองเจี่ยนถงที่อยู่ในห้อง จากนั้นก็หันหลังเดินออกไปพร้อมกับทิ้งท้ายเอาไว้กับช่างแต่งตัวว่า “คุณชายชอบผู้หญิงใส่ชุดสีขาว”

เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นมามองพ่อบ้านเซี่ยทันที….เขาจงใจ!

คนที่ชอบใส่สีขาว ก็คือเซี่ยเวยหมิง!

“ฉันไม่ชอบใส่สีขาว!”

ใบหน้าชราของพ่อบ้านเซี่ยฉีกยิ้มออกมา ริ้วรอยฝังตัวลึกบนผิวหน้า จดจ้องเจี่ยนถงด้วยรอยยิ้มที่เหมือนไม่ได้ยิ้ม ด้านเจี่ยนถงกลับรู้สึกว่าในรอยยิ้มนอบน้อมของเขาแอบแฝงไปด้วยความประสงค์ร้าย

“ถ้าอย่างนั้น คุณเจี่ยนก็ไปขอร้องคนอื่นดูแล้วกัน” พ่อบ้านเซี่ยพูดทิ้งเอาไว้ แล้วหันหลัง พร้อมกับพาขาที่ผอมแห้งทั้งสองข้างเดินออกไป

หลังจากแต่งหน้าทำผมเสร็จ เจี่ยนถงก็นิ่งเงียบ

“คุณเจี่ยน นี่ชุดค่ะ” จนกระทั่งช่างแต่งตัว ส่งชุดเกาะอกสีขาวมาให้

เธอจึงขึ้นเสียงปฏิเสธแทบจะทันที “ฉันไม่ใส่!ฉันไม่ชอบสีขาว!”

“คุณเจี่ยนใจเย็นๆค่ะ จริงๆแล้วคุณใส่สีขาวแล้วดูดีมากเลยนะคะ คุณเจี่ยนคงไม่เคยลองใส่ชุดสีขาวเลยใช่ไหมคะ?

ความจริงแล้วผู้หญิงทุกคนน่าชอบจะชุดกระโปรงสีขาว คุณลองใส่ดูเถอะค่ะ ฉันรับรองว่าคุณต้องชอบมันแน่นอน”

“ฉันไม่ชอบ!ฉันไม่อยากใส่สีขาว! ไม่ได้ยินที่พูดหรือไง!ฉันไม่ชอบชุดสีขาว!”

เธอเดือดปุดๆ

ถ้าไม่มีคำพูดแอบแฝงของพ่อบ้านเซี่ย เธอก็คงไม่คิดอะไรมากหรอก

แต่ว่า หลังจากที่เข้าใจเจตนาของพ่อบ้านเซี่ย ชุดกระโปรงสีขาวตัวนี้ ในสายตาของเธอ ก็ยังคงเป็นอะไรที่ชวนอ้วกอยู่ดี!

ทำไมเธอต้องใส่เสื้อผ้าตามแบบที่เซี่ยเวยหมิงชอบด้วย?

“คุณเจี่ยน!” ช่างแต่งตัวไม่ได้มีความอดทนมากเท่าไหร่นัก และเธอก็ไม่ได้รับรู้เรื่องอดีตของเจี่ยนถง ไม่รู้ว่าเจี่ยนถงเคยผ่านอะไรมาบ้าง เพราะฉะนั้น ณ ตอนนี้ ณ เวลานี้ เธอจึงคิดแค่ว่าผู้หญิงตรงหน้า หน้าตารูปร่างก็งั้นๆ ไม่เห็นจะมีอะไรโดดเด่นตรงไหน

แถมตอนนี้ ยังทำตัวงี่เง่าไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเธออีก ในสายตาของช่างแต่งตัว เจี่ยนถงก็แค่ผู้หญิงที่เกาะบารมีประธานเสิ่นแล้วชอบคิดว่าจะทำตัวงี่เง่ายังไงก็ได้

แล้วยิ่งท่าทีที่ประธานเสิ่นมีให้ผู้หญิงคนนี้ ก็ไม่เห็นจะอบอุ่นเท่าไหร่เลย

“คุณเจี่ยน!” ช่างแต่งตัวยื่นมือออกไปพยายามยัดเสื้อผ้าใส่มือของเจี่ยนถง แต่วินาทีต่อมา

เหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!

เจี่ยนถงรู้สึกว่าชุดนี้ทำให้เธอทั้งขยะแขยงและอึดอัด จึงยื่นมือออกไปอย่างสะเปะสะปะจนกระทั่ง…..ตุบ!

แป็ก!

สองเสียงดังขึ้นมาติดต่อกัน!

ทุกคนพลันเงียบลงถนัดตา

เงียบเหมือนทุกอย่างถูกแช่แข็ง

“ฉัน…..” เจี่ยนถงอ้าปาก เธอไม่ได้ตั้งใจ เธอก็แค่ไม่อยากใส่ชุดนี้ “เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม….” เธอเดินเข้าไปหาพร้อมกับยื่นมือช่วยดึงช่างแต่งตัวที่ถูกเธอผลักล้มอย่างไม่ได้ตั้งใจ

จริงๆแล้ว จะว่าล้ม ก็ไม่ได้ล้มแรงขนาดนั้น เพียงแต่ว่า ท่าล้มของช่างแต่งตัวคนนี้ไม่ได้ดูดีเสียเท่าไหร่………

กระดุมบนเสื้อหลุดออกสองเม็ด จนเผยให้เห็น……

ช่างแต่งตัวก้มหน้ามองคอเสื้อของตัวเอง สีหน้าเดี๋ยวซีดเดี๋ยวคล้ำ

พรึบ!

“คุณเจี่ยน! นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ!”

เธอลุกขึ้นกรีดร้องเสียงแหลม เพราะรีบลุกมากเกินไปดังนั้นจึง……. แควก!

เสียงฉีกขาดดังขึ้นมา

ทุกคนต่างนิ่งอึ้ง เจี่ยนถงเองก็เช่นกัน ช่างแต่งตัวคนนั้นมึนงงอยู่ชั่วครู่ก็ได้สติทันที เธอรีบเอื้อมมือไปหยิบเสื้อตัวนอกมาปิดเอาไว้อย่างหนาแน่น พร้อมกับจ้องมองมาที่เจี่ยนถงด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

“ฉัน….ขอโทษ……”

“ถ้าขอโทษแล้วมันหาย จะมีตำรวจไว้ทำไม?” ช่างแต่งตัวตะคอกใส่เจี่ยนถึงอย่างกรุ่นโกรธ

“คุณคิดว่าคุณเป็นใคร? ก็แค่หนึ่งในผู้หญิงที่ประธานเสิ่นเล่นๆด้วย! สามปีมานี้ ผู้หญิงที่ประธานเสิ่นพามาให้ฉันแต่งตัวให้ มีสิบก็ปาไปแล้วแปดคน! ไม่ชอบสีขาวงั้นเหรอ สีขาวแล้วมันทำไม? ฉันจะบอกคุณให้นะ ผู้หญิงที่ประธานเสิ่นพามา ส่วนใหญ่ก็ใส่แต่ชุดสีขาวกันทั้งนั้น”

ตูม!

ราวกับสายฟ้าฟาด!

ดังสนั่นอยู่ภายในหู!

มือที่ยื่นไปให้ช่างแต่งตัวสั่นระริกค้างอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ค่อยๆเบนไปยังชุดสีขาวข้างๆอย่างช้าๆ

ความเจ็บปวดชนิดหนึ่ง เป็นความเจ็บปวดที่ค่อยๆแผ่กระจาย จะว่าร้องไห้ก็ไม่เชิง แต่ว่ากรอบตากลับเต็มไปด้วยความฝดฝื่น อยากร้องไห้แค่ไหน ก็ร้องไม่ออก ความขมขื่นเริ่มกระจายไปทั่วโพรงปาก

ความเจ็บปวดชนิดหนึ่ง เป็นความเจ็บปวดที่คิดว่ามันหายดีแล้ว หรือต่อให้ยังไม่หายดี จากการใช้ “ยาปฏิชีวนะ”ครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ยังสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ แต่ทว่าสุดท้ายก็พิสูจน์ว่า มันแค่มีภูมิคุ้มกันต่อ “ยาปฏิชีวนะ” แต่ไม่ใช่กับความเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ข้างใน!

อ่า……พอได้นึกถึงแล้ว มันจะไม่เจ็บได้ยังไง?

สมมติไม่เจ็บ แล้วทำไมต้องเอาชีวิตของตัวเองเข้าไปพัวพัน?

สมมติไม่เจ็บ คนโง่ที่ไหนจะเอาชีวิตของตัวเองเข้าไปเดิมพันในการแข่งขันนี้?

ซึ่งรางวัลมันก็แค่ เขาหันกลับมามองตัวเองนี่นะ?

ใช้เวลาสามปี ในการบังคับตัวเองให้รู้จักเย็นชาและไร้หัวใจ บังคับตัวเองให้ยอมรับความจริง แต่พอนึกถึงมันขึ้นมาได้……มันช่างโหดร้าย แม้แต่โอกาสที่จะให้ตัวเองได้หดหัวอยู่ในกระดอง ก็ยังต้องพับเก็บเหรอ?

พยายามพูดโน้มน้าวตัวเองแทบตายว่าแค่ไม่สนใจและไม่รัก นับแต่นี้ไปก็จะสามารถหนีไปจากวังวนแปลกๆนี้ได้แล้ว สุดท้ายทั้งๆที่คิดว่าไม่ได้รักและสนใจแล้ว แต่ทว่ากลับไม่สามารถหนีออกไปจากวังวนนี้ได้

ที่แท้ ก็ยังรู้สึก

ที่แท้ ที่ตรงนั้น ก็ยังคงเจ็บปวด

ที่แท้ ความรู้สึกที่รักคนคนหนึ่งจนตามืดตามัว มันยังฝังลึกอยู่ในใจมาตลอด

เธอเงยหน้ามองเพดาน เวลานี้ ณ ตอนนี้ เธอหวังเป็นอย่างมากว่าเธอจะเหมือนตัวละครในนิยายที่ถูกรถชนและความจำเสื่อม จนสามารถลืมเลือนมันไปได้

ถ้าเป็นอย่างนั้นได้จริงๆ มันคงจะดีมากๆ

ท่ามกลางสายตาของคนในห้อง หญิงสาวเริ่มไม่เหมือนเดิม อารมณ์ของเธอดูหนักหน่วงเป็นอย่างมาก

ช่างแต่งตัวกำลังจะเอ่ยปากพูดถากถาง “ช่าง……” หญิงสาวค่อยๆหยิบชุดขึ้นมา พร้อมส่งเสียงเกรี้ยวกราดอย่างนิ่งๆ

“ออกไป”

ช่างแต่งตัวรู้สึกเสียหน้าแปลกๆ “คุณเจี่ยน คุณคิดว่าคุณเป็นนายหญิงของบ้านหลังนี้เหรอ? มีสิทธิ์อะไรมาออกคำสั่งกับฉัน?”

“ออกไป”

ทุกคนคิดว่าหญิงสาวจะอับอายจนหน้าซีดเซียว เมื่อถูกช่างแต่งตัวพูดจาถากถาง แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า หญิงสาวจะหยิบกรรไกรบนโต๊ะขึ้นมาแล้วก็ “ฉับ!”

“คุณทำอะไร!” ช่างแต่งตัวตะคอกอย่างร้อนใจ

ไม่มีใครสังเกตเลยว่า มือของหญิงสาวกำลังสั่น ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีใครสังเกตเห็น ว่าหญิงสาวกำลังพยายามเอาชนะร่างกายสั่นระริกที่กำลังหลุดการควบคุม

แววตาเหยียดหยันของเจี่ยนถงกวาดมองสองมือที่กำลังถือกรรไกรกับชุดกระโปรง ทำไมเธอจะไม่รู้…..ว่ากำลังมีแววตาแบบไหน ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจยังไง ไม่ว่าเธอจะเจ็บปวดและเสียใจเท่าไหร่ ร่างกายนี้ก็ทำได้แค่เรียนรู้จาก “ความหวาดกลัว”ที่ไม่อาจลืมเลือนได้ในสามปีนั้น

ไม่ว่าแผ่นหลังของเจี่ยนถงจะเหยียดตรงอย่างสง่าผ่าเผยแค่ไหน แต่สามปีนั้นร่างกายนี้กลับถูกตีตราด้วย “ความต่ำต้อย” เมื่อพบเจอเรื่องราวน่ากลัว ก็จะบังเกิดความหวาดกลัวตามเงื่อนไข ตามมาด้วยอาการสั่นกลัว

เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเปล่งเสียงออกมาอย่างแข็งกร้าว “ออกไป ถ้าพวกเธอยังอยากทำงานนี้อยู่”

“คุณ………”

“อีกอย่างฝากบอกพ่อบ้านเซี่ยด้วย หยุดเล่นละครหลอกเด็กได้แล้ว”

“ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดอะไร!” สีหน้าของช่างแต่งตัวซีดขาว ลนลานหาข้อแก้ตัว

“เซิ่นซิวจิ่น ไม่ได้ชอบผู้หญิงใส่ชุดสีขาว เขาชอบผู้หญิงใส่ชุดสีชมพูต่างหาก” เสียงแข็งกระด้างของเจี่ยนถงเอ่ยพูดอย่างเรียบนิ่ง

“ห๊ะ?” คำพูดของเจี่ยนถงฟังดูแปลกๆ ตอนแรกช่างแต่งตัวไม่เข้าใจ แต่พอผ่านไปแค่ชั่วครู่ ก็เข้าใจในทันที

บางทีผู้หญิงคนนี้อาจจะไม่ได้รังแกง่ายเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ ผู้หญิงคนนี้อาจจะกุมจุดอ่อนอยู่ในมือก็เป็นได้ ใบหน้าหมดจรดของช่างแต่งตัวเดี๋ยวซีดเดี๋ยวคล้ำ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมามาก

“ไปกันเถอะ” ผ่านไปสักพัก ช่างแต่งตัวก็เอ่ยพูดเสียงหนัก

เจี่ยนถงหันหลัง เลือกใส่ชุดเดรสสีดำจากตู้เสื้อผ้า แล้วนำเสื้อตัวนอกมาคลุมเอาไว้ สวมใส่รองเท้าส้นสูง หันกายเดินออกไปจากห้องนอน

ตึก ตึก ตึก……

ก้าวหนึ่ง ก้าวสอง ก้าวสาม……..

ก้าวหนึ่ง….ทำไมต้องรู้ตัว? ทำไมไม่ปล่อยให้เธอสับสน ปล่อยให้คิดว่าไม่ได้รักไม่ได้สนใจแล้วล่ะ?

ก้าวสอง…..ตกลงรักหรือเกลียดกันแน่? หรือทั้งรักทั้งเกลียด?

ก้าวสาม…..หลังจากนี้ จะหนีหรืออยู่? ต้องเลือกแบบไหน? อยากให้เธอเลือกแบบไหน! หรือว่าต้องเลือกสนใจ แต่สำหรับเธอแล้ว เบื้องลึกในใจ กลับยอมรับตัวเลือกนี้ได้ยากเหลือเกิน

ที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าไม่รัก แต่เพราะว่ารักจนเจ็บปวดต่างหาก เพราะฉะนั้นจึงเลือกที่จะกล่อมตัวเองทุกวันว่า ไม่ได้สนใจอีกแล้ว

ทำไม ทำไมวันนี้ต้องมาเจอช่างแต่งตัวเฮงซวยคนนี้ด้วย!

ทำไม ทำไมช่างแต่งตัวถึงได้ปากมากพูดเรื่องพวกนี้กับเธอ!

ทำไม ความรู้สึกเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ในใจ ถึงได้ลืมยากแบบนี้!

เสิ่นซิวจิ่น ฉันควรเผชิญหน้ากับคุณยังไงดี

ถ้าต้องสนใจ เธอก็ไม่สามารถทำใจยอมรับ “ความสนใจ” นี้ได้อีก

ถ้าต้องเกลียด

เกลียดคนอย่างเขา เธอก็ยิ่งเกลียดตัวเองมากกว่า!

การดึงดันที่จะรักคนคนหนึ่งอย่างด้อยค่า สำหรับเธอแล้ว มันมีแต่ความรู้สึกต่ำต้อย สิ่งที่น่ากลัวก็คือ เธอไม่อาจปฏิเสธความต่ำต้อยนี้ได้! คนอย่างเจี่ยนถงไปตายน่าจะดีซะกว่า เธอหลับตาลง เมื่อในที่สุดก็มาถึงบันได

เท้ายื่นออกไปลอยค้างเหนือขั้นบันได พ่อบ้านชรายืนอยู่ข้างล่าง จดจ้องมาที่หญิงสาวบนบันไดนิ่งๆ แม้วินาทีแรกจะแอบตกใจที่เธอไม่ได้สวมใส่ชุดสีขาว แต่แล้วยังไง ขอแค่ผู้หญิงคนนี้รู้สึกทุกข์ทรมานก็พอแล้ว

ตอนนี้ ในใจของผู้หญิงคนนี้ต้องกำลังทุกข์ทรมานแน่ๆ ท่าทางแบบนั้น คงจะกำลังกระโดดลงมาสินะ?

กระโดดลงมาสิ!

คนอย่างเธอ ควรตายไปตั้งนานแล้ว

สามปีก่อน ถ้าผู้หญิงคนนี้แบกรับทุกอย่างแทนเวยหมิง แบบนั้น…..เวยหมิงก็คงไม่ตาย

ดวงตาของพ่อบ้านอาบไปด้วยยาพิษ จดจ้องเจี่ยนถงที่ยืนอยู่บนบันได…..กระโดดลงมาสิ! เร็วเข้า!

เจี่ยนถงเห็นทุกความร้ายกาจในแววตาของพ่อบ้านชราที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างบันได

ริมฝีปากที่บรรจงเติมแต่งสีแดงกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็ก้าวเท้าซ้ายเหยียบลงบนขั้นบันไดอย่างมมั่นคง ดวงตาของพ่อบ้านชราทอแววผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด

พ่อบ้านเซี่ย ฉันไม่ได้คิดสั้นขนาดจะกระโดดลงไปหรอกนะ ผิดหวังล่ะสิ?

เธอหัวเราะเบาๆ ทว่าหัวใจกลับเจ็บปวด

เมื่อเธอยังเป็นเด็ก คนแก่ข้างล่างเคยลูบหัวเธออย่างเอ็นดู คอยเป็นห่วงไม่ให้เธอกับเซี่ยเวยหมิงออกไปเล่นไกลๆ

เธอเดินลงบันไดทีละก้าวอย่างมั่นคง ชุดสีดำที่ใส่อยู่ยิ่งขับให้เธอดูผอม เธอเดินผ่านพ่อบ้านไป ไม่แม้แต่จะแหล่ตามองเขาเลยสักนิด

เหมือนที่เธอพูดเอาไว้เมื่อสามปีก่อน…..ไม่สิ ตอนนี้ต้องบอกว่าสี่ปีก่อน

“ความเกลียดชังของคุณ ฉันรับเอาไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”

สี่ปีก่อนเป็นยังไง วันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น

เซิ่นซิวจิ่นเดินออกมาจากมุมเลี้ยว เมื่อเห็นเจี่ยนถง ก็เลิกคิ้วขึ้น

“ปากแดงเกินไป” ยื่นมือออกไปลูบบนริมฝีปากของเธอ แล้วใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเบาๆให้สีลิปสติกจางลง “แค่นี้พอ”

เขาเลิกคิ้วขึ้นอีกครั้ง “แป้งหนาเกิน” พูดพร้อมกับเกร็งหน้า แล้วเอ่ยเรียกช่างแต่งหน้าให้มาหา “แต่งหน้ายังไง? ทำไมเข้มขนาดนี้?”

ตอนอยู่ในห้องนอนช่างแต่งหน้ายอมเสี่ยงแต่งหน้าให้เจี่ยนถงหนาๆ เพราะเธอรับเงินจากพ่อบ้านมาแล้ว ที่แต่งให้แบบนี้ แน่นอนว่าทำไปเพราะมีจุดประสงค์ไม่ดี

ในตอนนี้ เธอกำลังนั่งคุกเข่าตัวสั่นเทิ้ม “ประ ประธานเสิ่น ฉัน….เดี๋ยวฉันแต่งหน้าให้คุณเจี่ยนใหม่ค่ะ”

“คุณนาย เรียกว่าคุณนายเสิ่น”

“คะ?”

“เธอกำลังจะเป็นภรรยาของผม” เสิ่นซิวจิ่นกวาดสายตาเย็นชามองช่างแต่งหน้า “คุณคิดว่าคุณควรเรียกคนที่กำลังจะแต่งงานกับผมว่ายังไง?”

สีหน้าของช่างแต่งหน้าซีดขาว หน้าผากมีเหงื่อผุดขึ้นมา จนเครื่องสำอางที่แต่งมาอย่างดีเริ่มเลอะเป็นคาบ

ด้านหลังสุด ยังมีใครอีกคนหนึ่งรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที นิ่งอึ้งจนลืมว่าชายหญิงคู่นั้นอยู่ไม่ไกลจากตรงหน้า ชั่วครู่ต่อมา ก็รีบก้มหน้าลง

ความเกลียดชังและเจ็บปวดในแววตา ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

ก่อนเดินออกไป เสิ่นซิวจิ่นก็ไม่ลืมหันมาพูดกับพ่อบ้านว่า “พ่อบ้านเซี่ย เรื่องที่ผมพูดกับคุณในห้องทำงานครั้งก่อน”

เมื่อเขาพูดออกมา ไหล่ของพ่อบ้านเซี่ยก็กระตุกไหว

“เดิมทีมีการคัดเลือกคนเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นคนเก่าคนแก่ของตระกูลเสิ่น ด้านคุณปู่ก็คงไม่อยากให้คุณออกทั้งอย่างนี้ ถ้าเป็นพ่อบ้านของตระกูลเสิ่นแล้วก็ต้องเป็นไปตลอด จนกว่าจะถึงวัยเกษียณ แบบนี้พ่อบ้านเซี่ยก็จะได้แก่อย่างสมเกียรติ คุณปู่บอกว่า อย่างน้อยก็เห็นแก่มิตรภาพอันเก่าแก่ ตามกฎของคนรุ่นก่อนๆ ครึ่งปีหลังจากนี้ พ่อบ้านเซี่ยก็จะเกษียณแล้ว ถ้าเกษียณออกไปอย่างปกติ ตามกฎของตระกูลเสิ่น พ่อบ้านเซี่ยก็จะมีบั้นปลายชีวิตอย่างสมเกียรติ”

ขณะที่พูดอยู่จู่ๆก็เปลี่ยนถ้อยคำ

“แน่นอนว่าผมต้องไว้หน้าคุณปู่อยู่แล้ว และผมก็พยายามทะนุถนอมความสัมพันธ์ฉันท์เจ้านายลูกน้องตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมากับพ่อบ้านเซี่ยเสมอ มิตรไมตรีเก่าๆผมก็คำนึงถึงอยู่ตลอด พ่อบ้านเซี่ยต่างหากที่ต้องรู้ว่าอะไรเป็นอะไร”

พ่อบ้านเซี่ยหนังตากระตุก…..ผู้ชายตรงหน้ากำลังกล่าวเตือนเขาว่า เพราะมิตรไมตรีเก่าๆ ผมจะยอมปล่อยให้คุณอยู่จนถึงวันเกษียณ แต่คุณก็ต้องรู้ว่าอะไรควรไม่ควร

เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มกำลังเตือนไม่ให้เขายุ่งกับผู้หญิงต่ำต้อยอย่างเจี่ยนถง!

ในใจขอพ่อบ้านเซี่ยโกรธเกลียดแทบตาย แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกไป เขารู้ดี ในตอนนี้เวลานี้ ถ้าหลุดท่าทีทางสีหน้า การกระทำ หรือความเกลียดที่มีอยู่ในใจออกไป ถ้าเป็นอย่างนั้นต่อให้เขาอธิบายออกไปเท่าไหร่ ผู้กุมอำนาจตระกูลเสิ่นคนนี้ก็พร้อมที่จะขับไล่เขาออกไปทันที

“ผมเข้าใจที่คุณชายพูดแล้วครับ” พ่อบ้านชราเอ่ยพูดเสียงหนักแน่น “ไม่ว่าอดีตเคยเกิดอะไรขึ้น มันก็เป็นแค่อดีต”

เสิ่นซิวจิ่นพยักหน้า จากนั้นนก็หันหลังเดินนำเจี่ยนถงขึ้นไปขึ้นรถ

เรื่องในตอนนั้น มีลายมือของคุณปู่ คุณปู่ต้องการใช้หลักฐานไร้ช่องโหว่พวกนั้นมายืนยันกับเขา ว่าตอนนั้นเขาไม่ได้ผิด เจี่ยนถงต่างหากที่ทำผิด

แต่สิ่งที่คุณปู่ไม่รู้ก็คือ จากความสัมพันธ์หลานปู่ตลอดหลายปีมานี้ มันทำให้เขารู้จักนิสัยของคุณปู่เป็นอย่างดี “หลักฐาน”ที่ไร้ช่องโหว่มากเกินไปไม่สามารถยืนยันกับเขาได้ว่าเจี่ยนถงมีความผิด แต่กลับทำให้เขาได้เห็นลายมือของคุณปู่

ถ้าเจี่ยนถงผิดจริงๆ แล้วทำไมคุณปู่ต้องลงทุนสร้าง “หลักฐาน” ขึ้นมาด้วย?

ในเมื่อตอนนั้นเขาผิดจริงๆ เขาก็จะชดใช้ให้เธอทั้งชีวิต แต่เจี่ยนถงไม่มีความจำเป็นต้องรับความเกลียดชังและความเคียดแค้นเหล่านั้นของพ่อบ้านเซี่ยไว้ด้วยซ้ำ

และวันนี้ ช่างแต่งหน้าไม่มีทางเสียมาตรฐาน ด้วยการแต่งหน้าเข้มๆให้เจี่ยนถงอย่างนี้แน่ คนที่คิดละครตบตาเด็กขึ้นมาแบบนี้ นอกจากพ่อบ้านชราแล้ว เสิ่นซิวจิ่นก็คิดเป็นใครไม่ได้อีก

ถ้าเธอไม่ได้ผิด ก็ไม่สมควรมารับความโกรธเกลียดและปองร้ายจากพ่อบ้านเซี่ยอีก เหมือน…….เรื่องสารเลวพวกนั้นที่เขาเคยทำ

ภายใต้แสงไฟโออ่า รถจอดลงตรงหน้าประตู เสิ่นยีกับเสิ่นเอ้อนั่งข้างหน้า เมื่อเสิ่นยีเปิดประตู เสิ่นเอ้อก็ลงไปก่อน แล้วมาเปิดประตูให้เสิ่นซิวจิ่นที่เบาะหลัง ในตอนที่กำลังจะเดินอ้อมไปเปิดประตูให้เจี่ยนถง ก็มีมือข้างหนึ่งจับแขนเขาเอาไว้ “เดี๋ยวฉันเอง”

เสิ่นเอ้อชะงัก แล้วก้าวถอยไปยืนอยู่ด้านข้าง

เสิ่นซิวจิ่นเดินอ้อมมาอีกด้าน เปิดประตูรถออก จากนั้นก็ยื่นมือไปให้เธอที่นั่งอยู่ในรถ

ตลอดทาง ภายในหัวของเจี่ยนถงวุ่นวายสับสนไปหมด

แต่สุดท้ายก็ยอมใช้ชีวิตเหมือนท่อนไม้ ทำไมต้องไปนึกถึงความเจ็บปวดนั่นด้วย

มือของเขา ยื่นมาตรงหน้าเธอ เธอมองอยู่สักพัก จากนั้นก็ผลักมันออก แล้วลงจากรถเอง

แต่มือนั้นก็ยื่นเข้ามาหาอีกครั้ง “จับเอาไว้” เสียงทุ้มมีเสน่ห์ดังเข้ามาในหู

เจี่ยนถงนิ่ง สัญชาตญาณเริ่มตื่นตัว แต่ก็ยังยับยั้งมันเอาไว้ในใจได้ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพ่นลมหายใจออกมา จากนั้นก็ยื่นมือออกไปจับมือของเขาไว้…..อย่างที่เขาต้องการ

หลายปีที่ผ่านมาในอดีต เธอเคยไล่ตามเขา ขอจับจูงมือเขาอย่างหน้าด้านๆ แต่ก็มักจะถูกเขาผลักไสอย่างไร้ความปรานี แต่กระนั้นก็ยังยิ้มหน้าระรื่นเข้าไปจับมือเขาใหม่อยู่ดี ตอนนั้น แม้ว่าจะถูกผลักไสครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ว่าเขาจะไม่เคยเต็มใจจับมือเธอเลย แต่ในตอนนั้น เธอรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างเรามันใกล้กันที่สุดแล้ว

ในตอนนี้ มือที่กำลังกุมกันอยู่ กลับรู้สึกถึงแค่ความเจ็บปวดที่ฝังลึก

บริเวณที่มือทั้งสองกำลังประสานกันอยู่ มันร้อนผ่าวจนเธออยากสะบัดออก

เบื้องหน้าเอาแต่ปรากฏภาพที่เธอไล่ตามความรักอย่างไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจในอดีตและภาพน่าอดสูในคุกตลอดสามปีนั้น

มือนี้ เป็นเหมือนของร้อนที่อยากสะบัดทิ้ง

คฤหาสน์ตระกูลเสิ่น

กริ๊งๆๆ…….

เสียงมือถือดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ

เมื่อมือเหี่ยวย่นหยิบขึ้นมาดู ก็รีบกดปุ่มรับสายในทันที

“ลู่หมิงชู! นายคิดได้แล้วใช่ไหม? นายยอมช่วยฉันแล้วใช่ไหม? ลู่หมิงชู ฉันบอกนายแล้วว่า ว่ามันจะมีประโยชน์กับนาย! นายไม่ต้องคิดถึงเรื่องแม่ของ……..”

“หุบปาก!” เสียงปลายสายดังขึ้นมาอย่างแข็งกร้าว นัยน์ตาของลู่หมิงชูเยือกเย็นไปทั้งแถบ “ตาแก่เซี่ย ถ้าคุณกล้าพูดอีกแม้แต่คำเดียว ผมรับประกันว่าคุณไม่มีชีวิตได้เห็นแสงตะวันพรุ่งนี้แน่ เชื่อไหม?”

“ลู่หมิงชู! นายไม่ต้องมาขู่ฉัน! เป้าหมายของเราก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง” พ่อบ้านเซี่ยเดือดเร้าๆกับคำว่า “ภรรยาที่กำลังจะแต่งงานกัน” ของเสิ่นซิวจิ่นจนไม่เป็นอันทำอะไร

“เหอะๆ ผมไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะช่วยคุณ” ลู่หมิงชูหัวเราะเสียงเย็น แน่นอนว่าเขาไม่ได้สำนึกผิดอะไรหรอกที่ทำร้ายผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ได้มีความผิดจนมีสภาพน่าสังเวชขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่มีทางไปดึงผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาจากนรก แล้วเผาให้มอดไหม้จนไม่เหลือแม้แต่ขี้เถ้าอีกหรอก

“ฟังเอาไว้นะ คนพวกนั้นปรากฏตัวที่เมืองSแล้ว”

พ่อบ้านเซี่ยเบิกตากว้าง ดวงตาฝ้าฟางหดเล็กลง “นายพูดอะไร?”

“พวกอันธพาลในตอนนั้นไง คนของผมเห็นอยู่ในซอยบนถนนน่ะ ตอนนั้นฟ้ามืด เลยเห็นไม่ค่อยชัด คนของผมเองก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ เลยมาบอกผม เมื่อกี้ผมเพิ่งไปดูกล้องวงจรปิดมา ……พ่อบ้านเซี่ย อย่าหาว่าผมไม่เตือนคุณเลยนะ ถ้าให้เจ้านายของคุณหาคนพวกนั้นเจอก่อน และถ้าหากความจริงทุกอย่างในตอนนั้นถูกเปิดเผยออกมา คุณก็ลองนึกถึงผลที่จะตามมาก็แล้วกัน”

“คนที่กลัวความจริงถูกเปิดเผยไม่ได้มีแค่ฉันหรอก ลู่หมิงชูนายก็ด้วย……”

“เหอะๆ ผมไม่กลัว ตาแก่ไม่ยอมให้เกิดศึกภายในหรอก”

“นายจะทำตัวเป็นคนนอกไม่ได้นะ ตอนนั้น……”

“ติ๊ด!”

พ่อบ้านเซี่ยเบิกตากว้าง จ้องมองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ……. ลู่หมิงชูเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง?

ขณะนั้นเอง!

พ่อบ้านเซี่ยก็ปาแจกันโบราณทิ้งอย่างฉุนเฉียว “ลู่หมิงชู!ถ้าตอนนั้นไม่ใช่เพราะว่าแกสอดมือเข้ามา ลูกสาวของฉันก็คงไม่มีจุดจบอย่างนี้!”

ตอนนี้ลู่หมิงชูคิดที่จะผลักทุกอย่างให้พ้นตัวงั้นเหรอ?

ไม่มีทางซะหรอก!

แล้วก็ ถ้าคนพวกนั้น มาปรากฏตัวที่เมืองS อีกครั้งล่ะก็ ไม่ช้าก็เร็ว…..ยังไงคุณชายก็ต้องเจอตัวพวกนั้นแน่ๆ

ถ้า ถ้าหากความจริงในตอนนั้นถูกปอกเปลือกออกมาทีละนิด…..แล้วเวยหมิงล่ะ? เวยหมิงจะทำยังไง?!

เขากำโทรศัพท์ในมือไว้แน่น โกรธจัดจนตัวสั่นเทิ้ม

พ่อบ้านเซี่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กดโทรหาเจ้าตระกูลใหญ่ แล้วนำเรื่องราวทั้งหมดมาเล่าให้อีกฝ่ายฟังอีกครั้งอย่างลนลาน

เจ้าตระกูลใหญ่ถือสายเงียบอยู่สักพัก จากนั้นก็พูดว่า “ฉันจะตามหาคนพวกนั้นเอง แต่ว่า ฉันต้องการให้แกช่วยฉันอีกเรื่อง”

“ท่านสั่งมาได้เลยครับ”

หลังจากเจ้าตระกูลใหญ่ออกคำสั่งรวบรัดกับพ่อบ้านเซี่ย เสียงแก่ชราก็เอ่ยพูดขึ้นมาว่า “เข้าใจใช่ไหม?”

ทางด้านพ่อบ้านเซี่ยพลันกำหมัดแน่น “ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะทำตามที่คุณท่านสั่งให้สำเร็จ”

ส่วนผู้หญิงชั้นต่ำคนนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความผิด ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะเธอ…….เวยหมิงก็คงไม่ตาย!

คิดได้ดังนี้ พ่อบ้านเซี่ยก็กดวางสาย ดวงตาฝ้าฟางทอประกายมาดร้าย

แผนของเจ้าตระกูลใหญ่ บังเอิญเหมือนแผนที่เขาคิดไว้พอดีเลย

แบบนี้ ตระกูลเสิ่นก็จะไม่มีทางขัดแย้งกันเอง ทุกอย่างก็จะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน

ณ งานเลี้ยง

“คนนั้น?”

“เธอมาอยู่กับประธานเสิ่นได้ไง?”

“เธอ? ใครเหรอ?”

“นี่แกไม่รู้จักเหรอ? แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอก คนอย่างนั้น ถ้าไม่ใช่คนรุ่นเดียวกัน ก็แทบจะไม่รู้จักเลย”

เมื่อเสิ่นซิวจิ่นพาเจี่ยนถงเดินเข้ามาในงานเลี้ยง ชั่วขณะนั้น ทุกคนก็พากันเงียบสนิท แต่ไม่นาน ก็เริ่มมีเสียงถกเถียงกันขึ้นมา

ไป๋ยู่สิงกับซีเฉินมองหน้ากัน แล้วเดินเข้ามาหา

“คุณเจี่ยน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ผอมลงหรือเปล่า?” ไป๋ยู่สิงยังคงอคติกับเจี่ยนถงเหมือนเดิม เขาเคยพยายามทำให้เสิ่นซิวจิ่นเลิกยุ่งกับเจี่ยนถง แต่คนนามสกุลเสิ่น แต่ไหนแต่ไรก็หัวแข็งมาตลอด ถ้าได้ตัดสินใจอะไรแล้ว ก็ค่อนข้างเปลี่ยนใจยาก

พอนึกถึงเจี่ยนถงทีไร ก็รู้สึกรำคาญทุกที แน่นอนว่าถ้าเลี่ยงได้ก็อยากเลี่ยง

แต่พอเห็นเจี่ยนถง เขากลับหลุดท่าทียั่วโมโหออกมาซะอย่างนั้น

ด้านซีเฉิน ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไรกับเจี่ยนถงขนาดนั้น

“เจี่ยนถง เมื่อก่อนคุณไม่ได้ผอมขนาดนี้นี่ ทำไมล่ะ เสิ่นซิวจิ่นไม่ให้คุณกินข้าวเหรอ” ซีเฉินเอ่ยหยอกล้อ

ไป๋ยู่สิงเบ้ปาก แล้วหันไปดื่มเหล้าคนเดียว

เจี่ยนถงมองไป๋มู่สิงนิ่งๆ เสียงคุยซุบซิบรอบๆดังมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ ตอนนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา “คุณเจี่ยน ไม่เจอกันนานเลยสบายดีไหม”

เสียงนี้คุ้นหูมาก จนหนังตากระตุก

เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง

“คุณคาย์อัน สวัสดี”

คาย์อันก็ยังเป็นคาย์อัน ผู้ชายที่ดูร้ายๆที่มีใบหน้าสวยงามกว่าผู้หญิง แต่ไม่มีความอ่อนหวานเหมือนผู้หญิงเลยสักนิด

คาย์อันมองหญิงสาวที่ถูกชายหนุ่มจูงมือเดินเข้ามาในงานจากที่ไกลๆ วินาทีนั้น ความรู้สึกจี๊ดๆก็ตีรวนเข้ามาในหัวใจ

เขาแยกไม่ออกว่าความรู้สึกนี้มีสาเหตุมาจากอะไร เขารู้สึกแค่ว่า สองมือที่กำลังกอบกุมกันอยู่นั้น มันช่างเป็นอะไรที่ขัดตาเอามากๆ

ดังนั้นเขาจึงเดินเข้ามาหาอย่างอดใจไม่ไหว

เจี่ยนถงไม่อยากอยู่ตรงนี้นานๆ จึงพูดออกมาว่า “ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำนะ”

คาย์อันมองหญิงสาวตรงหน้า เธอยังผอมและยังคงมีท่าทีเหมือนแบกอะไรหนักๆไว้เหมือนเดิม อีกทั้งยังทำให้เขาอยากเอาชนะเหมือนเดิม!

ทั้งๆที่เขาเคยเอาชนะเธอได้ตั้งนานแล้ว!

ความรู้สึกอึดอัดและสับสนตีรวนอยู่ภายในใจ

เจี่ยนถงพูดพร้อมกับดึงมือออกมา ในตอนที่กำลังจะเดินออกไป จู่ๆฝ่ามือของเขาก็กระชับมือของเธอแน่น เธอเงยหน้าขึ้นไปมองนัยน์ตาดำขลับของเสิ่นซิวจิ่น “ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ” เธอมุ่นคิ้ว

“อืม รีบกลับมาล่ะ” เขาพูดพร้อมกับยื่นมือออกไปหาเธอ เจี่ยนถงเอนหลบตามสัญชาตญาณ “อยู่นิ่งๆ” เสียงทุ้มลึกออกคำสั่ง นิ้วมือเรียวยาวเกี่ยวผมบริเวณขมับของเธอทัดหูให้อย่างแผ่วเบา จากนั้นเสียงอ่อนโยนก็ดังมาจากลำคอว่า “ผมยุ่งน่ะ”

เหตุการณ์ทุกอย่าง เกิดขึ้นในวินาทีที่เสิ่นซิวจิ่นช่วยจัดผมให้เธอ!

นัยน์ตาของคาย์อันวูบไหว โทสะพวยพุ่งออกมาอย่างเห็นได้ชัด!

“เขาให้คุณเท่าไหร่?” คนที่สามารถทัดผมและจัดผมให้เธอได้ ไม่ใช่ว่ามีแค่เขาที่ทำได้เหรอ?

ขาของเจี่ยนถงสั่นเทา ลมหายใจพลันหอบถี่

ขณะเดียวกัน ก็มีคนที่ไวกว่า

ขยับเข้ามาขวางทางคาย์อันเอาไว้อย่างแนนเนียน “พ่อแม่ไม่เคยสอนเหรอ ว่าให้แปรงฟันก่อนออกจากบ้าน?” ดวงตาเยือกเย็นแข็งกร้าวทอแววมาแล้วจ้องมองมาที่คาย์อัน

“นายก็ไปถามพ่อแม่ฉันสิ ไม่ใช่มาถามฉัน”

คาย์อันตอบกลับอย่างไม่ยอมถอย

ไป๋ยู่สิงกับซีเฉินใจกระตุก….จากนั้นก็กวาดตามองรอบๆ

ความผิดปกติตรงนี้ เริ่มดึงดูดความสนใจของผู้คนแล้ว

เจี่ยนถงเองก็สังเกตเห็นว่าคนรอบข้างเริ่มหันมาสนใจแล้ว

“ฉันจะไปห้องน้ำ” เธอก้าวเดินตรงไปยังห้องน้ำอย่างรีบๆ

คิดว่าคาย์อันจะยอมปล่อยเธอไปง่ายๆเหรอ?

เมื่อเห็นเจี่ยนถงกำลังจะเดินไป ใบหน้าสวยกว่าหญิงสาวก็พลันเปลี่ยน จากนั้นก็ก้าวเดินตามไปติดๆ ทว่าตรงหน้าเขายังมีเสิ่นซิวจิ่นขวางทางเอาไว้เหมือนภูเขาลูกใหญ่

“เกะกะ!” เขายื่นมือออกไปผลักเสิ่นซิวจิ่นออก จากนั้นดวงตาก็ทอประกายเย็นชา “กล้าเข้ามายุ่งเหรอ นายอยากรู้ไหมว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง?”

เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมา

เจี่ยนถงเร่งฝีเท้า แต่ส้นสูงที่ใส่อยู่กลับถ่วงเอาไว้

“เดี๋ยวก่อน เจี่ยนถง! ตอบคำถามผมก่อน!”

คาย์อันใจร้อน เขาจะปล่อยโอกาสนี้ไปได้ยังไง?

ถ้าวันนี้ไม่ได้มาเจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง บางที เขาก็อาจจะปล่อยให้เรื่องมันจบไปทั้งอย่างนี้

เจี่ยนถงหยุดเดิน

เธอหันหลังให้คาย์อันเป็นเวลานาน จากนั้นถึงได้เอ่ยพูดออกมาว่า “ได้” เสียงของเธอแข็งกร้าวไร้อารมณ์

“นอกจากเงินของผมแล้ว เคยมีสักวินาทีไหม…….ที่คุณจริงใจกับผม?”

ในตอนที่คาย์อันเอ่ยถามประโยคนี้ออกมา สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป

ดวงตาของเสิ่นซิวจิ่นทอแววคมกล้า จ้องเขม็งไปยังเจี่ยนถง

ไป๋ยู่สิงกับซีเฉินต่างพากันนิ่งอึ้ง……นี่…..คงไม่ใช่ว่าชายหนุ่มต่างชาติหน้าตาสะสวยคนนี้ คิดอะไรกับเจี่ยนถงใช่ไหม?

ทั้งสองก็ยังเป็นเพื่อนที่รู้ใจกันมาหลายปี เพราะแทบจะคิดได้เหมือนๆกัน พวกเขาหันมองหน้ากันอึ้งๆอีกครั้ง ต่างก็มองเห็นความตกใจและความงุนงงในสายตาของอีกฝ่าย

ด้านเจี่ยนถง ในตอนที่คาย์อันเอ่ยถามประโยคนี้ออกมา ในใจของเธอก็กระตุกวูบ มีชั่วแวบหนึ่งสงสัยว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า ใบหน้าจึงเต็มไปด้วยความอ้ำอึ้ง

ด้านตัวคาย์อัน ในวินาทีที่เอ่ยถามออกไป คนที่ตกใจก่อนใครเพื่อนก็คือตัวเขาเอง……ดวงตาสีน้ำตาลทอแววตกตะลึง ทำไมเขาถามออกไปอย่างนั้น?

แต่ในวินาทีนั้น มันก็หลุดพูดออกไปแล้ว ต่อให้เขาไม่อยากยอมรับสักเท่าไหร่ ก็จำเป็นต้องยอมรับความจริง!

บางอย่าง ต่อให้ไม่อยากยอมรับแค่ไหน แต่ร่างกายและหัวใจกลับซื่อสัตย์เป็นที่สุด ถ้อยคำที่หลุดพูดออกไปโดยไม่ทันคิด เป็นได้สองอย่างคือคำพูดโกหก หรือไม่ก็สิ่งที่ใจกำลังคิด

และแน่นอน….ว่าเขาเป็นอย่างหลังอย่างไม่ต้องสงสัย

คาย์อันเป็นคนฉลาด เพียงแค่ชั่วครู่ ก็เหมือนว่าสามารถรับมือกับทุกสิ่งได้

เขาจัดร่างกาย แล้วเอ่ยถามเจี่ยนถงอีกครั้งว่า “มื้อดึกที่ทำให้ผมกินทุกคืน…..นอกจากเรื่องเงินแล้ว มีจุดประสงค์อื่นอีกไหม?”

ครั้งนี้ เขาไม่ได้รีบร้อนถามเหมือนครั้งแรก บนใบหน้าสวยประดับไปด้วยความเคร่งขรึม มองตรงมาที่เจี่ยนถง

เสิ่นซิวจิ่นรู้สึกจี๊ดๆในใจ มองเจี่ยนถงเหมือนมองภรรยากำลังนอกใจ

ทางด้านไป๋ยู่สิงกับซีเฉินกลับกำลังมองเสิ่นซิวจิ่น

“เห็นหรือยัง” ไป๋ยู่สิงแบมือออก “ฉันเคยบอกแล้ว เธอไม่ควรกลับมาที่เมืองS”

ความรู้สึกของซีเฉินเริ่มซับซ้อน “ไปๆมาๆ สุดท้ายทั้งสองก็ผิดใจกัน แต่อาซิวกลับหวั่นไหว…….” ขณะที่พูด ในดวงตาของซีเฉินก็เปี่ยมไปด้วยความกังวล “พวกเขา…..” พวกเขายังจะรักกันได้ไหม?

“ฉันกับนาย ก็เป็นแค่ผู้ชม ไปแก้ไขอะไรไม่ได้หรอก ก็คง…..ทำได้แค่ปลอบใจไอ้โบ้เท่านั้นแหละ”

แน่นอน “ไอ้โบ้” ที่ว่าหมายถึงเสิ่นซิวจิ่นอย่างไม่ต้องสงสัย

ซีเฉินไม่ได้พูดอะไร ถือเป็นการเห็นด้วยอย่างเงียบๆ

ด้านเสิ่นซิวจิ่น ก็รู้สึกเจ็บจี๊ดข้างในหัวใจ แต่ในเวลานี้ เขาไม่คิดที่จะห้ามเจี่ยนถง ความจริงแล้ว เขาเองก็อยากฟังคำตอบของเธอเหมือนกัน

หลังจากเงียบอยู่นาน ในที่สุดเจี่ยนถงก็เอ่ยพูด “ฉันไม่เคยคิดและไม่เคยจินหวัง ว่าฉันกับคุณคาย์อันจะได้กลับมาเจอกันอีกตอนไหน ในสถานการณ์ใด หรือเผชิญหน้ากันยังไง……เรื่องเหล่านี้ ฉันไม่เคยคิดถึงมันเลยค่ะ”

ถ้าเธอเคยรู้สึกอะไรกับเขา เธอก็คงแอบหวังและจินตนาการภาพที่จะได้พบเจอกับเจ้าชายขี่ม้าขาวอีกครั้งไปแล้ว แต่นี่เธอไม่แม้แต่จะรอคอย เพราะฉะนั้น เธอจึงไม่เคยรู้สึกอะไรเลยจริงๆ

เมื่อได้ยินดังนั้น บนใบหน้าสวยของเขา ก็ยิ้มออกมาบางๆ แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่ทำให้รู้สึกหน่วงๆ

ดวงตาของคาย์อันวูบไหว เขาเงยหน้ามองเพดาน จากนั้นก็ทอดมองมาที่เจี่ยนถง แล้วหัวเราะออกมา “คำตอบของคุณอ้อมค้อมดีเหมือนกันเนอะ……แถมยังโหดร้ายชะมัด”

“ฉันยอมรับ ตอนนั้นที่ฉันยอมให้คุณคาย์อันไปหาที่หอพัก” เจี่ยนถงเอ่ยพูดขึ้นมา ดวงตาหม่นแสงของคาย์อันเป็นประกายขึ้นมาอีกครั้ง แต่วินาทีต่อมา ก็ทำเอาความหวังของเขาดับวูบ “ที่ฉันยอมให้คุณคาย์อันมากินมื้อดึกที่หอพัก เป็นเพราะว่าฉันอยากได้เงินของคุณ”

“คุณ…..ใจร้ายมาก” คาย์อันพูดออกมา จากนั้นก็หันหลังเดินออกจากงานเลี้ยงไปอย่างรีบๆ

มีสายตาคู่หนึ่ง มองาที่เจี่ยนถง เจี่ยนถงเหลือบมองเล็กน้อย ท่ามกลางผู้คน ลู่เชนยืนอยู่ตรงนั้น เขาโดดเด่นท่ามกลางผู้คน ลู่เชนมองมาที่เจี่ยนถงนิ่งๆ จากนั้นก็ผงกหัวให้เล็กน้อย แล้วจึงกันหลังเดินตามคาย์อันออกไป

เจี่ยนถงหันมองเสิ่นซิวจิ่น “ฉันไปเข้าห้องน้ำนะ” ขณะที่หมุนตัวกลับหลัง เธอก็หลับตาลง…..เธออ่านสายตาของลู่เชนออก เหมือนกับว่าที่ลู่เชนผงกหัวให้เธอ นั่นก็เพราะว่าลู่เชนอ่านความรู้สึกเธอออกเหมือนกัน

ในห้องน้ำ เธอเอาแต่ล้างหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า จนเครื่องสำอางบนหน้าหลุดออก

“มากับฉัน” ทันใดนั้นแขนของเธอก็ถูกฉุดเอาไว้ เมื่อเจี่ยนถงหันไปมอง หน้าก็เปลี่ยนสีเล็กน้อย รีบดึงมือของเขาออก แล้วก้าวถอยหลัง จนระยะห่างระหว่างทั้งสองไกลกัน “คุณชายเซียว ไม่เจอกันนานเลยนะ”

“เจี่ยนถง มากับฉัน!” เซียวเหิงยื่นมือออกไปหาเธออีกครั้ง

เจี่ยนถงรู้เริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย….วันนี้มันอะไรกันเนี่ย?

เดี๋ยวก็คนนั้นเดี๋ยวก็คนนี้…..ก่อนออกจากบ้านเธอต้องก้าวเท้าผิดข้างแน่ๆ

“คุณชายเซียวไม่มีอะไรทำหรือไง ข้างนอกยังมีผู้หญิงอีกหลายคน ฉันแก่แล้ว เล่นด้วยไม่ได้หรอกค่ะ คุณชายเซียวกรุณาปล่อยมือได้แล้ว คนแก่ๆอย่างฉันไม่มีเวลาไปเล่นสนุกกับคุณชายเซียวหรอก”

อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้มีเรื่องของคาย์อัน ยิ่งตอนนี้เจอเซียวเหิงตามมาวุ่นวายอีก…..เจี่ยนถงจึงรู้สึกเหนื่อยมากๆ

“เจี่ยนถง มากับฉันเถอะ ฉันจะดูแลเธออย่างดี!” เซียวเหิงเดินเข้าไปจับเจี่ยนถงอย่างไม่สนสิ่งใด

“ปล่อย! คุณชายเซียว ปล่อยนะ!”

“เจี่ยนถง อยู่นิ่งๆ อย่าดิ้น ฉันรู้ว่าเมื่อก่อนฉันเลวมาก…..ฉันไม่สนหรอกว่าเธอจะใช่ฆาตกรหรือเป็นอย่างที่คนอื่นพูดหรือเปล่า เจี่ยนถง ฉัน ฉัน……”

“หุบปาก!” จู่ๆเจี่ยนถงก็ตัดบทเซียวเหิงอย่างดุร้าย ไม่ว่าเซียวเหิงกำลังจะพูดอะไรออกมา เธอก็ไม่อยากฟังทั้งนั้น!

“ได้ ฉันจะหุบปาก แต่เธอต้องมากับฉัน เราสองคนไปใช้ชีวิตสงบๆอยู่ด้วยกันที่หมู่บ้านเล็กๆเป็นไง เจี่ยนถง ฉันจริงใจนะ”

กรอบตาของเซียวเหิงแดงก่ำ

เจี่ยนถงหันหน้าหนี เธอไม่อยากเห็น จึงหลับตาลง ในตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็ฉายแววเฉียบขาดอย่างสังเกตเห็นได้ยาก

“คุณชายเซียว คุณฟังนะ อยากให้ฉันอยู่กับคุณงั้นเหรอ? เหอะ เทียบกับเสิ่นซิวจิ่นแล้ว คุณมีอะไรดีตรงไหน? คิดว่าฉันจะยอมเสียเพชรชิ้นที่หนึ่งชิ้นที่สองไป เพียงเพราะแค่เพชรกะรัตเดียวอย่างคุณงั้นเหรอ? สมองฉันไม่ได้มีปัญหานะ ฉันรู้ว่าฉันควรเลือกอะไร”

ริมฝีปากแดงระเรื่อขยับพูด

เซียวเหิงเซเล็กน้อย ก้มหน้ามองริมฝีปากของหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังพ่นถ้อยคำไร้ความปรานีออกมา “เธอ……”

เซียวเหิงทำหน้าช็อก “……..” หลังจากอึ้งอยู่สักพัก จู่ๆก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “เจี่ยนถง ฉันไม่เชื่อ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเธอเป็นคนเห็นแก่เงิน ไม่อย่างนั้น ทำไมตอนนั้นเธอถึงพูดแบบนั้นกับฉันล่ะ เธอบอกฉันว่าเกลียดคนแบบไหนก็อย่าเป็นคนแบบนั้น…..เจี่ยนถง ฉันไม่เชื่อว่าเธอเป็นคนเห็นแก่เงินจริงๆหรอก ฉันรู้ว่าการกระทำเหล่านั้นมันทำร้ายเธอ แต่…….”

“ไม่มีแต่ คุณชายเซียว คนเข้าใจต้องพูดให้รู้เรื่อง เอางี้ ฉันจะพูดให้คุณเข้าใจชัดๆอีกครั้งแล้วกัน อยากให้ฉันไปกับคุณงั้นเหรอ? ได้สิ แต่ต้องรอให้ถึงวันที่คุณเอาชนะเสิ่นซิวจิ่นได้ก่อนนะ…..”

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยื่นมือออกไป “คุณมีบุหรี่ไหม?”

เซียวเหิงไม่รู้ ว่าทำไมจู่ๆเธอถึงถามออกมาอย่างนี้ เขาจึงพยักหน้า “มี……”

เจี่ยนถงยื่นมืออยู่อย่างนั้น “ขอมวนหนึ่งสิ”

“เธอจะเอาไปทำอะไร?” แม้ว่าเซียวเหิงจะไม่เข้าใจ แต่ก็ยังส่งบุหรี่ไปให้เธออยู่ดี

ในตอนที่เซียวเหิงหยิบซองบุหรี่ออกมา เขาก็คลำหาไฟแช็กออกมาด้วย เมื่อเจี่ยนถงรับเอาบุหรี่มา เธอก็หยิบไฟแช็กขึ้นมา จากนั้นก็ แกร็ก!

เซียวเหิงตกใจ “นี่เธอทำอะไร!” เขาเอื้อมมือไปแย่งกลับมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

เจี่ยนถงเอนหลบเล็กน้อย จากนั้นก็สูบบุหรี่เข้าไป แล้วพ่นควันสีขาวออกมา “คุณชายเซียว คุณดูสิ คุณคิดว่าคุณรู้จักฉันดีเท่าไหร่? คุณรู้จักผู้หญิงอย่างเจี่ยนถงมากแค่ไหนกัน? ถึงได้เอาบอกให้ฉันไปกับคุณอยู่ได้? ขนาดเรื่องที่ฉันสูบบุหรี่คุณยังไม่รู้เลย….คุณคิดไปเองคนเดียวว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าคุณตรงนี้ไม่ใช่คนเห็นแก่เงินงั้นสินะ?”

เจี่ยนถงกวาดสายตามองเซียวเหิงที่กำลังตกตะลึงอย่างเหยียดหยาม ควันสีขาวที่ลอยอยู่ในอากาศไม่อาจปกปิดแววตาดูแคลนคู่นั้นได้ ซ้ำยังทำให้เห็นชัดเจน……ว่าเจี่ยนถงในตอนนี้ คือผู้หญิงหิวเงินที่ตกสามีรวยๆได้และกำลังดูถูกชายหนุ่มตรงหน้า

“คุณไปได้แล้ว” ดวงตาของเธอเย็นชา ซ้ำยังพูดออกมาอย่างดูถูก จากนั้นก็เคาะบุหรี่ในมือด้วยการกระทำเก้ๆกังๆ จนหัวบุหรี่เกือบหล่นลงบนพื้น แต่ในเวลานี้ความสนใจทั้งหมดของเซียวเหิงกลับจดจ่ออยู่บนใบหน้าของเจี่ยนถง

เซียวเหิงคิดไม่ถึงเลยว่า จะได้มาเห็นภาพนี้ ไม่ใช่เรื่องที่เจี่ยนถงสูบบุหรี่ได้ แต่เป็นสีหน้าและพฤติกรรมของผู้หญิงที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ในตอนนี้ต่างหาก มันช่างเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆที่รักแค่เงินของเขา เวลาออกไปเที่ยวด้วยกันก็เอาแต่มองเหยียดขอทานข้างถนน

เธอในตอนนี้ เหมือนกับผู้หญิงที่รังเกียจคนจนชอบคนรวยพวกนั้นมากๆ!

เซียวเหิงสติหลุดลอยกับภาพเบื้องหน้า แต่วินาทีต่อมาความแน่วแน่เมื่อเห็นเธอหันหลังเดินออกไปก็พลันถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง “อย่าเพิ่งไป! ฉันไม่เชื่อ! เจี่ยนถง เธออย่าคิดที่จะหลอกฉันเลย”

ยื่นเธอออกไปฉุดเธอเอาไว้ เซียวเหิงโน้มหน้าเข้าไปกดจูบลงบนริมฝีปากคู่นั้นอย่างอดรนทนรอไม่ไหว ทันทีที่สัมผัสริมฝีปากคู่นั้น…..ก็เหมือนกับได้สัมผัสความโล่งใจไม่เคยมีมานาน

เจี่ยนถงตกใจ จึงยกเท้าขึ้นถีบ

“ปล่อย….อื้อ!”

“เจี่ยนถง ฉันไม่ปล่อยเธอหรอก คราวนี้ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรฉันก็ไม่ปล่อยเธอไปแน่ เราต้องได้อยู่ด้วยกัน ต่อให้คนนามสกุลเสิ่นจะขัดขวาง หรือต่อให้ต้องกลายเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก……” เซียวเหิงที่กำลังถูกอารมณ์กัดกร่อน ไม่ได้สังเกตเลยว่ามีหมัดแหลมๆพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง

“ผลั้วะ!

“นายไม่ต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกหรอก เป็นศัตรูกับฉันก็พอ!” เสียงถมึงทึงมาพร้อมกับเสียงหมัดหนักๆ

ไป๋ยู่สิงดึงซีเฉินที่กำลังจะเข้าไปช่วยเอาไว้ “ไม่ต้อง!”

เขาเข้าใจเป็นอย่างดี “มาเห็นภาพนี้ อาซิวไม่โกรธเป็นบ้าสิแปลก!”

ศีรษะของเซียวเหิงมีเลือดไหลออกมา เจี่ยนถงตกใจเบิกตากว้าง จากนั้นก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “สวัสดีค่ะ 120ใช่ไหมคะ…..”

ยังไม่ทันได้พูดจบ โทรศัพท์ในมือก็ตกลงบนพื้น

เจี่ยนถงมองโทรศัพท์ที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น “ประธานเสิ่น คุณทำอะไรเนี่ย!”

มือที่วางอยู่ข้างลำตัวของเสิ่นซิวจิ่นกำแน่น “ผมทำอะไรงั้นเหรอ? คุณถามผม ว่าผมทำอะไรงั้นเหรอ? เสี่ยวถง…..เสียงของชายหนุ่มอ่อนโยนเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูอ่อนโยนผิดปกติ ดวงตาสีดำอันตรายจ้องมองมาที่เจี่ยนถงอย่างเย็นยะเยือก “คุณทำอะไรมาล่ะ? แล้วเมื่อกี้กำลังจะทำอะไร?…..ทำไม? อยากหนีไปกับเซียวเหิงมากงั้นสิ?”

เจี่ยนถงหน้าซีด “ไร้สาระ!” เธอพยายามฝืนไม่ให้น้ำตาไหล จากนั้นก็หันมามองเซียวเหิง กัดฟันแล้วพูดว่า “คุณชายเซียว!”

เธอไม่อยากอธิบายด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่ยอมแบกรับข้อกังขาของผู้ชายคนนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าหรอกนะ!

และเรื่องจริงเป็นยังไง เซียวเหิงเองก็รู้

ในตอนที่ได้ยินน้ำเสียงที่สื่ออะไรบางอย่างของเจี่ยนถง ในใจของเขาก็สั่นไหว แววตาเป็นประกายวาวโรจน์ แม้ว่าจะลังเลนิดหน่อย แต่กลับไม่สามารถห้ามความอยากเอาชนะในใจของเขาเอาไว้ได้ “เสิ่นซิวจิ่น เสี่ยวถงกลัวนาย แต่ฉันไม่กลัวหรอกนะ ไม่ว่าเมื่อก่อนพวกนายจะมีความสัมพันธ์ยังไงกัน นั่นมันก็เป็นแค่เรื่องในอดีต ก็แค่การเล่นพ่อแม่ลูกในตอนเด็ก เสิ่นซิวจิ่น นายไม่ได้ชอบเสี่ยวถง แต่กลับไม่ยอมปล่อยเธอไป นายมันเห็นแก่ตัว!”

เมื่อเซียวเหิงพูดออกมา ใบหน้าของเจี่ยนถงก็ซีดจนแทบไร้สีเลือด เธอจ้องเซียวเหิงอย่างไม่อยากจะเชื่อ

เสิ่นซิวจิ่นโกรธจนแทบบ้า คำพูดของเซียวเหิง เป็นเหมือนเชื้อเพลิงชั้นดี ความหึงหวงที่ใกล้จะมอดไหม้ ตอนนี้คำพูดของเซียวเหิง กลับยิ่งไปกระตุ้นผู้ชายคนนี้

ไป๋ยู่สิงรำพึงในใจ “จบกัน อาซิวใกล้จะเสียสติแล้ว!”

ดวงตาลุ่มลึกของเสิ่นซิวจิ่น จดจ้องผู้หญิงคนนั้นเขม็ง…..เธอยังจะมองเซียวเหิงอยู่อีกเหรอ? มีอะไรให้มองนักหนา?

เซียวเหิงหล่อกว่าเขางั้นเหรอ?

เสิ่นซิวจิ่นจ้องริมฝีปากบวมแดงของเจี่ยนถง ใบหน้าชื้นไปด้วยเหงื่อ เปียกไปถึงไรผม…..นี่จูบกันนานจนผมยุ่งเลยเหรอ?

เมื่อคิดได้แบบนี้ หัวใจของเขาก็หึงหวงจนแทบบ้า ดวงตาที่อาบไปด้วยาพิษ จ้องมองเจี่ยนถงแน่นิ่ง “เจี่ยนถง คุณมันแน่!” คิดจะไปจากเขา อย่าหวังเลยว่าชาตินี้จะสมหวัง!

เจี่ยนถงมองเสิ่นซิวจิ่น จู่ๆก็ยิ้มออกมา “คุณนี่ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ เสิ่นซิวจิ่นที่เป็นความภาคภูมิใจของตระกูลเสิ่น จะเปลี่ยนไปได้ยังไงเนอะ?” เธอยิ้มออกมาอย่างยอมแพ้

เขาจะเปลี่ยนไปได้ยังไง? สิ่งที่เขามีให้เธอแต่ไหนแต่ไรก็มีแต่ข้อกังขากับความไม่เชื่อใจอยู่แล้วนี่

ความเจ็บปวดมันกดทับจนเธอหายใจไม่ออก

ไม่เป็นไรนะเจี่ยนถง….. เธอกระตุกยิ้ม “แล้วยังไง ประธานเสิ่นยอมให้ไปไหมล่ะ?”

ยอมรับแล้ว!เธอยอมรับแล้ว! ทุกส่วนในร่างกายของเสิ่นซิวจิ่นรู้สึกเจ็บแปล็บ ความเย็นชาในดวงตาทอแววเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ “เสี่ยวถง ทำไมไร้เดียงสาขนาดนั้นล่ะ ถึงยังไง……ก็เคยเข้าคุกมาแล้วตั้งสามปีไม่ใช่เหรอ”

เขายิ้มพร้อมกับมองมาที่เขา มองข้ามความเจ็บปวดที่เกาะกินหัวใจ หัวเราะเบาๆแล้วพูดว่า “บทเรียนที่ประธานเสิ่นให้มานะ ตลอดชีวิตของเจี่ยนถงคนนี้ ไม่มีทางลืมมันได้ลงหรอก คุณ…..สบายใจได้”

เซียวเหิงจับมือของเจี่ยนถงเอาไว้ “วันนี้ฉันจะพาเสี่ยวถงไปให้ได้!” เขาจ้องมองเสิ่นซิวจิ่นอย่างดุร้าย

“งั้นก็ลองดูสิ กับคนที่ฉันไม่อนุญาตให้ไปไหน นายจะพาเธอไปได้ง่ายๆหรือเปล่า”

เสิ่นซิวจิ่นจ้องมองมือของเซียวเหิงที่กุมมือของเจี่ยนถงเขม็ง รู้สึขัดหูขัดตาเป็นอย่างมาก

เขาเดินก้าวยาวๆเข้าไป พร้อมกับซัดหมัดเข้าไปอย่างเต็มกำลัง

ทั้งสองคนเปิดศึกกัน เสิ่นซิวจิ่นจับเจี่ยนถงเอาไว้ แล้วตะโกนขึ้นมาว่า “ไป๋ยู่สิง ซีเฉิน รุม!”

“รุมอะไรล่ะ นี่มันหมาหมู่ชัดๆเลยนะ!” ซีเฉินสบถออกมาพร้อมกับมองเสิ่นซิวจิ่นอย่างดูถูก แต่ทว่าคนที่พร้อมปะทะก่อนใครเพื่อนกลับเป็นเขา

ไป๋ยู่สิงกุมหน้าผาก…..ซีเฉินนี่ช่าง อาศัยความชลมุนสนองความต้องการของตัวเองจริงๆ

ในเมื่อซีเฉินลงสนามไปแล้ว เขาเองก็ไม่มีเหตุผลให้ลังเลอีกต่อไป

ทั้งสองเข้าล้อมเซียวเหิงเอาไว้ ส่วนเสิ่นซิวจิ่นลากเจี่ยนถงออกมาจากตรงนั้น เขาก้มลงแบกเจี่ยนถงขึ้นบ่าอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง “ฝากพวกนายด้วยนะ”

ไป๋ยู่สิงหันมองคนที่กำลังเดินออกไป “แม่ง! อาซิวไอ้เชี่ย!”

เมื่อเซียวเหิงเห็นเจี่ยนถงกำลังจะถูกเอาตัวไป ก็รีบฟาดหมดออกไป “ถอยไป เป็นหมาอย่ามาขวางทาง!”

ด้านเจี่ยนถง ก็ถูกเสิ่นซิวิ่วยัดเข้ามาในรถ

“ไปไหน?” เจี่ยนถงเห็นเส้นทางนี่แปลกๆ จึงรีบเอ่ยถามขึ้นมา

“สำนักพลเรือน!”

เธอเริ่มลนลาน “เขาเลิกงานกันหมดแล้ว!”

ชายหนุ่มหัวเราะออกมา “คุณนี่มันซื่อจริงๆ”

เมื่อเธอเข้าใจความหมายของเขา ก็ยิ่งลนลานกว่าเดิม ยื่นมือออกไปจับประตูรถ “เปิดประตู ฉันจะลง!”

เจี่ยนถงลงจากรถตามที่คิด แต่ คือโดนแบกหามลงจากรถ

“ฉันไม่ลงรถ!ปล่อยฉันนะ!ปล่อยสิ!”

ตัวของเธอครึ่งท่อนโดนเสิ่นซิวจิ่นแบกอยู่ เหลือเพียงมือสองข้าง เธอตะกายคว้ากำประตูรถไว้อย่างน่าสงสาร ขาทั้งสองเตะไปมาบนลำตัวของเขา ไหนๆด้านหลังก็ไม่มีตาอยู่แล้ว จะเตะโดนไม่โดนตานั่นเป็นไรไป ใครจะไปรู้

“หึ เมื่อกี้เธอเองไม่ใช่เหรอที่อยากลงรถ”

เจี่ยนถงนิ่ง แล้วกลับมาแช่มชื่นเหมือนเดิม“ก่อนตกนรก ให้ตายยังไงคุณก็ไม่ยอมขอฉันแต่งงานไม่ใช่เหรอ”เธอย้อนกลับ

“นั่นเป็นความผิดพลาด ตอนนี้ผมขอแก้ตัว”บนใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่ม เป็นประกาย ภายใต้แสงไฟ ยิ่งดูหล่อเข้ม

“เสิ่นซิวจิ่น”เธอยิ้ม“ตอนนี้ฉัน ก็อยากชดเชยความผิด”

สองคนต่อคำ แววตาชายหนุ่มเย็นชาเล็กน้อย ไม่สนใจคำพูดนี้ของเธอ พูดออกไปคำหนึ่ง“นับแต่วันนี้ คุณจะเป็นเมียของผมเสิ่นซิวจิ่น เป็นแม่ของลูกผม”

“เสิ่นซิวจิ่น คุณ……ทุเรศจริง!”เจี่ยนถงด่าออกไปอย่างดุดัน

ชายหนุ่มหนี่ตา แววตาประกายลึก “คุณกำลังจะแต่งงานกับผู้ชายทุเรศคนนี้อยู่มะรอมมะร่อ!”

“ฉันไม่เซ็นหรอกนะ!”

“เสี่ยวถง คุณไร้เดียงสาอีกแล้วนะ”

ในเวลานี้ เจี่ยนถงยังไม่ทันเข้าใจอะไรเลย ความหมายของคำพูดของเสิ่นซิวจิ่น

ตรงเหลือเกิน……

นั่งอยู่ในสถานีตำรวจ ตรงหน้าโคมไฟดวงหนึ่ง

“ฉันไม่เซ็นหรอกนะ ”เธอตอบเสียงเรียบ กวาดข้าวของบนโต๊ะ

คนที่สำนักงาน ตอนมายังบ่นอยู่เลย ตอนนี้เส้นประสาทตึงเครียด ตึงจนพูดไม่ออก

แทบจะไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง……นี่จะมาแต่งงานที่ไหน นี่มาคลุมถุงชนต่างหาก!

เขาทำงานที่นี่อย่างขยันขันแข็งมาเจ็ดแปดปี แต่ไม่เคยเจอการแต่งงานที่ชักดาบแบบนี้มาก่อน

เสิ่นซิวจิ่นปราดมองไปที่เจี่ยนถงอย่างเรียบง่าย จู่ๆยื่นมือออกไป จับมือเธอไว้

เจี่ยนถงตระหนก“คุณทำอะไรน่ะ!นี่มันผิดกฎหมายไม่รู้หรือไง!”

“คุณก็ไปฟ้องเอาสิ”เขาจับมือเธอ แล้วจับมือเธอเซ็นชื่อทีละตัว

ภายใต้ตัวอักษรสิบขีด คำว่า“เจี่ยน”ก็ปรากฏออกมา

“เสิ่นซิวจิ่น!นี่เรียกว่าการบังคับ!”

น้ำเสียงแหบพร่ากล่าวขึ้นอย่างร้อนรน เงยหน้าอย่างร้องขอความช่วยเหลือ พูดกับพนักงานที่อยู่ตรงหน้าว่า“ฉันไม่ยินยอมค่ะ กรุณาช่วยฉันด้วย”

พนักงานที่อยู่ตรงหน้ารีบหันหน้าไปอีกทาง“คุณนายครับ นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวของคุณ พวกคุณไปตกลงกันให้ดีก่อนมั้ย ตกลงกันแล้วค่อย……”

“ฉันไม่ใช่ภรรยาเขาค่ะ!นี่ไม่ใช่เรื่องในครอบครัว!คุณก็เห็นแล้ว!คุณเห็นหมดทุกอย่างนี่!”ทำไมไม่พูดอะไรที่ยุติธรรมบ้างเล่า!

จู่ๆน้ำเสียงของเธอก็หยุดชะงัก เสียงใสกังวานอยู่ริมหู การเข้าใกล้ของเขา พ่นลมอุ่นๆอยู่ริมหูเธอ เธอสัมผัสได้ชัดเจน!

ริมฝีปากบางเฉียบแนบหน้าเธอ“ถึงบอกไงล่ะว่าคุณไร้เดียงสา ไร้เดียงสาเหมือนสามปีก่อนไม่มีผิด”

โครม!

จู่ๆหัวใจเจ็บแปล๊บ!

กัดฟันจนฟันสีขาวแทบจะแตก……ถึงบอกไงว่าคุณไร้เดียงสา ไร้เดียงสาเหมือนสามปีก่อนไม่มีผิด

เสิ่นซิวจิ่น คุณชนะแล้ว!

เดิมทีใช้กำลังทั้งหมดต้านแรงมือที่จับปากกาเอาไว้ จู่ๆเธอสลัดแรงออกทั้งหมด ปล่อยให้คนที่อยู่ด้านหลังจับมือเธอไว้ แล้วค่อยๆเขียนชื่อเธอทีละตัวๆ

“ยินดีกับทั้งสองท่าน”ข้างหู เป็นเสียงแสดงความยินดีของพนักงาน

เธอฟังแล้วรู้สึกเสียดหูไม่น้อย……ปล่อยให้ชายหนุ่มรับสมุดเล่มแดงไป แล้วปล่อยให้เขาจูงมือเธอเดินออกไป จู่ๆกลับรู้สึกคลื่นไส้ สะบัดมือเขาออก “เอาล่ะ คุณพอใจแล้วสินะ คุณชนะแล้วไง คุณทำแบบนี้แสดงถึงอะไรได้ แสดงว่าไม่ว่าจะขึ้นฟ้าลงดินคุณทำได้หมดสินะ คุณพิสูจน์ถึงเกียรติตัวเอง แล้วฉันล่ะ”

เธอชูหมัด หมัดหนึ่งๆกระหน่ำลงบนตัวเขา บ่าของเขา หน้าอกของเขา แขนของเขา ……ไม่มีส่วนไหนเลยที่ไม่รับหมัดที่กระหน่ำลงมาราวกับห่าฝน

เจี่ยนถงระบายอารมณ์ เธอต้องระบายออกมา!

เธอโกรธเขา ก็เลยกระหน่ำทุบเขาลงไปทีละหมัดๆ

เขาไม่ขยับกาย ปล่อยให้หญิงสาวขยับหมัดลงบนตัว

เจี่ยนถงทุบเอาๆ อาการระบายอารมณ์จึงค่อยๆผ่อนลง จนถึงสุดท้าย เป็นนานกว่าจะเห็นเธอทุบหมัดสุดท้ายลงมา “ไม่โทษคุณหรอก ”เธอค่อยๆเอ่ยปาก พูดออกมาสามคำ

เธอโทษตัวเองมากที่สุด!

โทษที่ตัวเองไร้ความสามารถ!

เธอโดนแบกเข้าไปในที่ทำการ ตอนที่ไป เธอรู้สึกตัวราวกับเป็นผู้กล้า ตอนที่เดินออกมา รู้สึกราวกับเหมือนมะเขือที่โดนทุบจนแบน

เมื่อกวาดตามองสมุดเล่มแดงที่อยู่ในมือของเสิ่นซิวจิ่น ริมฝีปากซีดขาว กัดจนมีเลือดซึม แล้วยิ้มเยอะตนเอง……ใช่ เธอมันไร้เดียงสาจริงๆนั่นแหละ

เวลาเลิกงาน สามารถเอาสมุดแดงมาได้ เธอไม่ยอมเซ็นชื่อ เขาก็ยังมีวิธีเป็นร้อยที่ทำให้เธอเซ็น

“เสิ่นซิวจิ่น คุณชนะแล้ว จริงสิ ระหว่างคุณกับฉัน แต่ไหนแต่ไรมา ฉันเป็นฝ่ายแพ้มาตลอดนี่นา”เธอแพ้ราบคาบเสมอมา!ในมือเธอ มีไออุ่นจากฝ่ามือของเสิ่นซิวจื่นถ่ายผ่านมา แต่หัวใจกลับเย็นวาบ

จากนั้น เขายื่นมือไปโอบหญิงสาวเข้ามาหาตัว หัวใจของชายหนุ่มปวดแปล๊บ แต่ก็พูดอย่างเผด็จการ“เสี่ยวถง ลืมเสียเถอะ กับผม……ใช้ชีวิตให้ดี”

คำพูดที่แสนจะเรียนง่ายและเป็นจริง ถ้าคนที่รู้จักเสิ่นซิวจิ่นยืนอยู่ข้างๆ จะไม่เชื่อกับหูแน่นอน คำพูดแบบนี้ จะออกมาจากปากของคนที่ทั้งทระนงและหยิ่งผยองอย่างเสิ่นซิวจิ่นได้อย่างไร

เจี่ยนถงตะลึง……ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า นัยน์ตาดำแสนทระนงคู่นั้นของเขา เป็นแววตาที่ตั้งแต่รู้จักเขามา ไม่เคยมีมาก่อน……เป็นแววตาวิงวอนงั้นหรือ

ไม่ไม่ไม่ เธอดูผิดแน่นอน!

เธอกะพริบตาโดยแรง ดูผิดหรือเปล่า

ราชสีห์ผู้ทระนงก้มหัวงั้นหรือ เพียงแค่วิงวอนเธองั้นหรือ

“ประธานเสิ่นจะให้ฉันลืมงั้นหรือคะ ลืมยังไงคะ!”

เขาพูดง่ายนี่“ลืม” แต่นั่นมันครึ่งค่อนชีวิตเธอเชียวนะ คำว่า“ลืม”……เสิ่นซิวจิ่น!คุณรังแกคนแบบนี้ได้ไง!

แววตาเธอแดงก่ำ ริมฝีปากซีดเม้มเข้าหากัน……ในเวลานี้ เธอนั่นแหละที่เป็นตัวตลก!

“คุณนายเสิ่นอะไรกัน ฉันไม่สนใจทั้งนั้นอ่ะ!แค่คุณนายเสิ่นคำเดียว จะให้ฉันลืมอดีตของตัวเองทั้งหมด”

ฮ่าๆ……ฮ่าๆๆๆ……

แค่“ลืม”คำเดียว จะลบความเป็นอยู่เยี่ยงนรกนี้ได้เหรอ

ยิ้มเม้มมุมปาก ยิ่งดูเฉิดฉาย เธอไม่รู้ ว่าจะแสดงสีหน้ายังไงดี ใช้คำพูดยังไงมาแสดงความโกรธเกลียดและความเจ็บปวดในใจ!

โกรธจนต้องยิ้มออกมา เจ็บปวดจนต้องหัวเราะออกมา!

“ประธานเสิ่น คุณมีความรู้กว้างขวาง มีความสามารถ”เธอเงยหน้า ยิ้มทั้งน้ำตา“มีปัญญาดีนี่!เขาจะลบความทรงจำของฉัน!ไม่เช่นนั้น ฉันจะลืมไม่ลง!และก็จะไม่มีวันลืม!”

ปล่อยให้น้ำตาร่วงพรั่งพรู รอยยิ้มของเธอ ทำให้ใจใครเจ็บปวด

ชายหนุ่มมองเธออย่างถนอม แววตาสีดำหากไม่คลาดเคลื่อนแม้เพียงน้อย เพียงแค่ไม่พูด หันไปเปิดประตูหลังของรถ แล้วดันเธอเข้าไป

“อ๊า!”

เธอร้องอย่างตกใจ ส่วนเขาก็กดเธอลงไป“บางที เราควรจะมีลูกด้วยกัน ”ถ้ามีลูก เธอก็จะปล่อยวางทุกเรื่องในอดีต แล้วใช้ชีวิตกับเขาไปอย่างสงบ

“เสิ่นซิวจิ่น คุณบ้าไปแล้ว!”หญิงสาวกรีดร้องแหบพร่า แล้วไหวไปตามแรงรถ

แครก~

เสียงแตกหักดังขึ้น!

รถเบนซ์ลีย์สีดำคันหนึ่ง ขับเข้าไปในถนนป่าไม้ทั้งสองข้างทางเรียงรายด้วยต้นไม้ใหญ่ เอนไปด้านหลัง รถวิ่งลอดประตูอุโมงค์ แล้วขับเข้าไป

รถจอดเบาๆหน้าประตู เสิ่นซิวจิ่นลงมาจากรถก่อน แล้วค้อมตัวไปอุ้มหญิงสาวที่อยู่ในรถขึ้นมา

หญิงสาวแววตาว่างเปล่า ปล่อยให้เขาอุ้ม

พ่อบ้านเซี่ยเดินออกมา“คุณชายกลับมาแล้วหรือครับ”พูดพลาง สายตาจับจ้องไปที่หญิงสาวที่อยู่ในอ้อมอกของเสิ่นซิวจิ่น เมื่อเห็นเธอถูกห่อตัวด้วยชุดสูทของชายหนุ่ม เขาจึงหลุบตาลง

ริมฝีปากที่แห้งผาก ขยับเล็กน้อย ค้อมตัวให้พลางยิ้มแข็งขืน

คนที่อยู่ตรงหน้าเดินผ่านเขาไป พ่อบ้านชราแอบมอง แค่นิดเดียวเท่านั้น แล้วก็ตกใจจนเบิ่งตาโพลง จ้องเขม็งไปที่ดวงตาแดงก่ำนั้น

“คุณชาย ผมถือให้ครับ”พ่อบ้านชรารีบเดินขึ้นหน้า พูดด้วยลำคอแห้งผาก ยื่นมือไป เตรียมจะรับสมุดแดงที่เสิ่นซิวจิ่นหนีบอยู่บนมือขณะอุ้มเจี่ยนถง

พ่อบ้านชรายื่นมือออกไปรับสมุดแดงอย่างมีน้ำใจ และยิ่งอยากดูให้ชัดว่าสมุดแดงเล่มนั้นคืออะไร เป็นไปตามคิด ชายผู้นั้นสาวเท้าไปหลบมุม ถอยหลังหลบ หลังจากหลบแล้ว จึงเดินขึ้นหน้าต่อ แล้วพูดว่า“ไม่เช้าแล้ว พ่อบ้านเซี่ยไปพักผ่อนเถอะ”

พ่อบ้านเซี่ยไม่ยอมตายใจ“เรื่องเท่านี้……”

“เรื่องแค่นี้พ่อบ้านเซี่ยไม่ต้องห่วงหรอก”ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบ

“แต่ว่า……”

พ่อบ้านเซี่ยยังคงพูดโต้

ทันใด!

เสิ่นซิวจิ่นหยุดฝีเท้าลง แล้วอุ้มคนที่อยู่ในอ้อมกอดไม่ไหวติง เอียงร่างผอมๆไปด้านข้าง มองไปที่พ่อบ้านเซี่ยด้วยสายตาเรียบเชียบ มุมปากเชิดขึ้นเล็กน้อย แต่มีความเย็นชา สายตาที่จ้องไปยังพ่อบ้านนั้นคมกริบ“แค่ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีก็พอ”

คำเตือนอย่างเงียบเชียบ!

ใบหน้าหนาด้านของพ่อบ้านเซี่ย ซีดเผือด แววตาไม่สบอารมณ์ อดทนกัดฟัน

ตึก ตึก ตึก……

หูได้ยินเสียงฝีเท้าที่อยู่ตรงหน้าไกลออกไป จู่ๆพ่อบ้านเซี่ยเงยหน้าขึ้น ตะคอกตามเงาหลังของเสิ่นซิวจิ่นไป“คุณชายยังจำเวยเหมิงได้มั้ย จำได้หรือเปล่า……ก่อนที่เวยเหมิงตายเธอต้องหวาดผวาแค่ไหน”

พ่อบ้านเซี่ยแววตาเจ็บปวด เสียงตะโกนแทบกลืนหายไปในคอ ในน้ำเสียงมีแววตำหนิ!

แววตาเหม่อลอยของเจี่ยนถง มีแสงประกายว๊าบผ่าน เป็นแสงอ่อนบางเหลือเกิน แต่ยังไม่ทันฉายแสง ก็มอดดับไป สลายไป……แค่ไม่มีคนเห็น แววตาเหม่อลอยของเธอ นัยน์ตาแฝงไปด้วยอารมณ์แค่นเย้ย ……ทำร้ายคนประหนึ่งทำร้ายตน เหอะ ก่อนที่เวยเหมิงตายเธอหวาดผวาแค่ไหน นั่นเป็นละครฉากใหญ่ที่เวยเหมิงเตรียมไว้ให้ตนต่างหาก……

เสิ่นซิวจิ่นยกเท้าขึ้น แล้วชะงักกลางคัน จากนั้น ค่อยๆวางลงบนพื้น หันหลังให้พ่อบ้านเซี่ย พูดอย่างแล้งน้ำใจ“เรื่องของเธอ ค่อยว่ากัน”

สิ้นเสียง ไม่รีรอ เขากอดคนในอ้อมแขนเดินขึ้นชั้นสอง

พ่อบ้านเซี่ยจ้องเขม็งตามหลังเงาอันสูงโปร่ง แววตาชราดูเหม่อลอย……คุณชาย เดินไปดื้อๆแบบนี้เหรอ

ต่อให้เขาเอ่ยถึงเวยเหมิง เอ่ยถึงการตายของเวยเหมิง คุณชายไม่มีความอาลัยอาวรณ์สักนิดเลยเหรอ

พ่อบ้านชราเม้มปาก……เพราะปิศาจจิ้งจอกเจี่ยนถงนั่นคนเดียว!

ต้องเป็นเพราะปิศาจจิ้งจอกอย่างเจี่ยนถงวางเสน่ห์คุณชาย!

ไม่อย่างนั้น ไม่อย่างนั้น ……คุณชายจะไม่อาลัยอาวรณ์เวยเหมิงได้อย่างไร

แต่ว่า……วันดีๆของปิศาจจิ้งจอกเจี่ยนถงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!

พ่อบ้านชรานึกถึงคำกำชับของเจ้านายที่กำชับ ก็อดฉายแววตาเคียดแค้นชิงชังไม่ได้

ในห้องนอน เสิ่นซิวจิ่นวางหญิงสาวเข้าไปในผ้าห่ม ลูบหัวหล่อน“ผมมีธุระต้องคุยกับพ่อบ้านเซี่ย คุณเหนื่อยแล้ว รีบนอนเสีย อย่า……คิดเหลวไหล”

ความนุ่มนวลแบบนั้น ความอบอุ่นแบบนั้น ในแววตาของเจี่ยนถง เธอกะพริบตาปริบๆมองเพดาน ราวกับคนที่ตายทั้งเป็น หมดความรู้สึกต่อโลก

เสิ่นซิวจิ่นหมุนตัว ในใจว่า ขอโทษนะ เสี่ยวถง

วินาทีถัดไป แววตาที่ดูสลดของเขา แทนที่ด้วยการล้างแค้นและกิเลส……ขอโทษนะ แต่ ไม่ปล่อยมือแน่นอน!

เหมือนในใจมีเสียงร่ำร้องพูดว่า เสิ่นซิวจิ่น นายปล่อยมือไม่ได้ ถ้าปล่อยมือ เธอจะบินหลุดลอยไป

น้ำเสียงนี้คอยรบกวนเขา แล้วทำให้เขารัดรึงเธอมากขึ้น

ทรายยิ่งกำแน่น ก็จะยิ่งไหลเร็ว……

“พ่อบ้านเซี่ย ตามผมมา”

พ่อบ้านเซี่ยกำลังจะปิดประตูคฤหาสน์ ด้านหลัง ก็มีเสียงทุ้มต่ำลอดตามมา พ่อบ้านเซี่ยพยุงที่จับประตู เขาสั่นเล็กน้อย ยังไม่ทันได้หันตัวกลับไป เงาดำนั้นก็มาปรากฏตัวตรงหน้า ข้ามประตูใหญ่ไป เดินออกนอกห้องไป

พ่อบ้านเซี่ยรีบเดินตามไปเงียบๆ คอยก้มๆมองๆอยู่ข้างหลัง อย่างไรเสียเงาสูงโปร่งด้านหน้าก็อยู่ห่างตัวเองเพียงเมตรเดียว

นายหนึ่งบ่าวหนึ่ง สองคนเดินผ่านระเบียงยาวไป เดินอ้อมคฤหาสน์ แล้วไปที่สวนด้านหลังคฤหาสน์

ยิ่งเดิน ทางยิ่งลึก

ทางยิ่งลึก ต้นไม้สองข้างทางถนนป่าไม้ก็ยิ่งมาก ยามกลางคืนยิ่งดูอึมครึม

แล้วยิ่งตอนนี้เข้าฤดูหนาวแล้ว

วังเวงเงียบสงัด ต้นไม้ใบหญ้าโรยรา

พรึ่บพรับ~

ไม่รู้ว่านกป่าที่ไหนบินผ่าน มันเริงร่าท่ามกลางไม้แห้ง

พรึบพรั่บ~

มืดวังเวง

แกร๊ก~

พ่อบ้านเซี่ยรู้สึกใจหวิว เขาพยายามปั้นหน้าให้เรียบสงบ กลางดึกของฤดูหนาว กลับมีเม็ดเหงื่อผุดพรายอยู่บนใบหน้า

เขารักษาความนิ่งไม่ได้อีกต่อไป“คุณชายครับ จะไปไหน เข้าไปอีกก็เป็นบ่อแล้วนะครับ”สวนดอกไม้ในสวนหลังบ้านตระกูลเสิ่น มีบ่อที่ไม่ลึกไม่ตื้นอยู่บ่อหนึ่ง ในตอนกลางวันดูเขียวใส ดูรื่นรมย์

แต่ในยามกลางคืนอึมครึมมาก

จู่ๆในใจพ่อบ้านเซี่ย ก็สั่นผวาขึ้นมา ไม่ยอมเดินขึ้นหน้า

คนที่อยู่ด้านหน้า หันกลับมา ในตอนที่หันกลับมา เท้าบังเอิญไปเหยียบกิ่งไม้เข้า แกรก

“ลุงเซี่ย ”

เสิ่นซิวจิ่นเปิดปากพูด แต่ก็ไม่เหมือนยามที่เรียกพ่อบ้านเซี่ยตอนปกติ แต่เป็นการเรียกว่าลุงเซี่ยแบบที่ไม่ได้เรียกมานาน

พ่อบ้านเซี่ยหยุดชะงักพลัน หลังจากนี้สามวินาที ก็โบกมือขึ้น พูดอย่างนอบน้อม“แหม มิได้ครับ มิได้ครับ!”

แววตาสีดำทั้งสองข้างของเสิ่นซิวจิ่น ยาวหากหลุบลง บดบังอารมณ์ในแววตาสีดำ แล้วเปิดปากพูดอย่างอ่อนโยน

“ลุงเซี่ยมาเป็นพ่อบ้านผมอย่างเป็นทางการ น่าจะสิบกว่าปีแล้วสินะ”

น้ำเสียงเขาอ่อนโยน

พ่อบ้านเซี่ยพยักหน้าพินอบพิเทา“ก็หลายปีแล้วครับ คุณชายยังจำได้หรือ บ่าวปลื้มใจจริง”

“อืม~ลุงเซี่ยอยู่กับผมเป็นสิบปีแล้วสินะ ผมมีคำถามหนึ่ง ผมกับคุณปู่สองคน อยากให้คุณช่วยทำอะไรให้เรื่องหนึ่ง สองเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ตรงข้ามกันพอดีลุงเซี่ย จะเลือกทางไหน”พูดพลาง ขนตายาวกะพริบขึ้น แววตาดำลุ่มลึก ประจันหน้าชายชรา

โครม!

ในใจพ่อบ้านเซี่ยระเบิดขึ้น!

นี่หมายความว่าไง

ทำไมคุณชายถามอะไรแปลกๆ

ในใจเขาสับสน พ่อบ้านชราตอบไม่ออก

แววตาดำเสิ่นซิวจิ่นหรี่ขึ้น

สูดลมหายใจลึก ตัดสินใจ“ลุงเซี่ย อีกครึ่งปี ตามกฎบ้านตระกูลเสิ่น ก็น่าจะเกษียณแล้ว นับแต่พรุ่งนี้จะมีคนมาทำงานแทน แต่เห็นแก่หน้าที่ทำงานมานาน อีกครึ่งปีที่เหลือ ก็อยู่พักผ่อนในบ้านสวนนี้แล้วกัน เรื่องอื่นทุกเรื่อง จะมีคนมาทำแทนเอง”

สีหน้าของพ่อบ้าน สีหน้าซีดเผือด!

“คุณชายครับ!ผมทำอะไรผิดครับ ผม……ไม่ยอม!”

เสิ่นซิวจิ่นควักบุหรี่ออกมาจากอกเสื้อ จุดไฟ สูบไปคำหนึ่ง มองท้องฟ้า ในแววตาผิดหวังและเจ็บปวด เขากลืนบุหรี่ลงคอแล้วพ่น แล้วก็พ่นออกมา แววตากวาดไปรอบๆ“ลุงเซี่ย คุณเกลียดเจี่ยนถง ใช่มั้ย”

“ผม……!”ผมเกลียด!”

แต่สองคำนี้ต่อหน้าเสิ่นซิวจิ่น พ่อบ้านเซี่ยกลับพูดไม่ออก ก็เพราะไม่มีวิธีพูดออกมาน่ะสิ!

“ถ้าผมบอกคุณ คือผมกำลังตรวจสอบการตายของเหวยเหมิง ตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในคืนนั้น ถ้าผมพูดไป ผมเชื่อว่าเรื่องนี้เจี่ยนถงไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย ลุงเซี่ย คุณมีความเห็นว่าไง”

“เป็นไปไม่ได้!”สีหน้าพ่อบ้านเซี่ยเปลี่ยนกะทันหัน แววตามีความเคียดแค้นชิงชัง“เป็นไปไม่ได้!เธอจะไม่รู้เรื่องได้อย่างไร!ถ้าไม่มีเธอ เวยเหมิงก็จะไม่ตาย!”

แววตาที่เย็นชา คอยเฝ้าสังเกตอากัปกิริยาของพ่อบ้านเซี่ยทุกอากัปกิริยา และทุกการแสดงออกของสีหน้า เมื่อเห็นสีหน้าอันเจ้าเล่ห์ของพ่อบ้านเซี่ย แม้ว่าความเจ้าเล่ห์จะผ่านแว๊บไป เสิ่นซิวจิ่นก็จะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่ได้“ดูสิ คุณเกลียดชังเจี่ยนถงขนาดนี้ ผมจะมอบบ้านให้ดูแลได้อย่างไรล่ะ เกิดคุณไปจับผิดเธอ”

แม้ว่าพ่อบ้านเซี่ยจะเกลียดเจี่ยนถง แต่เสิ่นซิวจิ่นกลับเป็นเพราะปฏิกิริยาของพ่อบ้านเซี่ย รู้สึกโล่งใจออกมา……อย่างน้อย ดูจากสภาพการณ์ตรงหน้า พ่อบ้านเซี่ยอาจจะแอบรายงานคุณปู่เรื่องเมื่อสี่ห้าปีก่อนก็ได้ และเขาก็ไม่ได้รู้เรื่องอื่นๆอะไร

“ดึกแล้ว ลุงเซี่ยกลับไปนอนเถอะ”เสิ่นซิวจิ่นชี้นิ้ว ดับขี้บุหรี่ ยกเท้าแล้วก้าวขาไป

ก่อนไป แววตากวาดไปยังบ่อน้ำเล็กที่อยู่ไม่ไกลออกไป

ถ้าหากว่าพ่อบ้านเซี่ยรู้เรื่องที่คุณปู่ลงมือทำร้ายเจี่ยนถงเมื่อสามสี่ปีก่อน เวลานี้ ศพคงจะอยู่ในบ่อน้ำเล็กนั่นแล้ว

พ่อบ้านเซี่ยมองดูประกายขี้บุหรี่ที่ค่อยๆมอดลงบนพื้น มันยังไม่ดับ ยังเป็นประกายสีแดง กลางคืนทำให้ดูประหลาดตานัก

แล้วเงยหน้าแลมองเงาหลังที่ไปไกล

พิษที่รุมเลื้อยในใจ ได้แผ่ซ่านไปทั่วร่าง ครอบคลุมไปทุกอณูกระดูก แผ่ซ่านไปทั่วทุกอวัยวะ ทุกอณูในร่างกายกำลังร่ำร้องถึงความเคียดแค้นชิงชัง

“ไม่ยุติธรรมเลย สำหรับยัยหนูเวยเหมิง ไม่ยุติธรรมสักนิด”ในป่ามีชายผอมกรัง ยืนอยู่ตรงกลาง ปากแหลมบางสั่นเทา ก้มหน้าบ่นพึมพำไปทางบุหรี่ พูดเองคนเดียว

……

“แกรก~”ประตูค่อยๆเปิดออก

เขาไม่ได้พูดอะไร เดินตรงเข้าไปในห้องนอน ปลดกระดุมเสื้อโดยที่ไม่พูดอะไร ปลดเสื้อชั้นบนออกทีละตัว เผยให้เห็นรูปร่างกำยำ โดยไม่ทันได้ดูคนที่อยู่บนเตียง เปิดประตูห้องน้ำออก เดินเข้าไป

เจี่ยนถงที่อยู่บนเตียง แววตาเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง จนกระทั่งประตูห้องน้ำได้ปิดลง จึงค่อยๆหันกลับมอง

จากนั้น เขาค่อยๆเดินไปทางขอบเตียง ค่อยๆเอียงตัว ค่อยๆขดตัว แล้วค่อยๆหลับตาลง

เวลามีไม่มาก มีเสียงลอดผ่านมา จู่ๆรู้สึกหนักอึ้งที่ปลายเตียง

เสียงตุ๊บดังขึ้น!เธอขดตัวลงกับหมัดที่หน้าอก แล้วบีบเขม็งโดยไม่รู้ตัว

ไอร้อนเข้ามาใกล้ รอบเอวรู้สึกมีมือหนักๆทับไว้ แล้วดึงเธอไปที่เตียงอย่างเผด็จการ

แขนของเธอแข็งทื่อขึ้นมา กรุ๊บกรั๊บๆ เสียงฟันบนล่างขบกันตลอด

ได้ไม่ได้……อย่าไปแตะต้องเธออีกเลย!

แต่ละนาที แต่ละวินาที ล้วนยากลำบาก!

ตกลงเป็นความรักหรือความเกลียดชัง ความรักและความเกลียดผสมผสาน คอยทรมานใจเธอ……เสิ่นซิวจิ่น อย่าเข้ามาอีกจะได้มั้ย

“ต่อไปจะไม่มีใครทำร้ายคุณได้อีกแล้ว”ข้างหู มีสุ้มเสียงทุ้มต่ำ แหบพร่าเล็กน้อย

คุณปู่ก็ไม่ได้……เสิ่นซิวจิ่นพูดในใจ

เขารู้ว่าเธอไม่รู้เรื่องอะไร แต่ก็บอกกับเธอไม่ได้ เรื่องเกี่ยวพันไปถึงคุณปู่เขา ดุเด็ดขนาดนี้เชียวหรือ ปู่ของเขาเป็นคนวางแผน ส่วนเขาเป็นคนส่งเธอลงนรกด้วยตนเองงั้นหรือ

นั่นเป็นปู่ของเขา ถ้าปีนั้นปู่ของเขาเป็นคนวางแผนทุกอย่าง ทำให้เธอต้องเป็นแพะรับบาป ระหว่างเธอกับเขา ก็คงไม่มีที่ให้กลับตัวอีกแล้ว!

เขากอดเธอไว้แนบแน่น มองหญิงสาวที่ผมปรกลงเกือบเต็มหน้า ในใจคิดอุทานว่า“ถ้าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง ตระกูลเสิ่นของเรา ติดค้างคุณไว้มากเหลือเกิน”

เช้าตรู่ เขาไปแล้ว ส่วนเจี่ยนถงทั้งๆที่เป็นสาวสะพรั่งแท้ๆ แต่กลับดูแก่จนเป็นหญิงชราอายุเจ็ดแปดสิบ

ในฤดูหนาว แสงแดดส่องดี เธอมีเพียงเก้าอี้เอน ผ้าขนหนูผืนหนึ่ง และถุงน้ำอุ่นที่ไว้สำหรับอุ่นมือและเท้า นั่งอยู่ตรงหลังคา อาบแดด

แห้งราวกับกับขอนไม้แห้ง

ที่บ้านมีพ่อบ้านคนใหม่มา พ่อบ้านคนใหม่หน้าตาเคร่งขรึมไม่ยิ้ม ซึ่งต่างจากพ่อบ้านเซี่ยเล็กน้อย เช้าตรู่ เขาได้ยินเสียงพ่อบ้านคนใหม่กับพ่อบ้านเซี่ยรับมอบหมายงานกัน

ทำงานพ่อบ้านมาเกือบทั้งชีวิต พอทำงานอะไรขึ้นมา ทำให้หาข้อจับผิดไม่ได้เลย ภายใต้สีหน้านิ่งสงบ คือความเคียดแค้น

ข้างหูได้ยินเสียงมอบหมายงานของพ่อบ้านทั้งสองคนรำไรๆ

คำพูดไม่มาก แต่ก็ไม่ง่าย

เจี่ยนถงเพียงเพ่งมองไปด้านหน้า ส่วนเรื่องการแลกเปลี่ยนนั้นจะสำเร็จหรือไม่ เจี่ยนถงไม่สนใจ

ก็ไม่รู้ด้านในกำลังถกเถียงอะไรกัน

น้ำเสียงงึมงำ จากหลังมาหน้า เธอกวาดสายตาไป เห็นเงาที่คุ้นเคย จึงค่อยๆพยุงเก้าอี้ขึ้น ลุกขึ้นยืน เอ่ยเสียงเรียบ“พ่อบ้านเซี่ย ตามฉันมา”

น้ำเสียงหยาบกังวานแต่เรียบ หยุดการก้าวเท้าของพ่อบ้านเซี่ยเอาไว้ หมุนตัวกลับ แววตาลังเล แล้วดุดัน ค่อยๆย่างเท้าก้าวเข้าหาสตรีที่อยู่ตรงหน้า

เธอเดินออกไปในที่ค่อนข้างกันดาร แล้วหยุดอยู่ที่มุม พ่อบ้านเซี่ยตามฝีเท้าของหญิงคนนี้ไปได้ไม่ยาก เดินสาวเท้าจ้ำอ้าว บางทีในใจเต็มไปด้วยความเกลียดชัง บางทีก็คิดสงสัยว่าเธอจะพาเขาไปพูดอะไรกับเจ้าหนี้

เอาเป็นว่า พ่อบ้านเซี่ยเดินตามโดยไม่พูดอะไร เธอหยุดอยู่ตรงหัวมุม พ่อบ้านเซี่ยก็หยุดด้วย

“คุณจะทำอะไร”พ่อบ้านเซี่ยมองด้วยแววตาสงสัย มองไปยังเจี่ยนถง ด้วยสีหน้าป้องกันตนและแสดงทีท่าความเป็นศัตรู

เจี่ยนถงเห็นดังนั้น จึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้……คนคนนี้ ยังจะต้องกลัวว่าเธอจะทำอะไรอีกหรือไง

เธอรู้สึกสมเพชเวทนา

“คุณยิ้มอะไร”รอยยิ้มของเธอ ไม่รู้ว่าทำไมถึงไปเสียดแทงพ่อบ้านเซี่ยเข้าได้ พ่อบ้านเซี่ยพูดอย่างเกรี้ยวกราด“คุณคิดว่าคุณชนะเหรอ คุณคิดว่าคุณมาแทนเวยเหมิงเหรอ คุณก็เลยยิ้มอย่างสบายใจต่อหน้าผมงั้นสิ เจี่ยนถง คุณก็เป็นแค่ตัวแทนของเวยเหมิงเท่านั้น!”

สีหน้าเขาเจ้าเล่ห์ แล้วคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนดอกไม้ที่ป่าหลังบ้านเมื่อวาน……เวยเหมิงเพิ่งจากไปได้เพียงสี่ปีเท่านั้นเอง!

คำพูดเหล่านั้นที่พ่อบ้านเซี่ยพูด ดวงตาคู่นั้น จ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของหญิงสาว อยากจะเค้นความเจ็บปวดออกมาจากใบหน้านั้น ดูแล้วช่างปวดใจเหลือเกิน แต่ว่า ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ กลับดูไม่มีทีท่าใส่ใจเขาเลย ยื่นมือออกไปสบายๆ“เอามาเถอะ”

“อะไร”พ่อบ้านเซี่ยไม่เข้าใจ

พูดเสียงเบา เงยหน้ากวาดตามองพ่อบ้านเซี่ย ริมฝีปากสั่นเทา“ของในกระเป๋าคุณ”

พ่อบ้านเซี่ยเบิ่งตาโพลง“ไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดอะไร”

ยามเผชิญหน้าพ่อบ้านเซี่ยที่เครียดเขม็ง เจี่ยนถงส่ายหน้าช้าๆ“เอามาให้ฉัน ฉันรู้ว่าคุณจะอาศัยจังหวะช่วงเช้าที่ทุกคนไม่ระวังตัว ใส่มันเข้าไปในโจ๊กของฉัน”เธอพูดเสียงเรียบ“ฉันเห็นกับตานะ”

แก้มทั้งสองข้างของพ่อบ้านเซี่ยหลุกหลิก สองตาจ้องเธออย่างมาดร้าย ด่าทอเกรี้ยวกราด

“คุณจะฟ้องเหรอ คุณจะบอกคุณชายเหรอ งั้นคุณไปฟ้องเถอะ ไหนๆคุณก็ทำให้เวยเหมิงตายแล้ว คุณชายก็ไม่ได้เอาความกับคุณสักหน่อย ถ้าทำร้ายผมอีก คุณชายก็ไม่เอาไงกับคุณอยู่ดี!คุณไปฟ้องเถอะ!ผมไม่กลัวคุณ!”

ใจที่ไร้ความรู้สึกไปตั้งนานแล้ว คำพูดนี้ของพ่อบ้านเซี่ย สั่นเทาเล็กน้อย เพียงแค่ครู่ ก็กลับมาไร้ความรู้สึกและไม่สนใจดังเดิม

เพียงแค่หนังตากระตุก แล้วกวาดตามองหน้าพ่อบ้านเซี่ยอย่างมีความหมาย เธอ……ไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น

ในเวลานี้ เธอยังคงปันใจไปคิด ตกลงเสิ่นซิวจิ่นจะทำอย่างไรกับเธอเจี่ยนถง ชายชราตรงหน้านี้ถึงได้คิดว่า เสิ่นซิวจิ่น “ได้ทำอะไรกับเธอบ้าง”

ที่แท้ติดคุกสามปี กับบาดแผลเต็มตัว เท้าที่พิการ กับร่างกายที่ไม่สมบูรณ์……กับใจที่ฝังไปพร้อมนรก ที่แท้สิ่งเหล่านี้ ในสายตาชายชราอย่างเขา คือ“ไม่ได้ทำอะไรกับเธอ”!

เธอเองก็มองไปยังใบหน้าของพ่อบ้านชราที่ทั้งดุดันและทั้งเหนื่อยล้า หัวใจเจ็บแปล๊บ โดนเธอละเลยอย่างเต็มที่……เธอไม่ไปเถียงกับพ่อบ้านเซี่ย เพราะคงไม่ชนะต่อให้ชนะ แล้วไง

หรือว่ากาลเวลาทำให้เธอชนะแล้วจะย้อนเวลากลับได้

เม้มปากเบาๆ เธอยื่นมือไปให้พ่อบ้าน“คุณไม่อยากให้ฉันท้องลูกเขา ก็เหมือนคุณแหละ ฉันก็ไม่อยาก”เธอพูด“เอาของมา”

พ่อบ้านเซี่ยตกใจ“ผมไม่เชื่อ!”

“เชื่อไม่เชื่อแล้วแต่คุณ รอให้พ่อบ้านใหม่มารับช่วงจนทำงานคล่องแล้ว ให้ทุกอย่างลงรอย คุณก็หาโอกาสลงมือไม่ได้แล้วล่ะ”

“คุณไม่อยากตั้งท้องทายาทตระกูลเสิ่นจริงๆเหรอ ผมไม่เชื่อ!ในโลกนี้มีผู้หญิงที่ไหนที่ไม่อยากตั้งท้องลูกสกุลเสิ่น?!”

อย่างน้อย เขารู้ เวยเหมิงยินยอมแน่นอน

เวยเหมิงยังไม่คิดปฏิเสธ แล้วผู้หญิงคนนี้มีสิทธิ์อะไรไม่ยินยอม

หล่อนสูงส่งกว่าเวยเหมิงตรงไหน บริสุทธ์กว่าเวยเหมิงตรงไหน

เวยเหมิงยังไม่มีสิทธิปฏิเสธ แล้วผู้หญิงสถุนคนนี้ใช้สิทธิ์อะไรมาปฏิเสธ

เจี่ยนถงยิ้มเล็กน้อย เธอไม่พูดแล้วดีกว่า เธอหมุนตัวกลับ เลยกระแทกส้นเท้า ก้าวลึกก้าวเบา เดินไปช้ามาก แต่เงาหลังช่างดูสง่าผ่าเผย

แววตาหม่นของพ่อบ้านเซี่ยกะพริบ“ช้าก่อน!”

สองก้าวไล่ขึ้นไป ในมือมีกระดาษน้ำมันห่อเล็กๆ ยื่นใส่มือเจี่ยนถง“ผมไม่เชื่อ!”ตอนยื่นใส่มือเธอ ยังกล่าวอย่างดุดัน

เจี่ยนถงไม่ได้พูดอะไรสักคำ เปิดกระดาษน้ำมัน มีเม็ดยาสีขาวปรากฏออกมาจากกระดาษห่อนั้น เป็นยาเม็ดขนาดถั่วเหลือง เธอยัดเข้าไปในปาก แม้แต่น้ำก็ไม่ดื่มตาม ปล่อยให้ยาเม็ดนั้นละลายไปเองในปาก ความขมค่อยๆแผ่ซ่านไปทั่วลิ้น……จะขมแค่ไหน ไหนเลยจะขมเท่ากับความขมขื่นในใจ

กระดาษมันร่วงลงพื้น เธอเดินก้าวขึ้นหน้า เดินไปพูดไป“ต่อไป……เตรียมให้มากหน่อย”

พ่อบ้านเซี่ยอึ้งตะลึงค้าง เป็นนานกว่าจะได้สติกลับมา ในเวลานี้แทบไม่อยากเชื่อ เธอ เธอ เธอ……เธอกลืนยาคุมกำเนิดนั่นต่อหน้าเขาไปจริงๆหรือ!?

ในจังหวะนี้ ในใจพ่อบ้านเซี่ยจึงเกิดความคิดหนึ่ง เวยเหมิงสู้เธอไม่ได้ เธอไม่มองลาภยศสรรเสริญเหล่านั้นเลย

แต่พอความคิดนี้เริ่มผุดออกมา พ่อบ้านเซี่ยก็โกรธฟาดงวงฟาดงา!

“ดีดีดี!ผมจะเตรียมให้คุณมากหน่อย!ต้องเตรียมให้คุณมากๆแน่นอน!”ทางที่ดีให้กินจนเป็นหมันไปเลยนะ!

พ่อบ้านที่มาใหม่สกุลหวัง เจี่ยนถงเดินไปทางระเบียง ในมือพ่อบ้านหวังถือเสื้อโค้ตหนาๆไว้ ยืดตัวตรงเดินขึ้นหน้า“คุณนายจะไปไหนครับ”

พูดพลาง นำเสื้อโค้ตที่พาดไว้บนข้อมือคลุมทับให้เจี่ยนถง“คุณชายเป็นห่วงน่ะครับ จึงกำชับผมว่าให้รักษาความอุ่นให้เป็นพิเศษ”

เธอยิ้ม แต่ดูไม่มีกำลังวังชา“เหนื่อยแล้วจ่ะ จะขึ้นไปพักผ่อน”

“ตอนกลางวันคุณนายจะรับอะไรดีครับ”

“พวกคุณเก็บไว้กินเองเถอะ ฉันอยากพักผ่อน ตอนกลางวัน ไม่ต้องมารบกวนฉันล่ะ”

เจี่ยนถงขึ้นไปชั้นบน พ่อบ้านหวังควักมือถือออกมา โทรรายงานสถานการณ์ต่อเจ้านาย “คุณนายดูเหนื่อยนะครับ ตอนเที่ยงไม่ให้ใครรบกวน อาหารเที่ยงก็ไม่อยากรับ”

“อืม รู้แล้วล่ะ คุณทำได้ดีมาก”น้ำเสียงทุ้มต่ำ ดังลอดออกมาจากโทรศัพท์“ตอนเที่ยงก็ทำอาหารเบาๆหน่อยแล้วกัน ส่วนคุณนาย เธอกินอยู่แล้ว”

พูดจบ วางหูโทรศัพท์ เดินไปหาคนที่สำนักงานสองคน“พวกเธอไม่มีอะไรจะทำใช่ไหม”

มือเสียบกระเป๋า“วันนี้วันหยุด ฉันมีเวลา”

นั่งกระดกขาขึ้น“มาเจอกันตอนกลางวันสักมื้อ”

แววตาเสิ่นซิวจิ่นกะพริบ ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์“เอาสิ”

มาถึงเวลาเที่ยง

มีเสียงดังออกมาจากห้องผู้บริหารจากอาคารเสิ่นซื่อ

“เสิ่นซิวจิ่น!ไอ้เดรัจฉาน!”

หน้าอกกระเพื่อมไหว มองไปที่กองเอกสารบนโต๊ะทำงาน ไป๋ยู่สิงในมือถือกระดาษพร้อมลายเซ็น เขียนว่า ว่างขนาดนี้ มาจัดเอกสารบนโต๊ะหน่อย ดูเสร็จบอกผมด้วย

“เดรัจฉาน!”

ไป๋ยู่สิงฉีกเอกสารในมือ โยนลงไปในถังขยะ“ไอ้บ้าเสิ่นซิวจิ่น หนีไปฉิบ!”

คฤหาสน์ตระกูลเสิ่น

“คุณชายกลับมาแล้วหรือครับ”

“อืม”เสิ่นซิวจิ่นมอบเสื้อโค้ตให้กับพ่อบ้านหวัง“อาหารเที่ยงเตรียมเสร็จหรือยัง”

“เตรียมเสร็จนานแล้ว ไก่ดำตุ๋นโสม ไป๋เหอเซลาลี่ ปลาตะเพียนนึ่งไข่ ล้วนทำมาสดๆเลยครับ”

เสิ่นซิวจิ่นพยักหน้า“เตรียมไว้หมดแล้ว แค่จัดใส่จาน ยกมาให้ผมก็พอ”

พ่อบ้านหวังทำงานละเอียดรอบคอบ“จัดใส่จานไว้หมดแล้วครับ แค่ใส่ถาดยกขึ้นมา”

“ยกมาให้ผมเถอะ”

ในมือเสิ่นซิวจิ่นประคองถาดไว้ ไปยังชั้นสอง

ในตอนที่เขากลับมา เสียงเลี้ยวของรถ เป็นที่สังเกตของพ่อบ้านเซี่ย

ตอนนี้พ่อบ้านเซี่ยไม่มีอำนาจอยู่ในมือแล้ว เสิ่นซิวจิ่นแค่ให้พ่อบ้านเซี่ยพักอยู่ในบ้านเฉยๆ จนกระทั่งเกษียณ ถือว่าเป็นการรักษาน้ำใจนายบ่าว

“เสี่ยวถง กินข้าว”

เสิ่นซิวจิ่นยกถาดไปไว้ที่ตู้ข้างเตียง เจี่ยนถงตะลึง คิดไม่ถึงว่าในเวลานี้ คนคนนี้จะมา

“คุณมาที่นี่ได้ไง”

“ช่วงนี้บริษัทค่อนข้างว่างน่ะ ไม่มีอะไรให้ทำมาก ”พูดพลาง หยิบชามในถาด ตักน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมขึ้นมา “มา ดื่มน้ำแกงก่อน”

มองไปยังช้อนที่ประเคนมาถึงปาก น้ำแกงไก่ตุ๋นโสมหอมเตะจมูก แต่เธอ ทำไมถึงไม่อยากอาหารเลยไม่รู้

“ฉันไม่หิว”

“ดื่มอีกหน่อย”

“ฉันอยากนอนแล้ว”

“ดื่มแล้วค่อยนอน”

เจี่ยนถงมองดูน้ำแกงในมือ เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วยื่นมือ“ฉันดื่มเอง”

เสิ่นซิวจิ่นไม่ยื้อแย่งกับเธอ ยื่นถ้วยน้ำแกงให้กับเจี่ยนถง มองดูแม้ว่าหญิงสาวจะเงียบกริบ แต่ก็ค่อยๆดื่มน้ำแกง แววตาอ่อนลงไม่น้อย

เจี่ยนถงค่อยๆดื่มช้ามาก ทีละช้อนๆ ดื่มไปค่อนถ้วยใหญ่ น้ำแกงยังอยู่ค่อนถ้วย เงยหน้ามองชายหนุ่มแล้วส่ายหน้า

“อิ่มแล้วเหรอ”เสิ่นซิวจิ่นถามอย่างอ่อนโยน

อีกฝ่ายพยักหน้า

ส่วนจะอิ่มไม่อิ่ม เธอไม่ได้บอก เพียงแต่……ตามความประสงค์ของเขา ดื่มไปสองสามอึก ให้เสร็จๆไป เธอจะได้มีเหตุไล่เขาให้ไปพ้นๆสักที แล้วห่อตัวด้วยผ้าห่มไม่ยอมพบหน้า

เสิ่นซิวจิ่นค่อยๆจัดถาด แต่ดูไม่มีทีท่าว่าจะไป

เขานั่งอยู่ขอบเตียง อุ่นฝ่ามือ แล้วไถลตัวลงไปในผ้าห่ม ห่มคลุมหน้าท้อง แววตาอ่อนโยน“พ่อบ้านหวังทำงานมั่นคง ละเอียดรอบคอบ คุณอ่ะ กินเยอะหน่อย ตรงนี้ จะได้แข็งแรง ลูกของคุณกับผม”

น้ำเย็นถาดหนึ่ง พอราดลงไป เจี่ยนถงรู้สึกเลือดลมเวียนไปทั้งตัว แล้วก็ตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว

มือของเขาประคองท้องของเธอไว้ให้อุ่น อ่อนโยนเหลือกำลัง หูได้ยินเสียงเขาค่อยๆพูด“หลับเถอะ กลางคืนผมจะสั่งพ่อบ้านหวัง ว่าให้ทำอาหารบำรุงมาสองสามอย่าง”

ภายในดวงตามืดคล้ำ มีประกายอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มองทอดลงไปยังหน้าท้องของเขา ราวกับเห็นสมบัติล้ำค่า“เป็นความเมตตาของสวรรค์ รอจนลูกเกิดมา พวกเราไปถ่ายรูปครอบครัวกันนะ ดีมั้ย”เขามองเธอแล้วยิ้ม แววตาลุ่มลึกอ่อนโยน ราวกับจะทะลักล้นออกมา

เจี่ยนถงเอนกายบนเตียง ฟังเขาพูด มองดูแววตาอ่อนโยนของเขา สีหน้าที่ดูไร้ความรู้สึกในตอนแรก จู่ๆเกิดยิ้มเป็นประกาย เธอมองไปที่ดวงตาของเขา รอยยิ้มเจิดจรัสเทียบไม่ได้“ตกลง” น้ำเสียงอ่อนโยนนี้ ทำให้น้ำเสียงเธอแหบพร่าได้

เสิ่นซิวจิ่นแววตาเป็นประกาย มองกะพริบลงบนหน้าเจี่ยนถง หัวใจเต้นแรงเร็ว……เสี่ยวถงบอกว่า“ตกลง”! เธอยินดีมีลูกให้เขา หรือจะพูดว่า เสี่ยวถงยินดีลืมเลือนอดีต กลับมาใช้ชีวิตกับเขา

“ง่วงแล้ว”เธอสีหน้าอิดโรย หาวหวอดๆ

“ผมจะไปห้องหนังสือ คุณหลับให้สบาย”

เสิ่นซิวจิ่นสีหน้าอิ่มเอิบ มือประคองถาด เดินออกจากห้องนอน

ราตรีมืดมิดนิ่งสงัด

“เสี่ยวถง เสี่ยวถง เสี่ยวถง……”ในห้องนอนยามสายัณห์ มีเสียงร้องเรียกของผู้ชายลอดมา ชื่อนั้นกลายเป็นเสียงที่ไพเราะเพราะพริ้งที่สุด

เจี่ยนถงค่อยๆโอบกอดชายผู้นั้นไว้ อ้อมกอดนี้ เป็นอ้อมกอดที่เปิดเผยที่สุด แววตาเสิ่นซิวจิ่นเป็นประกายยิ่งขึ้น ดีใจจนหัวใจแทบเต้นออกมา“เสี่ยวถง เสี่ยวถง เสี่ยวถง……”

เจี่ยนถงยอมรับทุกอย่าง พาดหัวลงบนบ่าของเขา ปล่อยให้เขาลูบตามอำเภอใจ มือของเธอ โอบล้อมบ่าของเขาหัวที่พาดอยู่บนบ่าของเขา ในตอนที่เขามองไม่เห็น แววตาของเธอ แค่นยิ้มเย็นชา

เหนื่อยสายตัวแทบขาด สลบไป ตื่นขึ้นด้วยความตกใจ ลืมตามาเห็นแผ่นอกหนาใหญ่ เธอยิ้ม ในรอยยิ้มมีแต่รอยเย็นชา ลืมตาขึ้น มองดูเพดาน ตื่นมาในค่ำคืนนี้ นอนไม่หลับอีกแล้ว……หลังจากที่เข้ามาอยู่ที่นี่ หลายๆคืน……เธอจะปล่อยตัวได้อย่างไร ให้หลับในอ้อมอกเขา

หึ……

แววตาทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง……หึ เสียงเหล็กที่คุ้นเคย กับข้อแตกต่างจากสถานที่นั้นคือ……ห้องห้องนั้นหรูกว่าหน่อยเหรอ

เขายังคงหลับอยู่ บนตัวมีเหงื่อไหลเทิ้มเล็กน้อย เมื่อคืนออกแรงมามาก……ริมฝีปากซีดบางของเธอเผยอออก เงียบกริบอยู่ในความมืดมิดนั้น

ในตอนฟ้าสว่าง เธอเองก็พอจับทางได้ จึงแกล้งหลับต่อ

“ตื่นได้แล้ว ฟ้าสว่างแล้ว เสี่ยวถง”

เขาผลักเธอ

เจี่ยนถงพลิกตัว ด้วยสีหน้าที่นอนไม่เต็มอิ่ม“ง่วง ไม่ตื่นไม่ได้เหรอ ยังอยากนอนต่อ”

น้ำเสียงอู้อี้ เสิ่นซิวจิ่นยิ้มสนุก นานๆทีผู้หญิงคนนี้จะออดอ้อนเขาแบบนี้ เขาจึงพูดอย่างใจกว้าง“ได้สิ นอนต่อเถอะ ผมให้พ่อบ้านหวังอุ่นข้าวรอ หลับเต็มอิ่มแล้วอย่าลืมตื่นมากินล่ะ”

“อือ อืม”

ผ้าห่มคลุมอยู่ครึ่งค่อนหัว ผมปิดบังไปอีกครึ่งหนึ่ง โผล่มาแต่ผิวเพียงเล็กน้อย เสิ่นซิวจิ่นขยี้ตา ยื่นมือไปคลึงเธอเบาๆ“เชื่อฟังนะ”

ขยับเบาๆบนเตียง ผ่านไปสักครู่ เสียงเบาๆด้านนอกประตูลอดมา ผู้หญิงที่ขดตัวในผ้าห่ม ขยับเล็กน้อย เธอดึงผ้าห่มที่คลุมหัวออก เผยให้เห็นแววตาเรียบเฉย……นอนเอ้อระเหยได้ที่ไหนกัน

เธอไม่ขยับ จนกระทั่งได้ยินเสียงรถข้างล่างเคลื่อนไหว จึงปีนขึ้นมาจากเตียง ยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง แววตาทอดมองไปยังรถที่อยู่ในสวน

ด้านนอกประตูมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เดิมทีกลัวว่าเสียงเคาะประตูจะทำให้ใครตกใจ

เจี่ยนถงเดินเท้าเปล่า เดินออกนอกประตู เปิดประตู พ่อบ้านชราด้อมๆมองๆ

เจี่ยนถงกวาดตามองเรียบๆ“ของล่ะ”

พ่อบ้านเซี่ยควักขวดสีขาวออกมา“ผมอาศัยจังหวะที่คนอื่นๆไปทำงาน แอบขึ้นมา เพราะคุณชายป้องกันผมหนาแน่น ต่อไปคงจะเจอกันไม่ได้บ่อย ในขวดนี้มีอยู่ปริมาณหนึ่ง”

พูดพลางยื่นให้เจี่ยนถง

เจี่ยนถงมองดูขวดสีขาวในมือ เป็นขวดสีขาวธรรมดา“ลำบากพ่อบ้านเซี่ยแล้วที่รอบคอบ ที่อุตส่าห์กันยาVCออกมาจากขวด”เธอพูดพลาง ปากยิ้มอย่างประหลาด ไม่นานก็ซุกซ่อนรอยยิ้มไว้ แล้วเงยหน้าขึ้นมอง เหมือนกับหุ่นยนต์ที่ไม่มีความรู้สึก “งั้นก็ขอบคุณพ่อบ้านเซี่ยแล้ว”

พูดพลาง ปิดประตู

ด้านนอกประตู สีหน้าพ่อบ้านเซี่ยสับสน

เจี่ยนถงบิดฝาขวด เทยาเม็ดสีขาวออกมา ซึ่งเป็นเหมือนเมื่อวาน ค่อยๆอมไว้ในปาก ปล่อยให้ยาละลาย ความขมแผ่ซ่านไปทั่วลิ้น ยิ้มเบาๆ น้ำตาไหลออกมา

ลูกเหรอ

ในปีนั้นคนที่ส่งเธอไปลงนรก วันนี้เธอจะมามีลูกให้เขางั้นเหรอ

ความขมของยาค่อยๆละลายซึมลงไปในปาก ไหลลงไปในลำคอ พร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา ขมฝาดเกินบรรยาย เมื่อเข้าไปในปาก ความขมยังคงอยู่……มือหนึ่งก็บรรจงเก็บยาเม็ด“VC”เข้าไปในลิ้นชักอย่างสบายอารมณ์

“คุณกำลังกินอะไร?” เสิ่นซิวจิ่นโผล่ขึ้นมาที่ประตู

มือที่กำลังถือขวดอยู่ของเจี่ยนถงก็กระตุกเล็กน้อย ตกใจไปพักหนึ่งจากนั้นก็กลับมามีสติ “วิตามิน สองวันก่อนขอให้พี่เมิ่งเอามาให้”

เธอพูดแบบนี้ เสิ่นซิวจิ่นก็เดินเข้ามา หยิบขวดยาจากมือของเจี่ยนถงมาดู ความสงสัยของเขาก็หายไป คิดดูแล้ว สองวันก่อนซูเมิ่งมาที่นี่จริงๆ

ในขณะที่เขาพูดอยู่ พ่อบ้านหวังก็เข้ามาเคาะประตู

เสิ่นซิวจิ่นและเจี่ยนถงหันไปมองพร้อมกัน “เรื่องอะไร?” เสิ่นซิวจิ่นวางขวดยาในมือลงแล้วหันไปถามพ่อบ้านหวังที่ประตู

“มีสามีภรรยาคู่หนึ่งมาที่ชั้นล่าง บอกว่าเป็นพ่อแม่ของคุณนาย” พ่อบ้านหวังเป็นพ่อบ้านของคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น เขามักจะดูแลเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ของคฤหาสน์หลังนี้ และเขายังเป็นพ่อบ้านที่มีความสามารถ ทำงานเป็นพ่อบ้านมาแล้วหลายสิบปี ถ้าเขาไม่มีความสามารถพอ เสิ่นซิวจิ่นก็คงจะไม่มอง

พ่อบ้านที่มีความสามารถแบบนี้ ก่อนที่จะมาดูแลคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น เขาก็ต้องทำความเข้าใจในเรื่องที่ควรจะเข้าใจ สำหรับเรื่องของนายท่านของคฤหาสน์หลังนี้และนายหญิง เขาทำความเข้าใจมาแล้วเป็นอย่างดี

ดังนั้น สามีภรรยาที่อยู่ข้างล่างก็คือประธานและภรรยาของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปในเมืองS แล้วก็คือพ่อแม่แท้ๆของเจี่ยนถง เรื่องนี้ พ่อบ้านหวังรู้ดี แต่ตอนรายงานกลับพูดอ้อมๆว่า“คู่สามีภรรยาข้างล่างบอกว่าเป็นพ่อแม่ของใคร” ด้วยความรอบคอบนี้ เจี่ยนถงเหลือบไปมองพ่อบ้านคนใหม่ที่ท่าทางสุขุมตรงประตู และในขณะเดียวกัน เธอก็พูดในใจว่าโชคดี… โชคดี โชคดีจริงๆ หางตาของเธอก็กวาดไปมองขวดยา“วิตามิน”ที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง

เธอรู้ดีว่า ภายใต้ความรอบครอบขนาดนี้ของพ่อบ้านคนใหม่ ต่อไปโอกาสที่เธอจะไปเอา“วิตามิน”มาจากพ่อบ้านเซี่ยก็คงจะน้อยลง

ได้ยินว่าคู่สามีภรรยาตระกูลเจี่ยนอยู่ชั้นล่าง และอยากจะเจอกับเจี่ยนถง เสิ่นซิวจิ่นก็ขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ แต่เขาก็ไม่ได้ตัดสินใจแทนเจี่ยนถง เขาแค่ถามเจี่ยนถงว่า “อยากเจอไหม?”

เธอไม่ได้รีบตอบกลับไป ก้มหน้าครุ่นคิดแล้วจู่ๆก็เงยหน้าขึ้นมา “ช่วงนี้เจี่ยนซื่อกรุ๊ปมีความร่วมมืออะไรที่ต้องขอความช่วยเหลือจากเสิ่นซื่อกรุ๊ปไหม?”

เสิ่นซิวจิ่นไม่แปลกใจ แต่ในดวงตากลับมีร่องรอยของความสงสาร……“บางทีพวกเขาอาจจะคิดถึงลูกสาวของตัวเอง”

พูดแบบนี้ออกมา แม้แต่เขาเองก็ยังไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ เขากลับหวังว่าเธอจะเชื่อ

เจี่ยนถงยิ้มอ่อน สายตาคู่นั้นมองไปที่ใบหน้าของเสิ่นซิวจิ่น และประจบกับสายตาของเขากลางอากาศ ราวกับเส้นสองเส้นที่ชนกัน ชนกันแค่วินาทีเดียวแล้วก็แยกออกจากกันอีกครั้ง“ฉันไปดูก็ได้”

เธอไม่ได้ตอบโต้คำว่า“บางที”ของเขา เธอไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่แค่ชำเลืองมองไปที่ใบหน้าของเขา ทุกคำพูดที่ขมขื่น  ไม่จำเป็นต้องพูดก็เห็นได้อย่างชัดเจน

เธอไม่ได้ตอบโต้คำพูดของเขา ไม่ได้หมายความว่าเธอเห็นด้วยกับเขา…… ถ้าสามีภรรยาคู่นั้นยังคงคิดถึงลูกสาวของตัวเอง ตอนที่เธอติดอยู่ในคุกสามปี ก็เพียงพอที่พวกเขาที่จะบินจากซีกโลกเหนือไปซีกโลกใต้ จากทวีปฝั่งตะวันตกข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังอีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร ไปหาเธอได้ตั้งหลายสิบครั้งหลายร้อยครั้ง!

แต่อยู่ในเมืองเดียวกัน พวกเขาไม่เคยไปเยี่ยมเธอเลยสักครั้ง…… นี่คือความจริงอันโหดร้ายที่เธอไม่อยากยอมรับ

เจี่ยนเจิ้นตงกับคุณหญิงเจี่ยนกำลังรออยู่ที่ห้องรับแขก

เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ๆ สามีภรรยาคู่นั้นก็มองไปตามเสียง แววตาเป็นประกายขึ้นมา คุณหญิงเจี่ยนวิ่งเข้าไปข้างหน้าด้วยความดีใจ จับมือของเจี่ยนถงและพูดว่า “เสี่ยวถง ในที่สุดก็ได้เจอหนู ดีจังเลย แม่ดีใจที่สุด”

“คุณหญิงเจี่ยน” เธอคอยๆเอามือออกมาจากมือของคุณหญิงเจี่ยน “คุณหญิงเจี่ยน เชิญนั่งค่ะ”

“หนู……เสี่ยวถง……” ทันใดนั้น ใบหน้าที่ดูแลมาเป็นอย่างดีของคุณหญิงเจี่ยนก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“อะแฮ่ม” เจี่ยนเจิ้นตงกระแอมอยู่ข้างๆ “ประธานเสิ่น วันนี้พวกเรามาหาเสี่ยวถง ตั้งแต่วันนั้นแม่ของเสี่ยวถงคิดถึงเสี่ยวถงอยู่ตลอด สองสามวันมานี้ยิ่งไม่เป็นอันกินอันนอน ผมเห็นว่าแม่ของเสี่ยวถงผอมลงทุกวัน ใจของผมก็ไม่เป็นสุข ผมก็เลยกัดฟันพาเธอมาหาเสี่ยวถง”

แบบนี้ดูเหมือนกำลังอธิบายว่าทำไมทั้งสองคนถึงได้มาที่นี่โดยที่ไม่บอกกก่อน เสิ่นซิวจิ่นก็ไม่ได้พูดอะไร เขาตอบกลับไปอย่างสุขุม “เช่นนั้นคุณเจี่ยนกับคุณหญิงเจี่ยนช่างมีความตั้งใจจริงๆ”

คำพูดธรรมดาๆของเสิ่นซิวจิ่น อาจจนะเป็นเพราะวัวสันหลังหวะ ที่เจี่ยนเจิ้นตงได้ยินในหูมันกลับเป็นอีกความหมายหนึ่ง เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ประธานเสิ่นพูดอะไรกัน”

เสิ่นซิวจิ่นก็แค่ยิ้ม

แต่เจี่ยนถงกลับงงไปหมด……คิดถึงอะไร เป็นห่วงอะไร ไม่เป็นอันกินอันนอนอะไร…… คุณหญิงเจี่ยนที่เธอเห็นตอนนี้ สีหน้าดีเป็นสุด

คุณหญิงเจี่ยนจับมือเจี่ยนถงแล้วหันหน้ากลับมาขอร้องอ้อนวอนเสิ่นซิวจิ่น “ประธานเสิ่น ฉันคิดถึงเสี่ยวถงมากจริงๆ…… ให้ฉันกับเสี่ยวถงอยู่ด้วยกันตามลำพังสักพักได้ไหม?ฉันมีเรื่องจะพูดกับลูกสาวของฉันมากมาย”

สายตาของเสิ่นซิวจิ่นมองผ่านคุณหญิงเจี่ยนไปมองที่เจี่ยนถง “ผมเคารพการตัดสินใจของเสี่ยวถง”

เมื่อเขาพูดแบบนี้ คุณหญิงเจี่ยนก็รีบมองไปที่เจี่ยนถงทันที เธอรู้สึกกังวล กลัวว่าเจี่ยนถงจะปฏิเสธ เธอรีบเอาปากเข้าไปใกล้ๆเจี่ยนถง ขยับปากพูดอะไรบางอย่างด้วยเสียงเบาๆที่มีแค่คนสองคนได้ยิน

เจี่ยนถงหยุดหายใจไปพักหนึ่ง ทันใดนั้นก็มองไปที่คุณหญิงเจี่ยนราวกับไม่อยากจะเชื่อ

มือข้างที่คุณหญิงเจี่ยนจับอยู่ เธอบีบมือของเจี่ยนถงแรงขึ้นกว่าเดิมและพยักหน้าเบาๆ

เห็นแบบนี้ เธอก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เงยหน้าขึ้นมองเสิ่นซิวจิ่น “วันนี้อากาศดีจริงๆ ดอกเหมยในสวนก็บานหมดแล้ว ฉันอยากไปเดินเล่น”

เสิ่นซิวจิ่นพยักหน้า เขาถอดเสื้อคลุมออกพร้อมกับเดินเข้าไปหาเจี่ยนถง คลุมเสื้อให้กับเจี่ยนถงอย่างแน่น “รีบไปรีบกลับ อากาศดีก็จริงแต่มันเป็นฤดูหนาว”

เธอพยักหน้า เจี่ยนถงและคุณหญิงเจี่ยนเดินออกไปจากห้อง เสิ่นซิวจิ่นเหลือบมองไปที่พ่อบ้านหวัง พ่อบ้านหวังก็เดินตามไปอย่างเงียบๆ แต่ก็ไม่ได้เดินเข้าไปใกล้เกินไป เขารักษาระยะห่างคอยเฝ้าดูอยู่เสมอ

ทางทิศตะวันออกของสวนมีต้นดอกเหมยอยู่สองต้นดอกเหมยออกดอกแล้วช่างสวยงาม เจี่ยนถงหยุดอยู่ระหว่างต้นดอกเหมยทั้งสองต้นแล้วหันกลับมา “คุณบอกว่าไอ้สารเลวที่ทำร้ายเซี่ยเวยเหมิงเมื่อสี่ปีก่อนกลับมาที่เมืองSแล้ว?”

“ใช่”

“คุณกับคุณเจี่ยนรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?” เธอไม่เชื่อ ในที่เกิดเหตุตอนนั้นไม่มีกล้องวงจรปิด หน้าตาของไอ้สารเลวคนนั้น แม้แต่เธอก็ยังไม่เคยเห็น พ่อแม่ของเธอจะเคยเห็น?

“เสี่ยวถง อย่าคำก็คุณเจี่ยนสองคำก็คุณเจี่ยน นั่นเป็นพ่อแท้ๆของหนู”

สำหรับคำพูดของคุณหญิงเจี่ยน หัวใจของเจี่ยนถงถึงกับเลือดไหลเวียนไม่สะดวก เธอเม้มปากและทำสีหน้าเย็นชา “ถ้าวันนี้คุณหญิงเจี่ยนมาระลึกความหลัง งั้นฉันคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องยืนอยู่ที่นี่อีกต่อไป”

“เดี๋ยวก่อน เสี่ยวถง!” เห็นว่าเจี่ยนถงกำลังจะเดินออกไป คุณหญิงเจี่ยนก็รีบเรียกหยุดเธอไว้ “เสี่ยวถง……หนูไม่ยอมยกโทษให้ฉันกับพ่อของหนู ฉันก็พอจะเข้าใจ ฉันกับพ่อของหนูทำร้ายจิตใจหนู แต่ว่าเราก็ถูกบังคับไม่มีทางเลือก หลังจากการประมูลครั้งนั้น เรารู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ครั้งนี้เราอยากจะช่วยหนูจริงๆ”

ดวงตาของเจี่ยนถงเป็นประกาย สายตาของเธอเศร้าหมอง……เธอควรจะเชื่อหรือไม่เชื่อ?

สติสัมปชัญญะบอกเธอ……

ความรู้สึกก็บอกเธอ……

เจี่ยนถงส่ายหน้า เธอบีบมือของตัวเองอย่างแรง สูดหายใจเข้าลึกๆและพยายามสงบสติอารมณ์ให้มากที่สุด “คุณหญิงเจี่ยน ไหนลองบอกมาสิว่าพวกคุณรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง?…… คุณรู้ได้ยังไงว่าไอ้สารเลวพวกนั้นคือคนที่ก่อเรื่องในตอนนั้น?”

“เสี่ยวถง ที่จริงแล้วหลักฐานเรื่องที่หนูทำร้ายเซี่ยเวยเหมิงตอนนั้น นอกจากบันทึกการโทรและข้อความในโทรศัพท์ของหนูกับเซี่ยเวยเหมิงแล้วยังมีพยานขี้เมาคนหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์ ตอนที่เกิดเรื่อง เขาเห็นเรื่องราวทั้งหมด แต่เขากลัวว่าจะเกิดเรื่องเขาเลยไม่โทรแจ้งตำรวจ แต่หน้าตาของไอ้สารเลวพวกนั้น เขายังพอจำได้สองสามคน…… สองวันก่อน เขาเห็นคนพวกนั้นอยู่ในบาร์แถวเขตนอกหาด”

“คนที่เห็นเหตุการณ์?”

“ใช่แล้ว คนที่เห็นเหตุการณ์”

“ถ้าตอนนั้นมีคนเห็นเหตุการณ์ ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องนี้?”

คำพูดของเจี่ยนถงเฉียบขาด เพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก เธอต้องถามให้ชัดเจน

“เห้อ” คุณหญิงเจี่ยนถอนหายใจ มองไปที่เจี่ยนถงและพูดว่า “คนคนนั้น หนูก็รู้จัก คนในครอบครัวของเธอไม่อยากให้ใครรู้ว่าเธอเห็นเรื่องสกปรกแบบนั้น”

คำพูดของคุณหญิงเจี่ยนเป็นนัย เจี่ยนถงเข้าใจแล้ว……ถ้าคนคนนั้น เป็นคนที่เธอรู้จัก และคนในครอบครัวของคนคนนั้นไม่อยากให้ใครรู้เรื่องพวกนี้ อย่างนั้น ก็เป็นไปได้ที่……

“เป็นนายน้อยของตระกูลไหน?”

เธอถามคุณหญิงเจี่ยนอย่างตรงไปตรงมา หลังจากผ่านเรื่องราวมาแล้วหลายเรื่อง มันยากที่จะมีความอบอุ่นของแม่และลูกสาวเหมือนแต่ก่อน

“ไม่ใช่นายน้อยของตระกูลไหน เธอคือคุณหนูรองของตระกูลถัง”

ทันใดนั้นเจี่ยนถงก็นึกขึ้นได้!

ที่แท้แล้วก็เป็นผู้หญิง!

งั้นก็ไม่น่าแปลกใจที่ไม่มีเสียงลมอะไรหลุดออกมาเลยแม้แต่น้อย ลูกสาวของตระกูลที่มีชื่อเสียง หากไปเห็นเหตุการณ์อะไรที่สกปรกแบบนั้น มันคงจะไม่ดีต่อชื่อเสียงของเธอมากนัก

มันไม่ใช่ที่เหตุการณ์ธรรมดา แต่เป็นเหตุการณ์ที่ผู้ชายสองสามคนข่มขืนผู้หญิงคนเดียวอย่างไร้ยางอาย!

ในขณะที่เจี่ยนถงนึกขึ้นได้แต่เธอกลับไม่สามารถยอมรับได้ “คุณบอกว่าเธอเห็นเหตุการณ์ ดังนั้นนี่จึงกลายเป็นหนึ่งในหลักฐานที่ตัดสินว่าฉันเป็นคนผิด?” เธอยิ้มอ่อน “คุณหญิงเจี่ยน ฉันถามหน่อยได้ไหมว่าตอนนั้นเธอเห็นอะไรบ้าง ถึงได้กลายเป็นหนึ่งในหลักฐานที่ตัดสินว่าฉันเป็นคนผิด?”

“หรือว่าคุณหนูรองของตระกูลถังเห็นว่าฉันอยู่ในที่เกิดเหตุเหรอ?”

เจี่ยนถงยืดหน้าอกขึ้น เธอพยายามสงบสติอารมณ์……เจี่ยนถงนะเจี่ยนถง บอกว่าใช้สติสัมปชัญญะไง บอกว่าจะไม่ใจร้อนไง ทำไมถึงไม่ได้เรื่องแบบนี้ ทำไมถึงได้อารมณ์แปรปรวนเพราะเรื่องนี้?

“เรื่องนี้ประธานเสิ่นไม่ได้บอกหนูเหรอ?”

เจี่ยนถงยิ้มมุมปากเล็กน้อย……รู้แล้วยังจะถาม

ถ้าเสิ่นซิวจิ่นเล่าเรื่องคุณหนูรองของตระกูลถังให้เธอฟัง ตอนนี้เธอยังจะไม่รู้อีกหรือ?

เธอมองดูคุณหญิงเจี่ยนที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง……คนคนนี้ คือแม่แท้ๆของเธอ!

รู้อยู่แล้วยังจะถาม แกล้งทำเป็นโง่……เพื่ออะไร?

“อะแฮ่ม…… ประธานเสิ่นยังไม่ได้เล่าให้หนูฟังจริงๆด้วย เห้อ ประธานเสิ่นก็จริงๆเลย เรื่องสำคัญขนาดนี้ ทำไมเขาถึงไม่บอกหนูนะ?”

“ใช่สิ เรื่องสำคัญขนาดนี้ทำไมพวกคุณถึงไม่บอกฉันล่ะ?” เจี่ยนถงถามกลับอย่างเฉยเมย คุณหญิงเจี่ยนก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เอ่อ…… เราก็คิดว่าประธานเสิ่นจะบอกหนูแล้ว ใครจะรู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้”

เจี่ยนถงไม่อยากพูดเรื่องที่เสิ่นซิวจิ่นไม่เล่าเรื่องนี้ให้เธอ และทำไม่ถึงไม่เล่าให้เธอฟังกับคุณหญิงเจี่ยนต่อ เธอเลยถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “ในเมื่อคุณหญิงเจี่ยนก็รู้เรื่องนี้ งั้นก็รบกวนคุณหญิงเจี่ยนช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อย คุณหนูรองของตระกูลถังเห็นอะไรในที่เกิดเหตุ?ทำไมแค่คำพูดเดียวของคุณหนูรองของตระกูลถัง ถึงได้กลายเป็นหลักฐานว่าฉันเป็นคนผิด?”

เธอพูดเตือนคุณหญิงเจี่ยนอีกว่า “ในตอนนั้น ฉันไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ คุณหนูรองของตระกูลถังเห็นอะไรถึงได้บอกว่าฉันเป็นคนผิด!”

“เอ่อ…ตอนนั้นคุณหนูรองของตระกูลถังไม่ได้จะพูดออกมาทันที แต่ว่าเซี่ยเวยเหมิงฆ่าตัวตาย คุณหนูรองของตระกูลถังเห็นคนตาย เธอรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับคนที่ตายไป เธอเลยเล่าเรื่องที่ตัวเองเห็นเหตุการณ์ให้กับคนอื่นฟัง เธอบอกว่าเธอเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เธอได้ยินเสียงร้องของเซี่ยเวยเหมิง”

เธอพูดพร้อมกับมองไปที่เจี่ยนถงอย่างระมัดระวัง

“เซี่ยเวยเหมิงถูกผู้ชายสองสามคนกดทับบนตัว ปากเอาแต่ตะโกนว่า: เจี่ยนถง เธอ! เธอทำร้ายฉัน! เธอต้องไม่ตายดี!”

“ฮ่า………ฮ่าๆๆๆๆ……” เจี่ยนถงฟังแล้วอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าหัวเราะขึ้นฟ้า

คุณหญิงเจี่ยนตกใจ “เสี่ยวถง เสี่ยวถงเป็นอะไรไป?”

เจี่ยนถงยื่นมือผลักคุณหญิงเจี่ยนออกไป “ฉันไม่เป็นอะไร……อย่าแตะต้องฉัน ให้ฉันหัวเราะแปปหนึ่ง”

เธอผลักมือของคุณหญิงเจี่ยนที่ยื่นออกมาพร้อมกับกุมท้องหัวเราะ หัวเราะจนน้ำตาไหลออกมา “ฮ่าๆๆๆ……ฮ่าๆๆ……”

“เสี่ยวถง……เสี่ยวถง……หยุดหัวเราะได้แล้ว หยุดหัวเราะได้แล้ว……” คุณหญิงเจี่ยนตกใจกับเสียงหัวเราะของเจี่ยนถง เธอบอกให้เจี่ยนถงหยุดหัวเราะแต่เธอก็ไม่สนใจ ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ คุณหญิงเจี่ยนหงุดหงิดกับเสียงหัวเราะนี้ สายตาที่หมดความอดทนของเธอ เธออดไม่ได้ที่จะตะโกนเสียงดัง:

“ฉันบอกให้หยุดหัวเราะ!ไม่ได้ยินเหรอ!”

พึ่งจะพูดจบ ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็หายไป

คุณหญิงเจี่ยนเอามือปิดปาก มองตาของเจี่ยนถงที่มองมาที่ตัวเอง สายตาของคุณหญิงเจี่ยนวอกแวก

“ไม่ใช่……ไม่ใช่……เสี่ยวถง แม่แค่รักหนูมากเกินไป”

เจี่ยนถงไม่พูดไม่จา มองไปที่คุณหญิงเจี่ยนเงียบๆ

และสายตาคู่นั้น มันไม่ได้เฉียบแหลม แต่มันกลับทำให้คุณหญิงเจี่ยนรู้สึกเจ็บปวด

“เสี่ยวถง……” คุณหญิงเจี่ยนสีหน้าซีดเซียว

เจี่ยนถงยืนขึ้นมา ยืนตัวตรง และพ่อบ้านหวังก็เดินเข้ามา เธอโบกมือให้พ่อบ้านหวัง “ไม่เป็นไร ไม่ได้เจอคุณหญิงเจี่ยนนานแล้ว เมื่อกี้คุณหญิงเจี่ยนเล่าเรื่องตลกให้ฉันฟัง”

พ่อบ้านหวังพยักหน้า ไม่พูดไม่จาและเดินกลับไปอยู่ในระยะห่างที่ปลอดภัยอีกครั้ง

จากนั้นเจี่ยนถงก็มองไปที่คุณหญิงเจี่ยน เธอยิ้มมุมปาก “คุณเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟัง มันก็แค่พิสูจน์ว่าฉัน——เจี่ยนถง คือฆาตกรที่ชั่วร้าย”

“ไม่ใช่แบบนั้น แม่เชื่อหนู เสี่ยวถง พ่อของหนูและแม่เชื่อว่าหนูคือผู้บริสุทธิ์ ตอนนั้นเพราะว่าไม่มีหลักฐาน แม่กับพ่อของหนูก็กลัวอำนาจของประธานเสิ่น เราเลยไม่กล้ายืนขึ้นมาต่อต้านประธานเสิ่น

แต่ตอนนี้ประธานเสิ่นดีกับหนูขนาดนี้ หนูก็กลายเป็นภรรยาของประธานเสิ่นแล้ว และไอ้สารเลวที่ก่อเรื่องพวกนั้นก็โผล่อยู่ที่เมืองSอีกครั้ง แค่เราหาตัวไอ้สารเลวพวกนั้นเจอ เราก็จะรู้ความจริง คืนความยุติธรรมให้หนูได้อย่างแน่นอน”

เจี่ยนถงอยากจะหัวเราะดังๆต่อ……คุณหญิงเจี่ยนพูดอะไร? บอกว่าพวกเขาเชื่อว่าเจี่ยนถงเป็นผู้บริสุทธิ์? แต่แค่ตอนนั้นไม่มีหลักฐาน?

เธอส่ายหน้า เธอคิดว่าหัวเราะดังออกมาก็แค่ขจัดความโมโหและความผิดหวังในใจของเธอตอนนี้เท่านั้น

“คุณหญิงเจี่ยน ที่นี่ลมแรง ฉันง่วงแล้ว”

เธอพูดพร้อมกับหันหลังเดินออกไป

คุณหญิงเจี่ยนรีบจับแขนของเจี่ยนถงมาจากด้านหลัง “เดี๋ยวก่อน เสี่ยวถง!”

เจี่ยนถงไม่ทันได้ตั้งตัว ถูกคุณหญิงเจี่ยนจับแขนเธอจึงหันหน้ากลับไปมอง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไร แต่ในสายตาก็เขียนไว้ชัดเจนว่า“มีเรื่องอะไรอีก?”

คุณหญิงเจี่ยนจับมือเจี่ยนถงไว้แน่น สายตาของเธอนุ่มนวล เธออ้อนวอนด้วยความรู้สึกผิด “เสี่ยวถง ครั้งนี้พวกเราอยากจะช่วยหนูจริงๆ แม่กับพ่อของหนูรู้สึกผิดจริงๆ

ตอนนั้นช่วยอะไรหนูไม่ได้ ทำให้หนูต้องลำบากขนาดนั้น

เดิมทีหนูเป็นลูกสาว เป็นแก้วตาดวงใจของตระกูลเจี่ยน แต่กลับถูกรังแกในสถานที่แบบนั้น

พ่อของหนูรักในศักดิ์ศรี หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นกับหนูเขาก็กลายเป็นตัวตลกของเซี่ยงไฮ้ ดังนั้น หลังจากเกิดเรื่องขึ้น เขาถึงได้……โหดร้ายกับหนูแบบนั้น

แต่ในใจของเขาก็รู้สึกผิด อยากจะชดเชยให้หนูตลอด

ครั้งนี้พระเจ้าสงสารความรักของเขาที่มีต่อลูกสาว ในที่สุดก็ให้โอกาสเขา

เสี่ยวถง หนู……เชื่อใจพวกเราสักครั้งได้ไหม”

เบ้าตาของคุณหญิงเจี่ยนเปียกชื้น เธอจับมือเจี่ยนถงไว้แน่นไม่ยอมปล่อย กลัวว่าปล่อยมือแล้วเธอจะวิ่งหนีไป

เจี่ยนถงมองไปที่คุณหญิงเจี่ยนอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้ซาบซึ้งอะไร

เธอไม่เชื่อว่าสามีภรรยาคู่นี้จะรู้สึกผิดต่อเธอ จะสงสารเธอ คำพูดที่ไม่ว่าจะแสนหวานแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าช่วงเวลาสามปีที่เหมือนตายทั้งเป็น ช่วงเวลาที่เธอใช้ชีวิตไม่ต่างอะไรกับหมา มันล้วนแต่เป็นเรื่องที่เหลวไหลและน่าขำ

แต่ว่า หากมีโอกาสที่จะสืบหาความจริงตอนนั้น สามารถเอาเรื่องจริงออกมาเปิดเผย สามารถทำให้เธอหลุดพ้นจากการเป็นนักโทษ และสามารถคืนความยุติธรรมให้กับเธอได้!

เธอกะพริบตา “คุณหญิงเจี่ยน คุณจะช่วยฉันยังไง?”

รอบตัวเธอตอนนี้ เธอไม่มีอะไรให้เสียแล้ว!

ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว……

เจี่ยนถงกับคุณหญิงเจี่ยนกำลังระลึกความหลังกันอยู่ในสวน และเจี่ยนเจิ้นตงก็ไม่มีทางพลาดโอกาสที่จะได้พูดคุยกับเสิ่นซิวจิ่น

ทรัพยากรที่บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปครอบครองอยู่ ก็คือสิ่งที่เจี่ยนเจิ้นตงต้องการมากที่สุดตอนนี้

เสิ่นซิวจิ่นฟังคำพูดประจบประแจงของเจี่ยนเจิ้นตง เขารู้ทันทีว่าเจี่ยนเจิ้นตงต้องการอะไร

ถ้าการมาครั้งนี้ของเจี่ยนเจิ้นตง ไม่ใช่มาขอให้เขาทำเรื่องอะไรหรือขออะไรจากเขา มันก็คงจะแปลก ถ้าตาแก่นี่ไม่มีเป้าหมายมาเยี่ยมเยียน งั้นเขามาทำไม? ถ้าไม่มีเป้าหมายอะไรจริงๆมันก็คงจะแปลกจริงๆ เขาคงจะต้องคิดดีๆ……เขาจิบวิสกี้แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ถึงแม้ว่าควรจะรับมือกับเจี่ยนเจิ้นตง แต่ว่าเขาก็ยังสนใจนอกหน้าต่างเป็นครั้งคราว

เจี่ยนเจิ้นตงมองไปตามสายตาของเขา ประเมินดูแล้ว เขาจึงลองถามออกมา “ประธานเสิ่นกำลังเป็นห่วงเสี่ยวถงอยู่เหรอครับ?”

ได้ยินแบบนี้ เสิ่นซิวจิ่นก็ค่อยๆหันกลับมา มองไปที่เจี่ยนเจิ้นตงแล้วยิ้มมุมปากอย่างสุภาพ

เจี่ยนเจิ้นตงก็เป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์ เห็นว่าเป็นแบบนี้เขาก็ไม่ถามต่อ เปลี่ยนคำถาม กลับไปถามเรื่องก่อนหน้านี้อีกครั้ง “เช่นนั้นประธานเสิ่น ท่านคิดว่าเรื่องที่เกี่ยวกับแบบแผนใหม่ พอได้ไหมครับ?”

เสิ่นซิวจิ่นใช้นิ้วมือถูแก้วไวน์ แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะวางแก้วลง “ต้องถามความคิดเห็นของเสี่ยวถง”

สายตาของเจี่ยนเจิ้นตงเต็มไปด้วยความตกใจ……เสิ่นซิวจิ่นสนใจความคิดเห็นของเสี่ยวถงมากขนาดนี้เลยเหรอ?

ในขณะที่เขาพูดอยู่ ลมหนาวก็พัดเข้ามา เสิ่นซิวจิ่นวางแก้วไวน์ในมือลงทันที เขายืนขึ้นและเดินขึ้นไปอย่างรวดเร็ว “พ่อบ้าน นมร้อน”

เขาพูดพร้อมกับโอบเจี่ยนถงเอาไว้ จับมือของเจี่ยนถงมาไว้ในฝ่ามือของตัวเอง “กลัวหนาวแล้วยังชอบออกไปข้างนอก ก็แค่คุณหญิงเจี่ยนมาหา ผมยังแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น คราวหน้าไม่อนุญาตให้คุณออกไปตากลมหนาวในสวนอีก วันนี้อากาศดีก็จริงแต่ลมก็ยังคงเย็น”

ตำหนิไปตั้งเยอะ โทษเจี่ยนถงที่ออกไปอยู่ในสวนนานเกินไป คุณหญิงเจี่ยนที่อยู่ข้างๆเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที……ใครจะคิด เสิ่นซิวจิ่นที่ไม่ค่อยพูดจาและเย็นชา แต่กลับบ่นอะไรเยอะแยะราวกับหญิงแก่ เขาคือจักรพรรดิผู้โหดร้ายในสายตาของทุกคนจริงๆเหรอ?

เจี่ยนถงก็ตกใจ เธอมึนงง……ผู้ชายคนนี้ เริ่มพูดมากแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

มากกว่าพูดมาก บ่นจู้จี้จุกจิก

“คุณชาย นมร้อนครับ” พ่อบ้านเดินเข้ามาเงียบๆ ในมือถือถาดที่มีนมร้อนอยู่หนึ่งแก้ว

เสิ่นซิวจิ่นยกแก้วนมมา “คุณดื่มก่อน ดื่มแล้วคุณเจี่ยนมีเรื่องอยากจะขอร้องคุณ”

ทันใดนั้นเจี่ยนถงก็ทำอะไรไม่ถูก เธอปรับตัวไม่ทัน……เขาบ่นแบบนี้ มันดูเหมือนว่าเขาเอาใจใส่เธอ แต่ยิ่งเขาเป็นแบบนี้เธอก็ยิ่งไม่สบายใจ

ไม่พูดไม่จา ยกแก้วนมร้อนขึ้นมาดื่มลงท้องไปครึ่งหนึ่ง และกำลังจะวางแก้วกลับไปบนถาดอย่างเงียบๆ

“ประธานเจี่ยนมีเรื่องขอให้เสี่ยวถงช่วยไม่ใช่เหรอ?” หันหน้ากลับไปมองเจี่ยนเจิ้นตงและเจี่ยนถง ท่าทางเคร่งขรึมที่ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง เจี่ยนเจิ้นตงหน้าสั่น จากนั้นเขาก็หันหน้าไปมองเจี่ยนถง “เสี่ยวถง……พ่อผิดไปแล้ว”

เพล้ง~!

เสียงแก้วแตกที่คมชัด เวลาราวกับกำลังหยุดนิ่ง

เจี่ยนถงไม่ได้มองไปที่เจี่ยนเจิ้นตง เธอจ้องมองไปที่แก้วที่แตกอยู่บนพื้นอย่างเงียบๆ จ้องมองไปที่เศษแก้วบนพื้นอย่างไม่กะพริบตา

คำพูดที่ว่า“พ่อผิดไปแล้ว”……มันแทงเข้ามาในความเจ็บปวดของเธอพอดี

จนถึงวันนี้…….ในที่สุดพ่อของเธอก็พูดออกมาว่า“เขาผิดไปแล้ว!”

เจี่ยนถงไม่มีอารมณ์ที่จะคิดและไม่อยากจะคิด ประโยคที่ว่า“พ่อผิดไปแล้ว” ประโยคนี้ออกมาจากใจจริงๆหรือเปล่า

อาจจะเป็นเพราะว่าจ้องมองดูเศษแก้วบนพื้นนานเกินไป เธอปวดตาแล้วกะพริบ พยายามบรรเทาความปวดที่ตา “พ่อบ้านหวัง ฉันขอโทษ ฉันมือลื่นทำแก้วตกแตก พื้นสกปรกไปหมด ฉันเหนื่อยแล้ว ทำความสะอาดที่นี่ด้วย”

เธอพูดออกมา น้ำเสียงที่เรียบๆของเธอไม่ได้ขึ้นๆลงๆ เธอค่อยๆพูดออกมา ตั้งใจฟังดู เสียงที่หยาบกระด้างแต่มันกลับมีร่องรอยของความเศร้าโศกที่รับรู้ได้ยาก

หันหลังเดินขึ้นไปชั้นบน แต่จู่ๆกลับหยุดเดินอยู่ที่บันได “อาทิตย์หน้า ฉันจะไปเป็นแขกที่บ้านของคุณหญิงเจี่ยน”

“เสี่ยวถง!” ไม่ว่าจะเป็นคุณหญิงเจี่ยนหรือเจี่ยนเจิ้นตง ดวงตาของพวกเขาเป็นประกายขึ้นมา และอุทานด้วยความประหลาดใจ

เจี่ยนถงไม่ได้พูดอะไรต่อ สำหรับเรื่องที่เจี่ยนเจิ้นตงจะขอร้องเธอ……เธอไม่อยากได้ยิน คนฉลาดอย่างเธอ ถ้าเสิ่นซิวจิ่นกำลังถามความคิดเห็นของเธอ…… งั้นก็แสดงว่าเธอได้ให้ไปแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นเพราะประโยคที่ว่า“พ่อผิดไปแล้ว” หรือว่าเธอต้องการสืบค้นความจริงในตอนนั้น เธอต้องไปบ้านของตระกูลเจี่ยนอีกสักครั้ง เธอถึงจะมีโอกาสทำความเข้าใจให้มากขึ้น เธอจำเป็นที่จะต้อง“ขจัดความสงสัย”

คืนวันหนึ่งหลังจากที่ผ่านไปแล้วสองสามวัน เจี่ยนถงบอกเสิ่นซิวจิ่นว่าอยากไปบ้านของตระกูลเจี่ยน

“สองสามวันนี้ผมจะต้องออกไปทำงานนอกสถานที่ รอผมกลับมาแล้วผมค่อยพาคุณไป?”

“ให้พี่เมิ่งไปกับฉันก็ได้ อยู่แต่บ้านเบื่อจนจะไม่สบายแล้ว ฉันไม่มีที่อื่นให้ไป ในเมื่อพ่อกับแม่……คุณเจี่ยนกับคุณหญิงเจี่ยนตั้งใจที่จะชดเชยความผิดผลาดจริงๆ” เธอหลับตาลง จัดกระเป๋าให้เขาออกไปทำงานนอกสถานที่พรุ่งนี้พร้อมกับพูดอย่างช้าๆ “……ยังไงก็มีพี่เมิ่งไปกับฉัน ฉันก็แค่จะไปกินอาหารกลางวันสักมื้อหนึ่ง”

เธอพูดแบบนี้ เสิ่นซิวจิ่นเหลือบมองไปที่เธอ สายตาของเขาอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย “อืม งั้นผมโทรหาซูเมิ่ง พรุ่งนี้ให้เธอไปกับคุณ”

……

คืนที่ไร้ความฝัน

วันรุ่งขึ้น เสิ่นซิวจิ่นออกไปทำงาน ครั้งนี้เขาจะไปประเทศอังกฤษสองสามวัน ก่อนออกไปยังสั่งให้คนของตัวเองดูแลเจี่ยนถงให้ดี

ยืนอยู่ที่ประตู เจี่ยนถงโบกมือให้เขา “รีบไปรีบกลับ”

ทั้งสองคนราวกับคู่สามีภรรยา ถ้าคนที่ไม่รู้ก็คงคิดไม่ถึงว่าระหว่างพวกเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงขนาดนี้

สายตาของเสิ่นซิวจิ่นอ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ เขาขึ้นรถไป ลมหนาวในฤดูหนาวก็พัดเอาความอบอุ่นในใจของเขาไปไม่ได้

จนกระทั่งรถของเสิ่นซิวจิ่นขับออกไปจนลับสายตา ซูเมิ่งยื่นมือออกไปจับเจี่ยนถง “ไปกันเถอะ ไม่ต้องเสแสร้งแล้ว”

เจี่ยนถงตกใจเล็กน้อย “เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันกำลังเสแสร้ง?”

ซูเมิ่งยิ้มและเหลือบไปมองเธอ “ฉันยังจำครั้งแรกที่เราเจอกันได้ ฉันถามเธอว่าทำไมเธอถึงยอมมาเป็นคนทำความสะอาดที่ตงหวง เธอจำคำตอบของเธอได้ไหม?”

แน่นอน……จำได้

“ฉันบอกว่า ถ้าขายตัวได้ฉันก็เต็มใจจะกางขาต้อนรับ ก่อนมาฉันก็ดูตัวเองมาแล้ว ไม่มีต้นทุนที่จะขายตัว งั้นก็ขายแรงงาน ทำเรื่องที่ตัวเองทำได้ให้ดี”

หลังจากพูดจบ เธอก็เงียบ

ซูเมิ่งยิ้มและตบไหล่ของเจี่ยนถงเบาๆ “ในสายตาของเธอ เอาอกเอาใจเสิ่นซิวจิ่นกับเป็นคนทำความสะอาด ที่จริงแล้วก็เหมือนกันใช่ไหม…… ในสายตาของเธอทั้งสองอย่างนี้ก็เป็นแค่การค้าขาย เป็นแค่ธุรกิจ”

ซูเมิ่งขยับเข้ามาข้างหูของเจี่ยนถง: “ถ้าพูดถึงความโหดเหี้ยม เธอเป็นคนโหดเหี้ยมจริงๆ แต่ฉัน รวมถึงคนอื่นๆ ไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินเธอ เพราะคนคนหนึ่งถูกบังคับให้ไม่กล้ามีความรู้สึก ไม่กล้าอ่อนไหว จำเป็นที่จะต้องโหดเหี้ยม ความลำบากที่เคยเจอมา มีเพียงคนที่เคยเจอเท่านั้นที่รู้ คนที่ไม่เคยเจอจะมีสิทธิ์ไปตัดสินเธอได้ยังไง”

เธอพูดพร้อมกับตบไหล่เจี่ยนถงที่ตกใจอยู่เบาๆ “เอาล่ะ เราออกเดินทางได้แล้ว”

……

ประตูใหญ่ของบ้านตระกูลเจี่ยนอยู่ห่างออกไปเพียงห้าสิบเมตร เจี่ยนถงและซูเมิ่งนั่งอยู่ด้านหลังรถ คนขับรถคือเสิ่นเอ้อ

ตอนที่เสิ่นซิวจิ่นออกไป เขาพาเสิ่นยีและคนอื่นๆไปด้วย เหลือแค่เสิ่นเอ้อไว้ให้เจี่ยนถง

นิสัยของเสิ่นเอ้อกับเสิ่นยีไม่เหมือนกัน อย่างน้อยตอนที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน เจี่ยนถงอาจจะไม่ค่อยรู้สึกถึงความไม่เป็นมิตรของเสิ่นเอ้อ เพราะแบบนี้ พวกเขาคงจะผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย

“ไม่ต้องเครียด” มืออุ่นๆวางมาที่หลังมือของเธอ เจี่ยนถงถึงได้มีสติกลับมา คิดไม่ถึงว่าเธอจะเครียดเพราะกลับไป“บ้านที่ตัวเองเคยอยู่มานานกว่ายี่สิบปี”

เธอพยักหน้าด้วยสีหน้าที่แข็งทื่อ “ไม่เป็นไร”

รถแล่นเข้าไปที่ประตูใหญ่ของบ้านตระกูลเจี่ยนและหยุดที่ลานกว้างหน้าประตู

“มีฉันอยู่” ก่อนจะลงจากรถ ซูเมิ่งจับมือของเจี่ยนถงไว้แน่น ราวกับว่าจะส่งความกล้าหาญของเธอจากมือที่จับกันอยู่ของทั้งสองคนไปให้เจี่ยนถง เธอมองเจี่ยนถงอย่างจริงจัง จากนั้นก็ผลักประตูลงจากรถ

และในขณะเดียวกัน เสิ่นเอ้อก็ลงมาจากรถ กำลังจะเปิดประตูให้เจี่ยนถง แต่ประตูกลับถูกผลักออกมาจากด้านใน

“ทำไมไม่เข้าไป?” ซูเมิ่งถาม

เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นมองตึกอันคุ้นเคยที่อยู่ตรงหน้า ราวกับตอนนั้นตอนที่เธอถูกจับ เธอมองดูมันอย่างจริงจัง

แต่อย่างไรก็ตาม ไม่รอให้คนในบ้านออกมา เธอก็ยิ้มมุมปากอย่างเยาะเย้ย…. เธอจะเชื่อคำพูดที่แสนหวานของคนที่เป็นพ่อแทนๆอย่างเจี่ยนเจิ้นตงได้ยังไง?

แต่เธอก็ต้องยอมรับอย่างอ่อนแอ เพราะประโยคที่ว่า “พ่อผิดไปแล้ว” เธอรู้ว่ามันไม่ใช่ความจริง แต่เธอกลับน้ำตาไหล เธอหวังลึกๆในใจว่าประโยคที่ว่า “พ่อผิดไปแล้ว” มันจะออกมาจากใจจริง

ถอนหายใจ “เข้าไปกันเถอะ”

พวกเธอเดินเข้าไปในบ้านตระกูลเจี่ยน คุณหญิงเจี่ยนเดินเข้ามาจับมือเจี่ยนถงด้วยความชอบใจ หาที่ที่ไม่มีคนอยู่ บอกว่าแม่ลูกมีเรื่องอะไรจะคุยกัน

“คุณซูคือ……” ซูเมิ่งเดินตามเจี่ยนถงมาที่ห้อง คุณหญิงเจี่ยนมองซูเมิ่งด้วยความลำบากใจ จากนั้นก็หันมามองเจี่ยนถง ความหมายก็คือ ไม่สะดวกที่จะให้ซูเมิ่งตามมาที่นี่

เจี่ยนถงกะพริบตา “พี่เมิ่ง ฉับกับคุณหญิงเจี่ยนไม่ได้เจอกันนาน มีเรื่องคุยกันนิดหน่อย”

ซู่เมิ่งติดตามเสิ่นซิวจิ่นมาตลอด พูดไม่ได้ว่าไปมาหมดแล้วทุกที่แต่เธอก็เห็นอะไรมาแล้วมากมาย สายตาของเธอเป็นประกายขึ้นมาจากนั้นก็ออกจากห้องอย่างเงียบๆ “เช้านี้ท้องเสีย ขอยืมห้องน้ำบ้านของคุณหญิงเจี่ยนสักหน่อย ไม่ทราบว่าไปทางไหนคะ?”

คุณหญิงเจี่ยนก็นึกขึ้นได้และรีบตอบกลับไปว่า “คุณซูเดินลงไปข้างล่าง สุดทางเดินก็คือห้องน้ำ”

สายตาของทั้งสองคนประจบกัน ทั้งสองคนก็ล้วนแต่รู้เจตนาของกันและกัน

คุณหญิงเจี่ยนจงใจให้ซูเมิ่งออกไป แน่นอนว่าเธอต้องมีอะไรบางอย่างจะพูดกับเจี่ยนถง แต่ซูเมิ่งกลับบอกว่าปวดท้องขอไปเข้าห้องน้ำ…… นี่ก็แสดงว่าเธอยอมแพ้แล้ว

ปิดประตู แยกคนสามคนที่อยู่ด้านหน้าและด้านหลังประตูออก

ซูเมิ่งเดินออกไปสองก้าว แล้วยังหันหน้าไปมองประตูที่ปิดอยู่อย่างครุ่นคิด ในสายตาของเธอมีความลังเล จู่ๆนิ้วเท้าของเธอก็หมุนไปทิศทางเก้าสิบองศา เธอกำลังจะเดินเข้าไปเคาะประตูอีกครั้ง

แต่ ผ่านไปพักหนึ่งเธอก็หยุดนิ่ง!

กัดฟันและหันนิ้วเท้าออกมาเก้าสิบองศา ขยับเท้าแล้วเดินไปทางบันได

เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้น มันช่างคมชัด……และหนักแน่น

ทุกย่างก้าวที่เดินออกไป เธอบีบมือของตัวเองแน่นขึ้นเรื่อยๆ…… เธอรู้ดีว่า เธอซูเมิ่ง เป็นคนของเสิ่นซิวจิ่น และจุดประสงค์ที่เสิ่นซิวจิ่นให้เธอมาอยู่กับผู้หญิงโง่คนนี้ก็คือให้คอยจำตาดูเธอเอาไว้

ถ้าเธอเย็นชาและมีสติสัมปชัญญะมากพอ ตอนนี้เวลานี้ เธอควรจะเข้าไปเคาะประตูแล้วลากเจี่ยนถงออกมา ไม่ปล่อยให้เธอได้ใกล้ชิดกับคุณหญิงเจี่ยน

แต่…… สุดท้ายแล้วซูเมิ่งก็เลือดเย็นไม่พอ เธอมักจะคิดที่จะช่วยผู้หญิงโง่คนนั้น…… ซูเมิ่งไม่รู้ว่าคุณหญิงเจี่ยนกับเจี่ยนถงพูดอะไรกันในห้องเล็กๆห้องนั้น แต่เธอรู้จักนิสัยของผู้หญิงโง่คนนั้นเป็นอย่างดี——เจี่ยนถงมาที่บ้านของตระกูลเจี่ยน เธอมีเป้าหมาย

“คุณนายล่ะ?” เสิ่นเอ้อเห็นว่าซูเมิ่งเดินลงมาคนเดียว สายตาของเขาเป็นประกายขึ้นมา เขาถามว่า “ทำไมคุณลงมาคนเดียว?คุณชายบอกให้คุณอยู่กับคุณนายตลอดเวลาไม่ใช่เหรอ?”

“ฉันปวดท้อง” ซูเมิ่งหยิบบุหรี่ออกมาแล้วเหลือบไปมองเสิ่นเอ้อ ท่าทางแบบนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับ“ปวดท้อง”เลยสักนิด เธอถอนหายใจ ซูเมิ่งลืมตาขึ้นและยิ้มมุมปาก

“คุณรู้จักเธอ รู้จักเธอนานกว่าฉันอีกใช่ไหม?เสิ่นเอ้อ……ถ้าคุณไม่วางใจ ก็ขึ้นไปเคาะประตูเองสิ”

เธอพูดพร้อมกับเดินผ่านเสิ่นเอ้อไป เดินตรงไปทางห้องน้ำ

เสิ่นเอ้อยืนอยู่ที่เดิม ใบหน้าที่แน่วแน่ สายตาของเขาสั่นไหว ในที่สุดเขาก็หันหลังเดินตามซูเมิ่งไป “คุณรีบหน่อย สบายท้องแล้วก็รีบไปอยู่กับคุณนาย”

ซูเมิ่งที่เดินเข้าห้องน้ำไปแล้วยิ้มออกมา……เธอดูไม่ผิด เมื่อเทียบกับเสิ่นยี เสิ่นเอ้อไม่ได้เป็นศัตรูกับเจี่ยนถง และบางครั้งสายตาที่เขามองเธอ เขามักจะสงสารเจี่ยนถงอยู่เสมอ

ในห้องเล็กๆชั้นบน หลังจากที่ปิดประตูแล้วมันก็ยังคงเงียบสงบ เมื่อประตูเปิดออกอีกครั้ง ผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินออกมา สีหน้าของเธอดูไม่ดี เธอพยุงราวประตู รูปร่างที่ผอมบางก็สั่นคลอนอย่างควบคุมไม่อยู่

การไปทำงานนอกสถานที่ครั้งนี้ของเสิ่นซิวจิ่น เขาไม่ได้ไปคนเดียว เขายังพาไป๋ยู่สิงไปด้วย

เดิมทีไป๋ยู่สิงเป็นลูกชายของตระกูลไป๋ ตอนนั้นเพื่อที่จะเรียนหมอ เขามักจะดื้อกับพ่อของเขาตลอด ปกติไป๋ยู่สิงดูเป็นคนอบอุ่น แต่ถ้าเขาเอาจริงขึ้นมา แม่แต่พ่อของเขาก็ยังปวดหัว

พ่อของเขาเปลี่ยนความคิดของไป๋ยู่สิงไม่ได้ เขาจึงยอมถอยออกมา บอกว่าเมื่อตระกูลไป๋ต้องการไป๋ยู่สิง ไป๋ยู่สิงจะต้องช่วยเหลือตระกูลให้ถึงที่สุด

นี่ก็ถึงเวลาแล้วที่ไป๋ยู่สิงจะได้ช่วยเหลือตระกูล ตระกูลเสิ่นกับตระกูลไป๋มีความร่วมมือกันมาตลอด การไปประเทศอังกฤษครั้งนี้สำคัญมาก ไม่อย่างนั้น คนสำคัญทั้งสองคนของเสิ่นซื่อกรุ๊ปและไป๋ซื่อกรุ๊ปอย่างเสิ่นซิวจิ่นและไป๋ยู่สิงก็คงจะไม่มาพร้อมกัน

“ยากที่จะรับมือ” หลังจากได้เจอกับอีกฝ่ายแล้ว ไป๋ยู่สิงที่ใส่ชุดโค้ทตัวใหญ่กับเสิ่นซิวจิ่นที่ใส่ชุดสูทสีน้ำเงิน ทั้งสองคนพูดคุยกันพร้อมกับเดินออกมาจากประตู

เสิ่นซิวจิ่นยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา: “ไปเถอะ ไปกินข้าวก่อน”

ทั้งสองคนหาร้านอาหารตะวันตกใกล้ๆที่บรรยากาศค่อนข้างสบายๆ หลังจากนั่งลงแล้ว พวกเขาก็สั่งอาหารง่ายๆสองชุด ในขณะที่รออาหาร เสิ่นซิวจิ่นโบกมือไปข้างหลัง เสิ่นยีก็เดินเข้ามา

“สองสามวันนี้คอยจับตาดูสมิธคนนั้นเอาไว้ ดูว่าเขาไปเจอใครบ้าง”

ในขณะที่เสิ่นซิวจิ่นพูดออกมาแบบนี้ ไป๋ยู่สิงก็นึกขึ้นมาได้ “นายหมายถึง……ในบริษัทสาขาย่อยนี้ มีคนแอบทุบโต๊ะของเรา?”

เสิ่นซิวจิ่นโบกมือให้กับเสิ่นยีอีกครั้ง “ไปเถอะ”

จากนั้นเขาก็หันกลับมาแล้วพูดว่า “นายไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ?” เขากวาดตามองไป๋ยู่สิง “เราสองคนพึ่งจะมาถึงสนามบินเมื่อวาน วันนี้นัดเจอกับสมิธ แต่อีกฝ่ายกลับทำตัวเหมือนว่าพวกเขารู้อยู่แล้วว่าเราจะทำอะไร?

สิ่งที่ฉันคิดได้ก็คือ บริษัทย่อยที่นี่มีหนอนบ่อนไส้ และยังมีตำแหน่งเป็นผู้บริหาร” พึ่งจะมาถึงสนามบินเมื่อวานและยังไม่ได้พัก โทรหาผู้บริหารของบริษัททันที จัดประชุมผู้บริหารระดับสูงแล้วก็วางแผนในชั่วข้ามคืน แต่วันนี้ตอนที่เจอกับอีกฝ่าย พวกเขาไม่มีความเกรงกลัวเลยสักนิด ทำตัวเหมือนว่าจะต้องชนะแน่นอน แสดงว่าพวกเขาต้องรู้รายละเอียดมาก่อนแล้ว

“ข้อห้ามของการร่วมมือกันของทั้งสองฝ่ายก็คือ การที่อีกฝ่ายหนึ่งรู้รายละเอียด”

ไป๋ยู่สิงทำสีหน้าเคร่งขรึม

“ไม่มีวิธีการไหนที่จะป้องกันขโมยได้ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าจะหลีกเลี่ยงผู้บริหารตำแหน่งสูงของบริษัท นายกับฉันวางแผนใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของการรั่วไหลครั้งนี้ ทำให้เรื่องราวกลับมาอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง แต่ถ้าไม่กำจัดหนอนบ่อนไส้ตัวนี้ มันก็จะระเบิดได้ตลอดเวลา”

ไป๋ยู่สิงเข้าใจดี “เราจะอยู่ที่ประเทศอังกฤษนานไม่ได้ ถ้าบริษัทย่อยที่นี่ยังคงมีหนอนบ่อนไส้ซ่อนตัวอยู่ ระเบิดลูกนี้มันอาจจะระเบิดเมื่อไหร่ก็ได้ มันจะส่งผลกระทบต่อสำนักงานใหญ่ ถึงตอนนั้น ตลาดหุ้นก็จะปั่นป่วน ทรัพยากรของ วอลล์สตรีทก็จะถือโอกาสเข้ามาแทรกแซง หลายฝ่ายร่วมมือกัน รับผู้ประกอบกิจการทรัพย์สินเข้ามาทำเรื่องของบริษัท พวกเขาถนัดทางด้านนี้”

ตอนแรก ไป๋ยู่สิงก็แค่คาดเดาเท่านั้น แต่ยิ่งคาดเดาก็ยิ่งพูดมากขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าของเขาค่อยๆเปลี่ยนไป เขาค่อยๆมีสีหน้าที่เคร่งขรึม เคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ เคร่งขรึมมาก……สุดท้าย สีหน้าของเขาก็ตึงเครียด เขาตัวแข็งทื่อ ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นมา สายตาที่เย็นชามองไปที่เสิ่นซิวจิ่นที่อยู่ข้าม

“ซื้อตัวผู้บริหารตำแหน่งสูงภายใน ให้พวกเขาเป็นสายลับ ขายข่าวสำคัญๆให้ตัวเอง สุดท้ายปัญหาเล็กๆที่ไม่สำคัญจู่ๆก็ขยายใหญ่ขึ้น ความไม่สงบภายในทำให้จิตใจของผู้คนเกิดความวุ่นวาย คราวนี้ค่อยให้ปล่อยให้สื่อเข้ามาแทรกแซง……ผลที่ตามมาไม่อาจจะจินตนาการได้!

เมื่อสื่อเข้ามาแทรกแซง ปัญหาก็จะขยายใหญ่ขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทรัพยากรของฝั่งตะวันตกก็จะถือโอกาสเข้ามาแทรกแซงตอนนี้……ธุรกิจที่ดีๆก็จะล้มละลายในชั่วข้ามคืน……วิธีนี้ ทำไมถึงได้คุ้นขนาดนี้? อาซิว……ใครกันที่กล้าเล็งเป้ามาที่ตระกูลเสิ่น?”

“ใช่ พวกเขาเริ่มลงมือแล้ว” ใบหน้าอันหล่อเหลาของชายที่อยู่ตรงข้าม เขาไม่โมโหแล้วก็ไม่เคร่งขรึม

“อาซิว นายจริงจังหน่อย!” ไป๋ยู่สิงร้อนรน: “แล้วพวกเขาคือใคร?”

“ฉันไม่รู้”

ในตอนนี้ อาหารมาเสิร์ฟพอดี ไป๋ยู่สิงมองดูชายตรงข้ามที่เริ่มกินอาหารอย่างไม่อยากจะเชื่อ มาถึงขนาดนี้แล้ว เจอเรื่องแบบนี้แล้ว นามสกุลเสิ่นคนนี้ยังมีอารมณ์กิน!

“ทำไมนายยังมีอารมณ์กินข้าวอีก!”

“นิ่งไว้” เสิ่นซิวจิ่นเงยหน้าขึ้นเหลือบมองไป๋ยู่สิง: “นายใจร้อนเกินไป”

“นาย!” นายไม่ใจร้อน นายเสิ่น นายเก่งจังเลยนะ!

“กินข้าว กินอิ่มแล้วจะได้มีแรงเล่นกับแมว”

ไป๋ยู่สิงได้ยินแบบนี้ ทันใดนั้นความกังวลในใจของเขาก็หายไปทันที สงบสติอารมณ์……วิธีของนามสกุลเสิ่นคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ เขากังวลอะไร?

นามสกุลเสิ่นคนนี้พูดแบบนี้ก็แสดงว่าเขามีวิธีแล้ว

……

ในขณะเดียวกัน

เมืองS

เจี่ยนถงถือโอกาสตอนที่ไม่มีคน เธอแอบเข้าไปในห้องหนังสือของเสิ่นซิวจิ่น

พลิกกล่องพลิกตู้เสื้อพัก

สายตาของเธอเต็มไปด้วยความร้อนรน

ทำไมไม่มี?

เอาไปวางไว้ที่ไหน?

ในตู้หนังสือ ในลิ้นชัก ที่ที่หาได้ก็หาหมดแล้ว เอาไปวางไว้ที่ไหนกันแน่?

“คุณนาย คุณกำลังหาอะไรอยู่”

พ่อบ้านหวังยืนเงียบๆอยู่ที่หน้าประตูห้องหนังสือราวกับวิญญาณ

หนังสือที่ถืออยู่ในมือของเจี่ยนถง….ตกลงบนพื้น!

เธอรีบหันกลับมาด้วยความตกใจและยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “พ่อบ้านหวัง……คุณตั้งแต่มาเมื่อไหร่?ทำไมฉันถึงไม่ได้ยินเสียงเปิดประตู”

“กฎที่สิบเจ็ดของการเป็นพ่อบ้าน มือไม้ต้องเบา ไม่ส่งเสียงดัง” พ่อบ้านหวังยืนเงียบๆอยู่ที่ประตู ดวงตาของเขาไม่ขยับไปไหน จ้องมองไปที่เจี่ยนถง: “คุณนาย คุณยังไม่ได้บอกผมว่าดึกขนาดนี้แล้วคุณมาหาอะไรในห้องหนังสือของคุณชาย”

“ฉัน……ฉัน……” เธอกลืนน้ำลาย กวาดตาไปที่ตู้หนังสือ ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างวาบขึ้นมาบนหัว “ฉันนอนไม่หลับ มาหาหนังสืออ่าน”

พ่อบ้านยืนอยู่ที่ประตู หรี่ตาลงแล้วถามอย่างใจเย็น: “คุณนายหาหนังสือที่ต้องการเจอแล้วหรือยังครับ?”

“หา หาเจอแล้ว” เจี่ยนถงยิ้มแห้งและชี้ไปที่พื้น: “เล่มนี้”

พ่อบ้านหวังเดินเข้ามา ยืนอยู่หน้าเจี่ยนถงประมาณครึ่งเมตร “คุณนาย ดึกมากแล้ว คุณรีบกลับไปห้องนอนดีกว่า”

“โอเค โอเค ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” เธอรีบหันกลับไปด้วยความตื่นตระหนก เดินออกไปจากห้องหนังสือ เดินผ่านหลังของพ่อบ้านหวังไปเธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก……ในที่สุดเธอก็รอดออกมาได้

กำลังจะเดินเข้าไปในห้องโถง……

“คุณนาย หนังสือของคุณ ลืมหยิบไปด้วยหรือเปล่า?”

เจี่ยนถงหยุดเดินทันที จนเธอเกือบจะสะดุดล้ม แต่โชคที่ที่เธอไม่ล้มแค่สะดุดนิดหน่อย เธอหันหน้าไปมองหนังสือที่พ่อบ้านหวังหยิบขึ้นมาจากพื้นอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก รอยยิ้มของเธอไม่เป็นธรรมชาติยิ่งกว่าเดิม :

“ขอบ ขอบคุณนะ”

เดินสองสามก้าวเข้าไปหยิบหนังสือแล้วเดินออกไป

พ่อบ้านก็เดินมาที่ห้องโถง มองดูแผ่นหลังของผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าที่รีบเดินไปอย่างกระวนกระวาย มองจนแผ่นหลังนั้นลับไปจากสายตา

ในขณะเดียวกันก็ส่งข้อความข้ามไปอีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร:

“สิบนาทีก่อน คุณนายเข้าไปที่ห้องหนังสือของคุณ คุณนายบอกว่ามาหาหนังสือ ตอนที่รีบออกไปก็ลืมหยิบหนังสือที่เธอต้องการอ่านไปด้วย”

ดวงตาสีดำของคนที่ได้รับข้อความก็ลึกซึ้งขึ้นทันที เขาจ้องมองไปที่ข้อความอยู่นาน รูม่านตาสีดำค่อยๆหดตัวและขยายออก ราวกับเจ้าของของมัน ใจของเขาตอนนี้กำลังปั่นป่วน!

ไป๋ยู่สิงเห็นว่าเขาผิดปกติไป “เกิดอะไรขึ้น?”

เห็นว่าเขาจ้องไปที่โทรศัพท์อย่างเหม่อลอย “ข้อความของใคร?”

อีกฝ่ายยังคงไม่ขยับไปไหน และตอนที่ไป๋ยู่สิงจะยื่นมือออกไปคว้าโทรศัพท์มา ทันใดนั้น เสิ่นซิวจิ่นก็ลืมตาขึ้น มองหน้าของไป๋ยู่สิงและพูดออกมาอย่างยากลำบาก “นายคิดว่านิสัยของคนคนหนึ่งเปลี่ยนไปขนาดนั้น เป็นเพราะเธอยอมแล้วจริงๆเหรอ? นายคิดว่าคนคนหนึ่งจะสามารถชดใช้ความผิดในอดีตได้จริงๆเหรอ สามารถแก้ไขความผิดได้จริงๆเหรอ?”

คนแรกที่พูดถึงหมายถึงเจี่ยนถง คนที่สองที่พูดถึงหมายถึงตัวเขาเอง

“สุดท้าย ฉันก็โกหกตัวเอง” เธอเกลียดเขาขนาดนั้น ถึงขั้นไม่อยากเห็นหน้าเขา จู่ๆจะเปลี่ยนไปขนาดนั้นได้ยังไง เต็มใจที่จะเผชิญหน้ากับเขาอย่างสงบ?

มันก็เป็นแค่ความฝันที่เขาไม่ยอมตื่น เป็นแค่ความฝันที่หลอกตัวเองก็เท่านั้น

ซูเมิ่งมองออกว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร แต่ทำไมเสิ่นซิวจิ่นถึงไม่รู้สึกอะไรเลยล่ะ?

มันเป็นเพียงแค่การหลอกลวงตัวเองเท่านั้น การหลอกลวงที่ทำให้แตกเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นก็ปลุกให้ตื่นขึ้นมาจากความฝันอันหอมหวาน

“อาซิว ผิดพลาดไปแล้ว ก็คือผิดพลาดไปแล้ว” น้อยมากที่ไป๋ยู่สิงจะพูดเรื่องของเจี่ยนถงกับเสิ่นซิวจิ่นด้วยน้ำเสียงจริงจังขนาดนี้ “นายควรจะยอมแพ้ได้แล้ว”

ลมหายใจของอีกฝ่ายเริ่มหนักขึ้น เห็นได้ชัดว่า เขากำลังรู้สึกทุกข์ทรมาน และกำลังต่อสู้กับมัน

“ยู่สิงนายรู้ไหม?”ไป๋ยู่สิง มองชายที่อยู่ตรงหน้า เขากำลังยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบด้วยแขนที่สั่นเทา ไม่รู้ว่าเขาสัมผัสได้ถึงรสชาติของกาแฟบ้างรึเปล่า แต่ท่าทางแบบนั้นของเขา ก็ทำให้ไป๋ยู่สิง รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มตรงหน้าวางแก้วกาแฟที่อยู่ในมือลงและเริ่มพูดออกมา

“ทุกครั้งหลังจากที่เรามีอะไรกัน เธอมักจะกินยาคุมกำเนิดเสมอ และเธอก็บอกว่ามันเป็นวิตามิน”เสิ่นซิวจิ่นหัวเราะออกมาอย่างนึกสมเพช “แต่สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือ ในขวดยานั่นมันเป็นวิตามินจริงๆ ”

ก่อนหน้านี้ฉันเป็นคนเปลี่ยนยาคุมกำเนิดในขวดยานั่นเอง ฉันได้จ้างวานให้ใครบางคน ทำเม็ดยานั่นขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว โดยการทำ “วิตามิน” ให้มีรูปแบบและรสชาติที่ใกล้เคียงกับยาคุมกำเนิดมากที่สุด

ฉันรู้มาตั้งนานแล้วว่า ขวดยานั่นมันไม่ใช่ยาคุมกำเนิดอย่างที่เธอคิด และหลังจากนั้นทุกครั้งที่เรามีอะไรกัน ตอนที่ฉันเห็นเธอเอายาในขวดนั่นออกมากิน ในใจของฉัน มันก็ไม่ได้ทุกข์ทรมานอีกแล้ว

แต่ตรงนี้ต่างหาก ที่มันทุกข์ทรมาน

เสิ่นซิวจิ่นยกกำปั้นขึ้นมาทุบที่หน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมา เมื่อจู่ๆ เสิ่นซิวจิ่นเงยหน้าขึ้นไป๋ยู่สิง ก็สะดุ้งตกใจ "นาย…" ความเกลียดชังที่ฝังลึกแบบนี้ของเสิ่นซิวจิ่นเขาจะยอมแพ้มันได้จริงๆ อย่างนั้นเหรอ? ยังไม่ต้องไปพูดถึงคนอื่นเลย เพราะไป๋ยู่สิง ก็เป็นคนแรกที่ไม่อยากจะเชื่อมันเลยสักนิด

“ตอนนี้นายบอกให้ฉันยอมแพ้..แต่ตรงนี้”เสิ่นซิวจิ่นทุบมือลงไปบนอกข้างซ้ายของตัวเองอีกครั้ง “มันยังรู้สึกทุกข์ทรมานอยู่เลย”

ริมฝีปากบางของไป๋ยู่สิง ขยับปิดออก จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าซุปไก่พิษทำให้ชีวิตของเขาสว่างไสว และคำพูดพวกนั้น มันก็ดูจะบางเบามากเหลือเกิน

การที่ผู้ชายอย่างเสิ่นซิวจิ่นมีความรู้สึกหดหู่และบ้าคลั่ง ดวงตาแดงก่ำ ปากก็เอาแต่พล่ามคำพูดที่ขมขื่นแบบนี้ออกมา…ไป๋ยู่สิงจึงยื่นมือออกไปตบที่ไหล่ของอีกฝ่าย “ถ้าทำผิดทั้งแต่ครั้งแรก ครั้งต่อๆ ไปมันก็จะผิดตามไปด้วย ในตอนนั้นที่นายส่งเธอเข้าคุก นายเคยคิดไหมว่าจะมีวันนี้?" แม้ว่ามันจะเป็นคำพูดที่ไม่ควรพูด แต่เขาก็ต้องพูดมันออกไป "อาซิว รักคือเธอรักก่อน ผิดคือนายผิดก่อน และเกลียดคือเธอเกลียดก่อน ในวันนี้เธอถอยแล้ว นายก็ควรที่จะยอมแพ้ และปล่อยเธอไป เพราะนี่คือสิ่งที่นายเป็นหนี้เธอ”

เสิ่นซิวจิ่นยกมือขึ้นไปปัดมือของไป๋ยู่สิงที่วางอยู่บนไหล่เขาออก “นายออกไปก่อนเถอะ ฉันอยากจะอยู่เงียบๆ คนเดียว”

ริมฝีปากของไป๋ยู่สิง เปิดออกเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาเงียบๆ เขายืนขึ้น และมองหาพนักงานในร้าน เขาเรียกผู้จัดการร้านมา จากนั้นก็หยิบเงินออกมาจากกระเป๋าทั้งหมดวางไว้บนบาร์ โดยที่ไม่นับเลยแม้แต่น้อย " เท่านี้พอไหม?”

เงินวางอยู่บนบาร์ปึกหนึ่ง และมันก็ถูกแลกเป็นสกุลเงินต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว จำนวนของมันเยอะมากๆ มากพอที่จะเหมาร้านได้ทั้งวัน ผู้จัดการร้านจึงเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อเห็นเงินจำนวนนั้น หลังจากนั้นเขาก็จัดการเก็บกวาดร้าน และถึงแม้ว่าร้านจะมีลูกค้าไม่มาก แต่มันก็ไม่ได้ขาดทุนแต่อย่าง

"เงินนี้มันมากพอสำหรับทำความสะอาด รวมทั้งพนักงานด้วยครับ"

หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว ทุกคนก็พากันเดินออกไป ตอนนี้จึงเหลือชายเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะในร้านขนาดใหญ่

เสียงเพลงที่ไพเราะ บรรยากาศสบายๆ ภายในร้านว่างเปล่า และผู้ชายที่กำลังดิ้นรนและทุกข์ทรมาน

ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้ผู้ชายคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ และสิ่งที่ไป๋ยู่สิง เห็นก็คือ เสิ่นซิวจิ่นกำลังนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะ และใช้มือกุมหน้าผากของตัวเองเอาไว้ และเอาแต่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน

ไป๋ยู่สิงยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างกระจกด้านนอกร้าน เขายกข้อมือของตัวเองขึ้นมาดูเวลาเป็นครั้งที่ห้าแล้ว

“สองชั่วโมง”เสิ่นซิวจิ่นขังตัวเองไว้ในร้านที่ตัวเองไม่รู้จัก เป็นเวลาสองชั่วโมง โดยไม่ยอมขยับเขยื้อนตัวไปไหน

ไป๋ยู่สิงมองตรงไปที่ชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในร้าน และยังคงนั่งนิ่งเหมือนก่อนหน้านี้ " นี่เสิ่นซิวจิ่นเสิ่นซิวจิ่นถ้านายยังไม่ยอมขยับ ฉันก็คิดว่านายหลับไปแล้วนะ"

เขาพึมพำกับตัวเองออกมาด้วยน้ำเพียงแผ่วเบาอยู่ที่หน้ากระจก แต่ทันใดนั้นเองจู่ๆ ดวงตาของไป๋ยู่สิงก็เปล่งประกายขึ้นมา เขากลับหลังหันและเดินไปที่ประตูหน้าร้าน และประตูร้านก็ถูกผลักออกมาพอดี

“พี่ใหญ่ ในที่สุดนายก็ออกมาแล้ว”

ไป๋ยู่สิงยื่นมือออกไปวางที่ไหล่ของเสิ่นซิวจิ่นอย่างถือดี "เฮ้ อีกเดี๋ยวเราจะไปไหนกันดี?" เขาอยากจะทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง

"สำนักงานสาขา"

"……หา?"

ราวกับว่าเสิ่นซิวจิ่นถูกทุบตีด้วยเลือดไก่อย่างนั้น และเขาก็เหมือนกับเสือดาวที่น่ารังเกียจ เขามองตรงไปข้างหน้าด้วยสายตาเย็นชา "เราจะไปกำจัดแมลงพวกนั้นกัน เราจะได้กลับบ้านเร็วๆ "

“…งั้น”ไป๋ยู่สิง รู้จักนิสัยของเสิ่นซิวจิ่นดี เมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ของเสิ่นซิวจิ่นใจของเขาก็สั่นขึ้นมา “งั้น เธอล่ะ?”

แล้วเธอล่ะ?

"เธอ" ที่เขาพูดมาหมายถึงใคร ไม่ต้องอธิบาย พวกเขาทั้งสองคนก็เข้าใจ

พวกแมลงเหล่านั้น พวกเขาต้องกำจัดมันให้เร็วที่สุด

แล้วเธอล่ะ?

เรื่องของเธอ พวกเขาจะทำยังไงดี?

ไป๋ยู่สิงกลัวความคิดของเสิ่นซิวจิ่นจริงๆ และนั่นมันจะทำให้ทั้งสองคนตกอยู่ในความเจ็บปวดที่ไม่รู้จบ

เมื่อเอ่ยถึง "เธอ" นัยน์ตาของชายผู้นั้นก็แสดงความเย็นชา และความลังเลออกมา แต่ก็ปรากฏออกมาเพียงครู่เดียวเท่านั้น… หลังจากที่พวกเขาจัดการกับปัญหาทั้งหมดที่นี่ได้ พวกเขากำจัดหนอนบ่อนไส้ในบริษัท ได้สัญญากลับมา จนกระทั่งขึ้นเครื่องบิน และกลับไปที่เมือง Sเสิ่นซิวจิ่นก็ยังไม่ได้ให้คำตอบเรื่องนี้กับไป๋ยู่สิงแต่อย่างใด

สนามบิน

เมื่อเครื่องบินลงจอด ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาและมีรูปร่างสูงใหญ่ทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาทั้งสองคนไม่ใช่ดาราซุปเปอร์สตาร์แต่อย่างใด แต่ไม่ว่าพวกเขาจะก้าวเดินไปที่ใด พวกเขาสามารถดึงดูดสายตาจากผู้คนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

"อาซิว ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่า ให้ใช้ช่องทางพิเศษ"

ไป๋ยู่สิงไม่มีทางเลือก เมื่อสักครู่นี้พวกเขาเพิ่งจะไปจัดการกับหนอนบ่อนไส้ที่ประเทศอังกฤษมาด้วยเหตุนี้ตระกูลเสิ่น และตระกูลไป๋จึงบรรลุเป้าหมายตามที่ตัวเองต้องการแล้ว

ยังไม่ทันที่เขาจะได้พักหายใจ ไอ้แซ่เสิ่นสารเลวนี่ก็ซื้อตั๋วเครื่องบิน บินกลับมาทันที

เขาหมดแรงไปเรียบร้อย แต่เมื่อเขาหันไปมองอีกฝ่าย… เขามีพลังเหลือล้นมากจริงๆ

ผู้ชายคนนี้มันน่ารำคาญจริงๆ เลย

"นี่ นายเดินช้าๆ หน่อยสิ"

ไป๋ยู่สิงรู้สึกเหนื่อยสุดๆ แต่ด้วยความที่บ้านเขาสอนมาดี การศึกษาสูง อีกทั้งยังมีระเบียบวินัย เพราะอย่างนั้นไม่ว่าเขาจะเหนื่อยสักแค่ไหน เขาก็ยังคงรักษาท่าทีที่สง่างามและท่วงท่าอันงดงามในที่สาธารณะได้

แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อเทียบกับเสิ่นซิวจิ่นที่อยู่ตรงหน้าเขา มันก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี

ไป๋ยู่สิงไม่เข้าใจเลยจริงๆ พวกเขาต่างก็เป็นมนุษย์ มีจมูก 1 จมูก ตา 2 ตา ปาก 1 ปากเหมือนๆ กัน อายุก็ต่างกันไม่มาก และในช่วงระยะเวลาสิบชั่วโมงที่ผ่านมา พวกเขาทั้งสองคนก็แทบจะอยู่กินด้วยกัน ทำอะไรเหมือนๆ กัน ไม่มีใครได้พักน้อยหรือมากเกินไปกว่ากัน

และสิ่งที่ทำให้ไป๋ยู่สิง รู้สึกรำคาญใจมากที่สุดก็คือ ความสนใจของคนรอบข้าง… ก็รู้ๆ อยู่ว่าพวกเขาสามารถใช้ช่องทางพิเศษได้ แต่เขากลับไม่ใช้มัน

"นายชักจะพูดมากเกินไปแล้วนะ โทรเรียกรถมารับกลับบ้านได้แล้ว"

ไป๋ยู่สิงผงะไปครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป “ไอ้แซ่เสิ่น จิตใต้สำนึกของนายมันไม่รู้สึกเจ็บบ้างเลยรึไง?”

รถตู้สีดำคันหรูมาจอดรอรับชายหนุ่มทั้งสองอยู่ด้านนอกนานแล้ว

“เจี่ยนถง…”ไป๋ยู่สิงลังเลอยู่นาน และเมื่อรถขับเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น เขาก็พูดชื่อคนที่เสิ่นซิวจิ่นไม่อยากจะได้ยินมันที่สุดตอนนี้ออกมา “นายเตรียมตัว…"

“เธอเป็นภรรยาของฉัน และเราจะมีลูกด้วยกัน”

ไป๋ยู่สิงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง

เขาหันไปมองใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มที่เย็นชา จู่ๆ ในหัวใจของเขาก็เกิดความรู้สึกไร้สาระขึ้นมา… เขาคิดว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ น่าจะอาการหนักแล้ว หลังจากที่ผ่านความเจ็บปวดมา เขาก็เหมือนจะปิดกั้นหัวใจบางส่วนของตัวเองไป

และมันก็เหมือนกับเป็นการหนี

แต่เสิ่นซิวจิ่นก็เป็น เสิ่นซิวจิ่น!

เสิ่นซิวจิ่นจะหนีมันได้อย่างนั้นหรือ?

ไป๋ยู่สิงรู้สึกเพียงแค่ว่าสมองของตัวเองกำลังส่งเสียงพึมพำออกมา และมันก็ดูจะไร้สาระเป็นอย่างมาก

“เรื่องระหว่างฉันกับเธอ นายเข้ามายุ่งจะดีกว่า”

"หลังจากที่รถไปถึงคฤหาสน์แล้ว เดี๋ยวตระกูลเสิ่นจะไปส่งนายเอง ฉันจะไม่เชิญนายให้เข้าไปหรอกนะ "

ไป๋ยู่สิงพูดอะไรไม่ออก

“นายคงจะไม่คิดว่า…. ถ้าพวกนายสองคนมีลูกด้วยกันแล้ว เธอจะกลับมาตกหลุมรักนายอีกครั้งหรอกนะ? นายคิดว่าเธอจะคลั่งรักนายเหมือนเมื่อก่อนอย่างนั้นเหรอ?” เขาก้มหน้าลง และถามด้วยน้ำเสียงงุ่มง่าม

สีหน้าของเสิ่นซิวจิ่นเปลี่ยนไปทันที จากนั้นเขาก็ตะโกนออกไปว่า “หุบปาก”

“ฮ่าฮ่าฮ่า…แต่ทุกครั้งหลังจากที่พวกนายสองคนมีอะไรกัน เธอก็มักจะกิน “ยาคุมกำเนิด” ไม่ใช่รึไง?”ไป๋ยู่สิงไม่ได้สนใจเสียงร้องตะโกนของเสิ่นซิวจิ่นเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ปิดปาก แล้วถามออกไปด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย

รูม่านตาของชายที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาหรี่ลงในทันที และนัยน์ตาของเขามันก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด จากนั้นเขาก็ทุบกำปั้นลงไปที่เบาะ ทุบลงไปอย่างแรง และทุบอยู่อย่างนั้นหลายครั้ง

“อาซิว อย่าทำผิดพลาดอีกล่ะ”ไป๋ยู่สิงเงยหน้าขึ้น และมองตรงไปที่เสิ่นซิวจิ่นจากนั้นก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "อาซิว หลายปีมานี้ นายไม่เคยให้สิ่งที่เธอต้องการเลย และในครั้งนี้ ที่เธออยากจะไป นายก็ปล่อยเธอไปเถอะ”

ฉันเป็นหมอ ฉันไม่เข้าใจว่าหัวใจของมนุษย์มันเติบโตขึ้นมายังไง แต่ฉันรู้ว่าการทรมานทางจิตใจ มันสามารถทำให้คนคนหนึ่งมีชีวิต และก็สามารถทำให้คนคนหนึ่งตายได้ นายอยากจะเห็นเธอค่อยๆ กลายเป็นบ้ารึไง?

“ถ้าหากว่านายยังเอาแต่หมกมุ่นอยู่อย่างนี้ สักวันหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว ถ้านายทำให้เธอกลายเป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ นายอยากจะอยู่กับคนบ้าไปตลอดชีวิต อยากให้คนบ้าให้กำเนิดลูกของนาย และนายอยากจะเห็นเธอ จู่ๆ ก็ยิ้ม จู่ๆ ก็หัวเราะอย่างนั้นรึไง?"

“หุบปาก! ฉันบอกให้นายหุบปากไง!” ตาของชายหนุ่มแดงก่ำ และมือก็ทุบเบาะรถอยู่อย่างนั้น เมื่อคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะทิ้งเขาไป!

“จอดรถ!” จู่ๆ เขาก็ตะโกนออกมาสุดเสียง

หัวใจของคนขับที่นั่งอยู่ด้านหน้าเต้นแรงขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็รีบเหยียบเบรกที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา จนมันเกิดเสียงดัง "เอี๊ยด" อย่างรุนแรง

“ลงไปจากรถซะ!” เขาเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็มองไปที่ไป๋ยู่สิงด้วยใบหน้าเย็นชา แล้วโบกมือไล่ให้ไป๋ยู่สิง ลงไปจากรถ

ไป๋ยู่สิงไม่ได้โต้เถียงเสิ่นซิวจิ่นกลับไปอีก เขาเดินลงไปจากรถเงียบๆ จากนั้นก็ลงไปยืนข้างรถ และเอาแต่จ้องไปที่เสิ่นซิวจิ่น“นายต้องรู้ด้วยนะว่า พวกเราทุกคนไม่มีใครอยากจะเห็นนายต้องมาเจ็บปวดหรอก ถ้าพวกเรารู้ก่อนหน้านี้ว่าวันนี้นายจะทะรำลึกลงไปแบบนี้ ไม่ฉันก็ซีเฉินคงจะลงมือฆ่าเธอ “ให้ตายโดยอุบัติเหตุ” ไปตั้งแต่สามปีก่อนแล้วล่ะ… นายไม่ต้องมามองฉันแบบนี้หรอก ฉันคิดว่าถ้าซีเฉินได้มาเห็นสภาพของนายตอนนี้ เขาก็คงจะคิดแบบเดียวกับฉันเหมือนกัน”

ดวงตาสีดำของเสิ่นซิวจิ่นดำขลับ พร้อมกับจ้องลึกไปที่ดวงตาของไป๋ยู่สิง ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็หันหน้ากลับมา "ออกรถ"

รถขับเคลื่อนตัวออกไปอีกครั้ง ภายในรถ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลังปิดเปลือกตาลง คิ้วของเขาขมวดกันแน่น และมันก็เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าที่ไม่อาจมองเห็นได้ จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นมาลูบที่หน้าผากของตัวเอง

รถหยุดลงที่คฤหาสน์ของตระกูลเสิ่น เสิ่นซิวจิ่นลงจากรถ จากนั้นก็หันไปพูดกับคนขับว่า "ไปส่งยู่สิงที่บ้านด้วย"

เขาเดินผ่านหน้าพ่อบ้านหวังไป เขาก้าวยาวๆ เข้าไปในบ้าน เดินผ่านห้องโถง จากนั้นก็เดินไปคว้าแขนของเจี่ยนถงที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น

"อ่า~ นายทำอะไร!"

เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้พูดอะไรออกไป เพียงแค่ลากเธอขึ้นไปชั้นบน

"เบาหน่อยสิ! นี่นายบ้าไปแล้วรึไง~!"

คนที่เอาแต่นิ่งเงียบ มันจะน่ากลัวมากกว่าคนที่ชอบเอะอะโวยวาย

“ปล่อยนะ เสิ่น…อ่า!” ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ เสียงของเธอก็หายเข้าไปในลำคอจนหมด และไม่ได้พูดสิ่งที่ใจต้องการออกไป

เขาเหมือนกับคนบ้าอย่างไรอย่างนั้น เขาโยนเธอลงไปบนเตียง จากนั้นก็จู่โจมเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า เขากอดเธอเอาไว้แน่น ราวกับว่าต้องการที่จะสัมผัสถึงอุณหภูมิในร่างกายของเธอ สัมผัสว่าเธอยังอยู่ข้างกายเขา ไม่ได้หนีจากเขาไปไหน

มันเหมือนกับฉากรักในละครที่ร้อนแรง ที่ไม่มีใครมีสติสมบูรณ์ครบถ้วน เธอเหมือนกับตุ๊กตาที่ทรุดโทรม ได้แต่นอนแขนขาอ่อนแรงอยู่บนเตียงอย่างช่วยไม่ได้ ขาหอบหายใจออกมาอย่างแรง ราวกับสัตว์มีดุร้าย และมันก็เอ่อล้นออกมาจากลำคอของเขา

เธอไม่ได้มองหน้าเขา เธอเพียงแค่เสมองขึ้นไปบนเพดานด้วยความมึนงง และไม่อยากที่จะมองหน้าเขา

ชายหนุ่มที่คร่อมอยู่บนร่างของเธอเริ่มขยับตัว เขาเท้าแขนกับเตียง จากนั้นก็ขยับลุกขึ้น เห็นได้ชัดว่า ร่างกายของเธอเบามาก และเตียงที่อยู่ด้านล่างก็เบามากเช่นกัน เขาเป็นผู้ชายที่มีระเบียบมาโดยตลอด แต่ตอนนี้แม้กระทั่งจะใส่รองเท้าแตะ หรือแม้จะต้องเดินด้วยเท้าเปล่า เขาก็ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย เขาเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง เปิดลิ้นชัก แล้วหยิบขวดยาออกมา

เขาเดินกลับไปที่หัวเตียงอีกครั้ง แล้วยื่นมันออกไป "คุณไม่กินยาเหรอ?"

“คุณ…” เธอตื่นตระหนกขึ้นมาทันที

เขาคลี่ยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน "มันเป็นวิตามินใช่ไหม?" ริมฝีปากบางค่อยๆ กระตุกขึ้น มันไม่มีร่องรอยความอบอุ่นหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย ส่วนมืออีกข้างที่ว่าง เขาก็เปิดขวดยานั่นออก แล้วใช้ดวงตาสีดำขลับจ้องเข้าไปในดวงตาของผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา เขาเทยาจำนวนมากลงไปบนฝ่ามือ จากนั้นก็กระตุกยิ้มมุมปากขึ้น ยิ่งเขายิ้มมากเท่าไหร่ ใบหน้าของเขามันก็ยิ่งเย็นชามากขึ้นเท่านั้น และมันก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นด้วยเช่นกัน

เขาเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ยัดยาจำนวนมากที่อยู่ในมือกรอกเข้าไปในปาก แล้วกลืนยาสิบกว่าเม็ดนั้นต่อหน้าเธอ

เจี่ยนถงหดตัวลงทันที สายเกินไปแล้วที่จะคิดไปถึงคนอื่น สายเกินไปแล้วที่จะไปคิดถึงเรื่องอื่น เธอแทบจะกระโจนเข้าไปเกี่ยวแขนของเขาเอาไว้ "อย่า! คุณกินมันไม่ได้นะ!"

“ทำไมผมถึงกินมันไม่ได้? มันไม่ใช่วิตามินเหรอ?” เขาคลี่ยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มของเขามันก็ไม่ไปถึงดวงตา “คุณกินได้ไม่ใช่รึไง?”

“ฉัน… ฉัน…” ‘ฉัน’ อะไรดีล่ะ? เธอจะพูดอะไรออกไปดี?จะบอกว่านี่มันไม่ใช่วิตามินอย่างนั้นเหรอ?

เขาเคี้ยวยานั่นในปาก พร้อมกับมองไปที่ผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้า เม็ดยาที่อยู่ในปากของเขาขมมาก และถึงแม้ว่าเขาจะกินมันเข้าไปกำใหญ่ แต่เขาก็ทำราวกับว่าไม่ได้รู้สึกถึงความขมของมัน เหมือนกับว่าเม็ดยาที่เขากลืนมันลงไปมันไม่มีรสชาติขมเลยสักนิด เขาเพียงแค่เคี้ยวมันเหมือนกับกำลังเคี้ยวมีหมากฝรั่งโดยที่ไม่ได้รู้สึกอะไร

เจี่ยนถงอ้าปากค้าง และทุกครั้งที่เธออยากจะพูดอะไรออกไป แต่เธอก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่า เธอไม่สามารถพูดมันออกไปได้

เธอจ้องมองไปที่ลำคอของเขา และมองดูมันขยับทุกๆ ครั้งที่เขากลืนมันลงไป เขายังคงเคี้ยวเม็ดยานั่น ภายในอกของเธอรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาเล็กน้อย แต่เธอก็พูดมันออกไปไม่ได้ว่าทำไม เธอเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็จ้องไปที่ตาของเขา “อ้วกเอามันออกมา”

“ทำไมต้องอ้วกเอามันออกมาด้วยล่ะ? ทำไมถึงได้ขี้งกแบบนี้? แค่วิตามินไม่กี่เม็ดคุณก็แบ่งให้ผมกินไม่ได้เลยรึไง? ถ้าหมดแล้วผมจะซื้อให้ใหม่” เขายังคงพูดกับเธออย่างเอาใจ แต่นัยน์ตาของเขามันกลับสะท้อนความเจ็บปวดออกมา เหมือนว่าหัวใจของเขามันถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ด้วยสองมือ เขาพยายามเพิกเฉยต่อความรู้สึกนั้น และเขาก็คิดว่า อย่างน้อยผู้หญิงคนนี้ ก็ยังรู้สึกลังเลที่อยากจะห้ามเขาเอาไว้ ไม่อย่างนั้นแม้ว่าสิ่งที่เขากินเข้าไปมันจะมีพิษร้ายแรง ทำไมเธอต้องสนใจด้วยล่ะ? …มันน่าขำตรงที่ว่า เขาคิดว่านี่มันสิ่งสุดท้ายที่เขาจะต่อรองได้

เพราะเหตุผลนี้!

เพียงเพราะเหตุผลนี้…

เธอพูดออกมาว่า "การกินวิตามินเยอะๆ แบบนี้มันไม่ดี อ้วกเอามันออกมาเถอะนะ ดีไหม? "

เพราะเหตุผลนี้!

เพียงเพราะเหตุผลนี้…

เขาตอบไปว่า "โอเค" ไพ่ใบสุดท้ายถูกซ่อนเอาไว้อยู่ในหัวใจของเขา และเขาก็ยังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้ต่อไป

เขาถุยน้ำลายออกมาจากปาก ขมวดคิ้วแน่น จากนั้นแสร้งทำเป็นเลียปาก และชิมรสชาติของมัน “วิตามินนี่ไม่เห็นจะอร่อยเลย ต่อไปคุณไม่ต้องกินมันแล้วนะ ผมจะซื้อให้คุณเอง”

สีหน้าของเธอตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก และเกือบจะยื่นมือออกไปคว้าขวดยาในมือของเขาคืน จากนั้นเธอก็พูดอธิบายออกไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักว่า "ฉันชอบรสชาตินี้ รอให้ฉันกินหมดก่อนเถอะนะ"

จู่ๆ เขาก็เดินเข้าประชิดที่ด้านหลังและกอดเอวเธอเอาไว้ ร่างกายของเธอแข็งทื่อในทันที สีหน้าก็ผิดปกติไปเช่นกัน "อย่ามาแตะต้องตัวฉันนะ!"

เธอแทบจะร้องกรี๊ดออกมา และดวงตาของเธอมันก็ซ่อนความเจ็บปวดและความเขินอายเอาไว้ไม่ได้

“คุณว่านี่มันเป็นเรื่องบังเอิญรึเปล่า ที่ไตของผมมันเข้าไปอยู่ในตัวคุณได้?”

สีหน้าของเจี่ยนถงเปลี่ยนไปทันที จากนั้นเธอก็ก้าวถอยหลัง "คุณหมายความว่ายังไง?" เธอจ้องไปที่ชายที่อยู่ตรงหน้าและเตรียมรับมือ

“ถ้าบนโลกใบนี้ มีสิ่งหนึ่งก็ต้องแลกด้วยอีกสิ่งหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นคุณว่า การที่ผมให้ไตกับคุณ คุณก็ต้องให้สิ่งที่เหมือนกันกลับคืนมารึเปล่า?”

เขามองตรงไปที่เธออย่างอ่อนโยน

เจี่ยนถง รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว “หยุดเล่นได้แล้ว ไม่ต้องเล่นแล้วได้ไหม? ไม่ใช่ว่าคุณบอกว่าพวกเราจะมีชีวิตที่ดีผ่านไปแต่ละวันเหรอ? พวกเราจะมีชีวิตที่ดีผ่านไปในแต่ละวันนะ คุณอย่ามาพูดหยอกล้อกันแบบนี้อีก แล้วก็อย่าคิดเรื่องแบบนี้อีก”

เธอคิดว่าเขาคิดวิธีใหม่ที่จะทรมานเธอได้ และเธอก็…รู้สึกกลัว

เมื่อเสิ่นซิวจิ่นได้ฟังคำพูดของเจี่ยนถงที่เธอพูดออกมาว่า "เรามีชีวิตที่ดีผ่านไปแต่ละวัน" เขาก็อยากจะหัวเราะออกมา แต่เขาก็อยากจะร้องไห้ออกมาด้วยเช่นกัน… สวรรค์ช่างเมตตา ให้คนที่ทึ่งอย่างเสิ่นซิวจิ่นมีความรู้สึกที่ขัดแย้งเหมือนมนุษย์ด้วยเช่นกัน

“โอเค คุณบอกว่าเรามีชีวิตที่ดีผ่านไปแต่ละวัน งั้นเรามามีชีวิตที่ดีผ่านไปแต่ละวันกันเถอะ” เขาดึงให้เธอมาซบที่ไหล่ เพราะอย่างนั้นเธอจึงมองไม่เห็น มือของซ้ายที่กำแน่นของเขา…

“เด็กน้อย… ทำไมคุณถึงไม่ถามล่ะว่า ถ้าผมให้ไตกับคุณ แล้วผมอยากจะได้อะไรจากคุณ?” เขากระซิบถามเธอที่ข้างหู

เขาสัมผัสได้ถึงความเกร็งของหญิงสาวในอ้อมแขนของเขาได้อย่างชัดเจน

“เลิกซนสักทีได้ไหม? มุกฮานี้มันไม่ตลกเลยสักนิด”

เขาฟังคำพูดที่พยายามจะหนีปัญหาของเธอ จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ ดวงตาของเขาอ่อนแสงลง และมันก็สะท้อนความเจ็บปวดอยู่ในนั้น เขาพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและแผ่วเบาว่า "โอเค ผมจะเลิกเล่นมุกที่มันไม่ขำนี่แล้วก็ได้"

“วิตามินพวกนั้น…เราไม่กินมันแล้วดีไหม?”เสิ่นซิวจิ่นยังคงเห็นขวดยาที่เธอกำมันแน่นจากหางตา ถึงแม้ว่าเขาจะกอดเธอเอาไว้ เขาคิดว่าถ้าครั้งนี้เธอยอม เขาจะบริจาคทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตัวเองให้กับสังคมสงเคราะห์ทันที และเก็บอีกครึ่งหนึ่งไว้ให้ลูก

เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่ง และเวลาเพียงไม่กี่วินาทีนี้ มันก็ดูยาวนานราวกับศตวรรษ และหัวใจของคนที่รอคอยก็เริ่มวิตกกังวล

ตอนนี้เองที่เขารู้ว่า เขาห่วงใยผู้หญิงคนนี้จนแทบบ้าอยู่แล้ว

"กินยาขวดนี้ให้หมดก่อนเถอะ…ฉันเสียดาย"

ตู้ม!

เหมือนกำแพงในหัวใจของฉัน พังทลายลงมา!

เธอยังอยากจะกินไอ้ "วิตามิน" เฮงซวยนั่นอยู่อีก!

เธออยากจะกิน "วิตามิน" นั่นที่ไหนกันล่ะ! เธอแค่ไม่อยากมีลูกกับเขาต่างหาก! เธอไม่สามารถกลับมารักเขาได้อีกแล้ว! เธอแค่อยากจะแบ่งเส้นกั้นระหว่างเขาก็เท่านั้น!

เสิ่นซิวจิ่นดันตัวหญิงสาวออกจากอ้อมแขนเบาๆ และยื่นมือออกไปหยิบขวดยาจากมือเธอมาเบาๆ เธอรู้สึกเป็นกังวลมาก เขายิ้มอย่างผ่อนคลายส่งไปให้เธอ จากนั้นก็เทยาใส่มืออีกครั้ง และยัดมันเข้าไปในปาก ริมฝีปากบางของเขากระตุกขึ้น ภายใต้การจ้องมองมาของเธอ เขาจับท้ายทอยเขาเธอเอาไว้ จากนั้นก็ประกบปากของเธอ

รสชาติที่ขมขื่นจากริมฝีปากของเขา มันส่งผ่านเข้าไปที่ริมฝีปากของเธอ

และในตอนนี้เจี่ยนถงก็กำหน้าอกซ้ายของตัวเองเอาไว้แน่นและกดมัน ราวกับว่าการที่เธอทำแบบนี้ มันสามารถบรรเทาความเจ็บปวดที่กำลังจะแผ่ซ่านออกได้

เธอรู้สึกสับสนอยู่ครู่หนึ่ง หรือว่าเธอทำอะไรผิดไปรึเปล่า?

ทว่าเพียงชั่วครู่ ดวงตาของเธอก็แข็งกระด้างขึ้นมา… เขาเป็นคนพรากทุกสิ่งทุกอย่างของเธอไป เพราะอย่างนั้นเขาไม่ควรจะทำแบบนี้! เธอไม่ได้ทำอะไรผิด!

จูบนั้นขมขื่นและยาวนาน และมีร่องรอยการเต้นของหัวใจที่ไม่สามารถบรรยายได้ แต่พวกเขาทั้งสองกลับไม่ได้สนใจการเต้นของหัวใจนี้เลยแม้แต่น้อย และพวกเขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นการเต้นของหัวใจของตัวเองด้วยเช่นกัน

เขาเริ่มคลายริมฝีปากออกมาจากเธอช้าๆ จากนั้นก็ค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา จริงสิ เวลาที่เขายิ้มมันดูดีมาก เพียงแค่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา มันมักจะไม่สนใจคนอื่น

ฝ่ามือใหญ่ขยี้ผมของเธอเบาๆ “โอเค ผมฟังคุณนะ วิตามินขวดนี้ไม่เหลือให้เสียดายแล้ว หลังจากนี้ถ้าอยากจะกิน เราจะไม่กิน “วิตามิน” ยี่ห้อนี้อีกแล้ว ตกลงไหม?”

ตกกลางคืน

สองร่างนอนอยู่บนเตียง ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง

เจี่ยนถงมองไปที่ชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้างๆ ..เขารู้ใช่ไหม?

เขารู้ว่ายานั่นมันไม่ใช่วิตามิน

เพราะอย่างนั้นเขาก็เลยโกรธ และลากเธอขึ้นมาชั้นบน

แต่ถ้าเขารู้ ทำไมสุดท้ายเขาถึงได้ประนีประนอมแบบนี้ล่ะ?

เธอครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน แต่เธอก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เธอส่ายหัวไปมา และหยุดคิดเกี่ยวกับมัน

ผู้ชายที่นอนอยู่ข้างเธอคนนี้ เป็นแค่คนที่ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นก็เท่านั้น

เธอไม่เข้าใจเลยริงๆ และเธอก็ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ

เขาทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิด แล้วก็ทำให้เธอเกลียดและ…เจ็บปวด! เธอไม่อยากจะยอมรับมันเลยจริงๆ ว่า ความเกลียดชังเริ่มต้นมาจากความรัก ไม่อย่างนั้นเธอจะเผชิญหน้ากับเขาได้ยังไง และเธอจะเผชิญหน้าตัวเองอีกครั้งได้ยังไง?

แต่ผู้ชายคนนี้ เขากลับกลายเป็นคนที่ร้ายกาจสำหรับเธอมากขึ้นเรื่อยๆ …

เธอค่อยๆ ยื่นมือออกไปหยิบมีดปอกผลไม้ที่วางอยู่ข้างเตียง เมื่อมีการขยับเขยื้อน มันจึงเกิดเสียงขึ้น ในความมืดมิด ปลายมีดที่กระทบกับแสงให้ความรู้สึกเย็นเยียบ มันค่อยๆ เข้าไปใกล้ลำคอของเขา… แต่มือของเธอมันกลับสั่นเทาไปด้วยความกลัว

รูม่านตาของเธอเบิกกว้าง มีหยดน้ำตาไหลออกมา และมืออันสั่นเทาที่กำลังถือมีดปอกผลไม้อยู่ ก็เอนไปทางชายที่กำลังนอนหลับ

มือของเธอสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้ และยิ่งมันเข้าใกล้เขามากเท่าไร่ มันก็ยิ่งสั่นอย่างรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น

เจี่ยนถง แทงลงไป แทงลงไปสิ แทงแค่ครั้งเดียวทุกอย่างก็จบแล้ว!

เจี่ยนถง เธอยังจะลังเลอะไรอยู่อีก!

เจี่ยนถง เธอลืมไปแล้วเหรอว่า ใครเป็นคนที่ทำให้เธอต้องทุกข์ทรมาน? ใครเป็นคนที่ทำให้เธอไม่ต่างอะไรกับสุนัข? ใครเป็นคนที่ทำให้เธอต้องรู้สึกอับอายไปจนตาย?

เจี่ยนถง เร็วเข้าสิ แทงเลย! แทงสิ! ! แทงเลย! ! !

เจี่ยนถง! เธอมันไร้ประโยชน์!

ตึก!

มีดตกลงบนพื้น จากนั้นเธอก็รีบโยนมันทิ้งไปด้วยความลนลานในทันที เธอหันกลับไปมองผู้ชายที่กำลังหลับใหลอีกครั้ง เขายังไม่ตื่น

เธอหลับตาลง ส่วนมือขวายังคงจับด้ามมีดปอกผลไม้เอาไว้แน่น ราวกับว่ายากจะบดขยี้มัน!

น้ำตาหยดใหญ่ไหลออกมาจากดวงตาที่กำลังปิดสนิทอยู่ “แหมะ แหมะ”

เธอไม่สามารถควบคุมบ่อน้ำตาของตัวเองได้ เช่นเดียวกับที่เธอไม่สามารถควบคุมมือที่กำลังถือมีดไม่ให้สั่นเทาอย่างสิ้นหวังได้… มันจะมีอะไรน่ากลัวกันล่ะ?

