นิยาย Carefree Path of Dreams
Chapter 57: ระแวง
รถม้าหยุดเมื่อถึงสวนด้านหลังคฤหาสน์ใหญ่แห่งหนึ่ง และทันใดนั้นก็มีผู้ฝึกยุทธ์สองคนในชุดของคนรับใช้ก้าวมาข้างหน้าและดึงม่านของรถม้าเปิดออกอย่างเคารพ
“ที่นี่… ดูเหมือนจะเป็นสวนหลังบ้านของใครสักคนที่ในระดับสูง…”
ได้ยินเสียงเคลื่อนไหววุ่นวายจากสวน ด้านหน้าแล้วฟางหยวนก็พยักหน้าเงียบ
ฟางหยวนนั้นประทับใจเมื่อเขา เห็นเคล็ดและทักษะซ่อนอยู่เบื้องหลัง กลไกก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นด้านนี้ของสํานักกุยหลิง ฟางหยวนก็รู้สึกขึ้นมาว่าสำนักกุยหลิงนั้นสามารถเอาชนะสํานักของนักสู้อื่น ๆ ได้จริง ๆ อิทธิพลของพวกเขาในพื้นที่นี้นั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ
“นี่เป็นฐานลับของสํานักกุยหลิงเรา นอกจากผู้ฝึกยุทธ์ของสํานักเราแล้ว นายท่านฟางเป็นแขกคนแรกของพวกเราแล้ว!”
พวกหลินเหลยเยว่เผยยิ้มงดงามออกมา ขณะเดินนําอยู่ด้านหน้า
หลังจากเดินผ่านประตูเล็ก ๆ หลายบาน พวกเขาก็มาถึงสวนแห่งหนึ่ง สวนนี้จัดไว้อย่างงดงามและประณีต แม้ว่าฤดูหนาวเพิ่งผ่านไปไม่นาน สัญญาณของชีวิตและการเจริญเติบโตก็เริ่มแสดงออกมาให้เห็น
ติดกันนั้นเป็นสระน้ําสีเขียวกระจ่าง ผู้ฝึกยุทธ์หนวดเคราเฟื้มผู้หนึ่งกําลังฝึก เคล็ดกรงเล็บอินทรีอยู่
“ฝูบ ฝบ!”
แต่ละกระบวนท่าที่ผู้ฝึกยุทธ์ผู้นั้นแสดง อากาศรอบตัวของเขาก็ถูกแรงกระทําจนเกิดเป็นเสียงประกอบ ดูเหมือนว่าแม้แต่สระน้ําเองก็ถูกรบกวนไปด้วยแล้ว
“เหล่าอร์!”
หลินเหลยเยวทักทายอย่างเป็นทางการ แต่แล้ว ฟางหยวนก็ต้องหรี่ตาลง
นั่นไม่ใช่อินทรีเหล็กหน้านิ่งอชิวเหลิ่งหรอก? คนเดียวกับที่ตามผู้ดูแลหลิน เข้าไปในหุบเขาและบังคับให้เขายกเลิก การหมั้นหมายนั่น?
ในตอนแรก ฟางหยวนคิดว่าระดับพลังยุทธ์ของอวี้ชิวเหลิ่งนั้นไร้ต้าน หลังจากได้เห็นอวชิวเหลิ่งแล้ว เขาก็ไม่ได้ดูมีพลังอย่างนั้นเลยสักนิด
แม้แต่เคล็ดกรงเล็บอินทรีของอวี่ชิวเหลิ่งก็ยังสู้ของฟางหยวนไม่ได้
“เอ่อ เจ้าคือ?”
อวี้ชิวเหลิ่งพยักหน้ารับรู้ไปทางหลิน เหลยเยว่มองฟางหยวนแล้วอวี่ชิวเหลิง ก็รู้สึกคุ้น ๆ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน ดวงตาเบิกกว้างขึ้นทันทีเมื่อนึกออก “เจ้าหนุ่มจากเมืองชิงเย?!”
ทันใด ความเป็นศัตรูก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาคิดในใจ “มันกล้าดีอย่างไร มาวุ่นวายกับคุณหนูหลิน?!”
