Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ 197 : Marplot

ตอนที่ 197 : Marplot

“เดี๋ยวนะ— นี่มันรัซเซลไม่ใช่หรอ!?”
 

“รัซเซลงั้นหรอ?”

 

“ผมคิดว่าน่าจะเป็นพวกทหารรับจ้างที่เป็นคนรู้จักกับนากาล่ะมั้งครับ เพราะชุดของเขาก็ไม่ใช่ทหารประจำเมืองจริงมั้ยล่ะครับ”

 

ในขณะที่ทางด้านไดเอน่ารู้สึกแปลกใจที่นาการู้จักกับบุคคลปริศนาที่มานอนสลบอยู่ใน ‘ห้องใต้ดิน’ ของบ้านพักตากอากาศของเธออยู่นั้นเอง ทางด้านเคนซากิก็ได้ชิงพูดขึ้นมาก่อนด้วยท่าทีเป็นมิตรต่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขาพร้อมกับถือโอกาสปัดข้อสงสัยที่ว่าชายคนที่ชื่อว่ารัซเซลที่นอนเจ็บอยู่บนเตียงนี่อาจจะเป็นคนของทางฝั่งแพนเทร่าไปด้วย

 

ส่วนทางด้านนากาที่ได้ยินคำพูดของเคนซากิเองก็ได้พยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดอธิบายออกมาให้คนอื่นๆ ฟัง

 

“เขาเป็นหนึ่งในกลุ่มทหารรับจ้างที่ฉันกับเซซิลเข้าไปช่วยเอาไว้เมื่อตอนที่มีทหารของเมืองซากิไม่ก็เมืองยูกิมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวรีมินัสน่ะ ที่มันทำให้เมืองกราวิทัสส่งจดหมายมาหาเธอเมื่อตอนนั้นน่ะ”

 

“อ๋อ… จดหมายที่อ้างชื่อองค์หญิงแคร์เมื่อตอนนั้นสินะ”

 

คำพูดของนากาได้ทำให้ไดเอน่านึกถึงจดหมายขอยืมตัวเหล่าเด็กนักเรียนจากโรงเรียนรีมินัสอันเป็นสาเหตุที่เธอต้องส่งมายะและพวกนากาไปยังเมืองกราวิทัสที่ถูกลงชื่อโดยหนึ่งในบุคคลสำคัญของเมืองกราวิทัสอย่างองค์หญิงแคร์ขึ้นมาได้ ซึ่งถึงแม้ว่าในตอนนั้นเธอจะแทบไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียดของตัวจดหมายซะด้วยซ้ำแต่ก็ยังต้องให้ความร่วมมือกับทางเมืองกราวิทัสแต่โดยดีเนื่องจากไม่มีเหตุผลอะไรดีๆ ที่จะปฏิเสธจดหมายแบบเป็นทางการแบบนั้นไปได้

 

แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่จะมีใครได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น ทางด้านโมโกะที่เดินเข้าไปสำรวจดูชุดเกราะและผ้าคลุมสีแดงของรัซเซลที่ถูกกองทิ้งเอาไว้ก็ได้เอ่ยปากพูดถามนากาขึ้นมาเสียก่อน

 

“ในกลุ่มของนายคนนี้นี่มีคนที่ชื่อว่าเคนอยู่ด้วยหรือเปล่าน่ะนากา?”

 

“เอ๋ะ? เอ่อ.. มีมั้งไม่รู้สิ ฉันจำได้แค่ว่ากลุ่มของพวกเขาน่าจะมีกันสี่คน ที่จำได้แน่ๆ ก็คือมีรัซเซลคนนี้แล้วก็ผู้หญิงผมสีเขียวอีกคนนึงที่ชื่อว่ายุยน่ะ ทำไมหรอ?”

 

“ก็บังเอิญว่าที่ทีเอร่าเขาพาฉันไปตามหาคนหายฉันเจอคนที่แต่งตัวแบบเดียวกันนี้เป๊ะๆ ที่กำลังตามหาคนในกลุ่มอีกสามคนที่ชื่อว่า รัซเซล ยุย แล้วก็ ด็อก ที่หายตัวไปหลังจากลงไปที่สุสานใต้ดินที่อยู่อีกฟากนึงของเมืองน่ะสิ…”

 

“เห…”

 

บทสนทนาของโมโกะและนากาได้ทำให้ไดเอน่าที่ยืนฟังอยู่ด้วยต้องเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหันไปมองทางด้านเคนซากิแล้วจึงพูดถามขึ้นมาด้วยใบหน้ายิ้มๆ

 

“ถ้าเกิดว่าพวกเขาหายตัวไปในสุสานใต้ดินแล้วโผล่มาที่นี่ในสภาพบาดเจ็บแบบนี้ก็แปลว่าบ้านพักตากอากาศหลังนี้กับสุสานใต้ดินที่ว่านั่นคงจะมีทางเชื่อมถึงกันด้วยสินะ… มีอะไรจะอธิบายมั้ยเอ่ยเคนซากิคุง~?”

 

“…….”

 

เคนซากิที่ถูกพูดถามขึ้นมานั้นไม่ได้พูดตอบอะไรไดเอน่ากลับมาอีกทั้งยังหันหน้าหนีไปทางอื่นอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นท่าทีของเคนซากิก็กลับเป็นคำตอบกลายๆ ให้กับไดเอน่าว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นสาเหตุที่ทางเมืองแพนเทร่าต้องการที่จะซื้อบ้านหลังนี้จากตระกูลของเธอมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาก็เป็นได้

 

ซึ่งไดเอน่าก็ได้ส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยกับท่าทางที่ดูออกง่ายของเคนซากิก่อนที่เธอจะหันกลับไปหาพวกนากาและพูดสั่งงานในฐานะหัวหน้ากลุ่มดอว์นขึ้นมา

 

“แต่เท่าที่ฉันดูแล้วฉันว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในสุสานใต้ดินนั่นคงจะอยู่นอกเหนือจากสิ่งที่กลุ่มดอว์นควรจะเข้าไปยุ่งแล้วล่ะ… ถึงพวกเธอจะมาในฐานะคนของคุณเอริกะก็เถอะ แต่ในฐานะที่พวกเธอเองก็อยู่ในกลุ่มดอว์นด้วย ฉันขอสั่งให้พวกเธอพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อนน่าจะดีกว่านะ”

 

“แต่ไม่ใช่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้รัซเซลเขาบาดเจ็บนั่นน่าจะอยู่ที่สุสานใต้ดิน แล้วสุสานใต้ดินที่ว่านั่นก็น่าจะเชื่อมอยู่กับบ้านของเธอด้วยหรอ? จะให้พวกเราปล่อยเรื่องนี้ไปเฉยๆ มันจะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรอไดเอน่า?”