เธออยากจะชีวิตอยู่บนหลังของคนอื่นไปตลอดชีวิตไม่ใช่เหรอ? เธอยังจะกลัวอะไรอีก?

ทำไมถึงไม่แทงมันลงไป!

ไร้ประโยชน์! ไร้ประโยชน์! ! เธอมันไร้ประโยชน์! ! !

ความพยายามที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเธอหายวับไป เธอหันไปมองคนข้างกายอีกครั้ง ใช่ว่าเธอจะไม่เต็มใจ แต่เธอไม่…แยแสต่างหาก!

มีดจ่ออยู่บนหัวชายที่กำลังหลับใหลอีกครั้งเจี่ยนถงสูดหายใจเข้าลึกๆ เธอบอกกับตัวเองว่า เธอจะไม่แยแส และเบอกกับตัวเองว่า เธอจะหลุดพ้นได้ถ้าเขาตาย แต่เธอก็ทำมันไม่ได้ มือของเธอสั่นเทา เธอเกลียดตัวเองที่มันไร้ความสามารถ มีดที่อยู่ในมือราวกับเหล็กร้อน เธอรีบขว้างมีดออกไปด้วยความตื่นตระหนก!

เธอยกมือขึ้นมาปิดหน้า และร้องไห้ออกมาเงียบๆ เธอเกลียดตัวเอง เกลียดความไร้ความสามารถของตัวเอง เกลียดที่ตัวเองยอมแพ้

เธอเกลียดที่เธอทำมันไม่ได้!

เสียงมีดที่ตกลงบนพื้น ปลุกชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้างๆ ให้ตื่นขึ้น

“เกิดอะไรขึ้น? คุณร้องไห้ทำไม?”เสิ่นซิวจิ่นรีบลุกขึ้นนั่งทันที จากนั้นก็ยื่นมือออกไปโอบกอดเจี่ยนถงเอาไว้ แต่เธอก็สะบัดตัวออกจากการโอบกอด

หลังจากที่สะบัดตัวออกจากอ้อมกอดของเขา เธอก็รู้สึกผิดขึ้นมาอีกครั้งจึงรับพูดอธิบายออกไปว่า "ฉันฝันร้าย"

ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว ผมอยู่นี่แล้ว” เขากอดเธอ แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวไว้ให้เธอ จากนั้นก็กล่อมเจี่ยนถงราวกับว่าเธอเป็นเด็ก ไม่นานเธอก็หลับไป อีกทั้งยังมีเสียงกรนดังออกมาเล็กน้อย

เธอคงจะรู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอหลับสนิทบนเตียงเดียวกับผู้ชายคนนี้

ดวงตาสีเข้มของชายหนุ่มจับจ้องไปที่มีดปอกผลไม้ที่ตกอยู่ตรงมุมกำแพง นัยน์ตาสีดำเป็นประกาย เขาหลับตาลง ปิดไฟ และเอนตัวนอนลง จากนั้นเข้าก็ดึงหญิงสาวเข้ามากอดเอาไว้อย่างแนบแน่น

มีสามสิ่งที่จำเป็น!

สิ่งแรกก็คือ ความจริงในตอนนั้น

ส่วนสองคือ พวกเขาต้องมีลูกด้วยกัน

และสามก็คือ ภายในคฤหาสน์ที่เคร่งครัดแห่งนี้จะมีใครที่มีโอกาสเอาขวดยา "วิตามิน" นั่นไปให้เธอได้บ้างล่ะ

และดูเหมือนว่าคำตอบจะปรากฏออกมาแล้ว

“คุณออกไปเถอะ” ตรงหน้าเสิ่นซิวจิ่นมีชายแก่คนหนึ่งยืนอยู่ และเมื่อเทียบกับคนแก่คนอื่นๆ ในวัยนี้ ชายแก่คนนี้สวมเสื้อผ้าที่มีเอกลักษณ์มาก รวมไปถึงคำพูดและการกระทำ

และนี่ก็เป็นสิ่งที่สมาชิกในครอบครัวใหญ่จะต้องเรียนรู้คำพูดและการกระทำเจ้านาย

ชายแก่ขมวดคิ้วมุ่น “ท่านครับ ตระกูลเสิ่นไม่เพียงแต่จะเป็นเจ้านายของตระกูลเซี่ยของเราแล้ว แต่ยังเป็นผู้สนับสนุนตระกูลเซี่ยของเรามาหลายชั่วอายุคนด้วย และนั่นก็สามารถพูดได้ว่า คนในตระกูลเสิ่น เป็นผู้มีพระคุณของตระกูลเซี่ยของเรา”

นายออกคำสั่ง แต่ทาสกลับไม่เชื่อฟัง

“แต่ก่อนที่ฉันจะไป คุณชาย ก็ควรจะบอกเหตุผลกับผมสักหน่อยว่า ทำไมคุณชาย ถึงบอกให้ ผมย้ายออกไปจากคฤหาสน์แห่งนี้ไม่ใช่เหรอครับ? "

เขาไม่ได้พูดถึงเหตุผลเลยแม้แต่น้อย และเสิ่นซิวจิ่นก็ไม่ได้โกรธอะไรเลยด้วย แต่พ่อบ้านเซี่ยกลับไม่ยอมรับฟัง

ริมฝีปากบางกระตุกยิ้มขึ้นอย่างเย้ยหยัน "เพราะอะไรอย่างนั้นเหรอ?พ่อบ้านเซี่ยไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเพราะอะไร?" แสงประกายเยือกเย็นในดวงตาของเขาพลันหายวับไป "ผมคิดไม่ถึงเลยนะว่า ภายในสวนหลังบ้านของตัวเองที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจะมีปีศาจร้ายแอบแฝงอยู่ด้วย”

“พ่อบ้านเซี่ย ผมควรจะขอบคุณคุณใช่ไหม ที่คุณไม่ได้เอายาพิษให้เธอ แต่ให้แค่ยาคุมกำเนิด? "

เมื่อได้ยินดังนั้น หัวใจของพ่อบ้านเซี่ย ก็เต้นแรงขึ้น ในจิตใต้สำนึกของเขากำลังพร่ำบอกว่าเขามันเป็นคนสารเลว…และสิ่งที่เขาต้องการจะบอกก็คือ ทำไมเขาถึงไม่ยอมให้ผู้หญิงคนนั้นให้กำเนิดลูกหลานของตระกูลเสิ่น

เขาแค่พูดว่า อะไรเป็นสิ่งที่ เวยเหมิงไม่สามารถทำได้ ไอ้คนสารเลวนี่ ทำไมถึงมีดั่งน้ำนิ่งได้ขนาดนี้?

เธอเป็นหญิงผู้สูงศักดิ์อย่างนั้นเหรอ?

และตอนนี้มันก็ยังยืนยันการคาดเดาของเขาก่อนหน้านี้ไม่ได้ว่ามันถูกต้องหรือไม่?

เธอตั้งใจจัดฉากให้เขาเข้าไป จากนั้นก็ฟ้องสามี…วิธีการของผู้หญิงคนนี้ เฉลียวฉลาดมากจริงๆ !

ใบหน้าที่แก่ชราราวกับไม้แกะสลักของพ่อบ้านเซี่ย มีชั้นของความโกรธปรากฏขึ้นมา และเมื่อเขาตระหนักได้ถึงสิ่งนี้ เขาก็ก้มหน้าลง

“ผมไม่รู้ว่าคุณชายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร?” แน่นอนว่าเขาไม่ยอมรับมัน

เสิ่นซิวจิ่นมองตรงไปที่ชายแก่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยสายตา "ไม่ว่าคุณจะรู้หรือไม่ก็ตามพ่อบ้านเซี่ยคุณจะต้องย้ายออกไปจากคฤหาสน์ภายในวันนี้"

“คุณชาย!”

"คุณชาย!"

"อย่าให้ผมต้องพูดมาก"

พ่อบ้านเซี่ยพยายามที่จะเปิดปากพูดออกมาหลายครั้ง แต่สุดท้ายเขาก็พูดอะไรออกมาไม่ได้ เขาจึงทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ได้ครับ คุณชาย” มือของเขากำแน่นอยู่ใต้แขนเสื้อ เส้นเลือดสีแดงถึงกับปูดโปนออกมา… แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเสิ่นซิวจิ่นที่มีทัศนคติที่หนักแน่นแบบนี้แล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะพูดออกไปพันครั้ง หรือแม้ว่าจะพูดด้วยความฉะฉานมากแค่ไหน มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

เขาอยู่กับเสิ่นซิวจิ่นมาหลายสิบปีแล้ว และเข้าใจว่าเจ้านายหนุ่มคนนี้ เข้ารับช่วงต่อจากนายใหญ่ของตระกูลเสิ่นตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะอย่างนั้นผู้ชายคนนี้จึงยากที่จะรับมือ และแน่นอนว่าเรื่องของเขาจะไม่ยอมให้ใครเอาไปพูดอย่างแน่นอน

ที่สวนภายในคฤหาสน์ ชายคนหนึ่งที่ยืนหลบอยู่ที่ลับตาคน กำลังยื่นของบางอย่างให้กับเสิ่นเอ้อ

ทั้งสองกระซิบกระซาบกันสองสามคำ เสิ่นเอ้อไม่ได้เปิดมันออกมาดูแต่อย่างใด เขารีบคว้าซองเอกสารสีน้ำตาลนั้นมา แล้วรีบวิ่งกลับไปด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม เขาวิ่งเขาไปทางห้องโถงใหญ่ ขึ้นไปชั้นบน จากนั้นก็วิ่งตรงไปที่ห้องหนังสือ

พ่อบ้านเซี่ยที่กำลังเดินออกมาจากห้องหนังสือของเสิ่นซิวจิ่นก็บังเอิญชนเข้ากับเสิ่นเอ้อที่กำลังรีบร้อนอย่างจัง

ตุ้บ!

ซองเอกสารสีน้ำตาลที่อยู่ในมือของเขาตกลงไปบนพื้นด้วยความที่ปากถุงปิดไม่สนิท เมื่อมันตกลงไปกระทบกับพื้น เอกสารที่อยู่ในนั้นจึงกระจัดกระจายออกมาบนพื้น

“ไม่เป็นไรใช่ไหม ฉันขอโทษจริงๆ ให้ฉันช่วยเก็บนะ…” พ่อบ้านเซี่ยนั่งยองๆ ลงกับพื้น จากนั้นก็ยื่นซองกระดาษส่งไปให้คนตรงหน้า แต่จู่ๆ ใบหน้าที่แก่ชราของเขาก็เปลี่ยนสีในทันที

แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้มองเห็นของที่อยู่ด้านใน มือของอีกฝ่ายก็คว้ามันเอาไว้ทันที "ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร " มือข้างที่ถือซองกระดาษของเขา กำมันเอาไว้แน่นด้วยความกังวลใจ “พ่อบ้านเซี่ยคุณไปเถอะครับ ผมเก็บเองได้ไม่เป็นไร"

พ่อบ้านเซี่ยไม่อยากจะโต้เถียงกับเขาจึงได้แต่พยักหน้า และพูดออกไปว่า "ขอโทษนะ" หลังจากนั้นเขาก็หันหลัง และเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

เขาไม่ได้ออกไปจากอาคารทันที แต่กลับรีบไปที่ห้องน้ำชั้นหนึ่ง

พ่อบ้านหวังเรียกเขาเอาไว้ "ทำไมถึงรีบร้อนแบบนี้ล่ะ พ่อบ้านเซี่ยคุณเดินช้าลงหน่อยสิ"

“ผมปวดท้องน่ะ ทนไม่ไหวแล้ว”พ่อบ้านเซี่ยยิ้มออกมาอย่างขอโทษ เขากุมมือไว้ที่หน้าท้อง จากนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำทันที

และทันทีที่วิ่งเข้าไปห้องน้ำ เขาก็ล็อกประตูทันที "คลิก"

เขารีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรออกด้วยความกังวลใจ

“คุณท่าน เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ”

ท่านแก่เสิ่นกำลังหยอกล้อเล่นกับนก เมื่อถูกรบกวนโดยสายที่โทรเข้ามา เขาจึงรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที "รีบๆ พูดมา คุณก็อายุมากแล้ว แต่ทำไมคุณถึงไม่เรียนรู้ที่จะสงบเสงี่ยมบ้างล่ะ? ส่งเสียงดัง ตึงๆ ตังๆ ทำอย่างกับวัยรุ่นไปได้” หลังจากที่ให้บทเรียนไปยกหนึ่ง เขาก็เริ่มเข้าสู่ประเด็น โดยการถามออกไปว่า "เกิดอะไรขึ้น?"

ทางฝั่งของพ่อบ้านเซี่ย ปากของเขาที่เริ่มวิตกกังวล มันก็ระเบิดออกมา "คุณท่าน เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น คุณชาย สืบหามันเจอแล้วครับ!"

“เป็นไปไม่ได้ ฉันจัดการเรื่องนั้นด้วยตัวเอง และถึงแม้ว่าเขาจะเก่ง แต่เขาก็ยังแค่เป็นหลานชายของฉัน” ความหมายก็คือ ไม่ว่าเขาจะมีความสามารถและโดดเด่นมากเพียงใด แต่เสิ่นซิวจิ่นก็ไม่มีทางที่จะหนีไปจากฝ่ามือของปู่ของเขาได้หรอก…

“จริงๆ นะครับ! เมื่อกี้ผมเห็นซองเอกสารสีน้ำตาลในมือของเสิ่นเอ้อ เขารีบร้อนมาก ก็เลยเดินชนกับผมเข้าพอดี และเอกสารในซองนั้นก็หล่นกระจัดกระจายไปทั่วพื้น ผมบังเอิญหยิบมันขึ้นแผ่นหนึ่ง และก็เห็นว่ามันเป็นข้อมูลของเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น…เขาแย่งมันคืนไป ผมก็เลยรีบกวาดสายตาดูข้อมูลในนั้น

“แต่ผมกล้ารับประกันเลยว่า เอกสารในซองนั่น มันเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นอย่างแน่นอนครับ! "

และในตอนนี้ ชายชราที่ปลายสายก็ไม่สามารถอยู่นิ่งได้อีกต่อไป “ว่าไงนะ?”

“จริงสิ ตอนที่ผมกำลังเดินลงมาที่ชั้นล่าง เสิ่นเอ้อยังเก็บเอกสารที่พื้นอยู่ คุณท่าน คุณรีบคิดหาวิธีเถอะครับ! เอกสารนั่นจะให้ คุณชาย เห็นไม่ได้นะครับ คุณรีบคิดหาวิธีเร็วเข้า!”

“โอเค! หยุดคร่ำครวญได้แล้ว!” ท่านแก่เสิ่นพูดออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง ส่วนเรื่องอื่น ฉันจะถามนายอีกที”

จากนั้นสายก็ถูกตัดไป

เสิ่นเอ้อที่กำลังเก็บเอกสารบนพื้น ก็เหลือบมองดูมันนิดหน่อย แต่ด้วยความที่เขาได้รับการปลูกฝังจรรยาบรรณวิชาชีพมาตั้งแต่เด็กๆ เขาจึงไม่ควรมองสิ่งของของเจ้านายโดยที่ไม่ได้ตั้งใจอย่างเด็ดขาด

เขาเก็บเอกสารนั้นขึ้นมา จากนั้นก็ใส่มันกลับเขาไปในซองเอกสาร แล้วเคาะประตู

"ก๊อก ก๊อก"

"เข้ามา"

เสิ่นเอ้อรีบเดินเข้าไปยืนข้างๆ เสิ่นซิวจิ่น“Boss มีจดหมายถึงคุณครับ”

เสิ่นซิวจิ่นเหลือบมองนิดหน่อย จากนั้นก็ยื่นมือออกมารับมัน เขาเปิดซองกระดาษออก แล้วดึงเอกสารที่อยู่ด้านในออกมา

เสียงโทรศัพท์ขึ้นเสิ่นซิวจิ่นขมวดคิ้วมุ่น เขาเหลือบมองไปที่โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะ และตั้งใจที่จะไม่รับมัน

แต่เสียงโทรศัพท์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยแม้แต่น้อย

“Boss คุณท่านโทรมาครับ” เสิ่นเอ้อกล่าวเตือน

เสิ่นซิวจิ่นเม้มริมฝีปากแน่น วางเอกสารที่อยู่ในมือลง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาและกดรับ เมื่อได้ยินคำพูดของคนที่อยู่ปลายสาย สีหน้าของเสิ่นซิวจิ่นก็เปลี่ยนไปทันที เขารีบยืนขึ้น สีหน้าของเขามันก็ดูแย่และเคร่งขรึมมาก

เขาชำเลืองตาไปมองที่ซองเอกสาร จากนั้นก็ดึงเอกสารออกมาครึ่งหนึ่งพร้อมกับกัดฟัน เขาหยิบเสื้อคลุมสีดำขนาดใหญ่ ถุงมือหนัง และผ้าพันคอที่พาดไว้บนพนักเก้าอี้

“Boss เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับ?”

“ไปเร็ว! คุณท่านเลือดออกในสมอง ตอนนี้อยู่ในอาการโคม่า และกำลังถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล”

เสิ่นซิวจิ่นออกจากห้องหนังสือ และเดินลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว เสิ่นเอ้อเป็นคนขับรถ แต่จู่ๆ เสิ่นซิวจิ่นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จากนั้นเขาก็เรียกพ่อบ้านหวัง“พ่อบ้านหวัง ตอนที่ผมไม่อยู่ ฝากดูแลภรรยาของผมด้วย” เมื่อรถเคลื่อนเข้ามาจอด เขาก็รีบขึ้นไปบนรถทันที "ไปเร็ว!"

ท่านแก่เสิ่นเป็นลมเพราะเลือดออกในสมอง เมื่อเขาได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้เสิ่นซิวจิ่นจะรู้สึกสงสัยบ้างรึเปล่า?

แน่นอนว่าเขาเกิดความรู้สึกสงสัยเช่นกัน

แต่เมื่อคิดไปถึงประวัติอาการป่วยของท่านแก่เสิ่นก็เคยประวัติเลือดออกในสมองและหมดสติด้วยเช่นกัน เพราะอย่างนั้นมันจึงดูน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก

"เร็วอีกหน่อย"

ชายที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลังพูดขึ้น

เหงื่อเริ่มไหลออกมาบริเวณหน้าผากของเสิ่นเอ้อและสติของเขาทั้งหมดมันก็จดจ่ออยู่กับการขับรถ

เกิดเสียงเบรกขึ้นอย่างรุนแรง

“Boss ถึงแล้วครับ”

หลังจากที่ เสิ่นเอ้อพูดจบ ชายที่นั่งตรงเบาะหลังก็ผลักประตู และลงจากรถไปทันที

พ่อบ้านใหญ่ที่อยู่ข้างกาย ท่านแก่เสิ่นส่งข้อความมาให้เขาแล้ว เสิ่นซิวจิ่นหันไปมองแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่ามีลมอยู่ใต้เท้า เขาก็หันหลังกลับ แล้วรีบไปที่ห้องฉุกเฉินทันที

“คุณชาย ในที่สุดคุณก็มาแล้ว” มีผู้คนจำนวนมาก รออยู่ที่หน้าประตูห้องฉุกเฉิน

เสิ่นซิวจิ่นกวาดสายตามองไปรอบๆ จากนั้นก็หันไปถาม พ่อบ้านใหญ่ของบ้านใหญ่ตระกูลเสิ่น “อาการของคุณปู่เป็นยังไงบ้าง?”

พ่อบ้านใหญ่คนนี้ก็เหมือนกับตระกูลเซี่ยที่เป็นลูกจ้างของตระกูลเสิ่น มาหลายชั่วอายุคน เรื่องที่เขาได้รับเลือกให้เป็นผู้ดูแล บ้านใหญ่ตระกูลเสิ่น และให้ คนตระกูลเซี่ย เป็นผู้ดูแลเสิ่นซิวจิ่นเรื่องนี้เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไม

“หมอช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ได้ทันครับ” ขณะที่พูด แววตาของเขาก็สะท้อนความกังวลออกมา เมื่อก้มหน้าลง ความกังวลที่เคยปรากฏในแววตา ก็แปรเปลี่ยนเป็นความคิดที่ว่า…อาการของคุณท่านจะเป็นอย่างไรดี ในฐานะที่เขาเป็นพ่อบ้านที่สนิทกับคุณท่านมากที่สุด เขาจึงเข้าใจสถานการณ์ดี

แม้ว่าคุณท่านจะไม่ได้บอกอะไร แต่เขาก็สามารถเข้าใจมันได้

ก่อนหน้านี้ที่คุณท่านจะ "หมดสติ" ไป เขาได้บอกเอาไว้แล้วว่าถ้าคุณชายมา ให้สังเกตท่าทางและทัศนคติของคุณชายอย่างใจเย็นไปก่อน

……

จากฉากในโรงพยาบาล ก็ตัดมาที่คฤหาสน์ ตระกูลเสิ่น ที่เสิ่นซิวจิ่นอาศัยอยู่

มีเงาดำลับๆ ล่อๆ เงาหนึ่ง เดินออกไปจากประตูเหล็กของคฤหาสน์ ตระกูลเสิ่น เงานั้นเดินเรียบไปด้านข้าง มีต้นไม้อยู่สองข้างของถนน และเพียงพริบตาเดียวเงานั้นก็หายไปจากถนน

ด้านหลังต้นไม้

ชายชราผมสีเงิน รูปร่างผอมบาง ยื่นมือออกไปตรงหน้าชายแปลกหน้า "ของล่ะ?"

เขาดูสติไม่ดี และอารมณ์ของเขาก็ไม่ค่อยดีด้วยเช่นกัน

ผู้มาเยือนรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “คุณท่านสั่งมาว่า เขาเตรียมของไว้ให้คุณเรียบร้อยแล้ว อย่าออกมาเพ่นพ่านอีก แล้วก็…อย่าเพิ่งรีบลงมือ งานนี้เป็นงานใหญ่ ถ้าลงมือแล้ว มันจะน่าสงสัย ส่วนขั้นตอนต่อไป ก็ให้รอคำสั่งจากคุณท่าน”

ถึงแม้ว่าคนผู้นี้จะบอกเป็นนัยๆ เพียงแค่ว่า “ผู้ต้องสงสัย” “คนนี้” เป็นใคร แต่เขาก็เข้าใจมันได้

เปลือกตาของชายชราผมสีเงินกระตุก จากนั้นเขาก็มองตรงไปที่ซองเอกสารที่ถูกยื่นมาตรงหน้าเขาอยู่นานสองนาน และทันใดนั้นเองเขาก็คว้ามันมา และพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง

"บอกคุณปู่ว่า ฉันต้องการทำงานที่ใสสะอาด"

ชายชรานำซองเอกสารนั้น มาซ่อนไว้ใต้เสื้อคลุมกันลม จากนั้นเขาก็หันหลังและเดินเข้าไปในประตูเหล็ก

เขามีเรื่องที่ยังไม่ได้รายงานให้ ท่านแก่เสิ่นได้ทราบว่า วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่เขาจะได้อยู่ในคฤหาสน์ ตระกูลเสิ่น !

ใบหน้าของชายชราขรุขระ และแข็งราวกับไม้เก่าที่ไม่โดนอากาศ และในตอนนี้รูม่านตาที่เป็นดั่งโคลนของเขาก็ฉายแววเย็นยะเยือกออกมา…วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่เขาจะได้อยู่ในสถานที่แห่งนี้!

พูดตามตรงก็คือ เวลาที่เขาจะสามารถอยู่ที่นี่ได้ก็คือ ก่อนที่ คุณชายจะกลับมา เพราะอย่างนั้นตอนนี้มันจึงเหลือเวลาอีกไม่มาก!

ส่วนคำเตือนของคุณท่าน…

เขาไม่ได้เข้าไปทางประตูหน้า แต่เขาไปที่ห้องใต้ดินแทน ก่อนจะกดโทรศัพท์แล้วโทรออก "คุณท่าน ได้สั่งแผนการใหม่มาแล้วว่า ให้ปล่อยข่าวคนพวกนั้นทันที ถึงเวลาแล้วที่ลูกสาวที่ดีแสนของพวกคุณจะได้เจอกับคนพวกนั้น"

หลังจากพูดจบ ริมฝีปากของเขาก็กระตุกขึ้น และมันก็เป็นรอยยิ้มที่ดูโหดร้าย

เขาเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็เดินขึ้นไปชั้นบนอย่างเงียบเฉียบ ล้วงเอากุญแจที่ได้รับมาตอนที่เขาได้รับมอบหมายให้เป็นพ่อบ้านออกมาจากกระเป๋า แล้วเดินไขประตูห้องหนังสือ และเดินเข้าไปด้านในอย่างแผ่วเบา

เมื่อเขากวาดสายตามองไปรอบๆ เขาก็เห็นซองเอกสารสีน้ำตาลที่วางอยู่บนโต๊ะ

เสียงกรอบแกรบไม่ดังมาก มือของชายชราไม่ระวัง บังเอิญทำเครื่องประดับคริสทัลบนโต๊ะตกทันใดนั้นหัวใจเกือบจะทะลุออกมา แล้วหยิบขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เห็นว่ามันไม่ได้รับความเสียหายอะไร ก้อนหินก้อนใหญ่ในอกถึงได้วางลงอย่างโล่งใจ

ทำตัวเหมือนวัวสันหลังหวะมองไปทางประตู จากนั้นค่อย ๆ หายใจออกอย่างช้าๆ

มั่นใจแล้วว่าเวลานี้ไม่มีคนมาแน่นอน ปฏิกิริยาของชายชราดูรีบร้อนและตื่นตระหนกมาก แต่กลับลบร่องรอยของเขาในห้องนี้อย่างเงียบๆ

แฟ้มเอกสารบนโต๊ะ และแฟ้มเอกสารในมือของเขาเหมือนกันทุกประการ

แฟ้มเอกสารประเภทนี้ขายดีมาก และไม่มีความพิเศษอะไร ก็เหมือนแฟ้มเอกสารทั่วไป

ถึงอย่างนั้น ชายชราก็ยังไม่ค่อยไว้ใจจึงเปิดแฟ้มเอกสารที่อยู่!ในมือออก หยิบเอกสารด้านในออกมา แล้วหยิบเอกสารที่อยู่ในแฟ้มเอกสารบนโต๊ะออกมาด้วย แล้วสลับเอกสารทั้งสองฉบับ

“คุณเข้ามาทำอะไรในห้องหนังสือของBoss”

เสียงที่ตั้งคำถาม ดังขึ้นจากด้านหลังของชายชราชายชราที่กำลังสลับเอกสารทั้งสองฉบับ ตกใจมาก ทันใดนั้น เหงื่อเย็นเป็นหยดๆ

ไม่กล้าหันกลับไปมอง หันศีรษะและมองกลับไปทีละนิดอย่างช้าๆ………เป็นเสิ่นยี

“คุณ คุณไปโรงพยาบาลกับคุณชายไม่ใช่เหรอ”

เสิ่นยีขมวดคิ้ว “พ่อบ้านเซี่ย คุณยังไม่ได้ตอบคำถามของฉัน คุณเข้ามาในห้องหนังสือของBossได้อย่างไร” คนที่ไปโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนกับBossคือเสิ่นเอ้อ ไม่ใช่เขา สองวันก่อนBossส่งให้เขาไปทำภารกิจอีกอย่าง

ในอดีตที่ผ่านมาBossจะให้เขากับเสิ่นเอ้อตามไปด้วยทุกที่ และไม่นานมานี้ Bossให้ความสำคัญกับเสิ่นเอ้อมากกว่า แม้แต่วันนี้ ท่านแก่เสิ่นเป็นลมอย่างกะทันหันในสถานการณ์ฉุกเฉิน คุณชายก็ให้เสิ่นเอ้อขับรถให้ และให้เขาอยู่ที่นี่ พูดว่าเฝ้าคฤหาสน์ในความเป็นจริง เสิ่นยีรู้สึกถึงความห่างเหินของBoss

ในใจหดหู่ เดินไปชั้นสอง คิดไม่ถึง ได้ยินเสียงมาจากในห้องหนังสือ เสียงไม่ดังมาก แต่กลับทำให้เขาเกิดความสงสัย

ในเวลานี้ ใครจะอยู่ในห้องหนังสือ คุณชายออกไปแล้วชัดๆ

แสงสว่างวาบขึ้นในหัวของเสิ่นยีสิ่งแรกที่นึกถึงก็คือ…….ผู้หญิงคนนั้น!

คุณชายไม่อยู่บ้าน ผู้หญิงคนนั้นเริ่มอวดดี

ความรังเกียจแวบเข้ามาในดวงตาของเสิ่นยี

ความรังเกียจนี้มาจากก้นบึ้งของหัวใจ ไม่ได้แสร้งทำออกมาได้ง่ายๆ

เมื่อนึกถึงเบื้องหลังของผู้หญิงคนนั้น เสิ่นยีรีบตามไปดูอย่างเงียบๆ เมื่อเขาตั้งใจฟัง ได้ยินเสียงเบาๆที่เขารู้สึกเมื่อครู่ เขาไม่ได้หูฝาด ยืนอยู่ตรงทางเดิน ได้ยินเสียงรื้อค้นเอกสารในห้องหนังสือ เสิ่นยีใจเต้นแรงมาก…….ในที่สุด ในที่สุดก็จับจุดอ่อนของผู้หญิงคนนี้ได้แล้ว

จับขโมยให้ได้คาหนังคาเขาเสิ่นยีบอกกับตัวเองว่าอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น ตอนจับได้ ดูว่าผู้หญิงคนนี้จะเล่นลิ้นอย่างไร

และจะให้Bossได้เห็นธาตุแท้ของผู้หญิงคนนี้ด้วย

ในห้องหนังสือมืดมาก ม่านหนาทึบเปิดแง้มเล็กน้อย ดูครั้งแรก เห็นแต่เงาหลังมืดๆ เสิ่นยีร้อนใจมาก………ในที่สุด ก็จับธาตุแท้ของคุณได้แล้ว

แต่วินาทีต่อมา เสิ่นยีตะลึง “คุณมาทำอะไรในห้องหนังสือของBoss” กลับกลายเป็นพ่อบ้านเซี่ย

ช็อกในใจ

พ่อบ้านเซี่ยไม่ตอบแต่ย้อนถาม และยังมีการกระทำแอบแฝงของพ่อบ้านเซี่ย ทำให้เสิ่นยีเริ่มสงสัย “นอกจากนี้ ในมือของคุณถืออะไรอยู่”

พ่อบ้านเซี่ยหน้าแก่ตึงเครียดมาก “ไม่มีอะไร”

เสิ่นยีไหวพริบและปฏิกิริยาเร็วมาก เอื้อมมือไปแย่งเอกสารในมือของพ่อบ้านเซี่ยมาทันที

“เสิ่นยี คุณห้ามดูนะ”

พ่อบ้านเซี่ยลดเสียงต่ำลงแล้วตะโกนบอกไป

ยิ่งทำให้เสิ่นยีสงสัย เหลือบมองเอกสาร และหลบห่างจากพ่อบ้านเซี่ยที่กำลังเอื้อมมือจะแย่งเอกสาร “นี่คืออะไร”

“ไม่มีอะไร”

“ไม่มีอะไรแล้วคุณแอบเข้ามาในห้องหนังสือของBossทำไม” เสิ่นยีไม่เชื่อ ตามหลักแล้ว เขาไม่ควรดูเอกสารนี้ แต่ ประการที่หนึ่งคือการกระทำของพ่อบ้านเซี่ยทำให้เขาสงสัย ประการที่สอง เขาก็อยากรู้อยากเห็น มันคืออะไรกันแน่ ถึงได้ทำให้พ่อบ้านเซี่ยมีการกระทำที่เหมาะสมเช่นนี้

มือหนึ่งดันพ่อบ้านเซี่ยไว้ อีกมือถือเอกสารไว้ เขาไม่อยากจะดูอย่างละเอียด แค่อยากทำให้พ่อบ้านเซี่ยตกใจกลัว “ทำไมฉันถึงดูไม่ได้ หรือว่ามันเป็นสิ่งที่น่าละอาย คุณไม่บอกฉัน ฉันก็จะดูเอง”

ที่แท้ก็แค่ทำให้พ่อบ้านเซี่ยตกใจกลัว ไม่เคยคิด เหลือบไปมองเห็นตัวหนังสือสีดำหนึ่งแถวแวบมาที่หางตา

และไม่สนว่าพ่อบ้านเซี่ยก็อยู่ด้วย หยิบเอกสารมาอ่านผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้น พุ่งเข้าหาเสิ่นยีอย่างแรง “ห้ามดู ห้ามดู”

พ่อบ้านเซี่ยตกใจ

เสิ่นยีดันมือเบาๆ ดันพ่อบ้านเซี่ยซวนเซไปข้างหลัง ล้มลงกับพื้น

“นี่คืออะไร พ่อบ้านเซี่ย สิ่งที่เขียนในนั้น เป็นเรื่องจริง?” เขาไม่อยากจะเชื่อเลย สายตาจ้องไปแฟ้มเอกสารที่อยู่บนโต๊ะ จำได้ว่าเมื่อครู่เห็นเงาดำกำลังสลับเอกสารตอนเขาอยู่นอกประตู……ไม่ลังเล เสิ่นยีหยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมา รีบเปิดออกแล้วดูอย่างรวดเร็ว

เอกสารทั้งสองฉบับ ทั้งสองฉบับมี “ข้อเท็จจริง” ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ฉบับไหนจริง ฉบับไหนปลอม……ความจริงก็ไม่ต้องถามแล้ว เสิ่นยีก็รู้อยู่ในใจ ถ้าฉบับในมือของพ่อบ้านเซี่ยเป็นฉบับปลอม พ่อบ้านเซี่ยจะทำตัวลับๆล่อๆเพื่อเข้ามาสลับเอกสารในห้องหนังสือของคุณชายทำไม

พ่อบ้านเซี่ยนั่งเหม่อลอยอยู่บนพื้นทันใดนั้นก็ขยับตัว คุกเข่าตรงหน้าเสิ่นยี แล้วขยับเข้าไปจับกางเกงของเสิ่นยี แสดงความน่าสงสารที่บอกไม่ถูก

“อย่าบอกคุณชายได้ไหม”

เสิ่นยีตกใจมาก

“คุณก็ทำเหมือนไม่รู้เรื่องนี้ ฉันขอร้องคุณ …….ฉันก็ทำเพื่อเวยเหมิงเสิ่นยี คุณลองคิดดู เวยเหมิงเป็นคนใจดี อ่อนโยน ขี้กลัว แล้วเธอจะทำเรื่องแบบนั้นได้อย่างไร

ทั้งหมดเป็นเพราะเจี่ยนถง

คุณคิดดู ข้างนอก เวยเหมิงเป็นผู้หญิงที่คุณชายให้ความสำคัญ เรื่องนี้ทุกคนในแวดวงต่างก็รู้กัน

แต่เจี่ยนถงในฐานะที่เป็นเพื่อนรักของเวยเหมิงผู้หญิงคนนั้นยังไม่ยอมเลิกรา พยายามเข้าใกล้คุณชาย

เวยเหมิงเธอไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ฉันเอง เป็นเพราะฉันไม่มีสถานะที่สูงส่งให้เวยเหมิง เธอเป็นเพียงลูกสาวของพ่อบ้าน แต่เจี่ยนถง เธอเป็นคุณหนูของตระกูลเจี่ยน เป็นหญิงสาวสรวงสวรรค์ในสายตาผู้คน เป็นผู้หญิงที่โดดเด่น และมุ่งไปหาคุณชายเพียงคนเดียว เริ่มการไล่ตามอย่างดุเดือด

เวยเหมิงเธอกลัว กลัวว่าสักวันหนึ่ง คุณชายจะถูกผู้หญิงอย่างเจี่ยนถงแย่งไป

เวยเหมิงก็กังวลมาก จึงได้ทำเรื่องผิดลงไป แต่เวยเหมิงก็เพราะว่าคืนนั้นผู้หญิงคนนั้นไปสาย จึงถูกทำลายโดยสัตว์เดรัจฉานพวกนั้น เวยเหมิงใช้ทั้งชีวิตของตัวเองเพื่อจ่ายไป

แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ

ยิ่งกว่านั้น ก็คือชีวิต นี่ยังไม่พอสำหรับการชดใช้เหรอ”

พ่อบ้านเซี่ยน้ำตาไหล “เสิ่นยีเวยเหมิงทำผิด แต่นั่นก็เป็นเพราะเจี่ยนถง ในวันนี้ คุณชายก็แต่งงานกับผู้หญฺงคนนั้นแล้ว ผู้หญิงคนนั้นก็ได้แต่งงานกับคุณชายตามที่ต้องการแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นคิดอยู่ตลอดเวลาเหรอ

ทำไมต้องขุดเรื่องที่มันผ่านไปแล้วขึ้นมาอีก ทำไมต้องไปสืบหาเรื่องที่ผ่านไปหลายปีให้ถึงที่สุดด้วย

ผู้หญิงคนนั้นก็ได้เป็นคุณนายเสิ่นแล้ว………ส่วนเวยเหมิงก็เหลือเพียงเถ้ากระดูก……..ฉันก็มีลูกสาวเพียงคนเดียว ลูกสาวไปอยู่อีกโลกแล้ว ฉันแค่หวังว่าเธอจะเหลือชื่อที่สะอาดไว้บนโลกนี้ ขอให้เธออยู่ในใจของคุณชายเป็นหญิงสาวที่อ่อนโยนใจดีขี้อายและไร้เดียงสาอยู่เสมอ ……. เสิ่นยี ฉันขอร้องคุณ กราบคุณแล้ว ขอแค่คุณทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย

ผู้หญิงคนนั้น เธอก็ได้ในสิ่งที่เธอต้องการแล้วไม่ใช่หรือ

เป็นแบบตอนนี้มันไม่ดีเหรอ สถานการณ์ที่มีความสุข และสิ่งเดียวที่ฉันเป็นห่วงก็คือ หลังจากที่เวยเหมิงเสียชีวิตจะไม่ยอมให้ใครมาเหยียบย่ำเธออีก

เสิ่นยีลุงเซี่ยรู้ว่าคุณ……ชอบเวยเหมิงมาตั้งแต่เด็ก คุณก็ไม่หวังว่าเวยเหมิงจะกลายเป็นผู้หญิงที่ใจร้ายในสายตาของคนบนโลกนี้ ใช่ไหม

อีกอย่าง เวยเหมิงเธอก็แค่อารมณ์ชั่ววูบ เธอไม่ได้เจตนาจะทำร้ายใคร

ผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ เธอจะจงใจทำร้ายผู้หญิงคนนั้นได้อย่างไร”

เสิ่นยีตึงเครียด…… ตอนที่พ่อบ้านเซี่ยพูดว่า “คุณชอบเวยเหมิงตั้งแต่เด็ก” เขาก็รู้ การตัดสินใจของเขาแล้ว

“พ่อบ้านเซี่ย คุณตอบฉันมาก่อน…….ความจริงแล้ว คุณรู้มาตั้งนานแล้ว รู้ความจริงของเรื่องทั้งหมด ใช่ไหม”

“ฉัน……เวยเหมิงเคยพูดกับฉันหนึ่งครั้ง ฉันคิดว่าเธอล้อเล่น เวยเหมิงบอกว่า เธอแค่ต้องการขู่เจี่ยนถงถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐาน จะไม่ทำอะไรที่ร้ายแรงกับเจี่ยนถงอย่างแน่นอน…..หวังแค่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่มีหน้าไปยุ่งกับคุณชายอีก …….ฉัน ฉันก็คิดว่าเป็นแค่เรื่องขำๆ เพราะเวยเหมิงเป็นคนขี้กลัวตั้งแต่เด็ก”

เสิ่นยีกำหมัดแน่น หลับตา โยนเอกสารในมือไปตรงหน้าพ่อบ้านเซี่ย “คุณจำไว้ ฉันไม่ได้ช่วยคุณปิดบัง ฉันไม่ได้ทำเพื่อช่วยคุณ ฉันทำเพื่อชื่อเสียงและความไร้เดียงสาของเวยเหมิง และความบริสุทธิ์ของเธอที่อยู่ในใจของคุณชาย วันนี้ฉันไม่เคยมาที่นี่ ไม่ได้เจอคุณ และยิ่งไปกว่านั้น ก็คือไม่ได้เห็นเอกสาร”

พูดจบ หันหลังแล้วเดินออกไป เดินไปถึงทางเดิน เมื่อแสงส่องลงมา เห็นเสิ่นยีริมฝีปากซีดและขมวดคิ้วด้วยความเสียใจ

ระหว่างเดินลงบันได ยังไม่ถึงชั้นล่าง ก็ได้ยินเสียงสนทนากัน

คือผู้หญิงคนนั้น

เสิ่นยีประมาทเลินเล่อ เหยียบพลาด แม้จะทรงตัวทันเวลาแต่ก็ได้ยินเสียงอึดอัดใจ

เขาเหลือบไปมอง ผู้หญิงคนนั้นหันหลังอยู่ และหันกลับมามองเขาพอดี……ใจเต้นแรง

มีความรู้สึกผิดที่พูดไม่ได้

จ้องกลับด้วยสายตาที่เย็นชามาก แสดงสีหน้าที่ไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ออกมาบนใบหน้า

เสิ่นยีเห็นแค่ ผู้หญิงที่จ้องมองเขา ค่อยๆถอนสายตาของเธอลงสำหรับความเกลียดชังและความรังเกียจบนใบหน้าของเขาก็แค่เลื่อนผ่านไปช้าๆ อย่างไม่สนใจ

อาจจะเพราะ……ความหวาดระแวงในใจถูกทำลายอย่างกะทันหัน

กระดาษแผ่นนั้น คำพูดเหล่านั้น ทุกตัวอักษร การกล่าวหาและความรังเกียจที่เขามีต่อผู้หญิงคนนี้ไม่มีมูลเลย

คนที่รังเกียจมาก คนที่ดูถูก คนที่แอบเยาะเย้ยเป็นระยะๆด้วยเหตุผล ทันใดนั้น กระดาษขาวและตัวหนังสือสีดำก็บอกเขาว่า ความรังเกียจของคุณไม่สมเหตุสมผล

คนที่รังเกียจมาโดยตลอดทันใดนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะสนับสนุนให้เขาเกลียดเธออย่างอีก

เสิ่นยีแปลกใจมาก และรู้สึกเสียใจมาก สูดหายใจเข้าอย่างแรง “ฮึ”

แล้วเดินผ่านผู้ำหญิงคนนี้ไป แม้แต่ “คุณนาย” ก็ไม่เรียกสักคำ รีบวิ่งออกจากประตูไป…….เหมือนจะรังเกียจอันที่จริงแล้วเขารู้สึกผิดในใจ

“พ่อบ้านหวัง วันนี้เป็นวันเกิดของคุณหญิงเจี่ยน ฉันจะกลับไปที่บ้านตระกูลเจี่ยน”

“ทางคุณชาย” พ่อบ้านหวังรู้กาลเทศะ คนที่เขาจงรักภักดีที่สุดก็คือเจ้าของบ้าน

เจี่ยนถงหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า ระหว่างที่กดโทรออก ก็ยิ้มแล้วพูดกับพ่อบ้านหวังเบาๆว่า “เดี๋ยวฉันถามเอง”

เชื่อมต่อสายแล้ว เธอพูดกับอีกฝ่ายของโทรศัพท์สองสามประโยค ไม่มีอะไรมากแค่บอกว่าอยากจะไปตระกูลเจี่ยน แล้วก็ให้ข้อเสนอว่า “ถ้าคุณไม่ไว้ใจ ก็ให้ซูเมิ่งไปเป็นเพื่อนฉันได้นะ”

ตลอดการเดินทาง พ่อบ้านหวังนั่งอยู่ข้างๆอย่างสุภาพ แต่ใส่ใจกับการเคลื่อนไหวของเจี่ยนถงตลอด

วางสาย เจี่ยนถงกางฝ่ามือออกเผยให้เห็นโทรศัพท์บนฝ่ามือคอลัมน์ล่าสุดของประวัติการโทรบนหน้าจอโทรศัพท์ เป็นชื่อของเสิ่นซิวจิ่น “พ่อบ้านหวัง คุณชายโอเคแล้ว แต่จะให้ซูเมิ่งไปเป็นเพื่อนฉัน ฉันจะโทรหาซูเมิ่งตอนนี้”

เธอพูด “ไอ๊หยา” “เสื้อของฉันสกปรกตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่ทันสังเกต ฉันจะต้องขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อก่อน” ขณะพูดก็หันหลังแล้วขึ้นตึกไป

ในระหว่างที่เดินขึ้นไป ก็คอยเหลือบมองพ่อบ้านหวัง

พ่อบ้านที่มาใหม่คนนี้ เธอก็ยังจับจุดไม่ถูก ไม่รู้ว่าหลอกผ่านไหม ส่วนการโทรเมื่อกี้ ไม่ได้โทรหาเสิ่นซิวจิ่นแน่นอน

แค่หมายเลขหนึ่ง ที่ตั้งชื่อเป็น “เสิ่นซิวจิ่น” สามคำนี้ เป็นวิธีการเดียวกับการหลอกบันทึกชื่อบนโทรศัพท์เหมือนโทรศัพท์ทั่วไป

ใครๆก็เล่นหมากรุกใครๆก็อยากใช้เธอเป็นหมาก

แต่เคยถามหมากไหม เต็มใจเป็นหมากในมือคนเล่นหมากรุกไหม

เดินเข้าไปในห้องนอน ตั้งใจเลือกชุดเรียบๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วก็โทรหาซูเมิ่ง “พี่เมิ่ง ถ้ามีโอกาส ช่วยฉันปัดกวาดความคับข้องใจ คุณจะช่วยฉันไหม”

ซูเมิ่งเพิ่งรับสาย ก็ได้ยินคำถามตรงไปตรงมาของเจี่ยนถง

เธอตกตึง หลังจากนั้น หน้าตึงคลี่คลายแววตาของเขาอ่อนลงมาก “ฉันจะช่วย”

ไม่มีคำพูดมากเกินไป “ฉันจะช่วย” ประโยคนี้ เข้าไปในหูของเจี่ยนถง สักพัก ใจที่เย็นชาไปนาน ก็กลับมาอบอุ่น

จับโทรศัพท์ไว้แน่น เจี่ยนถงเริ่มลังเล….พี่เมิ่งไม่ถามอะไรเลย……. แต่ความลังเลนี้เกิดขึ้นในไม่กี่วินาทีในสายตาเธอแน่วแน่

เปลี่ยนเสื้อเสร็จ เธอก็ลงไปข้างล่าง สังเกตสีหน้าของพ่อบ้านหวัง เห็นเขาไม่สงสัยอะไร ณ ตอนนี้ เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก

กลยุทธ์หลี่ตายแทนถาวเสียสละส่วนน้อยเพื่อส่วนมากสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการโทรหาคู่กรณี เช่นนั้นก็จะถูกเปิดเผย

แต่เธอเดิมพันถูกแล้ว คิดว่าพ่อบ้านหวังแม้แต่ฝันก็คงฝันไม่ถึงว่าเธอผู้ไม่พูดมากในวันปกติ จะใช้วิธีนี้มาหลอกลวงเขาได้

ด้านหนึ่งก็ดีใจที่ไม่ได้ทำให้พ่อบ้านหวังสงสัย อีกด้านก็อดดีใจไม่ได้…….ไม่นาน อีกไม่นานก็จะสามารถหนีจากพวกเขาได้แล้ว

รออีกสักครู่ รถของซูเมิ่งก็มาจอดรอที่หน้าประตู เจี่ยนถงเดินไป ยังไม่ลืมที่จะบอกกับพ่อบ้านหวังว่า “ โอ้ พ่อบ้านหวัง ฉันลืมหยิบลิปสติกบนโต๊ะมาด้วย รบกวนท่านไปหยิบให้หน่อย”

ยิ่งเธอเป็นแบบนี้ พ่อบ้านหวังจึงคลายความกังวลในใจออกไป

“ได้ คุณนาย”

ไม่นาน ลิปสติกก็ส่งถึงมือของเจี่ยนถง เธอกล่าวว่า “ขอบคุณมาก” ยังไม่ลืมบอกว่า “ช่วยฉันตุ๋นรังนกหนึ่งถ้วย ถือเป็นอาหารมื้อดึก”

พูดอีกว่า “ยังมีอีกอย่าง น้ำในอ่างต้องอุ่นเสมอ อากาศเย็นขนาดนี้ กลับถึงบ้านก็อยากจะอาบน้ำอุ่นทันที”

“เสื้อผ้าในตู้ที่ฉันส่งซักส่งกลับมาแล้ว อย่าลืมฉีดน้ำหอมเล็กน้อยด้วย พ่อบ้านหวัง เรื่องนี้ก็ต้องรบกวนคุณอีกแล้ว”

ทุกๆอย่างเหมือนว่าเธอจะกลับมาที่นี่ในวันนี้ แต่ก็มีเพียงตัวเธอเท่านั้นที่รู้……..ไปครั้งนี้ จะไม่มีวันหันหลังกลับ

“ไม่รบกวน สมควรแล้ว คุณนาย รีบไปรีบกลับ”

ขึ้นรถ ซูเมิ่งมองเจี่ยนถงที่นั่งอยู่ข้างคนขับอย่างแปลกใจ ซูเมิ่งเป็นคนขับรถ ตั้งแต่เจี่ยนถงขึ้นรถมา วิญญาณที่อยู่ตรงหน้าพ่อบ้านหวังตอนนี้หายไปแล้ว คนทั้งคนพิงลงเบาะนั่ง

“เมื่อไม่กี่วันก่อน คนของตระกูลเจี่ยนมาหาฉันที่นี่”

ซูเมิ่งไม่พูดอะไร นั่งฟังอย่างเงียบๆ

“พวกเขาบอกว่าเสียใจ พวกเขาสำนึกผิดแล้ว” เจี่ยนถงไม่แสดงความรู้สึกบนใบหน้า เหมือนแค่เล่าให้ฟังเฉยๆ ราวกับว่าตัวเอกไม่ใช่เธอ

“เวลาผ่านไป ฉันไม่มีแรงจะไปสู้กับพวกเขาแล้ว

พวกเขาบอกว่าใช่ ก็ใช่แล้วกัน

แต่คุณหญิงเจี่ยนดึงฉันออกไป บอกข่าวฉัน”

“เรื่องในตอนนั้น เซี่ยเวยเหมิงเสียชีวิต นักเลงกลุ่มหนึ่งหนีไป ฉันกลายเป็นคนผิด ไม่สามารถอธิบายความบริสุทธิ์ได้ มีทั้งพยานและหลักฐาน สรุปคือยากที่จะพลิกกลับมาชนะได้

แต่ คุณหญิงเจี่ยนพูดว่า พวกนักเลงกลุ่มนั้น กลับมาแล้ว”

ซูเมิ่งเปลือกตากระตุก หันหน้ามา “ข่าวนี้เชื่อถือได้เหรอ”

เจี่ยนถงมุ่ยปาก “ตอนแรกฉันก็ยังสงสัย”

เธอพูดต่อว่า “ คนของตระกูลเจี่ยนโทรหาฉันเมื่อครู่นี้ บอกว่าลงทุนไปแล้ว เจอนักเลงกลุ่มนั้นแล้ว ให้ฉันไปหา”

“เอี๊ยด” เสียงเบรกรถยนต์อย่างรวดเร็ว และจอดอย่างเร่งรีบ เจี่ยนถงพยุงตัวไม่ทันเอนไปข้างหน้าลูบหัวที่กระแทก “พี่เมิ่งทำไมจู่ๆถึงเหยียบเบรกกะทันหัน"

ซูเมิ่งสีหน้าจริงจัง “เสี่ยวถง พวกเรากลับไป พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของคุณเป็นคนแบบไหน ยอมลงทุนเพื่อช่วยคุณ ทำไมตอนนั้นที่เกิดเรื่อง ไม่แม้แต่จะออกมาปกป้องคุณ

ครั้งนี้ พวกเราไปไม่ได้”

เจี่ยนถงหัวเราะทันที “พี่เมิ่ง ถ้าคุณเป็นฉัน มาถึงตอนนี้ คุณยังแคร์ความจริงอยู่ไหม”

ระหว่างที่เธอพูด สีหน้าดูเฉยๆ ความขมในปาก มีเพียงตัวเธอเท่านั้นที่รู้

ซูเมิ่งอึ้ง “คุณ…….คุณ……..คุณจะ…….หนี” คำสุดท้าย “หนี” ซูเมิ่งแทบกรีดร้องและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

ถ้าเธอไม่ได้รีบไปตระกูลเจี่ยนเพราะอยากรู้ความจริงแล้วมันจะเป็นอะไรได้อีก

“คนตระกูลเจี่ยนอยากจะสารภาพก็ดี หรือไม่มีเจตนาใดๆก็ดี ฉันบอกกับพวกเขาว่า ก่อนอื่น ต้องเตรียมบัตรประชาชนให้ฉัน

ประธานเสิ่นเก็บบัตรประชาชนของฉันไป ฉันขยับไปไหนไม่ได้ ฉันไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน ประธานเจี่ยนจะต้องมีวิธี ถ้าเขายังต้องการอะไรจากตัวฉัน เขาก็ต้องคิดหาวิธีช่วยฉันเอาบัตรประชาชนของฉันมาให้ได้”

ซูเมิ่งมองผู้หญิงข้างๆ อย่างไม่เชื่อสายตาผู้หญิงคนนี้อยู่ในความทรงจำของเธอเป็นคนได้แต่รับปากลูกเดียว ไม่พูดมาก เจี่ยนถงเมื่อหลายปีที่ผ่านมาทำให้หลายคนทึ่ง แต่เธอไม่เคยเห็น เจี่ยนถงที่เธอเคยเห็น เป็นแค่เด็กผู้หญิงซื่อๆที่ทำแต่งาน ธรรมดามากไม่โดดเด่น

แต่เจี่ยนถงที่เธอคิดว่าธรรมดาไม่โดดเด่นคนนี้ กลับวางแผนคิดร้ายต่อคู่สามีภรรยาตระกูลเจี่ยน ให้พวกเขาช่วยเอาบัตรประชาชนมาให้เธอ

“ที่บังเอิญคือ สองวันก่อน คุณหญิงเจี่ยนโทรมา บอกว่าบัตรประชาชนใหม่ทำเสร็จแล้ว” เจี่ยนถงหันไปมองซูเมิ่ง “พี่เมิ่ง ความจริงฉันควรจะปิดเรื่องนี้ไม่บอกคุณ แต่คุณปฏิบัติต่อฉันอย่างจริงใจ ฉันรู้ ถ้าฉันหนีไปแล้ว คุณก็จะซวยไปด้วย

ดังนั้นพี่เมิ่ง ครั้งนี้ พวกเราแค่ไปเอาบัตรประชาชนอันใหม่กลับมา หลังจากนั้นฉันจะทำให้คุณสลบ ทุกอย่างก็จะไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ แน่นอน ตอนนี้คุณก็สามารถไปรายงานให้ประธานเสิ่นว่าฉันจะหนี”

ซูเมิ่งก็ลังเล แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจ กัดฟันอย่างแรง…….ก็ถือว่า ก็ถือว่าเป็นการเติมเต็มให้ตัวเองในตอนนั้นแล้วกัน

สตาร์ทรถอย่างเงียบ ๆอีกครั้ง ขับกลับไปบนถนนอีกครั้ง

รถมาถึงที่ตระกูลเจี่ยน ขับเข้าไปในประตูเหล็กใหญ่ของตระกูลเจี่ยน “พี่เมิ่ง คุณกลับไปก่อนเถอะ ฉันจะขอเตือนความจำให้กับคุณหญิงเจี่ยน”

ซูเมิ่งดวงตาสวยๆกระตุก จ้องไปที่ใบหน้าที่จืดชืดของเจี่ยนถง…….ยิ้มเบาๆ “ไม่ได้เหรอก จะทิ้งคุณไว้ในตระกูลเจี่ยนคนเดียวไม่ได้ แล้วฉันจะอธิบายกับประธานเสิ่นอย่างไร”

เจี่ยนถงแน่นคอ “คุณ……..”

“แนเข้าไปเป็นเพื่อนคุณนะ” ซูเมิ่งปิดประตูรถ แล้วเดินอยู่ข้างๆเจี่ยนถง เอื้อมมือจับบนไหล่ของเจี่ยนถงลดเสียงลงโดยมีเพียงคนสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน พูดข้างหูเจี่ยนถงว่า “คุณไม่ต้องกังวล อย่าน้อยฉันก็ทำงานกับเสิ่นซิวจิ่นมานานพอสมควร สีขาวสีดำ ที่ควรจะจัดการฉันก็รับมือได้หมด นอกจากนี้……..ฉันเป็นคนของเสิ่นซิวจิ่น พวกเขากล้าเตะต้องฉันเหรอ”

ระหว่างที่หัวเราะก็โอบไหล่ของเจี่ยนถงไว้ แล้วเดินไปด้วยกัน

คุณหญิงเจี่ยนออกมาต้อนรับ “เสี่ยวถง คุณมาแล้วเหรอ เอ๊ะ คุณซูก็มาด้วยเหรอ”

“ของอยู่ไหน” เจี่ยนถงไม่พูดไร้สาระ หลังจากที่ตามคุณหญิงเจี่ยนเข้าไปในบ้าน หลังจากมาถึงตระกูลเจี่ยน ก็ถามทันที

“ของอะไร” คุณหญิงเจี่ยนอึ้งเล็กน้อย

“บัตรประชาชน”

เจี่ยนถงพูดเบาๆ วันนี้เธอมาตระกูลเจี่ยนก็เพื่อมาเอาบัตรประชาชนกลับไป และใช้โอกาสนี้ หนีออกจากใต้เปลือกตาของเสิ่นซิวจิ่นด้วย

คุณหญิงเจี่ยนนึกขึ้นทันใด“อ้อๆ บัตรประชาชนเหรอ อยู่ในตู้เสื้อผ้าของฉัน เดี๋ยวฉันไปหยิบให้ ดื่มน้ำชาอุ่นๆก่อนนะ อากาศหนาวขนาดนี้ ดื่มน้ำอุ่นหน่อย อย่าหนาวเกิดไป”

คุณหญิงเจี่ยนไม่ควรอยู่ในภวังค์เพียงแค่นึกถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ เธอก็เลยมีความกังวลในใจ ก็เลยฟุ้งซ่านเล็กน้อย

มองน้ำชาที่สาวใช้ยกมา ดวงตาของเจี่ยนถงจ้องมองไปที่หน้าของคุณหญิงเจี่ยนอีกครั้ง “คุณหญิงเจี่ยนไปหยิบบัตรประชาชนบนตึกมาจะดีกว่า”

คุณหญิงเจี่ยนมองไปทางเจี่ยนเจิ้นตง เหมือนไม่กล้าตัดสินใจคนเดียว หลังจากนั้นพยักหน้า เธอถึงพยักหน้าให้เจี่ยนถง “ได้ ฉันจะไปหยิบให้คุณนะ”

คุณหญิงเจี่ยนไปสักครู่เดียวก็กลับมาแล้ว กำลังหยิบบัตรประชาชนลงมา แสดงความรักและเมตตาที่มีให้เจี่ยนถง “เด็กคนนี้นี่ ทำไมต้องรีบร้อนที่จะเอาบัตรประชาชนกลับด้วย ทำไมยังไม่ยอมเชื่อใจพ่อแม่ของตัวเองอีก

พ่อของคุณต้องใช้ความพยายามและผ่านการพลิกผันมากมายปิดฟ้าข้ามทะเล เพื่อทำตามคำขอของคุณ ไม่ให้ประธานเสิ่นรู้ มันไม่ง่ายเลยที่จะได้บัตรประชาชนตัวใหม่มา”

คุณหญิงเจี่ยนตอนนี้มีเมตตาใจดี ถ้าคนไม่รู้จัก ก็คงจะคิดว่า เป็นแม่ที่ใจดีและมีเมตตา

ซูเมิ่งยืนอยู่ข้างๆ ในใจสับสนมาก

เรื่องอื่นจะไม่พูดถึง ก็แค่เรื่องเมื่อครู่เจี่ยนถงขอบัตรประชาชนกับคุณหญิงเจี่ยน คุณหญิงเจี่ยนยังต้องส่งสายตาให้เจี่ยนเจิ้นตงอย่างลับๆ เพื่อถามความเห็นของเขา

นี่……….จะเป็นครอบครัวเดียวกันได้อย่างไร

ไม่แตกต่างจากคนนอกเลย

เจี่ยนถงรีบเอาบัตรประชาชนจากมือของคุณหญิงเจี่ยนมา………ความรักความห่วงใยที่เสแสร้งนั้นของคุณหญิงเจี่ยน เธอไม่กล้าคาดหวังมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้ได้ยินแค่รู้สึกเสียดสี

เหลือบมองบัตรประชาชนในมือ……..ในดวงตาของเธอมีรอยยิ้มที่เยาะเย้ยเล็กน้อย

ที่แท้ นี่ก็คือสิ่งที่เจี่ยนเจิ้นตงสามารถปิดฟ้าข้ามทะเลนี้เอง เหตุผลที่สามารถปิดหูปิดตาของผู้ชายคนนั้นได้…….. ใบบัตรประชาชน ตรงคอลัมน์ชื่อเขียนเสิ่นถงคำใหญ่ๆสองคำ

เธอเปลี่ยนนามสกุลแล้ว

หัวเราะเบาๆ เจ็บใจนิดๆ พยายามระงับไว้ เงยหน้ามองเจี่ยนเจิ้นตงอย่างช้าๆ “ทำไมต้องเป็นแซ่‘เสิ่น’”

เจี่ยนเจิ้นตงอ้ำอึ้ง เขาไม่สามารถบอกความจริงกับเธอว่า เพราะมีท่านเฒ่าผู้ที่นับถือกล่าวไว้ว่า เนื่องจากผู้หญิงคนนั้นได้แต่งเข้าตระกูลเสิ่นก่อนตาย ผู้หญิงของตระกูลเสิ่น ก่อนตายมีความภักดีอย่างไร หลังตายก็จะภักดีไม่เปลี่ยน และต้อง

เป็นผีของตระกูลเสิ่นชื่อในบัตรประชาชน ก็ต้อง………แซ่เสิ่น

นี่ก็คือคำพูดของท่านผู้เฒ่าที่นับถือได้กล่าวไว้

เจี่ยนเจิ้นตงตอนนี้ยังจำได้ เมื่อเขาทำตามคำขอร้องของเจี่ยนถง——หาวิธีทำบัตรประชาชนใบใหม่ และตอนไปพบชายชราที่นับถือท่านนั้น ขณะที่ชายชราพูดประโยคนั้นออกมาจากปาก ดวงตาเย็นชามาก

……..ตอนนั้นรู้ว่าถึงวาระแล้ว เจี่ยนถง อยู่ได้อีกไม่นานแล้ว

คำพูดของชายชรา พูดคำไหนคำนั้น

ปฏิกิริยาของชายชราชัดเจนและตรงไปตรงมา ตระกูลเสิ่นยอมรับเจี่ยนถงเป็นลูกสะใภ้บัลลังก์ตำแหน่งคุณนายเสิ่น สามารถมีเจี่ยนถงคนคนนี้ได้ แต่ จะต้องเป็นเจี่ยนถงที่ไม่มีชีวิตแล้ว ถึงจะมีสิทธิ์นั่งบนบัลลังก์ตำแหน่งคุณนายเสิ่นได้

เจี่ยนเจิ้นตงมีความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อย่างไรก็ตามก็เป็นลูกสาวของตัวเอง ไม่เหมือนเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน ครั้งนี้ เท่ากับว่าเขาจะส่งให้ลูกสาวของตัวเองไปตายด้วยตัวเอง

แต่……เจี่ยนเจิ้นตงเขาก็ได้ทำในสิ่งที่คิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดสำหรับตระกูลเจี่ยนแล้ว

เสียสละลูกสาวของตระกูลเจี่ยนที่ไม่ได้ถือเป็นลูกสาวมานานแล้ว……….

“เสี่ยวถง คุณอยากเจอนักเลงพวกนั้นที่ทำให้คุณต้องติดคุกหรือไม่” เจี่ยนเจิ้นตงไม่ได้ตอบคำถามของเจี่ยนถง กลับพูดถึงนักเลงพวกนั้นขึ้นมาแทน

อยากเจอไหม?

เจี่ยนถงหลับตา ปกปิดการเสียดสีในสายตา…….เจอแล้วยังไง ไม่เจอแล้วจะยังไง

ย้อนเวลากลับไปได้ไหม

เอาไตของเธอกลับมาได้ไหม?

วันที่มืดมนเหล่านั้นไม่เคยปรากฏตัวขึ้นเหรอ?

ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึก เพียงแค่มันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน

“ไอ๊หยาสามี เรื่องในตอนนั้นสำหรับเสี่ยวถงแล้ว มันเป็นแผลเป็น ทำไมคุณถึงพูดถึงต่อหน้าเสี่ยวถงล่ะ” จู่ๆคุณหญิงเจี่ยนก็ขัดจังหวะขึ้นมา ก้าวไปข้างหน้าอย่างเห็นใจ หยิบน้ำชาที่อยู่ข้างๆขึ้นมา

“เสี่ยวถง ไม่ต้องตกใจ อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจ ดื่มน้ำก่อน ค่อยๆคิด ไม่รีบ”

เจี่ยนถงรับน้ำชามา เจตนาใช้ตัวเองขวางหน้าซูเมิ่ง “พี่เมิ่ง ได้เวลาทานยาของฉันแล้ว กระเป๋าเหมือนจะตกอยู่ในรถของคุณ คุณช่วยไปหยิบให้ฉันหน่อยสิ”

ไม่ใช่เพราะเธอคิดมาก แต่เป็นเพราะ…..ก่อนที่เธอจะออกจากบ้าน ก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ แต่ว่า……เพื่อบัตรประชาชนหนึ่งใบ เพราะแรงจูงใจของเธอ!

แต่ว่ายอมเสี่ยง เต็มใจที่จะพนัน เป็นเรื่องของเธอเอง ไม่ใช่เรื่องของซูเมิ่งที่จะมามีส่วนร่วมกับเธอด้วย

ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีซูเมิ่ง แล้วเธอก็จะออกจากบ้านหลังใหญ่นั้นไม่ได้ เธอก็คงจะไม่เรียกซูเมิ่งมาด้วย ลุยน้ำโคลนนี้

ซูเมิ่งจ้องมองเจี่ยนถง……..

คุณหญิงเจี่ยนทำหน้าตกใจสักครู่ วินาทีถัดไปบนหน้าก็มีรอยยิ้ม หยิบน้ำชาอีกแก้วขึ้นมา รีบส่งให้ซูเมิ่ง “คุณซู คุณก็ดื่มน้ำหน่อยนะ ขับรถมาในอากาศเย็นๆแบบนี้ คงจะเหนื่อย ดื่มน้ำก่อน ด้านนอกอากาศเย็นมาก กระเป๋าในรถ ให้เด็กในบ้านไปหยิบก็ได้ จะไปหยิบเองทำไม”

เจี่ยนถงเม้มปากแน่นในทันที กำลังจะรับน้ำแก้วนั้นแทนซูเมิ่ง แต่ซูเมิ่งได้รับน้ำแก้วนั้นมาด้วยความสุภาพแล้ว จิบน้ำชาต่อหน้าคุณหญิงเจี่ยน “ขอบคุณ”

เจี่ยนถงหยุดชั่วคราว…….เธอตื่นเต้นเล็กน้อย แต่…..ซูเมิ่งไม่ไว้ใจตระกูลเจี่ยนมากกว่าเธออีก และเหมือนที่ซูเมิ่งพูด ติดตามเสิ่นซิวจิ่นมานาน สีดำสีขาวก็เห็นมาหมดแล้ว ซูเมิ่งคอยระวังตระกูลเจี่ยนอยู่เสมอ แล้วจะไม่ระวังน้ำชาแก้วนี้ได้อย่างไร คิดว่าซูเมิ่งน่าจะมีแผนการของตัวเองอยู่ในใจ

อดทน และไม่ได้พูดอะไร

คุณหญิงเจี่ยนกระตุ้น “เสี่ยวถง คุณทำไมไม่ดื่มล่ะ เย็นไปก็ไม่อุ่นแล้ว”

เจี่ยนถงได้ยิน จึงเหลือบมองชาในมือ……ไม่ว่าซูเมิ่งจะมีแผนการอะไร แต่เธอก็ได้มีความรู้สึกที่จะดื่มน้ำชาของคนตระกูลเจี่ยนเตรียมให้เลยแม้แต่นิดเดียว พูดเบาๆว่า “ไม่รีบ ฉันไม่ชอบดื่มน้ำชา” ระหว่างที่พูดก็วางถ้วยชาลง “พี่เมิ่ง พวกเรากลับกันเถอะ”

ระหว่างที่พูดก็ยืนขึ้นมา ชำเลืองมองซูเมิ่งที่อยู่ข้างๆ “พี่เมิ่ง เป็นอะไร?”

ยังไม่ทันตะโกน วินาทีถัดมา จู่ๆด้านหลังก็มีคน ใช้ผ้าปิดจมูกเธอ “ไม่ ไม่” จู่ๆเธอก็เข้าใจอะไรบางอย่างก่อนจะสลบไป จ้องมองคุณหญิงตระกูลเจี่ยนอย่างผิดหวัง

ก่อนจะสลบไป เธอยังคิดว่า…..โชคดี โชคดีเมื่อครู่เธอไม่ได้ขัดขวางพี่เมิ่งดื่มชา ถ้าน้ำชาไม่มีปัญหาอะไร ดื่มแล้วก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าน้ำชามีปัญหา……ดื่มน้ำชาแล้ว ก็จะสามารถรักษาชีวิตของพี่เมิ่งไว้ได้

ตาม “พ่อที่ดี”ของเธอคนนั้นที่กลัวเสิ่นซิวจิ่นมาก ซูเมิ่งสลบไปก่อนเธอ เจี่ยนเจิ้นตงคงจะไม่เสี่ยงที่จะฆ่าซูเมิ่ง ซูเมิ่งมีชีวิตอยู่ เขาก็จะสามารถใช้ข้ออ้างต่างๆได้ ถ้าซูเมิ่งเสียชีวิต ก็จะไม่สามารถปิดบังให้เสิ่นซิวจิ่นคนที่โหดร้ายตรวจสอบหาความจริงถึงที่สุดได้

และเมื่อตอนที่เธอกำลังยืนขึ้น ถึงแม้พี่เมิ่งเหมือนจะโดนวางยาแล้ว แต่ตัวเองเห็นมือที่ซ่อนอยู่ข้างตัวของพี่เมิ่ง ทำท่าทาง “เกี่ยวก้อย” เบาๆ

พี่เมิ่งกำลังส่งข้อความให้เธอ——รับประกันว่าไม่มีปัญหา

หลังจากมาถึงตระกูลเจี่ยน ไม่ว่าจะเป็นของกินของใช้ เธอก็จะระวังเป็นพิเศษ ไม่ไปเตะต้อง ถึงแม้จะระวังตัวทุกๆด้านขนาดนี้ เจี่ยนถงก็ไม่เคยคิดเลยว่า วันนี้ สามีภรรยาคู่นี้ พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอ มาถึงจุดที่ไม่ต้องปกปิดแล้ว

“จะทำอย่างไร” คุณหญิงเจี่ยนมองดูสองคนที่สลบอยู่ตรงหน้า ชี้ไปที่ซูเมิ่ง แล้วถามเจี่ยนเจิ้นตง “จะจัดการกับเธออย่างไร”

“เธอเป็นคนของเสิ่นซิวจิ่น และเธอดื่มน้ำชาจนสลบไปแล้ว ไปเรียกลุงเว่ยมา”

แม้คุณหญิงเจี่ยนจะตื่นตกใจ แต่ก็ทำตามที่เจี่ยนเจิ้นตงสั่งทันที

เจี่ยนเจิ้นตงพูดจบ เมื่อครู่ที่อยู่ด้านหลังของเจี่ยนถง ชายร่างใหญ่ที่ใช้ผ้าย้อมยาสลบปิดปากของเจี่ยนถง ได้แบกเจี่ยนถงที่สลบเหมือนแบกกระสอบทราย ใช้กระสอบผ้าที่สามารถบรรจุคนได้หนึ่งคน ใส่ลงไป แล้วแบกกระสอบผ้าขึ้นอีกครั้งบนไหล่

ชายชราผมหงอกคนหนึ่งเดินตามคุณหญิงเจี่ยนมา เจี่ยนเจิ้นตงชี้ไปที่ซูเมิ่งที่กำลังสลบอยู่ “เอาเธอออกไป สร้างสถานการณ์เสียชีวิตจาก‘อุบัติเหตุทางรถยนต์’ ”

เจี่ยนถงประเมินความโหดร้ายของเจี่ยนเจิ้นตงต่ำไป น่าจะพูดว่า วิธีทำร้ายคนมีที่มากมาย เจี่ยนถงไม่ได้รับการสืบทอด สมองที่เต็มไปด้วยวิธีการทำร้ายคนของเจี่ยนเจิ้นตงเลย

การเสียชีวิตของซูเมิ่งเป็นวิธี“อุบัติเหตุทางรถยนต์” ไม่ต้องสงสัยเลย

คุณหญิงเจี่ยนตัวสั่น เธอจับข้อมือของเจี่ยนเจิ้นตงอย่างแน่น หลังมือที่ขาว เห็นเส้นเลือดชัดเจน ในตายังมีร่องรอยรับไม่ได้

“เจิ้นตง…….พวกเราทำแบบนี้ ทำแบบนี้……พวกเราจะทำแบบนี้จริงๆเหรอ”

“คุณคิดว่าฉันอยากจะทำเหรอ” เจี่ยนเจิ้นเกาหัวอย่างหงุดหงิด “เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว ฉันยังจะมีวิธีไหนอีก คนนอกมองตระกูลเจี่ยนของพวกเรา งดงามและวิจิตรบรรจง คุณไม่รู้เหรอ ตระกูลเจี่ยนของพวกเราถึงเวลาที่ต้องเอาตัวรอดแล้วเหรอ?…..นั่นก็เป็นลูกสาวของฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นสถานการณ์เป็นที่พึ่งสุดท้าย ฉันจะใจร้ายขนาดนี้ได้อย่างไร”

“แต่ว่า…..”

“ไม่มีแต่ คุณต้องจำไว้ ทั้งหมดที่พวกเราทำ ก็เพื่อตระกูลเจี่ยน เพื่อลูกชายของพวกเรา ถ้าตระกูลเจี่ยนล้มละลาย โม่ป๋ายเขาก็จะไม่มีอะไรเลย คุณจะทนเห็นตระกูลเจี่ยนล้มละลาย โม่ป๋ายเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ทันใดนั้นก็ตกลงมาและกลายเป็นหมาไร้ญาติได้เหรอ?

อีกอย่าง……เธอมีชีวิตอยู่อย่างนั้น จะมีความหมายอะไร คนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง พวกเราถือว่าได้ช่วยปลดปล่อยเธอแล้ว”

ลุงเว่ยที่ผมหงอก กำลังเคลื่อนย้ายซูเมิ่งที่สลบ ไปบนรถที่เธอขับมา และคำพูดของเจี่ยนเจิ้นตง เกือบปลูกให้ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาก่อนแล้ว

ไร้ยางอายจริงๆ

ที่โรงพยาบาล ท่านแก่เสิ่นยังไม่ได้ออกมาจากประตูห้องฉุกเฉิน ผู้ชายที่ยืนอยู่หน้าประตู รู้สึกไม่สบายใจอย่างอธิบายไม่ได้

และเปลือกตาขวากระตุกอีกครั้งความกังวลในใจเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

เขามองไปด้านข้างที่ประตูแล้วถามพ่อบ้านที่อยู่ข้างกายคุณปู่“ คุณปู่เป็นลมได้อย่างไร?”

“คุณท่านเป็นลมอย่างกะทันกัน…….” พ่อบ้านพูดไปพูดมาก็มีแค่ประโยคนี้ ขณะที่พูด ประตูก็เปิดออก คนในชุดขาวก็ออกมาจากข้างในเสิ่นซิวจิ่นเอื้อมมือออกไปขวางคุณหมอชุดขาวไว้ “คนด้านใน เป็นคุณปู่ของฉัน ตอนนี้อาการของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”

คนในชุดขาวคาดไม่ถึงว่า จู่ๆจะมีคนขวางทางเพื่อถามคำถาม “คุณปู่ของท่านไม่ได้……….”

“คุณท่านของพวกเราเป็นประธานใหญ่ของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป โรงพยาบาลของพวกคุณต้องทำการรักษาดีๆนะ”

ยังไม่ทันรอคนชุดขาวพูดจบ จู่ๆพ่อบ้านที่อยู่ข้างๆก็พูดขัดจังหวะขึ้นมา

คนชุดขาวปรับความคิดในสมองได้เร็วมาก ทันใดนั้นก็เปลี่ยนการพูด บอกว่าอาการยังไม่ชัดเจน ยังต้องมีการตรวจเช็กอย่างละเอียดอีกครั้ง

ชายผู้นั้นไม่ได้พูดอะไร เท้าขวาก้าวหลบไปข้างๆ หลีกทางให้คนชุดขาว ในขณะเดียวกัน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วจ้องมองพ่อบ้านที่อยู่ข้างๆอย่างเงียบๆ “ยู่สิงก็เรียนแพทย์เหมือนกันทักษะทางการแพทย์รู้กันทั้งประเทศ และมีชื่อเสียงมาก มีเขาอยู่ ฉันก็จะสบายใจ”

เปลือกตาของพ่อบ้านกระตุก เงยหน้าขึ้น อ้าปากแล้วป้าปากอีก เขาเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับผู้ชายตรงหน้า แต่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร

มีภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนความรู้สึกคนใบ้กินมะระ ขมแต่พูดไม่ออก

และคุณชายตระกูลเสิ่นของพวกเขาคนนี้ เป็นนักเคลื่อนไหวเสมอในปากกำลังพูดว่าจะโทรหาคุณชายของตระกูลไป๋ ยังไม่ทันรอเขาขัดขวาง หมายเลขที่คุณชายโทรออกไป ก็เชื่อมต่อเรียบร้อยแล้ว………เขาจะพูดอะไรได้อีก?

“ไป๋ยู่สิงคุณมาที่โรงพยาบาลนี้หน่อย ………อืม คุณปู่เป็นลม หมอที่โรงพยาบาลกำลังพยายามช่วยเหลือ

คุณมาที่นี่หน่อยสิ มาดูว่ายังสามารถช่วยคุณปู่ไว้ได้หรือไม่”

พ่อบ้านที่อยู่ข้างๆตอนที่ได้ยินประโยคสุดท้ายของเสิ่นซิวจิ่น สีหน้าดูแย่มาก……..นี่ คุณชายพูดราวกับว่าคุณปู่กำลังจะเสียชีวิตแล้ว

แม้ว่าตระกูลไป๋กับตระกูลเสิ่นจะมีความร่วมมือกันอีกครั้ง คุณชายตระกูลไป๋กับพวกเขาตระกูลเสิ่นเป็นกันเองมาก……แต่อย่างไรก็ยังถือเป็นคนนอกอยู่ดี ต่อหน้าคนนอก พูดออกไปว่าคุณท่านของตระกูลเสิ่นกำลังจะเสียชีวิตแล้ว นี่……..ไม่เหมาะสมเท่าไหร่มั่ง

และอีกฝ่ายของโทรศัพท์ หลังจากที่ไป๋ยู่สิงรับโทรศัพท์ ทำหน้าแปลกๆ………นี่กำลังล้อเล่นอะไรกันอีกล่ะ ฟังจากน้ำเสียงของเสิ่นซิวจิ่น ยังไงก็ไม่เหมือนว่าคุณท่านของพวกเขากำลังจะเสียชีวิตแล้ว

“เสิ่นซิวจิ่น เรื่องล้อเล่นแบบนี้ไม่สนุก”

เสิ่นซิวจิ่นหัวเราะอย่างเย็นชา มุ่งหน้าไปหา คนชุดขาวที่กำลังออกมาจากห้องฉุกเฉิน ถือของในมือ เดินกลับมาอีกครั้ง แววตาเย็นชา เอื้อมมือออกไปขวางคนชุดขาวที่โชคร้ายอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

“คุณหมอ คุณช่วยบอกคนในโทรศัพท์หน่อยว่า คุณปู่ของฉันอาการแย่มาก”

ก่อนหน้านี้มีพ่อบ้านเก่าคอยขัดจังหวะ ครั้งนี้ เสิ่นเอ้อรีบยืนขวางตรงหน้าพ่อบ้านเก่าไว้ด้วยสีหน้าที่ดุร้าย และแสดงท่าทางนักเลง“คุณกล้าขัดขวางก็ลองดู”

ครั้งนี้คนชุดขาวไม่มีคนคอยเตือนแล้ว แค่คิดว่าพ่อบ้านเก่าห้ามเขาพูดความจริง แล้วยังบอกใบ้เรื่องของเรา คนชุดขาวพูดตามเมื่อครู่อีกรอบ ครั้งนี้ ยังจงใจพูดให้อาการดูหนักยิ่งกว่าเดิม

เสิ่นซิวจิ่นเอาโทรศัพท์มาแนบที่หู “ไป๋ยู่สิงสถานการณ์ก็เป็นแบบนี้ คุณได้ยินแล้วใช่ไหม ฉันไม่ได้ล้อเล่นกับคุณ คุณหมอก็บอกแล้ว คุณปู่ของฉันอาการแย่มาก”

ระหว่างที่พูด ก็เตะเล่นคางของคุณหมอ คุณไปได้แล้ว

และหน้าแก่ๆของพ่อบ้านกดำเหมือนก้นหม้อแล้ว……..สถานการณ์ในตอนนี้ เป็นยังไงบ้าง

คิดถึงตรงนี้ พ่อบ้านเก่าโกรธจนอยากจะหักคอคนชุดขาวที่ไม่มีไหวพริบ

เปลือกตาของเสิ่นซิวจิ่นกระตุกอีกครั้ง ในใจเขารู้สึกกังวล ยิ่งอยู่ยิ่งมากขึ้น……..มองห้องฉุกเฉินหลายครั้ง อาการของคุณปู่ไม่ได้รุนแรงมาก ไม่ใช่คุณปู่…….แล้ว อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความกังวลใจ?

วินาทีต่อมา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที โทรศัพท์ในมือยังไม่ทันเก็บ ก็โทรกลับไปที่บ้าน “วันนี้คุณนายสบายดีไหม”

“คุณนายไปตระกูลเจี่ยนร่วมงานวันเกิดของคุณหญิงเจี่ยน”

เสิ่นซิวจิ่นขมวดคิ้ว “เรื่องสำคัญเช่นนี้ ทำไมคุณไม่บอกฉัน”

อีกฝ่ายของโทรศัพท์ พ่อบ้านหวังอึ้ง “คุณนายโทรหาท่านเพื่อขออนุญาตแล้วไม่ใช่หรือ?”

บูม!

ข้างหูระเบิดลง ใจเขาวุ่นวายสับสนมาก……..ไม่เคยรับสายของเธอเลย

เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้พูดเสริมอะไร ตัดสายการติดต่อของพ่อบ้านหวังทันที โทรหาไปที่เครื่องของเจี่ยนถง โทรศัพท์ไม่มีคนรับสาย

คิ้วของเขานูนขึ้นเป็นเนินเขา แล้วโทรไปที่ตระกูลเจี่ยนโทรศัพท์บ้านของตระกูลเจี่ยนไม่สามารถโทรติดได้ จึงต้องโทรไปที่มือถือของเจี่ยนเจิ้นตง

ไม่นาน สายก็เชื่อมต่อแล้ว “ประธานเสิ่น”

“เจี่ยนเจิ้นตงเจี่ยนถงอยู่กับคุณหรือไม่” เสิ่นซิวจิ่นไม่อยากเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว เสียเวลาคุยกับเจี่ยนเจิ้นตง สำหรับเขา ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือยืนยันความปลอดภัยของเจี่ยนถง

“เสี่ยวถง?” เจี่ยนเจิ้นตงถามด้วยความแปลกใจ “เสี่ยวถงมาที่นี่จริง แต่เพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้”

เสิ่นซิวจิ่นครุ่นคิด “ออกไปนานหรือยัง แล้วใครไปกับเธอ”

“ออกไปได้ไม่นาน ฉันขอดูเวลาก่อน…….อืม ประมาณสิบนาทีได้ คุณซูที่อยู่ข้างกายเสี่ยวถงเป็นคนขับรถ พาเสี่ยวถงออกไปด้วยกัน ……..ประธานเสิ่นเกิดอะไรขึ้น หรือว่า……หรือว่าเกิดเรื่องอะไรกับเสี่ยวถง?”

เจี่ยนเจิ้นตงยืนขึ้นด้วยความตกใจ ถามเสิ่นซิวจิ่นที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของโทรศัพท์

เล่ากันว่า ดวงตาสีดำของเสิ่นซิวจิ่นลึกเข้าไป พูดนำคอเบาๆ “อืม” กล่าวด้วยความเกรงใจ “ประธานเจี่ยน รบกวนแล้ว”

เสิ่นซิวจิ่นเพิ่งพูดจบ ตัดสายของเจี่ยนเจิ้นตง รีบโทรไปที่เบอร์โทรศัพท์ของซูเมิ่ง

หลังจากมีเสียงสายไม่ว่าง ก็มีเสียงของผู้หญิงที่อัดไว้ “สวัสดี เบอร์ที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้——”

สีหน้าเสิ่นซิวจิ่นน่ากลัวมาก ไม่เชื่อความโชคร้ายโทรไปใหม่อีกรอบ ผลลัพธ์ที่ส่งกลับมา เหมือนเมื่อครู่ไม่มีผิด

เนินระหว่างคิ้วลึกขึ้นเรื่อยๆ โทรศัพท์ของซูเมิ่งโทรไม่ติด

อาจจะเป็นเพียงเพราะว่าโทรศัพท์ของซูเมิ่งแบ็ตหมดเครื่องก็เลยดับไป แต่สถานการณ์เช่นนี้ ตั้งแต่ซูเมิ่งทำตามกับเขามา จนถึงปัจจุบันเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลย

จับโทรศัพท์ในมืออย่างแน่น หันหลังอย่างกะทันหันลมหายใจเย็นยะเยือกไปทั้งตัว พ่อบ้านผู้ใกล้ชิดท่านแก่เสิ่น “หมายความว่าอย่างไรคุณปู่”

เมื่อครู่ตอนเสิ่นซิวจิ่นคุยโทรศัพท์อยู่ข้างๆ พ่อบ้านเก่าก็ได้ยินบางส่วน ก็พอจะเดาได้ว่าเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้น

แต่……..

“ที่คุณชายพูดหมายความว่าอย่างไร?”พ่อบ้านเก่าถามด้วยความไม่เข้าใจ

เสิ่นซิวจิ่นหัวเราะเย็นชา “‘อาการป่วย’ของคุณปู่ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ”

สีหน้าพ่อบ้านเปลี่ยนไปทันที “คุณชาย ทำไมคุณถึงพูดจาไม่เคารพผู้ใหญ่เช่นนี้”

เสิ่นซิวจิ่นไม่อยากทะเลาะกับเขา หรี่ตาแล้วถาม “เธออยู่ไหน”

“ใครคือ‘เธอ’ที่คุณชายกล่าวถึง”

“ยังจะเสแสร้งอีกเหรอ” เสิ่นซิวจิ่นจ้องพ่อบ้านเก่าหลังค่อมตรงหน้าด้วยสายตาที่เย็นชา “พูด คุณปู่ทำอะไรกับเธอ”

“คุณชาย คุณเข้าใจคุณท่านผิดแล้ว คุณท่านเขากำลังรับการช่วยเหลือในห้องฉุกเฉิน……….”

“เหอๆ ช่างบังเอิญจริงๆ คุณท่านไม่สบาย เจี่ยนถงก็เกิดเรื่องทันที”

“ที่แท้คุณชายกำลังเป็นห่วงคุณเจี่ยนเหรอ คุณชายใจกว้าง เมื่อครู่ตอนที่คุณชายคุยโทรศัพท์ บ่าวได้ยิยโดยไม่ตั้งใจ ประธานเจี่ยนก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอ คุณเจี่ยนเพิ่งออกจากตระกูลเจี่ยนไป ตอนนี้คุณเจี่ยนอยู่ระหว่างทางกลับคฤหาสน์ คุณชายอย่าเพิ่งไปกังวล รออีกสักครู่ ไม่แน่คุณเจี่ยนอาจจะกลับไปแล้ว”

ความเย็นชาในดวงตาของเสิ่นซิวจิ่นยิ่งอยู่ยิ่งเพิ่มขึ้น “ฉันไม่มีเวลามารอกับคุณ คุณฟังให้ดีๆนะ คุณเจี่ยนที่คุณพูดถึง เจี่ยนถง เธอคือภรรยาของฉันเสิ่นซิวจิ่น ในใบสมรสเขียนไว้อย่างชัดเจน เป็นคุณผ็หญิงของตระกูลเสิ่น

อย่าให้ฉันได้ยินเรียก ‘คุณเจี่ยน’สามคำนี้อีก ไม่ว่าคุณปู่จะโปรดปรานคุณมากแค่ไหน คุณก็มีโอกาสที่จะถูกลอกชั้นผิวออกได้”

“ตอนนี้ คุณบอกฉันมา ภรรยาของฉัน เจี่ยนถง ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน อืม?” ซูเมิ่งติดตามเขามาตั้งนาน ไม่เคยมีสถานการณ์ปิดเครื่องเช่นนี้ นอกจากอยู่บนเครื่องบิน ซูเมิ่งก็รู้นิสัยของเขา ดังนั้นโทรศัพท์จะต้องเปิดเครื่องตลอดเวลา

แต่ครั้งนี้ โทรศัพท์ของซูเมิ่งปิดเครื่อง

เสี่ยวถงไม่เคยโทรหาเขา บอกว่าจะไปตระกูลเจี่ยน ปิดบังเขาไปตระกูลเจี่ยน ตอนนี้ซูเมิ่งที่ไปกับเธอก็ปิดเครื่อง

หากไม่มีอาการเลือดออกในสมองกะทันหันของคุณปู่อาการโคม่าต้องส่งโรงพยาบาลเพื่อช่วยชีวิตและเมื่อครู่ถ้าเขามองไม่ออกว่าคุณปู่แกล้งป่วย……เขาก็คงจะไม่โยงการเกิดเรื่องของเจี่ยนถงกับคุณปู่เข้าด้วยกัน

เจี่ยนถงเกิดเรื่อง ตระกูลเจี่ยน คุณปู่………เป็นเรื่องที่บังเอิญเกินไป

เกรงว่าตระกูลเจี่ยนน่าจะเลียแข้งเลียขาคุณปู่เรียบร้อยแล้ว

พ่อบ้านของตระกูลเสิ่นคนนี้ ตำแหน่งสูงกว่าพ่อบ้านเซี่ยหลายขั้น เมื่อก่อนเขาติดตามอยู่ข้างกายท่านแก่เสิ่นด้วยความจงรักภักดี ทำตามที่ท่านแก่เสิ่นสั่งทุกอย่าง และยังเป็นคนใกล้ชิดที่ท่านแก่เสิ่นเชื่อใจที่สุด แต่เขาก็ไม่เคยได้ยินว่าคุณท่านมีแผนการนี้ด้วย ใช้การเจ็บป่วย แล้วจัดการกับเจี่ยนถง……ในขณะนั้น เขารู้สึกหงุดหงิดในใจเมื่อคาดเดาอะไรบางอย่างได้

แต่ในเวลานี้ ไม่สามารถบอกสิ่งที่คาดเดาในใจกับเสิ่นซิวจิ่นที่อยู่ตรงหน้าได้

“คุณชาย บ่าวรับใช้คุณท่านมาทั้งชีวิต ตามหลักแล้ว ถ้าคุณท่านใช้สถานการณ์การเจ็บป่วย แล้วทำเรื่องลักพาตัวคุณ……คุณนายไปจริงๆ บ่าวก็ต้องรู้สิ” พ่อบ้านพูดเกลี้ยกล่อมด้วยเจตนาดี

“คุณชาย บ่าวขอสาบานกับคุณ ครั้งนี้คุณท่านไม่ได้ใช้สถานการณ์การเจ็บป่วยเพื่อทำอะไรกับคุณเจี่ยนจริงๆ”

เสิ่นซิวจิ่นมองพ่อบ้านเก่าที่อยู่ตรงหน้า สำหรับพ่อบ้านเก่าที่รับใช้อยู่ข้างกายคุณท่านมาโดยตลอด ก็สามารถพูดได้ว่า เห็นเสิ่นซิวจิ่นมาตั้งแต่เด็ก จากความเข้าใจของพ่อบ้านเก่าคนนี้ เสิ่นซิวจิ่นจะไม่คิดว่า พ่อบ้านเก่ากำลังโกหก

หึ…….ไม่เกี่ยวกับคุณปู่จริงๆเหรอ?

ดวงตาคู่นั้น เย็นชาและไม่แยแส ขนตายาวห้อยลงมาไตร่ตรองแล้ว ถ้าไม่ใช่คุณปู่……แล้วจะเป็นใคร?

กำหมัดแน่น……..ไม่ว่าจะเป็นใคร!

พ่อบ้านเก่าอยู่ตรงหน้าเสิ่นซิวจิ่น และในขณะนี้ ใบหน้าของเขาปกคลุมไปด้วยรอยย่น เต็มไปด้วยความสยองขวัญ

พ่อบ้านเก่าหายใจเข้าด้วยลมหายใจที่เย็น ……ในความทรงจำ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าในตอนนี้ ตัวเองก็ไม่ได้เห็นมานานแล้ว

“คุณชาย ท่านจะทำอะไร”

พ่อบ้านเก่าเดินเข้าไป ขวางเสิ่นซิวจิ่นที่หันหลังแล้วออกไป

“ถอยไป”

“คุณชาย อย่าหุนหันพลันแล่น” ไม่ได้นะ ต้องไม่ปล่อยให้คุณชายออกไปในอารมณ์เช่นนี้ มิเช่นนั้น คุณชายอาจจะทำอะไรลงไปบ้าง ไม่มีใครรู้ได้

พ่อบ้านเก่าวิตกกังวลมาก

“เหอ~คนที่หายตัวไปเป็นภรรยาของฉัน คุณจะให้ฉันใจเย็นลงได้อย่างไร คุณหลบไป คุณก็เป็นคนเก่าแก่ของตระกูลเสิ่น ฉันไม่อยากทำร้ายคุณ” ชายผู้นั้นสีหน้าเย็นชา เยือกเย็นด้วยวิญญาณร้าย ส่ายหน้าเล็กน้อย นัยน์ตาเย็นชาพ่อบ้านเก่าชะงักไปชั่วครู่

“เสิ่นเอ้อ ดึงเขาหลบไป”

เสิ่นเอ้อรีบเดินไปด้านหน้า พ่อบ้านเก่าขวางเสิ่นซิวจิ่นไว้ไม่ได้ และถูกเสิ่นเอ้อดึงออกได้อย่างง่ายดายเขาผ่านลมผ่านฝนมาหลายสิบปีแล้วเข้าใจดีว่าตอนนี้ต้องทำอะไร

จะให้คุณชายออกไปตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด………ดวงตาของพ่อบ้านเก่าเป็นประกาย และไม่ไล่ตามเสิ่นซิวจิ่นแล้ว ขยับเท้า วิ่งไปที่ประตูฉุกเฉินด้วยความเร็วราวกับบิน

“จับเขาไว้” เสิ่นซิวจิ่นตะโกนด้วยสีหน้าที่เย็นชา เสิ่นเอ้อเห็นและมือไวมาก คว้าพ่อบ้านเก่าจากด้านหลัง “ขอโทษด้วย กะทันหันเกินไป มืออาจจะหนักไป” เสิ่นเอ้อกล่าวกับพ่อบ้านเก่าด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก

เสิ่นซิวจิ่นเหลือบมองพ่อบ้านเก่า แล้วมองที่หน้าของเสิ่นเอ้อ “ดูเขาไปไว้” ดวงตาค่อยๆมองไปที่ประตูฉุกเฉิน ดวงตาสีเข้มหรี่ลง ริมฝีปากบางกล่าวออกมาว่า “ยังมี…….ประตูนั่น” เขายังไม่หายสงสัยชายชราที่นอนอยู่ในห้องหลังประตูบานนั้น

พ่อบ้านเก่าเข้าใจทันที เบิกตากว้าง “คุณชาย คุณอย่านะ” มองเขา แล้วก็มองไปที่ประตูที่คุณท่านอยู่…….นั่นไม่ใช่การติดคุกเหรอ?

เขาจ้องไปที่ด้านหลังที่จากไปอย่างเร่งรีบด้วยความตกใจไม่อยากเชื่อเลย

“เสิ่นเอ้อ คุณปล่อยมือ รีบไปขวางคุณชายไว้ คุณท่านไม่ยอมให้คุณชายทำอะไรที่มีผลต่อชื่อเสียงของตระกูลเสิ่นแน่นอน” พ่อบ้านเก่าเป็นกังวลมาก แต่เสิ่นเอ้อก็ไม่เคลื่อนไหวใดๆ พ่อบ้านเก่าตะโกนเสียงดังด้วยความกังวล “รีบไปสิ ทำไมคุณจับฉันไว้แน่นขนาดนี้”

“ขอโทษด้วย ถึงแม้ท่านจะเป็นผู้อาวุโสกว่า แต่ทุกคนก็ทำตามเจ้านายของตัวเอง” ในคำพูดหมายถึง เขาฟังแค่คำสั่งของเสิ่นซิวจิ่น

“คุณ นี่คุณกำลังทำร้ายคุณชายอยู่นะ!”

“Bossเขามีแผนการของเขา”

……

เสิ่นเอ้อจับตาดูท่านแก่เสิ่นกับคนข้างกายของคุณท่านอย่างใกล้ชิดโทรศัพท์ของพ่อบ้านเก่าตกลงพื้นโดย“ไม่ระวัง”

ทางด้านนี้ เสิ่นซิวจิ่นวิตกกังวลติดต่อคนที่เขารู้จักที่สามารถช่วยเขาได้ เพื่อไปตามหาเจี่ยนถง

ความจริงในใจก็เข้าใจดี ผู้หญิงคนนั้น น่าจะเกิดเรื่องกับเธอแล้ว แต่ก็ยังหวังว่าทุกอย่างจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด ดังนั้นระหว่างทาง ระหว่างที่ติดต่อประสานให้ทุกคนช่วยตามหาคน อีกด้านหนึ่งโทรกลับไปที่บ้านทุกห้านาที เพื่อถามพ่อบ้านหวัง ผู้หญิงคนนั้นกลับบ้านหรือยัง…….ถึงแม้จะรู้ว่าถ้าผู้หญิงคนนั้นกลับถึงบ้านแล้ว พ่อบ้านหวังจะต้องรายงานกับตัวเองทันที

เปลือกตาซ้ายยิ่งสว่างยิ่งคม ความตื่นตระหนกในใจ เป็นความรู้สึกที่เขาเสิ่นซิวจิ่นอยู่มาถึงวัยนี้ ไม่เคยมีมาก่อน

ผู้ชายในรถ คิ้วถูกบิดเป็นเกลียว

รถของเขาวิ่งบนถนนราวกับบิน และทิศทางที่ไป ก็คือตระกูลเจี่ยน

หน้าประตูตระกูลเจี่ยนมีเสียงเบรกรถอย่างกะทันหันเสียงเครื่องยนต์ดัง และดังขึ้นอีกครั้ง

“เสียงเบิ้ลรถเสียงดัง”

เสียงนี้ ทำให้คุณหญิงเจี่ยนที่กำลังดื่มชาอยู่ใจสั่นกะทันหัน แก้วในมือ “เสียงแก้วแตก” ตกลงพื้น แตกเป็นเสี่ยงๆ

“นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

และเจี่ยนเจิ้นตงที่กำลังอยู่ระหว่างทางไปห้องหนังสือ ก็ถูกเสียงที่ดังนี้ ทำให้ตกใจอย่างแรง ลุกขึ้นยืนอย่างเร่งรีบ เดินไปตรงหน้าต่าง มองลงไปด้านล่าง……..วินาทีถัดมา ผิวหน้าตึง

รถของเสิ่นซิวจิ่น

ช่วงเวลานี้ ในใจของเจี่ยนเจิ้นตง มีการเดาไปต่างๆนานามากมาย………เขามาทำไม”

เสิ่นซิวจิ่นต้องอยู่ที่โรงพยาบาล ดูแลท่านแก่เสิ่นสิ

หรือว่าเขามาเพื่อ………

การเดาต่างๆนานา เขาไม่กล้าที่จะก้าวออกจากประตูห้องหนังสือด้วยความช้า รีบลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว

“เจี่ยนเจิ้นตงเจี่ยนถงอยู่ไหน”

เจี่ยนเจิ้นตงพูดอย่างแข็งๆ “เสี่ยวถงกลับไปแล้ว………..”

“ฉันไม่ได้มาเพื่อฟังเรื่องไร้สาระของคุณ”

“ฉัน…….ฉันไม่รู้จริงๆ เสี่ยวถงเธอไม่ได้กลับไปเหรอ แต่ว่าคุณซูเป็นคนไปส่งเสี่ยวถงด้วยตัวเองนะ ประธานเสิ่น เป็นไปได้ไหมว่าเด็กสาวสองคนห่วงเที่ยว ไปเดินช๊อปปิ้งอยู่ไหนหรือเปล่า”

……

ในตระกูลเจี่ยนเจี่ยนเจิ้นตงเหมือนศัตรูตัวฉกาจเจี่ยนถงในโกดังเก่าแห่งหนึ่ง ถูกปลุกด้วยน้ำเย็นหนึ่งกะละมัง

บนหัวมีตะเกียงหลอดไส้เก่าอยู่หนึ่งหลอด เป็นหลอดไฟแบบเก่าที่หลายคนใช้ในยุค80 และยุค90

ตื่นมาช้าๆ ตอนลืมตา ถูกแสงไฟหลอดเก่านี้ส่องตา เธอยกมือเพื่ออยากจะบังแสงไฟ แต่ขยับไม่ได้ หรี่ตามองไป เพิ่งรู้ว่าถูกมัดตัวติดกับเก้าอี้อยู่ มือถูกมัดอยู่หลังเก้าอี้

“คุณตื่นแล้วเหรอ”

มีเสียงดังขึ้นทันใด

เจี่ยนถงมองไป ตอนเห็นร่างคนคนนั้น ไม่รู้ว่าเป็นการยิ้มแบบเยาะเย้ย หรือเป็นการฝืนยิ้ม เธอหัวเราะเบาๆหนึ่งครั้ง

“คุณยังกล้าหัวเราะอีกเหรอ”

เผชิญหน้ากับคนร้ายที่ลักพาตัวปฏิกิริยาของเจี่ยนถงแต่มันเป็นความนิ่งที่คาดไม่ถึงเมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่กำลังโกรธ

และความยิ่งของเธอ กลับทำให้คนที่อยู่ตรงหน้าอดไม่ไหว

“หญิงสารเลว แกยังกล้าหัวเราะ!แกยังกล้าหัวเราะ!ไอ้ฆาตกร หญิงสารเลวที่จิตใจชั่วร้าย”

น้ำเสียงนั้นยิ่งโกรธและตะโกนด่าว่า “ตอนนั้นถ้าไม่ใช่คุณเวยเหมิงของฉันจะตายตั้งแต่อายุยังน้อยได้อย่างไร

ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ เวยเหมิงจะมัวหมองเพราะเดรัจฉานพวกนั้นได้อย่างไร ทั้งหมดเป็นเพราะคุณ เพราะผู้หญิงที่จิตใจชั่วร้ายอย่างคุณ”

เจี่ยนถงถูกมัดนั่งอยู่บนเก้าอี้ขาหักครึ่งตัว จ้องมองชายชราตรงหน้าที่กำลังต่อว่าโดยไม่พูดอะไร

“เสียดายที่เวยเหมิงยังเป็นเพื่อนรักกับคุณ เสียดายที่เวยเหมิงคิดว่าคุณเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด แล้วคุณล่ะ คุณทำอะไรบ้าง ฮะ!”

ความโกรธของชายชราต่อว่าและเขย่าตัวของเจี่ยนถงที่ถูกมัดบนเก้าอี้ นัยน์ตาแก่ๆเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

เจี่ยนถงทนฟังชายชราด่าว่าสาปแช่ง จนกระทั่งชายชราพูดออกมาว่า “เวยเหมิงคิดว่าคุณเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด” ……..จึงทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

“หลายปีที่ผ่านมา ฉันก็คิดอย่างนั้นมาโดยตลอด เซี่ยเวยเหมิงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน เซี่ยเวยเหมิงให้ฉันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ” สายตาที่โกรธของชายชราจ้องไปที่ผู้หญิงที่ถูกมัดไว้บนเก้าอี้ที่กำลังหัวเราะอย่างไม่มีเสียง เขารู้สึกเหมือนถูกวางยาพิษ

ความมืดมิดแผ่ซ่าน……..”ผลัวะ”

“แกยังกล้าหัวเราะ แกยังมีหน้ามาหัวเราะ”

การตบครั้งนี้ ทำให้หน้าของเจี่ยนถงเบี้ยวไปครึ่งหน้าและคอของเธอบิดตาม ครึ่งหนึ่งพิงเก้าอี้ เธอไม่ได้ขยับ แค่ตัวเอนเอียงไปทางเก้าอี้ ถึงแม้ว่ามุมปากเจ็บเพราะโดนตบ ดูเหมือนเธอจะไม่ทันสังเกตเปิดปากพูดเบาๆว่า

“พ่อบ้านเซี่ย คุณคิดว่าฉันเป็นคนโง่เหรอ หรือว่าคุณคิดว่า ระยะเวลาสามปีในคุก ยังไม่เพียงพอสำหรับให้ฉันเข้าใจในเรื่องนั้นเหรอ” หัวของเธอค่อยๆหันกลับมาด้านหน้า ทันใดนั้นสายตาก็จ้องมองใบหน้าที่น่าสะพรึงกลัวของชายชราที่อยู่ข้างหน้า

“ใครกันแน่ ที่วางแผนทำร้ายใคร ใครกันแน่ ที่มีเจตนาที่ไม่ดี แล้วใครกันแน่ ขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวสารอีกกำมือให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว”

เธอพูดอย่างช้าๆ ทีละคำ พูดอย่างชัดเจน ถึงแม้ว่ามุมปากจะแตกเพราะถูกตบ แต่พยายามพูดให้ชัดเจน และชัดเจนทุกถ้อยคำ

มีเพียงชัดเจนทุกถ้อยคำ บัญชีเก่าระหว่างเธอกับเซี่ยเวยเหมิง จึงจะคิดกันได้อย่างชัดเจน ……..นี่ก็เช่นกัน หลังผ่านไปหลายปี ข้อกล่าวหาของเธอต่ออาชญากรรมของเซี่ยเวยเหมิง

จะไม่ชัดเจน……..ได้อย่างไร

จากคนที่ไม่เคยขาดสิ่งใดตอนยืนอยู่บนยอดพิรามิดตกลงไปในบ่อโคลน ถึงได้เข้าใจ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่คนอื่นอาจไม่สนใจ แต่ตัวเองกลับแคร์มันมาก ถึงได้เข้าใจ นั่นคือสิ่งที่ตัวเองพยายามยืนหยัด และแคร์

“คุณ……” ในใจของพ่อบ้านเซี่ยมีเสียงสะอึก “กึกๆ” ใจเต้นแรงไปชั่วขณะ มองคนที่ถูกมัดบนเก้าอี้ ในสายตาแก่ๆ แววตาแห่งความสงสัยก็บังเกิด……..เธอ รู้แล้วเหรอ?

ไม่!

เป็นไปได้อย่างไร

ถ้าเธอรู้แล้ว ทำไมตอนออกจากคุกมาไม่รีบมาตามหาที่คฤหาสน์ของตระกูลเสิ่น?

ถ้าเธอรู้อะไรบางอย่างจริงๆแล้วทำไมก่อนหน้านี้ถึงอยู่ที่คฤหาสน์ของตระกูลเสิ่นสำหรับเขาที่ปฏิบัติต่อเธออย่างดุดันและรุนแรงเหล่านั้น เธอจะไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรเลยเหรอ?

ไม่มีทางที่เธอจะรู้

ถ้า ถ้าเธอรู้จริงๆ ทำไมเธอยังสามารถทำเหมือนไม่แคร์อะไร และไม่พูดอะไรเลย

เจี่ยนถงดูเหมือนจะไม่เห็นความตกใจของชายชราที่อยู่ตรงหน้า หรือจะบอกว่า เธอไม่สนใจว่าชายชราจะตกใจหรือเป็นอะไร เธอไม่สนใจว่าคนคนนี้จะคิดอะไร เพียงแค่พูดคำต่อคำ พลางมองดูหลอดไฟที่อยู่เหนือศีรษะ เหมือนกำลังรำลึกความหลัง

“พ่อบ้านเซี่ย คุณจำได้ไหม เมื่อตอนเด็กๆ ฉันกับเวยเหมิงนั่งเล่นด้วยกันที่สวนดอกไม้ใน พวกเราสองคนนั่งหลังพิงหลังอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่สุดในสวน แม้ว่าจะไม่ได้พูดคุยกัน ทั้งสองคนต่างถือหนังสือคนละเล่ม ก็สามารถนั่งอยู่ด้วยกันได้เป็นวัน

ตอนคุณปู่ของฉันยังมีชีวิตอยู่เข้มงวดกับฉันมาก สิ่งที่ต้องเรียน มากกว่าคนในวัยเดียวกัน จะเที่ยงคืนแล้วก็ยังเรียนอยู่เป็นเช่นนี้ประจำ จริงๆแล้ว เวลาพักผ่อนมีจำกัดมากแต่เมื่อมีเวลาว่าง ฉันก็จะไปที่คฤหาสน์ของตระกูลเสิ่นเสิ่นซิวจิ่นไม่ค่อยสนใจฉัน ในหลายๆครั้ง กลับเป็นเวยเหมิงที่ใช้เวลาอยู่กับฉันมากกว่า”

“คุณว่าสิ่งเหล่านี้มันหมายความว่าอย่างไร” พ่อบ้านเซี่ยสีหน้าสงสัยและตื่นตัว “คุณคงไม่คิดว่าการใช้ความสัมพันธ์ในตอนนี้จะช่วยอะไรได้ใช่ไหม”

สายตาของเจี่ยนถง ในที่สุดก็เปลี่ยนจากหลอดไฟไปที่พ่อบ้านเก่า นั่งจ้องหลอดไฟเป็นเวลานาน จู่ๆก็มองไปที่พ่อบ้านเซี่ย จริงๆแล้วก็มองเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่……นี่ เป็นความตั้งใจของเธอ——ใครอยากเห็นหน้าชายชราที่น่ารังเกียจตรงหน้าอย่างชัดเจนล่ะ

“ฉันหมายถึง พวกเราที่โตด้วยกันมาเช่นนี้ ฉันไม่คิดว่า เวยเหมิงจะเป็นคนที่สามารถฆ่าตัวตายได้”

“เวยเหมิงฆ่าตัวตาย นั่นไม่ใช่เพราะถูกคุณทำร้ายและเหยียบย่ำทำลายเธอไม่ใช่เหรอ”

พ่อบ้านเซี่ยกัดทั้งสองด้านของกระดูกขากรรไกรของใบหน้าอย่างแน่น

เจี่ยนถงหัวเราะเบาๆ ส่ายหน้า แค่รู้สึกว่ามันไร้สาระ “ฉันรู้ทุกอย่าง เหตุการณ์ในคืนนั้น ฉันไม่ได้ทำร้ายเธอ

ใครเป็นคนทำร้ายใคร ฉันรู้ทุกอย่าง พ่อบ้านเซี่ย…….คุณสามารถบอกฉันได้ไหม เวยเหมิงตายอย่างไรกันแน่”

“คุณ……คุณ…….พูดเรื่องไร้สาระอะไร ถ้าคุณไม่ได้ทำ แล้วใครทำ คุณนั่นล่ะเป็นคนทำให้เวยเหมิงต้องตาย”

เธอรู้สึกปวดตาเล็กน้อย บางทีน่าจะเกี่ยวกับ……. ที่เธอจ้องมองหลอดอยู่ตลอด

“พ่อบ้านเซี่ย ตอนนี้ฉัน ถูกมัดไว้ ฉันคือปลาส่วนคุณเป็นมีด และคุณน่าจะไม่อยากให้ฉันมีชีวิตอยู่ต่อไปใช่หรือไม่” มิฉะนั้น ถ้าเกิดเรื่องกับเธอ คนคนนั้นไม่ช้าก็เร็วจะต้องสืบมาถึงตัวพ่อบ้านเซี่ยแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น พ่อบ้านเซี่ยคงจะไม่มีทางรอดแล้วมั่ง

เธอมองชายชราคนนั้นที่อยู่ตรงหน้า “ลุงเซี่ย” ไม่ง่ายเลย ผ่านมาหลายปี เธอเรียก “ลุงเซี่ย” อีกครั้ง

เธอบอกว่า “ลุงเซี่ย ในเมื่อคุณก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว และคุณก็คงไม่ปล่อยให้ฉันมีชีวิตอยู่ต่อเช่นกัน ในเมื่อพวกเรากำลังจะตายแล้ว

คุณก็บอกฉันเถอะ เวยเหมิงตายยังไงกันแน่” เธอเชื่อว่า เวยเหมิงจะไม่มีทางฆ่าตัวตาย

คนที่อดทนมาตั้งหลายปี แสดงละครต่อหน้าทุกคน คนที่วางแผนทำร้ายคนอื่นแม้จะต้องตาย แล้วจะฆ่าตัวตายง่าย ๆ ได้อย่างไร

“เวยเหมิงฆ่าตัวตาย เพราะถูกคุณทำร้ายจนต้องฆ่าตัวตาย” หน้าแก่ๆของพ่อบ้านเซี่ย จู่ๆก็หน้าดำคล้ำ

“เซี่ยเวยเหมิงไม่มีทางฆ่าตัวตาย”

“เธอฆ่าตัวตาย!”

“เธอไม่ได้ฆ่าตัวตาย!”

“ใช่ เธอฆ่าตัวตาย!”

“เป็นไปไม่ได้”

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ เธอฆ่าตัวตาย ”

ทั้งสองคนต่างไม่ยอม เจี่ยนถงยืนกรานว่าเซี่ยเวยเหมิงไม่มีทางฆ่าตัวตาย

และพ่อบ้านเซี่ยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห

“เธอไม่ใช่!”

“เธอไม่ได้ฆ่าตัวตายแล้วจะทำไม” พ่อบ้านเซี่ยตะโกนออกมาด้วยความโมโห ตาแดง แก้มสองข้างบุ๋มไปแล้ว หน้าแดงผิดปกติ

ตะโกนสุดเสียง “ถึงแม้จะบอกคุณว่า ฉันเป็นคนลงมือฆ่าเธอเองแล้วจะทำไม”

บูม!

ข้างหูเหมือนเสียงฟ้าผ่า เหมือนเวลาหยุดเดินอย่างกะทันหัน

แต่เสียงของพ่อบ้านเซี่ยจู่ๆก็หยุดอย่างกะทันหันเช่นกัน

หน้าแก่ของพ่อบ้านเซี่ยแดง ขาว ม่วงสลับกัน คาดเดาไม่ได้เหมือนจานสี

“คุณเป็นคน……..ฆ่า……..เซี่ยเวยเหมิง?” เจี่ยนถงตกใจ ไม่อยากเชื่อเลย “ทำ ทำ…….ไม”

เธอไม่เข้าใจ ชายชราที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่พ่อบังเกิดเกล้าของเซี่ยเวยเหมิงเหรอ

เขาทำไมถึงฆ่าลูกสาวของตัวเองได้ลง

พ่อบ้านเซี่ยหน้าดำคร่ำเครียด……..สายตาจ้องไปที่เจี่ยนถง คำพูดที่พูดออกไป น้ำที่สาดออกไป คิดจะเอากลับคืน ยากมาก

มองหน้าเจี่ยนถงที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงใบหน้าแก่ของเขาก็สงบลง

เจี่ยนถงจ้องชายชราที่อยู่ตรงหน้าอย่างช็อก……คิดยังไงก็คิดไม่ออก บนโลกนี้ ทำไมยังมีพ่อที่สามารถลงมือฆ่าลูกสาวแท้ๆของตัวเองได้ แม้แต่เจี่ยนเจิ้นตง ที่ไม่เคยสนใจความเป็นความตายของตัวเอง เจี่ยนเจิ้นตงก็ไม่เคยลงมือทำเรื่องที่ผิดศีลธรรมเช่นนี้มาก่อน

“ทำไมคุณถึงทำได้ลงคอ” เธอต่อว่า ……แม้ว่าระหว่างเธอกับเซี่ยเวยเหมิง จะโกรธแค้นกันมาก แต่ เรื่องพ่อฆ่าลูก ถ้าพูดออกไปก็เป็นเรื่องใหญ่ที่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน วันนี้หลังจากที่เธอได้ยิน แต่จะไม่ให้รู้สึกเศร้าใจได้อย่างไร

“ทำไม?” เธอมองพ่อบ้านเซี่ย “ทำไม ทำไมคุณถึงทำเรื่องแบบนี้ได้ หรือว่าคุณไม่กลัวฟ้าผ่าตายเหรอ”

เธอไม่ได้ทำเพื่อขอความยุติธรรมให้กับเซี่ยเวยเหมิง แต่ผ่านอุปสรรคในใจไม่ได้ ก่อนอายุยี่สิบปี เธอได้เห็นความเจริญและความสุขสบาย หลังอายุยี่สิบปี เธอได้สัมผัสกับชีวิตที่ตายทั้งเป็น ตกต่ำสุดๆ

ทั้งดีและไม่ดี เธอเคยสัมผัสมาหมดแล้ว

เคยคิดว่า บนโลกนี้ มีอะไรที่แย่ไปกว่าเรื่องเหล่านี้อีก ที่สามารถทำให้เธอตกใจได้ และวันนี้ มีคนยืนอยู่ตรงหน้าเธอ บอกเธอโดยไม่สะทกสะท้าน ฉัน ฆ่าลูกสาวฉันเองกับมือ แล้วโยนความผิดให้คุณ

ไม่ได้ทำเพื่อขอความยุติธรรมให้เซี่ยเวยเหมิง

แต่เพื่อตัวเธอเองที่ต้องจำคุกสามปี เธอต้องรู้ความจริงให้ได้…….ว่าทำไม!

แล้วมีเหตุผลอะไร ทำให้พ่อคนหนึ่ง ต้องลงมือกับลูกสาวแท้ๆของตัวเอง……..เธอจะไม่คิดไปเองว่า ที่พ่อบ้านเซี่ยทำเช่นนี้ เพียงแค่อยากจะทำร้ายเธอ…….มันไม่สมเหตุสมผล

“ทำไม” พ่อบ้านเซี่ยหัวเราะอย่างแดกดัน “อยากรู้ว่าทำไม รอคุณลงนรกแล้ว ไปถามยมบาลสิ” ขรธที่พูด ก็หรี่ตาแก่ๆลง เจี่ยนถงเห็นชัดเจนในสายตาแก่ๆที่ตื่นตระหนกนี้เห็นเจตนาฆ่าที่รุนแรงจู่ๆในใจก็ดัง “กึกๆ” คนคนนี้กำลังจะลงมือกับเธอแล้ว

“เดี๋ยวก่อน” เธอตะโกนด้วยความวิตกกังวลด้วยน้ำเสียงที่หยาบกร้าน “ลุงเซี่ย ไม่ว่าคุณคิดจะทำอะไร คุณรอก่อน ฉัน…….จะขอแลกเปลี่ยนความลับของเวยเหมิงกับคุณ เงื่อนไขคือ คุณต้องบอกฉันว่า ทำไมคุณถึงทำแบบนี้”

ในใจของเธอสับสนวุ่นวายมาก ทั้งๆที่รู้ วันนี้ไม่มีทางหนีออกไปได้ แต่ก็ไม่ตายใจที่จะตายเป็นผีที่ไม่รู้ความจริง

“ลุงเซี่ย คุณก็ต้องให้ฉันตายโดยรู้ความจริง ในตอนนั้น ทำไมคุณถึงลงมือกับเซี่ยเวยเหมิง ลูกสาวแท้ๆของคุณ……คุณคงไม่ได้ทำเพราะแค่อยากทำร้ายฉันใช่ไหม

เรื่องในตอนนั้น ไม่ว่าคุณจะทำด้วยเหตุผลอะไร แต่ฉันติดคุกมาสามปีเต็ม อย่างน้อยคุณก็บอกเหตุผลให้ฉันรู้ก่อนฉันตาย”

บนโลกนี้มีโลกมนุษย์และนรก แต่หลังจากที่คนตายแล้ว จะมีนรกสิบแปดขุมหรือไม่……..ก็ไม่มีใครสามารถบอกได้

ตอนมีชีวิต ยังมีปัญหาที่ไม่สามารถกระจ่างได้ รอหลังตายแล้วไปถามยมบาล?

พ่อบ้านเซี่ยกำลังจะลงมือ แต่หลังจากได้ยินเจี่ยนถงพูดจากใจจริง ในดวงตาแก่ๆของเขาก็แสดงการคิดพิจารณา

สำหรับความลับของเวยเหมิงที่เจี่ยนถงเกริ่นออกมา พ่อบ้านเซี่ย…….มีความหวั่นไหวเล็กน้อย

“ตกลง คุณพูด แต่คำพูดที่น่าเกลียดของฉันขอจะเตือนคุณล่วงหน้า ถ้าคุณสร้างเรื่องไร้สาระขึ้นมาเป็นความลับของเวยเหมิง แล้วอย่ามาโทษฉันที่ไม่รักษาสัญญาแล้วกัน”

เจี่ยนถงรีบพยักหน้า

“มีครั้งหนึ่งเวยเหมิงร้องไห้จนตาแดง บอกกับฉันว่า ลุงเซี่ยไม่ชอบเธอเพราะเธอไม่ใช่เด็กผู้ชาย คุณรู้สึกว่าเธอทำให้คุณขายขี้หน้า คุณมีลูกชายนอกสมรสอยู่ข้างนอกหนึ่งคน แต่ต่อมาเด็กผู้ชายคนนั้นถูกรถชนเสียชีวิต เธอร้องไห้อยู่นาน เธอบอกว่า ถึงแม้คุณจะไม่ชอบเธอ แต่คนที่ถูกชนเสียชีวิตก็เป็นน้องชายของเธอ แต่คุณไม่ยอมให้เธอเจอน้องชายของเธอแม้แต่ตอนเสียชีวิต เธอเสียใจมาก”

พ่อบ้านเซี่ยมีลูกชายนอกสมรส…….เรื่องนี้ ก็น่าจะนับเป็นความลับนะ

เจี่ยนถงคิดว่าพ่อบ้านเซี่ยจะไม่ยอมรับ แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงคือ หลังจากที่เธอพูดเรื่องนี้จบ ทันใดนั้นพ่อบ้านเซี่ยก็อารมณ์ระเบิดขึ้น

“เธอเสียใจ?เธอจะเสียใจทำไม เธอเป็นคนจ้างคนไปชนเลี่ยงเลี่ยงตาย” ทันใดนั้นพ่อบ้านเซี่ยก็อารมณ์ระเบิดขึ้น

“เธอชนเลี่ยงเลี่ยงเสียชีวิตแล้ว ยังไปร้องห่มร้องไห้กับคุณ” ทันใดนั้น พ่อบ้านเซี่ยจ้องเจี่ยนถงด้วยสายตาที่แปลกๆ

“ใช่ คุณพูดถูก เธอไม่ได้ฆ่าตัวตาย คนอย่างเธอทำร้ายได้แม้แต่น้องชายแท้ๆของตัวเอง จะฆ่าตัวตายได้อย่างไร คุณอยากรู้ใช่ไหมว่าจริงๆแล้วเธอตายยังไง ฉันเอง ฉันใช้หมอนอุดจมูกเธอจนตาย”

เจี่ยนถงในใจสับสนวุ่นวายมาก…….มองชายชราตรงหน้าบรรยายทุกรายละเอียดอย่างบ้าคลั่งเขาค่อยๆฆ่าลูกสาวตัวเองตายอย่างไร เธอรู้สึกว่า……พ่อบ้านเซี่ยเป็นบ้าไปแล้ว

หลังจากที่พ่อบ้านเซี่ยเล่ารายละเอียดจนจบแล้ว แล้วก็หัวเราะคิกคัก จ้องมองเจี่ยนถง

“หลังจากเธอตาย ฉันก็สร้างสถานการณ์เหมือนเธอฆ่าตัวตาย ฉันมองดูเธอดิ้นรนจนหมดลมหายใจเฮือกสุดท้าย สุดท้ายก็ไม่ขยับ ก็นึกถึงเลี่ยงเลี่ยงตอนถูกรถลากไปไกลมากกว่าสิบเมตรในอุบัติเหตุและยังไม่หมดลมหายใจสภาพน่าสยดสยองเหมือนปลาขาดน้ำอยู่บนพื้นดิน ฉันมีความสุขมาก ในที่สุดฉันก็แก้แค้นให้เลี่ยงเลี่ยงได้สำเร็จแล้ว”

เจี่ยนถงมองชายชราที่บ้าคลั่งตรงหน้าอย่างตกใจ …….. “คุณบ้าไปแล้ว นั่นก็เป็นลูกสาวของคุณ พวกคุณทั้งครอบครัวบ้าไปแล้ว”

เซี่ยเวยเหมิงฆ่าลูกนอกสมรสของพ่อบ้านเซี่ยที่อยู่ข้างนอก พ่อบ้านเซี่ยใช้โอกาสฆ่าเซี่ยเวยเหมิงคนในครอบครัวนี้ล้วนเป็นโรคประสาท

แต่โรคประสาทของครอบครัวนี้ ยังวางแผนรากเธอเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

“ฉันไม่สามารถสืบทอดวงศ์ตระกูลได้หากไม่มีลูกชาย ในที่สุดลูกสาวก็ต้องแต่งออกไป ลูกสาวที่แต่งออกไปเหมือนน้ำที่สาดออกไป ไม่ง่ายเลยกว่าฉันจะมีคนสืบตระกูลอยู่ด้านนอกได้ เลี้ยงมาสิบสองสิบสามปี แต่ถูกไอ้เวรนั่นฆ่าตาย”

“ถ้าเช่นนั้นคุณก็ควรถนอมลูกสาวคนเดียวที่เหลืออยู่สิ” แทนที่จะทำเรื่องที่น่ากลัวเช่นนั้น

“ลูกสาว?เหอๆๆ……ลูกสาว?” พ่อบ้านเซี่ยพูด “ลูกสาว” สองครั้งติดๆ เป็นปฏิกิริยาที่ไม่สามารถบรรยายได้เจี่ยนถงบอกไม่ถูกว่าปฏิกิริยาแปลกๆเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร

เพียงแค่ได้ยินเสียงของพ่อบ้านเซี่ยพูด

“ตอนนั้น หลังจากที่ภรรยาของฉันให้กำเนิด ฉันก็ไปดู ฉันได้อุ้มลูกของฉัน ฉันเห็นไฝที่กลางเท้าขวาของลูกอย่างชัดเจน เมื่อภรรยาของฉันพร้อมจะออกจากโรงพยาบาล หลังจากที่ฉันทำเรื่องออกโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว แล้วฉันก็อุ้มลูกของฉัน ฉันก็เห็นชัดเจนว่า ฝ่าเท้าขวาของเด็กคนนั้นไม่มีไฝที่กลางเท้า สะอาดสะอ้าน”

ขณะที่พ่อบ้านเซี่ยพูด “เวยเหมิงไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆของฉันเลย”

บูม!

เสียงระเบิดๆข้างหูเจี่ยนถง

แต่ละคำพูดพ่อบ้านเซี่ยมันระเบิดจนไม่มีเวลาคิด

เธออารมณ์ซึมไปสักพัก ไม่มีสติ……..เซี่ยเวยเหมิง……ไม่ใช่ลูกสาวของพ่อบ้านเซี่ย…….แต่…….

แต่……มือที่ถูกมัดไว้หลังเก้าอี้ของเธอ สั่นอย่างรุนแรง สั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เล็บของเธอจิกแน่นอยู่ในฝ่ามือของเธอเลือดอุ่นค่อยๆเอ่อล้นฝ่ามือทั้งสองข้าง ไหลตามฝ่ามือ หยดลงบนพื้นคอนกรีตทีละหยด

เจี่ยนถงยังไม่ทันจะแยกแยะสิ่งเหล่านี้พ่อบ้านเซี่ยแล้วจ้องเธออยู่ตรงหน้าอย่างสยดสยอง

“แม้เซี่ยเวยเหมิงจะไม่ดียังไง ฉันก็เลี้ยงเธอมาหลายสิบปีแล้ว ถึงเป็นหมาเป็นแมวก็ต้องมีความรู้สึกบ้าง เจี่ยนถง สุดท้ายก็เป็นเพราะคุณ ถ้าคุณมาตามสัญญาในวันนั้น ถ้าวันนั้นเวยเหมิงไม่ได้แบกรับความรุนแรงและความอัปยศอดสูจากเดรัจฉานพวกนั้นแทนคุณ ถ้าฉันไม่เห็นสภาพที่น่าอับอายของเธอที่ถูกทำลาย เธอเป็นคนที่คุณชายถูกใจ เธอไม่สะอาดแล้ว ก็ไม่ควรมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว

แต่ถ้าวันนั้นไม่ใช่เพราะคุณไม่มาจุดนัดตามเวลาที่นัด เวยเหมิงจะอับอายขายหน้าแทนคุณได้อย่างไร สิ่งเหล่านั้น คุณควรจะเป็นคนได้รับมัน

และฉัน ฉันก็…..ฉันลงมือกับเธอเพราะร่างกายของเธอไม่สะอาดอีกต่อไป และคิดถึงความโหดร้ายของเธอที่มีต่อเลี่ยงเลี่ยง จึงได้ลงมือกับเธอเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ……..ฉันก็เลี้ยงมาตั้งยี่สิบกว่าปี อยู่ด้วยกันมานานเลี้ยงเหมือนลูกสาวแท้ๆมาจนโต!” พ่อบ้านเซี่ยหัวเราะอย่างเย็นชา

“สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะคุณ คุณทำให้ฉันฆ่าเด็กที่ฉันเลี้ยงมาจนโต”

มองชายชราท้าคลั่งที่อยู่ตรงหน้า ฟังคำพูดไร้สาระของเขา ตอนนี้เจี่ยนถง ใจเหมือนทะเลทรายที่เวิ้งว้างว่างเปล่า และแห้งขอด

เธอไม่สามารถบอกชายชราที่อยู่ตรงหน้าได้ กลางเท้าขวาของฉัน มีไฝตั้งแต่เด็ก

เธอโตมากับคุณปู่ แต่เจี่ยนโม่ป๋ายชอบอยู่กับพ่อแม่มากกว่า

มีครั้งหนึ่งคุณปู่พูดเล่นว่า มอบหมายภารกิจเล็กๆให้พวกเธอสองคน ใครสามารถเอาปากกาหมึกซึมของลุงถังที่เขารักมากและติดตัวตลอดเวลามาได้ คนนั้นก็จะเป็นที่หนึ่ง ปี่เซียะหยกในห้องหนังสือของคุณปู่ก็จะเป็นของคนนั้น

หลังจากนั้นเธอก็ได้ที่หนึ่ง ตอนได้ปี่เซียะหยกชิ้นนั้น ดีใจมาก เธอเกิดในครอบครัวแบบนั้นปี่เซียะหยก เธอเห็นมาไม่น้อยตั้งแต่เด็ก แต่ปี่เซียะหยกของคุณปู่ชิ้นนั้น ไม่เหมือนชิ้นอื่นๆ สีใสมาก ถือปี่เซียะหยกหันหน้าไปทางดวงอาทิตย์ มีความโปร่งใส เด็กผู้หญิงชอบของแวววาว เมื่อตอนเด็กๆเธอก็ไม่ต่างกัน

เจี่ยนโม่ป๋ายเห็น ก็อยากจะแย่ง เธอไม่ให้ ผลักเจี่ยนโม่ป๋ายหนึ่งที แต่ก็ไม่ได้ออกแรงมาก แต่ผลักเจี่ยนโม่ป๋ายล้มลงกับพื้น

ป้าจางที่ดูแลเจี่ยนโม่ป๋ายเห็นพอดี ณ ตอนนั้นโกรธมากจึงพูดกับเธอที่ยังเด็กว่า

ลูกที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไม่มีใครสั่งสอน ยังจะผลักคุณชายล้มลงกับพื้นอีก

เธอถึงกับตะลึง……..ไม่มีพ่อไม่มีแม่

ตอนนั้นโต้กลับป้าจาง “ฉันมีพ่อมีแม่ ทำไมคุณถึงว่าฉันไม่มีพ่อไม่มีแม่”

ป้าจางก็ตะลึงสักครู่ เบ้ปากแล้วพูดว่า “คุณโตมากับคุณท่านไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นคุณใกล้ชิดกับคุณนายหรือคุณท่านเลย….. เป็นเพราะป้าจางเห็นคุณชายล้ม ก็ตกใจ จึงพูดผิดไป เสี่ยวถง คุณอย่าไปฟ้องคุณท่านนะ ได้ไหม ป้าจางพูดผิดไป ต้องขอโทษคุณด้วย”

ตอนนั้นยังเด็ก ก็เลยเชื่อที่ป้าจางพูด

และในขณะนี้ เพราะคำพูดของพ่อบ้านเซี่ย “ลูกสาวของฉันมีไฝที่ฝ่าเท้าขวา” เจี่ยนถงรู้สึกเจ็บที่เท้าขวาเหมือนโดนไฟเผา เจ็บปวดเหลือทน

“คุณก็ คุณก็เพราะไฝที่ใต้เท้าเม็ดเดียว ก็มั่นใจว่านั่นไม่ใช่ลูกสาวของคุณ?นอกจากไฝดำนั่น ยังมีหลักฐานอะไรที่สามารถยืนยันว่าเซี่ยเวยเหมิงไม่ใช่ลูกสาวของคุณไหม”

แค่ไฝที่เท้า ยังไม่สามารถยืนยันความคิดในใจเธอได้…….บนโลกนี้ คนที่มีไฝที่ใต้เท้า ไม่ใช่แค่คนเดียว

พ่อบ้านเซี่ยอ้าปากกำลังจะพูด ทันใดนั้น จู่ๆก็มีเสียงเคลื่อนไหวดังขึ้น

“ใคร” พ่อบ้านเซี่ยเกรงไปทั้งตัว มองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง ตาขุ่นมัวหมุดไปมา ค่อยๆดูไปตามรอบๆ แม้จะไม่มีเบาะแสใดๆก็ตาม แต่เสียงการเคลื่อนไหว ก็ทำให้พ่อบ้านเซี่ยมีความกดดัน

กลัวว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไป พ่อบ้านเซี่ยสีหน้าเปลี่ยน “พูดมากอีกต่อไปไม่ได้แล้ว ……….ฉันมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ คุณก็อย่าคิดจะมีชีวิตอยู่ต่อเลย และ……ไปชดใช้ให้เวยเหมิงไป”

ขณะที่พ่อบ้านเซี่ยพูด ก็เผยความโหดร้ายออกมา

มีดพกหนึ่งเล่ม ที่ปลายแหลมคมใกล้เข้ามา

“หยุดนะ”

ซูเมิ่งเห็นว่าซ่อนตัวต่อไปไม่ได้แล้ว แค่คิดไม่ถึง ไอ้เฒ่านี่ช่างระแวดระวังมาก แค่เคลื่อนไหวเล็กน้อย ก็ระวังตัวทันที พร้อมลงมือโดยไม่ลังเล

มือของเธออยู่ด้านหลัง แอบส่งตำแหน่งที่อยู่ไปที่โทรศัพท์ของเสิ่นซิวจิ่น

แล้วรีบโยนทิ้งที่มุมด้านข้าง……ถ้าไอ้เฒ่าคนนี้เห็นโทรศัพท์ เช่นนั้นแล้วตำแหน่งที่อยู่ที่เธอส่งให้เสิ่นซิวจิ่น ก็จะถูกจับได้

“พี่เมิ่ง” เจี่ยนถงตะโกนบอก “คุณรีบหนีไป”

“อย่าพูดโง่ๆ” ซูเมิ่งส่ายหัว “ถ้าฉันหนีไปตอนนี้ ก็หนีไม่พ้นการลงโทษของBoss”

“ขอโทษ…….ที่ฉันเป็นคนทำให้คุณต้องเดือดร้อน”

“คนโง่ ฉันตามมาเอง ถ้าฉันคิดจะหนี ก็คงจะไม่มาแล้ว”

“คุณเป็นซูเมิ่งที่อยู่ข้างกายของคุณชายคนนั้นเหรอ” พ่อบ้านเซี่ยตะโกนพูด “เดิมทีไม่มีเรื่องเกี่ยวกับคุณเลย แต่คุณมารนหาที่ตายเพราะผู้หญิงเลวคนนี้ เช่นนั้นก็อย่าโทษฉันที่ต้องลงมือกับคุณด้วย”

“เหอๆ พูดได้ดีมาก ความจริงเป็นเพราะฉันได้ยินเรื่องชั่วๆของคุณทั้งหมดแล้ว คุณกลัวว่าฉันจะพูดออกไปก็เลยจะฆ่าปิดปากฉันใช่หรือไม่”

หน้าแก่ของพ่อบ้านเซี่ยแดง พูดออกไปอย่างโหดร้าย “อย่างไรก็ตามวันนี้พวกคุณก็ต้องตามฉันลงไป ได้ยินแล้วจะทำไม”

“เสียสติ ความแค้นของครอบครัวพวกคุณ กลับเอาคนอื่นมาเกี่ยวโยงด้วย ยังจะโยนความผิดให้คนอื่น

บอกว่าเซี่ยเวยเหมิงไม่ใช่ลูกสาวของคุณ ฉันยังไม่อยากจะเชื่อ

ตอนนั้นเธออยากจะทำร้ายเสี่ยวถงให้อับอาย แต่ตัวเองตกเป็นเหยื่อแทน วันนี้คุณก็จะโยนเรื่องอื้อฉาวที่ตัวเองฆ่าลูกสาว ให้กับเสี่ยวถง……… ฉันว่าพวกคุณไม่ใช่พ่อลูกกัน แต่ยิ่งกว่าพ่อลูกกันอีก เห็นแต่ตัวและเลือดเย็นเหมือนกัน”

“หุบปาก”

“ทำไมฉันต้องหุบปาก คุณมีสิทธิ์ทำ แต่ฉันไม่มีสิทธิ์พูดเหรอ อนุญาต​ผู้ว่าฯวางเพลิง แต่ห้ามประชาชนจุดตะเกียง เหอๆ”

คำพูดของซูเมิ่งต่อว่าพ่อบ้านเซี่ยอย่างรุนแรง เจี่ยนถงค่อยๆสงบลง ……..จ้องมองซูเมิ่งที่กำลังต่อว่าพ่อบ้านเซี่ยอย่างต่อเนื่อง——พี่เมิ่งจงใจถ่วงเวลา!

สายตาของเธอมองไปที่ประตูเหล็กบานใหญ่……..

……

ในรถ โทรศัพท์ของเสิ่นซิวจิ่นมีข้อความของซูเมิ่งส่งเข้ามา เปิดอย่างเร่งรีบ ตำแหน่งที่อยู่เด้งขึ้นมาทันที ใจเต้นแรงขึ้นมาทันใด ความรู้สึกแย่ๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

สิ่งที่ส่งมาคือตำแหน่งที่อยู่ นอกจากนี้ก็ไม่มีตัวหนังสือแม้แต่ตัวเดียว………. ผู้หญิงสองคนนี้อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดี

รถแล่นไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบ ขอแค่รีบๆ ไปให้ถึงที่หมาย

ที่นั่นเป็นโกดังเก่า ห่างจากทางแยกเมือง-ชนบท ไม่ใกล้ไม่ไกล

ในโกดัง ซูเมิ่งยั่วโมโหพ่อบ้านเซี่ยจนสำลัก ทั้งสองโต้เถียงกัน สลับไปมา เสียงเบรกรถกะทันหันนอกโกดัง ดังมาก คนที่อยู่ด้านใน ก็ยังได้ยินเสียงยางรถถูกับพื้นอย่างรุนแรง

ฝีปากสีแดงสดของซูเมิ่งริมค่อย ๆ ยกขึ้นเล็กน้อย มองไปที่พ่อบ้านเซี่ย และหันตัวกลับมาพอดี เดินไปที่มุมห้องอย่างช้าๆ ก้มลงอย่างสง่างาม แล้วเก็บอะไรบางอย่างขึ้นมาจากพื้น

พ่อบ้านเซี่ยจ้องมอง “คุณทำอะไรกับโทรศัพท์ของคุณ”

“คุณดูไม่ออกเหรอ ว่าทำอะไร ในใจคุณก็เดาออกแล้วไม่ใช่เหรอ”

“เมื่อครู่คุณ……..ตั้งใจถ่วงเวลาเหรอ?”

“เหอๆ”

พ่อบ้านเซี่ยมารู้ตัวอีกที สุดท้ายก็เข้าใจ เมื่อครู่ซูเมิ่งตั้งใจถ่วงเวลาไว้

เขาไม่มีเวลาพูดอะไรมากกับซูเมิ่งอีกแล้ว ในมือถือมีด พุ่งไปที่เจี่ยนถงที่ถูกมัดติดกับเก้าอี้ขาเบี้ยวที่อยู่ข้างๆ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยเกลียดชัง ดุว่าอย่างแรง “แม้ฉันตายก็จะไม่ยอมให้คุณมีชีวิตที่ดี นางสารเลว”

ซูเมิ่งสีหน้าเปลี่ยนไปมาก ไม่คิดว่า เสิ่นซิวจิ่นจะอยู่ด้านนอกแล้ว พ่อบ้านเซี่ยยังไม่ยอมหยุดอีก………เขากำลังจะให้ตายหรือพินาศไปด้วยกัน

ไม่คิดมาก การกระทำนำสมองไปก่อน ขาของเธอ เมื่อเห็นพ่อบ้านเซี่ยพุ่งไปในวินาทีนั้น และรีบขยับเท้าพุ่งไปในทิศทางเดียวกัน “

อย่าแตะต้องเธอ!”

หน้าสวยๆที่ซูเมิ่งแต่งมาเลอะไปหมด แต่ก็ไม่มีเวลาสนใจอะไรอีกแล้ว ในหัวคิดเพียงว่าจะไม่ยอมให้มีดคมเล่มนั้นแทงเข้าไปในร่างของเจี่ยนถงเด็ดขาด

มือของเธอ เร็วราวสายฟ้า คว้าแขนของพ่อบ้านเซี่ยที่ถือมีดจากด้านหลัง “อย่าทำผิดซ้ำๆอีก”

“ไสหัวไป” ซูเมิ่งจับแขนของพ่อบ้านเซี่ยไว้อย่างแน่น ยกเท้าเตะท้องของซูเมิ่งที่อยู่ด้านหลัง “โอ้”

จุกท้อง ซูเมิ่งลืมตาโต ปวดจนมือที่จับแขนของพ่อบ้านเซี่ย มีเส้นเลือดโผล่ออกมาเป็นเส้นๆ

หายใจหอบอย่างหนัก…….โอ้~โอ้~โอ้~ จับแขนของพ่อบ้านเซี่ยอย่างแน่นไม่ยอมปล่อย

พ่อบ้านเซี่ยกังวล อยากจะซ้ำไปที่ท้องของซูเมิ่งอีกสองครั้ง เจี่ยนถงใจเต้นเร็ว ภายใต้ความกังวล เอนตัวไปในข้างที่ขาเก้าอี้เอียงและล้มลง “ปัง” ดังขึ้น ทั้งคนและเก้าอี้ล้มลง ขวางอยู่ตรงหน้าของซูเมิ่ง ขาทั้งสองข้างของพ่อบ้านเซี่ย เตะเข้าที่ไหล่ของเจี่ยนถงอย่างแรง

”เสี่ยวถง คุณ……” ซูเมิ่งตะลึง “โง่ไหมเนี่ย”

“พี่เมิ่ง คนที่โง่ที่สุดคือคุณ” เจี่ยนถงพูด “เดิมทีคุณกับฉันเป็นแค่คนแปลกหน้า ต่อมาฉันก็เป็นลูกจ้างของคุณ คุณเป็นเจ้านายของฉัน มีเจ้านายคนไหนบ้างที่ยอมโดนเตะเพราะลูกจ้าง”

“ดี พวกคุณเป็นพี่น้องที่รักกัน เช่นนั้นฉันจะส่งพวกคุณลงไปพร้อมกัน จะได้เป็นเพื่อนกัน” ตะโกนเสียงดัง ปลายมีดฉายแสงเย็นเฉียบแทงเจี่ยนถงที่คออย่างไร้ความปรานี

ทั้งๆ ที่เตรียมใจไว้แล้ว แต่เจี่ยนถงกับซูเมิ่ง ก็หลับตาด้วยความตกใจ ในวินาทีที่มีดแทงลงมาที่คอ พวกเธอก็หลับตา

ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก………

ของเหลวอุ่นๆ……หยดลงบนหน้าของเจี่ยนถงทีละหยด เธอไม่รู้สึกเจ็บที่คอ ลืมตาขึ้นอย่างไม่เข้าใจ……..

วินาทีถัดไป

เสียง “แตกร้าว” เธออยากกัดฟันให้หักมาก

“กำมีดในมือ……..ไม่เจ็บเหรอ” เจี่ยนถงจ้องเขม็งไปที่ฝ่ามือที่จับใบมีดคมด้วยมือเปล่า เลือดหยดบนใบหน้าของเธอ

เสิ่นซิวจิ่นสีหน้าเย็นชามาก เม้มปากไว้แน่น จ้องมองเจี่ยนถงอยู่สักพัก จนมั่นใจว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าตัวเองปลอดภัยแล้วจริงๆ ถึงไว้โล่งอก

หันกลับมา พ่อบ้านเซี่ยที่สายตาเย็นชาสีหน้าซีด พ่อบ้านเซี่ยยังไม่ทันอ้าปากตะโกนด่า หน้าแก่ๆก็ซีดเซียว กล่าวด้วยริมฝีปากที่ซีด

“ฉันจะแก้แค้นให้เวยเหมิง ในเมื่อเวยเหมิงเสียชีวิตเพราะเธอ แล้วทำไมเธอถึงยังมีชีวิตอยู่ต่อไป” พ่อบ้านเก่าตะโกนอย่างหวาดระแวง จ้องมองเจี่ยนถงอย่างเกลียดชัง

ซูเมิ่งไม่อยากจะเชื่อ จนถึงตอนนี้แล้ว ยังมีคนไร้ยางอายขนาดนี้ด้วยเหรอ

“เห็นได้ชัดๆว่าการตายของเซี่ยเวยเหมิงไม่ได้………”

ซูเมิ่งยังพูดไม่จบ พ่อบ้านเซี่ยตะโกนดังขึ้น “คุณชาย ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต เวยเหมิงตายอย่างน่าสงสาร ฉันคนผมขาวส่งศพคนผมดำ เจ็บปวดในใจ คุณชาย คุณเคยพูดว่า จะทวงความยุติธรรมให้เวยเหมิง สิ่งที่คุณชายเคยพูดไว้ตอนนั้น คุณชายกล้าลืมมันเหรอ พ่อแก่ๆอย่างฉัน ไม่กล้าลืม คุณชายลงมือไม่ได้ เดี๋ยวฉันลงมือเอง”

ซูเมิ่งโกรธมาก ไม่อยากจะเชื่อ ทำไมถึงมีคนที่ไร้เหตุผลเช่นนี้

คนคนชรากลายเป็นคนเลว หรือคนเลวชราลงแล้ว

เธออ้าปากตั้งใจจะพูดในสิ่งที่ได้ยินก่อนหน้านี้ออกมา เจี่ยนถงรีบส่ายหัวให้เธอ เธอไม่เข้าใจ แต่ก็เลือกที่จะปิดปากชั่วคราว

“เสิ่นซิวจิ่น ถ้าฉันบอกกับคุณว่า การที่เซี่ยเวยเหมิงถูกทำร้าย นั่นเป็นเพราะเธอหาเรื่องใส่ตัวเอง และที่เธอเสียชีวิต เป็นเพราะ…….”เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นทันที มองไปที่เสิ่นซิวจิ่น

“หุบปาก” เธอยังพูดไม่จบ พ่อบ้านเซี่ยตะโกนด่า “คุณยังมีหน้าพูดอีก”

“คุณหุบปาก” เสิ่นซิวจิ่นหยุดพ่อบ้านเซี่ยด้วยสีหน้าที่เย็นชา แล้วมองไปที่เจี่ยนถง “คุณพูดต่อ”

“ฉันไม่ได้ส่งคนไปทำร้ายเซี่ยเวยเหมิง ที่เธอเสียชีวิต นั่นเป็นเพราะพ่อบ้านเซี่ยอุดจมูกเธอจนเสียชีวิต” ขณะที่เธอพูด เงยหน้าขึ้นถามเสิ่นซิวจิ่นอย่างจริงจัง “คุณเชื่อที่ฉันพูดไหม คุณเชื่อไหมว่าฉันเป็นผู้บริสุทธิ์”

สายตาของเธอ มองไปที่มือเปื้อนเลือดของเสิ่นซิวจิ่น…….

ใจที่เย็นชา เลือดอุ่นสามารถละลายได้

เธอมองไปที่ฝ่ามือเปื้อนเลือดของเขา สายตาของเธอเลื่อนไปบนหน้าของเขา เจี่ยนถงเห็นเสิ่นซิวจิ่นลังเล ความร้อนรุ่มในใจ ค่อยๆเย็นลง

ในที่สุด เขาก็ยังลังเล………. เขาไม่เชื่อใจตัวเองใช่ไหม

เจี่ยนถงเม้มปากด้วยความขมขื่น

ซูเมิ่ง ณ เวลานี้ แก้เชือกให้เจี่ยนถงด้วยสีหน้าที่ซีด

มองดูซูเมิ่งที่ปากซีด เจี่ยนถงพยุงซูเมิ่งขึ้นมา พูดกับเสิ่นซิวจิ่นว่า

“พี่เมิ่งโดนเตะเพราะรับแทนฉัน เธอรับบาดเจ็บแล้ว ส่งพี่เมิ่งไปโรงพยาบาลก่อน แล้วมือของคุณก็บาดเจ็บด้วย”

สำหรับพ่อบ้านเซี่ย……..เธอไม่สนใจว่าเขาจะเป็นหรือตาย

สิ่งที่เสิ่นซิวจิ่นคิดไม่ถึงก็คือ เพียงเพราะเขาลังเลไปสักครู่ ก็ทำให้ผลักผู้หญิงที่อ่อนไหวและน่าสงสัยคนนี้ซึ่งไม่มีใครสนใจออกไปอีกครั้ง และเห็นว่าซูเมิ่งสีหน้าแย่มาก พยุงท้องไว้ และได้ยินเจี่ยนถงบอกว่าซูเมิ่งโดยพ่อบ้านเซี่ยเตะที่หน้าท้องหนึ่งทีอย่างแรง เสิ่นซิวจิ่นสบัดพ่อบ้านเซี่ยที่อยู่ข้างๆออกอย่างแรง “เดินไหวไหม” เขาถามซูเมิ่ง

บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ซูเมิ่งกัดฟันแล้วพยักหน้า “ไหวค่ะ Boss”

เสิ่นซิวจิ่นพยักหน้า “เสี่ยวถง คุณช่วยพยุงเธอออกไปก่อน ฉันจะไปเอารถ” โทรหาเสิ่นยี บอกที่อยู่ของโกดัง “รีบมาที่นี่ให้เร็วที่สุด” หยิบเชือกที่มัดเจี่ยนถงก่อนหน้านี้ขึ้นมา เสิ่นซิวจิ่นมัดพ่อบ้านเซี่ยไว้กับเก้าอี้ตัวเดิมด้วยความคล่องตัว

จัดการอย่างเรียบร้อย ปัดฝุ่นบนฝ่ามือ แล้วเดินออกจากประตูโกดังบานใหญ่ มองตามเจี่ยนถงกับซูเมิ่งที่ใกล้ถึงประตู

มีคนกลุ่มหนึ่ง ทันใดนั้นก็มาถึงประตูอย่างรวดเร็ว ขวางประตูไว้

เสิ่นซิวจิ่นมองไปด้วยความสงสัย สายตาลังเล ไม่ได้พูดอะไร แค่มองดูคนกลุ่มนั้นอย่างระมัดระวัง

แต่อีกฝ่ายตั้งใจพุ่งตรงมาที่เขา ชายผู้แข็งแรงคนหนึ่งยืนขึ้น เดินเข้าไปหาเสิ่นซิวจิ่นระยะห่างกันประมาณครึ่งเมตร

“คุณเสิ่น เจ้านายของพวกเราบอกว่า วันนี้คุณเสิ่นจะไม่ได้เดินออกไปจากโกดังนี้อย่างง่ายๆ”

“พวกคุณ เป็นคนของเขาใช่ไหม” เห็นได้ชัดว่าเสิ่นซิวจิ่นรู้ว่า คนกลุ่มนี้เป็นสุนัขรับใช้ของใคร”

เขาจ้องมองคนกลุ่มนี้ มองไปที่เจี่ยนถงกับซูเมิ่ง ความห่วงใยในใจแสดงออกมาทางสายตา เพียงแค่มองกลุ่มผู้ชายสิบกว่าคนที่กำลังข่มขู่ “เรื่องระหว่างผู้ชาย จะไม่เกี่ยวกับผู้หญิงที่บ้าน ปล่อยพวกเธอไป”

คนนำมองมือที่เอื้อมออกไปของเสิ่นซิวจิ่น “กุญแจรถ”

เสิ่นซิวจิ่นโยนกุญแจรถในมือออกไป วาดเส้นในอากาศหนึ่งเส้น ตกลงในมือของชายผู้แข็งแรง แล้วก็หันหลังไปอย่างเย็นชา ตะโกนไป “เฮ่ย รับไว้” เจี่ยนถงเอื้อมมือไปรับ กุญแจรถตกลงในฝ่ามือ ท่ามกลางฝูงคน มองไปที่เสิ่นซิวจิ่น

“คุณคนเดียว ไหวไหม”

บนหน้าของเสิ่นซิวจิ่นแสดงรอยยิ้มที่นิ่ง “ไม่เป็นไร”แล้วตาก็จ้องไปที่ซูเมิ่ง “รีบพาเธอออกไปจากที่นี่”

สถานที่ที่แย่เช่นนี้ ตราบใดที่เธอยังอยู่ที่นี่ เขาก็จะไม่สบายใจ

เพียงเธอออกไปจากสถานที่ที่แย่ๆนี้เท่านั้น ถึงจะนับว่าปลอดภัยจริง

“เสี่ยวถง รีบไป พวกเราอยู่ที่นี่ช่วยอะไรไม่ได้ จะเป็นภาระของBossเท่านั้น” ซูเมิ่งพูดอย่างตื่นเต้น มือข้างหนึ่งพยุงท้อง แล้วเร่งเจี่ยนถงขึ้นรถ และเพราะประโยคนี้ ทำให้เจี่ยนถงใจสั่นเล็กน้อย…….ซูเมิ่งพูดถูก พวกเธออยู่ที่นี่ จะเป็นภาระ

“หยุดมองได้แล้ว รีบขึ้นรถ” หลังจากที่ทั้งสองขึ้นรถ อยู่ห่างจากฝูงคน เจี่ยนถงมองดูเสิ่นซิวจิ่นที่รายล้อมไปด้วยฝูงชน

เหยียบคันเร่ง “พี่เมิ่ง ฉันจะส่งคุณไปโรงพยาบาลก่อน”

เธอไม่ได้สังเกต ความเร็วในการขับรถของตัวเอง เร็วกว่ารถคันอื่นๆบนถนนหลายเท่า

จากความเร็วของรถ ซูเมิ่งสามารถรับรู้ได้ว่า เจี่ยนถงมีความกระวนกระวายในใจ

“พี่เมิ่ง รีบโทรศัพท์ เรียกลูกน้องของคนคนนั้นทุกคนที่สามารถติดต่อได้”

“คุณใจเย็นๆ Bossไม่ได้แพ้ให้ใครง่ายๆเหมือนที่คุณคิด” ในความจริง ในตัวของเสิ่นซิวจิ่น นอกจากมีการฝึกตั้งแต่อายุยังน้อย ระยะหลังผ่านการต่อสู้ที่เกิดขึ้นจริง ถ้าคนคนนั้นโดนล้มง่ายๆ ก็คงจะไม่ใช่เสิ่นซิวจิ่นแล้ว

ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่ซูเมิ่งก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทร หลังจากโทรติดแล้วพูดสองประโยคก็ตัดสายทันที “เสี่ยวถงฉันพูดว่าไงนะ อย่าดูถูกBoss ใช่ไหม ตอนที่Bossมาที่โกดังตามลำพัง ระหว่างทางมาได้ส่งข้อความให้ลูกน้องแล้ว ฉันโทรหาเสิ่นยีเมื่อครู่ เสิ่นยีบอกว่า ใกล้จะถึงแล้ว”

เช่นนี้ สีหน้าของเจี่ยนถงก็เริ่มดีขึ้นเล็กน้อย

ไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงโรงพยาบาลแล้ว คุณหมอตรวจเช็กให้ซูเมิ่ง บอกว่า ไม่เป็นไรมาก แต่ท้องของผู้หญิงเมื่อถูกเตะ ความเจ็บปวดนั้น สามารถจินตนาการได้ว่ามันเจ็บขนาดไหน

ได้ยินว่าเมิ่งไม่เป็นไรมาก ความกังวลที่แขวนอยู่ในใจของเจี่ยนถง ก็วางลงแล้ว

“ไหล่ของคุณ” ซูเมิ่งเห็นเจี่ยนถงไหล่ตึงเพราะกล้ามเนื้อถูกทุบ พูดว่า “ไอ้แก่ที่แซ่เซี่ยคนนั้นลงมือได้โหดร้ายมาก”

“ไม่เป็นไร” เจี่ยนถงยิ้ม

“พี่เมิ่ง” ทันใดนั้น ซูเมิ่งถูกกอดไว้อย่างแน่น เจี่ยนถงอยู่ใกล้หูของซูเมิ่ง “พี่เมิ่ง มีโอกาสได้รู้จักกับคุณ คือสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิตของฉันเลย”

ความโลดโผนของเจี่ยนถง ทำให้ซูเมิ่งเข้าใจ กางแขนออกช้าๆ แล้วกอดผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้ากลับ

“คุณ…….ตัดสินใจแล้ว?”

“อืม ……….ขอโทษนะ”

“ไม่มีอะไรต้องขอโทษ…….แต่เรื่องในตอนนั้น ก็ชัดเจนทุกอย่างแล้วไม่ใช่เหรอ ความบริสุทธิ์ของคุณ ก็ได้รับการยืนยันแล้ว ความเข้าใจผิดระหว่างคุณกับBoss ก็คลี่คลายแล้ว……ยังจะไปอีกเหรอ”

เจี่ยนถงส่ายหัวยิ้มฝืด “บุญคุณความแค้นระหว่างฉันกับเขา มันเริ่มต้นจากความไม่ไว้วางใจของเขามาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ปีนั้นเขาจับฉันเข้าคุกอย่างไร้ความปรานี ไม่มีที่สำหรับการหวนกลับมาระหว่างพวกเราอีกแล้ว”

“แต่ความเข้าใจผิดได้คลี่คลายแล้ว”

“ผู้หญิงมักจะหลอกตัวเองและผู้อื่น โกหกตัวเอง

ฉันก็อยากจะโกหกตัวเองเช่นนี้เหมือนกัน แต่ฉันทำไม่ได้

ปวดกายทั้งวันทั้งคืน เตือนฉันตลอดเวลา เรื่องราวที่เกิดขึ้นเหล่านั้น หลอกตัวเองและคนผู้อื่น เป็นเรื่องเศร้าที่สุดในโลก”

ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้เวลานี้ เขาก็ยังไม่ยอมเชื่อเราไม่ใช่เหรอ

ตอนที่เธอถามเขาว่าเชื่อเธอไหม ความลังเลของเขาในวินาทีนั้น ได้แสดงให้รู้ว่าในใจลึกๆของเขามีความลังเล

เธอหยิบบัตรประชาชนออกมา “พี่เมิ่ง คุณดู เขาไม่สามารถควบคุมฉันได้อีกแล้ว”

ไม่รู้ทำไม ซูเมิ่งรู้สึกใจเต้นเร็ว เจ็บแน่นๆที่หน้าอกเพราะได้ยินประโยคนี้ของเจี่ยนถง

เจี่ยนถงสามารถพูดความคับข้องใจใด ๆได้ สามารถสาปแช่งเสิ่นซิวจิ่นด้วยคำพูดต่างๆได้ ……หลังจากที่เธอสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเธอได้ในที่สุด เธอสามารถระบายความคับข้องใจและความอัปยศอดสูที่เธอได้รับตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้

แต่เธอกลับเลือกที่จะจากไป วินาทีที่จะจากไป ดีใจเหมือนเด็กคนหนึ่ง ถือบัตรประชาชนที่ทุกคนก็มี พูดกับตัวเองว่า พี่เมิ่ง คุณดูสิ เขาไม่สามารถควบคุมฉันได้อีกแล้ว

คนคนหนึ่งถ้าอยากทิ้งอีกคนอย่างกระตือรือร้นก็จะเป็นแบบนี้

“คุณจะไปไหน”

เจี่ยนถงไม่ได้คิดอะไร “เอ๋อร์ไห่” นิ่งไปสักครู่ เหมือนคิดอะไรออก พูดเสริมไปว่า “แต่คุณห้ามบอกใครนะ ท้องฟ้าของเอ๋อร์ไห่เป็นสีฟ้าใส น้ำใสมาก ลมก็สดชื่น มันไม่ควรย้อมด้วยความขมขื่น” ดังนั้น ห้ามบอกใครทั้งนั้น ไม่ต้องมาหาเธอ ปล่อยให้เธออยู่คนเดียวที่นั่นอย่างเงียบๆ

“คำถามสุดท้าย” ซูเมิ่งพูด “คุณ…….ยังรักเขาอยู่ไหม”

เจี่ยนถงที่กำลังยิ้มอย่างพึงพอใจขณะถือบัตรประจำตัวประชาชนอยู่เมื่อครู่ ก็เงียบไปในทันใด

"ลืมมันไปเถอะ คิดซะว่าฉันไม่ได้ถาม……"

ซูเมิ่งพูดขึ้น เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นและส่ายศีรษะมองไปที่ซูเมิ่ง "ฉันไม่รู้" ใบหน้าของซูเมิ่งตกตะลึง……ฉันไม่รู้……หมายความว่าอย่างไร?

เธอมองออกถึงใบหน้าตกตะลึงของซูเมิ่ง เจี่ยนถงจึงส่ายหัวอีกครั้ง "ฉันไม่รู้จริงๆ" หลังจากหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น คำถามนี้ยังมีความหมายอื่นอีกเหรอ? เธอเม้มริมฝีปาก "แต่ฉันรู้ ว่าการอยู่เคียงข้างเขาทุกวันและทุกช่วงเวลานั้นเจ็บปวด การนอนเคียงข้างเขาในหลายๆ ครั้ง ฉันไม่เคยนอนหลับเลย"

ซูเมิ่งเพิ่งเห็นดวงตาที่บวมแดงของเจี่ยนถง

"ฉันก็รู้เหมือนกัน ว่าจากที่ฉันเดินออกจากรั้วเหล็กในตอนนั้น ฉันมักจะวางแผนที่จะออกจากเมืองนี้ ตั้งแต่ฉันเจอเขาอีกครั้งที่ตงหวง ฉันก็ไม่กล้าที่จะรักคนคนนี้อีกแล้ว ที่ฉันคิด ก็มีเพียงแค่คืนหนี้เท่านั้น" เธอยิ้มเบาๆ เล็กน้อย และไม่ได้เตรียมที่จะพูดกับซูเมิ่งถึงเรื่องของ "อาลู่"

อาลู่เป็นคนที่อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดในหัวใจของเธอ หลงเหลือความอบอุ่นและความคิดถึงเพียงเล็กน้อย

ซูเมิ่งไม่เข้าใจคำว่า "คืนหนี้" ของเจี่ยนถง พ่อบ้านเซี่ยพูดเองแล้ว การตายของเซี่ยเวยเหมิง เป็นฝีมือของเขาเหรอ?

แล้วยังต้องคืนหนี้อะไรอีก?

ซูเมิ่งไม่เข้าใจ เธอต้องการถามอีก แต่เห็นได้ชัดว่าเจี่ยนถงที่อยู่ตรงข้ามไม่ต้องการพูดอะไรมากไปกว่านี้

เจี่ยนถงกำลังจะจากไป แต่ซูเมิ่งร้องเรียกไว้ "เดี๋ยวก่อน" เธอถอดสร้อยที่ลำคอและแหวนจากข้อมือออกมาแล้วยัดเข้าไปในมือของเจี่ยนถง "ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน เธอก็ต้องใช้เงิน ฉันไม่รู้ว่าเธอเตรียมพร้อมสำหรับด้านนี้รึยัง แหวนและสร้อยคอนี้สามารถขายได้เงินจำนวนหนึ่งในตลาดมืด"

เมื่อมองไปที่แหวนและสร้อยคอในมือ ฝ่ามือของเจี่ยนถงก็หนักอึ้ง ดวงตาของเธอก็เอ่อคลอ เธอเช็ดหางตาเบาๆ "พี่เมิ่ง รักษาสุขภาพด้วยนะคะ" เธอไม่ได้คืนแหวนและสร้อยคอของซูเมิ่งกลับไป และยื่นมือออกไปกอดอีกครั้ง ความรู้สึกของการจากลาก็สะท้อนระหว่างคนทั้งสอง

ซูเมิ่งนำเงินสดทั้งหมดออกจากร่างกายของเธออีกครั้ง "ถ้าเธอตั้งใจจะจากไปแล้ว ฉันจะไม่ห้ามเธอ เพราะไม่มีใครจะทิ้งวันที่สุขสบายและร่ำรวยมั่งคั่งไป แต่กลับไปยังที่ที่ไม่คุ้นเคย หากมี ก็ต้องมีเหตุผลที่คนคนนั้นต้องจากไปแน่นอน"

เงินหยวนจำนวนหนึ่ง สีแดงและสีเขียว ซูเมิ่งหยิบทุกอย่างที่เธอสามารถหยิบออกมาได้ และยัดมันเข้าไปในมือของเจี่ยนถง

ลำคอของเจี่ยนถงแห้งผากมาก เธอซาบซึ้งจนพูดไม่ออก น้ำตาไหลลงมาไม่หยุด

"อย่าร้องไห้ อย่าร้องไห้ ถ้าจะไปก็รีบให้เร็ว อย่าหันหลังกลับ อย่าลังเล อย่าอาลัยอาวรณ์ อย่า……เป็นห่วง……และอย่าเสียใจด้วย" เธอผลักเจี่ยนถงออกไปอีกครั้ง "ไป!"

เจี่ยนถงไม่สามารถควบคุมน้ำตาได้ เธอหันหลังกลับ และเดินอย่างเร่งรีบ ภาพที่อยู่เบื้องหลังเธอนั้น คล้ายจะเป็นแก่นแท้ เธอรับรู้ได้อย่างชัดเจน

แต่ก็……รักษาสุขภาพด้วย!

อย่าหันหลังกลับ อย่าลังเล อย่าอาลัยอาวรณ์ อย่าห่วง……ในอนาคต อย่าได้เสียใจ!

การเดินครั้งนี้ ไร้ความรับผิดชอบมาก แต่เธอ……ยังมีทางออกอื่นอีกเหรอ?

ใครจะให้ทางออกอื่นกับเธอได้!

เมื่อออกจากโรงพยาบาล จู่ๆ ฝนก็ตกลงมาบนท้องฟ้า รถแท็กซี่หยุดลง

รายงานที่อยู่

เธอไปที่บ้านตระกูลเจี่ยน รถหยุดห่างจากบ้านของตระกูลเจี่ยน 50 เมตร เธอลงจากรถอีกครั้ง "พี่คะ จอดรอฉันสักสิบนาทีนะคะ"

"งั้นก็ต้องรีบหน่อยนะ"

"ขอบคุณค่ะ"

เธอรีบเดินไปที่บ้านของตระกูลเจี่ยน แต่ไม่ได้เข้าไปในบ้าน หยุดอยู่ใต้ต้นไม้ที่อยู่ไม่ห่างไปทางซ้ายของบ้าน โน้มตัวลงขุดดิน มีกล่องเหล็กโผล่ออกมาจากพื้นดิน ใจเธอเต้นเร็วขึ้น หยิบกล่องขึ้นมา กลบดินที่ขุดขึ้นมาอย่างเร่งรีบ แล้วรีบไปขึ้นแท็กซี่

"ไปกันเถอะค่ะ"

เธอปิดประตู และนำกล่องเหล็กใส่ในถุงพลาสติกที่เอามาเมื่อออกจากโรงพยาบาล คนขับแท็กซี่ด้านหน้าถามว่า "คุณจะไปที่ไหนครับ?"

ไปที่ไหน?

"สนามบินค่ะ" หลังจากพูดจบ ดูเหมือนเธอจะคิดอะไรบางอย่างได้ "ไม่ๆๆ ไม่ไปสนามบินแล้วค่ะ"

"ตกลงจะไปที่ไหนครับ?"

"พี่คะ พี่……ขับทางไกลไหมคะ?"

"ไปสิ คุณจะไปที่ไหน?"

จะไปที่ไหน? จิตใจของเธอเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

เพื่อให้รอดพ้นจากสายตาผู้คน ถึงแม้จะเป็นตัวตนใหม่ แต่เพื่อความปลอดภัย……

"หางโจวค่ะ"

เสิ่นซิวจิ่นไม่เคยคิดว่าเจี่ยนถงจะออกจากเมืองไปแล้วในขณะนี้

"ลู่หมิงชู" เมื่อมองไปที่คนที่ยิ้มอยู่ฝั่งตรงข้าม เสิ่นซิวจิ่นก็เรียกชื่อบุคคลนั้นอย่างแผ่วเบา ระหว่างเขากับลู่หมิงชู……

"นี่ นี่น้องชายที่แสนดีของฉันไม่ใช่เหรอ?"

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลู่หมิงชูเผยรอยยิ้มอย่างชั่วร้ายและยั่วยุอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้

"น้องชายเหรอ? แม่ของฉันให้กำเนิดฉันคนเดียว น้องชายจากที่ไหนกัน?" เสิ่นซิวจิ่นเยาะเย้ย "ลู่หมิงชู คนที่อยู่เบื้องหลังพ่อบ้านเซี่ย คือนายใช่ไหม?"

มิเช่นนั้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่เมื่อพวกเขากำลังจะจากไป คนของลู่หมิงชูก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูและขวางทางเขา

"ฉันรู้ว่าสุนัขแก่ตัวนั้นผูกมัดผู้หญิงที่มีชื่อเสียงของตระกูลเจี่ยนไว้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันลู่หมิงชูบงการนี่"

"พูดอย่างนี้ งั้นนายก็รู้ว่าใครเป็นคนบงการ?"

"อยากรู้เหรอ?" ลู่หมิงชูหัวเราะ "ได้ ฉันจะพูดก็ต่อเมื่อฉันชนะ"

ชายสองคนต่อสู้กันอย่างรุนแรง ใครก็ไม่ยอมใคร สำหรับเสิ่นซิวจิ่น การดำรงอยู่ของลู่หมิงชู เป็นเหมือนหนังข้างเล็บมือ มันไม่เอาชีวิตคน แต่จะรู้สึกไม่สบายใจเมื่อสัมผัสมัน

แต่สำหรับลู่หมิงชู เสิ่นซิวจิ่นเป็นคนที่เขาต้องการเอาชนะและเหยียบให้จมดินมากที่สุดในชีวิต

พวกเขาเป็นพี่น้องต่างแม่กัน แต่ระหว่างพวกเขาก็เป็นเหมือนศัตรู ทั้งๆ ที่ลู่หมิงชูเป็นสายเลือดของตระกูลเสิ่น ตั้งแต่เด็กจนโต เขาและน้องชายสายเลือดคนนี้ เป็นเหมือนฟ้าและดินในโลกเดียวกัน

ทั้งคู่นั้นเอาจริง และไม่มีใครยอมใคร

ในขณะนี้เจี่ยนถง ได้นั่งรถแท็กซี่ไปหางโจวแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นรถไฟความเร็วสูง เครื่องบิน หรือรถระยะยาว เธอไม่กล้าหยุดพักเลย นับประสาจะเปิดเผยที่พักในระหว่างทางของเธอได้อย่างง่ายดาย

ลู่หมิงชูและเสิ่นซิวจิ่นหมดแรงจากการต่อสู้ ทั้งคู่ก็นอนลงบนพื้น หอบหายใจ

เมื่อเสิ่นยีรีบพากลุ่มคนตามมา สิ่งที่เห็นคือชายสองคนกำลังต่อสู้กันเอง จากนั้นก็เหลือบมองลูกน้องของลู่หมิงชูที่อยู่รอบๆ พวกเขาทั้งหมดยืนกันไม่ทำอะไรเลย จึงเข้าใจ–นี่คือการต่อสู้แบบตัวต่อตัวระหว่างBossทั้งสอง Bossทั้งสองไม่ต้องการให้คนของตัวเองมาร่วมในการต่อสู้นี้

เป็นผลให้มีการเผชิญหน้ากับลูกน้องของลู่หมิงชู แม้ว่าลูกน้องของทั้งสองฝ่ายไม่ได้ลงมือ แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นบอดี้การ์ดที่ปกคลุมแน่นหนา และบรรยากาศก็ตึงเครียดขึ้นมา

กระทั่งBossทั้งสองล้มลงกับพื้นอย่างหมดแรงและหายใจหอบ ลูกน้องของพวกเขา ก็ไม่มีใครมองไปแม้แต่น้อย

ผ่านไปครู่หนึ่ง โทรศัพท์ของลู่หมิงชูก็ดังขึ้น เขาหยิบมันออกมา กดปุ่มตอบรับ และฟังอยู่ครู่หนึ่ง ปากของเขาก็ค่อยๆ ยิ้มอย่างพึงพอใจ

เมื่อลุกขึ้นจากพื้น ฝีเท้าของเขายังคงไม่มั่นคงนัก แต่ก็มองลงมาอย่างมีชัยเหนือไปที่เสิ่นซิวจิ่นซึ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นและหอบหายใจอยู่ "ฉันสนุกพอแล้ว วันนี้จะไม่เล่นกับนายแล้ว บ๊ายบาย~" เขาพูดแล้วเหยียดฝ่ามือออกไป โบกมือให้เสิ่นซิวจิ่น

เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้หยุดลู่หมิงชู เขาลุกขึ้นนั่งบนพื้น และยังไม่ลุกขึ้นในทันที นั่งบนขาข้างหนึ่งที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ขมวดคิ้วไปที่ลู่หมิงชูที่เดินกะเผลกและเดินเซไปข้างหลัง……เขาไม่เชื่อว่าที่จู่ๆ ลู่หมิงชูก็ปรากฏตัวขึ้นเพียงเพื่อ "เล่นสนุก" กับเขา และจากความเข้าใจของเขาที่มีต่อลู่หมิงชู คนคนนี้ไม่ใช่คนที่มาหาเขาเพื่อยั่วยุเขาโดยเฉพาะ

เขาหรี่ตา และมองดูลู่หมิงชูออกไปอย่างราบเรียบ

แม้ว่าจะมีข้อสงสัยมากมาย แต่ในขณะนี้ เสิ่นซิวจิ่นกำลังรีบไปพบเจี่ยนถง ถ้าต้องคิดบัญชีกับลู่หมิงชู รอให้ผ่านวันนี้ไปก่อน แล้วค่อยว่ากัน

"ซูเมิ่ง พวกคุณอยู่โรงพยาบาลไหน?" โทรศัพท์โทรไปซูเมิ่ง เสิ่นซิวจิ่นลุกขึ้นยืนและเดินไปที่รถของเสิ่นยี และมองเสิ่นยี "กุญแจรถ"

ลู่หมิงชูนั่งอยู่ที่เบาะหลังของรถ เพื่อนของเขาซึ่งนั่งอยู่บนรถเมื่อกี้นี้และยังไม่ได้ลงจากรถ ยื่นกระดาษให้เขา "เช็ดซะ จิจิ~ หน้านี่บวมเหมือนหมูเลย อนาถเกินไป~"

"ฮึๆ พูดจาให้มันน้อยๆ หน่อย"

"จู่ๆ นายก็มาปรากฏตัวในโกดัง ถ่วงเวลาเสิ่นซิวจิ่น เพื่อช่วยให้เธอหาเวลาหลบหนีได้? ……สายที่นายเพิ่งรับไป ถ้าฉันเดาไม่ผิด คงเป็นลูกน้องของนาย เพื่อให้แน่ใจว่าเธอออกไปเมือง S ไปแล้ว เลยโทรมารายงานนายใช่ไหม?

แต่ว่า นายไม่รู้สึกว่า สิ่งที่นายทำเพื่อผู้หญิงที่เจอกันโดยบังเอิญ มันยุ่งไม่เข้าเรื่องรึเปล่า? ลู่หมิงชู สิ่งนี้สมเหตุสมผลแล้วเหรอ?"

ลู่หมิงชูได้แต่ยิ้ม……ไม่ว่าจะสมเหตุสมผลหรือไม่ เขารู้ดีที่สุด

"พระเจ้าตรัสว่า ผู้ที่อธิษฐานอย่างจริงใจสามารถชดใช้บาปของพวกเขาได้"

"ชดใช้? ฉันได้ยินไม่ผิดใช่ไหม! ลู่หมิงชูผู้ขัดขวางการสังหารมารและเทพเจ้า จะกลับใจและชดใช้? ลู่หมิงชูทำเรื่องแบบนั้น เพื่อผู้หญิงที่เจอกันโดยบังเอิญ?"

ลู่หมิงชูเหลือบมองกลับไป

"ในเมื่อสามารถเห็นแก่ตัวทำร้ายผู้หญิงที่พบกันโดยบังเอิญเมื่อสี่ปีก่อนได้ ทำไมตอนนี้ฉันถึงช่วยผู้หญิงที่พบกันโดยบังเอิญไม่ได้ล่ะ?" สำหรับเจี่ยนถงลู่หมิงชูมีความละอายใจอยู่ตลอดมา จำกัดไว้เพียงความละอายใจนี้

เพื่อนที่อยู่ข้างๆ เขายิ้มอย่างประชด……ความเห็นแก่ตัวของลู่หมิงชูทำร้ายผู้บริสุทธิ์ การ "ทำร้าย" นี้ทำลายชีวิตของคนคนหนึ่ง และช่วยให้อีกฝ่ายหนีจากเมืองที่ยากจะหายใจนี้ ลู่หมิงชูแค่ชดใช้บาปอย่างโจ่งแจ้งเท่านั้น?

"ลู่หมิงชู นายชั่งไร้ยางอายจริงๆ!"

"ขอบคุณสำหรับคำชม"

หลังจากที่เสิ่นซิวจิ่นรีบไปโรงพยาบาล เขาเจอซูเมิ่งแต่ไม่เจอเจี่ยนถง เมื่อเขาเห็นซูเมิ่งในโรงพยาบาล ซูเมิ่งก็ผล็อยหลับไปอย่างเหนื่อยล้า

เสิ่นยีเคาะประตู ซูเมิ่งตื่นขึ้นอย่างงัวเงีย

"คุณอยู่คนเดียวเหรอ? เสี่ยวถงล่ะ?"

เมื่อเผชิญหน้ากับเสิ่นซิวจิ่นด้วยใบหน้าที่สงบ ซูเมิ่งไม่พบร่องรอยของความรู้สึกผิดใดๆ "เสี่ยวถงบอกว่าหิวน้ำ เลยลงไปซื้อน้ำชั้นล่าง Bossขึ้นมาไม่เห็นเธอเหรอคะ?"

เธอสามารถช่วยเจี่ยนถงหลบหนีไปได้ แต่เธอไม่สามารถปล่อยให้ชายที่อยู่ข้างหน้าเธอรู้เรื่องนี้ได้ ซูเมิ่งยังคงเป็นซูเมิ่ง เธอเสี่ยงเพื่อช่วยเจี่ยนถง เพื่อความหลงใหลที่อธิบายไม่ได้ที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจเธอตลอดเวลาหลายปี

แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายเพื่อช่วยเหลือใครสักคน

เมื่อเผชิญหน้ากับเสิ่นซิวจิ่น ซูเมิ่งจะไม่มีวันสารภาพผิด

ยิ่งไปกว่านั้น เธอเห็นเจี่ยนถงจากไป เธอต้องมีความคิดที่กว้างที่จะขับไล่ผู้หญิงโง่ๆ คนนั้น ให้ออกไป

เสิ่นซิวจิ่นสัมผัสเปลือกตาของตัวเอง จากเมื่อก่อนจนถึงตอนนี้ ความถี่ของเปลือกตาขวายังคงกระตุกอยู่ เขาตื่นตระหนกโดยไม่มีเหตุผล

"ไป ไปหา!"

เสิ่นยีและคนอื่นๆ ที่เขาพามาด้วยได้รับคำสั่งและดำเนินการทันที แต่ค้นหาเกือบทุกที่ที่ทั้งโรงพยาบาล แต่ก็ไม่พบ

ใบหน้าที่หล่อเหลาของเสิ่นซิวจิ่นเริ่มเย็นชาขึ้น และไม่พูดอะไร เขาเดินไปที่ห้องทำงานของผู้อำนวยการ

"ภรรยาผมหาย ผมต้องการดูกล้องวงจรปิด"

เขาแทบไม่พูดเรื่องไร้สาระ แต่เมื่อผู้อำนวยการได้ยินเสิ่นซิวจิ่นพูดว่าภรรยาเขาหายไป เขาก็ตื่นตระหนกและให้คนลงไปนำผลกล้องวงจรปิดมาทันที

ซูเมิ่งยืนเงียบๆ ข้างหลังเสิ่นซิวจิ่น ถ้าบอกว่าไม่เป็นกังวลก็คงโกหก แต่ที่เข้าใจกว่าเดิมว่าในขณะนี้ ไม่สามารถตื่นตระหนกได้

นัยน์ตาสีดำคมมองหน้าจอขนาดใหญ่ไม่วางตา เขายืนนิ่งอยู่กับที่ ทันใดนั้นก็มีภาพหนึ่ง ดวงตาของเขาก็หยุดลงทันที และเขาก็พูดด้วยเสียงเข้มๆ "หยุด!"

"ย้อนกลับไปที่สิบห้าวินาทีก่อนหน้านี้ ซูมเข้าไปอีก"

ภายใต้คำสั่งและการกระทำเดียว ภาพนิ่งถูกจับภาพอย่างรวดเร็วบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ และภาพก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นตามสัดส่วน เมื่อซูมเข้า ความชัดเจนก็ลดลง แต่ชายที่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์จดจำผู้หญิงในภาพได้อย่างรวดเร็ว

เธอขึ้นแท็กซี่คันหนึ่งไป และเมื่อเสิ่นซิวจิ่นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา มือของเขาก็สั่นอย่างควบคุมไม่ได้ และกดโทรศัพท์ไปที่บ้าน……เขาเก็บร่องรอยของความหวังที่เป็นไปไม่ได้ และโทรออกไปยังสายก่อนหน้า

"เสี่ยวถงเธอกลับถึงบ้านรึยัง?"

"คุณหญิง?" พ่อบ้านหวังพูดทันที "ยังไม่พบคุณหญิงเหรอครับ? เสิ่นยีบอกว่าเจอคุณหญิงแล้วไม่ใช่เหรอครับ……"

พรึบ……

ไม่ต้องถามอีก เธอ ยังก็ไม่ได้กลับไป!

โทรศัพท์ในมือหล่นลงกับพื้น ซูเมิ่งจ้องไปที่ร่างสูงของชายที่อยู่ข้างหน้าด้วยความงุนงง ร่างกายของเขาสั่น "พึบ" ฝ่ามือของเขาวางลงอย่างหนักบนคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ร่างของเขามั่นคง

ชั่วขณะหนึ่ง ซูเมิ่งรู้สึกสงสารชายผู้นี้เล็กน้อย

แต่อย่างไรก็ตาม เสิ่นซิวจิ่นก็คือเสิ่นซิวจิ่น วินาทีถัดมา ใบหน้าสังหารของเขา ก็หันศีรษะไปทันที "เสิ่นยี ตรวจสอบการซื้อตั๋วเครื่องบิน รถไฟความเร็วสูง และรถโดยสารทางไกลของวันนี้ ตรวจสอบว่าคุณหญิงได้ซื้อตั๋วหรือไม่" บัตรประชาชนของเธอยังอยู่ที่เขา ไม่……ไม่สิ! บัตรประชาชนของเธออยู่กับเขา เธอไม่สามารถซื้อตั๋วเครื่องบิน ตั๋วรถไฟความเร็วสูง และตั๋วรถโดยสารทางไกลได้ เมื่อเสิ่นยีกำลังจะจากไป ชายที่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์พูดขึ้น

"เดี๋ยวก่อน" ดวงตาสีเข้มของเขาเลื่อนดูภาพนิ่ง "ไม่ต้องตรวจสอบแล้ว ตรวจสอบรถคันนี้ ค่าผ่านทางด่วน และติดตามเส้นทางของแท็กซี่คันนี้!"

เมื่อได้ยินคำเหล่านี้ หัวใจของซูเมิ่งก็พองโต! ดวงตามองภาพบนหน้าจอขนาดใหญ่ทันที บังเอิญว่ามีภาพถ่ายรูปป้ายทะเบียนรถแท็กซี่!

เธอมีจิตใจที่แข็งกระด้างพอที่จะไม่แสดงอาการอะไร

เสิ่นยีทำงานเร็วพอสมควร ตระกูลเสิ่นเป็นตระกูลเศรษฐีเก่าแก่ที่มีมรดกตกทอดมาช้านาน ในเรื่องนี้มีช่องทางและวิธีการมากมาย สิบนาทีต่อมา เสิ่นยีตอบกลับว่า " Bossครับ เมื่อสี่สิบนาทีที่แล้ว รถคันนี้ออกจากเมืองหมิงจูครับ"

"จริงๆ ด้วย!" ที่แท้การเชื่อฟังเหล่านั้นล้วนแสร้งออกมา

เขาหลับตา กำหมัดแน่น แล้วทุบลงบนโต๊ะ มีรอยแตกบนโต๊ะ เลือดไหลไปตามรอยหมัด และไหลลงบนโต๊ะ……มันไม่ใช่ทักษะการแสดงของเธอ ไม่ใช่ว่าเธอแสร้งเหมือน แต่เป็นเขา! เป็นเขาที่หลอกลวงตัวเอง!

เขาลืมคืนนั้นไปได้ยังไง ผู้หญิงคนนั้นต้องการจะฆ่าเขาไม่ใช่เหรอ? ……เขาคิดว่าถ้าเขามีลูก เขาจะสามารถรั้งเธอไว้ได้

ปรากฏว่าเธอไม่เคยล้มเลิกความคิดที่จะหนีเลย!

ดวงตาที่ปิดสนิทของเขาเปิดขึ้น และดวงตาก็แน่วแน่ยิ่งขึ้น "ตามไป! ตามเธอให้ทัน!" เธออย่าได้คิดเพ้อฝันว่าจะวิ่งหนีจากเขาได้! แทนที่จะปล่อยให้เธอหนีจากเขา เขายอมตายในมือเธอดีกว่า!

……

เสิ่นซิวจิ่นหมดหวัง เจี่ยนถงก็หมดหวัง!

นี่เป็นโอกาสเดียวของเธอ!

ระหว่างทางนั่งรถเกือบ 2 ชั่วโมง เธอเพิ่มค่าโดยสารให้คนขับ และมาถึงสนามบินของหางโจวเป็นเวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง ตั๋วถูกซื้อหลังจากขึ้นแท็กซี่ และซื้อตั๋วไปเซี่ยเหมิน

เหตุผลที่ซื้อตั๋วเครื่องบินเซี่ยเหมินแทนที่จะไปลี่เจียงโดยตรง ก็เพราะว่าได้ขอให้คนขับแท็กซี่ซื้อตั๋วเครื่องบินโดยใช้โทรศัพท์มือถือของเขา และจากนั้นก็ส่งภาพหน้าจอของการสั่งซื้อทางอิเล็กทรอนิกส์ไปยังโทรศัพท์มือถือของเธอที่เปลี่ยนบัตรเก่าบนโทรศัพท์มือถือ บัตรใหม่เป็นบัตรตลาดมืดของคุณหญิงเจี่ยน ไม่ได้บัตรธนาคารใดๆ บนโทรศัพท์มือถือของเธอ

ด้วยความสามารถของบุคคลนั้น คนขับแท็กซี่จะถูกพบในไม่ช้าก็เร็ว เมื่อเป็นเช่นนั้น อีกฝ่ายหนึ่งก็จะรู้ว่าเธอไปที่ไหน เธอลบบันทึกทั้งหมดในโทรศัพท์ของคนขับอีกครั้ง เพื่อที่ว่าแม้ในที่สุดบุคคลนั้นจะหาคนขับพบที่นี่ เขาจะไม่รู้ว่าเธอเปลี่ยนชื่อและนามสกุลแล้ว อย่างมากที่สุดก็คิดว่าเธอได้ครบกำหนดอีกครั้ง เพื่อบัตรประชาชนใหม่

หากซื้อตั๋วในเมือง S อาจจะถูกคนของบุคคลนั้นปิดกั้นในสนามบินได้ เธอจึงไม่กล้าเดิมพัน

เธอคิดว่าต่อให้คนคนนี้ฉลาดแค่ไหน ในเวลาอันสั้นคงคิดไม่ถึงว่าเธอจะนั่งแท็กซี่ไปหางโจวและนั่งเครื่องบินไปอย่างลับๆ หรอกใช่ไหม?

สิ่งที่เจี่ยนถงไม่คาดคิดก็คือเธอยังไม่รู้จักชายคนนั้นมากพอ ว่าอีกฝ่ายไล่ตามมาแล้ว

เมื่อเสิ่นซิวจิ่นมาถึงหางโจว ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นอึมครึมทันที กีดขวางหยุดแท็กซี่ที่กำลังจอดพักอยู่ที่หางโจวชั่วขณะหนึ่ง "คุณขับรถโดยสารผู้หญิงคนนั้น รู้ไหมว่าเธอไปที่ไหน?"

คนขับแท็กซี่ผู้น่าสงสาร เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาถูกกลุ่มคนสวมชุดดำรายล้อม หยาดเหงื่อเม็ดใหญ่ไหลออกจากหน้าผากของเขา "ข้อมูลของผู้โดยสารผมไม่สามารถ……"

ทันทีที่พูดถึงตรงนี้ กลุ่มชุดดำที่อยู่รอบๆ ตัวก็เดินเข้ามาหาเขาอีกครั้ง "เดี๋ยว! มีอะไรก็พูดกันดีๆ!" นี่เขาก่อกรรมอะไรไว้กัน โดยสารคน แล้วยังเจออันธพาลสังคมอีก?

"คุณดูหน่อย ใช่เธอรึเปล่า" ขณะที่พูด เสิ่นซิวจิ่นชูโทรศัพท์ขึ้นต่อหน้าคนขับแท็กซี่ "เธอเป็นภรรยาของผม เธอไม่พอใจที่ผมไม่เอาใจใส่ จึงมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน บอกผมทีว่าเธอไปที่ไหน เธอตั้งท้องลูกของเราอยู่ในท้องด้วย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น……"

"โอ้ ที่แท้ก็หนุ่มสาวทะเลาะกัน ทำไมไม่พูดให้เร็วกว่านี้ล่ะ" คนขับแท็กซี่ปาดเหงื่อจากใบหน้าของเขา "ผมไปส่งเธอที่สนามบินแล้ว"

"สนามบิน?" เธอไปสนามบิน……แล้วบัตรประชาชนของเธอ ทำใหม่เหรอ? เธอคนเดียวไม่สามารถทำแบบนี้ได้แน่? ดวงตาของเขาค่อยๆ มืดมน……ตระกูลเจี่ยน!

ในช่วงเวลานี้ ผู้หญิงคนนั้นติดต่อกับตระกูลเจี่ยนมากที่สุด!

"เธอบอกว่าจะไปเมืองไหนครับ?"

"เซี่ยเหมิน เที่ยวบินที่เร็วที่สุด ผู้หญิงคนนั้น……รีบลงจากรถและบอกว่าเธอต้องรีบไปเช็คอิน"

เสิ่นซิวจิ่นพูดขึ้น "เสิ่นยี" เสิ่นยีหยิบเงินปึกหนึ่งออกมาทันที ประมาณห้าพันหยวน "คุณครับ นี่ถือเป็นการขอบคุณของเจ้านายผมครับ พอดีรีบออกมา และไม่ได้นำเงินสดมามากนัก ขอโทษนะครับ"

ด้วยคำพูดนั้น ไม่ว่าคนขับจะอยู่ตะลึงอะไรอยู่ เขายัดเงินไว้ในมือของคนขับ และเสิ่นยีก็ตามเสิ่นซิวจิ่นไปขึ้นรถทันที

"โทรไปถามว่ามีเที่ยวบินไปเซี่ยเหมินเพียงเที่ยวเดียวในช่วงเวลานี้รึเปล่า และเที่ยวบินนี้เพิ่งบินขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ไหม"

"ครับ"

ผ่านไปครู่หนึ่ง เสิ่นยีตอบ " Bossครับ เครื่องเพิ่งออกไป ทำอย่างไรดีครับ?"

"ฉันจำได้ว่าประธานจางของหางโจวมีเครื่องบินส่วนตัว?" เขาพูด และโทรหา "ประธานจาง" เพื่อยืมเครื่องบินทันที

หยาดเหงื่อบางๆ ก่อตัวขึ้นบนหน้าผากของซูเมิ่ง เสิ่นซิวจิ่นหรี่ตาลง "ซูเมิ่ง คุณร้อนมากเหรอ?"

"อืม นิดหน่อยค่ะ ฉันไม่ค่อยชินกับสภาพอากาศของหางโจว" เธอตอบค่อนข้างดี และเสิ่นซิวจิ่นก็เหล่มองที่ซูเมิ่งครู่หนึ่งก่อนจะละสายตาไปจากเธอ

แต่ไม่มีใครรู้ ว่าแผ่นหลังของซูเมิ่งนั้น เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อแล้ว

เครื่องบินส่วนตัวที่เสิ่นซิวจิ่นยืมมาได้บินขึ้นแล้ว

เขากำลังเดินทางไปเซี่ยเหมิน

เจี่ยนถงไม่ได้ขึ้นเครื่องบินไปเซี่ยเหมิน เธอเปลี่ยนเส้นทางตรงที่สนามบินและเข้าเมือง อย่างแรกเธอสมัครบัตรธนาคาร จากนั้นก็ไปโรงรับจำนำระดับสูง จำนำสร้อยเพชรเส้นหนึ่งและสร้อยข้อมือหยกเส้นหนึ่งในกล่องเหล็ก เธอมองดูสร้อยเพชรแถวนี้และสร้อยข้อมือหยกนั้น และรู้สึกว่าบางทีชีวิตก็น่าขันจริงๆ

เธอกำลังหนี แต่การหลบเลี่ยงนั้นเป็นของขวัญจากเขา

เครื่องประดับที่เสิ่นซิวจิ่นมอบให้เธอมีค่ามาก เธอรู้ว่าราคาของสร้อยข้อมือหยกนั้นอยู่ที่สามแสนหยวน นับประสาอะไรกับสร้อยเพชร แต่ตอนนี้โรงรับจำนำจงใจหักราคาและกดราคาลง สร้อยข้อมือหยกและกำไลเพชรรวมกันในราคาสามแสนหยวน

"มันคงไม่เป็นไรถ้าจะรังแกคนที่ไม่รู้ราคานี้ สร้อยข้อมือหยกอันเดียวนี้สามารถขายได้สามแสนหยวน" เธอพูด และเปลี่ยนการสนทนา "แต่ถ้าคุณสามารถออกเงินสดสามแสนได้ทันที ก็ได้ค่ะ"

"สินค้าสะอาดรึเปล่าคะ?"

เจี่ยนถงตระหนักว่าอีกฝ่ายเห็นเธออยากจะปล่อยเร็วๆ ดังนั้นจึงกลัวว่ามันเป็นสินค้าที่ไม่ทราบที่มา

เจี่ยนถงค้นกล่องเหล็กเพื่อหาใบเสร็จ "ทุกใบมีใบเสร็จ"

เมื่ออีกฝ่ายเห็นใบเสร็จก็โล่งใจ สำหรับเหตุผลที่เจี่ยนถงขายในราคาที่ต่ำเช่นนี้ ทำธุรกิจนี้ ตราบใดที่สินค้ามาจากแหล่งที่สะอาด ไม่มีอะไรอื่น ก็จะไม่ถามถึงเหตุผลมากกว่านี้ อีกฝ่ายก็พูดแต่เพียงว่า

"ขอใบเสร็จไว้ให้ดิฉันด้วยนะคะ" ขณะที่พูด ให้เรียกหาพนักงาน "ไปเตรียมเงินสดสามแสนไว้"

ผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมนี้ บางครั้งต้องการเงินสดจำนวนมาก และเงินสดจำนวนมากจะถูกเก็บไว้ในตู้นิรภัยเผื่อไว้

"ให้คนไปส่งคุณไหมคะ?"

เจี่ยนถงมองกลับไปที่อีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม "ขอบคุณค่ะ แต่ไม่เป็นไร"

เธอถือกระเป๋าผ้าสีดำ ซึ่งเป็นกระเป๋าสะพายไหล่ข้างเดียวขนาดใหญ่ที่ใช้ในวันธรรมดา เงินจำนวนสามแสนหยวนถูกนำออกมาแล้วยัดลงในกระเป๋า และเดินออกไป โดยไม่เป็นที่สะดุดตาเกินไป

ไปธนาคารอย่างเงียบๆ แล้วฝากเงินในบัตร เหลือเงินสดเพียง 1 หมื่นหยวนเท่านั้น

จากนั้น เธอนั่งแท็กซี่ไปหนิงปัว ไปหนิงปัวเพื่อเปลี่ยนเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ในกล่องเหล็ก และแลกเป็นเงิน ฝากไว้ในบัตร

และต่อแท็กซี่ไปซูโจว แล้วไปแลกเครื่องประดับในกล่องเหล็กเป็นเงิน และฝากเก็บไว้

เธอไม่ได้ขึ้นรถไฟ เครื่องบิน หรือรถเมล์ กล่องเหล็กบนตัวเธอไม่สามารถผ่านจุดตรวจความปลอดภัยได้ จึงนั่งแท็กซี่ไป เพื่อเปลี่ยนสถานที่ จนเหลือแหวนเพชรเพียงวงเดียวในกล่องเหล็ก เธอถูแหวนเพชร อยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน

เธอค่อยๆ นำแหวนเพชรใส่ในสร้อยคอที่ซูเมิ่งมอบให้เธออย่างช้าๆ และใส่กลับไปที่คอของเธอ

และซื้อตั๋วเครื่องบินไปลี่เจียง

จนกระทั่งถึงเวลาที่เครื่องบินออก เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก และรู้สึกถึงการเคลื่อนที่ขึ้นข้างบนของเครื่องบิน เธอรับรู้ได้เมื่อเครื่องขึ้น ในที่สุดเธอก็หลุดพ้นแล้ว!

ท้องฟ้าในลี่เจียงสีฟ้ามากและเหมือนอยู่ใกล้มาก ใกล้ราวกับว่าเอื้อมมือไปถึงมันได้ ทันทีที่เธอเดินออกจากสนามบิน เธอก็แทบจะทนไม่ไหวที่จะตะโกนสุดเสียงว่า อิสรภาพ!

"คุณจะไปไหนเหรอครับ?"

"เอ๋อร์ไห่……เอ๋อร์ไห่!" เธอพูดครั้งแรก และพูดอีกครั้งด้วยเสียงที่ดึงขึ้นเพื่อบอกคนขับเป็นครั้งที่สอง "ฉันจะไปเอ๋อร์ไห่ค่ะ!" เธอพูดหนักแน่นเป็นครั้งที่สาม

ราวกับว่าเธอยังไม่เชื่อว่าทุกสิ่งที่เธอรอคอยมาทั้งวันทั้งคืนจะเป็นความจริง เธอยืนยันกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า

"ได้ยินแล้ว ได้ยินแล้วครับ~ คุณครับ ไม่ต้องเสียงดังขนาดนั้นก็ได้ ผมไม่ใช่คนพิการ ผมได้ยินแล้ว~" คนขับพูดติดตลก เป็นกันเองและตลกมาก ต่อมา เจี่ยนถงดูเหมือนจะเปลี่ยนไปคนละคน พูดคุยกับคนขับ พอพูดเยอะขึ้น ก็นึกขึ้นได้ว่าคนขับคนนี้เป็นชนกลุ่มน้อย

"คุณจองโรงแรมแล้วหรือยังครับ? โรงแรมในเอ๋อร์ไห่มีความโดดเด่นมาก"

ระหว่างทาง คนขับก็สบายๆ เช่นกัน และทั้งสองก็คุยกัน คนขับขับรถจากลี่เจียงไปยังทิศทางของเอ๋อร์ไห่ การเดินทางอยู่ไกลหน่อย และการพูดคุยก็เป็นการฆ่าเวลาไป

เจี่ยนถงนึกได้อย่างรวดเร็ว ว่าเธอแค่อยากรีบมาที่นี่ แต่ลืมไปว่าเธอจะทำอะไรหลังจากมาถึงเอ๋อร์ไห่

เปิดโรงแรมห้องหนึ่งนั้นพูดง่าย แต่จริงๆ กลับไม่เป็นอย่างนั้น โชคดีที่เครื่องประดับในกล่องนั้นขายได้เงินมาจำนวนมาก

"ฉันอยาก……ฉันอยากหาสถานที่ที่มีคึกคัก ฉันมาที่เอ๋อร์ไห่เป็นครั้งแรก คุณรู้จักบ้างไหมคะ?"

"คึกคักเหรอ? คุณแปลกมาก คนอื่นต่างไปที่เมืองโบราณ แต่คุณกำลังมองหาสถานที่ห่างไกล บ้านของผมอยู่ที่เอ๋อร์ไห่ ปีที่แล้วเราได้เปลี่ยนบ้านบรรพบุรุษของครอบครัวเราเป็นโรงแรม ถ้าคุณยังไม่ได้จองโรงแรม พักโรงแรมของผมก่อนไหมครับ?"

เอ๋อร์ไห่ไม่ใช่ทะเล แต่เป็นทะเลสาบที่ใสที่สุดที่เจี่ยนถงเคยเห็น มันใหญ่มากและใหญ่จนไม่สามารถมองเห็นได้จากทั้งสองด้าน

"เปิดหน้าต่างสิครับ"

หน้าต่างรถเลื่อนลงมา และเธอก็ยื่นฝ่ามือออกไป กล้ายืดออกไปเล็กน้อยเท่านั้น รู้สึกว่าลมพัดมาที่ปลายนิ้วของเธอ มันคือความรู้สึกอิสระ ทุกครั้งที่ลมพัด ร่องรอยของความร้อนก็ถูกพรากไปจากปลายนิ้ว และสิ่งที่ผ่านมาในใจของเธอ ดีและร้าย ถูกลบออกไปทีละน้อย

เธอพูดกับตัวเอง ทุกอย่างผ่านไปแล้ว

ครั้งนี้มันผ่านไปแล้วจริงๆ

สิ่งที่เธอไม่รู้คือในวันที่เธอจากไป มีคนคลุ้มคลั่งคนหนึ่ง เขาขับรถไปทั่วทั้งเมือง S แต่ไม่พบใครเลย

ตระกูลเสิ่นได้ชะล้างขนาดใหญ่ เสิ่นยีคุกเข่าลงกับพื้น เขาไม่รู้ว่าคำพูดสามารถฆ่าคนได้ เขาไม่รู้ว่าคำพูดที่เขาเข้าใจหรือแนะนำเมื่อก่อนหน้านี้ มันทำร้ายผู้หญิงคนนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า และที่ยิ่งกว่านั้น คนที่ไม่รู้อะไรเลยอย่างเขา กับเหมือนกับคนอื่นๆ ที่ได้มอบคำดูถูกเหยียดหยามให้ผู้หญิงที่จากไปไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย

แต่สุดท้าย……ผู้หญิงคนนั้น กับบริสุทธิ์ที่สุด!

"ผมจะอธิบายให้คุณฟัง" บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ชายคนนั้นมีใบหน้าซึมเซา จอนผมยุ่งเหยิง หนวดเครายาวรก ที่มองไปแล้วเหมือนกับผ่านโลกมาอย่างโชกโชน แต่ดวงตาของเขาเย็นชาและหนาวเหน็บ

เขาชำเลืองมองเสิ่นยีที่คุกเข่าต่อหน้าเขา "ทำไมถึงเปลี่ยนไฟล์? นายกับไอ้สารเลวเฒ่านามสกุลเซี่ยรวมหัวกันเหรอ? งั้นบอกฉันมา ว่าเธออยู่ที่ไหน?"

เธออยู่ไหน นี่คือสิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุด!

"ผม……ไม่รู้ว่าคุณหญิงอยู่ที่ไหนครับ ผม……แค่ใจอ่อนไปชั่วขณะ"

"ได้!" ชายคนนั้นตะโกน และขมวดคิ้ว "ฉันสนใจแค่อย่างเดียว เธออยู่ที่ไหน" สำหรับเสิ่นยี เสิ่นซิวจิ่นในตอนนี้ไม่แยแสมาก "งานของนายจบลงแค่นี้ นายติดตามฉันมานานแล้ว ไปเถอะ"

" Boss!" เสิ่นยีไม่อยากจะเชื่อ "คุณสามารถลงโทษผมก็ได้ ไม่ว่าคุณต้องการอะไร! อย่าเพิ่งขับไล่ผมออกไปเลยครับ!"

"เสิ่นเอ้อ ส่งแขก" เสิ่นซิวจิ่นถูขมับอย่างเหนื่อยล้า ทุกวันนี้เขาแทบจะนอนไม่หลับ และเขาก็ไม่มีแรงจะเล่าให้คนอื่นฟัง

" Bo……"

"เสิ่นยี อย่าเพิ่งสร้างปัญหาตอนนี้!" เสิ่นเอ้อก้าวไปข้างหน้า "อย่าเพิ่มปัญหาให้Boss หลังจากคุณหญิงจากไป Bossก็คลุ้มคลั่ง ถ้านายอยากอยู่กับBossจริงๆ ก็ช่วยBossตามหาคุณหญิง ถือโอกาสตอนที่Bossยังคิดถึงความรู้สึกเก่าๆ รีบไปซะ!"

เสิ่นยีกัดฟันและจากไปอย่างไม่เต็มใจ

หัวของเสิ่นซิวจิ่นกำลังจะเบ่งบาน เสิ่นเอ้อก้าวไปข้างหน้า " Boss พักผ่อนเถอะครับ" หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คนแรกที่ล้มลงคือBoss!

"ไป!"

"ไปที่ไหนครับ?"

"ไปหาลู่หมิงชู!"

เขาไม่เชื่อ ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญที่ลู่หมิงชูปรากฏตัวในโกดังนั้นเพื่อสกัดกั้นเขา!

เมื่อระลึกถึงการกระทำของลู่หมิงชู เสิ่นซิวจิ่นไม่เชื่อว่าลู่หมิงชูปรากฏตัวที่นั่นเพื่อต่อสู้กับเขา และจากไปโดยไม่พูดอะไร

และเมื่อเขากำจัดลู่หมิงชู เจี่ยนถงได้ออกจากเมืองไปแล้ว!

คำอธิบายเดียวคือ ลู่หมิงชูจะอยู่ที่นั่นเพื่อซื้อเวลาให้เธอออกไป!

เบนท์ลีย์สีขับออกมาและพุ่งไปตามถนนในเมืองที่เจริญรุ่งเรืองนี้ จนกระทั่งมาถึงหน้าประตูบ้านพักตากอากาศ เสิ่นซิวจิ่นลงจากรถ เสิ่นเอ้อและคนอื่นๆ ที่ตามมาข้างหลังก็ลงจากรถและไปกับเสิ่นซิวจิ่น พวกเขาปรากฏตัวที่หน้าประตูบ้านพักตากอากาศด้วยกัน

เอื้อมมือออกไปกดกริ่งประตู

"คุณมาพบใครครับ?"

"มาหาเจ้านายของพวกนาย"

"รอสักครู่นะครับ……"

ก่อนที่พ่อบ้านจะพูดจบ ถูกพายุเฮอริเคนที่อยู่ข้างหน้าเขาพัดผ่านไป "คุณครับ คุณบุกเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวไม่ได้……"

"ให้เจ้านายของพวกนายฟ้องฉันสิ"

"……"

ในความคิดของพ่อบ้าน นี่เขากำลังเผชิญหน้าคือใครกัน

บนบันไดเวียน มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้น "ไม่มีเรื่องก็ไม่คงมา นามสกุลเสิ่น มีอะไรจะให้ฉันช่วยเหรอ?"

เสิ่นซิวจิ่นลุกขึ้นยืนทันที และมองขึ้นไปที่ชั้นสอง "ลู่หมิงชู วันนั้นที่นายปรากฏตัวในโกดัง จงใจใช่ไหม"

"ใช่ ฉันจงใจ" ลู่หมิงชูก็โกรธเช่นกัน

เสิ่นซิวจิ่นเย้ยหยัน "ยอมรับก็ดี เธออยู่ที่ไหน? เอาเธอออกมา"

"เธอ? เจี่ยนถง? นั่นคือภรรยาของนายนี่ นายไม่รู้ว่าเธอหายไปไหน แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไร?"

"ลู่หมิงชู คนฉลาดเขาไม่พูดจานัยๆ หรอกนะ นายกับท่านแก่ปฏิบัติกับฉันเหมือนคนโง่ เรื่องเมื่อสี่ปีที่แล้ว นายกับท่านแก่มีส่วนร่วมใช่ไหม?

ต่อให้ฉันไม่อยากทำก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เลือดครึ่งหนึ่งในร่างกายนายก็มีเหมือนกับของฉันเหมือนกัน!

ท่านแก่ยังคงเห็นแก่ตัว และต้องการให้นายกลับไปที่ตระกูลเสิ่น แต่นายลู่หมิงชูต้องการให้ฉันเรียกนายว่าพี่ชาย ฝันไปเถอะ!

นายเกลียดฉัน นายต้องการพิสูจน์อะไรในความวุ่นวายเมื่อสี่ปีก่อน? พิสูจน์ว่านายลู่หมิงชูดีกว่าฉัน?

เซี่ยเวยเหมิงเป็นผู้หญิงหน้าไหว้หลังหลอก เธอจ้างอันธพาลสองสามคน ต้องการทำลายความบริสุทธิ์ของเสี่ยวถง เพื่อที่เสี่ยวถงจะได้ไม่มีหน้าเจอใครอีก แต่สิ่งที่เธอไม่คาดคิดก็คือ ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง

พวกอันธพาลที่เธอเพิ่งจ้างไปก่อนหน้านั้น ลู่หมิงชูได้ให้ราคาสูงกว่าเพื่อจ้างต่ออีกที ให้พวกอันธพาลหักหลัง และทำลายความบริสุทธิ์ของเซี่ยเวยเหมิง โยนความผิดให้เจี่ยนถง ไม่ใช่ฝีมือของนายลู่หมิงชู งั้นก็เป็นฝีมือของท่านแก่ใช่ไหม?

เช่นเดียวกับเซี่ยเวยเหมิงที่คิดไม่ถึง ว่าตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง นายลู่หมิงชูก็คิดไม่ถึง ว่าหลังจากที่ความบริสุทธิ์ของเซี่ยเวยเหมิงถูกทำลาย ก็บอกเป็นนัยกับพ่อบ้านเซี่ย เถ้าแก่เนี้ยตระกูลเสิ่นนั้นจะมีผู้หญิงที่ถูกพลากความบริสุทธิ์ไม่ได้ พ่อบ้านเซี่ยจึงฆ่าเซี่ยเวยเหมิง และใส่ร้ายเจี่ยนถง หลักฐานเท็จเบื้องหลังเรื่องนี้เป็นเรื่องบังเอิญ เกรงว่าท่านแก่จะจงใจทำ มันไม่ใช่ 'ความบังเอิญ' เลยใช่ไหม?"

"โอ้? งั้นนายพูดสิ ทำไมท่านแก่ถึงใส่ร้ายเจี่ยนถง? ท่านแก่จะได้อะไรถ้าเขาทำลายเจี่ยนถง?" สีหน้าลู่หมิงชูดูราบเรียบ แต่ในใจนั้นกับเหมือนมีคลื่นลูกใหญ่

เรื่องนี้ นามสกุลเสิ่นได้รู้ความจริงแล้ว?

"อ่า~ ไม่ได้อะไร? ท่านแก่จะทำเรื่องที่ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเหรอ? นายคิดว่าท่านแก่เป็นคนดีสิบชาติหรือไง?" เขาเยาะเย้ย "ฉันไม่เข้าใจ แค่เจี่ยนถง คงไม่ขัดผลประโยชน์ของตระกูลเสิ่นหรอกใช่ไหม

แต่นายรู้ไหม ฉันได้ยินสิ่งที่ท่านแกพูดในโรงพยาบาลเมื่อวานว่าอะไร?

เขาพูดว่า เขาเคยบอกฉันตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก หากมีผู้หญิงในโลกนี้ที่สามารถส่งผลต่อความรู้สึกของฉันได้ อย่าลังเลที่จะทำลายมันด้วยมือของตัวเอง"

เมื่อถึงจุดนี้ เสิ่นซิวจิ่นก็พ่นลมหายใจเบาๆ มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังโกรธจบแทบเป็นบ้า!

"นั่นเป็นเหตุผลที่เขาทำอะไรบางอย่างกับเจี่ยนถง! ที่แท้แม้แต่ท่านแก่ก็ยังเห็นอิทธิพลของเจี่ยนถงที่มีต่อฉันตั้งแต่แรกแล้ว แต่ฉันก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในความโง่เขลา! ต่อมาฉันยิ่งถือดีและโยนเธอเข้าไปในสถานที่นั้น ปล่อยให้เธอแบกรับทุกสิ่งที่เธอไม่ควรมี!"

เขากำมือแน่น ยิ่งกำยิ่งแน่น อารมณ์ของเขาถูกกระตุ้น และรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ!

"ท่านแก่เสิ่นทำเพราะเหตุผลนี้เหรอ?" ลู่หมิงชูไม่อยากจะเชื่อ ว่าจะด้วยเหตุผลนี้ เขาเกือบจะทำลายผู้หญิงคนนั้นแล้ว?

เสิ่นซิวจิ่นเหลือบมองลู่หมิงชูอย่างเหน็บแนม "แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตั้งใจทำลายเจี่ยนถง แต่ทุกคนให้โอกาสเขา

เซี่ยเวยเหมิงให้มา พ่อบ้านเซี่ยให้มา นายให้มา ฉัน……ก็ยิ่งให้มา!"

หากเซี่ยเวยเหมิงไม่ต้องการทำลายความบริสุทธิ์ของเจี่ยนถง เมื่อทำลายเจี่ยนถงลู่หมิงชูจะไม่มีโอกาสซื้อคนเหล่านั้นกลับมาหักหลังได้ เซี่ยเวยเหมิงจะไม่สูญเสียความบริสุทธิ์ของเธอ เมื่อเซี่ยเวยเหมิงไม่สูญเสียความบริสุทธิ์ของเธอไป ท่านแก่ก็คงไม่ให้พ่อบ้านเซี่ยฆ่าเซี่ยเวยเหมิง แต่เป็นเจี่ยนถง

แต่เขา……ในเวลานั้นเขาเกลียดผู้หญิงคนนั้น และคิดว่าเธอสมควรได้รับมัน เขาปฏิเสธที่จะสืบสาวลงลึก และปฏิเสธที่จะเสียพลังงานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้หญิงคนนั้น ถึงอย่างไร "หลักฐานแน่นอน" ไม่ใช่เหรอ?

ลู่หมิงชูตกใจ ก่อนหน้านั้นเขาแค่คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเป็นเรื่องภายใต้ความตั้งใจของเขา เขามักจะคิดว่าเจี่ยนถงได้รับผลกระทบ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าเขามีความผิด แต่ความผิดไม่ควรได้รับโทษ สำหรับเจี่ยนถงมันเป็นเพียงร่องรอยของความอัปยศ แต่กลับเห็นอกเห็นใจและความสงสารมากกว่า

สำหรับเซี่ยเวยเหมิง……เซี่ยเวยเหมิงไม่ใช่คนดีอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้ว่าการตายของเซี่ยเวยเหมิง เป็นมือของพ่อบ้านเซี่ย

แต่ในเวลานี้คลื่นในใจเขากำลังโหมกระหน่ำ……ที่แท้ ผู้หญิงคนนั้นถูกไม่ได้ถูกผลกระทบอย่างธรรมดา ผู้หญิงคนนั้นกลายเป็นคนบาปตั้งแต่แรกเริ่ม!

4 ปีที่แล้ว เขาเพิ่งรู้ว่าเซี่ยเวยเหมิงต้องการทำอะไรบางอย่างกับเจี่ยนถง และเขาแค่จ้างพวกอันธพาลและทำให้เซี่ยเวยเหมิงสูญเสียความบริสุทธิ์ของเธอ……ซึ่งอาจส่งผลต่อจิตใจของเสิ่นซิวจิ่น และปล่อยให้เขาเป็นคนแพ้ในเกมนั้น และเขาใช้โอกาสนี้แทนเสิ่นซิวจิ่น

ความจริงภายใต้การต่อสู้แย่งชิงอำนาจ……คือเจี่ยนถงที่นองเลือด!

และเธอก็อดทนกับสิ่งนี้ ตกลงมาจากฟากฟ้าลงสู่พื้นดิน ณ เวลานี้ ลู่หมิงชูมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเข้าใจผู้หญิงคนนั้น!

"นายรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร? แม้ว่าฉันหรือพ่อบ้านเซี่ยจะลงมือ นายสามารถตรวจสอบได้ แล้วท่านแก่ล่ะ? ฉันไม่เชื่อว่าท่านแก่เสิ่นจะไม่จัดการตัวเองให้สะอาด แล้วให้นายจับได้หรอก" ลู่หมิงชูมองอย่างเย็นชา

เมื่อคำพูดนั้นได้พูดไปแล้ว เสิ่นซิวจิ่นก็สามารถบอกลู่หมิงชูได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจที่จะเปิดเผยอีกหนึ่งหรือสองประโยค

"นายยังติดต่อท่านแก่และคนของเขาได้เหรอ?"

ดวงตาของลู่หมิงชูเป็นประกาย และความคิดแวบเข้ามาในหัว เขาหยิบโทรศัพท์บ้านขึ้นมาทันทีและกดหมายเลขที่คุ้นเคย "หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้……"

เขาไม่เชื่อ เหลือบมองเสิ่นซิวจิ่นที่อยู่ข้างๆ แล้วโทรหาคนของท่านแก่ แต่เขาไม่สามารถติดต่อได้เช่นกัน

"นายกักบริเวณท่านแก่?"

เสิ่นซิวจิ่นพูดโดยไม่ตอบ

"นี่เป็นเรื่องของตระกูลเสิ่นของเรา ดังนั้นนายไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนนี้นายรู้แล้วว่านายควรรู้อะไร ลู่หมิงชู เธออยู่ไหน?"

"ฉันไม่รู้"

เสิ่นซิวจิ่นเหล่มองลู่หมิงชู คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันหลังกลับและจากไป……ลู่หมิงชูพูดอะไรนั้นไม่สำคัญ เขาพูดจริงหรือไม่ก็ไม่รู้ ไม่ได้ฟังสิ่งที่ ลู่หมิงชูพูด

ในเมื่อไม่สามารถหาคำตอบที่ต้องการได้ที่นี่ เขาจึงไม่เสียเวลา

หลังจากออกจากบ้านพักตากอากาศของตระกูลลู่และขึ้นรถ ใบหน้าของเขาก็เย็นชาไปครู่หนึ่ง "จับตาดูเขา"

"ครับ"

ลู่หมิงชูบอกว่าเขาไม่รู้ว่าก็ไม่รู้เหรอ?

" Bossครับ พวกอันธพาลเหล่านั้น?"

"ปล่อยไป ฉันไม่มีเวลามายุ่งกับพวกแมลงวันพวกนั้นแล้ว"

"ตอนนี้จะไปไหนครับ?"

"ตระกูลเจี่ยน" ดวงตาที่เย็นเยียบราวกับเหยี่ยวของชายผู้นั้นลดระดับลงในทันที

รถมาถึงตระกูลเจี่ยน

เจี่ยนเจิ้นตงยิ้มและต้อนรับเข้าไปในบ้าน "ประธานเสิ่น"

"รู้ไหม ทำไมเจี่ยนถงหายไป ผมถึงเป็นคนสุดท้ายที่มาหาตระกูลเจี่ยน?"

"เอ่อ…เสี่ยวถงหายไป?"

เสิ่นซิวจิ่นแสดงความเบื่อหน่ายระหว่างคิ้ว "เจี่ยนเจิ้นตง เป็นคนเจอคนมามาก เขาอ่านคนมานับไม่ถ้วน ใครแสดงใครจริงใจ เขาสามารถมองเห็นได้ชัดเจนในพริบตา"

และรู้ว่าเขาเป็นคนสุดท้ายที่มาตระกูลเจี่ยน ไม่ใช่เพราะว่าตระกูลเจี่ยนน่าสงสัยน้อยที่สุด เพียงเพราะว่าตระกูลเจี่ยนมีส่วนทำให้เกิดคำว่า 'เจี่ยน'

เจี่ยนเจิ้นตงตื่นตระหนกในทันใด……เกรงว่าน้ำเสียงและท่าทางนี้จะไม่ใช่เรื่องดี

อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีกว่าว่าเมื่อพูดในสิ่งที่เขารู้แล้ว มันจะยิ่งอันตรายมากขึ้นไปอีก

"ประธานเสิ่นคิดว่าเราซ่อนเสี่ยวถงไว้?" เจี่ยนเจิ้นตงยื่นสามนิ้วออกมา "ผมเจี่ยนเจิ้นตงสาบานกับฟ้าว่าไม่ได้ซ่อนเสี่ยวถงอย่างแน่นอน! ยิ่งกว่านั้น เราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับที่อยู่ของเสี่ยวถง! ถ้าพูดโกหก ก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นพ่อแม่ และให้ตระกูลเจี่ยนล้มละลาย!"

คำสาบานที่เป็นภัยเช่นนี้! เสิ่นซิวจิ่นรู้ดีว่าสิ่งที่เจี่ยนเจิ้นตงห่วงใยมากที่สุดคือตระกูลเจี่ยน ตอนนี้ที่เธอเอาตระกูลเจี่ยนมาสาบาน แปดเก้าในสิบ เจี่ยนเจิ้นตงไม่รู้ว่าเสี่ยวถงนั้นอยู่ที่ไหนจริงๆ

5 วันแล้ว!

ชายในห้องหนังสือพ่นลมหายใจเย็นเยียบออกมา

ฝั่งของลู่หมิงชูไม่ใส่สะอาด แต่ดูเหมือนว่ามีบางอย่างผิดปกติที่ฝั่งของลู่หมิงชู เสิ่นเอ้อแอบตามลู่หมิงชูอย่างลับๆ เมื่อเขาเห็นว่าอีกฝ่ายพบคนขับแท็กซี่ที่พาเจี่ยนถงไปที่หางโจว และไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก

ความคิดของลู่หมิงชูเหมือนกับเขา

ชายคนนั้นแสยะยิ้มเหยียดหยามตนเองออกมา……ในตอนแรกพวกเขาทั้งหมดทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ในท้ายที่สุด หลังจากที่พวกเขาทั้งหมดดิ้นรน ผู้หญิงคนนั้นก็กลายเป็นแพะรับบาปที่บริสุทธิ์และเข้าไปในกรงเหล็ก

แต่ตอนนี้ คงไม่มีใครคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะหลอกทุกคนได้แบบเงียบๆ

"เสี่ยวถง ทำได้ดีมาก" เขายิ้มอย่างขมขื่น

ก๊อกๆ

"เข้ามา"

" Bossคะ ฉันมาแล้ว" ซูเมิ่ง

เสียงกรอบแกรบข้างเตียงจากไม่ใกล้ไม่ไกล เงาสีดำปกคลุมดวงตาของเธอ เปลือกตาของซูเมิ่งกระตุกเล็กน้อย และเธอไม่กล้าที่จะทำการเคลื่อนไหวมากนัก เมื่อเธอมาถึง เธอเข้าใจว่านี่เป็นงานฉลองใหญ่ และเธอก็ลังเลว่าจะพูดความจริงดีไหม

แต่ในท้ายที่สุด เมื่อเห็นเจี่ยนถง ก็เหมือนกับที่เธอเคยเห็นตัวเอง เรื่องราวของเจี่ยนถง ดูเหมือนจะเป็นเรื่องราวของเธอเองในตอนนั้น

เธอกระตือรือร้นที่จะช่วยผู้หญิงโง่เขลาคนนั้นให้หนีไปได้ ทำไมเธอถึงไม่อยากช่วยตัวเองที่โง่เขลาแบบเดิมๆ มาก่อนล่ะ?

หลังจากได้ฟังเรื่องราวระหว่างผู้หญิงโง่เขลาคนนั้นกับผู้ชายตรงหน้าแล้ว ใครจะให้อภัยผู้ชายคนนี้ที่เคยทำร้ายคนได้ขนาดนี้?

แม้แต่ซูเมิ่ง เธอก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อมโนธรรมของเธอได้ เพราะตัวตนของชายตรงหน้าเธอเป็นเจ้านายใหญ่ของเธอ ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะให้อภัย ในเมื่อเธอไม่ใช่เจี่ยนถง เธอไม่สามารถให้อภัยแทนเจี่ยนถงได้ ถ้าเธอเป็นเจี่ยนถง เธอไม่สามารถให้อภัยสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้!

เช่นนั้น!

"วันนั้นเกิดอะไรขึ้น คุณพูดซ้ำอีกครั้งตั้งแต่ต้นจนจบ"

ซูเมิ่งสงบนิ่ง จิตใจของเธอแจ่มใส และเธอก็เล่าเหตุการณ์ในวันนั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง คำพูดของเธอมีข้อบกพร่อง แต่คำพูดของเธอมีความจริงใจและน่าเชื่อถือมากกว่า

ในหนังสืออาชญาวิทยา คำพูดที่เกินจริงเกินไปและไม่มีข้อบกพร่องถูกย้ำในใจพวกเขา

ดังนั้นจึงมีข้อบกพร่องในคำพูดของซูเมิ่ง

เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้พูดอะไร ในขณะที่เขาไม่พบหลักฐานที่น่าสงสัยสำหรับเธอจากคำพูดของซูเมิ่ง

และเธอไม่จำเป็น สำหรับเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องนี้ เธอต้องรับผิดชอบทุกอย่างที่เธอทำหลังจากเหตุการณ์ถูกเปิดเผย

เสิ่นซิวจิ่นยังคงไม่เข้าใจซูเมิ่ง อย่างน้อย เขาก็ไม่เข้าใจซูเมิ่งเมื่อหลายปีก่อน ซูเมิ่งที่เขารู้จักนั้นภักดีและเป็นประโยชน์ เห็นแก่ตัวและเย็นชา เพื่อที่จะได้อยู่ในตงหวง คืนแล้วคืนเล่า มองดูการต้อนรับและการจากไปอย่างเย็นชา ชีวิตล้าสมัย

คนเช่นนั้น จะลุยลงไปในแอ่งน้ำโคลนเพื่อสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องและสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์กับตัวเองได้อย่างไร

เขาเอื้อมมือไปอย่างเหนื่อยหน่าย เขาโบกมือให้ซูเมิ่ง "คุณไปเถอะ"

เขาหาไม่เจอ! หาที่ไหนก็ไม่เจอ!

จากนั้นถึงพบว่า เธอกำลังเดินอย่างไร้ร่องรอย เขากลับไม่มีแม้แต่ทิศทางที่เธอจะไป และไม่มีความคิดใดๆ เลย

พวกอันธพาลเหล่านั้นถูกเขาทรมานไปครึ่งชีวิตแล้ว แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด!

รถชั้นล่างบีบแตรสองครั้ง เขากวาดมองลงไปด้านล่าง และเห็นคนลงจากรถ เขาชะงัก……ใช่เขาหรือเปล่า?

ชั้นล่าง พ่อบ้านหวังถามอย่างสุภาพ "คุณชาย คุณคือ?"

"บอกคุณชายของคุณว่า เซียวเหิงจากตระกูลเซียวจะมาเยี่ยม"

ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ เสียงเย็นชาก็ขัดจังหวะคำพูดนั้น

"ไม่ต้อง ฉันอยู่นี่แล้ว" เสิ่นซิวจิ่นยืนอยู่ที่ชั้นบนสุดของบันได "คนซื่อตรงไม่พูดอย่างลับๆ เซียวเหิง นายมาทำอะไรที่นี่"

"ฉันมาเยาะเย้ยนาย"

เห็นได้ชัดว่าเป็นคำพูดน่ารำคาญ เสิ่นซิวจิ่นยืนอยู่บนบันได ดวงตาสีเข้มของเขาจ้องไปที่ชายผู้เยาะเย้ยที่ประตู และไม่ได้พูดอะไรสักคำอยู่เป็นเวลานาน

บรรยากาศเงียบและแปลกประหลาดราวกับความสงบก่อนเกิดพายุ

พ่อบ้านหวังมีความคิดที่อยากหลีกเลี่ยง ขั้นบันไดที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขานั้นหนักมาก เหมือนมีตะปูอยู่และไม่สามารถยกขาขึ้นได้

เขาแอบตำหนิเซียวเหิงว่าเป็นแขกที่หยาบคายเกินไป ในขณะนี้ ในช่วงเวลาที่อ่อนไหว เขาเป็นพ่อบ้านมาหลายปีแล้ว และเขาไม่เคยเห็นอะไรพิเศษเช่นนี้ ที่มายั่วยุเป็นการส่วนตัว

"เยาะเย้ยอะไร? บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปไม่ได้ล้มละลาย ตระกูลเสิ่นก็ยังอยู่ แค่กระทืบเท้า เมือง S ก็สั่นสะท้านถึงสองครั้ง"

เซียวเหิงยิ้มอย่างเย้ยหยัน "อืมๆ ตระกูลเสิ่นยังคงเป็นผู้นำ ไม่ต้องพูดถึงการกระทืบเท้าหรอก แม้แต่จามก็เขย่าเมือง S ทั้งหมดได้" เขาก้มริมฝีปากอย่างยั่วยุ "แต่นายเสิ่นซิวจิ่น แม้แต่ดูภรรยาก็ยังจับตาดูไม่ได้นะ! ฮ่าๆๆ ขอฉันหัวเราะหน่อยนะ แล้วอย่าพูดเลย คุณชายเสิ่นผู้แข็งแกร่งไม่สามารถแม้แต่จะจับตาดูภรรยาได้ ทั่วทั้งเมือง S ใครบ้างจะไม่เยาะเย้ยนาย?"