“อย่าเข้าใจผิดไปนะเหล่าอ!”
เมื่อเห็นเช่นนั้น หลินเหลยเยว่ก็รีบอธิบาย “ข้าแค่บังเอิญพบกับนายท่านฟาง ที่ระหว่างทาง อย่างไรเขาก็เป็นชาวยุทธ์เก่งกาจผู้หนึ่งและวิชาแพทย์ของเขาก็เป็นที่รู้จักกันดีในเมืองชิงเต่…”
“ฮีม ก็คงแค่เล่นเล่ห์ละมั้ง…”
อวชิวเหลิ่งแค่นเสียงอย่างไม่สนใจ แม้ว่าเขาจะได้ยินข่าวลือนี้มาบ้าง แต่เขาก็ยืนยันที่จะไม่เชื่อว่าเจ้าเด็กหลัง เขานี่จะเก่งกาจสักเพียงไหนได้กัน เขาอาจจะสังหารซึ่งจงและผู้อาวุโสจง*ได้ แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าพวกเขาอยู่ในจุดที่เสียเปรียบตั้งแต่แรกและฟางหยวนก็อาจจะสังหารพวกเขาได้ด้วยการใช้เล่ห์กลอย่างสองอย่าง
ถึงตอนนี้ ฟางหยวนยังไม่เคยเปิดเผย ระดับวิทยายุทธ์ของตัวเอง และเท่าที่อวี่ชิวเหลิงมองเห็นผ่านตาเปล่าของตนนั้น เขาก็มองไม่เห็นว่าความสามารถของฟางหยวนนั้นจะดีเท่ากับที่เล่าลือมา
“โอ้? ดูเหมือนท่านคงจะไม่ชอบหน้า ข้าเท่าไหร่นัก?”
ฟางหยวนหัวเราะอย่างไร้พิษสง แอบซ่อนความกระวนกระวายนิด ๆ เอาไว้ในดวงตา
“ท่านขอรับ มีรายงาน!”
ศิษย์ผู้หนึ่งของสํานักกุยหลิงพุ่งมาทางพวกเขาพร้อมกับนกสื่อสารในมือ “พวกเราเพิ่งได้รับข้อความจากผู้อาวุโสฮั่น เขาพบร่องรอยของผู้อาวุโสจากสํานักห้าผีที่ด้านนอกเมือง ผู้อาวุโสฮั่นสั่งให้พวกเราไปสมทบกับพวกเขาทันที!”
“นี่เป็นเรื่องสําคัญที่สุด พวกเราจะเคลื่อนกําลังเดี๋ยวนี้!”
ขณะที่พูด หลินเหลยเยว่ก็ส่งสายตาของอภัยไปทางฟางหยวน
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฟางหยวนก็ตัดสินใจไม่พูดถึงการฝึกในขั้นถัดไปที่เขาคิดจะให้คําแนะนําสักเล็กน้อย
แต่ว่า เมื่อเห็นใบหน้าถมึงทึงของอชิวเหลิ่งเขาก็รู้ว่าคงจะมีปัญหากับเขาเป็น แน่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องรีบร้อน
เมื่อสุภาพบุรุษสักคนจะแก้แค้น รอ คอยสิบปีก็ไม่นับว่านานเกินไป ถึงแม้ว่า เขาจะไม่ใช่สุภาพบุรุษ เขาก็ยังสา มารถรอได้อีกสักหลายวัน
“ต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะนายท่านฟาง สํานักของเรามีเหตุให้ต้องรีบไปจัดการแล้ว!”
หลินเหลยเยวมองฟางหยวนด้วยที่ท่าเสียใจ
“โอ้ ไม่เป็นไร ๆ เช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อนแล้ว…”
ฟางหยวนหันกลับเตรียมจะจากไป
“ห้ามปล่อยเขาไป!”