 

คำสั่งของไดเอน่าได้ทำให้นากาต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดถามกลับไป และนั่นก็ทำให้ไดเอน่าต้องพูดอธิบายสิ่งที่เธอคิดเอาไว้ออกมา

 

“ที่ฉันสั่งแบบนั้นมันเป็นเพราะว่าที่ผ่านมาทางวังหลวงของแพนเทร่าค่อนข้างจะหวงอะไรก็ตามที่ซ่อนอยู่ใต้ดินของเมืองมากน่ะ แล้วยิ่งพวกเธอมาที่นี่ในฐานะคนของคุณเอริกะควบกับสมาชิกของกลุ่มดอว์นแล้วฉันก็เลยกลัวว่าถ้าพวกเธอเข้าไปยุ่งมันก็อาจจะบานปลายเป็นปัญหาระหว่างเมืองได้น่ะ”

 

สิ่งที่ไดเอน่าพูดอธิบายขึ้นมาได้ทำให้นากานิ่งเงียบไปเล็กน้อยเพราะเขาเองก็เข้าใจสิ่งที่ไดเอน่าต้องการจะสื่อ แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความที่เขายังอยากช่วยตามหาพวกคนในกลุ่มของรัซเซลที่เขานับเป็นคนรู้จักอยู่ดีเขาจึงได้หันไปทางโมโกะราวกับว่าอยากจะให้เธอช่วยพูดขึ้นมาด้วยอีกคน

 

แต่ทว่าทางด้านโมโกะที่ปกติแล้วจะคอยช่วยสนับสนุนเขาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วก็กลับส่ายหน้าไปมาเบาๆ และพูดเห็นด้วยกับทางด้านไดเอน่าขึ้นมาเสียแทนเนื่องจากว่าเธอเองก็ไม่สามารถหาเหตุผลดีๆ มาช่วยเกลี้ยกล่อมไดเอน่าได้ด้วยเช่นเดียวกัน

 

“ถ้าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับทางวังหลวงของแพนเทร่าอย่างที่ไดเอน่าว่ามาพวกเราก็พักเอาไว้ก่อนเถอะ เพราะนายเองก็คงจะไม่อยากไปยุ่งกับพวกขุนนางอะไรพวกนั้นอีกรอบหรอกใช่มั้ยล่ะ”

 

“เฮ้อ… มันก็จริงแหล่ะมั้ง…”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดห้ามปรามของโมโกะได้ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเพราะว่าเมื่อครั้งล่าสุดที่เขาได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกขุนนางอย่างเมื่อตอนที่เขาต้องไปที่เมืองกราวิทัสนั้นเขาเกือบจะโดนขุนนางพวกนั้นหลอกให้เซ็นเอกสารอะไรก็ไม่รู้ไปโดยไม่ทันได้รู้ตัวซะด้วยซ้ำ

 

ซึ่งเมื่อไดเอน่าเห็นว่าทางด้านกลุ่มของพวกนากาเหมือนจะยอมตกลงพักเรื่องของกลุ่มรัซเซลที่เกี่ยวข้องกับสุสานใต้ดินไปก่อนแล้วเธอก็ได้พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ

 

“แต่ว่ายังไงวันพรุ่งนี้ฉันก็ต้องเข้าไปข้างในปราสาทแพนเทร่าอยู่แล้ว เอาเป็นว่าฉันจะลองขออนุญาตพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องขอเข้าไปสำรวจในสุสานใต้ดินให้ดูก็แล้วกันนะ แล้วระหว่างรอพวกเขาอนุญาตพวกเธอก็ไปทำงานอย่างอื่นของคุณเอริกะรอไปก่อนเถอะจ้ะ”

 

“อื้ม… ว่าแต่เธอจะให้พวกฉันช่วยเฝ้าทางลงห้องใต้ดินของเธอให้ด้วยหรือเปล่า? เพราะถ้าเกิดว่าทางมันเชื่อมกันแบบนั้นอะไรก็ตามที่ทำให้รัซเซลเขาบาดเจ็บก็อาจจะมาโผล่ที่นี่ได้เหมือนกันใช่มั้ยล่ะ”

 

“เรื่องนั้นพวกเธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ฉันให้คุณไซร่าเอาอุปกรณ์บันทึกภาพของท่านปู่ไปติดตั้งเอาไว้แถวๆ นั้นแล้วล่ะ ต่อให้จะมีอะไรแอบเข้ามาทางนั้นจริงๆ ก็น่าจะมีเวลาเตรียมตัวรับมือได้ทันอยู่แหล่ะจ้ะ”

 

“ถ้าเธอว่าอย่างงั้นล่ะก็นะ…”

 

นากาพยักหน้าตอบไดเอน่ากลับไปสั้นๆ เมื่อเห็นว่าประธานนักเรียนสาวผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มดอว์นเตรียมการรับมือเรื่องนั้นเอาไว้แล้ว ส่วนทางด้านโมโกะนั้นก็ได้หันไปมองทางด้านรัซเซลเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดถามไดเอน่าขึ้นมาบ้าง

 

“จะว่าไปฉันเอาเรื่องที่ว่าพวกเราเจอตัวรัซเซลแล้วไปบอกกลุ่มของเขาได้หรือเปล่าน่ะ? หรือว่าเธอจะอยากกักตัวเขาเอาไว้ก่อนเผื่อถามข้อมูลอะไรหรือเปล่า?”

 

“เอ… นั่นสิ เราจะเอายังไงกันดีล่ะเคนซากิคุง?”

