Carefree Path of Dreams 57: ระแวง

ตอนที่ 57: ระแวง

นิยาย Carefree Path of Dreams

Chapter 57: ระแวง

รถม้าหยุดเมื่อถึงสวนด้านหลังคฤหาสน์ใหญ่แห่งหนึ่ง และทันใดนั้นก็มีผู้ฝึกยุทธ์สองคนในชุดของคนรับใช้ก้าวมาข้างหน้าและดึงม่านของรถม้าเปิดออกอย่างเคารพ

“ที่นี่… ดูเหมือนจะเป็นสวนหลังบ้านของใครสักคนที่ในระดับสูง…”

ได้ยินเสียงเคลื่อนไหววุ่นวายจากสวน ด้านหน้าแล้วฟางหยวนก็พยักหน้าเงียบ

ฟางหยวนนั้นประทับใจเมื่อเขา เห็นเคล็ดและทักษะซ่อนอยู่เบื้องหลัง กลไกก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นด้านนี้ของสํานักกุยหลิง ฟางหยวนก็รู้สึกขึ้นมาว่าสำนักกุยหลิงนั้นสามารถเอาชนะสํานักของนักสู้อื่น ๆ ได้จริง ๆ อิทธิพลของพวกเขาในพื้นที่นี้นั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ

“นี่เป็นฐานลับของสํานักกุยหลิงเรา นอกจากผู้ฝึกยุทธ์ของสํานักเราแล้ว นายท่านฟางเป็นแขกคนแรกของพวกเราแล้ว!”

พวกหลินเหลยเยว่เผยยิ้มงดงามออกมา ขณะเดินนําอยู่ด้านหน้า

หลังจากเดินผ่านประตูเล็ก ๆ หลายบาน พวกเขาก็มาถึงสวนแห่งหนึ่ง สวนนี้จัดไว้อย่างงดงามและประณีต แม้ว่าฤดูหนาวเพิ่งผ่านไปไม่นาน สัญญาณของชีวิตและการเจริญเติบโตก็เริ่มแสดงออกมาให้เห็น

ติดกันนั้นเป็นสระน้ําสีเขียวกระจ่าง ผู้ฝึกยุทธ์หนวดเคราเฟื้มผู้หนึ่งกําลังฝึก เคล็ดกรงเล็บอินทรีอยู่

“ฝูบ ฝบ!”

แต่ละกระบวนท่าที่ผู้ฝึกยุทธ์ผู้นั้นแสดง อากาศรอบตัวของเขาก็ถูกแรงกระทําจนเกิดเป็นเสียงประกอบ ดูเหมือนว่าแม้แต่สระน้ําเองก็ถูกรบกวนไปด้วยแล้ว

“เหล่าอร์!”

หลินเหลยเยวทักทายอย่างเป็นทางการ แต่แล้ว ฟางหยวนก็ต้องหรี่ตาลง

นั่นไม่ใช่อินทรีเหล็กหน้านิ่งอชิวเหลิ่งหรอก? คนเดียวกับที่ตามผู้ดูแลหลิน เข้าไปในหุบเขาและบังคับให้เขายกเลิก การหมั้นหมายนั่น?

ในตอนแรก ฟางหยวนคิดว่าระดับพลังยุทธ์ของอวี้ชิวเหลิ่งนั้นไร้ต้าน หลังจากได้เห็นอวชิวเหลิ่งแล้ว เขาก็ไม่ได้ดูมีพลังอย่างนั้นเลยสักนิด

แม้แต่เคล็ดกรงเล็บอินทรีของอวี่ชิวเหลิ่งก็ยังสู้ของฟางหยวนไม่ได้

“เอ่อ เจ้าคือ?”

อวี้ชิวเหลิ่งพยักหน้ารับรู้ไปทางหลิน เหลยเยว่มองฟางหยวนแล้วอวี่ชิวเหลิง ก็รู้สึกคุ้น ๆ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน ดวงตาเบิกกว้างขึ้นทันทีเมื่อนึกออก “เจ้าหนุ่มจากเมืองชิงเย?!”

ทันใด ความเป็นศัตรูก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาคิดในใจ “มันกล้าดีอย่างไร มาวุ่นวายกับคุณหนูหลิน?!”