ในตอนนี้เอง อวชิวเหลิ่งที่นิ่งเงีย บมาตลอดก็พูดขึ้น “ผู้ชายคนนี้ได้ยินความลับของสํานักเราแล้ว พวกเราไม่อาจปล่อยให้เขาเอาไปพูดต่อได้
เดิมที่อวี้ชิวเหลิ่งตั้งใจจะสังหารฟางหยวนเพื่อป้องกันไม่ให้ความลับของสํานักหลุดรอดไป
แต่ในฐานะที่สํานักกุยหลิงนั้นเป็น สํานักที่เป็นที่เคารพ และยังมีศิษย์รุ่นเยาว์มากมายอยู่ที่ตรงนี้ เขาก็ไม่สามารถแนะนําเช่นนั้นออกมาได้
“นายท่านฟาง เช่นนั้นท่านยินดีจะตามหลินเหลยเยว่ไปหรือไม่?”
หลินเหลยเยวพูดขึ้นทันที “ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้! ข้ามาก็เพื่อเช่นนี้ มิใช่หรือไง?”
ฟางหยวนหัวเราะเบา ๆ เพราะว่านี้ก็เป็นสิ่งที่เขาคิดจะทําอยู่แล้ว
“ดี เช่นนั้นก็อย่าได้ล่าช้าต่อไปเลย พวกเราจะเคลื่อนกําลังเดี๋ยวนี้! ไม่จําเป็นต้องทิ้งใครไว้ที่นี่แล้ว!”
หลินเหลยเยว่ออกเดินทางทันที่อย่างคนที่ตัดสินใจแล้ว ไม่นาน คนทั้งกลุ่มก็รีบออกจากคฤหาสน์และมุ่งหน้าไปยังที่หนึ่งบนภูเขา
“กุบกับ กุบกับ!”
ม้าที่พวกเขาขอยู่พาพวกเขาเดินทางได้อย่างรวดเร็ว
“คุณหนูหลิน ท่านบอกข้าได้หรือไม่ว่าสมบัติที่พวกท่านพูดถึงคืออะไร?”
ท่ามกลางเสียงฝีเท้าม้า เสียงของฟางหยวนนั้นหูของอวชิวเหลิ่งนั้นได้ยิน อย่างชัดเจน คําถามของฟางหยวนทําให้อวี้ชิวเหลิ่งตื่นตัวขึ้น
“จากเรื่องที่เกิดขึ้น เหลยเยว่ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบังแล้ว สมบัติล้ําค่าที่พูดกัน คือหยกหยินหยาง!”
ไม่สนใจเสียงกระแอมเตือนจากอวี้ชิวเหลิ่งที่อยู่ข้าง ๆ นาง หลินเหลยเยว่ตอบอย่างรวดเร็ว
“หยกหยินหยาง?”
ฟางหยวนรู้สึกงงนิด ๆ จนครู่หนึ่ง เขาถึงนึกถึงที่เคยอ่านในหนังสือไหนสักเล่มออก ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้น ขณะที่คิด “ไม่ใช่ว่าหยกหยินหยางเป็นของที่พูดถึงในตํานานว่าสามารถรวมพลังหยินและหยางเข้าด้วยกัน และทําให้ผู้ฝึกยุทธ์พัฒนาทักษะไปได้เร็วขึ้นหรอกหรือ?”
หลังจากประตูทองที่ 8 ในเส้นทางการฝึกวิทยายุทธ์ ก็จะเป็น 4 ประตูสวรรค์!
ถ้าไม่นับประตูฟ้าและประตูดิน ประตูหยินและประตูหยางสองประตูแรกนั้น จําต้องรวมพลังหยินและหยางเข้าด้วยกัน!
หยกหยินหยางนี้เป็นสมบัติล้ําค่าที่มีชื่อเสียงมาเป็นหลายชั่วอายุ ว่ากันว่า หยกนี้เป็นอัญมณีตามธรรมชาติที่เต็มไปด้วยพลังหยินและหยางและยังสามารถช่วยปรับพื้นฐานของผู้ฝึกยุทธ์ได้ ว่ากันว่ามันสามารถช่วยให้ผ่านประตูหยินและหยางได้ เป็นสมบัติล้ําค่าที่เป็นที่ต้องการอย่างแท้จริง
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 4 ประตูสวรรค์สามารถขึ้นเป็นหนึ่งในห้าอันดับแรกของผู้ฝึกยุทธ์ได้อย่างง่ายดายไม่ว่าเขาจะสังกัดสํานักกุยหลิงหรือสํานักห้าผี!