 

ไดเอน่าที่ได้ยินคำถามของโมโกะได้เอียงคอเล็กน้อยด้วยท่าทีครุ่นคิดก่อนที่เธอจะหันไปถามเคนซากิผู้เป็นทั้งตัวแทนทั้งสายลับและนักเรียนแลกเปลี่ยนของเมืองแพนเทร่าเสียแทน เนื่องจากว่าในเมื่อเรื่องมันเกี่ยวข้องกับเขตใต้ดินของเมืองแพนเทร่าแบบนี้แล้ว การให้เคนซากิเป็นผู้ตัดสินใจมันก็อาจจะเป็นเรื่องที่เหมาะสมกว่า

 

แต่ถึงอย่างนั้นการกระทำของไดเอน่าก็ได้ทำให้ทั้งนากาและโมโกะที่รู้เพียงแค่ว่าเคนซากิเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนธรรมดาๆ ต้องเลิกคิ้วด้วยความสงสัยที่ไดเอน่าตัดสินใจที่จะหันไปถามเคนซากิผู้ที่ไม่ได้เป็นแม้แต่กระทั่งสมาชิกของกลุ่มดอว์นซะด้วยซ้ำเสียแบบนั้น

 

ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้ทำให้เคนซากิแทบจะถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายก่อนที่เขาจะปั้นสีหน้าเป็นมิตรพูดตอบเธอกลับไป

 

“ผมคิดว่าต่อให้เอาไปบอกก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะครับ เพราะเห็นว่าเพื่อนของเขาคอยเฝ้ายามให้ตลอดโดยไม่ได้หนีไปไหนก็แปลว่าเขาน่าจะเป็นห่วงเพื่อนๆ ที่แอบลงไปในสุสานใต้ดินอยู่พอสมควร… ถ้าเกิดว่าเขาได้มาเห็นเพื่อนของตัวเองบาดเจ็บหนักขนาดนี้แถมยังกลับขึ้นมาได้แค่คนเดียวก็คงจะไม่รีบร้อนรีบไปไหนหรอกครับ”

 

“หมายความว่าถ้าเกิดพวกเขาพร้อมจะหนีออกไปนายก็จะไม่ยอมให้บอก?”

 

โมโกะที่ได้ยินคำตอบของเคนซากิได้พูดถามกลับไปตรงๆ จนทำให้เคนซากิที่ได้ยินแบบนั้นต้องแอบขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะถึงแม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่เขาคิดเอาไว้จริงๆ แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวที่เขาเล่นบทเป็นเพื่อนร่วมชั้นคนนี้จะตีความไปในทางแง่ร้ายแบบนั้น ทั้งๆ ที่ปกติแล้วคนทั่วๆ ไปก็คงจะตีความว่าเขาแค่เห็นใจทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงอีกคนหนึ่งที่เหลือก็เลยไม่อยากให้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับแท้ๆ

 

ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้ทำให้ไดเอน่าหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะช่วยพูดขึ้นมาให้แทนเคนซากิ

 

“เอาล่ะๆ ถ้ายังไงก็เอาเป็นว่าพรุ่งนี้พวกเธอไปจัดการงานอื่นๆ ของคุณเอริกะไปก่อนเถอะจ้ะ ส่วนสำหรับวันนี้พวกเธอก็กลับไปพักผ่อนกันก่อนดีกว่าเนอะ”

 

“นั่นสินะ งั้นถ้าเกิดว่าพรุ่งนี้ฉันเธอไปติดต่อวังหลวงแล้วได้ผลเป็นยังไงก็ฝากมาบอกพวกฉันด้วยก็แล้วกันนะ เอาล่ะ ไปกันเถอะโมโกะ”

 

นากาที่ได้ยินไดเอน่าพูดเป็นเชิงบอกไล่กลายๆ นั้นได้พยักหน้ากลับไปให้เธอเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเดินนำโมโกะออกไปจากห้องพักของรัซเซล

 

และเมื่อทั้งนากาและโมโกะต่างพากันหายออกไปจากห้องแล้ว ไดเอน่าก็ได้หันไปทางเคนซากิและพูดสอบถามเขาขึ้นมาบ้าง

 

“ในเมื่อนากาเขาเหมือนจะรู้จักกับผู้บุกรุกของนายแบบนี้แล้วนายจะเอายังไงต่อล่ะเคนซากิคุง”

 

“ก็แค่เพิ่มเรื่องที่ต้องรายงานไปอีกเรื่องก็เท่านั้น”

 

“หมายความว่าเรื่องความสัมพันธ์ของนากากับพวกของคุณรัซเซลเขาจะไม่มีผลอะไรกับข้อตกลงเรื่องความร่วมมือที่พวกเราตกลงกันเอาไว้งั้นสินะ”

 

“เรื่องนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับ่ว่าพวกผู้ปกครองของฉันจะว่ายังไงนั่นล่ะ…”

 

เคนซากิพูดตอบไดเอน่ากลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาราวกับว่าแค่เป็นการพูดถึงเหล่า ‘ผู้ปกครอง’ ของเขามันก็ทำให้เขาอารมณ์เสียแล้ว ซึ่งท่าทางของเคนซากินั้นก็ได้ทำให้ไดเอน่ายักไหล่เล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดทิ้งท้ายเอาไว้และเดินออกจากห้องไป

 

“งั้นก็เอาตามที่นายว่ามาแหล่ะจ้ะ ถ้างั้นก็ขอฉันไปเตรียมตัวพบพวกผู้ปกครองของนายในวันพรุ่งนี้ก่อนก็แล้วกันนะ”

 

“……..”

 

คำพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าของไดเอน่าที่ฟังดูเหมือนกับเด็กสาวที่กำลังตื่นเต้นที่จะได้ไปแนะนำตัวเองให้กับผู้ปกครองของเด็กผู้ชายที่ตนเองแอบชอบได้รู้จักแทบจะทำให้เคนซากิต้องถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ เพราะว่าตัวตนของไดเอน่าที่เขาได้พบเจอกลับเป็นคนขี้เล่นขี้แกล้งจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่ดูสถานการณ์นั้นแทบจะไม่มีส่วนไหนตรงกับข้อมูลที่เมืองแพนเทร่าได้มาที่ว่าเธอเป็นบุตรสาวจากตระกูลเซมฟิร่าผู้เปี่ยมไปด้วยความสามารถจนได้รับการเรียกขานว่าเป็นสุดยอดประธานนักเรียนแห่งโรงเรียนรีมินัสเลยแม้แต่น้อย

 

 

 

“ขออภัยด้วยค่ะ ท่านเคานต์ เวอร์มอนด์ เพิ่งจะถูกเรียกตัวไปประชุมฉุกเฉินก็เลยไม่สามารถอนุญาตให้เข้าพบได้ในขณะนี้ค่ะ”

 

ในรุ่งเช้าของวันถัดมานั้นเอง เคนซากิและไดเอน่าที่เพิ่งจะแจ้งกับพนักงานต้อนรับของทางวังหลวงแห่งแพนเทร่าว่าต้องการจะเข้าพบกับขุนนางผู้เป็นผู้ปกครองของเคนซากิก็ได้รับคำพูดปฏิเสธกลับมาจากพนักงานสาวด้วยข้อความที่เขาคาดไม่ถึง และนั่นก็ทำให้เคนซากิต้องพูดถามกลับไปด้วยความสงสัย เพราะว่าการประชุมในช่วงเวลายามเช้าขนาดนี้นั้นไม่ค่อยจะได้เกิดขึ้นบ่อยๆ

 

“ประชุมฉุกเฉิน…? ผมขอทราบรายละเอียดของการประชุมที่ว่านั่นจะได้หรือเปล่าครับ?”