“อย่าเข้าใจผิดไปนะเหล่าอ!”

เมื่อเห็นเช่นนั้น หลินเหลยเยว่ก็รีบอธิบาย “ข้าแค่บังเอิญพบกับนายท่านฟาง ที่ระหว่างทาง อย่างไรเขาก็เป็นชาวยุทธ์เก่งกาจผู้หนึ่งและวิชาแพทย์ของเขาก็เป็นที่รู้จักกันดีในเมืองชิงเต่…”
“ฮีม ก็คงแค่เล่นเล่ห์ละมั้ง…”

อวชิวเหลิ่งแค่นเสียงอย่างไม่สนใจ แม้ว่าเขาจะได้ยินข่าวลือนี้มาบ้าง แต่เขาก็ยืนยันที่จะไม่เชื่อว่าเจ้าเด็กหลัง เขานี่จะเก่งกาจสักเพียงไหนได้กัน เขาอาจจะสังหารซึ่งจงและผู้อาวุโสจง*ได้ แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าพวกเขาอยู่ในจุดที่เสียเปรียบตั้งแต่แรกและฟางหยวนก็อาจจะสังหารพวกเขาได้ด้วยการใช้เล่ห์กลอย่างสองอย่าง

ถึงตอนนี้ ฟางหยวนยังไม่เคยเปิดเผย ระดับวิทยายุทธ์ของตัวเอง และเท่าที่อวี่ชิวเหลิงมองเห็นผ่านตาเปล่าของตนนั้น เขาก็มองไม่เห็นว่าความสามารถของฟางหยวนนั้นจะดีเท่ากับที่เล่าลือมา

“โอ้? ดูเหมือนท่านคงจะไม่ชอบหน้า ข้าเท่าไหร่นัก?”

ฟางหยวนหัวเราะอย่างไร้พิษสง แอบซ่อนความกระวนกระวายนิด ๆ เอาไว้ในดวงตา

“ท่านขอรับ มีรายงาน!”

ศิษย์ผู้หนึ่งของสํานักกุยหลิงพุ่งมาทางพวกเขาพร้อมกับนกสื่อสารในมือ “พวกเราเพิ่งได้รับข้อความจากผู้อาวุโสฮั่น เขาพบร่องรอยของผู้อาวุโสจากสํานักห้าผีที่ด้านนอกเมือง ผู้อาวุโสฮั่นสั่งให้พวกเราไปสมทบกับพวกเขาทันที!”

“นี่เป็นเรื่องสําคัญที่สุด พวกเราจะเคลื่อนกําลังเดี๋ยวนี้!”
ขณะที่พูด หลินเหลยเยว่ก็ส่งสายตาของอภัยไปทางฟางหยวน

เมื่อเห็นเช่นนี้ ฟางหยวนก็ตัดสินใจไม่พูดถึงการฝึกในขั้นถัดไปที่เขาคิดจะให้คําแนะนําสักเล็กน้อย

แต่ว่า เมื่อเห็นใบหน้าถมึงทึงของอชิวเหลิ่งเขาก็รู้ว่าคงจะมีปัญหากับเขาเป็น แน่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องรีบร้อน

เมื่อสุภาพบุรุษสักคนจะแก้แค้น รอ คอยสิบปีก็ไม่นับว่านานเกินไป ถึงแม้ว่า เขาจะไม่ใช่สุภาพบุรุษ เขาก็ยังสา มารถรอได้อีกสักหลายวัน

“ต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะนายท่านฟาง สํานักของเรามีเหตุให้ต้องรีบไปจัดการแล้ว!”

หลินเหลยเยวมองฟางหยวนด้วยที่ท่าเสียใจ

“โอ้ ไม่เป็นไร ๆ เช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อนแล้ว…”

ฟางหยวนหันกลับเตรียมจะจากไป

“ห้ามปล่อยเขาไป!”

