“ผู้ใดให้ท่านทำแบบนี้?”
สบโอกาสเมื่อเหล่าเถียนกำลังร้องไห้ ฟางหยวนก็ตั้งคำถามถามเขา
ชาชำระจิตสามารถชำระล้างจิตใจ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนคนชั่วเป็นคนดี
เหล่าเถียนมีหัวใจที่ดีและคงจะรู้สึกผิดอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงกลับมารู้สึกแบบเดิมเมื่อตกอยู่ภายใต้ฤทธิ์ของน้ำชา ถ้าเขามีจิตใจที่ชั่วร้ายตั้งแต่แรก เขาจะแค่รู้สึกว่าน้ำชานี้รสชาติดีแต่จะไม่รู้สึกสำนึกผิดใด ๆ
“ข้ามันไม่ใช่คน… ฮึก….”
เหล่าเถียนยังนั่งร้องไห้อยู่บนพื้น “ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ข้าอยู่อย่างคนขี้ขลาดมาทั้งชีวิต ตอนนี้ข้าอายุมากขึ้น มีสถานะที่ดีขึ้น แต่ข้าก็ยังปล่อยให้ตัวเองถูกกดดันให้ทำร้ายลูกศิษย์ของผู้มีพระคุณ ข้ามันไม่ใช่คน… ข้ามาคิดดูแล้ว สำนักกุยหลิงอะไรนั่น ต่อให้ข้าจะทำอะไรไม่ได้ แต่ข้าจะไม่ทำให้ผู้มีพระคุณผิดหวัง…”
“สำนักกุยหลิง?”
ฟางหยวนตกใจ
‘หรือว่าคนพวกนั้นจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนั้นให้จบไป? เดี๋ยวก่อนนะ นั่นผิดแล้ว! ถ้าคนพวกนั้นไม่อยากปล่อยเรื่องนี้ไป ก็แค่ฆ่าข้าซะ สถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่เช่นนั้น ทำเล่นเป็นเด็ก ๆ ไป…’
ถึงตอนนี้ เขาก็ถามต่อ “สำนักกุยหลิงสนับสนุนเรื่องนี้หรือ? ผู้ใดเป็นคนข่มขู่ท่าน?”
“อีกอย่างหนึ่งนะ ข้าไม่แน่ใจว่าข้าได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน แต่ข้ารู้ว่าข้ามีความสัมพันธ์กับพวกท่าน… นายน้อย ไม่สู้เราไปจากที่นี่ สำนักกุยหลิงมีอิทธิพลในรอบ 100 ลี้นี่ แค่เราพ้นไปจากระยะร้อยลี้นี้ เราก็ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว! ข้ามีเงินเก็บอยู่กับตัวบ้าง แล้วก็มีประสบการณ์ที่ด้านนอกนั่น การเดินทางทุกอย่างล้วนไม่เป็นปัญหา…”
เหล่าเถียนตระหนักถึงมโนธรรมในตัว เขาแนะนำอย่างกระตือรือร้นให้ฟางหยวนหนีไป และเริ่มมองหาหนทาง
ฟางหยวนมองสภาพโกโรโกโสของเหล่าเถียนแล้วก็รู้สึกพูดไม่ออก “ไม่รีบ! ไม่รีบ! พวกเรารอก่อนได้…”
เขานั่งลงแล้วดื่มด่ำกับชาที่ชงไว้
“เอ๋?”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่เหล่าเถียนเพิ่งพบว่าตัวเองมีอยู่นั้นค่อย ๆ จางไป นิสัยฉลาดแกมโกงเริ่มกลับมา เขาเริ่มรู้สึกเสียใจในสิ่งที่พูดออกไปทันที และคิดในใจ ‘นี่ข้าทำอะไรลงไป? ทำไมข้าถึงได้เสนอเงินเก็บของข้าช่วยนายน้อยผู้นี้ต่อกรกับสำนักกุยหลิง?’
โดยสัตย์จริงแล้ว ถ้าแค่เตือนฟางหยวนและปล่อยให้เขาหนีไปเองนั้นก็พอจะเป็นไปได้
แต่ให้ใช้เงินเก็บทั้งชีวิตของเขาหนีไปด้วยกันกับฟางหยวนน่ะรึ? เหล่าเถียนทึ้งหัวตัวเองและไม่เคยรู้สึกโง่เท่านี้มาก่อน
ฟางหยวนเหลือบมองมา และเหล่าเถียนก็เกรงว่าตัวเขาเองจะมีมโนธรรมผุดขึ้นมาแล้วหนีไปพร้อมฟางหยวน
ฟางหยวนสังเกตความลุกลี้ลุกลนและกระอักกระอ่วนของเหล่าเถียน และรู้สึกว่ามันน่าขำ
‘เหล่าเถียนเป็นคนดี แต่เขามีเรื่องให้พะวงมากเกินไปในชีวิตนี้ทำให้เขาตัดสินใจเด็ดขาดไม่ได้…’
ฟางหยวนพูดขึ้น “เหล่าเถียน ท่านไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่มีความคิดที่จะหนีและจะไม่รบกวนให้ท่านช่วยเหลือ!”
