Carefree Path of Dreams
Chapter 49: ต้นไผ่วิญญาณ
ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ยอดเขาชอุ่ม
ฟางหยวนแบกต้นไผ่ที่มีสีเขียวหยกและวิ่งเร็วราวกับสายลมด้านหลังเขาเป็นกองทัพนกวิญญาณและราชานกหงเอี่ยนปาย
ราชานกหงเอี่ยนป่ายราชาแห่งนกทั้งหลายนั้นตั้งเป้าความเกลียดชังพุ่งตรงไปเฉพาะกับนกอินทรีดําหางเหล็กแต่ฟางหยวน “หัวขโมย” นั้นก็ไม่พ้นไปจากความเดือดดาลของมันเช่นกันนกสีขาวกรีดร้องอยู่ในอากาศเตรียมโจมตี
“บ้าชะมัด เสื้อผ้าของข้า…”
เพื่อที่จะปกป้องพืชวิญญาณ ฟางหยวนเปลี่ยนพลังไปเป็นเคล็ดกายาเหล็กซึ่งปกป้องเขาจากกรงเล็บร้ายกาจและจะงอยปากของนกพวกนั้นเสื้อผ้าของเขาฉีกขาดจนเกือบจะเปลือยเปล่าแล้ว
แน่นอนว่าเสื้อผ้าไม่ใช่ความกังวลหลักๆของเขาเคล็ดกายาเหล็กนั้นไม่สามารถป้องกันผิวของเขาจากการถูกนกพวกนี้กรีดผ่านทุกครั้งที่มันพุ่งเข้าใส่ได้
“เจ้ายังไม่ลงมืออีกเหรอ ฮวาหูเตียว?”
ขณะที่เขาพุ่งลงจากยอดเขา ฟางหยวนก็จัดท่าร่างใหม่วิ่งตรงเข้าหากลุ่มหมอก
“กิน”
แสงสว่างพุ่งวาบ
ร่างสีขาวร่างหนึ่งพุ่งผ่านไปด้วยความเร็วราวสายฟ้าและตะปบเข้าที่คอของนกวิญญาณตัวหนึ่งมาตามด้วยเสียงลั่น นกตัวนั้นคอบิดเป็นมุมประหลาด มันตายแล้ว
“ฮ่าฮ่า…. ทําได้ดี!”
ฉวยโอกาสนี้ ฟางหยวนเร่งฝีเท้าพุ่งเข้าในหมอกและถอนหายใจโล่งอกขึ้น
“กิก ก็ก…”
ฮวาหูเตียวทิ้งร่างนกวิญญาณไว้ก่อนจะไปคลอเคลียอยู่ใกล้ๆต้นไผ่วิญญาณมันส่ายหางให้ฟางหยวนราวกับสุนัข เหมือนต้องการการยืนยัน
“เหอเหอ… ดูเหมือนเจ้าก็รู้คุณค่าของต้นไผ่วิญญาณด้วยสินะเพื่อที่จะปกป้องมันเอาไว้ ข้าต้องทนรับแผลตั้งมากมาย… อูย…”
ฟางหยวนสูดหายใจเอาอากาศเยียบเย็นเข้าไปและใช้เศษเสื้อผ้าที่เหลือพันแผลเอาไว้
“โชคดีที่อาจารย์ทิ้งขี้ผึ้งลบรอยแผลเป็นเอาไว้ ไม่อย่างนั้นข้าคงจะเสียโฉม…”
เขากัดฟันแน่นขณะทําแผลให้ตัวเอง สายตาจ้องไปที่ซากนกวิญญาณ
“ดี
พวกเรามีนกนี่เป็นอาหารเย็นแล้ว”
ขณะที่ฟางหยวนซ่อนตัวเองอยู่ในหมอกหนาและได้ยินเสียงกรีดร้องของนกยักษ์จากที่ไกลๆเขาก็รู้สึกโชคดี
“เมื่อคิดว่าราชานกหงเอี่ยนป่ายสามารถร้ายกาจได้ขนาดนี้ถ้าอินทรีดํานั่นไม่ท้าทายมันก่อน ข้าคงจะไม่สามารถหนีพ้น…”
“อินทรีดํา พักผ่อนให้สงบเถอะนะ!ข้าขอไปก่อนแล้วกัน!”