 

“เป็นการประชุมด่วนที่ท่านเคาน์เตสอาริสะเป็นผู้ร้องขอเมื่อวานนี้ในช่วงเย็นน่ะค่ะ ถึงจะไม่ได้มีการแจ้งรายละเอียดเอาไว้แต่ก็คาดว่าน่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิทยาการหรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่อีกเช่นเคยเนื่องจากว่าท่านเคาน์เตสอาริสะยืนยันว่าในคราวนี้เธอสามารถเชิญนักประดิษฐ์ชื่อดังอย่างท่านเอริกะ ซิกมอร์มาเข้าร่วมการประชุมได้น่ะค่ะ”

 

“เอริกะ ซิกมอร์… นักประดิษฐ์อัฉริยะจากเมืองรีมินัสคนนั้นน่ะหรอครับ?”

 

“ค่ะ การประชุมครั้งนี้ถูกจัดขึ้นที่ห้องประชุมที่ชั้นสาม ถ้าหากว่าท่านเคนซากิต้องการจะรอพบท่านเคานต์เวอร์มอนด์ก็สามารถไปรอได้ที่นั่นเลยค่ะ… แต่ก็อย่างที่ฉันเพิ่งบอกไปว่ามันเป็นการประชุมด่วนที่ไม่ทราบรายละเอียดเพราะแบบนั้นฉันก็เลยไม่รู้ว่าการประชุมจะจบลงเมื่อใดเช่นกันค่ะ”

 

“เข้าใจแล้วครับ”

 

เคนซากิพยักหน้าตอบพนักงานต้อนรับกลับไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเดินกลับไปหาไดเอน่าที่ยืนรออยู่ห่างออกไปไม่ไกลจนทำให้ไดเอน่าที่เห็นว่าเคนซากิกำลังเดินกลับมาไม่รอช้าที่จะพูดถามขึ้นมาในทันที

 

“เป็นยังไงบ้างเอ่ย เอกสารของฉันใช้งานได้ใช่มั้ยล่ะ”

 

“ผู้ปกครองของฉันเขาติดประชุมด่วนอะไรสักอย่างที่เกี่ยวข้องกับคุณเอริกะอยู่ เธอรู้อะไรเรื่องนี้หรือเปล่า?”

 

“คุณเอริกะอยู่ที่นี่ด้วยงั้นหรอ? เห็นล่าสุดบอกแค่ว่าจะติดธุระสักพักนึงแล้วก็เงียบหายไปเลยน่ะ แต่คิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องงานประดิษฐ์อะไรสักอย่างของเธอนั่นล่ะมั้ง เพราะเห็นว่าบางทีก็มีบันทึกว่าคุณเอริกะสั่งของหรือไม่ก็ขนของมาจากเมืองแพนเทร่าเหมือนกันนี่”

 

ไดเอน่าที่ได้ยินเคนซากิพูดถามขึ้นมาได้ยักไหล่กลับไปแบบไม่ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะถึงแม้ว่าเอริกะจะเป็นคนเสนอเรื่องกลุ่มดอว์นขึ้นมาแต่ก็ใช่ว่าเธอจะมีสิทธิในการสั่งการหรือว่าบังคับพวกเธอได้ทุกเรื่อง อีกทั้งเอริกะก็ยังมีงานที่เกี่ยวข้องกับการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ให้กับทางวังหลวงของรีมินัสที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับกลุ่มดอว์นอีกด้วย

 

ส่วนทางด้านเคนซากิที่ไม่รู้ซะด้วยซ้ำว่าเอริกะมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับกลุ่มดอว์นก็ได้พยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเดินนำไดเอน่าขึ้นไปเฝ้ารอให้การประชุมด่วนจบลงเพื่อที่จะได้เข้าพบผู้ปกครองของเขาให้มันจบๆ ไปเสียที

 

 

“เอาล่ะ~ มากันครบทุกท่านกันแล้วสินะคะ หวังว่าคงจะไม่ติดอะไรถ้าเกิดว่าหลังจากนี้ฉันจะเรียกพวกท่านตามป้ายชื่อที่วางอยู่บนโต๊ะนะคะ”

 

ในขณะที่ทางด้านเคนซากิกำลังเดินนำไดเอน่าไปเฝ้ารออยู่แถวๆ หน้าห้องประชุมเพื่อรอให้การประชุมด่วนอะไรสักอย่างของเคาน์เตสอาริสะสิ้นสุดลงอยู่นั้นเอง ทางด้านเอริกะผู้เป็นต้นตอของการจัดประชุมด่วนก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาเมื่อเธอเห็นว่าในบัดนี้เหล่าขุนนางผู้นำกระทรวงสำคัญของเมืองแพนเทร่าทั้งสี่ท่านที่ถูกเชิญมาได้เข้ามานั่งประจำที่ในห้องประชุมแห่งนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

ซึ่งเอริกะก็ได้ใช้แววตาอันเฉียบคมของเธอในการไล่จดจำชื่อและหน้าตาของเหล่าขุนนางชั้นสูงของเมืองแพนเทร่าอยู่ชั่วขณะก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ยอมสละเวลามาร่วมการประชุมฉุกเฉินในครั้งนี้ด้วยนะคะ”

 

“ในเมื่อท่านเคาน์เตสอาริสะเป็นคนประกาศว่าต้องการจัดประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ฉุกเฉินขั้นสูงสุดแบบนี้พวกผมก็ต้องพร้อมมาอยู่แล้วล่ะครับ ถึงเคาน์เตสอาริสะจะยังไม่ได้บอกว่ามีสถานการณ์ฉุกเฉินอะไรกันแน่ก็เถอะนะครับ”

 

คำพูดของเอริกะได้ทำให้ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินนัยน์ตาสีเหลืองในชุดเครื่องแบบขุนนางเต็มยศของเมืองแพนเทร่าอันเป็นชุดสีขาวสะอาดที่ประดับด้วยลวดลายสีแดงต้องเอ่ยปากพูดตอบกลับไปจนทำให้อาริสะที่ได้ยินแบบนั้นได้แต่ต้องหลบตาไปอีกทาง

 

