Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ 209 : Exhausted Soul

ตอนที่ 209 : Exhausted Soul

“ด–เดี๋ยวก่อนสิคะคุณเอริกะ… ต่อให้เป็นคุณเอริกะก็เถอะแต่ว่าคงจะขอเข้าพบองค์ราชาโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้าก่อนไม่ได้หรอกนะคะ!”

 

“แหม่~ จะยุคไหนสมัยไหนพอเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพวกเชื้อพระวงศ์นี่ก็ยุ่งยากเหมือนเคยเลยนะ”

 

ในขณะที่เอริกะกำลังเดินดุ่มๆ ตรงไปทางห้องท้องพระโรงของวังหลวงแห่งเมืองแพนเทร่าอยู่นั้นเอง อาริสะที่รวบกระโปรงของเธอขึ้นเพื่อวิ่งตามเอริกะมาก็ได้ร้องบอกหญิงสาวนักประดิษฐ์ขึ้นมาจนทำให้เอริกะต้องพูดบ่นกลับไป

 

แต่ถึงแม้ว่าเอริกะจะพูดตอบกลับมาอย่างนั้น เธอก็กลับไม่ได้ชะลอฝีเท้าลงไปเลยแม้แต่น้อยและเดินไปหยุดอยู่ที่หัวมุมหนึ่งของโถงทางเดินก่อนจะชะโงกหน้าออกไปดูเบื้องหน้า และนั่นก็ทำให้เอริกะได้พบเข้ากับพรมสีแดงที่ทอดยาวหายเข้าไปใต้ประตูสีทองบานใหญ่ที่มีร่างของอัศวินในชุดเกราะสีน้ำเงินอ่อนถืออาวุธยืนเฝ้าอยู่สองนายด้วยกัน

 

ซึ่งภาพของอัศวินทั้งสองคนในชุดเกราะก็ได้ทำให้เอริกะต้องเลิกคิ้วแปลกใจ เพราะว่าโดยปกติแล้วเหล่าขุนนางในเมืองแพนเทร่าในยุคนี้มักจะใช้หน่วยทหารกันเสียมากกว่าไม่ใช่หน่วยอัศวินในชุดเกราะที่ดูหรูหราเช่นนี้

 

“เห… มีคนเฝ้าอยู่ด้วยงั้นหรอเนี่ย…”

 

“น..นั่นหน่วยอัศวินราชองครักษ์ค่ะ… พ…พวกเรารีบกลับไปก่อนที่พวกเขาจะเห็นแล้วไปยื่นเรื่องขอเข้าเฝ้าแบบปกติกันดีกว่านะคะคุณเอริกะ…!”

 

“ถ้าเกิดว่าพวกเขาเห็นใครผ่านมาทางนี้โดยไม่ได้มีการแจ้งเอาไว้ก่อนพวกเขามีสิทธิ์ที่จะใช้กำลังจับกุมหรือว่าประหารชีวิตได้ทันทีเลยนะครับคุณเอริกะ”

 

ในทันทีที่อาริสะและริวเห็นเอริกะชะโงกหน้าเข้าไปแอบดูโถงระเบียงต้องห้ามของแพนเทร่าเข้าแบบนั้นพวกเธอก็ไม่รอช้าที่จะรีบดึงเสื้อกาวน์ของเอริกะให้กลับมาที่เดิมและพูดเตือนหญิงสาวนักประดิษฐ์ขึ้นมา

 

ซึ่งท่าทางลนลานของเด็กสาวขุนนางของเมืองแพนเทร่านั้นก็ได้ทำให้เอริกะต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจก่อนที่เธอจะกดไปที่ขาแว่นตากรอบแดงของเธอจนทำให้มันฉายภาพของอัศวินทั้งสองนายที่ยืนเฝ้าอยู่ที่ด้านหน้าประตูทองคำขึ้นมาให้เธอเห็นอีกครั้งหนึ่ง

 

และเมื่อเอริกะสังเกตดูการแต่งกายของหน่วยอัศวินราชองครักษ์ที่ว่านั่นแล้วเธอก็ได้พบว่าบนตัวชุดเกราะสีน้ำเงินอ่อนของอีกฝ่ายนั้นได้มีการแกะสลักแผงวงจรวิซสีดำขนาดเล็กๆ อัดแน่นเอาไว้จนทั่ว อีกทั้งบนใบดาบและโล่อัศวินขนาดใหญ่ที่อีกฝ่ายถือเตรียมพร้อมเอาไว้ตลอดเวลาเองก็ได้มีการแกะสลักวงจรวิซลงไปด้วยเช่นเดียวกัน

 

อีกทั้งเมื่อเอริกะได้สังเกตดูดีๆ แล้วเธอก็พบว่าวงจรวิซที่ถูกแกะสลักเอาไว้บนอาวุธและชุดเกราะของอัศวินทั้งสองนายนั้นเป็นวงจรวิซคนละแบบและคนละธาตุกันบ่งบอกว่ามันน่าจะเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้โดยเฉพาะสำหรับแต่ละคนแน่ๆ และนั่นก็ทำให้เอริกะต้องพูดถามอาริสะที่ทำงานที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการสร้างของพวกนั้นขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

 

“อาวุธกับชุดเกราะของเขามีการแกะสลักวงจรวิซเอาไว้ด้วยนี่ พวกมันทำอะไรได้บ้างน่ะอาริสะจัง?”

 

“ดิฉันก็ไม่รู้หรอกค่ะ อาวุธของพวกหน่วยอัศวินราชองครักษ์มันถูกเก็บเอาไว้เป็นความลับขั้นสูงสุดน่ะค่ะ ถ้าจะมีคนที่รู้ก็มีแค่คุณอัลเปียล่ะมั้งคะที่เป็นคนสร้างอาวุธชุดล่าสุดขึ้นมาน่ะค่ะ”

 

“เอ๋? อาวุธพวกนั้นไม่ใช่ฝีมือของเธอที่เป็นหัวหน้าหน่วยประดิษฐ์หรอกหรอ?”

