เป็นเช้าที่เงียบสงบ
หมอกหนาหนักลอยอยู่รอบ ๆ ใบไม้สีเขียวหยก กลั่นตัวเป็นน้ำค้างเม็ดใหญ่ราวไข่มุก
ฟางหยวนเดินไปมารอบสวน ค่อย ๆ โปรยผงหรดาลแดงลงบนดินอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะรอบโคนต้นชาชำระจิตและข้าวหยกแดง พืชวิญญาณทั้งสองชนิดที่เขาต้องการปกป้อง
“ข้าคิดภาพไม่ออกเลย สัตว์ประหลาดที่ทั้งว่องไวและแข็งแกร่งกลับกลัวผงหรดาลแดงธรรมดา ๆ ขนาดนั้น? เป็นไปได้สินะว่าของบางอย่างนั้นเป็นปรปักษ์แก่กันจริง ๆ?”
หลังจากเสร็จเรียบร้อย เขาก็ปาดเหงื่อ นั่งลงบนหินก้อนใหญ่และเริ่มตั้งคำถาม
“หนูเตียวกลัวผงหรดาลแดง? เดี๋ยวนะ หนูเตียวตัวนี้ไม่ใช่หนูเตียวธรรมดา เป็นไปได้ว่าความกลัวของมันแตกต่างจากหนูเตียวทั่วไป หนูเตียวชอบกินงู เป็นไปได้ไหมว่ามันกินงูไปมากเกินและวิวัฒน์เป็นสายพันธุ์พิเศษ? …โชคดีที่ข้ายังมีผงหรดาลแดงเหลืออยู่อีกมาก!”
เพื่อทำไหหั่วเย่ให้เพียงพอ ฟางหยวนไม่เพียงแค่ซื้อผงหรดาลแดงคุณภาพดีที่สุดมา แต่ยังซื้อมาเยอะมาก จึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะมีไม่พอใช้ในช่วงนี้
“แต่ข้าก็ยังต้องระวัง หนูเตียวขาวนั่นอาจจะทำอะไรแปลก ๆ ได้ถ้ามันจนมุม”
ฟางหยวนเก็บผลไม้สดบางอย่างไปเป็นอาหารเช้า และไปที่แม่น้ำเพื่อตักน้ำพุบริสุทธิ์ จากนั้นก็นำชุดชงชาและใบชาชำระจิตออกมาเล็กน้อย
ใบชาพวกนี้ผ่านการอบก่อนจะเก็บไว้ ทำให้รักษาคุณภาพของใบชาชำระจิตไว้ได้ และเก็บซ่อนไว้อย่างดี หนูเตียวขาวนั่นเลยยื่นมือมาไม่ถึง
ถ้าหนูเตียวขาวนั่นนำเอาใบชาชุดสุดท้ายนี้ไป ฟางหยวนคงจะยิ่งพูดไม่ออกและเครียดกว่านี้
ต้มน้ำ ล้างกาน้ำชา ใส่ใบชาลงไป…
ภายใต้ความสงบงามนี้ ทุกการเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างลื่นไหลและเรียบนิ่ง
ไม่นาน กลิ่นหอมของใบชาก็กำจาย
“ดี!”
แม้เขาจะดื่มชานี้มาหลายครั้ง ความสงบสบายที่น้ำชานี้มอบให้ฟางหยวนก็ยังคงได้รับคำชมจากเขาเสมอ
เขามองไปที่สถานะของเขา และพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
“ชื่อ: ฟางหยวน
พลังกาย: 1
พลังลมปราณ: 1
พลังเวทย์: 1.4
อายุ: 18
ระดับการฝึกตน: ไม่มี
วิทยายุทธ์: ไม่มี
ทักษะ: [การแพทย์ (ระดับ 1)], [การดูแลพืช (ระดับ 3)]”
“คนทั่วไปจะมีระดับพลังเวทย์โดยเฉลี่ยเท่ากับ 1 แต่ข้ามีระดับพลังสูงกว่านั้นเกือบครึ่ง… แม้ว่าผลจากชาชำระจิตจะลดลง ก่อนที่ชานี้จะสูญเสียความสามารถนี้ไปทั้งหมด มันก็อาจจะเพิ่มพลังเวทย์ของข้าขึ้นไปเป็นเท่าตัวของค่าเฉลี่ยทั่วไป?”