“นั่นไม่ใช่ปัญหา”
เหล่าเถียนตอบอย่างอ่อนแรง แต่ลึกลงไป เขาแทบจะถอนหายใจแรง ๆ ด้วยความโล่งอก
เหล่าเถียนยังคงสับสนว่าทำไมเขาถึงผุดมโนธรรมขึ้นมาในวันนี้ แต่เพราะว่าได้พูดออกไปแล้วว่าจะช่วย เหล่าเถียนย้ำเตือนฟางหยวน “ชาวบ้านทั่วไปรู้ดีว่าทางที่ดีไม่ควรไปยุ่งกับพวกเจ้าหน้าที่ของทางการ สำนักกุยหลิงอาจจะไม่ได้เป็นพวกเจ้าหน้าที่ทางการแต่พวกเขาก็มีอำนาจมากจริง ๆ แล้วนายน้อยจะป้องกันตัวเองจากพวกนั้นได้อย่างไร? ท่านควรจะหาผู้อื่นสักคนมาช่วย หรือไม่อย่างนั้นท่านก็รีบหนีไป!”
“ขอบคุณท่านมากที่เป็นห่วง แต่ข้าคงจะคิดถึงที่นี่มาก…”
ฟางหยวนพูดจริง
นี่เป็นสถานที่ที่เขาเติบโตขึ้นมาและแน่นอนว่าย่อมก่อเกิดความผูกพันต่อสถานที่นี้ ความรู้สึกที่ยากจะหาสิ่งใดทดแทนได้
แล้วเขาก็ยังมีชาวิญญาณและข้าววิญญาณ ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะย้ายพืชพวกนี้ไปยังที่ห่างไกลในระยะเวลาอันสั้น
นอกจากนี้ ฟางหยวนยังเชื่อมั่นใจการพิจารณาเรื่องราวของตนเอง จากที่เขาถูกยกเลิกการหมั้นหมายและยอมรับของขวัญทดแทนไว้แล้ว ไม่มีเหตุผลให้อีกฝ่ายลดตัวลงมาและลงมืออย่างอำมหิต
บางที อาจจะเป็นแค่คนของสำนักที่ระดับล่าง ๆ สักคนเริ่มเรื่องนี้ขึ้นมาหวังว่าจะได้รับความชอบจากพวกระดับสูง
“เป็นเหลยเยว่ที่ทำเรื่องนี้ได้หรือไม่?”
ฟางหยวนอึ้งไปครู่หนึ่ง ในความทรงจำของเขา เหลยเยว่ไม่ได้งดงามน่ารักนัก ใบหน้าของนางนั้นพร่าเลือนในความทรงจำ
ตรงกันข้าม ในโลกความฝันของเขา นี่เป็นรูปแบบปกติที่เกิดขึ้นในนิยาย ที่จู่ ๆ ก็มีคู่แข่งความรักโผล่ออกมาจากที่ใดไม่รู้แล้วก็สร้างปัญหาให้
“แล้วเรื่องสั่งห้ามค้าขายก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดด้วย!”
เขามองเหล่าเถียนแล้วยิ้ม
“ต่อไปนี้ท่านก็ไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้แล้ว!”
“เอ๋?”
เหล่าเถียนเหลือบตามองฟางหยวน รู้สึกมือไม้ปั่นป่วนนิด ๆ
“ข้าตัวคนเดียว ไม่มีอะไรให้ยึดถือ ไม่มีชื่อเสียงใด แต่ท่าน เหล่าเถียน แค่ทำตามที่คนพวกนั้นสั่ง คนพวกนั้นก็ไม่สร้างปัญหาให้ท่านแล้ว!”
ฟางหยวนวิเคราะห์ให้เหล่าเถียนฟังอย่างใจเย็น แล้วนำเอาสมุนไพรถาดหนึ่งออกมา “นี่สมุนไพร การแลกเปลี่ยนครั้งสุดท้ายของเราก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว”
“เอ่อ.. นายน้อย ดูแลตัวเองด้วย!”