ในตอนนี้เอง อวชิวเหลิ่งที่นิ่งเงีย บมาตลอดก็พูดขึ้น “ผู้ชายคนนี้ได้ยินความลับของสํานักเราแล้ว พวกเราไม่อาจปล่อยให้เขาเอาไปพูดต่อได้

เดิมที่อวี้ชิวเหลิ่งตั้งใจจะสังหารฟางหยวนเพื่อป้องกันไม่ให้ความลับของสํานักหลุดรอดไป

แต่ในฐานะที่สํานักกุยหลิงนั้นเป็น สํานักที่เป็นที่เคารพ และยังมีศิษย์รุ่นเยาว์มากมายอยู่ที่ตรงนี้ เขาก็ไม่สามารถแนะนําเช่นนั้นออกมาได้

“นายท่านฟาง เช่นนั้นท่านยินดีจะตามหลินเหลยเยว่ไปหรือไม่?”

หลินเหลยเยวพูดขึ้นทันที “ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้! ข้ามาก็เพื่อเช่นนี้ มิใช่หรือไง?”

ฟางหยวนหัวเราะเบา ๆ เพราะว่านี้ก็เป็นสิ่งที่เขาคิดจะทําอยู่แล้ว
“ดี เช่นนั้นก็อย่าได้ล่าช้าต่อไปเลย พวกเราจะเคลื่อนกําลังเดี๋ยวนี้! ไม่จําเป็นต้องทิ้งใครไว้ที่นี่แล้ว!”

หลินเหลยเยว่ออกเดินทางทันที่อย่างคนที่ตัดสินใจแล้ว ไม่นาน คนทั้งกลุ่มก็รีบออกจากคฤหาสน์และมุ่งหน้าไปยังที่หนึ่งบนภูเขา

“กุบกับ กุบกับ!”

ม้าที่พวกเขาขอยู่พาพวกเขาเดินทางได้อย่างรวดเร็ว

“คุณหนูหลิน ท่านบอกข้าได้หรือไม่ว่าสมบัติที่พวกท่านพูดถึงคืออะไร?”

ท่ามกลางเสียงฝีเท้าม้า เสียงของฟางหยวนนั้นหูของอวชิวเหลิ่งนั้นได้ยิน อย่างชัดเจน คําถามของฟางหยวนทําให้อวี้ชิวเหลิ่งตื่นตัวขึ้น

“จากเรื่องที่เกิดขึ้น เหลยเยว่ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบังแล้ว สมบัติล้ําค่าที่พูดกัน คือหยกหยินหยาง!”

ไม่สนใจเสียงกระแอมเตือนจากอวี้ชิวเหลิ่งที่อยู่ข้าง ๆ นาง หลินเหลยเยว่ตอบอย่างรวดเร็ว
“หยกหยินหยาง?”

ฟางหยวนรู้สึกงงนิด ๆ จนครู่หนึ่ง เขาถึงนึกถึงที่เคยอ่านในหนังสือไหนสักเล่มออก ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้น ขณะที่คิด “ไม่ใช่ว่าหยกหยินหยางเป็นของที่พูดถึงในตํานานว่าสามารถรวมพลังหยินและหยางเข้าด้วยกัน และทําให้ผู้ฝึกยุทธ์พัฒนาทักษะไปได้เร็วขึ้นหรอกหรือ?”

หลังจากประตูทองที่ 8 ในเส้นทางการฝึกวิทยายุทธ์ ก็จะเป็น 4 ประตูสวรรค์!

ถ้าไม่นับประตูฟ้าและประตูดิน ประตูหยินและประตูหยางสองประตูแรกนั้น จําต้องรวมพลังหยินและหยางเข้าด้วยกัน!

หยกหยินหยางนี้เป็นสมบัติล้ําค่าที่มีชื่อเสียงมาเป็นหลายชั่วอายุ ว่ากันว่า หยกนี้เป็นอัญมณีตามธรรมชาติที่เต็มไปด้วยพลังหยินและหยางและยังสามารถช่วยปรับพื้นฐานของผู้ฝึกยุทธ์ได้ ว่ากันว่ามันสามารถช่วยให้ผ่านประตูหยินและหยางได้ เป็นสมบัติล้ําค่าที่เป็นที่ต้องการอย่างแท้จริง

ผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 4 ประตูสวรรค์สามารถขึ้นเป็นหนึ่งในห้าอันดับแรกของผู้ฝึกยุทธ์ได้อย่างง่ายดายไม่ว่าเขาจะสังกัดสํานักกุยหลิงหรือสํานักห้าผี!