มากกว่าคนทั่วไปถึงหนึ่งเท่า นั่นจะรู้สึกเป็นอย่างไรกันนะ?
สิ่งที่ฟางหยวนไม่รู้ก็คือแม้ว่าเขาจะมีพลังเวทย์เพิ่มขึ้นมาเพียง 0.4 เขาก็ฉลาดขึ้นมาก อ่านหนังสือแล้วจำได้เร็วกว่าปกติ เหมือนพระเจ้าเข้าข้าง
อย่างเช่นตอนนี้ ที่ปลายสายตา เขาสังเกตเห็นเงาร่างสีขาวผ่านแวบไป
“คึคึ…เจ้ายังไม่ยอมแพ้สินะ? ออกมา!”
ในมือข้างหนึ่งมีผงหรดาลแดง ฟางหยวนรออย่างใจเย็นปราศจากซึ่งความกลัวและตะโกนออกไปเสียงดัง
จากการพบกันครั้งก่อน เขารู้ว่าหนูเตียวขาวเป็นสัตว์วิญญาณ และไม่สามารถจัดการได้ด้วยวิธีการธรรมดา และดูเหมือนว่ามันจะเข้าใจสิ่งที่ฟางหยวนพูด
“ออกมา!”
“มาสิ!”
“…….”
เสียงของเขาก้องไปทั่วหุบเขา แต่เงาสีขาวนั่นหายไป
“จริงสิ นี่เป็นเวลากลางวัน…”
ฟางหยวนมองตามแสงอาทิตย์ “มันเป็นสัตว์หากินกลางคืนเหรอ? เอ… เจ้าตัวนี้ชอบแต่พืชวิญญาณเท่านั้นและสิ่งเดียวที่เหนือกว่าชาชำระจิตที่มีอยู่ที่นี่ก็คือ…”
เขายิ้มกับตัวเอง แล้วชงชาชำระจิตอีกกาหนึ่ง กลิ่นหอมของชากรุ่นกำจายไปไกล
“กี๊กี๊!”
ตามที่คาดไว้ เสียงร้องดังขึ้นตามมาด้วยการปรากฏขึ้นของประกายสีขาว มันเดินวนไปรอบ ๆ ผงหรดาลแดงที่โรยไว้เป็นแนว แต่ไม่กล้าเข้ามาใกล้
“เพราะว่าต้นชาชำระจิตเสียหาย กลิ่นหอมจากน้ำชาย่อมดึงดูดมันได้มากขึ้นสินะ?”
ฟางหยวนหยิบถ้วยชาใบหนึ่ง เดินไปข้างหน้าสองสามก้าว แล้วหยุดที่ระยะประมาณหนึ่งเมตรครึ่งจากหนูเตียวขาว
“ฟ่อ!”
ที่ด้านหลังแนวผงหรดาลแดง หนูเตียวขาวพยายามจะข้ามมา ขนของมันลุกชัน และทำเสียงขู่แต่ไม่กล้าขยับมาใกล้อยู่ดี
กลิ่นหอมของน้ำชายิ่งทำให้หนูเตียวขาวรู้สึกหมดหวัง มันยกมือขึ้นเกาหัวกริยาเดียวกับลิง
“ฮ่าฮ่า… เจ้าเป็นหนูเตียว ไม่ใช่ลิงนะ!”
ฟางหยวนรู้สึกแปลกใจ ความเป็นเด็กในตัวก็ผุดขึ้นมา หลังจากหัวเราะหนูเตียวขาวไปรอบหนึ่ง เขาก็พึมพำ “ถ้าเจ้าเอาไปโดยไม่บอกกล่าว นั่นคือเจ้าเป็นขโมย! ต้นชาและใบชานี้มีเจ้าของ และมีแต่เพียงแค่ข้ายกมันให้เจ้า มันจึงจะเป็นของเจ้า เข้าใจไหม?”