นี่อธิบายความสําคัญของสมบัติชิ้นนี้ และท่าที่อันซับซ้อนของสองสํานักใหญ่ เช่นเดียวกับผู้ฝึกยุทธ์จํานวนมากที่พยายามเข้ามามีส่วนร่วม
“การได้ครอบครองหยกหยินหยางนี้ เทียบเท่ากับการจับจองตําแหน่งผู้ฝึกยุทธ์ที่มีอํานาจเมื่อเข้าสู่ 4 ประตูสวรรค์ในอนาคต…”
ฟางหยวนพยักหน้าและเหลือบมองหลินเหลยเยว่
แน่นอนว่าปฏิบัติการเพื่อครอบครอง สมบัติชิ้นนี้ครั้งนี้นั้นย่อมทําเพื่อหลินเหลยเยว่เสียเป็นส่วนมาก
ถึงอย่างไร หลินเหลยเยว่ก็ยังคงบาดเจ็บอยู่ทําให้ฟางหยวนรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจ เล็กน้อยว่าสมบัติชิ้นนี้นั้นเตรียมไว้เพื่อใคร เขาก็ยังคงไม่รู้ตัวว่าคนที่ต้องรับผิดชอบกับการบาดเจ็บนี้คือตัวเขาเอง
เอาชนะศัตรูภายนอกนั้นง่าย แต่เอาชนะปิศาจในใจตัวเองนั้นยาก!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมาของฟางหยวน หลินเหลยเยว่ก็ก้มหน้าลงนิด ๆ อย่างรู้สึกละอายใจ พลางคิด “เอาชนะปิศาจในใจของข้ากับการเอาชนะจุดแข็งของศัตรูของข้านั้น เดิมที่ให้ผู้อาวุโสสักท่านเอาชนะพี่ฟางต่อหน้าข้าก็เพียงพอ แต่ว่า รายงานของผู้อาวุโสสั้นนั้นมาถึงโดยกะทันหันและข้าก็ไม่สามารถปรับแผนการของข้าได้ทัน โชคดีที่ยังมีผู้อาวุโสฮั่น การทําภารกิจนี้ให้สําเร็จนั้นน่าจะง่ายขึ้นแล้ว!”
ผู้อาวุโสเลี่ยนและผู้อาวุโสฮันนั้นเป็นเสาหลักซ้ายขวาของสํานักกุยหลิง คนทั้งคู่นั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 4 ประตูสวรรค์!
“เทือกเขาเหมันต์น้อยคือที่นี่แล้ว!”
ศิษย์รุ่นเยาว์ผู้ที่มาถึงทางเข้าภูเขาลงจากม้าทันที เขาเรียกนกสื่อสารออกมาแล้วพยักหน้าให้หลินเหลยเยว่
“ลงจากม้าและขึ้นเขา!”
หลินเหลยเยว่ไม่ลังเลสักนิด ความต้องการของนางตอนนี้นั้นเห็นได้ชัดเจน
แป!”
อวี้ชิวเหลิ่งขยับตัวก่อนและเดินนําทางไปในเวลาเดียวกัน เขาก็เหลือบมองฟางหยวนอย่างยั่วยุ
อย่างไรเสีย ในป่าโบราณทุบทีมเช่นบนเขานี้ “อุบัติเหตุ” ก็มักจะเกิดขึ้นเป็น ประจําอยู่แล้ว
แม้ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีอะไรเกิด ขึ้นในตอนนี้ แต่เมื่อพวกเขาเข้าต่อสู้กับ คนจากสํานักห้าผี การตายของพวกเดีย วกันในสํานักนั้นก็อาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ว่า หลังจากขึ้นเขามา ท่าทางของฟางหยวนก็ทําให้อวี้ชิวเหลิ่งต้องมอง เขาใหม่
ทางเดินเต็มไปด้วยหินก้อนใหญ่และต้นไม้มีหนามแหลมขวางกั้นเต็มไป หมด..