 

“ก…ก็… ถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้วคุณอัลเปียเขาเหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากกว่าดิฉันนั่นแหล่ะค่ะ… แค่ว่าคุณอัลเปียเขาหวงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานที่มีเวลาว่างมากกว่ามากถึงขั้นขู่ว่าถ้ามีคนคิดจะย้ายเธอไปอยู่ตำแหน่งอื่นเธอจะลาออกแล้วย้ายไปอยู่เมืองอื่นเลยน่ะค่ะ… แต่ว่าตอนนี้พวกเรารีบกลับไปกันก่อนเถอะค่ะคุณเอริกะ”

 

อาริสะที่ได้ยินเอริกะพูดถามขึ้นมาตรงๆ นั้นได้เม้มปากแน่นก่อนที่เธอจะพูดตอบนักประดิษฐ์สาวกลับไปด้วยใบหน้าที่ออกจะขึ้นสีเล็กๆ พร้อมกับพูดเตือนเอริกะขึ้นมาอีกครั้งไปด้วย

 

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเอริกะก็กลับทำเพียงแค่กดไปที่ขาแว่นตากรอบแดงของเธออีกสองสามครั้งเพื่อให้มันทำการวิเคราะห์แผงวงจรวิซตามอาวุธและชุดเกราะของหน่วยอัศวินราชองครักษ์ก่อนที่เธอจะพูดพึมพำออกมาเบาๆ

 

“อื้ม…วงจรวิซบนชุดเกราะหลักๆ แล้วใช้ทำหน้าที่ควบแน่นออร่าวิซเพื่อลดทอนการโจมตีด้วยวิซ ส่วนตัวดาบกับโล่เป็นวงจรวิซสำหรับโจมตีระยะไกล แต่ที่เป็นปัญหาน่าจะเป็นวงจรวิซที่ไม่มีในฐานข้อมูลตรงตรารูปสิงโตบนอกนั่นซะมากกว่า… แต่ว่าก็ไม่มีเวลาให้วิเคราะห์ตอนนี้ซะด้วยสิ… เอาล่ะ…!”

 

“ด..เดี๋ยวสิคะคุณเอริกะ!?”

 

ในทันทีที่เอริกะเอ่ยปากพูดออกมาจนจบนั้นเองเธอก็ได้ล้วงหยิบเอาหนังสือปกหนังเก่าๆ ออกมาจากภายใต้เสื้อกาวน์และออกก้าวเดินตรงไปตามพรมสีแดงที่ทอดยาวหายเข้าไปภายใต้ประตูทองคำในทันทีโดยไม่ฟังเสียงร้องห้ามของอาริสะเลยแม้แต่น้อย

 

ซึ่งการกระทำของเอริกะนั้นก็ได้ทำให้อัศวินราชองครักษ์ทั้งสองคนที่ดูเหมือนว่าจะสังเกตเห็นการกระทำลับล่อๆ ของเธอมาได้สักพักใหญ่ๆ แล้วขยับตัวหันมามองทางเอริกะที่กำลังเดินตรงเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงกัน

 

“………..”

 

แต่ถึงอย่างนั้นการกระทำของพวกเขาก็กลับไม่ใช่การชักอาวุธออกมาจัดการกับผู้บุกรุกอย่างที่ริวพูดเตือนเอาไว้ก่อนหน้านี้ แต่ว่าเป็นการมองสำรวจดูการแต่งกายของเอริกะที่ถือหนังสือปกหนังเก่าๆ เอาไว้ในมืออย่างเงียบๆ ด้วยสายตาเฉียบแหลมก่อนที่หนึ่งในอัศวินจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“ท่านเอริกะ ซิกมอร์สินะ… องค์ราชาเฝ้ารอท่านอยู่นานแล้ว เชิญ…”

 

ทันทีที่หนึ่งในอัศวินราชองครักษ์เอ่ยปากพูดขึ้นมาจนจบเขาก็ได้ผลักประตูทองคำให้เปิดออกท่ามกลางความแปลกใจของทุกคนก่อนที่เขากับอัศวินอีกหนึ่งคนที่ทำหน้าที่เฝ้ายามด้วยกันจะเดินนำเอริกะและอาริสะตรงเข้าไปในท้องพระโรงของพระราชวังแห่งเมืองแพนเทร่าที่เป็นห้องโถงยาวประดับด้วยเสาต้นใหญ่จำนวนมากโดยมีพรมสีแดงทอดยาวตรงไปถึงบัลลังก์ที่ถูกตั้งเอาไว้คู่กันที่ปลายท้องพระโรง

 

ซึ่งถึงแม้ว่าเอริกะจะรู้สึกแปลกใจไม่ใช่น้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ว่าในเมื่อมันจะช่วยประหยัดเวลาการทำเรื่องขอเข้าเฝ้าตามปกติให้เธอได้เธอจึงไม่รอช้าที่จะเดินนำอาริสะและริวตามหลังอัศวินราชองครักษ์เข้าไปในท้องพระโรงของวังหลวงแห่งแพนเทร่าในทันที

 

แกร๊ก–

 

แต่ถึงอย่างนั้นในขณะที่ริวกำลังจะก้าวตามเข้าไปภายในท้องพระโรงนั้นเอง ก็ได้มีอัศวินราชองครักษ์อีกสี่คนเดินตรงเข้ามาโถงทางเดินและขยับอาวุธของพวกเขาออกมาขวางริวเอาไว้โดยไม่ได้พูดอะไรเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าชายหนุ่มหัวหน้าหน่วยทหารประจำตัวของอาริสะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปภายในด้วย และนั่นก็ทำให้ริวตัดสินใจที่จะพูดบอกอาริสะขึ้นมาก่อนที่เขาจะเดินจากไปอีกทางหนึ่ง