ซึ่งคำพูดที่แฝงเอาไว้ด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมของขุนนางคนที่ว่าที่เหมือนจะเจาะจงไปที่อาริสะก็ได้ทำให้เอริกะต้องหันไปมองดูเขาด้วยความสงสัยและได้พบว่าป้ายประจำโต๊ะของเขาระบุเอาไว้ว่าเขาคือรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะผู้มีนามว่า เวอร์มอนด์ วัลดวอร์เจล หรือก็คือขุนนางหนุ่มที่เคยเรียกอาริสะไปต่อว่าที่เด็กสาวทำงานผิดพลาดในยามค่ำคืนนั่นเอง

 

แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความที่เอริกะไม่รู้เรื่องนั้นเธอจึงคิดว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นขุนนางฝ่ายตรงข้ามกับอาริสะที่ต้องมาร่วมประชุมตามมาตรการฉุกเฉินอย่างช่วยไม่ได้จนรู้สึกอารมณ์เสียหรืออะไรแบบนั้นเสียแทน

 

และในขณะที่เวอร์มอนด์กำลังจ้องมองไปทางอาริสะอยู่นั้นเอง ทางด้านรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานที่นั่งอยู่อีกฝั่งก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาบ้าง

 

“ต…แต่ฉันก็นึกไม่ถึงว่าท่านเอริกะจะให้เกียรติมาเยือนเมืองแพนเทร่าแถมยังยอมมาเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วยเหมือนกันนะคะ… ป–เป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยค่ะ…!”

 

หญิงสาวที่เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดีใจนั้นเป็นหญิงสาวหูจิ้งจอกที่มีเส้นผมสีทองยาวสลวย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็กลับมีขอบตาดำคล้ำจนดูราวกับเธอไม่ได้มีเวลาหลับนอนหรือหยุดพักผ่อนเพื่อดูแลตัวเองเลยแม้แต่น้อย โดยแผ่นป้ายที่ถูกติดเอาไว้บนโต๊ะเบื้องหน้าของเธอนั้นก็ถูกระบุเอาไว้ว่าเธอคือ ‘บารอนเนส อัลเปีย เกรียกอร์เรียส – รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน’

 

ซึ่งด้วยท่าทางที่ดูตื่นเต้นของอัลเปียที่ดูราวกับว่าฝันเป็นจริงที่เธอได้พบเจอกับท่านเอริกะตัวเป็นๆ นั้นก็ได้ทำให้ชายหนุ่มวัยกลางคนหัวโล้นร่างใหญ่ที่สวมใส่เครื่องแบบทางการทหารสีเขียวเข้มเอาไว้ต้องพูดตักเตือนขึ้นมา

 

“ก็รู้อยู่ว่าเธอเป็นแฟนคลับของคุณเอริกะนะ แต่ว่าช่วยเก็บอาการสักหน่อยเถอะ”

 

“ข…ขอประทานโทษด้วยค่ะท่านแอทลาส…”

 

อัลเปียที่ได้ยินคำพูดตักเตือนของท่านเคานต์ แอทลาส เดย์รัส ผู้มีตำแหน่งเป็นเสนาธิการเหล่าทัพของเมืองแพนเทร่าได้รีบพูดขอโทษขึ้นมาในทันที แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงของเธอดีเธอก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และชี้ตรงไปทางขุนนางผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญของทางเมืองแพนเทร่าคนสุดท้ายที่เหลืออยู่และรีบพูดขึ้นมาต่อในทันที

 

“อ่ะ— ต—แต่ไม่ใช่ว่าท่านเรย์มอนด์ที่อยู่ทางนั้นตื่นเต้นที่จะได้เจอกับท่านเอริกะยิ่งกว่าฉันจนถึงขั้นยกเลิกนัดหมายสำคัญของวันนี้เพื่อมาเข้าร่วมประชุมเลยไม่ใช่หรอคะ ทำไมถึงมีแค่ฉันที่โดนตำหนิแค่คนเดียวกันล่ะคะ!?”

 

“คุณอัลเปียพูดถึงเรื่องอะไรกันครับเนี่ย ผมไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”

 

ท่านเรย์มอนด์ หรือ บารอน เรย์มอนด์ ไนท์เชด ชายหนุ่มผมสีเทาผู้มีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขที่ได้ยินชื่อของตัวเองดังขึ้นมานั้นได้ปั้นหน้ายิ้มพูดตอบอัลเปียกลับไปด้วยท่าทีระรื่นก่อนที่เขาจะหันไปทางด้านเอริกะและเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยท่าทีตื่นเต้นไม่แพ้อัลเปียเลยแม้แต่น้อย

 

“ไม่ทราบว่าหลังจากการประชุมนี้จบลงแล้วท่านเอริกะคิดจะอยู่ที่เมืองแพนเทร่าต่ออีกหรือเปล่าน่ะครับ พ..พอดีว่าผมมีเรื่องอยากจะขอคำแนะนำหลายๆ อย่างน่ะครับ…”

 

เอริกะที่เห็นท่าทางของเรย์มอนด์ที่ดูราวกับเป็นเด็กน้อยที่ตื่นเต้นอยากจะพูดคุยกับคนที่เขานับถือนั้นได้หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยให้กับท่าทางของเหล่าขุนนางของเมืองแพนเทร่าที่แตกต่างจากเหล่าขุนนางของเมืองรีมินัสที่ส่วนมากแล้วจะมองเธอเป็นคู่แข่งหรือไม่ก็เครื่องมือผลิตงานประดิษฐ์อย่างสิ้นเชิงก่อนที่เธอจะพูดตอบเขากลับไป

 

“คิกคิก ก็ต้องรอดูก่อนว่าธุระที่เกี่ยวข้องกับการประชุมนี่จะเสร็จไวขนาดไหนนั่นแหล่ะค่ะ”

 

“อ่ะ… ท่านเรย์มอนด์อย่าแอบชิงตัดหน้าชวนคุณเอริกะก่อนแบบนั้นสิคะ!”