ในป่าโบราณกลางเขาลึกนั้น ไม่มีกระทั่งทางให้เดิน แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ผู้มีประสบการณ์ก็ยังคืบหน้าไปได้อย่างลําบาก
ผู้คนที่สํานักกุยหลิงพามานั้นล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่เป็นที่เคารพซึ่งยังสามารถลุยผ่านเส้นทางยากลําบากไหว อวี่ชิวเหสิ่งนั้นพยายามอย่างมากที่จะเก็บความรู้สึกไม่สบายเอาไว้ขณะรอหัวเราะเยาะ ความผิดพลาดใด ๆ ของฟางหยวน
ฟางหยวนก็ยังคงอดทนและไม่ออกปากบ่นอะไร เขาไม่ได้เชื่องช้าลงเลยสักนิดแม้จะมีอุปสรรคตามธรรมชาติและยังดูสบาย ๆ ยิ่งกว่าอวี้ชิวเหลิ่งเสียอีก ขณะที่เขาเคลื่อนที่ผ่านสิ่งกีดขวางไปอย่างคล่องแคล่ว เขาก็ถามขึ้นอย่างสบาย ๆ ว่า “วิธีการสื่อสารที่สํานักของพวกท่านใช้ยังสามารถใช้ในพื้นที่เช่นนี้ได้ด้วยหรือ? แล้วผู้อาวุโสชั่นยังมีคําแนะนําใดอีกหรือไม่?”
“วิธีของสํานักเรานั้นไร้ข้อบกพร่อง!
อวี้ชิวเหลิ่งตอบอย่างเสียไม่ได้
เขากําลังตกใจกับความกล้าของฟางหยวนและวิชาตัวเบาอันน่าทึ่งของเขาด้วย แต่ถึงอย่างนั้น อวี่ชิวเหลิ่งก็ยังบอกตัวเองว่าความสามารถของฟางหยวนก็มีแค่ทักษะวิชาตัวเบาที่เหนือกว่าผู้อื่นเล็กน้อยเท่านั้น
ก็เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ที่เมื่อคนผู้หนึ่งปักใจเชื่อในเรื่องใดเรื่องหนึ่งไปแล้ว มันก็ยากมากที่จะโน้มน้าวเขาไปเป็นอย่างอื่น
“แกรก กราก…”
ทันใดนั้น ทุกคนก็โผล่ออกจากป่าหนาทึบเข้าสู่พื้นที่โล่ง
พวกเขามองหุบเขาตรงหน้าและส่งนก สื่อสารขึ้นไปกลางอากาศ มันส่งเสียง ร้องแสบหู
“ผู้อาวุโสฮั่นอยู่ในหุบเขานั่น ตามข้าไปพบเขา!”
อวี้ชิวเหลิ่งเดินนําและเข้าสู่หุบเขาโดยไม่ลังเล
ฟางหยวนสํารวจเทือกเขาทั้งสองด้าน และขมวดคิ้วแน่น เขาแตะของชิ้นหนึ่ง ในเสื้อคลุม สูดหายใจลึกก่อนจะเข้าสู่หุบเขาไป
“ผู้อาวุโสสั่นอยู่ที่ใด?”
หลังจากเดินมาได้ระยะหนึ่ง หลินเหลยเยว่ก็สํารวจหมอกบาง ๆ ที่รอบ ๆ ตัวพวกเขา นางก็ออกปากถามทันที “ทําไมพวกเขายังไม่ส่งข่าวมา? บริเวณนี้ทําให้ข้ารู้สึกไม่ดี พวกเราประมาทไม่ได้ รีบถอยออกจากหุบเขานี่!”
ตอนที่อวี้ชิวเหลิงกําลังจะพูด เสียงลูกธนูแหวกอากาศก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ลูกศรพุ่งมาจากด้านตรงข้าม
“อ๊ะ!”
ศิษย์บางคนที่ถูกศรเข้าล้มลงบนพื้นทันที พวกเขาตายเกือบจะทันทีหลังอุทานออกมา เลือดสีดําไหลออกจากแผลของพวกเขา
“เป็นกับดัก!”