พ่อบ้านหวังรีบเดินไปข้างหน้าและปิดปากเจ้าปัญหาของเซียวเหิง

บรรยากาศเงียบกริบกว่าเดิม!

รอยยิ้มของเซียวเหิงนั้นอธิบายไม่ได้ พ่อบ้านหวังซึ่งไม่ใช่บุคคลที่เกี่ยวข้องมีความรู้สึกคันศีรษะเกิดขึ้น เขาแอบดูชายบนขั้นบันได และพ่อบ้านหวัง พูดว่า เห็นท่าไม่ดี

เมื่อบรรยากาศตึงเครียด เสียงหัวเราะทำให้ทุกคนในห้องนี้ประหลาดใจ เซียวเหิงมองไปที่ที่มาของเสียงหัวเราะและระหว่างคิ้วของเขาไม่สามารถปกปิดได้……เขาตาพร่าหรือยังหลับไม่ตื่น? ตอนนี้นามสกุลเสิ่น ยังคิดที่จะยิ้มได้อยู่อีก?

นี่ไม่ควรยกกำปั้นขึ้นชกเขาด้วยความโกรธเหรอ?

ไม่ควรต่อสู้กับเขาอย่างจริงจังเหรอ?

ถึงได้……หัวเราะ?

นามสกุลเสิ่นบ้าไปแล้วใช่ไหม?

"นายควรมาฉันเยาะเย้ยฉัน นายพูดถูก ฉันยังรักษาคนที่ฉันชอบไว้ไม่ได้"

"……" บ้าจริงเหรอ?! ……หลังจากได้ยินประโยคที่ฉับพลันนี้จากเสิ่นซิวจิ่น เซียวเหิงก็ตะลึงในทันที……เขามาเยาะเย้ยเสิ่นซิวจิ่น แต่ไม่ได้มาดูเสิ่นซิวจิ่นแบบนี้!

"คนทั้งเมืองเยาะเย้ยฉันอยู่ สมควรไหม? สมควร! คนที่ตัวเองชอบอยู่เคียงข้างฉันมานาน แต่ปล่อยให้ตัวเองทำลายอนาคตที่ควรมีได้

บนโลกนี้ สิ่งที่เศร้าที่สุดไม่ใช่ 'ไม่เคยมี' 'แต่เดิมทีนั้นมี' ……ในโลกนี้มีคนโง่กว่าฉันอีกไหม?"

ชายบนบันไดพูดอย่างเย้ยหยัน ความเศร้า หดหู่ ทำให้คนหายใจไม่ออก

เซียวเหิงเงียบ การเย้ยหยันและความลำพองใจทั้งหมดก็หายไป "มากกว่านาย"

มีเพียงสามคำง่ายๆ แต่ยังซ่อนความเสียใจที่หาตัวจับยาก

"คนโง่ มีมากกว่านายเหรอ?" แล้วเขาล่ะ!

เขาหันศีรษะแล้วพูดกับพ่อบ้านหวังที่มีความรู้สึกต่ำต้อยของการดำรงอยู่ด้านข้างว่า "รบกวนช่วยฉันเอาของท้ายรถลงมาหน่อย" หลังจากนั้นกุญแจรถพาราโบลาก็ตกลงบนฝ่ามือของพ่อบ้านหวัง

ผ่านไปครู่หนึ่ง พ่อบ้านหวังก็เดินเข้ามาพร้อมกับกล่องไม้สี่เหลี่ยม "คุณเซียว นี่รึเปล่าครับ?"

"ให้ฉันก็พอ"

เซียวเหิงหยิบกล่องไม้ทรงสี่เหลี่ยมมา เปิดอย่างชำนาญ และยกขวดในกล่องไม้ออก "นี่ เสิ่นซิวจิ่น ดื่มหน่อยไหม?" เขาพูดพร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น "ฉันไม่ได้มาเพื่อหัวเราะเยาะนายนะ" หัวเราะเยาะเสิ่นซิวจิ่น? ตำแหน่งของเขาคืออะไร? นี่มันเรื่องตลกอะไร?

"ฉันมาเมาเป็นเพื่อนนาย!" เขาว่า "เราทุกคนเหมือนกัน เราทุกคนต่างมีศักดิ์ศรี เคารพตนเองและภาคภูมิใจในตนเอง แต่เราลืมหันกลับมามองคนข้างหลัง มองดูหัวใจในหน้าอกของเราว่าเต้นแรงเพราะใคร

จากนั้น เราทุกคนต่างทำร้ายผู้หญิงที่เรารัก และสุดท้ายเราก็ต้องพ่ายแพ้"

เสิ่นซิวจิ่นมองไปที่เซียวเหิงเป็นเวลานานและส่ายหัว "ฉันแตกต่างจากนาย" เขาเหลือบไปที่ไวน์แดงในมือของเซียวเหิง "ฉันไม่จำเป็นต้องเมาเพื่อบรรเทาความเศร้าโศกของฉัน และฉันจะไม่ดื่มไวน์กับนาย"

เซียวเหิงในใจสั่นไหวและพูดอย่างกระตือรือร้นว่า "เสิ่นซิวจิ่น นายไม่คิดว่ากระจกที่แตกสลายจะกลับคืนมาได้เหรอ? นายไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะกลับมาเหรอ?

นายไม่รู้จักเธอเลย!

เธอเป็นคนถ่อมตัว แต่ดื้อรั้นและอดทน!

สิ่งที่เธอต้องการทำ แม้ว่านายไม่อยากทำ เธอก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยภายใต้เปลือกตาของคุณชายเสิ่นอย่างนาย?

นายบอกว่าเธอเป็นภรรยาของนาย แต่เสิ่นซิวจิ่น 'ภรรยา' ในปากของนาย สำหรับเธอ เป็นเพียงหนึ่งในความอดทนที่นับไม่ถ้วนของเธอ เป็นการประนีประนอมที่เธอทำในวันที่เธอจากไป!

เธอต้องการจะแต่งงานกับนายจริงๆ เหรอ?

เธออยากอยู่เคียงข้างนายจริงๆ เหรอ?

เสิ่นซิวจิ่น นายมันน่าขันมาก! จนตอนนี้ยังฝันคิดว่าเธอจะกลายเป็นคนเดิม และรักนาย?"

เซียวเหิงไม่รู้ว่าใครที่เขาพยายามโน้มน้าวใจ เสิ่นซิวจิ่นที่อยู่ฝั่งตรงข้าม หรือ……ตัวเขาเอง!

ความเร็วในการพูดของเขาเร็วมาก เร็วขึ้น และเร็วขึ้น เสียงของเขาก็คมชัดขึ้นเรื่อยๆ ตัวเขาเองอาจไม่ได้สังเกตเห็นความตื่นตระหนกในหัวใจของเขา

เสิ่นซิวจิ่นเพียงแค่เหลือบมองเซียวเหิง "ฉันไม่รู้ว่าฉันเข้าใจเธอรึเปล่า แต่ฉันเข้าใจตัวเอง เซียวเหิง ฉันกับนาย แตกต่างกัน"

เซียวเหิงโกรธอย่างอธิบายไม่ถูก "เธอไปแล้ว! นายหาไม่เจอหรอก! ประเทศจีนใหญ่ขนาดนี้ นายจะทำอย่างไรได้?"

"ทุกที่ที่ฉันสามารถไปด้วยเท้าของฉัน ที่ที่เสิ่นซิวจิ่นสามารถไปได้ ฉันจะไปหา จนวันที่ฉันเดินไม่ได้อีกต่อไป" ดวงตาสีดำของเขาลึกลงไป และอึมครึมขึ้นมา จ้องมองไปที่ใบหน้าของเซียวเหิง ริมฝีปากบางของเขาขยับเล็กน้อย "จะหาให้ถึงที่สุด"

ใบหน้าของเซียวเหิงซีดทันที!

จ้องมองไปที่ชายบนบันไดอย่างจดจ่อ หลังจากเฝ้าดูอยู่นาน เขาก็หัวเราะอย่างมีความสุข "นายต้องล้มเหลวอย่างแน่นอน!"

เสิ่นซิวจิ่นเพิกเฉยและพูดเบาๆ กับพ่อบ้านหวัง "พ่อบ้าน ส่งแขก"

เซียวเหิงดูซีดเซียวและมองลงไปที่พื้น ภายใต้การจ้องมองที่ "สุภาพ" ของพ่อบ้านหวัง เขาเดินออกไปและกำลังจะก้าวพ้นจากสายตาของเสิ่นซิวจิ่น ดวงตาของชายที่อยู่ข้างหลังเขาขยับเล็กน้อย "เซียวเหิง มีเหตุผลหนึ่งที่นายไม่เข้าใจ เพราะเธอเป็นภรรยาของฉัน ไม่ใช่ของนาย เพราะคนที่เธอจากไปโดยไม่พูดอะไรคือฉัน ไม่ใช่นาย ทางเลือกของฉันกับนาย จึงแตกต่างกัน"

หลังจากพูดจบ เขาก็เลิกสนใจเซียวเหิง และหันหลังกลับเดินขึ้นไปชั้นบนตามขั้นบันได

เซียวเหิงร่างกายสั่นเทาจนเขานั่งบนที่นั่งคนขับ เขาก็อยู่ในภวังค์……เป็นเพราะพวกเขาต่างกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกแตกต่างกัน……ฮา ฮ่าฮ่าฮ่า~

เมื่อหลับตาลง จู่ๆ น้ำตาก็ไหลลงมา เจี่ยนถง เป็นเพราะแบบนี้เหรอ? ดังนั้นในเรื่องนี้จึงมีเพียงเสิ่นซิวจิ่นและเจี่ยนถง ไม่ใช่ เซียวเหิงใช่ไหม?

เขาลืมตาขึ้นและมองดูไวน์แดงในมือด้วยสายตาเยาะเย้ย "วันนี้ ฉันมาที่นี่เพื่ออะไร?" ในตอนแรกเขาบอกว่าเขามาที่นี่เพื่อหัวเราะเยาะนามสกุลเสิ่น ต่อมาเขาบอกว่า เขาและคนที่นามสกุลเสิ่น ต่างก็ทำผิด และก็มาเมาให้ถึงที่สุดกับนามสกุลเสิ่น

ตอนนี้อะไร?

เซียวเหิงมองขวดไวน์ในมืออย่างว่างเปล่า……เขาถามตัวเองว่า วันนี้เขามาที่นี่เพื่ออะไร?

3 ปีต่อมา

ริมทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ มีโฮมสเตย์ที่ไม่ได้สะดุดตาอะไรอยู่หลังหนึ่ง ว่ากันว่าเป็นโฮมสเตย์ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นแค่บังกะโล 3 ชั้นเท่านั้น เมื่อเทียบกับโฮมสเตย์อื่นๆ รอบๆ โฮมสเตย์นี้มีขนาดเล็กมาก

แม้ว่าอยู่ข้างๆ เอ๋อร์ไห่ แต่ทำเลก็ไม่ค่อยดีนัก โฮมสเตย์ที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากอาคารสไตล์ตะวันตกขนาดเล็กแห่งนี้หลายร้อยเมตร

ผู้หญิงใส่เสื้อและกางเกงขากว้างผ้าลินินที่มักพบเห็นได้ทั่วไปในท้องที่ นอนอยู่บนเฉลียงชั้นที่หนึ่ง เก้าอี้นั่งเล่นสมัยเก่าทำด้วยไม้ไผ่ แกว่งไปแกว่งมา หญิงคนนั้นก็แกว่งไปมา ถัดจากเก้าอี้นั่งเล่นบนเก้าอี้สี่เหลี่ยม มีกาน้ำชาผูเอ่อเปลือกส้มสีส้มทองและถ้วยชาครึ่งถ้วย บางครั้งนกน้ำสองสามตัวบินเหนือพื้นผิวของเอ๋อร์ไห่ เป็นความพิเศษของเอ๋อร์ไห่

ท้องฟ้าสีครามกำลังจะหายไป และสามารถเข้าถึงเมฆสีขาวและอ่อนนุ่มด้วยมือการยื่นมือออกไป ต้นไม้เก่าล้มอยู่บนชายฝั่ง จากนั้นพื้นผิวของทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ก็สูงขึ้น และจมอยู่ใต้น้ำครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นเพียงครึ่งเดียวของตอไม้เก่า ไม่รู้ว่านกแก้วจากที่ไหนบินมา และถูกผู้หญิงบนเก้าอี้คนนั้นรับเลี้ยงไว้

ทุกอย่างเป็นไปอย่างสบายๆ และเป็นที่พอใจโดยไม่ต้องกังวลกับโลก

จากที่ไกลเป็นใกล้ เสียงร้องจิ๊บๆ ที่มีพลังขัดจังหวะความเงียบสงบของยามเย็น

"เถ้าแก่เนี้ยคะ แย่แล้ว! คู่รักที่ชั้นสองทะเลาะกันแล้ว!!! คุณรีบไปเร็ว!" ผู้ช่วยสาวตัวน้อย ชื่อจาวจาว กระโดดรีบมาหาผู้หญิงที่นอนอยู่บนเก้าอี้นั่งเล่นอย่างเร่งรีบ

"โอเคจาวจาว ขอนอนต่อหน่อย" ผู้หญิงคนนั้นหันมาพูดอย่างใจเย็น แล้วเธอก็เปลี่ยนทิศทางแล้วนอนต่อบนเก้าอี้นั่งเล่นที่ไม่กว้างขวางพอ ในตอนนั้น ตาของเธอยากที่จะยอมลืมขึ้น

"โถ่? เถ้าแก่เนี้ย ขนาดนี้แล้ว คุณยังนอนได้อีกเหรอคะ ลุกขึ้นเถอะค่ะ"

ผู้หญิงบนเก้าอี้นั่งเล่นคนนั้น สีหน้าอดทน ในที่สุดก็นั่งบนเก้าอี้นั่งเล่นในขณะที่สาวผู้ช่วยพูดด้วยน้ำเสียงแปลกๆ

"จาวจาว เธอดูละครหลังข่าวเหล่านั้นอีกแล้วเหรอ? บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียนแบบน้ำเสียงของไต้หวันอีก เรียนแบบก็เรียบแบบไม่เหมือน แล้วสำเนียงยังไม่ได้มาตรฐานอีก……จาวจาว ราชินี เทพธิดา พระพันปี……ได้โปรด ไว้ชีวิตข้า อย่าวางยาพิษใส่หูข้าอีกเลย~"

"เถ้าแก่เนี้ยคะ!" หญิงสาวชื่อจาวจาวโกรธมาก จ้องเขม็งด้วยความโกรธ น่าเสียดายที่เธอเกิดมาพร้อมกับหน้าหมวย และดูไม่ดุเลย แต่เธอคิดว่าเธอดุร้ายแล้ว "เถ้าแก่เนี้ยคะ! ฉันจะโกรธแล้วนะ! "

"โอเค เธอต้องรับผิดชอบเรื่องโกรธ ส่วนฉันรับผิดชอบเรื่องนอน" เธอพูดและนอนลงอีกครั้ง

ก่อนที่จะนอนลง จาวจาวคว้าแขนของเธอไว้ "เถ้าแก่เนี้ยคะ คู่รักบนชั้นสองกำลังจะรื้อโรงแรมเล็กๆ ของเราแล้ว! คุณยังคงนั่งลงได้อย่างไร!"

หญิงสาวบนเก้าอี้นั่งเล่นยอมจำนนอย่างรวดเร็วโดยยกมือขึ้น " OK OK ราชินีจาวจาว ฉันจะไป ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ โอเคไหม? ได้โปรดอย่าพูดสำเนียงท้องถิ่นนี้ด้วยสำเนียงไต้หวัน มันน่าพิศวงเกินไป "

"เถ้าแก่เนี้ยคะ อย่าหัวเราะเยาะคนแบบนั้นสิคะ"

ผู้หญิงคนนั้นถูขมับด้วยอาการปวดหัว

"เถ้าแก่เนี้ยคะ คุณเป็นอะไร? ปวดหัวไมเกรนอีกแล้วเหรอ?" ความห่วงใยของเด็กสาวนั้นตรงไปตรงมาเสมอ โดยไม่มีการคิดคำนวณแม้แต่น้อย ผู้หญิงคนนั้นโบกมือ "ไม่เป็นไรจาวจาวช่วยพยุงฉันหน่อย ฉันนอนจะเวียนหัวนิดหน่อย"

เมื่อพูดจบ ก็ยื่นลูกอมชิ้นหนึ่งให้หญิงสาวตรงหน้าว่า "เถ้าแก่เนี้ยคะ น้ำตาลในเลือดต่ำก็คือน้ำตาลในเลือดต่ำ นอนจะเวียนหัวนิดหน่อยอะไรกันคะ ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้นะ"

ผู้หญิงคนนั้นยอมรับความใจดีของจาวจาวอย่างง่ายดาย หยิบลูกอมขึ้นมาในฝ่ามือของจาวจาวอย่างเงียบๆ ลอกกระดาษออกแล้วใส่เข้าไปในปาก กลิ่นหอมของดอกกุหลาบติดอยู่ระหว่างริมฝีปากและฟันของเธอ อุดมไปด้วยดอกกุหลาบ ดังนั้นเค้กกุหลาบจึงเป็นที่รู้จักกันดี ลูกอมที่ซื้อก็กลายเป็นกลิ่นกุหลาบแบบนี้ด้วย

เมื่อได้รับน้ำตาลก็ดีขึ้นกว่าเดิม ภายใต้ท้องฟ้าสีครามและเมฆสีขาว หญิงสาวค่อยๆ ยกผ้าห่มบางๆ บนร่างกายขึ้น แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้ ราวกับว่าสำหรับเธอแล้วสามารถช้าลงได้ จังหวะ เวลา สำหรับเธอแล้ว เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ที่สุด

จาวจาวหยิบถ้วยชาขึ้นจากเก้าอี้สี่เหลี่ยมทันที ถือที่วางแก้วแล้วยื่นให้หญิงสาว เมื่อเธอยืนขึ้น ผมของผู้หญิงคนนั้นยาวอย่างน่าประหลาดใจ ยาวถึงเอว มัดอย่างหลวมๆ ด้วยเชือกผูกผม เอื้อมมือมาหยิบถ้วยชาที่จาวจาวส่งให้ ยกฝาถ้วยขึ้นจิบแล้วปิดอีกครั้ง

"จาวจาว หยิบสัญญา และตามมา" หลังจากที่หญิงสาวพูดจบ เธอก้าวเดินเข้าไปในห้อง อย่างช้าๆ

"เถ้าแก่เนี้ยคะ ฉันมาแล้ว" จาวจาวรีบไปที่เคาน์เตอร์และหยิบซองเอกสาร วิ่งตามหญิงสาวไปทีละก้าว เธอเดินช้ามาก จาวจาวก็เดินตามอย่างช้าๆ จากระเบียงไปจนถึงชั้นสอง คนทั่วไปใช้เวลาสองหรือสามนาที แต่พวกเธอใช้เวลานานกว่าสองเท่า หญิงสาวเดินอย่างช้าๆ จาวจาวก็ไม่เร่งรีบ

บนชั้นสอง เมื่อยืนอยู่ในโถงทางเดิน ก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันอย่างรุนแรงระหว่างชายและหญิง

ผู้หญิงหยุดฝีเท้า ความสบายๆ ของระหว่างคิ้วเธอหายไป และเปลี่ยนเป็นความเฉยเมย จาวจาวไม่รู้ว่าทำไม ทุกครั้งที่มีแขกทะเลาะวิวาทในโรงแรม เถ้าแก่เนี้ยที่เฉื่อยชาก็เฉยเมยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สีหน้าที่มักอ่อนโยนก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนกับเถ้าแก่เนี้ยคนเดิม

เพล้ง~

มีเสียงของแตกออกจากห้องนั้น ใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไป เธอยกเท้าขึ้นและเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวโดยไม่พูดอะไรสักคำ หยุดที่หน้าประตูห้องนั้น แล้วเอื้อมมือออกไปเคาะประตูห้องนั้น

"เปิดประตู"

คนในห้องเอาแต่เถียงไม่มีใครสนใจเสียงเรียกให้ "ประตูเปิด" จากด้านนอก

"จาวจาว" หญิงสาวก้าวถอยหลังทิ้งช่องว่าง และส่งสัญญาณให้จาวจาวเปิดประตูด้วยการ์ดประตูสำรอง มีเสียง "คลิก" เล็กน้อย ทำให้คนสองคนในห้องหยุดส่งเสียง และมองไปที่ประตูที่เปิดขึ้นอย่างกะทันหัน

ประตูเปิดออก คนสองคนยืนอยู่ที่ประตู

หนุ่มสาวในห้องดูเหมือนจะเป็นพนักงานของโรงแรม และทันใดนั้นความตึงเครียดของการเปิดประตูก็คลี่คลายลง

จู่ๆ ก็พูดด้วยความไม่พอใจ "ใครอนุญาตให้คุณเข้ามา คุณไม่รู้สิทธิ์ในความเป็นส่วนตัวเหรอ? พฤติกรรมที่ไม่สุภาพของคุณละเมิดความเป็นส่วนตัวของฉันและแฟนของฉัน!"

ผู้หญิงที่หน้าประตูไม่สนใจคู่หนุ่มสาวที่ส่งเสียงดังในห้อง และมองไปรอบๆ ห้อง "เชิญคุณทั้งสอง เก็บของของตัวเองและออกไปจากที่นี่ตอนนี้เลยค่ะ"

คู่หนุ่มสาวในห้องนี้ต่างคาดไม่ถึงว่าพนักงานที่นี่จะพูดแบบนั้น ชายคนนั้นหน้าแดงทันที "มีสิทธิ์อะไร! เราจ่ายค่าห้องล่วงหน้าห้าวัน! โรงแรมของคุณมีสิทธิ์อะไรมาขับไล่แขกออกไป? เรียกเจ้าของโรงแรมมา ฉันอยากจะถามเขาว่า มีพนักงานทรามๆ อย่างคุณได้อย่างไร!"

"ฉันเป็นเจ้าของ"

"คุณเป็นเจ้าของ และคุณยังเอาผิดพนักงานแบบนี้……คุณเป็นเจ้าของเหรอ???"

"ฉันเป็นเจ้าของที่นี่" ผู้หญิงที่ประตูมองคู่รักหนุ่มสาวที่อยู่ตรงข้ามเธออย่างเฉยเมย "ตอนนี้เชิญเก็บกระเป๋าของคุณแล้วออกจากที่นี่ด้วยค่ะ"

ใบหน้าของชายผู้นั้นแดงขึ้น และพูดเสียงดัง "มีสิทธิ์อะไร! คุณกลั่นแกล้งลูกค้า โรงแรมโทรมๆ แบบนี้ยังกลั่นแกล้งลูกค้าอีกเหรอ??"

อุณหภูมิดวงตาของหญิงสาวที่ประตูค่อยๆ ลดลง "จาวจาวเอาสัญญาให้พวกเขาดู"

ทั้งคู่รับซองเอกสารในมือของจาวจาว ผู้หญิงที่ประตูพูดว่า "ในตอนที่พวกคุณเช็คอิน พนักงานน่าจะบอกคุณว่าสามารถทำอะไรที่นี่ก็ได้ แต่ห้ามทะเลาะวิวาท ใช่ไหมคะ? พวกคุณเซ็นชื่อในข้อตกลงก่อนเข้าพัก นั้นแสดงว่าพวกคุณยอมรับข้อตกลงระหว่างทั้งสองฝ่าย"

คู่หนุ่มสาวถือแบบฟอร์มยินยอมเมื่อเช็คอิน และสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป

"เราไม่ได้ทะเลาะกัน"

"ฉันไม่ได้ตาบอด" สายตาของหญิงสาวกวาดไปที่พื้น โซฟา และโต๊ะทีละตัว ของระเกะระกะมาก หลักฐานการทะเลาะวิวาทของพวกเขา แม้แต่มือของทั้งคู่ก็วางไว้ต่อหน้าต่อตาเธอ

ชายคนนั้นรู้สึกอับอายมาก แม้ว่าเขาจะเซ็นชื่อในแบบฟอร์มยินยอม แต่ถูกไล่ออกแบบนี้ ใจเขาก็รู้สึกยอมไม่ได้

"คุณรอก่อน ผมจะเปิดโปงคุณในโลกออนไลน์ เจ้าของใจดำ!"

"แล้วแต่คุณ" เธอพูดสองคำอย่างเฉยเมย แล้วหันหลังเดินจากไป "จาวจาว คืนเงินค่าห้องสามวันที่พวกเขาไม่ได้เข้าพักไป แล้วเรียกอาเซิ่งมาดูที่นี่"

"มีอะไรดีกัน! แค่โรงแรมโทรมๆ ในเอ๋อร์ไห่ คุณไม่จำเป็นต้องไล่ ผมก็ไม่เต็มใจจะอยู่โรงแรมโทรมๆ ของคุณหรอก!"

"ผมจะเปิดโปงคุณอย่างแน่นอน! แน่นอน! เจ้าของใจดำ! หาเงินอย่างใจดำ!"

เมื่อหญิงสาวที่ประตูและจาวจาวจากไป ชายหนุ่มก็พูดอย่างโกรธเคืองกับแฟนสาวของเขาว่า "หยิงหยิง ผมต้องเปิดโปงโฮมสเตย์ใจดำนี้! คอยดูเถอะ รอผมกลับไป ผมจะโพสต์ทันที……"

ในเวลาเดียวกัน

เมือง S

ไป๋ยู่สิงเปิดประตูและเข้าไป กลิ่นไวน์ตีเข้ามาบนใบหน้าเขา!

เหลือบมองชายที่นั่งอยู่บนพื้น "ใครเคยบอกว่า จะไม่ดื่มเพื่อบรรเทาความเศร้าโศกกัน?"

ชายที่อยู่บนพื้นไม่สนใจ คลำหาขวดไวน์ และเทลงในปากของเขา ขวดไวน์ขนาดต่างๆ กลิ้งตกอยู่รอบๆ

"นี่! พูดสิ!" ไป๋ยู่สิงมองคนดื่ม ในใจรู้สึกเศร้าและโกรธอย่างอธิบายไม่ถูก จนทนไม่ไหว รีบวิ่งไปคว้าชายบนพื้นข้างแล้วตะโกนใส่เขาว่า "มีสติหน่อย! ใครบอกว่าจะหาเธอไปตลอดชีวิต? ตอนนี้นายเป็นอะไรแล้ว ท่าทางราวกับผีแบบนี้คืออะไร?"

เมื่อพ่อบ้านหวังโทรหาเขา เขายังไม่อยากเชื่อเลย ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตอนที่เขาเศร้าและเสียใจที่สุด อาซิวไม่เคยเนรเทศตัวเอง หรือดื่มแอลกอฮอล์เพื่อบรรเทาความเศร้าโศกเลย

อาซิวพูดว่า เขาต้องหา ยังมีชีวิตก็ต้องเจอคน ตายไปก็ต้องเจอกระดูก พลังงานของผู้คนมีจำกัด และเวลาในการหาใครสักคนไม่เพียงพอ จึงไม่มีเวลาให้เสียเวลากับสิ่งที่น่าเบื่อเช่นการดื่มแอลกอฮอล์เพื่อบรรเทาความเศร้าโศกแบบนี้

"ลุกขึ้น! มีสติหน่อย! ใครบอกว่าจะไม่มีวันเสียเวลากับการดื่มแอลกอฮอล์เพื่อบรรเทาความเศร้าโศกกัน ใครบอกว่าเราต้องหาให้เจอ? แล้วดูนายตอนนี้สิ?

ลืมสิ่งที่ตัวเองพูดแล้วเหรอ?

หรือที่จริงแล้ว นายสิ้นหวังเหมือนกับเซียวเหิงแล้วเหรอ?

ในเวลา 3 ปี นายละทิ้งความคิดในหัวใจของนายแล้วเหรอ? 3 ปี นายเริ่มเป็นคนสิ้นหวังแล้ว?"

ไป๋ยู่สิงดึงคอเสื้อของเสิ่นซิวจิ่น ซึ่งสกปรกมากจนเขาไม่สามารถบอกได้ว่าชุดนี้ครั้งหนึ่งมีค่ามากแค่ไหน แต่ไป๋ยู่สิงไม่ได้รู้สึกสกปรก เขาเพียงต้องการดึงชายที่เสื่อมโทรมและน่าอับอายนี้ให้พ้นจากขุมนรกแห่งความชั่วช้า!

เสียงหัวเราะที่ปฏิเสธตัวเองดังขึ้นทันที

ไป๋ยู่สิงผงะไปครู่หนึ่ง "นายหัวเราะอะไร?" เขาคว้าคอเสื้อของเสิ่นซิวจิ่นอย่างใช้แรงกว่าเดิม แต่เสียงหัวเราะก็ไม่หยุด แต่กลับหัวเราะอย่างไร้ยางอายมากขึ้น

"นายหัวเราะอะไร? มีอะไรน่าตลกเหรอ?" ไป๋ยู่สิงพูดอย่างโกรธจัด

"……ตลก" ชายผู้ถูกเขาลาก เส้นผมยืดยาน นัยน์ตานั้น ไป๋ยู่สิงมองไม่เห็นท่าทางของชายผู้นี้อย่างชัดเจน เขามองเพียงปากของชายผู้นั้นแล้วพูดว่า "มันตลกมาก! วันๆ มีเพียงคนโง่อย่างฉัน ที่หลับใหลอยู่ข้างความจริงทุกวัน แต่ผิดไปจนสุดทาง"

"นี่ นายมีสติหน่อย นายกำลังพูดเรื่องอะไร!" ไป๋ยู่สิงคิดว่าเสิ่นซิวจิ่นเมามากเกินไป และเริ่มพูดเรื่องไร้สาระแล้ว

"ฉันมีสติดี ปล่อยฉัน!" ชายขี้เมาโบกมือให้ไป๋ยู่สิงที่คว้าคอเสื้อเขาไว้ และก้มศีรษะพูดว่า "ฉันมีสติดี ไม่เคยมีสติไปมากกว่านี้อีกแล้ว ทุกวันนี้นอนหลับอยู่ข้างความจริง……"

"นี่ นายกำลังพูดเรื่องอะไร?"

"ผิดมาทั้งชีวิต……" ชายคนนั้นไม่สนใจไป๋ยู่สิง ก้มหน้าพูดกับตัวเอง จากหมัดที่กำแน่นไว้ ก็ค่อยๆ กางออกต่อหน้าไป๋ยู่สิงเผยให้เห็นว่า…… "เรื่องในใจของเธอ ความชอบของเธอ เธอเขียนความรักของเธอที่นี่ ที่ฉันนอนทุกวัน ข้างหมอนของฉัน……ไป๋ยู่สิง ฉันไม่ใช่ซุปเปอร์แมน ที่เห็นอะไรพวกนี้แล้วมีแรงก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ"

ไป๋ยู่สิงเดินตามนิ้วของชายคนนั้นและมองไปทางโต๊ะข้างเตียง จากนั้นเขาพบว่าโต๊ะข้างเตียงถูกย้ายออกไป พื้นไม้เดิมถูกแงะออกโดยมุมหนึ่ง

เขามองไปที่ฝ่ามือที่เปิดออกของเสิ่นซิวจิ่นอีกครั้ง……

"ฉันไม่ใช่ซุปเปอร์แมน……" ชายคนนั้นพูดพร้อมกับก้มหน้าลง……

ความสั่นไหวในใจของไป๋ยู่สิงยากที่จะแสดงออกด้วยคำพูด แค่ฟังคำพูดที่ไม่สอดคล้องกันของเพื่อนที่ไม่ต่อเนื่องกัน "ถ้าไม่ใช่เพราะโทรศัพท์ตก……" "ถ้าไม่ใช่เพราะจะเก็บโทรศัพท์และเลื่อนโต๊ะข้างเตียง……" ไป๋ยู่สิงเข้าใจมันในใจ เมื่อเพื่อนเขากำลังเก็บโทรศัพท์ เขาเลื่อนโต๊ะข้างเตียงและค้นพบความลับที่ถูกซ่อนไว้หลายปี

"คงจะดีถ้าไม่เก็บโทรศัพท์ไม่ตก……"

"คงดีมากถ้าไม่ได้เก็บโทรศัพท์……"

ไป๋ยู่สิงบีบกำปั้นและฟังคำพูดที่หงุดหงิดของเพื่อนเขา คำว่า "ถ้า" ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชวนให้ผู้ฟังหงุดหงิด ในขณะนี้เสิ่นซิวจิ่นเป็นเหมือนชายวัยกลางคน ภรรยาของเขาหนีไปกับใครบางคน ตกงาน ลูกชายตายแบบนั้น ไป๋ยู่สิงต้องการต่อยผู้ชายคนนั้นอย่างหงุดหงิดด้วยหมัดและพูดคุยด้วยเหตุผลที่ดี แต่……เขาทำไม่ลง!

"ถ้า……ถ้ารู้ก่อนหน้านี้ก็คงจะดี!" ชายผู้เต็มไปด้วยพลังงานด้านลบและเอาแต่หลบหนี ในที่สุดก็ตะโกนออกมาด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง!

ถ้ารู้ก่อนหน้านี้ ตอนจบจะต่างกันไหม?

ตอนนี้เขาคงมีภรรยาอยู่เคียงข้างเขา พร้อมลูกๆ ที่น่ารักไหม?

ไป๋ยู่สิงมองคนตรงหน้าเขา เป็นเพื่อนที่คบกันมาหลายปี เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?

สายตาลุกวาว จู่ๆ ก็ลุกขึ้น หันหลังและเดินไปที่ประตู

พ่อบ้านหวังทุ่มเทในการงาน และช่างสังเกตมาก เขารออยู่นอกทางเดิน ห่างจากประตูสามถึงสี่เมตร ทันทีที่ไป๋ยู่สิงออกจากประตู เขาก็มองไปที่พ่อบ้านหวัง ด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ "ตามฉันมา"

พ่อบ้านหวังลังเลเล็กน้อย แต่ร่างไป๋ยู่สิงที่เดินผ่านเขาไปโดยไม่หยุดนิ่ง พ่อบ้านหวังมองไปที่ห้องนอนของเสิ่นซิวจิ่น กัดฟันและหันหลังกลับ เดินตามไป๋ยู่สิงไป

"คุณไป๋ จะไปไหนครับ?"

พ่อบ้านหวังเดินตามไป๋ยู่สิงลงบันได แต่เมื่อเห็นคนตรงหน้าไม่มีท่าทีหยุดเลย เขาจึงรีบถาม แต่คนที่ถูกถาม กลับไม่ลดก้าวเดินเลย และรีบเดินไปที่ประตูโดยไม่พูดอะไร

"นี้……"

นี่คือ……

แต่เมื่อเห็นไป๋ยู่สิงคุ้นเคยกับทางในบ้านตระกูลเสิ่นมาก พ่อบ้านหวังจึงทำได้เพียงตามไป๋ยู่สิงผ่านประตู และลงบันไดคดเคี้ยวไปทางห้องใต้ดิน

แสงสลัวและบันไดนำไปสู่ชั้นใต้ดิน ห้องใต้ดินยังคงเป็นแสงสีเหลืองสลัว แสงไม่ได้แรงเป็นพิเศษ มีกลิ่นรสชาติของไวน์ที่สดชื่น

ไป๋ยู่สิงไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย เดินไปที่ชั้นวางไวน์แถวสุดท้าย 1 ขวด 2 ขวด 3 ขวด……เขาหยิบไวน์หนึ่งขวดต่อหนึ่งขวดจากชั้นวางไวน์แล้วโยนลงในอ้อมแขนของพ่อบ้านหวัง จนกระทั่งพ่อบ้านหวังไม่สามารถถือมันหมด เขาจึงหยิบไวน์อีก 4 ขวดด้วยตัวเอง เขาไม่พูดอะไรเลยเป็นเวลานาน หันหลังกลับและจากไป

พ่อบ้านหวังไม่สามารถเข้าใจได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเดินตามไป๋ยู่สิงไป ทั้งสองกลับไปที่ห้องนอนของเสิ่นซิวจิ่น ไป๋ยู่สิงเตะเปิดประตูห้องนอนและโยนขวดไวน์ลงในอ้อมแขนของเขาบนเตียง การกระทำของเขาหยาบคายมาก เครื่องดื่มมูลค่ากว่าหมื่นหยวนถูกโยนลงไป

"พ่อบ้านหวัง วางลงแล้วออกไปได้"

"คุณไป๋ คุณชายเขา……"

"วางลงแล้วออกไป ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นฉันจะรับผิดชอบเอง ถ้าเขาตายฉันจะฝังเอง" สายตาคมราวกับมีดของไป๋ยู่สิงมองไปด้วยความเย็นชา พ่อบ้านหวังกัดฟัน เหงื่อเย็นเยียบหยดจากหน้าผากของเขา เขาสนใจแค่เพียงเสิ่นซิวจิ่น แม้แต่ไป๋ยู่สิงที่มีหน้ามีตา พูดคำมั่นสัญญาแบบนี้ออกมาเขาก็ยังกังวลอยู่ดี พ่อบ้านไม่มีกฎการดูแล

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ไป๋ยู่สิงไม่ได้พูดอะไรมาก เขาเอื้อมมือหยิบขวดไวน์ออกจากแขนของพ่อบ้านหวังและโยนมันลงบนที่นอน

พ่อบ้านหวังต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไป๋ยู่สิงผลักเขาออกจากห้องนอน ก่อนที่พ่อบ้านหวังจะโต้ตอบไร "ปัง" ประตูก็ปิดลงต่อหน้าพ่อบ้านหวังอย่างไร้ความปรานี

ในห้องนอน ไป๋ยู่สิงทำหน้าเย็นชา หยิบไวน์สองขวดขึ้นมาจากเตียงเงียบๆ คลายเกลียวฝาขวด ยื่นมือออกไป แล้วยื่นขวดหนึ่งให้เสิ่นซิวจิ่นซึ่งนั่งอยู่ข้างเตียงอย่างทรุดโทรม "มา ฉันจะดื่มกับนายเอง"

แต่ชายที่นั่งอยู่ข้างล่างเตียงทำราวกับว่าเขาไม่ได้ยินเรื่องนี้ ยังคงจ้องมองสิ่งที่อยู่ในฝ่ามือของเขาอย่างเหม่อลอย

ไป๋ยู่สิงหรี่ตา ยืนข้างชายคนนั้น และเตะด้วยเท้า "นี่ ดื่มสิ"

ถ้าเป็นปกติ พฤติกรรมการบังคับและดูถูกของไป๋ยู่สิงคงจะทำให้เขาโกรธอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงชายที่แข็งแกร่งและอย่างเสิ่นซิวจิ่น แม้แต่ผู้ชายธรรมดาก็ไม่สามารถให้คนอื่นเตะตัวเองด้วยเท้าได้……แต่ในตอนนี้ ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างเตียง กลับไม่ตอบสนอง

ไป๋ยู่สิงรู้สึกเจ็บปวดในใจ!

นี่คือเสิ่นซิวจิ่น?

จักรพรรดิที่ดูถูกทุกคน กลับกลายเป็นแบบนี้?

"เสิ่นซิวจิ่น ความภาคภูมิใจของนาย ความมั่นใจในตนเองของนาย! ไปอยู่ที่ไหน? เสิ่นซิวจิ่นที่ฉันรู้จักนั้นโดดเดี่ยว เฉยเมย แข็งแกร่งและมั่นใจ ความมุ่งมั่นและความพากเพียร หายไปไหนแล้ว? เสิ่นซิวจิ่นแบบนั้น ไปอยู่ที่ไหนแล้ว?

ใครเป็นไอขี้เมาตอนนี้?

ฉันไม่รู้จัก!

ลุกขึ้น ลุกขึ้น ฉันจะให้ซีเฉินซื้อตั๋วเครื่องบินเดี๋ยวนี้ ไปที่ไหนก็ได้ บางที? บางทีอาจจะเจอในทะเลอันกว้างใหญ่ก็ได้?

โชคชะตานำพาคนสองคนที่รักกันมาพบกันเสมอไม่ใช่เหรอ?"

"ไม่……ไม่……เธอไม่อยากเจอฉันแล้ว……"

ชายที่หงุดหงิดมองฝ่ามือของเขาอย่างเหม่อลอยและพึมพำกับตัวเองว่า "เธอไปแล้ว เธอหนีไปแล้ว เธอเกลียดฉัน ฉันรู้ เธอเกลียดฉัน……" ชายคนนั้นบ่น หยิบสิ่งที่อยู่ข้างตัวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เขายกขวดไวน์ขึ้น เงยศีรษะ ปากขวดจ่อไปที่ปาก ขวดไวน์ที่ถูกยกขึ้นสูง ไม่มีไวน์เทออกมา

ชายคนนั้นยกขวดไวน์ขึ้นด้วยสีหน้าว่างเปล่า และเทลงอีกครั้งอย่างสิ้นหวัง "ไวน์อยู่ที่ไหน? ไวน์อยู่ที่ไหน? ทำไมถึงเทไม่ออก……"

ไป๋ยู่สิงมองลงไปที่เสิ่นซิวจิ่น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่สามารถซ่อนได้ คนคนเดียว……แค่คนคนเดียว! ทำไมถึงทำให้เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้!

ดวงตาของเขามองไปที่ฝ่ามือของชายคนนั้น เจี่ยนถงนะเจี่ยนถง คุณคิดว่าคุณแค่ทิ้งคนที่รู้ใจตัวเองช้า และความจริงที่สายเกินไปเท่านั้นเหรอ คุณคิดว่าคุณเพิ่งทิ้งกระดาษจดหมายไว้……กระดาษจดหมายแผ่นหนึ่งแค่นั้นเหรอ? ฮ่าฮ่า~ นี่มันเป็นหนังสือตัดสินคดีประหารหลังใบไม้ร่วงชัดๆ! นี่คือหลักฐานการประหารด้วยการตัดมือและเท้า! มันเป็นบาดแผลในใจของ เสิ่นซิวจิ่น!

ไป๋ยู่สิงมองไปที่เสิ่นซิวจิ่นอย่างโจ่งแจ้ง เสิ่นซิวจิ่นที่เอาแต่ใจ เสิ่นซิวจิ่นที่แข็งแกร่ง เสิ่นซิวจิ่นที่ฉลาด แต่เขาไม่เคยเห็นเสิ่นซิวจิ่นที่สูญเสียทั้งหมดนี้!

ใจแทบฉีกขาดด้วยความเจ็บปวด ที่ผ่านมา เขาไม่เคยเห็นผู้ชายคนนี้มาก่อน คนที่ไม่เคยโค้งคำนับใคร คนที่ไม่เคยก้มหัวให้ใคร…… "ใคร……ขโมยความทระนงของนายไป?" คำตอบชัดเจนมาก เจี่ยนถง!

สองคำนี้ดูเหมือนเป็นคำสาป เป็นอดีตก็ผุดขึ้นมาในความคิดอย่างชัดเจน ฉากตรงหน้าเหมือนและคุ้นเคยมาก

หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นออกจากคุก ครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน อยู่ในห้องส่วนตัวอันหรูหรานั้นเหรอ?

หญิงสาวในตอนนั้นอ่อนน้อมถ่อมตนและหาที่เปรียบมิได้ไม่ใช่เหรอ? พวกเขาไม่แปลกใจเลยที่เจี่ยนถงซึ่งครั้งหนึ่งเคยภาคภูมิใจและมั่นใจ สูญเสียความทระนงของเธอไปในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ขอความเมตตาด้วยท่าทีที่ถ่อมตนเช่นนี้ไหม?

ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า!

วนกลับมาอีกครั้ง……เหรอ?

เสิ่นซิวจิ่นส่งเธอเข้าคุกเป็นเวลา 3 ปี ขจัดความภาคภูมิใจ ความมั่นใจไปจากเธอ

เธออยู่จากไปเพียง 3 ปี ก็ทำลายความภาคภูมิใจและความมั่นใจในตัวของเสิ่นซิวจิ่นเหมือนกัน?

สามปีแลกสามปี คนไม่ต่างกัน

ไป๋ยู่สิงดูเหมือนจะรู้สึกบางอย่าง และทันใดนั้นก็ชัดเจน แต่เขาจะละทิ้งคนตรงหน้าและทำแบบนี้ต่อไปได้อย่างไร?

มันเหมือนกับว่าเขาที่เคยเกลียดเจี่ยนถงมาก แต่ก็เพราะอิทธิพลของเจี่ยนถงที่มีต่ออาซิว เห็นได้ชัดว่าอาซิวรักผู้หญิงคนนั้นขนาดไหน เขาจึงละอคติต่อผู้หญิงคนนั้น และหวังเพียงว่าจะช่วยเพื่อนของเขา ไม่ใช่ผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อชดใช้ค่าเสียหายในอดีต

ถ้าอาซิวไม่เคยรักผู้หญิงคนนั้นมากขนาดนั้น เขาอาจจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อบังคับให้เจี่ยนถงจากไป อย่างไรก็ตาม เมื่อ อาซิวผูกพันอย่างลึกซึ้งแล้ว เขาจะช่วยอาซิว และรักษาเจี่ยนถงไว้……ไป๋ยู่สิงรู้ดีว่าเขาเห็นแก่ตัว เขาเป็นเพื่อนของเสิ่นซิวจิ่น ไม่ใช่ของเจี่ยนถง ไป๋ยู่สิงเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่ตัวเขาเองก็ไม่เคยปฏิเสธสิ่งนี้ หรือปิดบังสิ่งที่เขาพูดและทำ

ไป๋ยู่สิงคลายเกลียวขวดไวน์โดยไม่แสดงอารมณ์พร้อมกับฝาในมือของเขา และค่อยๆ เอียงมัน……เทลงไป……กลิ่นของไวน์ น้ำไวน์สีใส ทั้งหมดถูกเทไปที่ชายที่นั่งบนพื้นข้างเตียง "พอไหม? ไม่พอยังมีอีก"

เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่ง

ชายคนนั้นปกป้องกระดาษจดหมายในมือ ราวกับว่ากระดาษจดหมายนั้นเป็นชีวิตของเขา……ไม่! มันเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าชีวิตของเขา!

ด้วยท่าทางที่ระมัดระวัง ไป๋ยู่สิงรู้สึกไม่สบายใจอยู่พักหนึ่ง และยิ่งหงุดหงิด!

"ปกป้องกระดาษแผ่นหนึ่ง อาซิว นายให้ลำดับความสำคัญสลับกันแล้ว" ไป๋ยู่สิงพูดเบาๆ "ฉันไม่รู้ว่าเธอเกลียดนายไหม แต่อาซิว เธอติดค้างนายอยู่คำหนึ่ง 'ขอโทษ' "

หลังจากที่ไป๋ยู่สิงพูดจบ เขาก็ทิ้งขวดไวน์ไว้ในมือ เดินผ่านไอขี้เมาเสิ่นซิวจิ่น เปิดประตูห้อง และหยุดกะทันหัน "นายต้องคิดให้ออกว่า ตัวเองต้องทำอะไร"

คราวนี้ เขาไม่หยุดแล้ว ยกเท้าเดินออกไป ออกแรงแขนอย่างหนัก……ปัง!

ประตูห้องนอนปิดกั้นสองโลกอย่างไร้ความปรานี หนึ่งท้องฟ้าและหนึ่งแผ่นดิน

ในห้องนอน กลับคืนสู่ความมืด ความยุ่งเหยิง และกลิ่นแปลกๆ

นอกห้องนอน พ่อบ้านหวังเห็นไป๋ยู่สิงออกมาและรีบพูดกับเขา "คุณชายเป็นยังไงบ้างครับ?"

ไป๋ยู่สิงขมวดคิ้วด้วยความปวดหัว "ปล่อยเขาไปเถอะ"

"คือ คือ……คุณหมายความว่ายังไง?" หรือว่าเขายังเอาชนะคุณชายไม่ได้เหรอ?

"นายไม่จำเป็นต้องเตรียมอาหารสามมื้อให้เขา แค่เตรียมซุปเมาค้างไว้ก็พอ"

"จะอดอาหารได้ยังไงครับ?"

"เขาอยากตาย นายจะห้ามเขาได้ไหม?" ไป๋ยู่สิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

พ่อบ้านหวังเงียบไป

"ดูเหมือนว่า นายจะเข้าใจอารมณ์ของเจ้านายของนายเหมือนกัน" ไป๋ยู่สิงเยาะเย้ย "ประตูไม่ได้เปิดจากด้านใน ก็ไม่มีความหมาย อย่าเคาะประตูและอย่าพยายามเปิดประตูจากด้วยนอก" บุคคลนั้นหากเขาต้องการจะเข้าใจ เขาจะเปิดประตูเดินออกไปเองโดยธรรมชาติ

"พรุ่งนี้ฉันค่อยกลับ"

……

อีกด้านหนึ่ง มีรายงานนิรนามเกี่ยวกับโฮมสเตย์ในเอ๋อร์ไห่ปรากฏบนอินเทอร์เน็ต คนที่โพสต์ข่าวมีจมูกและตา พวกเขาเพียงกล่าวว่าโฮมสเตย์นั้นไร้ค่า หาเงินใจดำ ขับไล่แขกออกจากที่พักเพื่อเงิน โฮมสเตย์รังแกคนด้อยกว่า จับมือกันรังแกคนอื่น โพสต์เล็กๆ นี้ เพราะอารมณ์ของชื่อเรื่อง ดึงดูดความสนใจของหลายคนในทันที

คนที่สร้างโพสต์ได้ทำให้เรื่องราวไปไกลแล้ว

อย่างไรก็ตาม มันทำให้เกิดการพูดถึงอย่างดุเดือดในคอมเมนต์เท่านั้น

แต่ไม่นาน โพสต์ที่ถูกพูดถึงอย่างล้นหลามนี้ อยู่ดีๆ ก็หายไป ความร้อนรุ่มก่อนหน้านี้ หายไปในทันใด ราวกับแสงวาบอย่างไรอย่างนั้น

ในขณะเดียวกัน บ้านพักตากอากาศในแถบชานเมือง

บ้านพักตากอากาศเป็นบ้านเดี่ยว ล้อมรอบด้วยสนามหญ้าสีเขียวและสนามกอล์ฟ

บ้านพักตากอากาศสไตล์ยุโรปขนาดใหญ่มีความฟุ่มเฟือยและหรูหรา

ในห้องหนังสือชั้น 3

"เถ้าแก่เนี้ยครับ โพสต์ถูกระงับแล้ว ฝ่ายเทคนิคพบคนโพสต์ข่าวแล้ว ได้สอบปากคำคู่หนุ่มสาวแล้ว นี่คือบันทึกการสนทนา” ชายคนหนึ่งยื่นปากกาบันทึกเสียงให้

ที่โต๊ะมีมือเรียวยื่นออกมา นิ้วชี้และนิ้วกลางหนีบไว้ หยิบเครื่องบันทึกออกไป และกดปุ่มสวิตช์อย่างคุ้นเคย การบันทึกการสนทนาดังขึ้น

ขณะที่การบันทึกดำเนินไป ชายผู้ที่ซ่อนอยู่ในความมืดก็หรี่ตาลงและส่งเสียง "ติ๊ก" เป็นเสียงจบเบาๆ ซึ่งแสดงถึงจุดสิ้นสุดของการบันทึกทั้งหมด

มือเรียวใหญ่เล่นเครื่องบันทึกในมือของเขา ริมฝีปากบางๆ ที่ซ่อนอยู่ในความมืดก็ยิ้มออกมาอย่างแผ่วเบา

นั่น……คือเธอใช่ไหม?

"รูปคนในข่าวมันคลุมเครือเกินไป ขอรูปต้นฉบับจากเขารึเปล่า"

ริมฝีปากบางขยับเล็กน้อย และมีเสียงแหบแห้ง เขาถามด้วยเสียงต่ำและช้า

ชายชุดดำดูเหมือนจะเตรียมพร้อม เขาเอื้อมมือไปพลิกกระเป๋าเสื้อสูทแล้วเปิดโทรศัพท์มือถือออกมา "มีรูปถ่ายครับเจ้านาย คนโพสต์ข่าวเจอในโทรศัพท์ แล้วส่งมาที่โทรศัพท์ลูกน้องของผม"

ระหว่างพูดก็ยื่นมันให้ด้วยความเคารพ

เป็นฝ่ามือเรียวอีกครั้ง เขาหยิบโทรศัพท์จากมือ แล้วภาพก็ถูกปรับบนหน้าจอ หลังจากมองใกล้ๆ มันก็เป็นภาพที่ไม่ต้องสงสัยแล้ว

ขนาดแอบถ่ายแบบไม่ค่อยดี

บางทีคู่หนุ่มสาวเพียงต้องการเปิดเผยภาพของโฮมสเตย์ และบังเอิญมีด้านข้างของผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามา

แม้ด้านข้างจะเบลอมาก เป็นภาพที่ถ่ายเมื่อผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าหน้าต่างกำลังจะหันหลังกลับ

ในตอนที่เหนื่อยจากการทำงานก่อนหน้านี้ เขาจึงเลื่อนดูข่าว และคลิกที่โพสต์ และดูอย่างชิวๆ ก็เป็นอีกโพสต์ที่น่าเบื่อ และในตอนที่เขากำลังจะออกอย่างเฉยเมย ก็ทำให้เขาตกตะลึง

แม้ว่าภาพที่เปิดเผยในโพสต์จะเบลอมาก และผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าหน้าต่างก็อาจถูกมองข้ามไปได้ง่ายๆ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงภาพเงา แต่เขาไม่สามารถละสายตาไปได้อีกต่อไป

ตอนนี้รูปในโทรศัพท์ในมือชัดกว่ารูปในโพสต์ แต่รูปที่หน้าต่างก็ไม่ค่อยชัด

ถึงกระนั้น ครึ่งหนึ่งของใบหน้านั้นยังคงเผยให้เห็นถึงความคุ้นเคย

"ใช่……เธอรึเปล่า?" ชายในความมืดจ้องรูปในโทรศัพท์ด้วยนัยน์ตาแคบๆ กะพริบเล็กน้อย ปรากฏร่องรอยความสงสัยในวินาทีต่อมา จู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้น "ไปสนามบินและติดต่อพนักงาน ตรวจสอบการเดินทางสองครั้งก่อนของหลานถิง"

ชายในชุดสูทตกตะลึง หลานถิงเป็นเครื่องบินส่วนตัวของเจ้านาย แล้วตอนนี้……?

แม้จะลังเล แต่เขาก็ลงไปแจ้งแผนกต่างๆ ทันที

มีเพียงผู้ชายที่อยู่หลังโต๊ะเท่านั้น ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในความมืด ใบหน้าที่หล่อเหลามีดวงตาสีเข้มเป็นประกายเจิดจ้า

อยู่ดีๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้ นิ้วเรียวก็กดโทรออกทันที "เรื่องที่โพสต์ ให้จบเท่านี้ ฉันไม่อยากให้ใครเห็นโพสต์นั้นในอินเทอร์เน็ต ไม่อยากให้ใครโพสต์ซ้ำ และไม่อยากให้คนที่ไม่ควรเห็นมัน เข้าใจไหม" เสียงเย็นชาของชายผู้นั้นตัดสินใจ

หลังจากพูด สายก็ถูกตัดไป

เขาหันกลับมา ยืนอยู่หน้าหน้าต่าง ผ้าม่านสั่นไหว……เขากำลังจะตัดทุกอย่างตั้งแต่เริ่มต้น

รถจี๊ปลัดเลาะไปตามทางบนภูเขา ไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศภายในรถ แค่ลดกระจกรถลง ก็มีลมเย็นๆ โชยเข้ามาตลอดทาง

“ที่นี่เหรอ?” รถค่อยๆ จอดลง ชายหนุ่มในชุดลำลองที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลังขมวดคิ้วเรียวสวย แล้วกวาดสายตามองบริเวณโดยรอบ พึมพำในใจว่า ที่นี่มันห่างไกลไปหรือเปล่า?

ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่กว้างใหญ่มาก เกสต์เฮ้าส์ที่เรียบอยู่ตามชายฝั่งทะเลสาบเอ๋อร์ไห่มีเยอะจนนับไม่ถ้วน แต่ทว่าผู้คนส่วนใหญ่ ล้วนแล้วแต่เลือกอาศัยอยู่ในหมู่บ้านบนฝั่งทะเลสาบเอ๋อร์ไห่กันทั้งนั้น ถึงแม้จะไม่ค่อยอยากอยู่ในพื้นที่ที่มีผู้คนเยอะมากเท่าไหร่ก็เถอะ

แต่ว่าที่นี่ ค่อนข้างห่างไกลตัวเมืองเลยทีเดียว

แต่ก็เพราะสาเหตุนี้ เกสต์เฮ้าส์ที่นี่ จึงไม่มีกลิ่นอายความเป็นเมืองเศรษฐกิจเท่าหมู่บ้านบนฝั่งมากนัก แถมยังปลอดโปร่งมากกว่าด้วย

“ครับนาย ที่นี่แหละครับ” คนที่มากับชายหนุ่มในชุดลำลอง ก็คือผู้ช่วยหัวเกรียน “เกสต์เฮ้าส์หลังนั้น ชื่อว่าMemory House”

“ขับเข้าไป”

“ได้ครับนาย”

เครื่องยนต์ถูกสตาร์ทอีกครั้ง แล้วแล่นตรงไปยังทางเข้าของเกสต์เฮ้าส์ที่มีชื่อว่า “Memory House”

ภายในเกสต์เฮ้าส์

เมื่อจาวจาวเห็นรถแล่นข้ามา เธอก็อุทานเสียงดังตามประสาเด็กสาววัยสดใส “เถ้าแก่ วันนี้มีแขกมาจองห้องเหรอคะ?”

หญิงสาวผู้ซึ่งชอบนอนอาบแดดอยู่ในสวนบนเก้าอี้เปลเป็นประจำ ในเวลานี้กำลังมุ่นคิ้ว “จาวจาว หยุดพูดเสียงแปลกๆ แบบนั้นสักทีได้ไหม”

จริงๆ เลย น่าเหลืออดเหลือทนจริงๆ

หญิงสาวยื่นมือออกมานวดหัวคิ้ว ส่วนเรื่องมีแขกมาจองห้องพักหรือเปล่านั้น เธอกลับไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก

“เถ้าแก่คะ เสียงพูดของฉันมันสำคัญกว่าธุรกิจหรือไง!” จาวจาวฉุนเฉียว เรื่องที่เถ้าแก่ไม่เอาไหนของเธอคนนี้ ชอบสร้างกฎแปลกๆ ขึ้นมาไม่เท่าไหร่นะ แต่ตั้งแต่ที่เริ่มกิจการ “Memory House”ขึ้นมาเนี่ย เถ้าแก่ของเธอก็ไม่ค่อยใส่ใจธุรกิจเท่าไหร่เลย

“แน่นอนว่า…..ธุรกิจต้องสำคัญอยู่แล้วสิ” หญิงสาวเอ่ยถ้อยคำที่ขัดกับสิ่งที่คิดออกมาช้าๆ เพราะกลัวว่าจาวจาวจะโวยวายด้วยการใช้สำเนียงท้องถิ่นของเธอแอบด่าตัวเองทางอ้อม

“เถ้าแก่! จริงจังหน่อยสิคะ! วันนี้มีแขกมาจองห้องเหรอ?”

“เหมือนจะ……มีนะ?…..เอ๊ะหรือว่าไม่มี? ฉันขอนึกก่อน น่าจะ…..ไม่มีนะ”

“ตกลงแล้วมันมีหรือไม่มีคะ!” จาวจาวแทบอยากทุบคนตรงหน้า เธอไม่เคยเห็นเถ้าแก่คนไหนดำเนินกิจการอย่างนี้มาก่อนเลยจริงๆ ! เมื่อจาวจาวเห็นรถวิ่งเข้ามา ก็ถลึงตาใส่คนที่กำลังนอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้เปลอย่างดุๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าหญิงสาวที่นอนอยู่บนนั้นไม่มีทางเห็นสายตาอาฆาตของเธอแน่ๆ

“ช่างเถอะ ฉันออกไปต้อนรับแขกเองก็ได้ เถ้าแก่ คุณเอาแต่นอนชี้นิ้วสั่งอย่างนี้ ไม่รู้สึกผิดบ้างเลยเหรอ?”

พูดจบ จาวจาวก็เดินออกไปจากเคาน์เตอร์

หญิงสาวบนเก้าอี้เปล กุมหน้าผากอย่างปวดหัว……ไม่รู้สึกผิดงั้นเหรอ จาวจาวเธอพูดมาอย่างนี้ฉันปวดหัวเลยเห็นไหม!

“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าจะ…….” เข้าพักไหมคะ……. จาวจาวยังไม่ทันได้ทักทายประโยคหลังจบ เสียงของเธอก็ขาดหายไป ยืนจ้องมองชายหนุ่มที่ลงมาจากรถนิ่งๆ ทันใดนั้น แก้มทั้งสองข้างของเธอก็แดงปลั่ง……เขาหล่อมากๆ ๆ !

“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มลงมาจากรถ คนมากประสบการณ์อย่างเขา มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าสาวน้อยคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงยกยิ้มขึ้นมาอย่างสง่า แล้วก้มมองสาวน้อยตรงหน้าพร้อมกับเอ่ยทักทาย

จาวจาวตอบแค่ “อื้อ” กลับไป หัวใจของเธอเต้นแรงสะเปะสะปะเพราะน้ำเสียงอันทรงเสน่ห์ เธอเงยหน้ามองชายหนุ่มหล่อเหลาเบื้องหน้า จนเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองกำลังเสียมารยาทเพราะมีสายตาแปลกๆ ของหนุ่มหล่อตรงหน้ามองมา เธอจึงรีบเอ่ยถามว่า “ขะขะ….เข้าพักไหมคะ?”

ดวงตาพิฆาตของชายหนุ่มรูปงามฉายแววแปลกใจ เขายกยิ้มขึ้นมาอย่างเนียนๆ แล้วพยักหน้า “ยังมีห้องว่างอยู่ไหม?”

“มี! มีค่ะๆ ๆ !” คนทำงานเกสต์เฮ้าส์ ถ้าพูดกันตามเหตุผลแล้ว แน่นอนว่าต้องเคยเจอลูกค้ามาเยอะพอสมควร แต่ว่าลูกค้าหล่อเป็นพิเศษเหมือนชายหนุ่มตรงหน้านี้ จาวจาวเพิ่งเคยได้เจอเป็นครั้งแรก

ชายหนุ่มเดินตามจาวจาวเข้ามาในห้องโถง ทันทีที่เดินเข้ามา ก็พบว่าสะอาดและปลอดโปร่งเป็นอย่างมาก บริเวณหน้าเคาน์เตอร์สามารถมองทะลุผ่านกระจกใสเห็นวิวสวนข้างนอก ทั้งยังสามารถมองเห็นภาพทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ได้จากที่ไกลๆ

ทว่า สายตาของชายหนุ่ม กลับหยุดอยู่ตรงเก้าอี้เปลไม้ไผ่ตรงโถงทางเดินในสวน ชั่ววินาทีนั้น พลันมีแสงบางอย่างทอประกายวาบ

“คุณผู้ชาย นี่คือข้อตกลงร่วมกันในการเข้าพักที่เกสต์เฮ้าส์ของเราค่ะ คุณลองอ่านดูนะคะ ว่าสามารถยอมรับเงื่อนไขได้หรือเปล่า?” จาวจาวส่งเอกสารข้อตกลงไปให้ ถึงแม้เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเถ้าแก่ถึงต้องทำข้อตกลงนี้ขึ้นมา แต่ตั้งแต่ที่เธอเริ่มทำงานที่นี่ ก็ไม่เคยมีลูกค้าคนไหนได้รับข้อยกเว้น

ลูกค้าทุกคนที่เข้าพัก ล้วนแล้วแต่ต้องยอมรับข้อตกลงนี้ก่อนเท่านั้น

นิ้วมือเรียวยาวของชายหนุ่มรับเอกสารนั้นมา เขาสงสัย…..มันเป็นกฎที่ค่อนข้างแปลก เขาไม่เคยเห็นโรงแรม รีสอร์ตหรือเกสต์เฮ้าส์ที่ไหน ต้องทำข้อตกลงก่อนเข้าพักเลยสักที่

แต่เขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เขาอ่านดูคร่าวๆ ก็พอจะเข้าใจ ว่าทำไมคู่รักที่เป็นข่าวบนอินเตอร์เน็ตก่อนหน้านี้ ถึงได้ถูกผู้หญิงคนนั้นไล่ออกจากเกสต์เฮ้าส์

จาวจาวมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างประหม่า หล่อมากๆ หล่อสุดๆ ! เธอยังแอบกังวล ว่าถ้าชายหนุ่มสุดหล่อไม่ยอมรับข้อตกลงนั้นขึ้นมา จะทำยังไงดี

ในสายตาของจาวจาว คนคนนี้คือท่านประธานฉบับคนจริงที่เดินออกมาจากละครรักโรแมนติกเลยนะ!

ในขณะที่เธอกำลังมีความคิดอลหม่านอยู่นั้น เสียงทุ้มต่ำของเขาก็ดังขึ้นมา

“มีปากกาไหมครับ?”

“คะ?…..มีค่ะๆ !” จาวจาวรีบส่งปากกาไปให้เขา ใบหน้าเต็มไปด้วยความระริกระรี้

เขาเซ็นชื่อลงบนกระดาษสีขาว ตวัดลวดลายตัวอักษรราวกับมังกรเต้นระบำ

ในขณะที่สาวน้อยกำลังก้มหน้าจัดการเรื่องเข้าพัก ชายหนุ่มถึงได้หันหน้าออกไปทางหน้าต่าง เก้าอี้เปลในสวนตัวนั้น ถูกลมพัดจนเอนหน้าเอนหลัง ใบหน้าหล่อสุขรุมพลันกระตุกยิ้มขึ้นมาอย่างแนบเนียน

“คุณผู้ชาย กำลังมองอะไรอยู่เหรอคะ?”

“วิวที่นี่ไม่เลวเลยนะครับ เก้าอี้เปลตัวนั้นค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียว ผมไปนั่งเล่นได้ใช่ไหม? ดูท่าน่าจะสนุก”

“อ่า เก้าอี้เปลตัวนั้น ไม่ได้ค่ะ ไม่ได้ นั่นเป็นของส่วนตัวของเถ้าแก่เรา เถ้าแก่จะชอบมานอนอาบแดดบนนั้นทุกวันเลยล่ะค่ะ” จาวจาวเป็นคนตรงไปตรงมา เธอจึงพูดทุกอย่างออกมาหมด ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย

นัยน์ตาสีดำของชายหนุ่มเป็นประกาย แต่กลับทำให้คนมองอ่านความรู้สึกไม่ออก “อ่อ อย่างนี้นี่เอง” ใบหน้าหล่อเหลาทอแววเสียดาย “ที่แท้ก็เป็นของเถ้าแก่พวกคุณนี่เอง งั้นก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ” พูดจบ ก็เดินถือสัมภาระขึ้นบันไดไปพร้อมกับผู้ช่วยหัวเกรียน

ตอนเข้าพักเป็นช่วงเวลาบ่ายคล้อย หลังจากที่ชายหนุ่มอาบน้ำเสร็จจึงสวมใส่ชุดลำลองอีกครั้ง แล้วมายืนอยู่ข้างหน้าต่างบนชั้นสอง พร้อมกับทอดสายตามองเก้าอี้เปลบนโถงทางเดินในสวนตัวนั้น

“นายครับ……”

““อาเซิ่ง ฉันบอกแล้วไง ว่าอยู่ที่นี่ อย่าเรียกฉันอย่างนี้”

“เอ่อ…..ไม่ให้เรียกอย่างนี้ แล้วให้เรียกว่าอะไรครับ?”

“เรียกแค่ชื่อฉันก็พอ”

ถึงแม้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างกำลังพูดคุยกับผู้ช่วยข้างหลัง แต่สายตากลับไม่เคยผละหนีไปจากเก้าอี้เปลตัวนั้น จากมุมของเขา สามารถมองเห็นร่างกายครึ่งหนึ่งของคนที่นอนอยู่บนนั้นพอรางๆ

ทันใดนั้นเอง คนที่นอนอยู่บนเก้าอี้เปลก็ขยับตัว จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมาช้าๆ ชายหนุ่มก้าวถอยไปหลับหลังผ้าม่านเล็กน้อย แล้วยกข้อมือขึ้นมามองนาฬิกา “อาเซิ่ง ไปซื้อของกินขึ้นมา มื้อเย็นฉันไม่ลงไปกินข้างล่างนะ” แน่นอนว่าที่เขาไม่ลงไป เพราะเขามีเรื่องอื่นที่ต้องทำ

เก้าอี้เปลที่อยู่ข้างล่าง ในตอนนี้ว่างเปล่า

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง

เมื่อหญิงสาวที่จาวจาวเรียกว่า “เถ้าแก่” ทานข้าวเย็นเสร็จ ก็เดินกลับมาในสวนอย่างเอื่อยอาดเหมือนปกติ ในตอนที่เดินมาถึงประตูกระจก ฝีเท้าก็หยุดชะงัก จ้องมองเก้าอี้เปลที่กำลังโยกหน้าโยกหลังอยู่ตรงทางเดินในสวนอย่างแปลกใจ …….เธอเดินเข้าไปใกล้อย่างข้องใจ เมื่อเข้ามาใกล้อีกนิด ความแปลกใจในดวงตา ก็กลายเป็นความตะลึงงัน

บนเก้าอี้เปลที่เดิมทีควรจะว่างเปล่า แต่กลับมีผู้ชายแปลกหน้าอยู่บนนั้น

อีกอย่างในมือของเขายังถือแก้วน้ำชาของเธออีกด้วย ซ้ำยังดื่มชาของเธออย่างสบายใจ…..เฮอะ!

คนคนนั้น ค่อยๆ หันหน้ามาหา บนใบหน้าหล่อเหลาดูดี ค่อยๆ กระตุกยิ้มขึ้นมาช้าๆ “สวัสดี…..” มุมปากยกโค้งขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมกับเอ่ยแนะนำตัวว่า “ผมลู่หมิงชู”

ดวงตาทั้งสองข้างของลู่หมิงชู ไม่ได้ละหนีจากผู้หญิงตรงหน้า

สิ่งที่เห็นได้ชัดคือดวงตาเป็นประกายสดใสสองคู่นั้น เต็มไปด้วยความงุนงงสับสน เขาแอบหัวเราะในใจ….นั่นสิ ผู้หญิงนี้จะไปจำเขาได้ยังไง?

จะว่าไป การมีอยู่ของเขา ก็เป็นอะไรที่น่าอึดอัดจริงๆ นั่นแหละ

สำหรับตระกูลเสิ่นที่ยิ่งใหญ่แล้ว เขามันก็แค่ลูกนอกสมรสในความลับ ได้ชื่อว่าลูกนอกสมรสของไฮโซ ความลับที่ว่าก็ไม่ใช่ในทางที่ดีหรอก

เพราะฉะนั้น มันจึงกำหนดมาแล้วว่า การมีอยู่ของเขาสร้างแต่ความน่าอึดอัดและความขัดแย้งให้คนอื่น

แล้วใครมันจะอยากเป็นลูกนอกคอกของคนรวยกันล่ะ?

ทุกคนบนโลกล้วนแล้วแต่อยากมีสายเลือดของตระกูลเสิ่น แต่เขากลับหวังว่าจะมีสักวันหนึ่ง ที่เขาจะสามารถขจัดมันออกไปจากตัวเขาให้หมดจรด!

ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้จักเขา ในความทรงจำของเธอ คงไม่มีเขาอยู่ในนั้น หรือต่อให้มี เขามันก็เป็นได้แค่ “ลู่หมิงชู” ที่มีแต่ชื่อเสียงฉาวโฉ่

แต่ว่า ในความทรงจำของเขา กลับมีแต่ภาพของผู้หญิงคนนี้

ตอนที่ยังเด็กมากๆ เขาไม่เข้าใจ ว่าทำไมเขาถึงไม่มีพ่อ ต่อมาแม่ก็พาเขามายืนอยู่หน้าประตูคฤหาสน์หลังใหญ่ และพาเขาหลบอยู่หลังต้นไม้ข้างๆ แล้วชี้ไปยังรถยนต์คันที่ขับผ่าน พร้อมกับบอกว่า “หมิงชู พ่อแกอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่นั่นแหละ มีพ่อแก แล้วก็น้องชายของแก”

เขาไม่เข้าใจ ทำไมคนในครอบครัวของเขาถึงอาศัยอยู่ที่นั่นกันหมด แถมยังไม่มีใครรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขาสักคน แต่ต่อมา เขาถึงได้เข้าใจความหมายของคำว่าลูกนอกสมรส

ตอนเด็กๆ เขามักจะมาแอบมองคฤหาสน์หลังนั้นบ่อยๆ คนที่เข้าๆ ออกๆ นอกจากคนของตระกูลเสิ่นแล้ว ก็ยังมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มสดใสมากๆ เด็กผู้หญิงคนนั้นมักจะมาโผล่ที่คฤหาสน์พร้อมกับเด็กผู้ชายที่อายุพอๆ กับเขา ซึ่งเด็กผู้หญิงคนนั้น มีชื่อว่าเจี่ยนถง

เรื่องที่เธอเข้าคุกในตอนนั้น เขาอยู่ในอารมณ์ขำขันสะใจ ซ้ำยังยืนมองอยู่ข้างๆ อย่างเย็นชา……ทุกสิ่งที่เป็นของเสิ่นซิวจิ่น เขาอยากทำลายมันให้ไม่มีความสุข! ในวินาทีนั้น เขาคิดแบบนี้

พอเธอเข้าคุก เขาก็ค่อยๆ เลิกสนใจผู้หญิงคนนี้ จนกระทั่งเธอออกจากคุก ในตอนที่กลับมาเจอกันอีกครั้ง เธอกลับไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่มีความมั่นใจและมีรอยยิ้มสดใสในความทรงจำคนนั้นอีก

ตอนนั้น เขารู้สึกผิดนิดหน่อย แต่มันก็แค่นิดหน่อยเท่านั้น…….จนกระทั่งสามปีก่อน หลังจากที่เธอออกมาจากคุก วินาทีที่ปริศนาทุกอย่างถูกไขกระจ่าง และพอได้เห็นความดื้อรั้นที่ฝังลึกอยู่ในตัวของผู้หญิงคนนี้ เขาก็รู้สึกว่า เธอดูน่าสนใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงช่วยเธอหนีออกมา

แต่คิดไม่ถึงเลยว่า พอเธอหนี ตัวเขากลับหาไม่เจอ

“อะแฮ่มๆ ….ผมหมายถึง ผมชื่อลู่หมิงชู แขกที่เข้ามาพักใหม่ไง พนักงานหน้าเคาน์เตอร์บอกผมว่าคุณคือเจ้าของที่นี่ ผมก็นึกว่า เจ้าของจะเอาใจใส่ความเป็นอยู่ของแขกมากกว่านี้เสียอีก” ลู่หมิงชูจิบชาเล็กน้อย “นี่ชาอะไร รสชาติไม่เลวเลย”

“……..” หญิงสาวนิ่งอึ้งอยู่นาน ในหัวมีแต่ความมึนงง สักพักใหญ่ ถึงได้เข้าใจความหมายของผู้ชายตรงหน้า

ในใจของผู้ชายคนนี้คงกำลังค่อนขอดเธอว่า คงใช้ชีวิตง่ายๆ สบายๆ สินะ วันๆ คงเอาแต่นอนเอนกายจิบน้ำชา เอ้อระเหยลอยชาย สมองก็คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ด้วย

ลู่หมิงชูชื่นชมใบหน้านิ่งค้างของหญิงสาวตรงหน้า พยายามค้นหาร่องรอยความสดใสบนใบหน้านั้น แต่ต่อมาดวงตาก็ทอแววเสียดาย เหมือนกับว่าคนที่มีรอยยิ้มสดใสคนนั้นจะไม่ปรากฏตัวออกมาอีกแล้ว

แต่ถึงจะอย่างนั้น เขากลับรู้สึกว่า ใบหน้าอ้ำอึ้งนิ่งค้างของเธอ ก็ดูน่าสนใจดีเหมือนกัน

“ชานี่ไม่เลวเลยนะ” ลู่หมิงชูยกแก้วน้ำชาขึ้นมาจิบอีกรอบ

รูปร่างหน้าตาของเขาไม่ธรรมดา ถึงแม้จะสลัดชุดสูทที่ใส่อยู่ออกเป็นชุดลำลอง ก็ไม่อาจลดทอนเสน่ห์ของเขาได้เลย ภาพที่ริมฝีปากบางอมชมพูของเขาแตะขอบแก้ว…….ทำให้หญิงสาวได้สติขึ้นมา “นั่นมันแก้วที่ฉันใช้ดื่มนะ”

“โทษที”

ชายหนุ่มวางแก้วน้ำชาในมือลงอย่างสง่า

แต่…..แค่นี้เองหรือ? หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านข้างมองมาที่เขาด้วยความงงงัน นั่นมันแก้วของเธอ เธอไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อนเลย แก้วของเธอไม่ใช่ของทั่วไป ของใช้ส่วนตัวนี่เราสามารถใช้ร่วมกับคนแปลกหน้าได้ด้วยเหรอ?

เธอถามด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองเล็กน้อย “คุณ…..ลู่หมิงชู ใช่ไหมคะ? เปลนี้ฉันให้คุณยืมเอนหลังได้ แต่แก้วนี้เป็นของส่วนตัวของฉัน ไม่ใช่ว่าคุณลู่จะหยิบไปใช้ยังไงก็ได้โดยไม่ขอสักคำ แบบนี้มันไม่ดีเลยนะคะ หรือว่าปกติแล้วคุณลู่ใช้แก้วน้ำร่วมกับคนอื่นจนติดเป็นนิสัยเลยหรือไง?

“อย่าเคืองไปเลยคุณ”ลู่หมิงชูยกมือขึ้นพร้อมกับหัวเราะเบาๆ มองไปที่เธอด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดปลอบโยน “เมื่อกี้ผมหอแห้งน่ะ แล้วไม่รู้ว่าแก้วนี้เป็นแก้วของคุณ ถ้าไม่อย่างนั้น ผมก็คงขออนุญาตคุณไปแล้วล่ะ ถ้าเรื่องนี้ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจ ผมต้องขอโทษด้วย ผมไม่ได้ตั้งใจ”

ตอนแรกฟังดูเหมือนจริงใจมาก แต่หากฟังดูดีๆ จะรู้สึกว่าชายหนุ่มตรงหน้าที่ชื่อลู่หมิงชูคนนี้ จริงๆ แล้วไม่ได้ขอโทษอย่างจริงใจเลยสักนิด

ที่บอกว่า“ผมคงขออนุญาตคุณไปแล้ว?” นี่หมายความว่ายังไงกัน ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าเธอใช้แก้วนี้อยู่ ยังต้องขออนุญาตเธออยู่อีกเหรอ? หมายความว่า ถึงเขาจะรู้ว่าแก้วนี้เธอใช้อยู่ ขอแค่อนุญาตเธอ แล้วเขาจะใช้มันยังไงก็ได้น่ะเหรอ?

“แต่ว่าในเมื่อผมใช้แก้วนี้ไปแล้ว ทำไมเถ้าแก่ไม่ให้แก้วนี้กับผมเลยล่ะครับ? ”

หญิงสาวตะลึงงันอีกครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็กักเก็บสีหน้า แล้วจ้องมองไปที่ลู่หมิงชู พูดนิ่งๆ ว่า “มองยังไงคุณก็เหมือนขโมยชัดๆ อีกอย่าง ขอพูดตรงๆ เลยนะคะ คุณลู่ มีใครเคยบอกไหมว่าจริงๆ แล้วคุณหน้าด้านมาก ?”

คนที่เป็นเถ้าแก่ น้อยมากที่จะพูดจาไม่สุภาพกับแขกเช่นนี้ แต่ว่า….เธอผ่านช่วงวัยที่ต้องก้มหัวเพื่อรักษาหน้าคนอื่นมาแล้วล่ะ

ลู่หมิงชูยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น กลับกันเขามองมาที่หญิงสาวตรงข้างหน้าด้วยความสนใจ“แล้วมีใครเคยบอกไหมว่า เถ้าแก่พูดตรงเกินไป?”

“ถ้าคุณรู้สึกว่าฉันพูดไม่เข้าหู ฉันก็ขอโทษด้วย คุณโชคไม่ดีเองนะ ถ้านับย้อนไปสักสองสามปี คุณอาจจะเจอฉัน คนที่พูดจารอบคอบกว่านี้”

“ ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ”

เขาพูดและจ้องมองเธออย่างไม่วางตา

หญิงสาวหัวเราะเบาๆ “บางที อาจเป็นเพราะเมื่อหลายปีก่อน ฉันได้ละทิ้งความเห็นอกเห็นใจคนอื่นไปหมดแล้วล่ะมั้ง เพราะงั้นสองปีที่ผ่านมานี้ ฉันจึงสนใจแค่ความสบายใจของตัวเองเท่านั้น เรื่องอื่นฉันไม่ใส่ใจหรอกนะ โดยเฉพาะแขกที่จงใจยั่วโมโหคนอื่นอย่างคุณลู่ เหอะ น่าโมโหซะมัด ทำไมฉันต้องมาเสียเวลาคุยกับคนแปลกหน้าด้วยเนี่ย”

เธอบอกว่าเธอได้ละทิ้ง“ความเห็นอกเห็นใจคนอื่น”ไปหมดแล้ว เธอบอกว่าสองปีที่ผ่านมาเธอสนใจแต่ความสุขของตัวเอง คำพูดเหล่านี้อาจจะดูเหมือนเธอไม่ได้แยแสใคร แต่ลู่หมิงชูรู้ดี ว่าในตอนนั้น ผู้หญิงคนนี้ผ่านอะไรมาบ้าง เมื่อเห็นท่าทางเย็นชาของหญิงสาวตรงหน้า หัวใจของเขาก็เกิดความรู้สึกสงสาร

เมื่อมองเข้าไปในแววตาของเธออีกครั้ง ก็พบว่ามีแต่ความน่าสงสาร

หญิงสาวหลบตาเขา“คุณลู่ ถ้าคุณชอบเก้าอี้เปล พรุ่งนี้ฉันจะให้คนเอามาให้คุณ ถ้าคุณชอบน้ำชา ฉันก็จะให้คนเอามาเสิร์ฟให้คุณใหม่ ของพวกนี้ก็แค่ของเล็กๆ น้อยๆ ถ้าคุณลู่ชอบฉันก็จะหามาให้ค่ะ ” เธอแค่เสียดายที่แก้วน้ำชาชุดนี้เธอใช้มันมานานมากแล้วก็เท่านั้นเอง

เธอเงยหน้ามองไปที่ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ที่อยู่ไม่ไกลนัก น้ำจะสูงขึ้นในเวลากลางคืน จนท่วมกิ่งไม้ที่โน้มสู่ผิวน้ำจนหายไปหนึ่งส่วน

เธอเดินเข้าไปในสวนอย่างช้าๆ สะพานเล็กๆ ที่สร้างจากแผ่นคอนกรีต เชื่อมต่อกับทางเดินสูงจากระดับน้ำในทะเลสาบประมาณสามสิบตารางเมตร บริเวณข้างทางเดินที่เกิดขึ้นมาอย่างธรรมชาติ มีดอกกุหลาบพันปี ดอกทานตะวัน และพลูด่างที่เธอปลูกเอาไว้ นอกจากนี้ยังมีดอกไม้ป่าที่ไม่รู้จักชื่อ ดอกเล็กดอกน้อยหลากหลายสีสันอีกมากมาย

ในตอนที่เธอไม่มีอะไรต้องทำ เธอชอบมาที่นี่ เพื่อเก็บกวาดใบไม้แห้ง และถอนวัชพืชทิ้ง

เธอนั่งยองๆ หยิบช้อนพรวนดินขึ้นมา แล้วเริ่มพรวนดิน

ลู่หมิงชูลุกขึ้นยืนมองบริเวณทางเดินที่อยู่ท่ามกลางทะเลสาบ กระโปรงยาวๆ ที่ทำมาจากผ้าฝ้ายธรรมดาที่คนท้องถิ่นสวมใส่กันบนตัวเธอ ยาวจนลากคลุมเท้า ท่อนบนเธอสวมใส่เสื้อโค้ตไหมพรมเนื้อนุ่ม เธอนั่งยองๆ พรวนดินอยู่ตรงนั้น ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ท่ามกลางแสงไฟริบหรี่ หัวใจของลู่หมิงชูกลับเต้นแรง……เมื่อได้กลับมาพบผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง ถึงได้พบว่าเธอชะล้างสิ่งสำอางไปหมดแล้ว

“นี่! คุณเถ้าแก่!

หญิงสาวที่นั่งยองๆ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ได้ยินเสียงนั้นจึงหันไปด้วยความงุนงง “มีเรื่องอะไรอีกคะคุณลู่?”

“คุณเถ้าแก่ ผมชื่อลู่หมิงชู คุณยังไม่บอกผมเลยว่าคุณชื่ออะไร?”

หญิงสาวนิ่งไปเล็กน้อย…นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ไม่มีใครถามชื่อของเธอ?

“เถ้าแก่ก็คือเถ้าแก่ คุณเรียกฉันว่าเถ้าแก่ก็พอแล้ว” ชื่องั้นเหรอ? อ่า…..เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าเธอชื่ออะไร ในใจได้แต่ยิ้มเยาะขึ้นมา

ลู่หมิงชูหัวใจไหววูบ จากนั้นดวงตาที่สลัวของเขาก็สว่างขึ้นอีกครั้ง “โอเค เถ้าแก่ ผมเรียกคุณว่าเถ้าแก่ก็ได้”

หญิงสาวลุกขึ้นพร้อมกับปัดมือ ไม่ได้เอาคำพูดของลู่หมิงชูมาใส่ใจ

เธอคุ้นเคยกับชีวิตที่สงบสุขในช่วงสองปีที่ผ่านมา

ชีวิตที่สงบสุข มักจะมาพร้อมกับความน่าเบื่อ วันที่เงียบสงบ มักจะมาพร้อมกับความเหงาเช่นกัน แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่เธอเลือก

ลู่หมิงชูทนมองไม่ได้อีกต่อไป เข้าจึงหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้อง

เมื่อมายืนอยู่ตรงหน้าต่างก็มองลงไปข้างล่าง จึงพบว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังเดินกลับมาช้าๆ

ท้องฟ้ามืดแล้ว จึงมองเห็นอะไรไม่ชัดเท่าไร เห็นเพียงหญิงสาวที่แต่งตัวไม่เข้ากับฤดูกาล จากนั้นร่างกายของเธอ ก็เดินหายเข้าไปในสวน

เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมา ลูบคลำบริเวณหน้าอก เขาสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นแรงได้อย่างชัดเจน…….นี่เขาหวั่นไหวเหรอ?

มันไม่ใช่แค่ความอิจฉาที่มีต่อเสิ่นซิวจิ่นในตอนแรก ไม่ใช่แค่ความรู้สึกผิดในภายหลัง และไม่ใช่ความนึกสนุกอยากไล่ล่าเธอในคราแรกที่ตัดสินใจมาที่เอ๋อร์ไห่ ……. ชีวิตของเธอ วัยเด็กเติบโตมาในตระกูลร่ำรวย เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นก็เริ่มสวยสะพรั่ง จนกระทั่งอายุสิบแปดปีก็ต้องเผชิญหน้าทุกอย่างคนเดียว ในวัยที่เธอควรที่จะได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุดกลับต้องมาเข้าคุก สามปีผ่านไปหลังจากออกมาจากคุก นิสัยก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน ใครๆ ต่างก็คิดว่าเธอน่าจะไปไม่รอดแล้ว…..แต่ ณ วันนี้ เวลานี้ ลู่หมิงชูคิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะได้กลับมาเห็นเจี่ยนถงในแบบปราศจากสิ่งสำอางอีกครั้ง

อดีตของเธอ กลายเป็นหมอกควันไปแล้ว…….นี่เขากำลังหวั่นไหวกับเจี่ยนถงที่เป็นแบบนี้ งั้นเหรอ?

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างกำหมัดแน่น “เสิ่นซิวจิ่น ครั้งนี้ นายไม่มีโอกาสแล้ว!”

อีกด้านหนึ่ง ณ เมือง S

ซีเฉินโยนแฟลชไดรฟ์ไปให้ใครอีกคน “เอาไปให้เขาที”

“มันคืออะไร?” ไป๋ยู่สิงยกมันขึ้นมาแล้วเหลือบตามองโดยไม่ได้สนใจมากนัก

“ภาพในกล้องวงจรปิดของเจี่ยนถงตอนอยู่ที่นั่น”

ไป๋ยู่สิงประหลาดใจ “ไม่ใช่ว่าทำลายทิ้งตั้งแต่แรกแล้วเหรอ?”

ซีเฉินยิ้มเย็น “มีคนอยากทำลายฉันใด ก็มีคนมีอยากเก็บไว้ฉันนั้น ในโลกนี้ ตราบใดที่มีเงิน มีอะไรที่ซื้อไม่ได้ด้วยเหรอ? ” เขาเหลือบมองแฟลชไดรฟ์ในมือไป๋ยู่สิง สายตาของเขาทอแววเกลียดชังอย่างปิดไม่มิด“ภาพนี้ห้าสิบล้าน นายควรได้เห็นความโสมมและความโหดร้ายของพวกเศษเดนมนุษย์ในภาพนี้!”

“ห้าสิบล้าน? นายคิดว่ามันเป็นเรื่องธุรกิจหรือไง?” ไป๋ยู่สิงพึมพำเงียบๆ ซีเฉินบ้าไปแล้วจริงๆ ใช้เงินห้าสิบล้านซื้อภาพนี้เนี่ยนะ?

“เมื่อสามปีก่อนตอนที่อาซิวตามหาภาพพวกนี้ มันถูกทำลายไปก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ฉันรู้สึกเอะใจ จึงไม่ยอมแพ้ตามหาต่อ แต่ก็ไม่มีข่าวคราวอะไรเลย แต่ว่า ถ้าหากมีรางวัลหนักๆ แน่นอนว่าต้องมีคนกล้าประเดิมอยู่แล้ว เงินรางวัลห้าสิบล้าน ถ้าใครมีของอยู่ในมือ ก็ต้องมีหวั่นไหวกันบ้าง ถ้าหากเงินห้าสิบล้านยังไม่สามารถทำให้เขาหวั่นไหวได้ล่ะก็ นั่นหมายความได้สองอย่าง หนึ่งก็คือไม่มีของในมือจริงๆ ส่วนสองคือ……คนที่อยู่เบื้องหลัง เป็นคนที่เราไม่สามารถต่อกรด้วยได้”

ไป๋ยู่สิงพยักหน้า “แต่ว่าห้าสิบล้านเลยเหรอ?” เขารู้สึกว่า ซีเฉินตั้งราคาสูงเกินไป “ถึงแม้เรื่องที่เจี่ยนถงเคยทุกข์ทนอยู่ที่นั่น มันจะไม่มีหลักฐาน แต่ในใจเราก็ต่างรู้ดีกันอยู่แล้ว แล้วทำไมต้องเสียอีกตั้งห้าสิบล้านล่ะ? ตอนนี้ สิ่งที่สำคัญกว่าคือควรตามหาตัวเธอให้เจอไม่ใช่เหรอ?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มในดวงตาของซีเฉินก็เย็นชาขึ้นไปอีก “นายดูสิ่งที่อยู่ในแฟลชไดรฟ์นั่นก่อน แล้วนายจะไม่พูดแบบนี้” แค่เคยทุกข์ทนน่ะเหรอ?……ฮ่า ไม่เพียงแค่นั้นหรอก!

ยิ่งเป็นคนนอกอย่างเขา พอได้เห็นภาพเหล่านั้นแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน!

สิ่งที่อยู่ในแฟลชไดรฟ์ ถูกคัดลอกลงแล็ปท็อปในมือ ขณะที่ไป๋ยู่สิงกำลังจะเปิดไฟล์ ก็มีมือข้างหนึ่งวางไว้บนหลังมือของเขา “ฉันขอเตือน นายควรเตรียมใจไว้ก่อน”

ไป๋ยู่สิงตระหนกอยู่พักหนึ่ง สีหน้าของซีเฉิน ดูจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน……มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?

ไป๋ยู่สิงเปิดวิดีโอขึ้นมาดูอย่างไม่เชื่อ

ในตอนแรกยังไม่ค่อยมีอะไร น ทันใดนั้น ไป๋ยู่สิงก็เบิกตากว้าง แล้วอุทานขึ้นเสียงดัง "นี่มันอะไรกัน!" เขาชี้ไปที่วิดีโอที่กำลังเล่นอยู่

“นี่มันแค่เริ่มต้น” ซีเฉินกล่าวอย่างเย็นชา

ตอนเขาเห็นมันครั้งแรก ท่าทีของเขาก็เหมือนกับไป๋ยู่สิง คือรู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่สุดท้าย เขาก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เหมือนที่ไป๋ยู่สิงกำลังเป็นอยู่

ไป๋ยู่สิงปิดปากเงียบ ภายในห้องที่เงียบสงบ ชายหนุ่มร่างใหญ่สองคนซึ่งไม่สามารถรู้เลยว่าพวกเขาอยู่ในอารมณ์ใด เมื่อดูจบเห็นได้ชัดว่าภาพถูกตัดออกไปหลายช็อต

ในที่สุด หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็มืดสนิท หัวใจของไป๋ยู่สิงเต้นรัว ข้างๆ มีบุหรี่ถูกยื่นมาให้เขาหนึ่งมวน “ยู่สิง บุหรี่”

ไป๋ยู่สิงเอื้อมมือไปหยิบบุหรี่ที่ซีเฉินส่งให้ จุดไฟ แล้วดูดเข้าไปแรงๆ จากนั้นก็พ่นควันสีขาวออกมา สักพัก เขาก็เอนตัวลงพิงกับเบาะเก้าอี้ “ทำลายมันซะ”

มือของซีเฉินที่กำลังคีบบุหรี่อยู่สั่นไหว จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วบี้มันลงในที่เขี่ยบุหรี่

“ เกรงว่าจะไม่ได้”

“เขาจะเห็นมันไม่ได้ เข้าต้องเป็นบ้าแน่ๆ ” “เขา” ในที่นี้หมายถึงใคร ก็ชัดเจนอยู่แล้ว อย่าว่าแต่เสิ่นซิวจิ่นเลย ขนาดเขาที่เป็นคนนอก เมื่อเห็นภาพพวกนี้ ก็ยังรู้สึกสะเทือนใจเลย

“นายคิดว่า ถ้าไม่ใช่เพราะคำไหว้วานจากเขา ฉันจะเสียเวลาและกำลังคนมากมายขนาดนี้เพื่อตามหาภาพเหล่านี้ไหม? เหอะแล้วเจี่ยนถง…..มีความเกี่ยวข้องกับฉันไหมล่ะ?” ซีเฉินกล่าวเบาๆ “เมื่อสามปีก่อนตอนที่ฉันตามหาภาพพวกนี้ มันถูกทำลายทิ้งไปแล้ว นายคงไม่ได้คิดว่าพอของพวกนี้ถูกทำลายทิ้ง อาซิวก็จะไม่ไปตามหาหรอกใช่ไหม?”

“ตอนที่อาซิวมาหาฉัน เขากำชับให้ฉันช่วยเขาให้ได้ เขาบอกว่าเวลาของเขามีจำกัด เขาใช้เวลาอยู่กับการตามหาภรรยาที่มัวแต่เที่ยวเล่นไม่ยอมกลับบ้าน แต่ว่าบางเรื่อง ก็ไม่สามารถปล่อยผ่านได้ เขาต้องทำให้มันชัดเจน ยู่สิง นายเองก็รู้ ในพวกเราสามคน ฉันหวงเล่นที่สุด ถ้าต้องเปรียบเทียบกับพวกนาย อย่างอื่นฉันอาจสู้ไม่ได้ แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ฉันสู้ได้ก็คือเรื่องทำอะไรลับๆ ล่อๆ ฉันคล่องมือที่สุดแล้ว ตอนที่อาซิวมาไหว้วานฉัน ฉันก็คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอก ก็แค่หาข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เรื่องทำนองนี้ ก็คงจะเหมือนกับครั้งก่อนๆ นั่นแหละมั้ง? แต่ฉันคิดไม่ถึงเลยว่า การตามหาในครั้งนี้ จะกินเวลาไปตั้งสามปี ปีแรกๆ ฉันแทบจะตามหาอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ฉันก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้เลย ยู่สิง นายรู้ไหมว่าทำไม?”

ซีเฉินไม่ได้พูดต่อ เขาหยิบบุหรี่อีกมวนจากในซองขึ้นมาสูบ จากนั้นเขาก็ก้มหน้ามองไป๋ยู่สิง “เพราะฉันไม่เคยเห็นอาซิวต้องมาก้มหัวขอร้องใครแบบนี้มาก่อน?”

เขาดีดเขม่าบุหรี่ “ปีแรกหาไม่เจอ อาซิวไม่เคยเร่ง อาซิวเคยพูดกับฉันว่า มันไม่ใช่ว่าจะตามหาเจอง่ายๆ ยู่สิง นายว่า ตอนที่อาซิวพูดประโยคนี้ เป็นเพราะว่าในใจของเขารู้ดีอยู่แล้วว่า คนที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังไม่ใช่คนที่สามารถรับมือได้ง่ายๆ หรือเปล่า ปีที่สอง ฉันก็ยังหาไม่เจอ ยิ่งไปกว่านั้นอาซิวกลับกล่าวคำขอร้องที่ออกมาจากใจจริงให้ฉันตามหาต่อไป ยู่สิง อาซิวไม่เคยยอมแพ้ แล้วฉันจะยอมแพ้ได้ยังไง”

เขาดึงแฟลชไดรฟ์ออกจากแล็ปท็อปของไป๋ยู่สิง “สิ่งนี้ฉันตามหามาตลอดสามปี ในเวลาสามปี มันไม่มีเบาะแสอะไรเลย เหมือนกับผู้หญิงคนนั้น ตอนนี้ฉันหาเจอแล้ว…..พูดได้ไหม ว่าผู้หญิงคนนั้น ก็กำลังจะปรากฏตัวออกมาเหมือนกัน”

ไป๋ยู่สิงไม่อาจโต้เถียงอะไรกลับไปได้ สิ่งที่อยู่ในแฟลชไดรฟ์ สำหรับซีเฉินและเสิ่นซิวจิ่นแล้ว มันไม่ใช่แค่ภาพธรรมดาทั่วไป

เสิ่นซิวจิ่นตามหาผู้หญิงคนนั้นเป็นเวลาสามปี

ซีเฉินตามหาข้อมูลของผู้หญิงคนนั้นเป็นเวลาสามปี

กับความทุ่มเทเหล่านี้ ทำไมไป๋ยู่สิงคนนี้ถึงพูดออกมาได้ง่ายๆ ว่า“ทำลายมันซะ”

“นายจะเอา……สิ่งนี้ไปให้อาซิวดูจริงๆ เหรอ?” ไป๋ยู่สิงเงยหน้ามองซีเฉิน เขาไม่อาจรู้ได้ว่าซีเฉินอยู่ในอารมณ์ใด แต่กระนั้นก็ยังเห็นซีเฉินพยักหน้า

เขายืนขึ้นในทันที “ได้ ฉันจะไปกับนาย” ไม่มีใครรู้หรอกว่า หลังจากที่อาซิวได้เห็นภาพพวกนี้ แล้วจะมีความคิดยังไง

ทั้งสองตรงไปที่คฤหาสน์ตระกูลเสิ่น

……

ณ ตระกูลเสิ่น

ในห้องหนังสือ

ภายในห้องมีชายหนุ่มสามคน สองคนเอามือกอดอกพิงโต๊ะหนังสือ อีกคนทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่กลิ่นเหล้า ดวงตาของเขาแดงเถือก นั่งอยู่หลังโต๊ะด้วยใบหน้าถมึงทึง พร้อมกับจ้องมองที่หน้าจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะเขม็ง

กรอด……..

เสียงฟันขบกัดกันแน่น

อย่าว่าไป๋ยู่สิงกับซีเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ จะไม่สนใจอะไรเลยสองคนเฝ้ามองทุกการกระทำของคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะอยู่ตลอด แม้กระทั่งสีหน้าท่าทางเล็กๆ น้อยๆ ที่แสดงออกมา

เสิ่นซิวจิ่นนั่งจ้องวิดีโอนั้นเป็นเวลานาน สีหน้าเปลี่ยนเป็นเครียดคล้ำ ริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันแน่นกลับซีดเผือด

นี่มัน…..อะไรกัน!

สิ่งที่เขาคิดคือ“ให้บทเรียนเล็กๆ น้อยๆ กับเธอ” แต่กลับกลายเป็นว่าเขาผลักให้อีกฝ่ายหายไปตลอดกาลเองกับมือ!

ในหูมีแต่เสียงแผ่วเบาของหญิงสาวที่พร่ำร้องว่า”เจ็บ” และ” หนาว”จนแทบจะไม่ได้ยิน ขณะที่คนอื่นๆ กลับก่นด่าเสียงดังพร้อมกับหัวเราะสะใจ

เวลาในวิดีโอมีจำกัด แต่แค่นี้ก็พอจะเห็นแล้วว่า มันน่ากลัวแค่ไหน!

มือของเขาสั่นเทา จนไม่สามารถจับเมาส์นานๆ ได้ เขากรอวิดีโอดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดวงตาของเขาแดงก่ำจนดูน่ากลัว

“ไม่ต้องดูแล้ว”ไป๋ยู่สิงทนดูไม่ไหว

แต่ดูเหมือนว่าเสิ่นซิวจิ่นแทบไม่ได้ยินเลย เขาดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำอีก

“ไม่ต้องดูมันแล้ว! เลิกทรมานตัวเองได้แล้ว!” ไป๋ยู่สิงตวาด

แต่อีกฝ่ายกลับยังคงกดปุ่มเล่นซ้ำอีกครั้ง

ใบหน้าของเสิ่นซิวจิ่นซีดเผือด ริมฝีปากปรากฏให้เห็นเป็นสีเทาเหมือนคนตาย สายตาเอาแต่จ้องหน้าจออย่างดื้อรั้น

ไป๋ยู่สิงทนไม่ไหวอีกต่อไป "ปัง"เสียงหมัดของเขากระแทกโต๊ะอย่างแรง แรงหมัดที่กระแทกโต๊ะทำให้ปากกาบนโต๊ะสะเทือน “อาซิว ไม่ต้องดูแล้ว! เธอหายไปตั้งสามปีแล้ว! สามปี นายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธออยู่ที่ไหน ต่อให้นายย้อนดูจนหน้าจอทะลุเป็นโพรง ก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก!”

ความตั้งใจเดิมของไป๋ยู่สิงคือไม่ต้องการให้เสิ่นซิวจิ่นดูต่อ แต่มันกลับตรงกันข้าม

คำพูดของไป๋ยู่สิง ทิ่มแทงบาดแผลความเจ็บปวดในหัวใจของเสิ่นซิวจิ่น!

สามปี! ผู้หญิงคนนั้นหายไปสามปี หายไปอย่างไม่มีร่องรอย!

เธอไม่ได้คิดถึงเขาแล้วจริงๆ เหรอ…… เสียงร้องที่หดหู่ของหญิงสาวในวิดีโอยังเอาแต่ดังก้องอยู่ในหูของเขา

ในที่สุด ก็พังทลาย! เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป ทันใดนั้น เขาก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหน้า เพื่อกลั้นเสียงคำรามเอาไว้!

สีหน้าของไป๋ยู่สิงเปลี่ยนไป เขารีบหยิบยากล่อมประสาทออกมา เหตุผลที่เขาตามซีเฉินมา ก็เพราะกลัวว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้!

เข็มของไป๋ยู่สิงค้างเติ่งอยู่เหนือศีรษะของชายหนุ่มที่ทิ้งตัวซบบนโต๊ะหนังสือ ทันใดนั้น “ใช่…..ฉันเคยให้อะไรเธอบ้าง?”

อยู่กับฉันมีแต่ความทรงจำที่เจ็บปวด แล้วทำไมเธอต้องมาอยู่เคียงข้างฉันล่ะ? ฮ่าๆ ๆ ๆ ……. ”

“มันเป็นความผิดฉัน เป็นความผิดฉันเอง ทั้งหมดเป็นความผิดของฉัน……..” ชายหนุ่มพึมพำออกมาอย่างสติหลุด “ฉันผิด ฉันผิดทั้งหมด ทั้งหมดเป็นความผิดของฉัน ทั้งหมดเป็น……”

เขาดูเหมือนจะเสียสติไปแล้ว

สีหน้าของไป๋ยู่สิงเคร่งขรึม เขาไม่ลังเลอีกต่อไป เข็มในมือของเขา พุ่งเข้าไปในผิวหนังของชายหนุ่มที่ซบหน้าอยู่บนโต๊ะทันที

“อื้อ………” ร่างของชายหนุ่มแข็งทื่อ หลังของเขาก็แข็งทื่อ จากนั้นไม่กี่วินาที ตัวของเขาก็อ่อนยวบ

นัยน์ตาของซีเฉินฉายแววสงสาร ดวงตาแดงก่ำ เขาหันหน้าหนีเพราะทนมองไม่ได้

“ฉันบอกแล้วว่า ให้ทำลายสิ่งนี้ไปซะ ตอนนี้นายพอใจหรือยัง?”ไป๋ยู่สิงโกรธแล้วพูดประชดซีเฉินอย่างเต็มที่ “บอกแล้วถ้าไม่ทำลายสิ่งนี้ มันก็จะทำลายอาซิว ตอนนี้นายพอใจหรือยัง?” ไป๋ยู่สิงมองมาด้วยสายตาเย็นชา “เสิ่นซิวจิ่นผู้เลื่องลือพังทลายลงโดยสมบูรณ์แล้วเห็นไหม!”

ในเวลาเช้าตรู่ ท้องฟ้าส่องแสงสว่างไสวช่างสดชื่น

หลังจากอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว เขาก็สวมชุดคลุมอาบน้ำเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ ในขณะที่กำลังจะเปิดม่านหน้าต่างนั้น ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น

ลู่หมิงชูละมือที่จับม่านนั้นออก แล้วเดินไปที่ประตู

เสียงประตูดัง “แกร๊ก” จากนั้นประตูก็ถูกเปิดออก

ทั้งคนที่ยืนอยู่ในห้องและนอกห้องก็มองหน้ากันด้วยความงุนงง

ลู่หมิงชูชะงักลงเล็กน้อย แต่วินาทีต่อมาเขาก็เผยแววตาอันเป็นประกาย

“อ่าหะ?” น้ำเสียงต่ำทุ้มของเขาดังออกมาจากลำคอ ช่างมีเสน่ห์เย้ายวนอย่างบอกไม่ถูก

ประกอบกับที่เขาเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จออกมา ร่างกำยำถูกคลุมไว้ด้วยชุดคลุมบางๆ ท่าทางอันผ่อนคลายของเขา บอกได้ว่าช่างน่าหลงใหลจริงๆ

ที่ด้านนอกประตู สายตาของหญิงสาวมองไปทางอื่นแล้วพูดว่า “อาหารเช้าที่สั่งค่ะ พอดีคนอื่นๆยังไม่มีใครว่าง ส่วนจาวจาวก็ยังไม่ตื่น ฉันเลย……” ดังนั้นเธอจึงต้องเป็นคนที่นำอาหารเช้ามาให้เขาเอง

แม้จะบอกว่าคนอื่นๆวุ่นอยู่กับงานของตัวเอง แต่ที่จริงในโฮมสเตย์นี้มีเพียงไม่กี่คน

เดิมทีโฮมสเตย์นี้ก็ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องจ้างคนมากมาย

ในมื้อเช้า จะมีบริการบุฟเฟ่ต์อาหารเช้า ซึ่งอาจเทียบไม่ได้กับโรงแรมห้าดาว มันมีเพียงอาหารเช้าธรรมดาทั่วไปเท่านั้น โดยมากแขกผู้มาพักจะลงไปรับประทานข้างล่าง แต่แขกบางคนก็อาจจะพิถีพิถัน โดยสั่งขึ้นมารับประทานข้างบนห้อง

ลู่หมิงชูจึงได้พบว่าในมือของเธอถือตะกร้าสานอยู่ เขารู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย……นี่คือครั้งแรกที่เขาพบว่าโรงแรมใช้ตะกร้าสานในการเสริ์ฟอาหารเช้าให้แขก

เพียงแต่ว่า……นี่มิใช่เรื่องสำคัญอะไร

ริมฝีปากเรียวบางขยับขึ้นเล็กน้อย

“อ้อ……” น้ำเสียงของเขาลากยาว ดูเหมือนมันออกมาจากจมูกเสียมากกว่า จากนั้นเขาก็มองไปยังใบหน้าของหญิงสาว

“เอาเข้ามาสิ”

หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูดูไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก “คุณลู่คะ ถือเข้าไปเองไม่เป็นหรือไงไม่ทราบ?”

ลู่หมิงชูเลิกคิ้วอันคมได้รูปขึ้น แล้วพูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “คุณคิดว่าผมเป็นคนที่ถนัดทำอะไรพวกนี้เองหรือไง?”

เรื่องพวกนี้?

เรื่องพวกไหนกัน?

หญิงสาวกลอกตามองเขา…..หึๆ คงเป็นพวกคุณชายที่หยิบจับอะไรไม่เป็นอีกแล้วสินะ

ลู่หมิงชูยืนอยู่ตรงหน้าประตู เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วถามว่า “มัวยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้นล่ะ? เรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไม่เป็นหรือไง?” เมื่อพูดจบเขาก็เบ้ปากแล้วพูดต่อไปว่า “จริงสินะ คุณเป็นคุณชายนี่”

เห็นได้ชัดว่า เขากำลังเยาะเย้ยถากถางเธอ!

หญิงสาวมองไปทางเขา จากนั้นก็ถือตะกร้าสานก้าวเท้าเข้าไปด้านในห้อง

จากนั้น ก็ได้ยินเสียงดังตามหลังมาว่า “เอาวางไว้บนโต๊ะน้ำชา”

เธอจึงทำได้เพียงเดินเข้าไปด้านในอีกหน่อย

หลังจากวางตะกร้าสานในมือลงเรียบร้อยแล้ว เธอจึงพูดว่า “คุณลู่รับประทานไปก่อนนะคะ ประเดี๋ยวตอนที่แม่บ้านมาทำความสะอาดจะมีคนเก็บกลับไปให้เอง”

เมื่อพูดจบเธอก็เดินตรงไปตรงประตูเตรียมตัวเดินจากไป

แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็พบท่าทางของลู่หมิงชูที่กำลังยืนกอดอกพิงอยู่ที่หน้าประตู ประตูนั้นถูกบังเอาไว้ ผมเผ้าของเขายังเปียกโชกมีน้ำหยดลงมาติ๋งๆ ลูกผมบริเวณหน้าผากเผยอขึ้นเล็กน้อย ให้ความรู้สึกถึงความผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก

เธอจึงทำได้เพียงก้มตาลงไม่กล้าจ้องมอง

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงประตูชื่นชมใบหน้าอันบูดบึ้งของเธอด้วยความสุขใจ เขาไม่ได้สนใจรูปลักษณ์ที่ดูไม่เป็นทางการแต่แอบมีเสน่ห์ของตนเองในตอนนี้เลย

“เถ้าแก่เนี้ยครับ ไม่กินอาหารเช้าด้วยกันหน่อยเหรอ?”

หญิงสาวยื่นมือออกไปจับลูกบิดประตูที่ถูกบังเอาไว้ จากนั้นก็รีบกางแขนอันเรียวงามของเธอออกไปแล้วกดลงที่ประตู

เมื่อตอนที่เธอเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงนี้ทำท่าทางหัวเราะใส่เธอ จึงทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจนัก

คิ้วของเธอขมวดเข้าหากัน แล้วตอบว่า “ถ้าคุณลู่จะมีจิตใจดีขนาดนั้น ทำไมไม่ไปเลี้ยงข้าวคนยาจกข้างทางล่ะคะ?”

“ก็เข้าท่าดีเหมือนกันนะ” ลู่หมิงชูยิ้มขึ้นมาเบาๆ แต่จู่ๆ เขาก็ดึงมือที่กดไว้ตรงประตูออกแล้วตอบว่า “เถ้าแก่เนี้ยครับ เมื่อวานนี้คุณบอกกับผมว่าคุณจากมอบชุดชงชาแบบที่คุณดื่มให้ผมชุดหนึ่ง แล้วก็ยังมีเก้าอี้แบบเดียวกับที่คุณนั่งอีกตัวหนึ่งให้ผมด้วย”

“ใช่ค่ะ ฉันเคยพูดเอาไว้ เดี๋ยวรับประทานอาหารเสร็จแล้วฉันจะให้อาเซิ่งไปนำมาให้”

ลู่หมิงชูส่ายหน้า “ไม่ได้หรอกครับ ถ้าจะให้ของใครสักคนแน่นอนว่าจะต้องให้ในสิ่งที่ผู้รับอยากได้ ผมจะเลือกเอง”

เลือกเองอย่างนั้นหรือ?

“จะเลือก…… ยังไงคะ?” น่าสนุกดีเหมือนกัน “จะให้ฉันนำชุดชงชาและเก้าอี้ทุกชิ้นออกมาวางไว้ด้านหน้าคุณลู่และให้คุณ เลือกเองทีละอันอย่างงั้นหรือไง?”

“จะทำให้วุ่นวายแบบนั้นทำไมครับ?” ลู่หมิงชูแอบยิ้มออกมา ดวงตาของเขาดูเป็นประกาย “ได้ยินมาว่าที่เมืองโบราณต้าหลี่ครึกครื้นน่าดู มีพวกของสะสมน่าสนใจมากมายทีเดียว บังเอิญที่ผมก็อยากจะไปดูอยู่เหมือนกัน แต่ผมไม่รู้จักใครและไม่คุ้นเคยกับที่นี่เลย ในเมื่อเถ้าแก่เนี้ยให้สัญญากับผมแล้วว่าจะมอบชุดน้ำชาและเก้าอี้ให้ ในเมื่อจะเป็นคนดีก็ควรจะดีให้ถึงที่สุด ช่วยเป็นไกด์นำทางให้ผม และเดินเที่ยวชมเมืองโบราณต้าหลี่เป็นเพื่อนผมสักหน่อยเป็นไร”

หญิงสาวไม่แม้แต่จะครุ่นคิด เธอตอบกลับไปว่า “เดี๋ยวรอให้จาวจาวตื่นแล้วฉันจะให้จาวจาวไปเป็นเพื่อนคุณนะคะ”

“ไม่ๆๆๆ” ลู่หมิงชูยกนิ้วชี้ขึ้นส่ายไปมา จู่ๆ เขาก็ก้มตัวลงไปใกล้หญิงสาวคนนี้แล้วพูดว่า “ถ้าทำอย่างนั้นก็ไม่จริงใจสิครับ คุณเป็นคนที่บอกว่าจะมอบของให้กับผม เช่นนั้นคนที่ไปเดินเลือกของกับผมก็ควรจะเป็นคุณสิ”

“……” เธอถูกใบหน้าที่ใกล้เข้ามาโดยกะทันหันนี้ทำให้ตกอกตกใจไม่น้อย เมื่ออยู่ในระยะใกล้เช่นนี้เธอจึงได้พบว่าเขาหน้าตาดีมากทีเดียว

เพียงแต่ว่า…… ในสมองของเธอปรากฏใบหน้าของคนคนหนึ่งลอยขึ้นมา จากนั้นสีหน้าของเธอก็ซีดเผือด…… คิ้วและแววตาช่างเหมือนกันได้ขนาดนี้เชียวเหรอ?

รสชาติของความขมขื่นค่อยๆแพร่กระจายไปทั่ว

“ถอยไป!” เธอพยายามควบคุมตนเองและพูดออกมาให้น้ำเสียงดูปกติ หากไม่ได้สังเกตละก็ด้วยน้ำเสียงอันกระด้างนั้นคนอื่นๆคงฟังไม่ออกว่าเธอเป็นผู้หญิง เนื่องจากน้ำเสียงของเธอในตอนนี้ช่างใหญ่ห้าวหาญและแข็งกระด้าง

ลู่หมิงชูชะงักลงเล็กน้อย “เอ๊ะนี่คุณ ทำไม……” เป็นอะไรไป……

“เพียะ!”

เสียงดังชัดเจนก้องกังวาน เมื่อเขายื่นมือออกไปก็ถูกเธอตอบให้อย่างจัง

“อยู่ห่างฉันให้ไกลกว่านี้!”

ลู่หมิงชูยืนมองดูมือที่ถูกตบจนเอนไปอีกข้าง ด้านหลังมือนั้นแดงเรื่อ

ผู้หญิงคนนี้…… แรงเยอะจริงๆ!

เขากัดฟันหรี่ตาลงมองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้ด้วยความลึกล้ำ สีหน้าของเธอขาซีด แต่ก่อนหน้านี้เพียงวินาทีเดียวเธอยังดีๆอยู่ไม่ใช่หรือไง? สายตาของเขาจับจ้องไปยังริมฝีปากอันขาวซีดนั้น…… ทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนไปได้แบบนี้ล่ะ?

เมื่อเขาหรี่ตาคิดพิจารณาอยู่สักครู่ ลู่หมิงชูไม่ใช่คนโง่ เขาช่างฉลาดหลักแหลม ดังนั้นใช้เวลาครุ่นคิดเพียงไม่นานเขาก็พอจะเดาออก

เขาขบฟันไปมา ดวงตานั้นมองมาที่เธออย่างลึกล้ำ จู่ๆ ใบหน้าของเขาก็ดูเคร่งขรึมและก็ยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นดูเหมือน จะพัดพาเมฆหมอกจากไป มีเสียงออกมาจากลำคอของเขาว่า

“เถ้าแก่เนี้ยครับ คุณดูไม่ยุติธรรมเลยนะ เมื่อสักครู่ที่คุณตีผม มือผมแดงไปหมดแล้ว เจ็บจังเลย”

หญิงสาวเอื้อมมือไปพลิกมือเขาดูอย่างไม่รู้ตัว แดงจริงอย่างที่ว่า…… นิ้วมือของชายหนุ่มช่างขาวและเรียวงาม กระดูกกระเดี้ยวก็เรียงตัวเป็นระเบียบ เล็บของเขาสะอาดสะอ้าน….. มองดูก็รู้ว่ามือคู่นี้ไม่ค่อยได้ทำงาน

แต่บัดนี้กลับถูกเธอตีเสียจนแดงขึ้นเม็ดเลือด

อีกทั้งเขาถูกเธอตีเนื่องจากทำให้เธอโมโหเท่านั้น…..ไม่ได้มีความผิดใดๆด้วยซ้ำ

“โอ๊ย! เจ็บจริงๆนะครับ ผมโตจนป่านนี้ยังไม่เคยถูกผู้หญิงคนไหนตีที่มือมาก่อนเลย”

ลู่หมิงชูกุมมือของเขาและพิจารณาดูรอยแดงก่อนจะนวดเบาๆ……เธอมองดูผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านี้ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน เนื่องจากพยายามระงับความเจ็บปวดเอาไว้

เดิมทีความรู้สึกละอายที่เธอมีอยู่กลับกลายเป็นความรู้สึกผิด

“เฮ้อ แบบนี้เมื่อไรผมจะหายละครับเนี่ย……” ลู่หมิงชูไม่ได้มองหน้าเธอแต่กลับกุมมือของตัวเองเอาไว้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวลทำอะไรไม่ถูก

ตอนนี้เธอยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่

“เฮ้อ ช่างมันเถอะ..…. ก็แค่ถูกตีจนมือแดงไม่ใช่หรือไง?…… คนเราต้องมีสักครั้งสองครั้งและนะที่ต้องโดนแบบนี้ คิดไปซะว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าจดจำก็พอ เดิมทีผมมาที่เอ๋อร์ไห่ก็เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะถูกตีเข้าแบบนี้ เฮ้อ……” ลู่หมิงชูพึมพำกับตัวเอง

ผู้หญิงคนที่ยืนอยู่ข้างๆตอนนี้แววตาของเธอแฝงไปด้วยความรู้สึกผิดอยู่ในอกจนแทบจะล้นออกมา “เอาล่ะค่ะๆ ฉันจะไปเดินดูของเป็นเพื่อนคุณที่เมืองโบราณต้าหลี่ ถือว่าเป็นการไถ่โทษก็แล้วกัน”

“หา!” จู่ๆ ลู่หมิงชูก็ร้องออกมาเสียงดัง หลังจากนั้นเขาก็ทำท่าทางรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา “แบบนี้ไม่ดีเท่าไหร่มั้งครับ…… ผมอาจทำให้คุณอึดอัดใจได้”

“คุณขับรถเป็นใช่ไหม? เดี๋ยวฉันจะลงไปข้างล่างก่อนนะ ถ้าคุณเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็ลงไปนะคะ ฉันจะรอคุณอยู่ข้างล่าง” เมื่อเธอพูดจบก็เดินออกไปทันที

ลู่หมิงชูมองตามหลังของเธอไป ดวงตาสีดำกลมโตของเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มแวบหนึ่ง

จากเอ๋อร์ไห่ไปยังเมืองโบราณต้าหลี่ แต่ละชุมชนล้วนมีรถโดยสารประจำทางไปยังที่นั่น

มันอาจไม่ได้เหมือนรถบัสขนาดใหญ่ในเมือง เป็นเพียงรถมินิบัสขนาดสิบกว่าที่นั่งในสมัยก่อนเท่านั้น

บัดนี้หญิงสาวและลู่หมิงชูขับรถปิกอัพของโฮมสเตย์ ตรงไปยังถนนที่เข้าสู่เมืองโบราณต้าหลี่

ข้างทางเต็มไปด้วยเทือกสวนไร่นา บรรดาตึกสูงเสียดฟ้านั้นหาพบไม่ได้ในที่นี้

ลู่หมิงชูลดกระจกรถลงมาแล้วถามว่า “ฟังเพลงไหม?”

“แล้วแต่คุณ” หญิงสาวเหล่มองอย่างไร้อารมณ์ เธอเอนตัวพิงเบาะข้างคนขับ ส่ายหัวงัวเงียไม่อยากพูด

ลู่หมิงชูเหล่มองเธอ

สายลมพัดเข้ามาทางหน้าต่างรถ แต่ผมยาวสลวยดำขลับของเธอที่ยาวไปถึงเอว กลับทำให้เสียสมาธิเล็กน้อย

ผมของเธอปลิวไสวปกคลุมตรงหน้าผากแล้วปลิวมาที่หูของเธอ ชายหนุ่มเหยียดปลายนิ้วที่เรียวยาวของเขาออกมาแล้วเอนตัวเข้าไป

แก้มอันเย็นเยือกของเธอสัมผัสได้กับมือที่กำลังจะเข้ามา เธอรีบลืมตาขึ้นเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “คุณจะทำอะไรน่ะ?”

“ผมปิดหน้าคุณครับ” เขายิ้มตอบ และทำเป็นไม่เห็นความระมัดระวังในดวงตาของเธอเมื่อครู่ นิ้วเรียวยาวของเขาสะบัดผมที่ปิดบังใบหน้าเธอออกอย่างรวดเร็วแล้วนำไปเหน็บที่หลังหูเธอ

“เพียะ!” เขาถูกตีเข้าอีกครั้ง มือนั้นตบลงไปบนหลังมือขาวผ่องของลู่หมิงชูอย่างไม่แยแส

“โอ๊ย!” ผู้หญิงคนนี้!

เมฆดำปรากฏขึ้นในดวงตาของลู่หมิงชู แต่ในวินาทีต่อมาความน้อยใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “เถ้าแก่เนี้ยครับ คุณทำแบบนี้ช่างไม่เห็นใจผมบ้างเลย ผมแค่หวังดีเห็นว่าผมคุณยุ่งเท่านั้นเอง ก็เลยช่วยปัดให้”

ช่วยปัดเหรอ?

หญิงสาวกล่าวอย่างเย็นชาว่า “คุณลู่ชอบถึงเนื้อถึงตัวคนอื่นเหรอคะ?”

เธอเริ่มหงุดหงิด นี่มันแต๊ะอั๋งเธอชัดๆ

“เอ่อ……ผม……” ชายหนุ่มพูดอย่างลังเล

หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้น “เอ่ออะไรคะ?”

“คือ……ผมเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ” เมื่อลู่หมิงชูพูดประโยคนี้ออกไป ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาก็เขินอายเล็กน้อย หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆคนขับจึงทำได้เพียงนิ่งเงียบไป

โรคย้ำคิดย้ำทำเหรอ…… ถ้าอย่างนั้นคงโทษเขาไม่ได้จริงๆ

เธอมองไปยังชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆอีกครั้ง…… ท่าทางที่รู้สึกผิดและดวงตาเต็มไปด้วยความละอาย มันเป็นเรื่องจริงไม่ได้ดูเหมือนโกหก

หรือว่า…… เธอเข้าใจเขาผิดไปจริงๆ?

หญิงสาวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ขับรถดีๆหน่อยค่ะ”

เมื่อลู่หมิงชูหันศีรษะกลับไป ริมฝีปากของเขาก็เชิดขึ้นเล็กน้อย ดวงตาดุจดั่งนกฟีนิกซ์ของเขาก็หรี่ลงอย่างมีความสุข

หลังจากนั้นระหว่างทางก็ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก มีเพียงบทเพลงในรถที่วนซ้ำอย่างต่อเนื่อง

ไม่รู้ว่าลู่หมิงชูอดทนกับเพลงแบบนี้ที่ผู้หญิงชอบฟังได้อย่างไร แต่เอาเถอะ ในรถคันนี้ฟังเพลงนี้ได้เพียงเพลงเดียวเท่านั้น ก็จำเป็นต้องฟังมันไป

จากการนำทางของGPSพวกเขาขับอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็มาถึงเมืองโบราณต้าหลี่

ก่อนที่หญิงสาวจะลงจากรถ เธอได้พูดขึ้นว่า “คุณลู่ ฉันบอกก่อนนะว่าขาของฉันเดินเร็วไม่ได้ ถ้าคุณยังยืนกรานให้ฉันไปเลือกของเป็นเพื่อนคุณ คุณก็จะต้องยอมจำนนต่อขาของฉันด้วยนะ

แน่นอน ถ้าคุณเปลี่ยนใจตอนนี้ ฉันสามารถโทรหาคนรู้จักที่ทำการค้าในเมืองโบราณและขอให้เขาพาคุณลู่ไป……”

ก่อนที่เธอจะพูดจบ ลู่หมิงชูก็โบกมือของเขาขึ้น “ไม่เอาคนอื่น ผมต้องการคุณ”

เมื่อคำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา ทั้งคู่ก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง

หญิงสาวเหลือบมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าอย่างประหลาดใจ ลู่หมิงชูรีบตอบโต้อย่างรวดเร็วและหัวเราะขึ้นว่า “เถ้าแก่เนี้ยครับ คนที่บอกว่าจะให้ของขวัญผมก็คือคุณ ไม่ใช่คนรู้จักของคุณ”

ประโยคนี้เพียงประโยคเดียวถือได้ว่าบรรเทาความเขินอายที่เกิดขึ้นได้ผลดีทีเดียว

นับแต่ครั้งที่แล้วที่เขาถามชื่อเธอแต่ไม่ได้คำตอบกลับมา ดังนั้นลู่หมิงชูจึงไม่ได้เอ่ยถามอีก ทำให้เขาเรียกเธอว่าเถ้าแก่เนี้ยตลอดมา

หญิงสาวก็ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับมันแล้ว

ณ ร้านน้ำชาในตรอกเล็กๆของเมืองโบราณต้าหลี่ แม้ทำเลไม่ค่อยดีนัก เดิมทีลู่หมิงชูเดินตามหญิงสาวซึ่งเธอเดินช้ามาก แต่เมื่อมาถึงปลายซอย เขาก็มองเห็นร้านเล็กๆแห่งหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในตลาด

มันน่าสนใจมากทีเดียว แม้แต่ทางเข้าประตูก็โบราณ

“คุณลองไปดูนะ ถ้าไม่มีของที่คุณชอบในร้านนี้ เราก็จะไปร้านอื่น”

หลังจากพูดจบเธอก็มองไปเห็นเก้าอี้หวายแล้วนั่งลง

เจ้าของร้านนำน้ำชามาให้ใหม่ “ทำไมไม่มาที่นี่ตั้งนานล่ะ?”

เธอหยิบถ้วยและจิบชา “อืม ชาของคุณนี่ดีที่สุดจริงๆ” เธอไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับมองไปยังเจ้าของร้านที่เดินตรงเข้ามา

“ถ้าชอบ ฉันจะฝากเอาไปให้สักกระป๋องหนึ่งตอนกลับ” เจ้าของร้านน้ำชาเป็นหญิงอายุสามสิบเศษ ทั้งสองรู้จักกันเมื่อสามปีที่แล้ว ต่างมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

ลู่หมิงชูทำท่าดูเหมือนหยิบชุดน้ำชาขึ้นมามอง แต่หางตาของเขากลับให้ความสนใจกับเจี่ยนถงอยู่เสมอ

“มีที่คุณชอบไหม?” หญิงสาวสังเกตเห็นสายตาของลู่หมิงชู จึงได้วางถ้วยชาลงแล้วถามเขา

“ก็มีนะ” ลู่หมิงชูชี้ไปที่ชั้นวางของโบราณ “ผมอยากได้ชุดนี้”

หญิงสาวและเจ้าของร้านชามองไปพร้อมกันและรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

เจ้าของร้านพูดขึ้นอย่างมีความหมายลึกซึ้งว่า “คุณสุภาพบุรุษคนนี้เลือกได้ดีจริงๆ”

หญิงสาวที่อยู่ข้างๆเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้น ส่ายหัวมองไปทางลู่หมิงชูก่อนจะพูดขึ้นอย่างช้าๆว่า “ชุดนั้นไม่ได้”

ลู่หมิงชูดูไม่เห็นด้วย เขาเลิกคิ้วขึ้นครึ่งหนึ่ง “ด้วยเหตุผลอะไร?”

หญิงสาวนิ่งเงียบ

เจ้าของร้านที่อยู่ข้างๆหัวเราะขึ้น “ชุดน้ำชาชุดนั้นไม่ได้สวยหรูอะไรมากนัก ทำไมไม่ลองเลือกชุดใหม่ดูล่ะ?”

“ผมต้องการชุดนี้” ลู่หมิงชูหรี่ตาและยิ้มขึ้น

“ไม่ว่าอย่างไรคุณก็จะเอาชุดนี้ให้ได้เหรอคะ?” เจ้าของร้านสาวยิ้มขึ้นอย่างจริงจังเล็กน้อย

ลู่หมิงชูไม่ได้ตอบออกไปในทันที แต่ดวงตาสีดำขลับของเขามองไปทางหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างเจ้าของร้านสาวอย่างเงียบๆ…… แน่นอน เขาเห็นว่าฝีมือของชุดน้ำชานั้นหยาบ ในบรรดาชุดน้ำชาทั้งหมด ชุดน้ำชานี้โดดเด่นที่สุดเพราะมันหยาบที่สุดเท่านั้น

ตอนแรกเขาเพียงสุ่มเลือก

แต่ปฏิกิริยาของผู้หญิงสองคนนี้น่าสนใจจริงๆ

“แต่ผมต้องการชุดนี้เท่านั้น” ลู่หมิงชูจับจ้องไปยังหญิงสาวที่นั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้หวาย ขณะเดียวกันก็ตอบคำถามของเจ้าของร้านสาว

“มันไม่สวยเท่าไหร่”

“ผมชอบ”

จู่ๆ เจ้าของร้านก็หัวเราะออกมา ใบหน้าอันจริงจังของเธอมองไปแล้วลุกขึ้นยืน เธอสวมชุดกี่เพ้าร่วมสมัยและเดินไปหาลู่หมิงชู นิ้วมือขาวผ่องเรียบเนียนหยิบชุดน้ำชาจากชั้นวางโบราณ

“มันแพงอยู่นะ”

เมื่อมอบมันให้กับลู่หมิงชูแล้ว เจ้าของร้านสาวก็ยิ้มและพูดติดตลก

“ผมชอบ”

พอพูดจบเขาก็หยิบกระเป๋าเงินออกมา

เมื่อได้ยินเสียงกรอบแกรบจากด้านข้าง ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งยื่นออกมา “ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจะให้คุณ”

เจ้าของร้านเหลือบมองดูหญิงสาวที่รีบพุ่งเข้ามาแม้ขาของเธอจะไม่สะดวกนัก จากนั้นจึงมองไปที่ลู่หมิงชูผู้ชายซึ่งอยู่ข้างหน้านี้ด้วยท่าทางหล่อเหลาไม่ธรรมดา เจ้าของร้านสาวยิ้มขึ้นเผยให้เห็นเขี้ยว แล้วผละมือจากเงินที่ลู่หมิงชูหยิบออกมาจากกระเป๋าแล้วหันไปทางหญิงสาว

ทำให้หญิงสาวโล่งใจ

แต่แล้ว……

ทันใดนั้น ปลายนิ้วเรียวยาวของเธอก็เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วไปยังทิศทางของลู่หมิงชู รีบรับเงินจากเขาไปอย่างรวดเร็วโดยไม่นับว่ามันเป็นจำนวนเท่าไหร่

เธอรีบส่งชุดน้ำชานั้นให้ลู่หมิงชูโดยทันที ไม่ให้โอกาสใครในการโต้แย้งแม้แต่น้อย “มันเป็นของคุณแล้วค่ะ”

หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆได้แต่ยืนงง

เธอมองไปที่เจ้าของร้านสาวแล้วอ้าปาก แต่พูดไม่ออก

เจ้าของร้านสาวเดินไปที่เคาน์เตอร์ เธอมองไปยังทั้งสองด้วยความสดใส จากนั้นก้มตัวลงเหมือนจะหยิบบางอย่างขึ้นมา “คุณสุภาพบุรุษคะ ฉันให้ค่ะ”

ลู่หมิงชูยื่นมือไปรับมาอย่างว่าง่าย เมื่อแววตาของเขามองไปเห็นตัวอักษรบนนามบัตรนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย

“มันคืออะไร?” หญิงสาวเอื้อมตัวไปมองด้วยความสงสัย เนื่องจากเธอไม่เห็นว่าเจ้าของร้านสาวมอบอะไรให้ลู่หมิงชู

“ไม่มีอะไรหรอก แค่นามบัตรน่ะ เธอแค่ต้องการทำการค้ากับผม” ลู่หมิงชูหยิบมันกลับเข้าไปในกระเป๋าของเขาด้วยมืออันกำยำอย่างใจเย็น

เมื่อทั้งสองคนเดินออกจากร้านไป ลู่หมิงชูก็พูดขึ้นว่า “คุณรอผมอยู่ที่นี่สักครู่นะ เดี๋ยวผมเก็บชุดน้ำชาไปไว้ที่รถก่อน”

หลังจากวางชุดน้ำชาลงในรถแล้ว ลู่หมิงชูก็หยิบนามบัตรออกจากกระเป๋าเสื้อของเขา มีตัวอักษรเล็กๆปรากฏขึ้นในสายตาของเขาว่า

ชุดน้ำชาที่คุณซื้อไปนั้นมีเรื่องราว มันเป็นชุดน้ำชาที่ทำโดยเจ้าของโฮมสเตย์นั้น มันน่าเกลียดมากจริงๆ

หากคุณสนใจเกี่ยวกับเรื่องราวของมัน โปรดโทรมาที่เบอร์นี้

ลู่หมิงชูยิ้มขึ้นมาเบาๆ เป็นตามที่คาดไว้จริงๆ

ชุดน้ำชานี้มีความเป็นมาจริงๆด้วย

เขากวาดตาไปที่หลังมือของตน รอยแดงนั้นจางลงไปบ้างแล้วแต่ก็ยังเห็นอยู่

นัยน์ตาสีดำของเขาหรี่ลง มุมปากเผยอยิ้ม ตรงรถกระบะนั้นชายร่างสูงใหญ่สัดส่วนกำลังดี หันหลังให้กับถนนและหันหน้าไปทางประตูคนขับ ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่

หากมีคนเดินผ่านหลังเขาในเวลานี้ จะเห็นว่าแขนของชายหนุ่มกำลังเคลื่อนไหวไปมาไม่หยุด

ลู่หมิงชูลูบหลังมืออย่างแรงอีกครั้งแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาดูไม่พอใจจึงกัดฟันอย่างโหดเหี้ยม แล้วจับผิวหนังที่หลังมือของตนบิดเต็มแรง270องศา……หึๆ! ตอนนี้ค่อยยังชั่วหน่อย!

จากนั้นจึงปิดประตูรถอย่างมีความสุขและเดินไปหาหญิงสาว

“เก็บเสร็จแล้วเหรอคะ?”

“ครับ”

“ไปนานจริงๆนะคะ”

“ถนนที่นี่ผมไม่ค่อยคุ้นเคย ก็เลยเข้าซอยผิดน่ะ”

หญิงสาวถาม ชายหนุ่มตอบ

จากนั้นทั้งสองก็เดินไปที่ถนนสายหลัก

“คุณต้องการเก้าอี้แบบไหน?” หญิงสาวถามอย่างไม่รีบร้อน

“ผมว่าอย่างของคุณก็ไม่เลวนะ”

หญิงสาวพยักหน้า “ค่ะ ฉันจะพาคุณไปยังร้านที่ฉันซื้อมา มันเป็นงานฝีมือเก่าแก่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น ราคาแพงอาจจะแพงกว่าเล็กน้อย แต่มันก็สมเหตุสมผลที่จะแพง”

“อืมครับ”

หญิงสาวพูดไปเดินไป

คนเดินถนนที่เดินผ่านไปมาเห็นชายร่างสูงหล่อและหญิงสาวที่เดินตามหลังเขามาทีละก้าวๆอย่างช้าๆ เขามักจะก้มหน้าลงมองดูหญิงสาวที่ตัวเตี้ยกว่าเขาเกือบฟุตด้วยความอ่อนโยน

ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่น

ทั้งสองเข้าไปในร้านเฟอร์นิเจอร์และออกมาในไม่ช้า พวกเขาได้เจรจาต่อรองกับเจ้าของร้านขายของเรียบร้อย และให้อีกฝ่ายขนสินค้าไปให้ที่ด้านหลังรถกระบะของพวกเขา

ตอนนี้บนถนนมีคนมากขึ้นกว่าเดิม หากเธอเดินช้าก็ไม่เป็นอะไร แต่คนขนของไม่ทันระวังจึงทำให้บังเอิญไปชนกับเธอเข้า

“ตุ๊บ!” เธอกระแทกและล้มลงกับพื้น

“คุณขนของยังไงเนี่ย!” ลู่หมิงชูโมโหและรีบก้มตัวลงอย่างรวดเร็ว “คุณเป็นอะไรไหมครับ?”

หญิงสาวใช้มือค้ำพื้นถนนหินชนวนแล้วยืนขึ้นอย่างระมัดระวัง จากนั้นตบฝุ่นที่กระโปรงของเธอ “ไม่เป็นไรค่ะ อย่าโทษเขาเลย ฉันไม่ทันเห็นเอง”

ขณะที่เธอพูด เธอก็ตบฝุ่นบนกระโปรงของเธอแล้วก้าวเท้าขึ้นและกำลังจะเดินไปทางรถกระบะ

ชายคนนั้นหน้าแดงเล็กน้อย “ขอโทษทีครับ ผมไม่ทันมอง”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”

ขณะที่เธอพูด เธอก็ค่อยๆเดินไปข้างหน้าทีละก้าวๆและขมวดคิ้วเล็กน้อย

เธอยังคงเงียบและก้มหน้าเดินต่อไป

ดวงตาของลู่หมิงชูเผยถึงความเจ้าเล่ห์ แขนยาวของเขาเหยียดออกทันที เขาออกแรงและย่อตัวลงเล็กน้อย

“กรี๊ด!” หญิงสาวกรีดร้องออกมาอย่างไม่ทันระวัง เธอยังไม่ทันมองไปด้านหน้าแต่หงุดหงิดเล็กน้อย ดวงตาของเธอเบิกกว้าง “ทำอะไรของคุณน่ะ!”

เธอตะโกนขึ้น

แต่ต่อมาเธอก็อึ้ง

ด้านหน้านี้ ชายร่างสูงใหญ่ก้มลงมาเล็กน้อย เขานั่งยองๆต่อหน้าเธอแล้วหันศีรษะมายิ้ม พูดกับเธอว่า

“ขึ้นมาสิ”

เธอชะงักไปครู่หนึ่ง “บ้าไปแล้วหรือไง!” เธอสบถออกมาแล้วก้าวข้ามผ่าน “ภูเขา” ที่อยู่ตรงหน้านี้ ชายหนุ่มเหยียดแขนยาวของเขาออก และใช้ความสามารถอันชาญฉลาดคว้าตัวเธอเอาไว้ เธอก้มหน้าลงมองพบว่าลู่หมิงชูกำลังยิ้มและมองเธออยู่

รอยยิ้มนั้นดูเยาะเย้ยเล็กน้อย แต่ก็ดูทะเล้น

“ขัดขืนทำไมครับ? หกล้มเจ็บก็บอกผมสิ ต่อให้คุณไม่พูดผมก็ไม่ได้ตาบอด ผมเห็นนะ”

ตอนที่พูด เขาก็เลิกคิ้วขึ้น

“ขึ้นมาเถอะครับ ผมบอกให้ขึ้นมาไม่ต้องอายไง”

ในใจของหญิงสาวได้แต่ตะโกนด่าเขาสารพัน……นี่มันไม่ใช่เรื่องที่ว่าจะอายหรือไม่อายใครหรอกนะ!

“ฉันดินเองได้ ไม่ได้เจ็บอะไรมากนักหรอก……อ๊า!” ยังไม่ทันพูดจบเธอก็อุทานขึ้นมาเธอมองไปยังชายหนุ่มอย่างงุนงง เขา……แบกเธอไปจริงๆงั้นเหรอเนี่ย?

ตอนที่ได้สติกลับคืนมา เธอก็รู้สึกไม่ชอบใจ เนื่องจากตอนนี้ตัวเธอที่ไม่ชอบให้ใครมาบังคับทำอะไร กลับถูกลู่หมิงชูกระทำด้วยแบบนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่ชอบ

เธอจึงดิ้นรน “ปล่อยฉันลงนะ ฉันไม่ชอบ……”

เธอยังไม่ทันจะพูดจบ ผู้ชายที่แบกเธออยู่ก็ส่งเสียงดัง “ซี้ด!” ราวกับว่าเขาได้รับบาดเจ็บจากบางสิ่ง

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณ?”

เธอถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไรๆ” ลู่หมิงชูเพียงขยับมือข้างที่บาดเจ็บ และซ่อนหลังมือของเขาไว้ในที่ที่เธอมองไม่เห็น

การกระทำนี้หญิงสาวมองเห็นมันเข้า จึงดิ้นรนอย่างแรงและผลักเขา เธอลงจากหลังเขาแล้วดึงแขนของเขาออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพลิกหลังมือของเขาดู……หลังมือของเขายังแดงอยู่!

“คุณ……” เป็นเพราะเธอตีใช่ไหม?

“ทำไม……เป็นเยอะจัง?” ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงแล้วแต่รอยแดงบวมยังไม่หายเลยงั้นเหรอ? เธอ……ใช้แรงขนาดนั้นเลยเหรอ?

หญิงสาวรู้สึกสับสนเล็กน้อย

ความรู้สึกบอกกับเธอว่าตนไม่ได้ออกแรงมากขนาดนั้น อย่างน้อยแรงตีก็ไม่น่าจะแดงได้จนถึงตอนนี้

แต่…… “ความจริง”ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว

“อย่ามองอย่างนั้นสิครับ” ลู่หมิงชูยิ้มออกมา “มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณหรอก เป็นเพราะร่างกายผมเอง คุณอาจจะมองว่ามันแดง แต่ไม่ได้เจ็บหรอกครับ”

เมื่อเห็นชายตรงหน้าเธอยิ้มขึ้นอย่างเฉยเมยแสร้งทำเป็นผ่อนคลาย หญิงสาวก็ก้มหน้าลงพร้อมกับความรู้สึกผิดในใจ

หลังจากนั้นไม่นานเธอก็พูดว่า “ไปกันเถอะ”

“เดี๋ยวผมอุ้มคุณไปเอง”

หญิงสาวส่ายหัวและเดินไปข้างหน้า แม้ว่าเธอจะเดินช้า แต่คราวนี้ลู่หมิงชูไม่ได้บังคับเธอ

คนส่งของได้ผูกเก้าอี้หวายติดกับรถกระบะบน และผูกเข็มขัดอีกครั้งทำให้แข็งแรงขึ้น

“ไม่เดินซื้อของต่อแล้วเหรอคะ?” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นแล้วถามชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ “คุณบอกว่าคุณไม่เคยมาเมืองโบราณต้าหลี่ไม่ใช่หรือ?”

“ครั้งหน้าแล้วกันครับ ผมว่านมย่างที่ตรอกนั้นน่าสนใจมากทีเดียว ไว้ครั้งหน้าคุณมาเป็นเพื่อนผมอีก ได้ไหม?”

เธอตั้งใจจะปฏิเสธ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเธอก็พบสายตาตรงหน้าอย่างกระตือรือร้น จึงได้กลืนคำปฏิเสธนั้นลงไป “ค่ะ”

หลังจากขึ้นรถ ลู่หมิงชูกำลังจะสตาร์ทเครื่องยนต์

“เดี๋ยวนะคะ”

หญิงสาวที่นั่งข้างๆพูดขึ้น

ลู่หมิงชูหันศีรษะไปอย่างสับสน “หือ?” เขาถามเธอด้วยสายตาสงสัย มีเรื่องอะไรอีกงั้นหรือ?

หญิงสาวนิ่งเงียบ เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยๆหยิบยาออกจากกระเป๋าของเธอ “ส่งมือมาสิคะ”

“ครับ?”

หญิงสาวไม่ได้สนใจเขา เธอยื่นมือออกมาดึงมือเขาเข้าไป เปิดฝาขวดยาแล้วเทน้ำมันในขวดลงไปเล็กน้อยลงในมือของเธอ จากนั้นนวดลงบนหลังมือของเขาเบาๆไปมา

การเคลื่อนไหวของเธอนั้นช้ามาก แต่ก็ทำให้ลู่หมิงชูมองจนตาลอย

จู่ๆ รอยยิ้มตรงมุมปากก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของเขา

“ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” หญิงสาวนวดน้ำมันอย่างช้าๆ แล้วเอ่ยขอโทษออกมาด้วยตนเอง

ลู่หมิงชูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่เป็นไรครับ ผมบอกแล้วไงว่าร่างกายของผมมันพิเศษกว่าคนอื่นๆ คุณจะมาขอโทษผมทำไม” แม้เขาจะพูดแบบนี้ แต่ในใจกลับตะโกนอย่างมีความสุขว่า

ไม่เป็นไรๆ! เอาอีกสักสองสามครั้งก็ดี!

“คุณลู่ มองอะไรอยู่คะ?”

ลู่หมิงชูตกอยู่ในภวังค์ จนกระทั่งหญิงสาวเอ่ยถามออกมาเบาๆ เขาจึงได้สติกลับคืนมา “ครับ?” เขาตอบรับเบาๆ

“คุณสวยจริงๆ”

“คุณสวยมาก”

ทันทีที่พูดคำนั้นพูดออกมาเธอก็หยุดชะงักลง

มือนั้นยังคงกุมมือเขาไว้

ความรู้สึกสบายผ่อนคลายในใจของลู่หมิงชูกำลังจินตนาการไปว่า นวดสิ นวดอีกสักหน่อยสิ มือของเธอเหมือนมีพลังไฟฟ้าที่แผ่กระจายไปทั่วร่างกาย อย่าให้พูดว่ามันสบายแค่ไหน มันสบายยิ่งกว่านวดแผนไทยอีกด้วยซ้ำ

“ฉันได้ยินไม่ชัด คุณลู่……เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะคะ?”

ลู่หมิงชูหรี่ตาอย่างสบายใจ “คุณสวยมากจริงๆ”

ใบหน้าของหญิงสาวค่อยๆเยือกเย็นลง ดวงตาของเธอแผ่รังสีความเย็นออกมา“ลงจากรถ”

“อะไรนะ?”

หญิงสาวทำเป็นเมินเฉยไม่ได้ยิน เธอเอื้อมมือข้ามร่างกายของเขาไปเปิดประตูฝั่งที่นั่งคนขับดังแกร๊ก และพูดเบาๆว่า “ลงไปจากรถ”

ลู่หมิงชูไม่เข้าใจจริงๆ ผู้หญิงทุกคนน่าจะมีความสุขเมื่อได้ยินคำชมแบบนี้ไม่ใช่หรือไง?

หรืออย่างน้อยก็น่าจะเขินบ้าง?

นี่มัน……

“จะลงไปไหม?”

ลู่หมิงชูส่ายหัวอย่างแรง……ลงจากรถ? จะบ้าหรือไง?

หญิงสาวไม่ได้โต้เถียงกับเขา “ตกลง ถ้าคุณไม่ลง ฉันจะลงเอง”

ลู่หมิงชูมองดูหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ เธอดึงประตูรถลงทำท่าจะลงจากรถ…… “นี่คุณ! จะลงจากรถจริงๆเหรอ?” เขาคว้าข้อมือของหญิงสาวแล้วดึงเธอเข้าไปในรถ

เมื่อสบตากับเจ้าหล่อน……จึงได้รู้ว่าเธอไม่ได้ล้อเล่น!

“ปล่อยมือค่ะคุณลู่” ดวงตาของหญิงสาวจ้องไปที่ใบหน้าของลู่หมิงชูอย่างไร้อารมณ์

ลู่หมิงชูรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยในหัวใจเนื่องจากแววตาอันเฉยเมยของเธอ จู่ๆ เขาก็โมโหขึ้นมาอย่างไม่สนใจความเจ็บปวด แทนที่จะปล่อย เขากลับดึงแรงขึ้น

ยังไม่ทันตั้งตัว หญิงสาวถูกดึงโดยแรงเข้าไปทางลู่หมิงชู เธอเงยหน้าขึ้นและพบว่าหน้าอกอันแน่นที่กำลังกระเพื่อมนั้นอยู่ตรงหน้าเธอ

“เถ้าแก่เนี้ย คุณโกรธอะไรกัน?

ผมไม่เข้าใจจริงๆ ผมก็แค่คิดว่าคุณดูดีมากเท่านั้น

จู่ๆ ทำไมคุณถึงโมโหขึ้นมาแบบไร้เหตุผลล่ะ?”

“คุณลู่ต่างหากที่ไม่มีเหตุผล” หญิงสาวโต้กลับ “คุณลู่ชอบมีความรู้สึกคลุมเครือและเล่นกับผู้หญิงทุกคนที่พบงั้นเหรอคะ?

เรื่องก่อนหน้านี้ฉันก็อุตส่าห์ลืมมันไปแล้ว แต่พฤติกรรมของคุณตอนนี้มันคืออะไร?”

เขาต่างหากที่แปลก

เธอสวยงั้นเหรอ?

สวยตรงไหนกัน?

รูปร่างหน้าตาของเธอเองเป็นอย่างไร เธอไม่รู้หรือไง?

ในตอนนั้นที่เธอตัดผมหน้าม้าเพื่อนำมาใช้ปกปิดรอยแผลเป็นบนหน้าผาก หลังจากเปิดMemory Houseแล้ว เธอก็ได้รวบผมม้านี้ไปมัดรวมกันด้านหลัง รอยแผลเป็นยาวขนาดนั้น……สวยเหรอ?

ผู้ชายคนนี้ถ้าไม่ใช่เพลย์บอย ก็คงมีนิสัยชอบความสัมพันธ์คลุมเครือกับผู้หญิง

หรือไม่ก็แค่เล่นกับเธอ แต่ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ไหนเธอก็ไม่ชอบ เธอไม่ชอบมันมากๆ

“ใครบอกครับ? ใครบอกว่าผมชอบทำตัวคลุมเครือกับผู้หญิง?” ผู้หญิงคนนี้ในใจของเธอมีเพียงไอ้คนชั่วแซ่เฉินนั่นหรือไง? ผู้ชายคนอื่นๆชมเธอ ก็จะกลายเป็นไอ้บ้าโรคจิตอย่างนั้นเหรอ?

เขาเพียงรู้สึกจริงๆว่าตัวเธอในเมื่อสักครู่สวยมากๆ!

เขาคิดไม่ถึงว่าจะกลายมาเป็นแบบนี้ได้เลย

“ถ้าพฤติกรรมของผมทำให้คุณรู้สึกคลุมเครือ เถ้าแก่เนี้ย คุณฟังผมให้ดี” ลู่หมิงชูดึงตัวหญิงสาวที่พยายามจะผละออกเมื่อครู่เข้ามา

“เถ้าแก่เนี้ย ผมชอบคุณ คุณไม่รู้หรือไง?”

“……” ผ่านไปครู่หนึ่ง หญิงสาวไม่พูดและไม่ขยับเขยื้อนใดๆ

“ผมแค่อยากอยู่ใกล้คนที่ผมชอบ ผมคิดว่าคุณสวย มันผิดหรือไง?” ลู่หมิงชูรู้สึกหึง แต่เขาก็ไม่สามารถพูดชื่อเขาคนนั้นออกมาต่อหน้าผู้หญิงในอ้อมแขนของเขาได้

เมื่อมองลงไปยังหญิงสาวผู้เฉยเมยตรงหน้าเขา หัวใจของเขาก็เริ่มวิตกกังวล……เขาสารภาพรักออกไปแล้ว เขาลู่หมิงชูผู้เพิ่งเคยสารภาพรักเป็นครั้งแรกในชีวิต เขาโตมาจนป่านนี้เพิ่งจะสารภาพกับผู้หญิงเป็นครั้งแรก แต่ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนไม่แยแส…… หรือว่า ความรักของเธอนั้นได้หายไปพร้อมกับผู้ชายคนนั้นไปหมดแล้ว?

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่สามารถบอกได้ว่าทำไมในใจถึงเจ็บปวดแบบนี้

“คุณลู่ ถึงจะล้อเล่นก็ต้องมีขีดจำกัด” หญิงสาวถอนหายใจแล้วพูดออกมา

“ใครล้อเล่นกับคุณ!” ลู่หมิงชูไม่สนใจ เขากอดผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วยมือทั้งสองและจูบเธอเข้าอย่างแรง หลังจากที่เขาจูบลงไปนั้น สัมผัสได้ถึงความนุ่มนวล ริมฝีปากชาเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต แต่วินาทีถัดมา……

“โอ๊ย!!!”

ลู่หมิงชูผู้น่าสงสารร้องด้วยความเจ็บปวดและปล่อยมือในทันใด จากนั้นเขาก็ถูกใครบางคนผลักเข้าอย่างแรงทั้งๆที่ยังไม่ทันตั้งตัว เขาถูกผลักลงจากที่นั่งคนขับและตกลงไปบนพื้นหินนั้นดัง “ตุ๊บ!”

ตอนที่นั่งอยู่บนพื้น ลู่หมิงชูยังไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง เขายกมือขึ้นและชี้ไปที่ผู้หญิงในรถด้วยอาการสั่นเทา…… เธอ! เธอ! เธอมันช่างโหดร้าย!

ทั้งกัดเขาและผลักเขาออกจากรถ

หญิงสาวเยาะเย้ยเขาอย่างเย็นชา ถือโอกาสที่เขายังไม่ทันตั้งตัว หญิงสาวก็ปิดประตูและล็อกประตูรถทันที

"เฮ้ๆๆ!"

คนในรถลดกระจกลงเล็กน้อยแล้วเยาะเย้ยว่า “ดูเหมือนคุณลู่จะมีแรงเยอะทีเดียวนะคะ ถ้าอย่างนั้นก็เดินกลับแล้วกัน!”

เธอส่งยิ้มอย่างสะใจแล้วหน้าต่างรถก็ถูกเลื่อนขึ้นอีกครั้งต่อหน้าลู่หมิงชู ดวงตาของเขาเบิกกว้างมองดูเธอขับรถออกไป

เมื่อปฏิกิริยาตอบสนองเขาก็รีบวิ่งไล่ตามรถไป “เฮ้! นี่เถ้าแก่เนี้ย! เถ้าแก่เนี้ย คุณเอาแบบนี้จริงๆเหรอ? รอผมด้วย รอก่อน!”

“เถ้าแก่เนี้ย ขาคุณขับได้เหรอ?”

“เถ้าแก่เนี้ย หยุดก่อน……”

ลู่หมิงชูผู้น่าสงสารก้าวขาของเขาเพื่อไล่ตามรถไป เนื่องจากรถคันข้างหน้าไม่ได้ขับเร็ว แต่มันก็ยากพอที่ลู่หมิงชูจะไล่ตาม

หญิงสาวเหลือบมองที่ขาของเธอแล้วลังเล จู่ๆ เธอก็เหยียบคันเร่งอย่างแรง รถแล่นออกไปไกลทำให้สลัดลู่หมิงชูทิ้งไปได้ รถคันนั้นก็หายวับไปตรงหัวมุมถนน

ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา คลิกแอปสำหรับหาคนช่วยขับรถและเรียกคนขับรถมาคนหนึ่ง

เธอนั่งรออยู่ในรถ ไม่นานนักก็มีคนมาเคาะกระจก “คุณครับ คุณเรียกคนขับมาหรือเปล่า?”

“ใช่ค่ะ ฉันจะไปที่เอ๋อร์ไห่ ขึ้นมาสิคะ” เธอเปิดประตู จากนั้นคนขับรถที่เรียกมาก็กำลังจะก้าวเข้าไปในรถ แต่กลับถูกใครบางคนเบียดตัวเข้ามา

ลู่หมิงชูหอบเหนื่อยอ้าปากค้าง เขาจ้องเขม็งมาทางเธออย่างโกรธเคือง “คุณนี่ทำไมถึงเป็นผู้หญิงที่ไม่รู้จักอันตรายเอาเสียเลย? ขาคนขับแทนเหรอ?

คุณไม่เคยดูข่าวหรือไง ที่มีคนขับรถก่อการร้ายน่ะ?

คุณไม่ขอดูแม้กระทั่งใบขับขี่ก็ให้เขาขึ้นรถมาได้ คุณคิดว่าชีวิตคุณมันถูกและไร้ค่าขนาดไหนกัน?”

แม้คนกล่าวจะไม่ได้ตั้งใจ แต่คนฟังนั้นให้ความใส่ใจ

หญิงสาวมองไปที่ชายตรงหน้าเธอ

ดวงตาของเธอเคลื่อนจากใบหน้าไปที่ผมซึ่งมีเหงื่อหยดลงมา คอของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ…… “คุณ……คุณไม่ได้วิ่งตามมาตลอดทางใช่ไหม?”

ผู้ชายคนนั้นมองเธอ “ไร้สาระ” จากนั้นเขาก็หันหลังกลับไปหยิบกระเป๋าเงินออกเมื่อก้มลงมองก็พบว่ากระเป๋าเงินว่างเปล่า อืม เงินของเขาถูกใช้ซื้อชุดชงชาไปหมดแล้วนี่

แต่เขาก็ถอดนาฬิกาบนข้อมือออกอย่างเรียบร้อยด้วยท่าทางไม่เสียดาย ก่อนจะโยนไปให้คนขับรถที่เรียกมา “รับไว้เถอะครับ ค่าเสียเวลา คุณไม่จำเป็นต้องขับรถให้เธอหรอก”

เขาขึ้นรถทันทีหลังจากพูดจบ โดยไม่ลืมที่จะปิดประตู

“เถ้าแก่เนี้ยครับ” เขาหันหัวมาอย่างน่าสงสาร “เถ้าแก่เนี้ย ผมผิดไปแล้ว”

หญิงสาวมองมาที่เขา ครุ่นคิดและพยักหน้า “รู้ตัวว่าผิดก็ดีแล้วค่ะ”

“ครับผม”

ใช่แล้ว เขาผิดเอง ผิดที่ใจร้อนจนเกินไป เขาน่าจะค่อยเป็นค่อยไปเสียก่อน

“ปากมีเอาไว้กินข้าว อย่าใช้มันพูดจาไร้สาระให้มากนัก แล้วก็อย่ามาเล่นตลกกับฉันแบบนี้อีก มันไม่ตลกเลย” หญิงสาวพูดย้ำอีกครั้ง

“ครับๆ ไม่ตลก ไม่ตลก” เขาพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ทำท่าทางยอมรับความผิดของตน

แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องตลก เขาไม่ได้เล่าเรื่องตลกให้เธอฟังสักหน่อย

เมื่อหญิงสาวเห็นเขาสารภาพผิดอย่างจริงใจจากใจจริง……เฮ้อ ลืมมันไปเถอะ ก็แค่แขกที่มาพัก ไม่ต่างกับนักเดินทางที่เคยมาอาศัยอยู่ในMemory Houseพวกเขามาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เพียงสั้นๆแล้วท้ายที่สุดก็จากไป

หลังจากออกจากMemory Houseไปแล้ว พวกเขายังจะจำกันได้อีกเหรอ?

ใครจะไปสนใจว่าเคยทำอะไรไว้ เคยพูดอะไรบ้าง แล้วใครจะไปใส่ใจกัน?

ในค่ำคืนอันเงียบสงัด Memory Houseได้หลับไหลสู่ความฝันเช่นกัน

เวลากลางคืนในเอ๋อร์ไห่เงียบสงบมาก

ตอนกลางวันร้อนตับจะแตก แต่ตอนกลางคืนกลับมีลมพัดมา

มีร่างเงาดำร่างหนึ่งปรากฏกายขึ้นแล้วหายไปตรงทางเดินไปยังประตูของMemory House ที่นั่นมีประตูไม้ที่ไม่ได้เปิดมาเป็นเวลานาน แม้แต่ผู้ช่วยงานที่เข้ามาทำงานในMemory Houseมาเป็นเวลานานก็ยังไม่เคยเห็นประตูนี้เปิดออก

มีเสียงกรอบแกรบดังขึ้น จากนั้นกุญแจดอกหนึ่งก็ถูกเสียบเข้าไปในรูแล้วส่งเสียงดัง “คลิก” ประตูไม้ถูกเปิดออก คนที่ยืนอยู่หน้าประตูยืนอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน

เธอเป็นเถ้าแก่เนี้ยของMemory Houseแห่งนี้นั่นเอง

เถ้าแก่เนี้ยที่ในสายตาของทุกคนมองว่าเธอเป็นเจ้าของโฮมสเตย์ที่อารมณ์ดี อ่อนโยน และเงียบสงบมาก

แต่ในตอนนี้ ทุกคนที่รู้จักเธอจะต้องรู้สึกเหลือเชื่ออย่างแน่นอน เพราะ ณ เวลานี้ เถ้าแก่เนี้ยที่อ่อนโยนในสายตาของใครๆนั้นช่างเฉยเมย มีความเศร้าโศกซ่อนเร้นอยู่ในดวงตาของเธอ

ใบหน้าอันเฉยเมยนั้นมีนัยน์ตาเศร้า พร้อมฝีเท้าอันหนักอึ้ง…… “ฉัน ฉันมาหาคุณแล้ว” เสียงทุ้มดังขึ้นช้าๆ

แต่ในห้องนั้นไม่มีใครนอกจากเธอ

เธอยกเท้า ก้าวเดินเข้าไปข้างใน ในMemory Houseนี้สถานที่ที่เธอคุ้นเคยที่สุดเกรงว่าจะไม่ใช่ห้องเธอ แต่เป็นที่ห้องนี้

แม้ไม่ต้องเปิดไฟ เธอก็คลำทางไปข้างหน้าในความมืดได้ เธอดูไม่กังวลใดๆ ทุกอย่างที่นี่เธอคุ้นเคยกับมันมากกว่าใครๆ

เมื่อเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ มือเธอก็แตะไปที่ขอบโต๊ะ และคลำโต๊ะนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสัมผัสบางอย่างเข้า "แช๊ก!" จากนั้นไฟก็สว่างขึ้นในทันที มือของเธอถือท่อนไม้ที่ติดไฟนั้นด้วยอาการสั่นเล็กน้อย และเดินมาถึงโต๊ะพร้อมกับธูปสองอันแล้วจุดมันขึ้น

“ฉันยังจำมันได้ดี วันนั้นที่ไฟลุกโชนขึ้นสู่ท้องฟ้า ผู้คนมากมายมองอยู่ด้านนอก บางทีอาจเพราะไฟแรงเกินไป หรือบางทีฉันไม่เป็นที่ชื่นชอบของใครๆ ผู้คนมากมายมีเพียงคุณเท่านั้นที่วิ่งเข้ามา……คุณมันโง่จริงๆ……”

เธอจุดเทียนแล้วดับไม้ขีดไฟ จากนั้นหยิบเครื่องหอมจากโต๊ะแท่นบูชาอีกครั้ง เอนกายไปจุดไฟแล้วค่อยๆ สอดเข้าไปในกระถางธูป ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเชื่องช้า เธอเงยหน้าขึ้นมองดูภาพถ่ายตรงหน้า

“เทศกาลผีในปีนี้มาถึงแล้ว เมื่อประตูเมืองเฟิงตูเปิดขึ้น อาลู่ คุณมาหาฉันได้ไหม?”(ประตูเมืองเฟิงตูหรือประตูนรกเป็นสถานที่ที่กล่าวว่าผู้ล่วงลับสามารถผ่านมายังโลกได้)

ภาพถ่ายหน้างานศพของอาลู่นั้นยิ้มอย่างสดใส หญิงสาวนั่งเงียบๆอยู่หน้าโต๊ะมองดูรูปถ่ายตรงหน้า แน่นอนว่าเธอไม่มีรูปอาลู่หรือกระดูกของอาลู่แต่อย่างใด ส่วนภาพนั้นมาจากความทรงจำของเธอที่มีอยู่ ซึ่งเธอได้ให้จิตรกรเร่ร่อนที่เดินทางมาเอ๋อร์ไห่วาดให้

รอยยิ้มนั้น……เจิดจ้าอย่างเห็นได้ชัด

หญิงสาวบีบฝ่ามือของเธออย่างรุนแรง……เธอเจ็บใจจริงๆ

“เพียงข้ามผ่านหยินและหยางมา……อาลู่ มาหาฉันหน่อยได้ไหม?” จมูกของหญิงสาวเริ่มติดขัด “อาลู่ ฉันมักจะฝันถึงคุณก่อนที่จะมาที่เอ๋อร์ไห่ แต่ทำไมเมื่อฉันมายังเอ๋อร์ไห่ที่คุณใฝ่ฝันแล้ว คุณก็ไม่มาหาฉันอีกเลย?”

หญิงสาวพูด ดวงตาของเธอค่อยๆเปียกชื้นขึ้น “อาลู่ ถ้าคุณไม่มาปรากฏตัวในความฝันของฉันอีกแบบนี้ ฉันก็แทบจะลืมรูปลักษณ์ของคุณแล้วนะ”

แม้เธอจะบอกว่าตนไม่เหงา แต่ที่จริงแล้วเธอเหงามาก

เธอคิดถึงอาลู่ แต่อาลู่ไม่เคยมาปรากฏในความฝันของเธออีกเลย

จาวจาวนั้นเป็นคนดีมาก แต่ก็ไม่อาจเดินเข้าไปอยู่ในใจเธอได้

เธอสัญญาว่าจะใช้ชีวิตทุกวันให้ดี เหมือนกับตอนที่เธอและอาลู่อยู่ในกรงเหล็กนั้น อาลู่บอกว่าอยากจะมองดูท้องฟ้า ทะเลก้อนเมฆในทุกๆวันอย่างสบายอารมณ์และเงียบสงบ

เธอใช้ชีวิตอย่างที่อาลู่ต้องการอย่างจริงจัง ใช้ชีวิตแบบนี้ทุกวัน……แต่ละวันเธอนอนบนโซฟา ดื่มชาและดูทิวทัศน์งดงาม……แต่เธอกลับหนักอึ้งจนหายใจไม่ออก

เธอนั่งยองๆ ฉีกกระดาษเงินที่เตรียมไว้ทีละชิ้นๆ แล้วโยนมันลงในเตาอั้งโล่ พลางสนทนากับอาลู่ราวกับว่าอาลู่ไม่เคยตาย และอาลู่ยังอยู่เคียงข้างเธอ

“คุณไม่มีครอบครัว ฉันคือครอบครัวของคุณ อยู่ที่นั่น…… อย่าโชคร้ายไปเจอเพื่อนอย่างฉันทำร้ายคุณอีกนะคะ”

เธอสนทนาไม่หยุดจนกระทั่งกระดาษเงินหมด หญิงสาวจึงค่อยๆยืนขึ้น เนื่องจากเธอนั่งยองๆเป็นเวลานาน ดังนั้นเมื่อเธอยืนขึ้นขาของเธอจึงชา และเซไปข้างหลัง

ยังไม่ทันจะอุทานออกมา เธอก็รู้ดีว่าต้องล้มอย่างไม่เบาแน่นอน

ร่างกายที่กำลังจะล้มลงสู่พื้น จู่ๆ ก็มีร่างหนึ่งเข้ามาพยุงเธอเอาไว้อย่างแรงที่เอว

“ระวัง!”

หญิงสาวมองไปข้างหลังอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นคนอื่นเข้ามา “คุณเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?” เธอใช้หางตามองไปที่ประตู เธอจำได้ชัดเจนว่าเธอปิดประตูแล้วหลังจากเข้ามา

ดวงตาคู่นั้นจ้องมองคนที่อยู่ข้างหลังอย่างระแวดระวัง เขา…… เขาเห็นและได้ยินอะไรมากแค่ไหน?

ผู้ที่เดินมานั้นทำท่าทางดูไร้เดียงสา “พอดีผมนอนไม่หลับก็เลยลงมาเดินเล่น บังเอิญเดินผ่านมาเห็นมีไฟเปิดอยู่ในนี้ ผมก็เลยยืนที่ประตูและมองเข้ามาข้างใน โชคดีนะที่เผมเห็นพอดีว่าคุณกำลังจะล้มลง ไม่อย่างนั้น……”

เขาเหลือบมองเตาอั้งโล่ที่มีประกายไฟบนพื้นอีกครั้ง “ดึกดื่นป่านนี้คุณยังมานั่ง……เผากระดาษอยู่อีกเหรอ?”

หญิงสาวเม้มปากไม่พูดอะไรออกมา

“ญาติ?” เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย…อะลู่คือใคร?

เขามองไปที่โต๊ะตามสัญชาตญาณ เนื่องจากตอนที่อยู่ตรงประตู เขามองรูปนี้ได้ไม่ชัด

หญิงสาวจงใจเข้าบดบังสายตาของเขา แต่ถึงจะอย่างนั้น……เธอก็เตี้ยกว่าเขามาก

แม้ว่าเธอจะบังเอาไว้เกือบทั้งหมด แต่เขาก็ยังมองเห็นมันได้

ผู้หญิง?

“ผมได้ยินคุณเรียกว่าอะลู่……ญาติคุณเหรอครับ?”

เขาถามอย่างสงสัย

สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปทันที “คุณลู่ชอบสอบถามเรื่องส่วนตัวของคนอื่นมากเหรอคะ?”

อาลู่เป็นคนที่เชื่อมโยงปัจจุบันกับอดีตของเธอเข้าด้วยกัน แม้ว่าเธออยากจะลืมอดีตและความรักนั้นไป แต่มันก็เคยมีอยู่จริง

ลู่หมิงชูเอื้อมมือออกไปอย่างรวดเร็วและยกขึ้น “เอาละครับ ผมไม่ดีเอง เถ้าแก่เนี้ยมีอะไรให้กินไหม?”

……

ในยามดึกของเมืองS ณ คฤหาสน์ตระกูลเจี่ยน มีพายุลูกหนึ่งกำลังก่อตัวขึ้น

เจี่ยนโม่ป๋าย ถือรายงานการตรวจสอบ 3 ฉบับด้วยมืออันสั่นเทา เขาอ่านดูรายงานทั้งสามฉบับนี้มาเกือบทั้งวันแล้ว แต่เหงื่อก็ยังคงหยดลงบนหน้าผากของเขาไม่หยุด เขาไม่อยากจะเชื่อเลยอีกทั้งยังตกใจกลัวด้วยซ้ำ

ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นดัง “ควับ!” แล้วเดินไปที่ห้องนอนของเจี่ยนเจิ้นตงและคุณนายเจี่ยนอย่างรวดเร็ว ด้วยเสียงเท้าอันเร่งรีบของเจี่ยนโม่ป๋ายที่ตรงทางเดิน

ตึงๆๆๆ!

เสียงเคาะประตูอย่างเร่งรีบสร้างความรำคาญให้กับเจี่ยนเจิ้นตงที่กำลังจะผล็อยหลับในห้องนอน ใบหน้าของเขารำคาญเล็กน้อย “ใคร?”

“พ่อเอง เปิดประตูหน่อย พ่อเอง”

เมื่อเจี่ยนเจิ้นตงได้ยินว่าเป็นเจี่ยนโม่ป๋าย ใบหน้าของเขาก็ดีขึ้นเล็กน้อย คุณนายเจี่ยนซึ่งนอนตะแคงอยู่ข้างๆก็ตื่นขึ้นเช่นกัน “โม่ป๋าย พ่อหลับไปแล้ว มีเรื่องอะไรค่อยว่ากันพรุ่งนี้”

แต่คนที่นอกประตูไม่ได้จากไปทันที

“พ่อครับ เปิดประตูก่อนได้ไหม ผมมีเรื่องสำคัญมาก”

เจี่ยนเจิ้นตงผลักคุณนายเจี่ยนเบาๆ “ไปเปิดประตู”

คุณนายเจี่ยนไม่รู้จะทำอย่างไรจึงต้องลุกขึ้นมาสวมชุดคลุมจากนั้นเดินไปที่ประตู เธอรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย

“โม่ป๋าย ดึกแล้วนะ……” เธอพูดพร้อมกับเปิดประตู

ทันทีที่ประตูเปิดออก ลูกชายของเธอที่ยืนอยู่ตรงประตูก็พุ่งเข้ามาราวกับพายุฝน เสื้อคลุมที่คุณนายเจี่ยนสวมอยู่ก็ถูกกระแทกหล่นลงพื้น “เอ๊ะ! เจ้าลูกคนนี้นี่!……”

“พ่อครับ พ่อรู้ว่าน้องสาวผมอยู่ที่ไหนใช่ไหม?!” ทันทีที่เจี่ยนโม่ป๋ายเข้ามา เขาก็ถามเจี่ยนเจิ้นตงอย่างไม่รีรอ

จู่ๆ บรรยากาศในห้องก็เย็นลง

เจี่ยนเจิ้นตงก้มหน้า “ลูกมีน้องสาวที่ไหนกัน”

“เสี่ยวถงไงครับ เจี่ยนถง!”

“บ้านเราไม่มีคนชื่อเจี่ยนถง อย่าพูดถึงผู้หญิงดื้อรั้นคนนี้อีก เอาละนี่ก็ดึกแล้ว กลับไปนอนได้แล้ว”

“พ่อครับ! ผมได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว! การจับคู่เซลล์ของพ่อกับแม่ไม่ประสบผลสำเร็จ!” รายงานทั้งสามฉบับนั้น ฉบับหนึ่งเป็นรายงานการวินิจฉัยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวของเขา และอีกสองฉบับคือหลังจากที่เขารู้เรื่องมะเร็งเม็ดเลือดขาวของเขา ก็ได้ใช้ผลการตรวจสุขภาพของพ่อและแม่เมื่อครึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมักจะตรวจทุกๆครึ่งปี เขาเอาผลนั้นไปวานให้หมอที่คุ้นเคยกันนำไปตรวจดูว่าสามารถเข้ากันได้หรือไม่

ภายในห้องนอนที่ไร้เสียง

ทันใดนั้น!

“ลูก ลูก…พูดอะไรนะ?”

คุณหญิงเจี่ยนเบิกตาโพลงและมองไปที่เจี่ยนโม่ป๋ายอย่างคาดหวัง หวังว่าเธอจะได้ยินมันผิดไป

เจี่ยนโม่ป๋ายเม้มริมฝีปาก “ผลตรวจออกมาแล้ว ผมเป็นลูคีเมีย”

ริมฝีปากเขาซีดขาว…ถึงหมอจะบอกว่ารักษาได้และรับรองผลการรักษา แต่ในใจเขารู้ดีว่าวิธีที่ดีที่สุดในการกำจัดโรคนี้คือการปลูกถ่ายไต

คุณหญิงเจี่ยนทนไม่ไหว เธอตัวสั่นและยืนไม่อยู่พิงที่ผนังและล้มตัวลง

เจี่ยนเจิ้นตงที่ด้านข้างมองดูรายงานสามฉบับที่เจี่ยนโม่ป๋ายทิ้งไว้และเงยหน้าขึ้นครู่หนึ่งแล้วถามว่า

“เกิดอะไรขึ้นกับรายงานการจับคู่ทั้งสองนี้? แกมีตัวอย่างของฉันกับแม่แกได้ยังไง?”

เจี่ยนโม่ป๋ายเงยหน้าขึ้นทันที และมองไปยังใบหน้าที่เหมือนกับเขาอยู่มากอีกทั้งยังคุ้นเคยเสียจนไม่รู้จะคุ้นเคยยังไง “พ่อ! ผมเป็นลูคีเมีย! เวลาแบบนี้พ่อกลับไม่ได้ห่วงร่างกายของผม แต่ไปห่วงว่าผมมีตัวอย่างของพ่อกับแม่และรายงานการจับคู่ได้ยังไงงั้นเหรอ? !”

คุณหญิงเจี่ยนพุ่งเข้าไป “ลูกจ้ะ! ลูกจ้ะ! ลูกอย่าเพิ่งโมโห ไม่ใช่ว่าพ่อไม่เป็นห่วงลูกนะ”

เจี่ยนเจิ้นตงรู้ว่าเขาเป็นคนไร้เหตุผลจึงขมวดคิ้ว “ที่ฉันถามเรื่องรายงานนี้ ก็เพราะแปลกใจที่ฉันกับแม่แกไม่เคยตรวจการจับคู่นี้”

เจี่ยนโม่ป๋ายกำหมัดแน่น “เมื่ออาทิตย์ก่อนพ่อกับแม่ไปตรวจร่างกายทุกครึ่งปีไม่ใช่เหรอ? ผมวานให้เพื่อนช่วย”

เจี่ยนเจิ้งตงเข้าใจแล้ว

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ทำไมต้องหลบๆ ซ่อนๆ? แกบอกเรา มีหรือที่เราจะไม่ทำเพื่อลูกชายของตัวเอง และไปตรวจเพื่อจับคู่?”

“พ่อลูกพูดถูก มีเหรอที่พวกเราจะทนเห็นลูกชายของเราต้องทุกข์ทรมานได้?”

เจี่ยวโม่ป๋ายรู้สึกขมขื่นและทนไม่ได้ เขาหลับตาลง กำหมัดแน่นจนสั่นและทันใดนั้นก็ลืมตาขึ้น

“ถ้าผมไม่เอาตัวอย่างของพ่อกับแม่ไปให้คนช่วยทดสอบ จะรู้ได้ยังไงว่าตอนที่พ่อกับแม่ไปตรวจเพื่อจับคู่ จะไม่เห็นแก่ตัวและไม่ช่วยผม หรือจะทำอะไรกับผลตรวจหรือเปล่า?”

“โม่…โม่ป๋าย ลูกพูดอะไรน่ะ! ลูกเป็นลูกชายคนเดียวของเรานะ!” คุณหญิงเจี่ยนมองไปที่ลูกชายด้วยความตกใจ คำกล่าวหาของลูกชายดังก้องอยู่ในหูของเธอ… นี่คือลูกชายของเธอ! ทำแบบนี้กับเธอได้ยังไง!

“โม่ป๋าย ลูกพูดแบบนี้กับพ่อแม่ของลูกได้ยังไง? หรือว่าพ่อแม่ในสายตาลูกเป็นคนที่เห็นแก่ตัวขนาดนั้น เห็นแก่ตัวเสียจนไม่อยากจะช่วยเหลือเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง?”

น้ำตาของคุณหญิงเจี่ยนร่วงราวกับสายฝน เจี่ยนโม่ป๋ายยังคงนิ่งเฉยและพูดพลางเยาะเย้ย

“หรือว่าไม่ใช่ล่ะ? หรือว่าพ่อกับแม่ไม่เห็นแก่ตัว?

ถงถงล่ะ?

ถงถงก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อกับแม่!

พ่อกับแม่เองก็ไม่สนใจเธอเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”

“นั่นมัน นั่นมัน…”

“นั่นคืออะไร? นั่นเพราะตระกูลเสิ่นมีอิทธิพลมากเกินไป พ่อกับแม่กลัวเสิ่นซิวจิ่น ใช่ไหม?”

เจี่ยนโม่ป๋ายมองดูคุณหญิงเจี่ยนด้วยรอยยิ้มที่ประชดประชัน “ผมจะกล้าเชื่อพ่อกับแม่ได้ยังไง?”

ทันใดนั้นหมัดก็ตรงเข้าไปที่เขา “แกมันปากดี!” เจี่ยนเจิ้นตงมีใบหน้าที่สงบและจ้องมองกันและกันด้วยความโมโห

“เจิ้นตงๆ อย่านะ อย่าทำ!” คุณหญิงเจี่ยนรักลูก และรีบเข้าไปขวางระหว่างพ่อลูก และขวางสามีของเธอ

“โม่ป๋ายไม่สบาย! เขาเองก็ร้อนใจ ลูคีเมียนะ! คุณจะให้เขาเป็นอะไรได้? เขายังเด็กอยู่ เขายังไม่มีครอบครัว เขากำลังจะต้องเผชิญหน้ากับความตาย จะไม่ให้เขาร้อนรนได้เหรอ? เขาจะเหมือนกับคนที่ไม่มีเรื่องอะไรได้งั้นเหรอ!

เจิ้นตง! โม่ป๋ายเป็นลูกของเรานะ ลูกชายคนเดียวของเรา!”

เจี่ยนเจิ้นตงสูดหายใจลึก “โม่ป๋าย แกไม่ควรคิดแบบนี้กับพ่อแม่ ฉันกับแม่เป็นพ่อแม่ของแกนะ!”

เจี่ยนโม่ป๋ายกัดฟันและไม่ตอบอะไรอีก เขาคิดอะไรบางอย่างได้จนลืมเงยหน้าและถามขึ้น “พ่อ พ่อคงรู้ว่าเสี่ยวถงอยู่ที่ไหน ใช่ไหม?”

เขามองไปข้างหน้าอย่างคาดหวังไปยังพ่อของเขาเอง

เจี่ยนเจิ้นตงเม้มปากและไม่พูดอะไร

เจี่ยนโม่ป๋ายยื่นมือออกไปจับแขนเสื้อของเจี่ยนเจิ้นตง “พ่อ ครอบครัวเราเหลือเพียงเสี่ยวถงที่ช่วยผมได้ พ่อบอกผมเถอะว่าเสี่ยวถงอยู่ที่ไหน ผมขอร้อง!”

“แกพูดเพ้อเจ้ออะไร แกไม่มีรายงานการจับคู่ของเธอเสียหน่อย แกจะรู้ได้ยังไงว่าจะเข้าคู่กันได้?”

เจี่ยนเจิ้นตงถาม

คุณหญิงเจี่ยนช่วยเสริม “นั่นสิ เจอถงถงก็ไม่หมายความว่าจะเข้าคู่กันได้”

เจี่ยนเจิ้นตงโบกมือ “ดึกมากแล้ว แกไปพักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้ฉันจะหาเส้นสายถามดูเรื่องหาไต ทั้งประเทศมีคนตั้งมากมาย จะหาไม่เจอเลยเหรอ? ในประเทศไม่มี ก็ไปต่างประเทศ พ่อจะต้องช่วยแกแน่”

“โม่ป๋าย อย่าอดนอน ฟังที่พ่อพูด ไปพักก่อนเถอะ เรื่องสำคัญแบบนี้ พ่อแม่ต้องช่วยลูกแน่” คุณหญิงเจี่ยนรักลูกตนเองแต่ก็รู้ดีว่ารีบร้อนไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงได้แต่ให้ลูกไปพักก่อน ไม่ต้องสิ้นเปลืองแรงกายและพลังงาน

เธอเอื้อมมือออกไปที่เจี่ยนโม่ป๋าย

“เสี่ยวถงช่วยผมได้จริงๆ! เสี่ยวถงเข้าคู่กับผมได้! เสี่ยวถงเป็นคนเดียวที่ช่วยผมได้!” เจี่ยนโม่ป๋ายเข้าใจในสิ่งที่พ่อของเขาพูด แต่ว่าเขาไม่กล้าเสี่ยง

แหล่งขายไตนั้นมีมาก แต่ถ้า ถ้าหากว่าไม่มีที่เข้ากับเขาได้ล่ะ?

เขาไม่เข้าใจ ทำไมเขาเป็นโรคที่มีความน่ากลัวขนาดนี้แล้ว พ่อของเขากลับไม่ค่อยจะตื่นตระหนกเลย

เจี่ยนโม่ป๋ายตะโกนอย่างตื่นเต้น “ตอนเสี่ยวถงอายุสิบแปดได้บริจาคตัวอย่างเลือดไว้ เธอบอกผมว่า ถ้าหากว่าบนโลกนี้มีคนป่วยแล้วเข้ากับเธอได้ เธอก็ยอมจะช่วยชีวิตคน

และความเข้ากันกับเสี่ยวถง ผม…ผมหาข้อมูลมาแล้ว มีเพียงเสี่ยวถงที่ช่วยผมได้ อีกทั้งเธอยังเป็นน้องสาวของผมเอง

พ่อ บอกผมมาเถอะว่าเสี่ยวถงอยู่ที่ไหน?”

คุณหญิงเจี่ยนที่อยู่ข้างๆ หน้าซีดขาวเหมือนกระดาษเปล่า แล้วจู่ ๆ ก็พูดออกมาอย่างตื่นเต้น “เป็นไปไม่ได้!”

“ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้? แม่! แม่อยากให้ผมหาย หรือไม่หายกันแน่!” เจี่ยนโม่ป๋ายรีบถามขึ้น

“เป็นไปไม่ได้…บนโลกนี้ จะมีเรื่องบังเอิญแบบนี้ได้เหรอ?” เธอไม่เชื่อๆ ๆ!

“บังเอิญอะไร? เจี่ยนถงเป็นน้องสาวผม ระหว่างญาติสนิท ปกติก็มีสัดส่วนที่จะเข้าคู่กันได้มากอยู่แล้ว”

เจี่ยนโม่ป๋ายไม่เข้าใจ แม่ของเขามีปฏิกิริยาแบบนี้หมายความว่าอย่างไร มันแปลกประหลาดมาก

“โม่ป๋าย!” ทันใดนั้นคุณหญิงเจี่ยนก็ยื่นมือออกไปกำเสื้อของเจี่ยนโม่ป๋ายแน่น “ลูก ลูกมั่นใจนะ?”

บนโลกนี้มีเรื่องบังเอิญจริงๆ อย่างนั้นเหรอ?

“แม่ แม่เป็นอะไรกันแน่?”

“เจี่ยนถง เจี่ยนถงไม่ใช่ลูกของฉัน” คุณหญิงเจี่ยนหน้าซีดขาว เมื่อพูดจบก็เหมือนจะใช้แรงทั้งหมดที่มีไปแล้วและล้มลงใส่เจี่ยนโม่ป๋าย

“แม่ แม่พูดเพ้อเจ้ออะไร!”

“จริงๆ เจี่ยนถงไม่ใช่ลูกของแม่ เธอมีน้องสาว แต่ไม่ใช่เธอ ตอนแม่คลอด แม่คลอดได้ราบรื่น มีสติสัมปชัญญะมาก แม่ให้กำเนิดเด็กผู้หญิง และพยาบาลที่มีหน้าที่ทำความสะอาดเด็กแรกเกิด พอเธอทำความสะอาดเด็กเสร็จ แม่ให้เธออุ้มเด็กให้แม่ดู เธอเป็นเด็กผู้หญิง ขาไม่มีปาน แต่เสี่ยวถงมีปานที่เท้าขวา

แม่ไม่กล้าจะพูดออกมา แม่อยากจะพาเธอไปตรวจดีเอ็นเอที่โรงพยาบาล แต่พ่อของลูกก็รักเธอมาก เธอถูกพ่อของลูกเลี้ยงมาข้างกายตั้งแต่เล็ก เธอเป็นเด็กฉลาด ถ้าแม่พาเธอไปจริงๆ และพ่อของลูกรู้เรื่องเข้า…

เดิมทีพ่อของลูกก็ไม่ได้ชอบแม่อยู่แล้ว” เธอเองก็กลัวผลตรวจดีเอ็มเอที่แท้จริง หากมีใครรู้ ไม่แน่ว่าจะถูกคนอื่นเข้าใจผิดได้ว่าเธอไปมีอะไรกับคนอื่น

“อย่างไรเสียเธอก็เป็นเด็กผู้หญิง ตอนนั้นแม่คิดว่าไม่ส่งผลอะไรถึงลูก ต่อมาเธอทุ่มตัวเอง แม่ไม่ได้หยุดและยังโชคดีด้วยซ้ำ”

เจี่ยนโม่ป๋ายอึ้งไป

ทันใดนั้นก็มีเสียงเบาๆ “เธอก็เลยคิดเองเออเอง เธอคิดว่าคุณพ่อจะใจดีให้คนอื่นเลี้ยงหลานตัวเองเหรอ?” เจี่ยนเจิ้นตงที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้น

“คุณ…หมายความว่ายังไง?” คุณหญิงเจี่ยนมองดูสามีตนเองนิ่ง

“เจี่ยนถงเป็นลูกสาวของเธอ หลานสาวแท้ๆ ของปู่

เธอคิดว่าสมัยที่พ่อยังแข็งแรงอยู่ ตระกูลเจี่ยนของเราเกรียงไกรแค่ไหน? ถึงจะเทียบตระกูลเสิ่นไม่ได้ แต่ภายในเมือง S ในวงการ ใครบ้างไม่ยอมรับ ใครบ้างไม่เห็นแก่หน้าตระกูลเจี่ยน?”

เจี่ยนเจิ้นตงพูดย้อนความหลัง ถึงแม้จะไม่อยากจะยอมรับ แต่ความสามารถของตัวเองก็เทียบไม่ได้กับพ่อของเขา

แต่ในช่วงเวลาที่ท่านแก่เจี่ยนยังแข็งแรงอยู่นั้น ตระกูลเจี่ยนเจริญรุ่งเรือง

คุณหญิงเจี่ยนนิ่งไป “ฉันไม่เข้าใจ”

สามีของเธอจะพูดเรื่องของคุณพ่อทำไม?

“คุณพ่อเก่งแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้”

อันที่จริงเธอเข้าใจดีแต่ในใจเธอสับสนมาก จนเธอไม่ยอมรับมัน

เจี่ยนเจิ้นตงพ่นลมเบาๆ

“เธอคิดว่าพ่อเป็นใคร? โม่ป๋ายถูกเลี้ยงมาโดยเรา ส่งเด็กอกตัญญูนั่นถูกเลี้ยงอยู่ข้างกายคุณพ่อตลอดเวลา

อยู่ด้วยกันมานานแบบนั้น เธอคิดว่าพ่อฉันจะดูไม่ออกว่าเด็กเนรคุณนั่นจะไม่ใช่หลานตัวเองเหรอ?”

“ฉันไม่เข้าใจๆ ๆ ๆ คุณอย่าพูดอีก ฉันไม่อยากฟัง!” คุณหญิงเจี่ยนมีสีหน้าซีดขาวพยายามปิดหูอย่างตื่นเต้น

“ถ้าหากเด็กอกตัญญูนั่นไม่ใช่หลานแท้ๆ ของคุณพ่อ เธอคิดว่าพ่อจะยกสมบัติให้เด็กนั่นตั้งมากมาย และจะเสียแรงเลี้ยงคนที่เป็นคนนอกไม่ใช่สายเลือดตัวเองเหรอ?”

โครม!

คุณหญิงเจี่ยนถูกฟ้าผ่าดัง “ครีน” และใบหน้าของเธอก็กลายเป็นซีดเผือดในทันใด!

เธอไม่อยากฟัง ไม่อยากเชื่อ แต่เธอทนไม่ไหวที่จะไม่ฟัง และทนไม่ได้ที่ไม่เชื่อ!

“ทั้งหมดนี้ ถ้าหากมันเป็นความจริง อย่างนั้นฉัน ฉัน…” นี่เธอทำอะไรลงไป! ! !

คุณหญิงเจี่ยนพึมพำกับตัวเองและสติหลุดมองพื้น

เจี่ยนโม่ป๋ายตกตะลึงกับเรื่องทั้งหมดนี้! เห็นคุณหญิงเจี่ยนทำหน้าไม่ถูก “แม่ แม่ไม่เป็นไรนะ?”

“แม่? แม่?”

เจี่ยนโม่ไปมองดูคุณหญิงเจี่ยนที่มีท่าทางแปลกๆ เขากำลังจะสัมผัสคุณหญิงเจี่ยน

ทันใดนั้นเอง!

หญิงที่หน้าซีดเผือดก็เงยหน้าและมองไปที่เจี่ยนเจิ้นตงอย่างอาฆาตแค้น “ฉันไม่เชื่อ! คุณหลอกฉัน! ฉันมีลูกสาว แต่ฉันยังไม่ลงจากเตียงคลอดฉันก็เห็นแล้วว่าลูกฉันไม่มีปานที่เท้าขวา!” เธอไม่เชื่อ ทั้งหมดนี้ต้องไม่ใช่ความจริง

“ฉันไม่เชื่อ!”

ถ้าหากเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความจริง อย่างนั้น…ไม่! ไม่จริง! มันไม่มีทางจะเป็นความจริง!

ลูกสาวของเธอมีไม่ปานที่ขาขวา!

“ฉันเห็นกับตา! คุณบอกว่าคุณพ่อไม่มีทางทำพลาดเรื่องหลานตัวเอง ฉันเป็นแม่จะพลาดเรื่องลูกสาวของตัวเองอย่างนั้นเหรอ? !”

เรื่องทั้งหมดนี้ไม่จริง!

และมันไม่เพียงพอที่จะเป็นจริง!

เป็นไปไม่ได้!

คุณหญิงเจี่ยนปกติแล้วเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยน ต่อหน้าเจี่ยนเจิ้นตงเธออ่อนโยนและน่ารักเสมอ แม้ว่าเธอจะอายุเยอะแล้ว แต่เธอก็ไม่ให้เจี่ยนเจิ้นตงจะรังเกียจ

แต่ในตอนนี้ ใบหน้าของคุณหญิงเจี่ยนดูน่ากลัว เจี่ยนเจิ้นตงสะดุ้งเล็กน้อย ขมวดคิ้วและมีร่องรอยของความเบื่อหน่ายในคิ้วของเขา

“เธอไม่เคยคิดบ้างเหรอว่า ทำไมคุณพ่อถึงเก็บเด็กเนรคุณไว้ข้างตัวตั้งแต่ยังเด็ก?”

เขามองไปที่คุณหญิงเจี่ยน

“และเธอไม่คิดบ้างเหรอว่า เด็กทารกที่เธอเห็นในห้องคลอดนั้นถูกสับตัวตั้งแต่แรก?”

ครืน!

เสียงดัง คุณหญิงเจี่ยนเหมือนโดนฟ้าผ่า!

เจี่ยนเจิ้นตงพูดต่อ “หลายปีก่อน คุณพ่อนั้นเฉียบแหลมมากจนทำให้บางคนไม่พอใจ ก่อนเธอจะคลอดลูกไม่นาน เนื่องจากมีการประมูล คุณพ่อได้แย่งส่วนแบ่งจากมือคนอื่น ดังนั้นตอนเธอคลอดลูก คนคนนั้นจึงได้ซื้อพยาบาลคนที่อุ้มเด็กให้เธอดูคนนั้น

เธอไม่รู้เรื่องที่เกี่ยวพันนี้ แต่พ่อรู้ดี คนคนนั้นก็ไม่ได้คิดจะทำคิดร้ายกับพ่ออย่างเอาเป็นเอาตายจริงๆ หรือคิดจะทำอะไรเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลเจี่ยน เธออย่าเห็นว่าคุณพ่อเป็นคนเงียบๆ แบบนั้น โกรธขึ้นมา เขาเอาตาย

ดังนั้นคนที่ซื้อนางพยาบาลคนนั้น ให้เธออุ้มเด็กคนอื่นไปให้เธอดู แล้วส่งข้อความไปให้คุณพ่อ

ทำไมคุณพ่อจะไม่รู้ว่าคนคนนั้นทำไปเพื่ออะไร?

สิ่งที่คนคนนั้นต้องการคือให้คุณพ่อวางมือ เลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อ เขาสามารถที่เล่นแมวดาวสับเปลี่ยนองค์ชายกับคุณพ่อได้ หากคุณพ่อยังดึงดันไม่วางมือ อย่างนั้นหลานของคุณพ่อเอง หากเขาคิดจะทำอะไรที่ร้ายแรงกว่านั้นก็ได้ นั่นคือสิ่งที่คนคนนั้นประกาศเตือน”

เรื่องเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน แต่เจี่ยนเจิ้นตงกลับจำมันได้ดี “ปกติแล้วผมไม่เคยเห็นพ่ออ่อนข้อให้ใคร มีเพียงครั้งนั้น เพื่อเด็กเนรคุณคนนั้น พ่อยอมวางมือ นั่นเป็นเงินหลายร้อยล้าน ไม่ใช่หยวน และเป็นยูโร!”

ถ้าหากตอนนั้นคุณพ่อไม่วางมือ ตระกูลเจี่ยนก็คงเป็นที่หนึ่ง เขาก็คงไม่จำเป็นต้องกลัวเสิ่นซิวจิ่นหัวหดแบบนี้! ตระกูลเจี่ยนก็คงไม่ใช่ตระกูลเจี่ยนอย่างทุกวันนี้!

เจี่ยนเจิ้นตงรู้สึกอารมณ์เสีย

“ถึงแม้ว่าคนคนนั้นจะสับเปลี่ยนเด็กคนอื่นมาให้เธอดู แต่เพราะคุณพ่อวางมือทันเวลา พวกมันจึงไม่ได้ทำอะไรเด็กเนรคุณนั่น

แต่เพราะเรื่องนั้น คุณพ่อจึงระมัดระวังอยู่เสมอและยิ่งระแวดระวังมากขึ้นไปอีกว่า ยายเด็กเนรคุณนั่นจะเป็นสายเลือดของตระกูลเจี่ยนหรือไม่ หลังจากการทดสอบความเป็นสายเลือดแล้ว เขายังนำเด็กนั่นมาเลี้ยงไว้ข้างกาย เธอยังคิดว่าเธอไม่ใช่ลูกสาวของเธออีกเหรอ?”

คุณหญิงเจี่ยนตัวสั่น ริมฝีปากสั่นเทาและซีด เธอค่อยๆ ยกนิ้วที่สั่นเทาขึ้นและชี้ไปที่เจี่ยนเจิ้นตง

“ในเมื่อคุณรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ทำไมคุณไม่บอกฉัน! คุณรู้ว่าเสี่ยวถงเป็นลูกสาวของฉัน คุณ คุณ ตอนนั้นคุณ…ทำไมถึงลงมือ?”

เธอสับสนไปหมด!

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เธอแอบค้นหาลูกสาวแท้ๆ ของเธอ แต่ไม่มีข่าวเลย… ปรากฏว่ากลายเป็น!

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เธอเฝ้าเสี่ยวถงเข้าคุกโดยไม่เหลียวแลหรือไปเยี่ยม

เธอมองดูเสี่ยวถงต้องตกลงไปในที่อย่างตงหวง มองดูเธอต้องโดนดูถูกและต่ำต้อย

ตอนแรกเธอไม่ได้ห้ามเพราะเธอรู้ว่าเสี่ยวถงไม่ใช่ลูกของเธอ เธอเห็นดีเห็นงาม อย่างไรเสียคนที่ต้องได้รับความทุกข์ทรมานก็ไม่ใช่ลูกของเธอ จะต้องได้รับความอยุติธรรมหรือทรมานก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ?

แต่ว่า ตอนนี้ สามีของเธอบอกเธอว่า ผู้หญิงที่ได้รับความอัปยศอดสูและความเสื่อมทรามอย่างมากเป็นลูกสาวของเธอ เป็นลูกสาวแท้ๆ ของเธอเอง!

“ฮือ! ฮือ ๆ ๆ! เจี่ยนเจิ้นตง~!” คุณหญิงเจี่ยนพังทลาย ผมเผ้ายุ่งเหยิง ดวงตาแดงก่ำ ทันใดนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่เจี่ยนเจิ้นตงอย่างดุเดือด

“เจี่ยนเจิ้นตง! คุณทำได้ยังไง! นั่นคือลูกสาวของคุณนะ!”

เธอกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง “เจี่ยนเจิ้นตง! คุณยังเป็นคนอยู่รึเปล่า!” คนเราจะเลวร้ายแค่ไหนก็ไม่ทำร้ายลูกตัวเองหรอก!

คุณหญิงเจี่ยนบ้าคลั่งและรีบวิ่งไปหาเจี่ยนเจิ้นตง คุณหญิงเจี่ยนผู้ประพฤติดี คุณหญิงเจี่ยนผู้ซึ่งก้มหน้าก้มตาสงบเสงี่ยมเจียมตัว พุ่งเข้าไปที่สามีของเธอซึ่งเธอเคารพมาตลอด เล็บสีแดงสดของเธอขีดข่วนสามีของเธอ

“เจี่ยนเจิ้นตง คุณยังเป็นคนอยู่รึเปล่า! ยังเป็นคนอยู่รึเปล่าฮะ! เสือร้ายมันยังไม่ทำร้ายลูกมันเลย! ! ! คุณมันโหดเหี้ยมกว่าสัตว์เดรัจฉาน!”

“คุณบ้าไปแล้วเหรอ?” ในตอนที่คุณหญิงเจี่ยนลงมือนั้น เจี่ยนเจิ้นตงปล่อยเธอ แต่ผู้หญิงตรงหน้านั้นเหมือนคนบ้า ซึ่งทำให้เขาจ้องด่าออกมาและผลักเธอออกไปด้วยความโกรธ

“ฉันไม่ใช่คน ฉันเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน แล้วเธอล่ะดีแค่ไหนกัน?

เธอจะพาเด็กเนรคุณนั่นไปตรวจดีเอ็นเอก็ได้! แต่เธอกลัวว่าจะทำให้คุณพ่อโกรธ กลัวจะถูกคุณพ่อไม่ชอบเธอมากกว่าเดิมถ้าหากคุณพ่อรู้เรื่องเข้า? เธอเองก็เห็นแก่ตัว เธอเองยังจำลูกตัวเองไม่ได้ เธอจะโทษใคร? หึๆ”

เจี่ยนโม่ป๋ายยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อกี้นี้…สรุปแล้วเขากำลังฟังเรื่องอะไรอยู่กันแน่?

นี่…มันเป็นครอบครัวประเภทไหนกัน? แล้วเป็นคนแบบไหนกัน!

เช้าวันต่อมา

ที่โรงพยาบาล

“ประธานเจี่ยน ทางลูกชายของคุณไม่ได้จะต้องเปลี่ยนไต” หมออธิบายกับเจี่ยนเจิ้นตง

“สถานการณ์ของคุณเจี่ยนโม่ป๋าย ต้องการคนที่มีไขกระดูกเข้ากับเขาได้ เขาไม่ได้จะต้องเปลี่ยนไต”

เจี่ยนเจิ้นตงฟังแล้วมือสั่น

“งั้นคุณก็เลือกคนที่มีไขกระดูกเข้ากับลูกผมได้สิ”

เห็นได้ชัดว่ามีร่องรอยของความไม่อดทนในสายตาของแพทย์

“ประธานเจี่ยน คุณอาจจะยังไม่เข้าใจ ในจำนวนคนหลายพันคน หากจะหาคนที่ไขกระดูกเข้ากันได้นั้น จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขเยอะมาก ซึ่งดีที่สุดคือในเครือญาติ ซึ่งสามารถเข้าคู่กันได้ง่ายที่สุด”

คุณหญิงเจี่ยนไม่ได้พูดตั้งแต่ต้นจนจบ และความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเจี่ยนเจิ้นตงก็อาจจะก่อตัวขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

“คุณกับคุณนายไม่สามารถจะจับคู่ได้” ตามที่หมอพูด เขาเงยหน้าขึ้นอย่างลังเลและเหลือบมองที่เจี่ยนโม่ป่ายที่อยู่ด้านข้าง “ในครอบครัวยังมีพี่น้องรึเปล่าครับ?”

เจี่ยนโม่ปป๋ายสีหน้าเปลี่ยนในทันที แต่ไม่พูดอะไรและเงียบ

คุณหญิงเจี่ยนตารื้นขึ้นมาและมือที่ดูแลอย่างดีของเธอก็กดจมูกเบา ๆ ก้มศีรษะลง เธอไม่พูดอะไรสักคำ

เมื่อเห็นแม่ลูกคู่นี้ เจี่ยนเจิ้นตงก็เกิดรำคาญใจขึ้นมา

“ไม่ได้ป่วยจะตาย ร้องไห้ให้ใครดู!”

คุณหญิงเจี่ยนเงยหน้าขึ้นทันใด นัยน์ตาคู่นั้นที่สดใสและอ่อนวัยเมื่อครั้งยังสาว แม้จะแก่แล้วก็ยังมีเสน่ห์อยู่ แต่นัยน์ตาคู่นี้ที่ปกติจะหันหน้าเข้าหาสามีแต่ตอนนี้กลับจ้องมาที่เขาอย่างดุเดือด สามีที่เธอชื่นชมมาโดยตลอด

หมอเคยได้ยินเรื่องครอบครัวตระกูลเจี่ยน

เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคอย่างลูคีเมียและเขาได้ติดต่อผู้ป่วยในแวดวงคนที่ร่ำรวยหรือเพื่อนของนักข่าวและสื่อ หลังจากได้ยินเกี่ยวกับตระกูลเจี่ยนแล้ว เขาลังเลที่จะถามว่ามีพี่น้องหรือไม่

แต่ตอนนี้ดูจากสีหน้าต่างๆ ของครอบครัว… หมอแอบเตือนว่าความคับข้องใจแบบนี้จากคนรวย อย่าเข้าไปยุ่งเลยดีกว่า แล้วพูดขึ้น

“คืออย่างนี้ แน่นอนเราจะมองหาไขกระดูกที่ตรงกับคุณเจี่ยนโม่ป๋ายอย่างแน่นอน พวกคุณควรระดมญาติ ๆ และเพื่อนของคุณมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจ

ถึงจะบอกว่าอัตราที่จะประสบความสำเร็จไม่มาก

แต่ในปี 2006 มีเคสหนึ่งที่ห้องเรียนประสบความสำเร็จในการบริจาคไตและไขกระดูกให้กับเด็กที่ไม่รู้จัก

ซึ่งเรื่องแบบนี้หากจะพูดให้ฟังดูแย่

แต่…พวกคุณไม่ควรจะตั้งความหวังไว้มากไป

หรือจะบอกว่า…ในครอบครัวยังมีญาติอีก ก็ให้รีบพาเข้ามาตรวจเพื่อจับคู่”

คำพูดของหมอนั้นชัดเจนมาก และคนตระกูลเจี่ยนก็ไม่โง่ เจี่ยนโม่ป๋ายริมฝีปากซีดเผือด

“ยังมีอีก ตั้งแต่นี้ไป คุณเจี่ยนโม่ป๋าย ให้คุณไปทำเรื่องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันนี้ไป สถานการณ์ปัจจุบันของคุณ จะต้องได้รับการรักษาด้วยการให้เคมีบำบัด ในช่วงเวลานี้ จะเป็นการดีหากคุณสามารถหาผู้บริจาคไขกระดูกที่เข้าคู่กันได้สำเร็จ”

“เคมีบำบัด?” คุณหญิงเจี่ยนที่เงียบมาตลอดได้กรีดร้องขึ้น “หมอคะ โม่ป๋ายของเราจะไม่ทำเคมีบำบัด เขาจะรับเคมีบำบัดไม่ได้นะ”

แพทย์มองไปที่ข้อมือของเขาที่อีกฝ่ายสู้จับไว้แน่น และขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณนายครับ คุณใจเย็นก่อน ปล่อยมือของคุณก่อน”

คุณหญิงเจี่ยน “อ้อ” ปล่อยมือที่กำข้อมือของหมอไว้แน่น ใบหน้าของเธอสับสน “หมอคะ โม่ป๋ายของเราจะไม่รับเคมีบำบัด ไม่ว่ายังไงก็จะไม่รับเคมีบำบัด!”

“สถานการณ์ของคุณเจี่ยนโม่ป๋ายในตอนนี้ หากไม่รับเคมีบำบัดจะยิ่งหนักขึ้น คุณนายครับ คุณไม่ต้องกังวล เคมีบำบัดไม่ได้น่ากลัวอย่างนั้น…”

ก่อนที่หมอจะพูดจบ คุณหญิงเจี่ยนก็โต้กลับอย่างตื่นเต้น

“จะไม่น่ากลัวได้ยังไง? ฉันได้ยินมาว่าลูกชายคนสุดท้องของครอบครัวพี่สาวฉันเสียชีวิตหลังจากให้เคมีบำบัด เขาตายจากการรับเคมีบำบัด!” พูดแล้วด้วยท่าทางแข็งกร้าว

“ไม่ว่ายังไง! โม่ป๋ายของเราจะไม่รับเคมีบำบัด!”

หมอขมวดคิ้ว เขากลัวเรื่องไร้สาระแบบนี้ที่สุด ถึงเขาจะไม่ชอบแต่ก็ยังต้องอธิบายให้คุณหญิงเจี่ยนฟังให้ชัดเจน คุยกันอีกนานก็สมควรจะเกลี้ยกล่อมคุณหญิงเจี่ยนได้ แน่นอน ในที่สุดเจี่ยนเจิ้นตงก็ตัดสินใจ

“ฉันไปทำเรื่องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลก่อน”

หมอออกไปแล้วเจี่ยนโม่ป๋ายเดินไปที่หน้าต่างด้วยความสิ้นหวัง

ใจคุณหญิงเจี่ยนสั่น “ลูก จะต้องหาผู้บริจาคไขกระดูกที่เข้ากันได้ได้แน่ พ่อพูดแล้ว ถึงเวลาให้เงินผู้บริจาคเยอะๆ ลูก ลูกอย่าคิดไม่ตกเลยนะ”

มือที่สั่นเทาของเธอพยายามจับมือลูกชายของเธอ

วินาทีต่อมา!

เจี่ยนโม่ป๋ายที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างกันกลับมาและจับมือของคุณหญิงเจี่ยนแน่นเหมือนกับกำลังจับฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ และขอร้อง

“แม่! แม่! แม่บอกผมมาเถอะว่าน้องอยู่ไหน แม่จะต้องรู้แน่ ใช่ไหม! ใช่ไหม? ? ? แม่? แม่? แม่พูดสิ แม่อย่าเอาแต่เงียบ แม่พูดอะไรสักคำสิ…แม่…แม่พูดสิ!”

เจี่ยนโม่ป๋าย "โครม" ล้มและคุกเข่าลงและมองไปที่แม่เจี่ยน “ผมขอร้องล่ะ! แม่! ผมขอร้อง! ผมไม่อยากตายนะ! อายุผมยังน้อย! ผมไม่อยากตาย ไม่อยากตาย! ! ! แม่ แม่ แม่พูดสิ ได้ไหม?”

เขารู้ดีเกินไป และรู้ดีเกินไปว่าโอกาสที่จะรอการจับคู่ไขกระดูกจะสำเร็จน้อยเพียงใด!

เป็นที่ชัดเจนเกินไปว่าไม่ใช่เลือดของญาติและโอกาสในการจับคู่ที่ประสบความสำเร็จก็น้อยลงไปอีก!

เขาไม่กล้ารอ!

คุณหญิงเจี่ยนมองดูลูกชายที่สิ้นหวังเช่นนี้ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำตา และในชั่วพริบตา เธอก้มหน้าลง เธอปิดปากและไม่พูดอะไร

“แม่ ต่อให้น้องตัดสัมพันธ์กับทุกคน แต่น้องก็เป็นลูกแม่ เธอสามารถจะทิ้งใครก็ได้ แต่คงจะอดไม่ได้ที่จะทิ้งแม่ของตัวเองได้หรอก!

แม่ สามปีมานี้ น้องไม่น่าจะไม่ติดต่อแม่ ใช่ไหม?

น้องจะต้องเคยติดต่อแม่บ้าง ใช่ไหม?

แม่จะต้องรู้แน่ว่าน้องอยู่ที่ไหน ใช่ไหม?” เจี่ยนโม่ป๋ายมองไปที่แม่เจี่ยนที่อยู่ตรงหน้า

“แม่ แม่อย่าเอาแต่ร้องไห้สิ แม่พูดกับผมสิ ได้ไหม? ฮะ? ได้ไหม?”

คุณหญิงเจี่ยนทนไม่ไหวแล้วได้แต่ส่งเสียง “โฮ” แล้วพูดกับเจี่ยนโม่ป๋ายทั้งน้ำตา

“โม่ป๋าย ถ้าลูกเป็นเสี่ยวถง ลูกยังจะคิดว่าแม่เป็นแม่อยู่ไหม?”

เธอพูดจบ ก็หลับตาลงอย่างเจ็บปวด…เธอที่ไม่เคยถามไถ่อะไรเสี่ยวถงเลย กลับยิ่งทำให้แย่ลงไปอีก และตอนนี้เธอแทบรอไม่ไหวที่จะตบหน้าตัวเองอย่างแรง!

เจี่ยนโม่ป๋ายนิ่งไป…คำพูดของแม่ของเขาเหมือนค้อนขนาดใหญ่ตีหัวใจของเขา

“โม่ป๋าย เด็กดี แม่กับพ่อจะใช้เส้นสายทั้งหมดที่มี ไม่ว่าจะเสียเงินเท่าไหร่ พวกเราจะต้องช่วยรักษาลูกให้หาย

ลูกเป็นลูกคนเดียวของเราเป็นลูกผู้ชายคนเดียวของตระกูลเจี่ยน

ไม่ว่ายังไง พ่อของลูกไม่มีทางจะไม่เหลียวแลลูกแน่

เราจะไปหาหมอที่ดีที่สุดเพื่อช่วยลูกอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะต้องจ่ายราคาสูงแค่ไหนในการหาผู้บริจาคไขกระดูกให้ลูก…”

“เงินๆ ๆ! แม่! ในใจแม่รู้ดี เป็นการยากที่จะหาไขกระดูกที่ตรงกับผมจากคนที่ไม่เกี่ยวข้องเหล่านั้น ซึ่งยากกว่าการงมเข็มในมหาสมุทรอีก!

แม่! มีเพียงน้องช่วยผมได้ น้องเข้ากับผมได้

พวกแม่รีบไปหาน้องเถอะ”

คุณหญิงเจี่ยนฟังแล้วน้ำตาไหลและพูดอย่างสะอึกสะอื้น

“โม่ป๋าย ลูกต้องเข้าใจนะ ต่อให้เราหาเสี่ยวถงเจอ เธอยังจะยินดีจะช่วยเราเหรอ?

อีกอย่าง ลูกเองก็อย่าลืมว่า น้องสาวของลูก…ตอนนั้นต้องลำบากมากมาย เธอ…มีไตเพียงข้างเดียว!

ร่างกายของเธอ จะรับได้กับการต้องปลูกถ่ายให้ลูกอีกไหม?”

“ผม…” เจี่ยนโม่ป๋ายรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า!

เจี่ยนถง…เหลือไตเพียงอันเดียว!

และเขากลับลืมไปแล้ว

เขาหลับตาลงอย่างหมดหวัง เจี่ยนโม่ป๋ายหน้าซีดเผือด ริมฝีปากสั่นและคิดจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็หยุดไป คำพูดที่เห็นแก่ตัวเช่นนั้นไม่ได้ถูกพูดออกมา

เอ๋อร์ไห่ในทางไกล เงียบสงบ

ยกเว้นหลู่หมิงชูที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น เขามักจะสร้างปัญหาเป็นครั้งคราว ทำให้โฮมสเตย์เล็กๆ ที่เงียบสงบเกิดปัญหาขึ้น

เขาบอกว่าจะว่ายน้ำ

ดวงตาของจาวจาวเกือบจะตาถลน “ทะเลสาบนี้ว่ายน้ำไม่ได้นะคะ”

ลู่หมิงชูยืนยันที่จะว่ายน้ำ “ฉันว่ายน้ำเก่ง จะว่าไปน้ำในทะเลสาบใสมาก ฉันไม่ไปไกลหรอก อยู่แค่แถวด้านหน้าเท่านั้นแหละ”

“แต่ว่าน้ำทะเลสาบมันว่ายไม่ได้จริงๆ…”

ก่อนที่จะพูดจบ จาวจาวก็จ้องไปที่ชายหนุ่มรูปงามที่บอกจะทำอะไรก็ทำ โบกมือแล้วพูดอะไรบางอย่าง “ฉันไปเปลี่ยนเสื้อ เดี๋ยวลงมา”

ลู่หมิงชูเดินไปและจาวจาวหันศีรษะไปมองผู้หญิงที่อยู่ข้างๆด้วยความงงงวย

“เถ้าแก่เนี้ย…พี่หมิงชูเขาคิดอะไรของเขา? จะทำยังไงฉันก็ไม่เข้าใจที่เขาพูดเลย?”

หญิงสาวเบ้ปาก “เธอรีบไปดูเถอะ ห้องที่เขาจองไว้ยังเหลืออีกหลายวัน รีบโพสต์ขายห้องบนอินเทอร์เน็ตเถอะ”

“เถ้าแก่เนี้ย!” จาวจาวเหมือนค้นพบโลกใหม่ เอามือข้างหนึ่งปิดปากของเธอแล้วชี้ไปที่ผู้หญิงบนเก้าอี้เอนกาย “โอ้~ฉันเข้าใจแล้ว! เถ้าแก่เนี้ย เถ้าแก่เนี้ยจะไล่พี่หลิงชูให้ไปไว ๆ ใช่ไหมคะ? ? ?”

หญิงสาวกลอกตา “เธอเพิ่งจะดูออกเหรอ?”

จาวจาวกำลังจะพูด เมื่อแสงจากมุมหางตาของเธอก็กวาดไปที่บางสิ่งบางอย่าง เธอหยุดและยืนอยู่ที่นั่นสักพักหนึ่ง จ้องมองไปที่คนที่มาอย่างตะลึงงัน

“จาวจาว? อ้าปากกว้างขนาดนั้นทำไม…” เสียงของผู้หญิงคนนั้นหยุดกะทันหัน และคราวนี้ เธอก็ตกตะลึงเช่นกัน…

ลู่หมิงชูยกมุมปาก อวดหุ่นสวยอย่างภาคภูมิใจ “ดีไหมล่ะ?” จู่ ๆ ก็ก้มตัวลงและกระซิบที่ข้างหูเบาๆ

“เธอกำไรแล้ว ปกติฉันไม่ให้ดูหรอกนะ”

ครู่หนึ่ง…

หญิงสาวเก็บสายตาที่ตกตะลึงนั้น “คุณ…หนาวรึเปล่า?”

ลู่หมิงชูนิ่งไปครู่หนึ่ง… “คุณ ไม่มีอย่างอื่นจะพูดแล้วเหรอ?”

เขากำลังสงสัยว่าเธอเป็นผู้หญิงรึเปล่า

“เถ้าแก่เนี้ย…คุณลองดูให้ละเอียดสิ ผมเป็นยังไง?”

ลู่หมิงชูในตอนนี้เหมือนกำลังประจบสอพลอผู้หญิงที่อยู่ในวังในสมัยโบราณ

หญิงสาวไม่ได้พูดอะไร จาวจาวชี้ไปที่นิ้วของผู้หญิงคนนั้น และจู่ ๆ ก็เปลี่ยนทิศทางชี้ไปที่ลู่หมิงชู

“พี่หมิงชู! พี่มีซิกแพคด้วยนะ! ซะ ซะ…เซ็กซี่มาก!” พูดจบ เลือดกำเดาอุ่นก็ค่อยๆ ไหลออกมาจากรูจมูก “ไม่ไหว ๆ พี่หมิงชู พี่รีบใส่เสื้อเถอะค่ะ

จริงๆ นะ! น้ำในทะเลสาบมันว่ายไม่ได้จริงๆ~”

เธอสงสัยอย่างยิ่งว่าพี่หมิงชูจงใจทำ จงใจแต่งตัวแบบนี้ โชว์เนื้อหนังแบบนี้ต่อหน้าเถ้าแก่เนี้ย

จาวจาวที่ยังอายุน้อย เธอดูละครเกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวันมาเยอะมาก ในสมองอันน้อยนิดของจาวจาว มีเรื่องทะลึ่งอยู่เต็มไปหมด

ผู้ช่วยที่มากับลู่หมิงชู ชายที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ยืนอยู่ที่มุมห้องโถงซึ่งไม่มีความรู้สึกว่ามีอยู่ ใบหน้าของผู้ชายคนนั้นเกิดความเขินอายและหน้าแดงขึ้น

ปรายตาและไม่คิดจะหันไปมองเจ้านายที่สง่างามของเขาอีก

เขาหน้าแดงแทนเจ้านายเข้าแล้ว

นี่มันอะไรกัน มุขจีบสาวยุคแปดศูนย์ คุณชายของเขา ไปเรียนมาจากไหนกันนะ?

ลู่หมิงชูจงใจเอนตัวลงไปตรงหน้าของผู้หญิงคนนั้น และรอยยิ้มที่อธิบายไม่ได้ก็ปรากฏขึ้นภายใต้ดวงตาของเธอ ดังนั้นเธอจึงถามอย่างแผ่วเบา

“คุณลู่ คุณจะหลงในหุ่นตัวเองไปรึเปล่า?”

“หรือว่าหุ่นผมไม่ดี?” ไม่ได้ดีกว่าไอ้บ้าเสิ่นซิวจิ่นเหรอ?

“เรื่องนี้เหรอ…หุ่นอย่างคุณลู่ ธรรมดามากเลยค่ะ ฉันเห็นมาหลายคนแล้ว”

ตึงๆ ๆ!

ลู่หมิงชูรู้สึกเหมือนโดนก้อนหินทุบ “คุณเคยเห็นหลายคนแล้ว?”

ที่เขาย้ำคือ “คุณเคยเห็น”

แต่พอไปถึงผู้หญิง สิ่งที่ย้ำกลับเป็น… “ใช่สิ เห็นหลายคนแล้ว”

“ผมไม่เชื่อ”

ผมไม่เชื่อ “คุณเห็นมาแล้ว” หลายคน

“ถ้าคุณลู่ไม่เชื่อล่ะก็ งั้นคืนนี้ฉันจะพิสูจน์ให้คุณเห็นเอง คุณลู่ คุณกล้าพนันกับฉันไหมล่ะคะ?”

“คืนนี้? คุณ? พิสูจน์? ให้ผมดู?” ทุกคำที่เขาพูดระคนไปด้วยความสงสัย

“ทำไมคะ? คุณลู่ไม่กล้าเหรอ?”

“ใครบอกผมไม่กล้า?” เพียงแต่ เธอจะพิสูจน์ให้เขาเห็นตอนกลางคืน…จะพิสูจน์ยังไง?

เขาลังเลครู่หนึ่งและยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่า เขามองผู้หญิงตรงหน้าอย่างสงสัย “กลางคืนเหรอ? คุณแน่ใจเหรอ?”

“ใช่ค่ะ กลางคืน”

ลู่หมิงชูใจเต้นตึกตักๆ

พิสูจน์ตอนกลางคืน ยิ่งกว่านั้นยังเกี่ยวข้องกับรูปร่าง…เธอคงจะไม่คิด…

“ได้ ผมพนันกับคุณ”

“อือ”

“อย่าเพิ่งรีบ พนันอะไร?

ชนะพนันแล้วผมจะได้อะไร?”

รอยยิ้มที่คำนวณได้ปรากฏขึ้นภายใต้ดวงตาของเขา เขาเป็นนักธุรกิจ และนักธุรกิจไม่มีทางยอมเสียเปรียบ

ผู้หญิงคนนั้นหลับตาลงเพื่อซ่อนรอยยิ้มลึกๆ ในดวงตาใสของเธอ

“ได้ คุณตัดสิน”

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มก็ค่อยๆ กลับคืนมา แต่เมื่อเผชิญกับแสงแดด มันสะท้อนความงามที่แปลกประหลาดออกไป

หัวใจของลู่หมิงชูเต้นเร็วขึ้นและคอของเขาขยับเล็กน้อย

“คุณพูดแล้วนะ ผมตัดสิน ผมตัดสินใจอะไรคุณก็จะยอมรับเหรอ? ถ้าผมชนะ จะทำตามเงื่อนไขของผม?”

“ชักช้า”

ลู่หมิงชูแอบขบขัน หญิงสาวคนนี้ยังคงทำให้ตนเองช้า เธอไม่รู้ว่าเธอเข้าไปในถ้ำหมาป่าแล้ว หึ

เขามั่นใจในรูปร่างของเขามาก เขายังไม่เชื่อว่าเธอจะพิสูจน์ได้ว่ารูปร่างของเขาจะธรรมดา

ลู่หมิงชูรู้สึกว่าเขาเป็นยายหมาป่าที่โกหกหนูน้อยหมวกแดง และเขามีศักยภาพที่จะทำผลงานได้ดีในอุตสาหกรรมนี้

ผู้หญิงคนนั้นหลับตาลงและพยักหน้า

……

กลางคืนค่อยๆ มืดลง

บ่ายวันนี้ลู่หมิงชูคิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดในใจของเขา เขาคิดถึงฉากต่างๆ นับไม่ถ้วน ด้วยรูปลักษณ์ที่ขี้อายของเธอ และความเย้ายวนอันมีเสน่ห์ของเธอ… ใช่แล้ว!

ลู่หมิงชูรู้สึกละอายใจกับจินตนาการของตัวเองและเกิดอารมณ์ขึ้นมา

ก๊อกๆ ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น เขาออกมาจากห้องน้ำพอดี

ก่อนที่จะเปิดประตูยังตั้งใจเปิดปกคอเสื้อของเสื้อคลุมอาบน้ำ แล้วจึงไปเปิดประตู

“ทำไมถึงเป็นเธอ? เถ้าแก่เนี้ยของพวกเธอล่ะ?”

จาวจาวไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับพรเช่นนี้ ดวงตาของเธอแทบจะถลนออกมา และทันใดนั้นก็ปิดจมูก “พี่หมิงชู คุณรีบใส่เสื้อผ้าเถอะค่ะ เถ้าแก่เนี้ยรอคุณอยู่ที่ลานจอดรถ”

“ลานจอดรถ? ทำไมถึงไปที่ลานจอดรถ…เฮ้ จาวจาว เธออย่าเพิ่งไป อธิบายก่อนสิ…”

“ไม่เอาๆ ๆ พี่หมิงชู ฉันน้ำตาลต่ำ ยังไงซะ ฉันไปก่อนนะคะ คุณรีบลงไปล่ะ ลงไปช้า เถ้าแก่เนี้ยโกรธนะคะ”

จาวจาวปิดจมูกและวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

ลู่หหมิงชูไม่เข้าใจจึงได้แต่สงสัย เขาคว้าเสื้อแล้วออกจากห้อง

ในโรงแรมมีที่จอดรถเล็กๆ ที่เขาว่ากันว่าเป็นที่จอดรถ แต่จริงๆ แล้วเป็นที่เปล่า เทปูนแล้วเอามาทำเป็นที่จอดรถ

ลู่หมิงชูเห็นหญิงสาวยืนอยู่ข้างรถจากที่ไกลๆ

เดินเข้าไปไม่กี่ก้าว “ไม่ใช่บอกว่ากลางคืนจะพิสูจน์ให้ผมดูเหรอ?”

“ใช่ไง นี่ไม่ใช่ว่าจะพาคุณไปพิสูจน์หรอกเหรอ?”

ลู่หมิงชูหรี่ตาลง… “พาผมไปพิสูจน์? พาผมไปไหน?”

“เมืองโบราณต้าหลี่” เธอพูดแล้วขึ้นรถไปก่อน “คุณลู่ คุณยังจำทางได้รึเปล่า?”

ลู่หมิงชูขึ้นรถเงียบๆ และอยากจะดูว่าเธอจะทำอะไร

แต่ระหว่างเธอไม่ว่าเขาจะหลอกถามเธอยังไง เธอก็ไม่ปริปากสักนิด

จนกระทั่งถึงเมืองโบราณต้าหลี่ ลู่หมิงชูเดินตามเธอไป และเดินไปตามทางที่จะไปบาร์เหล้า

สองข้างทางของถนนสายหลักมีบาร์ที่ครึกครื้นอยู่หลายสิบแห่ง แต่ละแห่งมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ไม่ร้องเพลงพื้นบ้านก็เพลงป๊อป

นักร้องนำมีทั้งผู้หญิงผู้ชาย

เธอกลับไม่ได้เดินเข้าไปแล้วหันเดินเข้าไปในตรอกเล็กๆ แล้วเข้าไปในบาร์แห่งเดียวในตรอก

“คุณพาผมมาที่นี่ทำไม?” ลู่หมิงชูมองดูนักเต้นชายหลายคนเต้นไปมาบนเวทีกลางบาร์ และมีผู้หญิงนับไม่ถ้วนตะโกนใส่นักเต้นชายที่ยัดเงินไว้ในกางเกงใน… ในใจของเขาเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดี “ผมยังมีธุระ ไปก่อนนะ” พูดแล้วก็รีบหันหลังจะเดินออกไป

กลับมีมือหนึ่งจับแขนเขา

“คุณลู่ เล่นพนันก็ต้องมีของพนัน คุณขนะก็ต้องทำตามเงื่อนไขคุณ ฉันชนะก็ต้องทำตามเงื่อนไขของฉันใช่ไหมคะ?

หากคุณลู่ไปตอนนี้ล่ะก็ แบบนั้นถือว่ายอมแพ้นะคะ ถ้าอย่างนั้นขอให้คุณลู่คืนห้องแล้วออกไปจากMemory House ส่วนเรื่องค่าเสียหาย ฉันจะรับผิดชอบเอง”

เธอไม่ได้โง่ ลู่หมิงชูมองตาเธอ เธอดูช่างคุ้นเคย…คุ้นเคยจน…เจ็บ!

ไม่ว่าเขาจะมีจุดประสงค์อะไร ไม่ว่าจะจริงจังหรือแค่เล่นๆ

ถ้าหากเล่นเธอคงไม่คิดจะเล่น ไล่เขาไปเป็นกฎของเธอ

ถ้าหากว่าเขาจริงใจ อย่างนั้น…เธอยิ่งไม่สามารถแสร้งทำเฉย ส่งให้เขาไปเป็นผลดีกับเขาเอง

อย่างไรเสีย——ไม่ให้ความหวัง เป็นความอ่อนโยนของเธอต่อคนแปลกหน้าคนนี้

แสงไฟในบาร์มืดเกินไป และเธอไม่สามารถมองเห็นช่วงเวลาที่หนาวเย็นบนใบหน้าของชายที่อยู่ข้างๆ เธอและเงาดำมืดในดวงตาของเขาได้

เมื่อไม่เห็นเขาพูดอะไรเธอจึงพูดขึ้น “คุณลู่ พวกเราไปกันเถอะ”

เธอก้าวขาจะเดินไปแล้วถูกคนข้างหลังดึงกลับ และได้ยินเสียงที่ไม่รู้ว่าอยู่ในอารมณ์ไหนดังเข้ามาในหูเธอ “ตั้งแต่เริ่มที่ยังไม่มีเดิมพันอะไร คุณก็คิดจะไล่ผมไปอยู่แล้วใช่ไหม?”