 

“ถ้างั้นผมจะไปเตรียมเรือบินส่วนตัวของท่านอาริสะเผื่อเอาไว้ก่อนนะครับ…”

 

“ค่ะ… ฝากด้วยนะคะคุณริว”

 

ปึ้ง—

 

ในทันทีที่สิ้นเสียงของอาริสะนั้นเอง อัศวินทั้งสี่คนที่ยืนเฝ้าอยู่ที่ด้านนอกก็ได้เลื่อนประตูทองคำให้ปิดลงอีกครั้งในขณะที่ทางด้านอัศวินทั้งสองคนก็ได้เริ่มต้นออกเดินนำเอริกะและอาริสะตรงไปตามพรมสีแดงที่ทอดยาวตรงไปยังบัลลังก์ที่ว่างเปล่า และนั่นก็ทำให้อาริสะต้องรีบใช้โอกาสนี้ในการพูดเตือนเอริกะขึ้นมาเบาๆ

 

“ถ้าเป็นไปได้คุณเอริกะช่วยสำรวมแล้วก็รักษามารยาทตอนที่อยู่ต่อหน้าองค์ราชาด้วยนะคะ…”

 

“ตายจริง… นี่เธอกำลังจะบอกว่าฉันเป็นคนไม่มีมารยาทงั้นหรอเนี่ยอาริสะจัง?”

 

“ถ้าจะให้ดิฉันพูดตรงๆ แบบไม่เกรงใจมันก็ตามนั้นแหล่ะค่ะ… ถึงขุนนางหลายๆ ท่านรวมถึงดิฉันด้วยจะไม่ได้ถือสาอะไรก็เถอะ แต่ว่าคนที่ท่านเอริกะกำลังจะไปพบนี่เป็นถึงพระราชาของเมืองแพนเทร่าเลยนะคะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ดิฉันเองก็อาจจะช่วยเหลืออะไรคุณเอริกะไม่ได้เหมือนกัน…”

 

อาริสะพูดเตือนเอริกะขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูออกจะไปเป็นทางหวั่นๆ เล็กน้อย และนั่นก็ทำให้เอริกะที่จับสังเกตได้ไม่รอช้าที่จะพูดจี้ขึ้นมาด้วยน้ำเสียงระรื่นในทันที

 

“อะไรกัน นี่เธอกลัวเขางั้นหรอเนี่ย~ หรือว่าเคยแอบไปก่อเรื่องอะไรไม่ดีไม่งามกับคนในราชวงศ์มาก่อนหรือไงกันเอ่ย~”

 

“ม—มันจะไปมีเรื่องอะไรแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะคะ!?”

 

กึก กึก…

 

ในขณะที่เหล่าสาวๆ กำลังพูดคุยหยอกล้อกันเบาๆ อยู่นั้นเอง อัศวินที่เดินนำหน้าพวกเธอก็กลับไม่ได้หยุดอยู่ที่เบื้องหน้าบัลลังก์และเดินแยกออกไปคุ้มกันทางด้านข้างอย่างที่ควรจะเป็น แต่ว่าพวกเขาทั้งสองคนกลับก้าวเดินนำพวกเธอเลยบัลลังก์นั้นไปตรงไปยังประตูไม้ที่ตั้งอยู่ที่สุดโถงทางเดิน และนั่นก็ทำให้อาริสะสะดุ้งตกใจจนหางตั้งก่อนที่เธอจะพูดถามอัศวินที่เดินนำอยู่เบื้องหน้าขึ้นมา

 

“ด–เดี๋ยวก่อนสิคะ ทางนั้นมันทางไปห้องบรรทมไม่ใช่หรอคะ!?”

 

“หืม? ห้องบรรทม? หมายถึงห้องนอนน่ะนะ? แหม่… เป็นถึงพระราชาแท้ๆ อย่างน้อยๆ ก็น่าจะรู้ว่าควรจะเริ่มจากการชวนสาวๆ เขาไปทานข้าวหรือชวนไปเที่ยวอะไรอย่างนั้นก่อนจะพาไปห้องนอนนะ~”

 

“หว๋ายๆๆๆๆ อย่าพูดแบบนั้นสิคะคุณเอริกะ…!!”

 

คำพูดของเอริกะในคราวนี้ที่ถึงกับทำให้อัศวินราชองครักษ์ที่เดินนำหน้าพวกเธอชะงักไปเล็กน้อยนั้นได้ทำให้อาริสะต้องรีบกระตุกชายเสื้อกาวน์ของนักประดิษฐ์สาวถี่ยิบและพูดตักเตือนขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านอัศวินทั้งสองคนที่เดินล้อมหน้าล้อมหลังพวกเธออยู่ก็กลับไม่ได้แสดงท่าทางก้าวร้าวออกมาเมื่อเขาได้ยินคำพูดที่เข้าข่ายการหมิ่นประมาทองค์ราชาแห่งเมืองแพนเทร่าอย่างนั้นและทำเพียงแค่เคาะไปที่ประตูเบื้องหน้าเป็นจังหวะสองสามทีพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

ก๊อก ก๊อก

 

“ท่านเอริกะมาที่นี่ตามที่ท่านเคยบอกเอาไว้แล้วครับ”

 

ในทันทีที่อัศวินเบื้องหน้าเอ่ยปากพูดขึ้นมาจนจบแล้วนั้นเองเขาและอัศวินอีกคนหนึ่งก็ได้เดินไปยืนประจำอยู่ที่ด้านข้างของประตูไม้เบื้องหน้าราวกับว่าหน้าที่ของตนเองเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วจึงได้กลับเข้าสู่การเฝ้าอารักขาตามปกติ

 

แต่ถึงอย่างนั้นก็กลับยังไม่มีการตอบรับหรือว่าเสียงอะไรดังลอดออกมาจากภายในห้องบรรทมที่ปิดสนิทเลยแม้แต่น้อย และนั่นก็ทำให้เอริกะตัดสินใจที่จะพูดถามเหล่าอัศวินขึ้นมาเพื่อเป็นการฆ่าเวลา

 

“พวกคุณรู้อยู่แล้วหรอว่าฉันจะมาที่นี่น่ะ?”