คว้าต้นไผ่วิญญาณและซากนกวิญญาณแล้วฟางหยวนก็หายตัวไปอย่างรวดเร็วในหมอกพร้อมกับฮวาหูเตียว
หุบเขาสันโดษ
ตั้งแต่ฟางหยวนได้สําแดงพลังของเขา ก็ไม่มีใครกล้าขึ้นเขามาอีกโจวเหวินอู่ยังช่วยจับตามองให้ด้วยทุกอย่างล้วนสงบสุข
ฟางหยวนเข้าหุบเขามาและวิ่งตรงเข้าสวนไปเขาตรวจสอบกลไกและกับดักป้องกันทุกอันว่ายังอยู่ในที่ของมันก่อนจะโล่งใจขึ้น
แม้ว่าสวนจะอยู่ในส่วนที่ลับตากว่าในหุบเขา แต่พืชทุกชนิดล้วนอยู่ที่นี่รวมทั้งข้าวและชาวิญญาณที่สูงค่าฟางหยวนไม่ต้องการเสี่ยงใดๆ ทั้งนั้น
“ในอนาคต เมื่อข้าย้ายพืชเหล่านี้ทั้งหมดไปที่ยอดเขาชอุ่มหุบเขานี่ก็จะกลายเป็นพื้นที่อยู่อาศัยเท่านั้น นั่นน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดส่วนตอนนี้ข้าต้องระมัดระวังให้มาก ติดตั้งกับดักและให้ฮวาหูเตียวคอยเฝ้าระวัง ”
ฟางหยวนออกจากสวนชาเดินไปบริเวณใกล้เคียงเขารู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นว่าชาชําระจิตไม่ถูกแตะต้องและเริ่มคิด
เขาเคยมีชีวิตเรียบง่าย ตอนนี้เขาเผยตัวตนออกไปแล้วนี่ย่อมดึงดูดความสนใจที่ไม่ได้ต้องการและปัญหาอื่นๆตามมาแต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีวิทยายุทธ์และมีกําลังภายในระดับสูงก็คงเพียงพอให้เขาปกป้องตัวเอง
ตราบใดที่คุณสมบัติอันมหัศจรรย์ของชาชําระจิตยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้เมื่อนั้นก็ยังไม่เป็นปัญหา
“แต่ถ้าปัญหามันหลีกเลี่ยงได้ ก็ควรหลีกเลี่ยง…”
ฟางหยวนตีสีหน้าเคร่งขรึมและความคิดก็วูบไหวรวดเร็ว“การป้องกันที่ดีที่สุดก็ยังคงเป็นฮวาหูเดียว หรืออาจจะต้องติดตั้งกับดักถึงตายเอาไว้ใกล้ๆสวนบ้างอาจจะใส่พิษร่วมด้วย พิษที่รุนแรงเหมือนพิษงูจูเหว่ย…อ้อในตํานานนักรบศักดิ์สิทธิ์สามารถสร้างค่ายกลที่ทรงพลังและขอยืมพลังจากแผ่นฟ้าและผืนดินข้าไม่คิดว่าข้าจะทําแบบนั้นได้ปล่อยเรื่องนี้ไปก่อนตอนนี้”
ฟางหยวนตัดสินใจเตรียมย้ายไปยังยอดเขาชอุ่มกลไกการป้องกันย่อมเป็นสิ่งจําเป็น
“ค่ายกลที่ดีที่สุดย่อมเป็นค่ายกลที่มีอยู่ในตํานานเงื่อนไขส่วนใหญ่ล้วนยังทําตามไม่ได้ ข้าคงต้องเลือกวิธีอื่นที่ดีรองลงมา…”
ด้วยใบชาชําระจิตกับพิธีชงชาสมาธิ พลังเวทย์ของฟางหยวนนั้นเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจนเทียบได้กับผู้ที่จะเดินแนวทางนักรบศักดิ์สิทธิ์หรือเจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุหรืออะไรคล้ายกันนั้น
แต่ที่แย่ก็คือการเดินเส้นทางนั้นล้วนเป็นตํานานต่อให้ฟางหยวนอยากจะเดินเส้นทางนั้นเขาก็ไม่สามารถ
“เอ๋?”
ฟางหยวนประหลาดใจเมื่อมาถึงแปลงข้าวหยกแดง
ในแปลงต้นอ่อนกําลังชูช่อสีแดงชาดด้วยความเร็วอันน่าตกใจ
ที่ด้านข้าง แถวของต้นอ่อนสีมรกตก็กําลังเติบโต
“หญ้ามรกต!เติบโตง่ายไม่ต้องใช้อะไรมากจริงๆ !
ฟางหยวนนั่งยองลงสังเกตใบของหญ้ามรกต
“ฮวาหูเตียว เจ้ากินนี้ไหม?”
“กกี้?”
ฮวาหูเตียวดูสับสน ใช้อุ้งเท้าจับไล่วิญญาณที่ด้านข้างไว้แน่น
ดูเหมือนว่าฮวาหูเตียวจะชอบไผ่มากกว่าหญ้า
“ฮ่า ๆ … เจ้าตัวน้อยที่แสนฉลาด!”