นี่อธิบายความสําคัญของสมบัติชิ้นนี้ และท่าที่อันซับซ้อนของสองสํานักใหญ่ เช่นเดียวกับผู้ฝึกยุทธ์จํานวนมากที่พยายามเข้ามามีส่วนร่วม

“การได้ครอบครองหยกหยินหยางนี้ เทียบเท่ากับการจับจองตําแหน่งผู้ฝึกยุทธ์ที่มีอํานาจเมื่อเข้าสู่ 4 ประตูสวรรค์ในอนาคต…”

ฟางหยวนพยักหน้าและเหลือบมองหลินเหลยเยว่

แน่นอนว่าปฏิบัติการเพื่อครอบครอง สมบัติชิ้นนี้ครั้งนี้นั้นย่อมทําเพื่อหลินเหลยเยว่เสียเป็นส่วนมาก

ถึงอย่างไร หลินเหลยเยว่ก็ยังคงบาดเจ็บอยู่ทําให้ฟางหยวนรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจ เล็กน้อยว่าสมบัติชิ้นนี้นั้นเตรียมไว้เพื่อใคร เขาก็ยังคงไม่รู้ตัวว่าคนที่ต้องรับผิดชอบกับการบาดเจ็บนี้คือตัวเขาเอง

เอาชนะศัตรูภายนอกนั้นง่าย แต่เอาชนะปิศาจในใจตัวเองนั้นยาก!”

เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมาของฟางหยวน หลินเหลยเยว่ก็ก้มหน้าลงนิด ๆ อย่างรู้สึกละอายใจ พลางคิด “เอาชนะปิศาจในใจของข้ากับการเอาชนะจุดแข็งของศัตรูของข้านั้น เดิมที่ให้ผู้อาวุโสสักท่านเอาชนะพี่ฟางต่อหน้าข้าก็เพียงพอ แต่ว่า รายงานของผู้อาวุโสสั้นนั้นมาถึงโดยกะทันหันและข้าก็ไม่สามารถปรับแผนการของข้าได้ทัน โชคดีที่ยังมีผู้อาวุโสฮั่น การทําภารกิจนี้ให้สําเร็จนั้นน่าจะง่ายขึ้นแล้ว!”

ผู้อาวุโสเลี่ยนและผู้อาวุโสฮันนั้นเป็นเสาหลักซ้ายขวาของสํานักกุยหลิง คนทั้งคู่นั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 4 ประตูสวรรค์!

“เทือกเขาเหมันต์น้อยคือที่นี่แล้ว!”

ศิษย์รุ่นเยาว์ผู้ที่มาถึงทางเข้าภูเขาลงจากม้าทันที เขาเรียกนกสื่อสารออกมาแล้วพยักหน้าให้หลินเหลยเยว่

“ลงจากม้าและขึ้นเขา!”

หลินเหลยเยว่ไม่ลังเลสักนิด ความต้องการของนางตอนนี้นั้นเห็นได้ชัดเจน
แป!”

อวี้ชิวเหลิ่งขยับตัวก่อนและเดินนําทางไปในเวลาเดียวกัน เขาก็เหลือบมองฟางหยวนอย่างยั่วยุ

อย่างไรเสีย ในป่าโบราณทุบทีมเช่นบนเขานี้ “อุบัติเหตุ” ก็มักจะเกิดขึ้นเป็น ประจําอยู่แล้ว

แม้ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีอะไรเกิด ขึ้นในตอนนี้ แต่เมื่อพวกเขาเข้าต่อสู้กับ คนจากสํานักห้าผี การตายของพวกเดีย วกันในสํานักนั้นก็อาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่ว่า หลังจากขึ้นเขามา ท่าทางของฟางหยวนก็ทําให้อวี้ชิวเหลิ่งต้องมอง เขาใหม่

ทางเดินเต็มไปด้วยหินก้อนใหญ่และต้นไม้มีหนามแหลมขวางกั้นเต็มไป หมด..