ภายในหุบเขา เขาอาศัยอยู่ตัวคนเดียวมานาน และเริ่มเคยชินกับการพูดพึมพำกับตัวเอง เขาหัวเราะขำตนเอง “ทำไมข้าถึงคิดว่าเจ้าจะเข้าใจการสอนที่ซับซ้อนแบบนี้…”
ในตอนนั้นเอง ดวงตาของฟางหยวนก็เปิดกว้าง
หนูเตียวขาวประกบเท้าหน้าของมันเข้าด้วยกัน คล้ายการขอโทษในแบบของมนุษย์ ดวงตาดำขลับของมันเหลือบมองไปที่ถ้วยน้ำชา ราวกับมันร้องขอน้ำชาถ้วยนี้
“หนูเตียวขาวตัวนี้ช่างน่าอัศจรรย์!”
ฟางหยวนพึมพำกับตัวเอง มองที่ถ้วยน้ำชาในมือ แล้วก็เข้าใจขึ้นมาทันที “อ้อ… ชาชำระจิตนี้มีคุณสมบัติเพิ่มพลังเวทย์ และอาจจะมีคุณค่าต่อสัตว์ป่ามากกว่านี้ ใบชานี่ทำให้มันฉลาดขึ้นสินะ?”
ฟางหยวนพูดกับหนูเตียวขาว “ถ้าเจ้าต้องการดื่มชาถ้วยนี้ เจ้าต้องเข้าใจก่อนนะว่า… ชานี้ได้มาลำบากนัก และข้ามีเหลืออยู่ไม่มาก ถ้าเจ้าต้องการน้ำชานี่จริง ๆ เจ้าต้องเอาปุ๋ยที่เจ้าเอามาครั้งก่อนมาแลก!”
ฟางหยวนยังคิดอยากได้เกล็ดขาวใสที่เป็นปุ๋ยสำหรับพืชวิญญาณนั่น
เพราะเขาสังเกตเห็นแล้วว่า เมื่อนำเอาเกล็ดใส ๆ นั่นไปใส่เป็นปุ๋ยให้ ข้าวหยกแดงมีการเติบโตดีขึ้นมาก และแม้แต่กิ่งที่หักเสียหายของต้นชาชำระจิตก็ค่อย ๆ สมานและมีการงอกของกิ่งใหม่ ๆ ขึ้น
นี่ทำให้ฟางหยวนเข้าใจได้ว่าเกล็ดใส ๆ ที่หนูเตียวขาวนำมาเป็นปุ๋ยวิญญาณชั้นยอด และมันเพิ่มการเจริญเติบโตของพืชวิญญาณทุกชนิดได้อย่างที่ใครก็ไม่สามารถจินตนาการได้เลยทีเดียว
แต่เพราะเขามีประสบการณ์จำกัด ฟางหยวนไม่สามารถบอกได้ว่าเกล็ดใส ๆ นี่คืออะไร
หนึ่งร้อยลี้รอบ ๆ เทือกเขาชิงหลิงนั้นพื้นที่ส่วนใหญ่ยังไม่ถูกบุกเบิกและมีเพียงแค่สัตว์วิญญาณเช่นหนูเตียวขาวนี่เท่านั้นที่สามารถเข้าไปในพื้นที่เช่นนั้นได้และรู้ว่าควรจะมองหาของดี ๆ ได้จากที่ไหน
“เจ้าเข้าใจไหม?”
ฟางหยวนพบว่าหนูเตียวขาวดูสับสนนิด ๆ ดังนั้นเขาจึงนำปุ๋ยสำหรับพืชวิญญาณที่ว่าออกมา “นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการ! ข้าจะให้น้ำชาถ้วยนี้แก่เจ้าก่อน นับเจ้าเป็นผู้มาเยือนผู้หนึ่ง คราวต่อไป หากเจ้าต้องการชานี้อีก เจ้าต้องนำปุ๋ยวิเศษนี้มาให้ข้า!”
หนูเตียวขาวมองปุ๋ยวิเศษในมือของเขาแล้วดูเข้าใจขึ้นมานิดหน่อยว่าฟางหยวนพูดอะไร
“เอาละ ตอนนี้เจ้าถอยไปก้าวหนึ่งก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าข้าทำชาถ้วยนี้หกก็โทษข้าไม่ได้นะ!”