ฟางหยวนยิ้มนิด ๆ
“พอไผ่วิญญาณโตเต็มที่เจ้าจะได้ส่วนแบ่งของเจ้านะ”
ไผ่นั้นต่างจากพืชชนิดอื่น ลักษณะการเจริญเติบโตคือจะแตกก้านออกจากรากถ้าดูแลให้ดี ต้นไผ่จะเติบโตเป็นป่าไผ่ได้ในไม่กี่ปีเป็นหนึ่งในพืชวิญญาณล้ําค่า
ไม่อย่างนั้นฟางหยวนคงจะไม่ตื่นเต้นที่เห็นต้นไผ่ขนาดนี้เขาคว้ามันมาจากกองของวิเศษอื่นของราชานกหงเอี่ยนป่ายโดยไม่ลังเล
“อืม ตรงนี้แหละ!”
ฟางหยวนเดินไปรอบๆ สวนและพบจุดใกล้กับภูเขาหินสีครามเขาปลูกไผ่วิญญาณลงที่นั่น จากนั้นก็ขุดร่องน้ําเล็กๆ
ใบของต้นไผ่ปลิวไปตามลมดอกเล็กๆสีขาวบนก้านพร้อมที่จะเบ่งบาน
“ดูเหมือนต้นไผ่จะอยู่รอดได้แหละ…”
ฟางหยวนล้างมือ รู้สึกพอใจ เขามองหน้าต่างสถานะของตัวเอง
[การดูแลพืช (ระดับ 3) – เจ้านับเป็นผู้เชี่ยวชาญท่ามกลางเหล่านักพืชศาสตร์และครอบครองพลังอันเหนือจินตนาการพืชที่เจ้ ปลูกมีโอกาสเล็กน้อยที่จะพัฒนาไปเป็นสายพันธุ์พิเศษ!”
ฟางหยวนเห็นโอกาสเล็กน้อยที่ว่านั่นด้วยตัวเองแล้ว
ที่ผ่านมา ในสวนทั้งหมด มีเพียงต้นชาต้นเดียวที่กลายพันธุ์ ช่างน้อยจนน่าสงสาร
แต่ต้นชาหนึ่งเดียวต้นนั้นกลายเป็นชาชําระจิต และเมื่อผ่านพิธีชงชาสมาธิ ก็เกิดเป็นผลลัพธ์อันเหลือเชื่อต่อพลังเวทย์ของผู้ดื่ม สําหรับฟางหยวน เหมือนว่าทุกอย่างจะถูกกําหนดมาแล้ว
ตอนนี้ฟางหยวนมีแผนการอื่น
ต้นไผ่วิญญาณ ข้าววิญญาณและยังหญ้าวิญญาณ ล้วนสามารถปลูกได้ในจํานวนมาก เมื่อปลูกในปริมาณมากๆ ฟางหยวนก็สามารถทําให้เกิดการกลายพันธุ์ได้มากขึ้นตราบใดที่เขาไม่โชคร้ายจนเกินไป
การกลายพันธุ์ของพืชวิญญาณ จะเกิดผลแบบไหนขึ้นกันนะ?
ฟางหยวนรอคอยที่จะได้เห็นผลลัพธ์นั่น
“ดูเหมือนว่าการเพิ่มระดับทักษะนี่ยากกว่าเพิ่มระดับวิทยายุทธ์อีกนะ! ฝ่ามือทรายดําและเคล็ดกรงเล็บอินทรีของข้านั้นสามารถเพิ่มระดับได้เพียงแค่ฝึกหนักๆวันเดียว แต่พอมาเป็นด้านทักษะ ข้ามักจะติดอยู่ตรงปลายทางนิดเดียวตลอด เหมือนว่าข้าจะต้องทําตามเงื่อนไขพิเศษบางอย่างให้ผ่านก่อนที่จะขยับไประดับต่อไปได้”
ฟางหยวนมอง [การดูแลพืช] และ [การรักษา] ด้วยความรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง
ทักษะทั้งสองอย่างนี้อยู่ที่ระดับเกือบสิบส่วนแล้ว ขาดไปแค่อีกจุดเดียวเท่านั้น แต่กลับต้องรอเป็นนาน
สถานการณ์ตอนนี้ทําให้ฟางหยวนนึกถึงที่เขาติดขัดอยู่เมื่อครั้งก่อน
หากไม่มีความช่วยเหลือจากพืชวิญญาณ [การดูแลพืช] ของเขา คงมาไม่ถึงระดับ 3
“ไม่ใช่ว่า… ถ้าข้าต้องการเพิ่มระดับ [การรักษา] ข้าต้องให้การรักษาผู้ป่วย หรือรักษาโรคที่ต่างกันออกไป ส่วน [การดูแลพืช หรือว่าจําต้องปลูกพืชวิญญาณที่มีระดับสูงขึ้นไปอีกใช่หรือไม่?”