 

“องค์ราชาสั่งหน่วยอัศวินราชองครักษ์ทุกคนให้เฝ้ารอการมาถึงของท่านเอริกะเอาไว้ตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อนแล้ว แล้วก็พูดเตือนพวกเราว่าไม่ต้องใส่ใจคำพูดที่อาจจะฟังดูเสียมารยาทของท่านเอริกะมากด้วย…”

 

“หืม…”

 

คำตอบของอัศวินราชองครักษ์เบื้องหน้าที่เอ่ยปากพูดตอบกลับมาแต่นัยน์ตายังคงมองตรงไปเบื้องหน้าด้วยท่าทางมีระเบียบได้ทำให้เอริกะต้องส่งเสียงออกมาเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ เพราะดูเหมือนว่าราชาคนปัจจุบันของเมืองแพนเทร่าที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อนเหมือนจะรู้จักนิสัยของเธอดีว่าเป็นคนยังไง แต่ถึงอย่างนั้นเอริกะก็ไม่ได้ติดใจที่เรื่องตรงนั้นมากนัก เนื่องจากคำพูดของพวกเขาที่บอกว่า ถูกสั่งให้เฝ้ารอการมาถึงของเธอตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อนแล้ว นั้นฟังดูน่าสนใจกว่ามาก

 

“สองเดือนก่อน? เมื่อตอนนั้นฉันยังยุ่งอยู่กับการดูแลพวกเด็กๆ หน้าใหม่อยู่เลยนะ ทำไมพระราชาของนายถึงคิดว่าฉันจะมาที่นี่ล่ะ?”

 

“เรื่องนั้นพวกผมก็ไม่ทราบ รู้แค่ว่าองค์ราชาเป็นคนแจ้งเรื่องนี้ให้กับหน่วยอัศวินราชองครักษ์ด้วยตัวเองตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อนเท่านั้น”

 

“เห….”

 

“เข้ามาได้”

 

ในขณะที่คำตอบของอัศวินเบื้องหน้ากำลังจะทำให้ท่าทางขี้เล่นของเอริกะจางหายไปอยู่นั้นเอง ก็ได้มีเสียงของชายคนหนึ่งดึงขึ้นมาจากเบื้องหลังบานประตูและนั่นก็ทำให้อัศวินทั้งสองคนขยับตัวหันเข้าไปทางบานประตูพร้อมกันก่อนที่พวกเขาจะผลักบานประตูให้เปิดออกเผยให้เห็นห้องนอนควบกับห้องทำงานที่ถูกตกแต่งด้วยธีมสีน้ำเงินประจำเมืองแพนเทร่าประดับด้วยลวดลายสีทองจนดูหรูหรา

 

และในทันทีที่เอริกะก้าวเท้าเข้าไปในห้องนั้นนั่นเอง เธอก็ได้พบเข้ากับชายหนุ่มผู้มีหูและหางจิ้งจอกกับผมสีน้ำเงินเข้มในชุดผ้าไหมสีน้ำเงินอ่อนที่ถูกคลุมทับเอาไว้ด้วยผ้าคลุมสีแดงกับมงกุฎสีทองบนศีรษะเข้า

 

ซึ่งชายหนุ่มก็ได้ใช้นัยน์ตาสีเหลืองอำพันที่ดูอ่อนล้าราวกับว่ากำลังเหน็ดเหนื่อยกับภาระหน้าที่อะไรบางอย่างมานานแสนนานจ้องมองผู้มาเยือนอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“เอริกะ ซิกมอร์… กับเคาน์เตส อาริสะ จากตระกูลเบลวีน่าสินะ…”

 

“ค—ค่ะ! ดิฉันเคาน์เตส อาริสะ เบลวีน่า ขอกราบเข้าเฝ้าองค์ราชาค่ะ!!”

 

อาริสะที่ในตอนแรกพยายามที่จะแอบอยู่ด้านหลังของเอริกะนั้นได้สะดุ้งสุดตัวเมื่อองค์ราชาแห่งเมืองแพนเทร่าเอ่ยปากพูดชื่อของเธอขึ้นมาก่อนที่เธอจะรีบดีดตัวเองออกมาจากข้างหลังของเอริกะและคุกเข่าลงเพื่อทำความเคารพในทันที

 

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านองค์ราชาก็กลับทำเพียงแค่โบกมือไล่อัศวินราชองครักษ์ทั้งสองคนให้ออกไปจากห้องเสียก่อนก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาเมื่ออัศวินทั้งสองคนปิดประตูกลับลงไปตามเดิมแล้ว

 

“ไม่ต้องเสียเวลาคุกเข่าหรอก มาเริ่มต้นคุยกันเลยดีกว่า… ฉัน ไนน์ฮาร์ต วัลดวอร์เจล พระราชาของเมืองแพนเทร่า… แต่เธอเรียกฉันแค่ว่าไนน์ฮาร์ตก็พอแล้ว”

 

“ด–เดี๋ยวก่อนสิคะ ไม่ใช่ว่าราชสกุลของเมืองแพนเทร่าคือ—”

 