ฟางหยวนเดินเข้าไปสองก้าว
หนูเตียวขาวดูจะเข้าใจและถอยหลังไปทันที
ฟางหยวนเดินเข้าไปจนถึงแนวผงหรดาลแดง และวางถ้วยชาไว้ที่อีกด้าน “เชิญ!”
“กี๊กี๊!”
ประกายสีขาวปรากฏขึ้นราวกับสายฟ้า
ขณะที่หนูเตียวขาวเกือบจะถึงแนวผงหรดาลแดง มันก็ช้าลงแล้วเดินวนรอบถ้วยน้ำชา ดูดีใจ
“อืม ดูเหมือนว่ามันจะชอบชาชำระจิตนะ! อย่างไรเสีย ข้าก็ชงชาถ้วยนี้ด้วยพิธีชงชาสมาธิเขียวนะ…”
ฟางหยวนจับสังเกตมัน พยักหน้าแล้วเปิดตากว้าง
เขาคิดว่าหนูเตียวขาวคงจะค่อย ๆ เลียกินน้ำชา เขาไม่ได้คาดว่ามันจะยืนสองขาก่อนนั่งลงเหมือนมนุษย์ ใช้สองขาหน้ายกถ้วยชาขึ้นจิบ
“ฟู่… กิกิ๊..”
หลังจากจิบน้ำชาคำเล็ก ๆ หนูเตียวขาวก็ยิ้ม ก่อนจะจิบคำต่อไปราวกับดื่มด่ำในรสชาติน้ำชายิ่ง
“โอ้! นี่อะไรกัน! นี่มันไม่ใช่หนูเตียวแล้ว…”
ท่าทางของหนูเตียวขาวทำให้ฟางหยวนคิดถึงอาจารย์เวิ่นซิน อาจารย์เวิ่นซินก็มักจะมีสีหน้าท่าทางแบบนี้เมื่อดื่มน้ำชาที่ฟางหยวนชง
“หนูเตียวขาวเรียนรู้ท่าทางเช่นนี้มาจากมนุษย์ใช่ไหม?”
แม้ว่ามันจะดื่มทีลำคำเล็ก ๆ แต่น้ำชาถ้วยหนึ่งก็มีปริมาณไม่มาก
หลังจากดื่มหมด หนูเตียวขาวก็เหลือบมองฟางหยวน สายตาราวกับสุนัขถูกทิ้ง ดูเหมือนว่ามันอยากได้น้ำชาอีกสักถ้วย
“เจ้าฉลาดยิ่งนัก…”
ฟางหยวนกระแอม “ตอนนี้เจ้าคงรู้แล้วว่าการได้มาซึ่งชานี้ และการชงชาจากใบชานี้มันยากแค่ไหน?”
ชาชำระจิตอย่างไรเสียก็เป็นของระดับวิญญาณ และเมื่อร่วมกับพิธีชงชาสมาธิ ผลที่ได้จึงยอดเยี่ยมมาก นอกจากฟางหยวนเองแล้ว ขนาดเหล่าเถียนก็ยังไม่เคยได้ดื่มด่ำกับชาเช่นนี้มาก่อน
“ถ้าข้าให้มันดื่มชามากพอ เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันจะฉลาดเท่ามนุษย์ และพูดได้?”
ฟางหยวนมองหนูเตียวขาวแสนรู้ ความคิดอื่นผุดขึ้นมาในหัว
“ได้ ได้ ดูไปแล้วเจ้าน่าสงสารนัก อีกสักถ้วยไหม?”
“อ๋า เจ้าอยากได้อีก?”
“ไม่ ข้าให้เจ้ามากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว นี่เป็นใบชาทั้งหมดที่ข้ามีสำหรับวันนี้!”