ทักษะเหล่านี้ไม่ได้แปลงมาเป็นพลังในการต่อสู้ในทันที แต่มันให้การสนับสนุนอย่างมากในส่วนอื่น ฟางหยวนจึงคาดหวังไว้สูงกับการเพิ่มระดับทักษะ
“เอาละ ได้เวลาน้ําชาแล้ว!”
หลังจากฟางหยวนทําทุกอย่างเสร็จ เขาก็ปรบมือก่อนนําฮวาหูเดียวกลับมาที่บ้าน
ชาที่ผ่านพิธีชงชาสมาธิหนึ่งถ้วยเพื่อชําระล้างจิตวิญญาณ เพื่อให้ลืมความยึดติดกับวัตถุและความยึดติดทางกาย
ฟางหยวนรู้สึกได้ว่ามีรังสีอันใสสะอาดแพร่เข้าสู่ร่างกายของเขา ระดับพลังเวทย์ของเขาเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ และเขาก็เข้าสู่สภาวะกึ่งรู้สึกตัว
“กกี้!”
หลังจากเขาคืนสติสู่ความจริงอีกครั้ง ฟางหยวนก็ลุกขึ้นยืนอย่างกระปรี้กระเปร่า จู่ๆเขาก็เห็นฮวาหูเตียววิ่งเข้ามาหาเขาอย่างรีบร้อน
“คือ เกิดอะไรขึ้น”
เท่าที่ฟางหยวนรู้จักกับฮวาหูเตียวมา มันมักจะเคลิบเคลิ้มกับการดื่มชานานกว่าตัวฟางหยวนเอง นี่เป็นครั้งแรกที่มันลุกขึ้นก่อนเขา
“กกี้”
เห็นฟางหยวนไม่ให้ความสนใจจริงจังนัก หนูเตียวก็ยิ่งร้อนรน เข้ามากระตุกกางเกงเขา ทําท่าให้ตามมันไป
“นี่ เจ้าพบอะไรเข้าเหรอ?”
เมื่อรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ฟางหยวนก็ตามหนูเตียวออกจากหุบเขามา
ข้ามเนินเขาเตี้ยๆสองสามลูก ฟางหยวนก็ต้องร้องออกมา เขารู้แล้วว่าฮวาหูเตียวพบอะไรเข้า
ตรงหน้าเขาคือพุ่มไม้ที่ดูยับเยินไปหมดจากเจ้านกอินทรียักษ์สีดําที่งดงามตัวนั้น มีรอยแผลฉีกกว้างอยู่ที่ปีกของมัน นกอินทรียังมีความตระหนกอยู่ในดวงตาและกรีดร้องเสียงดังเมื่อเห็นฟางหยวน
“เจ้านกอินทรีดํานี่หนีออกมาได้ด้วย”
ฟางหยวนรู้สึกประหลาดใจและเดินตรงเข้าไปดูคร่าวๆ
นกอินทรีดําสยายปีกของมันออกและกระพือแรงๆ แต่ก็ทําได้แค่พัดให้ฝุ่นผงกองใหญ่ฟังขึ้นมาก่อนจะตกลงบนพื้น
“นี่ พวกเราควรจะทําอย่างไรดี? ฆ่ามันซะ? หรือว่าไม่ต้องไปสนใจมัน?”
ฟางหยวนมองอินทรีดําอย่างลังเล
แต่ฮวาหูเตียวกระโดดออกมาอย่างร้อนรนและชี้ไปบนฟ้า
“เจ้าต้องการให้ข้าช่วยมัน?”
ฟางหยวนไม่ได้รังเกียจที่จะช่วยรักษานกอินทรี อย่างไรเสีย เขาก็เป็นคนทําลายแผนการของนกอินทรีและยังทําให้มันได้รับบาดเจ็บที่หัวด้วย มันก็สมควรดีแล้วที่เขาจะช่วยนกนี่
“ข้ารักษามันได้ แต่ดูท่าทางของมันแล้ว… ข้าจะทําได้อย่างไรเล่า?”
ฟางหยวนเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น และเจ้านกอินทรีก็ตอบสนองด้วยท่าทีเกรี้ยวกราด
“กิน”
ฮวาหูเตียวผงกหัวและวิ่งไปที่ข้างๆอินทรีดํา มันเริ่มส่งเสียงร้องไปมาอย่างอดทน ราวกับกําลังอธิบายอะไรให้แก่นกอินทรี
จากท่าทางของหนูเตียว นกอินทรีดําลดหัวลง มันดูสงบลง
ฟางหยวนจับตามองฉากตรงหน้าอย่างขําๆ เขารู้สึกประทับใจ
“บิดาเจ้าเถอะ เจ้าหนูเตียวนี่ เจ้าไปเรียนภาษานกมาตั้งแต่เมื่อใดกัน?”