เมื่อได้ยินเสียงที่ไม่สามารถระบุอารมณ์ได้ เธอตัวสั่นอย่างอธิบายไม่ถูก “สิ่งนี้…ดีกับคุณที่สุดแล้ว”

เธอพูดบางอย่างที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่ชายที่อยู่ข้างๆ เธอยิ้ม โน้มตัวลงมา ลมหายใจร้อนก็เข้าเต็มหูของเธอในทันใด

“ผมเอาด้วย”

เขาพูดคำสองคำเงียบๆ ข้างหูของเธอ ผู้หญิงเพียงรู้สึกว่าแขนที่จับได้ของเธอคลายขึ้นทันที และแหล่งความร้อนรอบๆ ตัวเธอก็สลายไป ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องก็ดังมาจากหูของเธอครั้งแล้วครั้งเล่า

เธอหันไปมองร่างที่อยู่บนเวทีโดยไม่รู้ตัว… เธอตกตะลึง

เธอแค่อยากจะขู่เขาด้วยสิ่งนี้ เธอต้องการทำให้เขากลัว เธอไม่ได้คาดหวังว่าชายที่เจอริมน้ำจะลดศักดิ์ศรีของเขาลงจริงๆ แล้วเดินขึ้นไป

เขาเป็นที่รักในสปอตไลท์ ดึงดูดสายตาทุกคนในคราวเดียว

กระดุมเสื้อเชิ้ตที่ใช้บ่อยที่สุดที่ปลายนิ้วของเขาถูกปลดทีละเม็ด มันกลายเป็นตัวการที่ทำให้ผู้หญิงนับไม่ถ้วนกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง…มีเสน่ห์เหลือเกิน

เมื่อกระดุมบนเสื้อถูกปลดออกโดยปลายนิ้วของเขา เมื่อปลดเสื้อแล้ว พวกผู้หญิงในกลุ่มผู้ชมก็กรี๊ด “ถอดเลย! ถอดเลย! ถอดเลย!”

และมีคนโยนเงินขึ้นไปบนเวที

ชายหนุ่มบนเวที ด้วยการเคลื่อนไหวง่ายๆ และถอดเสื้อเชิ้ตของตัวเอง ทันใดนั้นเองเสียงกรี๊ดก็กลบเสียงดนตรีจนหมด

และผู้ชายที่มองผ่านผู้ชมที่ส่งเสียงกรีดร้อง ในสภาพแวดล้อมที่มืดสลัวนี้ ก็พบผู้หญิงคนนั้นอย่างแม่นยำ

เธอ ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น สายตาของชายผู้นั้นอยู่บนเวที อย่างอธิบายไม่ถูก… ความเจ็บปวดที่หายไปนาน ความรู้สึกคุ้นเคยเกิดขึ้น

เธออยู่ข้างล่างเวทีและริมฝีปากซีดขาวเล็กน้อย แต่แสงไฟนั้นไม่ชัดเจน เธออ้าปากแล้วพูดกับคนที่อยู่บนเวที “พอแล้ว”

เสียงดนตรีโดยรอบและเสียงกรี๊ดที่ดังเกินไป ดูเหมือนว่าเธอกำลังพูดกับคนบนเวทีแต่ดูเหมือนว่าเธอกำลังพูดกับตัวเองเสียมากกว่าเพราะมันไม่สามารถเข้าถึงหูของชายคนนั้นบนเวทีได้เลย

แต่หลังจากที่ผู้ชายคนนั้นอ่านริมฝีปากของเธอว่า “พอแล้ว” ได้แล้ว ก็ยิ้มเยาะออกมาเบาๆ แต่เขาก็ไม่ได้หยุด มือของเขายื่นลงไปปลดเข็มขัดกางเกงผ้าออก

“กรี๊ด! ถอดเลย! ถอดเลย! ถอดเลย!”

ภายใต้สายตาที่กระตือรือร้นนับไม่ถ้วน ชายผู้นั้นกระตุกเข็มขัดของเขา…

เธอรีบเดินเข้าไปแล้วผลักคนที่ขวางเธอ

ขาของเธอไม่สามารถเดินได้เร็วนัก แต่ในตอนนี้ เหมือนคนธรรมดา เธอรีบเดินไปที่ชายบนเวทีอย่างรวดเร็ว

กลุ่มผู้หญิงที่โดนเธอผลักรู้สึกไม่พอใจ “หลบไป! เธอเป็นใครวะ? นิสัยยังไงกัน ถึงได้แทรกเข้ามา?”

หญิงสาวไม่ได้ใส่ใจต่อข้อกล่าวหาเหล่านี้ ใช้เพียงร่างกายของเธอเองที่ไม่ค่อยแข็งแรงแทรกตัวเข้าไปในกลุ่มคนและเข้าไปที่หน้าเวที

“ลู่หมิงชู! คุณลงมานะ!”

นัยน์ตาลึกๆ ของชายบนเวทีตกลงมาที่ใบหน้าของเธอ และมือของเขาหยุดชั่วคราว วินาทีถัดมา เขามองมาที่เธอและดึงเข็มขัดออกอย่างแรง

เขายิ้มให้เธอ

คุณกล้าไล่ผมไปเหรอ?

คุณบอกว่าเพื่อผม คุณรู้เหรอว่าผมต้องการอะไร แล้วกลับจะมาคิดแทนผม?

“ลู่หมิงชู! ไม่พนันแล้ว! ฉันไม่อยากพนันแล้ว!” เธอตะโกนไปที่เวทีด้วยเสียงที่หยาบกร้านเหมือนเสียงเป็ดร้องแควกๆ

“สายไปแล้ว” ริมฝีปากของชายหนุ่มขยับ

เขาไม่มีทางกลับ ชนะพนัน เขาต้องการเธอ ให้เธอแต่งงานกับเขา!

หญิงสาวที่อยู่ด้านล่างเวทีมองดูผู้ชายที่อยู่บนเวที ในแววตาของเธอมีเพียงเขาที่อยู่กลางเวที

กระแสแห่งความทรงจำกำลังพลุ่งพล่านและเร่งรีบ และลู่หมิงชูในตอนนี้… ดูเหมือนเธอในตอนนั้นมาก!

เมื่อเห็นเขาบนเวที ก็เหมือนคนที่อยู่บนเวทีเป็นตัวของตัวเองเมื่อสามปีที่แล้ว และครั้งหนึ่งเธอเคยสละศักดิ์ศรีและใช้ชีวิตอย่างหมูกับหมา

ตนเองเคยทำมาแล้ว ทรยศต่อจิตวิญญาณของตนเอง

แต่ลู่หมิงชูไม่ควร!

และลู่หมิงชูไม่สามารถ!

เขาเป็นเขา เธอคือเธอ

มีภาพสองภาพตรงหน้าเธอ เธอเดินโซเซ เธอจับเวที ยืนอย่างมั่นคง ถูขมับด้านหลัง หนุนเวทีและปีนขึ้นไป ท่าทางของเธอไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

เธอเดินไปที่กลางเวทีก้มลงหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวขึ้นมาและยื่นมือไปจับมือของลู่หมิงชูที่กำลังจะรูดซิปกางเกง “ไปกับฉัน”

เธอพูดและไม่มีวี่แววความตลกเลยแม้แต่น้อย

ลู่หมิงชูตกใจกับรูปลักษณ์ที่เคร่งขรึมของเธอ

คนดูที่อยู่ด้านล่างเวทีต่างไม่ยอม “เธอเป็นใครน่ะ? เป็นบ้ารึไง ลงมา” ยังมีคนต้องการจะขวางเธอไว้ด้วย

เธอหันไปมองและจ้องที่กลุ่มคนดู

“หุบปาก เขาเป็น…เป็นแฟนฉัน! ฉันจะพาเขาไป พวกเธอจะขวางรึไง!”

ชายที่ถูกเธอจับข้อมือไว้ข้างหลัง เขาเงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจ จากทิศทางของเขา เขามองเห็นแต่ด้านหลังศีรษะของเธอเท่านั้น

ใจเขาสั่นครู่หนึ่ง

ดวงตาสีดำจ้องไปที่แผ่นหลังของเธอ เป็นประกาย และทันใดนั้นเขาก็ดึงเธอเข้าไปในอ้อมแขนของเขา ปกป้องเธอลงจากเวที แหวกฝูงชนออกไปและออกจากประตูไป

ลมกลางคืนเย็นสบาย เขาสวมเสื้อของเขาและนั่งในรถ

“เมื่อกี้ที่คุณพูด…”

“แผนรับมือที่ดี คุณลู่ เรื่องในวันนี้ ฉันขอโทษคุณด้วย เรื่องล้อเล่นแบบนี้ ฉันต้องขอโทษต่อพฤติกรรมที่ไม่ดีของตัวเองด้วย”

ชายที่นั่งอยู่ที่นั่งคนขับเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น จู่ ๆ ก็ถูกเทลงโดยแอ่งน้ำเย็นและหายไป

“เหอ~คุณนี่หลอกให้ผมดีใจเก้อเก่งมากนะ…ไม่สิ เรียกว่าตายใจเลย”

เขาหัวเราะ

“ที่รุนแรงไม่ใช่เรื่องที่คุณล้อเล่นแบบนี้ ที่รุนแรงคือการที่คุณคิดจะไล่ผมไปอยู่ตลอดต่างหาก ผมพูดถูกใช่ไหมล่ะ?”

ผู้หญิงคนนั้นยังคงนิ่งเงียบเมื่อคำโกหกถูกเปิดเผย

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมคุณจะต้องวางสารพัดแผนเพื่อไล่ผมไป!” อกของลู่หมิงชูกระเพื่อม

“ผมลู่หมิงชูถามตัวเองว่าผมมีดีน้อยกว่าคนอื่นตรงไหน ผมโสด คุณก็โสด ทำไมคุณถึงไม่พิจารณาผมดูบ้าง!”

“คุณลู่ คุณต้องเข้าใจนะคะ…ฉันทำเพื่อคุณ”

“เพื่อผม?” ชายหนุ่มอยากจะขำกลิ้งแต่กลับอดเอาไว้ “คุณรู้เหรอว่าผมต้องการอะไร? คุณตัดสินใจแทนผมเหรอ?

คุณคิดว่าที่คุณทำคือทำเพื่อผมงั้นเหรอ?

เถ้าแก่เนี้ย เวลาคุณตัดสินใจเรื่องนี้ ถามความเห็นผมสักคำรึเปล่า!”

เขาถามและหัวใจก็เต้นแรงขึ้นอีก

มือใหญ่จับพวงมาลัยแต่กลับกำแน่น และแน่นขึ้นอีก

“เถ้าแก่เนี้ย! คุณกลัวอะไรอยู่กันแน่!” เขาถาม แต่เขารู้อดีตของเธอดีและรู้ว่ามีใครบางคนที่หยั่งรากลึกในหัวใจของเธอ

ไม่มีทางที่จะดึงรากที่ดื้อรั้นออกมาได้อีกต่อไป!

ในใจเขาทบทวนไปมาและความริษยาครอบงำจิตจนหมด “หรือจะบอกว่า เถ้าแก่เนี้ย ที่ผ่านมา สุดจะทนได้?”

ทันใดนั้น เธอก็เลือดอาบราวสายน้ำ และเธอก็กำลังจะระเบิด!

“เปล่า!” เธอไม่เคยคิด เธอเถียงแทบจะทันทีที่ลู่หมิงชูถามออกไป

ตอบเร็วแบบนั้นต่อให้เป็นเด็กที่ไร้เดียงสาอย่างจาวจาวก็ยังรู้สึกได้ว่าเธอปิดบังอะไรอยู่

และในตอนนี้เอง ลู่หมิงชิงก็ได้สติ เงยหน้าขึ้นเอนกายพิงเบาะนั่ง ค่อยๆ เหยียดมือออกและลูบหน้า “ขอโทษ ผมไม่น่าพูดเลย”

ผ่านไปสามวินาทีหญิงสาวก็พูด “ฉันหนาว กลับกันเถอะ”

“อือ”

ผู้หญิงคนนั้นเงียบและก้มหน้าไปตลอดทาง

จนกระทั่งพวกเขามาถึงMemory House พวกเขาเดินกลับไปที่Memory House

ลู่หมิงชูไม่ได้พูดอะไรและเดินตามติดเธอไป เธอเดินช้า เขาก็ก้าวช้าลงตามไปด้วย

ที่หน้าประตูMemory Houseผู้หญิงคนนั้นกำลังจะเดินเข้ามา มีแรงอยู่ข้างหลังเธอ และเธอได้ยินเสียงเดียวในหูของเธอ “ขอโทษ”

วินาทีถัดมา ริมฝีปากถูกปกคลุมด้วยความร้อนเล็กน้อย

ครั้งนี้เธอไม่ขยับและปล่อยให้เขาจูบ

ในตอนแรกมันเป็นเพียงจูบที่แผ่วเบา สุดท้าย ผู้ชายเริ่มวิตกกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ กังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ และสุดท้าย…เขาก็ผละออกจากริมฝีปากของผู้หญิงที่อยู่ด้านล่าง มือของเขาอยู่บนไหล่ของเธอ ร่างกายสูงของเขาโค้งเล็กน้อยและเอนตัวพิงกับผู้หญิงคนนั้นด้วยเอวของเขา เขาค่อย ๆ เงยศีรษะของเขาเข้าไปในดวงตา ริมฝีปากของเธอก็แดงและเปียกชื้น

แต่สายตาของเธอกลับยังคงสดใสและสะอาด

จ้องมองเขาอย่างเงียบ ๆ ไม่มีการเคลื่อนไหว

ความขมขื่นในปาก ความไม่เต็มใจในหัวใจ จนกลายเป็นคำถามที่สิ้นหวัง

“แม้แต่…ความรู้สึกให้ผมสักนิดก็ไม่มีเหรอ?”

“คุณเป็นผู้ชายที่ดีเลิศ”

เธอพูด

เขาหลุดเยาะเย้ยตัวเอง…แต่คุณก็ไม่ชอบผมไม่ใช่เหรอ?

เสิ่นซิวจิ่น…เขามีสิทธิ์อะไร!

“ผมไม่เคย ยอมแพ้ง่ายๆ” ลู่หมิงชู ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน จ้องไปที่ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขา ราวกับว่ากำลังสาบาน

แล้วก้าวเดินจากไป

……

วิลล่าชานเมืองในเมือง S

เซียวเหิงเลื่อนดูกลุ่มของเพื่อนๆ ราวกับว่าเขานอนไม่หลับทุกคืนและกลิ้งไปมาอย่างไร้ความหมาย เขาไม่รู้ว่าเขากำลังดูอะไร เขาไม่ชอบมัน และเขาก็ไม่ได้มองใกล้ ๆ เขา แค่เลื่อนหน้าจอด้วยนิ้วโป้งจนร่างกายเหนื่อยจนหลับ

ดูเหมือนจะเห็นอะไรที่หางตา ทันใดนั้น มีจิตวิญญาณที่พลุ่งพล่านอยู่ข้างหลังเขา และเขาเลื่อนหน้าจอลงอีกครั้ง อย่างเร่งรีบมองหาบางอย่างในกลุ่มเพื่อนทีละคน

นาทีถัดมา เขาหยุดเคลื่อนไหวและจ้องมองตรงไปที่หน้าจอ

เขาจิ้มไปที่รูป ขยาย และขยายอีก…จากนั้นตาแคบก็เบิกกว้าง หายใจเข้าสั้นลง “สวบ” เขาปีนลงจากเตียง เขารีบไปที่ห้องหนังสือแม้แต่เสื้อนอกก็ไม่ทันได้ใส่แล้วเปิดคอมพิวเตอร์และเข้าวีแชทในทันที และหารูปนั้นอีกครั้ง

เขาเซฟรูป จากนั้นก็ให้ซอฟต์แวร์จัดการ

จนกระทั่งภาพขยายใหญ่ขึ้นและยังคงชัดเจน ดูเหมือนว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ราวกับคนตายไร้วิญญาณมาสามปีแล้ว แต่ในเวลานี้เขาเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณ

เขาโทรไปหาเจ้าของภาพ “รูปนั้นนายถ่ายที่ไหนเหรอ?”

คนที่อยู่รงข้ามงุนงง “รูปอะไรเหรอ?”

“รูปล่าสุดที่แชร์ในกลุ่มเพื่อน!” เสียงที่กระตือรือร้นของเขาสามารถส่งต่อไปยังอีกฝ่ายหนึ่งผ่านไมโครโฟน

“เมืองโบราณต้าหลี่ไง ฉันอยู่ที่เมืองโบราณต้าหลี่ นี่เป็นรูปถ่ายที่บาร์แห่งหนึ่งในตรอกที่เมืองโบราณต้าหลี่…”

“รอฉัน พรุ่งนี้ฉันจะไปต้าหลี่ นายส่งที่พักพวกนายมาให้ฉันที ฉันจะไปหาพวกนาย”

“ฮะ? นายจะมาเหรอ?”

เมื่อถามออกไป เซียวเหิงก็วางสายไปแล้ว

“จองตัว ไปเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินลี่เจียงไฟล์ทเช้าสุดของพรุ่งนี้ ใช่”

เซียวเหิงรีบลงจากเครื่องบิน มีแท็กซี่ที่สนามบิน เขาเข้าไปและให้ที่อยู่แก่คนขับ

เพื่อนของเขาพักอยู่ที่ที่พักรอบเมืองโบราณต้าหลี่

ระหว่างที่คุยโทรศัพท์รออยู่หน้าประตูโฮมสเตย์แต่เช้า นอนอาบแดด ดูรถที่วิ่งผ่านเป็นระยะๆ

มีแท็กซี่วิ่งมาแต่ไกลมาจอดที่ประตูโฮมสเตย์

เมื่อประตูรถเปิดออก ร่างของเซียวเหิงก็ปรากฏขึ้น

เพื่อนคนนี้ของเซียวเหิงเป็นผู้หญิง เมื่อหลายปีก่อนเซียวเหิงรักสนุก นี่คือสิ่งที่ทุกคนรู้ในกลุ่มเพื่อน เพื่อนผู้หญิงคนนี้เป็นเพื่อนเที่ยวคาราโอเกะและปาร์ตี้กับเขา

พอเห็นเซียวเหิงลงจากรถมา รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าอันบอบบางของเธอ

“คุณชายเซียว ฉันคิดว่าคุณพูดเล่นเสียอีก คุณมาจริงด้วยนะ?

มาทำไมกันนะ?

รีบร้อนขนาดนี้ คงไม่ได้รีบมาเพื่อตามภรรยาหรอกนะ?”

คำพูดทีเล่นทีจริง เซียวเหิงยิ้มเล็กน้อยและไม่ตอบ มีร่องรอยการสูญเสียในดวงตาเรียวยาว

“หมิงหมิง” เขาพูดแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วเปิดรูปถ่ายรูปนั้น “รูปนี้ เธอถ่ายมันที่ไหน?”

เฟ่ยหมิงหมิงผงะและไม่ตอบทันที ในทางกลับกัน เธอจ้องมองไปที่ใบหน้าของเซียวเหิงที่อยู่ข้างๆ และสำรวจ “ฉันว่านะ…คุณชายใหญ่เซียว คุณคงไม่ได้มาตามภรรยาจริงๆ ใช่ไหม? คนในรูปนั่น…ใครเหรอ?”

เซียวเหิงขมขื่น “เธอทายผิดแล้ว”

ถ้าหากว่ามันเป็นอย่างที่เฟ่ยหมิงหมิงพูดจริงว่าเขามาตามภรรยา เกรงว่าเขาคงนอนหลับและตื่นมายิ้มกลางดึกแล้ว

“ฉันมาตาม แต่น่าเสียดาย ฉันไม่คุณสมบัติแบบนั้น”

เฟ่ยหมิงหมิงตบผมหยิกยาวของเธออย่ามีเสน่ห์ “คนที่ทำให้คุณชายใหญ่เซียวจำได้ไม่ลืม บินมาไกลได้จากฝั่งตะวันออกถึงขนาดนี้ ผู้หญิงคนนี้…เป็นใครเหรอ?”

เซียวเหิงเม้มริมฝีปาก แล้วนานกว่าจะพูดออกมาสี่คำ “เธอไม่รู้จัก”

เฟ่ยหมิงหมิงเบ้ปาก “คุณไม่บอก ฉันก็จะไม่บอกคุณ”

“หมิงหมิง เรารู้จักกันมานานแค่ไหนแล้ว?” เซียวเหิงหันกลับไปมองเฟ่ยหมิงหมิง “เธอน่าจะเข้าใจฉัน”

สายตาที่เขามองเฟ่ยหมิงหมิงแบบนั้น มีความหมายมาก ดวงตาสีเข้ม ลึกและลึก หัวใจของเฟ่ยหมิงหมิงสั่นเล็กน้อย…เซียวเหิงในตอนนั้น เป็นคุณชายเจ้าสำราญ รวยและมีเสน่ห์ และเขาไม่ตระหนี่ในการใช้จ่ายเงิน

แต่กลับไม่รู้เลย ในช่วงเวลาเหล่านั้น คุณชายเจ้าสำราญในสายตาพวกเขา จู่ ๆ ก็เปลี่ยนไปมาก ต่อมาเขาทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เพื่อนทุกคนในแวดวงตกใจ

ในสายตาของผู้คนคุณชายเซียวเหิง กลืนตระกูลเซียวทั้งหมด

เฟ่ยหมิงหมิงเหลือบมองผู้ชายข้างเธอ…คนคนนี้ เขาไม่ใช่คุณชายเจ้าสำราญที่เล่นไปทั่วเหมือนตอนนั้นอีกแล้ว

เขาสามารถลงมือกับคนในครอบครัวและครอบครองตระกูลเซียวได้ทั้งหมด อีกทั้งยังเป็นผู้มีอำนาจในตระกูลเซียว

ความคิดนี้ ความดุร้ายนี้… เฟ่ยหมิงหมิงเม้มปาก “ฉันถึงบอกไง คุณอย่ามองฉันแบบนั้นสิ คุณชายเซียว สายตาแบบนั้นมันน่ากลัวนะ”

พูดแล้วเธอก็เดินนำทางเซียวเหิงไปที่บาร์เมื่อคืน “นี่คือสถานที่ที่ถ่ายรูปเมื่อคืนนี้”

บาร์เหล้า?

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว…เธอ…ยังอยู่ในวงการแบบนี้เหรอ?

ไม่…ผู้หญิงคนนั้น เธอพยายามทุกวิถีทางเพื่อหนีจากเมือง S เธอจะไม่เข้ามาในเส้นทางนี้อีก

“เธอไม่ใช่คนที่ทำงานที่นี่ใช่ไหม?”

เฟ่ยหมิงหมิงที่ด้านข้างรู้สึกประหลาดใจ “ทำไมคุณถึงคิดว่าเธอไม่ได้ทำงานที่นี่ล่ะ?”

“เธอไม่ ผู้หญิงคนนี้ เธอ…” เธอฝังความภาคภูมิใจในกระดูกของเธอ!

เมื่อเธอได้รับการปล่อยตัวจากคุกในปีนั้น เธอไม่ได้ไปบ้านที่ร่ำรวยและรุ่งโรจน์เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่กลับไปที่ตงหวง

คนบอกว่าเธอต่ำตม และบอกว่าเธอต่ำต้อย

แต่ที่ทุกคนไม่เคยคิดคือถ้าหากเป็นพวกเขา พวกเขาจะมีความกล้าและทุ่มสุดตัว ไม่กลับไปหาครอบครัวที่มั่งมีเพื่อร้องขอความช่วยเหลือไหม? ตราบใดที่เธอขอความช่วยเหลือ เธอไม่เคยช่วย หนึ่งแสนคนสามารถขอความช่วยเหลือได้เสมอ

เธอไม่ไป มันอาจจะเจ็บปวดหรือหนาวเหน็บ แต่ความเย่อหยิ่งของเธอไม่ว่าจะได้รับความทรมานแค่ไหน มันซ่อนอยู่ในทุกส่วนของร่างกายของเธอ

“ครั้งแรกที่ฉันรู้จักเธอ เธอถือไม้กวาด และเธอก็เป็นคนทำความสะอาด” เซียวเหิงพูดอย่างแผ่วเบาบางอย่างที่อธิบายไม่ได้กับเฟ่ยหมิงหมิง

ในตอนแรกเฟ่ยหมิงหมิงไม่เข้าใจ แต่หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เธอก็นึกขึ้นได้

ครู่หนึ่ง “เดาถูกแล้ว เธอไม่ใช่พนักงานที่นี่ เมื่อคืนคนเยอะมาก มีผู้หญิงกับผู้ชายคู่หนึ่งเข้ามา ผู้ชายหล่อเหลามาก รูปร่างก็ดี เขาวิ่งขึ้นไปเต้นบนเวทีแล้วถอดเสื้อ

ผู้หญิงในรูปนั่น จู่ ๆ ก็พุ่งเข้าไป

เพราะอย่างนี้จึงทำให้ทุกคนโกรธ”

“ผู้ชาย?”

เฟ่ยหมิงหมิงหยิบโทรศัพท์ออกมา “อือ ผู้ชายคนนี้ถูกเธอห้ามไว้ แต่รูปนั้นถ่ายไม่ค่อยดี อันที่จริงข้างหลังเธอมีผู้ชายอยู่ด้วย”

เซียวเหิงแย่โทรศัพท์มือถือไป เมื่อวานเขาเห็นเพียงผู้หญิงคนนั้น ในสายตาของเขามีเพียงผู้หญิงคนนั้น ส่วนที่เหลือ เขามองข้ามไปหมด ตอนนี้เมื่อมองอีกทีแล้ว ก็เห็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่ถูกปิดไว้

“อ้อ ใช่แล้ว ผู้หญิงคนนั้นจะลากผู้ชายคนนั้นไป กลุ่มคนดูที่อยู่ข้างล่างไม่ยอมและดูถูกเธอ แต่ผู้หญิงคนนี้ก็พูดออกมาเลยว่าผู้ชายคนนั้นเป็นแฟนเธอ”

เฟ่ยหมิงหมิงพูด “ฮิ ๆ” “คุณชายเซียว คุณตามหาเธอทำไมกันแน่?”

เธอไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ชายอย่างเซียวเหิง ไม่มีทางจะเดินทางมาไกลหลายร้อยกิโล โดยบินไฟล์ทเช้าสุดมาถึงที่นี่ แล้วจะไม่มีอะไรกับผู้หญิงคนนี้เลย

เฟ่ยหมิงหมิงกำลังพูดอยู่และใบหน้าของเซียวเหิงก็ซีดอยู่ข้างๆ เขา…เธอ มีคนที่ชอบแล้วเหรอ?

“จะสืบหาข่าวของเธอได้จากไหน?” เขาถามพร้อมกับริมฝีปากซีดขาว

“คงต้องถามเถ้าแก่เจ้าของบาร์ ดูเหมือนเจ้าของบาร์จะรู้จักเธอ”

เฟ่ยหมิงหมิงพูด “คุณชายเซียว…อันที่จริง หลายปีมานี้ มีผู้หญิงหายากหลายคนในแวดวงสำหรับคุณ

แต่ก็มีข่าวว่ามีผู้หญิงที่แอบซ่อนลึกๆ อยู่ในใจคุณ…คงไม่ใช่เธอหรอกใช่ไหม?”

เธอเองก็คิดขึ้นได้จึงถามออกไป แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะไม่ปิดบังอะไรเลยและพยักหน้ายอมรับ

“ใช่”

“อา?…” จู่ ๆ เฟ่ยหมิงหมิงก็เบิกตาโพลง… “งั้น งั้นเธอ เธอก็…” ลูกสาวที่ตระกูลเจี่ยนไม่ต้องการงั้นเหรอ? !

ผู้หญิงที่ซ่อนอยู่ในใจส่วนลึกของเซียวเหิง ก็คือเจี่ยนถง ลูกสาวที่ตระกูลเจี่ยนไม่ต้องการ และเคยเฉิดฉาย——นี่คือความลับเป็นที่รู้กันในวงการ

ไม่มีพูดออกมาและไม่มีใครพูดถึง เพราะเมื่อพูดถึงเจี่ยนถง จะต้องถูกผูกมัดไว้กับผู้ชายคนหนึ่ง——คนที่ทุกคนต่างหวาดกลัว!

“พวกเรากลับก่อนเถอะ บาร์นี้เป็นตอนหนึ่งทุ่ม ตอนนี้คงหาตัวเจ้าของไม่เจอ” เฟ่ยหมิงหมิงพูดแล้วก็มองดูเซียวเหิงพยักหน้าและวางใจ “ไปเถอะ ฉันจะพาคุณไปเปิดห้องพัก”

เมื่อกลับถึงที่พักก็ช่วยเซียวเหิงทำเรื่องเปิดห้องพัก เฟ่ยหมิงหมิงกลับห้องของตนเองทันทีและเปิดกลุ่มวีแชท และเปิดกลุ่มทุกกลุ่มในทุกวง

“ทายสิวันนี้ฉันได้ข่าวอะไรมา! ! !”

หลายนาทีผ่านไป ก็ยังไม่มีใครสนใจเธอ

เธอจึงพิมพ์อีก “ข่าวใหญ่มาก! ผู้หญิงที่เคยเป็นข่าวฉาวปรากฏตัวแล้ว! ! !”

ตอนนี้จึงมีคนตอบกลับมา “จะมีข่าวอะไรมาเทียบได้กับข่าว บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปหาคุณนายที่หนีไปเจอแล้วได้ล่ะ?”

เดิมทีเป็นเพียงคำดูถูกที่พูดออกไปอย่างนั้นเอง คิดไม่ถึงว่าเฟ่ยหมิงหมิงจะมีข่าวดังจริงๆ

“ดูรูป! ผู้หญิงในรูปนั่น ก็คือลูกสาวตระกูลเจี่ยนคนนั้น!”

“อะไรนะ? ? ? ?”

“เฟ่ยหมิงหมิงเธออย่าแหย่เราดีกว่า? แค่รูปพวกนั้นกับคำพูดเลอะเทอะ ระวังจะถูกประธานเสิ่นคนบ้างานแห่งตระกูลเสิ่นเห็นเข้าล่ะ”

“ไม่ใช่นะ จริงหรือเปล่าเนี่ย? เฟ่ยหมิงหมิงเธอพูดเล่นใช่ไหม?”

เพียงชั่วพริบตาในกลุ่มก็คึกคักขึ้นมา

เจี่ยนโม่ป๋ายยังไม่นอน ตั้งแต่ล้มป่วย วิญญาณของเขาถูกพรากไปในคราวเดียว และเขานอนไม่หลับตลอดทั้งคืน

กลุ่มวีแชทนั้นเขาตั้ง "ห้ามรบกวน" มานานแล้ว วันนี้เมื่อเขาคลิกที่มันเขาก็ทำให้ใจเขาแทบตกไปอยู่ตาตุ่ม

ความหวังปรากฏในดวงตา!

เจี่ยนถง!

เสี่ยวถง!

หาเสี่ยงถงเจอแล้ว!

“เฟ่ยหมิงหมิง นี่เธอพูดจริงรึเปล่า? !” เขาพิมพ์ไปด้วยความเร่งรีบ

“หลอกนายก็เป็นลูกหมาน่ะสิ” เฟ่ยหมิงหมิงพูด “จะว่าไปเธอเป็นน้องสาวนาย จะจริงหรือไม่จริง นายไม่ลองมาดูเองล่ะ?”

เฟ่ยหมิงหมิงกำลังนอนอยู่บนเตียงในโรงแรมและพิมพ์อย่างรวดเร็ว บอกตามตรง เธอบอกไม่ได้ว่าผู้หญิงในภาพคือเจี่ยนถง

“เจี่ยนโม่ป๋าย ได้ยินว่านายเป็นลูคีเมีย นายคงไม่ได้อยาก…”

มีคนในกลุ่มแซว

เจี่ยนโม่ป๋ายเงียบไปแล้ว

เฟ่ยหมิงหมิงปล่อยข่าวเพิ่มอีก “เซียวเหิง พวกเธอยังจำได้ไหม? เขามาที่ต้าหลี่เพื่อหาผู้หญิงในรูปนั่น! ดังนั้นฉันก็เลยเดาว่าผู้หญิงในรูปนั้น สุดท้ายจะเป็นเจี่ยนถงรึเปล่า ฉันก็ไม่รู้”

เฟ่ยหมิงหมิงลืมไปว่าถึงแม้ในกลุ่มจะไม่มีเซียวเหิง ไม่มีเสิ่นซิวจิ่น ไม่มีทั้งซีเฉินและไป๋ยู่สิง

แต่มีผู้คนจำนวนมากที่เข้าแถวเพื่อประจบเสิ่นซิวจิ่น

แทบจะพร้อมกัน โทรศัพท์หลายสายโทรเข้าไปที่บ้านตระกูลเสิ่น

พ่อบ้านรับสาย “ขอโทษครับ คุณเสิ่นยุ่งมาก ไม่ต้องการพบใคร”

“อย่าเพิ่งวาง ผมมีข่าวของคุณนายเสิ่น!”

มือที่ถือหูโทรศัพท์ของพ่อบ้านค้างอยู่อย่างนั้นและไม่ได้วางสายและเขาพูดอีกครั้ง “คุณชายตู้ คุณทราบใช่ไหมครับ ถ้าคุณแค่ล้อเล่น ผมจะถือว่าแล้วกันไป”

เขากำลังเตือนสติคนที่ปลายสายว่า——อย่าเอาเรื่องของเจี่ยนถงมาพูดเล่น

ในตระกูลเสิ่นคำว่าเจี่ยนถงเป็นคำต้องห้าม

“ผมพูดจริง มีรูปถ่ายเป็นหลักฐานยืนยัน”

พ่อบ้านยังคงเป็นคนที่เสิ่นซิวจิ่นจ้างมาแทนพ่อบ้านเซี่ย เขาทำสิ่งต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากอีกฝ่ายหนึ่งพูดอย่างนั้นแล้ว เขาพยักหน้าอย่างสุภาพ “คุณชายตู้กรุณารอสักครู่”

รีบวางหูฟังไว้ พ่อบ้านที่ท่าทางไม่รีบร้อนไปที่ห้องหนังสือโดยเร็วและเคาะประตู “คุณชายครับ มีโทรศัพท์ของคุณครับ”

“ไม่รับ”

พ่อบ้านผลักประตู ด้านในดูอึมครึม และม่านสีเข้มก็ปิดสนิท บังแสงทั้งหมด

ขมวดคิ้วครู่หนึ่งและรู้สึกเป็นทุกข์กับผู้ชายที่ก้มหน้าทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน

ตั้งแต่เมาเหล้ามาครั้งนั้น คุณชายก็เป็นเหมือนอีกคนและทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง พอใครๆ ก็คิดว่าคุณชายดีขึ้นเท่านั้นแหละ ถึงได้รู้ว่า…อะไรๆ ก็ดูแย่ลงไปอีก

คุณชายทำงานหนักมาก ปกติแล้วเขาจะหมกมุ่นอยู่กับงานทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้งคุณชายซีและคุณชายไป๋ต่างมาเกลี้ยกล่อม แต่น่าเสียดายที่คุณชายดูเหมือนจะอยู่แต่ในโลกของเขาเองและไม่ยอมออกมา

เมื่อก่อนสนใจภรรยามากเท่าไหร่ ตอนนี้ก็ใส่ใจงานมากเท่านั้น

เหมือนกับว่าเขาเอางานเป็นตัวแทนภรรยา

“คุณชายครับ เป็นสายของคุณชายตระกูลตู้…”

คำพูดยังไม่จบ แต่มีเสียงไม่แยแสมาจากด้านหลังโต๊ะที่เต็มไปด้วยควัน

“ไม่รู้จัก บอกให้เขาไปไกลๆ”

“คุณชายตู้บอกว่า เขามี…ที่อยู่ของคุณนาย”

พ่อบ้านพูด เดิมทีคิดว่าชายหลังโต๊ะจะลุกขึ้นอย่างตื่นเต้น แต่…

เหมือนกับว่า…

“หึ ๆ~” ชายที่อยู่หลังโต๊ะคนนั้นหัวเราะอย่างเย็นชา “สามปีมานี้ คนที่บอกว่ามีที่อยู่ของเสี่ยวถงอาจจะไม่ถึงร้อยแต่ก็มีมาหลายสิบคน

ล้วนแล้วแต่หวังจะร่วมมือกับบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป”

เขาพูดและแทบจะไม่ได้หยุดทำงานในมือเลย ระหว่างที่พูดเขาก็เซ็นสัญญาฉบับหนึ่งไปด้วย

“นายไปที่บริษัทแล้วเรียกผู้บริหารระดับสูงมาที่บ้าน ฉันจะประชุมเรื่องการควบรวมกิจการของตระกูลตู้”

พ่อบ้านเข้าใจดีว่าคุณชายเล็กของบริษัทตู้ซื่อกรุ๊ป ก็เพิ่งจะโทรมาแจ้งข่าวเหรอ ตอนนี้พอได้ยินคุณชายพูดแบบนี้แสดงว่ากำลังง่วนอยู่กับเรื่องการควบรวมกิจการตู้ซื่อ

เขาลังเลว่าคุณชายนั้นแจ้งข่าวปลอมเพื่อขอความเห็นใจจากคุณชายหรือเปล่า แต่เมื่อคิดดูแล้วอีกฝ่ายมีรูปถ่ายด้วย

“คุณชาย คุณชายตู้บอกว่าเขามีรูปถ่ายเป็นหลักฐาน เป็นรูปถ่ายของคุณนาย”

ชายที่อยู่หลังโต๊ะหยุดกลางอากาศพร้อมกับปากกาในมือ และคำว่า "เสิ่น" ขนาดใหญ่บนสัญญาเขียนเพียงครึ่งเดียว

เงียบไปครึ่งนาที

ทันใดนั้นเอง!

เสียง “เคร้ง” ดังขึ้น ชายคนนั้นลุกขึ้นจากเก้าอี้หนัง เดินผ่านพ่อบ้านอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งลงไปข้างล่าง!

เขารับโทรศัพท์ทันทีแม้จะฟังดูขรึมและเร่งรีบ

“คุณมีข่าวของเธอจริงเหรอ?”

ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันระวัง ได้ยินเสียงต่ำ อึกอักอยู่นาน “ใช่ มี มีครับ ผมมีรูปถ่าย”

“คุณอยู่ที่ไหน ผมจะไปหาคุณ”

คุณชายตู้ฝั่งตรงข้ามดูตื่นตระหนก “ประธานเสิ่นอยู่ที่ไหนครับ ผม ผมไปหาคุณเองดีกว่า”

เขาจะกล้าที่จะขอให้ราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ไปหาเขาที่ไหนกัน

“อย่าเพ้อเจ้อ เอาที่อยู่ให้ผม ผมจะไปหาคุณตอนนี้เลย”

อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ ชายคนนั้นพูดอย่างเร่งรีบ

“ผะ…ผมอยู่ที่ร้านกาแฟหมิงเยว่” คุณชายรองตระกูลตู้ตกใจมากจนไม่กล้าพูดมากอีกต่อไปเมื่อถูกตะคอกใส่ และเขาก็รีบรายงานที่อยู่ของเขาทันที

“ดี ผมจะไปหาคุณตอนนี้เลย ถ้าหากข่าวนี้เป็นของจริง เรื่องเกี่ยวกับการควบกิจการตระกูลตู้ ผมจะถอนตัว”

“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบ…”

“ตู๊ด ๆ ๆ ๆ——”

คุณชายรองตู้ดูสายที่วางไปอย่างเชื่องช้าเล็กน้อย

สีหน้าแปลกๆ ผู้ชายที่คุยโทรศัพท์กับผู้ชายในความประทับใจ เป็นคนคนเดียวกันจริงหรือ?

เสิ่นซิวจิ่นออกไปหลังจากถือกุญแจรถ เขาวางสาย ผ่านไปครู่หนึ่ง โทรศัพท์ของบ้านตระกูลเสิ่นก็ดังขึ้น พ่อบ้านรับสายทีละสาย ทุกคนบอกว่าเขาได้ข่าวของคุณนายเสิ่นและรูปภาพเป็นหลักฐาน

“ดูแล้ว คงจะมีข่าวของคุณนายจริงๆ แล้ว” เขาขมวดคิ้วและเป็นกังวล “ไม่รู้ว่าจะเป็นโชคดีหรือโชคร้าย”

ต่อให้คุณชายหาคุณนายเจอ แต่คุณนายคงจะไม่ยอมกลับมาบ้านนี้อีกแน่

เขาอยู่ข้างกายเสิ่นซิวจิ่น เห็นความรักของเขา จึงเข้าใจตื้นลึกหนาบาง และรีบโทรหาซีเฉินและไป๋ยู่สิงในทันที

“หาเจอแล้ว?” ซีเฉินกะพริบตาหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

ห้องโถงร้านกาแฟหมิงเยว่

“ประธานเสิ่น ทางนี้ครับ”

คุณชายรองตระกูลตู้อยู่หน้าร้านกาแฟตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นเสิ่นซิวจิ่นก็รีบลุกขึ้น หลังจากที่ทั้งคู่เข้าไปในห้องส่วนตัวแล้ว

“รูปถ่ายล่ะ?”

เสิ่นซิวจิ่นถามขึ้นทันที

คุณชายรองตระกูลตู้เห็นท่าทางที่เร่งรีบของเขาจึงไม่กล้าขัดและไม่กล้าพูดเรื่องเงื่อนไขแล้วรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาทันที “ประธานเสิ่น คุณดู”

ชายคนนั้นแทบรอรับโทรศัพท์ไม่ไหว แต่ร่างกายของเขาแข็งทื่อ มือที่รับโทรศัพท์ก็หยุดในอากาศทันที…คุณชายรองดูชายที่อยู่ตรงข้าม มือของเขาสั่น

“ประธาน…เสิ่น? คุณไม่เป็นไรนะครับ?”

เสิ่นซิวจิ่นกำโทรศัพท์แน่น เห็นชัดๆ ว่านั่นคือคนที่อยากจะเห็นที่สุด แต่ในทันใดนั้นเองกลับไม่กล้าดู

หลังจากค้นหามาหลายปี เขาได้ไปสถานที่ต่างๆ เดินทางหลายหมื่นไมล์ ทั้งเมืองใหญ่ หมู่บ้านเล็ก ๆ เพื่อค้นหา…ใจจดใจจ่อตามหาใครสักคนมาสามปีแล้ว ตอนนี้ได้ยินว่ารูปนี้ในโทรศัพท์คือเธอ

เขากลับไม่กล้าดูในทันใด

หน้าของเขาตึงเครียด เขาอยากเห็น!

เขาจะต้องดูมัน!

คุณชายตู้เห็นแล้ว ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับเสิ่นซิวจิ่นมือของเขาหนักขึ้นเป็นพันเท่า

ภาพบนหน้าจอในแวบแรก เขารู้…ใช่ เธอนั่นเอง!

ต่อให้ผู้หญิงที่อยู่ในรูป ผมยาวแล้ว

ต่อให้ภาพในรูปนั้นไม่ชัดเจน

เขาก็มองออกตั้งแต่แวบแรก ว่านั่นคือเสี่ยวถง

ใจของเขาเต้นแรงมาก

“เธออยู่ที่ไหน?”

เสิ่นซิวจิ่นถามขึ้นทันที

คุณชายตู้จึงได้พูดถึงเฟ่ยหมิงหมิง

รูปถ่ายในโทรศัพท์มือถือ ถูกชายหนุ่มส่งเข้ามาในเมล์บ็อกซ์ของตนเอง

นิ้วเรียวขยับ “กลับไปบอกท่านตู้ ผมจะยุ่งกับตู้ซื่ออีก วิกฤตครั้งนี้ของตู้ซื่อ เสิ่นซื่อกรุ๊ปจะใช้เงินลงทุนเป็นการร่วมมือกัน ให้ท่านตู้ไปที่เสิ่นซื่อกรุ๊ปและคุยคกับผู้จัดการโครงการของบริษัทของเรา

เรื่องนี้ผมสั่งการลงไปเอง”

หลังจากเขาพูดเสร็จอย่างรวดเร็ว คุณชายตู้ยังไม่ทันได้ขอบคุณ ลมหนาวพัดเข้ามาจากห้องส่วนตัวและอีกฝ่ายก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

“เฟ่ยหมิงหมิง!” เขาขับรถไปด้วยและคิดถึงเรื่องของเฟ่ยหมิงหมิง แต่ก็จำเธอไม่ได้เลย

เขาโทรไปหาซีเฉิน “นายรู้จักเฟ่ยหมิงหมิงไหม?”

ซีเฉินเองก็กำลังรอโทรศัพท์ของเสิ่นซิวจิ่น จะเรียกว่าเคยชินกับนิสยของเขา หรือรู้ใจก็ได้

“คุณหนูตระกูลเฟ่ย? นายจะหาเธอทำไม?”

“นายรู้จักเธอใช่ไหม? สนิทรึเปล่า?”

ซีเฉิน “อือ” คำหนึ่ง “ก็พอได้นะ”

“ลูกชายตระกูลตู้บอกฉันว่าเฟ่ยหมิงหมิง รู้ข่าวของเสี่ยวถง”

“เข้าใจแล้ว” ซีเฉินไม่ต้องให้เสิ่นซิวจิ่นพูดให้ชัดเจนก็พยักหน้าและพูด “เรื่องนี้ยกให้ฉัน จะให้ฉันจองตั๋วเครื่องบินให้ไหม?”

“ไม่ต้องจองตั๋ว ฉันจะไปสนามบินตอนนี้เลย”

พูดจบก็วางสาย เขาก็ขับรถกลับบ้านอย่างรวดเร็ว รีบไปที่ห้องนอน หยิบเอกสารของตัวเองแล้วรีบออกไป

“คุณชาย จะกลับเมื่อไหร่ครับ?”

พ่อบ้านตามเข้าไปถาม น่าเสียดายที่รถออกไปแล้วเหลือไว้เพียงท่อก๊าซไอเสียให้เขา

“คือ…” บริษัทจะทำยังไง?

บริษัทจะทำยังไง?

ไป๋ยู่สิงเองก็ได้รับสายจากเสิ่นซิวจิ่น

“นายไปที่เสิ่นซื่อกรุ๊ป”

เขาไม่ถามและรีบไปที่เสิ่นซื่อกรุ๊ปทันที

เขาเข้าใจผิดว่าจะได้เจอกับเสิ่นซิวจิ่นที่เสิ่นซื่อกรุ๊ป สุดท้ายปรากฏเพียงความว่างเปล่า

ก่อนที่เสิ่นซิวจิ่นจะขึ้นเครื่องบินส่วนตัว เขาโทรหาไป๋ยู่สิง “นี่คือเวลาที่จะสะท้อนถึงมิตรภาพของเพื่อนที่ดีที่สุด ยู่สิงทุกอย่างในบริษัทขึ้นอยู่กับนายแล้ว”

ไม่มีเวลาให้ไป๋ยู่สิงได้ปฏิเสธ เขาไม่เพียงแค่วางสาย แต่ยังปิดโทรศัพท์ด้วย

ที่ชั้นบนบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ใบหน้าที่หล่อเหลาของไป๋ยู่สิงถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำราวกับว่ามีคนเป็นหนี้เขาหลายร้อยล้าน

ในเมื่อโทรหาเสิ่นซิวจิ่นไม่ติดก็โทรหาซีเฉินก็ได้

เมื่อโทรติดแล้วและมีเสียงเครื่องบินหึ่งจากอีกฝ่ายหนึ่ง

ไป๋ยู่สิงคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง ใบหน้าของเขามืดมนลง

“นายอย่าบอกนะว่า ตอนนี้นายอยู่ที่สนามบินนะ?”

“อือ ไม่ต้องเป็นห่วงอาซิว ระหว่างที่อาซิวไม่อยู่ก็สู้ๆ จัดการบริษัทดีๆ ล่ะ~” นี่มันคำพูดปลอบใจตรงไหน นี่มันทับถมกันชัดๆ

“ชิ~ซีเฉิน ไอ้บ้าเอ้ย นายรู้อยู่แล้วใช่ไหม ยังปิดฉันอีก ถือว่าฉันโง่เองที่รับสายคนแซ่เสิ่นนั่น แล้วรีบมาที่บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปนี่”

พวกเขารวมหัวกัน ดังนั้นพวกเขาจึงจงใจโกหกเขาและหลอกให้เขาจ้างแรงงานฟรีให้กับชายแซ่เสิ่น

“เอาล่ะ ไม่คุยแล้ว อีกเดี๋ยวเครื่องบินจะขึ้นแล้ว วางสายก่อน”

ไป๋ยู่สิงมองดูโทรศัพท์ “ตู๊ด ๆ ๆ——” แล้วสบถอย่างแรง “ไอ้แซ่เสิ่นเอ้ย! ฉันเป็นหนี้นาย สมควรแล้ว!”

หลังจากระบายคำพูด เขาก็โทรหาคณบดีด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง “คณบดีครับ ผมติดธุระนิดหน่อย อยากจะขอลา…อือ ใช่ครับ นานแค่ไหนเหรอครับ?

ผมก็ไม่รู้ครับ

ได้ครับ เอาแบบนั้นแล้วกัน เสร็จธุระเมื่อไหร่ผมจะกลับไปครับ”

เขากลอกตา เขายังคิดจะถามว่าจะลานานแค่ไหนอีก

……

เซียวเหิงมาถึงสนามบินลี่เจียงในตอนบ่าย

เสิ่นซิวจิ่นมาถึงสนามบินลี่เจียง ก็เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว

“ฉันไม่ได้ถามเฟ่ยหมิงหมิงตรงๆ แต่ถามคนอื่นในกลุ่ม” ซีเฉินพูดจากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือส่งให้เสิ่นซิวจิ่น “มีเรื่องที่ฉันต้องคุยกับนาย”

เกี่ยวกับเสี่ยวถง…เรื่องของเมียนาย เป็นที่พูดถึงในกลุ่มแล้ว”

ส่วนเนื้อหาเป็นยังไง ซีเฉินก็แค่อธิบายคร่าวๆ ให้ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ ฟัง

“หยุดการแพร่กระจายข่าว”

ซีเฉินส่ายหหน้า “ไม่ได้ นายไม่รู้อะไร ข่าวนี้ดังแค่ไหน ข่าวมันแพร่ออกไปแล้ว ระหว่างที่พวกเราอยู่บนเครื่อง ทั้งในกลุ่มนอกกลุ่ม ขอเพียงรู้จักเสิ่นซิวจิ่น ก็รู้หมด

ยังมีอีกคือ…ข่าวถูกแพร่ออกมาจากกลุ่มเพื่อนของเฟ่ยหมิงหมิง

เซียวเหิงก็มาแล้ว เขามาถึงเมื่อตอนกลางวัน

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “เขายังคิดจะทำอะไรอีก?”

แท็กซี่มุ่งหน้าไปที่เมืองโบราณต้าหลี่ ซีเฉินชี้ไปที่โทรศัพท์ของเขาเป็นข้อความที่คุยกับนางแบบคนหนึ่งในกลุ่ม

“รูปถ่ายรูปนั้นถ่ายที่บาร์เหล้า” ซีเฉินพูด “ตามที่เฟ่ยหมิงหมิงเล่า เมียนาย…เขามีคนใหม่แล้ว”

สีหน้าของผู้ชายที่อยู่ข้างๆ นิ่งลง

เมื่อรถมาถึงโฮมสเตย์ที่เฟ่ยหมิงหมิงพักอยู่ ชายที่นั่งด้านหลังพูดด้วยเสียงต่ำ

“ไปต่อ”

“ทำไมล่ะ? ไม่ไปหาเฟ่ยหมิงหมิงเหรอ?”

ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไม่ไปหาเธอ”

ถ้าหากเซียวเหิงก็อยู่ ไปหาเฟ่ยหมิงหมิง คงจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดี

“พวกเราไปพักที่พักตรงข้ามพวกเธอ” เสิ่นซิวจิ่นพูด

ซีเฉินไม่ค้านและพยักหน้ารับ

ทั้งสองลงจากรถ

หลังจากเช็คอินที่เกสต์เฮาส์ตรงข้าม ซีเฉินยังคงดูโทรศัพท์มือถือของเขาและพูดกับผู้ชายที่สูบบุหรี่มวนต่อมวน

“ฉันขอยืมแอควีแชทของนางแบบคนนั้นเข้าไปในกลุ่ม

อาซิว ฉันว่า นายอาจจะหาเจี่ยนถงเจอไม่ง่ายขนาดนั้น

รูปถ่ายถูกถ่ายในบาร์เหล้า เฟ่ยหมิงหมิงกับเซียวเหิงเพิ่งจะไปที่บาร์นั่นและถามกับเจ้าของบาร์แล้ว เจ้าของบาร์บอกว่าไม่รู้จัก…เกรงว่า ต่อให้รู้ว่าก่อนหน้านี้เธออยู่ที่ต้าหลี่ แต่ตอนนี้ก็ยังหาไม่เจอ

แล้วยิ่งถ้าเธออาจจะไม่ได้อยู่ที่ต้าหลี่ เธออาจจะแค่มาเที่ยวที่ต้าหลี่”

“ไม่ถูก” ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ รีบค้านหลักการของซีเฉินในทันที

“เธอน่าจะอยู่แถวๆ นี้” ทันใดนั้นก็คิดอะไรได้บางอย่าง ชายคนนั้นตกตะลึง ก้นบุหรี่ระหว่างนิ้วของเขาไหม้จนก้นบุหรี่ "ซ๋า" และเผามือของเขาก่อนที่เขาจะตื่นและโยนมันทิ้งไป

“พรึ่บ” เขาลุกขึ้นยืน “ฉันคิดออกแล้ว! เธออยู่ที่ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่!”

“ฮะ?”

“เธออยู่ที่ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่! จะต้องอยู่ที่ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่แน่! เมื่อก่อนเวลาเธอฝัน เธอเคยละเมอ พูดถึงทะเลสาบเอ๋อร์ไห่” ทันทีที่นึกได้ก็ใช้มือเคาะที่หลังศีรษะ

“ฉันลืมไปได้ยังไง! ทำไมถึง! ลืมไปได้!”

ถ้าหากไม่ได้ดูรูปถ่ายนั้น เธอแต่งหน้าธรรมดา เขาจึงนึกได้ มีครั้งหนึ่งที่ฝันแล้วละเมอ แล้วตะโกน “อะลู่” และยังพูด “ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่สวย”

ทำไมเขาถึงได้มองข้ามเรื่องสำคัญนี้ไปได้?

ซีเฉินดูเคร่งขรึมมากขึ้น “อาซิว ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ใหญ่แค่ไหน นายรู้รึเปล่า?”

แทบจะครึ่งมณฑลหยุนหนาน และเมืองอีกหลายเมือง

ไหนจะหมู่บ้านต่างๆ อีก

“เสิ่นเอ้อ” ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วกดโทรออก “ให้คนไปที่ต้าหลี่ ใช่ ใครมาได้ ก็ให้มา”

“อาซิว นี่มันไม่ค่อยดีมั้ง ทิศตะวันตกเฉียงใต้มีกฎของทิศตะวันตกเฉียงใต้และเขตแดนของหยุนหนานไม่ใช่เมือง S ให้คนมาเยอะขนาดนี้…เกรงว่าจะทำให้ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่เข้าใจผิดในเจตนาของนายนะ?”

“นั่นคือเมียฉัน ฉันต้องหาเธอให้เจอ”

ในเรื่องการค้นหาเสี่ยวถง เขา เสิ่นซิวจิ่ว ไม่มีทางถอย!

สีหน้าของลู่หมิงชูเคร่งขรึม

เขาเสียใจ

หากวันนั้นไม่ได้เดิมพัน และไม่ได้ไปบาร์นั้น!

ก็คงทำให้ข่าวของเธอรั่วไหลออกไป

ตอนที่ข่าวเธอแพร่ออกไป

ในขณะที่ข่าวแพร่กระจาย แม้ว่าลู่หมิงชูจะอยู่ห่างไกลถึงหยุนหนานการสื่อสารก็ได้รับการพัฒนาอย่างมากในยุคนี้ และข่าวเพียงชิ้นเดียวก็สามารถพัดพาไปได้ไกลเจ็ดย่านน้ำ

ผู้ช่วยที่อยู่ข้างหลังยืนกัดฟันอยู่ด้านหลังเขา

ลู่หมิงชูกำโทรศัพท์มือถือแน่น เขาแทบอยากจะใช้โทรศัพท์ฆ่าคนที่แพร่ข่าวในตอนแรก

เขาส่งข่าวให้เพื่อนสนิท “ช่วยฉันเช็คที แผนการเดินทางของคนแซ่เสิ่น”

เขามีลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก

ตามที่คาดไว้!

“ตอนนี้ไป๋ยู่สิงเป็นคนดูแลบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ตอนนี้เสิ่นซิวจิ่นน่าจะอยู่ในเมือง S แล้ว”

เพล้ง!

ลู่หมิงชูกำหมัดแน่นและกระแทกเข้ากับกระจกโต๊ะน้ำชา

ทันใดนั้น กระจกโต๊ะกาแฟก็แตก

“ประธาน มือของคุณ เลือดออกแล้ว”

ผู้ช่วยที่อยู่ข้างหลังกำลังจะกด “120”

“ไปให้พ้น!” ชายคนนั้นบ่น “ไปให้พ้น!”

ถ้าหากรู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ เขาไม่มีทางจะวิ่งขึ้นไปบนเวทีนั้น ต่อให้ต้องแพ้พนัน ต่อให้เธอไล่เขาไป ต่อให้…ต้องไกลจากเธอ ก็ยังดีกว่าให้เธอต้องกลับมาอยู่ในสายตาของทุกคนอีก!

ที่ลู่หมิงชูเกลียดตัวเองที่สุดก็คือ เขารู้ดีว่าเธอมีชีวิตที่เงียบสงบไร้คลื่นลม แต่ความสงบนี้กลับถูกรบกวน!

เขาลงไปชั้นล่างและเงยหน้ามองไป แทบจะไม่ต้องคิด ผู้หญิงคนนั้นต้องอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้นและอาบแดด

ท้องฟ้าสีครามและน้ำทะเลสีฟ้า ดอกไม้และนก ชิมชาและอาบแดด…ฉากนั้นดูนิ่ง สวยงาม เงียบและสงบมากกว่าภาพวาดที่วาดโดยจิตรกรที่เก่งที่สุดที่เขาเคยเห็น

แต่ว่า มันไม่มีอีกแล้ว!

“เถ้าแก่เนี้ย”

ลู่หมิงชูเดินเข้าไป

หญิงสาวไม่ได้สนใจเขา

ถ้าหากคืนนั้น เขาเห็นแล้วยังไม่เข้าใจ ยังคิดไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็เก็บไปคิดอีกสักหลายวัน ดูอีกกี่วัน จนกว่าจะเห็นและคิดได้

“เถ้าแก่เนี้ย!”

ลู่หมิงชูถอนหายใจ

ผู้หญิงแค่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เหล่ตาและแกล้งหลับ

ผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ข้างหลังเธอ ยิ้มอย่างขมขื่น…ไม่รัก ก็เลนไม่ให้ความหวังเหรอ?

“คุณเป็นผู้หญิงที่โหดร้ายจริงๆ”

แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ตรงหน้าเธอ แม้ว่าเขาจะดีพอ ดีจนถึงแม้ผู้หญิงธรรมดาๆ จะไม่ตกหลุมรักเขาแต่อย่างน้อยก็คงไม่ตั้งใจที่จะเพิกเฉยต่อเขามากนัก

อย่างน้อยก็คงจะมีผู้หญิงที่ยอมใจอ่อน

แต่ว่า เธอไม่เป็นอย่างนั้น

“ผมควรเกลียดคุณ หรือขอบคุณคุณดี?”

ไม่รักและไม่ตอบกลับ

เหตุผลบอกเขาว่านี่คือความอ่อนโยนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับคนที่เริ่มรักก่อน

เขารู้ดีว่าตนเองดีเลิศ และรู้ดีว่าตัวเองมีหน้าตาและรูปร่างที่ดีเลิศ กับแต้มที่เพิ่มมา เขายังเข้าใจดีด้วยว่า ด้วยฐานะและเงินทองของเขา สามารถดึงดูผู้หญิงได้มากมายมาเรียกร้องหาเขา

และเพราะเขารู้ถึงสถานะและหน้าตาที่ดีของตัวเองมันมีประโยชน์ต่อผู้หญิงอย่างไร

แต่ผู้หญิงคนนี้กลับมีความคิดแบบนั้น——ไม่รักและไม่ตอบรับ

เพราะการกระทำและการเลือกของเธอ ทำให้ยิ่งมั่นใจมากขึ้นในกลุ่มผู้หญิงที่ถึงไม่รักแต่ด้วยสถานะและหน้าตาที่ดีของเขา ความสงบนี้ช่างมีค่าเหลือเกิน

ยิ่งเธอมีค่า มันก็ยิ่งดึงดูด

ผู้หญิงแบบนี้…ทำไมถึงได้เจอกับเสิ่นซิวจิ่น?

ทำไม!

หญิงสาวไม่มองเขา ลู่หมิงชูจึงเดินไปตรงหน้าเธอและหยุด “เถ้าแก่เนี้ย ผมพาคุณไปเอง!”

ดูเหมือนเขาจะตัดสินใจแล้ว “ผมจะพาคุณที่ที่ไม่มีใครรู้จักคุณ! คุณ ไปกับผมเถอะนะ!”

ใบหน้าของเธอสงบนิ่ง เขาอยากจะปกป้องเธอ ไม่อยากให้ใครหรือเรื่องใดมารบกวนชีวิตที่สงบสุขของเธอ

ผู้หญิงดูเหมือนจะได้ยินอะไรแปลกๆ “คุณลู่ นี่คุณพูดบ้าอะไร?”

จ้องมองเธอ ลู่หมิงชูพูดอะไรไม่ออก ร่องรอยของเธอมีคนเจอแล้ว และเขาไม่สามารถบอกเธออย่างโหดร้ายว่าชีวิตอันเรียบง่ายของเธอกำลังจะจบลง

“เถ้าแก่เนี้ย ผมจริงใจนะ ผมอยากพาคุณไป” ลู่หมิงชูพูด “ไปโพรวองซ์ ไปแวร์ซาย ไปเวนิส ไปได้หมด ไปที่ที่ไม่มีใครรู้จักคุณ ผมจะดูแลคุณทั้งชีวิต”

ผู้หญิงคนนั้นเหลือบมองลู่หมิงชูแล้วทันใดนั้นก็ดึงผ้าห่มออกจากร่างกายของเธอลุกขึ้นยืนและเดินช้าๆไปที่ห้องโถง

“จาวจาว หยิบกล่องยามาหน่อย ช่วยคุณลู่พันผ้าพันแผลที่มือของเขา ฉันเหนื่อยนิดหน่อย จะขึ้นไปนอนชั้นบน”

ข้างหลังเธอลู่หมิงชูกำหมัด ฝ่ามือของเขาและเลือดไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง

“เจี่ยนถง!”

ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ขณะที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะก้าวขึ้นบันได เขาก็เรียกชื่อนั้นออกมาเสียงดัง

เสียใจ

เมื่อเขาเห็นแผ่นหลังที่แข็งทื่อของหญิงสาว เขาก็เริ่มเสียใจ

“เจี่ยนถง” เสียงนุ่มนวลของหญิงสาวดังขึ้นเบา ๆ ราวกับว่าในความทรงจำ ร่างกายของหลู่หมิงชูตกตะลึง และเขามองไปยังผู้หญิงที่ทางเข้าทางเดินอย่างกังวลใจ รอให้เธอพูดต่อ… “เป็นใคร?”

ลู่หมิงชูใจสั่น จ้องไปที่ร่างด้านหลังที่ล่องลอยไปอย่างไม่เชื่อ

เดิมทีเขาคิดว่าเธอจะโกรธ จะโมโห เธอจะถามว่าเขาเป็นใครและรู้จักชื่อเธอได้อย่างไร

แต่ สิ่งที่คาดหวังความเป็นไปได้ทั้งหมด แต่ไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะไม่สนใจมันขนาดนี้

เธอปฏิเสธชื่อนี้อย่างง่ายดาย มัน…เป็นการปฏิเสธการมีอยู่ของเธอเองด้วยรึเปล่า?

ทันใดนั้น เขาก็ก้าวอย่างขี้ขลาด และไม่มีความกล้าแม้แต่จะตามไปให้ทันและถามว่าเกิดอะไรขึ้น

จาวจาวกระเด้งและวิ่งไปพร้อมกับกล่องยา ลู่หมิงชูมองดูเสียงที่เพรียวบางและร่าเริงของหญิงสาว เธอร่าเริงและสดใสอยู่เสมอ

แตกต่างจากผู้หญิงคนนั้น…โดยสิ้นเชิง

บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ผู้หญิงคนนั้นให้จาวจาวเด็กสาวที่เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะกับการทำงานในอุตสาหกรรมบริการมากที่สุด และคอยดูแลเธออยู่เคียงข้าง

“เฮ้ พี่หมิงชู มือคุณ ทำไมถึงบาดเจ็บได้คะ หนักขนาดนี้?”

จาวจาวไม่รู้เรื่องรู้ราว รู้สึกถึงเพียงบรรยากาศแปลกๆ ลู่หมิงชูเก็บมือของเขา “ให้ผู้ช่วยผมทำให้ก็ได้”

เขาพูด

ตอนนี้เขาไม่อยากให้ผู้หญิงคนไหนเข้าใกล้ แม้ว่าคนนั้นจะร่าเริงและคิดกับเขาเพียงแค่พี่จริงๆ อย่างจาวจาวก็ตาม

ผู้ช่วยของเขาเดินเข้าไปและรับก้านแอลกอฮอล์จากมือของจาวจาว

……

เป็นเวลากลางคืนและลมก็พัด

ในทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ ความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนอาจมีแตกต่างกันกว่าที่ราบในบางครั้ง

ผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ในห้องที่ห่างไกลที่สุดในMemory House

เธอยืนอยู่ตรงนั้นอย่างว่างเปล่า

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ และไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร

ประตูไม้บานใหญ่ถูกผลักเปิดออก

“ผมรู้ว่าคุณต้องอยู่ที่นี่”

ประตูถูกกั้นไว้โดยชายร่างสูง

ลู่หมิงชูจ้องไปที่ผู้หญิงในห้องด้วยดวงตาที่ลึกล้ำ ริมฝีปากบางของเขาขยับ

“ไม่ไปกับผมจริงๆ เหรอ?”

นัยน์ตาวาววับครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง และสุดท้ายก็พูดขึ้นว่า

“เขามาแล้ว”

ไม่ได้บอกว่าเป็นใคร แต่เมื่อลู่หมิงชูเห็นผู้หญิงที่ดูเหมือนจะกำลังจะตาย ใบหน้าของเธอซีดเผือดเพราะสามคำนี้ และรู้สึกประหม่าและไม่สบายใจ

จู่ ๆ ความเจ็บปวดเล็กๆ ในใจก็แผ่ขยายออกไป ทันใดนั้นเขาก็อยากจะหัวเราะ “ผมยังไม่ทันบอกเลยว่า “เขา เป็นใคร”

เขาหัวเราะเยาะตัวเอง

สุดท้ายแล้ว คนคนนั้น ส่งผลกระทบถึงเธอได้ถึงขนาดนี้

“เป็น…ใคร?” หญิงสาวรู้สึกเพียงว่าลำคอของเธอแห้งผาก เสียงที่แหบพร่าถามขึ้นอย่าขาดตอน

ลู่หมิงชูหลับตาแล้วลืมขึ้น “คุณอย่าเป็นอย่างนี้ได้ไหม…เจี่ยนถง คุณทำให้ผมรู้สึกหดหู่ ไม่มีผู้หญิงคนไหนทำให้ผมรู้สึกแย่ได้ถึงขนาดนี้เลย”

“ฉัน…ไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี” เธอพูดขึ้น “พรุ่งนี้คุณไปเถอะค่ะ”

“เสิ่นซิวจิ่นคงจะมาถึงในไม่ช้า จริงๆ นะ ไม่ไปกับผมเหรอ?” เขาพูด “ผมพาคุณไป มันยังทันนะ หากยังไม่ไป มันจะสายไปนะ”

ลู่หมิงชูเห็นเพียงผู้หญิงคนนั้นหันกลับมาแล้ว เธอกอดภาพหน้าศพไว้ข้างหน้าหน้าอกแน่น เธอยืนอยู่ตรงนั้นและส่ายหัว แล้วพูดอย่างหนักแน่น

“ฉันไปไม่ได้”

เธอไปไม่ได้ ที่นี่เป็นที่ที่เธอจะอยู่ไปจนตาย

“ต่อให้เขามา ก็ไม่มีทางพาฉันไปได้”

เธอพูด

“หึ ๆ~ คุณเข้าใจเขามากกว่าผมคุณคิดว่า เรื่องที่เขาต้องการ คุณจะหยุดเขาได้เหรอ?” ลู่หมิงชูพูดประชด “ครั้งนี้ เขามาแล้ว เขาตามหาคุณมาตั้งนาน เขาจะยอมล้มเลิกความคิดที่จะพาคุณไปง่ายๆ เหรอ? คุณหยุดเขาได้เหรอ?”

หญิงสาวเงยหน้าและพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ฉันไม่ไป เขาพาฉันไปไม่ได้”

เธอพูดแล้วก็วางรูปหน้าศพวางไว้บนโต๊ะแล้วเดินไปที่ประตูช้าๆ “ดึกแล้ว คุณลู่กลับห้องเถอะค่ะ ฉันไม่มีอะไรจะรับรองคุณแล้ว”

พูดแล้วเธอก็ปิดประตูและล็อกมันโดยไม่สนใจผู้ชายคนนั้นและเดินท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน

……

บ่ายวันต่อมา

ได้รับข้อความสั้นๆ

“เจ้าของMemory House จู่ ๆ ในเมืองก็มีคนแปลกหน้า ทั้งหมดในชุดสูทสีดำ เสื้อเชิ้ตสีขาว และรองเท้าสีดำ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะกำลังตามหาคุณ”

เป็นข้อความที่ส่งมาจากเถ้าแก่เนี้ยร้านอุปกรณ์ชงชา

หัวใจของผู้หญิงคนนั้นเต้นแรง และเธอก็รู้สึกหวาดกลัวโดยไม่มีเหตุผล

เธอพูดกับตัวเอง อย่าตื่นตูม อย่าตระหนก เขาไม่มีทางหาเธอเจอที่เมืองโบราณต้าหลี่

ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่กว้างใหญ่ ถึงแม้ว่าเธอจะอยู่เมืองโบราณต้าหลี่มาสามปี รู้จักผู้คนอยู่บ้าง แต่คนที่รู้จักเธอมีไม่มาก

ถึงจะคิดแบบนี้แต่เธอก็รีบโทรไปหาเพื่อนที่รู้จักและขอว่าอย่าเปิดเผยร่องรอยของเธอ

วันคืนที่สงบสุขแต่ในความเป็นจริง เวลาผ่านไปด้วยความกลัว

ลู่หมิงชูยังคงอยู่ที่นี่ เขาเป็นแขก และไม่ได้ละเมิดข้อตกลงที่ลงนามในตอนแรก ถึงแม้ว่าเธออยากจะไล่เขาไป

“คุณไม่ถามผมสักคำว่าผมเป็นใคร?” ในช่วงบ่ายที่มีแดดจ้าลู่หมิงชูจงใจหยุดผู้หญิงที่ซ่อนตัวจากเขาที่มุมห้อง “คุณหลบผมอยู่”

หญิงสาวเงยหน้า “ฉันไม่ได้หลบคุณ ฉันทำเพื่อคุณ”

“เพื่อผม ๆ อะไร ๆ ก็เอาแต่บอกว่าเพื่อผม

อันที่จริงแล้ว คุณทำเพื่อตัวเอง คุณกลัวจะต้องเป็นหนี้ความรัก และคุณกลัวการเป็นหนี้ความรักของคนอื่น ใช่ไหมล่ะ!”

“แล้วผิดเหรอ?” เธอกวาดสายตามองไปที่ชายหนุ่มอย่างเรียบเฉย “หรือว่าคุณลู่อยากให้ฉันหลอกคุณ มันถึงจะเป็นการทำเพื่อคุณ?”

“ผมกลับหวังว่าคุณจะหลอกผม กลับหวังว่าคุณจะน่ารังเกียจ คุณหลอกผมสิ!” เขาโกรธ ด้วยไฟชั่วร้ายในใจที่ไม่มีที่ระบายและคิดทบทวนอีกครั้ง ในคืนนั้นเพียงแค่เขาพูดถึงเพียงบุคคลนั้นเท่านั้น และดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้จะมีชีวิตขึ้นมา

“คุณคิดว่าคุณหลบซ่อนอยู่ที่นี่สามปี วันเวลาผ่านไปอย่างเงียบสงบดี คุณคิดว่าจิตใจคุณสงบเหมือนน้ำนิ่งเหรอ?

ผิดแล้ว!

คุณตายไปนานแล้ว!

ต่างอะไรกับน้ำนิ่ง?

ไม่มีความรู้สึกที่เคลื่อนไหว ไม่มีความรู้สึกรักโลภโกรธหลง ตัวคุณเองไม่เคยส่องกระจกดูบ้างรึไง?

คุณดูไม่ออกเหรอ ว่าคุณน่ะเหลือแต่เพียงเปลือกนอก แต่ภายในมันว่างเปล่า!”

ไม่ใช่ๆ ๆ ๆ! เขาไม่ได้ต้องการจะพูดแบบนี้!

ลู่หมิงชูไม่สามารถจะควบคุมคำพูดของเขาได้ เห็นชัดๆ ว่าในใจของเขาต้องการที่จะบอกให้ตัวเองหยุด แต่ปากกลับยังคงพูดคำพูดที่รุนแรงอย่างไม่สามารถจะควบคุมได้

เขาพูดคำพูดที่รุนแรงแต่กลับปฏิเสธในใจ ไม่ใช่! มันไม่ใช่! เขาไม่ได้อยากจะพูดแบบนั้น!

สิ่งที่เขาอยากพูดคือ——เจี่ยนถง คุณจะรักตัวเองหน่อยได้ไหม! จะให้ตัวเองได้มีชีวิตเหมือนคนเป็นหน่อยได้ไหม! อย่ามีชีวิตเพียงเพื่อคำสามคำนี้ เสิ่นซิวจิ่น ได้รึเปล่า!

คุณมีชีวิต! ไม่ได้มีชีวิตเพื่อใครบางคนเสียหน่อย!

ใช่แล้ว! สิ่งที่เขาอยากจะพูดคือแบบนี้ต่างหาก!

แต่ว่าเขา!

“ขอโทษนะ…” ตอนที่เขาพูดคำว่าขอโทษและเงยหน้าขึ้น ในใจกลับเย็นเยียบ หญิงสาวตรงหน้ายังคงไร้อารมณ์ แต่เขาดูออก ภายใต้ดวงที่เหมือนน้ำนิ่งแบบนั้น มีความเศร้าแฝงอยู่

ยกคางขึ้นเล็กน้อย เหยียดหลังตรงและยืดเอวให้ตรง “ว่างเปล่า ความจริง มีชีวิต หรือตาย คุณลู่ มันก็ไม่เกี่ยวกับคุณ”

เธอพูดจบ เธอก็เดินไปอ้อมลู่หมิงชูไป หลังตรงและเดินไปข้างหน้า

ดูแล้วทั้งยิ่งยโสและเย็นชา…แต่ไม่ว่าจะดูยังไง คางที่ยกขึ้นและหลังตรงนั้นล้วนแล้วแต่จงใจเกินไป

ลู่หมิงชูยื่นมือออกมากุมหน้า “ให้ตายสิ!” เขาพูดอะไรออกไปเนี่ย!

มันไม่ใช่เรื่องแปลก ที่คนแปลกหน้าจำนวนกลุ่มหนึ่งรุมกันเข้ามาในเมืองโบราณต้าหลี่ ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยว

แต่ถ้าคนกลุ่มนี้ล้วนใส่ชุดสูทสีดำกางเกงขายาวสีดำ และแต่ละคนเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กล้ามโต ก็จะทำให้เป็นที่ดูดดึงสายตาจริงๆ

เจ้าของร้านชุดน้ำชา สังเกตดูอยู่พักหนึ่ง“พวกคุณกำลังหาคนหรือ”

คว้าจับไปที่ชายหนุ่มกล้ามใหญ่ในชุดสูทท่าทางรีบร้อนคนหนึ่ง

เสิ่นเอ้อแปลกใจที่ถูกผู้หญิงคนหนึ่งจับไว้

“หาคน”

“หาใครหรือ?”

ตอนแรกนั้นเสิ่นเอ้อไม่อยากจะบอก แต่ตอนนี้ถูกคนถามขึ้น จึงหยิบมือถือขึ้นมา ด้านในเป็นรูปถ่ายบาร์เหล้าใบหนึ่ง “คุณเคยเห็นเธอไหม?”

“เห็นไม่ชัด”เจ้าของร้านขายชุดน้ำชาเปลี่ยนท่าที แล้วส่ายหัว

เสิ่นเอ้อพยักหน้า“ผมจะไปถามคนอื่นๆอีกครั้ง”

ซีเฉินกับเสิ่นซิวจิ่นอยู่ด้วยกัน โฮมสเตย์ที่อยู่ตรงข้ามพวกเขาก็คือที่อยู่ของเฟ่ยหมิงหมิงกับเซียวเหิง

“เราหาคนแบบป่าเถื่อนเช่นนี้ ฝั่งตรงข้ามจะต้องสังเกตเห็นแล้วอย่างแน่นอน”

เสิ่นซิวจิ่นสนใจแต่การดูดบุหรี่“แล้วไง?”

ขณะกำลังพูด ก็มีคนมาเคาะประตู

“ผมไปเปิดประตู”ซีเฉินเก็บคำพูดที่อยากจะพูดไว้ หันหลังเดินไปเปิดประตู เมื่อเปิดประตูออก เห็นคนตรงหน้าแล้ว ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“ตายยากจริงๆ เพิ่งจะพูดถึง ก็มาแล้ว ”เขาไม่ได้สนใจคนที่อยู่นอกประตู หัวเราะคิกคักหันหน้าเข้าไปในห้องอย่างทะลึ่ง “คุณดู เมื่อกี้ผมพูดอะไรนะ ”

ขณะที่เขาพูด ก็ไม่ได้บอกคนที่อยู่นอกประตูว่าเข้ามาได้หรือเข้ามาไม่ได้ ประตูก็เปิดอ้าไว้เช่นนั้น แล้วซีเฉินก็หันหลังเดินเข้าไปในห้อง

เซียวเหิงเข้ามาด้วยมือเสียบในกระเป๋า เดินไปตรงหน้าเสิ่นซิวจิ่น มองดูเสิ่นซิวจิ่นอย่างตาเขม็ง “หากคุณมาเพื่อจะพาเธอกลับไป หากคุณยังมีมโนธรรม ก็ไม่ต้องมารบกวนเธออีกแล้ว”

ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ เงยหน้ามองดูเซียวเหิงแวบหนึ่ง ด้วยท่าทางดุร้ายโหดเหี้ยม แล้วค่อยๆลุกขึ้น เซียวเหิงที่เมื่อกี้ยังข่มเขาอยู่ ก็ถูกตามจนทัน ดูผิวเผินแล้ว ยังถูกแซงหน้าไปแล้ว

“เรื่องระหว่างเราสามีภรรยา คุณที่เป็นคนนอกคนหนึ่ง ยุ่งอะไร? ”ริมฝีปากบอบบางของชายหนุ่ม ค่อยๆเปิดออก แล้วกล่าวทีละคำอย่างเรียบๆ ขณะที่พูด ก็ยื่นมือที่คีบก้นบุหรี่อยู่ในนิ้วมือออกมา กดไปบนไหล่ชุดสูทของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า แล้วบดขยี้ลงไป

“หากคุณยังกล้ามาสร้างปัญหา ก็ลองดู”

เซียวเหิงไม่ได้หลบ เพียงแค่ก้มมองดูตรงไหล่ของตัวเองอย่างเย็นชา บนเสื้อคลุมชุดสูทราคาหลายแสน มีรอยไหม้ก้นบุหรี่เพิ่มมา

นิ้วมือเรียวยาว ถอดเสื้อคลุมออกอย่างสง่างาม แล้วโยนลงถังขยะที่อยู่ข้างๆไป ต่อหน้าเสิ่นซิวจิ่น

“โอเค ลองก็ลอง”

พูดอย่างเย็นชา มองอีกฝ่ายแวบหนึ่งด้วยสายตาเยือกเย็น แล้วหันหลังเดินออกไป

เสิ่นซิวจิ่นยืนอยู่ที่เดิม ใช้สายตาส่งเซียวเหิงจากไป

“คุณทำแบบนี้ เกินไปเล็กน้อยแล้วนะ อาซิว”

ซีเฉินใช้ปากชี้ไปที่เสื้อคลุมชุดสูทที่พังแล้วตัวนั้น หมายความว่า เมื่อกี้เสิ่นซิวจิ่นทำเกินไปเล็กน้อย

“ฉันเกลียดเขา”เสิ่นซิวจิ่นหน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย

“คุณ……….”

พูดชัดเจนว่าเกลียดเซียวเหิงเช่นนี้ ซีเฉินรู้สึกอ่อนแรงไปทันที…….เขาไม่รู้จริงๆว่า จะไปเกลี้ยกล่อมเสิ่นซิวจิ่นได้อย่างไร

“ไร้เดียงสาจริงๆ”

เด็กน้อยถึงจะท้าทายอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่เสิ่นซิวจิ่นจะทำได้เลย

“ช่วงบ่ายไปเอ๋อร์ไห่”ชายหนุ่มกล่าวขึ้น ในเมื่อไม่พบเบาะแสที่เป็นประโยชน์ในเมืองโบราณต้าหลี่ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องใช้วิธีที่โง่เขลาที่สุดเสียเวลาและเสียแรงที่สุดในการหาคนแล้ว

“แม้จะต้องหาแต่ละตารางนิ้ว ฉันก็จะต้องหาเธอให้เจอ เธอจะต้องอยู่ที่เอ๋อร์ไห่อย่างแน่นอน ฉันไม่เชื่อว่า ค้นหาทุกตารางนิ้ว จนพลิกแผ่นดินเอ๋อร์ไห่ให้ทั่วแล้ว จะหาเธอไม่เจอ”

……

ที่เมือง S

เจี่ยนโม่ป๋ายก็กำลังตามหาเจี่ยนถงอยู่

คุณหญิงเจี่ยนกำลังปอกแอปเปิลให้เจี่ยนโม่ป๋าย

แต่เจี่ยนโม่ป๋ายทุรนทุรายใจอยู่ไม่เป็นสุข

“ลูกชาย แกรออีกหน่อย พ่อของแกได้ใช้เส้นสายไหว้วานคนไปแล้ว จะต้องหาคนที่ไขกระดูกสันหลังเข้ากับแกได้อย่างแน่นอน ”

เธอก็ดูออกว่าลูกชายกระวนกระวายใจ แล้วมองดูลูกชายแวบหนึ่ง เจี่ยนโม่ป๋ายที่อยู่บนเตียงผู้ป่วย จ้องมองหน้าจอมือถือตาไม่กะพริบอยู่ตลอดเวลา แล้วก็เลื่อนหน้าจออยู่ตลอดเวลา เธอรู้ว่า ลูกชายกำลังหาข่าวของเสี่ยวถงอยู่

“เสี่ยวถง…….ช่างมันเถอะ? ”

ผ่านไปครู่หนึ่ง คุณหญิงเจี่ยนพูดเกลี้ยกล่อมว่า“พ่อของแก ……..จะสามารถหาไขกระดูกสันหลังที่เหมาะสมให้แกได้ สำหรับเสี่ยวถง…….ช่างมันเถอะ”

ช่างมันเถอะ เราปล่อยเสี่ยวถงไปเถอะ…….นี่เป็นเสียงที่แม่เจี่ยนคิดอยู่ในใจ

“หากว่า……หาไม่ได้ล่ะ?”

“เป็นไปไม่ได้ จะต้องหาได้อย่างแน่นอน”

เจี่ยนโม่ป๋ายโวยวายขึ้นมาทันที ตะโกนเสียงดัง “หากหาไม่ได้จริงๆล่ะ! หรือจะให้ผมนอนรอวันตายหรือ!

แม่!

ผมไม่อยากตาย!

ผมยังหนุ่มยังแน่นอยู่!

ผมไม่อยากรอความหวังอันน้อยนิด!

ไม่อยากเป็นฝ่ายนั่งรออยู่เช่นนั้น !”

เขากระชากหมวกบนหัวตัวเองออกทันที “แม่ แม่ดู ! เส้นผมของผมเริ่มจะร่วงแล้ว! แม่ไม่รู้ว่า ทุกเช้าที่ผมตื่นนอน เส้นผมร่วงมาทีละกระจุกทีละกระจุก! แม่ไม่รู้เลยว่า เคมีบำบัดมันทรมานแค่ไหน ! พะอืดพะอมอยากจะอ้วก วิงเวียนหน้ามืด จนอยากจะอาเจียน อาเจียนกรดเหลวในกระเพาะออกมาหมดแล้ว ยังจะอาเจียนอีก!

แม่!

คุณหมอบอกว่า โรคนี้ ทางที่ดีควรจะปลูกถ่ายไขกระดูกสันหลังให้เร็วที่สุด แม่ให้ผมรอ ผมรอแล้ว แต่ว่าแม่สามารถจะรับประกันได้ไหมว่า ผมจะรอจนได้ไขกระดูกที่เหมาะสมกับผมได้อย่างแน่นอน? ”

“โม่ป๋าย !ใจเย็นๆ สงบสติก่อน ไม่เป็นไร แม่จะอยู่เคียงข้างแกตลอด คนเก่งของแม่ ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น ”

แม่เจี่ยนสงสารลูกชายมาก บนสีหน้าที่ขาวซีดของลูกชาย ริมฝีปากแตกแห้ง ไม่มีสีเลือดเลย เธอกอดลูกชายไว้ในอ้อมกอด แล้วปลอบประโลมว่า“ไม่ต้องกลัว พ่อกับแม่จะต้องช่วยแกอย่างแน่นอน”

“ดังนั้น……แม่ ขอร้องท่านล่ะ ช่วยผมหาน้องสาวให้เจอด้วย”

แม่เจี่ยนร้องไห้ขมขื่น

“แม่ ท่านอย่าร้องไห้ ท่านพูดอะไรสักคำซิ”

“เสี่ยวถงเธอ ไม่มีไตแล้ว ”แม่เจี่ยนพูดตะกุกตะกัก“ร่างกายเธอแบบนั้น แกจะให้เธอบริจาคไขกระดูกสันหลังให้แกได้อย่างไร ?โม่ป๋าย เรารอดูก่อน ได้ไหม?”

“แม่ อย่างนี้ดีไหม ท่านช่วยผมหาเสี่ยวถงให้เจอก่อน ”ขณะที่เจี่ยนโม่ป๋ายพูด“ผมก็จะรอพ่อติดต่อหาไขกระดูกที่เหมาะสมกับผมอย่างสงบ ถ้าไม่ถึงวินาทีสุดท้าย ผมจะไม่ไปรบกวนเสี่ยวถง ถ้าหากสุดท้ายแล้ว ยังหาไขกระดูกสันหลังไม่ได้…..แล้ว อย่างน้อยก่อนที่ผมจะตายไป ให้ผมได้เห็นหน้าเสี่ยวถง ผมก็จะตายตาหลับ”

“ถุย อะไรตายไม่ตาย พูดไร้สาระ”แม่เจี่ยนงมงายกับคำพวกนี้

เจี่ยนโม่ป๋ายจับมือแม่เจี่ยนไว้ “แม่ ท่านว่าอย่างนี้ได้ไหม?”

แม่เจี่ยนลังเล“แก……พูดจริงหรือ?”

“จริงครับ!”

“ถ้าอย่างนั้น……ฉันจะพูดกับพ่อของแกดู”

แม่เจี่ยนพูด“เสี่ยวถงเธอ……ก็ไม่รู้ว่าสบายดีหรือเปล่า”

……

ที่เมืองโบราณต้าหลี่

เสิ่นซิวจิ่นกำลังตามหาคน เซียวเหิงก็กำลังตามหาคนเหมือนกัน

ซีเฉินได้ใช้เส้นสายทั้งหมดในวงการแล้ว

“ผู้หญิงในรูปถ่ายใบนี้ ผมเธอยาวมาก”เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้น“เหมือนเคยเห็นที่ไหน ”

“จริงหรือ!”ในกลุ่มเริ่มตื่นเต้น“เฮ้ เจ้าวางรอง หากแกสามารถหาเบาะแสได้ จะเป็นงานชิ้นโบแดงเลยนะ ได้ยินเรื่องของตระกูลตู้หรือยัง ? เจ้าตู้สามไอ้สารเลวมันลงมือเร็วมาก โทรไปหาประธานเสิ่นเป็นคนแรก ให้รูปถ่ายใบนั้น ตอนนี้บริษัทของบ้านพวกเขาที่กำลังจะล้มละลาย ไม่เพียงแต่ไม่ล้มละลาย ยังได้รับการลงทุนจากเสิ่นซื่อกรุ๊ปด้วย หากแกสามารถช่วยประธานเสิ่นหาภรรยาของเขาเจอ พวกแกตระกูลวางก็จะได้น้ำขึ้นเรือย่อมสูงขึ้น พลอยได้ดิบได้ดีไปด้วย ”(เจ้าตู้สามคือคุณชายสามตระกูลตู้ เจ้าวางรองคือคุณชายรองตระกูลวาง)

คุณชายรองตระกูลวางไม่มีปฏิกิริยาใดๆ

ในกลุ่มล้วน@คุณชายรองแห่งตระกูลวาง

เวลานี้คุณชายรองตระกูลวางมีเวลาจะมาสนใจคนเหล่านี้ที่ไหนกัน เขารีบเปิดโทรศัพท์แล็ปท็อป เข้าไปในแพลตฟอร์มหนึ่ง เลื่อนดูหน้าจออย่างไม่หยุด เพื่อจะค้นหาโพสต์นั้น

ตามที่กลุ่มคนในกลุ่มนั้นพูด หากสามารถช่วยประธานเสิ่นหาเบาะแสได้ ไม่แน่ว่าพวกเขาตระกูลวางก็จะได้รับผลประโยชน์ไปด้วย

เวลานี้ เขาเสียดาย ที่ตอนแรกน่าจะบันทึกโพส์ตนั้นไว้

หาอยู่ครึ่งค่อนวัน แทบจะที่สามารถหาได้ก็ค้นหาจนทั่วแล้ว ก็หาโพส์ตนั้นไม่เจอ คุณชายรองแห่งตระกูลวางตบหน้าตัวเองอย่างแรงๆ แกนะแก

แต่ก็ยังไม่ตายใจ เอามือถือขึ้นมาอย่างลังเล โทรไปหาคนในบ้าน“พ่อ พ่อมีวิธีติดต่อประธานเสิ่นไหม ?”

“ประธานเสิ่นไหน?”

“ก็ประธานเสิ่นแห่งเสิ่นซื่อกรุ๊ปไง”

“เสิ่นซิวจิ่นตระกูลเสิ่นหรือ? แกจะเอาเบอร์โทรของเขาทำไมกัน?”

“โอ๊ย ! พ่อ !มีหรือไม่มี ผมมีเบาะแสเกี่ยวกับเหมือนเจี่ยนถงแห่งตระกูลเจี่ยนคนนั้น……….”

ยังไม่ทันพูดจบ พ่อของเขาที่อยู่อีกฝั่งตื่นเต้นขึ้นมาทันที “ทำไมเพิ่งจะมาบอกเนี่ย! ฉันได้ยินมาว่าครั้งนี้ตระกูลตู้โชคดีมากเลย! แกรอก่อน ฉันจะส่งเบอร์โทรโทรศัพท์ให้แก”

คุณชายรองตระกูลวางลังเลอยู่ครึ่งวัน ในที่สุดก็กัดฟัน แล้วโทรไปหาหมายเลขโทรศัพท์นั้น

“ประ ประธานเสิ่น ผมมีข่าวเกี่ยวกับภรรยาของท่าน ”

เขาพูดตะกุกตะกักจนจบ คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่รับโทรศัพท์ของเขา

ชายหนุ่มทางปลายสาย หดตาลงเล็กน้อย“คุณพูดมาเลย ”

“ผม คือก่อนหน้านั้นผมเคยเห็นในแพลตฟอร์มหนึ่ง ข้างในเป็นคู่รักคู่หนึ่งร้องเรียนโฮมสเตย์แห่งหนึ่งในเอ๋อร์ไห่ ……..”

เอ่ยถึง“เอ๋อร์ไห่”สองคำ ม่านตาดำเข้มของเสิ่นซิวจิ่นเป็นประกาย ถามอย่างไม่กระโตกกระตากว่า“แพลตฟอร์มไหน ส่งโพสต์นั้นมา ”

“นั่น…..โพสต์นั้น เมื่อกี้นี้ผมได้ค้นหาจนทั่วแพลตฟอร์มแล้ว หาไม่เจอ แต่ว่า แต่ว่าผมรับประกันว่าทุกคำที่ผมพูดล้วนเป็นความจริง

ตอนแรกในโพสต์นั้นยังมีรูปถ่ายด้วย ในรูปถ่ายมีผู้หญิงคนหนึ่ง ดูเหมือนก็คือนางเอกในรูปถ่ายใบนั้นในกลุ่มเพื่อนของเฟ่ยหมิงหมิง”

“โฮมสเตย์อะไร? ชื่ออะไรหรือ?” เขาขมวดคิ้ว ถามต่อ

“ชื่อว่า ‘Me……Memory House’ใช่ๆ ชื่อ ‘Memory House’ผมจำได้ชัดเจน เพราะว่าตอนนั้นผู้หญิงบนรูปถ่ายในโพสต์แพลตฟอร์มนั้น ผมของเธอยาวมาก จึงให้ความสนใจเป็นพิเศษ”

“ผมรู้แล้ว”

ทางปลายสาย คุณชายรองตระกูลวางอึ้งอยู่กับที่มองดูโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไป…….เพียงเท่านี้หรือ

เจ้าตู้สามยังได้รับผลประโยชน์ แล้วของเขาล่ะ?

คุณชายรองตระกูลวางโทรศัพท์ไปหาพ่อ“พ่อ ท่านว่า นี่มันลำเอียงเกินไปหรือเปล่า ประธานเสิ่นไปลงทุนกับทางตระกูลตู้แล้ว แต่ครอบครัวของเราไม่ได้อะไรเลยหรือ?”

“ทำไมแกถึงใจร้อนเช่นนี้ การทำงานของประธานเสิ่น ในใจเขารู้ดี เรารอดูก่อน ถึงแม้รอแล้วไม่ได้รับการลงทุนจากเสิ่นซื่อกรุ๊ป อย่างน้อยก็ทำให้ประธานเสิ่นเป็นหนี้บุญคุณเราตระกูลวาง”

หนี้บุญคุณของประธานเสิ่น มูลค่าไม่น้อย

……

เสิ่นซิวจิ่นลุกขึ้นทันที“หาเจอแล้ว”

ซีเฉินกำลังดื่มน้ำ“พุ่ง!”น้ำในปากกระเด็นออกมา“หาอะไรเจอแล้วหรือ?”

“อยู่ที่ ‘Memory House’ ฉันมีลางสังหรณ์ ว่าจะต้องเป็นเธอ”

คนส่วนใหญ่ของเสิ่นซิวจิ่นถูกทิ้งให้อยู่ในเมืองโบราณต้าหลี่ แต่Bossของพวกเขาไม่ได้อยู่ในเมืองโบราณมานานแล้ว

ตลอดทาง บนใบหน้าที่หล่อเหลานั้นดูเหมือนสงบนิ่ง

มีเพียงบางครั้งเท่านั้นที่ดูออกว่าเขาตึงเครียดจากมือที่กำหมัดแน่นของเขา

ทั้งหมดนี้ อยู่ในสายตาซีเฉิน

ยื่นมือออกไป ตบหลังมือเพื่อนสนิทที่อยู่ข้างๆอย่างปลอบโยน“ไปเจอภรรยาไม่ใช่ไปเจอผู้นำ ผ่อนคลายบ้าง ”

แน่นอนว่า เป็นเพียงการล้อเล่นเท่านั้น

รถแล่นไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ตามการนำทางของจีพีเอส ไปทาง“Memory House”เข้าสู่เขตแดนเอ๋อร์ไห่แล้ว ยิ่งไปยิ่งออกนอกเส้นทาง

ซีเฉินขมวดคิ้ว“มาผิดทางหรือเปล่า ?”

เปิดโฮมสเตย์ แน่นอนว่าจะต้องเปิดในที่ที่คนพลุกพล่าน

“ไม่ผิด”ชายหนุ่มข้างกายยิ้มเบาๆ รอยยิ้มปนเยาะเย้ย“คุณอย่าลืมว่า ตอนแรกเธอหนีออกมาอย่างไร ”

ซีเฉินขรึมลง……ตอนแรกหนีมาอย่างไร?

พวกเขาตามหาจากสถานที่หนึ่งไปอีกสถานที่หนึ่ง ทุกครั้งเมื่อได้เบาะแสของเธอเล็กน้อย ก็จะรีบไปตามหาอย่างไม่รอช้า

สิ่งที่ได้คือความผิดหวังกับความว่างเปล่า

“ต้องขอบคุณกล่องเครื่องประดับอัญมณีนั่น”เสิ่นซิวจิ่นกัดริมฝีปากบาง“เธอจากทิศตะวันออกไปทางใต้ จากทางใต้ไปตะวันตก เพียงแค่เครื่องประดับอัญมณีกล่องเดียว ทำให้เธอสามารถไปที่ต่างๆสิบกว่าที่ทั่วประเทศ เร่ขายไปถึงทางเหนือใต้ออกตก

อาเฉิน แกเคยคิดไหมว่า นี่เป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบของเธอเท่านั้น จู่ๆถึงทำให้เธอคิดวิธีการหลบหนีแบบนี้ขึ้นมา? ”

แน่นอนว่า…….เป็นไปไม่ได้

ในใจซีเฉินเข้าใจดี แต่พูดว่า“เธอฉลาดขนาดนั้น ก็อาจจะเป็นแผนการเฉพาะหน้า”

“พูดคำนี้ออกมา แกเชื่อไหม”เสิ่นซิวจิ่นกระตุกมุมปากยิ้มเยาะเย้ย

“เธอไม่ได้กลับไปที่วิลล่าใหญ่ตระกูลเสิ่น แล้วอัญมณีกล่องนั้น นำออกมาจากวิลล่าตระกูลเสิ่นตอนไหน ? หลังจากนั้นเรากลับมาหากล่องอัญมณีว่าเธอซ่อนไว้ที่ไหน แกเคยคิดไหมว่า เธอได้นำกล่องอัญมณีไปแบบหลบๆซ่อนๆ แล้วฝังไว้ในดินใต้ต้นไม้ตระกูลเจี่ยน? นี่แสดงว่าอะไร ?”

แสดงว่าเธอได้วางแผนการหลบหนีไว้ในใจมานานแล้ว ………ซีเฉินกล่าวอยู่ในใจ

เป็นแผนการที่รอบคอบมาก แทบจะเป็นคนเก่งที่ต่อต้านการสอดเนมได้เลย

“Bossจีพีเอสแสดงว่า ข้างหน้าก็จะถึงMemory Houseแล้ว”เสิ่นเอ้อที่ขับรถอยู่ข้างหน้า มองดูจีพีเอสแวบหนึ่ง แล้วรายงานสถานการณ์ต่อชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะหลังรถ

ชายหนุ่มพยักหน้า แต่ทันใดนั้นในรถเงียบสงบจนรู้สึกจะเหงาตายเล็กน้อย นอกจากเสียงรถวิ่ง ไม่มีใครออกเสียงเลย

……

ในMemory House หญิงสาวนอนอยู่บนเก้าอี้นอนเหมือนปกติทุกวัน เพียงแต่ ตะแคงข้างอยู่ตลอดเวลา ท่าทางเล็กๆนี้ เผยให้เห็นถึงความวิตกกังวลในใจเธอ

ตอนที่ลมพัดมา หลับตาลง ขนตางอนยาวเล็กน้อย สั่นไหวตามแรงลม

เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่รอบๆกายเงียบสงบจนเหลือเพียงเสียงลมเท่านั้น

“จาวจาว เอาผ้าขนหนูมาอีกหนึ่งผืน”เธอหดตัวแล้วหดตัวอีก พยายามนำร่างซุกเข้าไปในผ้าห่มบางๆผืนนั้นให้ได้

หลังจากนั้นไม่กี่วินาที มีสิ่งของเพิ่มมาบนร่างกาย ได้เพิ่มน้ำหนักเข้าไปเล็กน้อย

กลิ่นอายอบอุ่นของร่างกายคนโชยมา

หญิงสาวบนเก้าอี้นอนคนนั้น ร่างกายแข็งทื่อขึ้นมาทันที…….กลิ่นที่คุ้นเคยแล้วก็จากมานานนั้น กลิ่นนิโคตินที่มีกลิ่นสะระแหน่เล็กน้อย โชยเข้าจมูกของเธอ

มือที่ซ่อนอยู่ในผ้าห่มผืนบาง ห้านิ้วแยกออกแล้วล็อกแถบไม้ไผ่ใต้ตัวไว้แน่น ขนตากะพริบสั่นบ่อยขึ้น เธอปฏิเสธที่จะลืมตา แล้วกัดริมฝีปากไว้แน่นๆ

เห็นได้ชัดว่า ขนตาที่สั่นเทา ค่อยๆเปียกชุ่ม และมีไอน้ำไหลออกมาจากตาที่ปิดอยู่……..นี่มันคือ หวาดกลัวหรือ?

คนที่อยู่ข้างหลัง เห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา ดวงตาคู่ดำ ลุ่มลึกราวบ่อน้ำ แวบหนึ่งของสายตา เหมือนซึมเข้าไปในไขกระดูกสันหลัง รักษาอาการบาดเจ็บมานานให้หายดี

เขายืนอยู่ข้างหลังเก้าอี้นอนของเธอ ก้มตัวโน้มหัวลงไปจูบริมฝีปากที่กัดไว้แน่นๆของเธอ

จูบนี้ ได้ชดเชยความว่างเปล่าในใจแล้ว

“ดีจริง หาคุณเจอแล้ว”ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ หลับตาลงอย่างพอใจ

ไออุ่นที่คุ้นเคยกลิ่นที่คุ้นเคย ความคุ้นเคยที่………น่ากลัว เต็มในใจ!

ตัวสั่นเทา ความกลัว ตระหนกตกใจ ทั้งหมดนี้ล้วนแสดงออกมาทางขนตาคู่นั้นที่ปิดไว้แน่น แม้แต่ริมฝีปากที่ถูกปรนนิบัติอย่างนุ่มนวล ก็สั่นสะท้านไปด้วย

การสั่นสะท้านนี้ ได้ถูกส่งไปยังชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลัง ในสายตาของเขา มีความสงสาร ความโดดเดี่ยว ความเสียใจ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป………. จะไม่ทรยศต่อผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว!

จะไม่ยอมทำให้ผู้หญิงคนนี้รู้สึกกลัวอีกแล้ว……..มันเป็นการละเลยในหน้าที่ของเขา

แขนที่แข็งแรงทั้งสองข้าง โอบกอดขึ้นไป จากด้านหลัง โอบรอบไหล่หญิงสาวบนเก้าอี้นอนที่กำลังสั่นเทาไว้ ริมฝีปากของเขาก็ยิ่งนุ่มนวลขึ้น แขนคู่นั้น ดูเหมือนจะมีกำลังออกมาปกป้องผู้หญิงในอ้อมแขนคนนี้ให้ได้

รู้อยู่เต็มอกว่า เธอกลัว……แต่ ขอเพียงเธอไม่ผลักเขาออก เขาจะไม่โลภละโมบกลิ่นเธอในเวลานี้ได้อย่างไร?

จาวจาวเบิกตากว้าง กะพริบตาปริบๆ……..ชายหนุ่มที่โผล่มาอย่างกะทันหันคนนี้ คือใครกัน?

สถานการณ์ของเธอไม่ค่อยจะดีนัก แต่เธอลืมไปว่า ทั้งสองข้างของตัวเองมี“แม่ทัพทั้งสอง”ซ้ายคนขวาคนกำลังจ้องมองเธอ เวลานี้ดวงตาคู่ที่ยังไม่ถูกค่านิยมของเมืองใหญ่ครอบงำ เปล่งประกายความอยากรู้อยากเห็น

“เฮ้ ชายหนุ่มคนนั้นเป็นเจ้าสำนักของพวกคุณหรือ?”

เสิ่นเอ้อมองดูเด็กผู้หญิงข้างกายราวกับเป็นคนปัญญาอ่อน……คิดได้อย่างไร สมัยไหนแล้วยังมี“เจ้าสำนัก”อีกหรือ?

“ใช่แล้ว พวกคุณเป็นมาเฟียใช่ไหม? ฉันดูแล้วพวกคุณจะต้องเป็นมาเฟีย ”

จาวจาวพูดจอแจไม่หยุด แต่ก็ไม่กล้าพูดเสียงดัง กลัวว่าตัวเองเสียงดังจะไปรบกวนคู่รักใต้ชายคาได้

เสิ่นเอ้อรู้สึกรำคาญขึ้นมา“มาเฟียอะไร หน้าตาผมดูเหมือนเป็นมาเฟียไหม?”

แล้วก็ใช้สายตาที่มองคนปัญญาอ่อน มองไปทางเด็กผู้หญิงข้างกายอย่างโหดเหี้ยมแวบหนึ่ง

ทันใดนั้น เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

“เพียะ!”

ทันใดนั้นเสียงตบไปที่ใบหน้าดังกังวานไปทั่วป่าในสายลมกับ แสงแดด เสียงนก และกลิ่นหอมดอกไม้

เสิ่นเอ้อรีบเงยหน้ามองไปตามเสียง ทันใดนั้น หัวใจเขา แน่นขึ้นมาทันที

“Boss……”

เขามองไปทางชายหนุ่มที่ถูกตบจนหน้าหันที่ใต้ชายคา ชายหนุ่มก้มหน้าลง ฝ่ามือนี้ เห็นได้ชัดว่าตบได้ไม่เบา ผมตรงหน้าผากที่ยาวเล็กน้อย ได้ตกลงมาปกปิดถึงใต้ตา

หัวใจของเสิ่นเอ้อตุ้มๆต่อมๆ“Boss………”

เขาอยากจะเดินเข้าไป เพิ่งจะก้าวเท้าขึ้น ก็ถูกชายหนุ่มร่างกายสูงใหญ่ใต้ชายคาคนนั้นโบกไม้โบกมือ ให้เขาไม่ต้องเดินเข้าไป

เสิ่นเอ้อทำได้เพียงรออยู่ในห้องโถงใหญ่อย่างกังวล มองดูชายหญิงคู่นั้นอย่างประหม่า แล้วสวดอ้อนวอน…….ลูกพี่ เวลานี้คุณจะเบลอไม่ได้นะ ขออย่าได้ระเบิดอารมณ์โกรธออกมาเลย

ชายหนุ่มค่อยๆเงยหน้าขึ้น ไม่รู้ว่าหญิงสาวบนเก้าอี้นอน ลุกขึ้นมาอย่างลุกลี้ลุกลนตั้งแต่เมื่อไหร่ ในมือจับผ้าห่มผืนบางที่คลุมบนตัวเธอไว้แน่นๆ มองดูเขาด้วยความประหม่า เขาเห็นความกลัวในสายตาเธออย่างชัดเจน

เจ็บจี๊ดในใจเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง

เขาอยากจะเดินเข้าไปกอดเธอไว้ เพิ่งจะทำท่าเดินไปทางเธอ สีหน้าหญิงสาวเปลี่ยนไปทันที“อย่าเข้ามา!”

“เสี่ยวถง…….”

“ฉันบอกว่าอย่าเข้ามา !”เธอกรีดร้อง ในแววตาเต็มไปด้วยความกลัว เป็น “ความกลัว”ที่ออกมาจากในจากข้างในกระดูก

“อย่ากลัว”

อย่ากลัวหรือ?

เขาบอกเธอว่า“อย่ากลัวหรือ?”

ในใจเขาคิดอะไรอยู่ จึงมาขอร้องให้เธอ“ไม่ให้กลัว” ?

“เสี่ยวถง อย่ากลัว……”อย่ากลัวผม…….

เขาอยากจะพูด“อย่ากลัวผม”แต่จุกในลำคอมาก จนทำให้เขาไม่อาจจะเปิดปากพูดได้

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ต้องบอกกับผู้หญิงที่ตัวเองรักว่า “อย่ากลัวผมเลย”

หญิงสาวเพียงแต่ยืนอยู่ตรงนั้น มองดูเขาด้วยสีหน้าระมัดระวัง ราวกับเขาเป็นไอ้เลวทรามชั่วสุดๆ

ทำไม……..วินาทีแรกที่พบเจอเขา ความเจ็บปวดในใจที่หายไปนานแล้วก็เจ็บขึ้นมาอีกครั้ง?

มันบีบแน่นจนหายใจลำบาก

“เสิ่นซิวจิ่น! คุณกลับไปเถอะ!”เธอมองมาทางเขา แล้วพูดด้วยความสิ้นหวัง“ทำไม ยังต้องตามมาหาด้วย?”

“เสี่ยวถง ผมมา รับคุณกลับบ้าน กลับไปกับผม ”

แล้วเขาก็ก้าวเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

แต่เธอเหมือนนกที่ตระหนกตกใจ ก้าวถอยหลังไปอีก ถอยไปถึงขอบบันได กรีดร้องด้วยความหวาดกลัว แล้วร่างกายก็ล้มลงพื้นอย่างควบคุมไม่ได้

ทันใดนั้น สีหน้าชายหนุ่มเปลี่ยนไป เขาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว คว้าเธอไว้อย่างรวดเร็ว

“เป็นอะไรไหม? ไหนผมดูหน่อย ให้ผมดูว่าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ?”รู้สึกว่าเขามือไม้ซุ่มซ่ามเล็กน้อย กำลังจะตรวจเช็ดให้เธอ

เพียะ~!

เสียงตบของฝ่ามือดังกังวานขึ้นอีกครั้ง!

เขามองดูมือที่ถูกเธอปัดออก บนหลังมือ เป็นสีแดงจ้ำๆ

“ออกไป! คุณออกไป!”

ในใจของเธอสับสนวุ่นวาย…..“คุณออกไป! ”

“เสี่ยวถง คุณสงบสติอารมณ์บ้าง ใจเย็น…….”

ใจเย็นหรือ?

เขาบอกให้เธอสงบสติอารมณ์หรือ?

ใช่ ถูกต้อง!

เธอควรจะสงบสติอารมณ์ หายใจเข้าลึกๆ ต้องใจเย็นๆ แล้วจัดการเขาอย่างใจเย็น!

จะกลัวไม่ได้

“คุณเสิ่น”ผ่านไปเนิ่นนาน เธอถึงระงับความกลัวลึกๆในใจเธอได้ เธอพยายามจะทำให้ตัวเองเป็นปกติบ้าง

“หากจะมาเข้าพักโรงแรม ทางร้านเราไม่มีห้องว่างแล้ว”

“ผมไม่เข้าพัก ผมมารับคุณกลับบ้าน”

“ฉันไม่ไป”เธอพูด ทั้งๆที่กลัวคนตรงหน้านี้มาก แต่ก็บังคับตัวเองเงยหน้าขึ้นมองสบตาเขา

“คุณเสิ่น ฉันจะไม่ไปกับคุณ ที่นี่เป็นบ้านของฉัน ชาตินี้ฉันจะอยู่ที่นี่ตลอดไป ถ้าคุณเสิ่นไม่ได้จะมาเข้าพัก ก็เชิญคุณออกจากที่นี่ไป”

ไม่ว่าอย่างไร……….เธอก็ยังกลัวอยู่ สายตาที่จ้องมองเขาสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนจะหลบ

“เสี่ยวถง หยุดสร้างปัญหาได้แล้ว……ได้ไหม? เรากลับบ้านกัน มีคำหนึ่งที่อาจจะพูดช้าไป ผม…..”รักคุณ……

“สร้างปัญหาหรือ?

ใครเป็นคนสร้างปัญหากันแน่?

คุณเสิ่น ท่านเป็นท่านประธานใหญ่ที่มีเงินทองไหลเข้ามาทุกวัน ส่วนฉันเป็นชาวบ้านธรรมดาที่เปิดโฮมสเตย์อยู่ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ กลับบ้านหรือ?

บ้าน คืออะไร?”

ที่จริง เธอสามารถมีเหตุผลและใจเย็นกว่านี้ เธอรู้ว่า เธอควรจะมีเหตุผลและใจเย็นมากกว่านี้ และก็ต้องเฉยเมยกว่านี้ เหมือนกับตอนที่ทำกับลู่หมิงชู……..ไม่รัก ก็ไม่ให้โอกาส ใจดำจนถึงที่สุด

เธอ…..เป็นอะไรไปกันแน่!!!

ความคิดนับพันวนเวียนอยู่ในหัวสมอง มีความคิดมากมายอยากจะโพล่งออกมา แต่ก็จับไม่ได้ใจความ

แต่ถูกความคิดของตัวเองนั้นทิ่มแทงจนเจ็บปวด!

ตัวเองถูกตัวเองทิ่มแทงจนเจ็บ…….เหมือนกับชีวิตของเธอเป็นเรื่องตลก!

เดินไปไม่กี่ก้าว เธอก็หยิบอุปกรณ์ชุดชาบนโต๊ะชาขึ้นมา แล้วขว้างปาไปบนตัวของเขา“ไป! เสิ่นซิวจิ่น!คุณฟังฉันให้ดีนะ!

ฉันจะไม่ไปกับคุณ!

ที่นี่ก็คือบ้านของฉัน!

ฉันสาบานว่า ชาตินี้ฉันจะไม่ไปจากที่นี่แม้แต่ก้าวเดียว!

คุณไปให้พ้น !

ไปให้พ้นจากMemory House!

คนที่ไม่สมควรจะอยู่สถานที่นี้ที่สุดก็คือคุณ !”

ถ้วยชา กาน้ำ ถาด แต่ละอย่างขว้างไปใส่เขา

น้ำชาที่กำลังเดือดร้อนๆ ไหลออกมา!

เธอกะพริบตาแวบหนึ่ง เอาน้ำตาในดวงตากลับเข้าไป……..ถ้าหากชีวิตคนเรานี้ มีชีวิตอยู่เพียงเพราะใครบางคนเท่านั้น มันจะเป็นเรื่องที่ตลกที่สุด

นี่เป็นสิ่งที่เธอเกลียดตัวเองที่สุด

เพื่ออาลู่ เพื่อชดเชยที่ติดค้างความฝันของอาลู่ เธอมีชีวิตอยู่เพียงแค่ร่างกายที่ไร้วิญญาณ

เธอเป็นคนที่ควรจะตายไปแล้ว!

แต่ว่า สามปีแล้ว เขาปรากฏตัวมาทำไม แล้วทำให้หัวใจที่เฉื่อยชาแล้วของเธอ เจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้งหรือ?

หรือว่า ชีวิตของเธอเจี่ยนถง วิญญาณของเธอยังมีชีวิตอยู่ เพียงเพราะเสิ่นซิวจิ่นคนนี้หรือ?

ช่างน่าขำสิ้นดี!

“ไป !ไปให้พ้น !ไป! ”

ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้น แล้วแต่เธอจะขว้างปา มองดูเธอเงียบๆ แล้วก็เหลือบมองดูสิ่งของรกเต็มพื้น กล่าวอย่างเคร่งขรึม“ทุบถ้วยชาหมดแล้ว ทุบถาดแล้ว ทุบกาน้ำแล้ว……..ทุบพอใจแล้วหรือยัง?”

หญิงสาวใจขึ้น“ไม่พอ! ทุบคุณ ฉันทุบอย่างไรก็ไม่พอ! ” พูดจบอยากจะหยิบสิ่งของขึ้นทุบต่อ มองดูรอบกายที่ยุ่งเหยิงรกเต็มพื้น และในมือที่ว่างเปล่า อึ้งไป……ทันใดนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง“ฮือๆ…….”แม้แต่สวรรค์ก็ช่วยเขา ข้างมือว่างเปล่า อยากจะทุบก็ไม่สิ่งของให้ทุบ!

ชายหนุ่มยืนมองดูหญิงสาวที่นั่งร้องไห้อยู่ที่พื้น ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงเคร่งขรึมเอ่ยขึ้น“คุณอยากจะทุบอะไร ผมจะช่วยคุณเอามา”

มีสายตาคู่หนึ่งยืนมอง จากขุ่นเคือง จนถึงจนปัญญา จนถึงอิจฉา…..นั่นคือลู่หมิงชู

ที่ปากบันได เขายืนอยู่ตรงนั้น

วินาทีที่มองเห็นเสิ่นซิวจิ่น เขาวิ่งมาอย่างใจร้อน เขาอยากจะเข้าไปหยุดทั้งหมดนั่น แต่จากสายตาของหญิงสาวคนนั้น ที่เริ่มมีวิญญาณของคนมีชีวิตชีวาขึ้น เขาก้าวขาอย่างไรก็ออกจากที่ตรงนั้นไม่ได้

ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าเขาจะแสดงออกอย่างไร ความรักใคร่ก็ดี เป็นห่วงก็แล้ว กระทั่งการหอมจูบ หญิงสาวคนนั้นก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบสนอง

เขาเห็นกับตาแล้วว่าหญิงสาวที่หมดอาลัยตายอยาก ทันทีที่เสิ่นซิวจิ่นมาถึงก็ “ฟื้น”คืนมา

เขาไม่ยอม!

ไม่ยอมเป็นคนยืนดูอยู่ข้างๆ!

แต่ตอนที่หญิงสาวคนนั้นขว้างปาสิ่งของใส่คนแซ่เสิ่น อย่างบ้าคลั่งนั้น เขารู้สึกว่า เวลานี้หากตัวเองวิ่งเข้าไป มันจะเป็นการช่วยเขา แล้วจะเป็นการรบกวนการระบายอารมณ์ที่สะสมมาในสามปีนี้ของผู้หญิงคนนี้

ความตื่นเต้นของเธอ ดูเหมือนบ้าคลั่ง……..แต่นี่เป็นหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า“เธอยังมีชีวิตอยู่”ไม่ใช่หรือ

“ ยังอยากจะทุบอะไร ผมช่วยคุณเอามา ”

เสิ่นซิวจิ่นกล่าวขึ้น

บนใบหน้าที่หล่อเหลาของลู่หมิงชู บูดบึ้งขึ้นทันที พึมพำเสียงเย็นชา ก้าวเท้าเดินเข้าไป แล้วหยิบไม้กวาดที่อยู่ข้างๆขึ้นมา“ไม่รบกวนประธานเสิ่นมาเอา ผมผ่านมือพอดี ผมช่วยประธานเสิ่นเอง”ลู่หมิงชูเดินเข้าไป เสิ่นเอ้อจะเข้าไปขวาง

ผู้ช่วยข้างกายลู่หมิงชูที่ร่างสูงใหญ่เหมือนกันได้ขวางเสิ่นเอ้อไว้

เสิ่นซิวจิ่นมองมาตามเสียง แล้วทันใดนั้นก็หรี่ตาลง“ลู่หมิงชู”

“ประธานเสิ่นต้องการจะทำอะไร ?ข่มเหงให้เถ้าแก่เนี้ยโฮมสเตย์ที่ดีๆอยู่กลายเป็นเช่นนี้? ช่างเท่จริงๆ”

มือข้างหนึ่งเสียบไว้ในกระเป๋ากางเกง อีกข้างจับไม้กวาดด้ามนั้นขึ้นมา แล้วหยุดลงตรงหนึ่งเมตรก่อนจะถึงหน้าหญิงสาวที่นั่งสะอื้นไห้อยู่บนพื้น แล้วยื่นไม้กวาดในมือไปตรงหน้าเธอ“เถ้าแก่เนี้ย ให้คุณ ”

หญิงสาวจ้องมองไม้กวาดตรงหน้า รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจเล็กน้อย“ไม้กวาดหรือ?”เอาไม้กวาดมาให้เธอทำไม?

ในชั่วขณะนั้น หัวสมองของเธอคิดไม่ทัน

สายตาของเธอ จากไม้กวาด ย้ายไปบนหน้าของลู่หมิงชูที่อยู่ตรงหน้า ในตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ

ลู่หมิงชูกระตุกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย“เถ้าแก่เนี้ย ไม้กวาดให้คุณ”แล้วใช้ปากชี้ไปทางเสิ่นซิวจิ่นที่ยืนอยู่ข้างๆ“นั่น กวาดออกไปทางประตู”

หญิงสาวอ้าปากเล็กน้อย สีหน้าเข้าใจขึ้นมาทันที แล้วมองไปทางลู่หมิงชูอีกครั้ง คนคนนี้…….ขณะที่คิด ก็ค่อยๆลุกขึ้น ยื่นมือไปรับไม้กวาดจากมือของลู่หมิงชูมาจริงๆ

บนใบหน้าที่หล่อเหลาของเสิ่นซิวจิ่น หน้าดำเป็นก้นหม้อทันที

ไม้กวาด กวาดออกประตู……เห็นเขาเป็นขยะหรือ?

“ห้ามรับ!”เขาตะโกนด้วยสีหน้าเย็นชา

หญิงสาวเงยหน้ามองเขา ราวกับท้าทาย ยื่นมือไปจับไม้กวาดที่ลู่หมิงชูยื่นมาให้“คุณเสิ่น เชิญ”

เสี่ยวถงยื่นมือออกรับไม้กวาดไปจริงๆหรือ?

คราวนี้ เสิ่นซิวจิ่นอยู่ไม่นิ่งแล้ว

ในใจนั้นเกลียดลู่หมิงชูมาก “เสี่ยวถง คุณรู้จักกับคนแซ่ลู่ได้อย่างไร? เขาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”

สภาพแบบนี้ น้ำเสียงนี้ สามีที่จับชายชู้ได้คาเตียงนอนอย่างชัดๆ

หญิงสาวกำลังจะบอกว่าไม่รู้จัก เป็นเพียงลูกค้ามาเข้าพัก แต่ว่ามีเสียงหนึ่งชิงพูดขึ้นก่อนเธอ

“รู้จักกันได้อย่างไร ท่านประธานเสิ่นยุ่งอะไรด้วย?”ขณะที่กำลังพูด ก้าวเท้าใหญ่ไปข้างหน้า ยืนอยู่ข้างกายหญิงสาว กางแขนออก โอบไหล่หญิงสาวไว้“ผมกับเสี่ยวถงรู้จักกันเพราะโชคชะตา รู้จักกันที่เมืองโบราณต้าหลี่ สัญญารักที่ริมทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ ทำไม ท่านประธานเสิ่นอิจฉาหรือ?”

หญิงสาวถูกล็อกคอไว้ เพิ่งจะคิดขัดขืนออก ชายหนุ่มที่ล็อกเธออยู่ข้างๆก้มหน้าเล็กน้อย ใช้น้ำเสียงที่ได้ยินกันสองคน กล่าวข้างหูของเธอ“อย่าขยับ หากคุณไม่อยากถูกเขาตามกวนต่อไป ก็ร่วมมือแสดงละครเรื่องนี้ให้จบ” เป็นไปตามคาด หญิงสาวในอ้อมกอดไม่ขัดขืนแล้ว ในตาลู่หมิงชูแฝงไปด้วยรอยยิ้มนิดๆ แล้วยกคางขึ้น ท้าทายเสิ่นซิวจิ่น

เสิ่นซิวจิ่นที่อยู่ตรงหน้ากัดฟันแน่น พยายามใช้กำลังทั้งหมดที่มีระงับอารมณ์ที่จะพุ่งเข้าไปชกหน้าลู่หมิงชูไว้ ในสายตาคู่เรียวยาวนั้น เต็มไปด้วยความรักและความเจ็บปวดที่ยากจะอธิบาย

“จริงหรือ?”

ทั้งๆที่เขากำมือแน่นจนเสียงข้อกระดูกดังลั่นแล้ว แต่มองดูหญิงสาวตรงหน้าที่ถูกชายหนุ่มอีกคนกอดอยู่อ้อมกอดอย่างจริงจังแล้วถามว่า

“เสี่ยวถง ที่เขาพูด จริงหรือ ?”

“จะจริงหรือไม่จริง มันสำคัญด้วยหรือ?” หญิงสาวพูดประโยคหนึ่ง แล้วก็เบือนหน้าหนีไปข้างๆ……..เธอไม่อยากจะเห็นดวงตาคู่นั้นอีกแล้ว ในสายตาลุ่มลึกนั้น มีความเสน่หาและความเจ็บปวดซ่อนอยู่…..จะหลอกใคร?

ความเสน่หาและความเจ็บปวดของเสิ่นซิวจิ่น ไม่เคยมีให้เธอ !

ทันใดนั้น เสิ่นซิวจิ่นก็หัวเราะขึ้นมา แต่ในตานั้นเต็มไปด้วยความเยือกเย็น“ลู่หมิงชู! แกรนหาที่ตาย!”

สายตาลู่หมิงชู ขรึมลง“ผมหาที่ตายหรือ ?ทำไมผมจะต้อง ‘หาที่ตาย ’ ? เพราะผมยุ่งกับสิ่งของที่คุณอยากได้หรือ ?ฮ่าๆ…….คุณนี่จริงๆเลย ยังไม่เปลี่ยนแปลงจริงๆ ผ่านไปกี่ปีแล้ว ยังดื้อรั้น ยังคงหวาดระแวง ยังคงเห็นแก่ตัว !”

ทุกคำพูดของเขาเต็มไปด้วยการทิ่มแทง ทั้งๆที่ มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับคนตรงหน้า ทั้งๆที่ ดวงตาละม้ายคล้ายกัน ตาแคบรูปยาวแต่เย็นชา คิ้วหนาดกดำราวค่ำคืน ทั้งๆที่……เหมือนจะเป็นโครงหน้าที่เคยรู้จัก !

แต่ ลู่หมิงชูเห็นคนตรงหน้าเป็นจอมวายร้าย หากคำพูดสามารถทำร้ายคนได้ แทบจะรอไม่ไหวที่จะใช้มีดพันหมื่นเล่มลงโทษอย่างโหดร้ายทารุณกับเสิ่นซิวจิ่นที่อยู่ตรงหน้า !

แต่ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้ถูกทำให้หงุดหงิด เขามองด้วยสายตาเรียบๆ“ดื้อรั้น ใช่ หวาดระแวง ใช่ เห็นแก่ตัว ใช่ ”

ริมฝีปากบอบบางกดลงอย่างเย่อหยิ่ง ถามกลับไปอย่างเหยียดหยามว่า“แต่ว่า เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย! ”

พูดจบ จอมเผด็จการ เช่นเขาคนนี้ !

ไม่ยอมแพ้ ไม่ก้มหัว ตั้งแต่ไหนแต่ไร และก็เป็นจักรพรรดิมาตลอด ดูหมิ่นประชาชน

ถึงจะเป็นเช่นนี้ คนที่อยู่ตรงข้าม กับเขา มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันมาก!

มือลู่หมิงชูที่ห้อยอยู่ข้างกาย กำแน่นๆ!

ดวงตาราวจะพ่นไฟออกมา เขาโกรธ เขาหงุดหงิด แล้วเขากล่าวว่า

“คุณทำกับเธอแบบนั้น ทำต่อผู้หญิงคนนี้ ตอนที่เธอรักคุณ คุณไม่หวงแหน คุณเห็นเป็นไม้กวาด คุณไม่ถามให้ชัดเจน คุณส่งเธอเข้าไปในคุก!

คุณไม่รู้จริงๆหรือ?

คุณไม่รู้จริงว่า อยู่ในสถานที่แบบนั้น จะทำให้มนุษยธรรมของคนถูกทำลายดับสูญไป?

เธอออกจากคุก เธอไม่อยากจะพบคุณ เธอลดศักดิ์ศรีลง ไปทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดที่เมื่อก่อนตอนที่เธอเป็นคุณหนูใหญ่ไม่เคยทำเลย!

คุณไม่เข้าใจจริงๆใช่ไหมว่า เธอเพียงแค่ต้องการขีดเส้นให้ชัดเจนกับที่ผ่านมา กับเมื่อก่อน กับเจี่ยนถงคนงี่เง่าที่รักคุณคนนั้น?

คุณไม่สนใจความยินยอมของเธอ คุณทำให้เธออับอาย ต่อหน้าเธอในฐานะพนักงานทำความสะอาด ที่ยังมีศักดิ์ศรีเล็กน้อยที่ยึดมั่นไว้…..ไม่ ! คุณไม่ยอม คุณเป็นใคร ?

คุณคือเสิ่นซิวจิ่นคนพูดหนึ่งก็ต้องเป็นหนึ่ง ห้ามเป็นสอง!

คุณคือหัวหน้าครอบครัวแห่งบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ที่สามารถทำให้เส้นทางชีวิตคนคนหนึ่งเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงด้วยการตัดสินใจและคำพูดเดียว!

ไม่มีใครเคยขัดคุณได้ แล้วเธอจะทำได้อย่างไร?

เธอเป็นนักโทษปฏิรูปแรงงานคนหนึ่ง หญิงสาวที่คุณไม่เคยเห็นอยู่ในสายตามาก่อน หญิงสาวคนหนึ่งที่ถูกลงโทษประหารชีวิตไปนานแล้วในสายตาคุณ!

เธอ……..เจี่ยนถง!

จะต่อต้านคุณได้อย่างไร?!

เหอะ~!

คุณไม่ยอมที่เธอไม่ยอมก้มหัวให้คุณอย่างเด็ดขาด

คุณพยายามใช้ทุกวิถีทาง ก็จะบีบคั้นให้เธอเชื่อฟังอย่างสิ้นเชิง

แล้วในท้ายที่สุดล่ะ?

ในที่สุดคุณสำเร็จในการทำลายล้างศักดิ์ศรีเพียงเล็กน้อยที่เธอมีอยู่

สวรรค์เมตตา!

ท่านคนแก่ก็ทนดูไม่ได้แล้ว!

ในที่สุด เธอก็หนีออกมาได้แล้ว”

น้ำเสียงลู่หมิงชูยิ่งพูดยิ่งเร็วขึ้น ความเย้ยหยันในตาของเขา ก็อยู่ยิ่งเยาะเย้ยว่า“เสิ่นซิวจิ่น ยินดีกับคุณด้วย คุณได้ขับไล่หญิงสาวที่เคยรักคุณที่สุดในโลกใบนี้สำเร็จแล้ว! ยินดีด้วย ~ ไว้ว่างๆ ผมจะส่งของขวัญชิ้นใหญ่ไปให้คุณอย่างแน่นอน ”

การเยาะเย้ยในคำพูดนั้น อยากจะซ่อนก็ซ่อนไม่มิด

ตอนแรกซีเฉินไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะเข้ามาแทรกแซง แอบฟังอยู่ตรงหัวมุมมืดอย่างสงบอยู่ตลอดเวลา พิงเก้าอี้ตรงมุมกำแพง มองดูเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างเงียบๆ……….นี่เป็นเรื่องของเสิ่นซิวจิ่น สิ่งที่เขาสามารถจะช่วยได้ ”คือช่วยเสิ่นซิวจิ่นหาคนที่อยู่ในใจของเขาให้เจอ อย่างอื่น เป็นเรื่องที่ ถ้าจะให้ดีที่สุดเขาไม่ควรจะเข้าไปยุ่ง

แต่ เวลานี้ ซีเฉินจากสภาวะผ่อนคลาย ทันใดนั้น กล้ามเนื้อทั่วร่างกายตึงแน่นขึ้นมาทันที ในดวงตาคู่งามที่เอ้อระเหย เต็มไปด้วยความเย็นชาที่ยากจะมี เขาก้าวเท้าพุ่งขึ้นไป ด้วยความเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว จาวจาวเพิ่งจะเห็นเงาคนคนหนึ่งพุ่งเข้าไป กะพริบตาอีกครั้ง ร่างนั้นได้ยืนอยู่ข้างหลังคุณเสิ่นแล้ว

ซีเฉินพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วราวธนู แล้วเอื้อมมือไปอย่างไร้ร่องรอยประคองเพื่อนรักไว้

ทันทีที่เงยหน้าขึ้น สายตาที่แหลมคม จ้องไปทางลู่หมิงชู

“กล่าวกันว่าประธานลู่ชอบใช้วิธีการสกปรก วันนี้ ในที่สุดกระผมได้รับการประสบพบเจอแล้ว”

จู่โจมทางใจโดยไม่ได้ตั้งตัว ดาบแหลมคมแทงทะลุหัวใจ!

ลู่หมิงชู! คุณไม่ได้กระจอกจริงๆ!

หากเปลี่ยนเป็นวันปกติธรรมดา นิสัยอาซิวที่ดื้อรั้น จะไม่พ่ายแพ้ให้กับคำพูดไม่กี่คำของลู่หมิงชูที่จงใจจะยั่วยุเขาอย่างแน่นอน

แต่….ซีเฉินเหลือบมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง มีความกังวลแวบเข้ามาผ่านสายตาแล้วหายไป……อาซิว ไม่ได้พักผ่อนดีๆมาเป็นเวลานานแล้ว ในสามปีมานี้ กลายเป็นคนที่บ้างาน แทบจะทำงานของหนี่งสัปดาห์ให้เสร็จสิ้นภายในสามวัน ถ้าเป็นบางครั้งก็แล้วไป แต่ในสามปีมานี้อาซิว เป็นแบบนี้ตลอดเวลา…..เพียงเพื่อ จะหาเวลาสี่วันในหนึ่งสัปดาห์ออกมา เพื่อไปในสถานที่ต่างๆ เพื่อไปค้นหาเงาของคนที่ไร้ข่าวสาร

หลังจากที่มาถึงเมืองโบราณต้าหลี่ ยิ่งไม่ได้นอนติดต่อกันนานหลายวันแล้ว

วันนี้ ในที่สุดก็ประสบพบเจอคนที่ตามหาและคิดถึงอยู่สามปีมานี้ แต่หญิงสาวที่ตัวเองคิดถึงอยู่ตลอดสามปีมานี้ ปรากฏว่าอยู่กับชายอื่น และส่งสายตากันไปมาต่อหน้าตัวเอง รักกันมาก……แล้วคนนี้ก็ยังเป็นลู่หมิงชู!

แม้จะเป็นคนที่แข็งแกร่งเช่นเหล็ก ก็ทนไม่ไหว!

ซีเฉินหรี่ตามองไปทางลู่หมิงชูที่อยู่ตรงหน้า……ชายหนุ่มคนนี้ มีความกล้าหาญและมีเล่ห์เหลี่ยม จิตใจซับซ้อนมาก แต่อย่าพูดเลย นี่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เขาเดาได้มานานแล้วหรือ!

ซีเฉินประคองเสิ่นซิวจิ่นไว้ ชายหนุ่มข้างหน้าหันหัวมา มองดูเขา แล้วส่ายหัวให้เขา

แต่ริมฝีปากที่เสียเลือดนั้น ไม่อาจโน้มน้าวให้ซีเฉินทำตามได้………ชายหนุ่มคนนี้เป็นเหมือนที่ตัวเองพูด“ไม่เป็นไร”

ก้มหน้ามองดูเท้าของเสิ่นซิวจิ่นแวบหนึ่ง เท้าทั้งสองข้าง แยกออกหน้าหลังครึ่งก้าว……หากไม่ใช่เพราะเมื่อกี้ตัวเองประคองไว้ได้ทัน เวลานี้ อาซิวยังจะยืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างองอาจไหม?

ถึงแม้ในใจจะไม่เชื่อ แต่ก็ยังคลายมือที่ประคองไหล่ของคนข้างหน้าออก เพียงแต่ยืนอยู่ข้างหลังเสิ่นซิวจิ่น สายตาที่เย็นชา จ้องเขม็งไปยังลู่หมิงชูที่อยู่ตรงข้าม

“คุณชายซีคิดเรื่องแผนการเล่ห์เหลี่ยมอะไรมากไปแล้ว ผมลู่หมิงชูเล่นเรื่องเหล่านั้นไม่เป็น

ในใจเต็มไปด้วยความชั่ว ดูใครก็เป็นคนชั่วไปหมด”

สีหน้าซีเฉินเปลี่ยนไปทันที เห็นได้ชัดว่าหลอกด่ากัน กำลังคิดจะตอบโต้อย่างเย้ยหยัน เสียงหนึ่งชิงพูดขึ้นก่อนว่า

“ถ้าพูดเช่นนี้ คุณคิดว่าตัวเองเป็นคนดีหรือ ?”เสิ่นซิวจิ่นค่อยๆมองไป แม้ว่าเขาจะไม่เผยให้เห็นถึงความเยาะเย้ย แต่ในคำพูดนั้น ซ่อนไปด้วยความเสียดสี“คนดี จะทำเรื่องลับๆล่อๆพวกนี้ออกมาหรือ?”

เขาพูดว่า“ลู่หมิงชู หากคุณเป็นคนดี มันก็เป็นการแสร้งดี”

ทันใดนั้น สายตาอาฆาตแค้นของลู่หมิงชู จ้องเขม็งไปทางเสิ่นซิวจิ่น

“เสิ่นซิวจิ่น ผ่านไปหลายปี คุณยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง!

คุณรู้ไหม ว่าทำไมคุณถึงได้กลายมาเป็นเช่นนี้ในวันนี้?”

ลู่หมิงชูยิ้มเยาะเย้ย“เพราะว่าคุณเห็นแก่ตัว ก็เหมือนกับผู้หญิงคนนั้นในตอนนั้น!

ผ่านไปหลายปีแล้ว ผมคิดว่าคุณจะเปลี่ยน ดูไปแล้วผมคาดหวังคุณสูงไป

อย่างไรก็ตาม คุณเกิดมาจากผู้หญิงที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวคนนั้น และในร่างกายของคุณก็มีเลือดที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวของผู้หญิงคนนั้นด้วย! ”

เมื่อคำพูดนี้ออกมา สีหน้าซีเฉินเปลี่ยนไปก่อน!

แล้วตะโกนว่า“ลู่หมิงชู แกหุบปาก!”

ซีเฉินยังไม่ทันได้พูดประโยคนี้จบ ก็มีลมพัดผ่านไปต่อหน้าอย่างรวดเร็ว!

ในใจของเขากระตุกขึ้นมาทันที ยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันได้คว้าคนนั้นไว้!

“ลู่หมิงชู! แกรนหาที่ตาย ! ฉันจะทำให้แกสมหวังเอง! ” น้ำเสียงเยือกเย็นดังขึ้น!

หญิงสาวถูกลู่หมิงชูผลักออกไปข้างๆ มองดูเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ด้วยความงุนงง ไมรู้ว่า จู่ๆ ชายหนุ่มสองคนนั้นถึงต่อสู้กันชุลมุนขึ้นมา

หมัดต่อหมัด ไม่มีใครยอมแพ้ใคร

ซีเฉินหน้าตาเคร่งเครียด กำลังจะเข้าไปขวาง แต่ถูกเสิ่นซิวจิ่นผลักออกไปข้างๆ

ถ้าจะพูดถึงเรื่องการต่อสู้ ซีเฉินไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเสิ่นซิวจิ่นจริงๆ มันเกินความคาดหมายของซีเฉินที่ลู่หมิงชูสามารถเผชิญการต่อสู้ของเสิ่นซิวจิ่นได้อย่างสูสี

เห็นได้ว่า ลู่หมิงชูก็ได้ขยันฝึกฝนอย่างหนัก ไม่เคยเสียความพยายามใดๆเลย

แต่ มีบางอย่าง ที่ลู่หมิงชูไม่เข้าใจ นั่นก็คือเสิ่นซิวจิ่นเป็นผู้สืบทอดตระกูลเสิ่น การศึกษาและการฝึกฝนที่ได้รับมาตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปสามารถรับได้

สำหรับลู่หมิงชู ได้ทำความผิดพลาดใหญ่สุดก็คือ เอ่ยถึงแม่ของเสิ่นซิวจิ่น

แม้ว่าสมาธิของเสิ่นซิวจิ่นในเวลานี้จะแย่มาก แต่ดูเหมือนว่าเขาได้เผาเทพแห่งสมาธิของตัวเอง เพื่อไปต่อสู้กับลู่หมิงชู

ลู่หมิงชูจะต้องเป็นฝ่ายแพ้ นั่นแทบจะเป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมาย

“ปัง”หนึ่งเสียง ลู่หมิงชูไม่ทันระวัง ล้มลงบนพื้นอย่างทุลักทุเล

เสิ่นซิวจิ่นเหมือนกับหมาป่า กำหมัดดุเดือดขึ้นมา เตรียมจะชกไปอีกหนึ่งหมัด เพื่อจะเอาให้ตาย

มีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากแนวทแยง ขวางหน้าลู่หมิงชูไว้“ห้ามคุณทำร้ายเขา!”

ทุกคนตกใจพร้อมกัน

หมัดที่ยกขึ้นของเสิ่นซิวจิ่น ลอยค้างอยู่กลางอากาศ มองดูอย่างไม่กล้าเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะต่อต้านเขา หมัดที่ยกสูง กำแน่นและสั่นสะท้าน“คุณ จริงหรือ? ”เกือบจะใช้เรี่ยวแรงที่มีทั้งหมด ถึงจะสามารถถามประโยคนี้ออกมาได้

ในน้ำเสียงที่มีเสน่ห์มาตลอด มีเสียงแหบแห้งของการจุกในลำคอเล็กน้อย

ลู่หมิงชูตกตะลึงก่อน จากนั้นมองดูหญิงสาวที่ขวางอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว จู่ๆ เขาก็ยิ้ม แล้วเอื้อมมือเช็ดมุมปากที่ถูกตีจนเลือดออก แล้วมองดูเสิ่นซิวจิ่นอย่างเยาะเย้ย

คุณดู คุณคิดว่าคุณชนะแล้ว คุณชนะจริงๆหรือ?

ในที่สุดแล้ว คุณกับผม ใครจึงจะเป็นผู้ชนะตัวจริง ใครคือผู้แพ้ ?

การเยาะเย้ยนั้น ย่อมอยู่ในสายตาของเสิ่นซิวจิ่น อยู่แล้ว และย่อมดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มเยาะเย้ย

เขาดึงสายตากลับมา แล้วมองดูหญิงสาวตรงหน้านิ่งๆ“คุณจะทำร้ายผม เพราะเขาจริงๆหรือ?”

คำพูดที่ออกจากปากของผู้ชายคนนี้ ไม่รู้ว่าทำไม ช่างรู้สึกเศร้าเหลือเกิน

ซีเฉินอยากจะพูดแทรก“เจี่ยนถง คุณไม่รู้ว่าแม่ของอาซิวเขา…….”

“อาเฉิน”เสิ่นซิวจิ่นไม่ให้ซีเฉินพูดจบ ตะโกนห้าม ส่ายหัวใส่ซีเฉิน ในสายตาซีเฉินมีความไม่เต็มใจ จ้องมองลู่หมิงชูด้วยสายตาดุเดือด เอามือใส่กระเป๋ากางเกงอย่างไม่เต็มใจ แล้วมองไปทางริมทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ที่อยู่ไม่ไกล กล่าวอย่างอารมณ์เสียเล็กน้อย“แล้วแต่พวกคุณก็แล้วกัน ผมไม่ยุ่งเรื่องของพวกคุณด้วยแล้ว! ”

“เสี่ยวถง”สายตาเสิ่นซิวจิ่นจ้องไปที่หญิงสาวอีกครั้ง“คุณจะปกป้องเขาจริงหรือ?”

หญิงสาวก้มหน้าลงเล็กน้อย แล้วก็เงยหน้าขึ้นอีก “เขาเป็นลูกค้าของ ‘Memory House’ ฉันจะให้คุณทำร้ายเขาไม่ได้”

เมื่อเธอพูดจบ หมัดที่ยกสูงของเสิ่นซิวจิ่น กำแน่นแล้วแน่นอีก แทบจะกัดเหงือกตัวเองจนเลือดออกมา จึงลดหมัดลงอย่างดุเดือด

เสี่ยวถงเพื่อลู่หมิงชู ยอมขวางหมัดเพื่อลู่หมิงชู!……….ในใจเสิ่นซิวจิ่นหงุดหงิดจนใกล้จะเป็นบ้าแล้ว!

ทันใดนั้น!

“โอเค !คุณจะปกป้องเขา วันนี้ผมก็จะปล่อยเขาไป คุณไปกับผม!”เขาเอื้อมมือไปคว้าแขนของหญิงสาวไว้“วันนี้ คุณจะต้องไปกับผม!”

“ปล่อย!คุณเสิ่น คุณเป็นบ้าไปแล้ว !คุณคิดว่าคุณเป็นใคร ฉันถึงต้องไปกับคุณ? ถ้าคุณยังเป็นแบบนี้ ฉันจะแจ้งตำรวจแล้วนะ! ”

“โอเค คุณแจ้งเลย ลองแจ้งตำรวจดูว่า ตำรวจเขาจะสนใจเรื่องระหว่างสามีภรรยาหรือไม่”เขาก็ถูกทำให้หงุดหงิดแล้ว มองดูหญิงสาวตรงหน้านิ่งๆ ในเมื่อระหว่างพวกเขา กลับไปเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว เขาก็จะไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ก็จะเอาเธอมามัดไว้ข้างกาย เขา……ขอเพียงได้เห็นหน้าเธอทุกวันก็พอแล้ว

เสิ่นซิวจิ่นที่ในใจคิดวกไปวนมา ไม่เคยคิดว่า ตอนที่ในใจเขากำลังคิดแบบนี้ เหลือเพียงการร้องขอความรักที่ต่ำต้อยเช่นนั้น

ลู่หมิงชูลุกขึ้นอย่างกะทันหัน แล้วรีบคว้าฝ่ามือใหญ่ที่รั้งแขนของหญิงสาวไว้แน่นๆ และผลักชายหนุ่มอีกฝ่ายอย่างแรง “ปล่อยเธอ คุณนี่เห็นแก่ตัวสิ้นดีจริงๆ !คุณไม่ได้ยินหรือ! เสี่ยวถงเธอไม่อยากไปกับคุณ ไม่อยากใช้ชีวิตกับคุณ ไม่อยากจะเจอคุณอีก !ตื้อหน้าด้านๆเป็นสไตล์ของท่านประธานเสิ่นหรือ ? หา? ”

เสิ่นซิวจิ่นถูกผลักออกอย่างไม่ทันตั้งตัว ใครก็ไม่เคยคาดคิดว่า ชายหนุ่มที่ดุร้ายราวหมาป่าเมื่อสักครู่นี้ เพียงแค่การผลักนี้ ปรากฏว่า ล้มลงพื้นไปอย่างอ่อนแอ

อย่างไม่คาดคิด!

ซีเฉินสีหน้าคร่ำเครียด ก้าวเท้าพุ่งเข้าไป ประคองเสิ่นซิวจิ่นขึ้นมาจากพื้น “อาซิว แกไม่เป็นไรใช่ไหม ?”เรียกอยู่หลายคำ เห็นว่าไม่ปกติ สีหน้าซีเฉินเปลี่ยนไปทันที“อาซิว ?อาซิว? อาซิว??? ”

เพียงรู้สึกเปียกที่มือ ในใจซีเฉินมีความรู้สึกไม่ค่อยดี ค่อยๆดึงฝ่ามือที่รองท้ายทอยเสิ่นซิวจิ่น ออกมา เลือดสีแดงสดเต็มมือ เลือดเปียกโชกไหลลงมา “นี่……..คืออะไร?”

เขามองดูเลือดสดๆในมืออย่างเฉื่อยชาเล็กน้อย หัวสมอง เบลอไปชั่วขณะ

ลู่หมิงชูก็สังเกตเห็นถึงความไม่ค่อยปกติ กำลังจะเดินเข้าไป ลมพัดผ่านมา เสิ่นเอ้อวิ่งออกมาจากห้องโถง“Boss?Boss?”

และยังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ถูกความโกลาหลทั้งหมดนี้ ทำให้หัวสมองเบลอไปหมด วินาทีที่เสิ่นซิวจิ่นล้มลง เธอคิดไม่ถึงจริงๆ และตอนที่เห็นเลือดเต็มมือซีเฉิน ม่านตาเธอมีประกายความไม่เข้าใจ มีประกายความเฉื่อยชา ประกายความไม่เชื่อ…….ผู้ชายคนนี้ จะล้มลงเพราะถูกผลักได้อย่างไร ?

เธอเบิกตากว้าง มองดูความโกลาหลตรงหน้า ในหัวสมองยังคงลังเลไม่ยอมเชื่อเขา“คุณเสิ่น อย่าเสแสร้งเลย ผลักแค่นี้ก็จะล้มลงไปได้หรือ ? อย่าล้อเล่นเลย ” เธอไม่เชื่อเขา คนที่เมื่อกี้ดุร้ายราวหมาป่า แค่แรงผลักหยิบตาจะล้มลงได้อย่างไร ?

ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของเธอ เธอมองไปที่ชายหนุ่มที่ถูกซีเฉินกับเสิ่นเอ้อล้อมไว้ ในสายตามีความถูกดูและเกลียดชัง

ซีเฉินได้ยินคำพูดของเธอ หันไปมองดูเธออย่างไม่อยากจะเชื่อ“อาซิวได้รับบาดเจ็บแล้ว คุณยังพูดอย่างสบายใจอยู่ตรงนั้นได้อีก! ”

เขาไม่อยากจะเชื่อว่า คำพูดที่ไร้หัวใจแบบนั้น จะออกมาจากปากของเจี่ยนถง และอีกฝ่าย ยังเป็นอาซิวด้วย!

เมื่อหญิงสาวฟังคำพูดซีเฉินแล้ว ก็ไม่ได้สนใจ เพียงแต่ว่าในสายตาหมดความอดทนมากขึ้น เธอจ้องมองไปที่ชายหนุ่มตรงพี้น แล้วกล่าวเรียบๆว่า “คราวนี้คุณเสิ่นได้เปลี่ยนเล่ห์กลใหม่อีกแล้วหรือ?ฮ่าฮ่า ก็ไม่รู้ว่า คุณเสิ่นเริ่มฝึกนิสัยอันธพาลแบบนี้ตอนไหนกัน แต่ว่า ฉันไม่เชื่ออยู่แล้ว ดังนั้น…….ทำไมจะต้องทำแบบนั้นด้วย? ทำไมจะต้องพยายามแกล้งตายด้วย?”

ซีเฉินหายใจแรงๆ จ้องมองด้วยสายตาขุ่นเคือง“เจี่ยนถง!ที่คุณพูดมานี้เป็นคำที่คนเขาพูดกันหรือ!คุณว่านี่เป็นการเสแสร้งหรือ?”

ความเป็นทาสของเขาดุเดือด ชี้ไปที่เลือดสีแดงสด แล้วกล่าวอย่างขุ่นเคืองกับหญิงสาวตรงหน้า

“ลำบากคุณเสิ่นแล้วที่แสดงได้สมจริงขนาดนี้ ไม่ลังเลที่จะเอาหัวโขกไปที่พื้นซีเมนต์จริงๆ จนเลือดไหลออกมา”คำพูดของเธอยิ่งพูดยิ่งใจดำ จนทำให้คนเกลียด

ซีเฉินกัดฟันแน่น ยกมือขึ้นอย่างแรงๆ แล้วชี้ไปที่หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า โกรธจนสั่นไปทั้งตัว “คุณตาบอดหรือไง คุณว่าเสแสร้ง คุณลองเสแสร้งให้ผมดู อาซิวหมดสติไปจริงๆ คุณรีบไปเอากล่องปฐมพยาบาลมาเลย ผมจะห้ามเลือดให้เขาด่วนสุด จากนั้นรีบส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล”

แต่เมื่อเห็นคนไม่ขยับ ซีเฉินลุกขึ้นมาทันที ก้าวเท้าใหญ่ไปทางจาวจาว ตะโกนด้วยสีหน้าโกรธเคือง “กล่องปฐมพยาบาล !”

จาวจาวตกใจกับสภาพซีเฉินแบบนี้ หลังจากผ่านไปสามวินาที น้ำตาไหลออกมาจากตาพรากๆ “ฉัน ฉันจะไปเอา”

เจี่ยนถงหน้าบูดบึ้ง ตอนที่ซีเฉินหันหน้ามา ใบหน้าที่ไร้การแต่งแต้มของเธอบึ้งตึง “เดี๋ยวห้ามเลือดแล้ว เชิญคุณซีพาเพื่อนของคุณคนนั้นไปจากMemory House ที่นี่ ไม่ต้อนรับพวกคุณ”

“นี่คุณ!”ซีเฉินมองดูหญิงสาวตรงหน้าเหมือนคนแปลกหน้า“คุณเปลี่ยนไป จนผมไม่รู้จักอีกแล้ว เจี่ยนถง ”

อาจจะเป็นเพราะคำนี้ กระตุ้นหญิงสาวตรงข้าม เดิมทีแม้ใบหน้าบูดบึ้ง แต่ยังคงความสงบนิ่ง จู่ๆม่านตาราวน้ำนิ่งนั้นเป็นประกายแหลมคม

“คุณจะให้ฉันทำอย่างไร?

คุณจะให้ฉันทำอย่างไร!

ฉันยังจะทำอะไรได้?

เล่ห์เหลี่ยมของคุณเสิ่น อย่างแล้วอย่างเล่า ฉันกลัวแล้ว หนีแล้ว หลบแล้ว!

แต่เขา!”

ทันใดนั้นเธอยกมือขึ้น ชี้ไปที่ชายหนุ่มที่เสิ่นเอ้อดูแลอยู่ เมื่อสายตาสัมผัสกับเลือดสดสีแดง ชั่วขณะนั้น เธอรู้สึกเจ็บที่หัวใจ เจ็บกว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บอีก

กัดฟันแน่น…….เจี่ยนถงนะเจี่ยนถง แกยังอยากจะติดกับดักอีกหรือ? เล่ห์เหลี่ยมของเขายังเผชิญไม่พออีกหรือ?

แกยังจะกลับไปซ้ำรอยเดิมอีกหรือ!

เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ถึงระงับความเจ็บของความเก็บกดในใจลง บอกตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า คนคนนั้น แกไม่รักแล้ว

เมื่อค่อยๆหยุดปลายนิ้วที่สั่นเทาได้แล้ว ก็เอาความโหดร้ายที่สุดในชีวิตออกมา “แต่ว่าเขา! ยังไม่ยอมปล่อยฉันไป!

วิธีการหลายปีก่อนนั้น ใช้กับฉันไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะแสร้งตาย แสร้งอ่อนแอ แสร้งหมดสติ แสร้งบาดเจ็บหรือ?

คุณอย่าบอกฉันนะว่า คุณไม่รู้ความสุดยอดของคุณเสิ่น โตขนาดนี้ ฉันยังไม่เคยเห็นใครสามารถแค่ผลัก จนทำให้คุณเสิ่นล้มลง หัวสมองโขกพื้นได้ ”

เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เชื่อ แล้วเหลือบมองอย่างเรียบๆ

“นี่น่ากลัวว่า จะเป็นเล่ห์เหลี่ยมใหม่ของประธานเสิ่นคนนี้อีกล่ะซิ?

ซีเฉิน คุณเป็นฉัน……คุณจะทำอย่างไร!

ชีวิตอยู่ในความหวาดกลัวที่ไม่สิ้นสุดกับภายใต้ความเกลียดชังของเขาหรือ!

ฉันไม่เอาแล้ว!

ฉันกลัวแล้ว!

ฉันเสียใจไม่ได้หรือ?

ไม่ได้หรือ!

หรือว่าฉันไม่มีสิทธิ์เสียใจแล้วหรือ!”

จาวจาวถือกระเป๋าปฐมพยาบาลวิ่งมาอย่างเร่งรีบ แต่ฝีเท้าหยุดลงตรงบันไดอย่างกะทันหัน

เธอหยุดชะงักไป กะพริบตาปริบๆ ในสายตาคู่โตไร้เดียงสานั้น เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว มองดูเถ้าแก่เนี้ยของเธอ สายตานั้นช่างแปลกมาก

หลังจากนั้น หลายปีต่อมา จาวจาวจึงเข้าใจว่า ที่จริง ในสามปีนั้น เถ้าแก่เนี้ยที่สงบนิ่งแต่ในใจไม่สงบ ทุกวันจะเอาเก้าอี้นอนที่ทำจากต้นไผ่ตัวหนึ่งวางตรงระเบียงใต้ชายคา นอนอาบแดดทั้งวัน เถ้าแก่เนี้ยที่ฟังเสียงลมดูทะเลชมดอกไม้ ในใจเก็บซ่อนสิ่งที่สามารถจะทำให้ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่เกิดเป็นพายุ เพียงแต่ คนที่สามารถจุดระเบิดพายุนี้ได้ ปรากฏตัวในวันที่อากาศแจ่มใสสามปีต่อจากนั้น ดังนั้น…….พายุ จึงได้ระเบิดในวันนั้น

เพราะว่าเป็นคนที่เฉพาะเจาะจง ดังนั้น พายุได้ระเบิดแล้ว หน้ากากบนใบหน้าที่สงบของเถ้าแก่เนี้ยที่สงบนิ่งได้แตกหักออกแล้ว

และเวลานี้ จาวจาวมองดูเถ้าแก่เนี้ยที่ดูแปลกไปมาก แล้วกะพริบตาปริบๆ หัวใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ……..“เถ้าแก่เนี้ย กล่อง กล่องปฐมพยาบาล”

ซีเฉินเหลือบมองเจี่ยนถงที่อยู่ตรงหน้าแวบหนึ่ง ไม่ได้ตอบเธอก่อน แต่เอื้อมมือหยิบกล่องปฐมพยาบาลจากมือจาวจาวที่อยู่ข้างๆมา

เสิ่นเอ้อถอดเสื้อตัวเองออกมาห้ามเลือด แต่ก็สู้ผ้าก๊อซทางการแพทย์ไม่ได้ ซีเฉินห้ามเลือดให้เสิ่นซิวจิ่นอย่างคล่องมือ เห็นได้ชัดว่า เมื่อก่อนหลังจากได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ เรื่องแบบนี้ตัวเองทำมาไม่น้อย

ฝีมือระดับมืออาชีพและประณีต ห้ามเลือดให้เสิ่นซิวจิ่นชั่วคราวแล้ว“จับมือ ” กระซิบเสียงเบากับเสิ่นเอ้อที่อยู่ข้างๆ

ทั้งสอง คนละข้าง หิ้วแขนของชายหนุ่มที่อยู่ตรงกลางขึ้นมา พิงอยู่บนไหล่ตัวเอง แล้วลุกขึ้นทันที เขากล่าวด้วยสีหน้าไม่แสดงอาการใดๆ“เสิ่นเอ้อ เราไปเถอะ ”

เดินไปสองก้าว จู่ๆก็หยุดลง หันหลังให้หญิงสาวที่อยู่ข้างหลัง แล้วซีเฉินก็กล่าวเสียงเรียบๆว่า

เจี่ยนถง คุณได้ข้อสรุปจากการพิจารณาจากตรงไหนว่า ถูกคนผลักแล้วจะไม่ล้มลง? และยิ่งหัวสมองจะไม่กระแทกกับพื้น ?ดังนั้นเขาแสร้งตาย แสร้งหมดสติ แสร้งบาดเจ็บ? คุณได้ข้อสรุปแบบนี้มาจากไหน ?หรือเพียงเพราะว่า เขาเป็นเสิ่นซิวจิ่น ถูกไหม ?”

เขากับเสิ่นเอ้อยกขาขึ้นก้าวเดินไปทางข้างนอก เดินไปพูดไป “เสิ่นซิวจิ่นก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง ได้รับบาดเจ็บ สับสน และสำนึกผิดกับอดีต เสิ่นซิวจิ่นก็ไม่ได้เป็นทุกอย่าง ”

หญิงสาวที่ยืนดูแผ่นข้างหลังโซซัดโซเซของทั้งสาม ใบหน้าขาวผ่อง อ้าปากหลายครั้ง แต่ในที่สุด ก็ไม่มีคำพูดสักคำหลุดจากริมฝีปากซีดเซียว

ลู่หมิงชูกำหมัดแน่น……….เขาไม่อยากยอมรับเรื่องจริงเรื่องหนึ่ง…….เขาแพ้แล้ว

แต่ ทำไม!

เปลวไฟ ได้ปิดบังดวงตาคู่นั้นไว้

“ฉัน…….”เธออยากถามว่า เธอทำอะไรผิดใช่ไหม เข้าใจผิดหรือเปล่า เสียงแหบแห้งพึมพำกับตัวเอง แต่ตกเป็นเป้าสายตาของคนที่มีใจ แล้วก็ได้ข้อสรุปอย่างอื่นเพิ่มอีก

ลู่หมิงชูเดินเข้าไป “ต้องขอโทษด้วย ผมไม่คิดว่าแค่ผลักไปครั้งเดียวจะทำให้เรื่องร้ายแรงได้ขนาดนี้”มีร่องรอยความรู้สึกผิดบนใบหน้าของเขา ไม่มากไม่น้อย พอดิบพอดี หญิงสาวหันไปมอง อึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วส่ายหัว “ไม่เกี่ยวกับคุณ”

ฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มที่ซ่อนอยู่ข้างหลัง กำหมัดแล้วก็คลายออก ไม่เกี่ยวกับเขาหรือ ?เกี่ยวกับเขา และจำเป็นต้องเกี่ยวกับเขา

จู่ๆ ปากก็ร้องออกมาตามที่หัวใจคิด “อ้า~”หนึ่งเสียง สีหน้ามีความเจ็บปวดเล็กน้อย

“คุณ……..คุณลู่เป็นอะไรคะ?”

“ไม่เป็นไร”ชายหนุ่มที่สีหน้าเจ็บปวด เอามือข้างหนึ่งกดตรงเอวไว้อย่างละอายใจ ทนเก็บความเจ็บปวดไว้ แล้วส่ายหัวให้หญิงสาวอย่างละอายใจ“ผมไม่เป็นไร ”

“คุณอย่าขยับ”หญิงสาวหันไปทางข้างหลังของเขา เลิกชายเสื้อขึ้น ม่านตาของเธอหดตัว คิ้วขมวดเข้าหากัน……รอยแดงลึกขนาดนี้ เริ่มจะห้อเลือดแล้ว เผยให้เห็นรอยเขียวช้ำ เธอเม้นริมฝีปาก “เมื่อกี้ถูกเขาชนจนได้รับบาดเจ็บ ใช่ไหม?”

“ไม่ใช่”

แต่“หลักฐาน”อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าลู่หมิงชูจะปฏิเสธอย่างไร ก็ไม่อาจทำให้หญิงสาวเชื่อ

ยิ่งลู่หมิงชูปฏิเสธ หญิงสาวก็ยิ่งไม่เชื่อคำพูดของเขา

“คุณลู่ คุณไม่ต้องพูดแล้ว”มองดูอาการบาดเจ็บตรงหน้า อย่างไรเธอก็ไม่เชื่อว่า คนที่สามารถทำให้คนบาดเจ็บได้เช่นเสิ่นซิวจิ่น แค่ถูกคนผลัก จากสัตว์ดุร้ายในป่ากลายเป็นกระต่ายที่อ่อนแอได้

เธอนั่งลง หยิบยาหม่องออกจากกล่องปฐมพยาบาลที่อยู่ข้างๆ “อาการบาดเจ็บนี้ยังสามารถนวดคลายออกได้ พรุ่งนี้ก็จะกลายเป็นรอยเขียวช้ำ”

อธิบายไปพร้อมกับได้ลงมือแล้ว วินาทีที่เอายาหม่องทาไปบนหลัง ชายหนุ่มที่หันหลังให้หญิงสาว ค่อยๆกระตุกริมฝีปากขึ้น

“คุณลู่ ขอโทษด้วยนะ”

จู่ๆมีเสียงขอโทษแว่วมาจากหญิงสาวที่อยู่ข้างหลัง ทำให้ชายหนุ่มที่กระตุกยิ้มอยู่มุมปาก เยือกเย็นไปอีกครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงกระซิบที่เย็นชาไร้อารมณ์ ส่งออกมาจาหัวสมองส่วนลึกสุด

“ทำไม ต้องขอโทษด้วย?”

น้ำเสียงที่สงบแฝงไปด้วยความเร้นลับก่อนพายุฝนจะมา

หญิงสาวเก็บงานสุดท้ายเสร็จแล้ว วางมือลง แล้วเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายอย่างไม่รีบไม่ร้อนใส่ในกล่องปฐมพยาบาล

“ทำไมไม่ตอบ?”ชายหนุ่มที่ก้มหัวอยู่ พยายามเก็บซ่อนอารมณ์อย่างที่สุด แต่ในน้ำเสียงแหบแห้งนั้น แฝงไปด้วยความเร่งร้อน“เข้าใจแล้ว~คุณกำลังขอโทษแทนเขา”

ไม่ได้ยินเสียงของหญิงสาวคนนั้น เขาเกลียดความเงียบของผู้หญิงคนนี้มาก !

ความเงียบของเธอ ทำให้เขาอยากจะฉีกความสงบนิ่งของเธอด้วยมือ ดูว่าข้างในความสงบนิ่งนี้มีอะไร !

“เจี่ยนถง คุณไม่พูดไม่เป็นไร ผมพูดแทนคุณเอง”ชายหนุ่มยังคงก้มหน้า หันหลังให้หญิงสาว“คุณขอโทษผม คุณทำอะไรผิด ถึงต้องขอโทษผม?

คุณกำลังขอโทษแทนเขา ใช่ไหม ?

แต่คุณ ขอโทษแทนเขาในฐานะอะไร !

ภรรยาหรือ?คนรักหรือ?หรือว่าคู่หมั้นคู่หมายหรือ?แต่ว่า……คุณใช่ไหม !”

ความอิจฉาริษยาทำให้คนกลายเป็นคนพูดไม่เลือกใช่ไหม ลู่หมิงชูไม่รู้คำตอบของปัญหานี้ แต่เขารู้ว่า ตอนนี้เขาอิจฉาริษยามากแน่ๆเลย ถึงพูดไร้สาระเช่นนี้

อย่างที่เขารู้ แม้ว่าเขาจะไม่ยอมรับ แต่ในกายของเขายังคงมีเลือดของตระกูลเสิ่นไหลอยู่ เช่นเดียวกับเสิ่นซิวจิ่น ช่างทิ่มแทงใจ

ก็เหมือนรู้ทั้งรู้ว่าประโยคนั้น“ภรรยาหรือ ?คนรักหรือ? หรือว่าคู่หมั้นคู่หมายหรือ ?แต่ว่า…..คุณใช่ไหม!”จะไปทิ่มแทงบาดแผลในวันเก่าๆของเธอ แต่เขา ยังคงควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำอย่างนั้นไปแล้ว !

หญิงสาวหายใจชะงักไป ละเลยความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วหัวใจ“ฉันไม่ได้ขอโทษแทนเขา คุณได้รับบาดเจ็บในMemory Houseของฉัน ที่จริงเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็ไม่เกี่ยวกับคุณอยู่แล้ว คุณเป็นคนนอก แต่ดึงคุณเข้ามาเกี่ยวข้อง ดึงคนบริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง

คนที่ทำร้ายคุณแม้จะไม่ใช่ฉัน แต่ฉันก็มีความรับผิดชอบด้วย

ฉันขอโทษคุณแทนฉันในนามเถ้าแก่ที่ไร้ความสามารถ ไม่ได้ปกป้องดูแลความปลอดภัยของลูกค้าในโฮมสเตย์ ขอโทษค่ะ”

พูดจบก็หันหลัง และเดินอ้อมไปทางจาวจาว “ จาวจาว ความตกใจและอาการบาดเจ็บที่คุณลู่ได้รับในครั้งนี้ อีกสักครู่คุณชดใช้ให้คุณลู่ตามที่คุณลู่เห็นสมควร ควรจะชดใช้เท่าไหร่ก็ชดใช้เท่านั้น ”

แล้วกล่าวอีกว่า“คุณลู่ ฉันขอตัวก่อน”

ลู่หมิงชูเหมือนกับเอาท่อนไม้ตีไปที่สำลีนุ่ม ทำอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์

กัดฟันแน่นๆ หันหัวกลับไปอย่างดุเดือด ตะโกนไล่หลังคนในห้องโถง

“คุณรู้ว่าเขาจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย คุณเอาชนะเขาไม่ได้ เป็นไง ตอนนี้ไปกับผม ยังทันอยู่นะ!”

เงาหลังนั้นหยุดลง แล้วจู่ๆก็หันหลัง เผยรอยยิ้มที่เจิดจ้า เป็นรอยยิ้มที่บาดตาไร้ที่เปรียบ ไปยังลู่หมิงชูที่ยืนตรงนอกประตู“ไม่ล่ะ นี่เป็นเรื่องของฉันกับเขา”

ชายหนุ่มนอกประตู เบิกตากว้าง รูม่านตาหดลง…….ผู้หญิงคนนั้น เมืองที่ถูกปิดล้อมเข้าไปไม่ได้

“เถ้าแก่เนี้ย คุณแซ่เสิ่นไม่ใช่หรือ?” จาวจาวตามขึ้นไป ถามอย่างระมัดระวัง“ทำไมพวกเขาล้วนเรียกคุณว่าเจี่ยนถง?”

หญิงสาวหยุดลงตรงหน้าประตูห้องนอนตัวเอง เหลือบสายตามองดูจาวจาวที่อยู่ข้างหลัง ในตาสาวน้อยมีความหวาดกลัว ดวงตากลอกไปมา แล้วเข้าใจได้ว่า สาวน้อยตรงหน้าคนนี้ เปลี่ยนจากเมื่อก่อนตอนอยู่ต่อหน้าตัวเองนั้นโรแมนติกไร้เดียงสา เป็นหวาดกลัวไปมาก

“จาวจาว คุณกลัวฉัน ใช่ไหม?”

หญิงสาวไม่ตอบแต่ถามกลับไป

บนใบหน้าอ่อนเยาว์ของสาวน้อยที่อยู่ตรงข้าม ทันใดนั้น หน้าเปลี่ยนสี แดงเป็นตูดลิง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเขินอายที่ถูกคนอ่านความรู้สึกออก“ไม่ใช่ค่ะ เถ้าแก่เนี้ย ฉันจะกลัวคุณได้อย่างไร เถ้าแก่เนี้ยดีที่สุด”

มือข้างหนึ่งที่เย็นเฉียบ จับไปที่แก้มของจาวจาว สาวน้อยสั่นสะท้าน เงยหน้าขึ้นอย่างระมัดระวัง แอบมองไปทางเถ้าแก่เนี้ยของเธอ แต่พบกับสายตาที่โศกเศร้า เคร่งขรึมและจนปัญญา“เถ้าแก่เนี้ย……..”

“จาวจาว ตอนนี้ ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองชื่ออะไร

ตอนเกิด ปู่ของฉันตั้งชื่อ เจี่ยนถง ให้ฉัน เพราะว่าปู่แซ่เจี่ยน พ่อก็แซ่เจี่ยน ฉันเป็นลูกสาวของตระกูลเจี่ยน ชื่อเจี่ยนถง

เมื่อปู่เสียชีวิตแล้ว ฉันไปล่วงเกินต่อคนที่ไม่ควรจะล่วงเกิน ตระกูลเจี่ยนก็ไม่มีเจี่ยนถงคนนี้แล้ว

และต่อมาอีก พวกเขาให้แซ่ ‘เสิ่น’กับฉัน พวกเขาบอกว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปฉันชื่อเสิ่นถง

ฉันไม่รู้ว่าตัวเองชื่ออะไร คุณเรียกฉันเถ้าแก่เนี้ย ฉันกลับสบายใจมากกว่า”

นิ้วโป้งของเธอเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของจาวจาว“เด็กดี ร้องทำไม”คิดไปคิดมา เธอเดินเข้าไปในห้องนอน แล้วหันหลังกวักมือให้จาวจาวที่อยู่ตรงปากประตู“คุณก็เข้ามาด้วย”

หลังจากพูดจบ ก็เปิดตู้เซฟตรงมุมกำแพงออก แล้วหยิบซองแฟ้มออกมาจากข้างในอย่างระมัดระวัง “จาวจาว ตะลึงอะไร นั่งซิ”

เธอต้อนรับจาวจาวไปด้วย แล้วตัวเองก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ แล้วเปิดซองแฟ้มในมือออก“หากวันหนึ่ง ฉันจากโลกใบนี้ไปก่อน คุณก็นำอันนี้ ไปหาทนายฟางเฉิงที่สำนักงานทนายความฮุ่ยเฉิง สำหรับฉันแล้ว‘Memory House’สำคัญมาก สำคัญกว่าชีวิตของฉัน ต่อไปถ้าฉันไม่อยู่แล้ว คุณจะร้องไห้งอแงไม่ได้แล้วนะ ต้องช่วยฉันจัดการโฮมสเตย์นี้ ”

ถึงแม้จาวจาวจะไร้เดียงสาแค่ไหน ก็ฟังออกถึงความไม่ปกติ“เถ้าแก่เนี้ย คุณคงจะไม่…….จากที่นี่ไปใช่ไหม? ” ทำไมเธอได้ยิน เหมือนเป็นการสั่งเสียพินัยกรรม?

ถุยๆ พูดไร้สาระ เถ้าแก่เนี้ยอายุยืนร้อยปี!

จาวจาวปลอบใจตัวเอง

หญิงสาวลุกขึ้น“ฉันจะพาคุณไปที่ที่หนึ่ง” เธอไม่อธิบายความสงสัยของจาวจาว หยิบซองเอกสารในมือ แล้วเดินไปทางนอกประตู

“เถ้าแก่เนี้ย คุณจะไปไหน ?”

หญิงสาวเดินนำหน้า เดินด้วยความเร่งรีบเล็กน้อย โซเซเล็กน้อย จาวจาววิจารณ์อย่างโจ่งแจ้ง“เถ้าแก่เนี้ย เท้าของคุณไม่ค่อยสะดวก เดินช้าหน่อย”

จาวจาวเดินตามเถ้าแก่เนี้ย มายืนอยู่ตรงหน้าประตูโฮมสเตย์หลังที่อยู่ห่างไกลสุด

“เถ้าแก่เนี้ย ปกติคุณไม่ให้พวกเราเข้าใกล้ที่นี่ไม่ใช่หรือ?”

หญิงสาวไม่สนใจ เสียบกุญแจเข้าไป ก๊อกแก๊กหนึ่งเสียง แล้วผลักประตูออก ในห้องมืดเล็กน้อย กดเปิดไฟ ทันใดนั้น ในห้องก็สว่างขึ้นมา

“โอ๊ย”จาวจาวตกใจ แล้วพูด “รูปคน…..ตาย……..”

“จาวจาว ไม่ต้องกลัว

เธอชื่ออาลู่ เป็นเด็กผู้หญิงที่ใจดีมาก ใจดีเหมือนกับเธอ 。”

หญิงสาวเข้าไปจุดไฟ จุดธูป แล้วกล่าวว่า“อาลู่เป็นคนใจดีมาก ดีจนเพราะช่วยฉัน จึงสูญเสียชีวิตของเธอไป

อาลู่ปิดตาลง ขณะที่นอนอยู่บนตักของฉัน

ก่อนที่เธอจะปิดตาลง ยังได้พูดถึงความปรารถนาของเธอที่มีต่อโลกใบนี้

เธอบอกว่า เธอชอบท้องฟ้าและพื้นดินของทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ แล้วก็ยังมีภูเขาหิมะมังกรหยกที่อยู่ไกลออกไป

ความปรารถนาในชีวิตของเธอ ก็คือเปิดโฮมสเตย์ที่ชายทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ ไม่ต้องใหญ่มาก เป็นอิสระสงบสุขโดยปราศจากข้อพิพาททางโลก

เธอจากไปแล้ว ไม่สามารถจะทำให้ความปรารถนาใจชีวิตของเธอเป็นจริงได้

เธอใช้ชีวิตของตัวเองช่วยฉันไว้

ความปรารถนาของเธอ ก็คือความปรารถนาตลอดชีวิตของฉัน”

ตอนแรกรู้สึกกลัวเล็กน้อยเมื่อจู่ๆเห็นรูปถ่ายคนตาย แต่จากน้ำเสียงบอกเล่าที่สงบและช้าของหญิงสาว ค่อยๆทำให้ความกลัวหายไป เมื่อจาวจาวมองไปทางรูปถ่ายของเด็กหญิงแปลกหน้าอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะใจดีและอบอุ่นมาก

“เถ้าแก่เนี้ยเป็นเถ้าแก่เนี้ยที่ดี เถ้าแก่เนี้ยอาลู่ก็เป็นคนดี”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หญิงสาวหน้ากล่องธูป หยุดชะงักไปสามวินาที…..คนดี……เธอหัวเราะเบาๆ หว่างคิ้วคลายออกแล้ว“อาลู่ สาวน้อยคนนี้บอกว่าแกเป็นคนดี สมัยนี้ ยังมีคนใช้คำว่า ‘คนดี’มาชื่นชมใครสักคน ก็มีเพียงจาวจาวคนนี้เท่านั้น” ก็มีเพียงจาวจาวเด็กผู้หญิงที่จิตใจไร้เดียงสาบริสุทธิ์เท่านั้น

“เถ้าแก่เนี้ย ฉันพูดอะไรผิดหรือ?เถ้าแก่เนี้ยอาลู่ปกป้องเถ้าแก่เนี้ย เถ้าแก่เนี้ยอาลู่จะต้องเป็นคนดีอยู่แล้ว ”

“ไม่ คุณไม่ผิด ”หญิงสาวจุดธูป เช็ดมือเบาๆ หันหลังมา ใบหน้าอ่อนโยน“คุณพูดถูก จาวจาว ถ้าเป็นไปได้ ฉันหวังว่าชาตินี้ทั้งชาติคุณจะไม่เปลี่ยนไปจากตัวเองในตอนนี้ คุณเป็นแบบนี้ ดีมาก”

เธอพูดได้จริงจังมาก แต่สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้า ฟังด้วยสีหน้างุนงง หญิงสาวครุ่นคิด แล้วส่ายหัว……ช่างมันเถอะ ฟังไม่เข้าใจถึงจะดีที่สุด

หากฟังเข้าใจแล้ว ก็จะกลายเป็นคนที่มีเรื่องเล่า…….ไม่ดีไม่ดี

เธอหยิบซองเอกสารที่เมื่อกี้วางไว้ข้างขึ้นมาอีกครั้ง แล้วส่งให้จาวจาว “จาวจาว ฉันถามคุณนะ คุณชอบ ‘Memory House’ไหม?”

“ชอบค่ะ ”

“ถ้าอย่างนั้นฉันถามคุณอีกนะ ถ้าฉันไม่อยู่ที่Memory Houseนานมาก คุณสามารถจัดการโฮมสเตย์นี้ให้ดีได้ไหม?”

“จัดการเรื่องเช็กอินเช็กเอ้านั้นฉันคล่องอยู่แล้ว ห้องอาหารเล็กมีน้ากุ้ย มีป้าจู้ทำความสะอาดห้องแขก แล้วดอกไม้ใบหญ้าที่สวนก็มีเสี่ยวฟางไปทำอยู่แล้ว ……..ไม่ใช่ซิ เถ้าแก่เนี้ย วันนี้คุณดูแปลกมากเลย”

“จาวจาว คุณฟังให้ดีนะ หลังจากที่ฉันไม่อยู่แล้ว คุณก็เอาซองเอกสารนี้ไปหาทนายฟางเฉิงที่สำนักงานทนายความฮุ่ยเฉิง

ทนายฟางจะช่วยคุณ จัดการเรื่องรับมรดกทั้งหมดภายใต้ชื่อของฉัน รวมทั้งโฮมสเตย์นี้ด้วย ทำการโอนย้ายไปเป็นชื่อของคุณ

แต่ว่าจาวจาว ถ้าหากคุณรับมรดกชุดนี้แล้ว คุณจำเป็นจะต้องช่วยฉันเรื่องหนึ่ง

นั่นก็คืออาลู่ ทุกปีในวันเชงเม้ง วันครบรอบวันตายคุณจะต้องเผากระดาษเงินให้อาลู่ วันชิวอิกวันจับโหงวต้องมาปัดกวาดทำความสะอาด ”

“เถ้าแก่เนี้ย คุณกำลังพูดอะไร! มรดกอะไรกัน?

เถ้าแก่เนี้ย คุณให้มรดกฉันทำไม ทำไมคุณเหมือนสั่งเสียพินัยกรรมกับฉัน!

เถ้าแก่เนี้ย! ใช่คนร้ายคนนั้นในวันนี้ไหม !

เป็นเพราะว่าเขาใช่ไหม!

คนคนนั้นจะทำร้ายเถ้าแก่เนี้ยใช่ไหม!

ฉันไม่เอา!”

“ใจเย็นๆ จาวจาว”เธออยากจะเกลี้ยกล่อมสาวน้อย แต่วันนี้สาวน้อยรั้นเป็นพิเศษ จึงกอดเธอเข้ามา“จาวจาว คุณตื่นเต้นขนาดนี้ ฉันจะบอกเหตุผลกับคุณอย่างไร”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ จาวจาวก็หยุดลง“โอเคค่ะ ฉันไม่ตื่นเต้นแล้ว เถ้าแก่เนี้ยคุณพูดเถอะ ทำไม ดีๆอยู่จะต้องสั่งเสียพินัยกรรมด้วย”

“ประการแรก การรับรองพินัยกรรม เป็นเรื่องปกติในประเทศอื่นๆ

คุณดู ฉันไม่มีคนในครอบครัวแล้ว ครอบครัวเดิมไม่ต้องการฉันแล้ว

ในสามปีมานี้ คุณอยู่เคียงข้างฉันตลอดมา ฉันวางใจที่จะเอาพินัยกรรมให้คุณ

ประการที่สอง การรับรองพินัยกรรมไม่ใช่เพราะว่าฉันกำลังจะตาย แต่เป็นเพราะอาจจะ เกิดอุบัติเหตุ ร่างกายของฉันไม่ค่อยดี หากเกิดอายุสั้นขึ้นมา เมื่อถึงเวลานั้น คุณดูซิฉันไม่มีญาติ มรดกจะให้ใครล่ะ แน่นอนว่าตอนนี้ต้องเขียนพินัยกรรมรับรองไว้ล่วงหน้าก่อนอยู่แล้ว ถูกไหม ?

หรือคุณหวังว่า มรดกของฉันไว้ให้ครอบครัวที่ไม่ต้องการฉันแล้วหรือ ?”

“จริงหรือ?คนต่างประเทศเขาทำอย่างนี้กันจริงๆหรือ?เพียงแต่ป้องกันเท่านั้นหรือ?”

“จริงๆ โกหกคุณ~คุณ~เป็นหมาน้อย”

“ก็ได้”

สาวน้อยทำหน้าบูดบึ้งไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่งอแงแล้ว หญิงสาวลูบหัวจาวจาวพร้อมรอยยิ้มจางๆที่มุมปาก……….

สาวน้อยคนนี้ช่างหลอกง่ายดีนัก ในอนาคต หวังว่าเธอจะพบชายหนุ่มคนที่เธอรักและรักเธอ มีความสุขไปตลอดชีวิต

……

บนรถที่กำลังวิ่งไปที่โรงพยาบาล เสิ่นซิวจิ่นค่อยๆรู้สึกตัวขึ้น

“ทำผมตกใจแทบตาย ในที่สุดคุณก็รู้สึกตัวแล้ว”ซีเฉินวางใจลงแล้วพูดว่า “บอกให้ทำเท่าที่ไหว เมื่อมาถึงต้าหลี่แล้ว ก็ไม่ได้พักผ่อนดีๆเลย ในสามปีมานี้ ยิ่งจนหัวหมุนเหมือนลูกข่าง คุณคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์เหล็กจริงๆหรือ ?”

เสิ่นซิวจิ่นยกมือขึ้นจับไปที่หัวที่พันผ้าก๊อซไว้ นึกอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจ อ้าปากออก น้ำเสียงแหบแห้ง“ถูกเขาทำร้ายหรือ”

ถึงแม้จะเป็นประโยคคำถาม แต่การแสดงออกของเสิ่นซิวจิ่นนั้นดูมั่นใจ

“จำได้แล้วหรือ?

ดูเหมือนจะทนต่อการถูกจับโยนไม่เบา ฮ่าฮ่า ~ถึงว่าคนที่คุณชื่นชอบจึงมั่นใจว่าคุณแกล้งหมดสติเพื่อขอความเห็นใจ ใช้เล่ห์กล ฮ่า ”

เมื่อได้ยินคำเยาะเย้ยจากซีเฉิน หัวใจของชายหนุ่มเหมือนมีสิ่งของอะไรมาบีบรัด อดทนไว้ไม่รู้ว่าปวดหัวหรือว่าปวดหัวใจ หายใจแรงๆอยู่หลายครั้ง แล้วกล่าวว่า

“ไม่โทษเธอ”

ซีเฉินทนฟังต่อไปไม่ได้แล้ว“นี่ คุณไม่สบายหรือเปล่า!คุณล้มเป็นแบบนี้แล้ว เธอมองดูด้วยสายตาเย็นชาไม่ว่าแล้ว ยังเยาะเย้ยว่าคุณแกล้งหมดสติเพื่อขอความเห็นใจ บอกว่าคุณใช้เล่ห์กลใหม่อีกแล้ว แล้วคุณยังจะบอกว่า ‘ไม่โทษเธอ’หรือ? ผมว่าหัวสมองของคุณจะต้องได้รับกระทบกระเทือนจากการหกล้มจนเสียไปแล้วจริงๆ”

“ผมสบายดี ตอนนี้ผมรู้สึกตัวดีกว่าเวลาไหนๆ

เมื่อก่อนผมทำกับเธอ ใช้วิธีการเล่ห์เหลี่ยมมากไปจริงๆ ตอนนี้เธอไม่เชื่อผม คนอื่นสามารถว่าเธอได้ แต่ผม ไม่มีสิทธิ์ว่าเธอ”

ขณะที่เขาพูดคำพูดเหล่านี้ออกมา ขมจนดีขมก็ออกมาหมดแล้ว“เมื่อก่อนผมไม่เชื่อเรื่องเวรกรรม คุณดูซิ กรรมตามสนองมาแล้ว”

“คุณ…….”ซีเฉินเกลียดที่เหล็กหลอมให้เป็นเหล็กกล้าไม่ได้ กล่าวอย่างหงุดหงิดว่า“ได้ แม้ว่าที่คุณพูดมานั้นถูกหมด แต่ก็ควรจะอธิบายให้เธอเข้าใจ ที่คุณล้มลงจนได้รับบาดเจ็บไม่ใช่เพราะแกล้งหมดสติ เป็นเพราะว่าร่างกายคุณเกินจะรับไหว และเพราะไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันไม่ใช่หรือ?”

“คุณบอกพวกนี้กับเธอแล้วหรือ?”เสิ่นซิวจิ่นหน้าซีดอย่างกับไก่ต้ม กัดริมฝีปากมองไปทางซีเฉิน คนข้างหลังอยากจะแหย่เขาอยู่แล้ว“ใช่ ผมบอกไปแล้ว ผมบอกเธอว่าเพราะว่าตามหาเธอ ไม่ได้นอนไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันหลายคืน ในสามปีมานี้กลายเป็นคนบ้างาน สละเวลาออกมาได้ก็ไปตามหาเธอทุกๆที่ ร่างกายพังไปแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถูกคนชั่วลู่หมิงชูผลักทีเดียวก็ล้มลงง่ายขนาดนั้น แล้วยังกระแทกจนหัวได้รับบาดเจ็บ ”

ใบหน้าซีดเซียวแต่เดิมของชายหนุ่ม เวลานี้เยือกเย็นยิ่งขึ้น ซีเฉินเหลือบมองแวบหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธ

“พอแล้ว คุณอย่าทำเหมือนฟ้าจะถล่มลงมาซิ! ผมไม่ได้พูด!ผมโกหกคุณ”

เปลี่ยนบทสนทนาทันที“หัวสมองของคุณเพิ่งจะได้รับบาดเจ็บ ผมว่าควรต้องไปโรงพยาบาล”

“ไม่ไปแล้ว ไม่เป็นอะไรมาก กลับรถ ขับกลับไป วันนี้ผมจำเป็นจะต้องพาเธอกลับบ้าน”

เมื่อซีเฉินได้ยินเช่นนั้น จู่ๆก็จริงจังขึ้นมาทันที

อาซิว ในกลุ่มเราหลายคน มีมติเห็นพ้องต้องกันว่า ฟ้าถล่มลงมามีคุณเสิ่นซิวจิ่นแบกไว้ก่อน แต่ตอนนี้คุณล่ะ?พูดตามความเป็นจริง แม้ว่าเจี่ยนถงเธอบริสุทธิ์ รับทุกข์ทรมานไปมากมายขนาดนั้น แม้ว่าคุณจะทำเรื่องผิดอีก แต่ไม่ว่าผมก็ดี หรือยู่สิงก็ดี เราช่วยญาติไม่ช่วยเหตุผล

ระหว่างคุณกับเจี่ยนถง เราจะเลือกคุณโดยตาไม่กะพริบสักนิดเลย

แต่ว่า เพราะว่าคุณรักเจี่ยนถง และรักเธอมากกว่าคุณรักตัวคุณเองอีก ดังนั้น ผมกับยู่สิงเพราะว่าคุณเลือกเธอจึงเลือกเธอด้วย เพราะว่ามิตรภาพอันลึกซึ้งของพี่น้อง เรารักคุณก็รักคนที่คุณรักด้วย

แต่ว่า ถ้าหากวันหนึ่ง เพราะว่าเธอ คุณถูกทำลาย ส่วนเธอยังอยู่ดี คุณลองเดาว่า ยู่สิงก็ดี ผมก็ดี จะปล่อยเธอไปไหม?คุณก็ต้องรู้ว่า ผมกับยู่สิง แล้วก็คุณ เราสามคน ไม่ใช่คนดีอะไรอยู่แล้ว ”

ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเคร่งขรึม“ไปโรงพยาบาล”

……

ที่สนามบินลี่เจียง คุณหญิงเจี่ยนดูโทรมเหี่ยวแห้งไปมาก เพิ่งลงจากเครื่องบิน เมื่อเปิดเครื่องมือถือขึ้น ก็มีสิบกว่าสายไม่ได้รับแล้ว กดเข้าไปในข้อความ เป็นข้อความจากลูกชายของเธอ

คุณหญิงเจี่ยนกวาดตามองไปอย่างคร่าวๆ บนหน้าจอมือถือ ถามเธอคำถามเดียวกันว่า“ถึงหรือยัง พบน้องสาวหรือยัง ?”

คุณหญิงเจี่ยนกำมือถือแน่น ก็ไม่รู้ว่าเพราะอาการป่วยของลูกชายตัวเองหรือว่าเป็นเพราะอย่างอื่น คุณหญิงเจี่ยนที่ใส่ใจบำรุงรักษาตัวเองมาตลอด ขอบตาเริ่มมีตีนกา เปลือกตาที่หย่อนยานบวมหนักมาก เธอหยิบแว่นกันแดดแสนกว่าบาทขึ้นมาสวม แล้วก็กลายเป็นคุณนายครอบครัวมั่งมีที่สง่างามคนนั้นอีกครั้ง แต่ดวงตาใต้แว่นกันแดดนั้น ได้แดงก่ำแล้ว

คุณหญิงเจี่ยนโบกแท็กซี่ โชเฟอร์ถามเธอว่าจะไปไหน ผู้คนของเมืองนี้ กระตือรือร้นและร่าเริง ฟังสำเนียงภาษาจีนที่ไม่ได้มาตรฐาน คุณหญิงเจี่ยนที่จู้จี้จุกจิกจนเคยตัว แต่เวลานี้ไม่มีอารมณ์จู้จี้จุกจิก

กำลังจะตอบคำถามโชเฟอร์ มือถือก็สั่นขึ้นมา กำมือถือแน่นอย่างประหม่า จ้องมองชื่อของคนโทรมาอยู่ครู่หนึ่ง

คุณหญิงเจี่ยนลังเล ถ้าไม่รับ เธอยังสามารถยืดเวลาออกไปได้บ้าง เมื่อรับโทรศัพท์นี้แล้ว เธอก็จะไม่มีทางปฏิเสธได้อีกแล้ว

เสียงโทรเข้ามือถือดังอยู่เนิ่นนานในที่สุดก็ดับลง ยังไม่ทันที่คุณหญิงเจี่ยนจะได้หายใจ เสียงโทรศัพท์ราวเสียงปีศาจก็ดังขึ้นอีกครั้ง

จนปัญญา จึงกดปุ่มรับสาย “โม่ป๋าย”

“แม่ ท่านลงเครื่องแล้วหรือยัง ?”

เจี่ยนโม่ป๋ายในโทรศัพท์ไล่ถามอย่างกังวล “แม่ ท่านไปหาน้องสาวโดยตรง ที่โฮมสเตย์ที่ชื่อ ‘Memory House’ที่ผมเคยบอกก่อนหน้านั้น ”

ทางโทรศัพท์ปลายสาย เจี่ยนโม่ป๋ายคะยั้นคะยอให้คุณหญิงเจี่ยนไปหาเจี่ยนถง ข้อมูล‘Memory House’นี้ เห็นมาจากในกลุ่มวีแชต มีคนคนหนึ่งที่แต่ก่อนเคยดื่มเหล้าด้วยกัน พูดในกลุ่มว่าเหมือนเคยเห็นผู้หญิงในรูปถ่ายคนนั้นที่บนแพลตฟอร์มหนึ่ง

จึงพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดทีละขั้นตอน แล้วติดตามเบาะแส และเสียแรงไปอย่างมาก จึงได้ข่าวนี้มา

เขาไม่อยากรอตาย……เจี่ยนโม่ป๋ายกำมือถือไว้แน่น คะยั้นคะยอคุณหญิงเจี่ยนไม่หยุด “ แม่ ท่านบอกกับเสี่ยวถง ขอให้เธอช่วยผม ไม่อย่างนั้น พี่ชายของเธอก็จะต้องตาย แม้ว่าเสี่ยวถงดูไปแล้วแข็งแกร่ง ที่จริงเธอเป็นคนใจอ่อนมาก เธอจะไม่ยอมมองดูพี่ชายแท้ๆของเธอตายไปอย่างแน่นอน ”

ดวงตาภายใต้แว่นกันแดดของคุณหญิงเจี่ยน ยิ่งแดงก่ำขึ้นอีก

รู้สึกเพียงขื่นขมมาก ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยเสียงสะอื้นที่ยากจะอธิบาย

“โม่ป๋าย แม่รู้แล้ว แกจะต้องรักษาตัวอยู่ในห้องผู้ป่วยดีๆ แม่จะพูดกับเสี่ยวถงเอง จะไปขอร้องให้เสี่ยวถงช่วยแก”

เมื่อตัดสายโทรศัพท์ทิ้ง คุณหญิงเจี่ยนล้มพับลงบนเก้าอี้เบาะหลัง “ Memory House ไปMemory House”

“โฮมสเตย์หรือ?”

“อืม”

เงียบตลอดทาง ถึงแม้ว่าวิวทิวทัศน์ในเมืองนี้จะสวยแค่ไหน ก็ไม่สามารถเข้าไปในใจที่อ่อนล้าวิตกกังวลของคุณหญิงเจี่ยนได้อีกแล้ว

หมัดที่กำแน่น วางอยู่บนหัวเข่า สั่นสะท้านเล็กน้อย !

เหลือบมองหน้าจอมือถือที่ยังสว่างอยู่ เป็นรูปถ่ายที่เธอถ่ายคู่กับเจี่ยนเจิ้นตง สนิทสนมและหวานชื่น

แต่ว่า……เวลานี้ช่างบาดตาไร้ที่เปรียบ!

เมื่อนึกถึงเจี่ยนเจิ้นตง สีหน้าคุณหญิงเจี่ยนซีดเซียวขึ้นมาทันที

หลังจากเดินทางมายาวนาน รถยิ่งไปยิ่งทุรกันดาร “มาผิดทางหรือเปล่า?”

โชเฟอร์หยุดรถลง “ที่นี่ครับ ไม่ผิด”แล้วก็เปิดกระจกรถลง ชี้ไปที่ไม่ไกลออกไป “โน่น Memory House ก็คือร้านนั้นครับ”

เมื่อจ่ายค่ารถแล้ว คุณหญิงเจี่ยนก็เดินไปทางMemory House ยืนอยู่ตรงประตูMemory House ในใจตุ้มๆต่อมๆ อยากจะถอยกลับไปอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อนึกถึงเจี่ยนโม่ป๋ายที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย และเจี่ยนเจิ้นตงแบไต๋กับเธอแล้ว ในใจของเธอมีความลังเลเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ถูกครอบงำด้วยความเกลียดแล้ว

ผลักประตูเข้าไป

ที่เคาน์เตอร์หน้า มีน้ำเสียงเรียบๆกล่าวขึ้นพร้อมกัน“ยินดีต้อนรับ…….”หญิงสาวเคาน์เตอร์หน้าเงยหน้าขึ้น สีหน้าอ่อนโยนก็หายไป ดวงตาของเธอเบิกกว้างขึ้น แล้วน้ำเสียงก็หยุดชะงักไป

คุณหญิงเจี่ยนผลักประตูเข้ามา เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็อึ้งไปทันที

“เสี่ยวถง……”

เกือบจะพร้อมกับขณะที่คุณหญิงเจี่ยนเรียกออกมา หญิงสาวที่ทำงานอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ไม่พูดสักคำ ก็หันหลังเดินจากไป

คุณหญิงเจี่ยนเดินตามขึ้นไป เอื้อมมือไปคว้าแขนของเจี่ยนถงไว้ “เสี่ยวถง !”

“เสี่ยวถง”หนึ่งเสียง ร่างกายเจี่ยนถงแข็งไปครึ่งซีก เธอก้มหน้า……เสี่ยวถง?เสี่ยวถง?

“คุณเรียกใครหรือ?เสี่ยวถงหรือ?เสี่ยวถงตายไปแล้ว?คุณหญิงเจี่ยน คุณกำลังเรียกใครหรือ?”หันหัวกลับมาอย่างกะทันหัน สายตาแดงก่ำ จ้องมองหญิงวัยกลางคน เธอรู้ว่า วันนี้เธอ ใจร้อนมาก

แต่ว่า……ทำไม่ได้!ทนไม่ได้!

“เสี่ยวถง ฉันเป็นแม่ของหนู หนูอย่าเรียกฉันว่าคุณหญิงเจี่ยน”น้ำตาของหญิงสาวไหลลงมาดังสายฝน ความเกลียดชังในตา ไม่สามารถจะเพิ่มพูนได้อีกแล้ว คำพูดสามารถทำร้ายคนได้ เพราะว่ามันโหดร้ายเกินไป

“แม่ของฉันหรือ?”เจี่ยนถงอยากจะหัวเราะ เธออยากจะหัวเราะอย่างอวดดี แต่มีคุณหญิงเจี่ยนร้องไห้ดั่งสายฝนไปแล้วคนหนึ่ง บนโลกใบนี้ ไม่เคยขาดน้ำตาของเจี่ยนถงอยู่แล้ว

ดังนั้น อย่าร้องเลย ไม่มีประโยชน์…….เธอบอกกับตัวเองเช่นนี้

“ปล่อยมือเถอะ คุณหญิงเจี่ยน นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันเรียกคุณว่าคุณหญิงเจี่ยน และก็จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายอยู่ด้วย”

จ้องมองหญิงสาวตรงหน้า เธอกล่าวอย่างสงบว่า“ฉันไม่มีแม่แล้ว ไม่ได้มีมานานแล้ว”

ความเจ็บปวดของคุณหญิงเจี่ยนในทันใดนั้นไม่อาจจะเพิ่มได้อีกแล้ว วันนี้เธอ ได้รับรู้ถึงความเจ็บเหมือนดาบหมื่นเล่มทิ่มแทงใจแล้ว มือที่คว้าแขนเจี่ยนถงไว้นั้น คลายลงอย่างหมดแรง

ทันทีที่อิสระ เจี่ยนถงก็หันหลังจากไป

จนกระทั่งเจี่ยนถงเดินออกไปไกลเกินสองเมตรแล้ว คุณหญิงเจี่ยนถึงรู้สึกตัว ก้าวเท้าใหญ่ตามขึ้นไป แล้วจับมือเจี่ยนถงไว้แน่นๆอีกครั้ง กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“เสี่ยงถง! โม่ป๋ายเขา พี่ชายหนูเขา เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว!”

แวบหนึ่งนั้น เจี่ยนถงเหมือนตัวเองหูฝาดไป หลังจากได้ยินข่าวร้ายแล้ว หยุดอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเลย

“เจี่ยนโม่ป๋าย…..เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือ?”ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอถามขึ้น

คุณหญิงเจี่ยนพยักหน้าสะอื้น

“อืม………” หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “โรคเม็ดเลือดขาวไม่ใช่ว่าจะรักษาไม่หาย เงินของตระกูลเจี่ยน พอจะรักษาเขาแล้ว ”

“เสี่ยวถง หนูทำไม ทำไม……..”ทำไมถึงพูดเช่นนี้?โม่ป๋ายเป็นพี่ชายหนูนะ!

คุณหญิงเจี่ยนไม่ร้องไห้แล้ว กะพริบตา มองดูใบหน้าที่คุ้นเคยตรงหน้าอย่างแปลกหน้าไม่มีที่เปรียบ

“คุณหญิงเจี่ยน ลูกชายของท่านป่วย ก็ต้องรักษาดีๆ มาจับฉันไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ฉันไม่ใช่หมอ”

“ฉันรู้ แต่ว่า แต่คุณหมอบอกว่า พี่ชายของหนูจะต้องถ่ายเปลี่ยนไขกระดูกสันหลัง ฉันกับพ่อของเขาเข้ากับเขาไม่ได้”ขณะที่พูด คุณหญิงเจี่ยนจ้องมองดูหญิงสาวตรงหน้าอย่างลำบากใจ

มองดูสีหน้าคุณหญิงเจี่ยนแล้ว เจี่ยนถงก็เข้าใจทันที………เธอค่อยๆก้มหน้าลง ผมสยายลงมา ยื่นมือข้างที่ยังว่างอยู่ออกมา ค่อยๆกุมขมับที่ก้มต่ำไว้ คุณหญิงเจี่ยนเห็นสีหน้าไม่ค่อยชัดเจน แต่มองเห็นไหล่ของหญิงสาวตรงหน้าขยับ ยิ่งอยู่ยิ่งรุนแรงขึ้น

“เสี่ยวถง หนูอย่าร้องไห้ หนูช่วยพี่ชายเขาได้ เพียงแต่หนู………”

ร้องไห้หรือ?………ผู้หญิงที่ก้มหน้าเอาผมปิดเกือบครึ่งหน้า ดวงตาใต้ฝ่ามือ เผยให้เห็นการประชดเบาๆ“คุณเข้าใจผิดแล้ว คุณหญิงเจี่ยน ”เธอเงยหน้าขึ้น ใช้มือหนีบผมไว้ข้างหูแล้ว เผยให้เห็นใบหน้าที่ไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว เธอกล่าว ต่อหน้าคุณหญิงเจี่ยนที่อยู่ในอาการตกตะลึง

“ทำไมฉันจะต้องร้องไห้ด้วย?”

ทำไมจะต้องร้อง? เธอไม่ได้ร้องไห้ เธอฉีกยิ้มออกมาเล็กน้อย“ฉันเพียงแต่ หัวเราะตัวเองเท่านั้นเอง”เธอหัวเราะความไร้เดียงสาของตัวเอง ยังคาดหวังอะไรอีก

การมาถึงของหญิงสาวตรงหน้าคนนี้ แม้ว่าเธอจะหน้าตาบึ้งตึง แต่วินาทีที่เห็นเธอ ในใจยังคงมีความอบอุ่นและดีใจ ถึงแม้จะเป็นเพียงวินาทีนั้น……..เธอคิดว่า เธอไม่ได้ถูก“พ่อแม่”ของตัวเองทอดทิ้ง เธอคิดว่า หญิงสาวที่เธอเรียก“แม่”มาครึ่งค่อนชีวิต……คิดถึงเธอแล้ว

“เสี่ยวถง หนูอย่าทำอย่างนี้เลย หนู หนูช่วยพี่ชายหนูด้วย แม่ขอร้องหนูล่ะ!”

จนกระทั่งเมื่อได้ยินคำร้องขอของคุณหญิงเจี่ยน จนกระทั่งหญิงสาวตรงหน้าพูดออกมาอย่างชัดเจนแล้ว เจี่ยนถงเธอ ลบความไร้เดียงสาในใจไปอย่างสิ้นเชิง

มองดูคุณหญิงเจี่ยนอย่างเฉยเมย

“อยากจะช่วยแต่ทำไม่ได้”

พูดจบ สะบัดมือของคุณหญิงเจี่ยนออก คนข้างหลังร้องไห้เรียก“เสี่ยวถง !นั่นมันพี่ชายหนู !พี่ชายแท้ๆของหนู หนูไม่ช่วยเขา เขาก็จะต้องตาย!”

“ฉันคิดว่า มีอยู่เรื่องหนึ่ง ฉันควรจะบอกคุณหญิงเจี่ยน ฉัน ไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆของคุณ”

คุณหญิงเจี่ยนตกใจมาก มองคนตรงหน้าราวกับเห็นผี "ลูกกำลังพูดถึงอะไร?" แต่ละคำที่ออกมา ถูกเค้นออกมาจากปากอย่างยากลำบาก

เจี่ยนถงบอกถึงสิ่งที่เธอรู้ ให้คุณหญิงเจี่ยนฟังด้วยวิธีที่ง่ายและชัดเจน "นั่นแหละ ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ ฉันไม่ใช่ลูกสาวของคุณ และไม่สามารถช่วยลูกชายของคุณได้ ตระกูลเจี่ยนไม่ขาดเงิน และคุณเจี่ยนก็ยังมีเครือข่ายอย่างกว้างขวาง ฉันเชื่อว่าถ้าคุณต้องการช่วยลูกชายของคุณด้วยเครือข่ายของเขา คุณควรจะสามารถหาคู่ที่ตรงกับลูกชายของคุณได้ ถ้าแม้แต่คุณที่เป็นคนของตระกูลเจี่ยนที่สง่างามก็หาไม่เจอ นั่นก็แสดงว่าฉันเป็นคนนอก และฉันไม่สามารถช่วยลูกชายของคุณได้ "

ผู้หญิงคนนั้นพูดจบอย่างสงบ แต่ถ้าคุณหญิงเจี่ยนไม่แสดงท่าทีตกใจออกไปในตอนนี้ ถ้าเธอใช้เวลาอีกเล็กน้อยเพื่อจ้องที่เจี่ยนถง เธอก็จะเห็นใบหน้าที่สงบและไม่แยแสของเจี่ยนถง กำลังเศร้าโศก

ถ้าเกิดว่า…ไม่มีคำว่าถ้า

ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถมองเห็นความโกลาหลภายใต้ท่าทางที่สงบ เธอไม่เห็นบาดแผลภายใต้ความเฉยเมยนั้นได้

ในที่สุดเจี่ยนถงก็จ้องไปที่หญิงที่สวมชุดจีนและเรียกเธอว่า "แม่" มายี่สิบปีว่า "คุณไปเถอะ อย่ารอช้า… รีบไปดูอาการของเจี่ยนโม่ป๋าย "

กับคำว่า "พี่ชาย" นั้น เธอก็ยังพูดออกมาไม่ได้

ไม่เพียงแต่ความเสียหายที่ตระกูลเจี่ยนได้ทำกับเธอเท่านั้น แต่นั่น ยังรวมถึงตัวตนของเธอที่ไม่ใช่สมาชิกในตระกูลเจี่ยนอย่างแน่นอน

“ไม่เอาน่าเสี่ยวถง!” คุณหญิงเจี่ยนจะปล่อยฟางเส้นสุดท้ายที่สามารถช่วยชีวิตนี้ไปได้อย่างไร?

เธอรีบวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของเธอ จับมือคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเธอแน่น กลัวว่าเธอจะทำให้หล่อนหนีไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอต้องไม่ยอมแพ้…เพื่อลูกชายของเธอ!

“เสี่ยวถง ลูกคือลูกสาวของแม่จริงๆ เรื่องในตอนนั้น แม่รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น!” คุณหญิงเจี่ยนกังวลมากจนลืมบอกความจริงกับเธอ และเธอก็สารภาพไปโดยบังเอิญว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น แต่เจี่ยนถงกลับไร้ความรู้สึก เพียงคิดว่าเจี่ยนถงไม่เชื่อ เธอจึงรีบพูดอย่างกระวนกระวายใจว่า

“ลูกไม่เชื่อที่แม่พูด แต่ลูกจะเชื่อท่านแก่เจี่ยนเสมอใช่หรือไม่?

ท่านแก่เจี่ยนเป็นคนฉลาด ถ้าลูกไม่ใช่สายเลือดของตระกูลเจี่ยน ท่านแก่เจี่ยนจะช่วยคนอื่นเลี้ยงหลานสาวได้อย่างไร?

คุณปู่ของลูกเป็นคนแบบไหน เสี่ยวถง ลูกรู้ดีกว่าแม่ ว่าท่านแก่เจี่ยนไม่ใช่คนที่จะช่วยเลี้ยงดูหลานสาวของคนอื่นอย่างแน่นอน และเขาจะไม่มีวันมอบที่ดินขนาดใหญ่เช่นนี้ให้กับคนนอก

ถ้ายังไม่เชื่อ ลองคิดดูสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกเมื่อตอนลูกยังเด็ก ท่านแก่เจี่ยนทำทุกอย่างด้วยตัวเอง และไม่ได้เสแสร้งเป็นคนอื่น แม้แต่พี่ชายของลูกก็ไม่สำคัญกับเขาอย่างลูก "

เมื่อมองไปที่ผู้หญิงที่ท่าทางดูวิตกกังวลอย่างยิ่ง ทันใดนั้น ความตกใจในใจของเจี่ยนถง ก็ไม่อาจเทียบได้กับการได้ฟังความฉลาดของคุณหญิงเจี่ยน ความอ่อนล้าก็เกิดขึ้นในทันใด

“แล้วอย่างไรต่อ? คุณหญิงเจี่ยนไม่ได้แยแสมาหลายปีแล้ว เพียงเพราะว่าคุณเข้าใจผิดว่าฉันไม่ใช่ลูกสาวของคุณ คุณไม่กล้าบอกใครในครอบครัวของคุณว่าคุณสงสัย เพราะคุณกลัวที่จะสูญเสียบัลลังก์ของคุณหญิงเจี่ยนไป ดังนั้นคุณมองดูฉันอย่างถูกๆ ผิดๆ ได้อย่างสบายใจ ใช่ไหม?”

“เสี่ยวถง ขอโทษ คือว่าแม่…”

“พอแล้ว ไม่ต้องพูดอีกแล้ว ฉันไม่สามารถช่วยคุณชายเจี่ยนได้ คุณหญิงเจี่ยน คุณอย่าลืม ในร่างกายฉันในตอนนี้ เสียไตไปข้างหนึ่งแล้ว”

ผู้หญิงตรงหน้าฉันกล้าพูดกับเธอได้อย่างไร? เธอต้องการให้คนพิการบริจาคไขกระดูกอย่างนั้นเหรอ?

สิ่งที่เจี่ยนถงไม่กล้ายอมรับก็คือ ตรงหน้าเธอ "แม่" ไม่เคยนึกถึงตัวเองเมื่อหล่อนไม่ได้ใช้เธอ และเฉพาะเมื่อหล่อนสามารถใช้เธอได้ ถึงจะคิดถึงเธอขึ้นมา

“เสี่ยวถง เพื่อลูกแล้ว ขณะเดินทางมาจากเมือง S ที่ห่างออกไปหลายพันไมล์ หัวใจของแม่รู้สึกผิดต่อลูก คิดถึงลูก”

“หุบปาก!” คุณหญิงเจี่ยนบ่นอย่างเศร้าสร้อย ทำได้เพียงบีบบังคับปีศาจในหัวใจของเจี่ยนถงออกมาเท่านั้น: “คุณหญิงเจี่ยน!” เธอเอามือล้วงกระเป๋าเสื้อ และอดทนต่อความเจ็บปวดอันยิ่งใหญ่ในหัวใจ เธอมองหญิงคนนั้นซ้ำไปซ้ำมา “คุณไม่ได้เดินทางเพื่อฉัน คุณเดินทางมาจนสุดทางเพื่อลูกชายของคุณ เจี่ยน โม่ป๋าย!”

ฉันเป็นลูกสาวของคุณหรือไม่?

ฉันใช่ไหม?

ถ้าใช่ ทำไมฉันไม่เคยรู้สึกถึงความอบอุ่นจากคนเป็นแม่เลยล่ะ?

ถ้าฉันไม่ใช่ ทำไมคุณถึงเอาแต่พูดว่าคิดถึงฉัน เพราะฉันเป็นลูกสาวของคุณ?

“จริงๆ แล้ว… คุณมาที่นี่เพื่ออะไร? มาเพื่อฉันจริงๆ เหรอ?

ใช่ ใช่แล้ว!

คุณมาเพื่อฉัน!

เพื่อไขกระดูกในร่างกายของฉัน! "

โดยที่ไม่รู้ตัว ยิ่งเธอพูดเสียงของเธอก็ยิ่งดังขึ้น จนเธอตะโกน เธอยังตะโกนใส่คุณหญิงเจี่ยนว่า "คุณไปซะเถอะ! ออกไป! ฉันไม่มีไขกระดูกเพื่อช่วยเจี่ยนโม่ป๋าย!"

จาวจาววิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าซีด และกอดเจี่ยนถงที่กำลังตื่นตระหนกไว้ "เถ้าแก่เนี้ยเถ้าแก่เนี้ย ใจเย็น ๆ ไม่ต้องตื่นตระหนกแล้ว"

แต่เจียนถงก็เหมือนภูเขาไฟที่เงียบสงัดมาหลายร้อยปีแล้ว คนคิดว่านี่คือภูเขาไฟที่ดับแล้ว แต่ ณ เวลานี้ จู่ๆ ก็ปะทุขึ้นมา ลาวาปะทุขึ้นนับไม่ถ้วน ด้วยแขนขาเล็กๆ ของจาวจาวจะหยุดแล้วภูเขาไฟที่ปะทุขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากสงบอยู่นานได้อย่างไร?

คอกๆๆ…เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังขึ้น จากที่ไกลและค่อยๆ ขยับมาใกล้ คนคนนั้นคว้าจาวจาวและดึงจาวจาวออกไป เหยียดแขนยาวออกมาและโอบกอดคนที่ตื่นตระหนกอยู่แน่น คนที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอ แม้จะผ่านเสื้อผ้า แต่ก็รู้สึกได้ว่าคนในอ้อมแขนตัวสั่นเทาอย่างรุนแรง เจ็บปวดไปทั้งหัวใจ และแขนที่แข็งแรงก็เพิ่มกำลังของเขาโดยไม่รู้ตัว และพูดด้วยเสียงต่ำข้างหูของเธอ

“ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่นี่แล้ว ไม่มีใครหน้าไหนทำร้ายเธอได้”

เจี่ยนถงตกใจอย่างกะทันหัน ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้น และมองเข้าไปในดวงตาของเขา… ในวินาทีต่อมา เธอยื่นมือไปและผลักเขาออกอย่างแรง "ทำไมคุณถึงกลับมาอีก?"

ชายคนนั้นเงียบ แต่ซีเฉินที่อยู่ข้างๆ พูดออกมาอย่างหงุดหงิด

“มีบางอย่างเกิดขึ้นที่บริษัทของอาซิว ก็เลยให้พนักงานกลับไปก่อน แล้วพอดีขณะที่กำลังเดินทางไปสนามบิน กับเธอ ซีเฉินชี้ไปที่คุณหญิงเจี่ยนขณะที่เขาพูด “เราผ่านแท็กซี่ที่เธออยู่ และหลังจากยืนยันว่าเป็นคุณหญิงเจี่ยน ก็เลยโทรศัพท์ไปหาอาซิว

คุณหญิงเจี่ยนกำลังมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ ทันทีที่อาซิวได้ยิน เขาก็โทรกลับทันที ฮ่าฮ่า~ ถ้าไม่ได้เป็นห่วงคุณ อาซิวจะไม่ย้อนกลับระหว่างทางไปโรงพยาบาลแน่ "

“ถ้าอย่างนั้นฉันขอร้องคุณเสิ่นจริงๆ ไม่ต้องห่วงฉันแล้ว ฉันกลัวว่าคุณเสิ่นจะคิดเรื่องนี้มานานเกินไปแล้ว ชีวิตมันไม่ได้ยืนยาวขนาดนั้น”

ซีเฉินได้ยินคำพูดที่เย็นชา ก็โกรธ "เจี่ยนถง ไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้ว แต่ปากของคุณคมกว่ามีดอีกนะ ไม่ว่าจะอวดดีแค่ไหน แต่ที่ศีรษะของอาซิวยังคงมีเลือดออก แต่ก็ยังรีบมาเพราะเป็นห่วง เจตนานี้ คุณก็ยังไม่สนใจ แถมยังพูดจากทำร้ายจิตใจอีกเหรอ?”

เมื่อได้ยินซีเฉินกล่าวว่าศีรษะของเสิ่นซิวจิ่นแตก เธอเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองที่ผ้าก๊อซที่เต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด มาถึงตอนนี้ปากที่เพิ่งพูดจาเสียดสีไปนั้น ก็เงียบลง

“จาวจาววันนี้มีคนรออยู่ที่เกสต์เฮาส์เยอะมาก เรียกพวกอาลี่มาส่งพวกเขาออกไปด้วย ถ้าใครสร้างปัญหา ก็โทรศัพท์แจ้งตำรวจได้เลย”

เธอเหยียดมือออกอย่างเหนื่อยๆ และขมวดคิ้ว คุณหญิงเจี่ยนไม่อยากจะเชื่อ ว่าเจี่ยนถงอยากขับไล่เธอออกไปมากขนาดนี้

“เสี่ยวถง แม่ขอร้องลูก! ลูกช่วยพี่ชายของลูก ได้ไหม? นะ?”

“ตระกูลเจี่ยนไม่ได้ขาดแคลนเงิน คุณเจี่ยนจะต้องไม่ละความพยายามที่จะช่วยคุณชายเจี่ยนแน่นอน อย่างไรก็ตาม คุณเจี่ยนก็มีคุณชายเจี่ยนเป็นลูกชายเพียงคนเดียว

“พ่อของลูก!” คุณหญิงเจี่ยนหลับตา และลืมตาขึ้นทันที และตะโกนใส่เจียนถงบนบันได

“พ่อของลูกมีลูกนอกสมรสอยู่แล้ว!”

พ่อของลูก มีลูกนอกสมรสมานานแล้ว

เจี่ยนถงตกตะลึง คราวนี้มันน่าตกตะลึงจริงๆ

เธอมองมาที่คุณหญิงเจี่ยน…ครอบครัวนี้ ครอบครัวนี้นี่มัน!

เธอไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนในตระกูลเจี่ยน และเธอไม่ได้นามสกุลเจี่ยนอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่เหรอ?

“เสี่ยวถง แม่ขอร้องนะลูกนะ!” คุณหญิงเจี่ยนหลั่งน้ำตา

ในใจของเจี่ยนถงพบว่ามันตลก เธอตลกจริงๆ และเมื่อเธอยิ้ม น้ำตาก็ไหลออกมา

“เสี่ยวถง?” คุณหญิงเจี่ยนกะพริบตา ไม่เข้าใจลูกสาวที่กำลังหัวเราะและร้องไห้ในขณะนี้ “ลูก…”

ต่อหน้าคุณหญิงเจี่ยน เสียงหัวเราะของเจียนถงดังขึ้นเรื่อยๆ ในตอนท้ายของเสียงหัวเราะ น้ำตาก็ไหลออกมา เธอนั่งยองๆ กับพื้น กุมท้องไว้ และหญิงสาวก็โบกมือให้คุณหญิงเจี่ยน "วันนี้ที่ฉันยิ้มได้ เป็นเพราะความทุ่มเทของคุณหญิงเจี่ยนก็ไม่ผิด"

ดวงตาของคุณหญิงเจี่ยนเบิกกว้างขึ้นทันที คิ้วที่บอบบางของเธอ เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ!

เธอ เธอ เธอ… "เสี่ยวถง ทำไมเธอถึงกลายเป็นแบบนี้!" คุณหญิงเจี่ยนมองลูกสาวของเธอที่กำลังหัวเราะอยู่ต่อหน้าเธอด้วยใจที่เศร้าโศก "โศกนาฏกรรมของครอบครัวเรา เธอทำให้มันเป็นเรื่องตลกได้อย่างไร?"

เจี่ยนถงไม่สามารถควบคุมเสียงหัวเราะของเธอได้อีกต่อไป แต่ว่า น้ำตาที่น่ารังเกียจเหล่านี้ ทำไมหยุดไม่ได้สักที?

หัวใจของเสิ่นซิวจิ่นถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ คุณหญิงเจี่ยนเห็นเสี่ยวถงยิ้ม แต่เขาเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นถูกบังคับให้อยู่ต่อหน้าทุกคน เผยให้เห็นร่างที่เปื้อนเลือดที่ฉีกขาดออกจากกัน

คุณหญิงเจี่ยนได้ทำร้ายร่างกายของเธอจนหมดสิ้นแล้ว แต่ผู้หญิงคนนั้นทำได้เพียงแค่ใช้เสียงหัวเราะเพื่อปกปิดผิวหนังและร่างกายของเธอภายในเท่านั้น

ในทันที เสิ่นซิวจิ่นรู้สึกเสียใจและโทษตัวเอง… คุณหญิงเจี่ยนทำร้ายเธอจนหมดตัว แต่เขาเองที่เป็นผู้ร้ายที่ส่งเธอไปลงนรก

เสี้ยววินาที เขาคิดอยากจะปล่อยเธอไป

แต่… จู่ๆ เขาก็เหยียดแขนออก อุ้มคนที่อยู่บนพื้นเข้ามากอดไว้แน่น "ฉันขอโทษนะ เสี่ยวถง ฉันขอโทษ" เขาพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่หญิงสาวอยู่ในอ้อมแขนของเขา แล้วฟังคำขอโทษ มันยากที่จะได้รับแสงแดดและความอบอุ่นเข้ามาในหัวใจของเธอ

เธอเอื้อมมือออกไปผลักออก แต่แขนเหล็กถูกล็อกอย่างแน่นหนา และชายคนนั้นพูดข้างหูของเธอ "ฉันขอโทษ เสี่ยวถง ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ" นัยน์ตาของชายผู้นั้นแดงก่ำราวกับกระหายเลือด เขาสามารถขอโทษเป็นหมื่นครั้ง เขาสามารถตายได้ แต่ไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากเจี่ยนถง "ฉันขอโทษ ฉันจะไม่มีวันปล่อยมือ" ฉันขอโทษ ฉันสูญเสียคุณไปไม่ได้

ผู้หญิงในอ้อมแขนของเขาตกตะลึง ร่างกายของเธอแข็งทื่อ และริมฝีปากของเธอเริ่มสั่นโดยไม่รู้ตัว "คุณ คุณเสิ่น" เธอหลับตา "ฉันไม่ต้องการคำขอโทษ ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะ"

ความเหน็ดเหนื่อยที่ไม่มีที่สิ้นสุด ถูกเติมเต็มเข้าไปในหัวใจ

คุณหญิงเจี่ยนจ้องไปที่ชายและหญิงที่กำลังโอบกอดกันอยู่ข้างหน้าเธอ เธออยากจะผู้หญิงในอ้อมแขนนั้น และขอร้องให้หล่อนช่วยลูกชายของเธอ แต่ชายหญิงคู่นั้นที่อยู่ข้างหน้าเธอ เกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด เธอเฝ้าดูทุกอย่าง แต่ก็ไม่พบช่องว่างที่จะสามารถแทรกเข้าไปได้เลย

ลู่หมิงชูยืนกอดอก มองดูทุกอย่างอย่างเฉยเมย

ความตื่นตระหนกของผู้หญิงคนนั้น การล่มสลายของผู้หญิงคนนั้น ความสิ้นหวังของผู้หญิงคนนั้น…เขาเข้าไปแทรกแซงไม่ได้!

ดวงตาของเขา จ้องไปที่ใบหน้าของชายอีกคนซึ่งค่อนข้างคล้ายกับเขา และความหึงหวงแทบจะกลืนกินเขา

ทำไมเป็นเป็นนาย?

ทำไมถึงต้องเป็นนาย?

ทำไมถึงเป็นฉันไม่ได้?

เขามอง ครุ่นคิด เขากำลังคิด เขาเงียบ… โอ้ ถ้าไม่ได้รับความรักจากเธอ ก็ให้เธอเกลียดไปเลยแล้วกัน

เขาตั้งใจมองอย่างลึกซึ้งอีกครั้งไปยังชายหญิงสองคนที่มีทั้งความรักและความเกลียดชังเชื่อมโยงกัน คนอื่น ๆ แทบจะไม่สามารถแทรกเข้าไปได้ ความเศร้าโศกในดวงตาของเขาราวกับมาจากความมืดของนรก

อืม เสิ่นซิวจิ่น ได้โปรด ไปตายซะ ตกลงไหม?

อืม เจี่ยนถง ได้โปรด เกลียดฉัน เป็นไปได้ไหม

ลู่หมิงชูเกิดในตระกูลเสิ่น และมีสายเลือดของตระกูลเสิ่น แม้ว่าเขาจะไม่ชอบสายเลือดนี้ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่า ในร่างกายของเขา ยังคงสืบทอดความโหดร้ายของตระกูลเสิ่นอยู่

เจี่ยนถงเป็นทั้งยาถอนพิษ และก็เป็นยาพิษ ลู่หมิงชูเหยียดมือออกและทาบไว้บนอกข้างซ้าย ริมฝีปากบางค่อยๆ ดึงรอยยิ้มที่ชั่วร้ายขึ้นมา "เจี่ยนถง หัวใจของฉันเดิมมันโหดเหี้ยม แต่เป็นเพราะคุณ ตอนนี้ ฉันสูญเสียหัวใจไปแล้ว"

เขาหันหลังและเดินขึ้นไปชั้นบน โดยไม่หันกลับมา ไม่สนใจเรื่องตลกข้างหลังเขาอีก ราวกับว่า ทุกสิ่งในฉากนั้น เป็นสิ่งแปลกหน้าที่ไม่คุ้นเคย และไม่เกี่ยวข้องกับเขา

ตุ้บ!

คุณหญิงเจี่ยนมองดูชายหญิงที่มิตรชิดกันอยู่ข้างหน้าพวกเขา เธอกัดฟัน หันหน้าไปทางเจี่ยนถงแล้วคุกเข่าลง “เสี่ยวถง! ช่วยพี่ชายลูกด้วย แม่คุกเข่าขอร้องลูก ลูกต้องการให้แม่ทำอะไรแม่ทำได้ทุกอย่าง!”แต่ได้โปรดเห็นแก่พี่น้องที่คลานตามกันมา เห็นแก่พี่ชายของลูก เห็นแก่พี่ชายที่เคยรักและหวงแหนลูก แม่ขอร้องนะ ช่วยชีวิตเขาด้วย บนโลกนี้ มีเพียงลูกเท่านั้นที่จะช่วยพี่ชายของลูกได้ ถ้าลูกไม่ช่วย พี่ชายของลูกก็ต้องตายเท่านั้น”

โฮ!

แสดงเก่งอะไรขนาดนั้น!

เจี่ยนถงมองไปที่คุณหญิงเจี่ยนที่กำลังคุกเข่าต่อหน้าเธอด้วยสายตาที่ซับซ้อน…คุณหญิงเจี่ยน ปากดีขนาดนี้ แสดงเก่งจนต้องยกรางวัลตุ๊กตาทองให้แล้ว!

ถ้าเธอไม่ช่วย เจี่ยนโม่ป๋ายจะต้องตาย และถ้าเจี่ยนโม่ป๋ายตาย ก็หมายความว่าเธอก็ฆ่าพี่ชายของเธอเอง!

นี่คือสิ่งที่คุณหญิงเจี่ยนจะสื่อออกมา

เธอมองไปที่เสิ่นซิวจิ่นที่ไม่ยอมปล่อยเธอไป และก็มองไปที่หญิงที่กำลังคุกเข่าอยู่ข้างหน้าเธอ คุณหญิงเจี่ยนกำลังบีบบังคับเธอให้ตาย… อา ข้างหน้ามีหมาป่าและมีเสืออยู่ข้างหลัง

เหนื่อย เธอยิ่งเหนื่อยมากขึ้น

“เอาเลย”เธอก้มศีรษะ เสียงของเธอแทบจะไม่ได้ยิน แหบแห้งและหยาบ คอของเธอแห้งและเจ็บด้วย ความเจ็บปวด จึงขยับคอ และกลืนน้ำลายเข้าไป แต่รสชาติกลับคาวราวกับเลือด “เอาเลย บีบบังคับฉันสิ” "

จาวจาวเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ไม่รู้อะไรเลย แต่ในขณะนี้ ดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังของเถ้าแก่เนี้ยของเธอที่อยู่กับเธอมาสามปีแล้ว

เถ้าแก่เนี้ยไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่จาวจาวรู้สึกว่า ถ้าเธอไม่หยุดยั้งหล่อน เถ้าแก่เนี้ยจะต้องตายต่อหน้าเธอ

จาวจาวกลัว แต่กระโดดออกมา ในมือถือไม้กวาด เหมือนซูเปอร์แมนผู้กล้าหาญ "พวกคุณห้ามบังคับเถ้าแก่เนี้ยต่อไปแล้ว!

เถ้าแก่เนี้ยก็เป็นคน! มีเลือดเนื้อและหัวใจ! "

เธอโบกไม้กวาดอย่างไม่เลือกปฏิบัติ และเป็นครั้งแรกที่เธอโบกไม้กวาดใส่ร่างของคุณหญิงเจี่ยน "ไป! คุณเป็นคนเลว! Memory Houseไม่ต้อนรับคุณ!"

คุณหญิงเจี่ยนถูกทุบตีจนรู้สึกอาย "นังเด็ก หยุดนะ" จาวจาวราวกับคนบ้า และเธอก็ชักไม้กวาดใส่คุณหญิงเจี่ยน "ฉันจะฆ่า

คุณ คนเลว จะฆ่าคุณให้ตาย! โทษฐานที่ข่มเหงรังแกเถ้าแก่เนี้ย โทษฐานที่บีบบังคับเถ้าแก่เนี้ย!”

คุณหญิงเจี่ยนไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับจาวจาวที่กำลังบ้าคลั่ง เธอและหลบและรีบวิ่งไปหาเจี่ยนถง "ลูก แม่เป็นแม่ของลูก ลูกต้องหยุดเด็กบ้าคนนี้… อ๊ะ!"