 

คำตอบของเอริกะที่ไม่ได้เป็นเชิงปฏิเสธนั้นได้ทำให้อัลเปียที่ได้ยินแบบนั้นต้องรีบพูดต่อว่าชายหนุ่มเจ้าของคำถามขึ้นมา ซึ่งนั่นก็ทำให้เรย์มอนด์ต้องหันกลับไปพูดตอบอัลเปียกลับไปก่อนที่ทั้งสองคนจะหันไปพูดเถียงกันเบาๆ ด้วยท่าทีที่ดูสนิทสนมมากกว่าเหล่าขุนนางที่เป็นเพื่อนร่วมงานกันทั่วไป

 

ซึ่งในขณะที่เหล่าขุนนางหนุ่มสาวทั้งสองกำลังต่อล้อต่อเถียงกันเองอยู่นั้น เอริกะก็ได้ถือโอกาสนี้หันไปพูดคุยกับอาริสะที่ยืนหลบอยู่ข้างๆ เธอขึ้นมา

 

“เพื่อนๆ ของเธอนี่น่าสนใจดีนี่นา ไม่เหมือนพวกขุนนางของเมืองรีมินัสที่ฉันเคยเจอเลยนะ”

 

“ก็เพราะพวกเขาเป็นแบบนั้นดิฉันถึงบอกไงล่ะคะว่าคงจะต้องขออ้างชื่อของคุณเอริกะเพื่อจัดการประชุมสักหน่อ—”

 

“ไม่ทราบว่าพวกเราจะเริ่มการประชุมกันได้หรือยังครับ เพราะถ้าในเอกสารที่แจ้งมาไม่ได้ผิดพลาดอะไรการประชุมครั้งนี้ควรจะเป็นการประชุมฉุกเฉินไม่ใช่หรือครับ?”

 

ในขณะที่ทางด้านคู่ของเอริกะกับอาริสะและคู่ของอัลเปียกับเรย์มอนด์กำลังจับกลุ่มคุยกันเองอยู่โดยมีท่านเคานต์แอทลาสนั่งกอดอกเฝ้ารออยู่อย่างเงียบๆ อยู่นั้นเอง ทางด้านเคานต์เวอร์มอนด์ก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ จนทำให้ทั้งอัลเปียและเรย์มอนด์ต่างพากันปิดปากเงียบและขยับตัวนั่งเข้าที่ให้เรียบร้อยกันอย่างพร้อมเพรียง

 

ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้ทำให้เอริกะต้องเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เธอจะแอบกระซิบพูดกับอาริสะอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงเอ่ยปากพูดเริ่มต้นการประชุมฉุกเฉินในครั้งนี้ขึ้นมา

 

“แต่ก็มีอยู่คนนึงล่ะนะที่ดูไม่ค่อยจะต่างสักเท่าไหร่น่ะ… อะแฮ่ม– ถ้างั้นก็เอาเป็นว่ามาเริ่มต้นการประชุมกันเลยก็แล้วกันนะคะ”

 

ในทันทีที่เอริกะเอ่ยปากพูดขึ้นมาจบเธอก็ได้หยิบเอาม้วนเอกสารสองม้วนออกมาจากภายใต้เสื้อกาวน์สีขาวหม่นของเธอและกางมันออกลงบนโต๊ะประชุมให้เหล่าขุนนางของเมืองแพนเทร่าได้เห็น

 

ซึ่งกระดาษม้วนแรกที่เอริกะหยิบออกมานั้นก็คือแผนที่ของเมืองแพนเทร่าฉบับปัจจุบันที่ตัวแผนที่ยังคงดูสภาพสมบูรณ์ดีในขณะที่อีกม้วนหนึ่งนั้นกลับเป็นแผนที่ของเมืองแพนเทร่าฉบับเก่าที่ดูแล้วน่าจะมีอายุหลักหลายสิบปี

 

ซึ่งภาพของแผนที่สองฉบับที่มีอายุต่างกันไม่ใช่น้อยนั้นก็ได้ทำให้เรย์มอนด์และอัลเปียอดไม่ได้ที่จะต้องเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“นี่มันแผนที่ของเมืองแพนเทร่าไม่ใช่หรอครับ?”

 

“ผ… แผนที่ของเมืองแพนเทร่ามันทำไมหรอคะท่านเอริกะ?”

 

“หืม… พวกคุณเห็นแล้วไม่รู้หรอว่าที่ผ่านมาทางเมืองแพนเทร่าทำอะไรลงไปน่ะ?”

 

ท่าทางที่ดูเต็มไปด้วยความสงสัยของสองขุนนางอายุน้อยได้ทำให้เอริกะจำเป็นที่จะต้องพูดถามกลับไปด้วยความสงสัย แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านขุนนางหนุ่มสาวทั้งสองคนที่ดูแล้วน่าจะมีอายุน้อยกว่าแผนที่ของเมืองแพนเทร่าฉบับเก่าบนโต๊ะมากพอตัวก็กลับเอียงคอและหันไปมองกันเองด้วยท่าทีฉงนใจเสียอย่างนั้นจนทำให้ท่านเคานต์แอทลาสผู้เป็นเสนาธิการเหล่าทัพตัดสินใจที่จะเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“ถ้าคุณเอริกะหมายถึงเรื่องแผนที่ล่ะก็ แผนที่ฉบับใหม่นั่นถูกแก้ไขเอาสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับทางการทหารหรือสถานที่อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงภายในออกไป… ซึ่งคุณเอริกะก็คงจะรู้ดีอยู่แล้วว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เมืองไหนๆ ก็ทำกันนั่นล่ะ”

 

ถึงแม้ว่าท่านเคานต์แอทลาสจะดูให้ความเอ็นดูกับสองขุนนางหนุ่มสาวอายุน้อยอยู่บ้างแต่ทว่าเขาก็กลับดูเหมือนจะไม่ได้ให้ความเคารพเอริกะมากสักเท่าไหร่นักเมื่อดูจากการที่เขาไม่ได้พูดลงท้ายด้วยคำสุภาพซะด้วยซ้ำ

 

แต่ถึงอย่างงั้นเอริกะก็ไม่ได้เป็นคนที่จะถือสาอะไรกับเรื่องการให้ความเคารพ ยศศักดิ์ หรือว่าลำดับชั้นสักเท่าไหร่นักอยู่แล้ว เธอจึงได้พูดถามเหล่าขุนนางของเมืองแพนเทร่ากลับไปตรงๆ

 

“พวกคุณไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ งั้นหรอคะ? เกี่ยวกับสถานที่ตรงนี้น่ะ?”