คำพูดแนะนำตัวของพระราชาแห่งเมืองแพนเทร่าที่ผิดเพี้ยนไปจากที่อาริสะจำได้นั้นได้ทำให้เด็กสาวต้องเอ่ยปากพูดขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านไนน์ฮาร์ตก็กลับส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะมองตรงไปทางเอริกะแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อเพื่อสื่อว่าสิ่งที่เขากำลังจะพูดออกมาเขากำลังพูดถึงนักประดิษฐ์สาวโดยตรง

 

“ราชสกุลของเมืองแพนเทร่ามีเอาไว้สำหรับตำแหน่งพระราชาที่ปกครองประชาชน… แต่ว่าราชสกุลนั้นจะไปมีความหมายอะไรต่อหน้าคนที่ไม่คิดจะเคารพในตำแหน่งพระราชาหรือคิดจะอยู่ใต้การปกครองของใครตั้งแต่แรกอยู่แล้วล่ะจริงมั้ย… สำหรับตอนนี้ขอให้ฉันได้เป็นแค่ ไนน์ฮาร์ต วัลดวอร์เจล เถอะ…”

 

น้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนล้าของพระราชาแห่งเมืองแพนเทร่าได้ทำให้เอริกะต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจก่อนที่เธอจะพูดถามคำถามขึ้นมา

 

“จากที่พวกอัศวินองครักษ์พูดเมื่อกี้นี้เหมือนว่าพวกเขาจะถูกแจ้งเอาไว้ก่อนแล้วว่าฉันจะมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อนงั้นหรอ?”

 

“ใช่… ฉันรู้อยู่แล้วว่าสักวันนึงเธอจะต้องมาที่เมืองนี้แล้วพยายามที่จะบุกเข้ามาหาฉันถึงที่นี่ก็เลยบอกพวกอัศวินเอาไว้ก่อนแล้วว่าอย่าทำอะไรที่มันเสียมารยาท… ส่วนสาเหตุที่ฉันรู้นั่น ก็เป็นเพราะเด็กผู้หญิงคนนึงที่พวกเธอเรียกกันว่า ‘หัวหน้า’ นั่นล่ะ…”

 

“หะ…!? นายหมายถึง ‘หัวหน้า’ คนนั้นน่ะนะ!?”

 

“ค—คุณเอริกะคะ…! ถึงองค์ราชาจะบอกว่าให้เรียกชื่อได้ก็เถอะแต่ถึงขั้นใช้คำว่า นาย เลยนี่มันก็…”

 

คำพูดของเอริกะที่ฟังดูเหมือนว่าจะไม่ได้ให้ความเคารพชายหนุ่มเบื้องหน้าที่เป็นถึงพระราชาแห่งเมืองแพนเทร่าเลยแม้แต่น้อยนั้นได้ทำให้อาริสะสะดุ้งไปเล็กน้อยและพยายามที่จะพูดเตือนนักประดิษฐ์สาวขึ้นมา

 

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านไนน์ฮาร์ตก็กลับยกมือขึ้นมาอาริสะเอาไว้พร้อมกับพูดอธิบายขึ้นมาเพิ่มเติม

 

“ไม่เป็นไรหรอกเคาน์เตสอาริสะ ความจริงแล้วคนอย่างเขาไม่จำเป็นจะต้องเสียเวลามาช่วยเมืองของพวกเราซะด้วยซ้ำ…. แค่การที่เขามาที่นี่ก็นับว่าเป็นหนี้บุญคุณสำหรับพวกเราแล้ว…”

 

“….นี่เกิดอะไรขึ้นตอนที่หัวหน้ามาพบท่านที่นี่กันแน่เนี่ย?”

 

เอริกะที่ในตอนแรกคิดว่าพระราชาแห่งเมืองแพนเทร่าจะเป็นเหมือนกับพระราชาหลายๆ คนที่เธอเคยได้พบมาก่อนในสมัยก่อนที่เป็นพวกหยิ่งผยองถือว่าตนเองว่าสูงส่งกว่ามนุษย์คนอื่นๆ ก็เลยไม่ได้คิดจะให้ความเคารพอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อยนั้นได้หันไปใช้คำพูดที่ดูสุภาพมากขึ้นเล็กน้อย

 

เพราะว่าเท่าที่เธอลองสังเกตดูแล้วท่าทางเหนื่อยล้าของเขานั้นไม่ได้มาจากอาการป่วยหรือว่าถูกวางยาพิษอะไรพวกนั้นที่มักจะเกิดขึ้นกับเหล่าพระราชาในเมืองต่างๆ อยู่บ่อยๆ เลยแม้แต่น้อย แต่ดูเหมือนว่าจะมาจากความหวาดกลัวที่ตัวเขาจำเป็นจะต้องดำรงพระราชาแห่งเมืองแพนเทร่าต่อไปหลังจากที่ได้เจอกับเด็กสาวในชุดผ้าคลุมมาแล้วเสียมากกว่า

 

แต่ถึงแม้ว่าเขาจะดูมีท่าทางหวาดกลัวแบบนั้น เขาก็กลับยังคงพยายามที่จะยืนหยัดอยู่ในตำแหน่งที่ว่านั่นเพราะเขารู้ดีว่าตำแหน่งพระราชานั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญต่อเมืองและประชาชนชาวแพนเทร่ามากขนาดไหน และนั่นก็ทำให้เอริกะตัดสินใจที่จะให้ความเคารพของสักเล็กน้อยต่อความกล้าหาญนั้น

 

ส่วนทางด้านไนน์ฮาร์ตที่ได้ยินคำถามของเอริกะที่เกี่ยวข้องกับเรื่องในวันนั้นเข้าไปนั้นก็ได้เลื่อนมือของเขาไปดึงลิ้นชักของโต๊ะทำงานให้เปิดออกก่อนที่เขาจะหยิบเอาตราสัญลักษณ์รูปโล่สีทองที่มีใบหน้าของราชสีห์คำรามถูกแกะสลักเอาไว้ตรงกลางออกมา

 

แต่ถึงอย่างนั้นตราสัญลักษณ์ที่เขาหยิบออกมาก็กลับเปื้อนไปด้วยคราบเลือดแห้งกรังจนทำให้อาริสะที่เห็นแบบนั้นหลุดปากพูดออกมาเบาๆ

 

“น…นั่นมันตราประจำตัวของท่านฟรีมอนด์ที่เป็นหัวหน้าอัศวินราชองครักษ์ไม่ใช่หรอคะ”

 

“ฝีมือของหัวหน้างั้นหรอ…?”