ก่อนที่จะพูดจบ เธอก็หมดสติไป

เสิ่นซิวจิ่นเห็นคุณหญิงเจี่ยนวิ่งไปข้างหน้า ด้วยสายตาที่เฉียบคมและมือที่ว่องไว แขนที่แข็งแรงที่กำลังโอบเจี่ยนถงไว้ ถอยกลับไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว นิ้วของคุณหญิงเจี่ยนได้เพียงคว้ามวลอากาศไว้ และเธอก็เดินโซเซอย่างเสียหลักแล้วล้มลง

“เสี่ยวถง?” หลังจากที่คุณหญิงเจี่ยนล้มลง เธอแทบไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนถง ดวงตาคู่นั้นดูเหมือนจะตำหนิ เจี่ยนถง “คุณกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?”ดวงตาของเธอ จ้องไปที่เจี่ยนถงอย่างประณาม แววตานั้น ราวกับว่าพวกเขาโทษเจี่ยนถง

“คุณ…” สีหน้าของเจี่ยนถงมีบางอย่างผิดปกติไป ใบหน้าของเธอก็แดงก่ำอย่างประหลาด ซีเฉินคิดว่านั่นมันแปลก เธอตัวร้อนมากไหม?

ในวินาทีถัดมา ก็ได้ยินแต่เสียงร้องที่อกหักของชายผู้นั้นว่า "เสี่ยวถง!"

“เร็วเข้า! ส่งโรงพยาบาล!”

คุณหญิงเจี่ยนคนงี่เง่า รีบลุกขึ้นและตามออกไป "เสี่ยวถง เสี่ยวถง … "

และชายที่อุ้มผู้หญิงคนนั้น ก็หยุดกะทันหัน หันศีรษะมา สีหน้าของเขาเกรี้ยวกราด กัดฟันพูด “ถ้ากล้าที่จะก้าวมาข้างหน้าอีกก้าว ฉันจะโทรหาเจี่ยนโม่ป๋ายตอนนี้และให้เขาตายตอนนี้!”

เมื่อลืมตาขึ้น เห็นห้องสีขาว

"ตื่นแล้วเหรอ?"

“ซีเฉิน?”

เธอกลอกตาอีกครั้ง เพื่อปรับสายตาให้เข้ากับแสงแดดจ้านอกหน้าต่าง และไม่ได้ถามว่าทำไมเธอถึงอยู่ในโรงพยาบาล

ความทรงจำบางส่วนหายไป และตอนนี้เธอตื่นขึ้น ความทรงจำที่แตกสลายเหล่านั้น กลับมาอีกครั้ง

เธอจำได้ว่า เป็นคุณหญิงเจี่ยน

ถามคนข้างๆ ช้าๆ ว่า "แล้วเธอล่ะ?"

"อาซิวไม่อยู่"

"ฉันถามถึงคุณหญิงเจี่ยน"

เมื่อซีเฉินได้ยินสิ่งนี้ ความโกรธก็พลุ่งพล่านออกมาจากเขา

“ในใจคุณ อาซิวเทียบไม่ได้กับคุณนายเจี่ยนเลยเหรอ?”เขาเยาะเย้ย “เจี่ยนถง คุณเคยรักเสิ่นซิวจิ่นบ้างไหม!”

ถ้าเกิดว่าเคยรัก ทำไมถึงเฉยเมยได้ขนาดนี้?

เมื่อเจี่ยนถงได้ยินคำพูดนั้น ความรู้สึกไร้สาระก็พุ่งออกมาจากหัวใจของเธอ

เธอมองไปที่ซีเฉินอย่างพินิจพิจารณา และจริงจังแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“คุณมองอะไร?” ซีเฉินที่ถูกมองรู้สึกเขินอายจนเปลี่ยนเป็นความโกรธ สายตาอะไรของเธอ?

เขาไม่คิดว่าคำพูดของเขา เป็นเรื่องน่าตลก

ผู้หญิงบนเตียงละสายตาจากเขา เธอมองผ่านหน้าต่าง และมองออกไปข้างนอก

“ฉันกำลังพูดกับคุณ! ไม่ได้ยินเหรอ?” ซีเฉินใจร้อนอย่างไม่มีเหตุผล เธอที่เป็นแบบนี้…เธอแบบนี้!

เขาไม่สามารถบอกได้ว่า กับเจี่ยนถงคนนี้ เขาไม่พอใจเธอตรงไหน

เพียงแค่เผชิญหน้ากับผู้หญิงตรงหน้าที่ชื่อเจี่ยนถง ก็หงุดหงิดอย่างอธิบายไม่ถูก

แต่ขณะที่หงุดหงิดอยู่ หางตาเขากวาดไปที่ผู้หญิงบนเตียง ทันใดนั้นเขาก็ตกตะลึง เขารู้สึกเพียงว่าโลกของเธอ ถูกห่อหุ้มไปด้วยกระจก และดูเหมือนว่าจะมีชั้นอากาศที่มองไม่เห็นปกคลุมอยู่ ทุกสิ่งจากโลกภายนอก ถูกตัดขาด

คนข้างนอก เข้าไปไม่ได้

คนที่อยู่ข้างใน ก็ไม่อยากออกมา

เป็นผลให้ มีการละเมิดที่แปลกประหลาดดังกล่าวปรากฏขึ้น

ผู้หญิงบนเตียงมองท้องฟ้านอกหน้าต่างอย่างเงียบๆ และชายที่อยู่หน้าเตียงมองผู้หญิงบนเตียงด้วยความงุนงง

สุดท้าย ซีเฉินถอนหายใจ และเป็นฝ่ายยอมแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้ก่อน เขาเข้าใจว่า ใครก็ตามที่ต้องการแข่งความอดทน และความแข็งแกร่งกับผู้หญิงคนนี้ จะต้องแพ้อย่างราบคาบ

ซีเฉินซึ่งเป็นคนแรกที่เข้าไปอยู่ในสนามรบ ได้ริเริ่มที่จะพูดออกมา

“รู้ไหมว่าคุณอยู่ในอาการโคม่าไปนานแค่ไหน?”

เขาหยิบแอปเปิลขึ้นมา ปอกเปลือก พลางพูดต่อว่า

“นี่เป็นวันที่สาม เห็นได้ชัดว่าไม่มีปัญหาใหญ่ และน่าจะตื่นนานแล้ว และไม่รู้ว่าทำไมปลุกแล้วคุณถึงไม่ตื่น” บางที อาจจะเหนื่อยเกินไป?

“อาซิวอยู่กับคุณที่โรงพยาบาลเป็นเวลาสองวันสองคืน เขารับโทรศัพท์เมื่อคืนนี้ และรีบขึ้นเครื่องบินส่วนตัวของท่านลู่ห้าและรีบไปที่เมือง S ในชั่วข้ามคืน”

ท่านลู่ห้า เจี่ยนถงเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ขุนนางในท้องถิ่น อารมณ์ไม่ค่อยดี และไม่เก่งในการสื่อสารกับผู้คน

โดยไม่คาดคิด ชายคนนั้นรีบขอให้ ท่านลู่ห้ายืมเครื่องบินส่วนตัว… เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ในดวงตาของเธอ มีร่องรอยของความกังวลซึ่งไม่ง่ายที่บุคคลภายนอกจะสังเกตพบ

ซีเฉินมองไปที่เธออย่างเฉยเมย และโกรธมากจนอยากจะโยนแอปเปิลในมือทิ้ง ถึงกระนั้น เธอก็ยังไม่เข้าใจ—เสิ่นซิวจิ่นประสบปัญหาใหญ่!

“ไม่เป็นห่วงสักนิดเลยเหรอ? ไม่สนใจความปลอดภัยของคนนั้นอีกต่อไปแล้วเหรอ?”

ซีเฉินวางแอปเปิลลง และจ้องไปที่ใบหน้าของผู้หญิงบนเตียง เขาไม่ต้องการที่จะพลาดการแสดงออกเล็กน้อยบนใบหน้าของเธอแม้แต่นิดเดียว

"บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป"

ครืน~

ราวกับฟ้าร้องอยู่ข้างหู!

สายตาที่เหม่อลอยของผู้หญิงบนเตียง ตกตะลึง!

ยักษ์ใหญ่อย่างบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป จะเปลี่ยนเจ้าของอย่างนั้นเหรอ?

บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป อาณาจักรของชายผู้นั้น จะล่มสลาย?

บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ที่สร้างจากหยาดเหงื่อทั้งหมดของคนนั้น!

นิ้วของเธอ จิกไปที่ผ้าปูที่นอนโดยไม่รู้ตัว

ซีเฉินตระหนักดีถึงความผันผวนในหัวใจของเธอ และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ถ้าเธอไม่สนใจอาซิวอีกต่อไปแล้ว ซีเฉินก็จะไม่เสียดายค่าใช้จ่ายทั้งหมด และปล่อยให้เธอ "เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ"

ใช่ เธอผ่านความยากลำบากมามาก แต่ซีเฉินไม่ใช่คนดีตั้งแต่แรก แม้ว่าทุกอย่างจะไม่ยุติธรรมกับเธอ ถ้าเพียงเธอตาย เขาก็จะสามารถไถ่อาซิวได้ และซีเฉินจะทำโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา

ความลำเอียง ก็คงจะถือว่าเป็นเช่นนั้น

แม้ว่าจะดีแค่ไหน แต่ไม่สนใจก็คือไม่สนใจ

อีกฝ่ายจะเลว แค่ไหนเขาก็เป็นคนดี และทุกคนต้องดีด้วย

“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่คุณจากไป อาซิวตาหาคุณอย่างบ้าคลั่ง

เขากล่าวว่า หากเขาเดินทางข้ามพรมแดนที่เขาสามารถไปถึงได้ แม้ว่าเขาจะต้องตายก็ตาม เขาจะไม่มีวันละทิ้งความตั้งใจที่จะตามหาคุณ

เขาทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน และอาชีพการงานของเขา ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ

แม้แต่เวลาพักผ่อนที่หายาก ทั้งหมดก็เคยชินกับการตามหาใครคนหนึ่งไปทั่วสารทิศ

เจี่ยนถง คนที่ใจเขาคิดถึงตลอดมา ก็คือคุณ "

เจี่ยนถงหงุดหงิดอย่างไม่มีเหตุผล และอารมณ์เสียใส่ซีเฉิน

“คุณมาบอกฉันเกี่ยวกับเรื่องนี้ทำไม! เกี่ยวอะไรกับฉัน?

ดูเหมือนว่าเสิ่นซิวจิ่นเป็นปราชญ์ความรักที่ยิ่งใหญ่ และเขามีความรักที่ลึกซึ้งต่อฉัน

ฉันแค่อยากจะขอร้องเขา ปล่อยฉันไปเถอะ

ต่างคนต่างอยู่ ทั้งสองไม่เป็นหนี้กัน นี่คือตอนจบที่ดีที่สุดระหว่างฉันกับเขา "

แล้วตอนนี้ล่ะ?

ส่งซีเฉินมาเป็นคนเกลี้ยกล่อม?

ร่างกายของเธอ แท้จริงแล้วมีอะไร ที่เสิ่นซิวจิ่นกังวลที่จะต้องการครอบครองหรือไม่?

ให้เขามาพูดด้วยตัวเอง!

“ซีเฉิน คุณมองมาที่ฉัน มองที่ฉันสิ!” เธอลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าที่ซีดเผือดของเธอ แดงระเรื่ออีกครั้ง เธอหอบอย่างรุนแรง และชี้ไปที่ตัวเอง

“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฉันปล่อยให้พวกคุณบีบบังคับ พวกคุณอยากให้ฉันทำอะไร ฉันก็ทำให้พวกคุณทุกอย่างที่ต้องการ

เป็นบุคคลที่ สามารถโยนธนบัตรมาให้หนึ่งกองแล้วบอกฉันว่า คุณ เจี่ยนถง กำเงินไว้ในมือแล้วทำให้เรามีความสุขหน่อยสิ "

เธอพยายามสุดความสามารถที่จะระงับอารมณ์ของเธอ "ฉันเคยรักเขา และฉันไม่ได้ปฏิเสธมัน

ในชีวิตของฉัน เจี่ยนถงคนนี้ ฉันรักเสิ่นซิวจิ่นคนเดียว และไม่เคยมีคนอื่นเข้ามาในใจ

แต่พวกคุณจะใช้ประประโยชน์จากความรักของฉันแบบนี้ไม่ได้ อย่ารังแกกันแบบนี้เลย! "

เธอกัดฟันพูดอย่างเด็ดขาด!

พวกคุณไม่สามารถใช้ประโยชน์จากความรักของฉัน มารังแกฉันได้!

ซีเฉินถึงกับตกตะลึง!

เขาไม่เคยนั่งกับเจี่ยนถงอย่างโดดเดี่ยวและเป็นทางการ และพูดคุยอย่างเปิดใจเลย

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาได้เห็นเพียงความหมกมุ่นระหว่างผู้หญิงคนนี้กับเสิ่นซิวจิ่น

เมื่อสองสามปีก่อน ดูเธอประจบประแจงไล่ตามอาซิว ดูยุ่งมาก

แล้วเรื่องแบบนั้นก็เกิดขึ้น

ในอีกไม่กี่ปีให้หลัง เห็นว่าเธอกลัวว่าอาซิวจะซ่อนตัวและมันก็สายเกินไป

ไม่ว่าเขา หรือยู่สิง ดูเหมือนว่ากับผู้หญิงคนนี้ พวกเขาไม่ได้สนใจมาตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าจะเรื่องความรักของเธอ หรือความกลัว

เขาและยู่สิงมองดูอย่างเย็นชา จนเธอวิ่งหนีไป และอาซิวก็แทบบ้า

แล้วเขากับยู่สิงก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไร แต่ในใจกลับโทษผู้หญิงคนนี้ เป็นเธอเองที่ทำให้อาซิวที่เย่อหยิ่งเย็นชาคนนั้น ไม่เป็นคนอีกทั้งสิ้น

แม้หลังจากได้รับวิดีโอจากกล้องวงจรปิด

ก็เป็นเขาและยู่สิงที่ เฝ้ามองด้วยสายตาเย็นชาตั้งแต่ต้นจนจบ เธอได้รับการปล่อยตัวจากคุก พวกเขาไม่เห็นความสิ้นหวังในดวงตาที่เหมือนน้ำที่นิ่งไม่ไหวติงของเธอ พวกเขาเพียงกอดอกยืนดู และพูดอย่างเสียใจว่า อ่า เจี่ยนถงที่ยิ่งยโสและมีชื่อเสียงบนหาดเซี่ยงไฮ้เมื่อตอนนั้น ทำไมถึงกลายมาเป็นหญิงสาวที่กลัวจนหัวหดอย่างนี้ไปได้

อย่างไรก็ตาม เจี่ยนถงอยู่ข้างหน้าเขาแล้วตอนนี้ เธอตะโกนเสียงดัง "พวกคุณไม่สามารถใช้ความรักของฉัน ในการกลั่นแกล้งคนอื่นแบบนี้ได้!" ซีเฉินรู้ว่า "พวกคุณ" ไม่เพียงหมายถึงเสิ่นซิวจิ่น แต่ยังรวมถึงเขาและยู่สิงด้วย

คำพูดเหล่านี้เท่านั้น ที่พอจะอธิบายได้ว่า ผู้หญิงคนนี้มีความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาและยู่สิงคิดอยู่ในใจ ชัดเจนมาก

เธอสามารถมองเขาและยู่สิงออกอย่างทะลุปรุโปร่งที่บังคับให้เธอก้มตาก้มตาประนีประนอม บังคับให้เธออยู่เคียงข้างเสิ่นซิวจิ่นต่อไปอย่างยุ่งเหยิง และเสียเวลาชีวิตทั้งชีวิตให้กับความสับสนวุ่นวาย

“ซีเฉิน”เจี่ยนถงสูดหายใจเข้าลึก ๆ เธอสงบลงแล้วในขณะนี้ "คุณคิดว่า ฉันและคนคนนั้น จุดจบควรเป็นเช่นไร?"

ซีเฉินเปิดปากของเขาและอยากจะพูดออกมาว่า คุณควรใช้ชีวิตให้ดี

เจี่ยนถงขัดจังหวะเขา

“ถ้าฉันฉลาดพอ ฉันควรจะเชื่อฟัง และทำตัวเป็นตุ๊กตา ฉันไม่ควรรู้ว่าคุณเสิ่นได้วางแผนอะไร สรุปได้ว่าเขาอยากได้ฉันเมื่อไหร่ฉันก็ต้องให้เขาอย่างเชื่อฟัง รอให้เขาเหนื่อย เบื่อ และรำคาญฉัน และไล่ฉันออกไปอีกครั้ง

ด้วยวิธีนี้ เขาได้รับความปรารถนาของเขา และพวกคุณก็พอใจเช่นกัน "

ซีเฉินตกตะลึง… ปรากฏว่าเธอซึ่งดูเหมือนจะไม่แยแสกับทุกสิ่ง จริงๆ แล้วในใจของเธอเข้าใจทุกอย่าง

“ซีเฉิน ผิวหนังและร่างกายเมื่อได้รับบาดเจ็บ มันก็สามารถหายได้ แต่บาดแผลในใจที่เกิดจากคำพูดคน เมื่อหายแล้วก็ยังคงทิ้งรอยไว้ " เธอให้รอยยิ้มที่ดูน่าเกลียดกว่าร้องไห้

“คุณจะให้ฉันทำตัวปกติเวลาเจอคนคนนั้นได้อย่างไร!”

ในขณะนี้ เมื่อเผชิญกับคำถามนี้ ซีเฉินไม่สามารถโต้แย้งได้ ความซับซ้อนและความลำเอียงทั้งหมดนั้น ภายใต้สายตาที่เต็มไปด้วยเจ็บปวดของผู้หญิงคนนี้ ซีดเผือดและอ่อนแรง

คุณให้ฉัน จะเผชิญกับคนคนนั้นอย่างไร?

จะให้อภัยได้อย่างไร?

จะยอมรับได้อย่างไร?

จะ… เชื่อได้อย่างไร!

ใครจะรู้ ผู้ชายคนนั้นจะมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรอีก? เขาบอกว่าเขาเกลียดเธอ ทำไมคนที่เสียชีวิตไม่ใช่คุณ บอกว่าคุณไม่คู่ควร และพูดว่าแม้คุณจะมีชีวิตอยู่คุณก็ต้องชดใช้ให้เซี่ยเวยเหมิง

ดูสิ~ เธอยังมีชีวิตอยู่

แต่ร่างกายรวมไปถึงจิตใจของเธอนั้นอ่อนล้า เป็นการยากที่จะประคับประคองความรักนั้นไว้ และก็ไม่มีความเข้มแข็งพอที่จะเกลียดชังเช่นกัน

แต่ระหว่างเธอกับผู้ชายคนนั้น ไม่มีทางบอกได้ชัดเจน ทุกอย่างพัวพันกันไปหมด มันเป็นเรื่องยุ่งเหยิงที่แก้ไม่ได้

สิ่งที่โหยหาในตอนนั้น ในตอนนี้กลับกลัวขึ้นมา

ผู้หญิงบนเตียงหลับตา… เธอยิ้มอย่างขมขื่น อาลู่ ไม่มีสวรรค์ในโลก และเอ๋อร์ไห่ก็ไม่ปลอดภัยนะ

เมืองS

ชายหนุ่มกลับมาในตอนกลางคืน และไม่ได้นอนเป็นเวลานาน ดวงตาสีแดงก่ำของเขา มาพร้อมกับคลื่นที่เย็นยะเยือก ที่คฤหาสน์ตระกูลเสิ่น เขาพบท่านแก่เสิ่นที่กำลังเล่นหมากรุกอยู่

"ทำแบบนี้ทำไม?"

บนใบหน้าของเขานอกจากดวงตาที่แดงก่ำเพราะไม่ได้นอนเป็นเวลานาน ทุกสิ่งทุกอย่างสงบเงียบ มองไปที่ชายชราอย่างเฉยเมย

เขาไม่ได้ดูด้วยซ้ำ ว่าคนที่กำลังเล่นหมากรุกกับชายชรานั้น เมื่อไม่กี่วันก่อนอยู่ในเกสต์เฮาส์ที่ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ด้วยเหมือนกัน และต่อสู้กับเขา นั่นก็คือลู่หมิงชู

“แกรักผู้หญิงมากกว่าอาณาจักรธุรกิจ แล้วจะให้ยกบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปให้แกทำไม? ฉันไม่ได้มีแกเป็นหลานชายคนเดียว”

เสิ่นซิวจิ่นไม่โกรธ เมื่อมองดูชายชรากำลังเล่นหมากรุก ดูเหมือนว่าเขากำลังชั่งน้ำหนักคำพูดของเขา

“แล้วแต่คุณ”เพียงครู่เดียว ชายหนุ่มก็พูดออกมาโดยไม่ได้สนใจ แต่ตาของเขาจับจ้องไปที่ชายชรา แล้วพูดออกมาอย่างเฉยเมยอีกว่า

“หากคุณมีความสามารถ คุณก็มาแย่งชิงบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ไปจากมือของฉัน”

เขาทำงานหามรุ่งหามค่ำมาหลายปีแล้ว คิดแต่เรื่องแผนที่ขยายอาชีพอย่างต่อเนื่อง และมีแต่ความยุ่งเหยิงและการขยายตัวอย่างต่อเนื่องแบบนี้เท่านั้น ที่จะเติมเต็มหัวใจที่ว่างเปล่าของเขาได้ แต่ก็ยังไม่ดีเท่าผู้หญิงคนนั้น

แต่ยังดีกว่า ไม่มีเลย

อย่างไรก็ตาม เขาต่อสู้ในแนวหน้า แต่ลืมว่าสนามหลังบ้าน ก็ต้องจัดระเบียบใหม่หลังจากการขยายตัว

เมื่อมองไปที่ชายชรา เสิ่นซิวจิ่นหันหลังกลับ และจากไปโดยไม่หันกลับมามอง… เขาไม่เคยคิดว่า คนที่ก่อไฟในเบื้องหลัง แท้จริงแล้วเป็นปู่แท้ๆ ของเขาเอง

สำหรับสิ่งที่ลู่หมิงชูต้องการ เขาจะไม่ยอมให้

ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป หรือเสี่ยวถงก็ตาม

เวลาล่วงเลยจนเริ่มค่ำเสียงจากผู้คนก็เริ่มเงียบลง

มีเพียงห้องเดียวภายในตึกของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ที่ยังมีแสงสว่างอยู่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของมหาอำนาจแห่งบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป

ที่โต๊ะทำงาน ปลายนิ้วของชายคนนั้นยังคงแตะบนแป้นพิมพ์ และเสียงเคาะทุกเสียง ราวกับกับม้าสีทองที่กระทืบพื้น เหมือนกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ดวงตาสีเข้มของชายผู้นี้ ราวกับคมมีด ที่เฉียบแหลมและเฉียบคม ล็อกแน่นทุกจุดบนหน้าจอ

เมื่อสามปีที่แล้ว เขาไล่ท่านแก่เสิ่นออกจากบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ในช่วงสามปีที่ผ่านมา เขายุ่งอยู่กับการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง แต่กลับให้โอกาสผู้คนที่มีใจ แต่ผู้คนในบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน เขาจึงส่งคนมาทำการสอดแนมอย่างลับๆ

เขาไปที่ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ และในที่สุด ก็ถึงเวลาที่ท่านแก่เสิ่นเฝ้ารอ ที่จะรวมตัวกันทั้งภายในและภายนอก และโจมตีพร้อมกัน!

ดี!

ดีมาก!

ในนี้ มีฝีมือของตระกูลเจี่ยนจริงๆ!

นิ้วที่เรียวยาว หยุดกะทันหัน ดวงตาของเขาลึก และริมฝีปากบางของชายคนนั้นก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้น เมื่อเทียบกับความเย็นในดวงตาของเขา ดูเหมือนไม่จริงเลย

"เจี่ยนเจิ้นตง เจี่ยนเจิ้นตง" ขณะที่ชายคนนั้นพึมพำคำสามคำนี้ นิ้วชี้อันทรงพลังของเขา เคาะไปที่โต๊ะ และรอยยิ้มที่มุมปากของเขาก็กว้างขึ้นและสดใสขึ้น

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในสำนักงานที่ว่างเปล่าไร้ซึ่งพนักงานคนอื่นๆ

หลังจากเหลือบมอง ชายคนนั้นหยิบมันขึ้นมา โดยไม่พูดอะไร

ฝ่ายตรงข้ามกล่าวด้วยความเคารพว่า

“Boss เรื่องที่ท่านมอบหมายให้ทำ ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว

เจี่ยนเจิ้นตงมีบ้านอีกที่อยู่ข้างนอกจริงๆ และเด็กนอกสมรสคนนั้นจะอายุสิบขวบในปีนี้ "

“อืม”เสิ่นซิวจิ่นเหล่มอง และจ้องมองไปที่คำเล็กๆ ในบรรทัดหนึ่งบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ดวงตาของเขาฉายแววดุร้ายและ

เป็นประกาย “พยายามหาคู่ที่ตรงกับลูกชายคนสุดท้องของเจี่ยนเจิ้นตง”

“Bossคุณคิดว่า?”

“เจี่ยนโม่ป๋ายป่วยใกล้จะตายแล้วไม่ใช่เหรอ?” ดวงตาของเขายิ้มถากถาง “เจี่ยนเจิ้นตงสุนัขที่เลี้ยงไม่เชื่อง เขาคิดว่าการมีลูกชายคนเล็ก ชีวิตของลูกชายคนโตไม่ใช่ธุระของเขา”ชายหนุ่มพูดอย่างเย็นชา "เขาคิดแบบโลกสวย!"

ที่ปลายสายของโทรศัพท์ เสิ่นเอ้อชะงักไปชั่วขณะ แต่เขารู้ว่า ถึงแม้ว่าBossจะโหดร้ายไป แต่จุดประสงค์อาจเป็นเพียงเพื่อคุณหนูเจี่ยน

แต่Bossไม่ได้บอก เสิ่นเอ้อก็จะไม่ถาม และทำเพียงตอบกลับด้วยความเคารพ "ครับ"

อย่าว่าแต่เรื่องอื่นเลย เรื่องที่ลูกชายคนเล็กของเจี่ยนเจิ้นตงสามารถจับคู่ลูกชายคนโตของเขาได้สำเร็จหรือไม่ เรื่องนี้ต่างหากที่สำคัญ

นอกจากนี้ สิ่งที่Bossทำตอนนี้ กับวิกฤตของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันมากนัก อย่างมากที่สุดมันคือการสร้างปัญหาให้ เจี่ยนเจิ้นตง และทำให้ตัวเองไม่สบายใจ

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เสิ่นเอ้อรู้สึกเสียใจแทนBossของเขาผู้ซึ่งเป็นBossคนเดียวในหัวใจของเขา

เห็นได้ชัดว่าเขาใส่ใจBossของเขามาก

……

ช่างนี้ เมืองSเกิดสถานการณ์คับขันขึ้น และทุกคนกังวลใจไปหมด

ณ บริษัทลู่ซื่อกรุ๊ป ตัวตนของลู่หมิงชู ที่จริงเป็นลูกชายของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป แม้ว่าเขาจะเป็นบุตรนอกสมรสอย่างลับๆ ก็ตาม

ในวันเกิดของท่านแก่เสิ่น เขาได้เชื้อเชิญแขกจากทั่วสารทิศมาร่วมงาน และในงานเลี้ยงสังสรรค์ของเหล่าคนดังในแวดวงการเมืองและธุรกิจที่มารวมตัวกันนั้น เขาได้ประกาศถึงตัวตนของลู่หมิงชู ลูกชายของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป

ผู้ที่มีประสาทรับกลิ่นที่ไวกว่า และผู้ที่มีประสาทรับกลิ่นที่ฉลาดกว่า ก็จะได้กลิ่นที่แตกต่างกันในทันที

ท่านแก่เสิ่นตบหน้าเสิ่นซิวจิ่น!

ที่งานเลี้ยง บนตัวเสิ่นซิวจิ่นเต็มไปด้วยออร่าที่เย็นยะเยือก

ผ่านพ้นคืนเดียว วันรุ่งขึ้น หนังสือพิมพ์รายใหญ่และสื่อกระแสหลักรายใหญ่ รายงานข่าวทีละฉบับ ครอบคลุมเกือบทั้งหน้าแรกของหัวข้อข่าว!

บ่ายวันนั้น ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ออกข่าว โดยอ้างว่าท่านแก่เสิ่นแห่งบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปตั้งใจจะแต่งตั้งลู่หมิงชูบุตรชายอีกคนของตระกูลเซินให้เป็นผู้สืบทอดตระกูล

เดิมทีเป็นเพียงข่าวลือ และไม่มีบทบาทสำคัญอะไร

อย่างไรก็ตามในหน้าแรกบนหนังสือพิมพ์ของอีกสองวันถัดมา บริษัทลู่ซื่อกรุ๊ปได้ออกแถลงการณ์ โดยประกาศว่าจะร่วมมือกับบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปอย่างจริงใจ เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการเกาะชื่อหยู่

ข่าวนี้ ไม่เหมือนการตอบรับจากความร่วมมือของทั้งสองฝ่าย แต่เหมือนการตอบสนองต่อการที่ลู่หมิงชูจะได้เป็นผู้สืบทอดตระกูลเสิ่น ที่เรียกว่านางฟ้าลงสนามต่อสู้ มารต้องยอมหลีกทาง

อยู่ดีๆ โครงสร้างของเมือง S ก็โกลาหล ก่อนที่จะเห็นได้ชัดเจน ไม่มีใครกล้าขยับไปไหน เกรงว่าจะทำให้ฝ่ายหนึ่งขุ่นเคือง และตายไป

บริษัทลู่ซื่อกรุ๊ปกล่าวว่า ในตอนบ่าย มีข่าวชิ้นหนึ่ง ทำให้ผู้คนรู้สึกงงงวย บริษัทเจี่ยนซื่อกรุ๊ประบุทันทีว่า พวกเขาจะทำงานร่วมกับ บริษัทลู่ซื่อกรุ๊ป เพื่อให้ได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

ตระกูลเสิ่น สมาชิกในตระกูลเสิ่นสองคนกำลังทะเลาะกัน และคนแรกที่ออกมาพูด เป็นตระกูลเจี่ยนอย่างไม่ต้องสงสัย

คนที่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเสิ่นกับตระกูลเจี่ยน มีจำนวนไม่น้อย

เจี่ยนเจิ้นตงผู้นำตระกูลเจี่ยนยืนกรานที่จะเรียกร้องความยุติธรรม ร้องกล่าวหาเสิ่นซิวจิ่นผู้นำตระกูลเสิ่นคนปัจจุบันในข้อหาต่างๆ ซึ่งข่มเหงลูกสาวของเขา เจี่ยนถง

ทันใดนั้น บนอินเทอร์เน็ต บล็อกหลักสนับสนุนก็โพสต์ประกาศ ในบทความ มีเนื้อหาจากมุมมองพ่อซึ่งก็คือเจี่ยนเจิ้นตง ได้อธิบายอดีตต่างๆ ว่าลูกสาวของเขาเจี่ยนถงถูกข่มเหง และเจี่ยนถงถูกบังคับให้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อสามปีที่แล้ว และไม่ได้กลับบ้านมาหลายปีแล้ว

บทความนี้เรียกน้ำตาเป็นอย่างมาก ความเจ็บปวดและใจสลาย เป็นพ่อที่รักลูกสาวสุดที่รักอย่างสุดหัวใจ ด้วยสายใยแห่งรัก ผู้คนแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ความเห็นอกเห็นใจของพวกเขาท่วมท้น

ตั้งแต่นั้นมา ข่าวในอินเทอร์เน็ตก็ดังระเบิด และเสิ่นซิวจิ่นก็กลายเป็นหนูสกปรก ทุกคนต่างพากันตะโกนด่าทอและทุบตีเขา

ไม่นานนัก ก็มีผู้ชุมนุมมากมาย ที่ล่างตึกของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ผู้คนมักรวมตัวกัน เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมสำหรับลูกสาวของตระกูลเจี่ยนผู้น่าสงสารที่ถูกข่มเหง

ท่ามกลางการประท้วงนี้ มีประเด็นร้อนแรงอีกครั้งบนอินเทอร์เน็ต—–ประธานแห่งบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป จิตสำนึกของคุณอยู่ที่ไหน! นรกอยู่ไม่ไกล คุกรอคุณอยู่!

ราคาหุ้นของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปก็ตกลงมาเรื่อยๆ

ในเวลานี้ ที่การประชุมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ความลับล่าสุดได้รั่วไหลออกไป และผลิตภัณฑ์ใหม่ได้โจมตีบริษัทขนาดเล็กที่ยังไม่มีชื่อนัก

เรื่องอื้อฉาว! เรื่องอื้อฉาวครั้งใหญ่!

"ข่าววันนี้" พาดหัวข่าวในหน้าแรก —- บริษัทยักษ์ใหญ่เสิ่นซื่อกรุ๊ปคัดลอกผลิตภัณฑ์ของวิสาหกิจขนาดเล็กของนักศึกษา บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป สไตล์ของตัวเองอยู่ไหน!

แค่ดูหัวข่าว ก็เร้าใจพอแล้ว!

ราคาหุ้นของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปตกลงมาอย่างต่อเนื่องภายในหนึ่งสัปดาห์ และตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวในการขโมยความคิดของนักศึกษาวิทยาลัย และได้ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในประวัติการณ์

“บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเสิ่นซื่อกรุ๊ป เจ้าตัวโต ดูสิ นี่แค่สัปดาห์เดียว เจ้าใหญ่ในตอนแรกก็ถูกพายุพัดถล่มไปแล้ว”กรรมการคนอื่นๆ พูดคุยกันขณะประชุมกันเป็นการส่วนตัว

บอกว่าน่าเสียดาย แต่ที่จริงพวกเขากำลังมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น

บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปไม่ได้กระทบต่อเสิ่นซิวจิ่นเพียงคนเดียว การลดลงของราคาหุ้นของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปเกี่ยวข้องกับผู้ถือหุ้นทุกราย ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ได้ร่วมกัน ขอให้บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปเปลี่ยนความเป็นเจ้าของและให้เสิ่นซิวจิ่นลาออกจากตำแหน่งผู้บริหาร

แม้ว่าเสิ่นซิวจิ่นจะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ แต่เนื่องจากการขยายธุรกิจมาเป็นเวลาสามปี เขาจึงไม่สามารถทำความสะอาดสวนหลังบ้านได้ทันเวลา ทำให้เขาต้องนิ่งเฉยมากในขณะนั้น และส่วนทุนของเขาถูกลดทอนลง

ในขณะนี้ ผลลัพธ์ก็ชัดเจนแล้ว ต้นไม้ล้มลง และความหิวกระหายก็กระจัดกระจาย ผู้คนต่างเหยียบย่ำ โดนเจ้าของธุรกิจรายอื่นตอบโต้กลับมา ดังนั้นจะต้องไม่ปล่อยให้ตระกูลเจี่ยนดูดีอยู่ฝ่ายเดียว

“เนื่องจากตระกูลเจี่ยนเป็นคนแรกที่กินปู ดังนั้นจึงปล่อยให้เขากินปูทั้งหมดเพียงลำพังไม่ได้”

บริษัทหลายฝ่ายเริ่มเลือกจุดยืนของตน ส่วนบริษัทพัมนาอสังหาริมทรัพย์จางซื่อ หวังซื่อเอ็นเตอร์เทนเม้นท์และเทคโนโลยี่สารกึ่งตัวนําอู๋ซื่อกรุ๊ปเป็นที่สะดุดตาที่สุด พวกเขาไปที่บริษัทลู่ซื่อกรุ๊ป และส่งจดหมายมอบตัวให้ลู่หมิงชู

เจตนาทั้งหมดคือการแบ่งปันผลประโยชน์กันใหม่อีกครั้ง

วันที่สิบ

ใบหน้าของเสิ่นซิวจิ่นซีดเล็กน้อย และไป๋ยู่สิงโทรศัพท์มาหาเขา "พรุ่งนี้มีการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นใช่ไหม?"

"อืม"

“ใจของท่านแก่ก็โหดร้ายพอแล้ว” ไป๋ยู่สิงคำรามอย่างเย็นชา “ที่คราวนี้ต้องเจอเรื่องสาหัสขนาดนี้…ท่านแก่เพียงต้องการให้คุณน้อมตัวหน่อย หยุดคิดถึงผู้หญิงคนนั้น”

“เป็นไปไม่ได้”เขาตอบ ริมฝีปากบางของเสิ่นซิวจิ่นซีดขาว ผิวของเขาก็ซีดลงเล็กน้อยเช่นกัน แต่เขาตอบได้อย่างมั่นใจ

มีเสียงเย้ยหยันจากปลายสาย "ฉันจะถามคุณ ว่ามันคุ้มค่าไหม?"

"ฉันเสียซี่โครงไปไม่ได้" เธอเปรียบเสมือนซี่โครงบนร่างกายของเขา

การประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างที่สุด ไม่เพียงแต่ผู้ถือหุ้นและผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปเท่านั้นที่มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด แต่ผู้คนจากทุกสาขาอาชีพภายนอกต่างตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ

หากบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ ดังนั้นเสิ่นซิวจิ่น ก็คือจักรพรรดิที่ยืนอยู่บนยอดของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้และกำลังมองลงมายังสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย

บนโลกนี้ ยังจะมีเรื่องอะไร จะเทียบได้กับการได้เห็นจักรพรรดิผู้สูงส่ง ไม่สามารถบรรลุดังประสงค์ได้ และถูกทุบจนเป็นผงธุลีและกลายเป็นดินโคลน และทำให้ผู้คนอ้าปากค้างได้อีก?

บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป

ในห้องประชุม

ในการประชุมโต๊ะกลม ผู้ถือหุ้นจำนวนมาก มาแต่เช้า และนั่งรออยู่แล้วที่โต๊ะประชุม

ในความเร่งรีบ ผู้ถือหุ้นในห้องประชุม นำโดยจางต๋า เขายืนขึ้นและพูดว่า "ท่านแก่เสิ่นมาแล้ว"

ตำแหน่งการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจางต๋าเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยม ส่งยิ้มทักทาย สายตาของเขาจับจ้องไปที่ชายหนุ่มข้างๆ ท่านแก่เสิ่นอีกครั้ง เขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง “ท่านแก่เสิ่น นี่คือหลานชายคุณใช่ไหม ครั้งสุดท้ายในวันเกิดของท่าน ผมที่เห็นจากระยะไกล ก็ยังรู้สึกว่าหลานชายคุณนั้นไม่ธรรมดา

เป็นเรื่องบังเอิญของวันนี้ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นหลิงซุนในระยะใกล้เช่นนี้ ด้วยตาของตัวเอง "

จางต๋าฉลาดและโฉบเฉี่ยว ในโลกธุรกิจ หลายคนรู้ความจริงในข้อนี้

ลู่หมิงชูมองไปที่มือของจางต๋าที่ยื่นออกมา และยิ้มจางๆ เขาเอื้อมมือออกไปจับไว้ แต่ก็รีบปล่อยมืออย่างรวดเร็ว

จางต๋าตกตะลึง ดวงตาเป็นประกาย และกะพริบตา บนใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มแสดงไมตรีขึ้นอีกครั้ง พยายามผูกมิตรกับลู่หมิงชู

ลู่หมิงชูขมวดคิ้วอย่างไร้ร่องรอย ปกปิดร่องรอยของความเบื่อหน่ายไว้ใต้ตาของเขา

เกี่ยวกับนิสัยของจางต๋านั้น เขาก็เคยได้ยินมาบ้าง

เป็นคนพูดดี เรียกว่าใช้กลอุบายเพื่อเอาตัวรอดเก่ง และฉลาดหลักแหลม เรียกได้ว่าเป็นนกสองหัวได้เลยทีเดียว

เมื่อสามปีที่แล้ว ที่ท่านแก่เสิ่นถูกเสิ่นซิวจิ่นไล่ออกจากประโยชน์ศูนย์กลางของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป แต่จางต๋าคนนี้กลับไม่ทำอะไรเลย

สามปีต่อมา เพื่อผลประโยชน์ของจางต๋าคนนี้ เขาสามารถหันปืนของเขา และเข้ามายืนในทีมของท่านแก่เสิ่น… ทีมของจางต๋า ได้พบกับท่านแก่เสิ่นเป็นการส่วนตัว และกำหนดเงื่อนไขว่า จางต๋าจะต้องไม่มีวันละเมิดสัญญา เมื่อเงื่อนไขนี้เป็นสำเร็จลุล่วง อำนาจทางธุรกิจของจางต๋าจะสูงขึ้นอีกระดับ

คนแบบนี้ เป็นลูกสามพ่อในเรื่องสามก๊ก ลู่หมิงชูจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลแบบนี้ได้อย่างไร?

แค่เป็นการให้เกียรติโดยผิวเผิน

หลังจากการทักทาย ท่านแก่เสิ่นก็ขมวดคิ้วอย่างกะทันหัน “ตอนนี้กี่โมงแล้ว?”ยกกำปั้นขึ้นและกระแอมสองครั้ง และถามพ่อบ้านใหญ่ที่อยู่ข้างหลังเขา

“เก้าโมงห้าสิบเก้าแล้วครับ คุณท่าน”

สิบโมงเช้า คือเวลาที่การประชุมผู้ถือหุ้นจะเริ่มต้นขึ้น

ท่านแก่เสิ่นสูดจมูกอย่างเย็นชา “ถ้าถึงเวลาแล้วยังมีคนมาไม่ถึง ก็ถือว่าตัดสิทธิ์งดออกเสียงไปเลย”

จางต๋ายิ้มพร้อมกับพยักหน้า “สิ่งที่ผู้ท่านแก่เสิ่นพูดนั้นถูกต้อง การประชุมผู้ถือหุ้นจะมาช้าได้อย่างไร? ช่างหยิ่งผยองยิ่งนัก นอกจากนี้ยังมีท่านแก่เสิ่นนั่งอยู่ที่นี่ด้วยอีก”

พูดตรงๆ ว่า ในสายตาของเสิ่นซิวจิ่นไม่ได้มองที่ท่านแก่เสิ่นเลย

ลู่หมิงชูไม่ได้พูดอะไร มีเพียงริมฝีปากบางของเขาเท่านั้นที่โค้งเล็กน้อย…เกือบจะเป็นนกหงส์ที่ขนร่วงไปแล้ว ไอ้แซ่เสิ่นนั้นยังกล้าทำตัวใหญ่ตัวโตอีก

มือที่วางไว้บนเข่าของเขา กำหมัดแน่น…เจี่ยนถง รอจนกว่านามสกุลเสิ่นจะไม่เหลืออะไร แล้วฉันจะรอดูว่าคุณจะสงบลงได้ไหม!

ใบหน้าของหญิงสาวยังคงโผล่มาในหัวเขา

มันสงบ ราวกับน้ำนิ่ง และไม่สามารถทำคลื่นใดๆ ได้… เขาคิดเสมอว่า เจี่ยนถง เป็นแบบนี้

แต่ ไม่ใช่ ไม่ใช่เลย ผู้หญิงคนนั้นมีอารมณ์แปรปรวน มีความรู้สึกกระวนกระวาย สามารถตะโกนเสียงดัง และเยาะเย้ยเสียงดังได้!

ทั้งหมดนี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา แต่เกี่ยวข้องกับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น

ครั้งแรก ที่เขาเห็นใบหน้าที่ตื่นเต้นของหญิงสาว ลู่หมิงชูตกใจ… เจี่ยนถงที่เขารู้ ดูเหมือนจะถูกทิ้งให้อยู่ลำพังในโลกแห่งชีวิตจริง

ปรากฏว่า ภายใต้ผิวหนังและร่างกายที่เหมือนน้ำนิ่ง กลับมีจิตวิญญาณ มีชีวิต เธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ต้องพัวพันอยู่กับคนคนนั้นเท่านั้น!

แม้จะเกลียดชังทางอารมณ์ แต่หากปราศจากความรักที่สับสนอลหม่าน ความเกลียดชังที่ปั่นป่วนจะก่อตัวขึ้นได้อย่างไร!

เขาต้องการให้ผู้หญิงที่มีแววตาอ่อนล้า และสงบราวกับน้ำนิ่งคนนั้น ใจเต้นเพราะเขาสักครั้ง!

ทุกอย่างของเสิ่นซิวจิ่น เขาจะยึดมันมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป หรือความเกลียดชังของผู้หญิงคนนั้น!

เสียงที่เย็นชาดังขึ้นมาข้างหู "จางต๋าประกาศซะ เสิ่นซิวจิ่นมาสาย และถูกให้งดออกเสียง"

คำพูดของท่านแก่เสิ่น ไม่ได้แสดงความเมตตาใดๆ โดยเห็นแก่เสิ่นซิวจิ่นเป็นหลานชายของเขา

จางต๋ายังไม่ทันได้พูดอะไร

ประตูห้องประชุม ก็ถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน

น้ำเสียงเย็นชา ไม่สูงไม่ต่ำ แต่กลับบีบคั้นหัวใจคนฟังนั้นได้ “ฉันไม่ได้มาสายใช่ไหม”แม้จะเป็นการซักถาม แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะรอให้คนอื่นตอบ ชายคนนั้นสวมชุดสูททอมือ แล้วเดินไปที่หน้าโต๊ะประชุมเพียงลำพัง

ที่นั่งประธาน ท่านแก่เสิ่นกำลังนั่งอยู่ที่นั่น

ไม่จำเป็นต้องสั่ง เสิ่นเอ้อที่อยู่ข้างหลังก็จัดแจงเลื่อนเก้าอี้ให้เรียบร้อยแล้ว และเขาก็นั่งอยู่ในที่นั่งประธานเคียงข้างกับท่านแก่เสิ่น และช่วยBossของเขาที่เขาจงรักภักดี

ทุกคนในห้องประชุมเห็น ชายที่สูงตระหง่าน สง่างามและทรงพลังผู้นั้น นั่งอยู่ข้างๆ ท่านแก่เสิ่นอย่างไม่สุภาพ

ทันใดนั้น เขาก็ได้รับบางอย่าง ที่ที่เขานั่งคือที่นั่งตำแหน่งประธาน และคนที่นั่งตรงหน้าท่านแก่เสิ่นก็คือตัวประกอบ

ลู่หมิงชูมองไปที่เขาอย่างแผ่วเบา และยิ้มแปลกๆ ที่มุมปากของเขา… เสี่ยวถง คุณดูสิ คนที่คุณรักและเกลียดชังเพราะอารมณ์แปรปรวน ไม่รู้ตัวเองว่ากำลังจะตาย

ที่โต๊ะประชุมโต๊ะกลม สีหน้าแววตาของผู้คนดูแปลกไป

รูปลักษณ์ของเสิ่นซิวจิ่นไม่เปลี่ยนแปลง

แต่ไม่ว่าเขาซ่อนมันได้ดีเพียงใด ผู้คนต่างก็สังเกตเห็นใบหน้าซีดของเขา

สายตาของบางคนก็ชัดเจน… ลองคิดดูแล้ว สิบวันที่ผ่านมานี้มันยากสำหรับเสิ่นซิวจิ่น

ก็ใช่ ในระยะเวลาแค่สิบวันเอง โลกทั้งใบกลับตาลปัตรไป

ภายใต้ วิกฤตของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป

นอกนั้นยังมีเรื่อง การละทิ้งภรรยา และข่มเหงลูกสาวของตระกูลเจี่ยนผู้บริสุทธิ์อีก

เขา—เสิ่นซิวจิ่น ชายผู้เป็นเหมือนพระเจ้า ถูกนำลงมาจากสวรรค์เรียบร้อยแล้ว

ในที่สุดท่านแก่เสิ่นก็พูดขึ้นว่า “ฉันจะถามแกเป็นครั้งสุดท้าย”

ยังไม่ทันที่ท่านแก่จะเอ่ยปากถาม

“อย่าถาม” เสียงอ่อนโยนของชายข้างๆ เขา พูดอย่างหนักแน่น

“ฉันรู้ว่าท่านแก่เสิ่นจะถามอะไรฉัน”

ดวงตาสีดำขลับคู่นั้น มองเข้าไปในดวงตาที่โกรธเกรี้ยวของท่านแก่เสิ่น

“คำตอบของฉัน ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม”

เหมือนเดิม!

เขาพูดมาแค่ประโยคเดียว คำตอบ เหมือน เดิม!

ท่านแก่เสิ่นกัดฟันแน่น!

จ้องมองที่หลานชายที่อยู่ข้างเขาอย่างโกรธเคือง

ไม้เท้าในมือ กระแทกพื้นอย่างแรง แล้วเขาก็หัวเราะขึ้นมาอย่างโกรธจัด

"ก็ดี! ในเมื่อคำตอบของแก เหมือน เดิม!"

เขาทักทายทุกคน "คราวนี้การประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ถูกเรียกประชุมเพื่อจุดประสงค์อะไร ทุกคนที่มาเข้าร่วมในวันนี้ก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว และฉันจะไม่ต่อความยาวสาวความยืดอีกต่อไป"

นิ้วของเขา ชี้ไปที่เสิ่นซิวจิ่น

"วันนี้เราจะพูดเกี่ยวกับหลานชายของฉันหน่อย!"

บรรยากาศบนโต๊ะกลม ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก… ในที่สุดการชำระบัญชีก็เริ่มขึ้น

ท่านแก่เสิ่นกวักมือ จากนั้นพ่อบ้านใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ก็เดินออกมาข้างหน้า และยื่นซองกระดาษให้เขา ท่านแก่เสิ่นวางสิ่งนั้นลงบนโต๊ะ ซึ่งสิ่งนั้นก็คือความผิดทั้งสามประการของเสิ่นซิวจิ่น

“ทำลายชื่อเสียงของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป แกช่างโหดร้าย

ทำลายชื่อเสียงที่ตระกูลเสิ่นรักษามาหลายชั่วอายุคน แกช่างไม่มีความกตัญญู

ตอนนี้บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปอยู่ในภาวะวิกฤติ แกก็ไร้ความสามารถ

บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป จะต้องไม่ถูกทิ้งให้อยู่ในมือของคนที่โหดร้าย ไม่ยุติธรรมและไร้ความสามารถเช่นแก! "

ท่านแก่เสิ่นตะคอกเสียงดัง "แกยังมีโอกาสที่จะลาออกโดยอัตโนมัติ"

ทิ้งทัศนคติของแกไว้ที่นี่แหละ

สายตาของทุกคน จดจ่ออยู่กับชายผู้เย็นชาและหยิ่งผยองที่ใบหน้าซีดเผือด และไร้คำพูดใดๆ

ในเวลานี้ ลู่หมิงชูจะไม่มีวันโง่เขลาถึงจะแสดงความเป็นอยู่ของตัวเขาออกมา

ในรอบนี้ เขานั่งบนภูเขาและดูการต่อสู้ เมื่อดูไปที่ปู่และหลานชายคู่นั้น ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความยินดีอย่างสุดจะพรรณนา

ปู่กับหลานทะเลาะกัน โต้ตอบกันไปมา และยิ่งทะเลาะแรงขึ้น ก็ยิ่งดี

หางตาของเขากวาดออกนอกห้องประชุม มีร่างหนึ่งปรากฏ และในมือก็ถือกล้องอยู่ ลู่หมิงชูทำเป็นหลับหูหลับตาโดยไม่เตือนเขา

ต้องการเห็นพาดหัวข่าวในวันพรุ่งนี้ เป็นเรื่องราวภายในของการประชุมของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ซึ่งปู่และหลานชายของตระกูลเสิ่นกำลังทะเลาะกัน

สายตาของทุกคน ยังคงจับจ้องไปที่ชายผู้เป็นผู้นำ

แต่เห็นเพียงชายผู้ที่ไม่ได้ขยับเขยื้อน ดีดนิ้ว และชายผู้แข็งแกร่งอย่างผู้ช่วยที่อยู่ข้างหลังเขา ก็ยื่นกระเป๋าเอกสารหนังให้เขา

ดวงตาของเขาส่องประกายกระทบใบหน้าของทุกคนบนโต๊ะประชุมโดยไม่มีความผันผวนใดๆ ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมาอย่างเฉยเมย

“เวลาของทุกคนมีค่า จะมัวเสียเวลาพูดแต่เรื่องไร้สาระทำไม

เนื่องจากการประชุมผู้ถือหุ้น เป็นเรื่องของการยกเว้นและการแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป "

เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาเท้าคาง มองไปข้างหน้า แล้วพูดเบา ๆ

"ฉันเสนอ ให้มีการลงคะแนนโดยตรง"

ท่านแก่เสิ่นโกรธแต่ก็หัวเราะออกมา!

ถึงเวลานี้แล้ว "ลงคะแนนเสียงอย่างนั้นเรอะ?" ท่านแก่เยาะเย้ย "ได้สิ" เขารู้ว่า หลานชายของเขาคนนี้ มีความเย่อหยิ่งฝังลึกลงไปในจิตใจของเขา แต่เขาไม่รู้ว่า หลานชายของเขาจะหน้ามืดตาบอดจนมั่นใจในข้อบกพร่องของตัวเองถึงเพียงนี้

เนื่องจากทั้งปู่และหลานบอกว่าพวกเขาต้องการให้มีการลงคะแนนเสียง

คนอื่นๆ ก็จะไม่กระโดดเข้าไป เพื่อขัดขวาง

แน่นอนว่า หลังจากการลงคะแนนเสียงไปหนึ่งรอบ เสิ่นซิวจิ่นมีผลคะแนนน้อยกว่า

รอยยิ้มที่มุมปากของลู่หมิงชู ก็ยิ่งปรากฏชัดขึ้น และสายตาที่จ้องไปยังใบหน้าของเสิ่นซิวจิ่น ก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องน่าขัน

“นี่อย่างไรการลงคะแนนเสียงที่แกต้องการ”ท่านแก่เสิ่นพูด “ตอนนี้ยังมีอะไรจะพูดอีกไหม?”

ในช่วงสามปีของการขยายตัว เสิ่นซิวจิ่นทำการแก้ไขอาณาเขตที่เพิ่งจัดตั้งใหม่ได้ไม่ทันเวลา ประจวบกับท่านแก่เสิ่นก็ได้ลงมือทำบางเรื่องอย่างลับๆ ทำให้ภายในสามปีนี้ หุ้นที่เขาถือไว้ในมือตอนนี้ได้ลดลงเหลือเพียงสองในสามเท่านั้น …

เมื่อรวมกับคะแนนเสียงของผู้ถือหุ้นรายอื่นแล้ว ผลรวมของส่วนของผู้ถือหุ้นในมือ ก็มีคะแนนนำไปแล้ว

ในการประชุมโต๊ะกลม หลังจากประกาศสิทธิ์ของผู้ถือหุ้นในครั้งสุดท้าย หลายคนดูโล่งใจ พวกเขายังกลัวว่า พวกเขาจะได้รับอันตรายหากตีงูไม่ตาย

ทันทีที่ประกาศผล นัยน์ตาหลายคู่ ส่งสายตาตาดูถูกไปยังชายผู้เคยอยู่ในระดับสูงสุด บุรุษผู้นั้น เคยยิ่งใหญ่จนเอื้อมไม่ถึง และสูงส่งเกินบรรยาย ในนัยน์ตาของพวกเขา เพียงแค่จับจ้องไปที่ชายผู้นั้นก็หน้าซีดแล้ว

"เนื่องจากผลการลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์แล้ว เสิ่นซิวจิ่น โปรดถอนตัวออกจากตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปด้วย" มีคนล้มประธานได้สำเร็จ และหลังจากประกาศผล เขาก็ลุกขึ้นอย่างตื่นเต้น และตะโกนใส่เสิ่นซิวจิ่น " กรุณาจัดการ เก็บของใช้ส่วนตัวของคุณให้เรียบร้อย และออกจากบริษัททันที โปรดให้ความร่วมมือ มิฉะนั้น ทีมรักษาความปลอดภัยของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปจะมา ‘เชิญ’ คุณเสิ่นออกจากบริษัทเอง"

“ใครบอกกันล่ะ?”

ภายใต้ความตื่นเต้นของการ "ชนะสงคราม" ทันใดนั้น ในห้องประชุม ก็มีเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

"ฉันยังไม่ได้ลงคะแนน"

เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น ท่านแก่เสิ่น ลู่หมิงชู และคนอื่นๆ ในห้องประชุม ก็หันหน้าไป มองที่ผู้พูดทันที

“จางต๋า? คุณกำลังทำอะไร!”

จางต๋ายืนขึ้นด้วยรอยยิ้ม และเดินไปข้างหลังเสิ่นซิวจิ่น "ฉันประกาศเมื่อไหร่ว่าฉันจะสนับสนุนท่านแก่คนนั้น?"

งานนี้ต้องมีถ้อยแถลงด้วย!

ความตลกขบขันปรากฏในสายตาของทุกคน!

คุณจางต๋าคือผู้นำ เป็นคนแรกที่อยู่ฝ่ายท่านแก่เสิ่นไม่ใช่เหรอ?

ใครจะไม่รู้ ท่านแก่เสิ่นได้ให้ประโยชน์อันน่าเหลือเชื่ออะไรกับคุณ!

คนเหล่านี้ ได้รับประโยชน์ และรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่มีเพียงจางต๋าเท่านั้นที่ได้รับผลประโยชน์ มากที่สุด

“คุณกำลังทำอะไร จางต๋า!” หนึ่งในผู้ถือหุ้นโกรธมาก “แกล้งทำเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์! ไม่มีใครในที่นี้ไม่รู้ว่า คุณจางต๋าเป็นคนแบบไหน!”

สิ่งที่เขาพูด ไม่ได้คำนึงถึงสถานการณ์ เขาแค่ปากไม่ตรงกับใจ

มันไม่ใช่การตำหนิเขา แต่ถ้าจางต๋าต่อต้านในเวลานี้จริง ๆ อย่างนั้นในอนาคตพวกเขาจะเป็นคนที่โชคร้ายเสียเอง!

พฤติกรรมของเสิ่นซิวจิ่น นั้นเลวร้ายมาก อย่างที่ทุกคนรู้

ในระยะสั้นนี้อาจจะไม่สามารถทำอะไรคนพวกนี้ได้ แต่เมื่อเขากลับมามีอำนาจได้อีกครั้ง คนเหล่านี้ จะไม่ได้รับความเมตตาจากเข้าแน่!

จางต๋ายิ้มให้อย่างมีไมตรี ไม่เดือดดาลกับคำพูดใด ๆ และใบหน้าที่ยิ้มอย่างสงบ กล่าวว่า

“ใช่ ทุกคนที่นี่รู้ดีว่าฉันเป็นคนประเภทไหน ในเมือง S แห่งนี้ ในย่านธุรกิจนี้ มีใครบ้างที่จะไม่รู้ว่าฉันเป็นคนแบบไหน?”

ขณะที่เขาเปลี่ยนการสนทนา ดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเขา ก็เย็นยะเยือกขึ้นมา

“แต่สิ่งที่พวกคุณไม่รู้ก็คือ ประธานเสิ่นสำหรับฉันจางต๋า เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตฉันไว้!”

เขาพูดอย่างเย็นชา "มีคนบอกว่าจางต๋าเมื่อเห็นเงินก็ขาดการยั้งคิด แต่มีดที่ปักบนไหล่ของประธานเสิ่น เกิดจากการที่ท่านเข้ามารับมีดและทนทุกข์แทนจางต๋ากระทั่งตอนนี้ก็ยังเห็นรอยแผลเป็นสีอ่อนนั้นอยู่"

เขาพูด พลางหันหน้าเข้าหาท่านแก่เสิ่นด้วยความเคารพ

“ท่านแก่เสิ่น ท่านมีความเห็นว่าอย่างไร เกรงว่ากระผมจะทำให้ท่านผิดหวังซะแล้ว”

ทุกคนบอกว่าเสิ่นซิวจิ่นเป็นคนโอหัง เย็นชาและไร้ความเมตตา แต่เสิ่นซิวจิ่นที่เป็นคนแบบนี้ เมื่อหลายปีก่อน เคยรับมีดแทนจางต๋าผู้ซึ่งเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง

จางต๋ามีเงินและอำนาจอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับประธานเสิ่นแล้วนั้น เขาไม่มีอะไรเทียบได้เลย ถึงจะเป็นแบบนั้น ประธานเสิ่นไม่ได้ลังเลเลยแม้แต่น้อย และเข้ามารับมีดแทนเขา

"แค่ก…แค่กแค่กแค่กแค่ก!!!" ท่านแก่เสิ่นเบิกตากว้าง จางต๋าจู่ๆ ก็เปลี่ยนฝ่ายอย่างกะทันหัน และเขาโกรธมาก จนอาการไอกำเริบขึ้นมาอย่างรุนแรง

สีหน้าพ่อบ้านใหญ่เปลี่ยนไป

“คุณท่านเป็นอะไรไหมครับ!”

สีหน้าของท่านแก่เสิ่นเปลี่ยนจากซีดขาวเป็นแดงระเรื่อ และจากแดงระเรื่อเปลี่ยนเป็นซีดขาว หลังจากพยายามหยุดยั้งอาการหลายครั้ง และระงับอาการวิงเวียนศีรษะก็พูดขึ้นว่า "ไม่เป็นไร" เขายื่นมือออกมา และหยุดพ่อบ้านใหญ่อย่างเด็ดขาด

การแสดงออกของลู่หมิงชูเปลี่ยนไปอย่างมาก

พวกเขาคาดหวังให้การประชุมเริ่มต้นขึ้น แต่กลับไม่คาดคิดว่าการประชุมจะสิ้นสุดลง

“ท่านแก่เสิ่น อย่ากังวลไป ฉันจะขับรถพาคุณไปโรงพยาบาลเอง”การแสดงออกของท่านแก่เริ่มไม่ดีแล้ว ตาเหลือบแล้ว

ลู่หมิงชูรู้อยู่แก่ใจว่า อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ก้มลงพยุงร่างผอมบางของท่านแก่เสิ่นขึ้นมา

เสิ่นซิวจิ่นยังคงนั่งอยู่ที่เดิม โดยไม่แม้แต่จะลุกขึ้นยืน

พ่อบ้านใหญ่เดินไปที่ประตูห้องประชุม จู่ๆ ก็หันหลังกลับมา พร้อมกับกัดฟันด่าขึ้นมาว่า

“นั่นปู่แท้ๆ ของคุณ! คุณยังนั่งเฉยได้อยู่อีก!”

สิ้นคำด่าเขาก็เดินตามลู่หมิงชูไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามอง

ในห้องประชุม ฝูงชนค่อยๆ แยกย้ายกันออกไป

เสิ่นเอ้อตะโกนขึ้นมา ขณะที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ เสิ่นซิวจิ่นยังคงนิ่งเงียบ "Boss ทุกคนออกไปกันหมดแล้ว"

แต่คนที่นั่งอยู่นั้น ราวกับว่าไม่ได้ยิน

“เสิ่นเอ้อ คุณออกไปก่อน”เขาสั่งอย่างใจเย็น

ทุกคนรู้สึกว่าเสิ่นซิวเจิ่นโหดเหี้ยมและไร้ความเมตตา แต่ไม่มีใครเห็นมือที่วางบนเข่าของเสิ่นซิวจิ่น ที่กำลังสั่นเทิ้ม

เขาไม่ได้อธิบายให้พ่อบ้านใหญ่ฟัง เมื่อเขากำลังจะลุกขึ้นพาท่านแก่เสิ่นไปโรงพยาบาล จู่ๆ ตาของเขาก็มืดลงกะทันหัน

เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้นมาพอดี

เขาหยิบขึ้นมาและรับสาย

อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ ไป๋ยู่สิงถามว่า “จบแล้วเหรอ?”

ที่ปลายสาย ชายหนุ่มตอบอย่างไร้ความรู้สึก "ใช่"

“คุณจะทำอย่างไรต่อไป?”

ภัยพิบัติของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ไม่ได้จะจบลงเพราะการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งนี้ ที่เมื่อความพ่ายแพ้เปลี่ยนเป็นชัยชนะ

ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องจัดการ

ราคาหุ้นของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปยังคงลดลง

ชื่อเสียงที่ไม่ดีของเสิ่นซิวจิ่น ยังคงถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างครึกโครม

ทั้งหมดนี้ ต้องการผู้นำกลุ่มที่ฉลาดเฉียบแหลมและมีความสามารถ เพื่อแก้ทีละปัญหาทีละจุด

"นอน"

“นอน…” ไป๋ยู่สิงรับคำโดยไม่ทันคิด ทันใดนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “คุณพูดว่าอะไรนะ? นอน? ตอนนี้เนี่ยนะ?”

“ใช่ นอน ฉันต้องการพักผ่อน”ที่ปลายสาย ใบหน้าของชายหนุ่มเย็นชาและแน่วแน่มาก “ฉันเหนื่อยแล้ว และฉันต้องการพักผ่อนร่างกาย”

ไป๋ยู่สิงหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินคำพูดนั้น

“หาได้ยากจริงๆ บางครั้งเสิ่นซิวจิ่นก็ยอมรับความพ่ายแพ้และตะโกนออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย”

“ใช่ ฉันเหนื่อยเหลือเกิน”ณ เวลานี้ ดวงตาของเขาฟื้นคืนความสดใสแล้ว “ปฏิเสธไม่ยอมรับความแก่ก็คงไม่ได้”ร่างกายที่เหนื่อยเกินไปทำให้อ่อนเพลียและง่วงนอน คราวนี้อาการที่ตาของเขามืดลงเป็นเพียงช่วงสั้นๆ แค่หนึ่งนาที แล้วครั้งต่อไปล่ะ?

เขารู้เพียงว่า ถ้าร่างกายของเขาเกิดเป็นอะไรไปเร็วกว่าความคิดถึงของเขา เขาจะไม่สามารถอยู่เคียงข้างผู้หญิงคนนั้นได้อีก

เขายังคิดว่า ภายใต้แสงพระอาทิตย์ตก เขาจะหวีผมที่เปลี่ยนเป็นสีขาวของเธอยามแก่ชรา

ไป๋ยู่สิงได้ยินเขาพูดอย่างเคร่งขรึม และเสียงหัวเราะก็ดังก้องอยู่ในอกของเขา "เอาล่ะ คุณพักผ่อนเถอะ ส่วนที่เหลือ ให้ฉันช่วยคุณเอง"

เสิ่นซิวจิ่นหลับไปหนึ่งคืนกับอีกหนึ่งวันเต็ม

ไป๋ยู่สิงโทรศัพท์ไปยังคฤหาสน์ตระกูลเสิ่นเป็นครั้งที่สาม และพ่อบ้านที่รับโทรศัพท์ ก็รับสายด้วยเสียงที่ราบเรียบราวกับเครื่องจักร และบอกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า—คุณชายยังไม่ตื่น

นี่เป็นสิ่งที่พบได้ยาก

ไป๋ยู่สิงไม่อยากเชื่อ

เรื่องแบบนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นกับเสิ่นซิวจิ่นผู้นี้ แต่มันกลับเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา

ไป๋ยู่สิงรู้สึกกังวลเล็กน้อย

โดยที่ไม่ได้สนใจสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ในมือ เขาทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง จากนั้นไปที่ในโรงจอดรถใต้ดิน รถฟอร์ดมัสแตงที่เขาเพิ่งถอยมาเมื่อไม่นานนี้ ส่งเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น แล้วพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

ฟอร์ดมัสแตงที่เขาเพิ่งเริ่มยิงออกไปท่ามกลางเสียงคำราม

สำหรับมัสแตงคันนี้ ราคาจริงๆ ก็ไม่ได้สูง รถราคาสามถึงสี่แสนหยวน ในสายตาคนอย่างไป๋ยู่สิง จริงๆ แล้วไม่ใช่รถหรู แต่คนที่มีความรู้เรื่องรถจะเข้าใจ ตอนรถเคลื่อนตัวออกไป ให้ความรู้สึกที่ซาบซ่าส์ โดยเฉพาะขณะรถผ่านไปบนท้องถนนอย่างรวดเร็วด้วยเสียงดังกระหึ่ม

แต่ในขณะนี้ รถคันที่เป็นลูกรักคันใหม่ของไป๋ยู่สิง กลับไม่ได้รับความสนใจจากไป๋ยู่สิงเลย

เขามองว่ามันเป็นแค่ยานพาหนะ ที่เสี่ยงชีวิตขับไปที่คฤหาสน์ตระกูลเสิ่น

คฤหาสน์ตระกูลเสิ่น เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ถกแขนเสื้อขึ้น ยกกำปั้นขึ้น โดยไม่คำนึงถึงการกีดขวางของพ่อบ้านตระกูลเสิ่นที่ถูกจ้างมาเลย และวิ่งไปที่ข้างในสุดของชั้นสอง หันหน้าเข้าหาประตูห้อง และกระแทกประตู

พ่อบ้านที่อยู่อยู่ด้านหลังวิตกกังวล “คุณชายเหนื่อยมาก และสั่งไม่ให้รบกวน…”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ ไป๋ยู่สิงก็หันกลับไปตำหนิ

“คุณทำงานอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลเสิ่นมาก็หลายปี แล้วตอนไหนบ้างที่คุณเห็นว่า คุณชายเสิ่นนอนทั้งวันทั้งคืน?”

เมื่อเห็นว่าเปิดประตูไม่ได้ เขาจึงบิดลูกบิดประตู "เฮ้! ประตูล็อกอยู่!" แล้วหันกลับไปตะโกนใส่พ่อบ้านที่อยู่ข้างหลังเขาอย่างโกรธเคือง

“มีกุญแจสำรองหรือเปล่า? รีบไปเอามา!”

ศีรษะของเขายังคงหันไปทางพ่อบ้านที่อยู่ข้างหลัง และลมเย็นที่อยู่ข้างหน้าก็พัดผ่านหูของเขา "ฉันยังไม่ตาย"

น้ำเสียงอึมครึม ทำให้คนที่ได้ฟังรู้สึกขนลุก

แต่ดวงตาของไป๋ยู่สิงกลับเต็มไปด้วยความสุข "เยี่ยมมาก!" เขายกมือขึ้นเพื่อเปิดประตู และตบไหล่ของชายที่ยืนอยู่ที่ประตูอย่างแรงด้วยใบหน้าที่เย็นชา

“คุณยังไม่ตาย ทำฉันกลัวแทบตาย”

เห็นได้ชัดว่าชายผู้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น มีสีหน้าที่บิดเบี้ยว "มีอะไร? พูดมา"

ไป๋ยู่สิงส่งเสียง "อ่า" ออกมา และมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ "ฉันกลัวว่าคุณจะหลับไม่ตื่น เลยมาดูว่าคุณตายหรือเปล่า ฉันจะได้ไปเก็บศพของคุณ"

อีกฝ่ายมองเขาในแง่ลบ “ไม่ต้องห่วง ไม่ตายหรอก”ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างได้ เขาจึงอธิบายอีกว่า “แค่เหนื่อยเกินไปเฉยๆ”

ใช่ มันเหนื่อยเกินไป

"นอนหลับสักตื่นก็หายแล้ว"

ใช่ พักสักหน่อยก็หายแล้ว

“แต่ยู่สิง เราก็เริ่มอายุมากขึ้นแล้ว ต่อไปก็ต้องใส่ใจสุขภาพด้วย คุณควรไปคลับให้น้อยลง มันเป็นการทำร้ายร่างกาย”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ไป๋ยู่สิงได้ยินก็เกือบจะคิดว่าเขาประสาทหลอน เขาค่อยๆ มองไปที่ชายที่เป็นคนพูดแบบนี้ ราวกับเห็นผี

“ไปให้พ้นเลย คุณแก่แล้ว แต่ฉันกำลังอยู่ในวัยที่เหมาะสม สาวๆ หลายคนรอฉันมอบความสุขให้อยู่ ถ้าขาดฉันไป ก็เหมือนเป็นการสูญเสียของพวกเธอ”

ทั้งสองคุยเรื่องสัพเพเหระกัน

และหัวข้อที่พูดคุยก็กล่าวถึงสิ่งต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป

เมื่อพูดถึงกิจการธุรกิจ ไป๋ยู่สิงมีแผนการดีๆ มานำเสนอ

“ทั้งวันทั้งคืนที่คุณหลับ ฉันจึงมีเวลาที่จะช่วยให้คุณคลายความตื่นตระหนกในบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป

แต่ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย สิ่งที่จำเป็นต้องแก้ไขจริงๆ ไม่ใช่สิ่งนี้”เขากล่าวแล้วหันขึ้นไป มองที่เสิ่นซิวจิ่นอย่างเคร่งขรึม

"คุณจะทำอย่างไร?"

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่พูด ไป๋ยู่สิงจึงลังเลและกล่าวว่า "ถ้ากู้เงิน…"

“ยังไม่ถึงจุดนี้”ชายที่เงียบสงบ เคาะนิ้วของเขาบนโต๊ะทีละครั้ง แล้วพูดแผนการของเขาออกมา

"อัดฉีดทุนมหาศาล"

แต่ การจัดหาเงินทุนล่ะ?

ในเวลานี้เขาจะไม่ยอม ให้แหล่งเงินทุนอื่นใช้ประโยชน์จากมัน

“คุณจะทำคนเดียวเหรอ? อัดฉีดทุนเองอย่างนั้นเหรอ?” ไป๋ยู่สิงถามคำถามที่โหดร้าย “จะเอาเงินมาจากไหน?”

"บริษัทAG ในสหรัฐอเมริกา คุณรู้จักไหม?"

ไป๋ยู่สิงพยักหน้า “ดูเหมือนว่ามันได้เริ่มปรากฏขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะเป็นผู้มาใหม่ในวอลล์สตรีท แต่ก็เป็นหนึ่งในบริษัทผู้ทำเงินที่ดีที่สุด”

“อืม ของฉันเอง”

“โอ้ ของคุณ…อะไรนะ? ของคุณเหรอ???” ไป๋ยู่สิงสะดุ้ง แต่อีกฝ่ายกลับนั่งบนเตียงอย่างสงบ ราวกับว่าเขาแค่พูดว่า “วันนี้อากาศดี”อย่างไรอย่างนั้น

ไป๋ยู่สิงมองไปที่ชายที่นั่งอยู่บนเตียง ผู้ที่สงบนิ่งและแน่วแน่อยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็ดูจริงจังขึ้นมา

“เสิ่นซิวจิ่น คุณเป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ !”

ถ้าเกิดว่าท่านแก่เสิ่นรู้ว่าบริษัทAG ในสหรัฐอเมริกาเป็นของหลานชายของเขา สงสัยว่าเขาจะริเริ่มการปฏิรูปบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปอย่างบุ่มบ่ามหรือไม่

เขาได้รู้จักกับเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกันกับเขาอีกครั้ง… แม้เขาจะไม่รู้ด้วยซ้ำ!

บริษัท AG นั้นแม้จะไม่สามารถเทียบได้กับยักษ์ใหญ่อย่างบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปได้ แต่ในสถานที่ที่หรูหราและเหนือชั้นอย่างวอลล์สตรีท มันยังครองตำแหน่งสำคัญได้อยู่

“มีใครรู้เรื่องนี้อีก?” หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ไป๋ยู่สิงถามอย่างหมดหวัง

“ตอนนี้เพิ่มมาอีกคนคือคุณ”

อีกฝ่ายพูดเบาๆ

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ก่อนหน้านี้ ไม่มีใครรู้เลย

ทันใดนั้น อารมณ์ของไป๋ยู่สิงก็ดีขึ้นมาอีกครั้ง "ซีเฉินยังคงอยู่ในความมืด คุณรอให้เขามาหาคุณเพื่อร่วมด้วยสิ!"

เขาประโยคนี้พูดอย่าง มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น

คนอย่างไป๋ยู่สิง มีความคิดที่ละเอียดถี่ถ้วน และเขาจะไม่มีวันทำในสิ่งที่ไม่คุ้มค่าเหมือนเรื่องผู้หญิง

เขาเข้าใจเหตุผลแล้ว จะไปว่าเสิ่นซิวจิ่นมีความลับก็ไม่ได้ เพราะไป๋ยู่สิงเอง เขาก็มีความลับที่แม้แต่เพื่อนไม่กี่คนของเขาก็ไม่รู้ไม่ใช่เหรอ?

นอกจากนี้ บริษัท AG นี้ เป็นผลผลิตของเงินทุน

ความจริงแล้วกับย่านธุรกิจฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ก็ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกันนัก

การดำเนินงานของวอลล์สตรีท มีมากขึ้นในแวดวงยุโรปและอเมริกา

"แม้ว่า AG จะเป็นของคุณ แต่ถ้าคุณใช้เงินทุนของAG เพื่ออัดฉีดเงินทุนให้กับบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ก็จะเป็นการที่คุณใช้เงินของตัวเอง เพื่อเปลี่ยนเป็นเงินของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป "

เงินส่วนตัว กับเงินของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป มีความแตกต่างกันมาก เทียบเท่ากับการใช้ทรัพย์สินส่วนบุคคลเพื่อเติมเต็มทรัพย์สินของบริษัท

การสูญเสียของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปนั้น ค่อนข้างใหญ่หลวง

เป็นเรื่องที่เข้าใจได้สำหรับไป๋ยู่สิง ที่จะคิดอย่างนั้น

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชายบนเตียงก็หัวเราะเบา ๆ เลิกคิ้วขึ้น และพูดอย่างเป็นธรรมชาติ

“แล้วของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ไม่ใช่ของฉันเหรอ?”

จริงด้วย…ลืมคิดไปเลย!

มีนักลงทุนหุ้นบริษัท บริษัทบริษัทมหาชนจำกัดบริษัทไหนบ้าง ที่ประธานกรรมการผู้บริหารของบริษัท จะกล้าพูดแบบนี้ ว่าบริษัทเป็นของตัวเอง?

“นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเจี่ยนถงบนอินเทอร์เน็ต เสิ่นซิวจิ่น คุณเป็นฉายาใหม่ล่าสุดของจอมวายร้ายในยุคใหม่แล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย และเตรียมตัวเป็นหมาหัวเน่าไปอีกหลายพันปี”

หลังจากที่ไป๋ยู่สิงชื่นชมยินดี เขาก็เห็นชายที่มั่นใจในตัวเอง สงบสติอารมณ์ลง รูปลักษณ์ที่เงียบขรึมของเขา ทำให้คนอื่นรู้สึกเปราะบางอย่างอธิบายไม่ถูก

เปราะบาง?

เอาความเปราะบางของเขาออกไปเสียที!

ไป๋ยู่สิงส่ายหัว มันเป็นความบ้าคลั่งของเขา ที่ทำให้เขารู้สึกถึงประเด็นที่เปราะบางของเสิ่นซิวจิ่น

“ฉันเกรงว่าชื่อเสียงที่ไม่ดีของคุณ จะส่งผลต่อการแก้ไขปัญหาของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปด้วย ตอนนี้เป็นยุคของอินเทอร์เน็ต ฉันกลัวว่าชาวเน็ตจะต่อต้านคุณไปโดยปริยาย”

“ภายใต้เงินทุน ทุกอย่างก็ราวกับเป็นเมฆลอย”เสิ่นซิวจิ่นพูดจบอย่างแผ่วเบา เขายืนขึ้น และผายมือออกทำท่าส่งแขก

เขาต้องการพักผ่อน อยากมีร่างกายที่แข็งแรง และจับมือกับผู้หญิงคนนั้น

ไป๋ยู่สิงออกจากคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น และเสิ่นซิวจิ่นก็ตรงไปที่ห้องทำงาน เขามีบัญชีเวยป๋อ เขาเคยลงทะเบียนมาก่อน และเขาก็เข้าสู่ระบบวันนี้ เพียงครู่เดียว มีคนเข้ามาสาปแช่งเขามากมายบนเวยป๋อ

เขาเหลือบมองอย่างเฉยเมย แล้วก็ไม่ดูมันอีก

เป็นเวลาหนึ่งทุ่มสามสิบเอ็ดนาที

เวยป๋อของเสิ่นซิวจิ่น มีเพียงการเคลื่อนไหวเดียวเท่านั้น

ในชีวิตของฉันเสิ่นซิวจิ่น มีภรรยาเพียงคนเดียว และชื่อของเธอคือเจี่ยนถง

พูดเพียงแค่ไม่กี่ประโยค และไม่มีแม้คำพรรณนาหรือเวิ่นเว้อสักคำ

ไม่มีคำบอกรักหวานๆ ไม่มีการแสดงความรักอันร้อนแรง ไม่มีการสารภาพกลับใจใดๆ

แม้จะไม่มีคำว่า "รัก"

แต่ว่า คนที่เข้าใจประโยคนี้อย่างแท้จริง พูดว่า ผู้ชายคนนี้รักผู้หญิงที่ชื่อเจี่ยนถงอย่างน่าเวทนา

ในห้องทำงาน ชายคนนั้นลากร่างกายที่อ่อนล้าและง่วงนอน แต่ยังไม่ทันที่เขาจะกลับไปที่ห้องนอน ดวงตาคู่นั้นของเขาหนักอึ้งจนเขาเอนตัวลงบนเก้าอี้ และผล็อยหลับไป

ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ ยูนนาน

Memory House

ในวันที่เจี่ยนถงออกจากโรงพยาบาล ซีเฉินเดินตามเธอกลับไปที่Memory Houseโดยไม่ได้มีความละอาย และเขาเพิ่งใช้เล่ห์เหลี่ยมของการเป็นชายรูปงาม ล่อลวงให้จาวจาวจัดการเช็คอินให้เขา

เจี่ยนถงเกือบจะต้องการส่งเด็กสาวตัวน้อยคนนี้ออกไปหลายพันไมล์ จนสุดลูกหูลูกตา

แต่เมื่อซีเฉินเสร็จสิ้นกระบวนการเช็คอิน เธอก็ตระหนักเรื่องนี้ขึ้นได้ในภายหลัง

ในช่วงไม่กี่วันมานี้ จาวจาวนั้นราวกับบุคคลที่ไร้ความผิด Bossไม่พูดกับเธอ แม้กระทั่งเพิกเฉยต่อเธอ

แต่จาวจาวเมื่อเห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของซีเฉิน เธอก็โกรธไม่ลง

“เถ้าแก่เนี้ย ยายเฒ่าคนนั้นมาอีกแล้ว”

จาวจาวอยู่ที่บาร์ จึงเห็นร่างที่น่ารำคาญนั้นก่อนใคร

หางตาของเจี่ยนถงกวาดไปทั่วร่างนั้น จากนั้นหลับตาลง และเพิกเฉยต่อคนคนนั้น

จาวจาวเกลียดชังคุณหญิงเจี่ยน และเห็นได้ชัดว่าคุณหญิงเจี่ยนไม่ได้แก่ขนาดนั้น แต่ว่าแต่ละคำที่ออกจากปากของจาวจาวก็มีแต่คำว่า "ยายเฒ่า" อยู่เต็มปาก

คุณหญิงเจี่ยนรู้สึกเสียวฟันเมื่อรับรู้ได้ถึงความเกลียดชังของจาวจาว แต่เธอทำได้แค่กรีดเด็กสาวผมเหลืองด้วยตาของเธอเท่านั้น

เธอไม่ลืม ว่าเธอมาที่นี่เพื่ออะไร

เมื่อเจี่ยนถงเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล คุณหญิงเจี่ยนก็ตามไปเช่นกัน แต่ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว เธอก็ไม่สามารถเล็ดลอดสายตาของเฉินซี เข้าใกล้แผนกผู้ป่วยได้

หลังจากที่เจี่ยนถงออกจากโรงพยาบาล หลายวันมานี้ เธอก็มาที่Memory Houseตลอด

คุณหญิงเจี่ยนมองดูลูกสาวที่ไม่แยแสของเธอ หัวใจของเธอก็ราวกับมีเลือดไหลริน

เธอรู้ว่า เธอติดหนี้ลูกสาวของเธอเอง

เธอรู้ว่า เธอกำลังโดนลงโทษจากความผิดที่เธอก่อ

แต่ แต่ว่าโม่ป๋ายยังคงรอเธออยู่บนเตียงในโรงพยาบาล เพื่อรอความช่วยเหลือ!

และยังมีเจี่ยนเจิ้นตงไอ้แก่สารเลว!

ไอ้แก่สารเลวนั่น แท้จริงแล้วไม่สนใจลูกชายของเธอเลย เขาสนใจแต่ลูกที่เกิดจากนังจิ้งจอกน้อย ลูกนอกกฎหมายที่อยู่นอกสายตา!

คุณหญิงเจี่ยนดูแลตัวเองมาหลายปี เธอไม่พอใจแค่ไหน ก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าถ้าไม่มีลูกชาย เธอก็จะไม่เหลืออะไรเลย!

ไอ้สารเลวที่เนรคุณอย่างเจี่ยนเจิ้นตง และเธอผู้ที่เข้าสู่วัยชราที่ความสวยเริ่มลดลง และยังลูกชายที่ป่วย จะให้อยู่ในสายตาเขาได้อย่างไร?

“เสี่ยวถง” เธอเดินไปหาหญิงสาวที่กำลังพักฟื้น ริมฝีปากของเธอขยับ เธอรู้ดีว่า คำพูดเหล่านั้น ไม่สามารถพูดออกไปได้ แต่ว่า เธอจะทำอะไรได้อีก

เธอไม่มีทางเลือก หากมีทางอื่น เธอไม่มีทางที่จะข่มเหงลูกสาวของตัวเองแบบนี้

“เจตนาของคุณหญิงเจี่ยน ฉันรู้อยู่แก่ใจ ไม่ต้องพูดอีกแล้ว”หญิงสาวกำลังหลับตา หรือพูดได้ว่าไม่ได้ลืมตามาตั้งแต่แรก เธอเหลือบมองไปที่หญิงผู้ที่ทำสีหน้าวิงวอนอยู่ข้างๆ เธอ

“ไม่…” คุณหญิงเจี่ยนสวนกลับโดยไม่รู้ตัว ดวงตาแข็งกร้าว ริมฝีปากสั่นเทา และอย่างระมัดระวัง ในที่สุดเธอก็พูดมันออกมา “แม่มาที่นี่วันนี้ ไม่ได้มาเพื่อไขกระดูก”

ผู้หญิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย ยังคงไม่มีการแสดงออกอะไร

คุณหญิงเจี่ยนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ และทำได้เพียงนำสิ่งที่คนในโทรศัพท์บอกเธอเมื่อเช้านี้ พูดออกมา

“แม่ แม่ต้องการ…” เธอหยุดชั่วขณะ สัญชาตญาณของเธอไม่อยากที่จะพูดอีกต่อไป แต่นึกถึงสิ่งที่คนในโทรศัพท์กำชับไว้ เธอจึงกัดฟันอย่างดุดัน

“เสี่ยวถง ลูกไปขอร้องประธานเสิ่นหน่อยได้ไหม?”

ในที่สุดเจี่ยนถงก็ลืมตา และเหลือบมองไปที่คุณหญิงเจี่ยนด้วยรอยยิ้ม "ประธานเสิ่นคนไหน?"

เมื่อเห็นว่าในที่สุดเธอก็ลืมตา ดวงตาของคุณหญิงเจี่ยนก็เต็มไปด้วยรอยตีนกา เธอคว้ามือของเจี่ยนถงที่ซุกอยู่ในแขนเสื้ออย่างกระตือรือร้น และพูดอย่างเร่งรีบ

"ประธานเสิ่นแห่งบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปไง คือผู้ชายคนที่ลูกรัก เสิ่นซิวจิ่นคนนั้นไง"

คุณหญิงเจี่ยนที่กำลังกังวลที่จะแสดงเจตจำนงของเธอ ไม่เห็นมือของหญิงสาวที่กำแน่น และสีหน้าที่ยากจะอธิบายก็ปรากฏบนใบหน้าเธอ

ในใจคิดเพียงว่า จะต้องบรรลุเป้าหมาย

“เสี่ยวถง ลูกไปขอร้องเสิ่นซิวจิ่น ตกลงไหม?

ลูกช่วยบอกให้เขาปล่อยเจี่ยนซื่อกรุ๊ป และปล่อยพ่อของลูกไป ได้ไหม? "

วางมือจากเจี่ยนซื่อกรุ๊ป? … ดวงตาของเจี่ยนถงแสดงร่องรอยของความสับสน

เสียงหัวเราะประชดประชัน ดังขึ้น

"เจี่ยนเจิ้นตงคนนั้นใจใหญ่ใจโต คิดว่าถ้าตัวเองอยู่ฝ่ายท่านแก่เสิ่นและลูกชายนอกกฎหมายของตระกูลเสิ่นลู่หมิงชู ก็จะสามารถโค่นอาซิวได้"

มือข้างหนึ่งของซีเฉินล้วงกระเป๋ากางเกง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งยื่นไอแพดส่งมาให้เจี่ยนถง "คุณดูเอาเอง สิ่งที่คุณไม่เข้าใจ มีอยู่ในเวยป๋อ"

ซีเฉินไม่ได้อธิบายไปตรงๆ เขามองลงไปที่ผู้หญิงบนเก้าอี้หวาย

และไม่รู้ว่าเธอจะเข้าใจคำพูดเขาไหม

ผู้หญิงบนเก้าอี้หวายไม่ได้ปฏิเสธ เธอหยิบไอแพดขึ้นมา และค่อยๆ เรียกดูเนื้อหา ด้วยปลายนิ้วบางๆ ของเธอ ค่อยๆ เลื่อนไปที่หน้าจอ ทีละหน้าทีละหน้า มองอย่างละเอียดถี่ถ้วน

เธอจริงจังมาก—ในสายตาของคนอื่น เธอกับชายคนนั้นเกี่ยวพันกันมาตลอดชีวิต

เธอดูมันอย่างตั้งใจ เกี่ยวกับในช่วงสิบวันที่ผ่านมา พายุที่โถมกระหน่ำที่ชายผู้นี้ประสบพบเจอ

ความจริงแล้ว เธอเข้าใจดี ว่าเจี่ยนซื่อกรุ๊ป มีบทบาทอย่างไรในเรื่องนี้

และมัน เห็นได้ชัดแล้วว่า พ่อที่แสนดีของเธอ ตอนนี้ได้รับแรงกดดันแบบใด

นอกจากนี้ เธอก็ได้เห็นข้อความนั้นที่โพสต์เวลาหนึ่งทุ่มสามสิบเอ็ดนาที—ในชีวิตของฉันเสิ่นซิวจิ่น มีภรรยาเพียงคนเดียว และชื่อของเธอคือเจี่ยนถง

รากฟัน กัดกันแน่น จนแทบจะหลุดร่วงออกมา!

หัวใจ เริ่มเจ็บปวดอีกครั้ง และแผ่ขยายออกไป เหมือนกับพื้นผิวของทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ ที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด

ซีเฉินสาบาน ว่าเขาไม่ได้มองผิด แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะซ่อนอารมณ์ของเธอได้ดี แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะมีพฤติกรรมระมัดระวัง แต่เขามั่นใจว่า ตาของเขาไม่ได้ตาบอด ผู้หญิงคนนี้ ไม่ได้สงบเหมือนเดิมแล้ว

ซึ่งเมื่อเทียบกับเธอที่ผ่านมา แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เจี่ยนถง คุณบอกว่าคุณไม่สนใจ แล้วทำไมเมื่อคุณรู้เรื่องราวของอาซิว คุณถึงอารมณ์แปรปรวนผิดปกติแบบนี้?

เจี่ยนถง คุณบอกว่ามันเป็นอดีตไปแล้ว แต่จริงๆ แล้วคุณน่ะ ลืมมันไปแล้วจริงเหรอ?

ผู้หญิงบนเก้าอี้หวาย จู่ๆ ก็หลับตาลง!

สีหน้าของเธอเย็นชาทันที!

แล้วกล่าวอย่างเย็นชา

“คุณหญิงเจี่ยนขอร้องผิดคนแล้ว”

หัวใจของคุณหญิงเจี่ยนเต้น "ตึกตัก" ในใจ!

เสี่ยวถงพูดแบบนี้ ไม่ได้กำลังจะปฏิเสธเธอใช่ไหม?

ไม่ได้นะ!

“เสี่ยวถง! ลูก ลูกคิดซะว่าเห็นแก่ประโยชน์ของพ่อของลูก เห็นแก่…” เห็นแก่อะไรอีก? คุณหญิงเจี่ยนครุ่นคิด เธอค้นพบโดยไม่คาดคิดว่า ครอบครัวของพวกเธอ ไม่มีอะไรที่เสี่ยวถงจะต้องคำนึงถึงเลย…โทษแต่อดีต จนไม่เหลือที่ว่างใดๆ แล้วตอนนี้ จะเอาหน้ามาจากไหนอีก?

“เห็นแก่…หน้าของคุณปู่ที่เสียไปแล้วของลูก”คุณหญิงเจี่ยนรู้สึกอึดอัดในใจ พวกเขาคือครอบครัวของเธอ คือพ่อแม่ และพี่ชายของเธอ พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่พวกเขาเทียบอะไรกับคนที่ตายไปแล้วไม่ได้เลย. ..

ถึงแม้ว่าตัวเธอเองจะรู้สึกเหมือนถูกเหน็บแนม แต่เธอก็ไม่สามารถหาใครที่สามารถมีผลต่อจิตใจของเสี่ยวถงได้

“เจี่ยนซื่อกรุ๊ป คือสิ่งที่ท่านห่วงใยมากที่สุดเมื่อคุณปู่ของลูกยังอยู่ และคุณปู่ของลูกก็ยังเป็นผู้ขยายเจี่ยนซื่อกรุ๊ปไปสู่ระดับปัจจุบันด้วยมือของเขาเอง

เสี่ยวถง ลูกทนเห็นจิตใจเลือดเนื้อในชีวิตของเขา ซึ่งเป็นคุณปู่ที่เลี้ยงดูลูกมา ถูกทำลายภายในครั้งเดียวเหรอ?

ถ้าคุณปู่ของลูกรู้ว่า ผลการสู้รบมาทั้งชีวิตของเขา พังทลายลง เขาจะต้องไม่สบายใจแน่ๆ "

ผู้หญิงบนเก้าอี้หวาย แม้ว่าเธอจะหลับตา และแม้ว่าท่าทีของเธอจะดูสงบเหมือนเดิม แต่ริมฝีปากที่เม้มแน่น และร่างกายที่สั่นเทาเผยให้เห็นความโกรธของเธอ

ซีเฉินทนดูไม่ได้ และต้องการเยาะเย้ยคุณหญิงเจี่ยน

แต่วินาทีถัดมา!

ตาที่ปิดสนิทของหญิงสาว ก็เปิดออก และเธอก็เอื้อมมือไปคว้ามือของคุณหญิงเจี่ยน และเหวี่ยงมันออกไป ดวงตาสีดำขลับคู่นั้น

ของเธอ ถูกย้อมด้วยเปลวไฟ จ้องมองตรงไปที่ใบหน้าของคุณหญิงเจี่ยน และตั้งใจพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ เธอกัดฟันและพูดว่า

“คุณมันช่างไร้ยางอาย!”

บูม!

คุณหญิงเจี่ยนหน้าซีดกะทันหัน!

เดินตัวลอยๆ เหมือนรับน้ำหนักตัวเองไม่ไหว และเซถอยหลังไปสองสามก้าว ดวงตาของเธอตื่นตระหนกและวิตกกังวล

“แม่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วเหมือนกัน! ถ้าเสิ่นซิวจิ่นปฏิเสธที่ปล่อยเจี่ยนซื่อกรุ๊ป และปฏิเสธที่จะปล่อยเจี่ยนเจิ้นตงไป ถ้าเป็นอย่างนั้นในอนาคตแม่ก็หมดหวังแล้ว

ลูกคิดว่าแม่อยากช่วยเจี่ยนเจิ้นตงคนสารเลวคนนั้นเหรอ?

พี่ชายของลูกโม่ป๋ายยังคงนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล!

ถ้าเจี่ยนซื่อกรุ๊ปล้ม ถ้าเจี่ยนเจิ้นตงคนสารเลวคนนั้นจบเห่ แล้วจะทำอย่างไรกับค่ารักษาพยาบาลของพี่ชายลูกล่ะ!

ถึงพี่ชายของลูกจะดีขึ้น เขาก็จะไม่เหลืออะไรเลย!

เขาเป็นคุณชายแห่งตระกูลเจี่ยน ตั้งแต่เด็กไม่เคยลำบากมาก่อน และวงการของเขาก็ใหญ่โต เขาเป็นทายาทรุ่นที่สองที่ร่ำรวย เงินไม่ขาดมือ แล้วจู่ๆ ก็ไม่เหลืออะไรเลย

ใครในวงการจะยังเห็นหัวเขาอีก เขาจะทนขนาดนั้นได้อย่างไร!

เจี่ยนเจิ้นตงไม่ใช่เล่นๆ แต่ถ้าเขาเกิดล้มขึ้นมา ฉันที่เป็นแค่ผู้หญิง ฉันจะมีปัญญาทำอะไรได้! "

เจี่ยนถงมองตรงไปยังผู้หญิงที่น้ำตาไหลเป็นสาย และรอยร้าวในหัวใจของเธอ ก็ใหญ่ขึ้น

เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ยื่นมือออกมา และจับที่วางแขนเก้าอี้หวายไว้แน่น ด้วยกำลังพอสมควร เก้าอี้หวายแทบมีเสียงดังเอี๊ยด

ดูเหมือนว่ามีเพียงสิ่งนี้เท่านั้น ที่จะทำให้ความเจ็บปวดที่ไม่สามารถบรรยายได้ในใจของเธอคงที่

ในช่วงต้นปี เธออาจถามคุณหญิงเจี่ยนอย่างเฉียบขาดว่า ถ้าเจี่ยนโม่ป๋ายรับไม่ได้ เธอก็ต้องรับให้ได้เหรอ!

แต่ตอนนี้ เมื่อเธอมองไปที่ผู้หญิงคนนั้น เหลือเพียงความโศกเศร้าในหัวใจของเธอไม่รู้จบ

ใจคนเราบิดเบี้ยว แต่จะบิดเบี้ยวได้ขนาดนี้เลยเหรอ

หือ~

“คุณปู่ของลูก…” คุณหญิงเจี่ยนค่อยๆ พูด มุมปากกระตุก สายตาไม่เต็มใจ อาวุธทั้งหมดของเธอ ที่เธอถือไว้ในมือนั้น เหลือแค่ท่านแก่เจี่ยนผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วเท่านั้น

“พอเถอะ”ด้วยเสียงร้องแผ่วเบาและเศร้าสร้อย ผู้หญิงบนเก้าอี้หวาย ความเจ็บปวดในสายตาของเธอ ดูเหมือนจะแผ่ขยายออกไป แต่เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว… จนตรอกพอแล้ว! ไม่มีเหลืออะไรแล้ว!

ไม่มีอะไรเหลือเลย

เจี่ยนถงเงยคางขึ้น และสายตาของเธอ ก็จับจ้องไปที่ใบหน้าของคุณหญิงเจี่ยนอย่างชัดเจน ในขณะนั้น คุณหญิงเจี่ยนเห็นเพียงความเย่อหยิ่งบนใบหน้านี้เท่านั้น

มีความรู้สึกไม่ชอบอยู่ในใจของเธอ…ในความรู้ความเข้าใจของคุณหญิงเจี่ยน แม้ว่าตอนนี้เธอจะขอร้องเจี่ยนถง เจี่ยนถงก็ยังเกิดจากครรภ์ของเธอในเดือนตุลาคม ถ้าไม่มีเธอ จะมีเจี่ยนถงได้อย่างไร

เธอกำลังอ้อนวอนเจี่ยนถง แต่ถ้าเสี่ยวถงยังคงเล่นตัวอยู่ คิดแล้ว เป็นใครก็คงไม่ชอบ

แต่เธอไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ

“แล้วเจี่ยนซื่อกรุ๊ป…”

เจี่ยนถงเงยคาง ช่องว่างเล็กๆ น้อยๆ ในดวงตาของเธอ คุณหญิงเจี่ยนไม่เข้าใจ เจี่ยนถงเพียงมองลงไปที่คุณหญิงเจี่ยน จ้องไปที่ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นนานกว่าสิบนาที

คุณหญิงเจี่ยนพูดถึง "เจี่ยนซื่อกรุ๊ป" "เจี่ยนเจิ้นตง" และ "เจียนโม่ป๋าย" หลายครั้ง เจี่ยนถงไม่เคยขัดจังหวะการบ่นถึงเรื่องที่เจ็บปวดของคุณหญิงเจี่ยน คุณหญิงเจี่ยนได้รับความเป็นไม่ธรรมอย่างมากในทุกวันนี้ และลูกชายของเธอก็ป่วยเช่นนั้น สามีโกหกเธอมาครึ่งชีวิต ว่าอันที่จริงมีลูกนอกกฎหมายอยู่ข้างนอกนานแล้ว ลูกชายป่วย สามีก็ยังไม่สนใจอีก

ความเจ็บปวดเหล่านี้ของคุณหญิงเจี่ยน ไม่มีที่ไหนให้ระบาย

"พี่น้องที่แสนดี" ที่ปกติเล่นไพ่นกกระจกกัน พูดการน้อมน้าวอยู่สักคำ แต่ก็ไม่รู้จากความจริงใจหรือไม่

ต่อมาเธอยิ่งดูเหินห่างมากขึ้นไปอีก

คุณหญิงเจี่ยนบอกว่า เธอเป็นแค่ผู้หญิงหนึ่งคน ที่ลูกชายของเธอป่วยหนัก สามีของเธอทอดทิ้ง และเธอก็ต้องใช้ชีวิตทุกวันด้วยความหวาดกลัว

แต่ตัวเธอนั้นต้องทนทรมานและเผชิญกับความกลัวในใจยามค่ำคืนเพียงลำพัง เธอตัวคนเดียวต้องอดทนหลายสิ่งหลายอย่างที่ถาโถม โดยที่ไม่ต้องการและไม่อยากเล่าให้ใครฟัง ไม่มีใครรู้ว่าเธอต้องผ่านอะไรมาบ้างในช่วงเวลาเหล่านั้น มีเพียงเธอเท่านั้นที่เข้าใจ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเธอเองทุกวัน

ตั้งแต่ต้นจนจบ เจี่ยนถงเพียงแค่จ้องมองไปที่คุณหญิงเจี่ยนด้วยตาคู่นั้น ดวงตาที่หยิ่งผยอง มองตรงไปที่คุณหญิงเจี่ยน

เงียบฟังผู้หญิงคนนั้นเช็ดน้ำตาพลางร่ำไห้ให้กับความทุกข์ทรมานของเธอ

“เสี่ยวถง แม่ก็มีความยากลำบากเหมือนกัน…” คุณหญิงเจี่ยนร้องไห้จนตาบวม เธอยังคงมีเสน่ห์ เสน่ห์ของหญิงวัยกลางคน ยกมือที่สั่นเทาขึ้นมาเช็ดน้ำตา เธอดูน่าสงสารขึ้นเล็กน้อย มันทำให้คนใจอ่อนและรู้สึกสงสาร และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทุกข์ใจ

เจี่ยนถงยิ้มอีกครั้ง "โอ้ ความยากลำบาก… ใช่แล้ว คุณหญิงเจี่ยนประสบปัญหา ไม่น่าแปลกใจเลย"

ซีเฉินมองไปที่ผู้หญิงบนเก้าอี้หวายคนนั้นที่กำลังยิ้มเล็กน้อย และรู้สึกหายใจไม่ออก ความเจ็บปวดที่แสนลำบากราวกับลอยผ่านออกมาในอากาศ ดวงตาดอกพีชคู่นั่นเสียความรู้สึก…เขารู้ว่า ความเจ็บปวดนี้ ไม่ใช่เพราะตัวเขาเอง แต่เป็นเพราะผู้หญิงบนเก้าอี้หวายที่ยิ้มอย่างสงบให้ผู้หญิงคนนั้น

และเริ่มเข้าใจบางอย่างแล้ว ไม่น่าแปลกใจ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้หญิงคนนี้ทำให้ผู้ชายอย่างเสิ่นซิวจิ่น คิดถึงอยู่ตลอดเวลาและไม่ยอมปล่อยมือ

ถ้าไม่ใช่เพราะการควบคุมตนเองของซีเฉิน เขาคงจะตะโกนใส่ผู้หญิงคนนั้นในเวลานี้ว่า อย่าหัวเราะ!

คุณก็แค่ตะโกนใส่แม่ของคุณคนนั้นว่า คุณหญิงเจี่ยนคุณกำลังตกที่นั่งลำบาก แล้วใครไม่ลำบากบ้างล่ะ!

คุณก็เพียงแค่ตะโกนออกมาไม่ใช่เหรอ?

แต่คุณกลับแค่ยิ้มออกมาแบบนั้น?

ยิ้มจนหน้าอกของฉันหนักอึ้งและบีบรัดขนาดนี้?

“แม่มีปัญหาจริงๆ นะ เสี่ยวถง ลูกเป็นคนมีมารยาทและมีเหตุผลที่สุด และลูกจะยกโทษให้แม่ในฐานะแม่ได้ใช่ไหม?”หลังจากร้องไห้ คุณหญิงเจี่ยนถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอทุกข์ทรมานมาก ตอนนี้เมื่อเสี่ยวถงรู้แล้ว เสี่ยวถงจะต้องเข้าใจ ความไม่มีทางเลือกของเธอได้แน่

เมื่อเธอเห็นเจี่ยนถงไม่พูด หัวใจของเธอก็เย็นชาเล็กน้อย ดวงตาของเธอขมขื่น และมีการอ้อนวอนที่มองไม่เห็น ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงพูดถึงท่านแก่เจี่ยนอีกครั้ง “ถ้าลูกไม่เห็นแก่แม่และพี่ชายของลูก ก็เห็นแก่คุณปู่ของลูกเถอะนะ… "

ซีเฉินทนไม่ไหวอีกต่อไป เดิมทีเขาไม่ต้องการที่จะเข้าไปแทรกแซง เพราะมันเป็นเรื่องของตระกูลเจี่ยนของพวกเขา

แต่… นี่มันไม่เข้าท่าแล้ว!

มันไร้ยางอายเกินไปแล้ว!

นี่มันเป็นการข่มเหงรังแกกันจริงๆ แล้ว!

“เจี่ยนเจิ้นตงหมาที่เลี้ยงไม่เชื่องตัวนั้น กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตามสนอง ชดใช้กับสิ่งที่เขาทำด้วยตัวเอง โตมาขนาดนี้แล้ว มีปัญญาที่จะทำแต่ไม่มีปัญญาที่จะยอมรับ? แถมยังต้องการให้ลูกสาวตัวเองที่เดิมทีไม่เคยสนใจ มาคอยตามล้างตามเช็ด!

ตอนแรกเขาสาบานว่าจะพูดว่าตระกูลเจี่ยนไม่มีคนที่ชื่อว่าเจี่ยนถง เจี่ยนเจิ้นตงประกาศว่าไม่รู้จักลูกสาวคนนี้ แต่ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นและต้องการจะใช้เธอ ก็วิ่งกลับมาหาลูกสาวที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังเหรอ?

คุณก็อีกคน คุณหญิงเจี่ยน คุณก้าวร้าวขนาดนี้ เป็นฝ่ายเดียวกัน หรือเป็นศัตรูกันแน่!

ไร้ยางอาย! "

ใบหน้าของคุณหญิงเจี่ยนซีดราวกับกระดาษ การถากถางและความอัปยศอย่างไร้มารยาทของซีเฉิน เธอเพียงรู้สึกละอายจนไม่อยากจะมองหน้าใคร

แต่เมื่อนึกถึง วิกฤติของตระกูลเจี่ยน ถ้าไม่มีตระกูลเจี่ยน เธอก็คงไม่ใช่คุณหญิงเจี่ยน!

“เสี่ยวถง ลูกจะทนดูน้ำพักน้ำแรงที่คุณปู่ของลูกสร้างขึ้นมาพังทลายได้อย่างไร?”

เธอมองคนที่อยู่บนเก้าอี้หวายอย่างเศร้าสร้อย แต่เจี่ยนถงได้หลับตาลงอย่างแน่น และคุณหญิงเจี่ยนก็ตื่นตระหนกในใจ “เสี่ยวถง!

นั่นคือปู่ของลูกนะ! คุณปู่ที่รักลูกมากที่สุดเมื่อลูกเป็นเด็กไง! เป็นคนที่ดีกับลูกที่สุด!"

ขณะที่เธอตะโกนด้วยเสียงแหบๆ เจี่ยนถงลืมตาขึ้น ดวงตาที่ไร้ความรู้สึกคู่นั้น จ้องไปที่คุณหญิงเจี่ยน และพูดออกมาอย่างใจเย็น

"คุณชนะแล้ว"

ความเจ็บปวดทั้งหมด ถูกซ่อนไว้ภายใต้ความสงบนี้

เธอค่อย ๆ ยื่นมือไปหาซีเฉินที่อยู่ข้างๆ "โทรหาเขา"

“อะไรนะ?” ซีเฉินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง คิดว่าเขาได้ยินผิด แต่แสงตกบนข้อมือที่เรียวและซีดนั้น และแววตาที่ซับซ้อนของเขาก็วาววับ “จะไม่เสียใจทีหลังแน่นะ?”

อย่างไม่นึกมาก่อนเจี่ยนถง เธอและซีเฉินต่างก็รู้ดี ว่าการโทรศัพท์นี้ ไม่ใช่แค่การโทรศัพท์

คุณหญิงเจี่ยนอยู่ข้างๆ อย่างมีความสุข "เสี่ยวถง แม่รู้ว่าหัวใจของลูกนั้นอ่อนโยนที่สุด"

เจี่ยนถงหลับตาลง นอกจากดวงตาที่เจ็บปวดแล้ว ยังมีการประชดอย่างไม่สิ้นสุด…ใช่ หัวใจของเธออ่อนโยนที่สุด

“ต่อสายหาเขา” เจี่ยนถงขยับริมฝีปากล่างพูดกับซีเฉิน ดวงตาของเธอไม่แยแส

ถ้าต้องการอะไรจากคนอย่างเสิ่นซิวจิ่น โดยไม่ต้องสูญเสียอะไรบางอย่าง จะเป็นไปได้อย่างไร?

ซีเฉินมองไปที่เจี่ยนถง และกดปุ่มโทรออก

ตู๊ด–

ตู๊ด–

เสียงเรียกเข้าที่เศร้าหมองและอึมครึม เมื่อดังขึ้นในห้องทำงานที่เย็นยะเยือก เสียงนั้นไม่เพียงตัดผ่านอากาศที่เงียบงันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบรรยากาศแปลกๆ ในสำนักงานด้วย

ชายร่างผอมบาง เหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์บนโต๊ะอย่างเป็นกันเอง “คุณจะว่าอะไรไหม?”

เขาลืมตาขึ้นอย่างแผ่วเบา และกวาดสายตาไปยังเก้าอี้แขกฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นชายอีกคนที่โดดเด่นพอๆ กัน

แม้ว่าจะเป็นการสอบสวน แต่ก็ชัดเจนว่า ไม่ว่าคนที่นั่งตรงข้ามเขา จะสนใจหรือไม่สนใจก็ตาม เขาก็ไม่สนใจมากนัก

โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูด นิ้วเรียวของเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบนโต๊ะ แล้วกดปุ่มรับสาย

ซีเฉินกดปุ่มโทรออก และเมื่อหน้าจอแสดงการเชื่อมต่อ เขาก็นำโทรศัพท์ที่อยู่ในสถานการณ์โทร ส่งไปยังฝ่ามือเรียวที่ยื่นมาทางเขาอย่างเงียบๆ

มือของเจี่ยนถงสั่นเล็กน้อย และโดยยังไม่ทันได้พูดอะไร ตาของเธอก็แดงก่ำขึ้นมา

อีกด้านของโทรศัพท์ ณ ห้องทำงานผู้อำนวยการของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ชายที่นั่งอยู่หลังโต๊ะ เวลาผ่านไปนานก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆ จากในโทรศัพท์เลย ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ เขาคงจะหมดความอดทน และตัดสายไปแล้ว

คราวนี้ เขากลับไม่ดันทุรัง โทรศัพท์มือถือเย็นๆ ของเขายังคงถูกแนบอยู่ข้างหู แม้ว่าคนในโทรศัพท์ จะยังเงียบอยู่ก็ตาม

แต่มีความรู้สึกแปลกๆ—โทรศัพท์ที่โทรเข้ามาสายนี้ วางสายไม่ได้

ผ่านไปครึ่งนาทีเต็ม

“ปล่อยเจี่ยนซื่อกรุ๊ปไป”

จากในโทรศัพท์ หญิงสาวพูดทั้งสี่คำอย่างหนักแน่น

เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น คนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะ ดวงตาที่แคบยาวของเขาก็ฉายแววแห่งความปีติยินดีออกมา ทำให้เขาผู้ซึ่งเกือบที่จะไม่เป็นที่นิยม มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง

แต่เพียงไม่นาน ความสุขก็มลายหายไป เหลือไว้แต่ความคิดลึกๆ

มุมปากของเขากระตุกทันที และเสียงแหบต่ำของเขา ก็พูดออกมาอย่างไม่รีบร้อน

“คุณกำลังขอร้อง หรือว่าสั่งฉัน?”

ขอร้อง กับ สั่ง แม้เป็นหนึ่งคำสองคำ แต่ความหมายแตกต่างกันมาก

อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ เจี่ยนถงกัดริมฝีปากอย่างแน่น ในชีวิตนี้ของเธอการ "ขอร้อง" เขา เธอ”ขอร้อง” ไปมากแล้ว เพียงสามปีเท่านั้น ความสงบและความเงียบริมฝั่งทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ เกือบทำให้เธอลืมไปแล้ว ว่าเสิ่นซิวจิ่นคือใคร เขาคือใคร?

สายตาคู่นั้นของเธอ มองดูสตรีผู้สูงศักดิ์ที่แต่งตัวดีอย่างเย้ยหยัน สตรีผู้สูงศักดิ์คนนั้น ด้วยท่าทางประหม่าบนใบหน้าของหล่อนกำลังให้ความสนใจกับเธอ——เจี่ยนถง ในทุกการเคลื่อนไหวในขณะนั้น

หล่อนรู้สึกประหม่ามากกว่าเธอ

สายตาที่ทอดลงมานั้น เปราะบางหาที่เปรียบไม่ได้ และริมฝีปากก็เม้มแน่น ลิ้มรสอย่างละเมียดละไม และรู้สึกประชดประชันอย่างมาก

เธอต้องการออกจากกระแสน้ำวนเหล่านี้ แต่ทุกครั้งที่เธอคิดว่าในที่สุดเธอก็หนีออกมาได้ เธอก็ตกลงไปในหล่มอีกครั้ง

พวกเขาทั้งหมดถือของล้ำค่าที่สุดของเธอ และโดยไม่สนใจรอยแผลเป็นของเธอ พวกเขาแทงมันอีกครั้งจนเลือดไหลออกมา

“ขอร้อง…” ลำคอของเธอรู้สึกอึดอัดอย่างผิดปกติโดย โดยไม่รู้ตัว ริมฝีปากของเธอ มีอาการปวดแสบปวดร้อน เธอลดคิ้วลง และหลับตาลง “ขอร้อง แล้วไง? ฉันสั่งคุณ แล้วอย่างไรต่อล่ะ?”

ในโทรศัพท์ ดวงตาของชายผู้นั้นกะพริบด้วยรอยยิ้มแปลกๆ และเขาก็ขัดริมฝีปากอย่างสบายๆ

“ถ้าคุณขอร้องฉัน”เขายิ้ม ในดวงตาแฝงไปด้วยความร้ายกาจเล็กน้อย ริมฝีปากบางของเขาแนบชิดอย่างสบายๆ และเสียงของเขาก็ออกมาจากปากอย่างรวดเร็ว “ฉันมีสิทธิ์ที่จะไม่ตกลง”

“หมายความว่า คุณปฏิเสธ?”เธอถาม

หางตากวาดไปทั่วใบหน้าของคุณหญิงเจี่ยนที่เพียงครู่เดียวความวิตกกังวลก็เพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่า “เสี่ยวถง ลูกรีบขอความเมตตาจากประธานเสิ่นเร็ว จะปล่อยให้เจี่ยนซื่อกรุ๊ปล้มไม่ได้”

สายตาที่คมราวกับใบมีดของซีเฉิน มองกวาดออกไป และคุณหญิงเจี่ยนก็ก้าวถอยหลังด้วยความกลัว

แต่เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้ยินเสียงของคุณหญิงเจี่ยน ตั้งแต่เจี่ยนถงมาขอให้เขาปล่อยเจี่ยนซื่อกรุ๊ปไป เขาก็คาดว่า มีคนจากตระกูลเจี่ยน ไปขอร้องให้เจี่ยนถงทำแบบนี้

และคุณหญิงเจี่ยน ก็อยู่ที่ยูนนาน

ระหว่างเขากับเจี่ยนถง มีคนน่ารำคาญเยอะจริงๆ เมื่อคิดเช่นนี้ สายตาของเสิ่นซิวจิ่นก็เหลือบมองคนที่นั่งตรงข้ามคนนั้น และทะนงตนในใจเล็กๆ

เมื่อคุยโทรศัพท์กับผู้หญิงคนนั้น สีหน้าก็อ่อนลงทันที และอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย

“คุณขอร้องฉัน ในฐานะอะไร?”

ดวงตาของเจี่ยนถงกะพริบ “เพื่อน”ในที่สุดเธอก็พูดออกมา

ชายที่อยู่ปลายสาย ไม่ได้แสดงความโกรธ และเสียงของเขาอ่อนโยนแต่แน่วแน่ "ขออภัย ฉันไม่ยอมรับคำขอร้องของคุณ" เขาปฏิเสธโดยไม่ชักช้า และตัดจบอย่างเด็ดขาด

ใบหน้าของเจี่ยนถงเปลี่ยนไป เธอคาดว่าเขาอาจจะปฏิเสธ แต่เธอไม่ได้คาดคิดว่า คนคนนี้จะไม่พิจารณา กลับปฏิเสธอย่างไร้ความปรานี และไม่หลงเหลือความรู้สึกใดๆ

ชายคนนั้นถอนหายใจเบา ๆ และอธิบายอย่างหน้าซื่อใจคด

“เสี่ยวถง คุณต้องรู้ด้วยว่า แม้ว่าฉันจะเป็นประธานของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป แต่เบื้องบนก็ยังมีคณะกรรมการบริหารอยู่

การผนวกเจี่ยนซื่อกรุ๊ป ก็เป็นการตัดสินใจของคณะกรรมการทั้งหมด

ตอนนี้การล่มสลายของเจี่ยนซื่อกรุ๊ป ยังคงเป็นทรัพย์สินมหาศาล สำหรับคดีใหญ่เช่นนี้ เพียงขอร้องเพื่อนที่ชื่อเสิ่นซิวจิ่นแค่คนเดียว ให้ปล่อยทรัพย์สินมหาศาลดังกล่าวไป

เรื่องเงินทอง เป็นไปไม่ได้ ที่จะให้เหตุผลเพียงว่า เพื่อนคนหนึ่งของฉันขอร้องอ้อนวอนมา ฉันไม่สามารถอธิบายให้คณะกรรมการทราบแบบนั้นได้

เสี่ยวถง ตัวคุณเองก็เริ่มต้นมาจากการเป็นนักธุรกิจ

คุณบอกว่าเราเป็นเพื่อนกัน คุณก็ไม่ควรจะทำให้เพื่อนตัวเองอับอายขายหน้าไม่ใช่เหรอ? "

ซีเฉินที่อยู่ใกล้กับเจี่ยนถง หูของเขาดีมาก เสียงของเสิ่นซิวจิ่นทางโทรศัพท์ เขาได้ยินมันอย่างชัดเจน

ใบหน้าที่หัวเราะเยาะเย้ยหยันอยู่เสมอ เปลี่ยนเป็นหน้าตาที่บูดบึ้งราวกับคนที่มีอาการท้องผูก

ใครเสแสร้ง?

คณะกรรมการของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป?

ถ้าคณะกรรมการของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปสามารถมีบทบาทในการตัดสินใจได้ ตอนนี้บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปก็ไม่ได้อยู่ในมือของเสิ่นซิวจิ่นแล้วตอนนี้

สมาชิกปัจจุบันของคณะกรรมการของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ในขณะนี้ล้วนไม่สามารถรับประกันอะไรได้เลย

บริษัท AG ของเสิ่นซิวจิ่นได้อัดฉีดทุนเต็มจำนวน ซึ่งเกือบจะทำให้ส่วนของกรรมการคนอื่นๆ ในคณะกรรมการให้เบาบางลง

ก็จะสามารถปล่อยตาแก่ที่เป็นคณะกรรมการบริษัทเหล่านั้นได้อย่างวางใจ เสิ่นซิวจิ่นนั้นไม่ได้ใจดำ

แล้วคณะกรรมการบริษัท?

ถ้าอธิบายให้กรรมการบริษัทฟังไม่ได้ล่ะ?

พูดเหลวไหล!

ในห้องทำงานของประธานบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ดวงตาที่แคบยาวของชายคนนั้น หลับตาลงอย่างนุ่มนวล… โอกาสที่พระเจ้าประทานให้ ไม่อาจโหดเหี้ยม เกินกว่าจะทำให้ผู้หญิงคนนี้หวาดกลัวได้ ใครให้เธอมาเป็นภรรยาของเขา?

ดูเหมือนจะเปลี่ยนไป เขาถอนหายใจ ดวงตาของนกฟีนิกซ์ที่เจ้าเล่ห์ มุมปากของเขาโค้งงอ "แน่นอน ถ้าคุณบังคับให้ฉันปล่อยเจี่ยนซื่อกรุ๊ปไป" เขาหยุดชั่วขณะ " ถ้าอย่างนั้นฉันคงปฏิเสธไม่ได้”

บทสนทนาพลิกกลับมา "แต่——คนเดียวที่สามารถสั่งเสิ่นซิวจิ่นได้ มีเพียงแค่ภรรยาของเสิ่นซิวจิ่นเท่านั้น"

เจี่ยนถงบีบโทรศัพท์ในมือของเธออย่างแรง และรังสีความโกรธก็แผ่ออกมาจากตาของเธอ เขาปฏิเสธที่จะปล่อยเธอไป ปล่อยกันและกันไป?

ด้วยความโกรธ ความคิดของเธอจึงลอยไปสู่ความโกลาหล

ใช้เวลานาน กว่าความสงบจะกลับคืนมาอีกครั้ง ดวงตาที่โกรธเกรี้ยวคู่นั้น กลับมาเย็นชาราวกับกิ่งไม้ที่ตายแล้ว “คราวนี้ ประธานเสิ่นต้องการให้ฉันทำให้คุณพอใจอย่างไร? สามปีที่ยุ่งเหยิงนั้น ต้องการเพิ่มอีกสามปีเหรอ?” เธอลดสายตาลง ถามเบาๆ อาการเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของเธอ ไม่ต้องการให้คนอื่นรับรู้

ตรงนั้น มือใหญ่ของชายที่กุมโทรศัพท์มือถืออยู่ ก็กำแน่นเช่นกัน หัวใจของเขาดูเหมือนจะมีดาบที่มองไม่เห็น แทงทะลุหัวใจของเขา ลมหายใจของเขาจมลง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ต้องแสร้งทำเป็นว่าผ่อนคลาย และยกมุมปากที่สวยงามได้รูปของเขาขึ้น เหมือนกับดอกไม้ในเกมของลูกท่านหลานเธอ และพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจว่า

“ใช่ อีกสามปี คุณยอมรับไหม?”

เขาต้องการที่จะพัวพันกับเธอไปตลอดชีวิต สามปีอย่างนั้นเหรอ? จะไปพออะไร?

เกลี้ยกล่อมเธอ แล้วไล่เธอออกไป เขาจะเอาอะไรมารั้งคนอื่น?

ผู้หญิงคนนั้นพูดว่า "ถ้าทำได้ ในชีวิตของฉันก็ไม่ต้องการที่จะขอร้องคุณอีก!" เธอกัดฟันกรอด ถ้อยคำบีบอยู่ระหว่างฟันของเธอ

การโทร สิ้นสุดลงกะทันหัน—-

มือที่ถือโทรศัพท์อยู่สั่นสะท้านราวกับใบไม้ร่วง ซีเฉินไม่เคยเห็นผู้หญิงแบบนี้มาก่อน ความโศกเศร้าของเธอ ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา ที่นั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนความเศร้าในฤดูใบไม้ร่วง

คุณหญิงเจี่ยนรู้สึกฟุ้งซ่านอยู่ในใจเสมอ เธอไม่เข้าใจอารมณ์นี้ เธอไม่เคยเข้าใจอารมณ์เช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต สิ่งที่กังวลใจยิ่งกว่าคือ–

"เสี่ยวถง เป็นยังไงบ้าง? ประธานเสิ่นเขา–"

"ประธานเสิ่นเขาจะปล่อยเจี่ยนซื่อกรุ๊ป–" ผู้หญิงบนเก้าอี้หวายหลับตาและสกัดกั้นการซักถามของคุณหญิงเจี่ยนโดยทันที ใบหน้าของคุณหญิงเจี่ยนเต็มไปด้วยความสุข "เสี่ยวถง ฉันรู้ว่าเธอ……" ใจอ่อนที่สุด

"แต่เจี่ยนซื่อกรุ๊ป ฉันเป็นคนดูแล" เสียงของหญิงสาวราบเรียบ

"อะไรนะ?" คุณหญิงเจี่ยนอุทานราวกับว่าฟ้าร้อง เสียงที่แหลมคมของเธอตัดผ่านความเงียบสงบของเอ๋อร์ไห่ และเหยียดนิ้วชี้ออกไปอย่างไม่อยากเชื่อ ชี้ไปที่ผู้หญิงที่หลับตาบนเก้าอี้หวาย

"เธอจะทำได้ยังไง!"

"ฉันทำได้" เจี่ยนถงพูดช้าๆ

"นี่มันอกตัญญู! เธอ เธอ เธอใช้ความแกร่งพิชิตความอ่อน!"

หน้าอกของคุณหญิงเจี่ยนขยับขึ้นลงด้วยความโกรธ

ผู้หญิงบนเก้าอี้หวายยิ้มบางๆ และมองไปที่คุณหญิงเจี่ยน

"ฉันคิดว่าคุณไม่ได้สนใจเรื่องนี้ แต่ที่แท้คุณดูทะเยอทะยานที่สุด! คุณต้องการยึดทรัพย์สินของโม่ป๋าย!" ในศีรษะของคุณหญิงเจี่ยนมีเพียงประโยคที่ว่า "เจี่ยนซื่อกรุ๊ป ฉันเป็นคนดูแล" เธอสับสน จึงอ้างถึงเจี่ยนเจิ้นตง "พ่อของเธอไม่เห็นด้วยแน่นอน! เธอคิดผิดแล้ว!"

"เฮ่~" เจี่ยนถงหัวเราะเยาะ ค่อยๆลืมตาขึ้น และจ้องไปที่คุณหญิงเจี่ยนโดยตรง

"คุณกลับไปถามเจี่ยนเจิ้นตงได้เลย ว่าต้องการที่จะเป็นคุณนายของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปในเมือง S หรือต้องการเป็นคนยากจนที่มีหนี้สินล้นเหลือ"

เจี่ยนถงมองดูคุณหญิงเจี่ยนอย่างเย็นชา เท่าที่จำได้เกี่ยวกับคุณหญิงเจี่ยน มีน้อยคนที่จะหยาบคายด้วย จึงพูดต่อว่า "คำพูดเหล่านี้ ฉันขอส่งให้คุณหญิงเจี่ยนด้วย

ฉันเป็นคนดูแลครอบครัว และคุณยังคงเป็นคุณหญิงเจี่ยนในสังคมที่ร่ำรวยของเมือง S เจี่ยนโม่ป๋ายก็ยังเป็นคุณชายของตระกูลเจี่ยนเช่นกัน เงินเดือนของคุณก็ยังเป็นไปตามเดิม ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย

ค่ารักษาพยาบาลก็ไม่มีวันขาด ค่าใช้จ่ายของคุณหญิงเจี่ยน เดือนละห้าหมื่น

ถ้าคุณหญิงเจี่ยนและคุณเจี่ยนไม่พอใจ ต่อจากนี้เจี่ยนซื่อกรุ๊ปจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ของเมือง S คุณหญิงเจี่ยนเป็นคนฉลาด คิดเอาเองว่าข้อไหนได้เปรียบที่สุดนะคะ"

คุณหญิงเจี่ยนหูผึ่ง!

แต่สิ่งที่ทำให้เธอกลัวมากขึ้น คือตาแดงก่ำของเจี่ยนถง!

เจี่ยนถงโบกมือ "กลับไปคิดดูนะคะ ลองถามคุณเจี่ยน ไปเถอะค่ะ"

เธอเหนื่อยมาก เหนื่อยมากๆๆๆ มองดูแผ่นหลังที่หนีเตลิดของคุณหญิงเจี่ยน นัยน์ตาก็เป็นประกายด้วยความปีติ!

พวกเขาถือว่าเธอเป็นหนึ่งในสิ่งล้ำค่าไม่กี่อย่าง พูดข่มขู่เธอ ดีกว่าพูดขอร้องเธอ ทั้งๆ ที่เธอรู้ว่าไม่สามารถ ไม่ควร แต่เธอก็ปฏิเสธไม่ได้!

ตอนนี้เธอนำชีวิตครอบครัวของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปมาด้วย เธอมองไปที่ทิศทางที่คุณหญิงเจี่ยนจากไป……คุณเจี่ยน คุณหญิงเจี่ยน คุณชายเจี่ยน พวกคุณจะต้องเจ็บปวด?

ดวงตาที่แดงก่ำนั้นเต็มไปด้วยความสุขและความสิ้นหวัง……ความสุขที่สิ้นหวัง!

บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป

ห้องทำงานท่านประธาน

"เป็นเธอ" ลู่หมิงชูนั่งลงที่เก้าอี้ตรงกันข้าง และฟังเสียงจากโทรศัพท์อย่างเงียบๆ

เขาแน่ใจว่าเป็นเธอ–เจี่ยนถง

ในเวลานี้ เสียงเรียกเข้าดังขึ้นอีกครั้ง

ซีเฉินโทรมา

ในโทรศัพท์ ซีเฉินพูดเพียงว่า "คุณหญิงเจี่ยนใช้ท่านแก่เจี่ยนที่เสียชีวิตไปแล้ว พวกเขาใช้ท่านแก่เจี่ยน มัน……น่ารังเกียจจริงๆ!"

สายตาของชายคนนั้นไม่แยแส "เดาถูกแล้ว" ผู้หญิงคนนั้นไม่สนใจชีวิตและความเป็นตายของเจี่ยนโม่ป๋าย ตระกูลเจี่ยน ยังมีอะไรที่คุ้มค่าให้เธอสนใจอีก?

การโทรศัพท์ครั้งนี้ ดูเหมือนจะเป็นการอ้อนวอน แต่เป็นการตัดสินใจที่ยากยิ่งกว่าสำหรับผู้หญิง

หัวใจของเขาเจ็บปวดอีกครั้งอย่างไม่มีเหตุผล ดวงตาคมดิ่งลง รู้สึกเงียบเหงามากขึ้น ผู้หญิงคนนั้น เขาบีบบังคับผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว

ทั้งที่รู้ว่าไม่ควรทำ แต่กลับทำ

สูญเสียและบีบบังคับ

เขาแค่ต้องการรั้งไว้ แม้ว่า……จะต้องกักขัง!

กักขังเธอไว้เคียงข้างเขาไปชั่วชีวิต แม้ว่าเขาจะต้องตกนรกหลังความตาย หรือต้องตกนรกถึง 18 ขุมก็ตาม

ซีเฉินหัวเราะขึ้นทันที "แต่เจี่ยนถงไม่ใช่คนว่าง่ายเจี่ยนซื่อกรุ๊ป เธอต้องการเป็นใหญ่ นายไม่เห็นหน้าคุณหญิงเจี่ยนในตอนนั้นเหรอ"

"ตระกูลเจี่ยนมีเพียงท่านแก่เจี่ยนที่เป็นหน้าเป็นตา ถึงจะทำให้เสี่ยวถงโทรมาหาฉันได้ หากพวกเขากล้าอ้างถึง ท่านแก่เจี่ยน ก็ต้องรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นก็มีอารมณ์โกรธเช่นกัน" เสิ่นซิวจิ่นพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ "เธอต้องการเป็นใหญ่ในเจี่ยนซื่อกรุ๊ปและควรจะเป็นอย่างนั้น"

ในตอนนี้ เธอเต็มใจที่จะดูแลเจี่ยนซื่อกรุ๊ปซึ่งถือว่าดีมาก แสดงว่าเธอต้องจากเอ๋อร์ไห่ และกลับไปที่เมือง S และเมื่อเธอกลับมาที่เมือง S เธอจะต้องกลับเข้าสู่โลกอีกครั้ง เมื่อเป็นแบบนี้ เขาถึงจะสามารถเก็บเธอไว้ข้างกายเขาได้ตลอดไป

ทำไมซีเฉินไม่เข้าใจเสิ่นซิวจิ่น เขาหัวเราะเบาๆ และพูดว่า "อย่าบีบบังคับเธอเกินไป" จากนั้นโทรศัพท์ก็ตัดสายไป

ลู่หมิงชูพูดเสียงทุ้มต่ำ "ท่านแก่เจี่ยนไม่ได้ดีกับเธอจริงๆ" ผู้หญิงคนนั้น ท่านแก่เจี่ยนทำเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ไม่ได้ "ดี" กับเธออย่างแท้จริง ก็เลยโทรมา?

"จะบอกว่าเธอโง่เง่าก็ยังมองไม่ออก?" ณ จุดนี้ เขาไม่เห็นด้วยกับเจี่ยนถง

"คลืด" ชายตรงข้ามลุกขึ้นทันที เก้าอี้ข้างหลังเขาส่งเสียงเล็กน้อย เงาร่างสูงของเขาก็ปกคลุมไปทั่วร่างลู่หมิงชู

"ไม่ได้โง่เง่า และไม่ใช่มองไม่ออก" ดวงตาของเสิ่นซิวจิ่นจ้องไปที่ใบหน้าของลู่หมิงชู นัยน์ตาราบเรียบ

"นายคิดว่าเสี่ยวถงไม่เข้าใจจริงๆ เหรอ?

หรือว่ากว่า 10 ปีเธอไม่รู้คำว่าดีของท่านแก่เจี่ยน ว่ามีเงื่อนงำหรือไม่?"

"แล้วทำไม……"

ดวงตาของเสิ่นซิวจิ่นลึกขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ ซึมเข้าไปในเจ็บปวดลึกๆ

"เธอรู้ เธอรู้ทุกอย่าง

เธอไม่เคยพูด

ท่านแก่เจี่ยนยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้พูด ท่านแก่เจี่ยนจากไปแล้วก็ไม่ได้พูด

เธอแค่จัดการ 'กองทุนดวงหัวใจ' ให้ดี นั่นคือสิ่งเดียวที่ท่านแก่เจี่ยนหวังกับเธอ ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลเจี่ยน สิ่งเดียวที่หวังให้เธอทำให้ดี"

ความหวัง "เพียงอย่างเดียว" และเป็นสิ่งที่เจี่ยนถงทำได้เพียงอย่างเดียวเช่นกัน ท่านแก่เจี่ยนเอาแต่ใจ ไม่ยอมให้เจี่ยนถงยื่นมือไปยุ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเจี่ยนซื่อกรุ๊ป ดังนั้น จึงให้ "กองทุนดวงหัวใจ" กับเจี่ยนถง

ลู่หมิงชูโกรธเล็กน้อย "นายก็เข้าใจเจตนาเดิมของท่านแก่เจี่ยน แทนที่จะพูดว่าปฏิบัติต่อเธออย่างดี ก็สู่พูดว่าใช้ประโยชน์จากคำว่ารักไม่ดีกว่าเหรอ แบบนั้นก็ถือเป็นการปฏิบัติต่อเธออย่างดีแล้ว? เธออ่อนข้อให้นาย เพราะท่านแก่เจี่ยนอย่างนั้นเหรอ?" เขารับไม่ได้!

หนึ่งคือรู้สึกว่าเจี่ยนถงที่เป็นแบบนี้ โง่เกินไป

สองคือรู้สึกว่า เธอไม่แยแส ไม่ยอมแพ้ต่อเขาขนาดนี้ เธอจะก้มหัวให้กับคนแซ่เสิ่นอย่างง่ายดายได้อย่างไร!

ริมฝีปากของเสิ่นซิวจิ่นหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เหยียดหยามอย่างเย็นชา ลู่หมิงชูเงยหน้าขึ้น ก็พบกับการเหยียดหยามของเสิ่นซิวจิ่น

ก่อนที่เขาจะโกรธ อีกฝ่ายก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดว่า

"เธอรู้ทุกอย่าง สิ่งที่นายมองออก เธอก็มองออกหมด

แต่นั่นก็เป็นหนึ่งในแสงสว่างไม่กี่ดวงในชีวิตของเธอ" เมื่อถึงจุดนี้ เสิ่นซิวจิ่นก็รู้สึกจุกในลำคอ หัวใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวดแทนเธอ แทนผู้หญิงที่โง่เง่าคนนั้น

"ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีจุดประสงค์ ทั้งๆ ที่รู้ว่าดีมีเงื่อนงำ แต่เธอก็ยังเข้าไปยุ่งเกี่ยว" เช่นเดียวกับเขา ทั้งๆ ที่รู้ว่าการรักเขาจะทำให้เหนื่อย แต่ผู้หญิงโง่เง่าคนนั้น ตอนแรกก็เข้าไปยุ่งเกี่ยวเช่นกัน ตั้งแต่นั้นมา ก็เป็นจุดเริ่มต้นของความทุกข์ของเธอ

เสิ่นซิวจิ่นเป็นจุดเริ่มต้นของความทุกข์ยากทั้งหมดของเจี่ยนถงหญิงโง่เง่าคนนั้น

ในชีวิตนี้ เขาเต็มใจที่จะรักเธออย่างถึงที่สุด

ลู่หมิงชูสั่นสะท้าน หัวใจของเขาไม่สามารถหยุดสั่นได้……มีคนที่รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นของปลอม แต่ก็ยังแสดงความจริงใจออกมา?

ในโลกนี้ มีคนแบบนี้อยู่จริงหรือ?

เขาไม่อยากเชื่อเลย!

"เธอจำแต่เรื่องดีๆ ของท่านแก่เจี่ยน ไม่จำเรื่องไม่ดีของท่านแก่เจี่ยน ในสายตาเธอ มีเพียงความดีของท่านแก่เจี่ยนเท่านั้น นายคิดว่าเธอโง่เง่าไปซะทุกอย่างจริงๆ เหรอ!

ลู่หมิงชู ผู้หญิงที่ฉันหลงรักก็เป็นแบบนี้" ริมฝีปากบางของชายคนนั้นยกขึ้น นัยน์ตาของเขาอบอุ่น และภูมิใจอย่างยิ่ง

ในหูของลู่หมิงชู เสียงอันไม่พึงประสงค์ของเสิ่นซิวจิ่นยังคงก้องกังวาน "แล้วนายล่ะ? ลู่หมิงชู สิ่งที่นายรัก มันคืออะไรกันแน่?"

เปลี้ยง–

เสียงฟ้าร้องในหู!

แล้วนายล่ะ? ลู่หมิงชู สิ่งที่นายรัก มันคืออะไรกันแน่!

ความรักของเขารักคืออะไรกันแน่? ดวงตาลู่หมิงชูเลื่อนลอย ไม่รู้ว่าเดินออกจากห้องทำงานของเสิ่นซิวจิ่นอย่างไร ไม่สนใจผู้คนที่ผ่านไปมา ก้าวเข้าไปในลิฟต์ รับรู้ถึงเสียง "ติ๊ง" เมื่อประตูลิฟต์เปิดอีกครั้ง ก็อยู่ในโรงรถชั้นใต้ดินแล้ว

ดวงตาที่เลื่อนลอย ของลู่หมิงชูค่อยๆ คืนสติอีกครั้ง–เข้าไปในชีวิตของเธอช้าไป ไม่จำเป็นต้องรู้สึกอิจฉาหรือสงสารเธอ ในอดีตของเธอ ไม่ได้มีส่วนร่วม ในอนาคตของเธอ ก็อาจจะเป็นไปไม่ได้

เขาแค่……มาช้าไปเท่านั้น

เซียวเหิงอยู่ในหยุนหนาน

เขาเห็นผู้หญิงคนนั้น

เขาต้องการเข้าไปใกล้กว่านี้ แต่เท้ากลับหนักอึ้ง

ในคืนนั้น

ในตอนกลางคืนของเอ๋อร์ไห่ มีลมแรงเป็นบางครั้ง

ข้างถนนตรงข้ามกับ Memory House มักจะมีรถจอดอยู่เสมอ

บางครั้งก็เป็นแท็กซี่ บางครั้งก็เป็นรถส่วนตัว ด้วยป้ายทะเบียนรถที่แตกต่างกัน แต่ภายในรถ จะเป็นคนเดียวกันเสมอ เซียวเหิง

เขาไม่กล้าเข้าใกล้โฮมสเตย์

เพราะมีเธออยู่ในนั้น

คืนนี้ลมแรงมาก

คนขับรถ Didi เริ่มหงุดหงิด "คุณครับ ถึงที่หมายแล้วครับ" ลูกค้าคนนี้แปลกมาก เขาได้รับคำสั่งเรียกรถจาก Didi เป็นครั้งที่สามแล้ว

ปลายทางคือที่เดิมทุกครั้ง

ทุกครั้งก็จะเงียบตลอดทาง

ทุกครั้งที่ไปถึงที่หมาย ก็จะจ้องมองไปยังทิศทางหนึ่งอย่างสิ้นหวัง

"คุณครับ ถ้าคุณต้องการเข้าพัก ตอนนี้สามารถไปหาที่พักชั่วคราวได้นะครับ"

คนขับรถ Didi เร่งเร้า

เขาแค่ไม่เข้าใจความคิดของเด็กเหล่านี้

เบาะหลังรถ "แล้วถ้าผมอยากดื่มล่ะ?"

คนขับรถ Didi ผงะ "คุณ……อกหักเหรอ?" ชี้ไปที่โฮมสเตย์นอกหน้าต่าง "แฟนของคุณทำงานในโฮมสเตย์นั้นเหรอครับ?" ทุกครั้งถึงได้จ้องมองไปที่โฮมสเตย์นั้นอย่างสิ้นหวัง?

เซียวเหิงไม่ได้พูด แต่คนขับรถ Didi แสดงความเห็นอกเห็นใจและถอนหายใจ "คนหนุ่มสาวเนี่ยนะ ตอนมีก็ไม่รักษา พอสูญเสียถึงได้รู้จักเสียใจ"

คนที่นั่งเบาะหลัง บนใบหน้าหล่อเหลา มองไปทาง Memory House ผ่านม่านตาที่หรี่ลง พร้อมกับเยาะเย้ยตัวเองที่มุมปาก……ใช่ ตอนมีไม่รักษา

ผู้หญิงคนนั้น เธอเคยเชื่อเขาหมดหัวใจ

เคยยิ้มให้เขา

ตอนนั้น ถ้าเขาไม่เจตนาร้ายทำร้ายเธอ ในชีวิตนี้ก็คงมีเธอเดินร่วมทางกับเขาใช่ไหม?

ถึงแม้ไม่รักเขา แค่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปกับเขาก็พอ เพราะชีวิตหนึ่งเดี๋ยวก็ผ่านไปไม่ใช่เหรอ?

ในเวลานี้ ก็ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันไอ้แซ่เสิ่นแม้แต่น้อยแล้ว?

ถ้าในตอนนั้น เขาไม่ได้ทำอย่างโหดเหี้ยม ดังนั้น……คงไม่เหลือที่ว่างใดๆ!

ไม่มีถ้า……

เขาใช้ชีวิตจนถึงตอนนี้ ก็เพื่อผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาเคยรัก

มีคนบอกเขา ว่าผู้หญิงคนนั้นเคยทำเรื่องแบบนั้น นำหลักฐานมาวางไว้ต่อหน้าเขา เขาไม่อยากจะเชื่อ ไม่เชื่อในตัวเอง เป็นตัวเองที่เลือกทางไม่ดี และยังเลวร้ายอย่างยิ่ง

นั่นคือเจี่ยนถงที่เขารู้จักเหรอ?

เขารู้สึกทึ่งและโกรธ โกรธที่เธอโกหกเขา แสดงละครต่อหน้าเขา และแสดงได้อย่างยอดเยี่ยมสมจริง!

เขาทนไม่ได้เพราะเธอไม่ใช่แบบที่เขาคิดว่าเธอจะเป็น โกรธ โมโห เกลียดชัง และสุดท้ายก็นำอารมณ์ร้ายๆ ทั้งหมดของเขา มาสาดใส่เธออย่างเลวร้าย

เขาเอาเจตนาไม่ดีสาดใส่ที่เธอ ตั้งแต่หัวจรดเท้า ล้อมรอบไปด้วยความโกรธ

เมื่อนึกถึงตอนนี้ สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดคือตัวเขาเอง

ต่อมาเขาก็สูญเสีย

เมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น สิ่งที่เข้ามาในหัว ไม่ใช่ความแสนสาหัสของผู้หญิงคนนั้น แต่มันเกิดขึ้นอย่างลับๆ……แม้ว่าเขาจะทำมันจริงๆ ทำลงไปแล้วก็คือทำลงไปแล้ว แล้วยังไงล่ะ?

เขารู้สึกว่าการคิดแบบนี้มันไร้สาระ เพราะเรื่องแบบนั้น เขาถึงติดคุก และผู้หญิงแบบนั้น เขาจะรู้สึกว่า "แล้วยังไงล่ะ" ได้อย่างไร!

ดิ้นรน ผันผวน

เขาหลอกตัวเองว่า ก็แค่ผู้หญิงเลวคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ!

พูดแบบนี้ แต่ใส่ใจเรื่องของเธอตลอดเวลา

จอมปลอม!

จอมปลอมจริงๆ!

เซียวเหิงหัวเราะเยาะตัวเอง

"วัยรุ่นน่ะ มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน" คนขับรถ Didi มองผ่านกระจกมองหลังและมองไปยังคนที่นั่งอยู่เบาะหลัง สีหน้าของเขาไม่ดีนัก เลยรีบพูดโน้มน้าวอย่างรวดเร็ว

เซียวเหิงเงยหน้าขึ้นมองกระจกมองหลัง ในกระจกมองหลัง เขายิ้มให้คนขับรถ Didi ที่ไม่สู้ดียิ่งกว่าการร้องไห้ "ไปเถอะครับ"

อธิบายไม่ถูก!

"ไปที่ไหนครับ?"

"ที่ที่ครึกครื้นที่สุด?"

"เวลานี้?" คนขับรถ Didi ไตร่ตรองและยิ้มขึ้น "บาร์ในเมืองโบราณลี่เจียง แต่จะใช้เวลาขับรถสองชั่วโมง ไปไหมครับ?"

"ไปสิ! ทำไมจะไม่ไปล่ะครับ?" เซียวเหิงยังคงยิ้ม แต่เป็นยิ้มอย่างประชดประชัน

"ค่าโดยสาร……"

คนขับพูดเพียงสามคำ ธนบัตรกองหนึ่ง ที่ไม่รู้ว่ามันเท่าไหร่ ก็ยัดมันเข้าไปในมือจากด้านหลังทันที "ผมต้องการไปบาร์ที่ครึกครื้นที่สุด"

นัยน์ตาคนขับเป็นประกาย "ได้ครับ! คุณคอยดูเลย! ผมแน่ใจว่าที่ที่จะพาคุณไปครึกครื้นที่สุด!"

ค่าโดยสารในคืนนี้ เป็นค่าใช้จ่ายหนึ่งสัปดาห์ของเขาเลย

รถเดินทางสู่ลี่เจียง

นอกจากนี้ยังมีบาร์เล็กๆ ในเมืองโบราณลี่เจียง แต่โดยปกติแล้วจะปิดตอน 5 ทุ่ม นี่เป็นกฎของเมืองโบราณลี่เจียง

นอกเมืองโบราณ บาร์ขนาดใหญ่หลายแห่งยังคึกคักอยู่

ยิ่งกลางคืนวิวยิ่งสวย

แตกต่างจากบาร์ในเมือง ความครึกครื้นที่นี่ นอกเหนือไปจากเสียงเพลงที่ครึกครื้นของเครื่องเล่นแล้ว ยังมีบรรยากาศที่ต่างออกไปของ"ผู้คนในเมืองโบราณ"

บนฟลอร์เต้นรำ ฝูงชนทั้งเด็กและผู้ใหญ่มาที่นี่ ต่างคงอายุอยู่ที่ 18 ปี

แสงและเงาที่ริบหรี่ ฝูงชนที่เต้นรำบนฟลอร์เต้นรำต่างเต้นในท่าทางที่แปลกออกไป สีหน้าของผู้คนเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง สั่นศีรษะและบิดสะโพก ผู้หญิงผมยาว ผมตรงหรือหยักศก ต่างก็กลายเป็นพยานถึงความบ้าคลั่งของพวกเธอเองในขณะนี้–ร่างกายขยับอย่างบ้าคลั่ง ผมยาวพลิ้วไหวอย่างเมามัน!

เซียวเหิงดื่มเหล้าXOแก้วแล้วแก้วเล่า และต่อเนื่องหลายต่อหลายแก้ว

เขาดื่มอย่างรวดเร็ว เหมือนกับความคิดถึงที่เขามีของผู้หญิงคนนั้นในขณะนี้

มีเพียงความรวดเร็วของแก้วต่อแก้วเท่านั้น ถึงจะไม่มีที่ว่างให้รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ทำให้หายใจลำบากจากหัวใจของเขา

สิ่งที่กลัวที่สุดไม่ใช่การแพ้ แต่คือการสูญเสียโดยสิ้นเชิง

ความสิ้นหวังที่มองไม่เห็นจุดจบ มองไม่เห็นความหวังเพียงริบหรี่

ตึก–

ร่างหนึ่งชนเข้ามา

เหล้านับพันหยวนจากต่างประเทศบนโต๊ะตกลงไปที่พื้น เหล้าสาดกระจายไปทุกหนทุกแห่ง

"ขอโทษครับ ฉันไม่ได้ตั้งใจ"

เซียวเหิงไม่พูดอะไร ผู้จัดการบาร์บังเอิญอยู่ข้างๆ เขา และก็ตำหนิทันที "เธอทำงานยังไงกัน? ยังไม่โค้งคำนับและขอโทษแขกอีก"

หลังจากที่ผู้จัดการดุอย่างเย็นชา ก็หันศีรษะมาและพูดกับเซียวเหิง

"ขอโทษด้วยนะครับ คนทำความสะอาดคนนี้เพิ่งมาทำงานที่บาร์ ยังทำอะไรงุ่มง่าม เลยทำเหล้าของคุณตกแตก เราจะเอาขวดใหม่มาให้นะครับ" ที่จริงแล้วเงินนี้ มาจากการหักจากเงินเดือนของพนักงานทำความสะอาด

เมื่อคนทำความสะอาดได้ยินคำพูดของผู้จัดการ ใบหน้าของเธอก็ซีดทันที แต่ไม่กล้าพูดอะไร

และรีบเข้ามาอย่างรวดเร็ว โค้งให้เซียวเหิงเพื่อยอมรับความผิดพลาด

"เดี๋ยวก่อน" มือข้างหนึ่งกดไหล่ของคนทำความสะอาดอย่างแน่นหนา คนทำความสะอาดตัวสั่นด้วยความกลัว

และมองอย่างระมัดระวัง ด้วยหัวใจที่เต้นรัว

เซียวเหิงจ้องไปที่คนทำความสะอาดที่อยู่ข้างหน้าเขาด้วยดวงตาที่แข็งกร้าวผิดปกติ ด้วยการจ้องมองนั้น ผู้จัดการที่อยู่ด้านข้างก็คิดอยู่ในใจ คงไม่ได้ชอบคนทำความสะอาดหรอกใช่ไหม?

กลิ่นนี้ มัน "ไม่ธรรมดา" เลย

"คุณชื่ออะไร?"

"ถงเสี่ยวโถง"

"ถง……เสี่ยวถง?" ในตาปรือๆ ของเซียวเหิง สดใสอย่างน่าประหลาด "เสี่ยวถง?"

มุมปากของผู้จัดการกระตุกเล็กน้อย และก้าวไปข้างหน้า "คุณครับ เดี๋ยวผมให้คนไปนำเหล้าขวดใหม่มาให้……"

"ช่างเถอะ ก็แค่เหล้าหนึ่งขวด แตกไปแล้วก็แตกไปแล้วสิ มันก็เหลือไม่มากแล้ว" สุดท้ายราคาของเหล้าขวดนี้จะราคาเท่าไหร่ ก็ต้องตกอยู่คนทำความสะอาดตัวน้อยนี้ เซียวเหิงเข้าใจกฎนี้ และพูดเบาๆ

ผู้จัดการบาร์คิดในใจ……เมื่อครู่ที่เขาอยู่ด้านข้าง คนนี้มาคนเดียว และสั่งเหล้าราคาแพงดีๆ หลายขวด ราคารวมทั้งสิ้นห้าหมื่นหยวน เขาถือเป็นแขกรายใหญ่ในคืนนี้ แน่นอน ในฐานะผู้จัดการ ก็ต้องเข้ามาสักหน่อย ดังนั้นเขาจึงเห็นอย่างชัดเจน ว่าขวดเหล้าที่แตกเมื่อกี้ ยังไม่เปิดด้วยซ้ำ

"เสี่ยวถง……เสี่ยวถง……ทำไมคุณมาอยู่ในบาร์?" เซียวเหิงเพิกเฉยต่อการมีอยู่ของผู้จัดการ และไม่รู้ว่าเขาเมาจริงๆ หรือว่าอะไร

เพียงแค่จ้องตรงไปที่คนทำความสะอาดตัวน้อยที่ตัวสั่นเทา

"ฉัน ฉันต้องการใช้เงิน ฉันมาหาเงิน"

ดวงตาของเซียวเหิงเจ็บปวด และก็รีบหยิบสมุดเช็คออกมา "ปากกา มีปากกาไหม?"

ผู้จัดการรีบมอบมันให้อย่างรวดเร็ว "มีครับ"

เขาไม่สนใจ หยิบปากกาและกรอกตัวเลขบนสมุดเช็คอย่างรวดเร็ว เซ็นชื่อ และรีบยัดมันให้คนทำความสะอาดตัวน้อย

"เสี่ยวถง อย่าทำอีก อย่ามาทำในที่แบบนี้ ผมให้เงินคุณ"

เขาพูดอย่างเร่งรีบ ผู้จัดการบาร์เหลือบไปมอง ก็ต้องตกใจ!

ฮืม!

หนึ่งล้าน!

หนึ่งล้าน!

ให้คนทำความสะอาดตัวน้อยที่เพิ่งจะรู้จักกัน?

ถ้าแขกคนนี้ไปได้เมา แขกคนนี้ก็คงสติไม่ดีแล้วล่ะ

แขกจะใจกว้างแค่ไหน ก็ไม่ได้ใจกว้างขนาดนั้นไหม

ในฐานะผู้จัดการบาร์ เขารู้ดีว่าไม่ควรรับเงินจำนวนนี้ ใครจะรู้ว่าเขาเมารึเปล่า

"คุณครับ คุณเมาแล้ว รีบเก็บเงินไปเถอะครับ"

"ผมไม่เมา" เซียวเหิงหรี่ตาและพูดอย่างหนักแน่น

"ผมไม่เมา เธอชื่อเสี่ยวถง เพราะเธอไม่มีเงิน เลยมาทำงานเป็นคนทำความสะอาดที่สถานบันเทิง" เขารีบยัดเช็คเข้าไปในมือของคนทำความสะอาดที่ตัวสั่นเทา "เธอไม่มีเงิน ผมมีเงิน ผมเลยให้เธอ ให้เธอหมดเลย" เขาลืมตาขึ้น มีร่องรอยของความมึนเมาในดวงตา แต่ในขณะนั้น เขาใช้สายตาที่จริงจัง จ้องไปที่คนทำความสะอาดที่ชื่อถงเสี่ยวโถง "อย่ามาทำงานในที่แบบนี้อีก"

หลังจากพูดจบ ก็ไม่สนเหล้าที่ไม่แม้จะเปิดออกบนโต๊ะอีก และเดินโซเซออกจากบาร์อย่างรวดเร็ว

เขาวิ่งโซเซไปตลอดทาง

วิ่งเข้าไปในซอยมืด

เมื่อลมกลางคืนพัดมา ด้วยความที่สวมเสื้อผ้าไม่มากนัก ตัวเขาก็สั่นเทาด้วยความหนาว

ค่อยๆ เลื่อนตัวลงตามกำแพงข้างหลังเขา นั่งยองๆ ที่มุมกำแพงที่มีคราบตะไคร่น้ำ และค่อยๆ ยกฝ่ามือกว้างขึ้น ปิดใบหน้า มีของเหลวไหลออกมาตามระหว่างนิ้ว

เศร้าโศกโดยไร้เสียง สาหัสโดยไร้เสียง หลอกตัวเองโดยไร้เสียง

"ดื่มจนตายก็คงดี" พูดขึ้นเบาๆ

"อ่า? คุณอยู่ที่นี่เอง" เสียงหวานไล่ตามเขา

"คุณวิ่งทำไมกัน วิ่งเร็วมาก" มีเสียงหอบเล็กน้อยในเสียงของผู้หญิงที่ตามมา

มือของเซียวเหิงที่ปิดใบหน้าไว้ เช็ดถูเบาๆ จากระหว่างนิ้วของเขา ขาสวยคู่หนึ่งที่ใส่รองเท้าส้นสูงกว่าสิบนิ้ว เปลือกตาค่อยๆ ยกขึ้น กระโปรงรัดรูป สะโพกกลมมน

เซียวเหิงไม่ได้เงยหน้า และยังคงกุมศีรษะไว้

ลมพัดผ่าน มือข้างหนึ่งวางมือเบาๆ บนไหล่ของเขา "คุณ ทำไหมคะ?"

เซียวเหิงกุมศีรษะของเขาและพูดว่า "คุณทำงานกลางคืนเหรอ?"

"ฉันไม่ได้ขาย" ริมฝีปากนุ่มๆ ของหญิงสาวกดแนบหูของเซียวเหิง และเธอก็หายใจออก "ไปที่บ้านของฉัน ไหมคะ?"

เซียวเหิงหัวเราะเบาๆ เงยหน้าขึ้นและเลิกคิ้ว

"คุณทำแบบนี้บ่อยเหรอ?

พาผู้ชายที่ไม่รู้จักกลับบ้าน?"

"ไม่ คุณคือคนแรก" ริมฝีปากสีแดงของผู้หญิงคนนั้นขยับเล็กน้อย "ฉันตาสูงมาก และคุณเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้ฉันใจเต้น"

เมื่อเห็นว่าเซียวเหิงไม่ขยับ ร่างกายที่อ่อนนุ่มของหญิงสาวก็โอบกอดเขาไว้เกือบทั้งหมด "มาที่บาร์ ถ้าไม่มาหาความสุข ก็คงรู้สึกทุกข์ใจ

คุณ คงไม่ใช่อย่างที่สองใช่ไหม?

ความรู้สึกน่ะ~ ถ้าปล่อยไปไม่ได้แล้วไงล่ะ?

ไม่มีอะไรนอกจากผู้ชายรักผู้หญิง ผู้หญิงรักผู้ชาย ไม่คุณไม่รักเธอ ก็เธอไม่รักคุณ

เธอไม่รักคุณ แล้วคุณจะทำอะไรได้?

หรือต้องเป็นเธอเท่านั้น?" นิ้วมือของผู้หญิงคนนั้นพุ่งเข้าไปในเสื้อของเซียวเหิง ปลายนิ้วของเธอวาดวงกลมบนหน้าอกของเซียวเหิง "คุณจะทำอะไรได้? ถ้าปล่อยมันไปไม่ได้ ก็มีแต่คุณเท่านั้นที่ทนทุกข์

ติดอยู่ในวงโคจรคนเดียว คุณจะไม่มีวันเป็นอิสระ"

ผู้หญิง นี่คือผู้หญิงที่มีประสบการณ์

คำพูดนั้นแทงเข้ามาในหัวใจของเซียวเหิงอย่างดุเดือด

เซียวเหิงหลับตา และลืมมันอีกครั้ง ริมฝีปากบางของเขาม้วนขึ้น เผยรอยยิ้มอันเจ็บปวดและสิ้นหวัง "โอเค" เสียงแหบแห้งของเขาดูเหมือนจะไม่มีแรงกดดันใดๆ และเขาก็ไม่สนใจ ดูเหมือนว่าเขาจะพ่นคำสองคำนี้ออกมาอย่างมีความสุขและรวดเร็ว

เขายืนขึ้น ฝ่ามือใหญ่ของเขากุมไปที่ก้นที่อวบอ้วนของผู้หญิง และก็นวดมันในลักษณะที่เร้าอารมณ์!

เธอไม่รักคุณ ก็มีแต่คุณเท่านั้นที่ทนทุกข์

เธอไม่รักคุณ คุณก็จะติดอยู่ในวงโคจรคนเดียว?

เธอไม่รักคุณ แล้วคุณจะทำอะไรได้?

เขาจะทำอะไรได้บ้าง?

เขา……จะทำอะไรได้อีก!

ฮ่าๆๆๆ……

ริมฝีปากบางเปล่งเสียงหัวเราะอย่างสิ้นหวัง เสียงหัวเราะที่ไร้เสียง และไม่มีใครได้ยิน!

หากไม่มีเธอ เขายังคงเป็นเซียวเหิง เพลย์บอยในโลกของเกม

ไปทั่วโลก ไร้ขีดจำกัด ไม่ยับยั้ง ไร้ความปรานี เพลย์บอยที่ไร้หัวใจ

"ไปโรงแรม"

ในสายลมยามค่ำคืน เสียงแหบแห้งของเซียวเหิง เอ่ยโดยไร้อารมณ์

สุดท้าย เขาก็ไม่ไปที่ไปบ้านของผู้หญิงคนนี้

……

ในห้องใหญ่ สไตล์โบราณ นี่คือเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองโบราณลี่เจียง

เสียงฝักบัวหยุดลงกะทันหัน

ชายคนนั้นสวมผ้าเช็ดตัวสีขาวรอบเอวของเขา น้ำหยดลงบนขนสัตว์ที่ไม่รู้ว่าจากสัตว์อะไรบนพื้นไม้ เขาเดินไปที่ข้างเตียงราวกับหมาป่า

ทันใดนั้นก็ก้มลง กดฝ่ามือ วางฝ่ามือกว้างบนผ้าปูที่นอน แล้วดึงผู้หญิงที่นั่งอยู่ในนอนราบลงบนเตียง แล้วจับขาอ้ากว้าง

นัยน์ตาของผู้หญิงคนนั้นประหลาดใจ แล้วก็พึงพอใจ ดวงตาคู่นั้นเริ่มหลงใหล "เร่าร้อนขนาดนั้นเลยเหรอ? คุณนี่……เจ้าเล่ห์จริงๆ"

เซียวเหิงเงียบ ใบหน้าหล่อเหลา ไม่แสดงสีหน้าแม้แต่น้อย

ไร้คำพูด ทันใดนั้น เขาก็ฝังศีรษะของเขาที่คอของผู้หญิงคนนั้น ผมสีดำอยู่ที่ลำคอเพรียวของหญิงสาว หน้าอกที่เปลือยเปล่า ถูกบีบคั้นอย่างรุนแรง

"อะ……ช้าหน่อย รุนแรงเกินไปแล้ว……" เป็นแค่การแสดงเท่านั้น ผู้หญิงคนนั้นหอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า

มีรอยแดงอยู่ทุกที่ เป็นความงามที่ไม่มีสิ้นสุด

แต่ชายที่อยู่บนตัวเธอ ไม่มีกะจิตกะใจที่จะมองความสวยงามเหล่านี้

รุนแรงมากขึ้น

เจี่ยนถง ไม่มีคุณ ผมก็ยังเป็นผม

ไม่มีคุณ ผมก็ยังเป็นเซียวเหิง

ไม่สำคัญ คุณไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ไม่ ไม่ ไม่!

เจี่ยนถง ไม่มีคุณก็ไม่เป็นไร ผมคือเซียวเหิง ยังเป็นอยู่เสมอ!

ไม่มีคุณ ผมก็สบายดี มีความสุขได้ สนุกได้ ได้เพลิดเพลินกับเรือนร่างอันบอบบางของผู้หญิงคนอื่น……ไม่จำเป็นต้องเป็นคุณ!

ไม่จำเป็นต้องเป็นคุณ!

คนอื่นก็ได้เช่นกัน!

การเคลื่อนไหวของเขาทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

"เบาหน่อย……เจ็บ……" ผู้ชายคนนี้รุนแรงขนาดนี้เลยเหรอ?

ทันใดนั้น!

เซียวเหิงลุกขึ้นและผลักผู้หญิงบนเตียงอย่างแรง ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม

"ไปให้พ้น!"

"ทำไมคุณ……" ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นไม่สู้ดีนัก หางตาของเธอมองไปทางเซียวเหิง "คุณไม่เลวเหรอ?"

ผู้ชายคนอื่นๆ พูดว่า "ไม่ได้" มักจะวางปืนไว้บนหลังม้า

"ไปให้พ้น!" เซียวเหิงพลิกสมุดเช็คในเสื้อของเขา นำปากกาที่เจออยู่ในห้อง กรอกตัวเลขอย่างรวดเร็ว แล้ววางเช็คลงบนเตียง "นี่ รับและออกไปซะ!"

หญิงสาวไม่ได้ขาดเงิน เธออยากจะโมโหขึ้นมา แต่เมื่อหางตาเห็นตัวเลขบนใบเช็คนั้น ความโกรธก็หายไป สวมใส่เสื้อผ้า และหยิบเช็ค ก่อนจะเหยียบรองเท้าส้นสูงเดินจากไป

ในห้อง

ใบหน้าของเซียวเหิงอึมครึม หันหน้าไปทางกระจกหน้าต่างที่โดนเม็ดฝน โดยมีความมืดเป็นฉากหลัง คนในนั้นเผยรอยยิ้มที่อ่านยาก เป็นรอยยิ้มที่น่าขันยิ่งนัก

"ฮ่า ฮ่าๆๆๆ……" หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ความสิ้นหวังที่ใกล้จะจมลงสู่ก้นทะเลสาบ

นั่นคือความสิ้นหวังที่เจ็บปวดเข้ากระดูก

เขาหลับตาลงอย่างรุนแรง

เจี่ยนซื่อกรุ๊ปกำลังจะจบเห่!

ในช่วงนี้ ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วเมือง S

"เสิ่นซิวจิ่นคนนี้น่ะนะ" ในห้องส่วนตัว ในตอนที่บรรดาเศรษฐีรวมตัวกันและดื่มเหล้า ก็เริ่มพูดถึงเรื่องนี้

"จิจิ ไม่ระลึกถึงความรู้สึกเก่าๆ เลย ถึงอย่างไรเจี่ยนเจิ้นตงก็เป็นพ่อตาของเขาด้วย"

ลู่เชนสูบบุหรี่ที่โต๊ะอาหารโดยไม่มีรอยยิ้ม วงแหวนควันเป็นสีขาวล่องลอยออกไป

เขาไม่ค่อยชอบงานเลี้ยงแบบนี้เท่าไหร่ แต่ในแวดวงธุรกิจนี้ ถึงไม่ชอบ ก็ควรต้องรับมือกับมัน

สำหรับเหล่าประธานที่นั่งกันอยู่เต็มโต๊ะ พอดื่มกันมากๆ ก็ไม่ต่างจากพ่อค้าแม่ค้าในตลาดเท่าไหร่เลย

"ประธานลู่ คุณสูบกว่าครึ่งกล่องแล้ว บรรยากาศกำลังครึกครื้น คุณก็ร่วมวงพูดคุยกับทุกคนสิครับ?" ด้านข้าง ชายหัวล้านขี้เมา อยากจะขึ้นไปใกล้ๆ ลู่เชน

"พวกคุณพูดเถอะครับ ผมกำลังฟังอยู่" ลู่เชนขยับออกไปด้านข้างเล็กน้อย หลีกเลี่ยงมืออ้วนท้วมของชายหัวล้านที่นั้น

ถ้าชายหัวล้านไม่ได้พูดถึงลู่เชน คนที่นั่งอยู่ก็คิดไม่ถึงว่าลู่เชนจะมา

เมื่อชายหัวล้านพูดถึงเขา คนข้างๆ ก็ตื่นเต้น "หือ? ประธานลู่ คุณเป็นวัยรุ่นไฟแรง เมื่อเทียบกับกลุ่มคนแก่อย่างเรา คุณเก่งกว่ามาก

ในหมู่พวกเรา คุณอายุพอๆ กับเสิ่นซิวจิ่น คุณว่า เสิ่นซิวจิ่นเป็นยังไงบ้างล่ะ?"

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลู่เชนก็หรี่ตาลง ควันชาวก็ตีขึ้น บดบังใบหน้าที่โค้งเว้าอย่างเฉียบขาดของเขา ทำให้มองเห็นไม่ชัดนัก

"อืม……" ลู่เชน "อืม" ออกมาเบาๆ ราวกับว่าเขาไม่สนใจ นิ้วเรียวของเขาคีบบุหรี่ สะบัดเบาๆ และเถ้าบุหรี่ก็ตกลงมา "เสิ่นซิวจิ่น เป็นคนที่มีความสามารถมาก"

คนอื่นๆ บนโต๊ะยังคงมองมาที่เขา รอคอยคำพูดต่อไป แต่ลู่เชนก็ไม่พูดอะไรต่อ

แค่นี้?

แค่นี้เองเหรอ?

ชายหัวล้านรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย "เขาค่อนข้างมีความสามารถ แต่หัวใจก็โหดเหี้ยมเกินไป"

"เขาเป็นคนโหดเหี้ยม" ลู่เชนสูบบุหรี่และตอบ

"ใช่ๆ ประธานลู่ก็คิดเหมือนกันใช่ไหม เจี่ยนซื่อกรุ๊ปเป็นบริษัทชั้นนำอยู่แล้ว เสิ่นซิวจิ่นไม่สนใจความสัมพันธ์เก่าๆ ของเขาเลย ยังไงๆ นั้นก็เป็นครอบครัวของภรรยาเขาอยู่ดี"

ลู่เชนลุกขึ้นยืนทันที "อ่า? วันนี้ผมดื่มมากเกินไป รู้สึกอึดอัดจังเลย ทุกท่านตามสบายนะครับ"

"จะกลับแล้วเหรอครับ? นี้เพิ่งกี่โมงเอง?"

ลู่เชนเริ่มหมดความอดทน คนเหล่านี้ ที่ปกติแล้วดูเหมือนเป็นคนดี ล้วนเป็นประธานใหญ่ที่มีสถานะทางสังคม พวกเขาแสร้งทำเป็นคนดี แต่ที่จริงกลับไม่ใช่อย่างนั้น

แค่ดื่มเหล้ามากเกินไปเท่านั้น จิจิ

ลู่เชนจากไปด้วยรอยยิ้มราบเรียบ เปิดประตูห้องนั้นและกำลังจะออกไป

ก่อนออกไป เขาหยุด และเห็นคนที่คุ้นเคยอยู่ที่โถงทางเดิน

ห่างจากห้องของเขาสามถึงห้าเมตร

เขาไม่แน่ใจนัก จึงเรียกออกมาอย่างไม่แน่นอน "คุณนายเสิ่น?"

คนข้างหน้าเพิกเฉยต่อเขา

เหล่าประธานที่อยู่ในห้อง ต่างพากันหยุดการเคลื่อนไหวของมือ โดยลืมนึกถึงสิ่งที่พวกเขาทำก่อนหน้านี้ ตอนนี้พวกเขากำลังหันคอและมองไปในทิศทางเดียวกัน

"คุณนายเสิ่น? คุณนายเสิ่นคนไหน?"

ชายหัวล้านถามด้วยความสงสัย

บนโต๊ะ ใบหน้าของเหล่าประธานใหญ่หลายคนเริ่มไม่สู้ดี……ไม่หรอก เมื่อครู่ที่เพิ่งพูดถึงเสิ่นซิวจิ่น คงไม่ใช่คุณนายเสิ่น "คนนั้น" ใช่ไหม?

ลู่เชนเมินเฉยต่อเหล่าประธานที่เมาสุราอยู่ข้างหลัง ยิ่งเขามองไปที่แผ่นหลังนั้น ฝีเท้าก็ยิ่งช้าลง ฝีเท้าไม่หนักไม่เบาก้าวไปที่ทิศทางของลิฟต์ เมื่อเห็นว่ากำลังจะเข้าไปในลิฟต์ ในใจร้อนรน จึงรีบเอ่ยเรียกว่า

"เจี่ยนถง?"

แผ่นหลังนั้นหยุดลงทันที หัวใจของลู่เชนเริ่มมั่นใจมากขึ้น

ในห้องข้างหลังเขา บนโต๊ะที่สงบนั้น "คงไม่ใช่…"

ผู้หญิงคนนั้นค่อยๆ หันกลับมา

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของลู่เชน อย่างจริงใจ "เป็นคุณจริงๆ คุณกลับมาเมื่อไหร่?"

เจี่ยนถงถูกใครบางคนเรียกไว้ และเมื่อเธอเห็นบุคคลนั้น เธอลังเลเล็กน้อย "ประธานลู่?"

ลู่เชนไม่สงสัยและเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว เจี่ยนถงยืนอยู่ที่หน้าลิฟต์ ลู่เชนเดินไปหาและทักทายผู้หญิงคนนั้น ด้วยความสุขที่เผยในสายตาของเขา "คุณหายไปไหนตั้งสามปี"

เจี่ยนถง "อืม" เบาๆ หลับตาลงพร้อมกับสายตาเยาะเย้ย……ใช่ สามปี

เป็นเวลาสามปี เธอยังคงไม่หลุดพ้นจากบ่อโคลนนี้ พยายามอย่างหนักทุกรูปแบบ และหลบหนีด้วยความยากลำบาก และตอนนี้เธอก็ส่งตัวเองกลับไปที่บ่อโคลนนี้อีกครั้ง

ด้านนอกของห้องด้านหลัง มีผู้ชมเบียดเสียดกันหลายคน ซึ่งล้วนเป็นประธานใหญ่ในห้องนั้น ในขณะนี้ พวกเขามองไปที่ผู้หญิงที่หน้าลิฟต์ด้วยความแตกตื่น

ชายหัวล้านพูดว่า "นั่นคือ 'เจี่ยนถง' จริงๆ!"

"ทำไมคุณ……" ลู่เชนไม่รู้จะพูดอะไร ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้จะเปลี่ยนไป แต่เมื่อมองดูใกล้ๆ ดูเหมือนยังคงเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบดั่งสามปีก่อน เป็นเจี่ยนถงที่ระมัดระวังในใช้ชีวิต

วันนี้เมื่อเขาเห็นครั้งแรก รู้สึกในใจว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขา แตกต่างออกไปเล็กน้อย

พูดไม่ได้ว่ามันต่างกันตรงไหน

ดูเหมือนมีความเฉยเมยมากกว่าเมื่อสามปีที่แล้ว ไม่แยแสมากขึ้น?

ตามเหตุผล เธอในแบบนี้ ในแวบแรกทำให้ผู้คนรู้สึกสบายๆ ขึ้นกว่าเมื่อสามปีที่แล้ว

แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าความเศร้าของผู้หญิงคนนี้ ดูจะมากกว่า?

"ฉันรู้ว่าประธานลู่ต้องการถามอะไร" ผู้หญิงคนนั้นกะพริบตา แล้วรอยยิ้มสดใสก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเธอ "ประธานลู่ไม่จำเป็นต้องถามหรอกค่ะ หลังจากนี้คุณจะเข้าใจ" สายตาของเธอที่มองลู่เชน เขามักจะรู้สึกแปลกๆ รู้สึกว่ารอยยิ้มที่สดใสในดวงตาของเธอนั้นจอมปลอมเกินไป

แต่เมื่อเธอพูดอย่างนั้น ปิดกั้นทุกสิ่งที่เขาอยากถามอย่างง่ายดาย

ลู่เชนลังเลและพูดว่า

"คุณ……จำคาย์อันได้ไหม?"

ใบหน้าของหญิงสาวซีดอย่างรวดเร็ว และใช้เวลาเพียงครู่เดียวในการปกปิด ลู่เชนคิดว่าเขามองผิด ดวงตาที่แคบลงก็ลึกลงไปเล็กน้อย

"คาย์อัน เฟโรกิ พวกคุณรู้จักกันที่ตงหวง" หากทำได้ เขาก็ไม่ต้องการที่จะพูดถึงตงหวงเท่าไหร่ แต่ท้ายที่สุด……เขาเหลือบมองผู้หญิงตรงข้าม "เขารู้สึกเสียใจและอยากขอโทษคุณ แต่หลังจากนั้นคุณก็หายไป ไม่มีใครหาคุณเจอ

ในช่วงสามปีที่ผ่านมา เขามีปมในใจเสมอ และรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์นั้น"

"เขากลับจีนแล้ว ก่อนออกเดินทางเขาขอให้ผมขอโทษคุณแทนเขาหากเจอคุณ"

ไม่มีเสียงใดๆ อยู่เป็นเวลานาน

ลู่เชนคิดว่าเธอจะร้องไห้ ถึงอย่างไร ทุกคนจะต้องเจ็บปวดจากการถูกดูหมิ่นเช่นนั้น

หรือจะบอกว่าผ่านไปแล้ว ก็ไม่เป็นอะไรมาก

"คาย์อันคือใครคะ?"

เมื่อคำห้าคำนี้ออกจากปากของเธอ ลู่เชนก็ตกตะลึง

แต่เขามั่นใจว่าผู้หญิงคนนี้ต้องจำคนอย่างคาย์อันได้แน่นอน

ตอนนี้กลับใช้คำหน้าคำเพื่อปฏิเสธเขาและคาย์อัน รวมถึงความเสียใจของคาย์อันด้วย

คาย์อันเป็นเสือผู้หญิงที่เก่งกาจ เป็นนักล่าที่ยอดเยี่ยม เป้าหมายในการล่าของเขา คือผู้หญิง

"คาย์อัน……" ลู่เชนต้องการจะพูดต่อ

เจี่ยนถงขัดจังหวะเขา "ถ้าประธานลู่ต้องการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว ฉันคิดว่าไม่จำเป็นหรอกค่ะ

ถ้าจะพูดถึงเรื่องธุรกิจ เจี่ยนซื่อกรุ๊ปมีความจริงใจที่จะร่วมมือกับประธานลู่"

คำพูดเหล่านี้……เธอปฏิเสธเขาออกไปอย่างสิ้นเชิง…เดี๋ยวก่อน! เจี่ยนซื่อกรุ๊ป?

ดวงตาที่แคบลงของลู่เชนเป็นประกาย "ตอนนี้คุณมีตำแหน่งอะไรในเจี่ยนซื่อกรุ๊ป?" เธอใช้เจี่ยนซื่อกรุ๊ปเป็นตัวแทนได้แล้วเหรอ?

เจี่ยนถง เท่ากับ กองทุนดวงหัวใจ

แต่เธอ ไม่เคยอยู่กับเจี่ยนซื่อกรุ๊ป

นี่เป็นความลับที่รู้จักกันดีทั่วหาดเซี่ยงไฮ้

ความรักของท่านแก่เจี่ยนช่างบางเบาและเฉยเมยเกินไป

เจี่ยนถงเหยียดมือของเธอออก แล้วทัดผมยาวนั้นไว้ข้างหลังหูของเธอ "ในมือของฉัน ได้ครอบครองหุ้นของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปมากกว่า 51% แล้ว" ผู้หญิงที่เอื้อมมือออกไป ข้อมือผอมบางมาก ทำให้คนที่เห็นรู้สึกตะลึง "ประธานลู่ จากนี้ไป ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ"

ลู่เชนตกตะลึง!

เธอ……กลับมาอย่างนี้เลยเหรอ?

หางตาของเขากวาดมองไปที่ข้อมือนั้น ลู่เชนเอื้อมมือออกไป แล้วจับไว้ "ประธานเจี่ยน"

นอกห้องนั้น กลุ่มประธานใหญ่ได้สติจากความมึนเมาขึ้นอีกครั้ง แต่ละคนอ้าปากกว้าง มองไปยังผู้หญิงที่หน้าลิฟต์ซึ่งอยู่ไม่ไกล ด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก

เจี่ยนซื่อกรุ๊ป เปลี่ยนความเป็นเจ้าของแล้ว?

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่กัน?

เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ พวกเขากลับไม่รู้แม้แต่นิดเดียว!

เขามองไปที่ผู้หญิงที่หันหลังและเดินเข้าไปในลิฟต์ "เจี่ยนเจิ้นตงยอมส่งต่อเจี่ยนซื่อกรุ๊ปด้วยเหรอครับ?"

แม้ว่าชายหัวล้านจะหัวล้าน แต่เขาอาจ "ฉลาดมาก" ในสายตาที่พร่างพรายซึ่งเต็มไปด้วยความมึนเมาและความเฉลียวฉลาดของนักธุรกิจ เขาเกือบจะเดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลเจี่ยน

"เสิ่นซิวจิ่นโหดเหี้ยม ภรรยาของเขาก็เป็นคนโหดเหี้ยมเช่นกัน" การยึดทรัพย์สินของคนรุ่นพ่อ ก็คงไม่พ้นเกลียดชังคนในตระกูลนั้น

คืนนี้ กลุ่มชนชั้นสูงทั้งหมดของเมือง S ต่างรู้แล้ว–เจี่ยนถงจากตระกูลเจี่ยน กลับมาแล้ว

พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ดังในวันรุ่งขึ้น!

–การเปลี่ยนแปลงเจ้าของของเจี่ยนซื่อกรุ๊ป ลูกสาวลึกลับของตระกูลเจี่ยน การแก้แค้นกลับมาแล้ว!

–การกลับมาของลูกสาว เพื่อกลับมาช่วยเหลือเจี่ยนซื่อกรุ๊ปในยามลำบาก หรือมีจุดประสงค์อื่น?

–เซอร์ไพรส์! เจี่ยนซื่อกรุ๊ปเปลี่ยนมือในชั่วข้ามคืน ภายในความโกลาหล ตระกูลเจี่ยนไม่มีใครใช้งานได้ ผู้หญิงไม่ทำหน้าที่ตัวเอง!

–ทรัพย์สินนับร้อยล้านร่วงหล่น ลูกสาวเจี่ยนซื่อกรุ๊ปไม่คำนึงถึงครอบครัว ตัดขาดอย่างเด็ดขาด!

เมื่อมองไป การพาดหัวข่าวที่น่าตกใจของหนังสือพิมพ์รายใหญ่เกือบทั้งวัน

มีคนแจ้งข่าวว่าคุณชายเจี่ยนของตระกูลเจี่ยนป่วยหนักเพราะมะเร็งเม็ดเลือดขาว และมีคุณเจี่ยนเพียงคนเดียวที่เหมาะสม และไม่ยอมให้พี่ชายแท้ๆ ของเธอ!

ในเวลานั้น ข่าวเชิงลบของเจี่ยนถงมีมากกว่า

ทันทีที่เสิ่นซิวจิ่นลุกขึ้น พ่อบ้านก็เตรียมอาหารเช้าไว้บนโต๊ะที่ชั้นหนึ่งแล้ว หนังสือพิมพ์รายใหญ่หลายฉบับก็วางอยู่บนโต๊ะตามปกติ

เหลือบมองผ่านๆ เสิ่นซิวจิ่นโกรธมากจนขว้างหนังสือพิมพ์ สีหน้าอึมครึม เอ่ยคำพูดผ่านช่องฟัน "ไปหา ว่าใครทำ!"

เสิ่นเอ้อยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ

เมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า

ผู้ชายที่โต๊ะอาหาร สีหน้าของเขาอึมครึมมาก เขากวาดมองหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนพื้น ในดวงตาฟีนิกซ์ที่สวยงามของเขา เกือบจะระเบิดเป็นไฟออกมา!

เขาใช้กลวิธีและกลอุบายทั้งหมดของเขาจนหมด กว่าจะเกลี้ยกล่อมให้เธอกลับมาที่เมือง S เขายังไม่ทันได้เริ่มไล่ตามภรรยา ไอ้สารเลวหน้าไหนมันกล้าทำแบบนี้ แผนการแสร้งอ่อนแอให้เธอไว้วางใจ แผนท่าทีอ่อนโยนของเขา ยังไม่ได้แสดงออกมาเล่นเลย!

หากบีบบังคับเธอให้หลบหนีอีกครั้ง เสิ่นซิวจิ่นจะไม่โชคดีเป็นครั้งที่สอง และจะไม่สามารถหาเธอได้อีก!

เสิ่นซานที่อยู่ข้างๆ ได้ยินเสียงBossของเขากัดฟันอย่างชัดเจน แผ่ความเย็นชาออกมาจากข้างหลังเขา

หลังจากที่เสิ่นยีทำผิดครั้งนั้น ก็ถูกทิ้งให้อยู่ด้านข้าง เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้ไว้วางใจให้รับผิดชอบเรื่องสำคัญอีกต่อไป แทบจะกลายเป็นการดำรงอยู่ที่ไม่ได้รับการสนใจใดๆ เสิ่นซิวจิ่นลงโทษเสิ่นยีอย่างหนัก แต่ไม่ได้ขับไล่เสิ่นยีออกไป คนอื่นๆ ก็ไม่รู้ว่าทำไม เสิ่นซานและคนอื่นๆ ที่ร่วมงานกับเสิ่นซิวจิ่นรู้อยู่แก่ใจ ไม่ว่าจะเป็นเสิ่นยี หรือเสิ่นเอ้อ หรือคนอื่นๆ

คนเหล่านี้แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำงานให้กับเสิ่นซิวจิ่น พวกเขาเติบโตขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่ยังเด็ก

เมื่อสามปีที่แล้ว เสิ่นซานค่อยๆ เข้ามาแทนที่เสิ่นยีและทำงานร่วมกับเสิ่นเอ้อ จึงกลายเป็นมือขวาและมือซ้ายของเสิ่นซิวจิ่น

ดวงตาของเสิ่นซิวจิ่นเต็มไปด้วยความอันตราย เขาโทรหาซีเฉินด้วยใบหน้าอึมครึม "หัวข่าวในหนังสือพิมพ์ของวันนี้ ช่วยฉันสืบหาทีว่าใครที่เกี่ยวข้อง ช่วยฉันอีกครั้งนะ" เสิ่นยีอาจไม่สามารถสืบหาเรื่องราวภายในได้ดีไปกว่าของซีเฉิน

ซีเฉินยังคงหลับอยู่ มีโทรศัพท์มาปลุกเขา เสียงของเขายังคงงัวเงีย แต่เขาก็เด้งจากเตียงและพูดอย่างไม่น่าเชื่อ

"ฉันได้ยินไม่ผิดใช่ไหม? อาซิว นายเกรงใจเพื่อนอย่างฉันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?" เขาใช้คำว่า "ช่วย" ด้วยน้ำเสียงที่ดีจริงๆ

เสิ่นซิวจิ่นขมวดคิ้ว ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเจี่ยนถง ตอนนี้เขาอยากวางสายโทรศัพท์ของผู้ชายคนนี้ มีมารยาทกับเขา เขายังรู้สึกไม่สบายใจ จึงพูดอย่างโกรธเคือง

"จากนี้ไปทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเจี่ยนถง จะไม่ได้รับอนุญาตให้ลงในหนังสือพิมพ์"

ซีเฉินเวียนหัว และเสียงในโทรศัพท์ก็ดังวุ่นวายขึ้น

"เอ่อ……" เกิดอะไรขึ้น?

ซีเฉินยังคงง่วงนอนอยู่ครู่หนึ่ง และทันใดนั้น เขาก็กระสับกระส่าย คงไม่……

เขาตะโกนอย่างรวดเร็ว "ลุงลู่ลุงลู่รีบเอาหนังสือพิมพ์วันนี้มาให้ผมด้วย"

ลุงลู่เป็นพ่อบ้านของตระกูลซี

เนื่องจากลักษณะพิเศษของอุตสาหกรรมของตระกูลซี ตระกูลซีจึงไม่เคยขาดหนังสือพิมพ์รายวันจากสำนักพิมพ์รายใหญ่เลย ในไม่ช้า หนังสือพิมพ์กองหนึ่งก็ถูกวางบนโต๊ะข้างเตียงของซีเฉิน

ก่อนที่จะวางมันลง "พรึบ" ซีเฉินได้หยิบหนังสือพิมพ์ในทันที และดูอย่างรวดเร็ว

อันที่จริงไม่จำเป็นต้องหาให้ลำบากเลย เพราะหัวข่าวหน้าแรกนั้นชัดเจนมาก!

และไม่จำเป็นต้องดูแต่ละฉบับตั้งแต่ต้นจนจบ เพียงแค่ดูหัวข่าว ซีเฉินเข้าใจทันทีว่าทำไมไอ้แซ่เสิ่นถึงโกรธได้แต่เช้า

เขากลอกตาขึ้น……ไอ้แซ่เสิ่น จะตื่นตัวก็ต่อเมื่อเป็นเรื่องของผู้หญิงคนนั้นเท่านั้น เขาถึงได้ว่า ไอ้แซ่เสิ่นน่ะนะ ขอให้เขาช่วยวันนี้ และพูดกับเขาอย่างสุภาพว่า "ช่วยฉันอีกครั้งนะ"

ในเวลานี้ ที่ผู้คน……พูดว่า เสิ่นซิวจิ่นเปลี่ยนชีวิตของเจี่ยนถง แต่ที่จริงคือเจี่ยนถง ที่ค่อยๆ เปลี่ยนเสิ่นซิวจิ่น

……

เมื่อเจี่ยนถงเปิดประตูห้อง เสิ่นซิวจิ่นก็แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว และยืนอยู่หน้าประตูของเธอ

ทันทีที่ประตูเปิด เจี่ยนถงยังคงตกใจกับคนที่ยืนอยู่หน้าประตู จึงถอยหลังกลับ

ทันใดนั้น แขนหนานั้นก็พันรอบเอวเธอ เธอรู้สึกชัดเจนว่าแขนที่พันรอบเอวนั้นแน่นเหมือนคีมคีบเหล็ก ทำให้เอวของเธอเจ็บทุกตารางนิ้ว

"ปล่อยฉันนะ คุณเสิ่น" หญิงสาวพูดอย่างราบเรียบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ที่ทำให้ผู้ชายที่สัมผัสใกล้ชิดกับเธอในขณะนั้น เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ผ่านไปมาบนถนน และบังเอิญชนกับเธอเท่านั้น

นัยน์ตาของชายคนนั้นหรี่ลง ที่แท้ นี่คือความรู้สึกของการถูกคนที่รักปฏิเสธ……เขาเคย ปฏิเสธผู้หญิงคนนี้ด้วยความรังเกียจ ในเวลานั้น เธอคงเจ็บปวดอย่างนี้สินะ

ความขมขื่นล้นออกมาจากดวงตาที่มืดมิดของชายผู้นั้น

แต่อย่างไรก็ตาม เทียบกับความขมขื่น เขาชอบมองเธอมากกว่า เธอที่ยิ้ม เธอที่มองเขาอย่างรังเกียจ และเธอที่เกลียดเขา จู่ๆ! ชายที่โอบรอบเอวกระชับแน่นขึ้น ชายคนนั้นค่อยๆ หลับตาลง……ดีจริงๆ ที่เธออยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้……มันไม่ใช่ความฝัน!

เขากระชับแขนอีกครั้ง วงแขนคู่นั้น รัดเธอไว้ระหว่างแขนของเขาเอง และสังเกตเห็นการปฏิเสธของคนในอ้อมแขนของเขา ในตอนนี้ เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอันขมขื่นจากใจอย่างชัดเจน แต่จะมีอะไรมาเทียบได้อีก–เธอยังคงอยู่ข้างเขา ในอ้อมแขนของเขา ยังโชคดีและมีความสุข?

"อย่าขยับ ได้ไหม?" ไม่รู้ว่าเสียงนั้นแหบแห้งตั้งแต่เมื่อไหร่ ผู้ชายที่โอบผู้หญิงอยู่ ใช้ฝ่ามือใหญ่จับหัวเล็กๆ นั้นไว้ "แบบนี้ ให้ผมพิงสักพัก ได้ไหม?"

เธอที่เดิมทีต้องการจะผลักมือนั้นออกไป ลังเลไปชั่วครู่ นี่มันภาพลวงตาเหรอ?

ความรู้สึกเกินความคาดหมาย ผู้ชายตรงหน้า กำลังขอร้องเธอ?

เสิ่นซิวจิ่นขอร้องเธอ?

เสิ่นซิวจิ่นขอร้องเจี่ยนถง?

ตลกสิ้นดี!

ช่างเป็นเรื่องตลกสิ้นดี!

ผู้ชายคนนี้ กำลังขอร้องคนอื่น?

ในด้านหนึ่งเธอรู้สึกว่าหลอกลวง แต่อีกด้านหนึ่ง เธอสงสัยว่าผู้ชายคนนี้ต้องการเล่นเกมอะไรอีก?

ในเวลาที่ครุ่นคิดอย่างงงงวย มือที่เธอเอื้อมออกไป ลืมผลักเขาออก และหยุดนิ่งในอากาศ

และในเวลานั้น ชายคนนั้นกลับรู้สึกประหม่า–เขากลัวจริงๆ ว่าเธอจะผลักเขาออก

ถ้าเป็นแบบนั้น……

ชายคนนั้นหยุดนิ่งในทันที!

เขาไม่กล้าคิดว่า "ถ้า"

ดังนั้นเขาจึงกอดเธอแน่น แน่นราวกับจะนำทั้งร่างเธอเข้าไปในร่างของเขาอย่างไรอย่างนั้น

ค่อยๆ วางคางบนศีรษะที่อ่อนนุ่มของเธอ ชายคนนั้นหลับตาอย่างพึงพอใจ……ดีจัง คราวนี้ไม่ใช่ความฝัน

กลิ่นของครีมโกนหนวดพุ่งเข้าจมูก กลิ่นเย็นที่เป็นเอกลักษณ์ของร่างกายชายผู้นี้ ดวงตาของเจี่ยนถงซับซ้อนอย่างยิ่งในขณะนี้

เธอคิดว่าเธอเข้าใจเสิ่นซิวจิ่น แต่ในตอนนี้ เธอไม่เข้าใจเลยว่าเขาต้องการทำอะไรอีก

ความทรงจำอันน่ากลัวในอดีต ดั่งกระแสน้ำที่ท่วมท้นเข้ามา และปรากฏต่อหน้าต่อตาเธอ ทันใดนั้น เธอรู้สึกเพียงว่าเธอกำลังจะหายใจไม่ออกด้วยความเจ็บปวด

พอแล้ว!

พอ……แล้ว!

บ้านตระกูลเจี่ยน

เจี่ยนเจิ้นตงชี้ไปที่จมูกของคุณหญิงเจี่ยนอย่างโกรธจัด "ลูกสาวแสนดีที่อบรมสั่งสอนมาก! ช่างเป็นลูกสาวที่กตัญญูดีจริงๆ!"

เขาโกรธ เจี่ยนซื่อกรุ๊ป เขาไม่อยากจะลามือ แต่ถ้าเขาไม่เห็นด้วยกับคำขอของเจี่ยนถง เจี่ยนซื่อกรุ๊ปก็จะล่มสลายโดยสมบูรณ์

ในใจเขารู้ดี ถ้าเจี่ยนซื่อกรุ๊ปยังอยู่ เขายังเป็นเศรษฐีที่มีบ้าน มีรถ และคนใช้ แต่ถ้าไม่มีเจี่ยนซื่อกรุ๊ปแล้ว เขาก็ไม่มีอะไรเลย

ไม่ว่าจะไม่เต็มใจแค่ไหน เจี่ยนเจิ้นตงก็กัดฟันและมอบหุ้นส่วนใหญ่ของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปให้กับเจี่ยนถง

อย่างไรก็ตาม ความโกรธในหัวใจของเขายังไม่หายไป

คุณหญิงเจี่ยนกลายเป็นที่ระบายอารมณ์

แต่เจี่ยนเจิ้นตงลืมไปอย่างหนึ่ง ในสายตาของคุณหญิงเจี่ยน เจี่ยนเจิ้นตงเป็นคนเลวที่ทรยศต่อภรรยาอยู่แล้ว

"เจี่ยนเจิ้นตง คุณมีสิทธิ์อะไรมากล่าวหาฉัน?

ฉันเป็นคนอบรมสั่งสอนเจี่ยนถงมาเหรอ?

เป็นพ่อของคุณ!

ถ้าคุณจะโทษ ทำไมคุณไม่ไปใต้ดินเพื่อหาพ่อที่ตายแล้วของคุณล่ะ?"

คุณหญิงเจี่ยนไม่ลังเลที่จะพูด ในตอนนี้เธอเกลียดเจี่ยนเจิ้นตงแล้ว

"เฮ้อๆ" ทันใดนั้น คุณหญิงเจี่ยนยิ้ม "เจี่ยนเจิ้นตงนะเจี่ยนเจิ้นตง คุณคงกังวล ว่าจะไม่มีเงินไปเลี้ยงลูกนอกสมรสสารเลวนั่นใช่ไหม?"

เธอรู้สึกมีความสุขอีกครั้ง นัยน์ตามีแต่ความปีติดู

"โม่ป๋ายป่วย คุณไม่เคยสนใจ

ทั้งตัวทั้งใจคุณมีแต่นังปีศาจจิ้งจอกนั้น และก็ลูกพันธุ์ผสมที่นังปีศาจจิ้งจอกนั้นคลอดออกมา

ทำไมล่ะ?

ถ้าไม่มีโม่ป๋าย หลังจากคุณตายไปล่ะก็ คุณคงวางแผนที่จะมอบตระกูลเจี่ยน ให้กับลูกพันธุ์ผสมที่ไม่รู้ที่มาที่ไปเหรอ?"

"เพียะ!"

เสียงตบหน้าที่ดังชัดเจน คุณหญิงเจี่ยนหันไปกว่าครึ่งตัว และล้มลงกับพื้นอย่างรุนแรง "คุณตบฉันเหรอ?"

เจี่ยนเจิ้นตงม้วนแขนเสื้อและมองไปที่ผู้หญิงบนพื้นอย่างเย็นชา

"คุณด่าใครเป็นลูกพันธุ์ผสม? ปากอย่างนี้ ก็สมควรโดนตบแล้ว"

คุณหญิงเจี่ยน "กรี๊ด" เสียงดัง ลุกขึ้นและรีบวิ่งไปหาเจี่ยนเจิ้นตง

"เจี่ยนเจิ้นตง คุณมันไม่ใช่คน!

ฉันกำเนิดลูกให้คุณ ดูแลทั้งเรื่องในบ้านและนอกบ้านให้คุณ ช่วยคบค้าสมาคม ช่วยคุณจัดการในบ้าน เจี่ยนเจิ้นตง แต่คุณกลับเลี้ยงนังสารเลวลับหลังฉัน และยังมีลูกนอกสมรสกับนังสารเลวนั้นอีก!

ฉันด่าว่าไอ้ลูกนอกสมรสไอ้ลูกพันธุ์ผสม มันจะทำไม?

ฉันไม่เพียงด่าว่าไอ้ลูกพันธุ์ผสม ฉันยังจะด่าว่าเขามันเดียรัจฉาน!"

ผมที่บอบบางของคุณหญิงเจี่ยนนั้นยุ่งเหยิง และเธอก็กระหน่ำเตะตีใส่เจี่ยนเจิ้นตง เมื่อเห็นว่าเจี่ยนเจิ้นตงกำลังจะตีมาอีกครั้ง คุณหญิงเจี่ยนจึงยอมแพ้ "คุณตีสิ! ถ้ากล้าคุณก็ตีเลย! เจี่ยนซื่อกรุ๊ป ตอนนี้เป็นลูกสาวฉัน! คุณตีสิ!"

ประโยคนั้น ทำให้มือของเจี่ยนเจิ้นตงที่กำลังจะตีหยุดลง สีหน้าของเขาเป็นไป และเขาจ้องไปที่คุณหญิงเจี่ยนอย่างเกลียดชัง และว่ากล่าวว่า "ปากดีนักนะ!" จากนั้นก็หันหลังและเดินจากไป

คุณหญิงเจี่ยนไล่ตามไป "เจี่ยนเจิ้นตง คุณจะไปไหน?

คุณจะไปหาปีศาจจิ้งจอกนั้นอีกแล้วใช่ไหม?

ห้ามไปนะ! เจี่ยนเจิ้นตง คุณกลับมาหาฉัน! คุณไม่ได้รับอนุญาตให้ไป!"

คุณหญิงเจี่ยนเดินโซเซเพื่อไล่ตาม เจี่ยนเจิ้นตงได้หมดความอดทนแล้ว เขาจะมาสนใจคุณหญิงเจี่ยนได้อย่างไร ยิ่งคุณหญิงเจี่ยนไล่ตามเขาเร็วเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งวิ่งเร็วขึ้นเท่านั้น

คุณหญิงเจี่ยนล้มลงกับพื้น ยังคงเอื้อมมือคว้าไปข้างหน้า พยายามจับคนข้างหน้า แต่เธอเอื้อมไม่ถึงเลย "เจี่ยนเจิ้นตง คุณมันไม่มีจิตสำนึก เจี่ยนเจิ้นตง คุณห้ามไปนะ คุณไม่ได้รับอนุญาตให้ไป! กลับมา!"

ในตอนกลางคืน ในบ้านพักตากอากาศของตระกูลเจี่ยน มีเสียงร้องไห้ที่น่าเศร้าและน่าสมเพชจากผู้หญิงคนหนึ่ง

ส่วนเจี่ยนเจิ้นตง ก็หายตัวไปเลย

คุณหญิงเจี่ยนนั่งที่ประตู ปิดหน้าและร้องไห้ออกมาเสียงดัง

เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น โหยหวน ในตอนกลางคืนมีความสยดสยองไม่น้อย

คนใช้ในบ้านไม่กล้าเข้าใกล้ พวกเขาทั้งหมดมองดูคุณหญิงเจี่ยนที่ประตู ผมยุ่งและเสื้อผ้ายุ่งเหยิง นั่งร้องไห้อยู่หน้าประตูอย่างจนตรอก

พ่อบ้านของตระกูลเจี่ยนทนไม่ไหว แต่ก็ไม่มีทาง ใครจะคาดถึง ว่าตระกูลเจี่ยนจะพังทลายในชั่วข้ามคืน คุณเจี่ยนไม่ค่อยกลับมา แม้ว่าเขาจะกลับมา เขาก็แค่หยิบของแล้วออกไป เจี่ยนเจิ้นตง เจ้าของบ้านจากไปแล้ว คุณนายก็เป็นเช่นนี้อีก คุณชายก็ยังป่วยอยู่ในโรงพยาบาล และก็ไม่รู้ว่าจะรักษาหายได้หรือไม่

ยุ่งวุ่นวายแท้ๆ เลย!

พ่อบ้านเก่าแก่ของตระกูลเจี่ยนถอยห่างออกไปอย่างเงียบๆ เดินไปที่โทรศัพท์บ้านและโทรหาเจี่ยนถง "คุณหนูครับ รีบกลับมาดูเถอะครับ ท่านแก่เขา ใช้กำลังกับคุณนาย

คุณนายกำลังร้องไห้"

อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ เจี่ยนถงถามอย่างแผ่วเบา "คุณเจี่ยนไม่อยู่บ้านเหรอคะ? ให้เขาไปเกลี้ยกล่อม"

"ท่านแก่ไปแล้วครับ คุณนายไม่ให้ท่านแก่ไป เลยไล่ตามจนล้มลงครับ ตอนนี้กำลังร้องไห้ คุณหนู รีบกลับมาดูเถอะครับ"

เจี่ยนถงในโทรศัพท์ หญิงสาวถือโทรศัพท์แนบหู และเยาะเย้ยจากก้นบึ้งของหัวใจ……กลับไปดู?

แล้วยังไงต่อ?

ไปปลอบใจคุณหญิงเจี่ยน?

แต่เธอทำไม่ได้

ไม่เคยให้ความรักกับเธอ แต่ตอนนี้ต้องการให้เธอไปตอบแทนแม่คนนี้……เธอทำไม่ได้

ในเวลานี้ จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายดังออกมาจากหน้าประตู "ใครโทรมา?"

หัวใจของเจี่ยนถงเต้นแรงและไม่ได้ตอบในทันที เขาพูดกับพ่อบ้านทางโทรศัพท์ "นี่ก็ดึกแล้ว คุณพูดเกลี้ยกล่อมๆ คุณหญิงเจี่ยน เดี๋ยววันนี้ก็ผ่านไป รีบอาบน้ำเข้านอน พรุ่งนี้เช้าเธอต้องไปดูแลคุณชายเจี่ยนอีก"

พ่อบ้านต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง เจี่ยนถงก็วางสายไปแล้ว

จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง "ดึกมากแล้ว คุณเสิ่นควรกลับไปนอนที่ห้องได้แล้วนะคะ" เธอกำลังไล่คนทางอ้อม

"คุณคือภรรยาของผม" ดวงตาของเขาเป็นประกาย จ้องมาที่เธอราวกับว่ากำลังจ้องมองของอร่อย

เจี่ยนถงตื่นตัวในทันที และเสียงเตือนดังขึ้นในใจของเธอ"คุณพูดแล้ว ว่าจะไปบีบบังคับฉัน"

เธอเงยหน้าขึ้นอย่างดื้อรั้น และประท้วงอย่างเงียบๆ

ถ้าเสิ่นซิวจิ่นหันหลังกลับและจากไป ก็คงไม่ใช่เสิ่นซิวจิ่น

"ผม……เสี่ยวถง สามปีแล้วที่ผมไม่ได้……"

"คุณพูดอะไรนะคะ? ฉันได้ยินไม่ชัด"

"……สามปี……"

"คุณเสิ่น คุณต้องการจะพูดอะไรกันแน่!" เจี่ยนถงรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย จากเอ๋อร์ไห่กลับมาเมือง S มาเจรจากับเจี่ยนเจิ้นตง และยังมีปากเสียงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สุดท้ายเจี่ยนเจิ้นตงก็มอบหุ้นเจี่ยนซื่อกรุ๊ปในมือว่า 90% อย่างไม่เต็มใจ

หลังจากรับเจี่ยนซื่อกรุ๊ป ถึงได้รู้ว่าเจี่ยนซื่อกรุ๊ปนั้นวิกิตหนักแล้ว ถ้าไม่มีเสิ่นซิวจิ่นเจี่ยนซื่อกรุ๊ปก็คงเดินอยู่บนเส้นลวด

ต้องใช้เวลาและพลังงานมากในการจัดการสิ่งเหล่านี้ เธอเหนื่อยมาก แล้วยังต้องมาเจอคำพูดแปลกๆ ของผู้ชายคนนี้อีก

"คุณเสิ่น คุณต้องการจะพูดอะไรกันแน่!" เหนื่อยมาก ทั้งๆ ที่รู้สึกถึงอันตรายที่อยู่ตรงหน้า เปลือกตาบนล่างกำลังต่อสู้กันเองอย่างต้านไม่ไหว

เธอไม่รู้ตัวเองเลย ว่านั่งลงบนเตียง หลังพิงกับหัวเตียง ศีรษะค่อยๆ เอยลง

วินาทีถัดมา เตียงก็ทรุดลง เธอตกใจ ความง่วงก็กลับมาชั่วขณะ เธอหันไปมองชายที่อยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ริมฝีปากค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว "คุณเคยพูดแล้ว……"

เธอถูกจับไว้ และครู่ต่อมา เธอได้ถูกลากไปที่ผ้าปูที่นอนแล้ว และชายที่อยู่ข้างๆ เธอกอดไหล่เธอแน่น เสียงทุ้มต่ำและแหบแห้งดังขึ้น

"ผมไม่ได้คลายความปรารถนามาสามปีแล้ว"

เจี่ยนถงรู้สึกประหลาดใจและผลักด้วยมือของเขา

จู่ๆ ข้อมือก็ถูกกำอย่างแน่นหนา

"คุณเคยพูดเอง!" เธอโกรธ สิ้นหวัง และไม่เต็มใจ

"ผมเคยสัญญากับคุณ ว่าจะไม่แตะต้องคุณ แต่ไม่ได้สัญญาว่าจะไม่ทำอย่างอื่น

ตอนนี้ผมเหนื่อยมาก ผมอยากนอนกอดคุณ ถ้าเธอเชื่อฟัง ให้ผมกอดดีๆ ไม่ขยับดิ้นไปดิ้นมา ผมสัญญา ว่าจะไม่ทำอะไรเลย แค่นอนกอดคุณเท่านั้น"

การตีความคำว่า "ข่มขู่" ของเสิ่นซิวจิ่นสามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน "เสี่ยวถง จริงๆ ครับ อย่าขยับดิ้นไปดิ้นมา ผมไม่ได้คลายความปรารถนามาสามปีแล้ว

ถ้าคุณยังดิ้นอีก ฉันไม่รับประกัน……ตรงนั้นมันอึดอัดมากแล้ว" ใบหน้าของเจี่ยนถงซีดขาวขึ้น และลมหายใจร้อนของคนที่อยู่ข้างๆ หู สัมผัสที่หูของเธอ เสียงแหบห้าวทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว พูดอยู่ใกล้ๆ หูเธอ "ถ้าไม่เชื่อ คุณลองสัมผัสดู?"

ไร้ยางอาย!

เจี่ยนถงหน้าแดงทันที สีหน้าจากที่แดงนั้นก็อึมครึมขึ้นมา

ร่างกายของเจี่ยนถงแข็งทื่อ และอุณหภูมิของร่างกายของบุคคลนั้นยังคงส่งผ่านผ้าสองชั้นนั้นอย่างชัดเจน

เธอไม่กล้าขยับ เธอกลัว

อย่างน้อย ในขณะนี้เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องแบบนี้ได้

ว่ากันว่าเวลาจะเยียวยาทุกสิ่ง แต่หลายสิ่งหลายอย่างกลับกลายเป็นความเจ็บปวดที่ไม่อาจลืมเลือนได้เวลานั้น

ฝ่ามือบนไหล่ร้อนอย่างน่าตกใจ ไม่ใช่แค่ฝ่ามือ หน้าอกของเขา และทุกส่วนของร่างกายของเขาร้อนอย่างน่าตกใจ

ในตอนแรก ลมหายใจพ่นไปที่หูของเธอ แต่จากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนลง มาที่ติ่งหู และคอ

ผู้หญิงคนนั้นกัดฟันแน่น ไม่รู้ว่ากำลังอดทนหรืออะไร มือร้อนนั้นเข้าไปในชุดนอนของเธอ ดวงตาของเธอเผยความโกรธ แต่ยังคงกัดฟันแน่น

เธอกำฝ่ามือนั้นแน่น จิกเล็บเข้าไปในฝ่ามือของเขา

เธอพยายามที่จะเพิกเฉย แต่มือนั้นเคลื่อนตัวราวกับเงา ลูบไปรอบเอวของเธอ เธอพูดกับตัวเองว่า อดทนอีกหน่อย อีกนิดหนึ่งเท่านั้น

แต่วินาทีถัดมา!

ทันใดนั้นเธอก็ตกใจ ตาของเธอเบิกกว้าง!

นัยน์ตาของเธอมีอารมณ์อื่นนอกเหนือจากความโกรธและความอดทน-คือความกลัว

"เสิ่นซิวจิ่น! คุณเสียสติไปแล้วเหรอ!" เสียงที่ขาดหายไปหลายปีช่างเฉียบแหลมมากในขณะนี้

เธอคิดว่าเธอกล้าหาญ เธอคิดว่าเธอทนได้ แต่เธอประเมินตัวเองสูงเกินไป!

มือที่เอวด้านหลังโอบเธอแน่น "อย่าจับตรงนั้น!" เธอตวาดใส่เขาเสียงขุ่นมัว เธอต้องการจะกรีดร้องอย่างคนทั่วไป ที่แสบหูและไม่น่าฟัง ถ้าเป็นเมื่อก่อน เธอจะจงใจลดเสียงลง เพื่อที่จะพูดเพื่อซ่อนเสียงที่ไม่น่าฟังนั้น เพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอไม่เหมือนคนอื่นๆ

แต่วันนี้เธอไม่สนใจ

"อย่าจับ อย่าจับ เสิ่นซิวจิ่น คุณอย่าแตะต้อง" เธอดิ้นรน ดิ้นรนอย่างรุนแรง พยายามหลบหนี แต่ฝ่ามือของชายคนนั้นเหมือนคีมคีบเหล็ก จับเธอแน่น และไม่ยอมผ่อนแรงเลย

"อย่าแตะต้องตรงนั้น เสิ่นซิวจิ่น……" ในที่สุดน้ำตาก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของผู้หญิงคนนั้น พูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าว "ตรงไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่ตรงนั้น……เสิ่นซิวจิ่น ได้โปรด ตรงนั้นไม่ได้……"

มือของชายคนนั้นโอบเอวของหญิงสาวไว้แน่น การดิ้นรน ความหวาดกลัว ร่างกายที่สั่นเทาของเธอ ในใจเขา รับรู้ถึงความหวาดกลัวที่แผ่ซ่านไปทั่ว จากฝ่ามือไปยังหัวใจของเขา

เจ็บปวด!

เจ็บปวดที่สุด!

เจ็บปวดกว่าทุกที!

นี่คืออาการบาดเจ็บของเธอ แต่เป็นความเจ็บปวดของเขา

ผู้หญิงคนนั้นดิ้นรนด้วยความกลัว ร่างกายหยุดสั่นไม่ได้ ชายคนนั้นจับเอวเธอแล้วตัวสั่นเล็กน้อย ถ้าไม่มองใกล้ๆ จะไม่พบว่าฝ่ามือใหญ่คู่นั้นสั่น แต่ก็ยังโอบแน่นที่เอวเธอ

เสิ่นซิวจิ่นไม่พูดอะไร ความเจ็บปวดในดวงตาของเขากำลังจะแทรกซึม ถึงกระนั้น ก็ยังกดไปที่ริมฝีปากบางๆ ของเธอแน่น พลิกตัวโดยไม่พูดอะไรเลย พลิกหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา และก้มหน้าลงไป

มีน้ำตาเอ่อในดวงตาของเจี่ยนถง แต่เธอไม่ยอมให้มันไหลลงอย่างดื้อรั้น เธอร้องไห้ แสดงความอ่อนแอ แต่เธอใช้วิธีที่ไม่ชัดเจนนี้เพื่อรับมือกับมัน

เธอดีดดิ้น ตะกายสองขา แต่กลับถูกน่องที่แข็งแรงของผู้ชายบนร่างเธอกดลงไว้ เธอไม่สามารถขยับขาได้ เธอจึงยื่นมือออกมาและปัดป่ายอย่างบ้าคลั่ง เธอมองไม่เห็นข้างหลัง แต่เธอปัดป่ายทุกอย่างที่เธอทำได้

เธอสะบัดมืออย่างบ้าคลั่ง มือหนานั้นรัดข้อมือทั้งสองของเธอไว้ และกดไว้ที่หลังของเธอแน่น

"เสิ่นซิวจิ่น! ไอ้สารเลว! ไอ้สารเลว! คุณเคยพูดเอง!

คุณเคยพูดเอง! คุณเป็นคนพูดเอง!!!"

เธอตะโกน ตาของเธอแดงขึ้นเรื่อยๆ น้ำตาเหล่านั้นที่เธอกลั้นไว้ ทำไมเธอถึงต้องไหลออกมา ไหลออกมาทำไม?

เพราะใคร?

เพราะอะไร?

เขา?

ไม่!

ไม่!

ความเจ็บปวดในดวงตาของชายคนนั้นเกือบจะควบคุมไปทั้งหมด เขาจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ การเคลื่อนไหวของมือเริ่มหยาบขึ้น แต่ทุกการเคลื่อนไหวนั้นก็ระมัดระวังมาก

ทันใดนั้น!

เจี่ยนถงลืมตาขึ้นด้วยความตื่นตระหนก หยุดกรีดร้อง ร่างกายสั่นเทา ลำคอเหมือนถูกอุดไว้ด้วยสำลี

แผ่นหลังแผ่เย็นขึ้นมา ชุดนอนของเธอก็ถูกยกขึ้น

"อ๊ะ!" ร้องเรียกอย่างสิ้นหวัง "เสิ่นซิวจิ่น! ฉันเกลียดคุณ!"

ในดวงตาของชายคนนั้น มีความเจ็บปวดอย่างมาก หัวใจของเขารู้สึกเหมือนถูกมีดกรีด!

เขากดผู้หญิงที่อยู่ใต้ร่าง น่องขาของเขากดทับขาที่ดีดดิ้นของเธอ ฝ่ามืออันทรงพลังของเขาจับข้อมือเธอด้วยมือข้างเดียว และก้มศีรษะลง ศีรษะสีดำโน้มลงไปที่เอวด้านหลังของเธอ และจูบอย่างร้อนแรงแผดเผา ที่รอยแผลเป็นน่าสยดสยอง ส่วนที่หายไปนั้น เขาเต็มใจที่จะขุดเอาหัวใจของตัวเอง เติมเต็มเข้าไป

เจี่ยนถงดีดดิ้นหนักขึ้นเรื่อยๆ หน้าผากของเธอ ผมที่ยาวถึงหลังเอว ม้วนตัวเพราะหยาดเหงื่อ แนบติดอยู่บนใบหน้า และหลังของเธอ

เธอดีดดิ้นอย่างสุดชีวิต แต่ยิ่งเธอดีดดิ้นมากเท่าไหร่ เสิ่นซิวจิ่นที่อยู่บนร่างเธอก็ยิ่งจูบแน่นขึ้นเท่านั้น

"เสิ่นซิวจิ่น! ฉันเกลียดคุณ! คุณได้ยินไหม! ฉันเกลียดคุณ! เกลียดคุณ! เกลียดคุณ!" เธอบิดเอวของเธออย่างแรง พยายามหลีกเลี่ยงการจูบนั้น เธอตะโกน และร้องไห้ อย่างกลั้นน้ำตาไม่อยู่

เธอไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไร ไม่สำคัญว่าเธอพูดจะอะไร ตราบใดที่เธอสามารถหยุดพฤติกรรมบ้าๆ นี้จากคนบ้านั้นได้ เธอจะทำทุกอย่าง!

"หยุด หยุด!" เธอกรีดร้องเหมือนเด็กด้วยน้ำเสียงที่หยาบกระด้าง

แต่คนบ้าคนนั้นเขาไม่สนใจเลย!

เจี่ยนถงกำฝ่ามือแน่น จนเลือดเกือบออก "เสิ่นซิวจิ่น! อย่าแตะต้องมัน อย่าแตะต้องตรงนั้น"

ชายคนนั้นไม่พูดอะไร ราวกับว่าเขาไม่ได้ยิน เขาจูบเป็นทางยาวอย่างเงียบๆ สิ่งที่อยู่ระหว่างขานั้นอดกลั้นจนปวดไปหมดแล้ว แต่เขาต้องการ นั้นมากกว่าร่างกายของเธอ

ศีรษะสีดำฝังไว้ที่หลังเอวของเธอ ใบหน้าหล่อเหลาราบเรียบนั้น ตอนนี้เต็มไปด้วยความลุ่มหลง ริมฝีปากบางเห่อร้อน ตราหน้ารอยจูบลงไป

จูบนั้นเหมือนสำนึกผิด เขาแทบรอไม่ไหวที่จะฝังความเสียใจที่ซ่อนอยู่ในใจนับไม่ถ้วนเข้าไปในร่างกายของเธอ เขาเองก็เห็นแก่ตัวเช่นกัน เขาอยากให้เธอตอบสนองเขา ไม่ใช่แววตาที่ราบเรียบ และประโยคที่ไม่แยแสแบบนั้น

โหดร้าย……ใช่! เขาโหดร้ายกับเธอเสมอ

แต่เขาไม่มีทางอื่นที่จะพิสูจน์ได้ว่า ในใจของเธอ มีเขาเสิ่นซิวจิ่นอยู่

กลัว!

กลัวอย่างมาก!

กลัวว่าพื้นที่ของเสิ่นซิวจิ่นจะหายไปในหัวใจของเธอตั้งนานแล้ว!

กลัวเธอไม่สนใจเขาอีก

ทุกวันนี้ ความเฉยเมยของเธอ ความเยือกเย็นของเธอ เฉยชาของเธอ และความเรียบนิ่งในดวงตาของเธอ ล้วนทำให้เขาหวาดกลัว! กลัวหัวใจจะเจ็บปวด! เขาต้องการให้เธอตอบสนองเขา ไม่ใช่ร่างกายที่ไร้วิญญาณเหมือนท่อนไม้ที่ตายแล้วแบบนี้

เขาบังคับให้เธอเผชิญหน้ามากับเขา เผชิญหน้ากับอดีตของพวกเขา เผชิญกับความรักของพวกเขา

แม้จะเจ็บ!

เจี่ยนถงหอบหายใจ กำลังของร่างกายเธอ เดิมทีก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ไม่ดี ร่างกายที่บุบสลายนี้ ได้เสื่อมโทรมไปตั้งนานแล้ว

น้ำตาในดวงตาของเธอพลุ่งพล่านออกมา มีเสียงคร่ำครวญอยู่ในลำคอของเธอเป็นระยะ

ความขมขื่นของดวงตานั้นทำให้คนรู้สึกเจ็บปวด ดวงตานั้นค่อยๆ ราบเรียบ ดูเหมือนกล้ำกลืน ดูเหมือนยอมอ่อน ดูเหมือนร้องขอความเมตตา "ฉันจะปล่อยให้คุณทำ ฉันจะยอมให้คุณทำทุกอย่าง จะทำอะไรก็ได้"

เธอยังพูดอีกว่า "เสิ่นซิวจิ่น ฉันสามารถถอดเสื้อผ้าและนอนราบปล่อยให้คุณทำก็ได้ จะใช้ปากช่วยคุณปลดปล่อยก็ได้ คุณอยากให้ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ขอร้องคุณ ขอร้องคุณหยุดสัมผัสตรงนั้น" จะตรงไหนก็ได้ทั้งนั้น……แต่อย่าแตะต้องตรงนั้นก็พอ

เจ็บ มันเจ็บ……น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจหยุดได้

น้ำเสียงที่แหบแห้ง ขอความเมตตา อย่างอัปยศอดสู

เสิ่นซิวจิ่นหยุดและกระชับร่างกายของเธอ "คุณกำลังพูดไร้สาระอะไร!"

เขาดุ

ผู้หญิงที่อยู่ใต้ร่างหันศีรษะมา ดวงตาของเธอดูอัปยศและดื้อรั้น "ทำให้ฉันรู้สึกอับอาย มันเป็นความสุขของเสิ่นซิวจิ่นอย่างคุณไม่ใช่เหรอ?" น้ำตาเอ่อล้นในดวงตาของเธอ "สิ่งที่คุณต้องการฉัน ฉันจะทำตามความปรารถนาของคุณเอง"

นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเหรอ?

"ไม่ใช่" เสียงของชายคนนั้นแหบแห้ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด และเขามองไปยังผู้หญิงที่อยู่ใต้ร่างเขา "ผม……" ขอโทษ

เขากอดเธอแน่นจากด้านหลัง กอดผู้หญิงร่างผอมบางไว้ในอ้อมแขนของเขาแน่น รู้สึกจุกอก เธอพูดคำหยาบคายเหล่านั้นได้อย่างไร?

พูดแบบนั้นออกมาได้ยังไง!

ไม่!

ไม่ใช่!

เป็นเขา!

เป็นความผิดของเขา!

เขาบังคับเธอ บังคับเธออีกแล้ว!

ผมยาวหนา เปียกแนบไปกับแผ่นหลัง บุคคลที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาผอมเกินไป ความเจ็บปวดในดวงตาสีเข้มของเขา ที่ผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขน มองไม่เห็น

ความขมขื่นค่อยๆ แผ่เข้ามาในจิตใจ

เขาเพียงแค่ เพียงแค่อะไรกัน?

เพียงแค่ต้องการพิสูจน์ ว่าในสายตาของเธอ เขาเสิ่นซิวจิ่นแตกต่างจากคนอื่นไหม?

แค่ต้องการให้เธอเผชิญกับทุกอย่างในอดีต เผชิญหน้ากับคนอย่างเขา?

เมื่อมองดูผู้หญิงที่อยู่ใต้ร่างเขา สายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขาผิดไปแล้ว เขาจะไม่บังคับเธอแบบนี้อีกแล้ว

เขากอดเธอ และกดจูบลงไปบนไหล่ที่คลุมด้วยผ้าไหมสีฟ้า จูบลงบนท้ายทอย และบนศีรษะของเธอ อย่างค่อยๆ เขาแทบจะรอไม่ไหวที่จะมอบทุกอย่างให้กับเธอ

จูบอย่างละเอียดอ่อน หวงแหน และลุ่มหลง

ถ้าเจี่ยนถงไม่ได้นิ่งเงียบในความอับอายและความเจ็บปวดนี้ ไม่ได้อยู่ความทรงจำที่เจ็บปวดในอดีต เธออาจจะรู้สึกได้ ถึงการจูบที่รุนแรงนั้น ที่จริงแล้วทะนุถนอม เคารพ และหวงแหนเธอขนาดไหน

พฤติกรรมที่ดูเหมือนรุนแรงนั้นเต็มไปด้วยความเสียใจและไม่สบายใจ ใช่ ชายผู้สูงศักดิ์คนนั้น—เสิ่นซิวจิ่น เขาก็มีช่วงเวลาที่ไม่สบายใจเช่นกัน!

และในตอนนี้ คนที่ไร้ค่าคนนั้น ไม่ใช่เจี่ยนถง แต่เป็นชายแกร่งที่กักขังผู้หญิงไว้ในอ้อมแขนของเขาคนนี้ ทุกสิ่งที่เขาใช้อำนาจเพื่อได้มา ล้วนเป็นแค่เปลือกนอกเท่านั้น ที่ซ่อนความไม่สบายใจของเขา

ดูเหมือนไร้ค่า ดูเหมือนเข้มแข็ง

ดูเหมือนแบกรับการเหยียดหยาม ดูเหมือนเด็ดขาด

แต่ที่จริง เป็นคนที่เผด็จการ!

เสิ่นซิวจิ่นจูบเจี่ยนถง เขาจะไม่พูด "ขอโทษ" กับผู้หญิงคนนี้เด็ดขาด แม้ว่าตอนนี้ ในหัวใจของเขาจะเหมือนกับจูบของเขา ค่อยๆ บอก "ขอโทษ" อย่างนั้น

แต่เขาจะไม่พูดออกมาเด็ดขาด!

"คราวหน้า อย่าพูดแบบนี้อีกนะ เสี่ยวถง ได้ไหม?" ในเสียงนั้นแสดงถึงความเสียใจออกมา เสิ่นซิวจิ่นเกือบจะซ่อนความรู้สึกต่ำต้อยภายใต้ท่าทางที่แข็งกร้าวของเขาได้แล้ว

"ไป! ออกไป!"

เธอสะบัดมือตีไปมาอย่างแรง มือที่เป็นอิสระ หยิบของรอบๆ ตัวโยนไปที่เขาโดยไม่แม้แต่จะมองด้วยซ้ำ โยนหมอนใส่เขา "ไปสิ! ตอนนี้ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ!"

"เสี่ยวถง คุณใจเย็นหน่อย!"

ดวงตาของเธอเป็นสีแดง เธอรู้สึกตื่นตระหนกมาก และยังคงรู้สึกถึงริมฝีปากเขาที่สัมผัสบนหลังของเธอ ที่เจ็บปวดกว่าที่เคย

"คุณจะไปไม่ไป?" เธอหน้าแดงและจ้องเขม็ง "ได้! คุณไม่ไป! ฉันไปเอง!"

"เสี่ยวถง หยุดก่อเรื่องก่อน"

ก่อเรื่อง?

ใครกันแน่ที่ก่อเรื่อง?

"คุณสัญญากับฉัน คุณสัญญากับฉันแล้ว!"

เธอตะโกนว่า "เสิ่นซิวจิ่น ฉันไม่ต้องการแล้ว ฉันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ฉันไม่ต้องการเจี่ยนซื่อกรุ๊ป ฉันไม่ต้องการกองทุนดวงหัวใจแล้ว คุณ……" เธอหยุดไปชั่วขณะ เพราะชายตรงข้าม จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นในลำคอว่า "เสี่ยวถง!" เขาซ่อนความกลัวไว้และรีบหยุด

"คุณ……" ดวงตาที่แดงก่ำเต็มไปด้วยการปฏิเสธ ขนตายาวค่อยๆ ตกลงอย่างนุ่มนวล "ฉันไม่ต้องการมาตั้งนานแล้ว"

เคล้ง!

หินก้อนใหญ่ในใจนั้น แตกเป็นขี้เถ้าในทันที ตามคำพูดของเธอ

"เสี่ยวถง คุณมีสติหน่อย" เขาเอื้อมมือไป หวังจะกอดหญิงสาวที่ดวงตาแดงก่ำ

แต่ได้นาฬิกาปลุกมาแทน

"ไปให้พ้น อย่ามาแตะต้องตัวฉัน!" จมูกเธอแดงก่ำ "พรุ่งนี้ ไม่! เดี๋ยวนี้ ออกไปเดี๋ยวนี้"

นาฬิกาปลุกที่ทำจากโลหะตรงเข้ามา ชายคนนั้นไม่ได้หลบเลี่ยง จึงกระแทกที่หน้าผากของเขา ทันใดนั้นก็บวมแดงขึ้นมา

เขาไม่ได้สนใจ หญิงสาวหยิบสิ่งที่เธอหยิบได้มาทุบใส่เขา หมอน โทรศัพท์มือถือ ปฏิทิน ปากกา ทุกสิ่งที่หยิบได้ล้วนทุบใส่เขา แต่เขาไม่กลัว แต่ทันใดนั้นหางตาของเขาก็เห็นมีดผลไม้บนโต๊ะเครื่องแป้ง หัวใจก็ตื่นตระหนกขึ้นมา

"ผมไป! ผมจะไปเดี๋ยวนี้ เสี่ยวถง ใจเย็นๆ ก่อน พรุ่งนี้……พรุ่งนี้พวกเราค่อยคุยกันใหม่นะ" เขากลัวจริงๆ ว่าถ้าเธอจะมีความคิดอย่างอื่น มีดผลไม้นั้นถ้าทำให้เขาบาดเจ็บมันไม่เป็นไรเลย แต่ถ้าทำให้เธอบาดเจ็บ จะทำอย่างไร "เชื่อฟังนะ คุณเหนื่อยแล้ว คืนนี้พักผ่อนก่อน"

ถ้าไป๋ยู่สิงและซีเฉินเห็นฉากนี้ พวกเขาจะต้องตกใจจนอ้าปากค้างแน่ๆ……ที่เสิ่นซิวจิ่นกลัวจนต้องหนีไปแบบนี้

ในห้องนั้น เหลือเพียงเธอกับห้องที่รกร้างว่างเปล่า

เจี่ยนถงที่เพิ่งโยนของไปหาชายคนนั้นอย่างแรงเมื่อครู่ ค่อยๆ เลื่อนตัวลงกับกำแพงอย่างอ่อนแรง และทรุดตัวลงกับพื้น

เธอรู้ว่าเธอในวันนี้ไม่เหมือนกับเธอเอง อารมณ์ผันผวนมากเกินไป เธอรู้ว่าเธอไม่เหมือนกับปกติ แต่เธอทนไม่ได้ ทนต่อความเจ็บปวดนั้นไม่ได้ ทนภาพในอดีตที่ท่วมท้นราวกับกระแสน้ำเข้ามานั้นไม่ได้!