 

เอริกะที่เอ่ยปากพูดถามกลับไปนั้นได้ชี้ไปที่จุดจุดหนึ่งบนแผนที่ฉบับใหม่อันเป็นสถานที่ตั้งของสวนสาธารณะที่ตั้งอยู่ข้างๆ สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าของไมเคิลนั่นเอง

 

ซึ่งคำพูดของเอริกะก็ได้ทำให้เหล่าขุนนางของเมืองแพนเทร่าต้องเข้าไปมุงดูตัวแผนที่กันอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่พวกเขาจะพบว่าตัวสวนสาธารณะในแผนที่ฉบับเก่านั้นมันมีขนาดที่กว้างขวางพอที่จะบรรจุปราสาทแพนเทร่าลงไปได้ทั้งหลังซะด้วยซ้ำ ในขณะที่สวนสาธารณะในแผนที่ฉบับใหม่มันกลับมีขนาดเล็กลงจนเหลือเพียงแค่ครึ่งเดียว

 

“ถึงขนาดมันจะเหลือแค่ครึ่งเดียวไปแล้วก็เถอะ แต่ว่าสวนสาธารณะกลางเมืองมันทำไมงั้นหรอครับคุณเอริกะ?”

 

ในขณะที่เหล่าขุนนางของเมืองแพนเทร่ากำลังรู้สึกสงสัยกับสิ่งที่เอริกะต้องการจะสื่ออยู่นั้นเอง ทางด้านท่านเคานต์เวอร์มอนด์ก็ได้เอ่ยปากพูดถามขึ้นมาเป็นคนแรกก่อนที่ท่านเคาตน์แอทลาสจะเป็นคนเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ

 

“เอาจริงๆ สวนนั่นมันก็ใหญ่โตเกินไปมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ติดตรงที่ว่าเวลามีใครเสนอจะให้ทำอะไรกับสวนนั่นก็โดนคุณไมเคิลคัดค้านเอาไว้ตลอดนั่นล่ะ”

 

“ผมคิดว่าชื่อนั้นควรจะต้องนำหน้าด้วยคำว่ากบฏมากกว่านะครับคุณแอทลาส”

 

“ฮึ…”

 

คำพูดของเวอร์มอนด์ที่พูดแทรกขึ้นมานั้นได้ทำให้แอทลาสยกมือขึ้นมากอดอกและพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อยโดยไม่ได้พูดตอบอะไรอีกฝ่ายกลับไป ในขณะที่ทางด้านเอริกะที่กำลังเลิกคิ้วให้กับคำตอบของสองขุนนางใหญ่ของเมืองแพนเทร่านั้นก็ได้ตัดสินใจที่จะพูดถามพวกเขาขึ้นมาตรงๆ

 

“แล้วพวกคุณไม่รู้กันหรอว่าทำไมไมเคิลเขาถึงได้คัดค้านเวลามีคนจะเข้าไปยุ่งกับสวนสาธารณะนั่นน่ะคะ?”

 

“เรื่องนั้นพวกฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ เพราะที่ผ่านมา คุณ ‘กบฏ’ ไมเคิลเขาก็ไม่เคยชี้แจงเหตุผลอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไหร่ด้วย ถ้าจะมีคนที่รู้ก็คงจะเป็นสองคนนั้นที่ชอบเรื่องอะไรแบบนี้เหลือเกินนั่นล่ะ”

 

แอทลาสพูดตอบเอริกะกลับไปโดยเน้นย้ำตรงคำว่ากบฏที่เขาเพิ่งจะถูกเวอร์มอนด์พูดเตือนขึ้นมาเมื่อสักครู่นี้และเพยิดหน้าไปทางด้านอัลเปียกับเรย์มอนด์ที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน และนั่นก็ทำให้เรย์มอนด์ต้องกลอกตาไปมาเพื่อทวนความจำก่อนที่เขาจะพูดตอบคำถามของเอริกะขึ้นมา

 

“ถ้าผมจำไม่ผิด… เห็นเขาว่ากันว่ามีอยู่แค่ครั้งเดียวที่คุณไมเคิลเคยชี้แจงเหตุผลเอาไว้… เหมือนเขาจะบอกว่าจำเป็นจะต้องเว้นที่ตรงนั้นเอาไว้อย่าไปสร้างอะไรทับเพื่อที่จะได้อะไรสักอย่างที่หลับใหลอยู่ใต้ดินเนี่ยแหล่ะครับ… แต่ผมเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันนะครับว่ามันจะถูกต้องหรือเปล่า เพราะว่าเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่ผมจะเกิดอีกน่ะครับ”

 

“ท… ทางฉันเองก็เคยได้ยินมาว่ามันเป็นอะไรราวๆ นั้นเหมือนกันค่ะ”

 

อัลเปียที่ได้ยินคำตอบของเรย์มอนด์ได้พยักหน้าพูดยืนยันขึ้นมาด้วยอีกคนหนึ่ง ในขณะที่ทางด้านท่านเคานต์เวอร์มอนด์เองก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน

 

“แล้วถึงต่อให้จะมีอะไรหลับใหลอยู่ข้างใต้เมืองแพนเทร่าจริงๆ ตามที่กบฏไมเคิลเคยพูดเอาไว้มันก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ เพราะว่านี่มันก็ตั้งนานมาแล้วนับตั้งแต่เมืองแพนเทร่าถูกก่อตั้งขึ้นมามันก็ยังไม่เคยมีอะไรออกมาจากใต้ดินเลยด้วยซ้ำ”

 

“อ..เอ่อ…”

 

“อีกอย่างนึงคุณเวอร์มอนด์เองก็มีการวางกำลังทหารยามเฝ้าระวังตามจุดต่างๆ ที่เป็นหรืออาจจะเป็นทางลงเมืองใต้ดินเอาไว้ตลอดเวลาด้วยใช่มั้ยล่ะ”

 

ถึงแม้ว่าจะมีเสียงของเรย์มอนด์ดังแทรกขึ้นมาเหมือนกับว่าเขาพยายามจะพูดอะไรก็ตามที แต่ก็ดูเหมือนว่าแอทลาสจะไม่ได้ใส่ใจเขาสักเท่าไหร่นักและหันไปพูดถามเวอร์มอนด์ผู้มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยภายในเมืองขึ้นมา

 

“เอ่อ–คือว่า…”

 

“ใช่แล้วล่ะครับ หลังจากที่เกิดเรื่องการก่อกบฏของไมเคิลขึ้นมาผมก็ส่งทหารในหน่วยไปเฝ้าระวังตามจุดต่างๆ เอาไว้เผื่อไว้ก่อนแล้วล่ะครับ”

 

เสียงพูดของเรย์มอนด์นั้นเหมือนจะโดนสองขุนนางใหญ่เมินไปโดยสิ้นเชิงจนทำให้เขาได้แต่ยกมือขึ้นมาเกาแก้มของตัวเอง ในขณะที่ทางด้านเอริกะที่เห็นท่าทีมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าใต้ดินของเมืองแพนเทร่านั้นปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้ยกมือขึ้นมากุมขมับเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมเลยแม้แต่น้อย

 

“แล้วถ้าเกิดฉันจะบอกว่าหนึ่งในทางขึ้นลงเมืองใต้ดินที่พวกคุณทำเหมือนมั่นใจนักหนานั่นมันถูกเปิดออกไปแล้วพวกคุณจะว่ายังไงล่ะคะ?”