หลินเหลยเยวดึงกระบี่ยาวของนางออกมาและสั่ง “ถอย!”
โชคดีของพวกเขา พวกเขายังไม่ได้เข้าลึกไปในหุบเขาและยังไม่ติดกับดัก อย่างเต็มที่ หลังจากหนีออกมาอย่างกระหืดกระหอบ พวกเขาก็พบว่าได้สูญเสียกําลังคนไปกว่าครึ่ง
“ปลายศรอาบยาพิษไว้!”
เมื่อคิดถึงภาพเมื่อครู่ อวชิวเหลิ่งก็อดหลั่งเหงื่อเย็นเยียบไม่ได้
ถ้าเขาเดินเข้าหุบเขาไปต่อ พวกเขาย่อมถูกจู่โจมจากทุกด้าน ภายใต้ห่าลูกศรพร่างพรม ต่อให้พวกเขาเก่งกาจแค่ไหนก็ย่อมถูกสังหารลงภายใต้ศรอาบยาพิษจํานวนมหาศาลเป็นแน่
“น่าแปลกใจจริง ๆ ที่พวกเจ้าสามารถหาที่นี่พบ สมกับที่เป็นลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์ของสํานักกุยหลิง!”
ชายหนุ่มท่าทางสําอางพร้อมกับลูกศิษย์สํานักห้าผีอีกกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างโอหังและค่อย ๆ เดินออกมาจากหุบเขา
“กา กา!”
นกสื่อสารร่อนลงบนแขนเขาอย่างเชื่อฟัง ทําให้สีหน้าของอวี้ชิวเหลิ่งนั้นซีด เผือดยิ่งกว่าซากศพเสียอีก “เป็นไปได้อย่างไร?”
“ฮ่าฮ่า… ให้ข้าบอกเจ้า ตราบใดที่ไม่ใช่สัตว์วิญญาณ มันก็ไม่สามารถต้านทานผลของยาเม็ดกล่อมใจได้หรอก!”
ฟางหยวนเคยพบชายหนุ่มผู้นี้มาก่อน เขาคือหลินหวง
ในตอนนี้ หลินหวงหยิบเอายาเม็ดสีชมพูออกมาป้อนให้กับนกสื่อสาร เขาส่ายหน้าอย่างไม่พอใจและพูด “ถ้าพวกเจ้าเข้าสู่กับดักอย่างเต็มที่ พวกเขาทั้งหมดก็คงตายไปแล้วและข้าก็ไม่จําเป็นต้องลงมืออะไร ตอนนี้ข้าจําต้องออกจากหุบเขามาเพื่อจัดการงานให้สําเร็จ บอกข้าสิ… พวกเจ้าอยากจะตายด้วยวิธีใดกันบ้าง?”
หลินหวงจับตามองท่าทางของอวี้ชิวเหลิงและหลินเหลยเยว่ จากที่ยะโส โอหังอยู่ในตอนแรก หลินหวงก็ค่อย ๆ สงบลงและเริ่มยั่วยุพวกเขาด้วยคําพูด “มิใช่ว่านี่คือภาชนะในตํานานผู้ที่เป็นศิษย์รักของสืออกงหรอกหรือ? เหอ เหอ… ถ้าข้าจับตัวเจ้าไว้ นี่จะทําให้สํานักกุยหลิงต้องคุกเข่าลงให้ข้าหรือไม่นะ?”
“ฝันไปเถอะ!”
อวี้ชิวเหลิ่งคํารามออกมาราวกับสายฟ้าฟาดและพุ่งตัวใส่หลินหวงพร้อมกับกระบวนท่าอินทรี
เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์นั้นไม่เป็นใจเสียแล้ว และหนทางเดียวที่จะพลิกสถานการณ์กลับได้ก็คือจัดการหลินหวงนั่นเอง
TL note: ผู้อาวุโสจง* จู่ๆ ในต้นฉบับภาษาอังกฤษก็มีชื่อนี้โผล่ออกมา ทางผู้แปลจึงแปลตามต้นฉบับเอาไว้ก่อน ถ้าหากมีเวลาจะกลับไปดูต้นทางภาษาจีนให้อีกที