 

ในขณะที่อาริสะกำลังตกใจกับตราสัญลักษณ์ที่พระราชาแห่งเมืองแพนเทร่านำมันออกมาให้พวกเธอดูอยู่นั้นเอง ทางด้านเอริกะที่สังเกตเห็นคราบเลือดที่เปื้อนอยู่บนตราสัญลักษณ์ก็ได้พูดถามพระราชาหนุ่มกลับไปและนั่นก็ทำให้เขาพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะพูดตอบกลับมา

 

“ใช่… ในตอนนั้นไม่ว่าฟรีมอนด์จะพยายามโจมตียังไงมันก็ไม่เกิดอะไรขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ทั้งวิซธาตุไฟทั้งวิซธาตุลมต่างก็สลายไปเฉยๆ เมื่อเข้าใกล้เธอคนนั้น ส่วนวิชาดาบของฟรีมอนด์เองก็ถูกหลบหลีกได้ด้วยการขยับตัวแค่เล็กน้อย…”

 

“ก็ฟังดูสมกับเป็นหัวหน้าเขาดี…ว่าแต่ในเมื่อเธอคนนั้นบุกเข้ามาถึงที่นี่จนต้องให้หัวหน้าอัศวินราชองครักษ์ลงมือแล้วทำไมท่านราชายังรอดอยู่ได้ล่ะ?”

 

“ก็เพราะว่าคนที่ลงมือสั่งให้สังหารไมเคิลไม่ใช่ฉันแต่ว่าเป็นท่านพ่อยังไงล่ะ…”

 

“หมายถึงพระราชาคนที่แล้วที่ว่า…ป่วยตายไปแล้วตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนนั่นน่ะหรอ?”

 

เอริกะที่ได้ยินคำตอบของไนน์ฮาร์ตได้เหลือบไปมองทางด้านอาริสะเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบพระราชาของเมืองแพนเทร่ากลับไป และนั่นก็ทำให้เขาส่ายหน้าไปมาก่อนที่เขาจะพูดตอบเอริกะกลับมา

 

“ไม่ใช่ห้าปี แต่ว่าเป็นเมื่อสี่ปีก่อนต่างหาก…”

 

“สี่หรือห้าปีก็ไม่ต่างกันมากหรอกมั้ง… แต่ที่ฉันสงสัยน่ะก็คือว่าทำไมท่านถึงรอดมาได้ต่างหากล่ะ”

 

“หลังจากที่เธอคนนั้นจัดการดยุคเฟอร์กัสกับฟรีมอนด์เสร็จแล้วพวกเราก็ได้คุยกันเล็กน้อย… ต้องบอกว่าเธอคนนั้นเป็นฝ่ายพูดอยู่ฝ่ายเดียวซะมากกว่า… เธอคนนั้นบอกว่าจะให้โอกาสฉัน… โอกาสที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดที่ท่านพ่อทำลงไปเมื่อห้าปีก่อนด้วยความละโมบที่บดบังสายตานั่นน่ะ”

 

“เมื่อห้าปีก่อน… เรื่องของไมเคิลสินะ”

 

คำตอบของไนน์ฮาร์ตได้ทำให้เอริกะพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความเข้าใจ เพราะว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมาก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เธอคนนั้นมักจะทำอยู่เสมอๆ และเมื่อเอริกะคิดได้อย่างนั้นเธอก็ไม่รอช้าที่จะพูดถามอีกฝ่ายขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ขอเดาว่าหัวหน้าคงจะบอกท่านเอาไว้ว่าเดี๋ยวอีกสักพักนึงจะมีเรื่องอะไรสักอย่างเกิดขึ้นที่เมืองนี้ แล้วถ้าเกิดว่าท่านเป็นห่วงชะตากรรมของเมืองนี้ก็จงให้ความร่วมมือกับฉันซะหรืออะไรทำนองนั้นสินะ?”

 

“โดยไม่บีบบังคับ และไม่ร้องขอความช่วยเหลือไปตั้งแต่แรกด้วยตัวเอง…ให้รอจนกว่าเธอจะตัดสินใจมาช่วยเหลือพวกเราด้วยตัวเองเท่านั้น นั่นคือเงื่อนไขที่เธอคนนั้นบอกเอาไว้…”

 

“ให้ตายสิ… ไม่ได้เจอกันตั้งนานขนาดนั้นแล้วยังจะอ่านฉันออกซะหมดไส้หมดพุงอีกนะ”

 

เอริกะที่ได้ยินคำพูดยืนยันของไนน์ฮาร์ตได้ยกมือขึ้นมาขยี้หัวของตนเองด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันก็คือเครื่องยืนยันว่าเด็กสาวในชุดผ้าคลุมสามารถคาดเดาการกระทำของเธอล่วงหน้าได้เป็นเดือนๆ ชัดๆ และนั่นก็หมายความว่าหลังจากนี้เธอจะต้องวางแผนให้มันรัดกุมยิ่งกว่าเดิมเพราะไม่รู้ว่าเด็กสาวในชุดผ้าคลุมคนนั้นคาดเดาการกระทำของเธอเอาไว้นานขนาดไหนแล้วกันแน่