เหล่าเถียนไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของฟางหยวน แต่เมื่อเห็นความมุ่งมั่นของเขาแล้ว ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจากมาเสีย
…
หลังจากส่งเหล่าเถียนออกไปแล้ว ฟางหยวนก็หยิบตะกร้าไม้ไผ่เทลงบนพื้น
ครานี้เหล่าเถียนเอาสินค้ามามากพอสมควร เมื่อรวมกับที่เขามีเก็บไว้ จำนวนของที่มีก็เพียงพอให้เขาใช้ไปอีกหลายเดือนข้างหน้า
“หนึ่งในวัตถุดิบที่ต้องใช้ทำไหหั่วเย่หาได้จากที่ข้างนอกนั่นเท่านั้น ทีแรกข้าคิดว่าจะได้อาศัยความช่วยเหลือจากเหล่าเถียน…แต่ดูจากตอนนี้แล้ว ข้าว่าข้าคงต้องไปจัดการด้วยตนเองแล้ว!”
ฟางหยวนถอนหายใจ “แล้วยังเรื่องที่ข้าตกเป็นเป้าหมายของสำนักกุยหลิง เรื่องนี้ก็ต้องตรวจสอบเพิ่ม…”
อันที่จริง เพราะฟางหยวนอาศัยในหุบเขาตลอดและน้อยครั้งที่จะออกไปข้างนอก เขาเองก็อยากจะออกไปดูข้างนอกนั่นด้วยตนเองอยู่เช่นกัน
เมื่อตัดสินใจจะออกจากหุบเขา ฟางหยวนก็เตรียมตัว
อันดับแรก เขาเลือกสมุนไพรหายากและมีอายุเพื่อเป็นเงินทุนในการเดินทาง และเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ และที่สำคัญที่สุด แน่นอนว่าต้องนำอาหารไปให้เพียงพอ
ข้าวธรรมดาที่ข้างนอกนั่นเทียบกับข้าวหยกมุกที่เขาปลูกเองไม่ได้
เพราะคุ้นเคยกับการกินผลิตผลของตัวเอง อาหารที่ข้างนอกนั่นก็อาหารหมูดี ๆ นี่เอง
หลังจากฟางหยวนเตรียมตัวเสร็จ เขาก็หยิบมีดขนาดใหญ่ติดตัวไปเพื่อป้องกันตัวและใช้ในการเดินทาง
…
เทือกเขาชิงหลิงนั้นกว้างใหญ่และทอดยาวผ่านหลายมณฑล
มณฑลชิงเหออยู่ใกล้หุบเขาสันโดษที่สุด
ฟางหยวนน้อยครั้งที่จะออกจากหุบเขา แต่เขาก็เคยเดินทางออกไปข้างนอกกับอาจารย์เวิ่นซินมาก่อนหลายครั้งทำให้พอจะรู้ทาง
ระหว่างทางมีหมูบ้านเล็ก ๆ ประปราย และเมื่อถึงหมู่บ้านหนึ่ง ฟางหยวนก็ผ่อนคลายลง “ถ้าสำนักกุยหลิงต้องการจัดการกับข้าจริง ด้วยความสามารถของคนพวกนั้น ข้าคงจะขยับตัวได้ยากกว่านี้… ดูเหมือนที่ข้าคิดไว้จะถูกต้องแล้ว มันเกิดจากหนึ่งในสมาชิกระดับต่ำพวกนั้นสินะ?”
ความคิดที่ว่าเขาถูกมองเป็นคู่แข่งความรักและต้องต่อกรกับศัตรูลึกลับทำให้ฟางหยวนตัวสั่นนิด ๆ
“นี่ไม่ได้การ ข้าควรไปหาผู้ดูแลหลินและตรวจดูให้แน่ใจว่าเป็นสำนักกุยหลิงจริง ๆ ใช่ไหมที่ก่อปัญหาให้ข้า แต่ว่า เขาก็เป็นหนึ่งในคนพวกนั้นที่สร้างปัญหานี้ขึ้นมา ข้าคิดว่าเขาคงจะแค่ยืนดูเฉย ๆ มากกว่า”
หลังจากจ่ายค่าเข้าเมือง ฟางหยวนก็เดินไปรอบ ๆ อย่างไร้จุดหมายและจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง
สำหรับเขา เขาเต็มใจที่จะทิ้งชื่อเสียงของตัวเองแลกกับปัญหาที่น้อยลง
แต่การรบกวนผู้อื่นไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่วิธีการแก้ไขระยะยาว นอกจากนี้ การพบกันเป็นเรื่องน่ากระอักกระอ่วนแน่ ๆ มันจะดีที่สุดถ้าเขาสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง
“ขนมเจ้าค่ะ!”
“เครื่องประดับ แป้งผัดหน้า!”
“เครื่องทองขอรับ!…”
…
แม้ว่าจะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ก็มีร้านค้าเรียงรายตลอดถนน และมีเสียงตะโกนและเสียงต่อราคาทำให้เมืองดูมีชีวิตชีวา เป็นที่แปลกตาต่อฟางหยวน และยังมีบางคนมองเขาราวกับเป็นสัตว์ประหลาด แต่ทั้งหมดนี่ไม่ได้ทำให้เขารำคาญแต่อย่างใด
“การทำไหหั่วเย่ต้องใช้ถ่านไม้หลี น้ำฝน และผงหรดาลแดง สองอย่างแรกหาได้ในหุบเขา แต่ผงหรดาลแดง ข้าคงต้องซื้อเยอะ ๆ เลย!”
ฟางหยวนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าร้านขายของชำ
“มองหาสินค้าใดหรือขอรับท่าน?”
เสมียนวัยกลางคนที่โต๊ะยิ้มต้อนรับอย่างอบอุ่น
“ข้าต้องการผงหรดาลแดงที่คุณภาพดีที่สุด! แล้วก็…ท่านรับชำระด้วยสมุนไพรจากบนเขาหรือไม่?”
ผู้ดูแลหลินให้เงินฟางหยวนไว้ส่วนหนึ่ง แต่เขาอยากใช้สมุนไพรของตัวเองมากกว่า เก็บเงินเอาไว้ใช้ในอนาคต
ถ้าเรื่องราวรุนแรงและแย่ลง และถ้าเขาจำเป็นต้องหนี หนีไปพร้อมเงินแทนที่จะเป็นของอื่น ๆ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ดีกว่า
ฟางหยวนไม่อยากทิ้งหุบเขาไป แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่และรู้ว่าควรจะเลือกอะไร
“เรารับสมุนไพรขอรับ!”
เสมียนยิ้มและพูด “เอาสมุนไพรจากบนเขาที่เจ้ามีให้ข้าดูสิ พ่อหนุ่ม!”
“อืม!”
ฟางหยวนรู้ว่าแม้เสมียนจะดูเป็นมิตร แต่ถ้าเขาส่งสมุนไพรราคาแพงให้ เสมียนก็อาจจะเกิดความคิดไม่ดีขึ้นได้
การมีรูปลักษณ์ดูเหมือนเด็กยากจน ฟางหยวนดูไม่มีผู้คอยดูแลสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
หลังจากตรึกตรองอย่างหนัก เขาก็หยิบกระเป๋าผ้าออกมาซึ่งเรียกความสนใจจากเสมียน เขาเปิดผ้าแต่ละชั้นออก และเมื่อเสมียนเห็นว่ามันเป็นแค่โสมแดง ความไม่พอใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“โสมแดง อายุประมาณ 20 ปี คุณภาพค่อนข้างดี! ให้ข้าดูใกล้ ๆ…”
ฟางหยวนหยิบเอาของที่ไม่แพงมากออกมา แต่ก็ยังมีคุณภาพดีกว่าปกติ เสมียนต้องการมองหาจุดบกพร่องของโสมแดงต้นนี้เพื่อกดราคาลง แต่ไม่สามารถหาได้
โสมแดงต้นนี้ไม่มีข้อตำหนิใดทั้งลักษณะ การเก็บรักษา และสี… ดังนั้นสิ่งเดียวที่เขาสามารถพูดได้ก็คือ “น่าเสียดายนัก มันอายุน้อยไปสักนิด ข้าคงให้ได้แค่…”
“รอก่อน ข้าต้องการโสมนี่!”
เสมียนยังพูดไม่ทันจบประโยค ก็มีแขนข้างหนึ่งยื่นออกมาคว้าโสมแดงไปจากมือเขา “น่าเสียดาย… มันไม่แก่มากพอ!”
เสียงนั่นแหลมสูงแต่นุ่มราวเสียงนก ฟางหยวนหันกลับไปและเห็นแม่นางน้อยในชุดสีเหลือง เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “แม่นาง นั่นเป็นโสมแดงของข้า!”
“เจ้าต้องการเท่าไหร่สำหรับโสมต้นนี้?”
แม่นางคนนี้อายุราว ๆ 17-18 ปี เท่า ๆ กับฟางหยวน
“ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่ข้าจะใช้มันแลกกับสินค้าบางอย่างกับเสมียน เจ้าอย่าบีบบังคับผู้อื่น!”
ฟางหยวนส่ายหน้า และนั่นทำให้แม่นางผู้นั้นโกรธ “เจ้า!”
“คุณชายท่านนี้ น้องสาวข้าคนนี้กังวลอาการป่วยของบิดานัก นางอาจจะดูไม่สุภาพ ได้โปรดอย่าถือสานางเลย”
ในตอนนั้นเอง ที่ด้านหลังแม่นางน้อยมีบุรุษหนุ่มในชุดสีเขียวแสดงท่าทีขออภัยแทน
“ไม่ต้องกังวลไป ความกตัญญูของแม่นางต้องเป็นที่ประจักษ์แก่ฟ้าเบื้องบนแน่นอน!”
บุรุษหนุ่มดูเป็นผู้มีฐานะ เสมียนถูมือไปมาแล้วฉีกยิ้มกว้าง