 

“พรืดดด—แค่ก—แค่ก!!”

 

“หะ—”

 

“เธอว่ายังไงนะ!!?”

 

คำพูดของเอริกะได้ทำให้อัลเปียที่กำลังยกแก้วชาขึ้นมาจิบมองดูการประชุมอย่างสบายใจเฉิบถึงกับสำลักน้ำชาในถ้วยของเธอ ในขณะที่ทางด้านเวอร์มอนด์และแอทลาสน้นก็ได้หลุดเสียงร้องออกมาเล็กน้อยและหันไปมองเอริกะด้วยความสับสนอย่างพร้อมเพรียงกัน

 

จะมีก็เพียงแค่เรย์มอนด์ที่เมื่อสักครู่นี้กำลังทำท่าเหมือนกับว่าอยากจะพูดอะไรบางอย่างเท่านั้นที่เผยรอยยิ้มแห้งๆ ออกมาให้เอริกะได้สังเกตเห็น และนั่นก็ทำให้เอริกะที่เห็นแบบนั้นตัดสินใจที่จะพูดถามขึ้นมา

 

“ดูเหมือนคุณจะไม่ตกใจเลยนะคะคุณเรย์มอนด์”

 

“มันก็… อะไรประมาณนั้นแหล่ะครับ… คือเมื่อไม่กี่วันก่อนผมได้มีโอกาสไปเจอแพทย์อาสาที่ผ่านมาช่วยงานที่ค่ายผู้อพยพเข้าน่ะครับ แล้วเมื่อตอนนั้นเขาก็พูดเตือนผมเกี่ยวกับเรื่องเมืองใต้ดินเอาไว้ด้วย…”

 

“แพทย์อาสางั้นหรอคะ…? คุณเรย์มอนด์พอจะติดต่อเขาได้หรือเปล่าคะ? ถ้าเกิดว่าเขารู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเมืองใต้ดินก็น่าจะช่วยเหลือได้มากเลยล่ะค่ะ”

 

“ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ให้ผมเรียกเขามาเลยก็ได้นะครับ ที่จริงแล้ววันนี้ผมเรียกเขามาคุยเกี่ยวกับเรื่องนั้นด้วยแต่ก็ขอยกเลิกไปก่อนเพราะต้องการจะมาประชุมกับท่านเอริกะน่ะครับ”

 

“เอ… ถ้าเกิดว่าเขากลับไปแล้วก็ไม่ต้องหรอกค่ะ มันจะลำบากเขาเปล่าๆ เดี๋ยวเอาไว้ประชุมเสร็จแล้วฉันค่อยไปหาเขาที่ค่ายผู้อพยพเองก็แล้วกัน”

 

เอริกะที่ได้ยินคำพูดของเรย์มอนด์ได้ส่ายหน้าเล็กน้อยและพูดปฏิเสธกลับไป เพราะถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องสำคัญแต่ว่ามันก็ไม่ถึงขั้นที่จะต้องไปตามตัวแพทย์อาสาให้เดินทางไปกลับระหว่างวังหลวงกับค่ายอพยพอีกทีหนึ่งอย่างนั้น

 

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเรย์มอนด์ที่ได้ยินคำพูดของเอริกะก็กลับชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่ใบหน้าเขาจะมีเหงื่อผุดขึ้นมา ซึ่งท่าทางของเรย์มอนด์ที่ดูหวาดๆ นั้นก็ได้ทำให้เอริกะต้องเลิกคิ้วก่อนที่เธอจะพูดถามขึ้นมา

 

“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณเรย์มอนด์?”

 

“คือว่า… ที่จริงแล้วเขายังไม่ได้กลับไปที่ค่ายอพยพน่ะครับ… แล้วก่อนที่ผมจะมาเข้าร่วมประชุมเขาก็ยังบอกอีกด้วยว่าถ้าคนที่จัดประชุมอยากเจอเขาล่ะก็ให้ผมตามตัวเขาได้ทันทีเลยต่อให้คนที่อยากเจอเขาจะบอกว่า ‘มันจะลำบากเขาเปล่าๆ เดี๋ยวเอาไว้หลังประชุมเสร็จแล้วจะค่อยไปหาที่ค่ายอพยพเองก็แล้วกัน’ ก็ตามน่ะครับ…”

 

“หะ…”
 

คำพูดของเรย์มอนด์ที่เกือบจะเหมือนกับการพูดทวนคำของเอริกะเป๊ะๆ นั้นได้ทำให้นักประดิษฐ์สาวชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงเคาะประตูห้องประชุมดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงของหญิงสาวที่ฟังดูคุ้นหูเอริกะอย่างน่าประหลาด

 

ก๊อกๆ

 

“คุณเรย์มอนด์ เขาเรียกฉันแล้วใช่หรือเปล่า~?”

 

“—!?”

 

เสียงร้องถามของหญิงสาวที่อยู่หน้าประตูได้ทำให้เรย์มอนด์สะดุ้งเฮือก แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่จะมีใครได้พูดอะไรประตูห้องประชุมก็ได้ถูกผลักให้เปิดออกเผยให้เห็นร่างของหญิงสาวผมสีดำยุ่งเหยิงผู้มีนัยน์ตาสีเหลืองในชุดเสื้อกาวน์ขนาดใหญ่เกินตัว

 

ซึ่งถึงแม้ว่าผู้ที่เพิ่งจะผลักประตูให้เปิดออกนั้นจะเป็นหญิงสาวไม่ใช่เด็กสาวอย่างเช่นที่ควรจะเป็น แต่ทว่าด้วยรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายนั้นก็ได้ทำให้เอริกะต้องรีบพุ่งมือล้วงเข้าไปข้างในเสื้อกาวน์และกระโดดถอยหลังออกไปด้วยท่าทีระแวดระวังในทันที

 

“ยัยนัวร์—!?”

Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

Score 10
Status: Completed
เมื่อคำสัญญาจากอดีตได้หวนคืนกลับมาเพื่อทวงคืนสิ่งที่ถูกหยิบยืมไป การเดินทางของคนถูกทิ้งกลุ่มหนึ่งเพื่อจะช่วยเหลือมนุษยชาติจึงได้เริ่มต้นขึ้น

Options

not work with dark mode
Reset