 

แต่ถึงอย่างนั้นเอริกะก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาสำหรับคิดเรื่องนั้น เธอจึงได้หันไปพูดบอกไนน์ฮาร์ตขึ้นมา

 

“เอาเป็นว่าพวกเรากลับมาเข้าเรื่องกันก่อนเลยก็แล้วกัน ไหนๆ ท่านก็รู้เรื่องอยู่แล้วว่าอะไรมันเป็นอะไร ฉันอยากจะให้ท่านช่วยออกคำสั่งเตรียมพร้อมกองทัพของเมืองแพนเทร่าให้หน่อยน่ะ เพราะตอนนี้เมืองมาร์นาร์ฟเก่าที่ซ่อนอยู่ใต้ดินพร้อมจะตื่นกลับขึ้นมาเต็มทีแล้ว”

 

“สุดท้ายเรื่องที่ไมเคิลพยายามจะซ่อนเอาไว้จากทุกคนก็คือเมืองโบราณแค่เมืองเดียวที่ทุกคนก็รู้ว่ามันมีตัวตนอยู่แล้วอย่างงั้นหรอ… เอาเถอะ เรื่องกองทัพฉันสามารถออกคำสั่งให้ได้… แต่ฉันอยากจะให้เคานต์เวอร์มอนด์เป็นผู้บัญชาการภาคสนามแทนเคานต์แอทลาสที่เป็นเสนาธิการเหล่าทัพจะได้หรือเปล่า?”

 

“ท…ท่านเวอร์มอนด์งั้นหรอคะ…”

 

ชื่อของเวอร์มอนด์ที่ดังขึ้นมานั้นได้ทำให้สีหน้าของอาริสะเปลี่ยนไปในทันที และนั่นก็ทำให้เอริกะที่ในตอนแรกคิดว่าจะตอบตกลงกลับไปง่ายๆ จำเป็นต้องพูดถามสาเหตุขึ้นมาเสียก่อน

 

“มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเอาคนอื่นมาทำหน้าที่แทนในช่วงเวลาคับขันแบบนี้ด้วยหรอ?”

 

“เหตุผลทางการเมืองน่ะ… แล้วมันน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเมืองแพนเทร่าในตอนนี้แล้วด้วย… แต่ถ้าเธอกังวลว่าเขาจะเหมาะสมหรือเปล่า ฉันขอยืนยันว่าเขาทำหน้าที่นี้ได้อย่างแน่นอน…”

 

“ถ้าท่านยืนยันว่าเขาทำหน้าที่ได้ฉันเองก็ไม่เกี่ยงหรอก… เธอว่าไงล่ะอาริสะ?”

 

“ม…ไม่มีค่ะ ดิฉันไม่มีความเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ค่ะ”

 

อาริสะที่อยู่ๆ ก็ถูกพูดถามขึ้นมานั้นได้รีบพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก และนั่นก็ทำให้ไนน์ฮาร์ตที่ได้ยินแบบนั้นต้องหันไปมองทางด้านเด็กสาวอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะถอนหายใจและพูดถามเอริกะขึ้นมา

 

“เคาน์เตสอาริสะยังจำเป็นต่อแผนการปกป้องเมืองของเธออยู่หรือเปล่า?”

 

“อ–เอ๋?”

 

“จริงๆ ก็อยากจะบอกว่ายิ่งมีคนช่วยเยอะก็ยิ่งดีนั่นแหล่ะ แต่ตอนนี้ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาริสะกับหน่วยทหารของเธอจะสามารถทำอะไรได้บ้างหรือเปล่าน่ะ”

 

“อ—เอ๋!? ด–เดี๋ยวก่อนสิคะ—”

 

อาริสะที่เห็นว่าอยู่ๆ พวกผู้ใหญ่ทั้งสองคนก็หันไปคุยกันเองเกี่ยวกับเรื่องของตัวเธอนั้นได้พยายามที่จะพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย แต่ถึงทั้งเอริกะและไนน์ฮาร์ตก็กลับไม่ได้พูดตอบอะไรเด็กสาวกลับไปและนิ่งเงียบมองหน้ากันสักพักหนึ่งก่อนที่ไนน์ฮาร์ตจะเป็นคนเอ่ยปากพูดสั่งอาริสะที่เป็นหนึ่งในขุนนางของเขาขึ้นมา

 

“ถ้าเป็นอย่างนั้น… ในฐานะพระราชาของเมืองแพนเทร่า ฉันขอสั่งให้เธอ เคาน์เตส อาริสะ เบลวีน่า จงออกไปจากเมืองแพนเทร่านับตั้งแต่เวลานี้ และจงไปใช้ชีวิตในเส้นทางที่เธอเป็นคนเลือกด้วยตัวเองซะ…”

 

“ด—เดี๋ยวสิคะ!? ท–ทั้งๆ ที่ประชาชนกำลังเดือดร้อนอยู่แบบนี้ทำไมท่านถึงได้ออกคำสั่งแบบนั้นมาล่ะคะ!? นี่ท่านกำลังจะบอกให้ดิฉันทิ้งประชาชนของเมืองแพนเทร่าไปเฉยๆ อย่างงั้นหรอคะ!?”