ทำไมกัน!

ทำไมต้องแตะต้องตรงนั้น?

เธอเตือนเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าเธอทนไม่ไหวขนาดไหน?

"ฉันแค่อยากจะลืม" พูดราวกับเสียงกระซิบ "ฉันรู้ว่าฉันลืมไม่ได้ ฉันแกล้งทำเป็นลืม ไม่ได้เหรอ?"

ต้องบีบบังคับเธออย่างนั้นเลยเหรอ?

เขาต้องการจะทำอะไรกันแน่!

เขาต้องการอะไรจากเธออีกกันแน่!

"เซี่ยเวยเหมิง เซี่ยเวยเหมิง ฉันแลกกับเธอ ฉันแลกกับเธอยังไม่พออีกเหรอ?"

หากเธอรู้ว่าหลังจากวันที่เกิดอุบัติเหตุของเซี่ยเวยเหมิงผ่านไป ชีวิตของเธอก็จะกลายเป็นแบบนี้ เธอจะต้องพบกับเรื่องเลวร้ายที่เธอคิดไม่ถึงแบบนี้ ในวันนั้น เธอคงยินดีที่จะเข้าร่วมการนัดหมาย

ถ้าในชั่วครู่หนึ่ง เธอรู้ว่าเธอเจี่ยนถงวันหนึ่งจะถูกทำลายทุกอย่าง ต้องใช้ใจชดเชย ทำลายชีวิตของเธอเพราะเธอตกหลุมรักผู้ชายที่เธอไม่ควรรัก……เจี่ยนถงคิดอย่างว้าวุ่นว่า "ถ้า" เธอถามตัวเองอย่างงงงวย ถ้าเป็นแบบนี้ เธอยังจะรักอยู่ไหม?

ยังจะรักไหม?

ยังจะรักไหม?

ยังจะรักไหม?

เธอถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แต่ก็ไม่มีคำตอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า

"ก๊อกๆ"

ประตูห้องรับแขกอันเงียบสงบดังขึ้นอย่างกะทันหัน หญิงสาวที่อยู่บนพื้นตกใจราวกับกวางน้อย จ้องไปที่ประตูด้วยความหวาดกลัว

"คุณนาย ผมเองครับ"

ข้างนอกประตูมีเสียงที่อ่อนโยนของพ่อบ้านดังขึ้น "คุณเปิดประตูหน่อยครับ คุณชายบอกว่าคุณคงหิวแล้ว ให้ผมเตรียมอาหารว่างมาให้คุณ"

"ไม่ ไม่เป็นไร"

"คุณนายครับ ได้โปรดอย่าทำให้ผมลำบากใจเลยครับ คุณชายบอกว่า ถ้าไม่ดูคุณทานจนหมด จะไล่ผมออก ผมยังมีครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดู คุณนายช่วยสงสารผมหน่อยนะครับ"

เจี่ยนถงลังเล "……เขาล่ะ?" เธอพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง

"ใครครับ? คุณชายเหรอครับ? คุณชายกลับไปพักผ่อนที่ห้องนอนใหญ่แล้วครับ"

ข้างนอก จึงมีแต่พ่อบ้าน

เจี่ยนถงสงบลง และยืนขึ้น "รอสักครู่ค่ะ"

เธอหยิบชุดนอนมาสวมใส่ จากนั้นโยนชุดนอนที่ยุ่งเหยิงลงในถังขยะ แล้วปิดฝาด้วยความรังเกียจ

ถึงจะไปเปิดประตู

ด้านนอกประตู พ่อบ้านเดินเข้ามาแล้ววางถาดลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง "คุณนายครับ คุณชายให้ผมดูคุณทานให้หมดก่อน"

ขณะพูด เขาก็เปิดก้านไม้หอมอโรมาเธอราพีในถาด "นี่คือเครื่องเพิ่มความชื้น อากาศในห้องแห้ง ใช้มันช่วยปรับอากาศ จะช่วยให้หลับสบายครับ"

เจี่ยนถงนั่งลง และกินซุปเห็ดหูหนูขาวจนหมด

พ่อบ้านจากไปอย่างไม่เงียบๆ

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

ประตูเปิดออกอย่างแผ่วเบา ร่างสูงเดินเข้ามา ยืนเงียบๆ ข้างหลังผู้หญิงคนนั้น มองดูผู้หญิงที่นอนฟุบอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งและกำลังหลับใหล ถอนหายใจ โน้มตัวไปอุ้มเธอแล้ววางลงบนเตียงเบาๆ "ผมจะทำอย่างไรกับคุณดี?อะไรควร ฉันทำกับคุณ?"

เสิ่นซิวจิ่นไม่ต้องการขอความช่วยเหลือ แต่เขากลับตื่นตระหนกไปตั้งนานแล้ว

ความรักไม่ใช่สิ่งที่คุณเก่งแล้วจะได้รับมา

เขานั่งข้างเตียงของเจี่ยนถง ในห้องรับแขก กลิ่นหอมผ่อนคลายยังคงร่องลอยอยู่ มองดูผู้หญิงบนเตียง ความจนปัญญาในดวงตาเขา ที่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

เขาโทรหาไป๋ยู่สิง ดึกขนาดนี้แล้ว อีกฝ่ายก็รับสายอย่างง่วงนอน และฟังเสิ่นซิวจิ่นพูดเกี่ยวกับเขาและเจี่ยนถงอย่างละเอียด

เสียงทุ้มต่ำของเสิ่นซิวจิ่น ในคืนที่เงียบสงบ ในห้องนอนอันเงียบสงบนี้ ดูเหงาและโดดเดี่ยว

ไป๋ยู่สิงฟังอย่างเงียบๆ และไม่ได้ส่งเสียงใดๆ

เขาก็ไม่ค่อยรู้เรื่องความรักเช่นกัน

แต่เขารู้จักเพื่อนอย่างเสิ่นซิวจิ่นดี

ฟังเสิ่นซิวจิ่นพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้น แม้ว่าไป๋ยู่สิงจะรู้สึกอย่างชัดเจนว่า เสิ่นซิวจิ่นจงใจหลีกเลี่ยงบางสิ่งบางอย่างในคำพูดของเขา

ถึงกระนั้น จากเสียงทุ้มต่ำของชายคนนั้นทางโทรศัพท์ ก็สัมผัสได้ถึงความขมขื่น

"ในตระกูลเสิ่นของนาย ไม่มีคนดีเลยจริงๆ" ไป๋ยู่สิงพูดขึ้นทันที "ไม่เคยรู้วิธีที่จะรักใครสักคนเลย

เช่นเดียวกับนาย เสิ่นซิวจิ่นนายตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่ง สิ่งที่นายคิดคือจะครอบครองผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไร

ขั้นแรกคือบีบบังคับคนคนนั้นให้หมดหนทางหนี เมื่อเธอหมดหนทางและไม่รู้จะทำอย่างไร นายก็ยื่นมือออกไป

นี่คือวิธีการรักใครสักคนของคนตระกูลเสิ่น"

โหดร้าย

"นายเป็นแบบนี้ ลู่หมิงชูก็เช่นกัน"

ไป๋ยู่สิงพูดว่า "แต่เสิ่นซิวจิ่น นายเคยคิดบ้างไหมว่าคนที่ถูกรักในลักษณะนี้ อาจไม่มีความสุข?"

คำพูดของไป๋ยู่สิง ราวกับดาบยาว แทงทะลุหัวใจของเสิ่นซิวจิ่น……รวดเร็ว แม่นยำ และโหดเหี้ยม!

เขาอดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้ นี่เป็นสไตล์ประจำของไป๋ยู่สิงจริงๆ ในโทรศัพท์ ชายคนนั้นค่อยๆ เช็ดเหงื่อที่แก้มของเธอด้วยผ้าขนหนูอุ่นๆ แทนผู้หญิงที่อยู่บนเตียง

"ฉันควรทำอย่างไร?"

มือของไป๋ยู่สิงที่ถือโทรศัพท์สั่นอย่างรุนแรง……เสิ่นซิวจิ่น จะมีวันที่เขาก้มศีรษะหยิ่งผยองเพื่อแสดงจุดอ่อนและขอความช่วยเหลือด้วยเหรอ?

"ฉันควรทำยังไงกับเธอดี?" ชายหนุ่มพูดทางโทรศัพท์อย่างช้าๆ

ดวงตาที่กะพริบถี่ ไป๋ยู่สิงมั่นใจว่าเขาได้ยินไม่ผิด "เหมือนผู้ชายธรรมดาที่รักผู้หญิงที่เขารัก"

"ทำยังไง?"

เมื่อไป๋ยู่สิงได้ยินคำถามนี้ เขาก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่แล้วก็คิดเกี่ยวกับมัน……เขาจะสามารถชี้แนะคนที่ใช้ชีวิตไม่เป็นตัวเองตั้งแต่ยังเด็กได้อย่างไร คนที่ตระกูลเสิ่นเลี้ยงดูมา เข้าใจคำว่า "รัก" ว่าคืออะไร และจะรักอย่างไรจริงๆ รึเปล่า?

"ถ้านายไม่รู้ ก็ไปถามคนในอินเทอร์เน็ต" ให้ชายโสดที่ยังไม่มีแฟน มาสอนเสิ่นซิวจิ่นให้รักได้อย่างไร?

อย่าพูดไป เขาก็ไม่ได้ดีไปกว่าไอ้แซ่เสิ่นเท่าไหร่หรอก

"นายต้องรู้ ว่าคนที่เก่งมักจะอยู่ในหมู่คนทั่วไป"

สำหรับคำพูดของไป๋ยู่สิง เสิ่นซิวจิ่นเห็นด้วยอย่างยิ่ง

มือเรียวกำลังเช็ดที่คอของผู้หญิงด้วยผ้าขนหนูอุ่น รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา "ยู่สิง ช่วงนี้ฉันเหนื่อยมาก แก่แล้วจริงๆ เดี๋ยวค่อยคุยกันนะ บาย"

เมื่อวางสาย ไป๋ยู่สิงก็ก้มหน้าลง หากความรักมันทรมานคนนัก ก็อย่าให้เขาเจอมันเลย

เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว……ดูสิ คนที่แกร่งอย่างเสิ่นซิวจิ่น ยังต้องก้มศีรษะที่หยิ่งผยองเลย

มันเป็นยาพิษจริงๆ

เสิ่นซิวจิ่นวางสายโทรศัพท์ และวางโทรศัพท์ในมือ เช็ดคอของหญิงสาวบนเตียงเบาๆ ด้วยผ้าขนหนูอุ่น ค่อยๆ ดึงเสื้อผ้าบนร่างกายของเธอออก การเคลื่อนไหวนั้นเบามือมาก ราวกับของมีค่าราคาสูงที่หวงแหนอย่างไม่มีอะไรเทียบ

เธอเหงื่อออกเพราะแรงกดดันของเขาในตอนนั้น เขาค่อยๆ เช็ดเบาๆ สุดท้ายก็ถอดรองเท้าแตะของเธอออก คุกเข่าลงข้างๆ เช็ดเท้าของหญิงสาวอย่างระมัดระวัง

แต่เมื่อเขาสัมผัสเท้าของผู้หญิงคนนั้น คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย เขาวางผ้าเช็ดตัวลง ค่อยๆ จับเท้าที่เย็นมากในฝ่ามือของเขาอย่างระมัดระวัง และนวดคลึงอย่างเบาๆ อยู่เป็นเวลานาน เท้าเล็กๆ ที่เย็นยะเยือกก็อุ่นขึ้น

เขามองดูผู้หญิงที่นอนเงียบๆ อยู่บนเตียงด้วยความเจ็บปวด……เสี่ยวถง พวกเราอยู่ด้วยกัน พอยามแก่ตัวเขาจะช่วยนวดเท้าให้ดีไหม?

"เสี่ยวถง ขอโทษนะ" แววตาของเขาดูเศร้าสร้อย

เขาไม่กล้าพูดคำนี้ว่า "ขอโทษ" ในตอนที่เธอตื่น

เขาเวียนหัวมากขึ้น แต่ก็ไม่กล้านอนข้างๆ เธอ เลยลากร่างที่หนักอึ้งกลับไปที่ห้องนอนตัวเอง ที่ทางเดิน พบกับพ่อบ้าน

"เก็บก้านไม้หอมในห้องนอนของคุณนายเถอะ ทีหลังถ้าจะซื้อก้านไม้หอม ส่วนผสมไม่ต้องเยอะมาก เอาที่ส่วนผสมอ่อนโยนก็พอ ไม่จำเป็นต้องเหมือนยานอนหลับที่ประสิทธิภาพดีขนาดนั้น"

พ่อบ้านมองอย่างอธิบายไม่ถูก มองดูร่างที่หายไปในห้องนอนใหญ่……คุณชาย นั่นเป็นก้านไม้หอมที่สวนผสมน้อยที่สุดแล้ว!

00 11

ในพื้นที่เล็กๆ ในเวยป๋อปะทุขึ้น

ภายใต้เวยป๋อของเสิ่นซิวจิ่นบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป มีอีกหนึ่งโพ๊ส–

"ทำแบบนี้ ถึงจะทำให้ภรรยาของเขามีความสุขไหม?"

วันรุ่งขึ้น

"ฉันต้องการย้ายออก" บนโต๊ะอาหาร เจี่ยนถงวางชามและตะเกียบในมือ และพูดกับผู้ชายที่นั่งข้างๆ

จิตใจกระสับกระส่ายนะยะ ความอึมครึมของชายผู้นี้……

"ได้"

"เคล้ง" เสียงช้อนตกลงไปในชามซุปเห็ดหูหนูขาว และชายคนนั้นก็ตอบรับอย่างเรียบง่าย

"……" เจี่ยนถงเฉื่อยชาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมองไปที่ชายคนนั้นด้วยความสงสัย

เขา พูดง่ายอย่างนั้นเลยเหรอ?

"คอนโดมีเนียมของหมู่บ้านดอกสวนช้างเผือกเป็นยังไง?"

เสิ่นซิวจิ่นมีนิสัยชอบดื่มกาแฟดำในตอนเช้า เขาจิบอย่างมีสง่า เหลือบมองผู้หญิงที่อยู่ตรงข้ามและพูดว่า "จะย้ายออกก็ได้ แต่ผมอยากรับประกันความปลอดภัยของคุณ คอนโดมีเนียมของหมู่บ้านดอกสวนช้างเผือก อยู่ใกล้ๆ กับบริษัทของคุณ และมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีอันดับต้นๆ ของเมือง"

เจี่ยนถงกำลังจะโต้แย้ง ชายคนนั้นวางกาแฟในมือลง "เสี่ยวถง คุณต้องรู้เรื่องหนึ่ง ใจจริงของผม ไม่อยากให้คุณย้ายออกไป"

แต่การปล่อยให้เธอออกไปอยู่ข้างนอก นี่คือการยอมถอยที่ใหญ่ที่สุดที่เขาสามารถทำได้

แม้จะยอมถอย แต่ก็ยังมีความไม่ท้อถอยดั้งเดิม

เมื่อคิดถึงโพสต์ในเวยป๋อของเมื่อวาน ข้อความมากมาย– "ในฐานะสามีที่ครบคุณสมบัติ เราต้องตอบสนองความต้องการของภรรยาให้มากที่สุด"

ไป๋ยู่สิงพูดว่า ถ้าไม่รู้จักวิธีรัก ก็จงเรียนรู้

ถ้านี้คือวิธีที่คนธรรมดารักภรรยาตัวเอง เขาคิดว่าถึงแม้เขาไม่เห็นด้วยและไม่อยากทำ เขาก็จะยังคงเรียนรู้ที่จะรักเธอ

"……ค่ะ งั้นก็หมู่บ้านดอกสวนช้างเผือก"

เจี่ยนถงพูดขึ้น

ในขณะที่เธอจะขอออกไปอยู่ข้างนอก เธอได้เตรียมพร้อมกับการไม่มีเหตุผล ดื้อดึง แต่นิสัยชอบควบคุมของผู้ชายแล้ว

แต่ตอนนี้ มันราบรื่นมาก และเธอก็พยักหน้าอย่างง่ายดาย เธอมีคงคิดว่าเป็นภาพลวงตา

มีความโกลาหลที่หน้าประตู

"ใคร?" เสิ่นซิวจิ่นเองก็อารมณ์เสียมากเพราะเจี่ยนถงกำลังจะย้ายออก ไป๋ยู่สิงบอกว่าเขาทำผิด และควรเรียนรู้ความรักของคนธรรมดาบ้าง แม้ว่าจะอารมณ์เสีย ก็ควรเก็บไว้ในใจ ในช่วงเช้าแบบนี้ มีเสียงคึกคักวุ่นวายจากประตู ความโกรธที่อยู่ภายในของเขา เจอที่ระบายออกแล้ว

ในขณะนั้น เสิ่นเอ้อและเสิ่นซานที่รออยู่ที่โต๊ะไม่กล้าที่จะมองตรงไปยังพวกเขา

พ่อบ้านรีบเข้ามา "มาหาคุณนายครับ"

มาหาเสี่ยวถง?

สีหน้าของเสิ่นซิวจิ่นอึมครึมมากขึ้น เช้าขนาดนี้ ภรรยาของเขากำลังย้ายออกไปแล้ว ยังมีคนกล้ามารบกวนโลกของคนสองคนระหว่างเขากับภรรยาอีกเหรอ!

โดยธรรมชาติ "โลกของคนสองคน" เป็นความเข้าใจของเสิ่นซิวจิ่นคนเดียว เจี่ยนถงรับรู้ด้วยไหม ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

แต่ในขณะนั้น ชายที่อารมณ์กำลังจะระเบิดออก ได้ตัดสินใจในใจว่า–มีคนกำลังรบกวนโลกของคนสองคนระหว่างเขากับภรรยา!

"เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง?"

"……" พ่อบ้านกะพริบตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า……นี่มันอะไรกัน?

"ผู้ชาย……"

"ไล่ออกไป"

พ่อบ้านปาดเหงื่อเย็นที่หน้าผากอีกครั้ง "มีทั้งผู้ชายและผู้หญิงครับ คุณชาย มีแม่ลูกคู่หนึ่งต้องการพบคุณนายครับ" เขากลัวว่าชายที่อยู่หลังโต๊ะจะยังไล่คนออกไป จึงรีบพูดให้จบอย่างรวดเร็ว

เสิ่นซิวจิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำว่าแม่ลูกคู่หนึ่ง?

เขาหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด แต่เมื่อเขาหลับตาลง ดวงตาของเขาก็จ้องไปที่ใบหน้าของหญิงสาวข้างๆ

"เสี่ยวถง อยากเจอไหม?"

สีหน้าของเจี่ยนถงราบเรียบ ริมฝีปากเม้มแน่น แสดงถึงความดื้อรั้น

"ช่วยบอกพวกเขาทีค่ะ ถ้ามีเวลาฉันจะกลับไปที่ตระกูลเจี่ยน"

เธอที่เพิ่งสั่งกับพ่อบ้านเสร็จ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น เดินผ่านโถงทางเดิน และบุกเข้าไปในห้องอาหาร

"เสี่ยวโอวเรียกพี่สาวเร็วเข้า"

มีผู้หญิงหน้าตาสวยดึงเด็กอายุ 10 ขวบไปหาเจี่ยนถง "เร็วเข้าเสี่ยวโอว นั่นคือพี่สาวของลูก"

เจี่ยนถงตกตะลึงเมื่อเห็นแม่ลูกคู่นี้ตรงหน้า……พ่อบ้านบอกว่าเป็นแม่ลูกคู่หนึ่ง เธอคิดแค่ว่าคุณหญิงเจี่ยนกับเจี่ยนโม่ป๋าย แต่เธอไม่คิดว่า……บนใบหน้าของเธอไร้ซึ่งการแสดงออกอยู่ครู่หนึ่ง

เด็กชายรูปร่างสูงยาว ผมสั้นสีน้ำตาลเข้ม ที่ใส่หมวกแก๊ปอยู่ หน้าของเขาดูมีสง่า ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ

ผู้หญิงคนนั้นซึ่งมีใบหน้าเรียวยาว จมูกสูงโด่ง และริมฝีปากสีชมพูอ่อน ดูราวกับอายุเพียง 25 หรือ 26 เท่านั้น

ในตอนที่เธอให้เด็กชายตัวเล็กๆ ที่อยู่ข้างๆ เรียกเจี่ยนถงว่าพี่สาวนั้น ในใจเจี่ยนถงรู้ดี—ถึงความเจ้าชู้ของพ่อเธอ

เกิดความรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาในหัวใจ

แม้ว่าเจี่ยนโม่ป๋ายจะไม่สนใจเธอ แต่ก็เป็นความทรงจำที่เติบโตขึ้นมาด้วยกันของเธอ

และเด็กชายตัวเล็กๆ ที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น บอกว่าเป็นน้องชายของเธอ

เจี่ยนถงก้มศีรษะลง ในดวงตาใสนั้น ความไม่ชอบใจหายวับไปทันตา และถามอย่างราบเรียบว่า

"คุณเสิ่น วันนี้มีคนลากี่คนคะ?"

เสิ่นซิวจิ่นได้ยินถึงน้ำเสียงที่สูงส่ง ริมฝีปากบางของเธอขยับอย่างใช้แรง และหันศีรษะไปถามเสิ่นเอ้อที่อยู่ด้านข้าง

"พวกเขามี่กี่คนเหรอ?"

เสิ่นเอ้อเข้าใจในทันทีว่าเสิ่นซิวจิ่นหมายถึงอะไร "Bossครับ ขอโทษนะครับ ที่ผมทำอะไรโดยพลการ พอดีว่าช่วงนี้ ผมเห็นว่าพวกเขาค่อนข้างเหนื่อยกัน เลยให้พวกเขาหยุดงานหนึ่งวัน"

ขณะที่เขาพูด เขาเหลือบมองไปที่แม่และลูกชายตรงข้ามอย่างเฉยเมย และกล่าวว่า "มันเป็นความผิดของผมที่ปล่อยให้แมวและสุนัขเข้ามาในบ้าน ผมจะขับไล่คนที่ไม่ต้อนรับออกไปเดี๋ยวนี้ครับ"

เมื่อผู้หญิงคนนั้นได้ยินถ้อยคำนั้น ใบหน้าก็กระวนกระวาย จึงรีบดึงลูกชายแล้วพูดว่า

"เสี่ยวถง ฉันเป็นคนของพ่อคุณ และเสี่ยวโอวคือน้องชายของคุณ"

อย่าเพิ่งพูดถึงจุดประสงค์ของการมาวันนี้เลย เธอและเสี่ยวโอวเข้าไปที่คฤหาสน์ตระกูลเสิ่น ก็ใช้พลังงานมากอยู่แล้ว เธอแอบตามคนใช้ของตระกูลเสิ่นที่กลับมาหลังจากไปซื้อของเข้ามาข้างใน

หลังจากเข้าไปในคฤหาสน์อันงดงามนี้ เธอก็คิดหนักขึ้น

คฤหาสน์ตรงหน้านี้ สวนที่ได้รับการดูแลอย่างดี น้ำพุที่หน้าประตู ล้วนแสดงให้เห็นว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ร่ำรวยและมีอำนาจมากเพียงใด!

เจี่ยนถงมองดูการแต่งหน้าอันงดงามของหญิงสาว ทันใดนั้นไฟในหัวใจของเธอก็ลุกขึ้น และลุกขึ้นยืนทันที "คุณบอกว่าคุณเป็นคนของใครคะ? และใครเป็นน้องชายของฉัน?"

เธอไม่เคยเห็นคนไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อนเลย พาลูกมาหาลูกสาวของภรรยาหลวง แล้วบอกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงของพ่อเธอ และเด็กคนนั้นคือน้องชายของเธอ!

น้องชายแบบนี้ เธอไม่กล้ารับ!

ประโยคที่เธอถามเสิ่นซิวจิ่นหลังจากที่แม่ลูกคู่นั้นเข้ามาเมื่อครู่นี้ เป็นการพูดด้วยเสียงกดต่ำ และแม่ลูกคู่นั้นก็ไม่ได้ยินเสียงแหบแห้งของเธอ

แต่ในเวลานี้ เธอลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว และถามผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าอย่างขุ่นเคือง แต่ประโยคนี้ เธอไม่ได้ปิดกั้งเสียงนั้นอีกต่อไป ทันทีที่คำพูดของเธอจบลง แม่ลูกคู่นั้นก็ตกตะลึง

สีหน้าเด็กน้อยดูรังเกียจ "แม่ เสียงของผู้หญิงคนนี้น่าเกลียดมาก เหมือนไก่ที่ถูกบีบคอเลย"

เมื่อหญิงสาวได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เธอรีบเอื้อมมือไปปิดปากของเด็กชายตัวเล็ก "พูดอะไรน่ะ!" และพูดกับเจี่ยนถงด้วยท่าทางอึดอัดเล็กน้อย

"เสี่ยวถง อย่าคิดมากเลยนะ น้องชายของคุณไม่ได้ตั้งใจ อันที่จริงเสี่ยวโอวชื่นชมคุณมาก เขาบอกที่บ้านว่าเขาอยากเจอพี่สาวของเขามากๆ"

เจี่ยนถงไม่ได้พูดอะไร ทันใดนั้นก็มีเสียงเอ่ยขึ้น

"กล่าวโทษ"

เมื่อได้ยินเสียงที่เยือกเย็นเต็มไปด้วยความโกรธนั้น เจี่ยนถงก็ตะลึงเล็กน้อย และหันศีรษะไปโดยไม่รู้ตัว มองไปที่ชายที่กำลังโกรธ……โกรธมากกว่าเธอเสียอีก?

เจี่ยนถงรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะหนึ่ง

คนคนนี้ก็มีด้านที่ห่วงใยคนอื่นเหมือนกันเหรอ?

ช่างเถอะ เป็นไปได้ยังไง?

แต่ในชั่วพริบตา เธอก็ขจัดความคิดที่น่าขันออกไปอย่างสิ้นเชิง

ถ้าคนคนนี้ห่วงใยเธอจริงๆ เมื่อคืนนี้เขาจะไม่ดูถูกเธอแบบนั้น

หญิงสาวตกใจกับเสียงที่เย็นชาด้วยความโกรธ เธอไม่ได้สังเกตชายที่โต๊ะอาหารที่มองดูใจกว้างนั้น เมื่อตอนที่เธอเข้ามาพร้อมกับลูกชาย สิ่งแรกที่มองเห็น ไม่ใช่คนที่อยู่ที่โต๊ะอาหาร–ผู้หญิงผอมบางและดูธรรมดาคนนั้น

แต่เป็นผู้ชายที่หล่อเหลาและไม่ธรรมดาที่โต๊ะอาหารนั้นต่างหาก

และก็อิจฉาด้วย

ผู้หญิงมักชอบแอบเปรียบเทียบ โดยเฉพาะผู้หญิงที่สวย ก็จะยิ่งชอบเปรียบเทียบ

เธอเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่เคยเป็นนักโทษในคุกที่โต๊ะอาหารนั้นโดยไม่รู้ตัว เธอพยายามอย่างหนักเพื่อจับผู้ชายมีเงิน แต่ก็ยังด้อยกว่าชายรูปงามที่โต๊ะอาหารนั้นอยู่มาก

ยิ่งไปกว่านั้น เสิ่นซิวจิ่นนั้นล้ำเลิศ ครั้งแรกที่เธอมองผู้ชายคนนี้ หัวใจก็เต้นอย่างรุนแรง

ในตอนนี้ มันเป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าเธอจะถูกผู้ชายที่ล้ำเลิศ ตะโกนใส่อย่างไม่เกรงใจแบบนั้น

ก็ยิ่งอิจฉามากขึ้นไปอีก

เธออดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับนักโทษคนนั้น ไม่ว่าเธอจะมองอย่างไร เธอก็ยังดีกว่านักโทษคนนั้น ทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์หน้าตา หรือแม้แต่เสียง

ภายใต้ดวงตาคมดั่งมีดที่อยู่เหนือศีรษะเธอ รอบดวงตาของหญิงสาวแดงขึ้นอย่างอดไม่ได้ และพูดเสียงเบาว่า "ขอโทษค่ะ"

เสียงนั้นอ่อนลง รอบดวงตาแดงระเรื่อ มีความรู้สึกของความรักและความเสน่หา

เธอควรจะขอโทษเจี่ยนถง แต่เธอกลับมองไปที่เสิ่นซิวจิ่นอย่างคับข้องใจ ด้วยดวงตาแดงระเรื่อนั้น

เธอร้องไห้อย่างน่าสงสาร ตราบใดที่เป็นผู้ชาย ล้วนสงสารอย่างทนไม่ได้ น่าเสียดายที่เสิ่นซิวจิ่นตาบอด เขาเย็นชาและเมินเฉยตลอด

เสิ่นเอ้อมองดูและเยาะเย้ยในใจ มีผู้หญิงเพียงสองประเภทในสายตาของBoss—เจี่ยนถงผู้หญิงของเขาเอง และผู้หญิงคนอื่น

เจี่ยนถงไม่ได้ตาบอด เสิ่นเอ้อสามารถมองออกได้ เธอไม่ได้โง่เกินกว่าจะมองไม่เห็นการล่อลวงของหญิงสาวสวยคนนี้

จู่ๆ ก็รู้สึกรังเกียจ คลื่นไส้ เมียน้อยของพ่อเธอ กำลังล่อลวงสามีของเธอต่อหน้าเธอ!

เธอไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับเสิ่นซิวจิ่น นั่นคือสิ่งเดียวกัน แต่ตอนนี้เธอยังไม่ได้หย่า!

"คุณเสิ่น สุดสัปดาห์วันนี้ ฉันมีนัดกับพี่ซูเมิ่ง งั้นฉันไม่รบกวนคุณแล้วค่ะ" สีหน้าเจี่ยนถงไร้อารมณ์ หยิบกระเป๋าเป้ที่วางอยู่ด้านข้าง หันหลังเดินจากไป

ใบหน้าของเสิ่นซิวจิ่นเปลี่ยนเป็นอึมครึม "ไม่ต้องไป" เขาจับมือเจี่ยนถง "ผมจะให้เสิ่นซานไปรับซูเมิ่งมาที่บ้านตระกูลเสิ่น คุณจะลำบากไปทำไม"

ขณะที่พูด ไม่มีช่องว่างให้เจี่ยนถงปฏิเสธ ก็เรียกเสิ่นซานมา "รีบไปรับซูเมิ่งมา"

เสิ่นซาน "ครับ" รับทราบ หยิบกุญแจรถอย่างรวดเร็ว หันหลังกลับและจากไปโดยไม่ชักช้า เจี่ยนถงอยากจะหยุดเขา แต่เขาวิ่งไปหน้าห้องโถงแล้ว

ทันใดนั้น สีหน้าของเจี่ยนถงก็ไม่ค่อยพอใจนัก……วันนี้เสิ่นซิวจิ่นไม่เพียงเปลี่ยนไปอย่างแปลกๆ แต่คนรอบตัวเขาก็ดูแปลกเหมือนกัน

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจเธอ หญิงสาวสวยคนนั้นก็กรีดร้อง

"เสี่ยวถง วันนี้ฉันมาขอคุณนะ!"

ด้วยเสียงตะโกนของเธอ ฝีเท้าของเจี่ยนถง ค้างอยู่กลางอากาศ แต่สำหรับผู้หญิงคนนี้ เธอรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องมีการอภิปรายเพิ่มเติม

"เสี่ยวถง แม่ของคุณกำลังคุกคามเราสองแม่ลูกนะ!"

เมื่อหญิงสาวเห็นว่าเธอกำลังจะจากไป นัยน์ตาก็ร้อนรน กัดฟันและตะโกนว่า "เสี่ยวถง! เสี่ยวโอวเป็นน้องชายของคุณ! ช่วยเขาด้วย!"

หญิงสาวสวยรีบวิ่งไล่ตามเธอ และยืนขวางที่หน้าเจี่ยนถง "ปึก" เสียงดังขึ้น "ฉันคุกเข่าให้คุณ!"

เจี่ยนถงถูกขวางทางเอาไว้ กระนั้นก็ไม่ได้ตะโกนเรียกพวกเสิ่นเอ้อให้เข้ามานำตัวคนตรงหน้าออกไป เธอหลุบตามองผู้หญิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างเย็นชา พร้อมกับมองประเมินไปด้วย ในใจก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่ามันไร้เหตุผลสิ้นดี อะไรทำให้เมียน้อยคนนี้กล้าถึงขนาดที่ยอมคุกเข่าอ้อนวอนลูกสาวเมียหลวงอย่างเธอกัน

และอะไรทำให้เมียน้อยของพ่อเธอคนนี้มั่นใจนักหนา ว่าคนอย่างเจี่ยนถงจะยอมพูดด้วยง่ายๆ!

เจี่ยนถงมองผู้หญิงหน้าตาดีที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเธอ แล้วเอ่ยพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า

“คุณบอกว่าคุณหญิงเจี่ยนจะเอาชีวิตของพวกคุณสองแม่ลูกงั้นเหรอ สมัยนี้ประเทศปกครองด้วยกฎหมาย คุณหญิงเจี่ยนคงไม่กล้าทำอย่างนั้นหรอกค่ะ ฉันว่าคุณน่ะ ช่วงนี้ดูค่อนข้างอ่อนเพลียนะ ฉันแนะนำว่าคุณควรไปรับบัตรคิวรักษาที่แผนกจิตเวช เดี๋ยวนี้ทางการแพทย์เขารักษาโรคประสาทหลอนได้แล้วนะ”

เมื่อหญิงสาวหน้าตาดีได้ยินแบบนั้น สีหน้าก็ขาวซีด “เสี่ยวถง……..”

“เงียบ” เจี่ยนถงตัดบทหญิงสาวตรงหน้า แล้วเอ่ยพูดเสียงนิ่งว่า “ก่อนหน้านี้ ฉันไม่เคยพบปะคุณเลยสักครั้ง ฉะนั้นกรุณาเรียกฉันว่าคุณเจี่ยนด้วยค่ะ”

เสิ่นซิวจิ่นที่อยู่ด้านหลัง เอ่ยพูดออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “คำเรียกที่ถูกต้องควรเป็น คุณนายเสิ่น” เสียงมีเสน่ห์เอ่ยพูดอย่างเรียบนิ่ง แต่กลับทอแววแกมบังคับไม่ให้อีกคนปฏิเสธ

จู่ๆหัวใจของเจี่ยนถงก็กระตุก เธอเหลือบตามองคนข้างๆ ทว่าสายตาที่ใช้มองชายหนุ่มกลับเหมือนสายตาที่เอาไว้ใช้มองเด็กงอแง เห็นแบบนี้ชายหนุ่มจึงได้คืบจะเอาศอก ยื่นแขนออกไปโอบไหล่ของเจี่ยนถงเอาไว้อย่างเงียบๆ จ้องมองไปทางเสิ่นเอ้อที่อยู่ด้านข้างอย่างเขินอาย ทำเป็นมองไม่เห็นแววต่อต้านเล็กน้อยในดวงตาของหญิงสาว

แต่มันกลับทำให้เสิ่นเอ้อรู้สึกกระอักกระอ่วน โถ่บอส กอดซะขนาดนั้นแล้ว จะมาทำเป็นเอียงอายทำไม?

บอสใหญ่ของผมถูกคนอื่นมองอย่างกับเป็นสาวน้อย ผมรับไม่ได้!

เสิ่นเอ้อแอบบ่นบอสของตัวเองในใจ

ทางด้านเสิ่นซิวจิ่นกลับกำลังคิดว่าควรไล่หญิงแก่น่ารำคาญคนนี้ออกไปหรือไม่

เขาจะไล่ออกไปตอนนี้ก็ยังได้ แต่ที่ไม่ทำ ก็เพราะว่าพอลองมาคิดดูแล้ว การที่เมียน้อยของเจี่ยนเจิ้นตงพาลูกชายมาหาเสี่ยวถง แปลว่าต้องมีจุดประสงค์อะไรแน่ๆ

และยังมีอีกเหตุผล คือควรปล่อยให้หญิงแก่คนนี้ก่อกวนอย่างนี้ต่อไป วันนี้เสี่ยวถงจะได้ย้ายไปไหนไม่ได้

อะไรนะ?

วันนี้ไม่ย้าย พรุ่งนี้ก็อาจจะย้าย?

พรุ่งนี้…….ให้มันเป็นเรื่องของพรุ่งนี้สิ!

ถึงยังไงวันนี้เสี่ยวถงก็คงไม่ย้ายออกไปแล้ว อย่างน้อยคืนนี้เขาจะได้กอดๆ หอมๆ…..อืม หมายถึงอาศัยช่วงที่เธอหลับน่ะ

หมดสิ้นแล้วเสิ่นซิวจิ่น ท่านประธานผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับทำตัวเป็นหัวขโมยทำเรื่องหน้าไม่อายพรรค์นั้น ไม่รู้จักอาย ซ้ำยังลำพองใจ——

เมื่อคืนมีไอดีหนึ่งในเวยป๋อชื่อว่า “อบอุ่นมีเมียมีลูก” ส่งข้อความมาให้เขาว่า

“ไอ้น้อง คุณเองก็ดูเป็นคนซื่อตรงกับความรัก เรื่องมันเป็นมายังไงล่ะ ไปขัดใจเมียเข้าเหรอ? นี่น้อง คุณต้องจำกฎไว้สามข้อ ผมพูดจากประสบการณ์ตรง เพราะเคยเจ็บมาเยอะ!

ข้อแรก สิ่งมีชีวิตที่สวยและเซ็กซี่ที่สุดในโลกนี้ ก็คือ “เมีย”!

ข้อสอง สิ่งมีชีวิตที่ไม่ควรขัดใจมากที่สุดในโลกนี้ ก็ยังเป็น “เมีย!

ข้อสามนี่สำคัญมาก ต้องจำให้ขึ้นใจ——ต้องแต๊ะอั๋งเมีย อย่าให้ขาด!”

สำหรับทฤษฎีของเพื่อนในเน็ตคนนี้ เสิ่นซิวจิ่นก็คิดว่ามันสมเหตุสมผลอยู่ ผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกก็คือเสี่ยวถงของเขา ข้อนี้ไม่ผิด

คนที่ไม่ควรขัดใจมากที่สุดก็คือเสี่ยวถงของเขา ข้อนี้ก็ไม่ผิดเหมือนกัน ดูจากสภาพของเขาในตอนนี้แล้ว มันน่าสมเพชกว่าตอนที่เขาขัดใจท่านแก่เสิ่นเสียอีก

ส่วนข้อสุดท้าย ต้องแต๊ะอั๋งเมียไม่ให้ขาด ข้อนี้ยิ่งพูดก็ยิ่งถูก! โดนใจเขาสุดๆ

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ มือที่โอบไหล่ของเจี่ยนถงก็ยิ่งกระชับแน่นกว่าเดิม ระยะห่างระหว่างทั้งสอง ก็ยิ่งใกล้กันอย่างเนียนๆ

“คุณ คุณนายเสิ่น” หญิงหน้าตาดีตัวสั่นราวกับหวาดกลัว นัยน์ตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาแห่งความน้อยใจ จดจ้องมาที่เจี่ยนถงและคนข้างๆเจี่ยนถง…..อย่างเสิ่นซิวจิ่น

“คุณนายเสิ่น ฉันชื่อติงหน่วน เสี่ยวโอวนามสกุลเดียวกับพ่อของคุณ ชื่อว่าเจี่ยวสือโอว ฉันรู้ว่าการที่ฉันบุกเข้ามาอย่างนี้มันไม่มีมารยาท แต่ฉันเองก็ถูกบีบจนไร้ทางเลือกแล้ว ได้โปรด ช่วยเราสองแม่ลูกเถอะนะ ไม่อย่างนั้นเราสองคนแม่ลูกคงไม่เหลือทางรอดแน่ๆ”

“คุณหญิงเจี่ยนทำเกินไป ฉันรู้ว่าเธอเกลียดฉัน แต่ว่าเด็กคนนี้ไม่รู้เรื่องด้วย ต่อให้เธอจะเกลียดฉันแค่ไหน ก็ไม่ควรไปก่อกวนที่โรงเรียนของเสี่ยวโอว เสี่ยวโอวยังเด็ก ถ้าคุณหญิงเจี่ยนตามไปก่อกวนถึงโรงเรียนแบบนี้ เสี่ยวโอวจะไปโรงเรียนได้ยังไง เสี่ยวถง…..คุณนายเสิ่น ฉันรู้ว่าฉันทำผิดต่อคุณหญิงเจี่ยน แต่ว่าเสี่ยวโอวเป็นแค่เด็ก เขาเพิ่งสิบขวบ ตั้งแต่ที่เขาเกิดมา จนกระทั่งตอนที่คุณหญิงเจี่ยนตามไปก่อกวนความวุ่นวายที่โรงเรียน เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาเป็น เป็น……..”

“เป็นอะไรคะ?” เจี่ยนถงฟังถ้อยคำกล่าวโทษคุณหญิงเจี่ยนจากติงหน่วนเงียบๆ เธอแค่ฟังเงียบๆ ไม่ได้พูดขัด จนกระทั่งเห็นว่าติงหน่วนไม่พูดคำต่อไปออกมาสักที เธอถึงได้มองมาที่ผู้หญิงที่น่าสงสารตรงหน้าอย่างเย็นชา เอ่ยถามเสียงเรียบ“ว่าไง เป็นอะไรคะ?”

ลูกนอกสมรส!

ทำไมไม่พูดออกมาล่ะ? ทนพูดออกมาไม่ได้?

อยากจะขำเสียจริง

“ทำไมไม่พูดล่ะคะ?” เธอถามเสียงนิ่ง

กรอบตาของติงหน่วนแดงก่ำ มองมาที่เจี่ยนถงด้วยใบหน้าอัปยศอดสูพร้อมกัดฟันพูดว่า “เด็กก็อยู่ด้วย! คุณนายเสิ่นยังจะบังคับให้พูดอีกเหรอ! อยากให้ฉันพูดแบบนั้นออกมาต่อหน้าลูกหรือไง!”

พูดซะเหมือนเธอกำลังกลั่นแกล้งติงหน่วนเลยนะ……คราวนี้เจี่ยนถงหัวเราะออกมาเบาๆ

“แม่!แม่ไม่ต้องขอร้องผู้หญิงสารเลวคนนี้แล้ว!” เด็กชายอายุสิบขวบข้างๆจับติงหน่วนเอาไว้ “ไม่ต้องคุกเข่าให้เธอ ลุกขึ้นมาได้แล้ว! เรากลับบ้านกันเถอะ! ไม่ต้องขอร้องเธอแล้ว! ไม่มีอะไรต้องกลัวสักหน่อย!”

ติงหน่วนกระชากลูกชาย “แต่แกจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเอานะ!”

“หัวเราะก็หัวเราะสิ ผมไม่กลัวสักหน่อย ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่เลย”

ติงหน่วนกอดเด็กคนนั้น แล้วร้องไห้อย่างเจ็บปวด

เจี่ยนถงมองสองแม่ลูกตรงหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แต่ในดวงตากลับเผยแววเหนื่อยล้าเล็กน้อย หลังจากที่เธอกลับมาจากเอ๋อร์ไห่ ก็ยุ่งจนแทบจะไม่ได้อยู่นิ่งๆเพราะต้องจัดการความยุ่งเหยิงของเจี่ยนซื่อกรุ๊ป และต้องรักษาความมั่นคงทั้งจากภายนอกและภายใน

เธอต้องดึงพนักงานจากกองทุนดวงหัวใจเข้ามาทำงานที่เจี่ยนซื่อกรุ๊ปตั้งเจ็ดส่วน

ถึงจะอย่างนั้น เจี่ยนซื่อกรุ๊ปในสายตาคนนอก กลับเป็นบริษัทที่มีรูรั่วขนาดใหญ่

เพื่ออุดรอยรั่วนี้ เธอจึงยุ่งมากจนเหนื่อยทั้งกายและใจ

บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปก็ยังยืนยันที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ แต่อย่าหาว่าเธอเล่นตัวเลย เธอไม่อยากติดค้างผู้ชายคนนี้อีกแล้ว

“เก็บน้ำตาคุณเอาไว้เถอะ” เจี่ยนถงปรายตามอง พูดอย่างเย็นชาว่า “มีเรื่องอะไรก็พูดมา” ไม่จำเป็นต้องมาแสดงความรักของแม่ลูกต่อหน้าเธอ

“คุณนายเสิ่น ฉันขอร้องล่ะ คุณช่วยฉันเถอะนะ……”

“ถ้ายังจะพูดอะไรไร้สาระแบบนี้อีก เชิญคุณกลับไปเถอะค่ะ” เธอยังมีเรื่องต้องจัดการอีกเยอะ “คุณมีเรื่องอะไรกันแน่ พูดมาตรงๆเถอะ”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแววตารำคาญของเธอ หรือเป็นเพราะน้ำเสียงเยือกเย็น หัวใจของติงหน่วนจึงกระตุกวูบ ไม่กล้าอ้อมค้อมอีกต่อไป ดึงเจี่ยวสือโอวมานั่งตรงหน้าเจี่ยนถง รีบพูดอย่างร้อนรนว่า

“คุณนายเสิ่น ฉันไม่ได้มีเจตนาอื่น ทุกอย่างก็เพียงเพื่อเด็กที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ฉันหวังว่าคุณจะพาเสี่ยวโอวกลับไปที่ตระกูลเจี่ยน ให้ตระกูลเจี่ยนรับเขาเข้าตระกูล”

เจี่ยนถงเตรียมใจเอาไว้แล้ว ว่าติงหน่วนคนนี้อาจจะยื่นข้อเสนอโลภมาก หรือไม่ก็ให้เธอไปบอกคุณหญิงเจี่ยนให้หยุด แต่อย่างเดียวที่เธอคิดไม่ถึง ก็คือการที่ติงหน่วนวางแผนมาอย่างนี้!

เธอไม่พูดอะไร ติงหน่วนกลับร้อนรน เอ่ยย้ำกับเจี่ยนถงอย่างรีบร้อนว่า “ฉันไม่ต้องการอะไร จริงๆนะ ฉันหวังแค่ว่าเสี่ยวโอวจะได้ปรากฏตัวต่อหน้าคนอื่นอย่างถูกทำนองคลองธรรม ฉันไม่ได้ต้องการเงินของตระกูลเจี่ยนสักนิด ขอแค่ เสี่ยวโอวได้เข้าตระกูล มันสำคัญกว่าสิ่งไหนๆแล้ว”

“คุณนายเสิ่น ถือซะว่าโปรดสัตว์คนเป็นแม่ที่เห็นแก่ตัวอย่างฉันเถอะนะ”

เมื่อเจี่ยนถงได้ยินติงหน่วนพูดออกมาอย่างจริงใจ ชั่วขณะนั้น เธอก็หมดคำพูดจะโต้แย้ง

แม้แต่เสิ่นซิวจิ่นเองก็ยังแปลกใจ

หลังจากที่เขาได้ฟังคำขอร้องของติงหน่วน เขาก็จ้องมองอีกฝ่ายอยู่นาน

จากนั้นก็ก้มมองใบหน้าไร้ความรู้สึกของหญิงสาวในอ้อมกอด แค่นี้ เขาก็รู้แล้วว่า เธอเองก็กำลังคิดเหมือนกัน

ตอนนี้เจี่ยนซื่อกรุ๊ปอยู่ในมือของเสี่ยวถง ส่วนเจี่ยนเจิ้นตงก็เกษียณอายุการทำงานแล้ว ถ้าให้ เจี่ยวสือโอวเข้ามาในตระกูล มันจะไม่ได้มีแค่ปัญหาเดียวแน่ ถ้าเกิดตระกูลเจี่ยนยอมรับตัวตนของเจี่ยวสือโอว ขึ้นมา แบบนั้น การเข้ามาบริหารเจี่ยนซื่อกรุ๊ป ก็จะเป็นไปอย่างถูกหลักทำนองคลองธรรม

แล้วยิ่งฐานะอย่างตระกูลเจี่ยน ก็ยิ่งหาคอนเนคชั่นในวงการนี้ได้ง่าย ถึงคนอื่นจะไม่เห็นแก่เจี่ยวสือโอว ก็ต้องเห็นแก่ตระกูลเจี่ยนบ้างล่ะ แล้วเสี่ยวถงก็ยังเป็นถึงภรรยาของเสิ่นซิวจิ่นอีก ในอนาคตเจี่ยวสือโอวคงได้ประโยชน์จากสถานะนี้มากมายแน่ๆ

และแน่นอน ว่าตราบใดที่มีสถานะเป็นลูกหลานของตระกูลเจี่ยนอย่างถูกกฎหมาย ในอนาคตถ้ามีการแบ่งมรดกเจี่ยวสือโอวก็จะได้รับไปไม่ส่วนใดก็ส่วนหนึ่งอย่างแน่นอน

ถ้าหากเด็กคนนี้มักใหญ่ใฝ่สูง มีความคิดอยากจะครอบครองเจี่ยนซื่อกรุ๊ป ต่อให้เด็กคนนี้จะใช้วิธีตุกติกเพื่อแย่งชิงมา ก็ยังมีคำว่าลูกหลานตระกูลเจี่ยนคุ้มกะลาหัวเอาไว้อยู่ดี

เขาหันไปมองติงหน่วนอย่างพินิจอีกครั้ง ผู้หญิงคนนี้ ไม่ได้ไร้พิษสงเหมือนรูปลักษณ์ภายนอก แต่ความคิดกลับลุ่มลึกมาก

เมื่อติงหน่วนเห็นสีหน้าไร้ความรู้สึกของเจี่ยนถง ก็เริ่มหวั่นใจ เธอก้มหน้าลงอย่างทำอะไรไม่ถูก เอ่ยพูดติดๆขัดๆว่า “คุณนายเสิ่น เราสองคนแม่ลูกไม่ได้ต้องการทุกสิ่งทุกอย่างของตระกูลเจี่ยน แม้ว่าฉันจะทำผิด แต่ได้โปรดให้อภัยฉันเถอะ ฉันเองก็เป็นแม่คนหนึ่ง ฉันก็แค่อยากให้ลูกได้ยืนต่อหน้าผู้คนด้วยสถานะที่ถูกต้องตามกฎหมาย อยากให้เขาได้ลองใช้ชีวิตที่ไม่ต้องถูกคนอื่นด่าทอว่าเป็นลูกนอกสมรส ได้โปรด…….ตอบรับคำขอร้องของฉันเถอะนะ!”

ขณะที่เจี่ยนถงมองติงหน่วน ความคิดกลับล่องลอยไปไกล

เธอคิดถึงหลายสิ่งหลายอย่าง

คิดถึงอดีต คิดถึงตอนเด็ก และยังคิดถึงเซี่ยเวยเหมิงที่ไม่ได้คิดถึงนานแล้ว

เธอคิดถึงคำสอนของคุณปู่ในตอนที่เธอยังเด็ก ไม่ว่าคุณปู่จะดีกับเธอแค่ไหน แต่เมื่อเธอเริ่มดีใจจนลืมตัว คุณปู่ก็มักจะกล่าวเตือนเธออย่างจริงจังเหมือนมีน้ำเย็นๆที่สาดเข้าใส่ “แกมีพี่ชาย ตระกูลเจี่ยนมีผู้ชายแค่คนเดียว”

ตอนแรกเธอไม่เข้าใจ ต่อมาเมื่อได้เรียนรู้เยอะ ดูเยอะ ฟังเยอะ เธอก็เข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้ว ก็ไม่กล้าดีใจจนลืมตัวอีก ต่อมา เธอก็แทบจะไม่เอ่ยถึงเจี่ยนซื่อกรุ๊ปอีกเลย

ตอนที่คุณปู่พาเธอไปงานเลี้ยงของราชินีประเทศหนึ่ง เธอก็เข้าใจในทันที ว่าคุณปู่อยากให้เธอโดดเด่นเจิดจรัสทุกที่ทุกเวลา เหมือนราชินีประเทศนั้น แต่ความสง่าและความงดงามของราชินีผู้นั้น ความจริงล้วนแล้วแต่อยู่ใต้เงื่อนไขทางการเมืองที่ไม่อาจแตะต้องได้

คุณปู่มอบกองทุนดวงหัวใจที่แทบจะเป็นสมบัติครึ่งหนึ่งของคุณปู่ให้กับเธอ ตอนนั้น เธอเลยได้รู้ว่า ยังไงเจี่ยนซื่อกรุ๊ปก็ต้องตกเป็นของพี่ชายเธออย่างเจี่ยนโม่ป๋าย

จู่ๆเธอก็อยากร้องไห้ ในใจรู้สึกวูบโหวงจนเจ็บปวด แต่เธอไม่กล้าร้อง เพราะถ้าเมื่อใดร้องออกมา เธอก็จะโกหกตัวเองต่อไปไม่ได้แล้ว

ถ้าเธอร้อง เธอก็ต้องยอมรับ——ว่าหลายสิบปีที่ผ่านมาเจี่ยนถงคนนี้ไม่เคยถูกรักเลย แม้แต่สักคนเดียวก็ไม่มี

ริมฝีปากซีดเซียวของเจี่ยนถง ฉีกยิ้มออกมาช้าๆ——ยังมีคุณปู่ที่รักเธอ ใช่ ใช่แล้ว

“คุณอยากให้ลูกชายของคุณเข้าตระกูล?” เธอหัวเราะเบาๆ สายตาที่มองมายังติงหน่วน ดูแปลกๆอย่างอธิบายไม่ถูก ไม่รู้ทำไมเมื่อได้สบตากับดวงตาคู่นั้น ติงหน่วนถึงได้ตัวสั่นระริก แต่ตอนนี้เธอไม่สนสิ่งใด รีบพยักหน้าแล้วพูดว่า “ฉัน ฉันหวังว่าเสี่ยวโอวจะได้กลับเข้าตระกูลเจี่ยน มีแค่ทางนี้ เสี่ยวโอวถึงจะสามารถยืนต่อหน้าผู้คนได้อย่างเปิดเผย”

“คุณรู้ไหม………..” นัยน์ตาของเจี่ยนถงเรียบนิ่ง สายตาที่จดจ้องมาที่ติงหน่วนดูแปลกๆชอบกล จากนั้นเธอก็พูดออกมาอย่างช้าๆ “ถ้าหากคุณปู่ยังอยู่ คุณจะมีจุดจบยังไง?”

“จุด…..จุดจบอะไร?”

ติงหน่วนอกสั่นขวัญแขวน โดยเฉพาะสีหน้าของเจี่ยนถง มันแปลกจนทำให้เธอหวาดกลัว

“ถ้าหากคุณปู่ยังอยู่” เจี่ยนถงเอ่ยพูดอย่างราบเรียบ “คุณก็คงถูกฆ่าตายไปแล้ว”

เมื่อเธอเห็นดวงตาของติงหน่วนฉายแววสงสัย ก็มองมาที่ติงหน่วนนิ่งๆ “ไม่ต้องสงสัย เป็นอย่างที่คุณเข้าใจนั่นแหละ ไม่ว่าจะภัยธรรมชาติหรือฝีมือมนุษย์ ทุกอย่างที่คุณนึกถึง หรืออาจจะรวมไปถึงสิ่งที่คุณนึกไม่ถึง เช่นรถคว่ำ ตกตึก จมน้ำ ป่วยตาย ไฟไหม้ ลักพาตัว…….”

“กรี๊ด!” เจี่ยนถงพูดยังไม่จบ ติงหน่วนก็กรีดร้องเสียงแหลมออกมา ด้วยใบหน้าไร้สีเลือด “หยุดพูดได้แล้ว!” เธอมองมาที่เจี่ยนถงอย่างหวาดกลัว โลกนี้ ทำไมถึงได้มีคนน่ากลัวขนาดนี้กันนะ!

คนคนนี้สามารถพูดเรื่องพรรค์นี้อย่างหน้าตาเฉยได้ยังไง

นี่มันเรื่อง “ฆ่าแกง” กันเลยนะ!

จริงอย่างที่คิด เจี่ยนถงไม่ใช่คนธรรมดา เธอเป็นฆาตกร!

รู้มาตลอดว่าลูกสาวของเจี่ยนเจิ้นตงเคยติดคุก ส่วนเหตุผลที่ติดคุก เมื่อก่อนยังเคยหัวเราะขำๆกับเพื่อน ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ ตอนนั้นเจี่ยนถงก็แค่ตัวตลกให้พวกเธอล้อเลียนก็เท่านั้น

แต่ว่าวันนี้เธอกำลังเผชิญหน้ากับฆาตกรจริงๆ!

อดรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดขึ้นมาไม่ได้ เธอรีบมาที่นี่เกินไปหน่อย

เธอลอบมองใบหน้าไร้ความรู้สึกของเจี่ยนถงอย่างระมัดระวัง ฆาตกรคนนี้พูดเรื่อง “ฆ่าคน” ได้อย่างหน้าตาเฉย ติงหน่วนล่ะกลัวจริงๆว่าเธอจะทำอย่างที่พูด

แต่เมื่อหางตาเหลือบมองลูกชายที่อยู่ข้างๆ เธอก็ข่มความกลัวในใจเอาไว้ “ฉัน ฉันจะเป็นยังไงก็ช่าง ขอแค่เสี่ยวโอวได้กลับเข้าตระกูลเจี่ยน ขอแค่ตระกูลเจี่ยนให้สถานะกับเขา”

เจี่ยนเจิ้นตงยังพอจะมีเงินอยู่บ้างก็จริง แต่เธอติดตามเจี่ยนเจิ้นตงมาสิบกว่าปีแล้ว ตั้งแต่อายุยี่สิบจนถึงตอนนี้ เจี่ยนเจิ้นตงไม่เคยทำไม่ดีกับเธอเลย เมื่อเทียบกับเมียหลวงอย่างคุณหญิงเจี่ยนแล้ว เธอได้อะไรจากเจี่ยนเจิ้นตงมากกว่าด้วยซ้ำ ขาดก็แต่สถานะก็เท่านั้น

แน่นอน ว่าหลายสิบปีที่ผ่านมา เธอเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ว่าในแวดวงสังคมคนระดับสูง เงินไม่ได้สำคัญที่สุด

เจี่ยนเจิ้นตง จึงเปรียบเสมือนคนจนเพราะเหลือแค่เงิน

อีกอย่างเงินเหล่านั้น ก็ไม่ได้มากมายเท่าไหร่ด้วย

ทรัพย์สินที่มีอยู่น้อยนิดในมือของเจี่ยนเจิ้นตง จะไปเทียบกับบริษัทใหญ่ๆอย่างเจี่ยนซื่อกรุ๊ปได้ยังไง

ต้องกลับเข้าตระกูลเจี่ยนเท่านั้น เสี่ยวโอวถึงจะมีหวัง

“อ่อ…..ถ้างั้นคุณไม่ควรมาหาฉันนะคะ คุณควรไปหาคุณหญิงเจี่ยน ต้องให้เธอยอมรับลูกของคุณถึงจะถูกต้อง คุณติง นามสกุลบนบัตรประชาชนของฉันน่ะ คือเสิ่นค่ะ ไม่ใช่เจี่ยน” เอ่ยพูดอย่างเรียบนิ่งจบ เธอก็ปฏิเสธอย่างเนียนๆ

ติงหน่วนไม่ยอม รีบร้อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง เจี่ยนถงจึงกวาดตามองเบาๆ แล้วพูดขัดเธอว่า

“แต่ถ้าย้อนกลับมาว่ากันอีกที” เธอมองไปยังเจี่ยวสือโอว

“ตอนนี้เจี่ยนโม่ป๋ายกำลังป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว จำเป็นต้องปลูกถ่ายไขกระดูก ในเมื่อลูกชายของคุณคือลูกแท้ๆของเจี่ยนเจิ้นตง แบบนั้นก็แสดงว่ามีสายเลือดเดียวกันกับเจี่ยนโม่ป๋ายน่ะสิ คุณไม่ลองไปหาคุณหญิงเจี่ยนดูล่ะ ให้คุณหญิงเจี่ยนพาไปตรวจที่โรงพยาบาล ถ้าหากอวัยวะจับคู่กันได้ล่ะก็ บางทีคุณหญิงเจี่ยนอาจจะยอมตอบตกลงคำขอของคุณก็ได้นะ”

เธอเอ่ยถ้อยคำแทงใจดำออกมาอย่างไม่ยี่หระ ติงหน่วนที่มีท่าทีอ้อนวอนในตอนแรก พลันนิ่งอึ้ง ในหูได้ยินเสียงดังสนั่น มือที่จับเจี่ยวสือโอวเอาไว้ สั่นเทาอย่างไม่อาจห้ามได้

เธอคิดมาหลายพันหลายหมื่นตลบ แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่า เจี่ยนถงคนนี้ จะถึงกับกล้าเล่นไม่ซื่อกับเด็กอย่างเสี่ยวโอว!

“จะทำอย่างนั้นได้ยังไง เสี่ยวโอวเพิ่งจะสิบขวบเองนะ ให้เด็กตัวแค่นี้บริจาคไขกระดูก ร่างกายก็พังกันพอดีน่ะสิ!” ติงหน่วนเอ่ยปฏิเสธอย่างทันควัน “คุณนายเสิ่น คุณเองก็อวัยวะเข้ากันได้กับพี่ชายของคุณไม่ใช่เหรอ?”

ดวงตาของเสิ่นซิวจิ่นเป็นประกายวาวโรจน์ เขากวาดสายตามองติงหน่วนเหมือนคมมีด “คำนี้ ใครเป็นคนบอกคุณ?” เขาไม่เชื่อว่าประโยคที่พูดออกมาอย่างไม่คิดของติงหน่วน ไม่ได้เป็นแค่ความคิดของเธอเอง ขนตายาวหลุบลง นัยน์ตาทอแววลุ่มลึก ผ่านไปสามวินาที เขาก็จดจ้องมาที่ติงหน่วนพร้อมกับเอ่ยคำพูดดุดัน

“ฝากกลับไปบอกเจี่ยนเจิ้นตงด้วยนะ ถ้าเขาเล่นไม่ซื่อกับภรรยาของผม ผมจะควักไตทั้งสองข้างของเขาออกมาโยนให้ปลาในทะเลกิน!”

กล้าคิดที่จะยุ่งกับเสี่ยวถงงั้นเหรอ

เสิ่นซิวจิ่นหรี่ตาลง สายตาเยือกเย็นทอดมองร่างกายผอมแห้งของเจี่ยวสือโอว

ติงหน่วนใจกระตุกวูบ รีบดันลูกชายมาหลบหลัง เธอก้มหน้าลงครุ่นคิด แล้วพูดออกมาว่า

“ไม่กล้าหรอกค่ะ เจิ้นตงไม่กล้าทำอย่างนั้นแน่” เธอกัดฟันพูด ราวกับเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก ติงหน่วนมองมาที่เจี่ยนถงอย่างลำบากใจแล้วพูดว่า “คุณนายเสิ่น ไม่อย่างนั้นฉันจะพาเสี่ยวโอวไปตรวจร่างกายดูก่อน ถ้าหากเสี่ยวโอวอวัยวะเข้ากันได้กับพี่ชายของคุณ แล้วมันจะทำให้คุณหญิงเจี่ยนยอมรับเสี่ยวโอว เข้าตระกูล ฉันก็จะเป็นคนเซ็นใบรับรองบริจาคไขกระดูกให้เอง แต่ว่าคุณนายเสิ่นต้องตอบตกลงมาก่อน ถ้าถึงตอนนั้นไม่ว่าผลประเมินร่างกายจะออกมายังไง เสี่ยวโอวต้องได้กลับเข้าตระกูล…….”

เจี่ยนถงแค่นยิ้ม “ในเมื่อคุณมีใจจะช่วยเจี่ยนโม่ป๋าย ฉันก็จะช่วยพูดกับคุณหญิงเจี่ยนให้แน่นอน”

ดวงตาของติงหน่วนเป็นประกายขึ้นมาทันที ตะโกนร้องออกมาอย่างดีใจว่า “คุณนายเสิ่น คุณห้ามกลับคำนะ!”

เจี่ยนถงเพียงแค่ยิ้มออกมา สายตามองตามสองแม่ลูกเดินกลับไปอย่างมีความสุข

เมื่อติงหน่วนพาลูกออกมาจากตระกูลเสิ่น

“แม่ ผมไม่ได้อยากบริจาคไขกระดูกสักหน่อย”

เจี่ยวสือโอวแสดงสีหน้าไม่พอใจ

“ใครเขาจะให้แกบริจาค?” ติงหน่วนตีหน้าทะมึน “ก็แค่ทำทีเป็นสมัครใจเท่านั้นเอง คิดจะให้เสี่ยวโอวบริจาคร่างกายให้ลูกชายนังแก่หน้าเหี่ยวนั่นน่ะเหรอ ฝันไปเถอะ”

“แต่ว่า……..”

“แต่ว่าอะไร ก็แค่ให้พ่อแกหาคนมาปลอมแปลงเอกสารให้ก็ได้เรื่องแล้ว พ่อแกไม่มีทางยอมให้แกโดนกระทำหรอก ไม่งั้นคงไม่ปล่อยให้นังแก่หน้าเหี่ยวนั่นตามไปตอแยเจี่ยนถงถึงที่ไกลๆอย่างเอ๋อร์ไห่หรอก”

“เจี่ยนเจิ้นตงพูดเองนี่ว่าลูกสาวของเขาดุร้ายกับคนนอก แต่ความจริงแล้วใจอ่อนกับคนในครอบครัว คุณหญิงเจี่ยนตามไปขอร้องเธออย่างทุกข์ทน ต่อให้เธอจะโกรธแค้นตระกูลเจี่ยนมากแค่ไหน ก็ไม่มีทางปล่อยทิ้งนังแก่หน้าเหี่ยวกับพี่ชายตัวเองหรอก แกก็เห็น ว่าเธอกลับมาที่เมืองSแล้วไม่ใช่หรือไง?”

ติงหน่วนกลับมาถึงบ้าน

ก็พบว่าเจี่ยนเจิ้นตงกำลังอ่านหนังสือพิมพ์

“ฉันไปตระกูลเสิ่นมา” เรื่องที่ติงหน่วนไปที่ตระกูลเสิ่น ตอนแรกเธอว่าจะปิดเจี่ยนเจิ้นตง แต่ว่าตอนนี้ต้องให้เจี่ยนเจิ้นตงช่วยปลอมแปลงเอกสารรับรองตรวจร่างกาย ติงหน่วนครุ่นคิดอยู่นานว่าควรเริ่มพูดยังไงดี สุดท้ายก็เลือกพูดความจริงออกไป

มือที่กำลังจะพลิกเปิดหนังสือพิมพ์ของเจี่ยนเจิ้นตงหยุดชะงักอยู่เพียงครู่ จากนั้นก็กลับมาพลิกเปิดใหม่อีกครั้ง “อ่อ ไปตระกูลเสิ่นทำไมล่ะ?”

ติงหน่วนเปลี่ยนมาใส่ชุดอยู่บ้าน ในความเซ็กซี่ยังคงมีความสดใสแบบผู้หญิง ใบหน้ามีแต่ความน้อยใจ “ฉันไปขอร้องลูกสาวคุณ ให้พาเสี่ยวโอวเข้าตระกูล”

ใบหน้าของเจี่ยนเจิ้นตงพลันมืดมัว แต่น้ำเสียงกลับนุ่มนวล “ทำไมล่ะ? ตอนนี้รังเกียจตาแก่อย่างฉันคนนี้แล้วเหรอ?”

ติงหน่วนรู้จักชายแก่คนนี้ดี ยิ่งแก่ยิ่งแปลก โดยเฉพาะเรื่องอย่างว่าของผู้ชาย ตอนที่ทำนับวันก็เริ่มโรคจิตขึ้นเรื่อยๆ

เธอคิดว่า ในเมื่อเธอต้องรองรับถึงขนาดนี้แล้ว ยังไงก็ต้องให้ลูกชายของเธอเข้าตระกูลเจี่ยนอย่างถูกต้องให้ได้ ไม่อย่างนั้นเธอจะอ่อยตาแก่นี่ให้เสียเวลาทำไมกัน

ถึงจะไม่พอใจ แต่กลับเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างหลังเจี่ยนเจิ้นตงอย่างออดอ้อน พร้อมกับนวดไหล่ให้เขา เพียงแต่ถ้อยคำที่พูดออกมา กลับดูน้อยอกน้อยใจ จนทำให้คนฟังรู้สึกสงสารขึ้นมาไม่ไหว “ตัวฉันไม่ได้ต้องการอะไรเลย คุณเองก็รู้ แค่ที่คุณหญิงเจี่ยนตามไปสร้างความวุ่นวายที่โรงเรียนของเสี่ยวโอว เสี่ยวโอวก็แทบจะมองหน้าเพื่อนๆไม่ติดแล้ว ฉันไม่ต้องการอะไรจากตระกูลเจี่ยน ขอแค่เสี่ยวโอวได้เข้าตระกูลก็พอ วันข้างหน้าเขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างเปิดเผยสักที”

ติงหน่วนพูดออกมาด้วยท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจ พร้อมกับแอบลอบมองเจี่ยนเจิ้นตง ตาแก่นี้เริ่มใจอ่อนอย่างที่คิดเอาไว้ เมื่อเห็นว่าได้โอกาส ติงหน่วนก็ออกเล่ห์เหลี่ยม ใช้สองแขนโอบลำคอของเจี่ยนเจิ้นตงจากข้างหลัง อิงแอบแนบซบอยู่บนไหล่ของเจี่ยนเจิ้นตงอย่างแผ่วเบาราวผีเสื้อเกาะ “อปป้า~”

เจี่ยนเจิ้นตงที่ยิ่งแก่ยิ่งมีอารมณ์ง่าย ชอบที่สุดก็คือคำนี้

เมื่อติงหน่วนเห็นสีหน้าเคลิ้มๆของเขา ก็เผยรอยยิ้มออกมา ดวงตาเผยแววรังเกียจ……..ไอ้แก่นี่ โรคจิตชะมัด!

ติงหน่วนรู้จักเจี่ยนเจิ้นตงเป็นอย่างดี เธอก็คือหนอนบ่อนไส้ในท้องของเจี่ยนเจิ้นตงดีๆนี่เอง

เสียงงอแงของเธอ ทำให้เจี่ยนเจิ้นตงรู้สึกพึงพอใจ

“อปป้า~” ติงหน่วนทำหน้าตัดพ้อ นำคำพูดของเจี่ยนถงมาใส่สีตีไข่แล้วเล่าให้เจี่ยนเจิ้นตงฟัง พร้อมกับเช็ดน้ำตาป้อยๆ

“อปป้า~คุณเองก็รู้ เสี่ยวโอวเขาเพิ่งจะไม่กี่ขวบเองนะ ยังไม่ถึงวัยเจริญพันธุ์เลย แต่ลูกสาวของคุณกลับบอกว่า ให้เสี่ยวโอวบริจาคไขกระดูก ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากช่วยโม่ป๋าย แต่ว่าเสี่ยวโอวเพิ่งจะสิบขวบเองนะ เรื่องบริจาคอวัยวะในร่างกาย ถ้าเสี่ยวโอวโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ต้องรอให้คุณอื่นมาบอกหรอก ฉันนี่แหละจะเป็นคนพาเสี่ยวโอวไปที่โรงพยาบาลเอง แต่ว่าเสี่ยวโอวยังไม่โตเต็มไว ถ้าเกิดบริจาคไป จะส่งผลกระทบอะไรต่อเสี่ยวโอวบ้างก็ไม่รู้”

เธอพ่นคำพูดออกมาเป็นกอง แต่ไม่ยอมพูดคำว่า “ไม่บริจาค” ออกมาตรงๆ นี่คือความฉลาดของเธอ เพราะคำนี้เธอจะพูดออกมาตรงๆไม่ได้ ต้อง——

“เพ้อเจ้อ!” เจี่ยนเจิ้นตงปาหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง “ปัง” “เสี่ยวถงนังลูกเนรคุณ คิดจะเล่นไม่ซื่อกับเสี่ยวโอวเหรอ! เด็กอายุแค่สิบขวบ จะไปบริจาคไขกระดูกได้ยังไง? บริจาคไม่ได้! ไม่ได้เลยเด็ดขาด!”

ติงหน่วนยืนปาดน้ำตาอยู่ข้างๆ “แต่ว่าฉันรับปากลูกสาวคุณไปแล้ว ว่าจะพาเสี่ยวโอวไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ถ้าเกิดอวัยวะจับคู่กันได้ ฉันก็จะเซ็นใบรับรองให้”

เธอพูดพร้อมกับอิงแอบในอ้อมกอดของเจี่ยนเจิ้นตง “อปป้า~ฉันพูดออกไปแบบนั้น ต่อมาฉันก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง อปป้า~ทำยังไงดี ถ้าเกิดอวัยวะจับคู่กัน——“

เธอพูดยังไม่ทันจบ ฝ่ามือของเธอที่วางแนบอยู่บนหน้าอกของเจี่ยนเจิ้นตง ก็ถูกเจี่ยนเจิ้นตงกุมเอาไว้ “จับคู่ได้ก็จับไปสิ ยังไงก็ไม่มีทางสำเร็จอยู่ดี”

“คะ?” ติงหน่วนลิงโลด ทั้งๆที่เข้าใจ แต่กลับตีมึน

“ฉันบอกว่าจับคู่กันไม่ได้ ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างแน่นอน”

เจี่ยนเจิ้นตงเอ่ยพูดด้วยใบหน้ามั่นใจ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าเจ้าชู้ “แค่เรื่องเล็กๆน่า ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ——“

เมื่อเขาพูดประโยคนี้ ทันใดนั้นติงหน่วนก็ส่งเสียง “อ๊ะ” ออกมา เมื่อถูกเจี่ยนเจิ้นตงอุ้มขึ้นมา เธอก็สะดุ้งวูบอยู่ในอ้อมแขนของเจี่ยนเจิ้นตง บนใบหน้ารูปไข่พราวแสง ดูน่ารังแก ส่งเสียงออเซาะออกมาว่า

“อปป้า~นิสัยไม่ดีเลยน๊า~”

ภายในห้องนอนใหญ่

ติงหน่วนต้องรองรับทุกอย่าง ก้มหน้าส่งเสียงออดอ้อน แต่ดวงตากลับอึมครึมไปทั้งแถบ ไอ้แก่โรคจิต

ที่เธอทนรองรับเรื่องพวกนี้ มันต้องไม่สูญเปล่า

เสี่ยวโอวต้องได้เข้าตระกูลเจี่ยน

ในใจของเธอรู้ดี ที่เมื่อก่อนไม่ได้พูดถึงเรื่องเข้าตระกูล ก็เพราะว่าเจี่ยนซื่อกรุ๊ปยังเป็นของเจี่ยนเจิ้นตง ยังไม่ถึงเวลาเธอจึงยังไม่พูดถึง ตอนแรกว่าจะรอให้เสี่ยวโอวอายุสิบแปดก่อน ค่อยให้เสี่ยวโอวเข้าตระกูลเจี่ยน พอถึงตอนนั้นแค่พูดโน้มน้าวตาแก่โรคจิตนี้ เขารักเสี่ยวโอวซะขนาดนั้น ไม่ช้าก็เร็วเจี่ยนซื่อกรุ๊ปต้องเป็นของเสี่ยวโอวแน่นอน

แต่ว่าตอนนี้ เจี่ยนเจิ้นตงไม่ได้เป็นเจ้าของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปแล้ว ในมือเหลือแค่อสังหาริมทรัพย์และเงินเก็บ แล้วก็อุตสาหกรรมเล็กๆ

แต่ว่าสิ่งเหล่านี้มันจะไปเทียบกับเจี่ยนซื่อกรุ๊ปได้ยังไง?

ไอ้แก่โรคจิตที่อยู่ข้างหลังเริ่มกำหนัด เขาหายใจหอบแรงอย่างหยาบโลน เมื่อไหร่ที่เขามีอารมณ์ ก็จะทรมานเธอเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่า เจี่ยนเจิ้นตงก็คือไอ้แก่โรคจิตดีๆนี่เอง!

เธอหลับตาลง แต่ภาพที่ปรากฏขึ้นมาในหัวกลับเป็นใบหน้าเย็นชาของผู้ชายคนนั้น

ไอ้แก่ที่อยู่ข้างหลังกระทำเธออย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เธอกลับไม่มีอารมณ์ร่วมเลยสักนิด เสียงเข็มขัดดังกระทบเนื้อ เมื่อคนข้างหลังฟาดมันลงมา เพื่อให้ติงหน่วนส่งเสียงร้องออกมา เขาบอกว่าแบบนี้ค่อยเร้าใจ

โรคจิต วิปลาส!

ติงหน่วนไม่รู้ว่าด่าสาปไอ้แก่โรคจิตในใจไปกี่ครั้งแล้ว

เมื่อก่อนเธอต้องฝืนทำเป็นมีความสุขกับมัน วันนี้ ติงหน่วนหลับตาลง จินตนาการว่าคนที่กำลังกระทำเธออยู่ข้างหลัง คือผู้ชายที่โดดเด่นท่ามกลางผู้คนคนนั้น เพียงแค่จินตนาการถึงใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่ม เธอก็รู้สึกเหมือนความทรมานเหล่านั้นค่อยๆหายไป

เมื่อเธอนึกถึงเจี่ยนถง ก็ส่งเสียงหึออกมาเบาๆ ไม่เห็นจะมีอะไรดีตรงไหน

หน้าตาก็งั้นๆ ความสวยก็ไม่เท่าเธอ

ผู้หญิงแบบนั้น จะไปคู่ควรกับผู้ชายหล่อๆได้ยังไง?

ความคิดราวกับยาพิษค่อยๆก่อเกิดขึ้นมาในหัวใจของเธอ…….

แต่เมื่อลืมตาขึ้นมา ตรงหน้าของเธอก็ยังเป็นเจี่ยนเจิ้นตงตาแก่ที่กำลังหอบหายใจอย่างหนักจนดูขี้ริ้วขี้เหร่

โลกนี้ไม่ยุติธรรม ไม่ยุติธรรมมากๆ!

เธอกำมือแน่น

ติงหน่วนไปหาเจี่ยนถงอีกครั้ง คราวนี้ตรงไปหาที่ตึกเจี่ยนซื่อกรุ๊ป

ในตอนที่เจี่ยนถงได้รับสายจากพนักงานเคาน์เตอร์ ก็นิ่งอึ้ง

เร็วอะไรขนาดนี้?

ติงหน่วน…….ตัดสินได้ใจง่ายขนาดนี้เลยเหรอ?

เธอบอกให้พนักงานเคาน์เตอร์ปล่อยให้ติงหน่วนขึ้นมา

ในตอนที่ใบรับรองของเจี่ยวสือโอวถูกยื่นมาตรงหน้าเจี่ยนถง เจี่ยนถงก็นิ่งเงียบ

ติงหน่วนไปโรงพยาบาลจริงๆด้วย

เพียงแต่ว่า เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นมา “ไปตรวจอีกครั้ง” เธอไม่ค่อยไว้ใจติงหน่วน ไม่มีพยานรู้เห็นแบบนี้ อาจจะปลอมแปลงเอกสารขึ้นมาก็ได้ใครจะไปรู้

สีหน้าของติงหน่วนเปลี่ยนไป โชคดีที่เธอไหวตัวทัน “ได้สิ” คิดอะไรอยู่สักพัก ก็พูดว่า “ฉันรู้ว่าคุณต้องสงสัย งั้นไปตรวจอีกครั้งก็ได้ จริงๆแล้วก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมคุณถึงสงสัย แต่คุณเชื่อใจฉันได้ ถึงฉันจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่ฉันก็เป็นแม่คนหนึ่ง ฉันเห็นแก่ตัวก็เพียงแค่เพื่อเสี่ยวโอว ความเห็นแก่ตัวของฉัน มันก็มาจากความเป็นห่วงที่มีต่อร่างกายของเสี่ยวโอวเหมือนกัน แต่ว่า เสี่ยวโอวกับโม่ป๋ายเป็นพี่น้องกัน ถ้าหากอวัยวะของเสี่ยวโอวจับคู่กับโม่ป๋ายได้จริงๆ ต่อให้ฉันจะไม่เต็มใจแค่ไหน ฉันก็ทนเห็นพี่ชายของเสี่ยวโอวจากโลกไปทั้งที่ยังหนุ่มๆแบบนี้ไม่ได้หรอก”

เจี่ยนถงพยักหน้า ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ชีวิตมักจะสอนให้คนเราใช้สติและรู้จักนิ่ง ทั้งยังฝึกให้อดทนกับแผลที่ถูกฉีกจนเลือดไหล

คุณหญิงเจี่ยนเองก็เป็นแม่คน ไม่ใช่เหรอ?

เธอยิ้ม ยิ้มออกมาเพียงบางเบา ซ้ำยังดูห่างเหิน “งั้นก็ไปตรวจใหม่อีกครั้ง”

เธอยกมองนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “เอาอย่างนี้แล้วกัน วันนี้ ฉันจะไปรับลูกคุณที่โรงเรียนด้วย จะได้ไปโรงพยาบาลพร้อมกันเลย”

ติงหน่วนหน้าซีดเผือด เริ่มลนลาน แต่พอนึกอะไรขึ้นมาได้ ก็ตั้งสติ “คงไม่ดีมั้งคะ ตอนนี้เสี่ยวโอวคงกำลังเรียนอยู่……..”

ยังพูดไม่ทันจบ เจี่ยนถงก็ไม่ให้ช่องว่างใดๆแก่เธอ

“อ่อค่ะ จะไม่ไปก็ได้นะ” เธอยิ้มอย่างหมางเมิน “แต่ว่าเจี่ยวสือโอวมีโอกาสครั้งนี้แค่ครั้งเดียว”

ติงหน่วนอ้าปากค้าง เธอคิดไม่ถึงเลยว่า เจี่ยนถงจะรับมือยากขนาดนี้

ไอ้แก่เจี่ยนเจิ้นตงเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่า ลูกสาวของเขาใจอ่อนง่ายที่สุด มักจะให้โอกาสคนอื่นเสมอ ทำอะไรคิดหน้าคิดหลัง

กับผีน่ะสิ!

เธอไม่มีทางได้เห็นเลยว่า ใบหน้าของเธอตอนนี้คล้ำเครียดแค่ไหน

ทางด้านเจี่ยนถง ไม่ได้เร่งรัดอะไร

มาถึงตรงนี้แล้ว ในใจเธอรู้ดีว่ากระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะเป็นของปลอม

ดวงตาของติงหน่วนทอแววมาดร้าย “ได้”

คำว่า “ได้”ของเธอ กลับทำให้เจี่ยนถงนิ่งไป ติงหน่วนไม่กลัวว่าลูกชายตัวเองต้องบริจาคอวัยวะเหรอ?

เจี่ยนถงไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เหยียดตัวขึ้น แล้วต่อสายหาวิเวียน “ลงไปชั้นใต้ดิน แล้วขับรถไปรอฉันที่ประตูใหญ่ เดี๋ยวฉันตามไป”

วิเวียนคือลูกน้องคนเก่าคนแก่ของเธอ ย้ายมาจาก”กองทุนดวงหัวใจ” ช่วงนี้เจี่ยนซื่อกรุ๊ปมีแต่ปัญหา เพื่อเป็นการดูแลปัญหาภายในกำจัดปัญหาภายนอก เธอจึงไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น นอกจากคนของเธอเอง

เธอนึกถึงเรื่องที่ทำในช่วงสองสามวันนี้ ทั้งยังนึกไปถึงผู้ชายคนนั้น ช่วงนี้เขาดูแปลกๆ จะให้เธอย้ายไปอยู่ด้วยให้ได้

แถมยังมาหาเธอที่ออฟฟิศเวลาเที่ยงตรงเป๊ะๆ เพื่อพาเธอออกไปทานข้าวกลางวัน แค่เธอแสดงออกว่าไม่เต็มใจเพียงเล็กน้อย ผู้ชายคนนั้นก็หลุดท่าทีแกมบังคับออกมาทันที ซึ่งจุดนี้กลับเหมือนนิสัยของเขามาก

แต่ว่า เสิ่นซิวจิ่นว่างขนาดนี้เลยเหรอ?

ประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ มาเฝ้าเธอเวลาเที่ยงทุกวัน เพียงเพื่ออาหารมื้อเดียวเนี่ยนะ?

นอกจากเรื่องข้าวกลางวันแล้ว ก็ยังมีเรื่องแปลกๆอย่างอื่นอีก

อย่างเช่นมื้อเย็น

บางครั้งก็ลากเธอไปดูหนัง แค่พูดถึงโรงหนัง หน้าของเจี่ยนถงก็ดำทะมึนแล้ว คนคนนี้ป่วยหรือไง มาเคาะประตูห้องเธอตอนสี่ทุ่ม จากนั้นก็หยิบเสื้อโค้ตออกมา คลุมลงบนตัวเธอเหมือนกำลังเล่นมายากล แล้วโอบไหล่เธอเอาไว้อย่างเอาแต่ใจ กึ่งลากกึ่งดึงยัดเธอเข้าไปในรถ สตาร์ทรถขับออกไปโดยไม่พูดไม่จาสักคำ เมื่อจอดรถ ถึงได้พบว่า หนังที่เขาพามาดู…..เป็นหนังผี

ประสาท

นี่คือคำนิยามที่เจี่ยนถงใช้เรียกการกระทำแปลกๆของเสิ่นซิวจิ่นในช่วงนี้

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง จู่ๆเสิ่นซิวจิ่นก็นึกอยากช็อปปิ้ง มันน่าเชื่อไหมล่ะ?

เจี่ยนถงรู้สึกแปลกๆ มันเป็นความรู้สึกที่พูดไม่ได้

เพียงแค่ต้องระแวงและระวัง

เธอก็มนุษย์คนหนึ่งที่มีหัวใจ ยังคงรู้สึกได้ถึงความรู้สึกดีๆของคนอื่น

เธอรู้สึกได้ว่าเขาดีกับเธอมาก

มันดีก็จริง แต่เธอกลับกลัว

“ความดี”ของเสิ่นซิวจิ่น ต้องชดเชยให้อดีตของเธอหลายร้อยพันเท่า และกลายเป็นประสบการณ์ที่ให้บทเรียนแก่เธอ

เธอกลัว การที่เสิ่นซิวจิ่นทำตัวแปลกๆแบบนี้เธอก็ยิ่งกลัว เหมือนเขากำลังวางแผนอะไรในใจ

ต่อจาก “หนีเอาตัวรอดจากคุก” “ถูกคลุมถุงชน” คราวนี้ ละครเรื่องต่อไปชื่อว่าอะไรล่ะ?

เป็นละครรักหรือเปล่า?

ฮ่าๆๆ

เมื่อเจี่ยนถงคิดถึงเรื่องพวกนี้ ก็หัวเราะออกมาเบาๆ

จนวิเวียนที่นั่งอยู่ในรถ เอ่ยถามว่า “ประธานเจี่ยน ขำอะไรคะ?”

“ฉันขำชีวิตตัวเองน่ะ อย่างกับฉากในละครแหนะ แต่เป็นละครของคนอื่น”

“ความดี” เหล่านั้น น่ากลัวเกินไป

วิเวียนที่นั่งบนเบาะคนขับอ้าปากเตรียมจะเอ่ยพูด แต่กลับพบว่าเธอหาคำพูดใดๆมาปลอบใจเจี่ยนถงไม่ได้เลย นั่นก็เพราะว่าเธอเข้าใจ ถึงได้รู้สึกว่า ไม่มีอะไรต้องพูดปลอบ

เธอถึงขั้นรู้สึกว่า ผู้หญิงหน้านิ่งที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลัง หลังจากที่กลับมาเมืองSอีกครั้ง ก็นิ่งสุขรุมแบบนั้นอยู่ตลอด

ปัญหาในเจี่ยนซื่อกรุ๊ปไม่ใช่น้อยๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะประธานคนก่อนทำงานสะเพร่า หรือเป็นเพราะ เจี่ยนเจิ้นตงคิดว่าปัญหาเหล่านี้ไม่ได้หนักหนา

วิเวียนค่อนข้างสงสารหญิงสาวที่นั่งอยู่เบาะหลัง เมื่อใดก็ตามที่ประธานเจี่ยนได้ยุ่ง ก็จะทำงานอย่างหนักราวกับจะฆ่าตัวตาย

เธอควรที่จะเกลียดเสิ่นซิวจิ่น ถึงยังไง คนที่บีบให้ผู้หญิงที่สดใสคนหนึ่งต้องก้าวถอยหลังจนไร้ทางไปก็คือเขา

เมืองSที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ คนที่สามารถทำให้เจี่ยนถงไร้ทางไปได้ ก็มีแค่เสิ่นซิวจิ่นคนเดียวเท่านั้นแหละ

แต่ว่าตอนนี้ เธอกลับรู้สึกขอบคุณ อย่างน้อยการที่มีเสิ่นซิวจิ่นแทรกเข้ามา เจ้านายของเธอก็ได้กินทั้งมื้อเที่ยงและมื้อเย็นอย่างตรงเวลา ไม่อย่างนั้น ผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลัง คงยุ่งจนลืมกินข้าวไปแล้ว

รถขับมาจอดหน้าโรงเรียน เป็นครั้งที่สองที่เจี่ยนถงได้เจอกับเด็กผู้ชายคนนั้น ใบหน้าบูดบึ้งของเขา เมื่อหันมาเห็นเธอ ก็เต็มไปด้วยความขัดใจ

“ผมจะบอกอะไรให้นะ ผมไม่ได้อยากเข้าตระกูลเจี่ยนอะไรนั่นเลยสักนิด” เด็กชายใบหน้าบูดบึ้งถลึงตาใส่เธอที่อยู่ในรถ แถมยังไม่ลืมพูดว่า “ก็บอกแล้ว ว่าจับคู่อวัยวะไม่ได้ แล้วยังต้องการอะไรอีก? ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ต่อให้ไปตรวจอีกกี่ร้อยครั้งก็ยังไม่ได้หรอก”

ติงหน่วนที่อยู่ข้างๆ มีสีหน้ากระอักกระอ่วน “เสี่ยวโอว นั่นพี่สาวแกนะ ทำไมพูดไม่เพราะล่ะ”

“เธอไม่ใช่พี่สาวผมสักหน่อย”

ติงหน่วนหันไปมองเจี่ยนถงที่อยู่ในรถ ผู้หญิงคนนั้นไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา ตลอดทาง ก็เอาแต่ยุ่งอยู่กับการอ่านเอกสาร

ชั่วขณะเธอก็รู้สึกอึดอัดและขัดใจ

แบบนี้มันเหมือน พวกเขาออกไพ่ใบสุดท้ายกับเจี่ยนถง แต่ไพ่ใบนี้ กลับไม่ได้อยู่ในสายตาของอีกฝ่ายเลย

ติงหน่วนดึงเจี่ยวสือโอวยัดเข้าไปนั่งหลังรถอย่างรู้งาน “แกกับพี่แกควรสนิทกันเอาไว้ เดี๋ยวแม่นั่งข้างคนขับเอง”

“ใครอยากสนิทด้วย” เด็กน้อยยังคงต่อต้าน

ติงหน่วนหันไปมองเจี่ยนถงอย่างกระอักกระอ่วนอีกครั้ง แต่ก็ต้องผิดหวัง เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้สนใจอะไรเลย ยังคงยุ่งอยู่กับเอกสารในมือ

ติงหน่วนจึงทำได้แค่แอบหยิกแขนของเจี่ยวสือโอว “ไอ้ลูกคนนี้”

เจี่ยวสือโอวขึ้นมานั่งบนรถอย่างไม่เต็มใจ

ระหว่างทาง เมื่อติงหน่วนมองผ่านกระจกหลัง แล้วเห็นว่าข้างๆเจี่ยนถงมีเอกสารมากมายวางอยู่ข้างๆ ดวงตาของเธอหลุกหลิก

“เอ่อ……คุณนายเสิ่น ยุ่งมากเลยเหรอคะ”

สิ่งที่ตอบกลับมามีแค่ความเงียบในอากาศ

ติงหน่วนไม่ยอมแพ้ เอ่ยถามอีกว่า “เอ่อคือ เอกสารเยอะขนาดนี้ ผลประกอบการของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปคงดีมากสินะ?”

ใบหน้าหมดจรดของวิเวียนพลันดุดันขึ้นมา “เงียบหน่อยได้ไหมคะ เวลาที่ประธานเจี่ยนทำงาน ไม่ชอบให้ใครมารบกวนค่ะ”

การตอกกลับของวิเวียน ในสายตาของติงหน่วน มันกลับเป็นการเปิดเผยข้อมูลบางอย่างออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย

ในใจพลันแสยะยิ้มอย่างเย็นชา เจี่ยนเจิ้นตงพูดเอาไว้ไม่มีผิด เจี่ยนถงคนนี้เป็นลูกเนรคุณจริงๆด้วย

ส่งสายตาแผดเผามองเจี่ยนถงผ่านกระจกหลัง ของพวกนี้ เดิมทีมันควรเป็นของเสี่ยวโอว

ตลอดทางไม่มีใครเอ่ยพูด มีแค่เสียงกระดาษตีกับแอร์ภายในรถ

วิเวียนค่อนข้างเป็นห่วงเจี่ยนถง “ประธานเจี่ยน ถึงแล้วค่ะ”

“หืม? ถึงแล้วเหรอ?” หญิงสาวเพิ่งได้เงยหน้าขึ้นมาจากงาน ในตอนที่เปิดประตูรถลงไป วิเวียนก็เห็นว่าเธอเอาเอกสารที่ยังอ่านไม่เสร็จยัดใส่กระเป๋าไปด้วย เธอจึงอดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า

“ประธานเจี่ยน งานน่ะค่อยๆทำก็ได้ เรามาที่นี่เพื่อตรวจสอบการจับคู่อวัยวะ ไม่ต้องเอางานเข้าไปด้วยหรอกค่ะ”

ติงหน่วนที่ฟังอยู่ข้างๆ ก็ยิ่งเดาได้ว่าทรัพย์สินและผลประโยชน์ของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปมีมากมายขนาดไหน

เจี่ยนถงนวดหัวคิ้ว “ไม่เป็นไร” เธอพูดพร้อมกับเปิดประตูลงไปจากรถ เอกสารพวกนี้ด่วนมาก ไม่งั้นเธอคงไม่ทนเวียนหัวอ่านเอกสารพวกนี้บนรถหรอก

ทุกคนเดินเข้าไปในโรงพยาบาล เพื่อทำการเก็บตัวอย่าง เวลาผ่านไปทีละนิด จนเมื่อเก็บตัวอย่างเสร็จ เจ้าหน้าที่ถึงได้เอ่ยว่า “รอผลประมาณหนึ่งอาทิตย์นะครับ”

ติงหน่วนโล่งอก เธอคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรกว่า การจับคู่อวัยวะ ต้องรอไปสักระยะหนึ่งผลถึงจะออกมา

แบบนั้นก็จัดการทุกอย่างได้ง่ายเลยสิ

หลังจากที่กลับมาจากโรงพยาบาล ติงหน่วนก็พูดจาใส่สีตีไข่ให้เจี่ยนเจิ้นตงฟังอีกว่า “เสี่ยวถงนี่ก็จริงๆเลย กำแพงหนาอะไรขนาดนั้น คนกันเองแท้ๆ จะระแวงอะไรกันนักหนา”

เจี่ยนเจิ้นตงตีหน้าอึมครึม “นังลูกเนรคุณ ขนาดฉันเป็นพ่อยังคิดจะระแวงอีก” นังเนรคุณคนนั้นไม่ได้ระแวงติงหน่วน แต่ระแวงเขาต่างหาก

ติงหน่วนทำเป็นพูดไกล่เกลี่ยว่า “อย่าคาดเดาไปทั่วเลย จะโทษเสี่ยวถงก็ไม่ได้ ก็เสี่ยวโอวไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกันกับเธอนี่นา ถ้าจะโทษก็โทษเสี่ยวโอวเถอะ ที่ต้องมาเป็นลูกของฉัน”

เจี่ยนเจิ้นตงยิ่งกรุ่นโกรธมากกว่าเดิม “เสี่ยวโอวไม่ใช่ลูกของผู้หญิงคนนั้น แล้วไม่ใช่ลูกของฉันเหรอ?”

“เฮ้อ…..ฉันก็แค่ไม่อยากให้เสี่ยวโอวโดนด่าว่าลูกนอกสมรสอีกแล้ว ถ้าหากเขาสามารถเข้าตระกูลเจี่ยนได้อย่างราบรื่น คนอื่นก็คงจะไม่หัวเราะเยาะเขาอีกต่อไป”

เจี่ยนเจิ้นตงยกมือขึ้นมาบีบเอวคอดกิ่วของติงหน่วน “เรื่องจับคู่อวัยวะน่ะ เธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะ”

จู่ๆติงหน่วนก้มหน้าลงอย่าหงอยๆ

“ทำไมเศร้าล่ะ”

“ฉันก็แค่คิดว่า ฉันมันเห็นแก่ตัวจริงๆ” ดวงตาของติงหน่วนพราวไปด้วยน้ำตา หันมองเจี่ยนเจิ้นตงด้วยใบหน้ารู้สึกผิด “โม่ป๋ายเองก็เป็นลูกของคุณ เดิมทีเสี่ยวโอวควรที่จะได้ช่วยพี่ชายของเขา แต่เพราะความเห็นแก่ตัวของฉัน………”

“ไม่ต้องพูดแล้ว นังลูกเนรคุณคนนั้นบริจาคให้โม่ป๋ายไม่ได้หรือไง? ทั้งๆที่โม่ป๋ายเป็นพี่ชายของตัวเองแท้ๆ”

เจี่ยนเจิ้นตงอารมณ์เดือด “ช่างมัน เรื่องนี้เธอไม่ต้องไปสนใจมันอีกแล้ว ถ้านังลูกเนรคุณคนนั้นไม่อยากช่วยพี่ชายตัวเองจริงๆ ก็แค่รอให้คนมีหน้ามีตาในเมืองS ประณามการกระทำของนังนั้นก็แล้วกัน”

เดิมทีเขาก็ไม่ได้สนิทกับลูกเนรคุณคนนั้นอยู่แล้ว นังลูกไม่รักดีคนนั้นเติบโตมากับคุณพ่อของเขา ในตอนที่คุณพ่อยังไม่เสีย เขามักจะถูกคุณพ่อเอาไปเปรียบเทียบกับเจี่ยนถงอยู่บ่อยๆ

ผู้ชายวัยกลางคนอย่างเขา ถูกเอาไปเปรียบเทียบกับลูกสาวของตัวเอง เรื่องนี้ทำเขาอับอายจนไม่มีหน้ามองหน้าใครอยู่นาน

ส่วนลูกชายอย่างเจี่ยนโม่ป๋ายก็ถูกแม่ตามใจมาตั้งแต่เด็กๆ จนความสามารถมีขีดจำกัด ถ้าต้องส่งต่อเจี่ยนซื่อกรุ๊ปให้โม่ป๋าย เขาจึงไม่วางใจเลยสักนิด

แต่กับเสี่ยวโอว เขาเห็นลูกเติบโตมากับตา ลูกสองคนที่เกิดมาจากผู้หญิงคนนั้น คนหนึ่งโตมากับแม่ คนหนึ่งโตมากับปู่ มีแค่ลูกของเมียน้อยของเขาเท่านั้น ที่เติบโตมากับเขา

เจี่ยนเจิ้นตงตบไหล่ติงหน่วนเบาๆ “ไปทำซุปให้เสี่ยวโอวไป เด็กกำลังโต เดี๋ยวฉันจะไปทำธุระสักหน่อย”

พูดจบก็ลุกขึ้น เดินไปที่ระเบียง

ติงหน่วนตอบรับแล้วเดินเข้าไปในครัว แต่กลับแอบมองไปทางระเบียง จึงพบว่าเจี่ยนเจิ้นตงกำลังต่อสายหาใครบางคน

……

หลายวันมาแล้วที่ไม่ได้เจอเสิ่นซิวจิ่น

เจี่ยนถงรู้ ว่าคนนั้นไปทำงานนอกสถานที่

ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาไปทำงานนอกสถานที่แบบนี้ แต่เมื่อก่อนไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะยุ่งแค่ไหน เขาก็จะโทรมาหาเธอทุกๆสามเวลาทานอาหารตลอด อย่างกับตั้งนาฬิกาเอาไว้

ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะไปทำงานนอกสถานที่ เขาก็มักจะเอ่ยเตือนเธอว่า “ถ้าคุณไม่รับโทรศัพท์ ไม่ว่าตอนนั้นจะอยู่ที่ไหน ผมก็จะทิ้งงานทุกอย่างในมือ แล้วบินกลับมาหาคุณให้เร็วที่สุด”

และก็เพราะว่าประโยคนี้ เจี่ยนถงจึงแทบจะไม่กล้าพลาดสายโทรศัพท์ของเขาสักสาย

แทบจะ ใช่ แทบจะจริงๆ

เพราะว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง โทรศัพท์ของเธอแบตหมด แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือ ในครั้งนั้น เป็นเวลาประมาณตีสาม ผู้ชายคนนั้นมายืนอยู่หน้าประตูบ้านเธอในสภาพเหน็ดเหนื่อย

วินาทีที่เปิดประตูออก เธอก็ตะลึงงัน

ผู้ชายคนนั้นยืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับกระชากเธอเข้าไปกอดแรงๆโดยไม่พูดอะไรสักคำ

วินาทีที่ถูกกอด เธอสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นรัวเร็วของเขาผ่านเสื้อผ้ากั้น เขากอดเธอเอาไว้แน่นมาก แน่นจนเธอเจ็บ ตอนนั้น เธอลังเลอยู่สักพักแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผลักเขาออก

ภายในห้องทำงาน

“ประธานเจี่ยน กำลังมองอะไรอยู่คะ?” วิเวียนกำลังรายงานเอกสารให้อีกฝ่ายฟัง แต่กลับพว่าผู้หญิงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะกำลังเหม่อลอย

“ห๊ะ? เปล่า” เธอก้มมองโทรศัพท์อีกครั้ง ก็ยังไม่มีสายโทรเข้าสักสาย

วิเวียนวางเอกสารรายงานประจำไตรมาสในมือลง แล้วนั่งลงตรงข้ามกับเจี่ยนถง “ประธานเจี่ยน ตลอดช่วงบ่ายมานี้ คุณมองโทรศัพท์หลายรอบแล้วนะคะ กำลังรอสายจากใครอยู่หรือเปล่า?”

ดวงตาของวิเวียนเผยแววขบขัน

รู้ดีว่าสาเหตุที่ทำให้เจี่ยนถงเหม่อลอยคืออะไร

“เธอตาฝาดแล้วล่ะมั้ง” หญิงสาวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานเอ่ยพูดเสียงนิ่ง

“ประธานเจี่ยน เป็นผู้หญิงต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองนะคะ” วิเวียนพูดขึ้น “ไม่อย่างนั้นคนที่เจ็บก็จะเป็นตัวเราเอง” ถึงแม้เธอจะไม่ได้เห็นดีเห็นงามด้วยก็เถอะ

“เธอตาฝาดเอง” เจี่ยนถงยังคงตอบอย่างเย็นชา

ดวงตาของวิเวียนทอแววร้ายกาจ ตัดสินใจจะจับไต๋เจี่ยนถงให้ได้ “เสี่ยวถง แค่ยอมรับว่ารอสายโทรศัพท์จากประธานเสิ่นมันยากมากหรือไง?”

“ฉันเปล่า”

เธอปฏิเสธจนแทบจะไม่เหลือช่องว่าง วิเวียนกลอกตามองบนอย่างอดไม่ไหว ทันใดนั้นเสียงริงโทนโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาติดต่อกัน

วิเวียนกวาดตามองหน้าจอโทรศัพท์ ตาแหลมพอที่จะเห็นชื่อคนโทรมา “อุ๊ โทรมาแล้ว”

“ฉันไม่ได้รอให้เขาโทรมานะ” ก่อนที่จะรับสาย เจี่ยนถงก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยย้ำ

วิเวียนพยักหน้าอย่างเหลือทน “จ้า ไม่ได้รอเลย……….”

เธอพูดยังไม่ทันได้จบ

ตุบ——

“เป็นอะไรไป!” วิเวียนลุกขึ้น เมื่อผู้หญิงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะ มีสีหน้านิ่งค้าง

“พูดมาสิ!”

หญิงสาวผิวหน้าขาวซีด จนไร้สีเลือด

“เสี่ยวถง! พูดมาสิ!”

“ฉัน ฉัน…….” เธอพูดคำว่า “ฉัน” อยู่นาน มีเพียงแค่เสียงขาดๆหายๆ พูดออกมาไม่ครบประโยค

“เขา…….เขา………”

“ตกลงเกิดอะไรขึ้น!”

“เขา….ที่ต่างประเทศ…….” เจี่ยนถงหน้าซีดขาว ปากสั่นจนแทบพูดออกมาเป็นคำไม่ได้

“ไปหาผู้หญิงคนอื่น?” วิเวียนเอ่ยถาม ในใจเตรียมด่าเสิ่นซิวจิ่นสุดกำลัง

“เขา เขาถูกยิงที่หัวใจ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล หมอกำลังช่วยชีวิต เขาหมดสติ ไม่รู้สึกตัวไปแล้ว” แทบจะต้องใช้พละกำลังที่มีทั้งหมด เปล่งเสียงพูดประโยคเหล่านี้ออกมา ในตอนที่พูดจบ น้ำตาของเธอก็หลั่งไหลราวกับฝนตก

วิเวียนตัวแข็งทื่อ “เสิ่นซิวจิ่นถูกยิงไม่ได้สติ?” แม้แต่เธอเองยังรู้สึกว่าโลกใบนี้มันช่างตลกร้ายเสียจริง

เพราะแบบนี้หลายวันที่ผ่านมาอีกฝ่ายเลยไม่ได้ส่งข้อความมากำชับเธอ ให้เธอจับตาดูว่าเสี่ยวถงพักผ่อนและทานอาหารครบทุกมื้อไหมงั้นสินะ?

“ไม่ต้องกังวลนะ มันต้องไม่มีอะไร ตอนนี้กำลังช่วยชีวิตอยู่ไม่ใช่เหรอ?”

วิเวียนเองก็ร้อนใจ เธออยากปลอบเจี่ยนถง แต่กลับพบว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน เบิกตาค้างอย่างเลื่อนลอย หยดน้ำตายังคงหลั่งไหลออกมาเหมือนน้ำหลาก

เธอร้อนรน จนเผลอพูดอะไรที่ผิดพลาดออกมา “อย่าร้องไห้สิ ลืมแล้วเหรอว่าเขาทำกับคุณไว้ยังไงบ้าง คุณควรที่จะดีใจสิ คุณไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาแล้วไม่ใช่เหรอ”

หญิงสาวเอ่ยพึมพำกับตัวเอง “ใช่ ฉันต้องเกลียดเขาสิ ฉันไม่ร้อง ฉันไม่ได้ร้อง”

ผู้หญิงที่พูดคำว่า “ไม่ได้ร้อง” กลับมีน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด “นี่อะไร?” เธอยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาแล้วเอ่ยถามราวกับไม่รู้จักว่ามันคืออะไร เงยหน้าขึ้นมาเอ่ยพูดกับวิเวียนอย่างรนๆว่า

“ฉันดีใจมาก ฉันไม่ได้รักเขาแล้ว คนคนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับฉันอีกต่อไปแล้ว ฉันดีใจ ดีใจจนจะตายแล้ว”

เธอพยายามฉีกยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก พยายามยกมุมปากขึ้นอย่างสุดชีวิต แต่ทำไมเธอรู้สึกว่ามุมปากมันถึงได้หนักหน่วง เสมือนมีลูกตุ้มมาถ่วงเอาไว้

“ดูสิ วิเวียน ดูฉันยิ้มสิ ฉันกำลังยิ้ม ฉันกำลังดีใจ ฉันดีใจจริงๆนะ”

วิเวียนทนมองต่อไปไม่ได้ เมื่อเธอเห็นอีกฝ่ายเหมือนจะร้องก็ไม่ใช่เหมือนจะยิ้มก็ไม่เชิง ผู้หญิงตรงหน้ายิ้มออกมาทั้งๆที่ใบหน้าอาบน้ำตา

“เอาล่ะๆ!ไม่ต้องยิ้มแล้วๆ!” วิเวียนพุ่งเข้าไป “ไม่ต้องยิ้มแล้ว เสียใจก็แค่ร้องไห้ออกมา”

“ไม่เสียใจ ฉันดีใจ ฉันดีใจจนไม่ทันตั้งตัว ฉันกำลังยิ้ม เธอไม่เห็นหรือไง ฉันกำลังยิ้มอยู่นะ จะไปเสียใจได้ยังไง กำลังยิ้มอยู่เห็นๆ”

“โอเคๆ คุณกำลังยิ้ม คุณกำลังดีใจ” เธอรู้สึกว่าตอนนี้ผู้หญิงในอ้อมกอดกำลังอ่อนแอ จนเธอไม่กล้าจับผิดคำพูดโกหกเหล่านั้น

ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด

หลายวันก่อนยังดีๆอยู่เลย ไม่คิดว่าจะมีข่าวร้ายแบบนี้

“เสิ่นเอ้อบอกว่า……” หญิงสาวสะอื้น

“บอกว่าอะไร?” วิเวียนลอบถามอย่างระมัดระวัง กลัวว่าจะไปแตะถูกจุดอ่อนไหวของหญิงสาวในอ้อมกอด

“บอก บอกว่าเป็นตายเท่าๆกัน” ชั่วขณะก็ไม่มีแม้แต่เสียงจะเปล่งออกมา

วิเวียนอ้าปากค้าง หน้าพลันเปลี่ยนสี…..สาหัสขนาดนั้นเลยเหรอ?

เสิ่นเอ้อถึงได้ใช้คำว่า “เป็นตายเท่าๆกัน” มานิยามอาการของเขาในขณะนี้

ในตอนนี้เอง เสียงโทรศัพท์ของวิเวียนก็ดังขึ้นมา

เป็นเสิ่นเอ้อโทรมา เธอลังเลอยู่สักพัก ยังไม่ทันได้กดรับสาย

หญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดก็เอ่ยถามอย่างร้อนรน “ใคร?”

“………”ปากของวิเวียนอ้าๆหุบๆอยู่สองสามครั้ง “เสิ่นเอ้อ”

“รีบรับสายสิ!” เจี่ยนถงที่ปกติจะสงบนิ่งเงียบ ในตอนนี้กลับตะโกนบอกวิเวียนเร้าๆ

“ได้ คุณใจเย็นๆก่อน ฉันจะรับ” เธอรู้สึกว่าเจี่ยนตงในตอนนี้ไม่ปกติแล้ว จึงไม่กล้าขัดใจ

เมื่อรับสาย เสิ่นเอ้อก็เอ่ยกำชับอะไรบางอย่าง จากนั้นก็กดตัดสาย

“เขาบอกว่าอะไร!” หญิงสาวในอ้อมกอด ดวงตาแดงเถือก พร้อมกับเอ่ยจี้ถาม

วิเวียนมีท่าทีนิ่งค้าง มองเจี่ยนถงที่อยู่ในอ้อมกอด ในแววตามีแต่ความสงสาร แต่เมื่อสบตากับเจี่ยนถง วิเวียนก็ตั้งสติ แล้วพูดเสียงหนักว่า

“เสิ่นเอ้อฝากมาบอกว่า ให้คุณนายเสิ่นไปอิตาลีเดี๋ยวนี้”

“ฉัน………”

วิเวียนไม่ให้โอกาสเจี่ยนถงได้พูดอะไร พูดต่อว่า

“พาสปอร์ตกับเที่ยวบินส่วนตัว คุณชายซีเตรียมการไว้ให้แล้ว อีกสักพักจะมีคนมารับคุณนายเสิ่น เสิ่นเอ้อบอกว่า ให้คุณนายเสิ่นรีบเก็บกระเป๋า เอาไปแต่ของที่จำเป็น แต่ว่า”

เธอกัดฟันพูดว่า “ทางที่ดีควรเตรียมชุดดำที่เป็นทางการไปด้วย ที่ต่างประเทศค่อนข้างเรื่องเยอะ เกรงว่าจะไม่มีเวลาไปซื้อใหม่”

ร่างกายของเจี่ยนถง สั่นไหวอย่างรุนแรง เธอค่อยๆยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาช้าๆเหมือนหุ่นกระบอก

“ฉันจะไปเตรียมตัว”

เธอหันหลังอย่างแข็งทื่อ วิเวียนมองตามแผ่นหลังที่แข็งทื่อราวกับท่อนไม้ ทนไม่ไหว จึงต้องตะโกนตามหลังไปว่า

“นี่! อยากร้องก็ร้องออกมาดังๆเถอะนะ!”

ณ เมืองS ในพื้นที่ที่ศรีวิไลที่สุด ผู้หญิงคนนั้นเลือกซื้อแบรนด์ที่แพงที่สุดในห้างชั้นนำ เธอพูดว่า “ฉันมาเลือกชุดค่ะ”

พนักงานแบรนด์เนมตัดสินคนเก่งเป็นที่สุด ผู้หญิงคนนี้เดินเข้ามากะเผลกๆ มองตาเดียวก็รู้ว่าขาหัก แต่ทั้งๆที่ขาหัก ผู้หญิงคนนั้นกลับพยายามยืดตัวให้ตรง เห็นแบบนี้ ก็ยิ่งรู้สึกขัดหูขัดตา

เสื้อผ้าบนตัวของเธอ มองแวบเดียว ก็รู้แล้วว่าไม่มีแบรนด์เนมขึ้นชื่อสักชิ้น ของที่ใส่ล้วนแล้วแต่เป็นของธรรมดาที่หาได้ทั่วไป

ร่างกายสูงเพรียวของพนักงานขาย ไม่ยอมขยับไปไหน ผู้หญิงคนนั้นจึงเอ่ยพูดขึ้นมาว่า “ฉันมาเลือกชุด” นิ้วมือเรียวยาวของพนักงานชี้ไปยังมุมมุมหนึ่ง “ทางนั้น ลดสามสิบเปอร์เซ็นต์”

เธอขี้เกียจขยับ

แต่วินาทีต่อมา ร่างกายของเธอก็เครียดเกร็ง เมื่อคนขาหักมองมาที่เธอ ด้วยแววตาเยือกเย็น

เจี่ยนถงเพียงแค่ยืนมองพนักงานคนนั้นเงียบๆ ไม่ได้เอ่ยต่อว่า ไม่ได้แสดงท่าทีกรุ่นโกรธ

หัวใจของเธอตอนนี้ เหมือนมีรูโหว่ อะไรก็เติมเข้าไปไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดรั่วไหลออกมา

“ฉันมาซื้อชุดค่ะ” เธอเพียงแค่มองพนักงานขายคนนั้นนิ่งๆ ในดวงตาแข็งทื่อ ชวนให้คนมองหวาดกลัว

คราวนี้ ในที่สุดเธอก็ได้รับการปฏิบัติที่ “เท่าเทียม”

“คุณผู้หญิง ไม่ทราบว่าต้องการชุดแบบไหนคะ?”

“สีดำ อ่อนโยน เคร่งขรึม”

“………..” คำพูดแปลกๆถูกเอ่ยออกมา แน่นอนว่าชุดสีดำไม่ได้ขาดสต๊อกหรอก เพียงแต่ว่าไม่ว่าผู้หญิงคนไหนมาซื้อชุดสีดำ ก็มักจะพุ่งเข้าใส่ชุดเซ็กซี่น่าค้นหาเสียมากกว่า

เป็นทางการ?

นั่นมันชุดไว้อาลัยแล้วหรือเปล่า?

“ฉันต้องการ ตัวที่สวยที่สุด ฉันอยาก….” เจี่ยนถงนิ่งไปชั่วขณะ ดวงตาแข็งทื่อคู่นั้น ไหวระริก จดจ้องมาที่ใบหน้าของพนักงานขาย “ฉันอยากให้เขาเห็น แล้วตกตะลึง จนไม่สามารถละสายตาไปจากฉันได้อีก”

พนักงานขายเผยสีหน้าตลกออกมา

ชุดสีดำ เป็นทางการ…….แค่นี้ก็ว่าแปลกแล้วนะ

นี่ยังจะอยากให้คนตกตะลึงจนละสายตาไม่ได้ด้วยเหรอ?

“ทำตามที่เธอสั่ง” วิเวียนที่ยืนอยู่หน้าประตู หอบหายใจรุนแรง เธอเดินตามหลังเจี่ยนถงมาอย่างไม่ค่อยวางใจ เธอวิ่งจนส้นรองเท้าส้นสูงของเธอเกือบหัก แต่เธอไม่สนใจ เปิดกระเป๋าควักแบล็กการ์ดออกมา แล้วยื่นให้พนักงานขาย “ทำตามที่เธอสั่ง ชุดสีดำเป็นทางการ……ที่สวยจนคนเห็นต้องตกตะลึง”

เธอพูดต่อไปไม่ไหว

เธอเข้าใจดีกว่าใคร ว่าเจี่ยนถงในตอนนี้ ไร้สติแค่ไหน

พนักงานขายไม่รู้จักเจี่ยนถง แต่ว่ารู้จักวิเวียน วิเวียนเป็นพนักงานระดับสูงของร้านแห่งนี้ ที่มียอดขายในแต่ละเดือนมากกว่าหกหลัก

ลูกค้าเส้นใหญ่ขนาดนี้ เธอไม่กล้าขัดใจหรอก

อยากถามอยู่หรอก ว่าผู้หญิงขาหักคนนั้นเป็นใคร แต่กลับพบว่าวิเวียนที่เก่งมากๆในสายตาของเธอเคารพและนอบน้อมต่อผู้หญิงคนนั้นมากขนาดไหน

เมื่อพนักงานขายเดินกลับมา ก็มีคนมาเพิ่มด้วยอีกหนึ่งคน “คุณวิเวียน นี่คือนักออกแบบของแบรนด์เราค่ะ วันนี้บังเอิญเข้ามาเยี่ยมร้านพอดี นี่เป็นโอกาสที่หนึ่งปีมีหนเลยนะคะ ส่วนคำสั่งของคุณผู้หญิงท่านนี้ ฉันหาชุดที่เหมาะสมไม่ได้จริงๆค่ะ ฉันก็เลยส่งต่อให้นักออกแบบจัดการ เขายินดีที่จะแก้ไขชุดให้คุณผู้หญิงท่านนี้ค่ะ”

วิเวียนพยักหน้า “แบบนั้นก็ดีเลย” เธอหันไปมองคนต่างชาติข้างๆ “Thank you”

ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมาก ทุกอย่างดำเนินการอย่างเงียบๆ

นักออกแบบชาวต่างชาติคนนั้น เหมือนจะเข้าใจความต้องการของเจี่ยนถง

มือของนิ่ง แล้วก็เร็วมาก

หลังจากที่เลือกชุดสีดำมาได้ชุดหนึ่ง ก็นำมาทาบลงบนตัวของเจี่ยนถง จากนั้นก็เริ่มตัดชุด

ทุกอย่าง ดำเนินไปตามความต้องการของเจี่ยนถง ความต้องการที่ดูแปลกๆและขัดแย้งกัน

สีดำ เป็นทางการ…..สวยจนคนมองต้องตะลึงไม่อาจละสายตาได้

ใช่แล้ว ชุดนี้ มันดูขัดแย้งจนไม่น่ามีใครกล้าเอาไปใส่

“คุณผู้หญิง ถ้าเปิดหลังได้ไหมครับ?”

นักออกแบบเอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษ

เจี่ยนถงเอ่ยถาม “มันดูเคร่งขรึมและสวยจนตกตะลึงไหม?”

“ครับ คุณผู้หญิง”

“งั้นก็ได้”

วิเวียนมองเจี่ยนถงอย่างประหลาดใจ เธอรู้ ว่าเจี่ยนถงไม่ชอบเปิดเผยแผ่นหลังให้ใครเห็น เพราะว่าแผ่นหลังของเธอ ไม่ค่อยสมบูรณ์แบบเท่าไหร่

มือของนักออกแบบยังคงนิ่งเหมือนเดิม ถึงแม้จะเห็นรอยมีดน่ากลัวบริเวณข้างเอวของเธอแล้วก็ตาม

“คุณกล้าหาญมาก” เมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลง นักออกแบบต่างชาติคนนั้นก็เอ่ยปากชมขึ้นมา พร้อมกับมอบกอดให้เจี่ยนถงอย่างสุภาพบุรุษ “ขอแสดงความเสียใจด้วย พระเจ้าจะคุ้มครองเขาอยู่บนสวรรค์”

เมื่อพนักงานขายได้ยินประโยคสุดท้าย ก็เบิกตากว้างจ้องมองมาที่เจี่ยนถง……เป็นอย่างนี้นี่เอง

หลังจากที่กลับมาจากห้าง ก็ตรงกลับบ้านไปเก็บกระเป๋า

ซีเฉินมารับเธอด้วยตัวเอง

ทุกอย่าง เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว

ในตอนที่เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า หัวใจของเธอ ก็หนักอึ้งจนไม่อาจหายใจได้อย่างปกติ

ฟ้ามืดแล้วก็กลับมาสว่าง ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงอิตาลี

เสิ่นซานเตรียมรถรอแล้ว ทันทีที่พวกเขาลงมาจากเครื่อง จะได้ตรงไปที่โรงพยาบาลเลย

ตลอดทาง หญิงสาวไม่ได้เอ่ยถามอะไร ไม่ได้ถามถึงความเป็นไปของผู้ชายคนนั้น ไม่ได้ถามว่าเขาจะรอดไหม หรือว่าพ้นขีดอันตรายแล้วหรือยัง

บริเวณหน้าห้องพยาบาล เสิ่นเอ้อยืนเฝ้าอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ คนที่อยู่กับเขา เจี่ยนถงเองก็รู้จัก เพราะล้วนแล้วแต่เป็นคนของเสิ่นซิวจิ่นทั้งนั้น ทุกคนสวมใส่ชุดสูทสีดำ บรรยากาศอึมครึม นิ่งเงียบ

ซีเฉินเอ่ยถามเสิ่นเอ้อ “ยู่สิงอยู่ข้างในเหรอ?”

ไป๋ยู่สิงเป็นคนที่มากับเสิ่นซิวจิ่นในครั้งนี้

“คุณชายไป๋อยู่ข้างในครับ”

เขาก้มหน้ามองหญิงสาวที่ยังคงนิ่งข้างกาย “พร้อมหรือยัง?” มือของเขากุมลูกบิดประตูเอาไว้

“เดี๋ยวก่อน”

หญิงสาวนิ่งเงียบมาตลอดทาง ไม่ได้ดื่มน้ำ ไม่ได้ทานข้าว เธอเงียบเกินไป ซีเฉินเห็นแบบนั้นก็ขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ เครื่องบินตกหลุมอากาศกี่ครั้ง เธอก็ไม่หือไม่อือ เพียงแค่มองออกไปนอกหน้าต่างนิ่งๆไม่พูดไม่จา

วันนี้ ถือเป็นคำแรกที่ผู้หญิงคนนี้พูดออกมา

แต่กลับทำให้ทุกคนรอบด้านตกใจ

เสียงของเธอแหบแห้งเหมือนเสียงประตูที่ขึ้นสนิมดังขึ้นมาอย่างขาดๆหายๆ

ทุกคนรู้ดี ว่าลำคอของเธอคงไม่ไหวแล้ว แต่ว่าเสียงแหบๆฟังไม่ได้ศัพท์นี้ ถึงขีดจำกัดที่ทำให้คนทนมองไม่ได้อีกต่อไป

เหมือนมีกระดาษทรายสองแผ่นมาขัดกันจนเกิดเป็นเสียง “สากๆ”

ไม่ว่าใคร ก็รับรู้ได้ว่าเธอเจ็บคอจบแทบจะไม่ไหวแล้ว

ซีเฉินอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือขึ้นมาบีบลำคอของตัวเองเบาๆ

“มีอะไรเหรอ?” เขามุ่นคิ้ว แล้วเอ่ยถามอย่างไม่พอใจเล็กน้อย

ทุกสายตาต่างจดจ้องมาที่ผู้หญิงที่ยืนอยู่หน้าประตู เพื่อรอฟังว่ามีเรื่องสำคัญอะไร

ผู้หญิงคนนั้นกลับหยิบตลับแป้งออกมา ส่องกระจกแต่งหน้า ราวกับว่ารอบข้างไม่มีคนมองอยู่

“เวลานี้ยังจะมีกระจิตกระใจมาแต่งหน้าอีกเหรอ?” ซีเฉินแสยะยิ้ม เริ่มไม่พอใจจริงๆแล้ว

เพียงแค่โทสะเหล่านั้น ถูกเขาเก็บซ่อนเอาไว้ภายใต้ความอดทน

ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้สนใจเขาเลยสักนิด เธอหยิบลิปสติกขึ้นมา ละเลียดทาลงบนริมฝีปากอย่างช้าๆ ไม่ว่าใครได้มาเห็น ต่างก็ต้องคิดว่าเธอเย็นชาไร้หัวใจเป็นที่สุด

“พอได้แล้ว!” ซีเฉินกดเสียงต่ำ

แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับหันมามองเขาแล้วถามว่า “สวยหรือยัง?”

“คุณอย่า…….” มากเกินไปได้ไหม!

“ถ้าเขาเห็น ก็คงละสายตาหนีไม่ได้ใช่ไหม” ซีเฉินพูดยังไม่ทันได้จบ ก็พบว่าหญิงสาวตรงหน้า ก้มหน้าลงเล็กน้อย แล้วพูดพึมพำอยู่คนเดียว

ชั่วขณะนั้น ลำคอของเขาก็ตีบตัน หัวใจเจ็บแปล็บๆ

“สวยแล้ว” ผ่านไปสักพัก เขาก็เสียงอ่อนลง “เข้าไปกันเถอะ ถ้าเขารู้ว่าคุณตั้งใจแต่งตัวมาหาเขา เขาคงดีใจมากแน่ๆ”

“อืม”

ทันทีที่เปิดประตูออก หญิงสาวที่แต่งตัวมาอย่างสวยงาม ก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตู

ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก ความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของเจี่ยนถงถูกขจัดออกไปจนหมด จากนั้นเผยรอยยิ้มสดใสออกมาแทน

เมื่อประตูเปิดออก ไป๋ยู่สิงที่ยืนพิงหน้าต่าง ก็หันไปมอง เมื่อเห็นเจี่ยนถงที่ยิ้มอย่างเบิกบาน เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ความโกรธเริ่มตีรวน แต่วินาทีต่อมา พลันความโกรธภายในใจของเขาก็ค่อยๆหายไป

“เข้ามาสิ”เขาถอนหายใจเบาๆ เธอไม่รู้เลยว่า รอยยิ้มสดใสบนใบหน้าของเธอ มองครั้งแรกดูสดใส มองครั้งที่สองดูลังเล มองครั้งที่สาม…มันดูเจ็บปวดอย่างที่สุด

หญิงสาวคนนั้นยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าประตู

ไป๋ยู่สิงหมุนตัว เดินเข้าไปหาเธอ ทันใดนั้นก็ยื่นแขนออกไป กระชากเธอเข้ามา “ไม่ต้องยิ้มแล้ว เขาไม่เห็นหรอก”

รอยยิ้มของหญิงสาว ค้างเติ่งอยู่บนหน้า

“ถูกยิงบริเวณหน้าอก ห่างจากหัวใจไม่ถึงสองเซ็น หลังจากเกิดเหตุ ก็ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ใช้เวลาแปดชั่วโมงช่วยชีวิต พอออกมาจากห้องผ่าตัด ก็ถูกย้ายมาที่ห้องไอซียู ตอนนี้สามารถช่วยชีวิตเอาไว้ได้ แต่อาการยังน่าเป็นห่วงอยู่”

“อาการยังไม่ค่อยดี……ไม่ดียังไง?”

ไป๋ยู่สิงมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างใกล้ๆ ถึงได้รู้ว่าผิวขาวๆของเธอถูกซ่อนอยู่ภายใต้แป้งหนาๆและลิปสติกสีแดง เขาจดจ้องบริเวณใต้ตาของเธอ จึงพบว่ามีสีดำคล้ำที่แป้งหนาๆยังแทบจะไม่สามารถปกปิดเอาไว้ได้

เขาไม่ได้ตอบทันที แต่จู่ๆเขาก็ “พลึบ” ดึงม่านด้านหลังออก เผยให้เห็นสภาพด้านใน

เจี่ยนถงไม่เคยเห็นเสิ่นซิวจิ่นในสภาพนี้มาก่อนเลย ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยสายระโยงระยาง ข้างกายเต็มไปด้วยเครื่องมือการแพทย์ เขานอนนิ่งๆอยู่บนเตียง นิ่งจนเหมือนไร้ชีวิต

ทางด้านหลัง เสียงของไป๋ยู่สิง ก็ดังเข้ามาในโสตประสาทหูของเธอ“คุณคงเห็นแล้ว ว่าตอนนี้เขาห่างสิ่งเหล่านี้ไม่ได้

ต้องพึ่งสิ่งเหล่านี้เพื่อติดตามชีพจรของเขาตลอดเวลา ก่อนที่คุณจะมาถึง ได้มีการช่วยเหลือฉุกเฉินไปแล้วห้าครั้ง

นั่นแปลว่า”

“ฉันเข้าใจแล้ว”เจี่ยนถงพูดออกไปก่อนที่ไป๋ยู่สิงจะพูดประโยคต่อจากนั้นออกมา นั่นแปลว่า คนคนนี้ สามารถไปจากโลกนี้ได้ตลอดเวลา

เธอเข้าใจความหมายของไป๋ยู่สิง แต่เธอไม่สามารถให้คนอื่นพูดประโยคนั้นออกมาได้

“ได้บอกตระกูลเสิ่น…..หรือยัง?”เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา เสียงของเธอก็สั่นเครือ เพียงแค่ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่เคยมีน้ำตาสักหยดให้เห็นก็เท่านั้น

ไป๋ยู่สิงส่ายหน้า “บอกแค่คุณเท่านั้น ความสัมพันธ์ภายในของตระกูลเสิ่นค่อนข้างยุ่งเหยิง ถ้าเรื่องของอาซิวหลุดออกไป อาจมีบางคนฉกฉวยโอกาสนี้โจมตีอาซิว”

ในหน้าของเจี่ยนถงซีดเผือด “ขอยืมโทรศัพท์หน่อย”เธอพูดด้วยความร้อนใจ

เมื่อได้โทรศัพท์จากไป๋ยู่สิง เธอก็กดโทรออกหาวิเวียนทันที “เรื่องที่ฉันมาต่างประเทศ เธอต้องเก็บเป็นความลับ สองสามวันนี้ก็อย่าพูดอะไร” พูดมาถึงตอนนี้ วิเวียนก็เข้าใจทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเสิ่นซิวจิ่นได้โดยปริยายว่าห้ามพูดออกไปเป็นอันขาด

จากนั้นเธอก็คืนโทรศัพท์ให้ไป๋ยู่สิง

“แล้วหัวของเขาเป็นอะไร?” หรือว่าหัวของเขาก็ได้รับบาดเจ็บด้วย?

“อาซิวล้มลงกับพื้นหลังจากถูกยิง หัวกระแทกราวบันได ไม่ใช่บาดแผลใหญ่อะไรหรอก”

“ฉันขอ…..อยู่กับเขาตามลำพังสักพักจะได้ไหม?”

ไป๋ยู่สิงมองลึกเข้าไปในดวงตาของเจี่ยนถง เขาหันหลังเดินออกไปอย่างเงียบๆ จนกระทั่งเสียงประตูห้องผู้ป่วยถูกปิดลงดัง“แกร็ก”

ภายในห้องผู้ป่วยที่เงียบสนิทจนทำใจหวิว

เธอยืนอยู่หน้าเตียงผู้ป่วย มองคนบนเตียงที่ยังไม่ได้สติอย่างเงียบๆ ความเศร้าปกคลุมไปทั้งตัวเธอ จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีน้ำตาสักหยด

กรอบตาแห้งผาก แต่กลับแดงไปทั้งแถบ

ความรัก ความเกลียดชัง ความเศร้าโศก ความเจ็บปวด ในดวงตาของเธอนั้นซับซ้อนจนแทบไม่มีใครกล้าสบตาในเวลานี้

ทุกอย่างเงียบงัน ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เธอกำลังคิดอะไรอยู่ เหลือแค่เธอที่อยู่ข้างเตียง ความรักและความเกลียดผสมผสานเข้าด้วยกัน ความเจ็บปวดและความเศร้าพัวพันกันยุ่งเหยิง มันซับซ้อนจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ เธอจ้องมองชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงราวกับไร้ชีวิตอย่างไม่กะพริบตา

ไป๋ยู่สิงกับซีเฉินไม่รู้เลยว่าเจี่ยนถงรู้สึกอย่างไรกันแน่ในช่วงเวลาที่โดดเดี่ยวเช่นนี้ ตกลงเธอกำลังคิดอะไรอยู่

เมื่อประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง การช่วยชีวิตเสิ่นซิวจิ่นก็เริ่มขึ้นอีกหน

เสียงฝีเท้าที่รีบเร่งภายในโถงทางเดิน ทุกครั้งที่มีการช่วยชีวิตเกิดขึ้น ทุกคนต่างพากันอกสั่นขวัญหาย

เจี่ยนถงดูเหมือนว่าจะถูกลืมไปเสียแล้ว ความคิดของทุกคนต่างก็โฟกัสอยู่กับชายหนุ่มที่กำลังได้รับช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

ไม่มีใครพูดคำใดออกมา จนกระทั่งถึงเวลาพลบค่ำ คุณหมอถึงได้ประกาศยกเลิกวิกฤตชั่วคราว

แต่ทว่ามันยังไม่จบลง ในห้าคืนห้าวันที่เธอเดินทางมาหาเขา วิกฤตความเป็นความตายในลักษณะแบบนี้ มักจะแผ่คลุมอยู่รอบตัวเขาเสมอ

ห้าคืนห้าวัน ครั้งที่สิบเอ็ด

ทุกครั้งที่มีการช่วยชีวิต เธอก็จะนับเลขต่อไปในใจ

เธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเธอต้องทำเช่นนี้

เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอยังจะมีเรี่ยวแรงไปโกรธแค้นเขาต่ออยู่หรือเปล่า

แม้แต่เธอยังไม่เข้าใจตัวเอง แล้วเธอจะไปเข้าใจเสิ่นซิวจิ่นได้อย่างไรกัน

ขณะนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ เช้าตรู่ที่มีความหวังอันริบหรี่

เธอคอยเฝ้าเขาอยู่ข้างเตียง จนเคยชินกับการจ้องมองแก้มที่ซีดเซียวไร้สีเลือดของเขาคืนแล้วคืนเล่า เธอเอาแต่มองเขาเงียบๆ จนเธอเหนื่อยล้าแทบทนไม่ไหว กระนั้นก็ไม่กล้าที่จะหลับ

ในเวลากลางดึก เธอก็จะมานั่งอยู่ข้างๆเตียง นั่งมองใบหน้าคุ้นเคยที่ในชีวิตนี้คงไม่มีวันลืม บางครั้งเธอก็นั่งมองจนปีศาจในตัวปรากฏออกมา พร้อมกับความคิดน่ากลัวที่ก่อขึ้นในใจ——ถ้าตายก็คงเป็นอิสระไปแล้ว

แต่เมื่อใดก็ตามที่เธอคิดว่าหากคนคนนี้ตายและหายไปจากโลกนี้ ความเจ็บปวดในใจของเธอก็ตีรวน มันแทบจะทำให้เธอหายใจไม่ออก

แม้แต่เธอเองก็ไม่รู้ ว่าอยากให้เขามีชีวิตอยู่ หรือหวังว่าเขาจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย

“คุณก็ไม่ได้อยากให้เขาฟื้นขึ้นมาไม่ใช่เหรอ?”ไป๋ยู่สิงกัดฟันถาม

เธอไม่สามารถให้คำตอบได้

“ถ้าเขาไม่ฟื้นขึ้นมา ตรงนี้ของคุณ ก็จะไม่เจ็บปวดใช่ไหมล่ะ!” ไป๋ยู่สิงชี้นิ้วไปที่อกด้านซ้าย ถามหญิงสาวที่น้ำตาสักหยดก็ไม่มี

เจ็บ!เจ็บสิ!แทบจะไม่ต้องให้ใครมาคิดแทน ความคิดของเธอก็กรีดร้องออกมาจากใจจริงแล้ว เจ็บ!เจ็บสิ!เจ็บมาก!

“ฉันเคยเจอกับความเจ็บปวดมาหลายแบบแล้ว”ที่เธอพูดแบบนี้ ไม่รู้ว่าไป๋ยู่สิงจะเข้าใจไหม และไม่รู้ว่ากำลังพูดกับไป๋ยู่สิงหรือพูดกับตัวเองกันแน่

เธอเคยเจอกับความเจ็บปวดมาหลายรูปแบบ ที่ถามเธอว่าถ้าเขาไม่ฟื้นขึ้นมาจะเจ็บปวดไหม เจ็บสิ ก็ต้องเจ็บอยู่แล้วแต่ก็มันก็แค่เจ็บ ถึงอย่างไรความเจ็บปวดนั้นมันก็ต้องตายด้านไปอยู่ดี

ใช่ ตายด้านไปแล้ว เธอพูดในใจกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับว่าทำอย่างนี้แล้วจะไม่เจ็บปวดอีก แต่ว่าทำไมเธอกลับรู้สึกหนักอึ้งจนหายใจไม่ออกอย่างนี้ล่ะ “ฉันจะออกไปสูดอากาศ”

ไป๋ยู่สิงได้แต่ยืนกำหมัดแน่นอยู่ข้างหลังเธอ เขารู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์ตำหนิเธอ แต่เขากลับไม่พอใจในความเย็นชาและความไร้หัวใจของเธอ

แต่ถ้าเธอเย็นชาและไร้หัวใจจริงๆ แล้วทำไมหลายคืนที่ผ่านมา เธอถึงดูแลคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่ยอมลุกไปไหนเลยล่ะ

ไป๋ยู่สิงหันไปมองเสิ่นซิวจิ่นที่นอนอยู่บนเตียงอย่างเงียบๆ

……

คืนหนึ่ง

เป็นคืนเดียวที่เธอผล็อยหลับไปอย่างเหน็ดเหนื่อย

เธอฟุบหลับอยู่ข้างเตียงอย่างเหนื่อยล้า

ในตอนเช้าตรู่ เธอถูกปลุกด้วยเสียงรบกวน

เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นคนมากมายอยู่รอบเตียง

ในตอนแรกสายตาเธอมองเห็นไป๋ยู่สิงและซีเฉินอยู่อีกฟากหนึ่งของเตียง เพียงแต่ว่าใบหน้าของพวกเขากลับดูตื่นเต้น ราวกับว่าทุกคนกำลังมองมาที่……เธอมองตามสายตาของพวกเขา มองมายังเตียงผู้ป่วย…….ทันใดนั้น!

ตาก็เบิกโพลงทันที!

เธออ้าปากค้างด้วยความตะลึงงัน จ้องมองชายหนุ่มบนเตียงที่มองมาที่เธอตาปริบๆอย่างอึ้งๆ

ตาปริบๆ??

ทันใดนั้นก็ได้สติขึ้นมา หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

เสิ่นซิวจิ่น ฟื้นแล้ว!

หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความปีติยินดี แต่ในวินาทีต่อมาก็สำเหนียกตัวเองขึ้นมาได้ ความคิดหลอกตัวเองว่าเกลียดเขาแผ่ปกคลุมทั่วหัวใจ………..จะไปยินดีกับเขาทำไมกันนะ?

จะไปยินดีกับเขาทำไมอีก?

เธอนำเอาความเกลียดชังที่มีระบายใส่เขา โดยอาศัยคำพูดเข้าโจมตี

“ฉันไม่เสียน้ำตาให้คุณสักหยด ไม่ได้ร้องไห้ให้กับคุณด้วย”

ในตอนนี้ ทุกคนได้จ้องมองมาที่เธอ ซีเฉินข่มความโกรธแล้วพูดออกไปว่า “มากเกินไปแล้วนะ!”

“อาซิวเพิ่งจะฟื้น คุณก็มาพูดแดกดันใส่เขาแบบนี้เลยเหรอ?หรือว่าคุณอยากให้เขาตายจริงๆ?”ไป๋ยู่สิง เอ่ยตามหลังมา

เจี่ยนถงพูดจบ ก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที แต่กลับปฏิเสธที่จะแสดงความอ่อนแอและไม่พูดขอโทษ เธอเม้มริมฝีปากแน่นไม่พูดอะไร ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมา

“พี่สาว เกลียดผมขนาดนั้นเลยเหรอ?”เสียงชายหนุ่มร่างใหญ่พูดขึ้น ดูเศร้าสร้อยราวกับเด็กที่ไม่ได้รับความรัก

เจี่ยนถงจ้องไปที่ชายหนุ่มบนเตียงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า“คุณ…….”

“อาซิว เป็นอะไรไป……..”ไป๋ยู่สิง เอื้อมมือไปหาชายหนุ่มที่อยู่บนเตียงอย่างร้อนรน

“อย่ามาแตะต้องตัวผมนะ!”ผู้ชายบนเตียงถดตัวถอยด้วยความกลัว ซีเฉินก้าวไปข้างหน้า เพราะกลัวว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บ

“อาซิว อย่าเพิ่งขยับ ระวังแผลด้วย”

คราวนี้ ปฏิกิริยาของอีกคนเริ่มรุนแรงขึ้น ถึงขั้นยื่นแขนที่เต็มไปด้วยสายน้ำเกลือ สะบัดกวัดแกว่งไปทางซีเฉินที่จู่ๆก็พุ่งตัวเข้ามา

“อาซิว เป็นอะไรไป?ฉัน!ฉันเอง!ซีเฉินไง!”

ไป๋ยู่สิงยื่นมือออกไปคว้าตัวซีเฉินที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง “ใจเย็นก่อน อาซิวยังอยู่ในสภาวะที่ไม่คงที่”

“พวกคุณเป็นใครกัน?ออกไปนะ ออกไปเลย” คำพูดคำจาราวกับเด็ก เขามองดูกลุ่มคนที่อยู่รายรอบเตียงผู้ป่วยด้วยสายตาที่หวาดกลัวและตื่นตระหนก ทันใดนั้น สายตาก็พลันไปเจอหญิงสาวที่อยู่ข้างเตียง เขาก็สงบลงทันที

วินาทีต่อมา เขาไม่ได้คำนึงถึงสายระโยงระยางบนตัว ท่ามกลางสายตาที่ตระหนกตกใจของทุกคน เขาก็โถมตัวเข้าใส่เจี่ยนถง แล้วพูดออกมาอย่างน่าสงสารว่า

“พี่สาว ผมกลัว”

เจี่ยนถงตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ เธอโน้มศีรษะมองชายหนุ่มร่างใหญ่ในอ้อมกอดที่กำลังร้องของความช่วยเหลือ

ไม่ใช่แค่เธอ คนอื่นๆก็ต่างพากันยืนอึ้งเป็นหิน เฝ้าดูฉากแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในตอนนี้

“เอ่อคือ……อาซิว?” ซีเฉินใช้น้ำเสียงที่แม้ตัวเองยังแปลกใจ เพื่อคลายความสงสัยของทุกคนในตอนนี้

สีหน้าของไป๋ยู่สิงอึมครึมทันที เขาตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“เร็วเข้า!รีบแจ้งด็อกเตอร์รุเตร”

ด็อกเตอร์รุเตรเป็นแพทย์ประจำของเสิ่นซิวจิ่น

“พี่สาว ช่วยบอกให้พวกเขาออกห่างจากผมจะได้ไหม?”

เจี่ยนถงมองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเสิ่นซิวจิ่น ที่ประดับไปด้วยความหวาดกลัวราวกับเด็ก เธอสังเกตเห็น เสื้อของเธอถูกมือคู่หนึ่งจับไว้แน่น ปฏิกิริยาของเธอเชื่องช้า…….นี่ใช่…….ผู้ชายคนนั้นจริงๆเหรอ?

ด็อกเตอร์รุเตรมาแล้ว เขารู้ดีว่าอาการของผู้ป่วยมีความผิดปกติ แต่ชายหนุ่มบนเตียงกลับไม่ยอมให้ความร่วมมือกับการตรวจ เอาแต่เกาะเจี่ยนถงอยู่อย่างนั้น มือทั้งสองข้างจับเสื้อของเจี่ยนถงเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

ด็อกเตอร์รุเตรจนปัญญา“คุณเสิ่นปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ”

สายตาของทุกคนหันไปมองที่เจี่ยนถงในทันที สีหน้าของเจี่ยนถงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ในเมื่อเขาไม่ให้ความร่วมมือ เธอก็คงทำอะไรไม่ได้หรอก

“ตอนนี้เขาฟังแค่คุณคนเดียว”ไป๋ยู่สิงพูดเสียงนิ่ง

ความหมายก็ชัดเจนในตัวมันอยู่แล้ว

สายตาของทุกคนในห้องนี้ต่างจ้องมาที่เจี่ยนถง เธอถอนหายใจ เธอไม่ถนัดประนีประนอมเกลี้ยกล่อมเด็กอย่างเสิ่นซิวจิ่น

เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับชายหนุ่มร่างใหญ่ แต่สติปัญญากลับเป็นแค่เด็กที่ยังไม่โต

ผลพิสูจน์ว่า……..

“คุณเสิ่นจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตไม่ได้เลย”

ไป๋ยู่สิงก็เป็นบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเขาเหมาะที่สุดที่จะต่อประโยคสนทนากับด็อกเตอร์รุเตร“คุณจะบอกว่า เขาความจำเสื่อม ?”

“ไม่ใช่ครับ ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด รู้เพียงแต่ว่าความคิดความอ่านของคุณเสิ่น ย้อนกลับไปช่วงอายุแปดขวบ”

ปฏิกิริยาของไป๋ยู่สิงดูเคร่งขรึม “นั่นก็แปลว่า ในตอนนี้เขามีความคิดและความเข้าใจเท่าเด็กปวดขวบ?”

ด็อกเตอร์รุเตรเอ่ยพูดอย่างสงสาร

“ไม่ต้องกังวลนะครับ เคสแบบนี้อาจจะดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป หรือบางทีถ้ามีเรื่องราวอะไรมากระตุ้น ก็จะสามารถดีขึ้นได้”

คนเป็นหมออย่างไป๋ยู่สิงรู้ดีว่านี่เป็นคำพูดปลอบโยนโดยทั่วไปของคนเป็นหมอ อาการของผู้ป่วยอาจหายได้ภายในหนึ่งหรือสองเดือน บางทีอาจจะสามถึงห้าปี หรืออาจจะนานกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ

“ข่าวดีก็คือ คุณเสิ่นฟื้นขึ้นมาแล้ว สัญญาณชีพจรของเขาก็อยู่ในสภาวะปกติ”

ด็อกเตอร์รุเตรออกจากห้องผู้ป่วยไป

เจี่ยนถงมองไปยังชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ใบหน้าที่คุ้นเคย บัดนี้กลายเป็นสีหน้าที่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย——ดูระแวงราวกับเด็กไม่มีผิด

“พี่สาว ผมทำให้พี่อารมณ์เสียเหรอ?”

ลำคอของเจี่ยนถงเริ่มแห้งผาก เธอส่ายหน้าด้วยท่าทีที่ซับซ้อน

“แล้วทำไมดูไม่มีความสุขเลยล่ะ?”

คำพูดของเด็กมักจะไร้เดียงสา แต่ในเวลานี้เจี่ยนถงกลับหันหน้าหนีด้วยความอนาถใจ

พักสังเกตอาการในโรงพยาบาลที่อิตาลี จนกว่าสถานการณ์ของเสิ่นซิวจิ่นจะดีขึ้น ถึงจะกลับไปที่เมือง S

แต่………..

มองดูนิ้วมือที่เรียวยาวตรงชายเสื้อของตัวเอง เจี่ยนถงบอกไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกยังไง

แล้วมองไปที่ดวงตาที่ระมัดระวังของเด็กทุกอย่างเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน

เรื่องนี้ ไม่ค่อยมีคนรู้ นอกจากไป๋ยู่สิงและซีเฉิน แล้วยังมีพวกบอดี้การ์ดที่ติดตามเสิ่นซิวจิ่นมาตั้งแต่เด็ก

จากเสิ่นเอ้อจนถึงเสิ่นสือทั้งแปดคนจะไม่มีใครเปิดเผยแน่นอน(ในภาษาจีนเอ้อแปลว่าสอง สือแปลว่าสิบ)

ไป๋ยู่สิงและ ซีเฉินยิ่งไม่มีทาง

แต่ คนคนนี้เปลี่ยนไปจริงๆ

ตอนที่อยู่อิตาลีก็ยังโอเค แต่เมื่อกลับมาถึงเขตเมือง S ก็ยากที่จะรับประกันว่าจะไม่มีใครรู้

ณ เวลานั้น แต่ก็คิดวิธีอื่นไม่ออก

ไป๋ยู่สิงค่อนข้างมีสติ “ตอนนี้ทำได้เพียงให้อาซิว‘ลาพักผ่อน’”

ซีเฉินพยักหน้าอย่างหนัก“ตอนนี้ก็คงทำได้เพียงเท่านี้ แต่หวังว่าอาการของอาซิวจะดีขึ้นในระยะเวลาสั้นๆนี้”

แม้ว่า จะกล่าวเช่นนี้ แต่ทุกคนก็รู้ในใจว่า ความเป็นไปได้นั้น น้อยมาก

“ห้ามให้โลกภายนอกรู้สถานการณ์จริงของอาซิวโดยเด็ดขาด” ไป๋ยู่สิงไตร่ตรองสักครู่ “อย่าลืมนะ ในตระกูลเสิ่นยังมีลู่หมิงชูคนคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นท่านแก่เสิ่นหรือลู่หมิงชูต่างก็ไม่ได้โง่ คงจะไม่ยอมปล่อยโอกาสครั้งนี้ไปแน่นอน

เวลานี้ ถ้าสามารถถ่วงเวลาได้นานแค่ไหนก็ถ่วงไว้นานเท่านั้นก่อน”

“เช่นนั้นก็ตามนี้ก่อน ฉันจำได้ว่าที่เกาะฉงหมิงอาซิวมีคฤหาสน์ส่วนตัวอยู่หนึ่งหลัง

ที่แห่งนั้น ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองมีประชากรเบาบาง มีความเป็นส่วนตัวสูง ทิวทัศน์ก็ดี เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการพักผ่อน”

ตอนนี้ก็คงทำได้แค่นี้

แม้แต่เจี่ยนถง ก็คิดหาวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว

“ช่วงที่อาซิวไม่อยู่ที่บริษัท ก็ต้องมีคนคอยจัดการบริหารงานในบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปทุกอย่าง”

นี่เป็นปัญหาใหม่

ซีเฉินตบฝ่ามือหนึ่งที “เรื่องนี้ไม่ยาก ให้อาซิวออกคำสั่งชั่วคราว คุณกับฉันก็เป็นตัวแทนของอาซิวอยู่แล้ว ก็ถือว่าเป็นมือซ้ายมือขวาของอาซิว ในเวลานี้ออกมาช่วยดูแลบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ทุกคนก็คงจะไม่สงสัย

เหตุการณ์เช่นนี้ เมื่อก่อนก็เคยมี”

พูดแล้วหันไปมองเจี่ยนถง

เจี่ยนถงแตะจมูก จะมองเธอทำไม?

“แต่ภายใต้แผนการทั้งหมด ต้องการความร่วมมือจากคุณ ‘คุณนายเสิ่น’”

ซีเฉินพูดอย่างจริงจัง และเน้นหนักที่สามคำนี้

และในเวลานี้สมองของเจี่ยนถงกำลังสับสน พยักหน้าอย่างมึนๆ

ตอนนี้เธอก็ยังคงยอมรับไม่ได้ อยู่ดีๆก็กลายเป็นแบบนี้

ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ไป๋ยู่สิงและซีเฉินก็ลงมือทำทุกอย่าง

หลังจากกลับมาเมืองSจากอิตาลี ก็ไม่ล่าช้า เพราะครั้งนี้เสิ่นซิวจิ่นอยู่ที่อิตาลีใช้เวลาค่อนข้างนาน ทางด้านท่านแก่เสิ่นก็เหมือนจะรู้ตัวบ้าง ขณะที่เสิ่นซิวจิ่นกลับมาถึงเมืองS ก็ให้คนไปแจ้งว่า “คุณปู่คิดถึงคุณชาย หวังว่าคุณชายจะกลับบ้านใหญ่ด้วย”

บนชั้นสองของคฤหาสน์ตระกูลเสิ่นหลังราวบันได มีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ พูดด้วยสีหน้าเย็นชา “กลับไปเรียนท่านปู่ ช่วงนี้งานค่อนข้างยุ่ง ให้ท่านปู่ดูแลสุขภาพด้วย”

คนที่มาบ้านใหญ่ที่อยู่ชั้นล่างไม่ได้รับผลตอบรับที่ดี มองดูผู้ชายที่อยู่หลังราวบันได แล้วก็เดินออกไป

เมื่อคนคนนั้นออกไปแล้ว คนหลังราวบันได ชายผู้นั้นเปลี่ยนสีหน้าทันที หันกลับมาขอคำชมอย่างใจจดใจจ่อ

“พี่สาว ฉันทำได้ดีไหม?”

เจี่ยนถงยืนอยู่หลังเขาอย่างเงียบๆ

“ดี……..” เธอเปิดปากชม เมื่อกี้ เธอเกือบจะคิดว่า ความจำเสื่อม ลืมทุกอย่าง ทั้งหมดล้วนเป็นของปลอม เขาแกล้งทำทั้งนั้น

ความเย็นชา และน้ำเสียงที่เยือกเย็น ถ้าไม่ใช่ตัวตนของเสิ่นซิวจิ่น แล้วใครจะที่เหมือนได้ขนาดนี้?

แต่ความคิดนี้เป็นเพียงชั่วพริบตาก็ถูกผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าแย่งเอาความดีเข้าตัว ทำลายกับมือตัวเอง

ถ้าเสิ่นซิวจิ่นมีสติจริงๆ เขาจะแสดงความอ่อนแอง่ายๆได้อย่างไร?

สีหน้าแววตาที่เอาใจเอาความดีเข้าตัว……..เจี่ยนถงนึกภาพไม่ออก ถ้าผู้ชายตรงหน้า มีสติจริงๆ คงไม่มีทางแสดงสีหน้าในตอนนี้แน่นอน

เสิ่นซิวจิ่นที่โดดเดี่ยว

เสิ่นซิวจิ่นที่เย็นชา

เสิ่นซิวจิ่นที่ไม่แยแส

เสิ่นซิวจิ่นที่โหดร้าย

ซึ่งไม่มีเสิ่นซิวจิ่นที่แสดงความอ่อนแอเพื่อเอาใจเอาความดีเข้าตัว

เธอก็พูดอะไรไม่ได้

แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่รู้สึก ในใจ พยายามที่จะมองข้ามความเหงาและความผิดหวัง

“ฉันทำได้ไม่ดีใช่ไหม?” บนชายเสื้อ มือข้างนั้นก็ยื่นมาอีกครั้ง เจี่ยนถงตะลึง ในขณะที่ตื่นตระหนก ก็ดึงสติกลับมา ไม่รู้เมื่อครู่นี้สติล่องลอยไปไหนมา

“ดี”

ดวงตาของคนคนนั้นเป็นประกายขึ้นอีกครั้ง รีบเอาศีรษะใกล้เข้าไปทันที

“………ทำอะไร?” มองดูศีรษะที่ดำ เจี่ยนถงงงเล็กน้อย

“รางวัล พี่ยู่สิงพูด ทำได้ดี พี่สาวจะมีรางวัลให้” คนคนนั้นเงยหน้าขึ้นทันที โชว์หน้าออกมาเล็กน้อย บนใบหน้าที่หล่อเหลานั้นในดวงตาสีดำคู่นั้น เต็มไปด้วยความปรารถนา

“……..” เธออ้างค้าง ในใจรู้สึกผิดหวังอีกครั้ง ……จริงเหรอ? จำอะไรไม่ได้เลยเหรอ?

“ไม่มีรางวัลเหรอ” แววตาของคนคนนั้น เกือบจะร้องไห้ออกมาออกแล้ว

เจี่ยนถงจัดริมฝีปาก “มี อาซิวทำได้ดีมาก” เธอมีความรู้สึกที่พูดไม่ค่อยออก เอื้อมมือไป ลูบศีรษะดำๆที่อยู่ตรงหน้า

เวลาต่อมา ไหล่หนักขึ้น เธอมองดูผู้ชายที่เอาหัวพิงบนไหล่ของเธอด้วยความตะลึง เห็นด้านข้างของหน้าอย่างคลุมเครือ ด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ

เป็นความสุขที่บริสุทธิ์

“คุณ……จำอะไรไม่ได้แล้วจริงๆเหรอ?”

คำพูดนี้ ติดอยู่ในลำคอ สุดท้าย เธอก็ไม่ได้พูดออกไป

ไป๋ยู่สิงเดินมาจากด้านหลัง “ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ส่งอาซิวไปได้แล้ว”

รถคันหนึ่ง ออกมาจากบ้านตระกูลเสิ่นวิ่งขึ้นทางด้วยมุ่งหน้าสู่เกาะฉงหมิง

ระหว่างทางไม่มีการพูดคุย รถขับไปเรื่อยๆบนทางหลวงเจี่ยนถงมองด้านข้าง มองดูผู้ชายคนนั้นที่พิงไหล่ของตัวเองแล้วหลับไป

เธอคิดถึงอดีต ทั้งเรื่องดีและไม่ดี เธอตอนก่อนติดคุก และหลังติดคุก

ในความทรงจำของเธอ คนคนนี้ครอบครองครึ่งชีวิตของเธอ ทุกๆภาพในความทรงจำ ล้วนมีภาพของคนคนนี้อยู่ด้วย

แต่ในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ก่อนติดคุกหรือหลังติดคุก ก็มีเพียงเธอคนเดียวที่จำมันได้ แต่คนที่อยู่เป็นอีกส่วนในชีวิตเธอ เขากลับจำอะไรไม่ได้เลย

ฝ่ามือที่วางบนขา มันกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว กำไว้แน่นจนฝ่ามือของเธอมีรอยเล็บเต็มไปหมด

จนในอากาศเต็มไปด้วยความอึมครึม เธอหันศีรษะมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างกะทันหัน มองฉากนอกรถที่ถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว ในหัวใจค่อยๆหายไปทีละน้อย

เขา จำไม่ได้แล้ว

ความรักความเกลียด ความทุกข์และสิ่งพัวพันเหล่านั้น มันได้กลายเป็นความทรงจำของเธอคนเดียวแล้วจริงๆ

สิ่งที่ซ่อนอยู่ หมัดที่กำไว้อย่างแน่นบนขา สั่นเล็กน้อย เหมือนกำลังอดทนกับอะไรบางอย่างอยู่

รถลงจากทางด่วนขับไปทางชานเมือง ยิ่งขับก็ยิ่งห่างไกลมากขึ้นเรื่อยๆ

เลี้ยวเข้าไปในถนนเล็กๆที่ไม่โดดเด่น ต้นไม้สูงตระหง่านสองข้างทาง

แล้วขับต่อไปอีกสี่สิบนาที จึงจะเห็นบ้านที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางต้นไม้อยู่ไม่ไกล

“ถึงแล้ว”

หลายคนลงรถ คนคนนั้นหลับสนิทมาก ไป๋ยู่สิงก้มลง ค่อยๆดึงเสิ่นซิวจิ่นออกจากไหล่ของเจี่ยนถง แล้วช่วยกันแบกคนคนนั้นกับซีเฉินคนละข้าง เดินเข้าไปในคฤหาสน์

ซีเฉินได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว

เสิ่นเอ้อกับเสิ่นซานมาถึงที่นี่ก่อนล่วงหน้าแล้ว

ตอนนี้ คฤหาสน์ที่เงียบแห่งนี้ ในที่สุดก็มีคนมา

เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็สั่งเสิ่นเอ้อกับเสิ่นซานอยู่ที่นี่ ดูแลเสิ่นซิวจิ่นให้ดี

เจี่ยนถงกับไป๋ยู่สิงและซีเฉินพวกเขา ก็รีบกลับเมือง Sทันที

ไป๋ยู่สิงกับซีเฉินยังมีธุระอีกมากมายที่ต้องไปจัดการ

บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปที่เมือง S จะขาดคนดูแลไม่ได้ มิฉะนั้น จะทำให้เกิดความสงสัยได้

เสิ่นซิวจิ่นเขา เพียงแค่ “ลาพักผ่อน” เท่านั้น

เจี่ยนถงยังต้องดูแลทุกส่วนของเจี่ยนซื่อกรุ๊ป

ไม่เพียงแต่เจี่ยนซื่อกรุ๊ป ยังมีตระกูลเจี่ยนด้วย

ทุกอย่างเรียบร้อยดี

เสิ่นเอ้อโทรมา บอกว่าหลังจากที่ตื่นมา ก็เรียกหาแต่พี่สาวของเขา

เขากับเสิ่นซานต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จึงจะเกลี้ยกล่อมคนคนนั้นไว้ได้

ส่วนวิธีการเกลี้ยกล่อมนั้น ก็ไม่ได้บอกอย่างละเอียด

แต่คนคนนั้นถูกเกลี้ยกล่อมจนไม่สร้างปัญหาอีก อยู่ที่เกาะฉงหมิงอย่างเงียบๆ ในคฤหาสน์ที่เงียบสงบแห่งนั้น

เจี่ยนถงก็ยุ่งจนแทบไม่ได้หยุดพักเลย

ระหว่างที่เธอเดินทางไปอิตาลีติงหน่วนเคยมาหาเธอ วิเวียนก็ให้เหตุผลว่าเธอออกไปทำงานนอกสถานที่ แล้วติงหน่วนก็กลับไป

แต่ในตอนนี้ เธอกลับมาแล้ว ติงหน่วนก็กลับมาหาเธออีกครั้ง

“คุณนายเสิ่น ที่โรงพยาบาลติดต่อมา บอกว่าผลการจับคู่ออกมาแล้ว” ติงหน่วนพูดอย่างระมัดระวัง “ฉันกำลังรอคุณไปโรงพยาบาลพร้อมกัน”

“คุณดูสิ คุณออกไปทำงานนอกสถานที่ ฉันก็ไม่กล้าไปโรงพยาบาลคนเดียว พวกเราไปรับผลตรวจที่โรงพยาบาลพร้อมกัน ว่าผลตรวจเป็นอย่างไร ตอนนี้ฉันเองก็ไม่รู้เช่นกัน”

ติงหน่วนกำลังอธิบาย

เจี่ยนถงยกแขนขึ้นมา มองดูนาฬิกาที่ข้อมือ โทรภายใน “วิเวียน เตรียมรถให้ด้วย”

เวลาที่เธอสามารถแบ่งออกมาได้นั้นไม่มาก

เมื่อพวกเธอไปถึงที่โรงพยาบาล ถึงได้รู้ว่า คุณหญิงเจี่ยนก็อยู่ด้วย เจี่ยนโม่ป๋ายหน้าซีด ยืนอยู่ตรงนั้น

เจี่ยนถงมองอยู่ไกลๆ ทันใดนั้นในใจก็รู้สึกแปลกๆ

เจี่ยนโม่ป๋ายผอมลงเยอะมาก

เธอเหลือบมองไปสายตามองไปที่คุณหญิงเจี่ยน “คุณหญิงเจี่ยนก็มาด้วยเหรอ”

“เสี่ยวถง” ใบหน้าของคุณหญิงเจี่ยนดูแก่ชราลงเยอะมาก ขอบตาร่องน้ำตรงหางตาก็ชัดขึ้น

เจี่ยนถงมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นคนที่สมควรอยู่ตรงนี้ “ทำไม?เรื่องสำคัญเช่นนี้ คุณเจี่ยนถึงไม่อยู่ที่นี่?”

เจี่ยนเจิ้นตงไม่ได้มา

เรื่องที่เกี่ยวข้องกับลูกชายทั้งสองคนของเขา เจี่ยนเจิ้นตงในฐานะที่เป็นพ่อ มีเพียงเขาคนเดียวที่ไม่อยู่ที่นี่ในเวลานี้

เจี่ยนถงแสดงการเสียดสีออกทางสายตา มองผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ติงหน่วนสีหน้าดูเขินๆหน่อย“เจิ้นตงเขาเป็นหวัด พักอยู่ที่บ้าน ก็เลยไม่ได้มา”

เธอไม่เปิดปากพูดจะดีกว่า เมื่อเธอพูดออกมา คุณหญิงเจี่ยนที่อยู่ข้างๆก็อดกลั้นไม่ไหว “เจิ้นตงเจิ้นตงเรียกอย่างใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก ก็ของเน่าที่ยั่วผู้ชายที่เขามีเมียแล้ว”

ติงหน่วนสีหน้าดูแย่ทันที “คุณหญิงเจี่ยน ที่นี่เป็นที่สาธารณะนะ!” เธออดทน กำหมัดไว้อย่างแน่น

“เป็นที่สาธารณะแล้วจะทำไม คนเล่นชู้อย่างพวกคุณ กล้าทำเรื่องที่ไร้ยางอายเหล่านี้ แล้วคนอื่นไม่มีสิทธิ์พูดหรือไง?”

คุณหญิงเจี่ยนยิ่งดูถูกเหยียดหยามไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น

เจี่ยนถงเม้มริมฝีปาก “คุณหญิงเจี่ยนคุณติง พวกเราไปรับผลรายงานกันเถอะ” เธอจะไม่มีทางห้ามมวยสองคนนี้แน่นอน แต่ ก็ไม่มีเวลาอยู่ที่นี่นานพอ ที่จะมาฟังเมียหลวงกับเมียน้อยของเจี่ยนเจิ้นตงมาถกเถียงกัน

ดูเหมือนเหนื่อยหน่อย ช่วงนี้เหนื่อยเป็นพิเศษ โดยเฉพาะหลังจากกลับจากอิตาลีเจี่ยนถงก้าวไปข้างๆครึ่งก้าว เอนหลังพิงกำแพงเล็กน้อย

หลังจากผลจับคู่ ออกมาแล้ว คุณหญิงเจี่ยนแย่งไปอย่างรวดเร็ว อ่านหนึ่งรอบ เหมือนไม่กล้าเชื่อ พลิกดูรายงานอย่างใจจดใจจ่ออีกครั้ง

เจี่ยนโม่ป๋ายก็ถามอย่างใจจดใจจ่อ

“แม่ ประสบความสำเร็จไหม?ประสบความสำเร็จหรือยัง?”

การเร่งของเขา ไม่ต้องพูดก็เห็นได้ชัด

คุณหญิงเจี่ยนหน้าซีด เจี่ยนโม่ป๋ายแย่งมาแล้ว เมื่อเขาได้รายงานมา ก็รีบอ่านดูอย่างรวดเร็ว หลังจากเห็นผลแล้ว เดินเซไปสองสามก้าว นั่งลงบนเก้าที่พิงกำแพง “ทำไมถึง……..”

“ฉันไม่เชื่อ……..ฉันไม่เชื่อ………”

เจี่ยนถงยื่นมือออกมาหนึ่งข้าง แล้วรับรายงานฉบับนั้นมา

เมื่อเห็น ก็ขมวดคิ้ว ……ไม่สำเร็จเหรอ?

ยังไม่สำเร็จอีกเหรอ?

แล้วมองเจี่ยนโม่ป๋ายที่กำลังตกตะลึง เธออยากพูดอะไรเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา

แต่เจี่ยนโม่ป๋ายเหมือนคิดอะไรออก จับมือของเจี่ยนถงไว้

“เสี่ยวถง ตอนนี้มีเพียงคุณเท่านั้นที่สามารถช่วยฉันได้”

เขาเอาความหวังทั้งหมดที่มี เดิมพันที่เธอ

ใจของเจี่ยนถงจมลงกะทันหัน

“ปล่อย”

“เสี่ยวถง คุณจะช่วยพี่ใช่ไหม” เจี่ยนโม่ป๋ายจับมือของเจี่ยนถงไว้แน่น ยิ่งจับยิ่งแน่น มองเจี่ยนถงอย่างมีความหวัง “ใช่ไหม?”

หัวใจของเธอยิ่งอยู่ยิ่งจมลงเรื่อยๆไม่พยายามเอามือของเจี่ยนโม่ป๋ายออกอีก แค่มองตาอีกฝ่าย จ้องมองอยู่สักพัก ภายใต้สายตาที่กังวลของเจี่ยนโม่ป๋าย แล้วพูดเบาๆว่า

“คุณจะให้ฉัน คนที่มีไตเพียงข้างเดียวมาช่วยคุณ แล้วฉันควรทำอย่างไร”

ไม่เกี่ยวข้องกับอะไรทั้งนั้น ไม่ใช่เพื่อวัตถุประสงค์ใดๆ เธอแค่อยากรู้ว่า ในใจของ“พี่ชาย” คนที่เกิดจากแม่คนเดียวกันกับเธอ โตมาด้วย เขาจะวางแผนอนาคตอย่างไรให้เธอ

เธอแค่อยากรู้คำตอบของคำถามนี้เขาเจี่ยนโม่ป๋าย คำตอบของพี่ชายของเจี่ยนถง

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเหรอก เสี่ยวถงคุณแข็งแกร่งและกล้าหาญมาตั้งแต่เด็ก” เจี่ยนโม่ป๋ายพูดอย่างเร่งรีบ “คุณดูสิ คุณฆ่าคนตายโดยไม่ตั้งใจ ก็ติดคุกแค่สามปี ก็ถูกปล่อยออกมาแล้ว ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่”

เสี่ยวถงคุณโชคดีมาตั้งแต่เด็ก จะไม่เป็นไรแน่นอน อีกอย่าง คุณเสียไตไปหนึ่งข้าง ตอนนี้ก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติดีไม่ใช่เหรอ?”

วิเวียนสีหน้าเปลี่ยนกะทันหัน “เจี่ยนโม่ป๋าย คำพูดของคุณเป็นคำพูดของมนุษย์เหรอ!”

ความเฉียบแหลมทางสายตาของเธอ รีบพยุงร่างกายที่เซของเจี่ยนถง “ประธานเจี่ยน……..”

เธอยังพูดไม่จบ เจี่ยนถงจู่ๆก็ยกมือห้ามเธอพูด และพูดอย่างเฉียบขาด “หยุดพูดได้แล้ว”

เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้น มองไปที่เจี่ยนโม่ป๋ายเป็นความแปลกและความไม่เข้าใจเป็นอย่างที่สุด ภายใต้สายตาของเจี่ยนโม่ป๋าย เอื้อมมืออีกข้าง ค่อยๆแกะมือของเจี่ยนโม่ป๋ายที่จับมือเธอไว้อย่างแน่นออก

“คุณชายเจี่ยนพักรักษาตัวไม่ต้องกังวล คนดีๆจะต้องได้รับการช่วยเหลือจากสววรค์เบื้องบนแน่นอน”

เสียงของเธอ เบามากจนไม่สามารถเกิดคลื่นได้ เบาจนลมพัดไปได้ เอื้อมมือออกไปช้าๆวางบนแขนของวิเวียน ไปข้างหูวิเวียนแทบพูดไม่ออก “ช่วยพยุงฉันลงไปข้างล่าง”

ถ้าวิเวียนไม่ได้มีการฟังที่ดีเยี่ยม ก็คงจะนึกว่าเจี่ยนถงไม่ได้พูดอะไร

“เสี่ยวถง…….” ด้านหลัง มีเสียงร้องไห้ของคุณหญิงเจี่ยนดังมา

วิเวียนหันไปมองอย่างกะทันหัน สายตาคมเหมือนมีด จ้องมองสองแม่ลูกคู่นั้น “อย่าเข้ามา เป็นคนอย่างทำตัวไร้ยางอายเช่นนี้!”

เธอพยุงเจี่ยนถงรู้สึกได้ว่า ผู้หญิงในอ้อมแขนภายใต้การแสดงออกที่ไม่แยแสร่างกายที่สั่นเทา

เมื่อออกมาจากอาคาร วิเวียนก็เห็น ผู้หญิงที่ยืนหลังตรง ล้มลงกะทันหันพิงที่ตัวเธอ “เจี่ยนถง พวกเขา…….” ทำเกินไปจริงๆ

“พยุงฉันขึ้นรถ ส่งฉันกลับไปที่บริษัท”

“อะไรนะ ยังจะกลับบริษัทอีกเหรอ?” ในสภาพเช่นนี้?

วิเวียนมองหน้าขาวซีดของเจี่ยนถงด้วยความกังวล “เสี่ยวถง ฉันส่งคุณกลับไปพักผ่อนดีกว่า งานที่บริษัท คุณไม่ต้องกังวล ฉันกับคนอื่นๆจะช่วยการจัดการให้เสร็จ”

เจี่ยนถงส่ายหัว “พวกคุณจัดการไม่ได้เหรอก” วิเวียนรู้แค่ว่าสถานการณ์ในเจี่ยนซื่อกรุ๊ปมีความซับซ้อน สถานการณ์ไม่ค่อยดี แต่ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของเจี่ยนซื่อกรุ๊ป กำลังแย่มากๆ

เจี่ยนเจิ้นตง………เธอพูดสามคำนี้เบาๆ

วิเวียนเห็นว่าเกลี้ยกล่อมเจี่ยนถงไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้ เป็นคนดื้อรั้นมาตลอด

เธอรู้

ในรถ วิเวียนพยายามพูดเรื่องตลก อยากจะทำให้เจี่ยนถงสบายใจ

ในช่วงเวลาหนึ่ง เธอเงยหน้าขึ้น มองที่กระจกมองหลัง แล้วอึ้งไปเลย

ในเบาะหลังของรถผู้หญิงที่ดื้อรั้นคนนั้นผู้หญิงที่สามารถรับมือกับองค์กรขนาดใหญ่ได้ ไม่ว่าจะเหนื่อยหรือยากลำบากแค่ไหนผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เคยบ่น หลับตาลงน้ำตาคลอเบ้าอย่างเงียบงัน

ใจของวิเวียน มีความรู้สึกที่พูดไม่ออก เหมือนถูกเข็มแทง มันเจ็บ เธอก็มองออกไป ขับรถไปอย่างเงียบๆ และลดความเร็วลง

เวลาคนเรายุ่งๆ ก็จะทำให้ลืมทุกอย่าง

คำพูดนี้ ไม่รู้ว่าเคยได้ยินตั้งแต่ตอนไหน ที่ไหนและจากคนนิรนามคนไหน เคยกล่าวไว้

เจี่ยนถงหมกมุ่นอยู่กับงานท้องฟ้าค่อยๆมืดลง

“ประธานเจี่ยนได้เวลาเลิกงานแล้ว”

“คุณกลับไปก่อนเถอะ ฉันยังมีบางส่วนที่ยังทำไม่เสร็จ”

วิเวียนส่ายหัว เธอรู้ดีว่า ผู้หญิงอย่างเจี่ยนถง ภายนอกดูอ่อนแอ แต่ดื้อรั้นไม่ฟังใคร

“ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ”

“ไม่ต้อง คุณกลับไปเถอะ”

“ไม่ได้…….”

“กลับไป” ผู้หญิงหลังโต๊ะทำงานเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่มีข้อโต้แย้ง “กลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้เช้าจะต้องไปเจรจากับฝ่าย ข อีก ภารกิจยาก”

วิเวียนมองเจี่ยนถงที่อยู่หลังโต๊ะทำงาน สุดท้ายก็พยักหน้า “ฉันรู้แล้ว”

เวลาบรรยายสภาพแวดล้อมโดยรอบเงียบสงัดไฟในสำนักงานชั้นบนสุดของเจี่ยนซื่อกรุ๊ป ในที่สุดก็ดับไป

รปภ.ที่เดินตรวจกล่าวมาหนึ่งประโยค “ประธานเจี่ยนเพิ่งเลิกงานเหรอ”

เจี่ยนถงพยุงตัวเองไล่แตะฝาผนัง พยักหน้าเบาๆอย่างฝืนๆ

“ประธานเจี่ยนคุณโอเคไหม?”

“ไม่เป็นไร แค่หิวแล้วน้ำตาลในเลือดต่ำ”

รปภ.รีบยื่นลูกอมกลิ่นผลไม้มาให้ “ฉันก็น้ำตาลในเลือดต่ำ ปกติก็จะหยิบลูกอมใส่ไว้ในกระเป๋าตลอด นี่ครับ ประธานเจี่ยนคุณกินหนึ่งเม็ด ก็จะดีขึ้น”

เจี่ยนถงพยักหน้า “ขอบคุณมาก”

เธอลงไปชั้นล่าง เรียกรถผ่านแอพมือถือ วันนี้เธอไม่ได้ขับรถ วิเวียนก็เลิกงานแล้ว

ออกจากอาคารของเจี่ยนซื่อกรุ๊ป เพิ่งสังเกตว่า จู่ๆฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก

รถมาถึง เธอขึ้นรถ ความเหนื่อยล้าทำให้เธอมึนเล็กน้อย

เมื่อลงจากรถ เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

“ฮัลโหล” ความเหนื่อยล้าของเธอ สามารถรับรู้ได้จากการฟังเสียงผ่านโทรศัพท์

“อาซิวหายไป!”

ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน ทันใดนั้น หายไปเพราะตกใจ

“คุณพูดอีกครั้ง!”

“เสิ่นเอ้อเพิ่งโทรมา บอกว่าอาซิวหายไป!”

“ที่คฤหาสน์หาจนทั่วแล้วเหรอ?” เจี่ยนถงถามด้วยความตกใจ

“หาจนทั่วแล้ว แต่ไม่เจออาซิว โดยปกติคฤหาสน์แห่งนั้นจะไม่มีการใช้งาน บางจุดก็ซ่อมไม่ได้ พวกเสิ่นเอ้อเจอกระดุมเสื้อของอาซิวที่รูสุนัขกำแพงด้านหลัง”

“เสิ่นเอ้อหมายถึงอะไร?” เจี่ยนถงรีบถาม “เจอกระดุมเสื้อของเขาที่รูสุนัข รูสุนัขเชื่อมต่อกับด้านนอกคฤหาสน์เขาคงไม่……..”

“ถูกต้อง คุณเดาไม่ผิด นอกกำแพงมีรอยเท้าของอาซิวอาซิวหลอกให้เสิ่นเอ้อกับเสิ่นซานออกห่างเขา แล้วออกไปนอกคฤหาสน์” ไป๋ยู่สิงกล่าว

ในใจเจี่ยนถงเกิดเพลิงร้อนขึ้น แต่ ณ เวลานี้ ไม่ใช่เวลาที่จะโกรธ หายใจลึกๆ “ตอนนี้ต้องตามหาคน”

“เสิ่นเอ้อกับเสิ่นซาน ในเมือง Sคนของพวกเสิ่นซื่อ ก็เริ่มตามหาแล้ว แต่น้ำที่อยู่ไกลดับไฟที่กำลังรุกไม่ได้”

“ฉันจะขับรถไปเดี๋ยวนี้เลย”

“เดี๋ยวก่อน การตามหาคน คุณสู้เสิ่นเอ้อพวกเขาไม่ได้ ฉันโทรศัพท์บอกคุณ เพียงแค่อยากให้คุณร็สถานการณ์ เรื่องตามหาคน ฉัน ซีเฉินแล้วยังมีเสิ่นเอ้อพวกเขาจะตามหาเอง”

พูดจบ ก็วางสายโทรศัพท์

แต่เจี่ยนถงในตอนนี้ ไม่รู้สึกความเหนื่อยแล้ว

คนคนนั้นหายไป?

คนตัวใหญ่ขนาดนั้น หายไปง่ายๆเช่นนี้เหรอ?

เธอไปที่โรงรถใต้ดินที่บ้าน ขับรถมุ่งไปที่คฤหาสน์ตระกูลเสิ่น ถ้าหาก ถ้าหากล่ะ!

ถ้าหากเขาจำทุกอย่างได้ แล้วกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลเสิ่นคนเดียวล่ะ?

ขับรถเร็วมาก ไม่นานก็ถึงคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น

เธอลงจากรถ ก็รีบเคาะประตู ผลักพ่อบ้านที่มาเปิดประตูให้ ตามหาตั้งแต่ชั้นล่างจนถึงชั้นบน ตามหาทีละห้อง

“คุณนาย ท่านหาอะไร?”

เธอเม้มปากอย่างแน่น ไม่พูดอะไร

พ่อบ้านถามอย่างหนัก เธอก็พูดคำเดียว “คุณไปพักซะ ฉันตามหาของบางอย่าง จำไม่ได้ว่าเอาไว้ไหน ถ้าเจอแล้วฉันก็จะไปเอง”

เธอค้นหาทุกซอกทุกมุมของตระกูลเสิ่น แต่ก็ไม่เจอคนคนนั้น

ทันใดนั้นนั่งอยู่ในทางเดินหินอ่อน มือและเท้าอ่อนแรง…….ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เขาจะกลับมาที่เมือง S จากเกาะฉงหมิงได้อย่างไร ถ้าเขามีสติสัมปชัญญะจริงๆ ความทรงจำกลับมาแล้ว แล้วทำไมจะจำเสิ่นเอ้อพวกเขาไม่ได้ แอบหนีออกมาจากรูสุนัขคนเดียว?

รูสุนัข!

คนคนนั้น ถ้ามีสติสัมปชัญญะจริงๆ จะมุดออกมาจากรูสุนัขได้อย่างไร?

เจี่ยนถงนั่งบนพื้น ส่ายหัวและหัวเราะเยาะตัวเอง ทั้งๆที่เธอก็รู้อยู่แล้ว รู้แล้วว่าเขาไม่มีทางอยู่ที่นี่

ความทรงจำของเขาไม่ได้ฟื้นคืน

แล้วเธอกำลังทำอะไร?

ทั้งๆที่รู้คำตอบในใจ

หลอกตัวเองแท้ๆ

ในเมื่อคุณนายของบ้านยังไม่ออกไป พ่อบ้านจะกล้าไปนอนได้อย่างไร

“คุณนาย ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

เจี่ยนถงผลักมือของพ่อบ้านที่เอื้อมมาพยุงเธอ แล้วพยุงพื้นยืนขึ้น “ฉันไม่เป็นไร ของหาไม่เจอ ฉันจะกลับแล้ว”

ขับรถมา ขับรถกลับไป

นั่งเบาะคนขับ เวลานี้ว่างเปล่าไปหมด

เจี่ยนถงหัวเราะตัวเองและกล่าว เหนื่อยมาเหลือเกิน จนเกิดภาพหลอนแล้ว

คนคนนั้นจะปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร

คนคนนั้น……..ปรากฏตัวที่นี่?

“เสียงเบรกรถ” ในตอนดึก เสียงเบรกรถกะทันหัน เจี่ยนถงเหยียบเบรก ร่างพุ่งไปข้างหน้า กระแทกพวงมาลัยรถ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่สังเกต ลืมตาไม่กะพริบตา จ้องมองสถานที่ที่อยู่ไม่ไกล

แสงไฟส่องแสงสว่างเงาคนที่อยู่ไม่ไกล

ท่ามกลางฝนตกหนักสามารถมองเห็นร่องรอยฝน

ระยะห่างเจ็ดแปดเม็ดมองไม่เห็นหน้าตาของคนคนนั้น แต่ตอนนี้เธอ ลืมแม้แต่จะหายใจ

เวลาต่อมา!

เธอปลดเข็มขัดนิรภัยอย่างรวดเร็ว เปิดประตูรถแล้วลงจากรถอย่างรวดเร็ว วิ่งกะเผลกไปข้างหน้า

หน้าฝนถนนลื่น เกือบล้ม

ขณะวิ่งอยู่ จู่ๆก็หยุดอย่างกะทันหัน ตอนอยู่ห่างจากคนคนนั้นประมาณสามสี่เมตร ทันใดนั้นเธอก็หยุดอยู่กับที่

ดวงตายิ่งอยู่ยิ่งโต ยกเท้าขึ้นอย่างช้าๆอีกครั้ง ค่อยๆเดินเข้าไปหาคนคนนั้นทีละก้าวอย่างกะเผลก

ในที่สุด มองเห็นอย่างชัดเจน…….ชัดเจนมาก!

เธอเริ่มหายใจตัดขัด หายใจเร็วขึ้น หน้าอกขึ้นๆลงๆอย่างรวดเร็ว

เหลือระยะห่างแค่ไม่กี่ก้าว เธอยกเท้าขึ้นและวิ่งไปอย่างรวดเร็ว

ลมหายใจที่ติดขัดของเธอ ไม่เปิดปากด้วยความอุดอู้เธอมองผู้ชายที่มองเธออย่างงุนงงโดยทันใด

“เสิ่นซิวจิ่น!คุณรู้หรือไม่ทุกคนกำลังเป็นห่วงคุณอยู่ !

คุณรู้หรือไม่การที่คุณแอบหนีออกมา จะทำให้ทุกคนกลัวจนตัวสั่น!

คุณรู้หรือไม่ เพื่อบริษัทของคุณไป๋ยู่สิงกับซีเฉินยุ่งจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว แล้วต้องเอาเวลามาตามหาคุณอีก!

คุณรู้หรือไม่ เสิ่นเอ้อพวกเขาก็ลำบากใจมาก พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องดูแลการดำรงชีวิตของคุณ ยังต้องดูแลความปลอดภัยของคุณด้วย แล้วยังต้องเกลี้ยกล่อมคุณด้วย!

คุณรู้หรือไม่ ว่าคุณทำอะไรลงไป!

คุณรู้หรือไม่ คุณทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อนกันมากขนาดไหน!

คุณรู้หรือเปล่า!”

คำพูดนั้นโวยวายอย่างหนักเจี่ยนถงต่อว่าอย่างรุนแรง ด้วยน้ำเสียงที่ดังและหนา แตกเป็นเสี่ยงๆ

สายตาของเธอ จ้องมองคนที่อยู่ตรงหน้า เม็ดเหงื่อปรากฏขึ้นที่หน้าผาก

คนคนนั้นดูเหมือนจะตกใจเสียงที่ดังของเธอ ยืนจ้องเธอด้วยความตะลึง

แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในเวลานี้ ในสมองปรากฏเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลในตอนกลางวันของวันนี้

คำพูดเหล่านั้นของเจี่ยนโม่ป๋าย จู่ๆก็ปรากฏขึ้นในสมองของเธอ ก้องอยู่ในหูของเธอและการร้องขอความช่วยเหลือของคุณหญิงเจี่ยน

ขณะนั้น ไม่กล้าเสียใจ ไม่กล้าอ่อนแอ เข้มแข็งและยืดอกไว้ แกร่งเหมือนราชินี

เธอคิดว่า เธอไม่ลำบากใจ เธอไม่เสียใจ เธอออกจากโรงพยาบาล ก็ไปทำงานทันที

เธอคิดเธอไม่รู้สึกไม่ร้องไห้และไม่สนใจ ทำงานจนเหนื่อยล้า ความเหนื่อยล้าเข้ามาแทนที่ความขมขื่นที่โรงพยาบาลในวันนี้

เธอคิดว่า ในที่สุดฟ้าก็ต้องมืดลง เธอคิดว่า ความเหนื่อยเพียงพอที่จะทำให้นอนหลับได้ เมื่อนอนหลับ วันนี้ก็จะผ่านไปแล้ว

ไม่ ไม่ ไม่ใช่!

เขาหายไป!

เธอรีบร้อนที่จะตามหา ตามหาทุกที่ทุกแห่ง

เขาสร้างปัญหาให้เธอแบบนี้เหรอ?

ตอนที่เขามีสติสัมปชัญญะ ก็เป็นความเคราะห์ร้ายของเธอ แล้วทำไมตอนที่เขาไม่มีสติสัมปชัญญะ ก็ยังเป็นความเคราะห์ร้ายของเธออีก

ไม่ ไม่ใช่ ยังไม่ใช่ เขาจะเป็นความเคราะห์ร้ายของเธอได้อย่างไร!

จนเขาปรากฏตัว ก็มาปรากฏตัวที่หน้ารถของเธอ ในสายตาของเธอ ความกดดันและอารมณ์เชิงลบทั้งหมดของเธอ กลายเป็นคมดาบที่แทงออกไป

“พี่สาว ฉัน ฉัน……” คนคนนั้นเหมือนจะกลัวเจี่ยนถงแล้ว “เสิ่นเอ้อบอกว่า เพียงแค่ฉันเชื่อฟัง พี่สาวก็จะมาเยี่ยมฉัน แต่ว่าฉันก็กินข้าวอย่างเชื่อฟัง นอนอย่างเชื่อฟัง รดน้ำให้ดอกไม้อย่างเชื่อฟัง รอแล้วรออีก รอเป็นเวลานานมาก แต่ก็ไม่เห็นพี่สาวมาเยี่ยมฉันเลย

ฉันได้เป็นเพื่อนที่ดีกับปลาน้อยในสระน้ำในสวนแล้ว แต่พี่สาวก็ไม่ปรากฏตัว

ฉัน ฉัน……ฉัน …….อาซิวคิดถึงพี่สาวมาก”

คนคนนั้นแสดงสีหน้าที่ไม่รู้จะทำอย่างไร แทบจะร้องไห้ออกมาและไม่กล้าเงยหน้า “อาซิว อาซิวทำผิดไปใช่ไหม?”

ณ ตอนนี้!

เจี่ยนถงใจเต้นทันใด ความเจ็บปวดที่บรรยายไม่ได้ใช้โอกาสในขณะที่เธอไม่ทันตั้งตัว ซอกแซกเข้ามาทุกส่วนของร่างกายอย่างกะทันหัน

“คุณ…….” เธอพูดออกมา แล้วตกใจเสียงของตัวเอง ที่แห้งและแหบมากขนาดนี้

ประโยคต่อไป ไม่สามารถพูดต่อไปได้แล้ว

ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา บังไว้บนศีรษะของเธอ เธอเงยหน้าขึ้น ฝ่ามือนั้น เหมือนจะใหญ่มาก พอที่จะบังฝนให้เธอได้

เธอหัวเราะเยาะตัวเอง นี่เป็นแค่ภาพลวงตา

“พี่สาว อย่าตากฝน เจ็บ อาซิวเจ็บตรงนี้”

ข้างหู มีเสียงที่เหมือนเด็กของคนคนนั้นดังขึ้น

เธอจ้องมองคนคนนั้น มือข้างหนึ่งจับที่หน้าอกด้านซ้าย……เธอจ้องเขม็งไปชั่วขณะหนึ่ง เงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหัน แล้วพุ่งเข้าไปในรูม่านตาที่ไร้มลทินของคนคนนั้น ไร้เดียงสา……มาก

ในใจเหมือนโดนอะไรมากระแทกอย่างแรง

ในช่วงที่เธอไม่ทันตั้งตัว มีบางอย่างที่เธอไม่สามารถบอกหรืออธิบายให้เข้าใจได้พุ่งเข้ามาในร่างของเธอ

กะทันหันเช่นนั้น!

แค่คืนเดียว แต่ละฉากในโรงพยาบาล ปรากฏตรงหน้าอีกครั้ง เธออยากกะพริบตาแล้วให้ภาพนั้นหายไปในพริบตา

“พี่สาวไม่เสียใจนะ อาซิวอาซิวคิดถึงพี่สาว แต่ถ้าอาซิวรู้ว่าพี่สาวจะเสียใจเพราะอาซิวแอบหนีมาหาที่สาว อาซิว อาซิวก็คงจะไม่แอบหนีมา

พี่สาวไม่ต้องเสียใจ ต่อไปอาซิว…….อาซิวจะเชื่อฟัง จะอยู่แต่ในบ้านหลังใหญ่นั้น

อาซิวจะไม่เสียใจ อาซิว…….มีปลาน้อยเป็นเพื่อน สามารถพูดคุยกับปลาน้อยได้

วันหลัง วันหลังถ้าอาซิวคิดถึงพี่สาว ก็จะบอกความคิดถึงนั้นปลาน้อยฟัง”

เจี่ยนถงหลับตาลงทันที……… ไม่ทันแล้ว!หางตาของเธอ แสดงออกอย่างอบอุ่น

“คุณ……..มาได้อย่างไร?” เธอถาม ถามด้วยเสียงแหบ

“ฉันมุดออกมาจากรูสุนัข เจ้าเหลืองนำทางให้ฉัน”

“เจ้าเหลืองเป็นใคร?”

“สุนัขสีเหลืองตัวหนึ่ง” กล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ฉันฉลาดใช่ไหม?”

เจี่ยนถงไหล่แข็งทันที…….เสิ่นซิวจิ่นถ้าคุณมีสติสัมปชัญญะ คงจะไม่ทำแบบนี้แน่นอน

เขาแย่มากแล้วจริงๆ……….

“อาซิวพักอยู่ตั้งไกล แล้วทำไมมาถึงที่นี่ได้?”

เธอโน้มน้าวใจ

แต่คนคนนั้นกลับมีท่าทางภาคภูมิใจมาก

“ฉันวิ่งมาเรื่อยๆ วิ่งมาถึงถนนที่กว้าง มีคนหนึ่งขับรถใหญ่ๆ

ฉันดึงเขาไว้ไม่ให้เขาไป เขาถูกฉันตื๊อจนไม่รู้จะทำอย่างไร จึงถามฉันว่าจะไปไหน ฉันก็เลยบอกว่า จะไปเมืองS ฉันเคยถามเสิ่นเอ้อว่าพี่สาวอยู่ที่ไหน เสิ่นเอ้อบอกว่าพี่สาวอยู่ที่เมือง S เมื่อก่อนอาซิวกับพี่สาวพักอาศัยอยู่ที่นี่

คุณอาที่ขับรถใหญ่ๆคนนั้น บอกว่าจะส่งได้ถึงแค่ถนนด้านหน้าเส้นนั้น

ฉันจำถนนเส้นนั้นได้ วันที่นั่งเครื่องบินลำใหญ่ๆนั้นกลับมา ผ่านถนนเส้นนั้น”

เจี่ยนถงเข้าใจแล้ว……..เสิ่นเอ้อถูกเสิ่นซิวจิ่นที่อายุแปดขวบปั่นหัวแล้ว

เธอมองตามนิ้วมือที่ชี้ทิศทางของคนคนนั้น ……..แต่ก็ไม่รู้ว่าถนนที่เขาชี้เป็นถนนเส้นไหน แต่ว่า ไม่ว่าจะเป็นถนนเส้นไหน เขาตามหามาตั้งแต่ถนนเส้นนั้น………

“คุณ…….มาที่นี่ด้วยตัวเองเหรอ?”

“อืม อาซิวฉลาดไหม?”

เจี่ยนถงมองคนตรงหน้าอย่างตื่นตระหนกก้มมองเท้าของเขา รองเท้าคู่นั้น หมดสภาพแล้ว เกรงว่าน่าจะเดินหามาหลายที่แล้ว ตามหามานานมาก”

ทันใดนั้น!

เงาดำสูงก้มลงตรงหน้า ข้างหูได้ยินเสียงที่ไร้เดียงสาของเด็กดังขึ้น

“พี่สาว มือของอาซิว บังฝนไม่อยู่แล้ว” เขากอดเจี่ยนถงไว้อย่างแน่น กดศีรษะเธอลง หลบอยู่ในอ้อมแขนของเขา เขาใช้วิธีทั่วๆไป ด้วยวิธีที่ง่ายที่สุดและตรงที่สุดที่เขาคิดได้ ใช้ร่างกายของเขา บังฝนให้เธอ

“พี่สาวหนาวไหม ?อาซิวไม่หนาว”

เจี่ยนถงถูกกอดด้วยแขนอันใหญ่นี้ เขาถามเธอว่าหนาวไหม เขาบอกว่าเขาไม่หนาว……ทั้งๆที่เสียงของเขาหวานจนสั่นแล้ว

คืนฝนตกในฤดูใบไม้ร่วงเย็นสบายมีลมเล็กน้อย เขาตามหาจากเกาะฉงหมิงมาจนถึงที่นี่ด้วยความทุลักทุเล จนพบเธอ

เจี่ยนถงอิงแนบที่แขน ไหล่สั่นไม่หยุด

“อาซิวไม่หนาว” คนคนนั้นตัวสั่น กล่าวด้วยเสียงหัวเราะที่ไร้เดียงสา

ฝนตกหนัก ลมพัดหนาวมาก คนคนนี้บอกว่า เขาไม่หนาว

“ตามฉันไปขึ้นรถ” เธอไม่พูดอธิบาย ออกมาจากอ้อมแขนของคนคนนั้น

เดินกะเผลกไปหารถที่อยู่ไม่ไกล ตั้งแต่เธอลงจากรถ เดินไปหาเขา ระหว่างทางเท้าหนักเป็นพันกิโลกรัม แต่ระหว่างขากลับ รู้สึกเบาขึ้นมาก

เจี่ยนถงเปิดประตูรถเบาะหลัง

“ไม่”

คนคนนั้นพูด “ฉันไม่” เขาดูดื้อรั้นเหมือนตะปู ยืนอยู่ข้างประตูรถ ปฏิเสธที่จะก้าวขึ้นรถ

“ทำไม ไม่ล่?ะ”

“ฉันไม่อยากนั่งตรงนี้” คนคนนั้นเหมือนเด็ก ยืนยัน “ฉันไม่นั่งตรงนี้ ฉันจะนั่งตรงโน้น” เขาชี้ไป ตรงเบาะนั่งข้างคนขับ

เจี่ยนถงตะลึง มองผู้ชายที่อยู่ข้างๆอย่างมึนงง “เพียงเพื่อสิ่งนี้?” จึงไม่ยอมขึ้นรถ เพื่ออยากนั่งเบาะข้างคนขับ?

คนคนนี้กลายเป็นคนทึ่มไปแล้ว เธอจะไปเปรียบเทียบกับเขาตอนปกติได้อย่างไร แล้วยังจะตามจังหวะเขาไม่ทัน?

“เพื่อจะได้ใกล้ชิดพี่สาวอีกนิด” คนคนนั้นสีหน้าจริงจังมาก เมื่อเขาใช้แววตาแบบเด็กที่ไร้เดียงสา กล่าวอย่างแน่วแน่ ใจของเจี่ยนถง สั่นอย่างควบคุมไม่ได้

ไม่ได้พูดอะไร ท่ามกลางฝนตกหนัก เธออ้อมไปเบาะข้างคนขับ “มาสิ” ปิดประตูรถ เงยหน้าขึ้นอย่างไร้ความรู้สึก กวักมือเรียกผู้ชายที่ยังอยู่อีกฟากหนึ่งของรถ

เวลาต่อมาเปลือกตาของเธอกระตุกอีกครั้งใบหน้าดื้อรั้นของชายคนนั้นที่ไม่ยอมอ่อนลงทันใดนั้นก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นวิ่งไปหาเธออย่างมีความสุขทันใดนั้นก็ยื่นศีรษะไปที่แก้มของเธอหอมแก้มเธอหนึ่งที “พี่สาว ใจดีจังเลย”

เจี่ยนถงเริ่มแยกไม่ออก เกิดอะไรขึ้นกับคนคนนี้กันแน่

ลืมทุกอย่างจริงๆเหรอ แม้แต่นิสัยก็เปลี่ยนไปด้วย?

เอ๊ะ ไม่ใช่สิ ด็อกเตอร์รุเตรบอกแล้วว่า IQ ของเขา เป็นIQของเด็กอายุแปดขวบ

เอื้อมมือไปลูบหน้า ดูเหมือนว่าจะมีร่องรอยของอุณหภูมิเหลืออยู่เล็กน้อย

เธอเม้มปาก เดินอ้อมไปที่เบาะคนขับอย่างเงียบๆเปิดประตูแล้วก็ปิด

สตาร์ทรถ เหยียบคันเร่ง รถขับออกไปช้าๆ

“รู้จักเบอร์โทรศัพท์ของพี่ยู่สิงไหม?” เธอโยนโทรศัพท์ของเธอไป “ใช้เป็นไหม?ค้นหาเบอร์ของพี่ยู่สิง โทรไปหาเขา รายงานความปลอดภัย”

คนคนนั้นพูดขึ้นทันทีว่า “เป็น” รับโทรศัพท์ที่เจี่ยนถงโยนมาให้ ถือโทรศัพท์ไว้ ผ่านไปไม่นานก็เริ่มลังเล

เจี่ยนถงเหลือบมองอย่างสงสัย

คนคนนั้นถือโทรศัพท์อยู่ในมือ ถามอย่างระมัดระวัง “ขอรัหส……..”

เจี่ยนถงมือจับพวงมาลัย ตะลึงเล็กน้อย นิ่งไปสักครู่ บอกหมายเลขไปหนึ่งชุดอย่างช้าๆ “0926”

926ชื่อของเธอในสามปีนั้น

ต่อสายของไป๋ยู่สิงติดแล้ว เจี่ยนถงใส่หูฟังบลูทูธในหู

“เจอแล้ว เขาอยู่กับฉัน”

คนในโทรศัพท์ ถามคำถามเป็นชุด

“เขามาหาฉันที่นี่ ฉันเจอเขาที่นอกคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น”

ไป๋ยู่สิงพูดอะไรอีกเล็กน้อย แล้วก็วางสายไป

ขับรถไปที่หมู่บ้านดอกสวนช้างเผือก ตอนนี้เที่ยงคืนกว่าแล้ว รถขับเข้าไปในโรงรถใต้ดินของหมู่บ้านดอกสวนช้างเผือก เธอพาคนคนนี้มาด้วย ขึ้นลิฟต์ในโรงจอดรถใต้ดินตรงไปยังที่พัก

อสังหาริมทรัพย์แห่งนี้ เป็นของเสิ่นซิวจิ่นสถานที่ค่อนข้างกว้างขวางแต่การออกแบบของห้องนี้สำหรับคนโสดหรือคู่หนุ่มสาว

หนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องรับแขก ครัวเป็นแบบครัวเปิด ห้องน้ำ แม้แต่ห้องหนังสือก็ยังเป็นแบบเปิดอยู่ข้างห้องรับแขก

“ไปอาบน้ำ” เธอเปิดหาในลังและตู้เสื้อ สุดท้ายก็ได้เสื้อตัวใหญ่มาหนึ่งตัว ถ้าเธอสวมใส่ก็จะยาวประมาณเหนือเข่า และไม่รู้ว่าเขาจะสวมใส่สบายหรือไม่ แต่นี่เป็นเพียงตัวเดียวที่เธอสามารถหาได้จากที่นี่ ที่เขาสามารถสวมใส่มันได้

หยิบผ้าขนหนู แล้วให้เขาพร้อมกัน

หลังจากให้อุปกรณ์อาบน้ำกับเขา เจี่ยนถงก็ไปที่ห้องครัว เพื่อเตรียมทำอาหาร

สักพัก เหลือบไปมอง คนคนนั้นยังยืนอยู่กับที่ไม่ขยับตัวเลย “ทำไมยังไม่เข้าไปอาบน้ำ?”

“ฉัน…….” คนคนนั้นมองเธอด้วยสายตาที่น่าสงสาร “พี่สาว พี่ไม่ช่วยอาบน้ำให้อาซิวเหรอ?”

“ทำไมฉันต้องช่วยอาบน้ำให้คุณด้วย?” หลังจากที่เธอได้ยินประโยคนั้นของเขา ก็ถามกลับทันที

“เสิ่นเอ้อช่วยอาซิวอาบน้ำทุกครั้งเลยนะ”

“……….”

เธอมองคนคนนั้นที่ยืนอยู่ตรงนั้น มองดูเธอโดยไม่กะพริบตา……….ก็ต้องเป็นไปตามแช่นนั้นใช่ไหม?

อึ้งไปสักพัก

ด้วยสีหน้าที่เย็นชา “อาบเอง ที่นี่ไม่มีเสิ่นเอ้อ ถ้าอยากจะมีคนอาบน้ำให้ ก็ต้องรีบกลับไปที่บ้านหลังนั้นเร็ว”

ทำไมเธอต้องช่วยเขาอาบน้ำ?

อย่าคิดว่าเขามาตามหาเธอด้วยความลำบาก ก็จะทำให้เธอลืมเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดได้

อย่าคิดว่ารองเท้าของเขาเดินจนพังแล้ว เธอก็จะเปลี่ยนมุมมองใหม่

ไม่มีทาง!

ในดวงตาของคนคนนั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง ก้มหน้าลง ผ่านไปสักพัก พูดอย่างน่ารัก “อาซิวอาบเอง”

ในห้องรับแขกเงียบลง เหลือเพียงเจี่ยนถงคนเดียว

พิงอยู่ที่อ่างล้างจานในครัว เธอมองจากประตูห้องน้ำย้อนกลับมาด้วยอารมณ์เสีย…….เธอเป็นอะไรไป!

ท้องไส้ปั่นป่วนมากไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวเองหรือเพราะคนคนนั้น

เธอโกรธตัวเองเมื่อครู่ที่หน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น เพราะการกระทำของคนคนนั้น ทำให้ใจอ่อน

เจี่ยนถง คุณมันไม่ได้เรื่อง!

อย่าลืมสิ ต้องจำไว้

จำความเจ็บปวดนั้นไว้ ต้องจำไว้ไม่มีวันลืม

อย่าลืมสิ่งที่ผ่านมา ลืมสิ่งที่ผ่าน เท่ากับทรยศตัวเอง

ใช่ ใช่ เธอไม่ได้ใจอ่อน เพียงแค่วันนี้เธอเหนื่อยมาก เพราะความเสียใจที่ได้รับที่โรงพยาบาลในวันนี้

เสียงน้ำร้อนเดือดพล่านบนเตาแก๊สเจี่ยนถงตั้งสติได้ นวดระหว่างคิ้วเล็กน้อย ความเหนื่อยล้าระหว่างคิ้ว ทำให้ผ่อนคลายไปได้บ้าง

เธอเพิ่งจะเอาหมี่ออกจากหม้อ ประตูห้องน้ำก็เปิดออก

หันหลังไป ชายคนนั้นถูกห่อด้วยผ้าขนหนูผืนใหญ่อย่างงุ่มง่าม ยืนอยู่ตรงประตู เมื่อเห็นกล้ามเนื้อมัดเล็กบนร่างกายนั้น เธอตะลึงไปสักครู่…….

“ทำไมเร็วขนาดนี้?”

“พี่สาวก็ตากฝนเหมือนกัน อาซิวก็ดูแลแต่ตัวเองอาบอยู่คนเดียว”

แววตาคู่นั้น ละอายใจต่อเธอ

แววตาที่ไร้เดียงสา…….

เธอพยายามทำให้จิตใจมั่นคง จงใจทำสีหน้าเย็นชา “มีแค่หมี่ ถ้าไม่กิน ก็ต้องทนหิว ถ้าจะต้องการให้คนป้อน ก็กลับไปหาเสิ่นเอ้อ”

พูดจบ เดินตรงไปที่ห้องน้ำโดยไม่พูดอะไร “ปัง” เสียงปิดประตู

เธอออกแรงปิดประตูอย่างแรง ราวกับว่าถ้าเสียงประตูยิ่งดัง ใจของเธอก็จะยิ่งแข็ง

พรุ่งนี้มีนัดประชุมกับฝ่าย ข เจี่ยนถงอาบอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายอบอุ่นแล้วรีบเช็ดให้แห้ง แล้วเปลี่ยนเป็นชุดนอน

ตอนออกมา คนคนนั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร หมี่หนึ่งถ้วยทานจนเกลี้ยงเลย เห็นเธอออกมา เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่มีความสุขทันที โบกมือให้เธอ

“พี่สาว มากินหมี่เร็ว”

เธอเพียงแค่เหลือบมอง แล้วทำเป็นไม่สนใจเขา เดินเข้าไป ทานแค่ไม่กี่คำ วางตะเกียบลง แล้วก็กลับไปที่ห้องนอน หอบผ้าห่มบางออกมาจากในตู้ โยนผ้าห่มไปที่โซฟา พูดเบาๆ “คืนนี้คุณนอนตรงนี้”

“อาซิวอยากนอนบนเตียง”

“อยากนอนบนเตียง?” เจี่ยนถงที่เดินไปถึงหน้าประตูห้องนอน ทันใดนั้นก็หยุดเดิน หันมามองคนคนนั้นด้วยสายตาที่เย็นชา “ได้สิ อยากนอนบนเตียง รอให้คุณกลับไปที่เสิ่นเอ้อก็จะได้ตามนั้น” อย่าว่าแต่นอนบนเตียงเลย นอนบนพีระมิดก็ย่อมได้

คืนนี้ เธอวุ่นวายใจเป็นอย่างมาก เกลียดความใจอ่อนของตัวเองโดยไม่มีเหตุผล

ก่อนเข้านอน เธอบอกกับตัวเองว่า จะใจอ่อนกับใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่เขา

เมื่อตื่นเช้ามา ไป๋ยู่สิงก็โทรมาแล้ว

“ตอนเช้าไม่ได้ ฉันมีประชุมที่สำคัญ” เธอพูด “แต่สามารถรอตอนเย็นได้ ตอนเย็น ฉันจะรีบกลับไป”

การเจรจาเป็นเรื่องของเสิ่นซิวจิ่น

อีกฝ่ายของโทรศัพท์ ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วพูดว่า “มีเรื่องจะปรึกษาคุณ เช่นนั้นก็บ่ายสองโมงเจอกันที่บ้านคุณ?”

เธอวางสาย เท้าคางด้วยมือสองข้าง แล้วจ้องมองมาที่เธอ “ทำไมต้องจ้องฉันแบบนี้?”

“พี่สาว พี่สวยมาก”

เสียงพูดของเด็กที่ไม่อ้อมค้อมถ้าไม่ใช่เพราะเธอได้ยินกับหู เธอไม่เห็นกับตา ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ยอมเชื่อ เสียงใสๆแบบนี้ ออกมาจากปากของผู้ชายคนนั้น

“สวย?” เธอยกมุมปากขึ้นช้าๆ เหน็บแนมไม่ออก “บนหน้าผากมีปาน ก็ยังสวยเหรอ?”

คนคนนั้นนิ่งไปสักครู่ มีความเย้ยหยันในใจเธอ กำลังเตรียมจะลุกขึ้น ก็มีเสียงดังขึ้นอย่างช้าๆที่ด้านข้าง

“พี่สาวสวยทุกมุมเลย ในสายตาของอาซิว พี่สาวเป็นคนที่สวยที่สุดบนโลกนี้”

เจี่ยนถงกำหมัดทันทีหันหลังแล้วรีบจากไป

เสิ่นซิวจิ่นในขณะที่เวลาที่ดีที่สุดของฉันหมดไป คุณบอกกับฉันว่า ในสายตาของคุณ ฉันเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดบนโลกนี้

เสิ่นซิวจิ่นถ้าคุณสามารถพูดประโยคนั้นออกมาก่อนที่ใจฉันจะอ่อนล้า แม้จะเป็นเพียงแค่ประโยคเดียว ฉันคิดว่า ก็ยังสามารถเป็นหนึ่งในแสงสว่างไม่กี่ดวงในชีวิตฉันกลายเป็นความสุขที่หายากในชีวิต

เธอก้าวเข้าไปในลิฟต์ออกไปโดยไม่หันกลับมามอง

วิเวียนมารอเธอที่ข้างล่างบ้านแล้ว “ประธานเจี่ยน สีหน้าของคุณไม่ค่อยดีเลย”

นมหนึ่งแก้วบวกกับแซนด์วิชหนึ่งชิ้น ยื่นให้เจี่ยนถงที่กำลังขึ้นรถ

“เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ วิเวียน ขอบคุณมาก”

“พูดอะไรเนี่ย เกรงใจอะไรกัน”

เจี่ยนถงทานอาหารเช้าอย่างรวดเร็ว ถามวิเวียน “เตรียมเอกสารเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”

“เตรียมเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดอยู่ในแฟ้มเอกสารในกระเป๋าของฉัน”

เจี่ยนถงหยิบแฟ้มเอกสารออกมา เริ่มเปิดอ่าน

“เสี่ยวถงคุณหลับตาและพักผ่อนสักครู่ดีไหม ข้อมูลพวกนี้ เมื่อคืนฉันตรวจเช็กแล้วสามรอบ ไม่มีปัญหาแน่นอน”

แม้จะเป็นเช่นนี้ เธอก็ยังเป็นกังวล

วิเวียนทำได้แค่ส่ายหัว

เจี่ยนถงทุ่มเทมากจริงๆ ทุ่มเทมากเกินจนผิดปกติ

บางคำพูด เธออยากจะถามมาโดยตลอด แต่ก็เก็บไว้ไม่ได้ถาม

แต่เห็นเจี่ยนถงทุ่มเทและให้ความสำคัญกับการเจรจาในครั้งนี้มาก

“ถ้ามีคำถาม คุณก็ถามมาได้เลย”

เจี่ยนถงไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากเอกสาร แต่เหมือนจะรู้สึกได้ว่าวิเวียนมีอะไรจะพูดแต่ก็หยุดๆไป

วิเวียนคิดแล้วคิดอีก “เสี่ยวถง ตามหลักแล้ว ฉันไม่ควรจะถาม แต่ว่า………”

“มีอะไรก็ถามมาตรงๆ ไม่เป็นไร”

“เช่นนั้น…….ฉันถาม” วิเวียนกล่าว

“เสี่ยวถงเจี่ยนซื่อกรุ๊ป………ใช่หรือไม่………”

“ใช่” เธอยังพูดไม่จบ เจี่ยนถงที่กำลังโฟกัสเอกสารในมือ ก็ตอบอย่างเด็ดขาด

“ร้ายแรงมาก?”

“ใช่”

“อยู่ในระดับไหน?” วิเวียนไม่สบายใจ ถ้าเจี่ยนถงบอกว่าร้ายแรงมาก นั่นก็หมายความว่าร้ายแรงมากจริงๆ แต่ทำไมเธอถึงไม่รู้?

บริษัทที่ใหญ่อย่างเจี่ยนซื่อกรุ๊ปเกิดเรื่อง ทำไมเธอถึงไม่รู้?

ไม่ใช่แค่เธอ แม้แต่คนอื่นๆที่ตามเจี่ยนถงมาจาก”กองทุนดวงหัวใจ” ก็ไม่สังเกตเห็นอะไรเลยเหรอ?

“คืออะไร………”

คำพูดของเธอถูกเจี่ยนถงขัดจังหวะอีกครั้ง

“ประธานคนก่อน เจี่ยนเจิ้นตงโอนเงินทุนหมุนเวียนส่วนใหญ่ของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปไปยังที่อื่น”

บูม~!

ฟ้าผ่าตอนกลางวัน!

ยักยอกทรัพย์สินยักยอกเงินอย่างผิดกฎหมาย!

“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมคนในบริษัทไม่มีใครสังเกตเห็น?” วิเวียนพูดเร็วโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นสิ่งที่เธอกำลังวิตกกังวลอยู่ในขณะนี้

“ในช่วงเวลาที่ตรวจบัญชีทางการเงิน ฉันก็รู้แล้ว”

“แล้วทำไม……….” เหตุใดในเวลานั้นถึงไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย?

เธออยากถาม

ผู้หญิงที่นั่งเบาะหลัง วางเอกสารในมือลง เงยหน้าขึ้น “วิเวียน นั่นเป็นผู้ให้กำเนิดฉัน”

ประโยคเดียว ไม่ต้องพูดอะไรมาก หน้าของวิเวียนเปลี่ยนจากใสเป็นแดงแล้วขาว สีสันดุจจานสี……..เธอมองผู้หญิงที่นั่งเบาะหลังอีกครั้ง

ศีรษะของเจี่ยนถงไม่สูงมาก ตัวเล็ก ถ้าอยู่ในฝูงชน มีผู้ชายตัวสูงอยู่ข้างๆ ก็จะเล็กๆน่ารักมาก

เธอยังผอมมาก ผอมราวกับว่าจะลมพัดมาก็อาจจะล้มได้

ใครจะคิดว่า รูปร่างเล็กๆแบบนี้ แต่มีความดื้อรั้นมาก?

แล้วจะมีใครคิดอีกว่า ตั้งแต่รับช่วงต่อของเจี่ยนซื่อกรุ๊ป ร่างเล็กๆนี้ แบกรับน้ำหนักเกินจินตนาการที่คนรอบข้างคิดไม่ถึง

ใช่ เจี่ยนเจิ้นตงยักยอกเงินสาธารณะอย่างผิดกฎหมาย ใช่ เจี่ยนเจิ้นตงใช้วิธีที่น่ารังเกียจโอนเงินออกจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทส่วนใหญ่

แต่ว่า เจี่ยนถงไม่สามารถฟ้องได้

ไม่ ไม่ใช่ว่าฟ้องไม่ได้ แต่……..

“เจี่ยนเจิ้นตงทำผิดต่อคุณ” วิเวียนขอบตาแดง

ไม่แปลกใจเลย ไม่แปลกเลยแค่ความร่วมมือนี้ เสี่ยวถงต้องทุ่มเทขนาดนี้ ทำให้ดีที่สุด ทำถึงขนาดที่ว่าแทบไม่มีที่ติ

เธอไม่ได้แสวงหาความสมบูรณ์แบบแต่เป็นเพราะครั้งนี้เจี่ยนถงแพ้ไม่ได้

เจี่ยนเจิ้นตงไม่สมควรเป็นพ่อคนเลย!

วิเวียนคิดถึงเรื่องซุบซิบในบริษัท

คิดถึงคำพูดที่ได้ยินในห้องน้ำบริษัท

คิดถึงพวกพนักงานที่เจี่ยนซื่อกรุ๊ป ด่าว่าเสี่ยวถงลับหลังว่าคนเนรคุณคน ด่าเธอไม่กตัญญู ด่าเธออกตัญญู

แต่คนพวกนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำสิ่งที่เจี่ยนถงรับมา เป็นของเน่าเสียเพียงใด !

คนข้างนอก เห็นแค่ว่าเจี่ยนถงได้ทรัพย์ที่มากมาย ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว แม้แต่ คุณหญิงเจี่ยนคุณชายเจี่ยนของตระกูลเจี่ยนก็ทำได้เพียงอิจฉาตาร้อนมองดูทรัพย์สินที่มากมายนี้

“ฉันไม่ได้ใจดีขนาดนั้น” เจี่ยนถงกล่าวเบาๆ “ฉันก็เป็นคน มีเลือดมีเนื้อ เทพธิดาหนี่วาสร้างคนใช้เวลาเจ็ดวัน ตั้งแต่คนเกิดมา ก็ต้องมีที่มา ฉันไม่ได้เกิดมาจากหิน”

เจี่ยนถงก้มหน้าลง………สิ่งที่เธอไม่ได้พูดก็คือ เจี่ยนเจิ้นตงทำเช่นนั้นได้ แต่เธอไม่สามารถลงโทษพ่อที่เป็นสายเลือดเดียวกันได้ คุณปู่ที่อยู่บนสวรรค์ก็คงไม่หวังให้พ่อลูกต้องทำร้ายกัน

เธอแค่……อยากปกป้อง แม้จะเป็นเพียงแสงเล็กๆ

เธอเห็นแก่ตัว ถ้า ถ้าแสงเล็กๆนี้ก็ดับแล้ว เธอคิดว่า เธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นอย่างไร

เธอปกป้อง แค่สิ่งที่เป็นของของเธอ ไม่เกี่ยวกับเจี่ยนเจิ้นตง และคนอื่นๆ

ทุ่มเทกับงาน ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เธอแค่พยายามกำสิ่งที่อยู่ในมือของตัวเองก็เท่านั้น

เจี่ยนถงลืมไปว่า เม็ดทรายในกำมือ กำไว้ไม่อยู่ ไหลออกไปเร็วมาก

รถจอดที่ทางเข้าอาคารของบริษัทคู่สัญญา

“วิเวียน ศึกนี้ ต้องชนะแพ้ไม่ได้”

“โอเค!”

ตอนลงรถ เจี่ยนถงพูดเช่นนี้ วิเวียนลบความรู้สึกบนใบหน้าทันที เหมือนเปลี่ยนเป็นคนคนนั้น เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

เมื่อเจี่ยนถงกับวิเวียนมาถึง ตัวแทนคนอื่นๆของเจี่ยนซื่อกรุ๊ป ก็มาถึงแล้ว

ทั้งหมดแปดคน นอกจากเจี่ยนถงกับวิเวียน ยังมีกลุ่มหัวกะทิของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปอีกหกคน

เห็นได้ว่า นี่คือการต่อสู้ที่ดุเดือด ต้องชนะให้ได้

นี่เป็นบริษัทต่างชาติ

หลังจากเข้าไป รู้สึกได้ถึงความแตกต่างด้านวัฒนธรรมท้องถิ่นทันที

“ประธานเจี่ยนใช่ไหม?” ท่านประธานของพวกเรารอท่านอยู่ที่ห้องประชุมแล้ว เชิญตามฉันมา”

เลขาสาวผู้สง่างามเดินเข้ามาภายใต้การแต่งหน้าที่ละเอียดอ่อนคือรอยยิ้มมาตรฐานรอยยิ้มในหน้าที่ รักษามาตรฐานบนใบหน้าเสมอ

เดินตามหลังเลขานิรนามเจี่ยนถงกับวิเวียนเดินตามหน้าคนหลังคน คนอื่นๆก็ตามมาติดๆ ขึ้นลิฟต์ในลิฟต์มีความกลัดกลุ้มใจเล็กน้อย ใบหน้าเจี่ยนถงซีดเล็กน้อย

“เสี่ยวถง คุณโอเคไหม?” วิเวียนมองออกว่าเธอไม่ค่อยโอเค ขยับไปข้างหน้าเล็กน้อย กระซิบถามข้างหูเจี่ยนถง

“ไม่เป็นไร” เธอกัดฟัน “ช่วงนี้ยุ่งมาก รอการเจรจาสัญญาในครั้งนี้สำเร็จแล้ว ก็จะได้พักสักทีแล้ว”

ประตูลิฟต์เปิดอย่างเงียบ ๆทันใดนั้นอากาศเย็นก็พัดมา

ที่นี่ แตกต่างจากเจี่ยนซื่อกรุ๊ปจริงๆ

“ประธานเจี่ยน เชิญค่ะ” เลขานำเจี่ยนถงพวกเขา เดินไปถึงหน้าประตูห้องประชุม เปิดประตูให้เจี่ยนถง

“ขอบคุณค่ะ” เจี่ยนถงตอบกลับอย่างมีมารยาท ก้าวเข้าไปในห้องประชุม ประหลาดใจเล็กน้อย

แววตาของเธอแสดงความสงสัย วิเวียนก็รู้สึกแปลกๆ กระซิบข้างหูเจี่ยนถง “ทำไมอีกฝ่ายส่งคนมาเพียงคนเดียว?”

เจี่ยนถงขมวดคิ้ว กระซิบเบาๆข้างหูวิเวียน “ขอบข่ายของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปในเมือง S ก็ถือว่าใหญ่ เจี่ยนซื่อกรุ๊ปก็ไม่ใช่ธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่เป็นที่รู้จัก

อีกฝ่ายส่งคนมาแค่คนเดียว หรือไม่ก็ อีกฝ่ายอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับความร่วมมือในครั้งนี้

หรือไม่ก็อีกฝ่ายอาจจะมีการวางแผนให้มันกลายเป็นเรื่องยาก” สิ่งที่แปลกคือ เจี่ยนซื่อกรุ๊ปกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่แย่จริง แต่โลกภายนอกก็ยังไม่มีข่าวลืออะไรออกมา อีกฝ่ายก็ไม่ควรเป็นแบบนี้

“ถ้าเป็นคนก่อน ความร่วมมือนี้คงจะล้มลงโดยไม่ทันพูดคุยกันแล้ว

ถ้าเป็นคนหลัง ครั้งนี้พวกเราต้องเตรียมถูกถลกหนังออกหนึ่งชั้นแน่”

วิเวียนต้องชื่นชมผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังเธอในสถานการณ์ที่น่ากลัวนี้ ยังมีสติในหารวิเคราะห์ได้อย่างมีเหตุผล

อย่างน้อยตอนที่เข้ามาในห้องประชุม เธอเองก็รู้สึกเย็นแปลกในใจ หวั่นไหวเล็กน้อยแล้ว

ทุกคนเห็นแค่ความนุ่มนวลของเจี่ยนถงแต่ไม่เห็นความดื้อรั้นภายใต้ความนุ่มนวล แล้วยังมีพวกที่ชอบเหน็บแนม ว่าความสำเร็จของเจี่ยนถงเป็นความบังเอิญ ความสำเร็จของ“กองทุนดวงหัวใจ” ไม่ใช่ของเจี่ยนถง เป็นของท่านแก่เจี่ยนที่อยู่เบื้องหลังเจี่ยนถง

แต่ก็ไม่ลองคิดดู “กองทุนดวงหัวใจ” เริ่มจากศูนย์ แม้จะได้รับการสนับสนุนจากท่านแก่เจี่ยน แต่ในฐานะที่เป็นหางเสือของ “กองทุนดวงหัวใจ” แล้วเจี่ยนถงจะเป็นแจกันที่ไร้ประโยชน์ได้อย่างไร

จู่ๆ เลขาก็ลุกขึ้น “คุณวิเวียนสวัสดี ประธานบริษัทของพวกเรา สั่งไว้ว่า ถ้าอยากได้ความร่วมมือในครั้งนี้ เขาอยากจะเจรจากับประธานเจี่ยนเพียงคนเดียวตามลำพัง”

ครั้งนี้ รวมถึงวิเวียนกับเจี่ยนถง และตัวแทนอีกหลายคนของเจี่ยนซื่อกรุ๊ป มองกันไปมาอยู่สักครู่…….นี่คือข้อกำหนดอะไร?

วิเวียนไม่ค่อยไว้ใจ กำลังจะพูด เจี่ยนถงโบกมือ “คุณพาคนอื่นๆ ออกไปจากห้องประชุมก่อน”

“แต่ว่า………”

“ที่นี่เป็นห้องประชุม เป็นสถานที่ทำงาน” เธอมองวิเวียนสิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องได้ความร่วมมือนี้

“วิเวียน คุณก็รู้ สิ่งนี้สำหรับฉัน มันสำคัญมากแค่ไหน”

ไม่ใช่แค่กับเธอ แต่มันสำคัญสำหรับเจี่ยนซื่อกรุ๊ปด้วย

เนื่องจากเงินทุนหมุนเวียนส่วนใหญ่ถูกเจี่ยนเจิ้นตงถอนออกไปดังนั้นหากไม่มีการฉีดเลือดใหม่เข้าไป อีกไม่นาน อีกไม่นานเจี่ยนซื่อกรุ๊ปก็จะรับมือไม่ไหว เมื่อถึงเวลานั้น ความโหดร้ายในทางธุรกิจ ในขณะที่คุณป่วยเกือบตาย มีแต่มากไม่มีน้อย ในตลาด เค้กก็จะก้อนใหญ่เท่านั้น ทุกคนต่างอยากมีส่วนแบ่ง เมื่อถึงเวลานั้น เกรงว่าเจี่ยนซื่อกรุ๊ปก็คงจะถูกแทะกระดูกไม่เหลืออะไรเลย

แน่นอน ยังสามารถขอความช่วยเหลือจากบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปได้

วิเวียนมองผู้หญิงตรงหน้า……เสี่ยวถงคงจะไม่ยอม ถ้าเธอยอมรับความช่วยเหลือจากบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ก็ไม่ต้องทำงานหนักขนาดนี้แล้ว

“พวกเราออกไปก่อน” วิเวียนพูด หันหลังแล้วนำทุกคนออกไป

ในห้องประชุม ทันใดนั้นก็ไม่เหลือใครเลย เหลือเพียงความว่างเปล่า

ตรงหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดานของห้องประชุม มีร่างยืนอยู่เงียบๆ ควันบุหรี่ ลอยขึ้นจากด้านหน้าของร่างนั้น

บรรยากาศอึดอัดเล็กน้อย อีกฝ่ายก็ไม่ยอมพูดอะไร

เป็นอีกฝ่ายที่บอกว่าอยากเจอเธอ

หลังจากที่เธอเข้ามาในห้องประชุม อีกฝ่ายก็ไม่สนใจเธอ

เจี่ยนถงปรับอารมณ์ของตัวเอง เพิ่มความกระตือรือร้นอย่างมืออาชีพ

“สวัสดี ประธานเฟ” เธอเดินเข้าไป แล้วหยุด ห่างจากฝ่ายตรงข้ามสามเมตร นี่คือระยะห่างที่ปลอดภัย นอกจากนี้ยังเป็นระยะห่างที่ดีที่สุดระหว่างคน ไม่เสียมารยาทไม่เกินขอบเขตที่กำหนด “ยินดีอย่างยิ่งที่ได้เจอคุณ”

“เสี่ยวถง” ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นอย่างช้าๆ

ช่วงเวลาที่เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้น พุ่งเข้ามาในดวงตาที่อ่อนโยน

สีหน้าของเธอ หน้าซีดทันใด

“คุณคาย์อัน” หน้าซีดของเธอ มีรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากอีกครั้ง แก้ไขการเรียกเขา หายใจลึกๆ หลังจากนั้น ยื่นมือออกไป

“เจี่ยนซื่อกรุ๊ปเจี่ยนถง” การแสดงของเธอไร้ที่ติ “คุณคาย์อัน ยินดีที่ได้รู้จัก”

ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า มีร่องรอยความเหงาในดวงตา ความสุภาพของเธอ มารยาทของเธอ…….เขาไม่ต้องการความสุภาพนี้ เพราะเบื้องหลังความสุภาพ มันคือความห่างเหิน

อันที่จริงเขาเองก็รู้สึกแปลกมาก

ในหลายสิบปี การไล่ล่าคือเป้าหมายของชีวิต ความสุขของเขา คือการล่าเหยื่อทีละตัวไล่ล่าพิชิตแล้วก็ไปตามหาเหยื่อรายอื่น

ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า เดิมทีก็เป็นเพียงเหยื่อที่เขาพบเจอในชีวิต เหมือนเหยื่อตัวอื่นๆ เพียงแค่รอเธอไล่ล่าและพิชิต

ผู้หญิงที่สวยกว่า รูปร่างดีกว่า นิสัยร้อนแรงและแข็งแกร่งกว่าและมีเสน่ห์กว่าผู้หญิงตรงหน้ามีอีกมากมาย และยังมีอีกมากมายที่น่าสนใจกว่าผู้หญิงตรงหน้า

แต่เพียงผู้หญิงนี้ ที่เขาจำไว้เท่านั้น

ดวงตาที่แคบและยาว ขนตายาวนั้น ปิดบังรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวไว้ใต้ตา

เหยื่อที่ชื่อว่าเจี่ยนถงเธอไม่สวยไม่เซ็กซี่ไม่เสน่ห์ จริงๆแล้วเธอยังไม่เข้าตาอีกด้วย แต่ก็เพราะผู้หญิงแบบนี้ เดิมทีเป็นเพียงเหยื่อตัวหนึ่งในชีวิตของเขา เป็นหนึ่งในเป้าหมายของการไล่ล่าของเขา ไม่มีความพิเศษ เหมือนเหยื่อตัวอื่นๆ……….แต่กลายเป็นเงาในใจตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่เข้มข้น ไม่ลึก เป็นเงาจางๆ แต่ปัดอย่างไรก็ปัดไม่ออก

คาย์อัน เฟโรกิมองมือที่ยื่นมา เธอผอมลงกว่าเดิม นิ่งเงียบ เขาก็ยื่นมือออกมา จับมือผอมๆข้างนั้น ฝ่ามือที่หยาบกร้าน เมื่อเทียบกับฝ่ามือที่อ่อนนุ่มข้างนั้นไม่คู่ควรกันเลย

เขารู้สึกไม่สบายใจ…….ผอมขนาดนี้

ถ้านอนนั้นให้เธอห้าแสน วันนี้เธออาจจะไม่อยู่ในสภาพนี้ก็ได้

อดไม่ได้เหยียดนิ้วออกแล้วลูบที่ฝ่ามือนั้นอยู่สักครู่

แต่ก็ลูบได้แค่แป๊บเดียว……..