ในป่าโบราณกลางเขาลึกนั้น ไม่มีกระทั่งทางให้เดิน แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ผู้มีประสบการณ์ก็ยังคืบหน้าไปได้อย่างลําบาก

ผู้คนที่สํานักกุยหลิงพามานั้นล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่เป็นที่เคารพซึ่งยังสามารถลุยผ่านเส้นทางยากลําบากไหว อวี่ชิวเหสิ่งนั้นพยายามอย่างมากที่จะเก็บความรู้สึกไม่สบายเอาไว้ขณะรอหัวเราะเยาะ ความผิดพลาดใด ๆ ของฟางหยวน

ฟางหยวนก็ยังคงอดทนและไม่ออกปากบ่นอะไร เขาไม่ได้เชื่องช้าลงเลยสักนิดแม้จะมีอุปสรรคตามธรรมชาติและยังดูสบาย ๆ ยิ่งกว่าอวี้ชิวเหลิ่งเสียอีก ขณะที่เขาเคลื่อนที่ผ่านสิ่งกีดขวางไปอย่างคล่องแคล่ว เขาก็ถามขึ้นอย่างสบาย ๆ ว่า “วิธีการสื่อสารที่สํานักของพวกท่านใช้ยังสามารถใช้ในพื้นที่เช่นนี้ได้ด้วยหรือ? แล้วผู้อาวุโสชั่นยังมีคําแนะนําใดอีกหรือไม่?”

“วิธีของสํานักเรานั้นไร้ข้อบกพร่อง!

อวี้ชิวเหลิ่งตอบอย่างเสียไม่ได้

เขากําลังตกใจกับความกล้าของฟางหยวนและวิชาตัวเบาอันน่าทึ่งของเขาด้วย แต่ถึงอย่างนั้น อวี่ชิวเหลิ่งก็ยังบอกตัวเองว่าความสามารถของฟางหยวนก็มีแค่ทักษะวิชาตัวเบาที่เหนือกว่าผู้อื่นเล็กน้อยเท่านั้น

ก็เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ที่เมื่อคนผู้หนึ่งปักใจเชื่อในเรื่องใดเรื่องหนึ่งไปแล้ว มันก็ยากมากที่จะโน้มน้าวเขาไปเป็นอย่างอื่น

“แกรก กราก…”

ทันใดนั้น ทุกคนก็โผล่ออกจากป่าหนาทึบเข้าสู่พื้นที่โล่ง

พวกเขามองหุบเขาตรงหน้าและส่งนก สื่อสารขึ้นไปกลางอากาศ มันส่งเสียง ร้องแสบหู

“ผู้อาวุโสฮั่นอยู่ในหุบเขานั่น ตามข้าไปพบเขา!”

อวี้ชิวเหลิ่งเดินนําและเข้าสู่หุบเขาโดยไม่ลังเล

ฟางหยวนสํารวจเทือกเขาทั้งสองด้าน และขมวดคิ้วแน่น เขาแตะของชิ้นหนึ่ง ในเสื้อคลุม สูดหายใจลึกก่อนจะเข้าสู่หุบเขาไป

“ผู้อาวุโสสั่นอยู่ที่ใด?”

หลังจากเดินมาได้ระยะหนึ่ง หลินเหลยเยว่ก็สํารวจหมอกบาง ๆ ที่รอบ ๆ ตัวพวกเขา นางก็ออกปากถามทันที “ทําไมพวกเขายังไม่ส่งข่าวมา? บริเวณนี้ทําให้ข้ารู้สึกไม่ดี พวกเราประมาทไม่ได้ รีบถอยออกจากหุบเขานี่!”

ตอนที่อวี้ชิวเหลิงกําลังจะพูด เสียงลูกธนูแหวกอากาศก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ลูกศรพุ่งมาจากด้านตรงข้าม

“อ๊ะ!”

ศิษย์บางคนที่ถูกศรเข้าล้มลงบนพื้นทันที พวกเขาตายเกือบจะทันทีหลังอุทานออกมา เลือดสีดําไหลออกจากแผลของพวกเขา

“เป็นกับดัก!”

หลินเหลยเยวดึงกระบี่ยาวของนางออกมาและสั่ง “ถอย!”

โชคดีของพวกเขา พวกเขายังไม่ได้เข้าลึกไปในหุบเขาและยังไม่ติดกับดัก อย่างเต็มที่ หลังจากหนีออกมาอย่างกระหืดกระหอบ พวกเขาก็พบว่าได้สูญเสียกําลังคนไปกว่าครึ่ง

“ปลายศรอาบยาพิษไว้!”