 

อาริสะที่ได้ยินคำสั่งของไนน์ฮาร์ทได้พูดถามกลับไปด้วยความตกใจ แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านพระราชาแห่งเมืองแพนเทร่าก็กลับส่ายหน้าไปมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะพูดอธิบายขึ้นมา

 

“เพราะว่าสำหรับฉันแล้วเธอเองก็ไม่ได้ต่างอะไรจากประชาชนที่ฉันพูดถึงหรอก… เธอก็แค่เด็กธรรมดาๆ คนนึงที่ถูกพลัดพรากจากครอบครัวเพราะความโลภและการตัดสินใจที่เห็นแก่ตัวของพวกเราเหล่าขุนนาง… เธอไม่สมควรที่จะต้องมาเจ็บปวดเพราะเรื่องพวกนี้ไปมากกว่านี้แล้ว…”

 

“ต…แต่ว่า—”

 

“รีบไปซะ… อย่าให้ฉันต้องเรียกพวกอัศวินเข้ามาพาตัวเธอออกไปเลย…”

 

“ข…เข้าใจแล้วค่ะ”

 

คำพูดข่มขู่ของไนน์ฮาร์ตได้ทำให้อาริสะผงะถอยไปข้างหลังด้วยความตกใจก่อนที่เธอจะค้อมตัวลงและเปิดประตูเดินจากไปในทันที ในขณะที่ทางด้านไนน์ฮาร์ตก็ได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ

 

“แบบนี้ดีแล้วล่ะ… ฉันจะไม่มีวันยอมเป็นคนอย่างท่านพ่อที่พอรู้ถึงความจริงก็ชิงยอมแพ้แล้วทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังแบบนั้นเด็ดขาด… ไม่ใช่สำหรับเมืองและประชาชนที่อยู่ภายใต้การดูแลของฉัน…”

 

“พูดได้ไม่เลวนี่ แบบนี้ก็พอจะเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมหัวหน้าถึงตัดสินใจจะให้โอกาสท่านน่ะ”

 

“แต่ว่ามันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้หัวหน้าของเธอเกลียดพวกเราขนาดนั้นเหมือนกัน… จริงๆ แล้วฉันอยากจะก้มหัวขอโทษเด็กคนนั้นซะด้วยซ้ำแต่ว่าก็ทำไม่ได้เพราะคำว่าพระราชาที่ต้องแบกรับเอาไว้… ตั้งแต่แรกแล้วที่ดยุกเฟอร์กัสแยกตัวเด็กคนนั้นออกมาจากพี่สาวเพราะหวังเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเด็กคนนั้นกับไมเคิล แล้วไหนจะยังตอนที่เวอร์มอนด์ฉวยโอกาสจากเด็กคนนั้นในตอนที่ไมเคิลถูกฆ่าอีก..”

 

“จะว่าไป… สรุปว่าทำไมพระราชาคนก่อนถึงได้ตัดสินใจที่จะจัดการไมเคิลเขาล่ะ? เพราะเขาเอาแต่ขัดขวางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเมืองใต้ดินอยู่ได้หรือว่าเพราะเขาดูมีอำนาจมากเกินไปแล้วกันล่ะ?”

 

เอริกะที่เห็นว่าไหนๆ ก็เหลือเพียงแค่เธอกับพระราชาแห่งเมืองแพนเทร่าเพียงแค่สองคนแล้วได้ตัดสินใจที่จะพูดถามเกี่ยวกับเรื่องของไมเคิลขึ้นมา และนั่นก็ทำให้ไนน์ฮาร์ตนิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดตอบกลับไป

 

“สำหรับเรื่องนั้น… ถึงแม้ว่าสาเหตุจริงๆ แล้วมันจะเป็นเพราะท่านพ่อพ่ายแพ้ให้กับความโลภในจิตใจก็เถอะ แต่ว่าที่จริงแล้วมันก็มีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาร้อนใจจนตัดสินใจแบบนั้นไปอยู่ด้วยน่ะ…”

 

“อีกเหตุผลหนึ่ง?”

 

“ใช่… เธอเองก็คงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าที่ผ่านมาแต่ละเมืองก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป เมืองแพนเทร่าของพวกเรามีวิทยาการและสิ่งประดิษฐ์ที่ก้าวหน้า เมืองรีมินัสก้าวนำเรื่องวิชาแพทย์ เมืองกราวิทัสโดดเด่นที่การเดินเรือและการค้าขาย ส่วนเมืองซายูกิก็เชิดชูเรื่องวัฒนธรรม…”

 

ไนน์ฮาร์ตที่พูดมาถึงตรงนี้ได้นิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะมองตรงไปทางเอริกะแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ

 

“แต่ว่าเมื่อสักสิบกว่าปีก่อนอยู่ๆ ก็มีหญิงสาวคนนึงปรากฏตัวขึ้นมาที่เมืองรีมินัสและช่วยให้วิทยาการและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ของเมืองนั้นก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วจนแทบจะเทียบเท่าเมืองแพนเทร่าได้ภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ปี… และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านพ่อตัดสินใจที่จะลงมือกับท่านไมเคิลที่คอยขัดขวางมาตลอดเพื่อที่จะได้เข้าถึงวิทยาการโบราณของเมืองมาร์นาร์ฟได้สักทีนึงยังไงล่ะ…”

 

“……………”

 

คำตอบของไนน์ฮาร์ตในคราวนี้ได้ทำให้เอริกะต้องนิ่งเงียบไปและนั่นก็ทำให้ไนน์ฮาร์ตตัดสินใจที่จะพูดกลับเข้าเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแทน

 

“แล้วเธอจะให้ฉันส่งทหารไปประจำอยู่ที่จุดไหนของเมืองบ้างล่ะ?”

Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

Score 10
Status: Completed
เมื่อคำสัญญาจากอดีตได้หวนคืนกลับมาเพื่อทวงคืนสิ่งที่ถูกหยิบยืมไป การเดินทางของคนถูกทิ้งกลุ่มหนึ่งเพื่อจะช่วยเหลือมนุษยชาติจึงได้เริ่มต้นขึ้น

Options

not work with dark mode
Reset