“คุณคาย์อัน ให้เกียรติด้วย”

คาย์อันอึ้งไปสักครู่………ให้เกียรติ เธอบอกเขาให้เกียรติด้วย

รู้สึกเสียดายเล็กน้อย ปล่อยมือที่จับมือเธอออก

สายตาของเขา มองบนรอยแผลเป็นที่หน้าผากของเธอ จึงนึกถึงตอนจูบและสัมผัสแผลนั้นเบาๆ มีอาการคันเล็กน้อยที่ริมฝีปาก ทันใดนั้นก็หันข้าง เกรงว่าจะอดไม่ได้ที่จะแตะต้องรอยแผลเป็นนั้นอีกครั้ง

“รอยแผลนี่……..”

“คุณคาย์อัน ฉันรู้สึกว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะฉันมีความคิดที่ไม่เหมาะสม” ขณะที่เธอพูด ก็จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย

“ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็ขอตัวก่อน”

เธอไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากเสิ่นซิวจิ่นแล้วจะมายอมรับความช่วยเหลือจากคนคนนี้เหรอ?

เธอมองเอกสารที่อยู่ในมือตัวเอง ดูท่า การทำหนักในหลายวันที่ผ่านมา ก็เปล่าประโยชน์ ถ้าออกไป วิเวียนก็คงจะว่าเธอว่าโง่มาก

คิดๆอยู่ ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา

วิเวียนจะด่าเธอว่าโง่

อืม เจี่ยนถง คุณโง่จริงๆ

“เดี๋ยวก่อน” เธอเดินไปถึงประตูห้องประชุมแล้ว คาย์อันที่อยู่ข้างหลังพูดว่า

“พวกเราจะไม่มีวันย้อนกลับไปเหมือนในอดีตแล้วใช่ไหม?”

เจี่ยนถงหยุดเดิน “อดีต พวกเรามีอดีตด้วยเหรอ?” คุณคาย์อัน สมมุติว่าคุณเคยรู้จักฉันในอดีตมาก่อน เช่นนั้นก็ลืมมันไปซะ”

อดีต?

คุณลูกค้ามีพระคุณกับหญิงให้บริการ?

เธอหัวเราะเยาะที่มุมปากของเธอ

อดีตของเธอ ยอดเยี่ยมมาก

“เท่าที่ฉันรู้ เจี่ยนเจิ้นตงถ่ายโอนเงินส่วนใหญ่ของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปไป

นั่นก็หมายความว่า การหมุนเวียนเงินสดของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปก็กำลังจะหยุดลงแล้ว”

มือเจี่ยนถงที่จับลูกบิดประตูบีบและจับลูกบิดแน่น ใจก็ฮึกเหิมขึ้น “คุณคาย์อัน จะพูดอะไรก็ควรมีหลักฐาน คุณควรรู้ไว้ว่า ข่าวลือของคุณ อาจจะทำให้ตลาดหุ้นของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปผันผวนได้ ต้องมีความรับผิดชอบตามกฎหมายด้วย!” เขารู้ได้อย่างไร!

เรื่องนี้ นอกจากเธอกับหัวหน้าฝ่ายการเงิน ก็ไม่มีใครรู้!

และหัวหน้าฝ่ายการเงิน คงไม่ทำลายกำแพงด้วยตัวเอง ต้องรู้ว่า เรื่องเจี่ยนเจิ้นตงโอนเงินของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปไป เขาในฐานะหัวหน้าฝ่ายการเงิน ก็ต้องมีความรับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วย!

ถ้าพูดให้หนัก ก็คือผู้สมรู้ร่วมคิด

พูดให้เบาลง ก็คือบกพร่องในหน้าที่

แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน หัวหน้าฝ่ายการเงินก็หนีไม่พ้นแน่นอน!

คนคนนี้รู้ได้อย่างไร!

“เป็นการสร้างข่าวลือหรือเปล่า คุณก็รู้อยู่แก่ใจ” ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น เดินไปข้างหน้า “เสี่ยวถงทำความร่วมมือตอนนี้ไหม?”

เสียงเบาๆ มั่นใจมาก เหมือนจะสรุปการตัดสินใจของเจี่ยนถงแล้ว

เธอก็ฟังออก

แต่…….แต่ว่า!

มือจับลูกบิดประตู ออกแรงทันที ประตูใหญ่ของห้องประชุม เปิดออกตรงหน้าของเธอ แสงจากทางเดิน ส่องมาที่ตา เธอก้าวเดินออกไป

แต๊ก แต๊ก แต๊ก แต๊ก……..

ตรงทางเดิน เธอฟังเสียงเท้าเดินของตัวเอง การตัดสินใจเช่นนี้ ไม่ยอมก้มหัว เดินออกมาโดยไม่ลังเล

เดินออกมาจากทางเดินที่ยาว เงยหน้าขึ้น คนที่เธอพามาด้วย นาทีที่เห็นเธอ ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างตื่นเต้น สายตาทั้งเจ็ดคู่ เต็มไปด้วยความคาดหวัง

“ประ ประธานเจี่ยน…..เป็น เป็นอย่างไรบ้าง?” มีคนหนึ่งมองเธอแล้วถามอย่างระมัดระวังด้วยความคาดหวัง

เจี่ยนถงเหมือนโดนสิ่งของบางอย่างกระแทกที่ใจอย่างรุนแรง

หลับตาลงกะทันหันฝ่ามือที่อยู่ข้างๆ กำไว้อย่างแน่น รอยเล็บที่โค้งเหมือนพระจันทร์ ฝังลึกในฝ่ามือ

“ประธานเจี่ยน……ไม่ ไม่ได้เหรอ?” ความผิดหวังนั้น แทรกอยู่ในน้ำเสียงของคนถาม

ลมหายใจของเธอ ชะงักทันที เธอกัดฟันแน่น แม้จะยังไม่ลืมตา ก็สามารถเดาได้ว่า ในสายตาของพวกเขามีความผิดหวัง

พวกเขา……..พวกเขาเป็นคนที่เจี่ยนถงพามาด้วย!

คือเธอเจี่ยนถงที่พาคนพวกนี้มา คือเธอเจี่ยนถงที่ให้คนพวกนี้ทำงานล่วงเวลามาเป็นอาทิตย์

ทันใดนั้น!

ผู้หญิงลืมตาขึ้น หมุนส้นเท้า

ไม่พูดอะไร ภายใต้สายตาของคนเหล่านี้ เธอเดินกลับไป เดินกลับไปทางห้องประชุม

ประตูตรงหน้าได้ปิดตามการเคลื่อนไหวของเธอเมื่อครู่ ยืมอยู่ตรงหน้าประตูที่ปิดสนิท เจี่ยนถงถอนหายใจอย่างแรง แล้วเอื้อมมือผลักประตูออก

“คุณคาย์อัน ยังต้อนรับฉันอยู่ไหม?”

สีหน้าของเธอไร้ความรู้สึก ในใจเหมือนมีมีดคมๆกำลังแทงมาที่ตัวเอง

ในห้องประชุม หน้าหล่อของคาย์อันเซอร์ไพรส์สุดๆ…….เขาคิดว่าเธอกลับไปแล้ว

ริมฝีปากบางๆยิ้มทันที “ยินดีต้อนรับ”

เจี่ยนถงเดินเข้าไป แต่รู้สึกว่าเหมือนเท้าหนักเป็นพันกิโลกรัม

“เช่นนั้น สามารถพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือหรือยัง?” เธอไม่อยากนอกเรื่อง เข้าประเด็นทันที

สำหรับคาย์อัน เฟโรกิแล้ว เรื่องราวในความทรงจำเหล่านั้น ไม่ช้าก็เร็วมันก็จะจางหายไปตามกาลเวลา

“ดี” ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ยิ้มอย่างอ่อนโยน ตอบอย่างมีความสุข

กลับมา…….ก็ดีแล้ว

เจี่ยนถงเปิดแฟ้มเอกสารในมือ นั่งลงแล้วเจรจากับคาย์อันเกี่ยวกับความร่วมมือในครั้งนี้

เธออธิบายได้ดีมาก และตั้งใจมาก

เพื่องานส่วนรวม เธอทิ้งเรื่องส่วนตัวไว้ข้างๆ

เจี่ยนเจิ้นตงทิ้งความยุ่งเหยิงนั้นไว้เธอยังต้องการที่จะปกป้องไม่ได้เพื่ออย่างอื่น เพียงเพื่อ…….

เธอไม่ได้สังเกต ตอนที่เธออธิบาย ชายคนข้างๆ จ้องมองเธออย่างไม่กะพริบตาเลย ใส่ใจมาก ใส่ใจทุกความเคลื่อนไหวของเธอ

จะหน้าบึ้ง หรือจะอธิบายอย่างรวดเร็วก็ดี

ดูเหมือนการจ้องมองเวลาเธอทำงาน สามารถทำให้เขาจมอยู่ในนั้น ในใจมีความสุขมาก

เธอวางเอกสารไว้บนโต๊ะเบาๆ เงยหน้าขึ้น มองไปข้างกาย “คุณคาย์อัน คุณก็เห็นแล้ว

การอธิบายในครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาจริงๆแล้วความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นเรื่องที่มีผลประโยชน์ต่อสองฝ่าย

ส่วนฉัน อยากให้คุณคาย์อันเข้าใจว่า

เจี่ยนซื่อกรุ๊ปของพวกเรา ครั้งนี้ทุ่มเทอย่างมาก เพื่อร่วมมือกับบริษัทของคุณเพื่อพัฒนาโครงการใหม่”

“ความทุ่มเทของเจี่ยนซื่อกรุ๊ป ฉันเห็นมันแล้ว”

“หมายความว่า คุณคาย์อันก็ยินดีที่จะร่วมมือแบบ win-win ระหว่างทั้งสองฝ่าย ใช่ไหม?”

“แน่นอน” บนใบหน้าที่หล่อของคาย์อัน ดวงตาหนึ่งคู่ จ้องมองที่เธอ อ่อนโยนจนสามารถดำออกมาจากน้ำได้ “แต่ฉันมีเงื่อนไขหนึ่งข้อ”

“คุณคาย์อัญเชิญพูดมาได้เลย” เจี่ยนถงทำท่าทาง”เชิญ “

“ฉันยินดีที่จะให้ความร่วมมือในครั้งนี้ แต่ หากโครงการนี้ภายหลังการดำเนินการ ไม่สามารถทำให้ฉันพอใจ ฉันจะเอาเงินที่ลงทุนไปคืนมา”

“เจี่ยนซื่อกรุ๊ปจะทำให้ดีที่สุด ส่งหัวกะทิออกมาทำ…………”

“ไม่” คาย์อันเหยียดนิ้วชี้ออกมาแล้วส่ายไปมาแสงสว่างในดวงตา ด้วยศักยภาพที่จะเอาชนะ “โครงการนี้ ฉันจะเป็นคนติดตามเอง ผู้ติดตามโครงการของเจี่ยนซื่อกรุ๊ป ต้องเป็นประธานเจี่ยนเท่านั้น”

เจี่ยนถงเดินออกมาจากห้องประชุมอีกครั้ง คาย์อันเดินมาส่ง เหมือนอยากจะพูดคุยด้วย

วิเวียนเห็นเจี่ยนถงก่อน กำลังจะถาม “เจรจาสำเร็จไหม”

คนตัวสูงใหญ่ ปรากฏตรงหน้าฝูงชน

“นี่คือ…….”

เจี่ยนถงถอยห่างหนึ่งก้าว “ฉันมาแนะนำ ท่านนี้คือตัวแทนของบริษัทฝ่าย ข คาย์อัน เฟโรกิ”

เดิมทีผู้รับผิดชอบโครงการนี้คือวิเวียน เรื่องปกติ เธอก้าวไปข้างหน้า ยื่นมือออกไป “สวัสดี คุณเฟโรกิ ฉันคือ…….”

“วิเวียน การติดตามโครงการในครั้งนี้ ฉันจะรับผิดชอบเอง”

เจี่ยนถงขัดจังหวะการพูดของวิเวียน

ดวงตาของวิเวียนแสดงความไม่เข้าใจ

“กลับไปค่อยว่า” เจี่ยนถงพูดข้างหูวิเวียนเบาๆ

คาย์อัน เฟโรกิส่งทุกคนลงไปชั้นล่างด้วยตัวเอง

เลขาสาวที่อยู่ข้างๆเขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย มองเจี่ยนถงอีกครั้ง………. ประธานที่ลึกลับผู้นี้ ไม่ค่อยปรากฏตัวในเมืองSเลย เล่ากันว่าเขามีเครือข่ายอุตสาหกรรมมากมาย และบริษัทนี้ ก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในนั้น ก็ไม่ได้เป็นบริษัทที่พิเศษแต่อย่างไร ครั้งก่อนประธานลึกลับท่านนี้ปรากฏตัวที่บริษัทแห่งนี้ คือเมื่อสามปีก่อน

ครั้งที่แล้ว……จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นตอนไหนแล้ว

เห็นได้ว่า คาย์อัน เฟโรกิเจ้าของลึกลับเบื้องหลังบริษัทนี้ ไม่สนใจสภาพบริษัทนี้เลย

แต่ครั้งนี้ร่วมมือกับเจี่ยนซื่อกรุ๊ป เป็นความต้องการของประธานลึกลับคนนี้ และเสนอขอพบประธานเจี่ยนตามลำพัง

คาย์อัน เฟโรกิ เงินเยอะและหล่อ แล้วยังลึกลับมาก ผู้ชายแบบนี้ เป็นชายโสดที่ผู้หญิงส่วนใหญ่หมายตา

ร่วมมือกับเจี่ยนซื่อกรุ๊ปเป็นกรณียกเว้น แล้วยังเสนอพบตัวแทนของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปแบบตัวต่อตัว

เลขาสาวมองเจี่ยนถง…..นอกจากเธอเป็นประธานของเจี่ยนซื่อกรุ๊ป คุณเจี่ยนคนนี้ ก็ไม่มีอะไรพิเศษ

ถ้าพูดถึงรูปลักษณ์ ในบริษัทมีคนที่โดดเด่นกว่าคุณเจี่ยนมีตั้งมากมาย ว่าจะเป็นรูปร่าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย แม้ตัวเธอเอง รูปลักษณ์ก็ดีกว่าคุณเจี่ยนคนนั้นเยอะ

เธอมีเรื่องซุบซิบ ได้ยินเกี่ยวกับประธานต่างชาติผู้ลึกลับคนนี้ เขาชอบไล่ตามเพศหญิง แต่……คุณเจี่ยนคนนั้น เธอมองไม่เห็นความ “งดงาม”เลย

คาย์อัน เฟโรกิส่งรูปร่างผอมๆนั้นขึ้นรถ มองรถคันนั้นขับออกไปไกลมาก จนมองไม่เห็น

“ท่านประธาน โครงการครั้งนี้ ท่านจะให้ใครช่วยติดตาม?”

เลขาสาวก้าวไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ ดูเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ใบหน้าที่หล่อเหลาของชายคนนั้น ดวงตาคู่หนึ่ง เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ก้มมองเลขสาวที่อยู่ข้างๆ แววตานั้น เหมือนมองเจตนาทั้งหมดออก

“หน้าที่ของเลขา ยังรวมถึงการยั่วยวนประธานด้วยเหรอ?” คาย์อัน เฟโรกิมองเธอเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

บนใบหน้าอันบอบบาง ยิ้มค้าง “ฉันไม่รู้ว่าท่านประธานกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่”

เธอพูดอย่างเซ็งๆ พูดออกมาหนึ่งประโยค

จู่ๆก็ยื่นมือออกมาหนึ่งข้าง แค่หนึ่งข้าง ผลักเบาๆ เลขาสาวที่ตัวเกือบจะติดเขา แล้วเงยหน้าขึ้น ยกมุมปากแล้วยิ้ม “ตอนนี้ รู้แล้วใช่ไหม?”

พูดจบ ไม่มีอารมณ์จะฟังคำอธิบายของผู้หญิงคนนี้แล้ว ช่างร้ายกาจมาก วิธีการยั่วยวน เขาเห็นมาเยอะแล้ว ไม่อยากเห็นอิริยาบถของผู้หญิงคนนี้ตรงหน้าตัวเองอีก

หันหลัง เดินออกไปอย่างรวดเร็ว

ก่อนออกไป ไม่ลืมเสริมมีด “อ้อ มีอีกอย่าง ไม่มีใครเคยบอกคุณใช่ไหม น้ำหอมบนตัวคุณ ไม่เหมาะกับตัวคุณเลย”

“ครั้งหน้า กรุณาใช้ของแท้”

เลขาสาวหน้าโกรธมาก กระทืบเท้า เธอแค่เห็นว่าเจี่ยนถงของเจี่ยนซื่อกรุ๊ป ถ้าผู้หญิงจืดๆอย่างเจี่ยนถง สามารถเข้าตาประธานลึกลับคนนี้ที่ทั้งหล่อและรวยได้ แล้วทำไมเธอจะทำไม่ได้?

ก็แค่อยากทดสอบ ไม่คิดว่าจะโดนว่าขนาดนี้

เจี่ยนถงขอให้วิเวียนส่งเธอไปที่หมู่บ้านดอกสวนช้างเผือก

“คุณกับคาย์อัน เฟโรกิคนนั้น เคยรู้จักกันเหรอ?” ก่อนลงจากรถ วิเวียนถาม

เจี่ยนถงตอบอย่างคลุมเครือ “อืม” “เคยเจอกันไม่กี่ครั้ง”

“โครงการนี้ ตกลงกันแล้วว่า จะให้ฉันเป็นคนรับผิดชอบติดตามไม่ใช่เหรอ?”

“คุณอย่าคิดมาก มีบางส่วนในโครงการนี้ ฉันยังต้องติดตามต่อไป สำหรับคุณ วิเวียน คุณก็เหนื่อยมาหลายวันแล้ว ให้ตัวเองได้พักผ่อนบ้าง”

วิเวียนในดวงตาสงสัยเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดออกมาต่อหน้า พยักหน้า “ตกลง พอดีเลยวันนี้คุณเลิกงานเร็ว เช่นนั้นฉันก็จะลาให้ตัวเองได้พักบ้าง วันนี้จะพักผ่อนให้เต็มที่”

รอเจี่ยนถงจากไป วิเวียนขมวดคิ้วสวยๆขึ้น มองจากอีกมุมหนึ่ง วิเวียนก็ยังเข้าใจเจี่ยนถงได้

อย่างเช่น เมื่อครู่เจี่ยนถงพูดว่า “คุณอย่าคิดมาก” นี่ก็คือพยายามปกปิดแต่กลับกลายเป็นเปิดเผย

ถ้าเป็นคนอื่น อาจไม่สังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆนี้ แต่เธอ วิเวียนจะสังเกต

คิดถึงตอนเจี่ยนถงอยู่ที่บริษัทของอีกฝ่าย เข้าออกห้องประชุมสองรอบ คิดถึงคำขอของอีกฝ่ายเมื่อเจอกันครั้งแรก ——ขอเจอเจี่ยนถงเพียงคนเดียว

ในใจของเธอ รู้สึกไม่ค่อยดี แต่ก็บอกไม่ถูกว่าคืออะไร

เจี่ยนถงขึ้นลิฟต์ ตอนประตูเปิดออก เธอคงคาดไม่ถึงว่า เธอจะเจอภาพนี้!

กระจัดกระจายเต็มพื้น!

ในห้องครัวที่เปิด ถ้วยแตกเต็มพื้น น้ำไหลแรง ไหลเต็มพื้นไปหมด

โกรธจัด เดินเข้าไป “เสิ่นซิวจิ่น!คุณทำอะไร……!”

ความโกรธนั้น หลังจากที่เดินเข้าไป เห็นบนพื้นเต็มไปด้วยเลือดสีแดง สยองทันที!

ทันใดนั้น เกิดความตื่นตระหนกในใจ!

“เสิ่นซิวจิ่น คุณออกมา เกิดอะไรขึ้น?”

เธอมองหาอย่างร้อนใจ ตกใจกับเลือดที่เต็มพื้นจนหน้าซีด

เธอตะโกนเรียกอยู่สามครั้ง แต่ก็ไม่มีการตอบกลับ

“เสิ่นซิวจิ่น อยู่ไหน?คุณอยู่ไหม?”

เธอตกใจมาก ไม่ได้เดินไปข้างใน

มีเสียงเล็กๆดังมาจากใต้อ่างล้างมือ “พี่สาว อาซิว………”

เธอหันกลับมาทันที ตามเสียงไปเห็นร่างหนึ่งยืนออกมา ทำหน้าเหมือนทำผิด

มองดูคนคนนั้นขึ้นๆลงๆอย่างรวดเร็ว แต่ไม่เจอบาดแผลอะไร

มุมตาเหลือบมองไปทั่วพื้นที่ยุ่งเหยิง ถ้วยจานที่แตก น้ำเต็มพื้น ทันใดนั้นความเดือดดาลพุ่งขึ้นอีกครั้ง

จากความโกรธ ก็เป็นความกังวล กังวลว่าคนคนนี้ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ สุดท้ายบนพื้นที่ยุ่งเหยิง คนคนนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บ ความโกรธก็ปะทุขึ้นใหม่

สำหรับบทแทรกเล็กๆนี้ เจี่ยนถงไม่ได้คิดอย่างรอบคอบ ทำไมเธอถึงทำกับเขาแบบนี้ถึงแม้ถ้วยชาจะพัง ทำให้ในบ้านเต็มไปด้วยน้ำ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นทำเช่นนี้ เธอก็คงไม่โกรธขนาดนี้ แต่โกรธคนนั้นมาก

เจี่ยนถงที่ผ่านมา มีครั้งหนึ่งฝันเห็นฉากนี้ตอนกลาง ตอนนั้นเธอใช้เวลายามบ่ายเพื่อคิดว่าทำไม

หลังจากนั้นเธอก็คิดออก

เพราะแค้นเคือง เพราะเป็นเขา

“คุณทำเหรอ?” เจี่ยนถงระงับความโกรธมองข้ามความรกบนพื้น แน่นอนสิ่งที่ถามก็คือบนพื้นที่ยุ่งเหยิง เป็นฝีมือของคนที่อยู่ตรงหน้าใช่หรือไม่

“ขอโทษ”

คนคนนั้นกล่าวขอโทษเบาๆอย่างระมัดระวัง ในแววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

เจี่ยนถงเกือบหัวเราะ มองคนหลังอ่างล้างมือ เมื่อก่อนเขาไม่เคยยอมรับความผิดง่ายๆ แต่ตอนนี้ ยอมรับความผิดได้เร็วมาก

แต่ความน่ารักแบบนี้ ตกอยู่ในสายตาของเจี่ยนถงมีความโกรธอีกแบบหนึ่งที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ไม่เพียงแค่ความโกรธ แต่เป็นความโกรธที่คลุมเครือในใจ

แน่นอน ตัวเธอเองไม่รู้สึก ความโกรธของเธอในขณะนี้ ไม่ใช่แค่เผชิญหน้ากับคนคนนี้ที่ทำให้ในบ้านยุ่งเหยิง

เธอเหลือบมองชายคนนั้นอย่างเย็นชาไม่พูดอะไรทำหน้าบูดบึ้งแล้วหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าเป้

“ฉันเอง ไป๋ยู่สิง พวกคุณจะมาถึงเมื่อไหร่?” เธอถามอีกฝ่ายของโทรศัพท์เบาๆ เงาดำในแนวทแยงวิ่งผ่าน โทรศัพท์ในมือเธอตกลงพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว

ความโกรธที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจมันแผดเผาอย่างบ้าคลั่ง ตะโกนใส่เงาดำนั้น

“เสิ่นซิวจิ่น!คุณเป็นบ้าอะไร!”

ตอนนี้ เธอไม่สามารถปฏิบัติต่อคนคนนี้เหมือนเด็กอายุแปดขวบได้

ความโกรธทำให้เธอขาดสติไปชั่วคราว เพียงอยากเอาความโกรธในใจ ทั้งหมดระบายไปยังผู้กระทำผิด!

เสียงโกรธเล็กน้อยของชายคนนั้นดังขึ้น ถามเธอตรงๆ “พี่สาว ทำไมคุณต้องโทรหาคุณอายู่สิง!”

เจี่ยนถงเงยหน้า เห็นตาใสๆและสัมผัสได้ถึงความโกรธและความสิ้นหวังในดวงตาของเขา “คุณ……”

ตาของคนคนนั้นแดงทันที เหมือนว่าคนที่ทำผิดไม่ใช่เขา แต่เป็นเธอ

“ทำไมคุณต้องโทรหาคุณอายู่สิง?”

คนคนนั้นถามเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เจี่ยนถงบีบฝ่ามือซ้ำๆ ทันใดนั้น เธอรู้สึกว่าไม่สามารถตอบคำถามเขาได้ทั้งหมดในขณะนี้โดยเฉพาะภายใต้ดวงตาที่ใสซื่อไร้เดียงสานั้น กำลังจ้องมองเธอด้วยความเศร้า

“เดิมทีคุณก็ควรจะตามไป๋ยู่สิงไปในที่ที่คุณควรจะไป” เธอหันหน้าไปอีกทาง ไม่มองคนคนนั้น กำมือไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย

เป็นเวลานานมากที่ไม่มีเสียง

คนคนนั้นไม่พูดอะไร

เจี่ยนถงกำลังสงสัย กำลังหันไปมอง คนคนนั้นเสียใจและอ่อนแอ

“หลังจากนี้อาซิวจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้พี่สาวต้องโกรธอีก พี่สาวอย่าไล่อาซิวไปนะ” เสียงเล็กน้อยๆที่อ้อนวอน เธอได้ยินความไม่สบายใจในจากคำพูดของผู้ชายคนนั้น “ได้ไหม?” ชายคนนั้นถามเสียงเบา

ได้ไหม?

เสียงเล็กๆนั่น ความระมัดระวังนั่น……..เธอกัดฟันอย่างแรง

เกือบไปแล้ว อีกนิดเดียวก็จะใจอ่อนอีกแล้ว

จ้องเขม็ง…..เวรกรรม!

เธอขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยเกลียดชังสาปแช่งในใจ

“เสิ่นซิวจิ่นคุณควรกลับสู่เส้นทางชีวิตของคุณเอง ที่นั่น ไม่ควรมีฉัน” เธอก็ไม่ได้คิด ตอนนี้เขาอายุแปดขวบ จะฟังรู้เรื่องหรือไม่ จะเข้าใจในคำพูดเหล่านี้หรือไม่

และพฤติกรรมของเธอในตอนนี้ ยิ่งเหมือนกำลังรังแกคนไข้ที่จิตใจไม่ปกติอยู่

แต่เจี่ยนถงมองลง บอกตัวเองซ้ำๆในใจ อย่าใจอ่อน อย่าใจอ่อน!

หมาจิ้งจอกกับเสือเพียงแค่ง่วงนอน ไม่นานพวกมันก็จะตื่นมา

“ต่อไปอาซิวจะไม่ทำอีกแล้ว…….” คนคนนั้นพูดเบาๆ กำลังขอร้อง

“พี่สาวจะหิว อาซิวก็เลยอยากส่งอาหารกลางวันให้พี่สาว แต่อาซิวโง่…….”

ตุ๊ง!

หัวใจเหมือนถูกมีดคม แทงทะลุเข้าไปในหัวใจ คนคนนี้……ความยุ่งเหยิงที่เธอกวาด…….ก็เพื่อจะส่งอาหารกลางวันให้เธอ?

ไม่ๆ ห้ามใจอ่อน ไม่ควรใจอ่อน

จะอ่อนโยนกับใครก็ได้ สำหรับเขา ไม่ได้

ติ๊ก ติ๊ก——

ในความสงบ เสียงแปลกๆดังขึ้น เหมือนเสียงน้ำไหลลงพื้น มันดังแปลก ๆ ในห้องรับแขก

แต่เธอมั่นใจว่า ปิดก๊อกน้ำแล้ว

เสียงนั่นน่าจะมาจาก——

เธอมองคนข้างๆ อย่างกะทันหัน

“คุณเอามือไว้ด้านหลังซ่อนอะไรไว้!” ตาเธอแหลมคม มองตรงไปข้างหน้า จึงสังเกตเห็น คนคนนั้นเอามือซ่อนไว้ด้านหลังตลอดเวลา

“ไม่มี”

“ยื่นมือออกมา”

เธอเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว คนคนนั้นรีบถอยหลังไปหลายก้าว เลี่ยงการสัมผัสของเธอ

การถอยครั้งนี้ ตรงที่เขายืนอยู่ บนพื้นเต็มไปด้วยเลือดสีแดง แดงจนปวดตา

เธอยกเท้าทันทีและเข้าใกล้คนคนนั้น “ยื่นมือออกมา ให้ฉันดูหน่อย”

คนคนนั้นถอยอย่างรวดเร็วเหมือนสัตว์ร้ายหนีภัยพิบัติจากน้ำท่วม

น้ำที่สะสมอยู่บนพื้นดิน เธอใจร้อน อยากเห็นมือที่เขาซ่อนไว้ด้านหลัง แต่ลืมว่า ตัวเองขาไม่ปกติ เดินเข้าไปอย่างเร่งรีบ เขาก็หลบหนีเร็วมาก มันเกิดขึ้นเร็วมากเจี่ยนถงล้มลงอย่างไม่ทันตั้งตัว “อ๊าก——“

ลืมความเจ็บปวดทันใด ที่เอวมีแขนที่แข็งแรงข้างหนึ่ง กอดเธอไว้แน่น “พี่สาว ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร อาซิวอยู่นี่ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว”

วินาทีที่เธอมองขึ้นไป เห็นแต่ความวิตกกังวลในแววตาของคนคนนั้น ราวกับว่าคนที่ล้มเป็นตัวเขาเองไม่ใช่เธอ

เธอนึกถึงอะไรบางอย่าง ยังไม่ทันยืนอย่างมั่นคง รีบคว้าแขนที่อยู่ตรงเอวของเธอ…….เต็มไปด้วยเลือดสีแดง

แค่มองแป๊บเดียว ก็เห็นบนฝ่ามือ บนนิ้วมือมีบาดแผลที่โดนบาด เจี่ยนถงหน้าทรุด “ยืนดีๆ”ตะโกนออกมาเสียงเข้ม ความโกรธที่เธอเอกก็ไม่ทันได้สังเกต

เธอยกเท้า จะรีบเดินไปที่มุมห้องรับแขก

แต่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ หันมา ข้างหลังมีคนเดินตามมา “บอกให้ยืนนิ่งๆ ใครบอกให้คุณขยับ?”

“พื้นลื่น……..”

เจี่ยนถงสีหน้าเย็นชา ตาเป็นประกายไฟเล็กน้อย หน้าตึง ตะโกนสุดเสียง

“ทำให้น้ำเต็มบ้านไปหมด รกรุงรัง สร้างความเดือดร้อนให้มาก คุณยังจะสร้างความเดือดร้อนอะไรอีก?” ใจร้ายมาก

คนคนนั้นประนีประนอมอย่างไม่สบายใจและพูดว่า “อาซิวไม่ขยับแล้ว อาซิวจะยืนอยู่ตรงนี้”

เจี่ยนถงเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลในตู้ที่อยู่มุมห้องรับแขก แล้วกลับมา เธอนั่งบนโซฟา พูดกับชายคนนั้นที่ยืนนิ่งๆไม่กล้าขยับตัวอย่างเย็นชาว่า

“ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นทำไม?”

ใบหน้าของคนคนนั้นอึ้งอย่างกะทันหัน แล้วพูดอย่างสำรวมว่า “ก็พี่สาวบอกว่า ไม่ให้อาซิวขยับไปไหน”

ความเย็นชาบนหน้าเจี่ยนถง ตกตะลึง ใบหน้านั้นยืดหยุ่นยาก จึงตะโกนอย่างโกรธเคืองว่า

“มานี่” คนคนนั้นเหมือนทำอะไรผิด เดินมาหาเธออย่างกลัวๆ เธอชี้ไปบนโซฟาข้างๆ “นั่งตรงนี้”

ได้รับการอภัยโทษ ชายคนนั้นรีบวิ่งไปหาเธออย่างมีความสุข นั่งลงอย่างเชื่อฟัง

“ยื่นมือออกมา”

ในขณะที่เธอพูดไปด้วย ก็ได้เปิดกล่องปฐมพยาบาลเรียบร้อยแล้ว

คนคนนั้นก็เชื่อฟัง สำลีเช็ด น้ำยาฆ่าเชื้อ ผ้าก๊อซสีขาวพันแผล ยื่นมือให้ตลอดเวลา ให้เธอทำให้จนเรียบร้อยทุกอย่าง

“ทำมันยังไง?” หลังจากที่ทำแผลเสร็จ เธอปิดชุดปฐมพยาบาล เพิ่งเริ่มถามถึงอาการบาดเจ็บที่มือของเขา

“ฉันทำถ้วยแตก ก็เลยจะเก็บขึ้นมา……..” ผู้ชายคนนี้มองเธออย่างซื่อๆ

เจี่ยนถงถอนหายใจในใจ “หลังจากนั้นก็บาดมือ?”

“อืม” เขาพยักหน้าอย่างระมัดระวัง

“ทำไมต้องซ่อนไว้ ไม่ให้ฉันเห็น”

เธอถามอีกครั้ง

“กลัวพี่สาวจะว่าอาซิวซุ่มซ่าม”

เจี่ยนถงตกใจ ถูกมองด้วยสายตาไร้เดียงสาแบบนั้น เป็นเพราะเหตุผลที่ไร้สาระเช่นนี้

แต่ครั้งนี้ เธอหัวเราะไม่ออก และความโกรธก็ค่อยๆหายไป

ในบ้าน เงียบมาก ทั้งสองคนนั่งอยู่บนโซฟา เจี่ยนถงติดต่อหาแม่บ้านทำความสะอาด

ตอนนี้ แม่บ้านทำความสะอาดยังไม่มา ก็นั่งรอบนโซฟา คนคนนั้นนั่งโดยไม่พูดอะไรสักคำ ได้แต่จ้องเธอด้วยสายตาคู่นั้น……..จ้องเธอมาครึ่งชั่วโมงแล้ว

แต่ ไม่ได้

ไม่ได้ก็คือไม่ได้

ใจอ่อนไม่ได้

เพียงแค่อย่าไปมองตาอ้อนวอนของเขาก็ได้แล้ว หมาป่าเดินทางหลายพันไมล์เพื่อกินเนื้อ ที่กล่าวนั้นหมายถึงคนอย่างเสิ่นซิวจิ่น

ไม่ต้องสนใจว่าตอนนี้เขาจะเป็นยังไง ความเยือกเย็นและความโหดร้ายของเขาในหลายปีที่ผ่านมา ได้สลักไว้ในใจของเธอมานานแล้ว

เผชิญหน้ากับหน้าเดียวกัน เจี่ยนถงคิดว่าตัวเองไม่สามารถทำเหมือนความจำเสื่อมได้ มองข้ามสิ่งที่ผ่านไป

เธอตัดสินใจแล้ว จะส่งเขากลับไป แค่รอไป๋ยู่สิงนำคนมา แล้วพาคนกลับไป เธอก็จะไม่อารมณ์เสียอีก

ในใจก็จะไม่มีความรู้สึกที่พูดออกมาไม่ได้

เวลาผ่านไปทีละนิด เธอยกข้อมือขึ้นเป็นครั้งที่สาม ดูนาฬิกาข้อมือ และข้างๆเธอ ดวงตาที่แผดเผานั้น เกือบทำให้เธอร้อนตาม

เธอก็แค่หันไปอีกข้าง ให้คนข้างๆที่จ้องมองไม่ยอมละสายตาจากเธอ

ไม่รอคนของไป๋ยู่สิงมา ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกเข้าดังขึ้น ขัดจังหวะบรรยากาศแปลกๆในบ้าน

เจี่ยนถงรีบเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะกาแฟ กดปุ่มรับสายอย่างรวดเร็ว

“ถึงหรือยัง?”

เสียงเท้าเดินอย่างเร็วจากอีกฝ่ายาของโทรศัพท์ ดูเหมือนเธอจะได้ยินเสียงประชาสัมพันธ์ของสนามบิน สงสัยว่าได้ยินผิดรึเปล่า

ทางโน้น ด้วยฝีเท้าที่เดินเร็ว มีเสียงของไป๋ยู่สิงส่งมา

“ไปไม่ได้แล้ว”

ในใจเจี่ยนถงเสียง “กึกๆ” สีหน้าเปลี่ยนกะทันหัน “มาไม่ได้หมายความว่าอย่างไร”

“ต้องฝากอาซิวไว้กับคุณชั่วคราวแล้ว”

ทางโน้นพูดอย่างรวดเร็ว แล้วก็จะวางสายแล้ว เจี่ยนถงรีบร้อน “เดี๋ยวก่อน” เธอเรียกให้หยุดทันที “ทำไมถึงให้เขาอยู่ที่ฉันชั่วคราว?เสิ่นเอ้อล่ะ?”

“เสิ่นเอ้อไม่ว่าง”

“เสิ่นซานล่ะ?”

“ก็ไม่ว่างเช่นกัน”

“แล้วเสิ่นซื่อ…….”

“เสิ่นซื่อเสิ่นอู่และคนอื่นๆข้างกายอาซิว ก็ไม่มีใครว่างเช่นกัน”

เวลานี้ เจี่ยนถงยิ้มอย่างโกรธเคือง “หมายความว่าไง คนรอบตัวเขาไม่มีใครว่างเลย!”

นี่คือวางแผนที่จะโยนภาระนี้ให้ที่เธอเหรอ?

ทางโทรศัพท์ ไป๋ยู่สิงหยุดเพียงสามวินาที จู่ๆก็หัวเราะอย่างเย็นชาแล้วถามเจี่ยนถง

“คุณคงไม่คิดว่าที่อาซิวโดนยิงที่อิตาลี มันเป็นอุบัติเหตุนะ?”

“หมายความว่าอย่างไร………. ?”

“เสิ่นเอ้อนำคนอื่นๆ ไม่เพียงแค่พวกเขา ฉันกับซีเฉินเราสองคน ให้ซีเฉินอยู่ที่บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ฉันกับเสิ่นเอ้อพวกเขาไปด้วยกัน ตอนนี้กำลังจะไปกรุงโรม ประเทศอิตาลี

คุณลองคิดดู ข้างกายอาซิวไม่ขาดแคลนการป้องกันเลย แล้วทำไมถึงโดนยิง?

คุณกับอาซิวก็โตมาด้วยกัน หลายปีที่ผ่านมา คุณเคยเห็นอาซิวได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้ไหม?”

เจี่ยนถงนิ่งไปสักครู่ ถึงแม้ไม่อยากยอมรับ แต่ในใจของเธอเห็นด้วยกับไป๋ยู่สิง เธอเหลือบมองผู้ชายที่อยู่ข้างๆ เขายังไม่ยอมท้อถอยและยังคงจ้องเธอด้วยสายตาคู่นั้น ในดวงตาเหมือนจะพูดว่า ฉันไม่ไป

“เรื่องที่อิตาลีมีเบาะแสบางอย่างแล้ว ฉันกับเสิ่นเอ้อพวกเขาตอนนี้ต้องรีบไปที่นั่น

ถ้าอาซิวมีสติสัมปชัญญะครบ เช่นนั้นฉันกับเสิ่นเอ้อพวกเขาก็จะไม่เป็นกังวลมาก

ก็เพราะว่าตอนนี้จิตใจของอาซิวเป็นแค่เด็กแปดขวบ พวกเราทุกคนจึงเป็นห่วง และตอนนี้ ได้เบาะแสบางอย่าง เราต้องหากลุ่มคนที่ทำให้อาซิวบาดเจ็บสาหัสออกมาให้ได้ มิฉะนั้น ไม่รู้จักศัตรูของตัวเอง ก็จะเป็นปัญหาในอนาคต”

เจี่ยนถงมองผู้ชายที่อยู่ข้างๆ กะพริบตาปริบๆ สุดท้ายก็กัดฟันแน่น

“จะกลับมาเมื่อไหร่”

อีกฝ่ายลังเลเล็กน้อย “เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฉพาะ พวกเราก็หวังว่าจะหาตัวคนกลุ่มนั้นเจอแล้วแก้ปัญหาโดยเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต แล้วกลับมาเร็วๆ สภาพของอาซิวในตอนนี้ ก็ปิดไว้ได้แค่ชั่วคราว แต่ไม่สามารถปิดไว้ตลอดชีวิตได้

ทั้งท่านแก่เสิ่น และลู่หมิงชู พวกเขาไม่ได้โง่

ฉันสามารถรับประกันได้ว่า ขอแค่อาซิวไม่ปรากฏตัวที่บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปภายในหนึ่งเดือน ท่านแก่เสิ่นก็จะลงมือตามหาอาซิวแน่นอน”

ขณะพูด ก็มีร่องรอยของความยากลำบากในคำพูด ไป๋ยู่สิงเม้มปาก พูดเสียงแข็งว่า “ซีเฉินมาไม่ได้ และฉันกับเสิ่นเอ้อจำเป็นต้องไปที่อิตาลี ครั้งนี้ไม่สามารถเลี่ยงได้

ข้างกายอาซิวที่สามารถไว้ใจได้ ก็มีเพียงคุณแล้ว

เจี่ยนถง ฉันเข้าใจการขอร้องนี้สำหรับคุณแล้ว อาจจะรับไม่ได้

แต่ฉันก็หวังว่าคุณจะดูแลอาซิวให้ดีที่สุดในช่วงเวลานี้”

เขาหยุดอีกครั้ง เขาเสริมมาหนึ่งประโยคด้วยน้ำเสียงต่ำ

“เวลานี้เขาเป็นเพียงเด็กอายุแปดขวบ”

ไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แต่เจี่ยนถงเข้าใจความหมายของไป๋ยู่สิง ——ในช่วงเวลานี้ เรื่องราวที่ผ่านมาของคุณกับเสิ่นซิวจิ่น ก็ลืมไปชั่วคราวก่อนนะ คุณจะไปถือสาเด็กอายุแปดขวบนี้ได้อย่างไร

เจี่ยนถงในใจกระตุกและวางสายอย่างเงียบ ๆ

เธอหันไป มองผู้ชายที่อยู่ข้างๆ……..ลืมไปชั่วคราว?

ทำไมไม่ตีเธอให้สลบไป

ถ้าสามารถลืมได้จริงๆ สำหรับเธอแล้ว อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดี อย่างน้อย ก็ไม่ฝันร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ยืนขึ้นอย่างเงียบ ๆ หยิบกระเป๋าที่อยู่ข้างๆ เธอดูเหมือนจะออกไปข้างนอก

ประตูทางเข้า คนข้างหลังตะโกนถาม

“พี่สาว คุณจะไปที่ไหน? คุณเกลียดอาซิวมากใช่ไหม?อาซิวไม่อยากไป”

เจี่ยนถงไม่หันมา กล่าวอย่างไม่แยแส

“ฉันไปซูเปอร์มาร์เก็ต”

“ไปซูเปอร์มาร์เก็ตทำไม?”

คนข้างหลังถามอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เหมือนเด็กที่ตั้งใจเรียนในห้องเรียน คอยถามครูตลอด

เจี่ยนถงคลายเกลียวประตู หันมา สายตาเลือนราง ผ่านโถงทางเดิน ตกอยู่บนหน้าของคนคนนั้น กล่าวอย่างไม่แยแส

“ถ้วยจานแตกหมดแล้ว ไม่ต้องซื้อใหม่เหรอ?

เสื้อของคุณก็มีแค่ชุดเดียว ไม่ต้องซื้อเสื้ออยู่บ้านอีกสองสามตัวเหรอ?

ปกติไม่มีคนมาบ้าน คุณจะเดินเท้าเปล่าตลอด?

เครายาว ก็ไม่ต้องใช้มีมีดโกน?

คุณจะแย่งแปรงสีฟันของฉันไปใช้เหรอ?

สิ่งเหล่านี้ในบ้านมี?”

เธอพูดจบ หันหลังแล้วออกบ้านไป แล้วปิดประตู

ในบ้าน คนคนนั้นสายตาที่เฉื่อยชา มองดูประตูที่ปิดแน่น ในดวงตาแสดงความตื่นเต้น

เขาวิ่งไปอย่างรวดเร็ว เปิดประตูห้อง วิ่งตามไป

ทางเข้าลิฟต์ เจี่ยนถงกำลังจะเดินเข้าลิฟต์ ก็ได้ยินเสียงเท้ายุ่งๆจากด้านหลัง “คุณออกมาทำไม?”

“ฉันจะไป!” คนคนนั้นพูดเสียงดัง ตาใสเป็นประกาย

สัมผัสดวงตาที่สดใส ชัดเจน และเรียบง่ายคู่นั้น เจี่ยนถงเหมือนโดนอะไรกระแทกที่หน้าอก กัดฟันจ้องเขาอย่างเฉยเมย

“ไม่ได้”

“ฉันจะไป!”

รำคาญเล็กน้อย…….เหมือนเด็กจริงๆ วุ่นวายไม่สมเหตุผล

“ไม่ได้ !“ เธอพูดอย่างเด็ดขาด

“พี่สาว…….ฉันจะไป” คนคนนั้นกะพริบตาปริบๆ เสียงอ่อนลง ราวกับขอร้อง “อาซิวมีแรงเยอะ สามารถช่วยพี่สาวหิ้วของได้”

กล่าวอย่างไม่แยแสอีกครั้ง “ไม่ได้”

“อาซิวอยากไป…..อาซิวอยู่คนเดียวตลอด มีเพียงแค่ปลาน้อยในสระที่เล่นกับอาซิว เสิ่นเอ้อก็ไม่สนใจอาซิว อาซิวอยากออกไปกับพี่สาวไปเที่ยวซูเปอร์มาร์เก็ต”

ทั้งๆก็แค่คำพูดของเด็ก แต่เธอรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย โล่งอกโดยไม่รู้ตัว “อยากไปจริงๆเหรอ?”

“อืม อยากไปมากจริงๆ” เธอก้มลง มองดูมือที่จับมุมเสื้อของเธอไว้อย่างแน่น กัดฟัน เงยหน้ามองเขา…….ได้!เสิ่นซิวจิ่น!คุณชนะแล้ว!

ระหว่างที่ลิฟต์ เจี่ยนถงมองหางที่ตามมา วินาทีนั้น เธอรู้สึกว่าสมองของเธอมีปัญหาแน่ๆ

ถูกเขาเซ้าซี้จนตกลงพาเขาออกมาด้วย

ตอนนี้เสื้อผ้าของคนคนนี้ ยังเป็นของเมื่อวาน หลังจากเสื้อผ้าและรองเท้าแห้ง สวมใส่บนตัว เธอเป็นกลัวว่าคนรู้จักจะจำได้ “ก้มหัว”

คนคนนั้นมองเธอหันกลับมา ไม่มีคำถามใดๆ ยื่นหัวไปหาเธออย่างเชื่อฟัง โชว์หัวดำ แม้เป็นเช่นนั้น เธอก็ต้องเขย่งเท้าขึ้น คลุมหมวกเสื้อฮูดให้เขา “เดี๋ยวไปถึงซุปเปอร์มาร์เก็ต ห้ามวิ่งเล่น ห้ามเอาหมวกบนหัวออก”

“อืม” มองคนคนนั้นพยักหน้าอย่างหนัก เจี่ยนถงถึงได้โล่งใจ

เปิดประตูรถ ครั้งนี้ เขาอ้อมไปที่นั่งข้างคนขับด้วยความคุ้นเคย เรียนแบบเจี่ยนถง เปิดประตูข้างคนขับ นั่งเข้าไป

เห็นเจี่ยนถงคาดเข็มขัดนิรภัย เขาก็เรียนแบบทำตาม

เจี่ยนถงหน้าบูดบึ้งตลอดทาง โกรธตัวเองทำไมยอมใจอ่อน ทำไมถึงเห็นด้วยกับเขา

อยากจะโกรธคนข้างๆ จริงๆ แต่คนคนนั้นน่ารักจนหาที่ทำให้เธอโกรธไม่ได้

อย่าพูดถึงว่ารู้สึกผิดหรือทุกข์ในใจแค่ไหน

แม้แต่หาความแตกต่างก็ยังหาไม่เจอ

ขับรถไปหลายชั่วโมง เธอจงใจเลือกซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ห่างไกลออกไป ขอบข่ายไม่ใหญ่มาก แต่เป็นกังวลว่าจะเจอคนรู้จัก

สองคน หน้าคนหลังคน เขาเดินตามเธอทีละก้าว

ใส่เหรียญลงในรถเข็น เข็นรถ เดินตามเธออย่างมีความสุข

ซื้อมีดโกน ถามเขาอันไหนดี เขาหัวเราะเหอะๆ สิ่งที่ถงถงเลือกดีทุกอย่าง

เธอหน้าตึง “ใครให้คุณเรียกฉันว่าถงถง?”

“โอ้?เรียกถงถงไม่ได้เหรอ?” สีหน้าผิดหวัง

เธอหันมา โยนมีดโกนที่เขาเคยใช้ลงในรถเข็นอย่างอึดอัด ไม่สนใจคนข้างหลัง เดินไปข้างหน้า

หันมาอีกที คนคนนั้นไม่รู้หายไปไหนแล้ว เธอตกใจ กำลังจะไปตามหา

มีเสียงมาจากหัวมุม

“ถงถง ถงถง อันนี้ อันนี้”

โล่งใจ แล้วโกรธอีกครั้ง เธอเดินเข้าไปหาชายคนนั้นด้วยการกระแทกเท้าเล็กน้อย ถามอย่างเย็นชา “ตกลงกันแล้วจะไม่วิ่งเล่น!”

“ขอโทษ” คนคนนั้นก้มหัวลง ประมาณว่ารู้ตัวว่าตัวเองทำผิด ทำให้เธอโกรธ เจี่ยนถงเม้มปากเบาๆ ถึงแม้เขาจะขอโทษแล้ว แต่เธอมีความทุกข์ชนิดหนึ่งที่เธออธิบายไม่ได้

นี่เป็นครั้งที่สองที่เธอได้ยินคำขอโทษจากเขา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว คนคนนี้เรียนรู้ที่จะขอโทษ

แต่การขอโทษแบบนี้ เธอกลับไม่รู้สึกมีความสุข

“อีกอย่าง อย่าเรียกฉันว่าถงถง จำได้หรือยัง”

“อ้อ จำได้แล้ว ถงถง”

“…….” เจี่ยนถงรู้สึกเห็นภาพที่ชกอยู่บนสำลี มองหน้าหล่อของคนคนนั้น นิ่งไปสักพัก มีมายาคติ………มีความสงสัย เขาตั้งใจใช่ไหม?

ข้างๆหู

“ถงถง ดูนี่สิ ฉันอยากได้รองเท้าแตะกระต่ายสีชมพูฟ้า”

เจี่ยนถงสงสัยว่าตัวเองหูฝาด เล่นตลกอะไร?รองเท้าแตะกระต่ายสีชมพูฟ้า?

เธอมองตามนิ้วมือของคนคนนั้นที่ชี้ไป มองเขามองดูรองเท้าแตะกระต่ายสีชมพูฟ้าแสนน่ารักคู่หนึ่งบนชั้นวางอย่างมีความสุข

ส่ายหัวซ้ำๆ………คนคนนี้คงจะไม่ได้ตั้งใจ

ในความทรงจำ ชาตินี้เสิ่นซิวจิ่นไม่มีวันชอบสีสันลวดลายที่มันอ่อนหวานและเด็กๆแบบนี้

“อยากได้” คนคนนั้นพูดเสียงเบาๆที่ข้างหู

เธอเห็นว่าคนคนนั้นกำลังมองเธออย่างอ้อนวอน และไม่อยากวางรองเท้าแตะที่อยู่ในมือลง

คงไม่ได้ตั้งใจ เมื่อครู่ ไม่ได้ตั้งใจแน่นอน

เธอปฏิเสธภาพลวงตาก่อนหน้านี้อีกครั้ง

แล้วถูกดวงตาคู่นั้นจ้องตาเขม็งอยู่ เธอหน้าแดง แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงแดง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดีว่า “ซื้อให้คุณ”

รองเท้าแตะกระต่ายสีชมพูฟ้าคู่หนึ่ง วางอยู่บนรถเข็น ไม่นาน รองเท้าแตะกระต่ายสีชมพูกับรองเท้าแตะกระต่ายชมพูฟ้า ก็วางอยู่บนรถเข็นคู่กัน

“ไม่ใช่แค่สีชมพูฟ้าเหรอ?”

คนคนนั้นกล่าวอย่างมีความสุข “สีชมพูฟ้าเป็นของฉัน ส่วนสีชมพูเป็นของถงถง”

เจี่ยนถงขยับปากเล็กน้อย ด้วยใบหน้าอย่างเสือและเอื้อมมือไปในรถเข็นอย่างเงียบ ๆ หยิบรองเท้าแตะสีชมพูเด็ก ๆ ออกมา เตรียมวางกลับบนชั้นวางอย่างเงียบๆ

รองเท้าแตะในมือ ถูกสกัดกั้นระหว่างทาง เงยหน้าขึ้น คนคนนั้นกอดไว้ที่อกอย่างแน่น จ้องตาเธอ ตั้งรับกลัวว่าเธอจะแย่งมันไป กล่าวอีกสองคำว่า “เอาด้วย”

เธออ้าปาก อยู่ดีๆ ก็รู้สึกปวดสมองขึ้นมา

เอื้อมมือไปนวดขมับ “คุณก็ไม่ใส่” จะเอามาทำไม?

“ถงถงใส่”

โอเค ตอนนี้เธอแน่ใจแล้ว เธอปวดสมองจริงๆ ปวดมาก!

จ้องด้วยความโกรธ แทบจะกัดฟัน “ใครบอกว่าฉันจะใส่มัน?ฉันมีรองเท้าแตะที่บ้าน”

“ฉันรู้สึกว่าถงถงใส่รองเท้าแตะกระต่ายสีชมพู ฉันใส่สีชมพูฟ้า จะได้คู่กัน”

ใครจะอยากจับคู่กับคุณ!

เจี่ยนถงแทบจะตะโกนใส่คนตรงหน้า

ณ ขณะนี้ เพราะพวกเขาล่าช้ากับชั้นวางนี้เป็นเวลานาน คุณน้าที่ดูแลสินค้าในซุปเปอร์มาร์เก็ตได้เดินเข้ามา ยืนมองพวกเขาสองคนอยู่ข้างๆ

สายตาของคุณน้า มองพวกเขาเหมือนขโมย เจี่ยนถงแก้มร้อนขึ้นทันที แย่งรองเท้าแตะสีชมพูในมือของคนคนนั้น โยนไปในรถเข็น กล่าวด้วยความไม่พอใจ

“ฉันซื้อ!”

เธอคิดว่านี่เช่นนี้คนคนนี้ก็วุ่นวายกับเธอทำให้เธอปวดสมองมากแล้ว ถ้าคิดเช่นนี้ คุณไร้เดียงสาเกินไป

แม้แต่แปรงสีฟันเขาก็จะซื้อเป็นคู่!

เป็นคู่เหรอ!!!

สีชมพูอ่อนกับสีฟ้า คิตตี้กับโดเรม่อน…….ใครช่วยบอกเธอหน่อย ซุปเปอร์มาร์เก็ตนี้ไม่ใหญ่มาก แต่ทำไมถึงมีของแปลกๆพวกนี้ครบทุกอย่าง!

ใครช่วยบอกเธอหน่อย สามารถหลอกคนแซ่เสิ่นคนนี้ไม่ขายที่หุบเขาได้หรือไม่!

เจี่ยนถงอยู่หน้าเครื่องครัวอย่างอ่อนแรง มองดูคนคนนั้นเลือกถ้วยตะเกียบอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย สำหรับข้าวของที่น่ารักๆเหล่านั้นในรถเข็น เธอรู้สึกมึนมาก

แล้วยังมีแก้วคู่รักอีกหนึ่งคู่ ถูกคนคนนั้นใส่ไว้ในรถเข็น

เธอหยิบโทรศัพท์ออกมา ขณะที่อยากจะโทรหาไป๋ยู่สิง นึกขึ้นได้ว่า ไป๋ยู่สิงพวกเขาได้ขึ้นเครื่องไปแล้ว

ไม่เป็นไร เปลี่ยนเป็นคนคนนั้นก็ได้ เธอเปลี่ยนมาเลือกซีเฉิน โทรไปออก

“อืม เสี่ยวถงเหรอ ฉันประชุมอยู่ ยุ่งมากเลย เดี๋ยวค่อยคุยกันนะ” ความสม่ำเสม น้ำเสียงเฉยๆของซีเฉิน หลังจากพูดจบก็วางสายทันที ดูเหมือนทางโน้นจะยุ่งมาก

เจี่ยนถงมองดูหน้าจอที่มีเสียงสายไม่ว่าง ในใจมีไฟหนึ่งก้อน มีความอยากทุบโทรศัพท์

ถ้าวิเวียนอยู่ตรงนี้ หรือว่าเป็นลู่หมิงชูอยู่ตรงนี้ จะต้องรู้สึกถึงความผิดปกติของเธอ

เจี่ยนถงนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผู้หญิงที่ใจนิ่งเหมือนน้ำ อยู่ในที่สาธารณะในขณะนี้ แต่อยากทุบโทรศัพท์มาก คำตอบที่ลู่หมิงชูอยากได้ แม้จะใช้ความพยายามแค่ไหนก็ไม่มีทางได้มา แต่เสิ่นซิวจิ่นไม่ต้องออกแรงอะไรเลย ให้เจี่ยนถงที่ใจนิ่งเหมือนน้ำ กิ่งไม้ที่เยือกเย็น อารมณ์เเปรปรวนได้

ไม่ว่าจะเป็นเสิ่นซิวจิ่นที่มีสติสัมปชัญญะ หรือเด็กที่อายุแค่แปดขวบ…….เสิ่นซิวจิ่นสามารถ!

มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถทำได้!

ตอนที่เดินทางกลับจากซุปเปอร์มาร์เก็ต เจี่ยนถงหน้ามืดตลอดทาง

รถจอดอยู่ที่ที่จอดรถชั้นใต้ดิน ตอนที่ลงจากรถ คนคนนั้นก็เริ่มถือของใช้ในชีวิตประจำวันมากมายด้วยตัวเอง ที่จริงแล้วแค่เป็นการซื้อของใช้ที่จำเป็นธรรมดาเท่านั้น แต่เมื่อพาเขาไปด้วย กลับกลายเป็น……

เจี่ยนถงหน้ามืด มองไปที่เนินเขาเล็กๆนั้น

ในตอนนี้ รู้สึกว่าการที่ตอบตกลงจะพาเขาไปซุปเปอร์มาร์เก็ต เป็นความผิดพลาดมากๆ

แต่คนคนนั้น ทั้งมือขวาและมือซ้ายเต็มไปด้วยของมากมาย ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ยิ้มแล้วใช้สายตาบอกเธอว่า ตอนนี้เขาอารมณ์ดีมากๆ

แต่ว่าเธออารมณ์ไม่ดี ไม่ดีอย่างมาก

ทั้งสองเดินเข้าลิฟต์ไปทีละคน คนคนนั้นยังยื่นหน้าไปพิงเธอด้วย เธอเลยเดินถอยหลังไปเล็กน้อยด้วยความรู้สึกรำคาญ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไป ก็จะรู้ตัวแล้วขยับออกเล็กน้อยโดยอัตโนมัติ ใครจะอยากให้มาประจบสอพลอ

แต่ว่าเสิ่นซิวจิ่นกลับไม่มีจิตสำนึกนี้เลย

เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก เธอเดินไปที่ประตูบ้าน หยิบกุญแจออกมาเงียบๆ เปิดประตู แต่กลับเวียนศีรษะและตาลายขึ้นมา

“ถงถง คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” แขนที่แข็งแรงโอบรอบเอวเธอที่กำลังจะล้มลง

เธอยื่นมือแล้วผลักออกด้วยใบหน้าที่เย็นชา “แค่เหนื่อยนิดหน่อย คุณเข้าบ้านไปเถอะ อย่าลืมเอารองเท้าที่ซื้อใหม่ใส่มาด้วย”

เธอก็มองดูคนคนนั้นนำรองเท้ามาเปลี่ยนอย่างเชื่อฟัง รองเท้าแตะรูปกระต่ายชมพูฟ้า สวมอยู่บนเท้าของเขา เขาดูตื่นเต้นมาก ถามเธอว่า “ถงถง สวยไหม? สวยใช่ไหม?”

“…….”

คนคนนั้นยังคงมุ่งมั่น ไล่ตามถามเธอ และต้องถามให้รู้คำตอบว่า “สวยไหม? ตกลงสวยไหม?”

แล้วเธอจะพูดอะไรได้อีก เจี่ยนถงมองดูรองเท้าแตะรูปกระต่ายชมพูฟ้าอย่างเงียบๆ เมื่อสวมบนเท้าของคนนี้แล้ว กลับรู้สึกว่ามันตลกแปลกๆ เสียงของคนคนนั้นตามถามเธอแบบไม่หยุด “สวยไหม?” โดนถามจนรำคาญ เธอทำได้เพียงตอบ “อืม”ไปอย่างคลุมเครือ เธอพูดกับเจ้าของใบหน้านี้ว่า “คุณใส่รองเท้ากระต่ายชมพูฟ้านี้แล้ว มันน่ารักและสวยมาก”

อย่าว่าแต่พูดประโยคนี้เลย แค่คิด เธอก็รู้สึกแปลกๆแบบพูดไม่ออก

แต่เพียง “อืม” ของเธอแค่คำเดียว ทำให้คนคนนั้นมีความสุขมากๆพลางก้มลงหาของในกระเป๋า เธอมองดูอย่างไม่เข้าใจ คนคนนั้นพูดขึ้นมาว่า “โอ้” และพูดอย่างตื่นเต้น “หาเจอแล้ว”

รองเท้าแตะรูปกระต่ายชมพูอ่อน สีชมพูระยิบระยับ ก็ปรากฏในสายตาเธอ

“ถงถงใส่สิ”

กึก เธอแทบจะได้ยินเสียงกัดฟันของตัวเอง ปวดหัวอย่างรุนแรงขึ้นมา……..ใส่บ้าอะไร!

เกือบไปแล้ว เกือบโดนคนคนนี้บีบเค้นให้ควบคุมตัวเองไม่ได้!

ตรงหน้า คนคนนั้นไม่สนใจอะไรเลย ถือรองเท้าแตะรูปกระต่ายชมพู แล้วนั่งลงตรงหน้าเธอ

เจี่ยนถงก็ถูกการกระทำนี้ทำให้รู้สึกไม่เข้าใจอย่างบอกไม่ถูกอีกครั้ง

ตอนที่ก้มศีรษะลง เธอกลับบังเอิญชนโดนตาของคนคนนั้น เขานั่งลงบนพื้น เงยหน้ามองเธออย่างซื่อๆ หัวเราะเหอะๆและเร่ง “ถงถงก็เปลี่ยนรองเท้าแตะกระต่ายชมพู”

“…….ไม่”

ขณะที่เธอพูด ก็ถอดรองเท้าออก หยิบรองเท้าแตะสีเทาอ่อนของตัวออกมาจากตู้รองเท้า กำลังจะเปลี่ยน มือข้างหนึ่งยื่นมาโดยเร็ว คว้ารองเท้าแตะที่เธอใส่ประจำไว้ สีหน้าของเธอเปลี่ยน และกำลังจะพูด

มือข้างหนึ่งของคนคนนั้นจับรองเท้าที่ซื้อมาใหม่หนึ่งข้าง แล้วอีกข้างจับที่ข้อเท้าของเธอ ข้อเท้าถูกจับ เธอตกใจ กำลังจะหลบ

คนคนนั้นตะโกนลั่น “ถงถง คุณอย่าขยับสิ ฉันจะช่วยสวมรองเท้าแตะกระต่ายให้คุณ”

นี่เป็นคำพูดที่ไม่ได้คุกคามอะไร แต่กลับทำให้เจี่ยนถงตัวสั่นไปหมด

ทันใดนั้นดวงตาเบิกกว้างขึ้น มองไปที่คนคนนั้นที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอ ใบหน้าที่หล่อเหลานั้น ราวกับดาบและขวาน ศีรษะของเธอเวียนมากขึ้น ในความงุนงง รู้สึกว่าไม่ใช่ความจริง

เขา…….กำลังทำอะไร?

คนคนนั้นหยิบรองเท้าแตะขึ้นมาอย่างงุ่มง่าม และสวมบนเท้าของเธอ แต่กลับเงอะงะ คนคนนั้นใช้ทั้งมือและเท้า จากที่นั่งยองๆก็กลายเป็นคุกเข่าแบบเข่าข้างหนึ่งแตะกับพื้นแล้ว…….

ในฉากนี้ เธอราวกับโดนไฟดูด! ปวดตาทันที “ปล่อย~!”

“อย่าขยับสิ ใกล้จะเสร็จแล้ว……”

“เสิ่นซิวจิ่น คุณลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้” เธอรู้เพียงว่า ตอนนี้ตัวเองรู้สึกโกรธมากๆ เธอต้องการเพียงให้ถาพนี้หายวับไปจากตรงหน้าเธอทันที

ดีที่สุดคือ คนตรงหน้านี้หายวับไปด้วย!

“อ้า รออีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว……”

เธอมองดูคนที่อยู่ข้างล่าง คุกเข่าข้างเดียว มือข้างหนึ่งจับเท้าของเธอ มืออีกข้างถือรองเท้า พูดไม่ออกว่าภาพตรงหน้าตอนนี้ มันขัดหูขัดตามากแค่ไหน

แต่ ก็ขัดหูขันตา!

“เสิ่นซิวจิ่น” เธอเสียงแหบ ตะโกนใส่เขา “คุณฟังให้ดี ฉันไม่ต้องการให้คุณช่วยฉันสวมรองเท้า ไม่ชอบรองเท้าแตะกระต่ายสีชมพูที่คุณเลือกให้ฉัน ไม่ชอบแปรงสีฟันรูปแมวคิตตี้อะไรนั่น ยิ่งไม่ชอบแก้วน้ำอะไรนั่นด้วย รองเท้าแตะกระต่ายสีชมพูรูปอะไรนั่น ที่บอกว่าสวย ฉันโกหกคุณทั้งนั้น! ”

เธอพูดถึงท้ายๆ เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ท้ายๆคือแทบจะเป็นการตะโกนใส่เขา

โกรธและรู้สึกแย่

ความโกรธและความรู้สึกแย่ๆนี้ เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน มันจึงไม่มีเหตุผล!

เจี่ยนถงหน้าแดงทั้งหน้า เธอจ้องเขาอย่างโกรธเคือง คนคนนั้นตะลึงกับเสียงที่เธอตะโกนใส่ ก็คุกเข่าข้างเดียวอยู่อย่างนั้นแล้วเงยหน้าขึ้นมองเธอแบบทึ่มๆ ดวงตาสีดำคู่นั้น ที่ผ่านมามีแต่ความเฉยเมยและอย่างที่จะมีอย่างอื่นอยู่

ณ ขณะนี้ เหลือเพียงแค่ความเฉื่อย สงสัย และไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงโกรธขนาดนี้ ทำไมถึงอารมณ์เสียกะทันหันแบบนี้ เขายกมือขึ้นกุมไว้ที่หัวใจ ยิ่งสับสนและไม่เข้าใจ ป่วยหรือเปล่า?ทำไมตรงนี้มันจึงเจ็บ

แต่แม้จะเจ็บสักเพียงใด ก็เทียบไม่ได้กับการที่ถงถงอารมณ์เสียนะตอนนี้ ทำให้เขากังวลมาก

“ฉัน……..”

“คุณอะไร?” เจี่ยนถงดุถาม เมื่ออารมณ์ที่เก็บกดมานานถูกปลดปล่อยออกมา เธอเหมือนไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว

คนคนนั้นตกตะลึงกับเสียงตะโกนของเธออีกครั้ง ความกังวลลึกๆก็ปรากฏขึ้นในตาของเขา “ขอโทษ…..”

“พอแล้ว! เสิ่นซิวจิ่น!” เส้นประสาทบางเส้นของเธอเหมือนจะได้รับการกระตุ้นจากคำพูดของเขา สีหน้าดูแย่ขึ้น โกรธมากขึ้น “คุณไม่ต้องพูดคำว่าขอโทษแล้วได้ไหม?”

ถ้าเขาอยากขอโทษจริงๆ ให้เขามาขอโทษตอนที่เขามีสติมากกว่านี้

การขอโทษแบบตอนนี้ เธอ ไม่ยอมรับ!

สำหรับเหตุผลที่ทำไมเพียงคำว่า “ขอโทษ” ของเสิ่นซิวจิ่นเพียงคำเดียว เธอจึงโกรธ เจี่ยนถงอธิบาย พูดกับตัวเองว่า ไม่ต้องการให้เด็กอายุแปดขวบมาขอโทษ

เธอเปลี่ยนไปสวมรองเท้าแตะในบ้านที่เธอใส่เป็นประจำ ไม่สนใจคนคนนั้น แล้วเดินไปทางห้องนอน เวียนศีรษะเล็กน้อย ในใจพูดว่าช่วงนี้ทำงานหนักเกินไปแล้ว วันนี้จะพักผ่อนให้เต็มที่

ในใจเพิ่งจะคิดแบบนี้ ยังไม่ทันเดินผ่านทางห้องรับแขก ก็หมดสติไป

ตัวของเจี่ยนถงอ่อนลง คนที่อยู่ด้านหลังสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แทบจะกระโจน เข้าไปกอดผู้หญิงในอ้อมแขนได้ทัน เขาก้มศีรษะมองผู้หญิงในอ้อมแขน แขนที่รัดรอบเอวของเธอนั้นยิ่งกระชับขึ้น

“ถงถง? ถงถง?”

เขาเรียกผู้หญิงที่อยู่ในใจอย่างกังวล แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับใดๆ

เขาไม่มีวิธีอื่น รีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าของเธอ ค้นหาเบอร์ติดต่อของซีเฉิน “ถงถงเป็นลมแล้ว”

……

ผ่านไปสิบห้านาที ซีเฉินพาหมอมาท่านหนึ่ง

“ไข้ขึ้นสูง สามสิบเก้าองศา ทำไมเพิ่งรู้ตอนนี้” คำพูดของหมอแฝงความตำหนิเล็กน้อย มองไปทางชายคนที่เฝ้าอยู่ข้างเตียง

ชายข้างเตียงเม้มปาก ในตามีแต่ความกังวล “ตากฝน เมื่อวานถงถงตากฝนมา”

ต้องเป็นเพราะแบบนี้แน่ๆ

หมอคนที่เป็นหมอประจำของบ้านซีเฉิน อายุก็มากพอสมควรแล้ว ก็นับได้ว่าเป็นคนที่เห็น เสิ่นซิวจิ่น ไป๋ยู่สิง ซีเฉิน สามคนนี้ตั้งแต่เด็กจนโต เกี่ยวกับเรื่องของเสิ่นซิวจิ่น เขาก็ได้ฟังมาบ้าง คนคนนี้คำพูดเก่าๆมีไม่เยอะ

เหลือบมองคนที่เฝ้าอยู่หน้าเตียงแวบ แล้วส่ายหัว “ฉันไปโทรโทรศัพท์ ให้คนจ่ายยา เอามาส่งข้างล่างตึก ”

ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ลงไปเอายาที่ใต้ตึกด้วยตัวเอง ถือกล่องยา เดินไปยังหน้าเตียงของเจี่ยนถง เอาเข็มเจาะ แล้วห้อยน้ำเกลือ

กริ่งหน้าประตูดังขึ้น ซีเฉินเดินไปตรงหน้าประตู “คนไหน”

“พนักงานบริการทำความสะอาดบ้าน”

เมื่อได้ยินว่าเป็นพนักงานทำความสะอาดบ้าน จึงเปิดประตู

เวลาค่อยๆผ่านไป พนักงานทำความสะอาดบ้านทำความสะอาดเสร็จก็กลับไป

ซีเฉินอยู่รอจนกว่าเจียนถงจะหยอดน้ำเกลือหมด จึงค่อยเก็บของพร้อมกับหมอ เตรียมตัวจะกลับ

ก่อนกลับ ซีเฉินก็มองไปที่คนที่นอนอยู่บนเตียง และคนที่เฝ้าอยู่หน้าเตียง

“พรุ่งนี้พวกเราจะมาอีกครั้ง”

พูดย้ำ แล้วรีบออกไป

หลังจากเรื่องวุ่นๆนี้ ท้องฟ้าก็มืดแล้ว

เจี่ยนถงค่อยๆตื่นขึ้น รู้สึกได้แค่ไม่มีแรงทั้งตัว ปวดศีรษะมาก

เมื่อเธอขยับตัว ชายที่เฝ้าเธออยู่หน้าเตียง ถูกการเคลื่อนไหวเล็กน้อยนี้ทำให้ตื่นขึ้นมา ลืมตาที่สะลึมสะลือขึ้น ก็เห็นว่าผู้หญิงบนเตียงตื่นขึ้นมาแล้ว “ถงถง คุณตื่นแล้ว!” เขาตะโกนด้วยความที่ทั้งตกใจและดีใจทันที

เจี่ยนถงมองดูคนน่าเตียงที่ท่าทางดีใจจนออกท่ามือไม้ หัวใจก็ปวด ความโกรธเคืองก่อนหน้านี้ ก็หายไปราวกับควันที่ลอยหายไปแล้ว “ฉันเป็นอะไรไป?”

“ถงถงเป็นลมหมดสติไป อาซิวโทรหาคุณลุงซีเฉิน คุณลุงซีเฉินพาคุณตาหมอมารักษาถงถง คุณตาหมอบอกว่า ถงถงไข้ขึ้น เป็นความผิดของอาซิวเอง อาซิววิ่งออกไปข้างนอก เลยทำให้ถงถงตากฝน ถงถงตากฝนเลยทำให้ไข้ขึ้น”

ในขณะที่พูด สายตาอันใสซื่อของเขาแสดงออกถึงการโทษตัวเอง

เมื่อเจี่ยนถงเห็น น้ำเสียงอ่อนลงอย่างบอกไม่ถูก พูดแบบเบาๆ “กินข้าวหรือยัง?”

คนคนนั้นพูดอย่างครุ่นคิด “ใช่สิ ถงถงยังไม่ได้กินข้าวเลย” หลังจากพูดก็วิ่งออกจากห้องนอนไป เจี่ยนถงจะเรียกก็ไม่ทัน คนคนนั้นก็วิ่งหายไปโดยไม่เห็นเงาแล้ว

กะบังลมในห้องนี้ถือว่าค่อนข้างดี ผ่านไปสักพัก เธอกลับได้ยินเสียงกริ่งดังในห้องนั่งเล่น ทันใดนั้นความยุ่งเหยิงในตอนเช้าก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา ทันใดนั้นมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี พยุงตัวเองขึ้นมา เท้าของเธอห้อยลง จับผนัง แล้วเดินไปที่ห้องรับแขกช้าๆ

เธอยืนตรงมุมห้องนั่งเล่น เธอได้วางแผนที่เลวร้ายที่สุดแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปซุปเปอร์มาร์เก็ตอีกรอบ เธอถอนใจในใจแบบนี้

ตรงหน้า กลับไม่ปรากฏภาพสยองที่แวบเข้ามาในหัวเธอนั้น คนคนนั้นอยู่ในครัวที่เป็นแบบเปิดโล่ง ดูยุ่งๆ แต่กลับไม่ได้ทำข้างของอะไรเสียหาย

ในทางเดิน ตรงมุมของห้องรับแขก ผู้หญิงยืนพิงกำกำแพงนิ่งๆ มองดูคนที่ยุ่งๆในครัว โดยไม่พูดอะไรขัด เพียงแค่ดูร่างยุ่งๆนั้นอย่างเงียบๆ

คนคนนั้นเหมือนจะโดนลวก จับหูแล้วกระทืบเท้า “ร้อน ร้อน ร้อน” ปากยังคงร้องไม่หยุด

ชายรูปร่างสูงใหญ่คนนั้น ยุ่งอยู่หน้าเตา มือและเท้ายุ่งเหยิง นี่เป็นครั้งแรกที่เจี่ยนถงเห็นเสิ่นซิวจื่นในอีกมุมหนึ่ง

อยู่ในภวังค์ จู่ๆก็นึกถึงอดีต ในบางปี บางเดือน บางวัน เธอเคยนึกฝันภาพอันอบอุ่นแบบนี้ ไม่เพียงแค่ภาพที่อยู่ตรงหน้านี้ ยังมีอีกมากมาย

สุดสัปดาห์นั่งบนโซฟาดูโฮมเธียเตอร์ด้วยกัน

อิ่มอร่อยไปด้วยเฟรนช์ฟรายส์และมันฝรั่งทอดมากมาย ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน ผ่านสุดสัปดาห์อันเสื่อมโทรมไปด้วยกัน ถ้าหากว่ามีลูก…….

เจี่ยนถงได้สติขึ้นมาทันใด

มีลูกไม่ได้

เธอก้มศีรษะเงียบๆ แล้วพูดกับตัวเอง

เขาและเธอ การเริ่มต้นของพวกเขาตั้งแต่แรก ก็เป็นสิ่งที่ผิด เพราะว่าเป็นสิ่งที่ผิด จึงมีความทุกข์มากขนาดนี้

ถ้าหากว่าไม่ใช่ความผิดพลาด ทำไมถึงมีความทุกข์มากขนาดนี้

ความรัก ควรเป็นสิ่งที่หอมหวานไม่ใช่เหรอ?

…….ไม่มีลูกแน่ๆ พวกเขา

“ถงถง” เสียงที่ตื่นตาตื่นใจของคนคนนั้น ผ่านเข้ามาในหูของเธอ

เธอเงยหน้าขึ้นทันที

คนคนนั้นวิ่งมาทางเธอแบบมีความสุขแล้ว “ถงถง มากิน”

คนคนนั้นยื่นมือมา เขาจับมืออีกข้างที่ห้อยอยู่ข้างกายของเจี่ยนถงโดยธรรมชาติ เท้าที่นิ่งเฉยของเธอ ถูกเขาจูงไป สะบัดก็สะบัดไม่ออก ไปยังโต๊ะทานข้าวแบบเคาน์เตอร์

บะหมี่ชามร้อนวางอยู่ตรงหน้าเธอ “ถงถง กิน”

เธอมองบะหมี่ ต้มจนไหม้ บะหมี่สีขาวซีด ดูแล้วไม่น่ากินเลย ตะเกียบคู่หนึ่งถูกยัดในมือ “ถงถง คุณกิน”

คนคนนั้นกระตุ้นเป็นครั้งที่สาม

เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นและชำเลืองมองคนคนนั้น เห็นความคาดหวังในดวงตาของเขาอย่างชัดเจน

เธอไม่ทันได้คิด มือก็นำสมองไปแล้ว ก็ได้กินคำหนึ่งเข้าปากไปแล้ว หลังจากคำนี้ เธอถือตะเกียบ และมันก็ติดอยู่ที่ริมฝีปาก สีหน้าของเธอเดี๋ยวซีดเดี๋ยวขาวเริ่มไม่แน่นอน ทำไมเธอถึงกินคำนี้ ทำไมเธอถึงกินคำนี้!

ในปากยังอมบะหมี่คำนั้นไว้ เจี่ยนถงหลับตาลง หิวจนเบลอแล้ว อืม ใช่ ฉันก็แค่หิวเท่านั้นแหละ

เธอค่อยๆกลืนบะหมี่คำนั้นลงไป

คนคนนั้นกลับรอคำชม “ถงถง อร่อยหรือไม่?”

“ไม่…” อร่อยมากๆ……

“ฉันฉลาดใช่ไหม เมื่อวานถงถงทำไปครั้งเดียว ฉันดูแล้วก็ทำเป็นเลย ฉันฝึกทำบะหมี่แบบถงถง ต้องอร่อยแน่นอน”

“……” เธอปิดปาก ก้มศีรษะกินบะหมี่ในชามเงียบๆ

คนคนนั้นหยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น เอาเข้าปากไปหนึ่งคำ “บะหมี่ที่ถงถงสอนทำ ต้องอร่อยที่สุดในโลกแน่ๆ……”

เจี่ยนถงหลับตาซ้ำๆ

คนคนนั้นก็ยังตะโกนข้างหูเธอ “หวาน ถงถง หวาน!” ถามเธอแบบไม่หยุด “ถงถง ทำไมบะหมี่ที่คุณสอนผมทำมันหวาน?’

เธอใช้แรงบีบตะเกียบ บะหมี่ที่เธอทำมันเป็นแบบเค็ม

ผีที่ไหนจะรู้ว่าทำไมเขาถึงทำให้มันเป็นแบบหวาน

ตรงหน้า มือสองข้างจับที่ชามของเธอกะทันหัน “ถงถง อาซิวจะทำใหม่”

เธอกินไปอีกสองคำ เงยหน้ามองดูเขา พูดแบบเรียบๆ “ฉันอิ่มแล้ว”

“แต่ว่า……”

“ครูไม่เคยสอนคุณเหรอว่า อย่ากินทิ้งขว้าง?” เธอยังคงพูด

“ครู?”คนคนนั้นแสดงออกสีหน้าทึ่มๆ “ครูของอาซิวคือใคร?”

เจี่ยนถงมองไปยังใบหน้าไม่รู้ไม่ชี้ของอีกฝ่าย ใต้ตาของเธอปั่นป่วนและพูดว่า “ฉันลืมไป อาซิวของฉันอยู่ในวัยที่ต้องเข้าเรียนแล้ว พรุ่งนี้จะไปเลือกโรงเรียนให้คุณ”

คนคนนั้นสีหน้าเปลี่ยนทันที เหลือบมองเธออย่างโกรธๆ ถือชามของตัวเอง “บะหมี่ที่อาซิวทำอร่อยที่สุด” ความหมายก็คือจะ “โดดเรียน”

รู้ดีว่าระหว่างเขากับเธอ ล้วนแล้วเป็นความทุกข์ ในอดีต ปัจจุบัน หรือว่าอนาคต เธอคิดว่า ล้วนแล้วเป็นทุกข์ แต่ในขณะนี้ มุมปากของเธอ กลับโค้งขึ้นเล็กน้อย

เจียนถงดูเขาฝืนกินบะหมี่ชามนั้นจนหมด แม้กระทั่งน้ำซุปก็ดื่มลงไปพร้อมกัน ยังแอบเหลือบมองเธออย่างระมัดระวัง แค่ความคิดเล็กๆนั่น คิดว่าเธอจะเดาไม่ออก

ค่อยๆยืนขึ้น เจี่ยนถงหยิบชามและตะเกียบบนโต๊ะ

“ถงถง คุณอย่าขยับนะ”

“ฉันไปล้างถ้วย”

“ถงถงไม่ต้องล้าง อาซิวล้างเอง” ขณะพูดก็แย่งถ้วยไปล้าง

เจี่ยนถงมองอยู่ข้างๆอย่างตกใจ ให้เสิ่นซิวจิ่นล้างจาน นี่ไม่ได้เป็นความคิดที่ดี แต่ดีที่ ครั้งนี้ไม่ได้ทำเรื่องตกกระเด็นเลยแม้แต่น้อย อย่างน้อย ก็ไม่มีน้ำไหลท่วมและไม่มีภาพความเลอะ

เธอหันตัวเดินไปที่ห้องน้ำ น้ำอุ่นไหลลงจากบนศีรษะ ชำระล้างเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ภาพความวุ่นวายมากมายตรงหน้าเธอ

มีภาพตอนที่คุณปู่ยังอยู่ มีภาพตอนที่เธอเกาะติดคนคนนั้น ตัวเองในตอนนั้น ยังเด็กและกระฉับกระเฉง คิดเสมอว่า เธอพยายามแล้ว เธอดีมากพอแล้ว เสิ่นซิวจิ่นไม่ชอบเธอ ยังจะชอบใครได้อีก

ทันทีที่ภาพเปลี่ยนไป กลับเป็นศพของเซี่ยเวยเหมิง ศพที่เยือกเย็น นอนอยู่ตรงหน้าเธอ ยังมีดวงตาที่แหลมคมดั่งมีดคนคนนั้น ทิ่มแทงเธอแบบไม่ปรานี

นอกจากการบูชาบรรพบุรุษแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอคุกเข่าลง ในคืนที่ฝนตก อากาศ หนาวมากจริงๆ น้ำฝน เย็นมากจริงๆ หัวใจ ยังคงรอแบบมีความหวัง

จนถึง ……

เธอตัวสั่นอย่างกะทันหัน เปิดตาขึ้น น้ำที่ไหลลงจากฝักบัว ไหลผ่านตาเธอ และดวงตาของเธอก็เริ่มเจ็บเล็กน้อย

รีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำบนหน้าทันที และรีบอาบน้ำจนเสร็จ เดินออกไปด้วยเท้าเปล่า

เสียงดังกราว~

เมื่อถงถงส่งเสียง ปลุกคนในห้องรับแขก

“ถงถง ถงถง คุณเป็นอะไร”ตัวของคนคนนั้นยังไม่มาถึง เสียงกลับนำมาก่อน เสียงดัง“ปัง” เธอยังไม่ทันได้ตอบ ประตูถูกผลักออกด้วยแรงอันประหลาด

เจี่ยนถงจับที่เอว หยุดชะงักไปไม่กี่วินาที หน้าแดงขึ้นมาทันที รีบไปหาสิ่งที่สามารถปกปิดร่างกายของเธอได้ แต่ที่ที่มือเอื้อมถึงกลับไม่มีสิ่งที่สามารถนำมาปิดได้เลย

ทำได้เพียงโอบล้อมตัวเองแน่น หน้าแดง และตะโกนใส่คนคนนั้นที่อยู่ตรงหน้าประตู “ใครเรียกให้คุณเข้ามา!”

“ฉัน ฉัน……”

คนคนนั้นยังคงยืนอยู่หน้าประตู มองดูภาพตรงหน้าอย่างทึ่มๆ

เจี่ยนถงอายและโกรธมาก “ยังไม่รีบออกไปอีก!”

คนคนนั้นกลับมองเธออย่างแน่วแน่ พูดเทศนาเธอ “ถงถงหกล้ม และตอนนี้อาซิวก็เห็นแล้ว ก็ไม่สามารถปล่อยถงถงไว้คนเดียว” พี่ยู่สิงบอกว่า แบบนี้เรียกว่า กล้าทำในเรื่องที่ชอบธรรม

ตอนนี้เจี่ยนถง นับได้ว่าเกลียดไป๋ยู่สิงขึ้นมาเลย คุณไป๋ยู่สิงยังดำรงตำแหน่งพิเศษเป็นครูพี่เลี้ยง?

หน้ากลับแดงระเรื่อ “เสิ่นซิวจิ่น คุณรีบออกไป!” เธอกอดตัวเองแน่น และพยายามขดตัวให้เป็นลูกกลมๆจ้องไปที่คนคนนั้นที่อยู่หน้าประตู ถ้าหากว่าสายตาสามารถฆ่าคนได้ เธอก็อาจจะกรีดคนคนนั้นเป็นพันครั้งหมื่นครั้งไปแล้ว

คนคนนั้นส่ายหัวอย่างแน่วแน่ “อาซิวทำแบบนั้นไม่ได้”

พูดพลาง เดินไปทางเจี่ยนถง

ในขณะที่จ้องตากันและกัน คนคนนั้นก็เดินมาถึงตรงหน้าเธอแล้ว

ร่างกายของเธอเบาขึ้น ทันใดที่สติกลับคืน คนคนนั้นก็อุ้มเธอขึ้น “ถงถง จะเป็นหวัดไม่ได้ อาซิวอุ้มคุณไปห้องนอน”

ทันใดนั้น สีหน้าของเธอขาวซีด หันเข้าหาใบหน้านี้ และสีหน้าแววตาที่ไร้เดียงสาบนหน้าใบนี้ เธออยากด่าแต่กลับหาคำไหนมาด่าไม่ได้

หน้าอันหล่อเหลาของคนคนนี้ เธอดูๆแล้ว กลับไม่พบจุดประสงค์อื่น ความใสซื่อแบบนี้ เพียงเพราะอยากดีต่อเธอ

สีหน้าแววตาที่เรียบใสซื่อตรงไปตรงมานี้ เธอกลืนคำพูดในปากของตัวเองทันที

จนถึงตอนที่ถูกวางลงบนเตียงในห้องนอน คนคนนั้นหยิบผ้าห่ม มาห่อตัวเธอแน่น มีแค่ศีรษะที่โผล่ออกมาด้านนอก เสียงไดร์เป่าผมค่อยๆดังขึ้น “ทุกครั้งหลังอาบน้ำเสร็จ เสิ่นเอ้อก็เป่าแบบนี้ให้อาซิว เสิ่นเอ้อบอกว่า นอนแบบผมเปียก จะทำให้ปวดศีรษะ อาซิวก็จะช่วยถงถงเป่าผม”

มีฉากนี้ในอดีต เธอนึกได้ว่าคนนี้เคยเป่าผมแบบนี้ให้เธอ เธอหลีกเลี่ยงโดยทันที “ฉันไม่ต้องการ”ถงถงพูดแบบเย็นชา

วินาทีถัดมา ทั้งตัวเธอขยับไปไหนไม่ได้ คนคนนั้นนั่งอยู่ด้านหลังเธอ จับเธอด้วยทั้งมือและขา “ถงถง คุณอย่าขยับ นอนโดยที่ไม่เป่าผมให้แห้ง เป็นเด็กที่ไม่เชื่อฟัง เสิ่นเอ้อพูดว่า ต้องเป่าผมให้แห้งก่อนจึงจะนอนได้ จะเป็นเด็กไม่ดีไม่ได้”

“ถงถง ทำไมคุณถึงขยับอีกแล้ว”

“ไอ้หยา ถงถง ใกล้จะเสร็จแล้ว”

“ถงถงเป็นเด็กดีที่สุด”

กว่าผมจะแห้ง ใช้เวลานานพอสมควร

ผมของเธอยาวถึงเอว แต่เธอขยับไปมาไม่อยู่นิ่งแข่งกับคนคนนั้นที่อยู่ด้านหลัง การที่คนคนนั้นจะเป่าผมเธอให้แห้งโดยราบรื่น ก็เป็นเรื่องที่ยากมากๆแล้ว

ในระยะเวลาเกือบสิบนาทีนี้ เธอหลบ เขาก็ใช้ทั้งแขนและขารัดเธอไว้ เธออยากจะด่า คนคนนั้นก็ทำเป็นหูหนวก พูดสองสามคำเป็นครั้งคราว

ระหว่างที่เป่าผม คนด้านหลังพูดเป็นระยะระยะ “ถงถงแบบนั้น ถงถงแบบนี้” เจี่ยนถงรู้สึกว่าศีรษะเริ่มปวดขึ้นมา ในที่สุดก็ถอนหายใจเงียบๆ

เธอเอาแต่พูดกับตัวเองว่า อย่ารังแกเด็ก รังแกเด็กแล้วได้อะไร

เสียงไดร์เป่าผมเงียบลง เธอถอนหายใจออกมา ในที่สุดกระบวนการที่ยากลำบากนี้ก็จบลง

จากนั้นพูดแบบเย็นชา “เสิ่นซิวจิ่น ผมก็เป่าเสร็จแล้ว คุณปล่อยฉันได้หรือยัง?”

ถ้าวัดกันด้วยแรง แน่นอนว่าแรงของผู้ชายต้องมากกว่าผู้หญิงอยู่แล้ว แถมยังตัวร้อน มืออ่อน ขาอ่อน อ่อนแรงไปทั้งตัว

ถ้าสู้แรงกับคนนี้ นั่นเป็นการเสียแรงเปล่าๆ ก็นับว่าเธอคิดชัดเจนถี่ถ้วนแล้ว สุดท้ายก็ยอมคนคนนี้ไป ให้เป่าผมยาวของเธอจนแห้ง

และพูดอย่างเย็นชาอีกรอบ “คุณกลับไปนอนที่ห้องรับแขกได้แล้ว” หมายความว่า “คุณไสหัวไปได้ไหม”

คนคนนั้นเป็นคนทึ่มจริงๆ ฟังไม่ออกว่าเธอแฝงด้วยความหมายที่ไล่เขา ส่ายหัวอย่างเคร่งขรึม “ไม่ได้ไม่ได้ คุณปู่หมอบอกว่า ถงถงไข้ขึ้นสูง ญาติต้องให้ความสนใจและดูแลเป็นพิเศษ ถ้าพบช้าไป ก็จะอันตรายมาก”

“ฉันไม่ต้องการให้ใครมาเฝ้าทั้งนั้น” เธอเปิดปากพูดเบาๆ เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ถึงแม้ว่าต้องมีคนเฝ้าอยู่ข้างๆจริงๆ คนคนนั้นเป็นใครก็ได้ทั้งนั้นบนโลกใบนี้ แต่ต้องไม่เป็นเขา “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ส่งคุณกลับไปในที่ ที่คุณควรกลับไป”

อีกหยุดนิ่งไป และก็ไม่รู้ว่าเธอดูผิดหรือเปล่า ในดวงตายาวเรียวดั่งหงส์คู่นั้น ร่องรอยความเกลียดชังหายวับไป เมื่อเธอจ้องมองดูอีกครั้ง ก็ไม่มีอะไรนอกจากความผิดหวังและระแวดระวังในตาของคนคนนั้น

เธอหลับตาลง คิดในใจว่า ป่วยจนสับสนแล้ว

“ถงถง ถึงแม้พรุ่งนี้คุณจะส่งอาซิวกลับไป คืนนี้อาซิวก็จะเฝ้าอยู่ข้างๆกายถงถง อาซิวรับปากคุณปู่หมอไว้แล้ว คืนนี้จะดูแลถงถงเป็นอย่างดี”

คนคนนั้นพูด จู่ๆก็ลุกจากเตียง สวมรองเท้าและเดินออกจากห้องนอนของเธอไป

มองแผ่นหลังของคนคนนั้นเดินออกไป เจี่ยนถงก็ยังคงไม่เข้าใจกับการกระทำของเขา

ผู้ว่าจะเฝ้าอยู่ข้างๆเธอ แต่เขากลับหันหลังแล้วเดินจากไป?

ฝ่ามือ จับที่ผ้าปูบนเตียงเบาๆ

ใต้ตาของเธอ มีคำเสียดสีที่ตกต่ำปรากฏ

อาจจะเป็นเพราะเธอไม่รู้ตัวเอง ณ ขณะนี้ในใจลึกๆก็มีความไม่พอใจอยู่

“คนโกหก” เสียงเธอต่ำลง ริมฝีปากซีดพูดสองคำนี้ออกมาโดยไม่รู้ตัว หยิบชุดนอนขึ้นมาสวมใส่

ประตูห้องนอน เปิดออกกะทันหัน เธอเงยหน้ามอง ใบหน้าอันหล่อเหลาของคนคนนั้น ในมือหอบผ้าห่มไว้ ไปแล้วก็กลับมา

เมื่อเข้ามาในห้องนอนอีกครั้ง วางผ้าห่มในมือลงโดยที่ไม่พูดเลยสักคำ โยนไปที่พื้นข้างๆเตียงเธอ แล้วจัดผ้าห่มด้วยตัวเองแบบเงียบๆ

“คุณ……ทำอะไร?” เธอดูแล้วยิ่งไม่เข้าใจไปใหญ่ จึงถามออกไป

ในห้องนอน คนคนนั้นส่งเสียง “ฮัม” จากนั้นยกผ้าห่มบนพื้นขึ้น แล้วมุดเข้าไปนอน และยังจงใจหันหลังให้เธอ

“ใครอนุญาตให้คุณนอนที่นี่?” เธอหงุดหงิดแล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

แรกๆคนคนนั้นไม่ส่งเสียงอะไร เธอดูแล้วไม่พอใจอย่างมาก พูดจิกเสียงแข่ง “เสิ่นซิวจิ่น ออกไปนอนข้างนอก”

คนคนนั้นยังคงหันหลังให้และไม่ตอบเธอ นอนอยู่ที่พื้นข้างเตียงเธอ แผ่นหลังนั้นราวกับภูเขา เธอดูแล้วราวกับไฟลุกขึ้นในตา ยิ่งรู้สึกไม่พอใจ “ฉันบอกว่า ไม่ให้คุณนอนที่นี่ ถ้าไม่ฟังคำอย่างนั้นก็……”

เธอยังพูดไม่จบ

คนคนนั้นลุกออกมาจากผ้าห่มครึ่งตัวทันที หันหน้ามาตะโกนใส่เธอว่า “พรุ่งนี้คุณส่งฉันกลับไปดีกว่า! ฉันไม่กลัว! แต่ว่าคืนนี้คุณอย่าคิดเลยว่าจะไล่ฉันไปได้!”

ไม่มีเหตุผล!

เขากล้าพูดเสียงดังใส่เธอเหรอ?

หน้าอกของเจี่ยนถงยกขึ้นและลดลงถี่ๆ “คุณมาตะโกนใส่ฉันแบบนี้ได้ยังไง? ที่นี่เป็นบานของคุณเหรอ?” เธอถามจบ ก็ได้สติขึ้นมา ที่นี่ก็เป็นทรัพย์สินของเขาจริงๆ…… แต่รู้สึกผิดได้สักครู่ มองดูคนคนนั้น ในใจคิดว่า แล้วยังไง ยังไงคุณก็จำไม่ได้

“ถงถงไล่อาซิวไป อาซิวกลัวว่าจะไม่มีใครดูแลเมื่อถงถงป่วย อาซิวรับปากคุณปู่หมอไว้แล้ว ถงถงไม่มีเหตุผล!”

เขาตะโกนพูดเสียงดังใส่เธอ

เจี่ยนถงหยุดนิ่งไปสักพัก……เด็กอายุแปดขวบแบบเสิ่นซิวจิ่น ตะโกนเสียงดังใส่เธอแบบนี้ครั้งแรก คนที่มักจะอ้อนเอาใจเธอตลอด พูดด้วยความระมัดระวัง วันนี้ตะโกนใส่เธอเป็นครั้งแรก

เธอเงียบไปกะทันหัน ก้มศีรษะเหลือบมองคนที่อยู่ใต้เตียง ความเหนื่อยล้าก็ปรากฏคือ ไม่รู้ว่าเป็นความเหนื่อยล้าทางร่างกายหรือทางจิตใจ

ในความเงียบ เธอก็มุดร่างทั้งตัวลงไปใต้ผ้าห่ม ไม่พูด และไม่ไล่ใครไป และในทำนองเดียวกันก็นอนหันหลังให้เขา

ในห้องเงียบมาก เงียบจนทำให้คนรู้สึกหายใจไม่ออก

และไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ในห้องนอน มีเพียงแสงสว่างอ่อนของไฟหน้าเตียง

ไม่มีใครพูดอะไร สีฟ้ามืดยิ่งกว่าเดิม ผู้คนต่างก็เข้าไปในโลกแห่งความฝัน

ทันใดที่เตียงยุบลง เจี่ยนถงยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูด เท้าทั้งสองถูกห่อหุ้มด้วยความอบอุ่น

เธอลืมตาขึ้นทันที ยังมีความง่วงเล็กน้อย

มองไปที่ปลายเตียง คนคนนั้นคุกเข่าลง มือที่เรียวยาวและหนาคู่นั้น กำลังนำเท้าเธอเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง วางไว้บนเข่าของเขา

ภาพนี้ดึงดูดตา เลือดไหลเวียนขึ้นจากเท้าไปยังส่วนบนของศีรษะ หัวใจของเธอสั่นไหว ยื่นเท้าอยากหลบหนี มือของคนคนนั้น นอกจากจะใหญ่แล้ว แรงยังเยอะอีก เขาเหมือนจะรับรู้ได้ถึงการขัดขืนของเธอ คนคนนั้นเงยหน้ามองมาทางเธอ ยิ้มอย่างไร้เดียงสา พูดกับเธอว่า “ถงถง อาซิวจะช่วยคุณคลุมเท้า”

เธอทำหน้าบูดบึ้ง “ไม่ต้อง” ปฏิเสธอย่างไม่ปรานี

คนคนนั้นกลับไม่ยอมปล่อยมือ มือของเขากำลังทำให้เท้าของเธออุ่น “เท้าของถงถงเย็นมาก จากนี้ไป อาซิวจะช่วยถงถงทำให้เท้าอุ่นดีไหม”

“ไม่……” ดี……

“ดังนั้นพรุ่งนี้ถงถงอย่าไล่อาซิวไปไหนเลย ดีไหม?” คนคนนั้นพูดขอร้องด้วยเสียงแผ่วเบา ในสายตาเต็มไปด้วยความกลัวที่จะถูกปฏิเสธ หัวใจของเธอเหมือนกับโดนกระแทกอีกครั้ง เธอกัดฟัน พูดแบบใจร้ายว่า “ฉันไม่ต้องการให้คุณช่วยทำให้เท้าอุ่นขึ้น พรุ่งนี้ฉันให้ซีเฉินมารับคุณ”

เธอไม่อยากมีความสัมพันธ์ใดๆกับคนคนนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าแค่ลืมทุกอย่าง ก็สามารถกลายเป็นคนคนคนนั้นได้ บนโลกใบนี้ มีใครสามารถพูดได้ชัดเจนบ้าง

คนคนนั้นหยุดนิ่งไปสักพัก ในสายตาแสดงออกถึงความผิดหวัง ตาแดงขึ้นมาทันที “ได้ อาซิวเชื่อฟังคำถงถง พรุ่งนี้อาซิวจะไปกับคุณลุงซีเฉิน”

“ดังนั้น ปล่อยมือ ฉันไม่ต้องการให้คุณช่วยทำให้เท้าฉันอุ่น”

คนคนนั้นกลับส่ายหัว มือคู่นั้น ยิ่งจับไปที่ขาคู่นั้นของเธอ เอามาไว้ในอ้อมแขน “ยังไม่อุ่นเลย” ความหมายก็คือ ถ้าเท้าอุ่นแล้ว เขาจะปล่อยมือ

ครั้งนี้ เจี่ยนถงไม่ได้ขัดขืนคนคนนั้น

ขาคู่นั้นของเธอ อยู่ในอ้อมแขนคู่นั้น ค่อยๆอุ่นขึ้น

เธอไม่ทันได้พูดอะไร คนคนนั้นก็หัวเราะแบบทึ่มๆแล้วปล่อยเท้าของเธอ “อุ่นแล้ว อุ่นแล้ว” พูดคำนี้อย่างไร้เดียงสา “ถงถงนอนได้แล้ว พรุ่งนี้คุณปู่หมอจะมาหยอดน้ำเกลือให้ถงถงอีก”

ปลายเตียงยกขึ้น คนคนนั้นได้พลิกตัวลงจากเตียงไป เปิดผ้าปูที่นอนที่พื้นออกแล้วนอนลง

ในคืนนี้ เจี่ยนถงนอนหลับสนิทมาก ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเท้าเย็น เลยทำให้หลับยาก แต่ครั้งนี้ กลับนอนหลับไปอย่างรวดเร็ว

เธอฝัน ในฝัน มีมือคู่หนึ่งที่ช่วยทำให้เท้าของเธออุ่นเสมอๆ

ตอนที่ตื่นขึ้น ปลายเตียงกลับว่างเปล่า หันศีรษะไปดูที่ใต้เตียง คนคนนั้นกอดผ้าห่มแล้วหดตัวเป็นก้อน

เธอส่ายหัวอีกครั้ง……..ฝันนี้ ค่อนข้างเหมือนความจริง ทั้งหมดเป็นเพราะความคิดเห็นบ้าๆนั่นของคนคนนี้

ต้องโทษคนคนนี้ทั้งหมด ไม่ออกไพ่ตามหลักเหตุผลโดยทั่วไป

ตอนที่คนคนนี้ตื่นขึ้น ทำให้คนอื่นเข้าใจเขายาก

ตอนนี้คนคนนี้ยังไม่ตื่น ยิ่งทำให้คนอื่นเข้าใจเขายากมากขึ้น

แต่ว่าสายตาอันใสซื่อบริสุทธิ์คู่นั้น กลับไม่สามารถโกหกคนได้ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเสแสร้งได้

คนสามารถเสแสร้งได้ แต่สายตานั้น กลับยากที่จะเสแสร้ง

เวลาเก้าโมง คนคนนั้นต้มบะหมี่อีกแล้ว ครั้งนี้ ไม่ได้ใช้น้ำตาลแทนเกลือแล้ว บะหมี่เป็นสิ่งที่เค็ม แต่ใส่เกลือน้อยไป แทบจะไม่มีรสชาติเลย

เวลาเก้าโมงครึ่ง ในที่สุดเธอก็ได้เห็นคุณปู่หมอที่คนคนนั้นเอาแต่พูดถึง

“เป็นท่าน คุณปู่หวาง”

หมอส่วนตัวของบ้านซีเฉิน เจี่ยนถงเรียกเขาว่าคุณปู่หวางตั้งแต่เด็ก

“สาวน้อย คุณตื่นแล้วเหรอ” คุณปู่เป็นคนที่ใจดีมากและตรวจร่างกายกายให้เธออีกครั้ง

“ดีขึ้นกว่าเมื่อวานแล้ว สาวน้อยฟื้นฟูได้ค่อนข้างดี ดูแล้วพ่อหนุ่มนั่นดูแลได้ดี” เมื่อพูดว่า “พ่อหนุ่มคนนั้น” สายตากลับจ้องไปที่เสิ่นซิวจิ่นที่ยืนอยู่ข้างๆ

เจี่ยนถงหลบหน้าไปแบบไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ……เขาทำได้ดีมากจริงๆ จุดนี้ เธอไม่สามารถปฏิเสธได้

แม้ว่าเธอจะไม่อยากยอมรับ

คุณปู่หวังก็หยอดน้ำเกลือให้เจี่ยนถงอีกครั้ง เจี่ยนถงเรียกซีเฉิน “พวกคุณพาเขากลับไปด้วย”

ซีเฉินไม่ยอม “ตอนนี้ยู่สิงกับเสิ่นเอ้อ พวกเขาต่างก็อยู่ต่างประเทศ ”และส่วนทางฉัน ก็ยุ่งมากพอแล้ว คุณจะให้ฉันเอาคนคนนี้ไปไว้ที่ไหน?

เสิ่นซิวจิ่นไม่อยู่ ในบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ก็เริ่มมีแมลงเม่าอีกแล้ว

ฉันเป็นแค่ตัวแทนบังหน้าของเสิ่นซิวจิ่น ไม่ใช่เจ้าตัวเสิ่นซิวจิ่นเอง ลำพังจัดการเรื่องภายในบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ก็ทำให้ฉันยุ่งจนไม่มีเวลาว่างแล้ว แล้วยังให้ฉันมาดูแล “เด็ก” คนหนึ่งอีก

ซีเฉินเน้นคำว่า “เด็ก” แบบหนักๆ ดวงตาพีชคู่นั้น จ้องมองที่เจี่ยนถงอย่างจริงจัง นั่นหมายความว่า กำลังต่อว่าเจี่ยนถง……..แค่เด็กคนหนึ่งคุณก็ไม่สามารถทนได้เหรอ?

นี่มันคือ ต้องการเพิ่มความผิดให้

สีหน้าของเจี่ยนถงซีดมากขึ้น การกล่าวหาเธอต่อหน้าแบบนี้ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ก็ไม่ใช่สไตล์ของเธอ

“คุณอดทนอีกหน่อย หลังจากที่ยู่สิงกลับมาแล้ว พวกฉันก็จะไม่ให้อาซิวอยู่กับคุณ ใครจะกล้ารับประกันว่า คุณจะไม่ทำร้ายอาซิว? ”

ดูสิ คำพูดที่ไร้สาระนี่ เป็นการจงใจยั่วโมโหเจี่ยนถงชัดๆ เธอโกรธ ไฟลุกในสมอง “เดี๋ยวถ้าคุณปู่หวางดึงเข็มออกให้ฉัน คุณรีบไสหัวไป”

คำว่า “ไสหัวไป” พูดออกมาอย่างไม่เกรงใจ ครั้งนี้ซีเฉินกลับไม่โมโห เขายิ้มและเอามือล้วงกระเป๋า “ได้ อีกเดี๋ยวฉันจะไสหัวไป คุณไม่ต้องไล่” เขาพูดพร้อมกับยิ้มที่มุมปากด้วยท่าที่มีความสุข

เจี่ยนถงให้น้ำเกลือติดต่อกันมาสามวัน อาการถึงดีขึ้น อุณหภูมิในร่างกายถึงค่อยๆลดลงมาเป็นค่าปกติ

ค่ำคืนนี้ เธอมองดูผ้าปูและผ้านวมบนเตียง รู้สึกปวดหัวเป็นระยะๆ คนคนนี้ ดูท่าจะไล่ยังไงก็ไม่ยอมไปแน่ และคนคนนี้ หลังจากสูญเสียความทรงจำทั้งหมดแล้ว คือไม่รู้ว่าฝึกฝนจนกลายเป็นคนหน้าด้านหน้าทนไปแล้ว หรือว่าเขารู้ว่าเธอคงไม่ไล่เขาอีกกันแน่ เขาเลยถึงได้ยิ่งทำตัวเหิมเกริมไม่มีเหตุผล พยายามใช้ทุกสารพัดวิธีดื้อรั้นอยู่ในห้องของเธอทุกคืนไม่ยอมไปไหน ถึงต้องนอนที่พื้น เขาก็เต็มใจ

"ถงถง อุ่นเท้าให้"

คนคนนั้นก็เหมือนทุกคืนก่อนหน้า วิ่งมาที่เตียงของเธอแล้วช่วยเธออุ่นเท้าโดยที่ไม่ได้ถามเธอเลยสักคำ

ถึงแม้เธอจะปฏิเสธเขาด้วยถ้อยคำเย็นชา ให้สีหน้าเขา เขาก็เหมือนไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น

เธอหน้าบึ้ง ปล่อยให้เขาที่อยู่ปลายเตียงช่วยเธออุ่นเท้าอย่างชำนาญไป ไม่ใช่ว่าเธอไม่ปฏิเสธเขาเหรอกนะ แต่ความจริงได้พิสูจน์ว่า หลังจากคนคนนี้สูญเสียความทรงจำทั้งหมดแล้ว ยิ่งกลายเป็นคนหัวแข็งดื้อดึงไม่ยอมฟังใครมากขึ้น

ไม่ว่าเธอจะปฏิเสธเขายังไง หรือพูดคำรุนแรงหยาบคายใส่เขา สุดท้ายก็หนีไม่พ้นฝ่ามือคู่นั้นอยู่ดี ที่กำเท้าทั้งคู่ของเธอเอาไปตากไว้ที่หัวเข่าของเขา

เธอมองไปทางเขา คนที่อยู่ปลายเตียงกำลังก้มหน้าอยู่ และผมดำเงางามทิ้งตัวอยู่ที่หน้าผากช่อสองช่อ บดบังใบหน้าหล่อและคิ้วดกของเขา ที่กำลังทำเรื่องที่เธออธิบายไม่ถูกอยู่

ถ้าหาก……ถ้าหากคนคนนี้มีสติ เจี่ยนถงคิดในใจ ถ้าหากคนคนนี้มีสติอยู่ดีล่ะก็ เธอกลับสามารถพูดเหตุผล หรือใส่อารมณ์กับเขาได้

แต่ตอนนี้ คนคนนี้กลับจำอะไรไม่ได้เลย เธอใส่อารมณ์กับเขา เขากลับมองเธอด้วยสายตามึนงงไม่เข้าใจ แล้วถามเธออย่างเต็มปากว่าทำไมต้องโกรธเขา

เมื่อไหร่ก็ตาม พอถึงเวลาแบบนี้ เจี่ยนถงก็จะรู้สึกอารมณ์โมโหของเธอไม่มีที่ระบาย สุดท้ายก็ได้แต่หันหน้าไปอีกทาง ปล่อยให้เขาทำตามใจอย่างแข็งทื่อ

"พรุ่งนี้ ฉันจะไปทำงาน"

"แต่ว่า……

"คุณปู่หวางได้พูดแล้ว อุณหภูมิร่างกายฉันปกติแล้ว"เธอขยับตัว แล้วขยับเท้าที่ตากอยู่บนเข่าของคนคนนั้นเพื่อให้นั่งสบายมากขึ้น บางทีเธอเองอาจยังไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำ ปากบอกว่าไม่เอา แต่การกระทำกลับทรยศเธอซะแล้ว ในใจได้ค่อยๆยอมรับและชินกับการที่คนคนนั้นได้อุ่นเท้าให้เธออยู่ที่ปลายเตียงทุกคืนไปแล้ว

ความเคยชินเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก จำไม่ได้ว่าคำคำนี้ใครเคยพูดไว้ แต่คนมากมาย ได้เคยชินกับสิ่งต่างต่างนาๆอย่างไม่รู้ตัว แต่พอหลังจากชินกับมันแล้ว จู่ๆวันหนึ่ง ตอนที่กำลังอ่านหนังสือ หรือกำลังนั่งรถไฟใต้ดิน หรือแม้แต่ตอนที่กำลังทำเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ก็แล้วแต่ ทันใดนั้นกลับสังเกต……เฮ้ย ความเคยชินนี้ เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?

แต่สรุปโดยรวมแล้ว ตอนที่ความเคยชินมันเริ่มขึ้น น้อยคนที่จะสังเกตมันได้ การใช้ชีวิตของตัวเรา กำลังถูกเปลี่ยนแปลงไปทีละนิดๆ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อนมาก มันได้ค่อยๆแทรกซึมแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง

"อืม"คนคนนั้นตอบอย่างคลุมเครือไปคำหนึ่ง แล้วก้มหน้าต่ำ เธอเองก็แค่มองเขาทีหนึ่ง ฝ่าเท้ารู้สึกอุ่นๆ ต่างจากปกติที่เธอจะเท้าเย็นอยู่ตลอด

ค่ำคืนนี้ หลับจนถึงเช้าไม่ฝันอะไรเลย ตอนที่เจี่ยนถงตื่นมา รู้สึกร่างกายมีเรี่ยวมีแรงมาก ต่างจากสองวันก่อนที่อ่อนเพลียไม่มีแรง

เธอใช้แขนพยุงลุกขึ้นจากเตียง แล้วมองไปที่พื้นทีหนึ่งด้วยความเคยชิน กลับสังเกตว่าคนคนนั้นที่ปกติจะตื่นแต่เช้าทุกวัน วันนี้กลับยังนอนมุดอยู่ในผ้าห่มไม่ตื่น

แต่เธอก็ไม่ได้ปลุกเขาให้ตื่น เธอลุกขึ้นจากเตียงโดยตรง โดยเดินอ้อมเขาที่นอนกองอยู่บนพื้นแล้วเดินออกจากห้อง

เข้ามาในครัวแล้ว ก็ต้มน้ำใส่ข้าวสารลงไป เธอจะทำโจ๊ก กินบะหมี่ เส้นอะไรมานาน รู้สึกคิดถึงกลิ่นหอมของโจ๊กมากกว่า

จากนั้น เธอก็เข้าไปในห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน แล้วแต่งตัว

จนกระทั่งเธอแต่งตัวเสร็จ ตอนที่กลับมาในห้องนอนอีกครั้ง คนคนนั้นยังนอนกองอยู่ที่พื้นไม่ตื่นอีก

กลิ่นหอมจากในครัวค่อยๆโชยมา โจ๊กหม้อใหญ่ถูกยกมาเสิร์ฟบนโต๊ะเรียบร้อย

เธอคิดในใจ โจ๊กก็ต้มเสร็จแล้ว คนคนนั้นก็น่าจะตื่นแล้ว

เธอเดินกลับไปที่ห้องนอนอีกครั้งด้วยความไม่เต็มใจ "ตื่น"เธอยืนอยู่ข้างขาของคนคนนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย

แต่เขากลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ

เดิมที ตัวเธอเองก็รู้สึกมีอารมณ์ความรู้สึกสับสนต่อคนคนนั้นอยู่แล้ว เวลานี้ ยิ่งไม่มีอารมณ์ดีที่จะพูดกับเขา

"นายจะนอนถึงเมื่อไหร่กัน?"เธอถามอย่างเย็นชา

สิ่งที่ตอบรับเธอคือความเงียบ และร่างกายที่ยิ่งขดตัวของคนคนนั้น

"นี่!ฉันเรียกนายอยู่นะ ตื่นได้แล้ว!"ทันใดนั้น อารมณ์โกรธพุ่งขึ้นมาทันที เธอนั่งลงไปผลักเขาด้วยอารมณ์เสียทีหนึ่ง

แต่การผลักครั้งนี้กลับ……

สีหน้าของเจี่ยนถงเปลี่ยนทันที เธอรีบยื่นมือไปแตะที่หน้าผากของเขา ตัวเขาร้อนมาก

จู่ๆ ก็ตื่นตระหนกโดยไม่มีเหตุผล เธอเร่งรีบไปหาเครื่องวัดอุณหภูมิร่างกาย

"เสิ่นซิวจิ่น ตื่น ตื่นสิ"เธอตบหน้าเขาหลายที คนคนนั้นถึงสะลึมสะลือลืมตาขึ้น หลังจากตื่นแล้ว คำแรกก็พูด

"ถงถง ผมไปต้มบะหมี่ให้นะ"

ต้มบะหมี่กับผีสิ!

เจี่ยนถงแอบด่าคำหยาบในใจ

เธอเอาเครื่องวัดอุณหภูมิยัดใส่ใต้รักแร้ของเขาด้วยสีหน้าบึ้งตึง แต่คนคนนั้นกลับไม่ยอมให้ความร่วมมือ

เธอขู่เขาทันที "ถ้าไม่ให้ฉันวัดอุณหภูมิใต้รักแร้ นั้นฉันก็เปลี่ยนไปวัดอุณหภูมิทวารหนักแทน"

ทีนี่ เขาถึงยอมยกแขนขึ้น ปล่อยให้เธอสอดเครื่องวัดอุณหภูมิที่ใต้รักแร้อย่างดีๆ

ไม่ต้องคิดเลย ถึงไม่ใช้เครื่องวัดอุณหภูมิร่างกาย ก็รู้ว่าคนคนนี้กำลังไข้ขึ้นสูง

พอถึงเวลา เธอหยิบเครื่องวัดออกมา เห็นอุณหภูมิบนนั้น เธอตกใจจนมือสั่น เกือบจะทำเครื่องวัดอุณหภูมิตกจากมือ

เธอกระวนกระวายใจรีบไปหยิบมือถือที่โต๊ะเครื่องแป้งด้วยอาการมือสั่น "ซีเฉิน คุณรีบมา รีบพาคุณปู่หวางมาหน่อย"

ปลายสาย ซีเฉินฟังน้ำเสียงรีบร้อนของเธอออก แต่คุณหมอที่บ้านของเธอบอกว่าอาการของเธอดีขึ้นแล้วหนิ

เขาเลยถาม "วันนี้ยังอยากจะให้น้ำเกลือต่ออีกวันเหรอครับ เผื่อว่าอาการจะได้ทรงตัวใช่มั้ย?"

"ไม่ใช่ฉัน!"เสียงของเธอสั่นคลอน "เขา เขาไข้ขึ้น 41.2องศา"

ฝั่งซีเฉินตะโกนขึ้นคำหนึ่ง "คุณรอผมก่อน ผมจะรีบพาคุณหมอมา!"

เวลาเหมือนยาวนานมาก คนคนนั้นฟื้นมาได้แค่แป๊บเดียว ก็หมดสติไปอีกแล้ว

เธอไม่รู้ว่าทำไม เวลานี้ ตัวเองถึงได้ว้าวุ่นใจมาก เขายังคงนอนอยู่ที่พื้น เธออยากจะปลุกเขาให้ตื่น"ตื่น ตื่นสิ เสิ่นซิวจิ่น คุณตื่นสิ ขึ้นไปนอนบนเตียง"

คนคนนั้น"อืม"พูดมาคำหนึ่ง แล้วไม่ลืมตาอีกเลย เห็นเขาขมวดคิ้วจนแน่น คงต้องทรมานมากแน่

เธอมองดูเขาทีหนึ่ง กัดฟันแล้วเปิดผ้าห่มบนตัวเขาออกโดยที่ไม่ลังเลนั่งลงไปจับแขนเขาไว้ อยากจะช่วยเอาเขาขึ้นไปนอนบนเตียง

ร่างกายของคนเรามันแปลกมาก ตอนที่พอมีสติอยู่ แค่ผู้หญิงคนเดียว ยังพอลากร่างผู้ชายขึ้นได้ แต่ถ้าคนคนนั้นไม่มีสติเลย มันก็เหมือนท่อนเหล็กที่หนักและหนักมาก

เธอกัดฟันจนแน่น หน้าผากมีเหงื่อออกเท่าเมล็ดถั่วเขียว ขาสองข้างของเธอสั่นคลอนแทบจะอ่อนแรง แต่ก็พยายามลากผู้ชายขึ้นมา แทบจะใช้แรงทั้งหมดที่มี ในที่สุดก็ช่วยย้ายเขาขึ้นไปนอนที่เตียงจนได้

เธอรอต่ออีกไปสักพัก แล้วเดินไปมาในห้องไม่หยุด ท่าทางดูกังวลมาก

ทำไมช้าขนาดนี้ ทำไมยังไม่มาอีกนะ

ทำไมนานจัง

ระหว่างที่กำลังร้อนรนใจอยู่นั้น ซีเฉินก็เร่งรีบมาถึงพอดี

คุณหมอหวางเข้ามาในห้องนอน เธอกับซีเฉินยืนอยู่ข้างๆ

"41.2องศา รีบไปหยิบกล่องยาฉันมาหน่อย!"

ครั้งนี้ เขาได้เตรียมการมากอย่างดี

หลังจากที่ซีเฉินบอกอาการให้กับเขาแล้ว เขาก็ใช้ความเร็วเท่าที่จะเร็วได้ นำยาที่อาจจะต้องใช้และยาที่เขานึกได้ทั้งหมดมาด้วย

คุณหมอหวางที่ใบหน้าใจดีมาตลอด เวลานี้ดูจริงจังมาก ซีเฉินไม่พูดอะไรสักคำ เขารีบหันเดินไปหยิบกล่องยามา

เขาเชื่อใจคุณหมอหวาง คุณหมอหวางจริงจังขนาดนี้ อาการของอาซิวคงหนักมากแน่

"ยังดีที่ไม่มีอาการช็อก"คุณหมอหวางทำทุกอย่างเสร็จ แล้วเช็ดเหงื่อที่หน้าผากออก

ซีเฉินมองผ้าห่มที่ปูอยู่ที่พื้นทีหนึ่ง แล้วจองหน้าเจี่ยนถงพักหนึ่ง แต่เขากลับไม่พูดอะไร

ถึงแม้จะไม่ได้ตำหนิเธอเลยสักคำ แต่เจี่ยนถงกลับเหมือนสำนึกผิดแล้วหันหน้าหลบเขา

ยุ่งกันอยู่นาน ยังไงแล้ว ซีเฉินกับคุณหมอหวางจะอยู่ที่นี่นานไม่ได้ แล้วทั้งสองคนก็ได้จากไป อุณหภูมิในร่างกายของเสิ่นซิวจิ่นได้ลดลงบ้างแล้ว คุณหมอหวางพูด ถ้าอุณหภูมิร่างกายยังไม่ลดล่ะก็ คงจำเป็นต้องส่งโรงพยาบาลแล้ว

ซีเฉินกับเธอต่างก็ตกอยู่ในความตื่นตระหนก

ขณะนี้ เสิ่นซิวจิ่นไม่เหมาะที่จะไปปรากฏตัวในเมืองS โชคดีที่คนคนนี้เหนือมนุษย์มาก ไม่เหมือนคนทั่วไป แม้แต่ร่างกาย ก็ยังแข็งแรงกว่าคนทั่วไปด้วย

อุณหภูมิในร่างกายลดลงมาที่38.5องศา ตอนที่ตะวันลับฟ้า เจี่ยนถงนั่งอยู่ข้างๆ ดูรายงานที่วิเวียนส่งมา งานที่ร่วมทำกับคาย์อัน อาทิตย์หน้าถึงจะเริ่มอย่างเป็นทางการ

กำลังคิดถึงคาย์อันอยู่ จู่ๆเสียงมือถือก็ดังขึ้น เป็นเบอร์แปลก

"ถงถง หิวน้ำ"

เธอตกใจ แล้วนิ้วก็ไปกดรับสายเข้า

"ฮัลโหล"ในสาย เสียงทุ้มต่ำมีเสน่ห์ของผู้ชายดังขึ้น

"ถง……อื๊มมม"

เจี่ยนถงรีบยื่นมือไปปิดปากของเขาไว้

คือคาย์อัน เฟโรกิ!

"เสี่ยวถง ทางคุณเป็นเสียงอะไรครับ?"

"เปล่า ไม่มีอะไรค่ะ ฉันกำลังดูทีวีอยู่ ตอนนี้ปิดแล้วค่ะ คุณคาย์อัน คุณมีอะไรเหรอคะ?"

เวลานี้ ฟ้าก็มืดแล้ว เธอไม่อยากออกไป มีธุระเร่งด่วนอะไร ที่จำเป็นต้องให้คนคนนี้โทรศัพท์หาเธอด้วยตัวเองในเวลาแบบนี้ด้วย

"ที่แท้ก็ดูทีวีอยู่นี่เองเหรอครับ ผมไปหาคุณที่บริษัทเจี่ยนซื่อมา คุณวิเวียน ผู้ช่วยของคุณบอกว่าคุณไม่สบาย ตอนนี้ ดีขึ้นหรือยังครับ?"

"ขอบคุณคุณคาย์อันที่เป็นห่วงนะคะ ฉันดีขึ้นมากแล้วค่ะ"

เธอก้มหน้าคิดไปแล้วถามอย่างไม่ค่อยแคร์ "คุณคาย์อันได้เบอร์ติดต่อของฉันมาจากวิเวียนเหรอคะ?"

"ใช่ครับ ได้ยินว่าคุณไม่สบาย ผมเลยเป็นห่วงคุณมาก"คำพูดของเขาช่างตรงและไม่อ้อมค้อม

แต่ก็ตรงกับนิสัยของคนคนนี้มาก เป็นคนที่ตรงไปตรงมามาโดยตลอด ก็เหมือนเรื่องนั้นในอดีต ถึงแม้เธอไม่ชอบ แต่ว่าไม่พูดไม่ได้เลย คนคนนี้ ไม่ว่าจุดประสงค์ของเขาคืออะไร เขาจะเปิดเผยจุดประสงค์ออกมาอย่างชัดเจน ไม่ชอบปิดบังซ่อนเร้น

"ที่จริง"เธอใช้เวลาคิดไม่กี่วิ ก็ตัดสินใจได้แล้วถาม "ถ้าคุณคาย์อันสะดวกล่ะก็ สามารถบอกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับภายในของเจี่ยนซื่อให้ฉันได้มั้ยคะ ก็คือตอนที่ทั้งสองบริษัทพบเจอกันวันนั้น เรื่องที่คุณคาย์อันเอ่ยถึง คือได้ยินมาจากไหนคะ?"

คนภายในบริษัทเจี่ยนซื่อส่วนใหญ่ต่างก็ไม่รู้ เธอปิดข่าวนี้อย่างมิดชิด แต่ท้ายที่สุด กลับถูกบริษัทฝ่ายตรงข้ามรู้เรื่องนี้จนได้ เรื่องนี้ ต้องมีเงื่อนงำอะไรแน่ ถ้าไม่สืบให้รู้แน่ชัด เธอวางใจไม่ได้แน่

"ผมก็แค่เดาเอาก็แค่นั้น"

เจี่ยนถงได้ยินแล้วเงียบไป เห็นชัดว่าอีกฝ่ายไม่อยากบอกที่มาของข่าวนี้

เดาเอางั้นเหรอ?

ริมฝีปากเธอเผยรอยยิ้มประชดออกมา ถ้าว่าเดาก็อาจเดาได้ว่าบริษัทเจี่ยนซื่อมีปัญหา แต่ที่สามารถเดาได้ว่าบริษัทเจี่ยนซื่อเกิดปัญหาอะไรได้อย่างแม่นยำขนาดนี้

คงไม่ใช่แค่อ้างว่าเดาแล้วจะอธิบายได้

แต่ว่า ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมบอก นั้นเธอก็คงไม่ได้ข่าวที่มีประโยชน์จากอีกฝ่ายอย่างแน่นอน

ก่อนหน้านี้ หลังจากเธอกลับมาจากการพบปะพูดคุยและตกลงการที่จะร่วมมือการของทั้งสองฝ่ายแล้ว กลับมาเธอก็ป่วยเลย เรื่องนี้เลยถูกพัดไว้ ตอนนี้ เป็นเวลาที่ควรจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จซะทีแล้ว

"เสี่ยวถง ประเทศของคุณมีคำหนึ่งพูดว่า นักธุรกิจเห็นเงินทองสำคัญกว่าความรัก ผมเป็นนักธุรกิจ แน่นอนว่าต้องรักเงินอยู่แล้ว และแน่นอนว่าคนเป็นนักธุรกิจไม่เอาด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล แต่ในฐานะนักธุรกิจ ก็มีกฎพื้นฐานสำหรับนักธุรกิจเช่นกัน"

"ฉันเข้าใจค่ะ ฉันเสียมารยาทเอง ที่ถามเรื่องที่ไม่ควรถาม"เธอไม่ได้โกรธคาย์อัน เฟโรกิที่ไม่ยอมบอกความจริงกับเธอ ถ้าคาย์อัน เฟโรกิคนนี้พูดความจริงออกจากปากของเขาจริงแล้วล่ะก็ นั้นเธอคงต้องคิดใหม่แล้ว ว่ายังจะร่วมงานกับคนคนนี้อีกหรือไม่

"เสี่ยวถง คุณสามารถเข้าใจผมก็ดีแล้ว อย่างเดียวที่ผมสามารถบอกกับคุณได้ก็คือ หาสาเหตุต้นตอจากภายใน"

ดวงตาของเจี่ยนถงคมเข้มขึ้นมาทันที!

หาสาเหตุต้นตอจากภายใน!

มีหนอนบ่อนไส้!

เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ก็คือความหมายนี้

"ขอบคุณมากเลยนะคะ……"

"ถ้าคุณอยากขอบคุณผมจริง สู้ทำอะไรที่มันจับต้องได้ดีกว่า"

อีกฝ่ายพูดด้วยการหยอกล้อ

เจี่ยนถงไม่ได้ตอบเขา

ปลายสายก็เงียบลง สักพักถึงพูดขึ้น "เลี้ยงข้าวผมมื้อหนึ่งก็พอ"

เธอกลับหัวเราะเบาๆออกมาอย่างพอใจ แล้วพูดอย่างมีมารยาท "แน่นอนค่ะ"

"อุ๊ย"คาย์อันอุ๊ยเบาๆออกมาทีหนึ่ง"พูดนอกเรื่องมาเยอะเลย เกือบลืมเรื่องสำคัญไปเลย"

"คุณเชิญพูดมาได้เลยค่ะ"

"เสี่ยวถง พรุ่งนี้คุณบินไปฝรั่งเศสกับผมหน่อยนะ"คาย์อันพูด "เตอร์เมนกรุ๊ปของฝรั่งเศส เคยได้ยินมั้ยครับ?"

เตอร์เมนกรุ๊ป!

เจี่ยนถงตกใจ "ฉันรู้จักค่ะ เตอร์เมนกรุ๊ปคือป้ายโฆษณาของวงการธุรกิจ เป็นผู้นำของโลก"

"ใช่ ถ้าบริษัทเจี่ยนซื่อได้เกี่ยวพันธ์กับ เตอร์เมนกรุ๊ปได้ล่ะก็ นั้นบริษัทเจี่ยนซื่อคงผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน ผมรู้จักกับมิแฟรี่ของเตอร์เมนกรุ๊ป มิแฟรี่คนนี้ ถ้าคุณรู้จักเตอร์เมนกรุ๊ปล่ะก็ นั้นก็ต้องรู้ว่ามิแฟรี่คนนี้พบได้ยากมาก

คือคนที่มีชื่อเสียงที่บงการอยู่เบื่องหลังในแวดวงธุรกิจ"

เพราะฉะนั้น ถ้าอยากเจอเขาคนนี้ เว้นแต่จะมีเส้นสาย หรือคนคนนี้ยอมพบคุณ

"ผมได้ส่งอีเมลให้กับมิแฟรี่วันนี้ วันมะเรื่อง เขาจะกลับมาฝรั่งเศสในวันหยุดพักผ่อน พวกเราได้นัดเจอกันเป็นการส่วนตัว"น้ำเสียงของคาย์อันฟังดูทุ้มต่ำ ถึงแม้จะไม่ได้เห็นหน้าของเขา แต่เวลานี้ คำพูดเหล่านี้ ราวกับมีเวทมนตร์อย่างไรอย่างนั้น ได้เกลี้ยกล่อมหัวใจของเจี่ยนถงอย่างต่อเนื่อง

ฝรั่งเศส เตอร์เมนกรุ๊ป มิแฟรี่!

หัวใจเธอเต้นแรงอย่างกับเสียงตีกลอง!

ตุบตับๆๆ……ยิ่งอยู่ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ!

"เสี่ยวถง คุณต้องรู้นะโอกาสแบบนี้หายากมาก "คาย์อันชี้แนะ

แน่นอนว่าเธอก็รู้ ว่านี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากมาก!

ในใจเธอตื่นเต้นจนไม่รู้ควรทำยังไงดีแล้ว ขอแค่ได้โอกาสจากมิแฟรี่ครั้งหนึ่ง บริษัทเจี่ยนซื่อก็จะสามารถพ้นจากวิกฤติในตอนนี้ได้อย่างสิ้นเชิง!

ถ้าสามารถยึดเตอร์เมนกรุ๊ปไว้ได้……ใบหน้าซีดเซียวของผู้หญิงได้แดงขึ้น

"ได้……"คำว่าได้คำหนึ่งยังไม่ทันจะพูดจบ

จู่ๆ หลังมือก็ถูกคนจับเอาไว้ เธอตกใจแล้วก้มหน้าไปดู ก็เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาดูเจ็บปวดทรมาน แต่กลับฝืนทนไว้ คนคนนั้นกำลังกะพริบตาที่ใสสะอาดมองเธออยู่ ตาคู่นั้น ราวกับน้ำวนอย่างไรอย่างนั้น ต่างจากดวงตาคมเข้มตอนที่เขามีสติ ข้างในล้วนแต่เป็นความคิดถึงและอาลัยอาวรณ์ แต่กลับทำให้เธอลืมหายใจไปชั่วขณะ

ความคิดถึงและความอาลัยอาวรณ์ที่มีต่อเธอ

ความอาลัยอาวรณ์ที่เสิ่นซิวจิ่นมีนั้น คือความอาลัยอาวรณ์ที่มีต่อเจี่ยนถงทั้งนั้น!

เธอเห็นแล้วอึ้งไปและลืมไปว่าในมือยังถือโทรศัพท์อยู่ หน้าจอของมือถือโชว์ว่ากำลังอยู่ในสายอยู่

ภายใต้การเหม่อลอยของเธอ คนคนนั้นจับมือเธอไปไว้ที่แก้มของตัวเองทั้งสองข้าง หลังจากนั้น หลังจากนั้น……เอาหน้าแนบกับมือเธอด้วยความอาลัยอาวรณ์

ทันใดนั้น ฝ่ามือของเธอราวกับลุกเป็นไฟอย่างไรอย่างนั้น!

เหมือนถูกเผาแล้วรีบดึงมือกลับ

"เสี่ยวถง?"ปลายสายมีเสียงเรียกของคาย์อันดังมา "คุณยัง……"ฟังอยู่มั้ย……

"คุณคาย์อันคะ ขอบคุณความหวังดีของคุณมากเลยนะคะ"เจี่ยนถงหลับตาลง มืออีกข้างกำจนแน่นและซ้อนอยู่ข้างตัว มีเสียงดังอยู่ในใจ เธอบ้าไปแล้วเหรอ!เธอมันเสียสติ บ้าไปแล้วจริงๆแน่!

เจี่ยนถงยกมือถือไว้ พูดออกมาอย่างตึงเครียด "ฉันคงไม่มีบุญวาสนาได้เจอคุณมิแฟรี่แล้วค่ะ"

ฟรืบ~มือถือตกหล่นไปที่พื้น เจี่ยนถงราวกับไก่ชนที่แพ้ศึกและมะเขือยาวที่โดนความหนาวเย็นแล้วเหี่ยวเฉา ล้มตัวลงไปนั่งอยู่ที่หน้าเตียงอย่างอ่อนแรง

นั่นมันเตอร์เมนกรุ๊ปเลยนะ!คุณมิแฟรี่ของเตอร์เมนกรุ๊ปเชียวนะ!เป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมในวงธุระกิจ!เธอบ้าไปแล้ว!เธอถูกคุณไสยหรือไง!……หัวใจของเธอสั่นคลองและมีเลือดหยด เธอค่อยๆก้มหน้าลง สายตาหยุดลงที่ใบหน้าซีดเซียวของคนคนนั้น คนคนนั้นกำลังใช้ริมฝีปากที่ไร้เลือดฝาดยิ้มให้กับเธอด้วยความสบายใจ

กึก~เธอเหมือนได้ยินเสียงกัดฟันของตัวเอง

เจี่ยนถง เธอมันบ้าไปแล้ว!

จู่ๆ เธอก็ลุกขึ้นทันที สีหน้าดูเงียบขรึมเย็นชา เดินไปแล้วกลับมา ตอนที่กลับมาอีกที เธอเอาน้ำแก้วหนึ่งยื่นให้กับคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย "ดื่มซะ"

ระหว่างการได้ร่วมงานกับคุณมิแฟรี่ของเตอร์เมนกรุ๊ปในฝรั่งเศสกับดูแลเสิ่นซิวจิ่น เธอเลือกอันหลัง

หลังจากวิเวียนได้ข่าวเรื่องนี้แล้ว เธอโกรธจนกระหืดกระหอบแล้วโทรศัพท์มาหาเจี่ยนถง"เธอบ้าไปแล้วเหรอ เสี่ยวถง เธอรู้มั้ยว่าสภาพของบริษัทเจี่ยนซื่อตอนนี้เป็นยังไง

ได้!

ไม่พูดไปไกล แม้ในยามรุ่งเรืองของบริษัทเจี่ยนซื่อ ได้รู้จักกับมิแฟรี่ สำหรับบริษัทเจี่ยนซื่อแล้ว มันมีแต่จะดี ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเลย"

เจี่ยนถงไม่ได้รีบตอบ เธออึ้งไปครู่หนึ่ง "เธอรู้เรื่องมิแฟรี่ได้ยังไง"

วิเวียนหัวเราะเยาะออกมาคำหนึ่ง "เสี่ยวถง ฉันรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่

แต่เสียดาย ครั้งนี้เธอคิดผิด

ก่อนหน้านี้ คุณคาย์อัน เฟโรกิมาหาเธอที่บริษัทด้วยตนเอง

แน่นอนว่าฉันคงไม่เอาเบอร์ติดต่อของเธอให้กับใครอื่นไปมั่วๆแน่

ตอนที่เขามาหาเธอ ฉันเห็นเขารีบร้อนมาก พอสอบถามแล้วถึงรู้ ที่เขารีบร้อนมาหาเธอก็เพราะเรื่องของมิแฟรี่

การเดินทางและที่อยู่ของมิแฟรี่เอาแน่เอานอนไม่ได้โดยตลอด จะรอเขาปรากฏตัวได้ เดิมที ก็เป็นโอกาสยากเย็นมากอยู่แล้ว

สุดท้าย พอฉันสอบถามอีกที ถึงรู้ข่าวจากคุณคาย์อัน เฟโรกิว่าเธอไม่อยากไปแล้ว"

วิเวียนพูดด้วยน้ำเสียงร้อนใจ "เสี่ยวถง ถ้าเกิดเธอไม่สบาย ถึงเธออยากจะไป ฉันเองก็คงต้องห้ามเธอไว้

แต่ตอนนี้ เธอเองก็หายดีแล้ว

ทำไม?"

วิเวียนถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

เจี่ยนถงเม้มปาก"ไม่มีอะไร ก็แค่ฉันไม่อยากไป"

"เธอคิดอะไรอยู่กันแน่!"วิเวียนตะคอกใส่เธอทีหนึ่งก็ตัดสายทิ้ง

หลังจากยี่สิบนาที เสียงกริ่งที่บ้านของเจี่ยนถงดังขึ้นรัวๆ

เธอนึกว่าเป็นอาหารที่เธอสั่งเดลิเวอรี่มาส่ง เลยเดินไปเปิดประตู พอเปิดประตู กลับเป็นวิเวียนที่วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน

"เสี่ยวถง ฉันไม่เชื่อเหรอกนะ ว่าเธอไม่มีเหตุผล ก็ได้ทำการตัดสินที่ขาดสติแบบนี้ออกมา"เธอโกรธจนหูปากออกเป็นควัน ก็หยิบแก้วที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาจะดื่ม

ยังไม่ทันจะดื่ม แก้วชาก็ถูกคนแย่งไปซะงั้น

วิเวียนมองคนที่เดินมา อึ้งไปนิดๆ"ประธานเสิ่น?"

เรื่องที่เสิ่นซิวจิ่นถูกยิงบาดเจ็บสาหัสในโรมของอิตาลี ตอนที่เจี่ยนถงรู้ข่าวเธอเองก็รู้แล้ว หลังจากนั้น เจี่ยนถงก็กลับมา นั้นก็แปลว่า เสิ่นซิวจิ่นก็พ้นจากขีดอันตรายแล้ว และกลับมาที่เมืองSแล้ว

เธอแค่รู้สึกตกใจที่เห็นคนคนนี้มาปรากฏตัวที่บ้านพักชั่วคราวของเจี่ยนถง

"ประธานเสิ่น สวัสดีค่ะ……"เธอรีบยื่นมือออกมาจับมือกับเขาด้วยมารยาททางธุรกิจ

"นี่เป็นแก้วน้ำของถงถง เธอห้ามดื่มนะ"คนคนนั้นจองเธออย่างห่างเหิน กอดแก้วน้ำในมืออย่างแน่น ป้องกัน ไม่ให้เธอมาแย่ง

เห็นเสิ่นซิวจิ่นที่เป็นแบบนี้ จู่ๆ ในใจของวิเวียนก็เกิดความแปลกประหลาดขึ้นมา แล้วมองหน้าผู้ชายหลายทีด้วยสายตาแปลก เจี่ยนถงพยายามบังสายตาของวิเวียนไว้ "เธอกลับไปก่อนเถอะนะ มีธุระอะไร รอไปที่บริษัทแล้วเราค่อยคุยกัน"

อาการประหลาดใจของวิเวียน เขามาแวบเดียวแล้วหายไป แล้วมองหน้าเจี่ยนถง……นี่เธอกำลังไล่ตัวเองงั้นเหรอ?

"เสี่ยวถง!ฉันทนนานขนาดนั้นไม่ไหวเหรอกนะ

วันนี้ เธอต้องให้เหตุผลฉันมา โอกาสดีขนาดนี้ ทำไมเธอถึงไม่คว้าเอาไว้?นี่ไม่ใช่นิสัยเธอ"เพื่องานแล้ว เจี่ยนถงสามารถไม่หลับไม่นอนติดต่อกันหลายวัน ไม่มีวันปล่อยโอกาสดีแบบนี้หลุดมือไปแน่ สำหรับบริษัทเจี่ยนซื่อแล้ว เป็นโอกาสดีที่ได้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส แต่เธอกลับปล่อยมันไปง่ายๆ

ต้องมีสาเหตุอะไรที่ตัวเองไม่รู้แน่

"ถงถง อาซิวหนาวครับ"เสียงหน่อมแน้มของผู้ชายได้ขาดจังหวะความคิดของวิเวียนทันที

ฟังเสียงพูดจาออดอ้อนแอ๊บแบ๊วของเขาแล้ว เธอแทบอ้าปากค้าง

เจี่ยนถงจับเสิ่นซิวจิ่นไว้ได้แล้ว "นายกลับไปที่ห้องก่อน"เธอข่มเขาด้วยเสียเบา

เธอได้แต่กล่อมให้เสิ่นซิวจิ่นเข้าไปที่ห้องนอนก่อน เรื่องที่เขาสูญเสียความทรงจำ ยิ่งคนรู้น้อยมากเท่าไหร่ยิ่งดี เธอไม่คิดไม่ฝันเลยว่า วิเวียนจะจู่ๆวิ่งมาที่บ้านของเธอ

ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจวิเวียนเหรอกนะ แต่ว่าเรื่องนี้ คนรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งปลอดภัย

"เสี่ยวถง เขา……เขาคือประธานเสิ่นใช่มั้ย?"วิเวียนเป็นคนฉลาดหลักแหลมมาก เธอสังเกตความผิดปกติได้ทันที เธอยื่นมือไปจับแขนของเจี่ยนถงไว้ มืออีกข้างทำท่าทาง"สมองมีปัญหา"ที่ขมับ

"ไม่……"

"ถงถง หนาว อาซิวหนาว"

เจี่ยนถงแทบอยากจะโยนไอ้หมอนี่ที่สร้างปัญหาให้เธอออกไปซะเลย

"ไม่นะ เขาที่นี่……จริงเหรอ"

"พอได้แล้ว วิเวียน"เจี่ยนถงทำหน้าบึ้ง

เธอไม่ชอบให้คนอื่นมาพูดว่าคนคนนี้สมองมีปัญหา ไม่รู้ทำไมก็คือไม่ชอบ

แต่เห็นว่าปิดวิเวียนไม่ได้แล้ว ขืนแก้ตัวต่อ ยิ่งจะเลอะเทอะไปกันใหญ่

เธอเม้มปากจนแน่น แล้วเข้าไปเทน้ำให้คนคนนั้นแก้วหนึ่งในห้องครัวแล้วเข้าไปหยิบเสื้อกันหนาวตัวหนามาตัวหนึ่ง "ไม่สบายก็นอนพักผ่อนซะ ใครเรียกนายออกมา?"

วิเวียนทำหน้าเหมือนเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น เจี่ยนถงสงสายตาให้เธอ "นั่งสิ"

เธอถึงยอมนั่งลงที่โซฟาด้วยและระหว่างนั้นก็มองเสิ่นซิวจิ่นที่ดื่มน้ำอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆราวกับเห็นผีไปด้วย เธอฉลาดขนาดนั้น เข้าใจเรื่องหนึ่งทันที

"เสี่ยวถง เธอคงไม่ได้เป็นเพราะเขา ถึงยอมปล่อยโอกาสที่ได้ใกล้ชิดกับมิแฟรี่เหรอกนะ?"

เจี่ยนถงไม่พูด

วิเวียนใจร้อนทันที"เจี่ยนถง เธอเพื่อเขางั้นเหรอ?เธอบ้าไปแล้วใช่มั้ย!"

เจี่ยนถงหันไปพูดกับเสิ่นซิวจิ่นก่อน "นายเข้าไปที่ห้องนอนก่อน ทำตัวเป็นเด็กดีนะ"คนคนนั้นพูดอย่างไม่เต็มใจ"ครับ"คำหนึ่ง แล้วจากไป

เธอถึงพูด

"เขาไม่สบาย เป็นไข้สูง ฉันไม่สามารถไปได้"

"เขาไม่สบาย เธอก็เลยยอมปล่อยโอกาสหายากแบบนี้หลุดมืองั้นเหรอ?"วิเวียนโกรธจนหัวเราะออกมา

"เขาก็แค่เป็นไข้!"

วิเวียนยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ ยิ่งพูดแล้วยิ่งโมโห หน้าอกขึ้นลงอย่างแรง

"เขาไม่สบาย สามารถหาคนมาดูแลเขาก็ได้หนิ

เธอสามารถส่งเขากลับไปที่บ้านตระกูลเสิ่นก็ได้หนิ

มีวิธีตั้งมากมาย แต่เธอกลับอยู่เพื่อเขา

เธอรู้มั้ย โอกาสที่เธอสละไป ไม่ใช่แค่โอกาสที่ได้ใกล้ชิดกับคุณมิแฟรี่เพียงอย่างเดียว

แต่ที่เธอสละไป มันคือโอกาสของพนักงานบริษัทเจี่ยนซื่อทุกคน!

เธอปล่อยให้พนักงานทั้งหมดของบริษัทเจี่ยนซื่อต้องสละเส้นทางลัดและง่ายไปพร้อมเธอ แต่กลับเลือกอีกเส้นทางที่อันตรายและยากเย็น

เสี่ยวถง ครั้งนี้ เธอทำให้ฉันผิดหวังมาก"

ถ้าหากเธอไม่รู้ปัญหาที่แท้จริงของบริษัทเจี่ยนซื่อล่ะก็ เธอก็คงไม่ใจร้อนขนาดนี้

เห็นเส้นทางลัดอยู่ต่อหน้าต่อตา กลับบอกว่าไม่ไปอย่างง่ายดายแบบนี้

เจี่ยนถงเงียบ จู่ๆ วิเวียนก็ลุกขึ้น

"เสี่ยวถง เธอโดนของแล้ว!เสียสติบ้าไปแล้ว!เธออย่าลืมนะ ที่ผ่านมาเขาทำอะไรกับเธอบ้าง!"วิเวียนเห็นจู่ๆสีหน้าของเจี่ยนถงก็เศร้าหมอง ตระหนักได้ว่าตัวเองพูดแรงไปหน่อย แต่ว่าเวลานี้ สิ่งที่เธอโกรธมากที่สุดก็คือความไม่เอาไหนของเจี่ยนถง

"สิ่งที่เขาทำกับเธอ มีเรื่องไหนบ้างที่มันไม่ผิดหรือบาป มันมากมายจนยากจะให้อภัย มีเรื่องไหนบ้างที่ทำให้เธอคุ้มค่าที่จะสละโอกาสดีที่ได้พบคุณมิแฟรี่ไป เขาเคยรู้สึกผิดและขอโทษเธอจากปากของเขาเองมั้ย?

เขาเคยพูดว่ารักเธอจากปากของเขาเองมั้ย?

และที่สำคัญ ตอนนี้ เขากลายเป็นสภาพแบบนี้ ใครจะไปรู้ว่าจะกลับมาปกติได้เมื่อไหร่?

หรือว่าเธอจะดูแลเด็กคนหนึ่งทั้งชีวิตแบบนี้น่ะเหรอ?!"

แต่ละคำเหมือนดาบคมที่ทิ่มแทงหัวใจ และทิ่มโดนจุดสำคัญทุกที่!

ร่างกายของเจี่ยนถงสั่นคลอนเล็กน้อยโดยที่สังเกตไม่ออก มือเธอรีบจับโซฟาไว้ ถึงทำให้ตัวเองไม่ต้องถึงขั้นยืนไม่ไหว……หลังจากเขาเป็นแบบนี้ คำพูดที่เธอแอบซ่อนไว้ในใจ กับความจริงที่เธอพยายามหลบเลี่ยง ถูกวิเวียนยกออกมาพูดอย่างไม่ไว้หน้า

เธอก้มหน้าเอาไว้ เหมือนสูญเสียจิตวิญญาณไปทั้งคน

เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา"วิเวียน ถ้าเขากลับมาปกติ ฉันกลับสามารถปฏิบัติกับเขาอย่างเย็นชาได้ เสิ่นซิวจิ่นที่เป็นปกติ ฉันเคียดแค้นอยู่ตลอด ไม่มีทางให้อภัยได้ หวังว่าได้เจอหน้าคนคนนี้อีกครั้งคือตอนอยู่นรก"

คนคนนี้ถ้าเป็นเสิ่นซิวจิ่นที่ปกติคนนั้น เรื่องความโกรธแค้นเป็นเรื่องของสองคน เธอโกรธเขา แค้นเขา เขาก็ควรรับมันไว้

แต่คนคนนี้กลับสติไม่ปกติ เขาลืมความแค้นความเกลียดชังไปจนหมด ความแค้นทั้งหมดกลับเป็นเรื่องของเธอคนเดียวไปแล้ว เธอเกลียดเขาแค้นเขา เขาไม่เข้าใจ ยังมาถามเธออย่างมึนงงว่าทำไมต้องเกลียดเขาด้วย เธอกลับไม่สามารถเอาเรื่องที่สกปรกโสโครก ต่ำช้าและความเก็บกดมาพาลใส่เด็กที่สติปัญญาแค่แปดขวบเหรอกนะ……ถึงจะแย่แค่ไหน เธอก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้

"สติเขาไม่ดี เสิ่นซิวจิ่นที่สติไม่ดี ไม่ใช่เสิ่นซิวจิ่นในอดีต เสิ่นซิวจิ่นที่สติไม่ดี ใช้ทุกวิธีที่เขาสามารถนึกออกได้ทำดีกับเธอ ถึงเขาจะดูปัญญาอ่อน แต่ก็ดีกับฉันเจี่ยนถงคนนี้ ไม่เกี่ยวกับใครอื่น

ฉันยอมรับ ว่าฉันมันโลภ

โลภในความอบอุ่นที่มาจากเด็กอายุแปดขวบ วิเวียน……เธอจะให้ฉันทำยังไง?จะให้ฉันผลักความ'อบอุ่น'ที่มีอันน้อยนิดนี่ออกไปกับมือเองงั้นเหรอ?"

"ถ้าจะเกลียดจะแค้นจริง นั่นมันก็ควรจะเกลียดแค้นคนปกติคนนั้น ไม่ใช่เด็กแปดขวบที่เป็นอยู่ตอนนี้"

ตอนที่วิเวียนมาได้นำพาความโกรธมาด้วย แต่หลังจากที่รู้ว่าเพราะอะไรเจี่ยนถงถึงไม่ไปฝรั่งเศส ยิ่งทำให้เธอไม่เข้าใจ

ผู้หญิงที่สามารถทำให้คนทั้งโลกภาคภูมิใจขนาดนี้ ถูกคนคนนั้นได้ทำร้ายจนกลายเป็นสภาพอย่างตอนนี้ เพื่อคนคนนั้นแล้ว ตอนนี้ยังต้องทิ้งการปฏิบัติที่ให้ความสำคัญของมิแฟรี่ และโอกาสที่น่ายกย่องนี้ไป

ในใจเธอได้มีคำนินทาที่นับไม่ถ้วนแล้ว และได้ทำการตัดสินใจว่าจะต้องพูดโน้มน้าวเจี่ยนถงให้ได้ ถึงเจี่ยนถงจะโดนของจริงๆ ถึงเสิ่นซิวจิ่นไอ้สารเลวคนนั้นจะทำคุณไสยให้เจี่ยนถง วันนี้เธอก็จะดึงเจี่ยนถงออกจากคุณไสยนี้ให้ได้!

แต่ตอนนี้เธอกลับหมดอาลัยตายอยากแล้ว

มีความโกรธแต่ไม่มีที่ระบาย

ไม่ใช่เสิ่นซิวจิ่นทำคุณไสยใส่เจี่ยนถง แต่เจี่ยนถงเป็นคนทำคุณไสยให้ตัวเอง

คุณไสยอันนี้ ใครก็ไม่สามารถแก้ได้ นอกเสียจากเจี่ยนถงจะยอมเดินออกมาเอง!

เธอเดินตามหลังเจี่ยนถงเข้าไป"กองทุนดวงหัวใจ" จากตอนแรก"กองทุนดวงหัวใจ"เป็นแค่ชื่อเปล่าๆชื่อหนึ่ง ข้างนอกกลับลือว่า"ไม่สมชื่อ" จนถึงต่อมา"กองทุนดวงหัวใจ"ได้กลายเป็น"กองทุนดวงหัวใจ"ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร

เธอเดินตามฝีเท้าของเจี่ยนถง คอยเดินอยู่ข้างหลังหลังเจี่ยนถง ที่เห็นคืออีกด้านหนึ่งของเจี่ยนถงที่คนอื่นไม่เคยเห็น

ถูกลือว่าเป็นหลานสาวที่ท่านแก่เจี่ยนรักและเอ็นดูที่สุด เจี่ยนถงไม่พูด แต่วิเวียนเดินตามอยู่ข้างหลังของเจี่ยนถง พอเวลานานเข้าก็เข้าใจของที่ในใจของเจี่ยนถงปรารถนาที่สุด

ตอนนี้วิเวียนแทบอยากให้เธอไม่ต้องรู้ด้านนั้นของเจี่ยนถง แทบอยากให้ตัวเองไม่ต้องเข้าใจเจี่ยนถงเลย ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ เธอก็จะสามารถโหดร้ายโดยที่ไม่ต้องแคร์อะไรทั้งสิ้น ไม่สนความยินยอมของเจี่ยนถง ดึงยัยโง่คนนี้ออกมาจากวังวนนี้ ดึงเธออกมาจากกรงที่เธอสร้างให้ตัวเอง

แต่……ให้ตายสิ!

ให้ตายสิ ทำไมเธอต้องฟังคำคำนั้นของเจี่ยนถงเข้าใจด้วย!

"……"วิเวียนมองดูเจี่ยนถงอย่างลึกซึ้ง ขมวดคิ้วไว้แน่น ในที่สุดก็ได้ถามอย่างตึงเครียด "สักวันเขาก็ต้องได้สติ ถ้าเขาได้สติแล้ว เธอจะทำยังไง?"

ถ้าเขาได้สติแล้ว เธอจะทำยังไง?

ยังจะหลอกตัวเองอีกเเหรอ?

ตอนนี้เธอใช้สติปัญญาของคนคนนั้นมีแค่แปดขวบมาเป็นเหตุผล งั้นถ้าคนคนนั้นได้สติแล้ว ถึงเวลาเธอยังมีเหตุผลอะไรอีก?

เธอควรจะทำยังไง?

นี่คือความหมายแอบแฝงของวิเวียน

เธอรู้ว่าเจี่ยนถงฟังรู้เรื่อง

เพราะผู้หญิงที่นั่งอยู่บนโซฟาคนนั้น ถึงแม้ปกปิดอารมณ์อ่อนไหวของตัวเองสุดฤทธิ์ แต่กลับได้กุมถ้วยน้ำชาในมือไว้แน่นด้วยจิตใต้สำนึก……ถ้วยน้ำชาที่เสิ่นซิวจิ่นยัดมาที่ฝ่ามือเธอ

"ตื่นตัวหน่อย ท่านแก่เจี่ยนเสียชีวิตตั้งนานแล้ว"

วิเวียนพูดอย่างใจแข็ง……ใช่ มันโหดร้าย เธอรู้ว่าเธอโหดร้ายมาก

แต่นาทีนี้เธอยอมที่จะโหดร้ายกับเจี่ยนถง ก็ไม่ยอมเห็นเธอต้องทนทุกข์ทรมานในวันข้างหน้า

ผู้หญิงคนนี้สามารถเป็นที่น่าภูมิใจของคนทั้งโลกตั้งแต่เกิด มีชื่อเสียงอันทรงเกียรติ แต่ต้องคอยลิ้มลองความลำบากที่สุด

ไม่ควร

โชคชะตาไม่ควรเอาความทุกข์ทั้งหมด ผสมผสานเป็นชีวิตของผู้หญิงคนนี้

ท่านแก่เจี่ยนเสียชีวิตไปแล้ว……เพราะฉะนั้น เธออย่าเพ้อฝันอีกเลย

"นั่นเป็นสิ่งจอมปลอมทั้งนั้น" วิเวียนกัดฟันแน่น พร้อมใจแข็งพูดต่อ

เธอยอมเป็นคนที่ทำร้ายเจี่ยนถง แต่ไม่ใช่เสิ่นซิวจิ่นในวันข้างหน้า……เธอกลัวผู้หญิงคนนี้จะเป็นบ้าเอาได้

"เธอก็บอกแล้วว่าตอนนี้เขาไม่ได้สติ ไม่มีสติปัญญา ไม่ใช่คนปกติ

เธอก็บอกแล้วว่าเสิ่นซิวจิ่นในนาทีนี้ ไม่ใช่เสิ่นซิวจิ่นตัวจริง

เสี่ยวถง เสิ่นซิวจิ่นตัวจริงไม่ทำแบบนี้กับเธอเหรอก ในใจเธอรู้ดีที่สุด ไม่ใช่เเหรอ?"

สีหน้าของวิเวียนยิ่งอยู่ยิ่งซีด ใช่ เธอใจสั่น เพราะนาทีนี้สีหน้าของผู้หญิงที่นั่งอยู่บนโซฟา ทำให้เธออยากร้องไห้

แต่นาทีนี้เธอยอมให้ยัยโง่คนนี้เจ็บปวดใจ ก็ไม่ยอมให้วันข้างหน้ายัยโง่คนนี้ทนรับไม่ไหว

"ฉัน ฉันไม่มีใจให้เขาเหรอก……ฉันแค่ดูแลเขา รอให้เขาหายดีแล้ว รอเขาหายดีแล้ว……"

"พอเขาหายดีแล้ว เธอจะทำยังไง?"วิเวียนซักไซ้อย่างยกท่านข่มตน

"รอให้เขาหายดีแล้ว" เจี่ยนถงที่นั่งอยู่บนโซฟาได้ค่อยๆเงยหน้าขึ้น "เธอก็จะรู้เอง"

ไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติของเจี่ยนถง รวมถึงวิเวียนที่อยู่ตรงหน้า

เจี่ยนถงลุกขึ้น "อีกสองวันฉันจะเข้าบริษัท" ความหมายของคำพูดคือส่งแขก

วิเวียนเจ็บใจ จากนั้นได้ตะโกนเสียงดัง "เจี่ยนถง!พวกนั้นล้วนเป็นสิ่งจอมปลอม!ทุกอย่างที่เขาทำในตอนนี้ล้วนเป็นสิ่งจอมปลอมทั้งนั้น!เป็นแค่ภาพลวงตา!เธอเข้าใจหรือเปล่ากันแน่?

เธออย่าสร้างความฝันแบบนี้ให้ตัวเองอีกเลยได้มั้ย!

ตอนที่ท่านแก่เจี่ยนอยู่ เธอคอยเอาอกเอาใจท่านสุดฤทธิ์ เธอพยายามทำทุกเรื่องให้ดี

ท่านแก่เจี่ยนแค่ชมเธอคำเดียว เธอก็เหมือนดีใจจนไม่รู้ควรจะทำยังไงดีแล้ว

เจี่ยนถง คนอื่นบอกว่าเธอมีความสามารถ แต่ใครจะไปรู้ว่าความสำเร็จแต่ละเรื่องที่ล้วนทำให้คนดูแล้วพึงพอใจสุดๆ ภายใต้แต่ละเรื่อง ล้วนเป็นงานที่เธอทำโอที และได้มาด้วยความพยายามที่มากกว่าคนอื่น?

แต่เจี่ยนถง ท่านแก่เจี่ยนนอกจากให้'กองทุนดวงหัวใจ'กับเธอ นอกจากชมเธอแล้ว เธอทำมาเยอะขนาดนั้น เธอเอาใจท่าน เพื่อแววตาชื่นชมของท่านแล้ว สิ่งที่เธอทุ่มเทออกไปเหล่านั้น–ท่านแก่เจี่ยนได้ให้อะไรกับเธออีก?

ได้ให้สิ่งที่เธออยากได้หรือเปล่า?

เธอได้สิ่งที่เธออยากได้หรือยัง?"

ในใจเจี่ยนถงเจ็บแปล๊บๆ ทันใดนั้นเธอวางถ้วยน้ำชาลง "แน่นอน!ฉันได้มาแล้ว!แค่พยายามก็จะสามารถได้รับ ทุ่มเทก็จะสามารถได้รับ!ฉันทำได้แล้ว คุณปู่ดีกับฉันมาก!"

เธอตื่นเต้นจนเสียงเปลี่ยน

"มันก็แค่หลอกตัวเองเฉยๆ 'ความดี'ของท่านแก่เจี่ยนล้วนมีค่าตอบแทนทั้งนั้น พอมาสุดท้าย เธอได้จริงๆเเหรอ?"วิเวียนซักไซ้

อารมณ์ของเจี่ยนถงแปรปรวนอย่างแรง "ฉันได้รับแล้ว!ฉันได้รับมันแล้ว!คุณปู่ดีกับฉัน!วิเวียน รบกวนเธอไปจากที่นี่ซะ!ตอนนี้ฉันเหนื่อยมากๆ ฉันจะพักผ่อน!"

อาจจะเพราะการถกเถียงของพวกเธอได้ล่อให้เสิ่นซิวจิ่นที่อยู่ในห้องนอนออกมา เสิ่นซิวจิ่นออกมาก็เห็นฉากตรงหน้านี้

ดวงตาของเจี่ยนถงแดงก่ำ เหมือนกำลังจะร้องไห้

ส่วนในห้องรับแขก มีแค่วิเวียนคนเดียว

เสิ่นซิวจิ่นวิ่งออกมาผลักวิเวียนอย่างไว "ออกไป คุณออกไป คุณเป็นคนร้าย คุณรังแกถงถง ผมจะตีคุณ"

ดวงตาของวิเวียนก็แดงก่ำเช่นกัน เธอรู้ว่าวันนี้เธอได้กระตุ้นผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้อย่างสิ้นเชิงแล้ว เธอหันไปจ้องเสิ่นซิวจิ่นที่มีสีหน้าระแวดระวังเธอแวบหนึ่ง……คนร้าย?

"ฉันเป็นคนร้าย?" สีหน้าเธอซีดเซียว พร้อมหัวเราะอย่างเศร้า ชี้คนโง่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความโกรธ "เสิ่นซิวจิ่น ถ้าโลกใบนี้ใครที่ไม่ดีกับยัยโง่คนนี้ที่สุด ก็คือนายนั่นแหละ!"

เธอพูดจบก็ได้หันหลังจากไป

รองเท้าส้นสูงเหยียบอยู่บนพื้น กระทบเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบออกมา……เธอก็กำลังวิ่งหนี

หนีออกจากบ้านของเจี่ยนถง

ยกมือเพี้ยะทีหนึ่ง–เธอตบหน้าตัวเองแรงๆฉาดหนึ่ง "เธอพูดแบบนี้กับเจี่ยนถงได้ยังไง!เธอน่าจะเข้าใจดีที่สุดว่านี่คือจุดชนวนของยัยโง่คนนั้น!"

จากนั้นก็ได้มองตึกสูงที่อยู่ข้างหลังอีกแวบหนึ่ง พร้อมยกแขนขึ้นมาเช็ดตาอย่างแรงทีหนึ่ง

บนตึก เสิ่นซิวจิ่นมองหน้าเจี่ยนถงพร้อมเดินไปข้างหน้า "ถงถงไม่ร้องนะ"

เจี่ยนถงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองคนคนนั้นแวบหนึ่ง จากนั้นก็ได้หันหลังพร้อมเดินเข้าห้องนอนด้วยฝีเท้าหนักหน่วง

และหันไปยังทางที่กลับกันพร้อมล็อกประตู

ด้านนอกมีเสียงบิดลูกบิดก้องมา "ถงถง ขอโทษ……"

ในห้องนอน ผู้หญิงนั่งอยู่ริมหน้าต่างของห้องนอนอย่างเงียบๆ นอกหน้าต่างมีไฟนีออนสีสันสวยงาม มีรถราวิ่งขวักไขว่ไปมา คึกคักมาก ชายหญิงที่มีมากมายหลากหลาย มองลงไปจากตึกสูงของบ้านเธอ ได้กลายเป็นจุดดำทีละจุด เหมือนมดตัวเล็กๆตัวหนึ่ง

แต่ละคนต่างก็ใช้ชีวิตของตัวเอง แต่ละคนคนราวกับต่างก็มีความสุขมาก แล้วแต่ละคนได้ซ่อนเรื่องราวอะไรไว้บ้าง

คนที่เดินเฉียดไหล่ไปคนนั้น บางทีเธออาจจะได้ผ่านความลำบากมาจนหัวใจตายด้าน

แล้วเธอล่ะ?

ตัวเธอเองล่ะ?

แล้วเธอกำลังใช้ชีวิตยังไง

คนคนนั้นยังเฝ้าอยู่ที่หน้าห้อง เธอรู้ว่านาทีนี้คนคนนั้นจะต้องกระสับกระส่ายแน่นอน พร้อมเดาอยู่ในใจไปมั่วซั่วว่าเขาทำอะไรผิดหรือเปล่า

มุมปากเผยรอยยิ้มที่ผิดหวังออกมา

ตุบ–

หมัดนั้นได้ชกไปที่กำแพงอย่างแรง เธอก้มหน้าก้มตัวลง ผมที่เงาดกดำบังศีรษะและใบหน้าไว้ ไหล่ที่สั่นเทา นาทีนี้ได้เผยความหมดหนทางและความเจ็บปวดของเธอออกมา สับสนและขัดแย้ง……วิเวียนพูดถูก ที่วิเวียนพูดไม่ถูก วิเวียนพูดถูก ที่วิเวียนพูดไม่ถูก……

ตกลงวิเวียนพูดถูกหรือเปล่า?

ตุบ–

ไปชกไปอีกหมัดหนึ่ง

"สิ่งที่ควรลืมกลับไม่ลืม สิ่งที่ไม่ควรลืมกลับลืมไปอย่างสิ้นเชิง ฮ่า~" แววตาเธอเต็มไปด้วยการเหน็บแนมที่ไร้ขีดจำกัด "กลั่นแกล้งคนเก่งจริงๆ"

ก็ไม่รู้ที่เธอพูดถึงคือโชคชะตาที่บัดซบนี้ หรือว่าคนร้ายที่ก่อเรื่องทุกอย่างนี้ขึ้น

"ถงถง ถวถงอย่าทำให้อาซิวตกใจสิ" คนที่อยู่หน้าห้องตะโกนอย่างร้อนรนใจ จากตอนแรกที่เคาะประตูมาถึงทุบประตู สุดท้ายได้เริ่มกระทืบประตู "ถงถง อย่าทำให้อาซิวตกใจสิ อาซิวสงสาร……"

แอ๊ด~

ประตูห้องนอนเปิดออกเงียบๆ เผยสีหน้าที่เรียบเฉยออกมา ริมฝีปากที่ซีดเหมือนท้องฟ้ายามพลบค่ำของผู้หญิง มีเลือดสีแดงเป็นวง เห็นได้ชัดเจนว่าเคยผ่านการกัดอย่างแรง

ถ้าถึงขั้นกัดริมฝีปากจนแดงเป็นวง จะต้องขัดขืนมากแค่ไหนเลย

เธอยกฝีเท้าและมองข้ามใบหน้าอันหล่อเหลาที่ร้อนรนใจและกังวลอยู่หน้าห้อง ในมือหอบผ้าห่มของเขาไว้

ทุกอย่างได้ฟื้นฟูกลับไปเมื่อก่อนอีกครั้ง

ผู้หญิงเดินไปที่ห้องรับแขกด้วยสีหน้าเรียบเฉยอย่างเงียบๆ นั่งอยู่บนโซฟาอย่างเงียบๆ ปูผ้าห่มเป็นสองชั้น

คนด้านข้าง ผู้ชายยืนอยู่ข้างๆอย่างกระวนกระวายใจ สีหน้าท่าทางที่ทำอะไรไม่ถูก ทำให้คนเห็นแล้วสงสารจับใจ

ผู้หญิงไม่ไปมองเขา

"ต่อไป ห้ามเข้าไปในห้องนอน"

คำพูดใจจืดใจดำได้ออกมาจากปากของเธอ

พริบตาเดียวคนคนนั้นก็ลนลานสุดขีด จับชายเสื้อของผู้หญิงที่กำลังอยากจะจากไปไว้แน่น พร้อมซักไซ้อย่างร้อนรนใจสุดๆ "ถงถง ถงถง อาซิวทำอะไรผิดหรือเปล่า ถงถงไม่ชอบอาซิวแล้วเเหรอ"

"ปล่อยมือ"

"ไม่ปล่อย"

คนคนนั้นส่ายหัวอย่างดื้อด้าน

ผู้หญิงก้มหน้ามองชายเสื้อตัวเองที่ถูกเขาฉุดดึงอยู่ในฝ่ามือ ไม่เคยไปครุ่นคิด ไม่เคยเหลือพื้นที่ว่างให้ตัวเองครุ่นคิด รูรั่วของในใจ ที่เติมเต็มเข้าไปล้วนเป็นรสขมขื่น คำพูดของวิเวียนวนเวียนอยู่ข้างหูของเธอ เหมือนกล่องดนตรีที่เก่าโทรม เล่นซ้ำรอบแล้วรอบเล่า

เธอยื่นมือดึงชายเสื้อตัวเองกลับอย่างเย็นชา แล้วก้าวเท้าเดินไปที่ห้องนอน

แววตาของผู้ชายที่อยู่ข้างหลังมีความวิตกกังวลแวบผ่าน เขาก้าวเท้าวิ่งตามไปโดยไม่คิดเลย

"ถงถง อาซิวทำอะไรผิด ถงถงบอกอาซิวสิ อาซิวจะแก้" ผู้ชายดึงแขนของผู้หญิงไว้แน่นอย่างวิตกกังวล

ผู้หญิงไม่พูดสักคำ ยกมือด้วยสีหน้าเฉยเมยพร้อมดึงนิ้วมือเขาออกทีละนิ้ว "อาซิวไม่ได้ทำอะไรผิด" สำหรับเธอแล้ว คนที่ทำเรื่องผิดคือคนที่ชื่อเสิ่นซิวจิ่น

แต่อาซิวก็คือเสิ่นซิวจิ่นนี่หน่า เธออยากละเลย ก็เหมือนที่เธอพูดกับวิเวียน เธอไม่อยากผลัก"ความอบอุ่น"ที่ชีวิตนี้น้อยเหลือเกินนี้ออก

แต่เธอกลัวนี่หน่า

เธอเดินเข้าห้องนอนอย่างใจจืดใจดำและเฉียบขาด"แกร๊ก"ล็อกประตูห้องนอนไว้ และล็อกประตูหัวใจไว้ด้วย

เธอเหลือไว้แค่ร่างเงาที่เด็ดขาดให้ผู้ชายที่อยู่หน้าห้อง หันหลังให้กับใบหน้าของคนคนนั้น แต่น้ำตากลับไหลลงมาอย่างไม่เอาไหน

ทำไมต้องร้องไห้ด้วย?

เธอไม่ไปคิด และไม่มีเรี่ยวแรงไปคิดอีกแล้ว

ก็ตามนี้เถอะ ก็ตามนี้เลย

ค่ำคืนนี้ ประตูบานหนึ่ง คนสองคน

ค่ำคืนนี้ จบอย่างเงียบงัน กลับทำให้ทุกอย่างแย่ลง

สำหรับเสิ่นซิวจิ่น นี่ไม่เพียงเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันทำให้ตกใจอย่างมาก

ตอนที่แสงแรกยามเช้าสาดส่องลงมา

เจี่ยนถงเปิดประตูอย่างเงียบๆ ร่างเงาหนึ่งได้ล้มเข้ามา

พอมองดูดีๆ คนคนนั้นนอนอยู่บนพื้น ครึ่งท่อนบนอยู่ในประตู ครึ่งท่อนล่างอยู่ตรงทางเดิน ตอนที่เธอมองเขา เหมือนคนคนนั้นจะสะดุ้งตื่น สายตาพร่ามัว พอเห็นว่าเป็นเธอ ได้กะพริบตาที่พร่ามัว พริบตาเดียวดวงตาเฉียบคมก็ดูสดชื่นขึ้นเยอะเลย "ถงถง"

คนคนนั้นเรียกอย่ากล้ำกลืนคำหนึ่ง พร้อมมองเธออย่างระมัดระวัง

ลมหายใจของเจี่ยนถงยุ่งเหยิงเล็กน้อย เธอหรี่ตา "เมื่อคืนนายนอนที่นี่?"

"เปล่า!" ด้วยความตื่นเต้นคนคนนั้นได้โต้แย้งเสียงดังทันที

แววตาเธอเย็นชา "โกหก"

"เปล่า……"

เธอหรี่ตาลงทันที

"คือ คือเมื่อคืนเข้าห้องน้ำแล้วง่วงเกินไป อาซิวไม่ได้จงใจไม่เชื่อฟังนะ" ในที่สุดคนคนนั้นก็ได้อธิบายเสียงเบา

เจี่ยนถงหลับตา และละเลยความเจ็บปวดในใจ

"ฉันจะไปทำงาน" เธอพูด "ฉันจะเอากุญแจบ้านส่งไปที่มือของซีเฉิน เดี๋ยวเขาจะพาหมอมาให้น้ำเกลือนาย นายอยู่บ้านอย่าวิ่งเถลไถลล่ะ ถ้าหิวก็ต้มบะหมี่กินเอง"

พูดจบก็ได้เดินก้าวเท้ายาวเดินเข้าไปในห้องน้ำ อาบน้ำเสร็จอย่างเร่งรีบ แม้แต่อาหารเช้าก็ไม่ได้ทาน พอเปลี่ยนชุดเสร็จก็ได้หยิบกระเป๋าออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว

เธอรู้ว่าสายตาของคนคนนั้นจ้องมองตัวเองอยู่ตลอดเวลา ในแววตาอบอวลด้วยหมอก ดูท่าเหมือนจะร้องไห้

เธอคอยเตือนตัวเองเสมอว่า อย่าไปดู เสิ่นซิวจิ่นยังไงก็คือเสิ่นซิวจิ่น คนคนนี้ เธอไม่รู้จัก

ไปถึงเจี่ยนซื่อกรุ๊ป ตอนที่วิเวียนเห็นเธอก็ยังรู้สึกตะลึงเลย "ทำไมประธานเจี่ยนถึงมีเวลา……"

"คุณเอาแผนการดำเนินงานที่ร่วมงานกับคุณคาย์อันมาหน่อย ฉันยังมีรายละเอียดต่างๆที่ต้องพิจารณาดูใหม่"

"แต่ว่า……"

"ถ้าเป็นการแก้ไขแผนการดำเนินงานที่ทำให้ผู้ร่วมทุนทั้งสองฝ่ายสามารถได้รับผลประโยชน์ที่มากกว่า ฉันว่า อีกฝ่ายก็จะยินดีอย่างยิ่งเหมือนกัน วิเวียน บนโลกใบนี้ ไม่มีใครปฏิเสธเงินที่มากกว่าเหรอก"

วิเวียนช็อก!

นี่ไม่ใช่สไตล์ของเจี่ยนถงแน่นอน!

สำหรับเงิน ทุกคนย่อมชอบอยู่แล้ว

แต่เธอรู้ สำหรับยัยโง่อย่างเจี่ยนถงแล้ว เห็นผู้ชายคนนั้นสำคัญกว่า ไม่งั้นจะมาตกอยู่ในสภาพอย่างวันนี้ได้ยังไง

"ได้ค่ะ……โอเคค่ะ!" เธอพูดอย่างอ้ำอึ้งจบก็ได้หันหลังจากไป

คนที่บอกว่าจะดึงเจี่ยนถงออกมาจากวังวนนั้นคือตัวเธอเอง แต่นาทีนี้ฟังยัยโง่คนนั้นพูดเรื่องที่เกี่ยวกับเงินและผลประโยชน์ทีละถ้อยคำ เธอกลับไม่รู้จะทำยังไงดี

อยู่ในออฟฟิศของเธอ เธอเพิ่งเข้าไปก็ได้โทรศัพท์หาซูเมิ่ง

เพราะความสัมพันธ์ของเจี่ยนถง เธอได้รู้จักกับซูเมิ่ง ซูเมิ่งผู้หญิงคนนี้พิเศษมาก เป็นนักธุรกิจที่ร่าเริงแจ่มใสและเฉลียวฉลาด ผู้หญิงที่ปลิ้นปล้อนแต่มีความเป็นผู้หญิง เสน่ห์เย้ายวนก็ไม่เพียงพอที่จะบรรยาย พวกเธอเจอกันครั้งแรกก็มีความรู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนกันมานานแล้ว

"ฉันทำผิดหรือเปล่า?" วิเวียนคอยถามอย่างอ้ำอึ้ง "ฉันมโนเกินไปหรือเปล่าว่าสิ่งที่ฉันคิดถึงจะถูกต้อง?แต่ฉันแค่ไม่อยากให้เธอเจ็บช้ำใจอีกเฉยๆ!"

ซูเมิ่งพูด "พี่ไม่รู้รายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พี่คิดว่าเรื่องบางเรื่อง ใครก็ไม่ควรไปก้าวก่าย แต่ไม่ว่าเธอพูดอะไรกับยัยโง่คนนั้น ตอนนี้ หล่อนเป็นคนเลือกเอง เธอพูดแล้วหล่อนฟัง เธอพูดแล้วหล่อนไม่ฟัง นี่ล้วนเป็นการตัดสินใจของหล่อน"

แขกไม่ได้รับเชิญท่านหนึ่งบุกเข้ามาที่ออฟฟิศของเจี่ยนถง

ในเวลาที่เหมาะสม ออฟฟฟิศของเธอยังมีผู้ร่วมพันธมิตรอยู่ท่านหนึ่ง

ปัง–เสียงหนึ่ง

คนคนหนึ่งบุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว ด้านหลังยังมีเลขาของผู้จัดการทั่วไปตามมาห้ามปราม "คุณผู้ชายท่านนี้คะ คุณเข้าไปไม่ได้นะคะ ประธานเจี่ยนยังมีลูกค้าคนสำคัญอยู่ด้านในนะคะ"

ในออฟฟิศ หลังจากได้ยินเสียงแล้วสายตาของทั้งสองต่างก็หันไปมองที่หน้าห้อง

เจี่ยนถงเห็นคนที่มาแล้วได้เม้มปากเล็กน้อย

"ขอโทษค่ะ ประธานเจี่ยน คุณผู้ชายท่านนี้ดันจะบุกเข้ามาให้ได้ค่ะ……" เลขาอธิบายอย่างละอายใจ

"พี่มาได้ยังไง?" เจี่ยนถงถามไปที่ทิศทางประตูอย่างเรียบเฉย

"ทำไมพี่จะมาไม่ได้?"คนที่มามีสีหน้าซีดเซียว ใต้ตาดำคล้ำ "แล้วก็"เขาของขึ้นใส่เลขาที่อยู่ข้างๆ "แหกตาดูดีๆด้วยว่าฉันคือใคร"เลขาถูกร้ายกาจของแววตาเขาทำเอาตกใจจนตัวสั่น "ขอ ขอโทษค่ะ……"

เจี่ยนถงขมวดคิ้วทีหนึ่ง แล้วพยักหน้าให้เลขา "เธอออกไปก่อน" พอเลขาหายใจหอบอย่างตัวสั่นงันงกราวกับ

ได้รอดตายจากสถานการณ์อันตราย ได้ตอบว่า"ค่ะ" ตอนที่หันหลังจากไป เจี่ยนถงมองคนที่มาแวบหนึ่งแล้วได้ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นได้เรียกเลขาไว้ "เดี๋ยวก่อน"

"ประธานเจี่ยน ยัง ยังมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?"

เธอเป็นนักศึกษาที่เพิ่งเรียนจบปีนี้ สามารถเข้ามาทำงานที่บริษัทใหญ่โตขนาดนี้ เดิมทีก็เห็นคุณค่ามากอยู่แล้ว

แต่วันนี้เธอกลับขัดขวางไม่ให้แขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาไม่ได้ กลัว ประธานบริษัทจะหาว่าเธอว่างานง่ายๆแบบนี้ก็ทำได้ไม่ดี ตั้งแต่เมื่อกี๊ก็เริ่มกระวนกระวายใจอยู่ตลอดเวลา

แววตาของเจี่ยนถงมีความเข้าใจ เธอหลุบตาเล็กน้อย "เธอไปเตรียมน้ำเปล่าแก้วหนึ่ง แล้วยกเข้ามา"

"ได้ค่ะ ประธานเจี่ยน"

เลขายกฝีเท้าจะไป ด้านหลังได้พูดขึ้นอีกว่า "แล้วก็ ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้ ฉันไม่ไล่เธอออก แค่เพราะเธอปล่อยพี่ชายฉันเข้ามาในออฟฟิศเหรอก"

เลขาตอบ"ค่ะ"อย่างเซ่อๆคำหนึ่ง ผ่านไปห้าวินาที เธอเกือบจะร้องออกมาว่า……พี่ชายของประธานเจี่ยน???

ทันใดนั้นเธอหันไปมองผู้ชายที่ป่วยออดๆแอดๆด้วยจิตใต้สำนึก ได้ถูกสายตาร้ายกาจนั้นทำเอากลัวจนรีบออกไปจากออฟฟิศอีก

สีหน้าของเจี่ยนโม่ป๋ายดูแย่มาก

เจี่ยนถงลุกขึ้น "ทำไมไม่พักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล?"

"พักฟื้น?" เจี่ยนโม่ป๋ายเผยความเหน็บแนมออกมา "ขืนฉันพักฟื้นต่อก็ไม่มีชีวิตอยู่ต่อแล้ว"

เจี่ยนถงฟังแล้วยักคิ้วเล็กน้อย แต่พริบตาเดียวก็ได้กลับคืนสู่ความสงบ พร้อมเปิดปากพูดอย่างอ่อนโยน "โรงพยาบาลเป็นที่ช่วยชีวิตคนใกล้ตายและรักษาผู้บาดเจ็บ"

เจี่ยนโม่ป๋ายกัดฟันแน่น จ้องเจี่ยนถงด้วยความโกรธแวบหนึ่ง "เธอรู้ว่าทำไมพี่ต้องมาที่นี่ โรงพยาบาลช่วยพี่ไม่ได้"

"ถ้าหมอก็ยังช่วยพี่ไม่ได้ งั้นพี่วิ่งมาที่นี่ก็ยิ่งเปล่าประโยชน์เลย"

เจี่ยนถงพูดอย่างเรียบเฉย

เจี่ยนโม่ป๋ายมองไปอย่างหนักใจ แววตาลึกๆมีความโกรธและความเฉียบขาด "เธอจะทนเห็นพี่ตายก็ไม่ช่วยจริงๆเเหรอ?"

เขาจะไม่รออีกต่อไป ช่วงที่ทำคีโม ผมของเขาได้ร่วงเป็นกำๆ เมื่อก่อนเขาเกลียดการใส่หมวกที่สุด ตอนนี้กลับต้องทำเรื่องที่เมื่อก่อนเกลียดที่สุด

แถมยังลาจากยาเหล่านั้นไม่ได้ด้วย

เขาจะไม่ใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นผู้ไม่เป็นคนอีกแล้ว ทุกคืนล้วนไม่กล้านอนหลับ กลัวว่าวันรุ่งขึ้นจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก

เขาเกลียดฟ้าเบื้องบนช่างไม่ยุติธรรมเลย

ทำไมต้องให้เขาป่วยเป็นโรคนี้ด้วย!

หางตาของเจี่ยนถงมองไปที่คาย์อัน เฟโรกิ–พันธมิตรที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะทำงาน

เธอไม่อยากหารือเรื่องนี้กับเจี่ยนโม่ป๋ายต่อหน้าคนนอก

"พี่กลับโรงพยาบาลไปก่อน เดี๋ยวคืนนี้ฉันไปเยี่ยมพี่ที่โรงพยาบาล"

มีเรื่องอะไร ถึงจะแตกคอกัน ก็แตกคอต่อหน้าคนนอกไม่ได้มั้ง

แต่เจี่ยนโม่ป๋ายในนาทีนี้ได้ถูกเรื่องฝังใจของความตายปกคลุมอยู่เป็นเวลานาน เขาหวาดผวามาเป็นเวลานาน คอยทนรับกับความเจ็บป่วย ทำให้จิตใจเขาไม่สามารถคิดพิจารณาเรื่องที่นอกเหนือจากความเป็นความตายอีก

"เธออย่าคิดจะหลอกให้พี่ไปเลย เสี่ยวถง เธอแค่บอกมาคำเดียว จะทนเห็นพี่ชายแท้ๆของตัวเองตายโดยไม่ช่วยเหลือจริงใช่มั้ย!" เขาต้องการคำตอบ เขาจะไม่รออีกแล้ว เขาไม่อยากตาย เขายังหนุ่มยังแน่นขนาดนี้

เจี่ยนถงเหมือนคนไม่มีปาก ไม่พูดไม่จา

เจี่ยนโม่ป๋ายมองแล้วมองอีก ได้สบตากับแววตาใสสะอาดแต่แน่วแน่ของเธอ

ตั้งนานแสนนาน

เขาโซซัดโซเซราวกับทนไม่ไหวอีกต่อไป ได้ถอยหลังไปครึ่งก้าวพร้อมมองเจี่ยนถงอย่างสิ้นหวัง "พี่เข้าใจแล้ว" เขาหันหลังดึงประตูออฟฟิศออก และก้าวเท้าเดินจากไป นาทีที่หันหลัง เจี่ยนโม่ป๋ายได้พูดอย่างเฉียบขาดว่า "เจี่ยนถง เธอเป็นคนเลือกเอง อย่ามาโทษพี่นะ!"

เจี่ยนถงรู้สึกประหลาดใจ เลขาได้เอาน้ำมาเสิร์ฟ และขวางทางของเจี่ยนโม่ป๋ายไว้ "น้ำ……"

เพรี๊ยง~เจี่ยนโม่ป๋ายยื่นมือปัดทิ้งโดยไม่ได้คิด "ไสหัวไป!"

"อ๊า ร้อนจังเลย"

เจี่ยนถงอารมณ์ขึ้น "เจี่ยนโม่ป๋าย พี่ชักจะเกินไปแล้วมั้ง เอาเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาระบายอารมณ์ นับเป็นคนตระกูลเจี่ยนประสาอะไร"

จู่ๆเจี่ยนโม่ป๋ายที่อยู่ด้านหน้าได้หยุดลงมา หันหลังจ้องเจี่ยนถงด้วยสีหน้าเยาะเย้ย "ใช่ พี่ไม่เหมือนคนตระกูลเจี่ยน เธอเหมือนคนตระกูลเจี่ยนที่สุด เหอะๆ" เขาหัวเราะอย่างเย็นชา พร้อมเงยหน้ามองสำรวจดูรอบๆ "ตอนนี้พี่ใกล้ตายแล้ว เจี่ยนซื่อกรุ๊ปก็เป็นของในกระเป๋าเธอแล้ว เธอพอใจหรือยัง"

ระหว่างที่พูด เขาตระหนักได้ในทันที "พี่เข้าใจแล้ว"จู่ๆเขาได้ชี้ไปที่เจี่ยนถง "พี่เข้าใจแล้วว่าทำไมจับคู่สำเร็จทุกอย่าง แต่เธอกลับไม่ยอมบริจาคไขสันหลังให้พี่สักที"

เจี่ยนโม่ป๋ายเผยรอยยิ้มที่ขี้โกงออกมา "เจี่ยนถง พี่ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ที่จริงลึกๆเธอคงจะแอบดีใจมากเลยสินะ ที่จริงเธอแทบอยากจะให้พี่ตายเร็วๆ ถ้าพี่ตายไป เธอก็สามารถยึดครองทุกอย่างของตระกูลเจี่ยนอย่างแท้จริงแล้ว เจี่ยนถง เธอเป็นหมาป่าตัวหนึ่งชัดๆ!พี่ดูเธอผิดไปแล้ว!"

เจี่ยนถงยืนอยู่ที่หน้าประตูของออฟฟิศ เธอได้ปล่อยมือของเลขา ทิศทางที่ห่างกันประมาณหกเจ็ดเมตร เธอมองไปยังคนที่อยู่สุดทางเดินคนนั้น นอกจากเสิ่นซิวจิ่นแล้ว นี่ก็คือใบหน้าของเพศชายที่เธอคุ้นเคยที่สุดแล้ว

พวกเขาโตมาด้วยกัน จากนั้น พอวันนี้เขากลับบอกว่าเธอคือหมาป่าตัวหนึ่ง!

เธอมองผู้ชายที่อยู่สุดทางเดิน ร่างกายสั่นไปทั้งตัวอย่างควบคุมไม่ได้

บนไหล่ มีฝ่ามือใหญ่คอยจับไหล่เธอไว้เบาๆอย่างปลอบโยน "เสี่ยวถง ไม่เป็นไร ผมเชื่อคุณ"

คาย์อัน เฟโรกิจับไหล่ของเจี่ยนถงไว้พร้อมปลอบโยนเบาๆ ทีแล้วทีเล่า

เหมือนทีนี้ เจี่ยนโม่ป๋ายถึงพบว่าในออฟฟิศของเธอยังมีผู้ชายอีกคนอยู่ สายตาสำรวจอยู่ที่บนตัวคาย์อัน เฟโรกิ สุดท้ายสายตาได้หล่นอยู่ที่ใบหน้าของคาย์อัน เฟโรกิ บังเอิญได้ไปสบตากับดวงตาโหดเหี้ยมดั่งเหยี่ยวเข้า แค่แวบเดียว นาทีต่อมาก็ได้หลบสายตาที่น่ากลัวนั้นอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ

แต่ก็เจ็บใจไม่อยากแสดงความอ่อนแอออกมาต่อหน้าผู้ชายอีกคน จู่ๆได้เงยหน้าขึ้นพร้อมพูดประชดประชัน "คุณนึกว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างกายคุณคนนั้น เป็นผู้หญิงที่เรียบง่ายใสซื่อเเหรอ?คุณนึกว่าเธออ่อนแอต้องการๆปกป้องงั้นเเหรอ?เหอะๆ คุณดูสิเจี่ยนซื่อกรุ๊ปที่ใหญ่ขนาดนี้ เดิมทีตกเป็นของหลานคนโตแห่งตระกูลเจี่ยนอย่างฉัน ตอนนี้กลับไปตกอยู่ในมือของมัน พ่อของฉันถูกเธอบีบจนอายุที่ยังไม่ถึงวัยเกษียณ ก็ต้องใช้ชีวิตของวัยเกษียณแล้ว พวกเรายังเป็นคนในครอบครัวมันด้วยนะ มันยังใจร้ายกับพวกเราได้ขนาดนี้เลย คนนอกยิ่งไม่ต้องพูดถึง ฉันขอเตือนคุณเลยนะว่าระวังตัวหน่อย อย่าถูกมันหลอกเชียวนะ มันแสดงละครเก่งที่สุดเลย แม้แต่เสิ่นซิวจิ่นที่หยิ่งและโดดเดี่ยวของตระกูลเสิ่นคนนั้นยังถูกมันปั่นหัว……"เล่นเลย……

"เจี่ยนโม่ป๋าย!" หลังจากเสียงกรีดร้องที่แหลมและเศร้ารันทดผ่านไป เจี่ยนถงสั่นไปทั้งตัว มองผู้ชายที่อยู่สุดทางเดินด้วยใบหน้าซีดเซียว หลับตาลง ตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง อารมณ์ในแววตาได้นิ่งลงมา ไม่มีความอ่อนไหวอีก "ใช่ ฉันคือหมาป่า เจี่ยนโม่ป๋าย พี่ทายถูกแล้ว ฉันแอบดีใจและแทบอยากให้พี่ไปตายเร็วๆ ฉันกำลังแสดงละครอยู่ ตอนนี้เจี่ยนซื่อกรุ๊ปเป็นของฉันแล้ว พี่ไม่พอใจ?"

เธอเชิดคางไว้ พร้อมหัวเราะเยาะอย่างท้าทาย "ถ้าแน่จริง พี่ก็มาแย่งเจี่ยนซื่อกรุ๊ปไปจากฉันสิ!เหอะ~แต่เสียดาย พี่มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ทำไม?โกรธแล้วเเหรอ?โมโหแล้วเเหรอ?"

สีหน้าและแววตาเธอเปลี่ยนมาเย็นชา แม้แต่น้ำเสียงก็เย็นชาตามด้วย "ถ้าแน่จริง พี่ก็ใช้ชีวิตต่อไปให้ดีๆและอายุมั่นขวัญยืนสินะ"  

เจี่ยนโม่ป๋ายมองเจี่ยนถงด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราดจนกัดฟันกร่อน "เธอวางใจเถอะ!พี่จะทำให้ได้แน่นอน!"เขาพูด "พี่จะใช้ชีวิตต่อดีๆแน่นอน"หัวเราะอย่างเย็นชา "เธออย่ามาเสียใจภายหลังก็แล้วกัน!"

เจี่ยนถงมองร่างเงาที่เดินจากไปอย่างเด็ดขาดนั้น จนกว่ามองไม่เห็นร่างเงานั้นอีกต่อไป ฝืนทนทุกอย่างไว้ แล้วกวาดสายตามองรอบๆแวบหนึ่ง "ไม่มีอะไรแล้ว ไปทำงานของแต่ละคนกันเถอะ"

พริบตาเดียวลูกน้องในออฟฟิศก็หนีกระเจิงเหมือนนกที่แตกตื่น

พอหันหลังถึงเห็นเลขาที่โดนน้ำร้อนลวกมือ กำลังนั่งเก็บเศษแก้วอยู่บนพื้น

"ไม่ต้องเก็บแล้ว ฉันให้เธอหยุดงานครึ่งวันไปทำแผลที่โรงพยาบาล เรียกพนักงานทำความสะอาดมา……" ระหว่างที่เจี่ยนถงพูดได้คิดไปด้วยครู่หนึ่ง "ช่างเถอะ ไม่ต้องเรียกพนักงานทำความสะอาดมาแล้ว เธอไปโรงพยาบาลเลย"

เลขามองเจี่ยนถงอย่างซาบซึ้งในพระคุณ และกล่าวคำว่าขอบคุณรัวๆ "ขอบคุณประธานเจี่ยนค่ะ ขอบคุณค่ะๆ"

ความซื่อสัตย์ของเลขาคนนี้ ทำให้ใบหน้าที่แข็งกระด้างของเจี่ยนถงอดอ่อนโยนลงไม่ได้ "ไปเถอะ เดินทางระมัดระวังความปลอดภัยด้วย ไม่ต้องรีบร้อน ถ้าฝ่ายบุคคลถามขึ้นมา เธอก็บอกว่าฉันเป็นคนให้เธอหยุดงานเอง"

เลขาคนนั้นหันหลังเดินไป "ประธานเจี่ยนดีจังเลยค่ะ ไม่เหมือนที่คนอื่นพูดเลย"

เลขาพูดจบก็ได้เอามือกุมปากไว้ สีหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ……พูดแบบนี้ คงไม่ทำให้ประธานรู้สึกว่าเธอเป็นคนพูดจาลับหลังคนอื่นมั้ง เธอได้มองสำรวจเจี่ยนถงที่อยู่ด้านหน้าอีก กลับพบว่าเหมือนประธานเจี่ยนไม่ได้ยินคำพูดที่เธอพูดเลย ได้โบกมือให้เธอพร้อมยิ้มอ่อนๆ "รีบไปเถอะ"

"อืม!"ในใจเธอผ่อนคลาย ใบหน้าอ่อนเยาว์ได้เผยรอยยิ้มที่ชิวๆออกมา "ขอบคุณประธานเจี่ยนค่ะ" แม้แต่พูดจาก็เปลี่ยนเป็นร่าเริงแจ่มใสขึ้นมา

สายตาของเจี่ยนถงได้กวาดผ่านใบหน้าเยาว์วัยไร้เทียมทานนั้น ได้มีความใจกว้างของผู้อาวุโสมากขึ้น

ขณะนี้ถึงตระหนักได้ว่า ที่แท้ตัวเองอยู่ในเรื่องที่พัวพันกันไม่เลิกของหลายปีนั้น ได้แก่ลงเรื่อยๆแล้ว

รอบๆเงียบสงบลง ริมทางเดินก็ว่างเปล่า มองไปไม่เห็นร่างเงาของใครสักคนอีก ความรู้สึกเหนื่อยล้าที่คุ้นเคยได้คืบคลานเข้ามาหาอีกครั้ง แต่เธอยังจะผ่อนคลายลงมาไม่ได้–เธอ ยังมีแขกอยู่

"คุณคาย์อัน วันนี้ต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะ ที่ให้คุณมาเห็นภาพแบบนี้" เธอพูดอย่างละอายใจ เกรงใจแต่ก็ห่างเหิน

คาย์อัน เฟโรกิได้ยินแล้ว แสงในแววตาได้มืดมนลง……ยังใกล้ชิดเธอไม่ได้อีกเช่นเคยเเหรอ?

เขามองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ท่าทีที่เกรงอกเกรงใจแต่ห่างเหิน รอยยิ้มที่

พอเหมาะพอดี ดูแล้วอ่อนโยน แต่แท้จริงแล้วกลับมีความรู้สึกห่างเหินเล็กน้อย……เขา ชักจะคิดถึงเธอในสามปีก่อนแล้ว

"สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมของการร่วมงาน ความคิดเห็นของเจี่ยนซื่อกรุ๊ป เมื่อครู่ฉันก็ได้บอกคุณไปแล้ว คุณคาย์อันลองพิจารณาดูได้ค่ะ การร่วมงานหลังจากเพิ่มรายละเอียดแล้ว จะทำให้เราทั้งสองฝ่ายได้รับผลประโยชน์มากขึ้นเป็นสองเท่าเลยค่ะ"

แววตาของคาย์อันยิ่งอยู่ยิ่งผิดหวัง……เขาไม่อยากฟังงานที่เบื่อเน่านี้ พูดคุย……เกี่ยวกับชีวิตประจำวัน และต่างคนต่างพูดคุยถึงเรื่องตัวเองบ้างไม่ได้หรือไง?

"ผู้ชายคนเมื่อกี๊ เป็นลูกชายคนโตของตระกูลเจี่ยนใช่มั้ยครับ" คนคนนั้นย่อมเป็นลูกชายคนโตของตระกูลเจี่ยนอยู่แล้ว เมื่อกี๊อีกฝ่ายก็ได้พูดถึงฐานะของเขาแล้ว ที่คาย์อันอยากพูดคือ "เจี่ยนโม่ป๋าย ผมเคยได้ยินอยู่ เห็นก่อนหน้านี้เขาป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวใช่มั้ยครับ?"

ถึงแม้คือกำลังถามเจี่ยนถง แต่กลับเป็นน้ำเสียงที่บอกเล่า

คนที่อยู่ในวงในของเมืองSมีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าช่วงนี้ตระกูลเจี่ยนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง?

รวมถึงเจี่ยนโม่ป๋ายป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย

และรวมไปถึงเจี่ยนซื่อกรุ๊ปเปลี่ยนเจ้าของ

เจี่ยนถงไม่ได้พูดต่อจากเขา เธอหลุบตาลงและเงียบกริบ คอยฟังด้วยท่าทีที่อ่อนโยน

คาย์อัน เฟโรกิย่อมสังเกตเห็นปฏิกิริยาของเธออยู่แล้ว มุมปากมีรอยยิ้มที่ขมขื่น……เธอฉลาดมากจริงๆ

ไม่ตอบคำถามเขา ก็แสดงว่าปฏิเสธที่จะคุยประเด็นนี้ต่อ

"เสี่ยวถง" จู่ๆเขาได้ยื่นมือมากุมฝ่ามือของเจี่ยนถงไว้ "เสี่ยวถง ไม่ว่าเขาพูดอะไร ผมก็เชื่อใจคุณ" คาย์อันแสดงออกอย่างเคร่งขรึมและมีความรู้สึกนับถือสุดๆ

เจี่ยนถงไม่ได้ขัดขืนออกจากฝ่ามือของอีกฝ่ายในทันที สายตามองลงไปด้านล่าง เคลื่อนย้ายลงไปทีละคืบ และได้หยุดอยู่บนฝ่ามือที่เธอถูกกุมเอาไว้ เงียบสงัด เงียบจนแม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังสามารถได้ยิน

ทันใดนั้น เธอเผยรอยยิ้มอ่อนๆออกมาอย่างไร้เสียง แววตาที่ใสสะอาด ดูไม่ออกเลยว่ามีอารมณ์อ่อนไหว ไร้สุขไร้ความชื่นมื่น มีแค่ดวงตาที่ใสสะอาด "ขอบคุณมากค่ะ"

คำพูดที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ว่องไวเฉียบขาด

แม้กระทั่งไม่มีคำพูดที่เกินเลยสักคำ

แต่กลับทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของคาย์อันได้ค่อยๆตึงเครียดขึ้น มือข้างที่กุมฝ่ามือเธอไว้ได้กุมแน่นยิ่งขึ้น เหมือนของที่อยู่ในฝ่ามือเขากำลังจะบินจากไป ความลนลานใจที่อธิบายไม่ได้ เขาแค่อยากออกแรงกุมสิ่งที่อยู่ในฝ่ามือไว้ให้แน่นยิ่งขึ้น

เจี่ยนถงขมวดคิ้วเล็กน้อย……เจ็บ เขาใช้แรงมากเกินไป

ฝ่ามือถูกกุมจนเจ็บ เธอกลับไม่มีท่าทีแข็งกร้าวที่จะไปปัดออก

ยิ่งไม่ได้ร้องคำว่า"เจ็บ"ออกมาสักคำ

ไม่มีความจำเป็น ไม่ใช่เเหรอ?

ในใจมีความเยาะเย้ยตัวเองเสี้ยวหนึ่ง

แววตามีความสงสารเพิ่มมากขึ้น ไม่รู้ว่ามองไปยังคาย์อัน เฟโรกิที่อยู่ตรงข้าม หรือว่าสงสารตัวเธอเอง

คาย์อัน เฟโรกิตัวสูงมาก โครงกระดูกของชาวต่างชาติค่อนข้างใหญ่กว่า คาย์อัน เฟโรกิที่สูงใหญ่ ทำให้เธอมีความรู้สึกว่าตัวเองเล็กมาก มีภาพลวงตาที่ต้องการๆปกป้อง……แต่ นั่นเป็นแค่ภาพลวงตาเฉยๆ

เธอแหงนหน้าขึ้น พร้อมเผยรอยยิ้มที่ชิวๆออกมา "คุณคาย์อัน ขอบคุณความเชื่อใจของคุณค่ะ" เสียงของเธอ ผ่อนคลายแต่ไม่มีอารมณ์ที่มากกว่า

ฝ่ามือของคาย์อันได้กุมแน่นด้วยจิตใต้สำนึกอีกครั้ง อารมณ์แปลกๆที่เกิดขึ้นในใจเขายิ่งอยู่ยิ่งเยอะ เยอะจนเขาเองก็อธิบายไม่ได้ว่าทำไมนาทีนี้ถึงได้หงุดหงิดและกระวนกระวายใจ

เขากุมฝ่ามือของผู้หญิงให้แน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่ว่ายิ่งกุมแน่นเท่าไหร่ ในใจยิ่งรู้สึกว่างเปล่า

รู้สึกเหมือนมีของบางอย่างสัมผัสไม่ได้อีกจริงๆ

ไม่……เขาปล่อยมือในทันที

สีหน้าเคร่งขรึม "แผนการดำเนินงานที่ประธานเจี่ยนเสนอมา ผมจะลองพิจารณาอย่างจริงจังครับ วันนี้ผมยังมีธุระต่อ ขอตัวก่อนนะครับ" ไม่รอให้เจี่ยนถงตอบ เขาก็ได้ก้าวเท้าเดินออกไปข้างนอกแล้ว

ร่างเงานั้นเดินไปอย่างรวดเร็วและเร่งรีบ เหมือนหนีเตลิดเปิดเปิงยังไงอย่างงั้น

เจี่ยนถงใช้สายตาส่งร่างเงานั้น จากนั้นได้ก้มมองฝ่ามือที่ถูกกุมจนแดงแวบหนึ่ง อุณหภูมิที่ร้อนระอุยังคงหลงเหลืออยู่ในฝ่ามืออีกเช่นเคย พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที สุดทางเดินก็ว่างเปล่าไม่มีคนแล้ว

ทันใดนั้นเธอได้ยิ้มมุมปากเบาๆ "ขอบคุณความเชื่อใจของคุณค่ะ"

เพียงแต่ ไม่จำเป็นอีกต่อไป

เธอหันไปที่อีกฝั่งของริมทางเดิน เดินไปยังทิศทางที่คาย์อันจากไปอย่างเชื่องช้า

ที่นั่น เป็นห้องน้ำของชั้นนี้

เธอเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างเชื่องช้าเดินเลี้ยวเข้าไปในห้องกั้นของห้องน้ำอย่างคุ้นเคย ดึงประตูออกเบาๆ แล้วหยิบไม้ถูพื้น ผ้าเช็ดทำความสะอาด ถังน้ำและไม้กวาดออกมาจากด้านใน

แต่ละคนมีด้านที่เชี่ยวชาญไม่เหมือนกัน–สามปีก่อน เธอก็คือพนักงานทำความสะอาดคนหนึ่ง

หยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดในห้องกั้นขึ้นมา เธอตักน้ำอย่างเชื่องช้าแล้วยกถังน้ำขึ้น บนไหล่มีผ้าเช็ดทำความสะอาดวางพาดอยู่ มืออีกข้างถือไม้กวาดและไม้ถูพื้นไว้ เดินออกมาจากห้องน้ำ อยู่ในริมทางเดินที่เงียบกริบนี้ได้ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าอย่างกะโผลกกะเผลก

เธอเดินเชื่องช้ามาก ไม่ได้รีบร้อนอะไรเลย

พอเดินมาถึงหน้าออฟฟิศของเธอ เธอได้วางถังน้ำลง และนั่งลงมาเก็บกวาดเศษแก้วบนพื้น และคราบน้ำบนพื้นอย่างเอื่อยเฉื่อยและคุ้นเคยสุดๆ

ลู่เชนมองหน้าเพื่อนรัก พร้อมกลับมาอย่างเร่งรีบด้วยฝีเท้ายุ่งเหยิง

"ข้างหลังมีผีตาม?" เขายักคิ้วสวยและพูดล้อเล่น

คาย์อัน เฟโรกิเดินอ้อมผ่านข้างกายของลู่เชนไป เดินมาถึงหน้าเคาน์เตอร์บาร์ ดึงประตูกระจกออก มองก็ไม่ได้มองก็หยิบวิสกี้ขึ้นมาขวดหนึ่งอย่างป่าเถื่อนเลย เปิดฝาขวดก็กรอกลงไปกรึ๊บใหญ่ แค่ไม่กี่วินาที เหล้าขวดใหม่ก็ดื่มไปครึ่งขวดแล้ว

ลู่เชนพุ่งมาอย่างไว พร้อมแย่งขวดเหล้าในมือคาย์อันไป "เหล้าไม่ใช่ดื่มแบบนี้"

คาย์อัน เฟโรกิหายใจแรงๆ กลิ่นเหล้าเข้มข้นได้ฟุ้งอยู่กลางอากาศ

ลู่เชนเห็นเขาไม่ได้ยึดติดกับเหล้าอีก จึงได้วางวิสกี้ในมือลง ถอยออกสองก้าวและมานั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวหนังแท้สีน้ำตาล "ไหนว่ามาซิ ทำไมถึงได้ว้าวุ่นใหญ่เลย?"

คาย์อันยืนอยู่ข้างเคาน์เตอร์บาร์ แขนยันอยู่บนเคาน์เตอร์บาร์ หลังมือก่ายหน้าผากไว้ รอบๆของเขาฟุ้งด้วยกลิ่นเหล้า ขนตาสีน้ำตาลสั่นเล็กน้อย ตั้งนานแสนนานก็ไม่ตอบ

ลู่เชนเป็นนักธุรกิจที่ชาญฉลาด ย่อมมากประสบการณ์และโหดเหี้ยมอยู่แล้ว แค่คำพูดเดียวก็หาจุดสำคัญเจอ "เลขาของนายบอกว่านายไปเจี่ยนซื่อกรุ๊ป" เขาสลับขามานั่งไขว่ห้างไว้ "นายถูกบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้"

คนที่ยืนอยู่ข้างเคาน์เตอร์บาร์ ไม่มีทีท่าจะพูดจาเลย

แสงในแววตาลู่เชนระยิบระยับ "เธอปฏิเสธนาย?"

คำพูดปกติคำนี้ กลับได้กระตุ้นคาย์อัน เฟโรกิ เขาเงยหน้าขึ้นมาทันทีแล้วตะคอกด้วยความโกรธ "เปล่า!"

ลู่เชนก่ายหน้าผากไว้ มองเขาพร้อมยิ้มอย่างเรียบเฉย

"ก็ได้……"คาย์อันพิงอยู่บนเคาน์เตอร์บาร์อย่างหมดอาลัยตายอยาก และพูดเยาะเย้ยตัวเอง "นายชนะแล้ว"

ลู่เชนยิ้มอ่อนๆ ความเข้าใจได้วับไปอย่างไว

ไม่นาน "แต่นายผิดไปแล้ว" ร่างกายของคาย์อันอ่อนระทวย รูปร่างที่สูงใหญ่ได้สไลด์มาที่เก้าอี้บาร์ของหน้าเคาน์เตอร์ พิงอยู่อย่างหมดเรี่ยวแรง "เธอไม่ได้ปฏิเสธฉัน ฉันยิ่งไม่ได้แสดงท่าทีกับเธอ"

ดวงตาเฉียบคมของลู่เชน มีความประหลาดใจแวบผ่าน "แล้วที่นายว้าวุ่น?"

"ตอนที่เรากำลังคุยเรื่องร่วมงานอยู่ ระหว่างนั้นเจี่ยนโม่ป๋ายได้บุกเข้ามา"

ลู่เชนยักคิ้วเล็กน้อย "พี่ชายของเธอ?ลูกชายคนโตของตระกูลเจี่ยน?"

คาย์อันพยักหน้า "ใช่ ก็เขานั่นแหละ"

"เขาควรจะอยู่โรงพยาบาลสิ เจี่ยนโม่ป๋าย คุณชายใหญ่ของตระกูลเจี่ยนเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว คนทั้งวงการต่างก็รู้กันทั้งนั้น"

"ใช่ เขาควรจะอยู่โรงพยาบาล" จู่ๆคาย์อันหัวเราะเบาๆทีหนึ่ง พร้อมพูดจาเหน็บแนมเล็กน้อย "ไม่มีใครไม่กลัวตายเหรอก"

พูดถึงตรงนี้ คนที่ฉลาด แค่ฟังคำนี้ก็เดาเรื่องที่เกิดขึ้นทีหลังได้แล้ว

บังเอิญ ที่ลู่เชนเป็นคนฉลาดพอดีเลย

ริมฝีปากบางยกขึ้นมาอย่างเซ็ง พร้อมลุกขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน "อ๋อ~เข้าใจแล้ว"

คำว่า"เข้าใจแล้ว"คำเดียว ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเกิดเรื่องอะไรขึ้น

"คงเพื่ออยู่รอดสินะ ถึงได้มาขอร้องน้องสาวเขาช่วยชีวิตของเขา……เหอะ~กล้าทำไปได้น้อ ทำไมไม่ลองคิดดูว่าร่างกายของน้องสาวเขาเป็นยังไงบ้าง ตัวเองยังจะเอาตัวไม่รอดเลย ยังบริจาคไขสันหลังให้เขาอีก?"

ในคำพูดของลู่เชนแฝงด้วยการประชดและการเยาะเย้ยเสี้ยวหนึ่ง "ตอนนี้กลับมาขอร้องคนอื่น ตอนนั้นมัวแต่ไปทำอะไรอยู่?"

"ตอนนั้น?"

คาย์อันไม่ค่อยเข้าใจ

สายตาของลู่เชนมองใบหน้าคมเข้มของคาย์อันที่เหมือนแกะสลักด้วยมีดอย่างมีความหมายลึกซึ้ง "ทำไม?นายไม่รู้เเหรอว่าเธอเคยติดคุก?"

คาย์อันพยักหน้า เรื่องนี้ย่อมรู้อยู่แล้ว

"งั้นนายก็ควรรู้สิว่าตระกูลเจี่ยนทอดทิ้งเธอในขณะที่เธอยากลำบากที่สุด อีกทั้งยังตัดขาดความสัมพันธ์กับเธออย่างสิ้นเชิง ตอนนี้เป็นไงล่ะ พอมีเรื่องให้คนอื่นช่วยก็หน้าด้านแบกหน้ามาหา ที่จริงเรื่องบางเรื่อง ขอแค่คนของตระกูลเจี่ยนมีน้ำใจหน่อย ให้ความสนใจกับเจี่ยนถงหน่อย บางทีเรื่องมากมายก็อาจจะสามารถหลีกเลี่ยงได้แล้ว อย่างเช่น ไตที่สูญเสียไป"

คาย์อันไม่ใช่คนเอเชีย แต่เห็นด้วยกับที่ลู่เชนพูด ไม่ว่าคนประเทศไหน เหตุผลต่างก็ไม่ค่อยต่างกันเหรอก

ขอแค่ตอนนั้นคนของตระกูลเจี่ยนเคยไปเยี่ยมผู้ต้องขัง ถึงแม้แค่ครั้งเดียว ก็จะรู้สถานการณ์ตอนนั้นของเจี่ยนถงแล้ว

อำนาจของตระกูลเสิ่นย่อมดูถูกไม่ได้อยู่แล้ว แต่ตระกูลเจี่ยนปักหลักอยู่ที่เมืองS ก็ถือได้ว่าเป็นตระกูลคนรวยที่ค่อนข้างเก่าแก่แล้ว ไม่นับว่าเป็นตระกูลสูงศักดิ์มีอำนาจ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีรากฐานเลย

ตอนนั้นขอแค่คนของตระกูลเจี่ยนไปเยี่ยมที่เรือนจำสักหน่อย ถึงแม้จะแค่ครั้งเดียวก็ตาม บางทีก็อาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องบางเรื่องได้แล้ว

"ที่แท้……ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วย" คาย์อันนึกถึงวันนี้ตอนที่อยู่ในออฟฟิศ ปฏิกิริยาตอนที่ผู้หญิงคนนั้นเผชิญหน้าเจี่ยนโม่ป๋าย จู่ๆเหมือนตระหนักได้อย่างสิ้นเชิงยังไงอย่างงั้น เขาได้เข้าใจอารมณ์ซับซ้อนจนเขาแทบจะดูไม่รู้เรื่องในแววตาเธอ

เธอซ่อนได้ดีมาก แต่ตอนนั้น เจี่ยนโม่ป๋ายชี้ฟ้าด่าดิน ตำหนิแค้นเคืองและด่าเธอ สมาธิของทุกคนล้วนจดจ่ออยู่ที่การด่าทออยู่ฝ่ายเดียวนี้ เสี้ยววินาทีที่ผู้หญิงคนนั้นหลุบตาลง เขากลับจับภาพได้อย่างชัดเจน ดวงตาคู่นั้นมีความซับซ้อนของอารมณ์เป็นพันเป็นหมื่นปะปนอยู่ด้วยกัน

เขามองลู่เชนอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ครุ่นคิดไปหลายวิ และแทบจะตัดสินใจออกมาในทันที–พูดเรื่องที่เกิดขึ้นในเจี่ยนซื่อกรุ๊ปอย่างสั้นกะทัดรัดแต่กินความครอบคลุมให้กับลู่เชนฟัง

"ฉันบอกว่าฉันเชื่อใจเธอ ไม่ว่าคนอื่นจะพูดยังไง"

ลู่เชนไม่ได้สรุปออกมา แต่ได้ถามอย่างเรียบเฉย "จากนั้นล่ะ?"

"เธอพูดกับฉันว่าขอบคุณ"คาย์อันบังศีรษะไว้อย่างหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ "ที่ฉันต้องการไม่ใช่คำขอบคุณของเธอ เพื่อนรัก นายไม่รู้ตอนที่เธอพูดคำว่าขอบคุณกับฉัน หัวใจฉันว้าวุ่นมาก แต่จนถึงตอนนี้ ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมตอนนั้นถึงได้ว้าวุ่นสับสน แม้กระทั่งจากไปอย่างเร่งรีบ"

คาย์อันไม่ได้สังเกตเห็น ลู่เชนรีบปกปิดความเจ็บปวดที่แวบผ่านแววตาไปอย่างไว

ฟึบ~

ทันใดนั้นเขาได้ลุกขึ้นมาอย่างแรง โซฟาหนังแท้ถูกสะเทือนจนเคลื่อนที่เล็กน้อย ลู่เชนยืนตัวตรงพร้อมยิ้มอย่างแข็งกระด้าง จ้องมองคาย์อันที่อยู่ฝั่งตรงข้าม "ฟังฉันนะ นายควรปล่อยมือแล้ว"

หนังตาของคาย์อันสั่น อ้าปากอยากถามว่าเพราะอะไร แต่ลู่เชนกลับได้หันหลังก้าวเท้าจากไปอย่างไวแล้ว

"ไม่!" คาย์อันลุกขึ้นมาจากเก้าอี้นั่งทันที พร้อมทั้งตะโกนใส่ร่างเงาของลู่เชนอย่างร้อนรนใจทันที "ฉันไม่เชื่อเหรอกว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาได้!"

ลู่เชนไม่ได้หยุดลงมา แค่หันหลังให้คาย์อัน ส่ายหัวเบาๆทีหนึ่งพร้อมยิ้มอ่อนๆ

"สามปีก่อน ฉันไม่ได้เชื่อใจเธอ ฉันมโนไปเองคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงแบบนี้ ได้ติดป้ายให้เธออย่างคิดเองเออเอง ลู่เชน คนจีนไม่ใช่บอกว่ารู้ผิดแล้วแก้ นับว่ายอดเยี่ยมเเหรอ?ตอนนี้ ฉันจะไม่อาศัยรักข้างเดียวของตัวเอง ไปติดป้ายและให้ข้อสรุปผู้หญิงคนนี้อย่างคิดไปเองอีกแล้ว ฉันเชื่อใจเธอ!ไม่ว่าคนอื่นจะพูดยังไง!"

เสียงที่แน่วแน่สุดๆของคาย์อัน ได้ก้องเข้าไปในหูของลู่เชน

ขาขวาที่ลู่เชนยกขึ้นมาอยู่กลางอากาศ ได้หยุดชะงักไปสามวินาที วินาทีต่อมาก็ได้ก้าวเท้าออกอีกครั้ง เขาหันหลังให้คาย์อัน เดินไปด้วยพร้อมพูดไปด้วย "เดี๋ยวนายก็รู้เอง"

เดี๋ยวนายก็รู้เอง……ส่วนนายจะรู้อะไร

ลู่เชนไม่ได้บอก

คาย์อันยังคงถูกลิขิตเอาไว้แล้วว่าจะเจอจุดจบที่แย่แบบนี้ ดูไม่ชัด ย่อมเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว……ก็เหมือน……ก็เหมือนเขาในตอนนั้น

มุมปากของลู่เชนเผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา

"เชน!" คาย์อันวิ่งตามออกไป และตะคอกอย่างร้อนรนใจ "นายพูดให้รู้เรื่องเลยนะ!ฉันจะรู้เรื่องอะไร?เชน!เพื่อนรัก!นายพูดให้รู้เรื่องก่อนค่อยไป!"

ความร้อนรนและความหงุดหงิดของคาย์อันได้ส่งให้ลู่เชนอย่างชัดเจน เขาหยุดฝีเท้าลงกะทันหัน ยืนหันข้างไว้ ลังเลไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "คาย์อัน เพื่อนรักของฉัน ถ้านายดึงดันจะให้ฉันให้คำแนะนำกับนาย งั้นฉันขอแนะนำนายว่า……ไปขอโทษอย่างจริงจังและจริงใจ จากนั้นก็อย่าไปเจอเธออีก"

ลู่เชนไม่ได้ไปสนใจคาย์อัน เฟโรกิที่ยืนเซ่ออยู่กับที่ เขาหันหลังเดินไปอย่างไว แค่หันหลังก็หายสาบสูญไปจากมุมเลี้ยว……คาย์อัน เพื่อนรักของเขายังตระหนักไม่ได้ว่า ความเชื่อใจและความเคารพของเขา เมื่อสามปีก่อนเป็นสิ่งที่ล้ำค่าสุดๆ เป็นสิ่งที่เจี่ยนถงอยากได้ใจจะขาด วันนี้หลังจากผ่านมาสามปี……เพื่อนรักคนนี้ของเขา คาย์อัน เฟโรกิ ได้ทำเรื่องที่โง่เขลาที่สุด–มักจะให้สิ่งที่สำคัญที่สุดผิดเวลา

ดังนั้น ก็เลยกลายเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ 

แบกร่างกายที่เหนื่อยล้าไปทั้งตัวไว้ รถของเจี่ยนถงได้ขับมาถึงใต้ตึกของที่พัก แต่กลับไม่ได้ไปจอดที่โรงจอดรถชั้นใต้ดิน เธอนั่งอยู่ในรถแต่ไม่ค่อยอยากลงจากในรถเลย เลื่อนกระจกรถลงครึ่งหนึ่ง ยื่นศีรษะออกมาเล็กน้อย พร้อมเงยหน้ามองขึ้นไปบนตึก

ไฟของห้องนั้นสว่างไสว

ก่อนที่เสิ่นซิวจิ่นมาจะพัก ส่วนมากที่นี่จะมืดสนิท

ตอนนี้ดีแล้ว แสงไฟสว่างไสว แสดงให้เห็นว่าในบ้านมีคนคนหนึ่งกำลังรอเธอกลับไป

แต่ทำไม เธอถึงได้รู้สึกต่อต้านขนาดนี้

วันนี้ผ่านไปอย่างโกลาหลมาก คาย์อัน เฟโรกิ เจี่ยนโม่ป๋าย จากสนามรบหนึ่งไปยังอีกสนามรบหนึ่ง บ้าน เป็นที่ที่เป็นส่วนตัวที่สุด แต่เธอกลับไม่รีบร้อนที่จะเข้าบ้าน

ช่วงเที่ยง ซีเฉินมาเอากุญแจกับเธอ ไม่ได้พูดจาสักคำ เอากุญแจเสร็จก็จากไปเลย กลับทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่สำคัญเลย ในสายตาแม้แต่คนโง่ที่มีสติปัญญาแค่แปดขวบก็ทนรับไม่ได้

เสียงโทรศัพท์ได้ดังขึ้นอย่างเร่งรีบในรถที่เงียบสงัด

เธอยื่นมือหยิบมา

"ออกมาดื่มแก้วหนึ่งสิ……เอ่อ……พี่ดื่มเหล้า เธอดื่มชา"

ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ เจี่ยนถงผ่อนคลายจิตใจที่ตึงเครียดด้วยจิตใต้สำนึก ใบหน้าเรียวเล็กเผยความดีอกดีใจออกมา "โอเคค่ะ ที่เดิม?"

"อืม ที่เดิม พี่รอเธอนะ"

พอคุยสายเสร็จ เจี่ยนถงได้วางมือถือลง บิดกุญแจรถ ลังเลไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยื่นศีรษะดูหน้าต่างบานที่เปิดไฟสว่างของบนตึก

เธอเม้มปากและใจแข็งเหยียบคันเร่งลงไป……ไม่ควรใจอ่อน อย่าไปใจอ่อน เขาอยู่บ้านไม่มีทางหายไปไหนสักหน่อย

รถได้จอดลงที่ไนท์คลับแห่งหนึ่ง ภายใต้การนำทางของพนักงานได้พาเธอมาถึงห้องที่หรูหรา

"มานั่งเร็ว ชาผูเอ่อร์ที่มาใหม่"

"พี่เมิ่งมีใจแล้วค่ะ รู้ว่าฉันชอบชาตัวนี้" เจี่ยนถงทำตัวสบาย พอเดินเข้ามาในห้องก็ได้วางกระเป๋าลง ถอดเสื้อคลุมออกแล้วนั่งลงไปเลย

"คนงานยุ่ง หญิงแกร่ง ช่วงนี้เป็นไงบ้าง?"

ซูเมิ่งพูดไปด้วย และรินชาให้เจี่ยนถงไปด้วย

เจี่ยนถงหัวเราะ "พี่เมิ่ง มีอะไรก็พูดมาตรงๆดีกว่าค่ะ คนงานยุ่งหญิงแกร่งอะไร ฉันฟังแล้วอึดอัด"

"เอาล่ะๆ ไม่แซวเธอแล้ว" ซูเมิ่งพูดตรงๆ "พี่ได้ยินมาเรื่องหนึ่ง"

"พี่เล่ามาเลยค่ะ"

"ยังจำเซียวเหิงได้มั้ย?"

เจี่ยนถงหลุบตาลงสงบเยือกเย็น "คุณชายใหญ่ของบริษัทเซียวซื่อกรุ๊ปใช่มั้ยคะ?"

ซูเมิ่งเป็นคนระดับไหน แค่ฟังน้ำเสียงของเจี่ยนถงก็เข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่อยากพูดถึงเซียวเหิง

เรื่องของสมัยก่อนยังเป็นหนามที่คอยทิ่มแทงใจจริงๆด้วย

"ใช่ ก็เขานั่นแหละ ช่วงนี้เขาปรากฏตัวอยู่ที่ไนท์คลับบ่อยมาก"

ไม่รอให้ซูเมิ่งพูดจบ เจี่ยนถงก็ได้พูดเบาๆ "คุณชายเซียวเป็นเพลย์บอยมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่แปลกเหรอกค่ะ"

ซูเมิ่งฟังแล้วกลอกตาไปมา แค่พริบตาเดียวก็เดาความคิดของเจี่ยนถงออกอย่างทะลุปรุโปร่ง พร้อมหัวเราะเบาๆ "เห็นได้ชัดเจนว่าเธอตกข่าว" ซูเมิ่งเขย่าเหล้าในมือเบาๆ "เชอะ"ไปคำหนึ่ง "เหอะ ประธานเจี่ยน ยังไงเธอก็เป็นถึงประธานใหญ่ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รู้ข่าวไม่เท่าทัน แบบนี้ไม่ได้เชียวนะ"

เจี่ยนถงไม่ได้ตอบคำถามเธอ ได้คอยจิบชาและรอคำพูดถัดไปของซูเมิ่ง

"หลายวันก่อน พี่เจอคุณชายเซียวที่ตงหวง คุณชายเซียวเจ้าชู้เสเพลน่ะมันไม่แปลกเหรอก แต่ถ้าเขาอยู่กับลู่หมิงชู ประธานลู่ล่ะ?"

เจี่ยนถงหลุบตาลง ขนตาสั่นเล็กน้อย "พี่มองเห็นอะไร?"