เมื่อคิดถึงภาพเมื่อครู่ อวชิวเหลิ่งก็อดหลั่งเหงื่อเย็นเยียบไม่ได้

ถ้าเขาเดินเข้าหุบเขาไปต่อ พวกเขาย่อมถูกจู่โจมจากทุกด้าน ภายใต้ห่าลูกศรพร่างพรม ต่อให้พวกเขาเก่งกาจแค่ไหนก็ย่อมถูกสังหารลงภายใต้ศรอาบยาพิษจํานวนมหาศาลเป็นแน่

“น่าแปลกใจจริง ๆ ที่พวกเจ้าสามารถหาที่นี่พบ สมกับที่เป็นลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์ของสํานักกุยหลิง!”

ชายหนุ่มท่าทางสําอางพร้อมกับลูกศิษย์สํานักห้าผีอีกกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างโอหังและค่อย ๆ เดินออกมาจากหุบเขา

“กา กา!”

นกสื่อสารร่อนลงบนแขนเขาอย่างเชื่อฟัง ทําให้สีหน้าของอวี้ชิวเหลิ่งนั้นซีด เผือดยิ่งกว่าซากศพเสียอีก “เป็นไปได้อย่างไร?”

“ฮ่าฮ่า… ให้ข้าบอกเจ้า ตราบใดที่ไม่ใช่สัตว์วิญญาณ มันก็ไม่สามารถต้านทานผลของยาเม็ดกล่อมใจได้หรอก!”

ฟางหยวนเคยพบชายหนุ่มผู้นี้มาก่อน เขาคือหลินหวง

ในตอนนี้ หลินหวงหยิบเอายาเม็ดสีชมพูออกมาป้อนให้กับนกสื่อสาร เขาส่ายหน้าอย่างไม่พอใจและพูด “ถ้าพวกเจ้าเข้าสู่กับดักอย่างเต็มที่ พวกเขาทั้งหมดก็คงตายไปแล้วและข้าก็ไม่จําเป็นต้องลงมืออะไร ตอนนี้ข้าจําต้องออกจากหุบเขามาเพื่อจัดการงานให้สําเร็จ บอกข้าสิ… พวกเจ้าอยากจะตายด้วยวิธีใดกันบ้าง?”

หลินหวงจับตามองท่าทางของอวี้ชิวเหลิงและหลินเหลยเยว่ จากที่ยะโส โอหังอยู่ในตอนแรก หลินหวงก็ค่อย ๆ สงบลงและเริ่มยั่วยุพวกเขาด้วยคําพูด “มิใช่ว่านี่คือภาชนะในตํานานผู้ที่เป็นศิษย์รักของสืออกงหรอกหรือ? เหอ เหอ… ถ้าข้าจับตัวเจ้าไว้ นี่จะทําให้สํานักกุยหลิงต้องคุกเข่าลงให้ข้าหรือไม่นะ?”

“ฝันไปเถอะ!”

อวี้ชิวเหลิ่งคํารามออกมาราวกับสายฟ้าฟาดและพุ่งตัวใส่หลินหวงพร้อมกับกระบวนท่าอินทรี

เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์นั้นไม่เป็นใจเสียแล้ว และหนทางเดียวที่จะพลิกสถานการณ์กลับได้ก็คือจัดการหลินหวงนั่นเอง

TL note: ผู้อาวุโสจง* จู่ๆ ในต้นฉบับภาษาอังกฤษก็มีชื่อนี้โผล่ออกมา ทางผู้แปลจึงแปลตามต้นฉบับเอาไว้ก่อน ถ้าหากมีเวลาจะกลับไปดูต้นทางภาษาจีนให้อีกที

Carefree Path of Dreams

Carefree Path of Dreams

Score 10
Status: Completed

บทนำ

นี่เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตสันโดษอยู่บนภูเขา ปลูกพืช เลี้ยงปลา และฝันถึงความฝันของเขา

เอ๋?

จู่ ๆ ข้าก็ออกไปพิชิตทั่วหล้าและกลายเป็นผู้ครองโลกเหรอ?

หรือว่าข้ายังอยู่ในความฝันกันแน่?

Options

not work with dark mode
Reset