ภายในหุบเขา แบ่งด้วยแนวผงหรดาลแดง มีมนุษย์หนึ่งคนและหนูเตียวดื่มชาด้วยกัน เป็นภาพที่น่าสนใจ
ในที่สุด หลังจากยืนยันแล้วว่าไม่มีน้ำชาเหลือแล้ว หนูเตียวขาวก็ดม ๆ ปุ๋ยวิเศษที่ฟางหยวนโยนมา ก่อนจะหายลับไปในพริบตา
“ยังไงก็ต้องระวังคน…ตัวอื่นไว้ก่อน!”
ฟางหยวนมองไปที่เงาของหนูเตียวขาว และพึมพำกับตัวเอง “แม้สัตว์ป่าจะมีจิตใจบริสุทธิ์กว่ามนุษย์ ข้าก็ยังต้องระวังมันเอาไว้ และถ้ามันนำปุ๋ยพืชวิญญาณมาให้ข้า ข้าจึงจะให้ใบชาสดกับมันสักนิด ให้มันเข้าใจว่าถ้ามันอยากได้ชาชำระจิตจริง ๆ มันต้องเชื่อฟังข้า เมื่อนั้นข้าจึงจะเบาใจลงได้บ้าง”
ในเมื่อชาก็ดื่มหมดแล้ว เขาก็ลุกขึ้น บิดตัวนิด ๆ อย่างพอใจ แล้วเริ่มทำงานของวันนี้
“ปุ๋ยวิเศษเอย ปุ๋ยวิเศษ!”
ภายในแปลงปลูกข้าวหยกแดง ฟางหยวนเทไหหั่วเย่ถังสุดท้ายลงไป จากปลายสายตา เขาพบหนึ่งในพวกมันโตใหญ่ผิดไปจากธรรมดาและรู้สึกไม่พอใจ
เพราะว่าตามที่เขาคำนวณไว้ ถ้าเขาปลูกข้าวหยกแดงนี้ได้ราบรื่นดี มันก็ยังต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะได้เก็บเกี่ยวครั้งแรก
แต่ถ้าเขาสามารถให้ปุ๋ยพืชวิญญาณได้ทุกวัน เขาก็อาจจะได้ลิ้มรสข้าวหยกแดงนี่ในเดือนถัดไป
“เดิมที ชาวิญญาณจะให้ใบชาใหม่ในฤดูหน้า แต่วันนี้ใบอ่อนก็เริ่มงอกแล้ว… ปุ๋ยวิเศษนี่ช่างเหลือเชื่อจริง ๆ!”
ฟางหยวนเคยคิดจะตามหนูเตียวขาวไป แต่ปัญหาก็คือมันวิ่งเร็วมากราวกับสายฟ้าแลบ เขาจึงยอมแพ้ความคิดนั้น
เช่นนั้น เขาก็คงต้องพึ่งพาชาชำระจิตของเขาแล้ว
ตราบใดที่หนูเตียวขาวต้องการชาชำระจิต มันก็ต้องเอาปุ๋ยวิญญาณมาให้เขา
คืนนั้น ฟางหยวนฝันบางอย่าง
ในฝัน เขานำเอาปุ๋ยพืชวิญญาณจำนวนมากออกมา โรยไปรอบชาชำระจิตและข้าวหยกแดง เขาเก็บเกี่ยวผลผลิตได้มากมายจนไม่สามารถเก็บไว้ในห้องเก็บของได้และแม้จะอยู่ในฝัน เขาก็ยิ้มให้กับตัวเอง
…
“กิ๊กิ๊!”
“กิ๊กี๊!”
เช้าวันต่อมา ฟางหยวนถูกปลุกขึ้นมาอย่างปุบปับ
“พี่น้องหนูเตียว! พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลยนะ!”
ได้ยินเสียง ฟางหยวนก็รู้ว่าใครมา เขาจาม เดินออกไปที่สวนแล้วเห็นหนูเตียวขาว
พระจันทร์อยู่กลางฟ้า ดาราอับแสง แต่ขนสีขาวเป็นประกายสว่าง มันโบกขาหน้าแล้วดึงถุงสีเขียวใบหนึ่งออกมาจากด้านหลัง
“เอ๋?”
ฟางหยวนรับถุงมา ดมกลิ่นก่อนจะครางออกมา
“ปุ๋ยวิญญาณ! เยอะขนาดนี้เลยรึ!!!”