"เธอก็รู้ว่าพี่เป็นคนของBoss พี่ทำงานให้กับBossมาหลายปีแล้ว เมื่อเทียบกับพวกเสิ่นเอ้อ พี่ย่อมเทียบไม่ได้อยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาสัมผัสที่หกของผู้หญิงแม่นยำมาก"

ซูเมิ่งวางแก้วเหล้าในมือลงกะทันหัน "แกร๊ง"เบาๆเสียงหนึ่ง เสียงที่กระทบกับโต๊ะได้ทำให้ขมวดคิ้ว ซูเมิ่งเพ่งมองมาที่เจี่ยนถง "Bossเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า"

เจี่ยนถงไม่ทันตั้งตัว เศษชาในมือสั่นไปครู่ น้ำชาในเศษชาสั่นจนหยดอยู่บนโต๊ะหลายหยด สายตาของซูเมิ่งเคลื่อนไหวไปด้านล่าง สุดท้ายได้เผยแสงเยือกเย็นหล่นอยู่ที่บนน้ำชาที่สาดออกมาหลายหยดนั้น

"อย่าพูดจาเหลวไหล" เจี่ยนถงพูดเบาๆ

"เสี่ยวถง เธอรู้ดีอยู่ว่าพี่อยู่ในสถานบันเทิงมาตั้งนาน เมื่อก่อนเธอเองก็เคยอยู่สถานที่แบบนั้น เข้าใจเรื่องหนึ่งดีที่สุด–คนที่สามารถอยู่ในสถานที่แสงสีแบบนั้นได้ สังเกตสีหน้าและคำพูดเก่งที่สุด"

ซูเมิ่งชี้เจี่ยนถง "เธอ หลอกพี่ไม่ได้เหรอก"

เจี่ยนถงก้มหน้าไว้ มือสองข้างยังคงถือถ้วยน้ำชาไว้ สงบเยือกเย็นมาก ราวกับเวลาได้หยุดชะงักไว้

ซูเมิ่งไม่ได้ยกตนข่มท่านอีก แต่แค่จ้องเจี่ยนถงที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาเปล่งประกาย

ผ่านไปตั้งนาน

"ไม่มีเรื่องแบบนั้นเหรอก"

เจี่ยนถงแน่วแน่ไม่สั่นคลอน พร้อมพูดอย่างเรียบเฉย

เธอเชื่อใจซูเมิ่ง แต่กลับไม่สามารถเอาคนคนนั้นไปเสี่ยง

ก่อนหน้านี้นี่เอง ในใจเธอตระหนักได้จุดหนึ่งอย่างชัดเจน–เธอไม่ยอมเอาเขาไปเสี่ยง ไม่ยอมเลยสักนิด

เธอเชื่อใจซูเมิ่ง ถ้าเป็นเรื่องของเธอเอง เธอสามารถบอกซูเมิ่งได้อย่างหมดเปลือก

แต่เรื่องของคนคนนั้น เธอไม่อยากพูด

ถึงเธอไม่อยากยอมรับแค่ไหน แต่เมื่อครู่ก็ตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า–เธอสามารถเกลียดคนคนนั้น สามารถเคืองคนคนนั้น แม้กระทั่งสามารถแก้แค้นคนคนนั้นได้ แต่ไม่สามารถให้คนคนนั้นเจออันตราย

ซูเมิ่งไม่ได้ซักไซ้ต่อ เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง "เสี่ยวถง พี่แค่อยากบอกเธอว่าลู่หมิงชูไม่ใช่คนดีอะไร แต่ไหนแต่ไรเซียวเหิงไม่ชอบขี้หน้าลู่หมิงชู คนที่อยู่ในวงการทั่วทั้งเมืองSมีใครบ้างที่ไม่รู้ ตอนนั้นคุณชายเซียวกับลู่หมิงชูไม่ถูกกัน ต่างก็หมั่นไส้อีกฝ่าย อีกอย่างBoss……ก็ไม่ได้โผล่มาให้เห็นนานมากแล้วจริงๆด้วย"

หนังตาของเจี่ยนถงกระตุก แววตามีความระมัดระวังเสี้ยวหนึ่ง เธอเงยหน้ามองซูเมิ่งอย่างลุ่มลึก……แม้แต่ซูเมิ่งก็เริ่มดูออกว่าผิดปกติแล้ว แล้วท่านแก่เสิ่นล่ะ?

คุณท่านที่เก่งและชาญฉลาดคนนั้น เกรงว่าก็คงเกิดความสงสัยแล้วเช่นกัน

เธอได้มองซูเมิ่งอย่างลึกซึ้งอีกทีหนึ่ง ซูเมิ่งกลับเปลี่ยนประเด็นในเวลานี้

"Bossมีพระคุณกับพี่"

เธอหัวเราะเบาๆทีหนึ่ง กุมมือตัวเองไว้และวางอยู่บนโต๊ะ แววตามีอดีตผุดขึ้นมา ค่อนข้างเลือนลาง "พี่เป็นหนี้ชีวิตBossพี่ไม่ใช่คนเนรคุณ เจี่ยนถง ก่อนที่จะเจอเธอ พี่ไม่เคยฝ่าฝืนคำพูดและคำสั่งของBossแม้แต่คำพูดเดียว เธอเท่านั้นที่ทำให้พี่หน้าไหว้หลังหลอกกับเขา เธอรู้หรือเปล่าว่าเพราะอะไร?"

"พี่เคยบอกว่าฉันเหมือนพี่ในอดีต"

ริมฝีปากของซูเมิ่งเผยรอยยิ้มที่เศร้าหมองออกมา "ใช่ เธอเหมือนพี่ในอดีต แทนที่จะบอกว่าช่วยเธอ สู้บอกว่าช่วยตัวพี่เองดีกว่า พี่ช่วยเหลือเธอ ก็เหมือนได้ช่วยพี่ในอดีต ถึงแม้พี่รู้ดีว่าพี่ในสมัยนั้น ไม่ได้เพราะตอนนี้พี่ทำอะไรไป ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องเหล่านั้นได้ เจี่ยนถง พี่อยากให้เธอมีความสุข เหมือนกับที่พี่อยากให้พี่ในสมัยนั้นมีความสุข"

เจี่ยนถงไม่เคยเห็นด้านเศร้าโศกแบบนี้ของซูเมิ่งเลย ระหว่างที่หายใจมีแต่ความรู้สึกที่เสียใจ

"ที่จริงBossเขาแคร์เธอมาก แต่เขาแค่ไม่รู้ว่าอะไรคือความรู้สึก อะไรคือความรัก เขา……"

"พี่เมิ่ง!" เจี่ยนถงได้พูดขัดจังหวะซูเมิ่งทันที พร้อมกุมถ้วยน้ำชาในมือไว้แน่น "ที่พี่นัดฉันมาในวันนี้ ถ้าเพื่อมาพูดคุยจิบชาผ่อนคลายจิตใจ ฉันขอบคุณพี่มาก อย่างอื่น ฉันไม่อยากฟังเรื่องพวกนี้ค่ะ"

เจี่ยนถงหน้าซีดเหมือนกระดาษ ในแววตาแสนเจ็บปวด "เขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรทั้งชีวิตของฉัน รักเขา เป็นจุดเริ่มต้นของความผิด ฉันรักเขาแทบจะขาดใจ……ฉันถึงได้เอาครึ่งชีวิตของฉันแลกเข้าไปด้วย"

ทันใดนั้นเจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับเบ้าตาแดงก่ำ "พี่เมิ่ง ครึ่งชีวิตยังไม่พออีกเเหรอ?"  

ครึ่งชีวิตพอหรือเปล่า!

ซูเมิ่งอ้าปาก แต่ก็พูดอะไรไม่ออก

ความเจ็บปวดบางอย่าง คนอื่นบอกว่าผ่านไปแล้ว ล้วนผ่านไปแล้ว ทำไมยังต้องมาเจ้าคิดเจ้าแค้นอีก

ก็เหมือนทุกครอบครัวที่ซ่อนอยู่ใต้แสงไฟ ภายใต้แสงไฟเป็นหมื่นครอบครัว เรื่องราวมากมายของครอบครัวมากมาย

โดยทั่วไป คนที่ถูกรังแกถูกทำให้เสียใจ ยังต้อง"เป็นฝ่าย"ให้อภัยอีก

คุณดูสิ ฉันก็ขอโทษแล้ว ทำไมคุณยังมาเจ้าคิดเข้าแค้นอีก คุณนี่มันเจ้าคิดเจ้าแค้นจริงๆ คุณนี่มันใจแคบจริงๆ คนอย่างคุณนี่ไม่โอบอ้อมอารีเลย

จากนั้นคนที่มุงดูอยู่รอบๆก็มีท่าทีเด็ดเดี่ยวและองอาจผึ่งผาย คุณดูสิ เขาก็ขอโทษแล้ว คุณยังจะเอายังไงอีก?มีจิตใจเมตตาปรานีหน่อยไม่ได้เลยรึไง?

แต่ว่า ความเจ็บปวดเหล่านั้น มีแค่ตัวเองเคยประสบพบเจอมาแล้วเท่านั้น ถึงจะสามารถรับรู้ได้

ซูเมิ่งมองเจี่ยนถงที่จดจำบทเรียนที่เจ็บปวดในอดีตและตื่นตัวระวังตนในอนาคต เธออยากให้เด็กโง่ที่อยู่ตรงหน้าคนนี้มีความสุข

แต่เด็กโง่คนนี้ไม่ได้โง่จริงๆ เด็กโง่คนนี้มีสติกว่าใครๆทั้งนั้น และแน่วแน่กว่าคนไหนๆ ไม่งั้นซูเมิ่งไม่อาจจินตนาการได้เลย คนที่เคยประสบจากสวรรค์สู่นรก เพียงชั่วข้ามคืน ผู้คนต่างร้องไห้รุมตี หลังจากเคยประสบพบเจอเรื่องราวมากมายพวกนั้น จะมีสักกี่คนที่สามารถมีชีวิตอยู่ต่ออย่างไม่เคยเปลี่ยนความตั้งใจเดิม

แม้แต่ตัวเอง……ซูเมิ่งหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาแล้วกรอกเหล้าลงไปกรึ๊บหนึ่งอย่างไว

แม้แต่ตัวเธอเอง……ก็เปลี่ยนไปแล้วไม่ใช่เเหรอ?

เจี่ยนถงหยิบกระเป๋าขึ้นมา ตอนที่จะจากไป ได้มองซูเมิ่งอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง "พี่เมิ่ง พี่ว่าบนโลกใบนี้ มีใครบ้างที่เข้าใจใครจริงๆ?"

ถามได้แปลกประหลาด

ซูเมิ่งไม่เข้าใจ "เธอ……"

"บนโลกใบนี้ แม้แต่ตัวเองก็ใช่ว่าจะเข้าใจดีเลย" ซูเมิ่งมองผู้หญิงที่ยืนอยู่หน้าประตูกำลังพูดกับตัวเองด้วยสีหน้าสงบนิ่ง "พี่เมิ่ง Bossของพี่คิดไปเองว่าเข้าใจฉัน"

"……"ซูเมิ่งอ้าปาก ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าประเด็นยิ่งอยู่ยิ่งเข้าใกล้ไปสู่ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่บอกไม่ถูก มีความรู้สึกที่แปลกประหลาดจนอกสั่นขวัญแขวน

เธอมองหน้าประตู เห็นผู้หญิงคนนั้นยิ้มอ่อนๆ "เขาผิดแล้วค่ะ"

"แอ๊ด" ประตูเปิดแล้วปิด ในห้องVIP เหลือไว้แต่ซูเมิ่งยืนแข็งทื่ออยู่ข้างโต๊ะอย่างอกสั่นขวัญหาย ยังอบอวลด้วยกลิ่นหอมของชาผูเอ่อร์ นอกเหนือจากนี้ ราวกับไม่ได้ทิ้งร่องรอยที่เจี่ยนถงเคยมาเลย

หลังจากเจี่ยนถงจากไป ตั้งนานแสนนานซูเมิ่งก็ดึงสติกลับมาไม่ได้ ยืนอยู่เงียบๆ คอยทบทวนทุกถ้อยคำที่ผู้หญิงคนนั้นพูดก่อนที่จะจากไป

เธอรู้สึกอยู่เรื่อยเลยว่าเด็กโง่คนนั้นเหมือนได้ตัดสินใจอะไรเรียบร้อยตั้งนานแล้ว

เจี่ยนถงเดินออกมาจากไนท์คลับ สายลมยามดึกพัดอยู่บนตัว เธอดึงเสื้อคลุมให้แน่นขึ้น ตัวสั่นไปทีหนึ่ง ได้แหงนหน้ามองฟ้าแล้วพึมพำเบาๆ "หนาวจังเลย"

เด็กโบกรถได้ขับรถมาให้เธอ

"วางไว้เถอะ"

"ครับ คุณเจี่ยน"

เธอเรียกเด็กโบกรถที่กำลังจะจากไป "เดี๋ยวคุณขับรถไปจอดที่ลานจอดรถเลยนะ"

"แล้วคุณ?"

"วันนี้ฉันขี้เกียจขับรถแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาเอา"

"ได้ครับ คุณรอสักครู่นะครับ"

เด็กโบกรถไปแล้วกลับมาอีก พร้อมเอากุญแจรถคืนให้เจี่ยนถง

นานมากแล้วที่เธอไม่ได้นั่งรถไฟใต้ดินและเบียดรถเมล์

คืนนี้ เธออยากนั่งรถไฟใต้ดินและเบียดรถเมล์มาก

นาฬิกาข้อมือแสดงเวลา20:30ใกล้ค่ำแล้ว บนถนนยังคงมีผู้คนพลุกพล่านไปมาไม่ลดลงเลย

ผู้คนที่พลุกพล่านไปมา เสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยสนทนาต่างก็แว่วผ่านข้างหู

ในแววตาของผู้หญิงมีอารมณ์ที่ใกล้กับความอิจฉา

จากรถไฟใต้ดินเปลี่ยนมานั่งรถเมล์ ไม่ได้ขจัดความเหงาของเธอไปเลย ยังคงโดดเดี่ยวเดียวดายอีกเช่นเคย

ยังคง มีเรื่องหนักอกหนักใจอีกเช่นเคย

ยังคง หนีไม่พ้นกรงที่บัดซบนี้อีกเช่นเคย

โทรศัพท์มีสายเรียกเข้า–

เธอหยิบมือถือขึ้นมาดูรายชื่อของสายเรียกเข้า แววตาตึงเครียด นิ้วมือกดลงไป แววตามีความตื่นเต้นและความกังวล

"ขอโทษค่ะ คุณเจี่ยน พวกเราพยายามสุดความสามารถแล้วค่ะ"

เสียงของผู้หญิงที่อยู่ในสายพูดตามพิธีอย่างคล่องแคล่ว

"แต่หนึ่งสัปดาห์ก่อน พวกคุณบอกว่ามีคนที่เหมาะสมคนหนึ่งไม่ใช่เเหรอคะ?"

"ต้องขอโทษคุณเจี่ยนด้วยจริงๆค่ะ ทางเราได้ติดต่อคนคนนั้นโดยเร็วที่สุดแล้ว แต่ไม่บังเอิญเลย ตอนที่ทางเราหาคนคนนั้นเจอ คนคนนั้นได้เกิดอุบัติเหตุ เสียชีวิตไปแล้วค่ะ เพิ่งเสียชีวิตวันนี้ค่ะ เราพยายามสุดความสามารถแล้วค่ะ"

เจี่ยนถงกุมมือถือแน่นด้วยจิตใต้สำนึก "งั้น ครอบครัวเขามีคนที่เหมาะสมอีกหรือเปล่าคะ?"

"ขอโทษด้วยค่ะ" ผู้หญิงที่อยู่ในสายได้พูดตามพิธี

เจี่ยนถงเงียบกริบ

"คุณเจี่ยนคะ?คุณเจี่ยน?คุณโอเคมั้ยคะ?"

เจี่ยนถงดึงสติกลับมาได้ทันที "ไม่เป็นไรค่ะ สำหรับค่าตอบแทนของพวกคุณ ฉันจะโอนเข้าบัญชีที่พวกคุณให้มาอย่างไม่ขาดสักแดงเดียวค่ะ"

"คุณเจี่ยนวางใจได้ค่ะ ในเมื่อคุณมาหาถึงทางเรา ทางเราก็จะต้องทำให้สุดความสามารถแน่นอนค่ะ เชื่อว่าบนโลกใบนี้ คนที่จะสามารถจับคู่กับของพี่ชายคุณสำเร็จไม่ได้มีแค่คนเดียวแน่นอนค่ะ"

"โอเคค่ะ รบกวนพวกคุณแล้วค่ะ"

เธอพูดจบอย่างเรียบเฉย ในใจรู้ดีว่าโอกาสแบบนี้ ใช่ว่าบอกมีก็จะมี

ถึงจะมี แล้วเจี่ยนโม่ป๋ายยังจะรอไหวหรือเปล่า

วางมือถือลง เธอค่อยๆจับไปที่หลังของตัวเอง วิวทิวทัศน์ของนอกกระจกรถถอยหลังอย่างรวดเร็ว เธอมองวิวของด้านนอกไม่ชัด พร่ามัวไม่ชัดเจน ที่สะดุดตาที่สุดก็คือแสงสีของข้างถนน

หลับตาลงช้าๆ

ลงจากรถ

ระยะทางยังคงไกลจากที่พักเธออยู่ช่วงหนึ่ง

เธอเดินไปยังทิศทางนั้น เดินได้ช้ามากๆ สาเหตุที่เดินช้าย่อมมาจากขาไม่สะดวกอยู่แล้ว และในใจมีการต่อต้านด้วย

พอเดินเยอะเข้า ก็เริ่มปวดขาขึ้นมา

ด้านหลังมีสายลมหนาวพัดผ่าน "เอี๊ยด"เสียงเหยียบเบรคเสียงหนึ่ง รถมายบัคสีดำคันหนึ่งได้จอดลงที่ข้างกายเธอ

เธอขมวดคิ้ว……ทำไมถึงขับรถแบบนี้

ตามมาด้วยประตูรถเปิดออก

"คุณเจี่ยน รบกวนคุณไปกับพวกเราเที่ยวหนึ่งครับ"

เธอมองด้วยสายตาเย็นชา "ท้องฟ้ามืดแล้ว ใส่แว่นดำจะมองเห็นเเหรอ"

คนคนนั้นหัวเราะเบาๆ "ขอแค่สามารถมองเห็นคุณเจี่ยนก็พอแล้วครับ"

"ถ้าฉันบอกว่าไม่ไปล่ะ?"

"งั้นเราก็คงต้อง'เชิญ'คุณเจี่ยนขึ้นรถแล้วครับ"

เจี่ยนถงมองคนคนนั้นอย่างเย็นชา "เสิ่นยี คำสั่งสอนของตระกูลเสิ่นสอนว่าคนที่หักหลังคนจะมีจุดจบยังไง?"

"คุณเจี่ยน ว่าไปแล้วคุณแซ่เจี่ยน ยังไงผมก็แซ่เสิ่นนะครับ"

"เหอะ~" เจี่ยนถงหัวเราะเบาๆอย่างเหน็บแนม สายตาจ้องมองไป "เสิ่นยี ตอนนี้นายทำงานให้ใคร?"

"อย่างไรก็ตามผมก็แซ่เสิ่นนะครับ ก็ต้องทำงานให้ตระกูลเสิ่นอยู่แล้ว ทำไมคุณเจี่ยนรู้ทั้งรู้แล้วยังมาถามอีก" เสิ่นยีสีหน้าหงุดหงิด "เอาล่ะ ผมยังต้องส่งมอบงานอีก เจี่ยนถง คุณคิดดูดีๆ จะขึ้นรถแต่โดยดี หรือให้คน'เชิญ'คุณขึ้นรถ?"

มือสองข้างของเจี่ยนถงห้อยลงมาที่ข้างกาย เหงื่อซึมเล็กน้อย แต่ยังแกล้งทำเป็นนิ่ง "ได้ ฉันไปกับนาย"

เธอนั่งเข้าไปในรถมายบัคอย่างเงียบๆ หันไปมองนอกกระจกรถแวบหนึ่ง ตึกที่เธอพักอยู่ไม่ไกลนี่เอง นั่งอยู่ในรถ ยังสามารถมองเห็นหน้าต่างที่เปิดไฟสว่างบานนั้นอยู่

ประตูรถปิด เสิ่นยีนั่งอยู่ข้างคนขับ "คุณเจี่ยน เราเจอกันอีกแล้วนะครับ"

"ใช่ เจอกันอีกแล้ว แต่นายได้ไปเป็นหมารับใช้ของคนอื่นแล้ว"

เสิ่นยีเหมือนกับถูกยั่วโมโห โกรธกริ้วเนื่องจากความขุ่นเคือง "นั่นเป็นเพราะใคร?เจี่ยนถง ถึงผมจะยังไง ก็ดีกว่าคุณที่เป็นฆาตกรก็แล้วกัน!"

เจี่ยนถงยกมุมปากขึ้นเบาๆ เธอก็ไม่ได้แก้ตัวอะไร……เธอเป็นฆาตกรหรือเปล่า เสิ่นยีไม่รู้เเหรอ?  

ณ บ้านใหญ่ตระกูลเสิ่น ครอบครองพื้นที่ขนาดใหญ่หนึ่งในสิบ ความเงียบท่ามกลางความเคลื่อนไหวและท่ามกลางความเคลื่อนไหวก็มีความเงียบ หนึ่งร้อยปีก่อน สามารถอาศัยอยู่บนพื้นที่นี้ได้ จึงเป็นที่เคารพนับถือของทุกคน

ควันไม้จันทน์อบอวล ใบหน้าของท่านแก่เสิ่น ซ่อนอยู่ท่ามกลางหมอก ปรากฏรอยย่นบนใบหน้าชราของเขาอย่างเลือนราง

เจี่ยนถงถูกพาเข้าไปในห้องรับแขก ยืนอยู่กลางห้องโถงใหญ่นานมาก นอกจากท่านแก่เสิ่นแล้ว สองข้างยังมีคนรับใช้สองคนของตระกูลเสิ่นสวมชุดจงซานเอามือไขว้หลังไว้เหมือนกัน

จู่ๆ เจี่ยนถงก็หัวเราะอย่างเงียบๆ กวาดตามองไปรอบด้าน เหมือนเข้ามาอยู่ในศาลพิจารณาคดีสมัยโบราณจริงๆ ส่วนเธอ คือ "นักโทษ" คนนั้น

ท่านแก่เสิ่นรักการสูบยาเส้น เสียงสูบยาเส้นดังขึ้นต่อเนื่องเป็นระยะ

เสิ่นยีอยู่ด้านหลังท่านแก่เสิ่น กับพ่อบ้านใหญ่ตระกูลเสิ่น ราวกับเป็นมือขวาของท่านแก่เสิ่น

แววตาของเจี่ยนถงเย็นชา มองผ่านใบหน้ามั่นใจในความได้เปรียบของเสิ่นยีอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากคลี่ยิ้มขึ้นแวบหนึ่ง เพียงแต่ยิ้มนี้ ช่างถากถางเลยเกิน……สามารถสั่งสอนให้เสิ่นซิวจิ่นมีนิสัยเผด็จการแบบนั้น ท่านแก่เสิ่นที่สั่งสอนคนอย่างเสิ่นซิวจิ่น ทำไมถึงเก็บสุนัขที่ไม่ซื่อสัตย์เอาไว้ ?

"กึกๆ —"

เสียงเคาะยาเส้นบนโต๊ะ และเสียงไอทำลายความเงียบ พ่อบ้านใหญ่ถือกระโถนสไตล์โบราณขนาดใหญ่ ส่งให้ตรงหน้าท่านแก่เสิ่นทันที

ทั้งหมดนี้ รอท่านแก่เสิ่นทำเสร็จ เจี่ยนถงยังคงยืนเงียบอยู่กลางห้องโถงใหญ่

ในที่สุดสายตาท่านแก่เสิ่นก็มองหญิงสาวที่ยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ เมื่อเหลือบดู เขาหรี่ตาลงอย่างรวดเร็ว พิจารณาเจี่ยนถงหัวจรดเท้า ด้วยนัยน์ตาขุ่นมัว ไร้ความเกรงใจ

เจี่ยนถงยังคงยืนนิ่งเฉย

ท่านแก่เสิ่นวางกระโถนที่พ่อบ้านใหญ่ยกมาให้เขาบ้วนปาก "ปู่ของเธอสั่งสอนเธอได้ไม่เลว"

"ท่านชมเกินไปแล้วค่ะ"

เธอพูดอย่างไร้ความรู้สึก

ท่านแก่เสิ่นทำสิ่งเหล่านี้ เพื่ออะไร เธอรู้ดี

ให้เสิ่นยีมาขัดขวางเธอตั้งแต่เริ่ม ต่อมาก็มาที่บ้านใหญ่ตระกูลเสิ่น และทิ้งเธอไว้อย่างเมินเฉยในห้องโถงใหญ่นี้ บุคคลที่มีอิทธิพลแห่งยุคของตำนานโลกธุรกิจเมื่อสามสิบปีก่อนตรงหน้า ทำสิ่งเหล่านี้ ทั้งหมดคือการจงใจ ทั้งหมดเป็นขั้นเป็นตอน เป้าหมายก็เพื่อขยี้ความกล้าหาญของเธอเท่านั้น ให้เธอหัวเสียก่อน

"ฉันประหลาดใจมาก

เธอช่วยบอกฉันหน่อยสิ ปู่ที่ตายไปแล้วของเธอสั่งสอนเธอได้ยอดเยี่ยมและฉลาดเช่นนี้

หกปีก่อน ทำไมเธอจึงถูกหลานชายของฉันส่งไปที่นั่น?"

ท่านแก่เสิ่นเอ่ยถามอย่างช้าๆ

สายตาคนแก่คู่นั้น กระจ่างแจ้ง ไม่ละไปจากใบหน้าของเจี่ยนถง

เจี่ยนถงหรี่ตาลงเล็กน้อย คุณท่านตรงหน้านี้ สมกับตำนานโลกธุรกิจเมื่อปีนั้นอย่างที่คิดเอาไว้ เธอยิ้มบางๆ ค่อยๆ ยกเปลือกตาขึ้น "ท่านยังดูกระฉับกระเฉง ยิ่งกว่าปีนั้น สายตา วิธีการ ทั้งหมดรวดเร็วแม่นยำเป็นที่หนึ่ง"

เธอเจี่ยนถง ไม่ใช่ว่าใครจะเอาชนะเธอได้

ท่านแก่เสิ่นต้องการให้เธออับอาย จะทำได้เหรอ?

แน่นอน

แต่ต้องการให้เธออับอาย ยิ่งต้องเตรียมใจให้พร้อมที่จะถูกเธอถลกหนังออก

ท่านแก่เสิ่นไม่เพียงไม่โจมตีเธอ แถมยังให้ผู้หญิงคนนี้โต้ตอบ สายตาคนแก่เย็นชาอย่างยิ่ง มุมปากกดลงอย่างรุนแรง "หึ!น่ารังเกียจเหมือนกับปู่ที่ตายไปแล้วของเธอ!"

เจี่ยนถงตั้งใจมองท่านแก่เสิ่น……คาดไม่ถึงว่าคุณท่านคนนี้จะรังเกียจคุณปู่ที่ล่วงลับไปแล้วของตนเองขนาดนี้

เธอหรี่ตาลง แววตามีความไม่เข้าใจ

"คุณท่านตามฉันมากลางดึกแบบนี้ เพื่อคุยเล่นกับฉันรึคะ?"

ท่านแก่เสิ่นกวักมือเรียก พ่อบ้านใหญ่หยิบกล่องหนังวัวสีกากีจากตู้ลิ้นชักด้านข้าง เดินมาตรงหน้าเจี่ยนถง วางลงบนโต๊ะด้านข้างเธอ และเคาะลงบนกล่องเบาๆ

นี่เป็นการทำท่า "เชิญ" กับเจี่ยนถง

"นี่คืออะไร?" แววตาของเธอปรากฏความตื่นตัว

ท่านแก่เสิ่นกระตุกมุมปากอย่างไร้รอยยิ้ม

"ไม่ต้องกังวล ไม่ใช่ระเบิด"

ในขณะพูด ก็ชี้กล่องที่เปิดอ้าอยู่ "เธอดูสิ สิ่งเหล่านี้ เธอพอใจหรือเปล่า"

สายตาของเจี่ยนถงมีความไม่เข้าใจ พร้อมกับความสงสัย ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว ล้วงผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋า หนีบผ้าเช็ดหน้า หยิบของออกมาจากกล่อง

ท่านแก่เสิ่นเห็นการเคลื่อนไหวเช่นนี้ของเธอ พูดเยาะเย้ย "เธอระมัดระวังตัวอย่างว่องไว หรือยังกลัวว่าฉันจะลอบกัดเธอ"

เจี่ยนถงหยิบเอกสารขึ้นมา ได้ยินคำพูดของท่านแก่เสิ่น จึงชายตามอง "คนเรา เคยทุกข์ เคยเจ็บช้ำ ต้องจำไว้เสมอ

ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ถึงจะทุกข์น้อยลง

คุณท่านแก่ใกล้จะลงโรงแล้ว ส่วนฉัน ยังใช้ไม่ถึงครึ่งของชีวิต กลับเจ็บปวดเกินพอแล้ว"

เธอพูดไปพลาง พร้อมกับดูสิ่งของในกล่องอย่างคร่าวๆ

บนศีรษะ สายตาที่แผดเผาสองดวงจ้องเธออยู่ เธอรู้ นั่นคือท่านแก่เสิ่นที่กำลังสังเกตการเคลื่อนไหวของเธอ

ยิ่งเป็นแบบนี้ เธอยิ่งดูเงียบสงบ มองดูของในกล่องคร่าวๆ โดยไม่พูดอะไร และวางลงอย่างสงบ ถึงจะเงยหน้ามองไปทางท่านแก่เสิ่น

"ท่านช่างใจกว้างจริงๆ "

เธอเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ

มองดูโอนอ่อนผ่อนตาม แววตาท่านแก่เสิ่นปรากฏความเข้าใจแจ่มแจ้ง "ถ้าเธอยอม งั้นก็ดี"

มือของเจี่ยนถง เคาะลงบนโต๊ะ "ขอฉันคิดก่อน……"

ท่านแก่เสิ่นเลิกคิ้วขึ้น "ทำไม เธอไม่ยอมรึ ?"

"เรื่องใหญ่แบบนี้……"

"เหอะๆ ~ความทะเยอทะยานไม่น้อย กลัวว่าท้องของเธอจะกินอาหารว่างไม่ไหว กินลงคงท้องแตกไปแล้ว"

"คุณท่าน" นัยน์ตากระจ่างใสของเจี่ยนถง ปรากฏแสงขึ้นมาแวบหนึ่ง "ไม่ทราบว่าปกติท่านเล่นอินเทอร์เน็ตไหม"

"เธอจะดึงเข้าเรื่องไร้สาระทำไม!" คุณท่านโมโห

"มีตลกเรื่องหนึ่งแพร่หลายบนอินเทอร์เน็ต คุณท่านคะ ฉันเล่าให้ฟังเอาไหม?" เจี่ยนถงไม่สนใจคุณท่าน พูดเองเออเอง

"มีผู้หญิงคนหนึ่งดูละครไต้หวัน เรื่องราวมีอยู่ว่า ท่านประทานหลงรักซินเดอเรลล่า แม่ของท่านประธานไม่เห็นด้วย แต่ก็จนปัญญาเพราะท่านประธานรักซินเดอเรลล่าไม่ยอมเลิกรา

แม่ของท่านประธานจึงพบกับซินเดอเรลล่าเป็นการส่วนตัว เจอหน้ากันจึงเซ็นเช็คธนาคารให้สิบล้าน บอกว่า แค่เธอออกไปจากชีวิตลูกชายฉัน สิบล้านนี้จะเป็นของเธอ ซินเดอเรลล่าไม่ยอม……เพื่อความรัก"

"เธอจึงคิดจะทำตามซินเดอเรลล่า?"

"ใจเย็นสิคะ……" เจี่ยนถงพูดขัด "คุณท่านลองเดาดูสิ หญิงสาวที่ดูละครเรื่องนั้น เห็นฉากนี้ เธอจะพูดอะไร?"

เธอไม่ได้ต้องการคำตอบจากคุณท่านจริงๆ พูดต่อว่า "เธอบอกว่า ถ้าเธอเจอกับเรื่องแบบนี้ จะรับเช็คสิบล้านแล้วจากไป มีสิบล้าน จะหาผู้ชายแบบไหนก็ได้"

"แล้วเธอล่ะ?เจี่ยนถง เธอจะรับของแล้วจากไปไหม?"

เจี่ยนถงยิ้มบางๆ มองไปที่ท่านแก่เสิ่นอันสูงส่งด้วยรอยยิ้มในแววตา "ผู้หญิงคนนั้นเลือกเงินสิบล้าน เพราะเธอไม่มีสิบล้าน"

รอยยิ้มในแววตาของเจี่ยนถงชัดเจนขึ้น "คุณท่าน" กระตุกมุมปากเอ่ยเบาๆ "แต่ฉันมีแล้ว"

"เธอ……"

เธอขัดจังหวะคุณท่านอีกครั้ง มองลงไปที่โต๊ะ ชี้นิ้วไปที่กล่องสีดำ "นี่คือเงื่อนไขที่ท่านเสนอให้แก่ฉัน……น่าเสียดาย" เธอเงยหน้าขึ้นทันที สบตากับท่านแก่เสิ่น "ฉันมีหมดแล้ว "

"สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ ท่านสามารถโน้มน้าวใจเสิ่นซิวจิ่นได้ไหม!"

จะไปหรือไม่ไป แต่ไหนแต่ไรไม่ได้ขึ้นอยู่กับเธอ

ยิ่งกว่านั้น ท่านแก่เสิ่นใช้วิธีนี้ นั่นคือการทำให้เธออับอาย

"สุดท้ายเธอต้องการทำตามซินเดอเรลล่าในละคร……เพื่อความรัก?" บนใบหน้าที่มีริ้วรอยของท่านแก่เสิ่น สายตาที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มมองมาที่เจี่ยนถง

ชัดเจนว่า กำลังหัวเราะเยาะ "ความรัก" ของเจี่ยนถง

เจี่ยนถงหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ ……ในชีวิตนี้รักเดียวที่จริงจังของเธอผ่านไปแล้ว เดิมทีต้องการตอนจบของเจ้าชายเจ้าหญิง กลับไม่ระวัง กลายเป็นเรื่องตลกในสายตาของคนอื่น

แต่……ขอโทษนะ ท่านแก่เสิ่น สายตาของเธอแหลมคม เป้าหมายของท่านแก่เสิ่น ไม่มีทางง่ายดายอย่างที่เห็น

ต้องการไล่เธอไป คุณท่านตรงหน้ามีวิธีการร้อยแปด ไม่จำเป็นต้องเลือกวิธีงี่เง่าที่สุดแบบนี้

อนึ่ง ถ้าเพียงเพื่อไล่เธอไปจริงๆ ทำไมต้องเลือกเวลานี้?

ตอนเช้าตอนเย็นไม่ทำ แต่เป็นเวลานี้?

สายตาของเจี่ยนถง เลื่อนผ่านไปที่เสิ่นยีด้านหลังท่านแก่เสิ่นอย่างแนบเนียน สมองทำงานอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เสิ่นซิวจิ่นปรากฏตัวที่ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ ก็ไม่มีเงาของเสิ่นยี

ส่วนเธอตั้งแต่กลับจากทะเลสาบเอ๋อร์มาที่เมือง S ก็ไม่เห็นเสิ่นยีเลย

นี่หมายความว่า—เสิ่นยีไม่ถูกให้ความสนใจ จนแม้แต่ถูกกึ่งเลี้ยงกึ่งเนรเทศ

แต่เสิ่นยีเป็นคนข้างกายของเสิ่นซิวจิ่น กับเสิ่นเอ้อและคนอื่นอีกเก้าคนเติบโตขึ้นมาพร้อมกับเสิ่นซิวจิ่น และจากเสิ่นยีจนถึงเสิ่นสือ ระหว่างพวกเขาจึงมีความสนิทสนมที่เติบโตมาด้วยกันอย่างที่คนทั่วไปไม่มี

ถึงแม้เสิ่นยีจะไม่ถูกเสิ่นซิวจิ่นใช้งานตำแหน่งสำคัญ แต่อีกเก้าคนที่เหลืออาจจะไปมาหาสู่โดยไม่มีเสิ่นยี

แน่นอนเธอไม่เชื่อว่าเสิ่นเอ้อเสิ่นซานจะทรยศเสิ่นซิวจิ่นได้

แต่เนื่องจากมีความสนิทสนมเติบโตมาด้วยกัน จึงยากจะรับประกันว่าเสิ่นยีจะไม่เห็นเงื่อนงำจากคำพูดและการกระทำจากทั้งเก้าคน

ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงนี้เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนมาสักพักแล้ว

ส่วนเสิ่นเอ้อเสิ่นซาน ก็หายสาบสูญไปเช่นกัน ภายในบริษัทมีซีเฉินบัญชาการอยู่ แต่ซีเฉินนามสกุลซี ไม่ใช่เสิ่น จะมากหรือน้อยเสิ่นซิวจิ่นควรจะปรากฏตัวเช่นกัน

ไม่แปลกใจ……ไม่แปลกใจที่ซูเมิ่งจะสงสัย

ซูเมิ่งยังสงสัยได้ หรือความรู้สึกของท่านแก่เสิ่นจอมเจ้าเล่ห์จะไวสู้ซูเมิ่งไม่ได้?

เธอมองกล่องบนโต๊ะ จุดประสงค์ของคุณท่าน คือการหยั่งเชิงเธอ

สามปีก่อน เธอเกือบเดิมพันทุกอย่าง หนีจากเสิ่นซิวจิ่นอย่างบ้าบิ่น

ท่านแก่เสิ่นรู้จักไตร่ตรองใจคนมาก สามปีก่อน คนที่เธอต้องการหนีอย่างไม่สนใจทุกอย่าง วันนี้คุณท่านจงใจยื่นข้อเสนออย่างใจนักเลง ให้เธอจากไป นี่ควรเป็นเรื่องที่ใฝ่ฝันถึง

ถ้าทางฝั่งเสิ่นซิวจิ่นเกิดปัญหาขึ้นจริง เธอสามารถจากไปโดยไม่ต้องพะว้าพะวังอะไรเลย

ในทางกลับกัน ในกรณีที่วันนี้เธอเลือกโดยไม่ต้องคิด รับข้อเสนอของท่านแก่เสิ่น และจากไปในคืนเดียวกัน นั่นก็หมายความว่า—เกิดเรื่องขึ้นกับเสิ่นซิวจิ่นจริง

เพราะว่า ตราบใดที่เธอไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของเสิ่นซิวจิ่น เธอถึงจะสามารถจากไปได้ตามอำเภอใจ

ตั้งแต่เจี่ยนถงถูกเสิ่นยีขัดขวาง กำลังคิดอยู่ว่า คืนนี้จะเกิดเรื่องอะไร

จนเข้ามาในบ้านใหญ่ตระกูลเสิ่น ได้เจอกับท่านแก่เสิ่น ก็ยังคงคาดเดา แต่เมื่อกล่องนั้นมาอยู่ตรงหน้าเธอ เธอก็เข้าใจว่าท่านแก่เสิ่นต้องการไล่เธอไป

แต่สิ่งของภายในกล่อง ยิ่งมองยิ่งตกใจ—ท่านแก่เสิ่นใจป้ำอย่างยิ่ง

"คุณท่าน ท่านรู้ดีกว่าใคร " เจี่ยนถงกล่าวอย่างเรียบเฉย "เมื่อกี้ฉันพูดว่า……ท่านควรไปพูดโน้มน้าวหลานชายของท่าน"

เธอพูดอย่างสบายๆ นัยน์ตากระจ่างใส มองไม่เห็นความจอมปลอม บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของท่านแก่เสิ่น เธอเห็นอาการแข็งทื่อ……มุมปากกระตุกเล็กน้อย ดูเหมือน เธอจะเดาถูก

"เธอจะไม่ไปจริงๆ ใช่ไหม?

เธอต้องคิดให้ดีนะ

หกปีก่อน เขาทำกับเธอยังไง

เธอเป็นผู้หญิงที่โชคดีมาก แต่กลับกลายเป็นนักโทษ ในช่วงเวลานี้ ความยากลำบากเหล่านั้นที่เธอต้องเผชิญ เขาเป็นคนหยิบยื่นให้เธอทั้งหมด

ถ้าไม่มีเขา เจี่ยนถง เธอจะยังคงเป็นอัญมณีที่หาดเซี่ยงไฮ้

เธอไม่เกลียดเขารึ?"

เจี่ยนถงพูดอย่างกลุ้มใจ "ดังนั้น ฉันต้องทำทุกทางเพื่อจะหนีไปให้พ้น" พูดทีเล่นทีจริง

ท่านแก่เสิ่นกำลังหยั่งเชิงเธอ ในใจเธอรู้ดี

เผชิญหน้ากับคุณท่านจอมเจ้าเล่ห์คนนี้ เธอไม่กล้าผ่อนคลายสักวินาทีเดียว

"ใช่ สามปีก่อนเธอพยายามอย่างยากลำบากท้ายสุดก็หนีไปยังที่ปลอดภัย หนีจากสายตาของเขา

เจี่ยนถง ตอนนี้ โอกาสวางอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว

แค่เธอหยิบกล่องบนโต๊ะ จากนั้นออกไปจากเมืองนี้ หายไปอย่างเงียบๆ ……เธอจะเป็นอิสระโดยสิ้นเชิง" น้ำเสียงของท่านแก่เสิ่นทรงพลัง ทุกคำที่พูดออกมา ราวกับจับใจคน กระตุ้นความปรารถนาอันแรงกล้าในหัวใจของคน

เจี่ยนถงแอบหยิกขาตนเอง……จริงด้วย จูงใจคนมาก พูดแล้วเธอใจเต้นไม่หยุด

ค่อยๆ กวาดมองท่านแก่เสิ่น แทบจะ……ถูกเขาทำให้ไขว้เขว

หน้าผากมีเหงื่อซึมออกมา เจี่ยนถงส่ายหน้าอย่างไม่สนใจ

"ฉันไม่กล้า"

คำว่า "ไม่กล้า" ทำให้แววตาของท่านแก่เสิ่นมีความผิดหวัง

"ทำไมคุณท่านจะต้องทำให้ฉันลำบากใจด้วย ถ้าท่านต้องการช่วยฉันจริง ไม่สู้คุยกับหลานชายของท่านดีๆ

เผชิญหน้ากับเขา……ฉันกลัวเขา ท่านคงเข้าใจ"

คำว่า "ฉันไม่กล้า" คำว่า "ฉันกลัวเขา" ทำให้การคาดเดาในใจของท่านแก่เสิ่นสั่นคลอน

"จะไม่ไปจริงรึ?นี่คือโอกาสเดียวในชีวิต" แต่คุณท่านยังคงหยั่งเชิง ไม่ยอมแพ้เหมือนเดิม

เจี่ยนถงไม่รู้ว่าในใจรู้สึกอย่างไร เมื่อเธอบอกทางอ้อมว่าเสิ่นซิวจิ่นยังคงสบายดี ในวินาทีนั้นเอง แววตาของท่านแก่เสิ่นมีความผิดหวังขึ้นมาแวบหนึ่ง……เขาเป็นปู่แท้ๆ ของคนนั้นนะ!

"ในละครซินเดอเรลล่าไม่ไป เป็นเพราะความรัก

แต่ที่ฉันไม่ไป เพราะฉันไม่กล้า" เธอเงยหน้าขึ้น ส่งรอยยิ้มขมฝาดให้ท่านแก่เสิ่น "ถ้าเขาไม่ยอม ฉันก็หนีไม่พ้น ท่านดูสิ ฉันหนีไปสามปี สุดท้ายต้องกลับมาเมือง S อย่างโดยดี กลับมาอยู่ในสายตาของเขาไม่ใช่หรือไง?"

ใบหน้าของท่านแก่เสิ่นเต็มไปด้วยริ้วรอย ริมฝีปากแห้งเหี่ยว เม้มเข้าหากันแน่น สายตาจ้องไปที่ร่างของเจี่ยนถงอย่างดุเดือด ราวกับจะมองทะลุเธอ

ยิ่งเจี่ยนถงปฏิเสธอย่างไม่รู้สึกรู้สา ยิ่งไม่สนใจพิจารณาข้อเสนอของเขา เขายิ่งกังวลใจ……หรือว่า เขาคิดมากไปจริงๆ ?

แน่นอน เสิ่นซิวจิ่นเป็นหลานชายของเขา หลานชายที่เขาเคยชอบที่สุด แต่หลานชายคนนี้ไม่เชื่อฟัง วิธีการเข้มงวดเกินไป

คนของตระกูลเสิ่น มีวิธีการเข้มงวด แน่นอนเป็นเรื่องดี แต่……เข้มงวดกว่าเขาที่เป็นปู่คนนี้……นัยน์ตาขุ่นมัวของท่านแก่เสิ่นเย็นชาเล็กน้อย

มองผู้หญิงที่ยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่อีกครั้ง ยิ่งมองยิ่งรกหูรกตา ในเมื่อถามอะไรไม่ได้ เธอก็ไร้ประโยชน์

"ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คนแก่อย่างฉันคงไม่มีอะไรจะพูดอีก" ถามพ่อบ้านใหญ่ข้างกายอีกครั้ง " กี่โมงแล้ว?"

"คุณท่านครับ ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว"

"โอ้—" คุณท่านลากเสียงเบาๆ ยันไม้เท้าลุกขึ้น "ดึกขนาดนี้ ทำไมไม่เตือนให้ฉันไปพักผ่อน อย่าให้มีอีกครั้งนะ"

พูดเหมือนต่อว่า

พ่อบ้านใหญ่ก้มหน้า "ครับ จะจำเอาไว้"

จากไปอย่างไม่แยแส เจี่ยนถงถูกทิ้งเอาไว้กลางห้องโถงใหญ่ของบ้านใหญ่ตระกูลเสิ่น

เสิ่นยีก้าวขึ้นมา " เชิญ"

เจี่ยนถงปฏิบัติตาม เดินตามหลังเสิ่นยีไป จนออกมาจากตระกูลเสิ่น สายลมยามค่ำคืนปะทะใบหน้า ร่างกายสั่นเทา

เบื้องหลัง คือประตูบ้านใหญ่ที่ปิดสนิท……แต่ทว่า……ริมฝีปากของเธอ กลับมีรอยยิ้มที่เอ่อล้นออกมา มันช่างถากถางอย่างหาที่เปรียบมิได้

บนที่ดินของบ้านใหญ่ตระกูลเสิ่นแห่งนี้ คิดจะเรียกแท็กซี่ เป็นไปไม่ได้แน่นอน

ต้องเดินตามทางไป จนถึงปากทางแยก ถึงจะสามารถเห็นรถแท็กซี่วิ่งผ่านไปมาบนถนน

เจี่ยนถงหอบร่างกายที่เหนื่อยล้า ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้า ท่านแก่เสิ่นไม่เห็นแก่หน้าตาขี้เกียจแม้แต่จะส่งเธอ ครอบครัวที่มีหน้ามีตา ส่วนมากก็จะทำอย่างราบรื่น

ท่านแก่เสิ่นเมินเธออย่างเห็นได้ชัด ไม่แม้แต่คิดจะสั่งคนนำรถไปส่งเธอ

เจี่ยนถงออกมาจากบ้านใหญ่ตระกูลเสิ่น ค่อยๆ เดินไปตามถนนส่วนบุคคล ตรงไปที่ปากทางแยก

"ช้าก่อน"

ด้านหลัง มีคนเรียกไว้ เธอหันไปมอง

รถคันหนึ่ง ค่อยๆ ขับมา จอดลงด้านข้างเธอ กระจกลดลง เสิ่นยียื่นศีรษะออกมา "ผมจะไปส่งคุณ"

เขาใจดีขนาดนี้เลยรึ?……เจี่ยนถงมองอยู่เงียบๆ สักพักหนึ่ง ยิ้มขึ้นทันที "ขอบคุณมาก"

เปิดประตูขึ้นรถโดยไม่พูดอะไร

เสิ่นยีสตาร์ทรถ ขับออกไปที่ปากทางแยกอย่างช้าๆ เข้าสู่ถนนทางหลวง

จนเมื่อขับขึ้นมาบนทางยกระดับ จำนวนรถเริ่มบางตา ที่เบาะหลังรถ เจี่ยนถงนวดเอวที่เจ็บปวด " พูดมาสิ"

คนที่กำลังขับรถ มืออยู่บนพวงมาลัย เกร็งเล็กน้อย "พูดอะไร?"

เจี่ยนถงยิ้มบางๆ "ฉันคิดว่าคุณหลีกเลี่ยงท่านแก่เสิ่น ขับรถตามฉัน ขู่จะไปส่งฉัน นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอื่น"

"ผมจะมีเหตุผลอะไรอีก แค่จะไปส่งคุณ คุณก็สงสัยเหรอ?

คุณหนูเจี่ยน คุณคิดมากแบบนี้ตลอดเลยรึเนี่ย?"

"จริงเหรอ?แค่จะไปส่งฉันกลับอย่างเดียว?" เธอไม่เชื่อ ไม่เชื่ออย่างยิ่ง

ภายในรถ เกิดความเงียบสงัด

เจี่ยนถงมองแสงไฟบนท้องถนนนอกหน้าตาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในเมื่อเสิ่นยีไม่พูด เธอก็ไม่จำเป็นต้องไถ่ถาม

คิดจะพูด คงพูดออกมาเอง

ผ่านไปสักพักหนึ่ง

"ช่วงนี้ Boss สบายดีไหมครับ?"

แววตาของเจี่ยนถงเข้าใจแจ่มแจ้ง……ไม่ได้มีเจตนาดีอย่างที่คิดเอาไว้

"คุณควรไปถามเขา ถึงอย่างไรคุณก็มีนามสกุลเสิ่น"

เสิ่นยีเงียบไปพักหนึ่ง "คุณหนูเจี่ยน คุณฉลาดมาก ผมจำต้องยอมรับ

ที่ผมตามมาไม่ใช่แค่จะพาคุณไปส่งบ้านอย่างเดียว

ผมมีข้อสงสัยเยอะมาก อยากจะถามคุณหนูเจี่ยนเพียงลำพัง แต่น่าเสียดาย ไม่มีโอกาสเลย"

"คุณถามมาสิ"

"คุณ……เวยเหมิง……คุณยังจำเธอได้ไหมครับ?"

นิ้วชี้ของเจี่ยนถงสั่นไหว "แน่นอน" ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองไปทางท้ายทอยของเบาะคนขับ

แสงไฟบนถนนด้านนอกรถ ทิ้งเงาขยับไปมาบนใบหน้าของเธอ ภายใต้แสงไฟสลัวจากท้องถนน สีหน้าของเธอ สงบเงียบไม่มีความรู้สึกใดๆ

"คุณเวยหมิงตายแล้ว"

"อืม"

เธอตอบไปเบาๆ

ไหล่ของเสิ่นยีสั่นไหวเล็กน้อย

เจี่ยนถงไม่สนใจ

"คุณเวยหมิงได้รับความอัปยศแบบนั้นตอนที่ตาย"

"อืม"

หันหลังให้เจี่ยนถง ขอบตาเสิ่นยีแดงระเรื่อ

เจี่ยนถงยังคงไม่สนใจ

"คุณเวยหมิงคนดีแบบนั้น"

ดวงตาของเจี่ยนถงหรี่ลง ……คนดีแบบนั้น……หา?

ฮา~

"เดิมทีคุณเวยหมิงมีความสุขมากอยู่แล้ว"

"ใช่" เดิมทีคุณเวยหมิงมีความสุขมากอยู่แล้ว

เธอหันข้าง มองออกไปนอกหน้า มีเพียงแสงไฟจากถนนเรียงราย ถอยกลับอย่างรวดเร็ว สายตาค่อยๆ ไม่รับรู้อะไร

"แต่เธอตายแล้ว!ในวัยแรกแย้ม ตายแบบนั้น!" เสิ่นยีเสียงสั่นไหว

"ใช่ น่าเสียดาย " เธอมองความสวยงามนอกหน้าต่าง กล่าวเบาๆ

เหมือนเสิ่นยีได้ยินเสียงฟันกรามตนเองดัง "กรอด"

ผู้หญิงคนนี้ เป็นตัวต้นเหตุ ทำไมถึงได้เฉยเมยแบบนี้!ไม่สนใจแบบนี้!

"คุณเวยหมิงผิดที่เจอกับคนชั่ว!"

เขาระงับความโกรธ ตะโกนออกมา

เจี่ยนถงยังคงมองแสงไฟบนท้องถนนที่ถอยหลังกลับอย่างรวดเร็ว……ถ้าเวลาเป็นเหมือนกับแสงไฟบนถนนที่เรียงราย ถอยกลับอย่างรวดเร็วได้ คงจะดีมาก

เธออยากจะช่วยเติมเต็มความสุขของเซี่ยเวยเหมิง

"เจอกับคนชั่ว?" เธอพึมพำ ทวนคำพูดของเสิ่นยี คิดทบทวนสี่คำนั้น

เสิ่นยีได้ยิน กัดฟันอย่างรุนแรง แววตาปล่อยรังสีดุร้าย " ใช่!เจอกับคนชั่ว !"

เขากัดฟันพูด

เจี่ยนถงไม่พูดอะไรอีก แต่เสิ่นยีกลับไม่ยอมจบหัวข้อนี้อย่างง่ายๆ

"คุณหนูเจี่ยน ผมแค่อยากถามคำถามสุดท้ายกับคุณ คุณเคยเสียใจกับความผิดพลาดที่คุณทำต่อคุณเวยหมิงบ้างไหม คุณเคยสารภาพผิดต่อหน้าหลุมศพของเธอบ้างไหม!"

เจี่ยนถงหันมาทันที มองท้ายทอยเบาะคนขับตรงหน้า "เสิ่นยี" จู่ๆ เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นในคนละเรื่อง

"คุณมันน่าสมเพชจริงๆ "

"เงียบไปเลยนะ!"

ราวกับถูกยั่วโมโห เสิ่นยีตวาด "คนที่น่าสมเพชคือคุณต่างหาก คุณทำแต่เรื่องเลวร้าย ไร้มนุษยธรรม คุณหนูเจี่ยน คนที่น่าสมเพชที่สุดคือคุณ!"

"เสิ่นยี คุณมันน่าสมเพชจริงๆ "

"บอกให้หุบปาก!คุณจะไปรู้อะไร!"

ราวกับเจี่ยนถงจะมองทะลุได้ทุกอย่าง "คุณรักเธอใช่ไหม?"

"เธอ" คือใคร เธอเชื่อว่า เสิ่นยีต้องรู้แน่นอน

"พูดจาเหลวไหล!" เสิ่นยีเหมือนสุนัขชิบะถูกกัดหางด่าทออย่างกระวนกระวาย " คุณพูดจาให้มันดีๆ หน่อยนะ คุณเวยหมิงคือผู้หญิงที่Bossรักที่สุด

คนที่รู้ดีที่สุดบนโลกใบนี้ ไม่ใช่คุณหรือไง!

ลืมไปแล้วรึ เพื่อเธอ Bossทำกับคุณยังไง?"

แสงไฟสลัวบนท้องถนน ไม่อาจสะท้อนริมฝีปากขาวซีด และสายตาเรียบเฉยของเจี่ยนถง

ในสายตาของเสิ่นยี ผู้หญิงที่เบาะหลัง สงบนิ่งเหมือนน้ำ ที่ไม่มีคลื่นซัดสาด

"เสิ่นยี เมื่อกี้ฉันพูดผิด คุณไม่ได้น่าสมเพช

แต่คุณมันน่าเวทนาและน่าสมเพช" พูดประโยคนี้จบ เธอก็ไม่พูดอะไรอีก เสิ่นยีในที่นั่งคนขับ สาปแช่งอย่างหงุดหงิด

เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง มองสีสันบนท้องฟ้ายามค่ำคืน

รู้ว่าเป็นความจริงกลับไม่ยอมรับ……เหอะๆ

เอี๊ยด~

เสียงเบรกรถดังขึ้นกะทันหัน รถส่าย และจอดลงข้างทาง

"คุณหนูเจี่ยน ขออภัยด้วยผมส่งคุณได้เพียงเท่านี้"

บนเบาะคนขับ เสิ่นยีพูดอย่างไม่แยแส

เจี่ยนถงก็ไม่โกรธ เปิดประตูลงจากรถ

มองไปรอบด้าน ที่นี่ห่างจากที่พักของเธอ ใช้เวลาเดินแค่ 15 นาที เสิ่นยีเข้าตึกที่เธออาศัยไม่ได้ ความปลอดภัยของอาคารนั้น เสิ่นซิวจิ่นเคยบอกว่า ดีที่สุดในเมือง S

15 นาที……เธอก้มลงมองขาที่ไม่ค่อยสะดวกของตนเอง……เกรงว่า 15 นาทีนี้ สำหรับเธอ คงจะครึ่งชั่วโมง แต่……

ถนนที่เดินในวันนี้ มากพอแล้ว

และจากถนนเส้นนี้ไป จึงนวดเอวและขาของตนเอง

ก่อนเสิ่นยีจะไป เขาลดกระจกลง พูดกับเจี่ยนถงบนฟุตบาทด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

"คุณหนูเจี่ยน สถานที่ที่คุณควรจะไปมากที่สุดในตอนนี้ คือสารภาพผิดต่อหน้าหลุมศพของคุณเวยเหมิง"

สิ้นคำ รถขับออกไป เหลือไว้เพียงควันจากท่อไอเสีย เจี่ยนถงมองท้องฟ้า……ดึกขนาดนี้จะให้ไปสุสาน?

เธอส่ายหัวพึมพำกับตัวเอง ไม่คิดอะไรมาก

เดินตรงไปทางกลับบ้าน

ตอนนี้เที่ยงคืนกว่าแล้ว บนถนนมีผู้คนเบาบาง ที่เธออาศัย ก็มีคนไม่มาก

เดินผ่านหัวโค้ง ถูกแรงอันมหาศาลดึงเข้าไปฉับพลัน

ปากทางเข้าซอยไม่มีไฟทาง สายตาพร่ามัวในความมืดทันที ผ่านไปไม่กี่วินาที ถึงจะมองเห็นผู้ชายวัยรุ่นจำนวนหนึ่งห้อมล้อมด้วยเจตนาไม่ดี ท่าทางอันธพาล ถือไม้เบสบอลในมือ

เธอตื่นตัวทันที ขยับไปชิดกำแพง "จะทำอะไร?"

อันธพาลเหล่านั้นสบตากัน หัวเราะชอบใจ ไม่สนใจเธอ

"ใครส่งพวกคุณมา?"

"ฮาๆๆ ……เอ็งว่านังนี้โง่หรือเปล่าวะ" หัวหน้าอันธพาลพูดอวดดี

"พวกคุณรู้จักฉันรึ?"

เจี่ยนถงไม่สนใจเสียงหัวเราะเหน็บแนบของอันธพาลเหล่านี้ ใจเย็นเอ่ยถามอย่างสุภาพ

"คุณหนูของเจี่ยนซื่อกรุ๊ป คนมีเงิน พวกพี่จะไม่รู้จักได้ยังไง?" คนที่เป็นหัวหน้า แกว่งไม้เบสบอลในมือไปมา คิดว่าตนเองเท่

"คนที่เรียกพวกคุณมา ให้พวกคุณเท่าไหร่ ฉันให้เป็นสองเท่า"

"แปลก~"

เจี่ยนถงเห็นอีกฝ่ายไม่มีท่าทางจะยอมอ่อนข้อให้แม้แต่นิดเดียว อันธพาลแบบนี้ ออกมาก่อเรื่อง ก็เพื่อเงินเท่านั้น

แต่คนตรงหน้าเหล่านี้……ไม่ใช่เงินแน่ๆ

อย่างน้อยที่สุด ก็ไม่ใช่เพื่อเงินอย่างเดียว

ไม่อย่างนั้น เธอเพิ่งจะยื่นข้อเสนอให้เงินสองเท่า อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะพิจารณา ปฏิเสธทิ้งทันที

แท้จริงแล้ว……ใครกันนะ?

ในฉับพลัน ภาพเป้าหมายจำนวนหนึ่งแวบขึ้นมาในสมองอย่างรวดเร็ว แสงสว่างแวบนั้น เธอหรี่ตาลงฉับพลัน กล่าวอย่างน่าสะพรึง "คนนั้นที่เรียกพวกคุณมา ร่างกายสูงใหญ่ ผิวดำ หลังมือซ้ายมีแผลเป็น ถูกต้องไหม"

ถึงแม้อีกฝ่ายจะปกปิดดีมาก แต่ยังคงแปลกใจไปชั่วขณะ

"พวกเราไม่รู้ว่าเธอพูดถึงใคร

คุณหนูเจี่ยน เธอต้องจำเอาไว้อย่างหนึ่งนะ

เธอมีจุดจบวันนี้ เธอเป็นคนรนหาที่เอง

พวกพี่ทำงานแลกเงิน วันนี้ คุณหนูเจี่ยนต้องทรมานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"

ในขณะที่พูด คนหัวหน้า ส่งสายตาโหดเหี้ยมให้กับลูกน้องสองคนด้านข้าง "อย่าออมมือ ฟาดให้แรง"

เจี่ยนถงสีหน้าเปลี่ยน คนพวกนี้ ไม่ได้ล้อเล่นหรือแค่ขู่ขวัญเธอแน่นอน

อันธพาลเหล่านั้นยกไม้เบสบอลในมือ ตรงมาหาเธอ

เมื่อช่วงเวลาคับขันมาถึง จิตใต้สำนึกบอกให้เธอรีบก้าวยาวๆ ไปทางแสงสว่าง

กลับลืมว่า ถึงแม้สองขาของเธอจะสมบูรณ์ ก็อาจไม่มีแรงวิ่งหนีผู้ชายเหล่านี้พ้น

ยิ่งไปกว่านั้น……โครม—เสียงดังขึ้น วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ล้มลงบนพื้นเพราะขาที่เป็นภาระนี้ ความเจ็บปวดจู่โจมที่ก้นกบ เจี่ยนถงสูดลมหายใจด้วยความเจ็บปวด

" วิ่ง?วิ่งสิ" ด้านหลัง มีเสียงหัวเราะกำเริบเสิบสาน พูดไม่ไว้หน้า

"คุณหนูเจี่ยน เธอพิการครึ่งหนึ่งแบบนี้ ยังคิดจะวิ่งไปไหนอีก

เป็นเด็กดีหน่อยสิ วันนี้พวกพี่แค่หาเงิน ไม่คิดจะเอาเธอตาย

แค่อยากให้พวกพี่ทำลายมือข้างหนึ่งของเธอ"

ทำลายมือข้างหนึ่งของเธอ!

"กรอด" เจี่ยนถงกัดฟันแน่น ถลึงตาอย่างโกรธแค้นมองอันธพาลที่เดินเข้ามาหาเธอ

"เจตนาทำร้ายคนแบบนี้ พวกแกไม่กลัวติดคุกรึไง?"

"ถุย~ เธอเห็นพวกพี่เป็นอะไร?

คนที่สามารถเสนอราคาให้ทำลายมือของคุณหนูเจี่ยนได้ ก็ต้องจัดการทางหนีทีไล่ให้พวกพี่แล้วสิ" คนนั้นควักมือถือออกมา เหลือบมอง "เร็วเข้า จัดการเสร็จ พวกเรายังต้องรีบหนีอีก"

เจี่ยนถงเข้าใจแล้ว คนพวกนี้คิดจะทำลายมือข้างหนึ่งของเธอจริง และจะออกจากเมือง Sในคืนนี้เลย

เธอเริ่มสงสัยการคาดเดาเมื่อสักครู่ของตนเอง หรือจะไม่ใช่เสิ่นยี?

สามารถจัดการทางหนีที่ไล่ แถมพวกนอกกฎหมายเหล่านี้ยังขายชีวิตให้ คิดดูแล้วไม่ใช่เงินเพียงเล็กน้อยสามารถซื้อตัวได้

ตอนแรกสงสัยว่าเป็นคนที่เสิ่นยีหามา เพราะเวลาบังเอิญเกินไป ถ้าเสิ่นยีไม่ส่งเธอกลับมา เธอนั่งแท๊กซี่มาเองหรือให้คนจากบ้านใหญ่ตระกูลเสิ่นมาส่ง คืนนี้เธอคงไม่ต้องปะทะกับอันธพาลกลุ่มนี้

เสิ่นยีส่งเธอกลับ แต่พาเธอมาปล่อยเอาไว้บนถนนห่างจากที่พัก สถานที่ที่ปล่อยเธอลง ไฟถนนไม่เยอะ ผู้คนเบาบาง

จากนั้น ก็เจอกับอันธพาลกลุ่มนี้

ไม่ว่าจะคิดอย่างไร เสิ่นเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุด

แต่เธอเชื่อว่า การติดสินบนอันธพาล เสิ่นยี่สามารถทำได้

แต่สามารถให้อันธพาลกลุ่มหนึ่งทำลายเธอประธานคณะกรรมการแห่งเจี่ยนซื่อกรุ๊ป แขนข้างหนึ่งของบุคคลสาธารณะ จำเป็นต้องจัดการหาทางหนีทีไล่ให้อันธพาลที่ขายชีวิตให้เหล่านี้ นอกจากนี้ยังต้องจ่ายค่าติดสินบนให้ ไม่ว่าจะเรื่องเงินที่ต้องจ่าย หรือความสามารถในการจัดการเรื่องต่อจากนี้ทั้งหมด เสิ่นยีไม่มีมัน

พูดตามตรง เสิ่นยียังไม่มีฝีมือทำเรื่องแบบนี้

ถ้าไม่ใช่เสิ่นยี แท้จริงแล้ว เป็นใคร?

ท่านแก่เสิ่น?

ไม่ ไม่มีทาง

คุณท่านคนนั้นไม่เห็นเธออยู่ในสายตา เย่อหยิ่ง เป็นนิสัยของคนตระกูลเสิ่นทั้งบ้าน

งั้นแท้จริงแล้ว เป็นใคร?

ในชั่วขณะ สมองของเจี่ยนถงเกิดความคิดเต็มไปหมด รู้สึกยุ่งเหยิง

คว้าก้อนหินบนถนนขึ้นมา ทุบไปบนร่างอันธพาลเหล่านั้น เธออดทนกับความเจ็บปวดที่มาจากกระดูกขาและกระดูกสันหลังส่วนเอว หยัดกายขึ้นมาอย่างยากลำบาก ตรงไปที่ปากซอย คลานไปวิ่งไป

"นังนี้ ช่างไม่รู้ดีรู้ร้ายจริงๆ !"

คำด่าไล่ตามติด ในฉับพลันเจี่ยนถงเจ็บหนังศีรษะ "โอ๊ย" เธอถูกคนดึงผมที่ยาวไปถึงเอวจากด้านหลังเอาไว้ ลากกลับไปอย่างโหดเหี้ยม

"พวกพี่อ่อนโยนกับแกมากเกินไป

นังตัวดีแกยังกล้าทำร้ายคนก่อน"

เธอไม่ทันได้พูดอะไร ก็ถูกตบหน้าอย่างรุนแรง จนเจ็บแสบ

"ถุย~ผู้ชายประสาอะไร รังแกผู้หญิง" เจี่ยนถงบิดคออย่างรุนแรง ถุยน้ำลายใส่คนที่ดึงผมยาวของเธอด้านหลังอย่างโหดเหี้ยม

"มา!"

เธอเด็ดเดี่ยวและองอาจผึ่งผาย เอื้อมมือไปข้างหน้า ลากคอตะโกน

"แกฟาดสิ!

ฟาดให้พิการเลย มาสิ!

ถ้าฉันส่งเสียงสักเอ๊ะ นับว่าฉันแพ้!"

มีสิทธิ์อะไร?

มีสิทธิ์อะไร!

ไม่ว่าใครบอกจะทำร้ายเธอก็ทำร้ายได้เหรอ?

บอกจะเหยียดหยามก็เหยียดหยามได้?

ทำไมเธอต้องแบกรับสิ่งเหล่านี้?

เพราะเธอเคยติดคุก?

เพราะเธอเคยกล้ำกลืนความอัปยศ?

ถุย!

เธอเหยียบนิ้วเท้าคนด้านหลังเต็มแรง "อ๊าก" ชายคนนั้นตะโกน ท่าทางชั่วร้ายอย่างถึงที่สุด

"นังตัวดี !บังอาจนัก!"

ชายคนนั้นเหวี่ยงผมยาวของเธอทิ้ง "เพียะ—" ตบหน้าเธออย่างรุนแรง ทันใดนั้นเอง แก้มบวมออกมาครึ่งหนึ่ง โดยไม่ต้องมอง เธอก็รู้ว่า ใบหน้าของเธอ พรุ่งนี้ไม่อาจเจอใครได้

ราวกับชายคนนั้นถูกกระตุ้นนิสัยเลวทรามของมนุษย์ออกมา นัยน์ตาเปล่งแสงชั่วร้าย "แฮกๆ " หายใจหอบอย่างคึกคัก "อีนังนี้—ทำตัวกวนบาทา"

ด่าไปพร้อมกับตบหน้าเธออีกสองที

คนที่มาด้วยรีบเข้ามาดึงเอาไว้ "พี่ใหญ่ พอเถอะ พวกเราทำตามเจี่ยน……ทำตามตามคำสั่งของนายจ้างดีกว่า กลางดึกยังต้องหนีอีก อย่าเสียเวลาเลย"

เจี่ยนถงถูกตบไม่ยั้ง สมองเลอะเลือน เวียนหัว หูอื้อไปหมด ราวกับพลาดข้อมูลสำคัญอะไรสักอย่างไป

ไม่มีเวลาให้คิดมาก หัวหน้าอันธพาลคนนั้น ยื่นมือเข้ามา ล็อกตัวเจี่ยนถงไว้ "ไอ้อ้วน ข้าจับมันไว้แล้ว ไม่ให้มันขยับตัว เอ็งเอาไม้ทุบลงไปที่มือมันแรงๆ

แต่อย่าทุบพลาดนะ นายจ้างแค่ให้ทำลายมือข้างเดียว ไม่ต้องเอาให้ถึงตาย"

เจี่ยนถงหน้าซีดเหมือนกระดาษ ถ้าบอกไม่กลัว ก็โกหกแล้ว

ร่างกายถูกคนล็อกเอาไว้ อันธพาลเหล่านั้นล้อมรอบตัวเธอด้วยเจตนาร้าย

ในชั่วพริบตา เหมือนกลับมาในคุก

"ปล่อยฉัน……ปล่อยฉันนะ……" ตัวสั่นอย่างหยุดไม่ได้ ความเงียบสงบในแววตา มลายหายไปทันที หวาดกลัวตัวสั่นอย่างรุนแรง

"ปล่อยฉันนะ พวกแกปล่อยฉันนะ " มาถึงตอนสุดท้าย เหมือนเธอถูกปีศาจร้ายเข้าสิง กรีดร้องขึ้นมา "ปล่อยฉัน!ปล่อยฉัน!ฉันบอกให้พวกแกปล่อยฉัน! ปล่อยมือออกไป! ปล่อยมือ!" เธอพยายามดิ้นอย่างรุนแรง กรีดร้องเสียงดัง

อันธพาลที่ล็อกตัวเธอ สีหน้าเปลี่ยน ใช้มืออุดปากเธอไว้

"อู้อี้! อู้อี้อู้อี้!"

เธอยังคงพยายามดิ้น

"หุบปาก! ถ้าแกยังตะโกนอีก ฉันจะไม่เกรงใจนะ!"

"อู้อี้!!" แต่ทว่า เจี่ยนถงกลับเหมือนไม่ได้ยินเสียงจากโลกภายนอก

"พี่ใหญ่ นังนี้มันเป็นอะไรไป?" ชายร่างอ้วนถามอย่างไม่เข้าใจ

"มันเป็นบ้า อย่าไปสนใจ เร็วเข้า! จัดการให้เสร็จ พวกเรารีบเผ่น! นังนี้มันบ้า!"

อันธพาลร่างอ้วนคนนั้น สุดท้ายสายตาไม่ได้อยู่ที่ร่างกายของเจี่ยนถง

แต่กลับอยู่ที่แผ่นหลังกว้างอันล่ำสัน

ชายร่างอ้วนตัวสั่นด้วยความกลัว หัวหน้าอันธพาลก็ตกตะลึงมองไปยังคนที่เหมือนปรากฏตัวขึ้นมากลางอากาศ เมื่อสักครู่นี้ เขาถูกโยนไปที่มุมกำแพงอย่างแรง ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะโยนเขาไปที่มุมกำแพงอย่างฉับพลัน มองคนที่จู่ๆ ก็เพิ่มขึ้นมาอย่างตะลึงงัน "แก แก แกเป็นใคร?"

คนคนนี้โผล่มาจากไหน

เขากำลังคิด ตระหนักขึ้นฉับพลัน เรื่องที่ควรทำยังไม่ได้ทำ จึงตะโกนอย่างไม่พอใจ "ไอ้อ้วน ฟาดมัน!"

"แต่ว่า……"

"ไม่มีแต่ จัดการเรื่องนี้เสร็จ พวกเราจะออกไปจากเมืองนี้ทันที ไม่กลับมาอีก"

"แต่คนนี้ ถ้าหาก ……"

"ไม่มีถ้าหาก เอ็งคิดดูสิ คิดถึงเงินจำนวนมหาศาลนั้น เพียงพอให้พวกเราใช้ไปตลอดชีวิต ทำเรื่องนี้ให้จบ ชาตินี้พวกเราจะได้นั่งๆ นอนๆ ไปตลอดชีวิต"

ชายร่างอ้วนเกิดความลังเลเพราะหวาดกลัวผู้ชายที่ปรากฏตัวขึ้นฉับพลัน หัวหน้าอันธพาลเห็นเขาลังเล จึงโมโหโวยวาย

"ไม่ได้ให้ฆ่าคนหรือไปลอบวางเพลิงที่ไหน เอ็งจะกลัวอะไรวะ!

ถึงแม้หลังจากนี้จะถูกจับได้ โทษมากที่สุดแค่ทำร้ายคน ติดคุกไม่กี่ปีก็ออกมา แล้วพวกเราก็ล้างประวัติ รับเงินก้อนโต จะมีที่ไหนที่ไปไม่ได้บ้าง?"

"คือ……"

ชายร่างอ้วนถูกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้สูญเสียความบันยะบันยัง แถมยังถูกหัวหน้าอันธพาลพูดจนสูญเสียความคิดของตนเอง ด้านหลังชายร่างอ้วน มีคนร่างใหญ่ ร่างกายกำยำ กระแทกชายร่างอ้วนอย่างไม่เกรงใจ

"คืออะไรบ้าบอนี่!

ไอ้อ้วน เอ็งไม่ทำ ข้าทำเอง!"

ชายร่างใหญ่ถือไม้เบสบอลอยู่ในมือ ทุบไปข้างหน้าอย่างโหดเหี้ยม

"ดู ทำแบบนี้ ไอ้อ้วน ตอนแรกตกลงกันแล้ว คนที่ลงมือทุบ จะได้ส่วนแบ่งเพิ่ม

พวกข้าเห็นเอ็งทำตัวกากมาตลอด จนถึงวันนี้ยังเป็นเด็กน้อย กลัวเอ็งหาผู้หญิงไม่ได้ พี่ใหญ่ถึงให้งานนี้กับเอ็ง ให้เอ็งได้ส่วนแบ่งเพิ่ม จะได้หาเมียได้สักที

ในเมื่อเอ็งไม่ยินยอม ทำท่าอิดออดแบบนี้ งั้นเอ็งก็หลีกไปซะ ส่วนแบ่งที่เพิ่มขึ้นส่วนนี้ ข้าเอาเอง"

ชายร่างใหญ่ใช้ไม้ทุบลงไป

"อัก!"

เจี่ยนถงได้ยินเสียงอู้อี้ เธอเงยหน้าขึ้นอย่างไม่แน่ใจ ในความมืด มีคนกอดเธอไว้ มีคนโอบเธอไว้อย่างแน่นหนาอย่างปลอดภัย ได้ยินเสียงคนอดทนต่อความเจ็บปวดส่งเสียงอู้อี้ ท่ามกลางความเลือนราง เธอเหมือนกลับไปในคุกปีนั้น เคยมีเด็กผู้หญิงขวางอันตรายจากโลกภายนอกแทนเธอ

คล้ายกับ อาลู่……ในปีนั้น

"อาลู่……" ในชั่วพริบตาเดียว หัวตาร้อนผ่าวไม่อาจควบคุมได้ เจ็บปวดอย่างขมฝาด "อาลู่……"

ในตอนนี้ เพิ่งรู้ตัวว่า เธอคิดถึงคนที่ชื่อ "อาลู่" นานมากแล้ว

นานจนเธอไม่กล้ายอมรับ นานจนสามารถไว้อาลัยกับป้ายวิญญาณของอาลู่ได้

และละอายใจ

"ถงถง……ไม่ต้องกลัว"

ในหู มีเสียงทุ้มต่ำของผู้ชายดังขึ้น

เจี่ยนถงตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ได้สติขึ้นมาทันที อาศัยแสงในความมืด มองใบหน้าของคนที่นอนคว่ำอยู่บนตัวเธอ……ใบหน้าคุ้นเคยกลายเป็นเถ้าถ่าน ใบหน้าที่เธอไม่อาจลืมได้

หัวหน้าอันธพาลสังเกตเห็นอะไรอย่างว่องไว "คุณหนูเจี่ยน พวกแกรู้จักกันรึ มันเป็นใคร?"

เจี่ยนถงตอบอย่างไม่แยแส

"พวกเราไม่รู้จักกัน พวกแกไม่ได้ทำเพื่อเงินหรือไง?

พวกแกต้องการแค่มือข้างหนึ่งของฉัน ปล่อยคนที่ไม่รู้เรื่องไปซะ พวกแกไม่ต้องลงมือ ฉันทำลายมือของฉันเองได้ พวกแกแค่ไปรายงานผลการทำงาน ฉันไม่ต้องการติดค้างบุญคุณคนอื่น"

ชายผู้เป็นหัวหน้าหัวเราะเอิ๊กอ๊าก

"แกคิดว่าฉันโง่เหรอ?

ไม่รู้จัก?

โกหกใคร?"

ถ้าไม่รู้จัก จะสามารถสนิทสนมถึงขั้นเรียกชื่อเล่นของผู้หญิงคนนี้ได้เหรอ?

"แกจะพูดไม่พูด?" ชายผู้เป็นหัวหน้าเรียกชายร่างใหญ่ "ช่างเถอะ อย่าสนใจผู้ชายคนนี้เลย อย่างไรเสียคืนนี้พวกเราต้องออกไปจากเมือง S และไม่กลับมาอีกแล้ว

ไอ้ตัวใหญ่ เอ็งรีบหน่อย หักแขนข้างหนึ่งของมันเร็วๆ "

ชายร่างใหญ่โหดเหี้ยมจริงๆ พุ่งไปถีบเสิ่นซิวจิ่น "นี่ไม่ใช่เรื่องของแก ไสหัวไปซะ"

"ไม่ ฉันไม่ยอมให้พวกแกทำร้ายถงถง"

"ไอ้อ้วน ลากตัวผู้ชายคนนี้ไป" หัวหน้าอันธพาลดึงบุหรี่ออกมา สูดเข้าไปหนึ่งที "เร็วเข้า ทำงานเสร็จพวกเราต้องหนี"

ชายร่างอ้วนขึ้นชื่อเรื่องพละกำลัง เดินเข้าไปลากคนออกจากบนตัวของเจี่ยนถง "น้องชาย อย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลย"

เขาออกแรงอย่างหนัก แต่ก็ลากคนไม่ออก

หัวหน้าอันธพาลรำคาญ "ในเมื่อลากออกมาไม่ได้ งั้นก็ไม่ต้องลาก ไอ้ตัวใหญ่ ทุบไปด้วยกันเลย มันแส่หาเรื่องเอง อย่าให้ตายก็พอ ไม่เชื่อหรอกว่าทุบมันเจ็บแล้ว มันจะยังปกป้องคุณหนูเจี่ยนอยู่"

เจี่ยนถงหน้าซีดทันที

"ออกไป!เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาย!" เธอตะคอกใส่เขาคนนั้น "บอกให้นายออกไปไง ไม่ได้ยินเหรอ?"

"ไม่ อาซิวจะไม่ให้ใครรังแกถงถง"

"นายไม่เชื่อฟังใช่ไหม" ในเวลาจำเป็น ทำได้เพียงหงายไพ่ออกมา "ถ้าไม่เชื่อฟัง พรุ่งนี้ไปอยู่กับซีเฉินเลย"

เธอทำหน้าโหด แต่ในใจกลับยุ่งเหยิง เสียงอู้อี้ที่ไม้เบสบอลฟาดลงไปบนหลัง ทุกครั้งที่ฟาดลงไป เธอจะได้ยินคนนี้ส่งเสียงอู้อี้อดทนกับความเจ็บปวด

ในวินาทีนั้นเอง จู่ๆ ก็นึกถึงเสิ่นซิวจิ่นเมื่อก่อนอย่างชัดเจน

ถ้าเขามีสติ ทำไมถึงกร่างอย่างน่ารังเกียจแบบนี้

ถ้าเขามีสติ คงมีวิธีเด็ดขาด กำราบอันธพาลเหล่านี้ไปนานแล้ว

ตุบ!

ตุบ!

ตุบ!

……เสียงไม้ทุบลงบนหลังดังต่อเนื่อง หัวใจของเธอเกิดความเจ็บปวดที่อธิบายยากอย่างไม่รู้สาเหตุ

ตรงหน้า อ้อมกอดของเขา เธอเงยหน้าขึ้น มองเห็นเขาคนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ขมวดคิ้วอย่างเจ็บปวด จู่ๆ ก็มีฝ่ามือใหญ่จับท้ายทอย กดเธอลงไปในอ้อมแขนของเขาใหม่

"ถงถง อดทนนะ ไม่ต้องกลัว อาซิวจะปกป้องถงถง"

เจี่ยนถงสูดลมหายใจเข้าช้าๆ ความเจ็บปวดที่ไม่ได้พบกันเสียนาน ค่อยๆ เอ่อล้นหัวใจ……เธออดทน?

เธออดทนอะไร?

เขาบอกจะปกป้องเธอ

เสิ่นซิวจิ่น แต่ไหนแต่ไรโอหังเหมือนหมาป่า ใช้อำนาจบาตรใหญ่เหมือนเสือ เป็นผู้ชายดื้อรั้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ผู้ชายแบบนี้ บอกว่าจะปกป้องผู้หญิง แน่นอนสามารถใช้วิธีการเด็ดเดี่ยว ปกป้องผู้หญิงคนนั้นได้อย่างปลอดภัย

แต่ในตอนนี้คนที่บอกว่าจะปกป้องเธอ สติปัญญาของเขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง เขาไม่ได้ดื้อรั้นมีวิธีกล้าหาญเหมือนเสิ่นซิวจิ่น เขาคนนี้จะเอาอะไรมาปกป้องเธอ?

เธออยู่ในอ้อมแขนของเขา เบิกตากว้าง เขาจะเอาอะไรมาปกป้องเธอ?

แผ่นหลังของเขาถูกไม้เบสบอลทุบตีแทนเธอ

เขาคนนี้ ใช้ร่างกายเดียวที่มี ปกป้องเธอ ไม่ให้เธอได้รับบาดเจ็บ

เธออยู่ในอ้อมแขนของเขา ลืมตามอง ไม่ยอมหลับตาลง น้ำตาคลอเบ้า

เธอไม่รู้ว่าทำไมน้ำตาถึงไหลออกมา ได้ยินเสียงคนนั้นร้องอู้อี้ด้วยความเจ็บปวด

เสิ่นซิวจิ่นเมื่อก่อนจะเอาไม้ทุบตีคนที่คิดจะคุกคามเขา ส่วนเสิ่นซิวจิ่นในตอนนี้ ใช้ไหล่ แผ่นหลัง และร่างกายตนเองขัดขวางอันตรายจากโลกภายนอกให้เธอ

เจี่ยนถงหัวตาร้อนผ่าว

แก้มของเจี่ยนถงเปียก จากเหงื่อบนหน้าผากของคนตรงหน้า

หัวตาร้อนผ่าว ผลักเขาอย่างแรง คนตรงหน้าถูกเธอผลักโซเซไปสองก้าว "ถงถง อย่า……"

"ไม่เป็นไร " เธอยื่นมือออกไป คว้าแขนคนนี้ที่กำลังจะกอดอีกอย่างมั่นคง ชายร่างใหญ่มองเห็นเธอ หัวเราะอย่างดุร้าย

"ยังกลัวหาตีเจ้าตัวไม่ได้ แกนี่จะรู้จักคิดสักหน่อย ทำตัวเชื่อฟัง……"

หางตาของเธอเหลือบเห็นไม้เบสบอลที่ชายร่างอ้วนทำหล่นบนพื้น จึงย่อตัวลงไปหยิบขึ้นมา ทุบไปที่อีกฝ่ายทั้งตัวสะเปะสะปะ

ฝีมือการทุบไม่ชำนาญมาก และไม่มีลำดับขั้นตอน เธอก็ไม่รู้ว่าตีโดนหรือเปล่า แค่ในตอนนี้ สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดเต็มเปี่ยม ความต้องการต่อต้านเต็มเปี่ยม

"หลีกไป!"

"ไสหัวไป!"

"อย่าเข้ามานะ!"

"บอกให้พวกแกไสหัวไป ไม่ได้ยินรึไง!"

ไม้เบสบอลบ้าคลั่ง เหมือนเม็ดฝนรวมตัวโหมกระหน่ำไปรอบทิศทาง

ตะโกน "ไสหัวไป" ไม่หยุด ด้วยความเศร้าสุดขีด

เธอลืมไปแล้ว ลืมว่านานแค่ไหนที่ไม่ได้ต่อต้านอย่างรุนแรงและตรงไปตรงมาแบบนี้

เมื่อปีนั้น ตอนเพิ่งจะติดไปในกับดักที่ไม่คุ้นเคย เผชิญหน้ากับการกดขี่ เธอเคยต่อต้านและต่อสู้อย่างรุนแรง

ลืมเวลาที่แน่นอนไปแล้ว ลืมแล้วว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ตั้งแต่วันไหน ที่เธอเริ่มเงียบไม่พูดจา เริ่มไม่ต่อต้านอีก เริ่มอยู่เหมือนศพเดินได้

แต่วันนี้ ราวกับว่า ได้กลับมาเป็นคนเดิมก่อนที่จะเงียบไม่พูดจา

มือไม้สั่น แต่กลับบีบไม้เบสบอลเอาไว้แน่น ตีไปที่เงาสีดำรอบด้านที่พยายามเข้ามารุมล้อมอย่างสะเปะสะปะ ตีโดนบ้าง ตีพลาดบ้าง เธอก็แยกไม่ถูกว่าตีโดนอันธพาลพวกนั้นหรือเปล่า

เพียงแต่ ในขณะนี้เอง ทุกการเหวี่ยงไม้ออกไป ทำให้เธอหายใจหอบอย่างปลอดโปร่ง

เธอรู้สึกชื่นใจ รู้สึกเหมือนฝนตกเป็นไม้เบสบอล สามารถทำร้ายอันธพาลเหล่านั้นได้

หัวหน้าอันธพาลมีการตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขาถูกไม้ทุบตี ความโกรธอุดตันในหัวใจ เมื่อได้สติคืนกลับมา "อะไรวะเนี่ย" ถลกแขนเสื้อ เตรียมก้าวขึ้นไป เมื่อเงยหน้าขึ้น กลับเห็นฉากปีศาจร่ายรำสะเปะสะปะ

ผู้หญิงคนนั้น เหมือนเป็นคนบ้า ทุบตีสะเปะสะปะตามอำเภอใจ การทำร้ายแบบนี้ แน่นอนไม่สามารถทำอะไรผู้ชายตัวใหญ่อย่างพวกเขาได้ แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่มองอะไรเลย ไม่มองทิศทาง ไม่มองผู้คน สนใจทุบแค่ผู้ชายที่อยู่รอบตัวเธอ

การตีสะเปะสะปะแบบที่ไม่ออกอะไรแบบนี้ ถึงแม้ทำอะไรพวกเขาไม่ได้ แต่เพราะไม้เบสบอลไม่มีลูกตา พวกเขาจึงไม่กล้าก้าวเข้าไปใกล้

"ถุย!" หัวหน้าอันธพาล ถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างรุนแรง นัยน์ตาโหดเหี้ยม โบกไม้เบสบอลในมืออย่างดุร้าย

"คิดจะขู่ใครวะ

ไอ้ตัวใหญ่ พวกเราสองคนแบ่งกันจัดการ"

ในที่สุดชายร่างอ้วนก็ได้สติกลับมา รีบพุ่งไปแย่งไม้เบสบอลในมือของเจี่ยนถง แน่นอน เขาก็ถูกตีหลายครั้ง

เพิ่งจะแย่งไม้เบสบอลมาไว้ในมือ หัวหน้าอันธพาลใช้ไม้ทุบอย่างรุนแรงทันที ตั้งใจทุบลงบนไหล่ของเจี่ยนถง

เห็นว่าใกล้จะสำเร็จแล้ว ดันมีคนพุ่งตัวเข้ามาจากด้านข้าง งุ่มง่ามเหมือนวัวตัวใหญ่ กอดเอวเขาไว้แน่น "ถงถง รีบหนีไป"

เจี่ยนถงอึ้ง ยืนอยู่กับที่ นิ่งงันเป็นไก่ไม้ไปชั่วขณะ

เขาคนนั้นตรงหน้ากอดอันธพาลไว้แน่น ตะโกนให้เธอวิ่ง

ใต้ฝ่าเท้า เหมือนถูกตะปูตอกเอาไว้ ขยับเขยื้อนไม่ได้

ชายร่างอ้วนถือไม้เบสบอลเอาไว้ คิดไม่ถึงว่าจะทำไม่ลง

ไม่รู้ว่าเจตนาหรือเปล่า ไม่ทันระวังขว้างทางของชายร่างใหญ่

ในเมืองSรถสายตรวจยามค่ำคืนของเมือง แทบจะทุกคืน มักจะลาดตระเวนถนนบางสายอย่างแน่นอนตามเวลาที่กำหนดไว้ ทุกเขตปกครองมีเวลาที่ตายตัว

เสียงรถสายตรวจดังมาแต่ไกล อันธพาลเหล่านั้นสีหน้าเปลี่ยนพร้อมกัน

หัวหน้าอันธพาลมองผู้ชายที่ยังคงกอดเอวของเขาไว้แน่นอย่างลนลาน ใบหน้าร้อนรน "ปล่อยมือ!" เขาไม่มีเวลาชักช้า ยกไม้เบสบอลขึ้น ตุบ—

"จะปล่อยไม่ปล่อย!"

ตุบ—

"บอกให้ปล่อยไม่ปล่อย แกอยากตายใช่ไหม!"

ตุบๆๆ —

เหมือนกับเจี่ยนถงจะได้สติกลับมา ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน โกยแนบไปที่ปากซอย

"ช่วย—"

ชายร่างใหญ่ร้องลนลาน

"ไอ้อ้วน!รีบขวางมันเอาไว้!ระวังมันจะดึงดูดความสนใจจากรถสายตรวจ—"

ชายร่างอ้วนกลับสะดุ้งโหยงทันที โกยแนบออกไป ปิดปากเจี่ยนถงไว้อย่างว่องไว

"อู้—"

ชายร่างใหญ่วิ่งมาทันที "อะไรเนี่ย!ไหนบอกว่ามันขาหัก?วิ่งเร็วมาก!

ถ้าเร็วกว่านี้ มันคงจะวิ่งออกไปแล้ว!"

พูดไปพลาง พร้อมกับตบหน้าของเจี่ยนถง "ใครบอกให้แกวิ่ง!คิดจะหาเรื่องให้พวกฉัน!ไม่แปลกใจที่คนอื่นไม่ชอบขี้หน้าแก!"

เหลือบมองชายร่างอ้วนอีกครั้ง "พี่อ้วน แกเป็นคนอ้วนที่ปราดเปรียว ทำได้ไม่เลว โชคดีที่แกมือเท้าว่องไว ไม่อย่างนั้น—"

แสงไฟของรถสายตรวจ ผ่านปากซอยไป

คนเหล่านั้นหวาดผวา

เจี่ยนถงหมดหวัง

"ใครทำอะไร สวรรค์มีตา" เธอสาปแช่งอย่างเปล่าประโยชน์

ชายร่างใหญ่เหมือนถูกประโยคนี้ของเธอกระตุ้นความโกรธ ยกไม้เบสบอลในมือขึ้น "ปากดีนักนะ!รอก่อนเถอะ!จะทำให้แกเสียแขนข้างหนึ่ง"

เสียงรถสายตรวจห่างออกไป ชายร่างใหญ่ไม่กังวลอย่างเมื่อสักครู่ ยังคงคิดเยาะเย้ย

"ในไม่ช้าแขนข้างหนึ่งของแกจะต้องบอกลาแกแล้วล่ะ

ทำไม มีอะไรอยากจะพูดรึเปล่า?"

เจี่ยนถงพูดไม่ออก ตาแดงก่ำ

"ห้ามตีถงถง!"

เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติขึ้นทันที

ในสายตาของอันธพาลเหล่านี้ ผู้ชายงุ่มง่าม ราวกับมีการช่วยเหลือจากพระเจ้า กอดเอวพี่ใหญ่ของพวกเขาไว้ จนช่วงเอวพลิกคว่ำ

แรงเยอะเหมือนวัว ไม่มากไปกว่านี้

ยังคงงุ่มง่าม กลับโยนคนที่ก่ออาชญากรรมลงพื้นอย่างรุนแรง

ลมจากด้านหลังศีรษะ ชายร่างใหญ่กวัดแกว่งไม้เบสบอลขึ้นสูง ถูกคนดึงเอาไว้จากด้านหลัง เขาคนนั้นพุ่งตรงมาทางนี้อย่างงุ่มง่าม

โดยแท้จริง การต่อสู้ไม่มีกฎเกณฑ์

แต่ทว่า พุ่งเข้าใส่อย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ

ชายร่างใหญ่ยังไม่ทันได้พูดออกมา ก็ถูกชนล้มไปบนพื้น ในขณะนั้นเอง ยังคงงงๆ อยู่บ้าง ทำไมเขาจึงถูกไอ้ทึ่มนี้เอาชนะได้?

ชายร่างอ้วนวิ่งเข้าไป เงยหน้าขึ้น กลับเห็นท่าจะไม่ดี

แสงในยามราตรี เขาเงยหน้าขึ้น ปะทะกับดวงตาอันน่าสะพรึงกลัว เลือดสีแดงฉานเต็มไปหมด สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ ในดวงตาคู่นั้น ลูกตาดำสนิท เยือกเย็นหาที่เปรียบไม่ได้ เปล่งประกายแสงไอสังหาร

ในชั่วพริบตา สมองของชายร่างอ้วนเกิดความรู้สึกที่ชัดเจนขึ้นมาทันที—เขาคนนี้ฆ่าคนได้จริง!

คนที่น่ากลัวคนนั้น กลับทำหน้าถือทิฐิ พูดกับเขาอย่างโง่เขลา "ฉันจะไม่ทำร้ายแก!แกไม่ได้ทำร้ายถงถง"

ชายร่างอ้วนหวาดกลัวแววตาคู่นั้นจนเสียวสันหลังวาบ

เขากัดฟันพูด "ขอบคุณ" หลังจากพูดจบ จึงพบว่า ตนเองพูดอะไรโง่ๆ ออกไป สีหน้าหงุดหงิด

"ไอ้อ้วน!อย่าปล่อยพวกมันไป! ไม่อย่างนั้นพวกเราจบเห่แน่!" หัวหน้าอันธพาลยังไม่หมดสติไป เงยคอสั่งชายร่างอ้วน

ในใจของเขาสั่นสะท้านทันที……ใช่ ปล่อยไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพวกเราทุกคนจบเห่แน่นอน!

ชายร่างอ้วนคิดจะลงมือ กลับคิดถึงแววตาคู่นั้นขึ้นมาทันที โตมาจนป่านนี้ ไม่เคยเห็นแววตาแบบนั้นเลย

แววตาแบบนั้น คนทั่วไปไม่สามารถมีได้แน่นอน

ชายร่างอ้วนลังเล

"ไอ้อ้วน เอ็งนี่มันชอบอิดออดจังเลย!"

เจี่ยนถงร้อนใจ มองเห็นชายร่างอ้วนกำลังสองจิตสองใจ

ตอนนี้คนที่สามารถลงมือได้ ก็มีแค่ชายร่างอ้วน หัวหน้าอันธพาลกับชายร่างใหญ่ต่างบาดเจ็บไม่น้อย

"ปล่อยพวกเราไป ฉันรับรองว่าจะไม่สืบสวนเรื่องคืนนี้ ไม่อย่างนั้น คนของพวกแกบาดเจ็บหนักขนาดนี้ คืนนี้จะออกไปจากเมืองSได้ยังไง?"

เธอพูดไปหลอกล่อไป "ส่วนเรื่องเงิน ฉันให้หนึ่งล้าน พวกแกเอาไปแบ่งกัน ไม่อย่างนั้น……" เธอมองไปที่คนด้านข้าง คนนั้นก็บาดเจ็บไม่มาก หากยังต้องพัวพันกับคนเหล่านี้อีก ยากที่จะรับประกันว่าสุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้น

ท่ามกลางความวิตกกังวล สติปัญญาค่อยๆ กลับมา แววตาของเธอเฉียบขาดทันที

"พวกแกมีสองทางเลือก

ข้อแรก ปล่อยพวกฉันไป เรื่องคืนนี้ ฉันจะไม่ตามสืบ พรุ่งนี้เงินหนึ่งล้านจะโอนเข้าบัญชีธนาคารของพวกแก แกรอด ฉันก็รอด

ส่วนข้อสอง ทำเรื่องนี้ให้วุ่นวาย ทันทีที่พวกแกจะก้าวเท้าออกไปจากที่นี่ ฉันแจ้งความทันที และเสนอเงินหนึ่งล้าน ประกาศจับพวกแกทั่วประเทศ

แน่นอน ฉันไม่กลัวพวกแกลงมือฆ่าฉันสองคนเลยหรอก แต่พวกแกต้องคิดดูนะ

ไม่ว่าอย่างไรฉันก็เป็นบุคคลสาธารณะครึ่งหนึ่ง ตายอยู่ในซอยอย่างน่าสงสัยแบบนี้

ไม่ว่าจะเป็นความคิดเห็นของสื่อมวลชนก็ดี หรือจะเป็นวงการค้าก็เถอะ จำเป็นต้องมีการชี้แจง

ถึงตอนนั้น พวกแกยังจะสามารถหนีออกไปจากที่นี่ได้เหรอ?

คิดให้ดีนะ หนึ่งล้านนี้ พวกแกจะเอาแล้วจากไปเสียตอนนี้ หรือจะให้คนอื่นเอาไปส่วนพวกแกต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไม่เจอใครไปตลอดชีวิต"

เจี่ยนถงพูดอย่างสมเหตุสมผล หน้าใหญ่ใจโตอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่มีเพียงเธอที่รู้ว่า ตอนนี้หัวใจของตนเองเต้นแรงมาก

มีเพียงเธอที่รู้ว่า ฝ่ามือของตนเองชุ่มเหงื่อ

คำที่เธอพูดออกไป มันคือการเสี่ยงดวง

ชายร่างอ้วนดูเหมือนจะอยากถอย "พี่ใหญ่ ผมว่าพวกเราพอแค่นี้เถอะ……"

"หุบปาก!"

หัวหน้าอันธพาล มองไปที่ใบหน้าของเจี่ยนถง สายตาเอาแน่เอานอนไม่ได้ "แกเด็ดเดี่ยวแบบนี้ ไม่กลัวฉันใจร้อน จัดการแกเสียเลยหรือไง?"

"มีวิธีที่ดีกับทั้งสองฝ่ายอยู่แล้ว ฉันรอด แกรอด ทุกคนรอด แต่ถ้าแกต้องการให้พังกันทั้งสองฝ่าย ฉันก็ทำอะไรไม่ได้" เจี่ยนถงในเวลานี้ สงบเยือกเย็นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

"ฉันคิดว่าแกก็เป็นคนฉลาดนะ

ออกมาทำเรื่องเหล่านี้ ก็เพื่อเงิน

อย่างแรกฉันไม่ต้องการให้แกเปิดเผยคนจ้างวาน อย่างที่สองให้ยอมถอยไป คิดถึงใจเขาใจเราสิ เห็นได้ชัดว่าพวกแกทำร้ายคนตรงหน้า แต่ฉันยังให้เงินพวกแกล้านหนึ่งอีก……ถ้าจะคิดแบบนี้

ไม่ว่าจะเป็นศักดิ์ศรีหรือเนื้อแท้ พวกแกต่างมีกันหมด

คนโง่ยังรู้เลยว่า ควรจะเลือกยังไง"

สายตาเอาแน่เอานอนไม่ได้ของหัวหน้าอันธพาลระยิบระยับ หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด

"คุณหนูเจี่ยนช่างเข้าใจดี!ในเมื่อทุกอย่างที่คุณหนูเจี่ยนพูดมา คนโง่ต่างรู้ว่าควรเลือกยังไง

พวกพี่ก็ไม่ใช่คนโง่ด้วยสิ"

ก้อนหินที่กดทับหัวใจของเจี่ยนถงถูกยกขึ้น อยากจะพักหายใจ กลับไม่กล้าผ่อนคลาย ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะขึ้น เธอก็หัวเราะตามอย่างไม่ใส่ใจ

"พูดแบบนี้ แสดงว่าตกลงใช่ไหม?"

ยิ่งเธอทำอย่างส่งเดช หัวหน้าอันธพาลดูเหมือนจะยิ่งไม่กล้าบุ่มบ่าม "เชื่อถือคำพูดของคุณหนูเจี่ยนได้หรือเปล่า?พวกเราจะรู้ได้ยังไง หลังจากนี้แกจะตามแก้แค้นพวกเราหรือเปล่า?"

"ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้น พวกแกก็แค่ทำเพื่อเงิน

มีคำโบราณกล่าวว่า ไม่มีเวลาเป็นร้อยเป็นพันวันป้องกันขโมย ถ้าหลังจากนี้ฉันแจ้งความแก้แค้นพวกแก ถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นในนั้น หนึ่งในพวกแกให้พวกแกหนีไป

ชีวิตอีกหลายสิบปี ฉันไม่คิดจะซ่อนระเบิดเวลาไว้ในความมืด คอยจ้องหาทางแก้แค้นฉัน?"

ได้ยินคำพูดเหล่านี้ หัวหน้าอันธพาล ถึงจะคลายความระมัดระวัง มองเจี่ยนถงอย่างลึกซึ้ง

"คุณหนูเจี่ยนสุดยอดจริงๆ

พูดจารวบรัด เข้าประเด็น

เรื่องวันนี้ คุณหนูเจี่ยน พวกพี่ต้องขอโทษด้วย

สำหรับคุณหนูเจี่ยนแล้ว พวกพี่มีเพียงคำเดียว ยอม!"

"ไอ้อ้วน มา ช่วยพยุงหน่อย" เขาพูดจบ ร้องเรียกชายร่างอ้วน คนเหล่านี้ประคองกันเดินกะเผลกออกไป

ผ่านไปสักพักหนึ่ง

นานจนไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกเขา สายลมโชย เจี่ยนถงตัวสั่นอย่างรุนแรง……ตึ้ง—พิงเข้ากับกำแพงทันที ทรุดลงพื้น

"ถงถง เธอสุดยอดไปเลย"

เธอเอื้อมมือไปเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก เงยหน้าขึ้น ปะทะเข้ากับสายตาที่เปล่งประกายไปด้วยแสงแห่งความชื่นชม ความรู้สึกแปลกประหลาดลอยขึ้นมาบนหัวใจ……เป็นครั้งแรกที่เสิ่นซิวจิ่นชื่นชมเธอยกย่องเธอ

ถูกเสิ่นซิวจิ่นจ้องมองอย่างเลื่อมใส นี่มันคือความรู้สึกแบบไหนกัน?……เจี่ยนถงยื่นมือออกไป ดันศีรษะตรงหน้าออก

มือถูกคว้าเอาไว้

"เอ๋ ถงถง ทำไมมือของเธอเปียกแบบนี้?"

"……"

"ถงถง เธอนั่งทำอะไรบนพื้น?" เขาคนนั้นส่งเสียงเสียงจีๆ จาๆ เตรียมตัวนั่งบนพื้นตามเธอ

"นั่งแบบนี้สบายมาก งั้นฉันก็……"

"นายหุบปาก!" เธอเริ่มปวดหัวอีกครั้ง เอื้อมมือไปถูขมับ

เขาคนนั้นยังคงถามจีๆ จาๆ "ถงถง บนพื้นสบายไหม?"

กร๊อบ……เธอสาบาน เธอได้ยินเสียงกระดูกข้อนิ้วของตนเอง

เพื่อป้องกันคนคนนี้พูดมาก เจี่ยนถงชำเลืองมองอย่างไม่สบอารมณ์

"ฉันขาอ่อน"

"งั้น……"

เจี่ยนถงรีบพูดแทรกคนนั้น "นายจะถามว่าทำไมฉันถึงขาอ่อนใช่ไหม?" เขาคนนั้นมองเธออย่างแปลกใจ ดวงตาคู่นั้นใสสะอาดจนไม่สามารถปิดบังความคิดได้

เห็นเช่นนี้ เจี่ยนถงหรี่ตาลง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสนิทสนม "เมื่อกี้นายถามว่าบนพื้นสบายไหมเหรอ?"

"ใช่ ถงถง บนพื้นสบายไหม?"

"นายเข้ามาสิ ใช่ ขยับเข้ามาใกล้ๆ " เธอยิ้มกวักมือเรียก ด้วยท่าทางสนิทสนมและอ่อนโยน อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ในสายตาของเสิ่นซิวจิ่นที่มีสติปัญญาเหมือนคนอายุ 8 ขวบ เธอคือพี่สาวตัวเล็กที่ใจดี

ดูสิ พี่สาวตัวเล็กยิ้มแบบนี้สวยมาก มองอย่างไรก็ไม่พอ

"อืม อืม ใช่ ยังไกลอยู่ ขยับเข้ามาอีกนิด"

รอยยิ้มของพี่สาวตัวเล็กดูดีขึ้นเรื่อยๆ

"เอาล่ะ นายนั่งลง นั่งแล้วก็จะรู้ว่าสบายหรือเปล่า"

เจี่ยนถงชี้ไปด้านข้างอย่างสนิทสนม เขาคนนั้นเบิกตากว้างอย่างเซ่อซ่า "จริงเหรอ ?" พร้อมกับนั่งลงไปจริง

เจี่ยนถงสีหน้าดูไม่ดีทันที "ยืน!"

"อา……"

"ห้ามขยับ!" เธอหน้าบึ้ง "ฉันพูดอะไรนายก็เชื่อรึไง?นายไม่คิดเหรอว่า บนพื้นมันจะสบายได้ยังไง?"

"ถงถงพูดถูกทุกอย่าง ถงถงพูด ฉันเชื่อหมด"

คำพูดที่ไร้เดียงสาแบบนั้น แววตาที่ใสสะอาดแบบนั้น……การเชื่ออย่างง่ายดายแบบนั้น!

ความรู้สึกอึดอัดใจแทบจะทะลักออกมาจากหัวใจของเธอ

"ฉันพูดอะไร…… นายก็เชื่อเหรอ?"

"ใช่ ถงถงพูดอะไร อาซิวก็เชื่อ!"

เธอเงียบไป

เงียบไปนานมาก

จนเมื่อเขาคนนั้นมีท่าทางประหม่าตรงหน้าเธอ "ถงถง บนพื้นหน่ะ……ดูเหมือนจะไม่ค่อยสบาย นั่งแล้วเย็นๆ "

เหลือบมองดู จึงพบว่า ในขณะที่ตนเองก้มหน้าจมดิ่งสู่ความคิดของตนเอง เขาคนนั้นเชื่อฟังคำพูดของเธอนั่งลงไปบนพื้นจริงๆ

สายตางงงัน หายวับไปทันที ปกปิดอย่างไร้ร่องรอย

"นั่น……อาจเพราะวันนี้อาซิวสวมกางเกงผิด จึงไม่ค่อยสบาย ครั้งหน้าจะเปลี่ยนเป็นอีกตัว" เขาคนนั้นคิดว่าเธอไม่ชอบที่เขาสงสัยคำพูดของเธอ จึงพูดเสริม

แสงระยิบระยับในแววตาของเจี่ยนถงค่อยๆ หายไป "งั้น ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ถ้าฉันพูด นายก็เชื่อทุกอย่างใช่ไหม?"

"อืม ถงถงพูดอะไร อาซิวเชื่อทุกอย่าง เชื่อไปตลอดชีวิต"

เขาคนนั้นให้คำสาบานอย่างจริงใจ

เจี่ยนถงก้มหน้า……คราวนี้เงียบไปหลายวินาที ยกมือขึ้นทันที "บนพื้นเย็น พยุงฉันขึ้นไปหน่อย"

เขาคนนั้นลุกขึ้น ช่วยพยุงเธออย่างเต็มใจ เธอชนโดนเข้า เขาร้อง "อูย~" แทบจะล้มลงพื้น

เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ ร่างกายของเขาน่าจะบอบช้ำ จึงจับแขนข้างหนึ่งของเขาโดยไม่พูดอะไรสักคำ เดินกะเผลกกลับบ้านอย่างไม่รีบร้อน

"ตลอดชีวิต……คนทึ่มๆ อย่างนาย รู้จักพูดเรื่องตลอดชีวิตด้วยเหรอ?"

ตลอดชีวิต……ภายใต้รูปลักษณ์ธรรมดาๆ มีเสียงหนึ่งร้องตะโกน อย่าเชื่อเขา เขาเป็นไอ้ทึ่ม

เธอขจัดความอบอุ่นในร่างกายออกจนไม่มีเหลือ ไม่ทิ้งอะไรไว้

สีหน้าท่าทาง ค่อยๆ กลับมาเย็นชา

"นายไปโผล่ตรงนั้นได้ไง?"

สองคนช่วยกันประคอง กลับมาถึงบ้าน เธอเปิดประตูเข้าไป

ในตอนนี้มีสติมากขึ้น หันตัวไปทันที สายตาเคร่งขรึมพินิจพิจารณาเขาคนนั้น

ทำไมเขาถึงบังเอิญไปปรากฏตัวอยู่ที่นั่น?

เขาคนนั้นดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นว่าอารมณ์ของเธอเปลี่ยนไป ชี้ที่ระเบียงอย่างใสซื่อ "ถงถงไปทำงานทุกวัน อาซิวยืนอยู่ตรงนั้น มองดูรถของถงถงออกไป

อาซิวรู้เวลาเลิกงานของถงถง "

ความหมายที่ซ่อนอยู่คือ ทุกวันตอนช่วงเวลาที่เธอเลิกงาน เขาจะหมอบที่ระเบียงดูรถของเธอขับมา

เธอตะลึงงันอย่างไม่คิดมาก่อน คำตอบแบบไหน เธอเคยคิดแล้ว จนแม้แต่ แม้แต่…… สงสัย……

เพียงแค่ ไม่เคยคิดถึงคำตอบแบบนี้

"ตึกสูงขนาดนี้ มองเห็นด้วยรึ ?" เธอนึกขึ้นได้

เขาคนนั้นกลับดึงเธอไปที่ระเบียงอย่างกระตือรือร้น "พี่ซีเฉินให้ของพวกนี้กับฉัน"

เจี่ยนถงมองเห็นสิ่งของมากมายที่ระเบียง ตะลึงงันอีกครั้ง

"ติดตั้งมานานแล้ว" ได้ยินเขาคนนั้นพูดไม่หยุด

เธอก้มหน้า……ติดตั้งมานานแล้วเหรอ?

แต่เธอ จนถึงวันนี้ เพิ่งรู้ว่า ระเบียงบ้านตนเองมีสิ่งของมากมายเช่นนี้

กล้องส่องทางไกลประเภทนี้ กับประเภทที่ขายในซูเปอร์มาร์เก็ตกับร้านขายของเล่น เป็นคนละแบบกัน

เจี่ยนถงไม่ค่อยรู้จักกล้องส่องทางไกล แต่คลับคล้ายคลับคลาว่า กล้องส่องทางไกลประเภทนี้เป็นของมืออาชีพแน่นอน

ดังนั้น—ทุกวันตอนเธอเข้างานเลิกงาน เขาจะหมอบตรงระเบียงมองส่งเธอไป และมองเธอกลับมา?

ทันใดนั้นเอง เธอหาคำพูดอย่างอื่นไม่เจอจริงๆ

"ถงถง เวียนหัว"

เขาคนนั้นดึงแขนเสื้อเธออย่างลำบากใจ

เธอหันไปมองใบหน้าของเขา ภายใต้โคมไฟ เมื่อตั้งใจมอง จึงพบว่าบนใบหน้าและร่างกายของเขา อยู่ในสถานการณ์คับขันสุดๆ

ไม่เพียงแค่นั้น ใบหน้าของเขาขาวซีด ริมฝีปากซีดเซียว

เธอไม่พูดอะไรสักคำ เอื้อมมือไปลากเขาคนนั้น เดินไปห้องรับแขก ก้าวเดินอย่างรีบร้อน เมื่อถึงห้องรับแขก เธอก็ไม่พูดอะไรอีก เอื้อมมือผลักเขาไปที่โซฟา

ไม่พูดจาสักคำ "แคว่ก" ฉีกเสื้อผ้าของเขาออก

น่าตกใจสุดๆ !

รอยช้ำและคราบเลือดเต็มสองตา

"หันตัวไป" เธอพูดสั่ง

"อืม" เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ เขาคนนั้นเชื่อฟัง

เมื่อหันตัวไป ยิ่งเห็นสภาพน่าเวทนาตรงหน้า เธอสูดลมหายใจเข้า

"นายอยู่นิ่งๆ ฉันจะโทรหาซีเฉิน!"

เจี่ยนถงสีหน้าเคร่งขรึม รีบวิ่งไปควานหามือถือในกระเป๋า

กลับถูกคนคว้ามือเอาไว้ "ถงถง ไม่เจ็บ ไม่ต้องโทรหาพี่ซีเฉิน"

"ไม่ได้ นายบาดเจ็บไม่น้อยเลย"

"ไม่ต้อง อาซิวไม่เวียนหัวแล้ว"

เขาคนนั้นดื้อรั้นไม่ยอมปล่อยให้เธอหยิบมือถือ เจี่ยนถงรำคาญ สะบัดมือจะกดโทร มือถือกลับถูกแย่งไป

เธอหน้าตึง ยื่นมือออกไป "เอาคืนมา"

"ไม่เอา"

"เสิ่นซิวจิ่น ฉันจะพูดแค่อีกครั้ง เอาคืนมาให้ฉัน นายบาดเจ็บหนักมาก"

"ไม่เอา"

เธอคิดจะโมโห กลับมองเห็นเขาทำหน้าหงุดหงิด ข่มความโกรธในใจ เธอถอนหายใจแรง คายความยุ่งเหยิงออกมา ถามเขาด้วยความอดทน

"ทำไมถึงไม่เอา?"

"ฉันไม่อยากให้พี่ซีเฉินรู้ว่าฉันบาดเจ็บ ไม่อย่างนั้นพี่ซีเฉินจะโกรธ"

เจี่ยนถงอึ้งไป มองคนตรงหน้าอีกครั้ง

ซีเฉินจะโกรธจริงๆ

แต่ ไม่ได้โกรธเสิ่นซิวจิ่น โกรธเธอต่างหากล่ะ

"พี่ซีเฉินของนายไม่มีทางโกรธนายหรอก"

"ฉันรู้"

"นายรู้แล้วยัง……" เธอพูดอย่างฉุกละหุก จู่ๆ เสียงก็ขาดไป ดวงตาใสสะอาดมองคนตรงหน้าเงียบๆ พักหนึ่ง "พี่ซีเฉินก็ไม่มีทางโกรธฉันหรอก"

เขาคนนั้นไม่ยอมพูด

ไม่โต้แย้ง และไม่ยอมส่งมือถือให้เธอ

เธอทำได้เพียงถอนหายใจ ถอดเสื้อเชิ้ตบนตัวเขาออก ตรวจสอบจนทั่ว ลูบคลำอย่างระมัดระวัง เธอไม่ได้เรียนหมอมา แต่พอมีความรู้ทั่วไป

"รู้สึกไม่สบายตรงไหนไหม"

"ไม่……"

"ห้ามโกหก"

เขาคนนั้นอ้าปาก ผ่านไปสักพักจึงพูดอย่างลำบากใจ "เจ็บ"

เธอได้ยิน วิตกกังวลทันที "เจ็บตรงไหน เจ็บแบบไหน?"

"เจ็บตรงส่วนที่โดนไม้ตี"

บริเวณที่โดนตีต้องเจ็บอยู่แล้ว แต่เธอกลัวเลือดออกภายใน

แต่ที่ซอยนั้น บริเวณที่ไม้ฟาดลงมา คือส่วนหลัง มีความเป็นไปได้น้อยที่จะเกิดเลือดออกภายใน

แต่ก็ไม่กล้าชะล่าใจ

อีกอย่างหนึ่ง เธอกลัวเขาจะได้รับบาดเจ็บที่กระดูก

"ฉันจะลองจับดู ถ้าจับตรงไหน แล้วรู้สึกเจ็บเป็นพิเศษ เจ็บไม่เหมือนกับตรงส่วนอื่น นายจะต้องบอกฉัน"

"อืม"

พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

ในตอนนี้เจี่ยนถงไม่มีความคิดอื่น แค่ต้องการความมั่นใจ ว่าร่างกายของเขาบาดเจ็บรุนแรงแค่ไหน

เธอเอื้อมมือไปกดทุกส่วนบนร่างกายของเขา

โดยเฉพาะที่กระดูก ต้องใช้แรงกดเล็กน้อย "รู้สึกเจ็บเป็นพิเศษหรือเปล่า" ทุกครั้งที่กดลงไปตรงส่วนไหน ก็จะเอ่ยถาม

แรกเริ่มเขาคนนั้นส่ายหน้าอย่างเชื่อฟัง ให้ความร่วมมือดีมาก

แต่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาเริ่มหลบ

เจี่ยนถงสังเกตเห็นอย่างว่องไว เขาคนนั้นหลบสายตาด้วย

เธอหน้าตึงทันที "บอกว่าอย่าโกหกไง"

"ฉันไม่ได้โกหก!"

"โกหก!ถ้านายไม่ได้โกหก ทำไมต้องหลบด้วย"

"ฉัน ฉัน……"

"เจ็บตรงนี้ใช่ไหม" เธอออกแรงกดเพิ่มเล็กน้อย ในบริเวณเมื่อสักครู่ที่เขาหลบ

"อย่า"

เจี่ยนถงสีหน้าเคร่งขรึมอย่างยิ่ง "ไหนบอกว่าไม่ได้โกหก ส่งมือถือมาให้ฉัน!ต้องโทรหาซีเฉิน ให้หมอมา"

ถ้าไม่ได้โกหก เขาหลบอะไร

เขาคนนั้นร้อนรน รีบพูด

"อย่าโทรหาพี่ซีเฉินเลย

ฉันจะพูดแล้ว"

เจี่ยนถงทำหน้าขรึมไม่พูดอะไร สีหน้าแสดงคำว่า "นายพูดมาสิ"

"นอกจากเจ็บ อาซิวร้อน"

เจี่ยนถงได้ยิน สีหน้าเปลี่ยนไปมาก!

ร้อน!

"พรึบ" ลุกขึ้นทันที คงจะไม่ใช่เลือดออกภายในนะ!

"ตอนนี้พวกเราต้องไปโรงพยาบาล !" เธอไม่กล้าล่าช้า ถึงแม้จะให้ซีเฉินพาหมอมา ก็กลัวว่าจะช้าเกินไป ถ้าเลือดออกภายในจริง ต้องรีบไปโรงพยาบาล

แต่เขาคนนี้ถ้าไปโรงพยาบาลอย่างโจ่งแจ้ง ถูกคนรู้เข้าจะทำอย่างไร

ในแววตาของเธอมีความกดดัน ยังต้องตามซีเฉิน……ยังต้องติดต่อไป๋ยู่สิง ในเมื่อไป๋ยู่สิงอยู่ในสายงานนี้ มักจะต้องมีวิธีการใช้เส้นสาย

ภายใต้สายตาของจิ้งจอกเฒ่าตระกูลเสิ่น ต้องเตรียมการให้รอบคอบอย่างยิ่ง

"ฉันไม่ไป"

"เสิ่นซิวจิ่น นายอย่ามาเอาแต่ใจตอนนี้สิ"

เธอหน้าดำคล้ำเครียด

"เอาแบบนี้ นายบอกฉันมา ร้อนตรงไหน?" เธอพิจารณารอบด้าน ไม้เบสบอลตีเข้าที่หลัง เป็นไปได้ที่จะเกิดรอยฟกช้ำ ไม่น่าจะเกิดเลือดออกภายใน

"ตรงที่ถงถงจับ"

"หือ?"

เธอไม่เข้าใจ

"ตรงที่ถงถงจับ มันร้อน ต่อมาตรงที่ถงถงไม่จับ มันก็ร้อน " เขาคนนั้นพูดอย่างไร้เดียงสา

"ถงถง อาซิวร้อนไปทั้งตัว"

ร้อนตรงส่วนที่เธอจับ ตรงส่วนที่ไม่จับก็ร้อนด้วย?

เลือดออกภายในลุกลามเหรอ?

เธอสีหน้าเปลี่ยนทันที!

ร้ายแรงขนาดนี้แล้วเหรอ?

ไม่น่าล่ะเขาถึงเวียนหัว!

"ไป ตอนนี้ต้องไปโรงพยาบาลแล้ว!" เธอไม่กล้าล่าช้า ต่อให้จิ้งจอกเฒ่าตระกูลเสิ่นจะสังเกตเห็นอะไร

ดึงเขาขึ้นคิดจะออกไป

"ถงถง อาซิวร้อนจังเลย แถมผ่อนคลายอีกด้วย ถงถงจับอาซิวต่ออีกหน่อยสิ"

"ฉันจะไปหยิบเสื้อผ้า นายเปลี่ยน……" เท้าที่เธอวิ่งไปที่ข้างห้องนั่งเล่น หยุดชะงัก ค่อยๆ เหยียบพื้น หันข้างมา มองคนด้านหลังถูกเธอจูงมือเดิน

"ผ่อนคลายมาก?" เธอถามเสียงสูง แปลกใจอย่างพูดไม่ออก

"อืม ที่แท้มือของถงถงก็มีเวทมนตร์ ตรงส่วนที่ถงถงโดน มันร้อนอย่างผ่อนคลาย"

เจี่ยนถงได้ยินเสียงฟันล่างฟันบนของตนเองกระทบกัน "เสิ่นซิวจิ่น นายมานี้ ฉันจะทายาให้"

สะบัดมือคนนั้นทิ้งไป เธอเดินมาข้างโซฟาอย่างใจเย็น

ซีเฉินงุนงง เสิ่นซิวจิ่นไม่ให้เขาไปบ้านของเจี่ยนถง ไม่เพียงแค่นั้น หลังจากหมอประจำบ้านของเขาให้น้ำเกลือเสิ่นซิวจิ่นครั้งสุดท้ายเสร็จ ก็ดูเหมือนมีเรื่องหนักอกหนักใจ

ซีเฉินรู้สึกว่า เจี่ยนถงจะต้องรู้อะไร

ผลปรากฏว่าโทรหาเจี่ยนถง อีกฝ่ายเหมือนกินลูกระเบิดมา คำพูดทั้งเปิดเผยและเป็นส่วนตัว ประณามว่าเขาซีเฉินเป็น "เพลย์บอย" "ขี้เล่น" "ทำคนอื่นเสียนิสัย"

ซีเฉินมองมือถือที่ถูกอีกฝ่ายตัดสายทิ้ง ยิ่งงุนงง

บอกว่าเขาเป็นเพลย์บอย……แปลกแฮะ เขาซีเฉินเป็นเพลย์บอย เห็นชีวิตเป็นเกม เจี่ยนถงไม่ใช่เพิ่งจะรู้

อีกอย่าง มันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย?

แถมยังบอกว่าเขา "ทำคนอื่นเสียนิสัย" ……เขาจะทำใครนิสัยเสีย?

ซีเฉินลองคิดดูหลายๆ ด้าน คิดอยู่ครึ่งวัน ก็หาข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ไม่เจอ

เจี่ยนถงวางสายซีเฉิน ยังคงโกรธมาก

ส่วนไอ้ทึ่มในบ้านนั้น พูดให้ดูดีคือไร้เดียงสา พูดอย่างไม่น่าฟังคือ "โง่" มันคือความทรงจำและจิตใจที่กระตุ้นกลับมาใหม่โดยสิ้นเชิง

ไอ้ทึ่มนั้น จะเข้าใจของแบบนั้นได้อย่างไร

ความร้อนรุ่มอะไรนั่น……เธอเคยเห็นเด็กอายุ 8 ขวบ รู้จักของแบบนั้นด้วยเหรอ?

ไม่ใช่ซีเฉิน แล้วใครจะเป็นคนสอน!

ดังนั้น ซีเฉินถึงกลายเป็นแพะรับบาปเช่นนี้

วางมือถือลง วิเวียนบังเอิญเคาะประตูทันที

"เรื่องความลับรั่วไหล ยังสืบไม่เจออีกรึ?"

เดิมทีเรื่องนี้ ไม่สามารถแพร่งพราย ทำได้เพียงแอบสืบจากช่องโหว่

และเพราะเช่นนี้ ถึงจะมัดมือมัดเท้าได้

วิเวียนส่ายหน้าอย่างกังวลใจ

"ไม่ต้องสืบแล้ว"

"ประธานเจี่ยน ทำไมถึงไม่ลองถามหัวหน้าฝ่ายการเงินดูล่ะคะ?"

"ฉันเชื่อใจเขา ถ้าเขาต้องการให้ความลับรั่วไหล เขาเองจะต้องเจอกับคุกเป็นอย่างแรก แต่ถ้าเขาไม่ได้มีความต้องการให้ความลับรั่วไหล เขาอาจจะไม่รู้ก็ได้ ช่วงนี้ไม่จำเป็นต้องกวนใจพนักงานเก่า"

เจี่ยนถงขมวดคิ้วไตร่ตรอง ใบหน้าครุ่นคิด "เอาแบบนี้ คุณให้ฝ่ายบุคคลส่งประวัติส่วนตัวทั้งหมดของพนักงานฝ่ายการเงินมาที่อีเมลฉันก่อน"

"คุณต้องการหาเป็นคนๆ ไปเลยรึคะ ?

ไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร"

"ฉันถึงตรวจสอบที่ฝ่ายการเงินก่อนไง วิเวียน เจี่ยนซื่อกรุ๊ปไม่สามารถปล่อยระเบิดเวลาเอาไว้ได้นะ"

"ถ้าตรวจหาที่ฝ่ายการเงินไม่เจอ ต้องหาทั้งบริษัทเลยไหมคะ?คุณรู้ไหมว่าเจี่ยนซื่อกรุ๊ปมีพนักงานทั้งหมดกี่คน?"

ตามหาแบบนี้ ไม่ใช่วิธีการที่ดี

เธอไม่คิดว่า เจี่ยนถงจะมีความคิดโง่เขลาที่สุดแบบนี้

"ช่างเถอะ ฉันจะไปจัดการค่ะ" วิเวียนรู้ ผู้หญิงคนนี้ดูเงียบๆ ความจริงมีนิสัยโผงผางเป็นพิเศษ

ตอนดึก

เจี่ยนถงอยู่ในห้องทำงาน อ่านสิ่งที่วิเวียนส่งมาให้

ประวัติส่วนตัวใบหนึ่ง ดึงดูดความสนใจของเธอ

บนประวัติใบนั้น รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว หญิงสาวหน้าตาสะสวย ผิวขาว ดูเป็นผู้หญิงที่มีความคล่องแคล่ว

เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเบอร์โทรออก "เหล่าจิน คุณมาที่ห้องทำงานของฉันหน่อย"

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่คาดคิดว่า ในเวลานี้ เธอจะพูดความต้องการนี้ขึ้นมา "ตอนนี้?"

จากเสียงแปลกใจของอีกฝ่าย ฟังออกว่าเขาไม่ค่อยเต็มใจ

ผู้หญิงตรงหน้าโต๊ะทำงานสงบเยือกเย็น " ตอนนี้" แต่ไม่ต้องสงสัยเลย

"แต่……"

อีกฝ่ายยังคิดจะหลบเลี่ยง เจี่ยนถงวางสายอย่างไม่แยแส

เธอไม่กลัวอีกฝ่ายจะไม่มา

เป็นไปตามคาด หนึ่งชั่วโมงผ่านไป

เขามาถึง

เหล่าจินเป็นผู้ชายวัยกลางคนอายุ40กว่า ในฐานะหัวหน้าฝ่ายการเงินของบริษัทมหาชน เงินเดือนปีละสองล้าน โดยยังไม่รวมโบนัส เหล่าจินถือว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในสายตาผู้คน

เมื่อเหล่าจินมาถึง แม้จะไม่พูดอะไร ก็ไม่อาจควบคุมสีหน้าตำหนิได้

เจี่ยนถงมองเห็น ลุกขึ้นรินน้ำชาให้เขาแก้วหนึ่ง ส่งให้ตรงหน้า

ดึกขนาดนี้ เรียกคนออกมาจากบ้าน สายเดียวเรียกให้มาที่ห้องทำงาน แน่นอนว่าไม่ค่อยมีเมตตาสักเท่าไหร่

แต่—

ถ้าทุกสิ่งที่เธอคาดเดามีความเป็นไปได้สูงมาก ถ้างั้น เหล่าจินก็ไม่มีความเมตตาต่อเธอ

เจ้านายเทน้ำชาให้ตนเองกับมือ ถึงแม้จะฉุนเฉียวมากแค่ไหน เหล่าจินก็ทำได้เพียงปล่อยไป

ยกชาขึ้นดื่มหนึ่งคำ

คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คหน้าโต๊ะทำงานหันไปทางเขา

"ลองดูหน่อยสิ รู้จักคนนี้ไหม?"

เหล่าจินชำเลืองประวัติส่วนตัวใบนั้นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค "เธอเป็นผู้ช่วยของผม"

"นอกจากนั้นล่ะ?"

เหล่าจินได้ยินคำนี้ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที ถามอย่างข้องใจ

"ประธานเจี่ยน นี่คุณหมายความว่าอะไร?"

"คุณอย่าร้อนใจไป" เจี่ยนถงยังคงนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานของตนเอง และไม่ตกใจกลัวเหล่าจินที่โมโหอย่างผิดปกติเพราะถูกดูหมิ่น ชี้ไปบนรูปภาพบนประวัตินั้น

"เรื่องส่วนตัวของพนักงาน ฉันไม่ค่อยสนใจหรอก

เป็นแค่ผู้ช่วยหรือเปล่า ฉันก็ไม่สนใจ" ตราบใดที่ไม่กระทบการทำงาน พฤติกรรมลับๆ เหล่านี้ เธอไม่คิดจะให้ความสนใจ

แต่เห็นได้ชัดว่าเหล่าจินยังไม่รู้ตัวว่าวันนี้เรื่องที่เธอเรียกเขามาร้ายแรงนัก

"เหล่าจิน คุณทำงานให้เจี่ยนซื่อกรุ๊ปมากี่ปีแล้ว?"

"ยี่สิบปีครับ"

"ถึงฉันเพิ่งจะรับช่วงต่อเจี่ยนซื่อกรุ๊ป แต่มองดูแล้ว ตอนคุณปู่ฉันยังอยู่ พวกเราเคยเจอกันมาก่อน ก็นับว่ารู้จักกันมายี่สิบปีแล้ว"

เธอชี้ไปที่ภาพนั้น

"เรื่องที่เกิดขึ้นกับฉัน บางที พวกคุณเองคงจะรู้ไม่มากก็น้อย

งั้นคุณรู้ไหม ผู้หญิงคนนี้ ฉันรู้จักหรือเปล่า?"

"ประธานเจี่ยนรู้จักเธอ?"

เหล่าจินอดประหลาดใจไม่ได้

"อืม รู้จัก ฉันออกจากคุกมา ไม่มีที่อยู่ จึงไปที่ตงหวง เดาว่าคุณน่าจะรู้จัก

เหตุผลสำคัญที่ฉันไปตงหวง เพราะที่ตงหวงมีหอพักให้พนักงาน

จะว่าไป เธอคือรูมเมทคนแรกหลังจากฉันออกมาจากคุก"

เจี่ยนถงไม่หลบเลี่ยงเรื่องไร้เกียรติในสายตาคนอื่นที่ผ่านไปแล้ว สิ่งที่เคยเกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อน ไม่ว่ามันจะดีหรือไม่ดี ถึงเธอจะตั้งใจลืม ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่เคยเกิดขึ้น

เหล่าจินไม่ใช่คนโง่ ได้ยินมาถึงตรงนี้ เริ่มไม่สบายใจขึ้นมา

เจี่ยนถงเห็นเขาหลบสายตา ก็ไม่บังคับเขา พูดต่อไปว่า

"ตอนแรกเธอทำร้ายฉัน ต่อมาเธอโชคร้าย เอาแต่คิดว่าเป็นเพราะฉัน"

พูดถึงตรงนี้ เธอเอ่ยต่อไปว่า

"พูดตรงๆ ก็คือ พวกเรามีความแค้นต่อกัน พูดให้ถูกต้องคือ เธอคิดไปเองว่า พวกเรามีความแค้นกัน"

เหล่าจินยิ่งนั่งไม่ติด บนหน้าผากที่ล้านไปนานแล้ว มีเหงื่อหยดลงมา

เจี่ยนถงเห็นเหล่าจินสีหน้าลำบากใจ แววตาของเธอมีความผิดหวัง

ยังไม่ยอมพูดอีกเหรอ?

กำลังเตรียมจะไม่ไว้หน้าเหล่าจิน อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นฉับพลัน พูดอย่างวิตกกังวลและเกรงกลัว

"ฉินมู่มู่คนนี้ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าเธอมีปัญหา

เธอยั่วยวนผม ผมเป็นผู้ชาย ก็เลยคบกับเธอ

แต่ผมไม่ได้ต้องการทำลายเจี่ยนซื่อกรุ๊ป

เธอพักอยู่นอกวงแหวนที่สี่ ผมมีอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ห้องหนึ่งที่นั่น ปกติผมก็จะไปที่นั้น

บางครั้งก็เอางานกลับไปทำ

เธออยู่กับผมมาสองปี ในระหว่างนั้นไม่มีเรื่องอะไรแย่ๆ

อีกอย่าง ผมคิดว่า เธอก็ทำงานที่เจี่ยนซื่อกรุ๊ป และยังอยู่ในฝ่ายการเงิน แผนกของผมเอง ด้านหนึ่งก็เป็นพนักงานที่ผมไว้ใจได้ อีกด้านหนึ่งก็เป็นกิ๊กที่นอนอยู่ข้างๆ ผม

ประธานเจี่ยน ผมไม่รู้จริงๆ ว่าฉินมู่มู่แท้จริงแล้วมีความคิดแบบนั้น"

เขาไม่มีการตอบสนองใดอีก ในคืนนี้ เข้าใจสาเหตุที่เจี่ยนถงเรียกเขาขับรถมาบริษัทกลางดึก และเข้าใจแล้วว่าความลับของบริษัทรั่วไหลจากไหน

"ฉันอยากเจอเธอ"

เธอทำการตัดสินใจและพูดอย่างแน่วแน่ ไม่ใช่การขอร้อง แต่เป็นคำสั่ง

เหล่าจินรู้จักขอบเขต รู้ว่าเธอไม่ยอมถอย

พยักหน้าอย่างกดดัน " ผมจะพาคุณไป "

เขาก็รู้ว่า อีกฝ่ายต้องการเจอฉินมู่มู่เดี๋ยวนี้

อีกฝ่ายสามารถโทรหาเขากลางดึก ขุดเขาออกมาจากบ้านได้ นั่นเพราะตัดสินใจแก้ปัญหาอย่างเฉียบขาดไม่มีการประนีประนอม

ยังมีอีกอย่างหนึ่ง ที่เหล่าจินรู้ดี อีกฝ่ายไม่มีความเชื่อใจให้เขาเหมือนที่ผ่านมาแล้ว

เหล่าจินไม่ได้พูดไร้สาระ พาคนไปอพาร์ตเมนต์ที่วงแหวนที่สี่ทันที

เมื่อเสียงกริ่งประตูดังขึ้น คนข้างในเปิดประตู พร้อมกับเสียงงัวเงีย อันไพเราะน่าฟัง "กลับมาแล้วรึคะ?เรื่องสำคัญอะไรเหรอ เจ้านายของพวกคุณน่าเบื่อไหม"

"เจ้านายของเขาไม่น่าเบื่อหรอก ไม่งั้นจะมาโผล่ตรงหน้าเธอได้ยังไง"

ประตูเปิดออก เสียงอันเยือกเย็นดังขึ้น ราดใส่คนในประตู ซึมเข้าไปในหัวใจ หนาวไปทั้งตัวหัวจดเท้า โดยไม่ทันได้ป้องกันตัว

"แก แก ทำไมถึงเป็นแก?"

ฉินมู่มู่ยังคงเหมือนเดิม เปรียบเทียบกับในความทรงจำของเธอ มีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น เจี่ยนถงสีหน้าเรียบเฉยสนุกกับฉินมู่มู่ที่กำลังหน้าดำหน้าแดง

"เหล่าจิน ทำไมเธอถึงได้……" ฉินมู่มู่หันไปหาเหล่าจินด้านหลังเจี่ยนถง

ในตอนนี้สมองของเธอตามไม่ทันที

เหล่าจินผลักเธอเพราะกลัวขายหน้า "เข้าบ้านก่อน คุยกันข้างใน ดึกป่านนี้แล้ว ยืนอยู่ตรงทางเดิน รบกวนเพื่อนบ้าน"

เจี่ยนถงทำตามคำแนะนำ

แน่นอน รบกวนผู้อื่นกลางดึกเป็นสิ่งไม่ดี

ฉินมู่มู่บิดมือ หลังจากทั้งสามคนเข้าไปในบ้าน เหล่าจินขยันขันแข็ง รินน้ำชาให้เจี่ยนถง ด้วยความกระตือรือร้นอย่างมาก ส่วนฉินมู่มู่เอาแต่จ้องมองเจี่ยนถง

"เธอทำงานที่เจี่ยนซื่อกรุ๊ปเหรอ?"

คำถามแรก ก็ลิขิตให้ฉินมู่มู่พ่ายแพ้

เธอดูสิ หล่อนเป็นเจ้านาย เธอทำงานให้หล่อน

สีหน้าของฉินมู่มู่ดูไม่ได้ทันที

พูดด้วยความโมโหอย่างไม่อดไม่ได้

"ฉันทำงานที่เจี่ยนซื่อกรุ๊ป ทำงานอย่างขยันขันแข็งไม่ได้หรือไง?"

"ทำงานอย่างขยันขันแข็ง?" เจี่ยนถงเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

แต่ฉากนี้ในสายตาของฉินมู่มู่ ยิ่งอึดอัดใจ

"เรื่องตอนนั้นผ่านไปแล้ว ใช่ ตอนนั้นไม่ให้ฉันปรากฏตัวที่เมือง Sอีก

แต่ฉันยังต้องมีชีวิตอยู่

เจี่ยนถง เธอไม่มีความจำเป็นต้องกำจัดให้สิ้นซากใช่ไหม?"

เรื่องของฉินมู่มู่ เธอไม่ได้รู้เยอะ ตอนนี้ได้ยินเข้า นัยน์ตาของเจี่ยนถงฉายความแปลกใจแวบหนึ่ง สังเกตฉินมู่มู่อย่างละเอียด ไม่ติดใจอะไรมากในหัวข้อนี้

"ถ้าเธอทำงานอย่างขยันขันแข็งจริง ฉันจะทำเป็นไม่เห็นเธอ"

เหล่าจินกระอักกระอ่วนใจ "ประธานเจี่ยนเธอ……รู้หมดแล้ว เธอบอกไปเถอะ"

ฉินมู่มู่แทบจะหยุดหายใจ พูดอย่างลนลาน

"จะให้ฉันบอกอะไร!"

"ฉินมู่มู่ ถ้าเธอไม่พูด ฉันก็มีวิธีรู้ได้ แค่จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง"

เจี่ยนถงประสานมือ วางลงบนเข่า พูดอย่างใจเย็น

เหมือนกับฉินมู่มู่ถูกสบประมาท มองไปที่เจี่ยนถงอย่างอัปยศ

"เธอจะให้ฉันพูดอะไร!บอกอะไร!ใช่ ฉันทำงานให้เจี่ยนซื่อกรุ๊ป แต่ฉันไม่ได้แอบขโมยอะไรไปขายนะ!"

เจี่ยนถงหรี่ตา แน่นอนฟังออกถึงความถากถางในคำพูดของฉินมู่มู่

เหล่าจินกลับตกใจตำหนิฉินมู่มู่ "จะพูดไม่พูด!"

เจี่ยนถงโบกมือให้เหล่าจิน "ไม่เป็นไร สิ่งที่เธอพูดไม่ใช่เรื่องโกหก" ตอนอยู่ที่ตงหวง คงไม่ใช่แค่ทรยศตนเอง

อ้างอิงจากวิธีพูดของคนนั้น เธอเจี่ยนถง ขายความอัปลักษณ์และความภาคภูมิใจของตัวเอง เธอยังเคยขายชีวิตมาแล้ว

"เหอะๆ เธอยอมรับแล้วเหรอ?" ฉินมู่มู่กลับหัวเราะเยาะขึ้นมา "ในที่สุดเธอก็ยอมรับ ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้ไร้ยางอายแบบนี้"

บนใบหน้าเย็นชาของเจี่ยนถง ริมฝีปากกระตุกเล็กน้อย ดูถูกตัวเอง……ยอมรับแล้วเหรอ?

ยอมรับ?

เธอเจี่ยนถงไม่เคยยอมรับที่ไหนกัน!

เพ่งมองฉินมู่มู่อย่างลึกซึ้ง เธอกำลังคิดว่า ตอนนั้นทำไมถึงเกิดหายนะนั้นอีก

ฉินมู่มู่ถูกสายตาของเธอจ้องมองจนขนลุก

เธอขมวดคิ้ว " ถ้าความยุ่งเหยิงนั้นผ่านไปแล้ว ตอนนี้ฉันคงมายืนอยู่ตรงหน้าเธอไม่ได้

ฉินมู่มู่ ฉันจะเตือนสติเธอให้นะ

เงินทุนของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปขาดช่วง"

ฉินมู่มู่สีหน้าเปลี่ยน "ฉันไม่รู้ว่าเธอพูดเรื่องอะไร " โดยไม่ทันได้คิดพูดอย่างระแวดระวังทันที

เจี่ยนถงกลับยิ้ม

"ดูสิ เธอได้ยินว่าเงินทุนของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปขาดช่วง คาดไม่ถึงว่าคำตอบแรกจะบอกว่าไม่รู้ว่าฉันพูดเรื่องอะไร

เธอเป็นผู้ช่วยอยู่ข้างกายเหล่าจินมาหลายปีแล้ว

ความรู้ทางการเงินเบื้องต้น ก็ต้องรู้สิ

กระแสเงินสดของธุรกิจขาดช่วง เป็นเรื่องร้ายแรงที่น่ากลัวมาก

พนักงานทั่วไปในเจี่ยนซื่อกรุ๊ป ได้ยินข่าวนี้ ก่อนอื่นคงจะช็อก จากนั้นสงสัยว่าข่าวนี้จริงหรือปลอม

แต่เธอกลับไม่

ปฏิกิริยาแรกของเธอคือไม่ยอมรับอย่างคาดไม่ถึง"

ฉินมู่มู่หน้าซีดเล็กน้อย ยังคงหาเรื่องใส่ตัว "ฉันจะไปรู้ได้ไงว่าเธอพูดเรื่องอะไร เงินทุนขาดช่วงอะไรนั้น ไม่เคยได้ยินมาก่อน"

เจี่ยนถงได้ยินเข้า หัวเราะเหน็บแนม เธอพยักหน้า ชี้ไปที่เหล่าจินด้านข้าง

"ผู้ช่วยของคุณ?มีมาตรฐานแบบนี้เหรอ?"

เหล่าจินแทบจะกัดฟันแหลกละเอียด "ปกติเธอไม่ใช่แบบนี้"

"โอ้~ปกติไม่ใช่แบบนี้ วันนี้กลับเป็นแบบนี้?" ความหมายของคำพูดนี้ ไม่สามารถชัดเจนไปมากกว่านี้

ในแววตาของฉินมู่มู่ยิ่งทุรนทุราย จ้องมองเจี่ยนถง อยากจะสับเธอเป็นชิ้นๆ แน่นอน แววตาที่ "ลึกซึ้ง" นี้ อยู่ในสายตาของเจี่ยนถง

เธอพิจารณารอบด้าน ก็คิดไม่ออก ระหว่างเธอกับฉินมู่มู่ มีความคั่งแค้นอะไรกัน ถึงต้องถูกอีกฝ่ายจงเกลียดจงชังเช่นนี้ไปตลอดชีวิต

"เธอมีหลักฐานอะไร ถึงมาใส่ร้ายว่าฉันเผยแพร่ความลับ?"

เห็นเธอพูดจามีเหตุผล ทำท่าทางจริงจัง เจี่ยนถงสนุกสุดๆ "เมื่อสักครู่จนถึงตอนนี้ ฉันได้พูดสักคำว่าเธอเผยแพร่ความลับหรือยัง?"

สิ้นคำ ใบหน้าสวยงามของอีกฝ่าย แดงขึ้นทันที ท่าทางอึดอัด ระบายออกมาไม่ได้ ทนกับความเจ็บปวดภายใน

เจี่ยนถงมองอีกฝ่ายอยู่นาน หลังจากผ่านไปนาน ถอนหายใจออกมาเบาๆ "ช่างเถอะ เรื่องนี้พอแค่นี้

ฉินมู่มู่ ระหว่างฉันกับเธอ ไม่ได้เคียดแค้นจนอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้

แต่เธอจำเอาไว้ อย่าคิดวางแผนกับฉันอีก" นี่คือครั้งสุดท้าย

ฉินมู่มู่ไม่ได้ใจดี และไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น

ได้เห็นความชั่วร้ายที่แท้จริง กลางดึก จะมีอะไรน่ากลัวอีก

"แต่เธอ ฉันไม่กล้าให้อยู่ในบริษัทต่อ" ระเบิดเวลาชิ้นหนึ่ง เธอจะปล่อยไว้ได้อย่างไร

พูดจบ ลุกขึ้นยืน เจี่ยนถงก้าวเดินอย่างเหนื่อยล้าเตรียมจากไป

"หยุดนะ" ด้านหลัง มีเสียงตื่นตระหนกของฉินมู่มู่

เจี่ยนถงหันไปทันที

ฉินมู่มู่โผเข้ามา "เจี่ยนถง!เธออย่าคิดว่าเธอสูงส่ง!มีอะไรน่าสรรเสริญ!อย่ามาทำตัวเป็นคนมีสมบัติผู้ดีมีศีลธรรมสูงส่งเห็นอกเห็นใจคนหน่อยเลย!

ฉันเกลียดท่าทางใจดีของเธอที่สุด

ใช่ !

ฉันเอง!

ฉันเป็นคนเผยแพร่ความลับ!

เธอให้คนมาฟ้องร้องฉันสิ

กล้าไหม?

อย่าลืมนะ เงินก้อนใหญ่ของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปหายไป เงินทุนขาดช่วง แค่เธอกล่าวหาฉัน ทั้งโลกก็จะได้รู้ เจี่ยนซื่อกรุ๊ป เป็นแค่เปลือกกลวงๆ !"

ฉินมู่มู่ต้อนเจี่ยนถงให้จนมุม หน้าอกขยับขึ้นลงอย่างปั่นป่วน "ฉันให้เธอกล่าวหาเลย เธอกล้าไหม?"

เหล่าจินโมโหจนแทบอยากจะเข้าไปตบหญิงโง่คนนี้ ประธานเจี่ยนบอกแล้วว่าเรื่องนี้พอแค่นี้ เธอยังจะหาปัญหาใหม่ขึ้นมาแทรกอีก

"อีกอย่างนะ เจี่ยนถง ถ้าเธอกล่าวหาฉัน พ่อของเธอก็ต้องทุกข์ทรมานไปด้วย"

เจี่ยนถงโกรธ

ไม่ใช่เพราะฉินมู่มู่พูดว่าเจี่ยนเจิ้นตงจะทุกข์ทรมาน แต่เพราะคนที่ทำผิด ไม่มีความสำนึก กลับทำตัวก้าวร้าว!

เจี่ยนถงมองฉินมู่มู่แวบหนึ่งอย่างลึกซึ้ง

"แกเอาเจี่ยนซื่อมาขู่ฉันงั้นเหรอ"

"เจี่ยนถง แกไปฟ้องสิ ถึงตอนนั้นทั้งโลกก็จะรู้ว่าเจี่ยนซื่อก็แค่เปลือกหอยที่ว่างเปล่า

ฉันมีความสุขที่เห็นแกเสียทุกอย่างไป

แกที่เสียทุกอย่างไปแล้ว ยังจะสามารถมายืนไต่สวนฉันอยู่หน้าฉัน ท่าทางทำตัวสูงส่งเหมือนตอนนี้อีกหรือไม่!"

ที่เธอเกลียดสุดก็คือเจี่ยนถง เธอมีสิทธิ์อะไรมาทำท่าทีไม่ถือสาคนอื่นแบบนี้

คนที่อดีตเคยต่ำต้อยแบบนั้น มีสิทธิ์อะไรถึงแค่หันหลังไป ผ่านไปสามปีก็ใช้ชีวิตดีกว่าเธออีกแล้ว

ผู้หญิงที่สกปรกและต่ำต้อยอย่างเจี่ยนถงแบบนี้ ตัวเองกลับไม่มีวันเทียบกันได้เลย?

"แกมีความสามารถอะไรเหรอ มันก็แค่ลูกสืบทอดกิจการจากพ่อเองนิไม่ใช่เหรอ

ทุกสิ่งทุกอย่างที่แกมี ล้วนเป็นคนในครอบครัวของแกให้มา

ไม่ ไม่ใช่สิ

คือแกแย่งมาจากในมือของคนในครอบครัวแกเอง

เจี่ยนถง แกไม่ใช่แค่ต่ำทรามอย่างเดียว แกยังใจดำด้วย

ขนาดคนในครอบครัวของตัวเองยังไม่ยอมปล่อยเลย!"

"ปัง!" มือของเหล่าจินกำลังสั่นอยู่ "คุณพูดมั่วอะไรอยู่! ประธานเจี่ยนบอกแล้วว่าเรื่องที่แล้วก็แล้วกันไป คุณยังจะวุ่นวายอีกถึงเมื่อไหร่!"

ทันใดนั้นฉินมู่มู่กลับบ้าไปแล้ว หันหัวแรงๆ ที จ้องตามองเจ้าหัวล้านเหล่าจินที่อยู่ข้างๆ

"แกคิดว่าแกดีไปถึงไหนเหรอ

ตอนแรกแกก็ดูถูกผู้หญิงคนนี้เหมือนกันนิ บอกว่าเธอโหดเหี้ยมอำมหิต ขนาดคนในบ้านเดียวกันก็ไม่ยอมปล่อยไม่ใช่เหรอ!"

สีหน้าของเหล่าจินขาวซีดลงมาทันที รีบมองไปที่หน้าของเจี่ยนถง "ประธานเจี่ยน ไม่ใช่……ไม่ใช่เป็นอย่างที่คุณคิดแบบนั้นนะ"

"ไม่ต้องปฏิเสธเลย กล้าพูดแต่ไม่กล้ายอมรับงั้นเหรอ

อย่างน้อยฉันก็ดีกว่าอย่างหนึ่ง ฉันยอมรับในสิ่งที่ฉันทำ! แกกล้าไหมล่ะ!"

"เจี่ยนถง แกนึกว่าแกชนะใจคนมากเลยเหรอ

แกรู้หรือเปล่าว่าทั้งบริษัทอยู่ลับหลังเรียกแกว่าอะไร

แบล็ควิโดว์!

อ๊ะ ฉันลืมไปแล้ว แกก็แค่แรงงานนักโทษที่ไม่ได้จบการศึกษาแม้แต่มัธยมเลยนิ จะไปรู้ได้ยังไงว่าความหมายของแบล็ควิโดว์คืออะไร

ให้ฉันช่วยอธิบายให้แกฟังหน่อยไหม"

เจี่ยนถงแค่มองใบหน้าอันโกรธเคืองสุดๆ ที่อยู่ข้างหน้านี้อย่างเงียบๆ อดีต เธอไม่เคยโมโหเพราะเรื่องแบบนี้เลย ปัจจุบัน ยิ่งไม่เกิดควันใดๆ ขึ้นมา

"พูดจบหรือยัง"

ภายใต้หัวใจที่ขึ้นๆ ลงๆ อย่างแรงกับสายตาอันปนเปไปด้วยความโกรธเคือง เจี่ยนถงเปิดปากถามด้วยเสียงเรียบอย่างไร้อารมณ์

"ฉินมู่มู่ แกรู้ไหมว่าทำไมเมื่อกี้ฉันถึงยอมไม่ถือสาเรื่องที่แกเปิดเผยความลับ ปล่อยให้เรื่องมันผ่านไป"

ฉินมู่มู่ยื่นคอขึ้นมาจนเส้นลมปราณโป่งพองขึ้นมาหมด เห็นได้เลยว่าไม่พอใจเจี่ยนถงมากขนาดไหน

"เพื่ออะไรอ่า" เจี่ยนถงถอนหายใจออกมาคำหนึ่งเบาๆ

ฉินมู่มู่จ้องไปแรงๆ "แกไม่ต้องมาสงสารเลย! ทำเป็นเศร้าอาดูรเจ็บแค้นมาให้ใครดู"

"เพื่ออะไรล่ะ……ฉินมู่มู่ เรื่องที่เปิดเผยความลับ ฉันไม่ได้ถามแกรายละเอียดอะไรมาก ไม่ได้ถามแกว่าสมัครใจหรือไม่ได้ตั้งใจ

รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงไม่ไปถือสาเรื่องนี้

ถ้าสมมติว่าแกฉินมู่มู่จงใจอยากจะทำร้ายเจี่ยนซื่อจริงๆ อย่างนั้นสื่อข่าวสื่อข่าวมีตั้งเยอะตั้งแยะ เรื่องที่ห่วงโซ่กองทุนของเจี่ยนซื่อฉีกขาด แค่แกอยากจะเผยแพร่ ก็สามารถวุ่นวายจนคนทั้งโลกรู้กันหมดตั้งนานแล้ว"

ดวงตาของเจี่ยนถงแจ๋วแหวว สะท้อนในตาของฉินมู่มู่โดยไม่หลับตาเลย

"แต่ความเป็นจริงคือจนถึงตอนนี้ ก็มีแค่คาย์อัน เฟโรกิคนเดียวที่รู้เรื่องนี้"

ตอนที่อยู่ในบริษัทเธอก็คิดถึงเรื่องเหล่านี้แล้ว

ข่าวสารคือจดหมายที่มีปีก ถ้ามีคนอยากจะเผยแพร่ให้ทั้งโลกรู้ แบบนั้นทั้งโลกก็รู้ตั้งนานแล้ว

"ฉินมู่มู่ เพื่ออะไรเหรอ เพราะแค่เกลียดฉันอย่างนั้นเหรอ" เพราะฉะนั้นจึงไม่แก้ตัวแม้แต่ประโยคเดียวเลยเหรอ

ฉินมู่มู่ตะลึงอย่างกะทันหัน วินาทีต่อไปกัดริมฝีปากไว้แรงๆ จ้องเจี่ยนถงอย่างเกรี้ยวกราด

"ฉันเกลียดแกมากก็จริง!

คนที่ฉันเกลียดที่สุดในชีวิตนี้ ก็คือแก!

ฉันไม่เคยเกลียดคนไหนเท่าเกลียดแกเลย

แต่อย่างน้อยฉันฉินมู่มู่ก็ไม่ได้ถึงขั้นสติฟั่นเฟือน!

คนทั้งหมดในเจี่ยนซื่อมีครอบครัวเป็นพันๆ ใช้ชีวิตโดยการพึ่งพาเจี่ยนซื่อ

ฉันฉินมู่มู่ถึงจะเกลียดแกจนตบแกหนึ่งฉาด ก็ไม่มีทางทำให้พนักงานจำนวนมากตกงาน ทำให้ตั้งหลายครอบครัวไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้เพราะผลประโยชน์ส่วนตัวแบบนั้น"

เจี่ยนถงมองฉินมู่มู่เนิ่นนาน จู่ๆ ก็ขำ "พู" ออกมาเสียงหนึ่ง ยื่นมือออกมาผลักฉินมู่มู่ออกไป "ต้องบอกเลยว่า ตอนนี้แกเนี่ย น่ารักขึ้นเยอะเลย"

เธอยกมือขึ้นมาดูนาฬิกาข้อมือ "เวลาไม่เช้าแล้ว ฉันขอตัวไปก่อน"

เหล่าจินอยู่ข้างๆ ยังคงอกสั่นขวัญแขวนอยู่ "ประธานเจี่ยน ตอนนั้นที่ผมพูดแบบนั้น คือเพราะว่า……"

"พอแล้ว" เจี่ยนถงไม่ได้ให้เหล่าจินร่ายยาว ขณะที่เธอเปิดปากพูดออกมา สีหน้าของเหล่าจินซีดลง วินาทีต่อมา

"เคยพูดก็คือเคยพูด" เจี่ยนถงกล่าวอย่างสงบนิ่ง "เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะไม่หักโบนัสเดือนนี้ของคุณเพียงเพราะคุณยอมรับความผิดพลาดหรือแก้ตัว"

พูดจบ เจี่ยนถงยื่นมือเปิดประตูห้อง "ฉินมู่มู่ ถึงแม้ฉันจะยกโทษให้แกแล้ว แต่แกอยู่เจี่ยนซื่อต่อไม่ได้ ส่วนเรื่องที่แกเกลียดฉัน ก็เกลียดต่อไปเหอะ" เธอเดินออกไปจากประตูห้อง หันหลังกลับส่องเข้าไปในห้อง "ไปหาคนดีคนหนึ่ง ใช้ชีวิตให้ดี" บนใบหน้าของเธอ ยังมีความทำตัวสูงส่งที่ฉินมู่มู่เกลียดที่สุดห้อยไว้อยู่ "ฉันอนุญาตให้แก เกลียดฉันจนถึงวันที่ฉันตายวันนั้น"

ฉินมู่มู่ก็มองดูด้านหลังอันกะโผลกกะเผลกนั้นหายไปจากหน้าเธออย่างตะลึง

สักครู่ เหมือนกับเบลอๆ งงๆ "เหล่าจิน เธอหมายความว่ายังไง" กระโดดขึ้นมาทันที กระทืบเท้าแรงๆ "ฉันเกลียดการให้ทานที่ทำตัวสูงส่งอันคิดไปเองของเธอแบบนั้นที่สุดแล้ว! ฟ้องฉันสิ! ฉันไม่กลัว!"

……

ท่ามกลางลมยามกลางดึก เมื่อเจี่ยนถงกลับถึงบ้านก็ตีสามแล้ว

ขณะที่เปิดประตูออกมา เปลี่ยนรองเท้าแตะอันรอเจ้าของของเธอกลับมาอยู่ที่วางไว้ตรงทางเข้าเรียบร้อยแล้วคู่นั้นอย่างเคยชิน รองเท้าแตะกระต่ายสีชมพูปุกปุย ตอนปลายฤดูใบไม้ร่วงเท้าจะรู้สึกอุ่นมาก

เธอตะลึงเล็กน้อย ไฟของห้องรับแขกในคืนนี้ปิดอยู่

หลับแล้วเหรอ

นิ้วมือกดสวิตช์ในห้องรับแขกลง ทันใดนั้น ในห้องมีแสงอบอุ่นแล้ว

เธอมองไปทางห้องรับแขกโดยสัญชาตญาณ……ไม่มีคน?

จึงรีบเดินไปที่ระเบียง

บนระเบียงมีกล้องโทรทรรศน์อันวิชาชีพสุดๆ เครื่องนั้นวางไว้อยู่ แต่ไม่มีใครอยู่สักคนเลย

แล้วคนล่ะ

ในใจอยู่ๆ ก็หวาดหวั่นขึ้นมา จากนั้นจึงหันหลังไปที่ห้องนอน ฝีเท้าเร่งรีบไปหน่อย ผลักประตู เปิดไฟ สำเร็จกระบวนเพียงหนึ่งลมหายใจ

ใจที่ยกขึ้นมา ในที่สุดก็ได้วางลงมา

เธอเดินออกสองก้าว ย่อลงไปตรงที่เขาปูที่นอนลงบนพื้น ดูผมยุ่งๆ ของเขาโผล่ออกมาข้างนอกผ้าห่มอย่างยุ่งเหยิง ถ้าไม่ไปคิดคนที่อยู่ในผ้าห่มนี้คือใคร ไม่ไปดูหน้าใบนั้น เธอรู้สึกว่าคนที่อยู่ข้างหน้าคนนี้ก็ยังน่ารักอยู่นิดหน่อย หัวฟูๆ โผล่ออกมาข้างนอก ทั้งคนขดตัวอย่างกับกุ้ง

เขาเล่ากันว่าคนที่กอดตัวเองไว้เป็นหนึ่งก้อน เวลานอนหลับคือคนที่ไม่มีความรู้สึกปลอดภัย

เสิ่นซิวจิ่น ไม่มีความรู้สึกปลอดภัย?

อดรู้สึกตลกไม่ได้ ส่ายหัวไปมาไม่หยุด……เธอรู้สึกว่าคนที่พูดข้อสรุปแบบนั้นออกมาต้องเป็นสิบแปดมงกุฎแน่เลย นั่นมันคำพูดตวัดลิ้นชัดๆ

เธอคิดไม่ออกเลยจริงๆ เพราะอะไรเสิ่นซิวจิ่นถึงไม่มีความรู้สึกปลอดภัย

ถึงคนทั้งโลกไม่มีความรู้สึกปลอดภัย เสิ่นซิวจิ่นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีความรู้สึกปลอดภัย

คนในผ้าห่มเหมือนจะถูกทำตื่นมา ดิ้นเล็กน้อย ลืมตาขึ้นมาตาปรือมาก ขยี้ตาและพูดอ่อนๆ ว่า "ถงถงคุณกลับมาแล้วเหรอ ผมต้มบะหมี่และใส่ไว้ในกระติกน้ำร้อนให้แล้ว ผมไปเอามาให้คุณนะ"

คงหิวจริงๆ แล้ว ผู้หญิงอ่อนโยนมาก ไม่ได้ปฏิเสธ "ได้เลย"

คนนั้นจึงรีบมุดออกมาจากผ้าห่มทันที ขยี้ตาอันง่วงนอนอยู่ แต่กลับวิ่งไปห้องรับแขกอย่างเชื่อฟังแล้ว

อาหารมื้อนี้ คนกินไม่มีเสียง ในตาคนดูเหลือแค่เงาของเธอคนเดียว

ผู้หญิงก้มหน้ากินคำต่อคำ คนนั้นที่อยู่ตรงข้าม สองมือเชยคางไว้ ดูอย่างเงียบๆ

คนที่ไม่รู้เหตุรู้ผล สงสัยจะเข้าใจผิดว่าเป็นคู่สามีภรรยากันที่อยู่กันมาหลายปีมากแล้ว

ดึกสงัดเงียบสงบ

พยากรณ์อากาศเตือนว่ากระแสลมหนาวมาเยือน อุณหภูมิต่ำลงในคืนนี้อย่างกะทันหัน

เจี่ยนถงได้ยินเสียงกรอบแกรบและค่อยๆ ตื่นขึ้นมา พอตั้งหูฟังดีๆ จึงสังเกตได้ว่าเสียงกรอบแกรบมาจากใต้เตียง

ลุกขึ้นมานั่งเบาๆ มองไปที่ใต้เตียง

เธอรู้สึกตลอดเลยว่าความชอบส่วนตัวของคนนี้แปลกประหลาดมาก โซฟาในห้องรับแขกก็ยังดีกว่าที่นอนที่ปูกับพื้นในห้องนอนของเธอ แต่คนนี้กลับทำนิสัยดื้อรั้นขึ้นมา ยอมปูที่นอนลงบนพื้นในห้องนอนของเธออย่างหัวชนฝา ก็ไม่ยอมไปนอนที่ห้องรับแขก

ถ้าให้เธอเลือก เธอยอมไปนอนโซฟาในห้องรับแขก

ขณะนี้มองลงใต้เตียง ฟันของคนนั้นสั่นดัง "เอี๊ยดๆ" เอามือโอบตัวเองไว้แน่นๆ ขดตัวเป็นกุ้งตัวหนึ่ง

"ตื่นอยู่ไหม" ท่ามกลางคืนมืด ผู้หญิงถามอย่างเชื่องช้า ไม่มีเสียงแบบฆราวาส

ภายในห้องนอนเงียบกริบ ไม่มีการตอบกลับใดๆ เลย

"แกล้งหลับไม่ใช่แกล้งแบบนี้นะ" เธอพูดอย่างเรียบเฉย

ผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดคนที่อยู่บนพื้นก็ได้พลิกตัว ลืมตาขึ้นมองเธออย่างละอายใจ

แน่นอนอยู่แล้ว ผู้หญิงไม่เห็นสีหน้าละอายใจของคนนั้นที่อยู่ในห้องนอนท่ามกลางคืนมืดมน

"ถงถง" คนนั้นเรียกเสียงเบาคำหนึ่ง แสดงให้รู้ว่าตัวเองตื่นอยู่

บนเตียง ผู้หญิงขยับตัว "เท้าเย็น"

เปิดปากขึ้นมาเบาๆ อย่างไม่เข้าเรื่อง ผู้ชายที่อยู่บนพื้นพอได้ยินแล้วกลับรีบมุดออกมาจากผ้าห่มทันที "หนาวเหรอ ผมช่วยอุ่นให้คุณ อุ่นแล้วก็จะไม่หนาว"

เธอแทบไม่ต้องไปคิดเลย แป๊บเดียว เท้าเย็นคู่หนึ่งก็เหมือนคลอเคลียเข้าไปในเตาผิงอย่างที่คิดไว้ ถึงแม้เธอที่ชินกับการที่เท้าเย็นอย่างกับแช่ในน้ำแข็ง ขณะที่ก็อดสบายจนคลายคิ้วออกมาไม่ได้

"ช่วงนี้……ได้จำอะไรขึ้นมาบ้างไหม"

เธอถามอย่างกับคุยเรื่อยเปื่อย

คนที่อยู่ปลายเตียงอุ่นเท้าให้เธอไปด้วย ใช้นิ้วมือนวดกดจุดลมปราณใต้เท้าของเธออย่างชำนาญไปด้วย

พอได้ยินคำพูดก็พูดอย่างไม่สนใจ "ถงถงแปลกจังเลย พี่ซีเฉินก็แปลกเหมือนกัน ถามอาซิวอยู่เรื่อยว่าได้จำอะไรขึ้นมาบ้างไหม

อาซิวลืมอะไรไปเหรอ"

ท่ามกลางคืนมืด ลูกตาดำและสว่างคู่หนึ่งบวกกับเสาไฟถนนข้างนอกสะท้อนแสงสว่างเข้ามา เจี่ยนถงอ้าปากค้าง……กลับถูกเขาอุดจนพูดไม่ออก

เขาลืมอะไรไปเหรอ

"ถงถง คุณถามอาซิวอยู่ตลอดว่าจำอะไรขึ้นมาได้ อาซิวควรจำอะไรขึ้นมาเหรอ

ถ้าอาซิวลืมอะไรไปแล้วจริงๆ ถงถงจำได้ ถงถงบอกให้อาซิวได้นะ"

มือของผู้หญิงอยู่ในผ้าห่มกำแน่นขึ้นมา สักพัก "คืนนั้น คุณช่วยบังไม้เหล่านั้นให้ฉันทำไม"

เธออยากถามมาตลอด แต่ไม่เคยถามเลย……ดวงตาของเธอส่องแสงระยิบระยับเล็กน้อย

"เจ็บมากไม่ใช่เหรอ อาซิวกลัวเจ็บที่สุดแล้วไม่ใช่เหรอ"

เธอพูดอย่างอ่อนโยน สงบมาก พูดจบกลับเม้มปากขึ้นมา

"ใช่แล้ว อาซิวกลัวเจ็บที่สุดแล้ว

แต่อาซิวไม่อยากให้ถงถงเจ็บมากกว่า

คืนนั้นเห็นถงถงถูกตี อาซิวก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมในใจทรมานมากๆ เลย ทรมานจนอยากจะกอดถงถงไว้แน่นๆ ซ่อนเอาไว้ ถงถงเจ็บมันทรมานยิ่งกว่าที่อาซิวเจ็บอีก"

ไหล่ของเจี่ยนถงแข็งทื่อขึ้นมา

แสงไฟนอกหน้าต่างส่องเข้ามา ตาของเขาสองคนก็ชินกับความมืดแล้วเช่นกัน

เจี่ยนถงเห็นผู้ชายที่อยู่ปลายเตียงคนนั้นพูดจู้จี้อย่างตาเบลอ "และทุกครั้งที่ถงถงไม่สนใจอาซิว ตรงนี้ของอาซิว" เธอเห็นผู้ชายคนนั้นเอามือไว้ตรงหัวใจพูดว่า "ก็จะเจ็บมากๆ ถงถง คุณคิดว่าอาซิวป่วยหรือเปล่า"

มือที่อยู่ในผ้าห่มกำแน่นอย่างกะทันหัน ฝ่ามือของเธอเปียกเหงื่อเต็มทันทีเลย

คนนั้นถามเธออย่างซื่อบื้อ ว่าเขาใช่ป่วยหรือเปล่า

เจี่ยนถงมองดูเงาของคนที่อยู่ตรงปลายเตียงคนนั้นอย่างตะลึง เปิดปากขึ้นมาหลายครั้ง แต่กลับรู้สึกว่าพูดอะไรก็ไม่ถูก

"เท้า……อุ่นแล้ว" ผ่านไปอีกเนิ่นนาน เท้าอุ่นแล้ว ใต้เท้าถูกนวดกดอย่างมีจังหวะอยู่ ท่ามกลางอากาศ กลัวเงียบเหงาไร้เสียง เธอตีบรรยากาศอันเงียบกริบนี้แตก แต่กลับเหมือนหาคำพูดที่เหมาะสมได้แค่ประโยคนี้ประโยคเดียวมาพูด

ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าสติปัญญาของคนนั้นในขณะนี้ไม่สมบูรณ์ จำเป็นต้องไปฟังสิ่งที่เขาพูดอย่างตั้งใจไหม จำเป็นต้อง……ฟังเข้าไปในใจไหม

ใช่สิ ผู้ชายที่มีสติปัญญาไม่สมบูรณ์คนหนึ่ง ไม่ได้ต่างจากเด็กไร้เดียงสาสักเท่าไหร่ จะบอกว่าเขาเป็นคนโง่ก็ไม่ผิด จำเป็นต้อง……เอาคำพูดที่ฟังจากคนโง่คนหนึ่งเข้ามาไว้ในใจไหม

เธอเองก็ไม่ได้สังเกต กลับหัวเราะเยาะเย้ยตนเองโดยไม่รู้ตัว……สิ่งที่ตลกที่สุดคือ คำหวานที่สวยที่สุดที่เคยฟังในชีวิตนี้ กลับออกมาจากปากของคนโง่คนหนึ่ง

"อาซิวดูหน่อยสิ"

เจี่ยนถงยังคงจมอยู่ในกระบวนความคิดของตัวเองอยู่ จึงไม่ได้ไปฟังคนที่อยู่ปลายเตียงคนนั้นพูดอะไรทำอะไรอีก

แค่ตอนที่หางตาเหลือบไปเห็นตรงปลายเตียงเธอรู้สึกอายและตกใจ หดเท้าเข้ามา "คุณทำอะไรอ่ะ!"

คนนั้นกลับวางเท้าของเธอลงมาอย่างพึงพอใจ ยัดใส่เข้าไปในผ้าห่มใหม่และห่มไว้ดีๆ "อืม อุ่นแล้วๆ"

อยู่ๆ เธอก็คิดรู้เรื่องขึ้นมา รอยแดงลอยขึ้นมาบนหน้าอย่างมิอาจควบคุมได้ พอนึกถึงเรื่องที่คนนี้ทำเมื่อกี้อีกครั้ง ทันใดนั้นพาลโกรธขึ้นมา "ถึงคุณอยากจะลองสัมผัสอุณหภูมิดู ก็ไม่จำเป็น ไม่จำเป็น……ไม่จำเป็นต้องเอาหน้ามาลองมั้ง!"

พอนึกถึงเมื่อกี้คนนี้ยกเท้าของเธอไว้ จากนั้นก็เอาหน้าเข้าใกล้ติดกับหลังเท้าของเธออย่างคาดไม่ถึง เพื่อที่จะดูว่าเท้าของเธออุ่นขึ้นจริงหรือเปล่า……ในใจเจี่ยนถงก็มีม้าหนึ่งหมื่นตัววิ่งผ่านไปด้วยความเร็วสูง

เธอไม่เห็นหน้าของเธอในตอนนี้แดงทั้งหน้า จ้องดูคนที่อยู่ปลายเตียงอย่างโกรธเคือง ดวงตาที่เปียกชื้นและมีพลังกว่าเดิมอันเนื่องจากโมโห ถึงจะมีแสงไฟจากนอกห้อง ยังคงสามารถทำให้ผู้ชายที่อยู่ปลายเตียงดูจนมึนไปแล้ว

"ผม……ถงถงคุณอย่าโกรธอาซิวนะ อาซิวลงไปจากเตียง"

"รอ……" เธอยื่นมือจับชุดนอนที่อยู่ในผ้าห่มของตัวเองไว้แน่นๆ

"ห๊ะ?"

คนนั้นพอถูกเธอห้ามไว้ ก็หันหลังจ้องมองเธอโดยที่ขาข้างหนึ่งอยู่ตรงปลายเตียง ขาอีกข้างหนึ่งวางอยู่บนพื้นอย่างซื่อบื้อ "คุณบอกว่าอะไรนะ"

สายตาของเธอลังเล จึงหลับตาลงเลย "นอนเถอะ"

"อืม"

"ฉันบอกว่า วันนี้เป็นกรณีพิเศษ คุณนอนบนเตียง"

"ห๊ะ?"

ในตาเจี่ยนถงมีไฟลุกขึ้นมา หน้าตาโง่ๆ ของคนนั้น "ห๊าอะไร กลางคืนอยู่ๆ อุณหภูมิก็ต่ำลง ถ้าคุณไข้ขึ้นอีก เดี๋ยวฉันก็ต้องถูกซีเฉินพวกเขากล่าวโทษอีกแล้ว

ฉันไม่อยากดูแลคุณอีกแล้วนะ"

เธอพูดไปด้วย ขยับตัวไปข้างขอบเตียงไปด้วยและชี้ข้างๆ "คุณนอนตรงนี้"

คนนั้นอยู่ๆ ก็รู้สึกดีใจขึ้นมา จากนั้นก็มีความสุขคลานมาอย่างเชื่อฟัง "สวบ" เสียงหนึ่งก็กระโดดขึ้นมาที่นอนข้างเธอ

"คุณนอนตรงนี้ ยกผ้าห่มของคุณขึ้นมาเลย" เธอบอกว่า "เธอนอนอยู่ในผ้าห่มของคุณ และยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าฉันไม่ได้อนุญาต ห้ามมาสัมผัสร่างกายของฉัน"

คนนั้นยกผ้าห่มคลานขึ้นมาใหม่อย่างมีความสุขตั้งนานแล้ว

ผู้หญิงรู้สึกได้ว่าที่นอนข้างๆ จมลงไปอย่างชัดเจน……กัดริมฝีปากไว้ ยังลังเลอยู่นิดหน่อย

คง……คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง

แค่เด็กคนเดียวเอง

จู่ๆ ก็เยาะเย้ยตัวเองขี้สงสัยขั้นหนักและคิดมากเกินไปอีกแล้ว

จะระแวงเด็กคนหนึ่งทำไม

"นอนเถอะ"

เธอขดไปข้างๆ นอนตะแคง ข้างๆ เป็นที่ว่างเปล่าเท่าครึ่งคน

ข้างกาย ผู้ชายนอนลงไปแล้ว นอนตะแคงเช่นกัน แต่กลับหันหน้าไปทางเธอ มองหัวด้านหลังของผู้หญิงคนข้างๆ……ถงถงดีจริงๆ เลย

เจี่ยนถงรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างมาทับร่างของตัวเองไว้ ยื่นมือผลักแต่ผลักไม่ออก

พอตื่นขึ้นมา ก็จัด "เซอร์ไพรส์ใหญ่" ให้เธอ

"ใครให้คุณมานอนในผ้าห่มของฉันย่ะ"

อายจนขุ่นเคืองขึ้นมา จากนั้นเธอก็ผลักคนที่ติดกับเธออยู่แรงๆ คนนั้นถูกเธอผลักออกโดยที่ไม่ทันตั้งตัว"ถงถง อรุณสวัสดิ์"

เจี่ยนถงเห็นหน้าตาง่วงนอนของคนนั้น ยิ่งโมโหกว่าเดิม "เสิ่นซิวจิ่น บอกแล้วว่าห้ามเข้าใกล้ฉัน ใครอนุญาตให้คุณมานอนผ้าห่มของฉัน"

คนนั้นรีบลุกขึ้นมาอย่างลนลาน "ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ถงถงอย่าโกรธนะ"

ลุกขึ้นมาเร่งรีบเกินไป จากนั้นก็ล้มลงไปที่บนตัวของเจี่ยนถงทันทีอีก

อยู่ๆ เธอก็ลืมตาขึ้นมา รู้สึกได้อย่างชัดเจน มีของร้อนอย่างไฟสิ่งหนึ่ง เผชิญกับเธอโดยตรง หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที……ปัง–

"เสิ่นซิวจิ่น!" ยื่นมือผลักคนออกอย่างกะทันหัน ผ้าห่มกระจายเต็มพื้น "นาย–" สองตาของเธอมองจุดที่บวมขึ้นมาสูงๆ อย่างชัดเจนตรงกางเกงนอนของผู้ชายด้วยสายตาไฟลุก "นาย–"

"ถงถง ผมรู้สึกไม่สบาย" คนนั้นหน้าแดงทั้งหน้า

เจี่ยนถงดูหน้าตาน่าสงสารของคนนั้น ทันใดนั้นก็มีความโกรธเคืองพล่านออกมา

ทำหน้าบึ้งตึง ลงจากเตียงไม่พูดอะไรสักพัก และไม่ดูคนข้างหลัง ไปห้องอาบน้ำโดยที่ไม่สนใครคนไหนเลย

เดินไปด้วยด่าตัวเองในใจไปด้วย เธอนี่สมองไม่ดีจริงๆ เลย ให้เสิ่นซิวจิ่นขึ้นมานอนที่บนเตียงได้ยังไง

พอนึกถึงความรู้สึกการสัมผัสอันเร่าร้อนที่เคยชินนั้น เธอยื่นมือเช็ดตัวของตัวเองแรงๆ เช็ดแล้วเช็ดอีก

หลังจากอาบน้ำเรียบร้อย กลับมาถึงห้องนอนอีกครั้ง

พอเงยหัวขึ้นมา "ทำไมนายยังอยู่ตรงนี้"

คนนั้นลืมตาสีดำสนิทไว้ พิงผนังไว้อย่างทำตัวไม่ถูก หอบเล็กน้อย "ร้อน ถงถง ผมรู้สึกไม่สบายมาก"

เจี่ยนถงกำกำปั้นไว้แน่นๆ เธอรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่สบายตรงไหน รู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นมา

และในเมื่อคืนนี้ เธอยังคิดคนนี้เป็นเด็กคนหนึ่ง ไม่ระแวงเลยที่ให้เขานอนอยู่ข้างๆ ตัวเอง เจี่ยนถงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกอารมณ์เสีย

"ไปห้องน้ำ" เธอพูดออกมาหนึ่งประโยคอย่างเย็นชา

คนนั้นก็ตอบ "อืม" เสียงหนึ่งอย่างเชื่อฟังและไปที่ห้องน้ำจริงๆ

เธอจึงไม่สนใจเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว

สิบห้านาทีผ่านไป แต่กลับไม่เห็นคนนั้นออกมาจากห้องน้ำสักที

เธออยู่ในห้องรับแขกรอจนเริ่มรู้สึกรำคาญแล้ว จึงหมดความอดทน เดิน"ตึกๆๆ" ไปทางห้องน้ำ

เคาะประตู "เฮ้ย เสร็จยัง"

ข้างในกลับไม่มีเสียงตอบกลับ

เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย "เสิ่นซิวจิ่น?"

กลับไม่เห็นข้างในมีเสียงอะไรเลย

วินาทีต่อมา

เพล้ง—เสียงดังมากๆ ตาของเจี่ยนถงกระตุกขึ้นมา ตะโกนเรียก "เสิ่นซิวจิ่น" คำหนึ่ง เปิดประตูวิ่งเข้าไปโดยที่ไม่คิดอะไรเลย "นาย–" เธออ้ำอึ้งอย่างกะทันหัน "นายทำอะไรอยู่!"

คนนั้นล้มลงไปกับพื้น ฝักบัวอาบน้ำอยู่ตรงบนหัวของเขา พ่นน้ำลงมาไม่หยุด เธอเดินเข้าใกล้กี่ก้าว พอยื่นมือออกไป–เป็นน้ำเย็นจริงด้วย

"นายทำอะไร! กระแสลมหนาวเพิ่งมาถึง อากาศหนาวขนาดนี้ นายเล่นทรมานตนเองตัวแต่เช้าเลยเหรอ"

เธอโกรธมากจริงๆ ปิดก๊อกน้ำของฝักบัวอาบน้ำอย่างโมโห "นายอยากทำอะไร ป่วยอีกครั้งเหรอ เสิ่นซิวจิ่น! ฉันเหนื่อยมากแล้ว นายอย่ามาสร้างปัญหาให้ฉันอีกแล้วได้ไหม!"

ความเหนื่อยล้าที่สะสมไว้เป็นเวลายาวนาน งานที่ยุ่งเหยิง ปัญหาที่จัดการยาก เวลาที่นอกเหนือจากทำงาน ต้องดูแลคนป่วยที่เสียความจำทั้งหมดไปคนหนึ่ง ทุกอย่างสะสมไว้ นำมาด้วยความเหนื่อยล้าอันไม่มีที่สิ้นสุด เจี่ยนถงไม่เคยบ่น

แต่ขณะนี้ เห็นคนนี้อาบน้ำเย็นเล่นทรมานตนเองตั้งแต่เช้า อารมณ์ต่างๆ ในช่วงเวลาเหล่านี้ระเบิดออกมาทันที

"ตกลงนายอยากจะทำอะไร! เสิ่นซิวจิ่น!

นายเข้าใจไหม สิ่งที่กดอยู่บนตัวฉันตกลงเป็นอะไร!

นายเข้าใจไหม ทุกวันนี้ฉันจัดการปัญหาแย่ๆ เหล่านั้นอย่างอกสั่นขวัญแขวน ไปมาหาสู่ในวงการที่ฉันไม่ชอบเลย

นายเข้าใจไหม ทุกเช้าที่ฉันตื่นขึ้นมา ฉันก็ต้องเตรียมสู้รบเสมอ

ฉันไม่มีเวลาสักนิดเลย และไม่กล้าเสียเวลาอื่นๆ

กลับมาถึงบ้าน ยังต้องเผชิญหน้ากับนาย

นายเข้าใจไหม ดูแลนาย ฉันเหนื่อยมาก!"

เธอตะโกนใส่เขา คนนั้นตกใจจนอึ้งแล้ว

เธอรู้ว่าเธอไม่ควรนำอารมณ์เข้ามาในบ้าน ไม่ควรระบายคำบ่นทุกอย่างไปที่เขา

แต่วินาทีนี้ เห็นคนนี้เหมือนกับเป็นศัตรูกับเธออย่างนั้น อาบน้ำเย็นเล่นทรมานตนเอง เธอทนไม่ไว้ เมื่ออารมณ์มีจุดที่ระบายได้ ทุกอย่างที่เคยเงียบเหล่านั้นก็จะระบายไปเรื่อย เหมือนกับก๊อกน้ำที่ปิดไม่ได้

ใช้แรงทั้งหมดไปเรียกไปตะโกน ปัง—เสียงหนึ่ง อ่อนลงไปที่พื้น พิงผนังที่อยู่ด้านหลังอย่างเหนื่อยล้า แรงในตัวของเจี่ยนถงอย่างกับถูกสูบหมดใบชั่วขณะ ยื่นมือออกอย่างสั่น ปิดตาไว้อย่างสงบ เธอควรยอมรับ และจำเป็นต้องยอมรับ–เธอสัญจรอยู่ตรงขอบของการล่มสลายแล้ว

ไม่ร้องไห้ไม่วุ่นวาย สงบนิ่งดั่งน้ำ ทุกอย่างล้วนเป็นภาพลวงตา

"เสิ่นซิวจิ่น" ผู้หญิงเอามือปิดตาไว้อย่างสงบ และยังปิดความเจ็บปวดของเธอไว้ด้วย "เปลี่ยนฉันเสียความจำแทนดีไหม"

สามารถมีปุ่มตั้งค่าใหม่ได้หรือเปล่า แค่กดลงไปทีหนึ่ง ชีวิตทั้งหมดก็จะจัดรูปแบบแหล่งข้อมูล เริ่มใหม่ตั้งแต่แรก

"ถงถง คุณอย่าร้องไห้ ผมไม่ดีเอง ถงถงไม่ร้องไห้นะ ผมผิดไปแล้ว" ข้างหู เสียงว้าวุ่นของผู้ชาย

เจี่ยนถงหลับตาไว้ ปล่อยให้น้ำตาไหลลงอย่างตามใจ เธอเบื่อเจี่ยนซื่อ เบื่อเสิ่นซิวจิ่น เบื่อเจี่ยนโม่ป๋ายที่ป่วยแล้ว เบื่อเจี่ยนเจิ้นตงที่ล้วงเจี่ยนซื่อจนหมดเนื้อหมดตัว เหลือแค่เปลือกเปล่าที่เป็นปัญหาไว้ให้กับเธอ เบื่อคุณหญิงเจี่ยนที่ได้แต่โทรมาร้องไห้ระบายอาการป่วยที่แย่ยังไงสิ้นหวังยังไงของเจี่ยนโม่ป๋ายกับเธอ เบื่อหวานใจของเจี่ยนเจิ้นตงที่มาขอฐานะลูกหลานของตระกูลเจี่ยนคนนั้นกับเธออยู่บ่อยๆ

เธอก็อยากหัวเราะด้วย ขนาดฝันยังคิดไม่ถึงเลย อดทนแล้วตั้งนาน เธอกลับล่มสลายในยามเช้าที่แสนธรรมดาแบบนี้อย่างถี่ถ้วน

"ถงถง ผมผิดไปแล้ว ถงถง ถงถง"

เจี่ยนถงปล่อยให้คนนั้นกอดเธอไว้แน่นๆ ปล่อยให้คนนั้นเรียกเป็นครั้งๆ เหมือนกำลังเรียกคนรักที่ตัวเองรักที่สุดอย่างนั้น……มุมปากของเธอโค้งขึ้นมาเป็นเส้นโค้งอันประชด

"ปล่อยฉันออกเถอะ" สักพัก ท่าทางของเธออ่อนโยน แต่กลับผลักคนนั้นออกไปอย่างมิอาจปฏิเสธได้ ถอยออกมาจากอ้อมกอดแสนอบอุ่นของคนนั้น "อย่าอาบน้ำเย็นอีกแล้ว"

ราวกับคนที่ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นเลย เธอเตือนผู้ชายที่เหมือนกับเด็กคนนั้น……ก้มหน้าลง มีแต่เธอคนเดียวที่รู้ เธอยังมีเรื่องที่ยังไม่ได้ทำเสร็จ

นี่ก็คือเหตุผลที่เธอยังล่มสลายไม่ได้

"อาซิวไม่ได้ตั้งใจ……อาซิวร้อน รู้สึกไม่สบายมากเลย"

คนนั้นพูดอย่างกระมิดกระเมี้ยน

เจี่ยนถงอึ้งมาก เมื่อกี้ไม่ได้คิดไปทางนี้เลย เธอมองคนนั้นสักพักอย่างอึ้งอีก…… เพราะฉะนั้น เขาขนาดปลดปล่อยตัวเองยังไง ก็หายไปตามความทรงจำในอดีตด้วยแล้วเหรอ

ก้มหน้าลงเล็กน้อย หางตาเหลือบไปมองเห็นตรงนั้นของคนนั้น ยังคงตั้งอยู่ ชุดนอนบนตัวของเขาถูกฝักบัวอาบน้ำเทจนเปียกแล้ว ขณะนี้แนบติดอยู่กับตัว ตรงนั้นก็ยิ่งเห็นชัดกว่าเดิมแล้ว

เงยหน้าขึ้นมา กลับเห็นคนนั้นหน้าแดงทั้งหน้า ดวงตาอันดำสนิทคู่หนึ่งเปียกชื้น เหมือนกำลังทนความเจ็บปวดทรมานอะไรบางอย่างอยู่

"นาย……รอแป๊บหนึ่ง" เธอวิ่งออกไป หยิบมือถือบนหัวเตียงขึ้นมา เรื่องแบบนี้ เธอควรเปิดปากอธิบายให้คนนั้นยังไง

"เจี่ยนถง เช้าขนาดนี้คุณไม่นอนก็อย่ามายุ่งกับฉันสิ" อีกฝั่งของมือถือ ซีเฉินพูดอย่างอารมณ์เสีย "ตกลงเป็นเรื่องที่รีบด่วนมากอะไร"

"ก็คือ–" คำพูดมาถึงปากแล้ว อยู่ๆ ก็หยุดลง เธอเพิ่งสังเกตได้ว่าเธอไม่รู้ควรพูดขึ้นมาให้กับซีเฉินยังไง อีกฝั่งของมือถือนั้น ซีเฉินเริ่มหมดความอดทนและเล่าขึ้นมา "มีเรื่องอะไรก็รีบพูด"

"ไม่มีอะไร"

ตื๊ดๆ วางสายแล้ว

หันหลังกลับมา ในห้องอาบน้ำ คนนั้นยังลืมดวงตาอันเปียกชื้นอยู่ ดูเธอที่กำลังเดินกลับมา

เจี่ยนถงกัดฟันไว้แรงๆ จำใจเดินไปยื่นมือออกให้เร็วที่สุด จับไว้แล้ว

"อ๊า" คนนั้นส่งเสียงคร่ำครวญอันสบายออกมาจากลำคอทันที

เจี่ยนถงกลับเหมือนจับเผือกร้อนอยู่ รีบปล่อยมือออกทันที "เป็นหรือยัง วันหลังถ้าไม่สบายก็ทำเองเหมือนที่ฉันทำเมื่อกี้"

พูดจบ หันหลังกลับรีบออกไปจากห้องอาบน้ำให้เร็วที่สุดด้วยสีหน้าเย็นชา หูกลับแดงขึ้นมาแล้ว

ซานย่า

วิลล่าเยว่หรง

"ผ่อนคลายหน่อยสิ" ผู้ชายที่สวมใส่ชุดสูทสีอ่อน เข้าใกล้ข้างหูของผู้หญิงพูดเบาๆ อย่างคลุมเครือ

ผู้หญิงแอบถอยหลังครึ่งก้าว ถึงแม้จะเป็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ โดยที่ไม่ได้รู้สึกตัวนี้ ยังคงถูกผู้ชายเห็นอยู่ดี

ขณะที่สายตาหันออกเล็กน้อย ก็ถอยหลังสองก้าวอย่างสุภาพบุรุษแล้ว หัวเราะเบาๆ ว่า "เสี่ยวถง คุณตื่นเต้นเกินไปแล้ว"

เธอกำฝ่ามือไว้ รู้สึกได้ว่าในฝ่ามือเหนียวมาก ก็ต้องตื่นเต้นอยู่แล้ว……คนที่จะได้เจอ……

"จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องรีบขนาดนี้หรอก เขามีนิสัยที่จะมาพักร้อนที่วิลล่าเยว่หรงในซานย่าทุกปี ปกติจะอยู่ประมาณเวลาหนึ่งเดือน" ภาษาจีนกลางที่มีสำเนียงต่างชาติเล็กน้อยของผู้ชาย ขณะนี้ต่ำทุ้มและมืดมนดั่งเชลโล

"เพราะฉะนั้นเสี่ยวถง คุณไม่จำเป็นต้องรีบเจอหน้าคนนั้น หลังจากที่เพิ่งลงจากเครื่องบินและเหนื่อยล้ากับการเดินทางเลย"

เธอส่ายหัว จนถึงตอนนี้ ใจยังคงวุ่นวายมาก

ไม่ได้บอกให้ใครเลย เธอก็หนีไปแล้ว

ส่วนเธอหนีอะไร มีแค่เธอคนเดียวที่รู้

หลังจากเงียบขรึม ก็คือความสงบที่ยาวนาน

"คาย์อัน เข้าไปเถอะ" แต่ในที่สุด ยังคงเป็นเจี่ยนถงที่ทำลายความเงียบก่อน

สิ่งที่ผู้หญิงไม่เห็นคือ หลังจากตอนที่สงบอย่างยาวนาน ผู้ชายตัวสูงหน้าตาดีที่อยู่ข้างเธอ จ้องมองเธอด้วยตาสว่างอยู่ตลอดเวลา ในดวงตาอันลึกซึ้งซึ่งต่างจากชาวโลกตะวันออก มีแค่เงาของผู้หญิงคนนี้เพียงคนเดียว

"ได้" เสียงต่ำทุ้มดั่งเชลโลนั้น ขณะนี้เชื่อฟังอย่างคาดไม่ถึง ผู้ชายยื่นแขนออกมาข้างหนึ่งอย่างสุภาพบุรุษ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเยอะ ผู้หญิงยื่นมือออกมารั้งไว้อย่างเชื่อฟัง มันเป็นเพียงมรรยาทอย่างหนึ่งก็แค่นั้น

แต่มุมปากของผู้ชายกลับโค้งขึ้นมายิ้มอ่อนๆ ขณะที่ข้อมือถูกรั้งไว้ ส่งสัญญาณให้บริกรทั้งสองข้าง คนหลังดึงประตูครึ่งบานข้างๆ ตัวเองออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

ประตูเปิดออก

เสียงดนตรีอันไพเราะ แสงไฟที่อบอุ่นแต่สะดุดตาไหลพุ่งออกมา ชั่วขณะก็สาดมาที่ตัวของชายหญิงคู่นี้ที่มาถึงกลางทาง

อาจจะเป็นเพราะแขกคู่นี้มาถึงกลางทางอย่างกะทันหัน ดึงดูดความสนใจจากคนอื่นๆ ในงานเลี้ยงแล้ว

หน้าของเจี่ยนถงมีรอยยิ้ม แต่เธอรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ที่มากกว่าคือผู้ชายข้างๆ เธอคนนี้อร่ามเกินไป

ไม่ว่าสายตาอันชอบใจเหล่านั้นจะเร่าร้อนยังไง สำหรับคาย์อัน เฟโรกิแล้ว ขณะนี้กลับเป็นเวลาสำคัญที่ควรเก็บไว้เป็นที่ระลึกช่วงหนึ่ง

ก้มหน้าลง เหลือบมองผู้หญิงข้างๆ เล็กน้อย สามารถเห็นบนหัวอันอ่อนโยนจากมุมของเขาได้ ตั้งแต่วินาทีที่เธอรั้งข้อมือของเขาเอาไว้ ขณะนั้นเขารู้สึกว่าห้องหัวใจที่ว่างเปล่าและเงียบเหงามาเนิ่นนาน เหมือนถูกอุดจนแน่นมากๆ เลย ไม่มีช่องว่างใดๆ อีกแล้ว

สมมติว่า……สมมติว่าสามารถเป็นอย่างตลอดไปได้

ผู้ชายไม่คิดต่อไปอีก

สายตาตามด้วยบนหัวของผู้หญิง ลงไปเรื่อยๆ ตกอยู่ที่เส้นผมสีดำสนิทอันยาวถึงช่วงเอวของเธอ

อยู่ๆ ก็นึกถึงประโยคนั้นที่กำลังดังบนอินเทอร์เน็ตในช่วงนี้–รอผมยาวของเธอถึงเอว ชายหนุ่มแต่งงานกับฉันดีไหม

คนที่เธออยากรอ……คือใคร

ทันใดนั้น คำถามแปลกประหลาดนี้ก็กระโดดออกมาจากหัว

"วันนี้คุณ สวยมากเลย……เส้นผมนี้ ก็สวยเช่นกัน

"อย่าพูดล้อเล่นนะ คาย์อัน ฉันบอกว่าฉันตื่นเต้นมาก คุณเชื่อไหม"

ผู้ชายแค่ยิ้มอย่างเดียว ในใจเสริมอ่อนๆ ว่า ผมไม่ได้พูดล้อเล่น

ตรงมุมข้างหน้านี้ มีความกะรุงกะรัง

"ไป เราไปตรงนั้น" คาย์อันพาผู้หญิงที่อยู่ข้างตัวเดินไปตรงที่มีคนอยู่เยอะ

"รอ รอแป๊บหนึ่ง" เธอยังคงตื่นเต้นมากอยู่ ในฝ่ามือออกเหงื่อเป็นชั้นบางๆ อีกหนึ่งชั้นแล้ว "นั่นคือ……คือคุณมิแฟรี่?"

"ไม่ มิแฟรี่เป็นคนลึกลับมาตลอด นั่นคือเลขาธิการของเขา"

เธอตกใจได้ครู่หนึ่ง ตั้งใจดูไปตรงที่กะรุงกะรังอยู่ ในใจยิ่งตะลึงกว่าเดิม……มิแฟรี่เป็นคนลึกลับมาตลอด ใครๆ ก็รู้

สมเหตุสมผลแล้วที่มิแฟรี่ไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงแบบนี้

แต่สิ่งที่น่าตกใจคือคนนั้นเป็นแค่เลขาธิการที่อยู่ข้างๆ มิแฟรี่ เลขาธิการหนึ่งคนปรากฏตัว ก็สามารถดึงดูดความสนใจจากคนดังทางการเมืองและธุรกิจมากขนาดนี้

ผู้หญิงก้มหน้าลง สักพักเงยหน้าขึ้นมา "คาย์อัน ขอบใจมากเลยนะ"

คนหลังกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า

"อย่าเพิ่งขอบคุณผม

ผมเป็นแค่คนแนะนำคนหนึ่ง

สุดท้ายแล้วจะได้โอกาสจากมิแฟรี่ได้หรือไม่ นั่นก็อยู่ตัวคนเองแล้ว"

พอได้ยินแล้วเธอก็โล่งใจ จากนั้นยิ้มออกมา "คาย์อัน ขอบคุณมากเลยนะ"

"ไป ผมพาคุณไปพบมิแฟรี่"

เขาดึงเธอเดินเข้าไปในฝูงคน ทางที่เดินผ่านทุกคนล้วนหลีกทางให้หมด

"สวัสดี ท่านดยุกคาย์อัน" เขาสองคนเพิ่งมาถึงข้างๆ เลขาธิการของมิแฟรี่ เลขาธิการที่สวมใส่ชุดสูทอย่างเรียบร้อยเห็นคาย์อันตั้งแต่แวบแรก หลบฝูงชนออกมาทักทายก่อน

เจี่ยนถงตกใจเล็กน้อย……ท่านดยุก?

เธอหันไปดูข้างๆ คนหลังส่งรอยยิ้มอันปลอบโยนให้เธอ "ตอนนี้ก็ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแล้ว ยังมีชนชั้นสูงอะไรที่ไหนล่ะ มันเป็นแค่ชื่อเสียงคำร่ำลือที่บรรพบุรุษในเมื่อก่อนเหลือไว้ให้เฉยๆ ไม่สำคัญหรอก

ผมยังคงเป็นคาย์อันที่คุณรู้จักคนนั้นอยู่"

"ท่านรอคุณที่ห้องรับแขกชั้นบนแล้ว" เลขาธิการถอยออกครึ่งก้าวตามมารยาท มือข้างหนึ่งเอาไว้ข้างหน้า หันข้างก้มหัวลงเล็กน้อย หลีกให้ทางหนึ่ง

เจี่ยนถงเดินตามไปด้วย ลิฟต์รางตรงหนึ่งราง เธอกับคาย์อันเดินเข้าไปด้วยกัน หันหลังกลับ ขณะที่ประตูลิฟต์เปิด เธอเพิ่งเห็นว่าในงานเลี้ยงนี้นอกจากจะมีใบหน้าที่คุ้นเคยหนึ่งส่วน ยังมีชาวต่างชาติอีกมากมายด้วย

"รอสักครู่ ผมขอเข้ารายงานก่อน" เลขาธิการพูดอย่างมีมารยาท

ไม่นาน เดินออกมาเชิญพวกเขาเข้าไป

จะบอกไม่ตื่นเต้น นั่นมันคือคำหลอกลวง

พอนึกดีๆ แล้ว การตื่นเต้นในอาชีพแบบนี้ เธอจะมีเมื่อเพิ่งเข้าไปทำงาน

ทันใดนั้นฝ่ามือกำแน่นขึ้นมา เธอก้มหน้ากวาดสายตาดูไป จึงเห็นคนข้างๆ จับมือเธอไว้ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เหมือนกับโดนลวกอย่างนั้น แต่สติกลับชนะจิตใจในวินาทีที่อยากจะดึงมือออก

เธอเงยหัวขึ้นยิ้มให้เขา "ฉันทำได้ ไม่ต้องห่วงนะ" จากนั้นสายตาเคลื่อนย้ายลงไปตรงฝ่ามือที่จับด้วยกันของสองคน

คาย์อันปล่อยมือออกมาอย่างเอาใจใส่

เสียงภาษาอังกฤษอันสดใสกระตือรือร้นดังมาข้างหู "โอ๊ยพระเจ้า คาย์อัน ผมไม่กล้าเชื่อเลย"

"เธอเป็นแฟนของนายเหรอ?"

ขณะที่เจี่ยนถงเงยหัวขึ้นมา ฝ่ามือที่เกือบจะถูกปล่อยออกในตอนแรกแล้ว จู่ๆ ก็ถูกกำแน่นขึ้นมาอีกครั้ง คำพูดหรูหราดั่งเสียงต่ำทุ้มของเชลโลดังขึ้นอยู่ตรงบนหัว

"ไม่ใช่ครับ"

สีหน้าของผู้หญิงเบาลง กำลังจะแนะนำตัวเอง "ฉันชื่อเจี่ยนถงค่ะ เราสองคนเป็นพะ……"

"เป็นราชินีของผม"

รอยยิ้มบนหน้าผู้หญิงแข็งทื่อทันที "ไม่ตลก" เธอพูดกับผู้ชายข้างๆ ด้วยเสียงเบา ริมฝีปากบางของคนหลังเผยรอยยิ้มอ่อนๆ ออกมา อธิบายให้กับมิแฟรี่ที่ตะลึงทั้งหน้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า

"ผมล้อเล่น สำหรับสุภาพสบุรุษควรรู้จักอารมณ์ขันครับ"

ประโยคเดียว ก็โยนความผิดให้กับมิแฟรี่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้ว แต่เหมือนคนหลังก็ไม่ได้โกรธอะไร คาย์อันจึงแนะนำทั้งคู่ขึ้นมา "เจี่ยนถง ประธานกรรมการเจี่ยนซื่อกรุ๊ป มิแฟรี่ ผู้ก่อตั้งเตอร์เมนกรุ๊ปแห่งฝรั่งเศส เป็นผู้บุกเบิกของอุตสาหกรรมครับ"

"สวัสดี เจี่ยนถงค่ะ"

"คุณผู้หญิงคนสวย สวัสดี มิแฟรี่ทักทายกับคุณอยู่"

คาย์อันปล่อยมือเจี่ยนถงออก "พวกคุณคุยเลย ผมไปดื่มหนึ่งแก้ว" จากนั้นก็เดินอ้อมไปเคาน์เตอร์บาร์ที่อยู่ในมุม เทให้ตัวเองหนึ่งแก้ว และทักทายเลขาธิการต่อ "ดื่มสักแก้วไหม"

"ครับ ท่านดยุก"

การสนทนาครั้งนี้ดำเนินเกือบหนึ่งชั่วโมง

ส่วนคาย์อัน เฟโรกิอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ในมุม ดื่มเหล้าและพูดคุยกับเลขาธิการอย่างสงบตั้งแต่ต้นจนจบ

จนกว่าเจี่ยนถงเดินออกมาจากประตูกระจกบานเลื่อนที่มีแค่ประตูบานเดียวกั้นไว้ ผู้ชายถึงวางแก้วในมือลงอย่างสง่าและลุกขึ้นมา

"ไปเถอะ นั่งเครื่องบินมาตลอดทางไม่เคยได้พักผ่อนเลย คงเหนื่อยแย่เลย ผมส่งคุณกลับไปห้องพัก?"

"คาย์อัน รอแป๊ปหนึ่งสิ เพื่อนเก่าเจอกันที ไม่ดื่มกับผมหน่อยเหรอ"

มิแฟรี่พิงอยู่ข้างๆ ประตูกระจก ยิ้มมองมาทางนี้

พอเจี่ยนถงได้ยิน ปราสาทที่ตึงขึ้นมาก็คลายออกแล้ว "ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่รบกวนสองท่านพูดคุยกันแล้ว"

ปฏิกิริยานี้ของเธอ ถูกคาย์อัน เฟโรกิจับได้อย่างคล่องแคล่วแน่นอนอยู่แล้ว นัยน์ตาอันลึกซึ้งมืดลงเล็กน้อย เขาเป็นคนฉลาด รู้ว่าอะไรควรถอยหลังหนึ่งก้าว จึงไม่ได้พยายามยืนหยัดจะส่งเจี่ยนถงกลับไปด้วยกัน

"ก็ดี" ผู้ชายหันหน้าไปข้างๆ พูดกับมิแฟรี่ที่พิงอยู่ข้างประตูและโค้งมุมปากขึ้นเล็กน้อยว่า "แต่ว่ามันดึกแล้ว ให้คุณหญิงกลับไปด้วยตัวคนเดียว ไม่ใช่การกระทำของสุภาพบุรุษคนหนึ่ง" กำลังพูดอยู่ หางตาก็เหลือบไปเห็นเลขาธิการที่อยู่ข้างๆ ใบ้ให้ว่า "ไม่เอ็นดูเลขาธิการที่ต้องวิ่งอีกหนึ่งรอบเลยเหรอ"

มิแฟรี่ดูเหตุการณ์เป็น บอกให้เลขาธิการที่อยู่ข้างๆ ว่า "คุณส่งคุณหญิงคนนี้กลับไปห้องพัก ต้องส่งคนไปถึงจุดหมายอย่างปลอดภัยนะ"

"ครับท่าน"

คนไปแล้ว ท่ามกลางห้องรับแขกอันกว้างใหญ่ เหลือแค่ผู้ชายสองคนที่ต่างคนต่างเก่ง

"คือเธอใช่ไหม เหตุผลที่ทำให้นายไม่เสียดายที่ติดหนี้น้ำใจฉันหนึ่งครั้ง เชิญฉันให้บินมาครั้งนี้โดยเฉพาะ

เธอสำคัญมากเหรอ" มิแฟรี่เดินไปข้างเคาน์เตอร์บาร์อย่างสง่า เทเหล้าวิสกี้ให้ตนเองเหมือนเดิม "อีกแก้วไหม" ให้สัญญาณโดยที่ยกแก้วขึ้นมาไปทางคาย์อันว่า

"คือคนที่ฉันอยากได้มากๆ อยากจะซ่อนเธอเอาไว้ไม่ให้ใครเห็นเลย" สำคัญมากไหม เขาไม่รู้ คาย์อัน เฟโรกิไม่ได้บอกให้ชัดเจน "ลู่เชนให้ฉันมาถามคนหนึ่งกับนายดู คนนั้น สบายดีไหม"

"เชน?

เฮ้อ~ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ยังวางลงไม่ได้สักทีเลยเหรอ

เมื่อก่อนฉันรู้สึกตลอดเลยว่า มีแต่คนเอเชียถึงอีนุงตุงนังแบบนี้

แต่ตอนนี้พอฉันเห็นนายถึงรู้ว่า แกก็ไม่รอดแล้วเหมือนกัน"

คาย์อัน เฟโรกิไม่ได้อธิบายอะไรมาก ขำเบาๆ เสียงหนึ่ง "นายกับลู่เชนคิดไปเองว่าตัวเองถูกอย่างนี้เลยเหรอ"

มิแฟรี่เงยหัวขึ้นดื่มเหล้าในแก้วให้หมดในคำเดียว "เธอเก่งมาก"

"ฉันรู้ เธอเก่งมากมาตลอด" พอพูดถึงเจี่ยนถง หน้าของคาย์อันภาคภูมิใจมาก เหมือนกับว่าเป็นของของตัวเองถูกชื่นชมอย่างนั้น

"เทคนิคในการเจรจาของเธอเยี่ยมจริงๆ เลย พระเจ้า ตกลงเธอไปเรียนกับใครมาเนี่ย

ฉันว่านะ คนที่สอนให้เธอมีเทคนิคในการเจรจาอันขั้นเทพแบบนี้จ้องเก่งมากแน่ๆ เลย"

"ปกตินายไม่ค่อยประเมินใครได้สูงแบบนี้เลยนะ มิแฟรี่ ฉันจะพูดแค่ครั้งเดียวนะ อย่ามีความคิดอะไรอย่างกับเธอนะ" ตาของคาย์อันมืดลง

มุมปากของมิแฟรี่กระตุกทีหนึ่ง "ทีนี้แกจบเห่แน่เลย คาย์อัน จุ๊ๆ นี่ยังเป็นนักล่าที่ฉันรู้จักอยู่ไหมเนี่ย"

"ไม่เกี่ยวกับนาย นายแค่จำไว้ว่า อย่ามีความคิดอะไรอย่างกับเธอก็พอ"

มิแฟรี่อดมองบนไม่ได้

"ฉันก็แค่ชื่นชมเทคนิคในการเจรจาของเธอ

ฉันเคยเจอผู้ชำนาญด้านการเจรจาทั้งในประเทศและนอกประเทศมากมาย

ถ้าจะพูดถึงเทคนิคในการเจรจาเพียงด้านเดียว อย่างนั้นเธอถือว่ายังอ่อนอยู่

ที่ฉันบอกว่าเทคนิคในการเจรจาของเธอยอดเยี่ยม ก็เพราะเธอไม่เพียงมีแค่เทคนิค ในเวลาเดียวกันก็ได้คงความจริงใจไว้ด้วย

เธอแสดงความคิดที่อยากร่วมมือกันอย่างตรงไปตรงมา และก็แสดงข้อบกพร่องของฝั่งตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ในเวลาเดียวกันยังได้อธิบายว่าถึงแม้จะมีข้อบกพร่องเหล่านี้ แต่พวกเขาก็ยังคงสามารถมีความมุ่งมั่นและความสามารถในการจัดการรายละเอียดต่างๆ ได้ดี ฉันชอบความมั่นใจที่อยู่ในความจริงใจของเธอนี้

ผู้ร่วมมือที่แจ้งแต่เรื่องดีไม่แจ้งเรื่องร้ายมีตั้งมากมาย ความจริงใจของเธอ ความมั่นใจในความจริงใจ วิเคราะห์ถึงทุกๆ ด้าน มีความโน้มน้าวในทุกๆ ขอบเขต ผู้ร่วมมือแบบนี้ทำให้จิตใจคนสงบนิ่งลงมาฟังความคิดเห็นของเธอได้ง่ายมาก

Kane นายนี่สมกับเป็นHunterจริงๆ เลยนะเนี่ย"

ไม่รู้ทำไม ชื่อเรียกHunterนี้ เมื่อก่อนทำให้คาย์อันรู้สึกภูมิใจ แต่วันนี้พอได้ยินแล้วกลับรู้สึกแทงหูยิ่งขึ้น ไม่มีเหตุผล จิตใจสับสนวุ่นวาย จับผมหลังหัว คาย์อัน เฟโรกิอยู่ๆ ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ยกเหล้าที่อยู่ข้างหน้าขึ้นมา ดื่มลงไปอย่างรวดเร็ว

"ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากเป็นนักล่าสำหรับเธอแค่คนเดียว" ขณะที่หงุดหงิดอยู่ ความรู้สึกดิ้นตามหัวใจ ปากเปิดตามความรู้สึก ไม่ได้คิดอะไรมาก กล่าวความหงุดหงิดที่ไร้เหตุผลนั้นออกมาอย่างรวดเร็ว

หันหลังกลับจากนั้นก็ก้าวเท้ายาวๆ จากไป

มิแฟรี่มองด้านหลังที่จากไปอย่างเร่งรีบนั้นอย่างงงงัน…… "พระเจ้า!"

นี่แต่ละคนบ้าไปหมดแล้วเหรอ

รู้ทั้งรู้ว่าเป็นหลุมศพ ยังจะตกลงไปด้วยรอยยิ้มอีก?

ไม่ๆๆ ไม่ เขาจะไม่เดินตามหลังสองคนนี้เด็ดขาด

……

เมื่อรู้ว่าจะได้เจอมิแฟรี่ที่เป็นชั้นยอดในอุตสาหกรรมนี้ มือถือของเจี่ยนถงก็ปิดเสียงไว้เรียบร้อยดีแล้ว

กลับมาถึงห้องพัก อาบน้ำให้สะอาด ตอนที่ห่มผ้าเช็ดตัวไว้นั่งอยู่หัวเตียง มือถือที่วางอยู่บนตู้หัวเตียงหน้าจอสว่างขึ้นมา เธอเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้เปิดเสียงที่ปิดไว้ของมือถือเลย

หยิบขึ้นมาอย่างราบรื่น พอเห็นชื่อของวิเวียนก็ได้ลังเล

"ฮาโหล" ในที่สุดก็กดปุ่มรับสายอยู่ดี

"เสี่ยวถง ทำไมเธอถึงเพิ่งรับมือถือ ฉันโทรไปตั้งหลายสาย ติดต่อเธอไม่ได้สักที ฉันเกือบไปแจ้งตำรวจแล้ว"

อีกฝั่งของมือถือ วิเวียนกล่าวอย่างเร่งรีบ เจี่ยนถงรีบขอโทษทันที "อย่าโกรธเลย เมื่อกี้ฉันมีเรื่องสำคัญน่ะ"

"เรื่องสำคัญอะไร ทำให้เธอแม้กระทั่งเวลารับสายยังไม่มีเลย" เจี่ยนถงรู้จักลูกน้องคนนี้ดี วิเวียนดูฉลาดทำงานเก่ง จริงๆ แล้วถ้าโมโหขึ้นมาน่ากลัวมาก เธอรู้ดีว่าตัวเองไม่มีเหตุผล จึงเอามิแฟรี่ออกมาอ้างทันที

"มิแฟรี่ ฉันได้เจอกับมิแฟรี่แล้ว"

อีกฝั้งของมือถือเสียงหายไปในกะพริบตา หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที……เจี่ยนถงนับเลขในใจ

"มิแฟรี่??? มิแฟรี่ของเตอร์เมนกรุ๊ป?????"

เสียงตื่นเต้นแหกปากดังออกมาจากไมโครโฟน เจี่ยนถงรีบวางมือถือไว้ไกลๆ หู "เธอเบาเสียงลงหน่อย หูฉันจะระเบิดแล้ว"

"อย่าเพิ่งสนใจเรื่องนั้น เธอรีบบอกฉันมาสิ คือมิแฟรี่ของเตอร์เมนกรุ๊ปประเทศฝรั่งเศสใช่ไหม"

"เธอเจอตัวจริงของมิแฟรี่แล้วเหรอ

เขาหล่อไหม

พวกเธอพูดคุยกันหรือยัง

พูดอะไรบ้าง

เขารู้จักเจี่ยนซื่อไหม

พวกเธอคุยถึงเรื่องร่วมมือกันหรือยัง

เขาตกลงหรือยัง

วิเวียนเพิ่งถามเสร็จหนึ่งข้อ เจี่ยนถงกำลังจะตอบ ก็ถูกคำถามต่างๆ ถามจนเริ่มเมาหัวแล้ว

จำเป็นต้องเรียกให้หยุด

"สำหรับเรื่องที่ร่วมมือกัน ฉันอยากขอโอกาสหน่อย วิเวียน ตัวจริงของมิแฟรี่เหมือนจะสนใจการเสนอของฉันมากเลย ส่วนแผนโครงการที่เราปรึกษากันเป็นส่วนตัวนั้น ฉันคิดว่าคืนนี้คุณน่าจะต้องทำโอที จัดเอกสารให้เรียบร้อย ส่งมาที่อีเมลของฉัน

ฉันต้องรักษาเวลาไว้รีบทำแผนโครงการออกมา"

"ใช่ๆๆ! น้ำขึ้นให้รีบตัก! ประธานเจี่ยน คุณไว้ใจได้เลย ทั้งคืนนี้ฉันจะรวบรวมเอกสารทำเป็นไฟล์ ส่งไปที่อีเมลของคุณ"

เจี่ยนถงยกคิ้วเล็กน้อย…… วิเวียนนี่นะ เวลาโมโห ก็จะเรียก "เสี่ยวถงๆ" ตรงๆ พอเจอเรื่องงาน ก็กลายเป็น "ประธานเจี่ยน" ทันทีเลย

แน่นอน ท่าทีการทำงานและจุดยืนแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกแบบนี้ดีที่สุดแน่นอนอยู่แล้ว

แค่ ความเร็วการเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้เธอกลัวจริงๆ

"อ่ะ ใช่แล้ว!

เกือบลืมเรื่องสำคัญไปแล้ว

เสี่ยวถง เรื่องที่เธอมอบหมาย ไอ้โง่……ประธานเสิ่นเขาดีมาก เธออยู่ที่ซานย่าตรงนั้นทำแผนโครงการอย่างไว้ใจได้เลย ไม่ต้องห่วงนะ เขาไม่ดื้อ ข้าวก็ได้กิน ยังทำเองอีกด้วย"

"……อืม" ใช่แบบนี้เหรอ?

เพราะฉะนั้นเธอหนีเพราะเขาแล้ว

ส่วนเธอจะอยู่หรือไม่อยู่ สำหรับเขาแล้วก็เหมือนกันหมด มีหรือไม่มีก็ได้?

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นเขาที่มีสติอยู่ หรือเป็นเขาที่ไม่มีสติ เจี่ยนถง ก็แค่รหัสที่มีหรือไม่มีก็ได้ในชีวิตของเขา เป็นชื่อหนึ่งที่ไม่มีความหมายอะไร?

เธอเปลี่ยนชุดนอน เดินไปที่บนระเบียง ลมพัดมาที่ตัว ซานย่าไม่หนาว

เธอไม่รู้ว่าเธอกำลังถือสาอะไรอยู่ และทำไมหนีมาถึงที่นี่แล้ว กลับยังรู้สึกขาดลมหายใจอย่างทรมาน เจ็บปวดอย่างมิอาจหายใจได้

ห้ามดีกับเขา ไม่ควรสนิทกับเขา แต่เช้าวันนั้นกลับช่วยเขาทำเรื่องใกล้ชิดแบบนั้น……ด้วยตัวเอง เธอไม่ควรมีความเกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้ว!

ใช่สิ เธอไม่ได้ทำผิด ไม่ควรใจอ่อนกับเขาอยู่แล้ว

ประสิทธิภาพของวิเวียนน่าตกใจมาตลอด

เมื่อเจี่ยนถงตื่นขึ้นมา ได้รับอีเมลจากวิเวียนโดยที่ไม่รู้สึกคาดคิดไม่ถึงเลย

กริ่งประตูดังขึ้น

"บริการรูมเซอร์วิสเหรอ รอแป๊ปหนึ่งนะ"

ตอนเช้าเธอเพิ่งตื่นมา ยังไม่ทันได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ยังใส่เสื้อคลุมชุดนอนอยู่ จัดเสื้อคลุมให้เรียบร้อยเบาๆ เปิดประตูห้องออก

"อรุณสวัสดิ์"

"คุณ……เช้าขนาดนี้เลยเหรอ" เธอดูเสื้อคลุมชุดนอนบนตัวของตนเอง ถือว่ายังสะอาดเรียบร้อยอยู่ และมองคนที่มาต่อ "เข้ามาก่อนสิ"

"ทำงานเหรอ"

เจี่ยนถง "อืม" เสียงหนึ่ง "คาย์อัน ครั้งนี้ขอบคุณมากเลยนะที่ช่วยแนะนำให้ฉัน ช่วยฉันได้เยอะมากเลยจริงๆ" เธอเดินไปที่ห้องน้ำชา "ดื่มอะไร ชาหรือกาแฟ"

"น้ำร้อนก็พอ"

"รอแป๊บหนึ่ง" เธอต้มน้ำไปด้วย ล้างแก้วที่อยู่ข้างๆ ไปด้วย

หน้าอ่างล้างมือ ด้านหลังผู้หญิงจู่ๆ ก็มีเงาสูงใหญ่คนหนึ่ง กลิ่นแบบฮอร์โมนของผู้ชาย เต็มทั้งช่องจมูกทันที "นำเรื่องงานเข้ามาอยู่ในการพักผ่อน เป็นนิสัยที่ไม่ดีสักเท่าไหร่เลยนะ"

ผู้หญิงถอยออกมาจากห้องน้ำชาอย่างไร้ร่องรอย

"นี่คือโอกาสที่ดีมากๆ คาย์อัน ฉันแพ้ไม่ได้ เจี่ยนซื่อ แพ้ไม่ได้" เธอมองไปที่ดวงตาคู่หนึ่งของคาย์อันอย่างลึกซึ้ง ความลึกซึ้งและความหนักแน่นในดวงตานั้นแย่งลมหายใจของผู้ชายไปภายในชั่วขณะแล้ว กดดันจนเขารู้สึกหายใจไม่ออกนิดหน่อย และในชั่วขณะนั้น กลับมองผู้หญิงที่อยู่ตรงข้ามนั้นไม่ออก

ไม่ใช่คำพูดของเธอ คือตาของเธอ เหมือนกับแย่งเวลานาทีสุดท้ายของนักพนันคนหนึ่ง

ทันใดนั้นในใจตันอย่างหวาดหวั่น ตั้งใจทำเป็นไม่สนใจ พูดเสียงดังเฮๆ ฮาๆ ว่า

"เสี่ยวถง ทานอาหารเช้า?

อาหารเช้าของวิลล่าเยว่หรงดีมากเลยนะ

ถึงจะทำงาน ก็ต้องกินให้อิ่มถึงจะมีแรง ใช่ไหม"

"คุณรอสักครู่นะ ฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวหนึ่ง" ก็สมเหตุสมผลอยู่ กินอิ่มเพื่อที่จะได้มีแรงทำงานมากกว่าเดิม

หนึ่งอาทิตย์ที่หลังจากนี้ เธอปิดตัวเองไว้ในห้องนอน ทำแผนโครงการที่อยู่ในมือตลอด คาย์อันก็จะมาหาเธออยู่บ่อยๆ บางครั้งเรียกเธอทานข้าวด้วยกัน บางครั้งกลับเห็นว่าเขาไม่ทำอะไรเลย จับมือถือไว้เล่นRoV พอเล่นแล้วก็คือเล่นทั้งบ่ายเลย และยังนอนอยู่บนโซฟาของเธออีกด้วย

เขาก็ไม่ได้รบกวนเธอ หลายครั้งมากแล้วเธอก็เห็นจนชินแล้ว

ส่วนเธอใช้ทั้งกายและใจ ในหนึ่งสัปดาห์นั้นอยู่กับแผนโครงการที่ใหม่ที่สุก ไม่มีเวลาอื่นสักนิดเลย

วิเวียนไม่โทรหาแล้ว แต่เป็นติดต่อทางวีแชท ถ้าทุกวันนี้ไม่ฟ้าร้อง เขาดีมาก กินข้าวดีมาก สุขภาพร่างกายแข็งแรง

จัดการได้มิแฟรี่ เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดคิดและคาดคิดไม่ถึง วินาทีที่สองฝ่ายเซ็นชื่อ ไม่มีใครเห็นผู้หญิงที่เงียบคนนั้น แป๊บเดียวทั้งคนก็เหมือนกลับมีชีวิตใหม่ เหมือนเรื่องที่รอนานมากในที่สุดก็ได้สำเร็จ

และก็คือวินาทีนี้ เหมือนเธอไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว

"ขอบคุณมากนะ คาย์อัน"

ช่วยเธอได้เยอะมากๆ จริงๆ ถ้าไม่มีมิแฟรี่ เธออาจจะต้องเดินอ้อมวงใหญ่มาก

ถ้าไม่มีคาย์อัน ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เจอมิแฟรี่

เธอก้มตัวลง ไหว้เป็นก้าวสิบองศา แน่นอนว่าอันนี้ไม่พอแน่นอน แต่กลับสามารถแสดงความรู้สึกขอบคุณของเธอได้

ไหว้เป็นก้าวสิบองศา กลับถูกมือใหญ่อันมีแรงจับไหล่ไว้ เธอเงยหัวขึ้นมองอย่างไม่เข้าใจ

เห็นแต่คางอันดูดีแข็งแรงของผู้ชาย ผู้ชายก้มหัวลงช้าๆ จ้องผู้หญิงด้วยสายตาเร่าร้อน เสียงแหบและดึงดูดใจคน

"ขอบคุณ……เหรอ

เจี่ยนถง ผมไม่เอาคำขอบคุณที่พูดด้วยปากเปล่า"

"ฉันรู้ คุณช่วยเยอะมากๆ เลย ก็ต้องไม่เป็นเพียงแค่คำขอบคุณที่พูดด้วยปากเปล่า ถ้าอะไรที่ฉันสามารถทำได้……"

"จุ๊~" ผู้ชายห้ามคำพูดของผู้หญิงไว้ หรี่ตามองเธอ "เสี่ยวถง ถ้าคุณอยากขอบคุณผมจริงๆ ผม……เอาแค่คุณ"

ครืน–

ฟ้าผ่าตรงข้างหู สักพักแล้วยังตั้งสติไม่ได้เลย พอตั้งสติได้แล้วถึงเข้าใจความหมายของประโยคนั้นตอนทีหลัง

ช้าๆ เธอยืนตัวตรง ดึงฝ่ามือของเขาออก หันหลังกลับ จากไปโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ

ในใจผู้ชายใจร้อนมาก จู่ๆ ก็ยื่นมือจับแขนของเธอไว้ "เสี่ยวถง ผมล้อเล่นนะ คุณอย่าคิดจริงจัง……"

"ใช่เหรอ" ใบหน้าอันสงบนิ่งของเธอไม่มีคลื่นใดๆ เลย จ้องสองตาของเขา "ล้อเล่นจริงเหรอ ถามคุณเองสิ ใช่ไหม"

ถามคุณเองสิ ใช่ไหม……หัวใจแน่นขึ้นทันที!

คำโกหกกลับไม่สามารถพูดออกมาอีก

ไม่สามารถ หลอกตัวเอง

ล้อเล่นเหรอ ล้อเล่นจริงๆ เหรอ

ผู้ชายกัดฟันไว้แน่นๆ "ไม่ใช่ล้อเล่นแล้วจะทำไม" เขาเก่งไม่พอเหรอ เขาเทียบคนที่มีนามสกุลเป็นเสิ่นไม่ได้เหรอ เขาทำกับเธอดีกว่าผู้หญิงคนไหนๆ เยอะมากๆ!

"ไม่ใช่ล้อเล่น……" บนใบหน้าอันสงบนิ่งของผู้หญิงมีรอยยิ้มค่อยๆ โผล่ขึ้นมา แต่กลับไม่มีความสุขเลย ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา มองผู้ชายที่อยู่ข้างหน้า "แล้วคุณต่างอะไรจากสามปีก่อน"

คุณต่างอะไรจากสามปีก่อน!

ประโยคเดียว ก็ตีผู้ชายจนตัวแข็งทื่อทันทีเลย "มี สามปีก่อนผมเข้าใจคุณผิด แต่คุณไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดแบบนั้น ปัจจุบันผมถึงยิ่งรู้จักตัวตนจริงๆ ของคุณ"

ผู้หญิงมองลงไปข้างล่าง ปิดบังการเยาะเย้ยตัวเองในตา……ตัวตนจริงๆ ของเธอ

ตัวตนจริงๆ ของเธอเป็นยังไง เธอเองก็ดูไม่ชัดแล้ว

สามปีก่อน เขาใช้เงินล่าสิ่งที่คุณอยากได้ สามปีผ่านไป เขาใช้โอกาสหนึ่ง ยังคงเพื่อแค่อยากล่าโดนสิ่งที่เขาอยากได้

สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันคือ เงินในตอนนั้น วันนี้กลายเป็นโอกาส ถ้าจะให้พูดถึงความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้ ก็น่าจะเป็นผู้ชายคนนี้โตแล้ว เกม ก็ยิ่งเหมาะกับที่ผู้ใหญ่เล่นแล้ว

ผู้ชายที่แสบสาแหรกขาดจะโยนเงินไปเลย ผู้ชายที่มีอายุหน่อยก็จะชอบสิ่งที่ไม่ค่อยตรงไปตรงมาขนาดนั้นแล้ว

แต่ว่า มันมีอะไรต่างกันไหม

ในที่สุด ผู้หญิงก็ไม่ได้พูดคำพูดทำร้ายคนเหล่านี้ แค่จ้องมองใบหน้าอันแข็งแรงของผู้ชายไว้

"เงินในตอนนั้น โอกาสในวันนี้ มันเหมือนกันหมดแหละ คาย์อัน คุณคือนักล่าที่เก่งมาก นักล่าที่เก่ง เติบโตอยู่เรื่อยๆ แต่เป้าหมายของนักล่า ก็แค่ล่าโดนเหยื่อที่อยู่ในตา" คำพูดถึงตรงนี้ เธอรู้ เขาฟังเข้าใจแล้ว

Devil’s love ทิ้งรักของนายปีศาจไป

Devil’s love ทิ้งรักของนายปีศาจไป

Score 10
Status: Completed
เซี่ยเวยเหมิงเสียชีวิตแล้ว เสิ่นซิวจิ่นส่งตัวเจี่ยนถงเข้าไปในเรือนจำหญิงสามปีในคุก คำพูดของเสิ่นซิวจิ่นที่ว่า“ดูแลเธอให้ดีๆ”ทำให้เจี่ยนถงทรมานและเปลี่ยนไปมาและเปลี่ยนไปมาก ยิ่งไปกว่านั้นคือตอนที่อยู่ในคุกถูก “ยินยอมที่จะบริจาคไตโดยไม่สมัครใจ”ก่อนเข้าคุก เจี่ยนถงพูด:ฉันไม่ได้ฆ่าเธอ เสิ่นซิวจิ่นไม่แสดงท่าทีอะไรหลังออกจากคุก เจี่ยนถงพูด:ฉันเป็นคนที่ฆ่าเซี่ยเวยเหมิง ฉันอาชญากรรมแล้วเสิ่นซิวจิ่นพูดด้วยสีหน้าซีดขาว:หุบปากไปเลย! อย่าให้ฉันได้ยินประโยคนี้อีก!เจี่ยนถงยิ้ม:จริงๆ ฉันเป็นคนที่ฆ่าเซี่ยเวยเหมิง ฉันติดคุกมาสามปี เจี่ยนถงหลบหนีไป เสิ่นซิวจิ่นตามหาเธอทั่วทุกมุมโลก เสิ่นซิวจิ่นพูด:เจี่ยนถง ฉันยกไตให้คุณ คุณมอบหัวใจให้ฉันเถอะ เจี่ยนถงเงยหน้ามองเสิ่นซิวจิ่น แล้วพูด...

Options

not work with dark mode
Reset