Chapter 45: แทรกซึม
ตอนเช้าตรู่ ฟางหยวนสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบเดินมุ่งไปทางสวนของเขาด้วยท่าทางเกียจคร้าน
ใคร ๆ ก็นึกไม่ถึงหรอกว่า ภายใต้สวนนี้ มีร่างของผู้ฝึกยุทธ์สองคนนอนเป็นปุ๋ยอยู่!
“ตระกูลถั่วนี้อะไรกัน?”
ฟางหยวนคิดขณะขุดหลุม
ผู้ชายทั้งสองคนไม่ใช่คู่มือเขาและสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดายหลังจากทุบตีอยู่อีกพักหนึ่งและใช้ยาข่มขู่พวกมันอีกเล็กน้อยทั้งสองคนก็พ่นทุกอย่างออกมา
ตระกูลถั่วนั้นต่างจากตระกูลจางที่เป็นที่รู้จักกันดีตระกูลถั่วนั้นนอกจากเป็นผู้ปกครองหมู่บ้านพื้น ๆ แห่งหนึ่งแล้วก็ไม่ได้มีชื่อเสียงอันใดพวกมันสามารถจัดการกับหลายคนจากตระกูลโจวได้ก็เพราะความเหี้ยมโหดและวิทยายุทธ์ของพวกมัน…
แม้แต่ตระกูลหลินเองยังไม่กล้าท้าทายตระกูลบ้าคลั่งเช่นนี้
ฟางหยวนไม่ชอบใจนัก
“บางที ข้าควรทําลายขวัญคนพวกนั้นที่กล้ามาหาเรื่องข้าไปเสีย”
ฟางหยวนคิด
ก่อนหน้านี้เขาเปล่งประกายเจิดจ้าเกินไป ตอนนี้ทุกคนในเมืองชิงเย่ล้วนรู้ว่าท่านหมอฟางมีความสามารถในการรักษาราวปาฏิหาริย์และยังมีวิทยายุทธ์สูงส่ง
ฟางหยวนสงสัยนักว่าเขาจะยังคงทําไร่ทําสวนต่อไปได้ไหมถ้าผู้อื่นยังคงมาเยี่ยมเยือนเขาเพื่อประโยชน์ของพวกมันในอนาคตเขาอาจจะไม่สามารถทําไร่ทําสวนของเขาต่อไปได้ถ้าตระกูลถั่วยังคงพยายามสอดแนมเขาเช่นนี้
ฟางหยวนไม่ได้สนใจตระกูลเล็ก ๆ แบบนั้นแม้ว่าพวกมันแต่ละคนจะมีวิทยายุทธ์สูง มันไม่ใช่เรื่องสําคัญอะไร
พวกมันไม่ได้ก่อปัญหามากมายใดตอนที่โจวตงยังอยู่นั่นบ่งบอกว่าพวกมันไม่มีอะไรให้ต้องเกรงกลัวแล้ว
ดังนั้น ฟางหยวนจึงรู้สึกว่ามันจะดีที่สุดที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นไปจะได้มีความมั่นใจมากขึ้น
ฟางหยวนกะพริบตามองหน้าต่างสถานะที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า
“ชื่อ: ฟางหยวน
พลังกาย: 3.5
พลังลมปราณ: 3.4
พลังเวทย์: 2.2
อายุ: 18
ระดับการฝึกตน: ผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองที่ 6]
วิทยายุทธ์: [ฝ่ามือทรายดํา (ระดับ 5)], [เคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็ก (ระดับ 6)
ความเชี่ยวชาญ: [การรักษา (ระดับ 2)], [การดูแลพืช (ระดับ 3)]
“ตั้งแต่ข้าได้รับพลังภายใน มันกระตุ้นพลังลมปราณและพลังกายของข้าให้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน อาจจะเพราะข้ามีพื้นฐาน แข็งแกร่งเป็นผลให้ค่าสถานะพวกนี้เพิ่มขึ้นครั้งละเยอะเช่นนี้?”
ฟางหยวนสงสัยมาก ผู้ฝึกยุทธ์ระดับประตูทองที่ 6 ทั่วไปคงไม่สามารถเพิ่มค่าสถานะได้มากเท่าเขา
ส่วนการเพิ่มขึ้นของพลังเวทย์ น่าจะเป็นผลจากชาชําระจิต
ฟางหยวนแบ่งชาให้ฮวาหูเตียววันละครั้ง แม้ว่าผลของชานั้นไม่ได้ดีเท่ากับครั้งแรกที่เขาได้ดื่ม แต่เขาก็ยังคงพอใจกับการ เพิ่มขึ้นของพลังเวทย์อย่างสม่ําเสมอ
การผ่านประตูที่พิง ประตูทองที่ 7 จาก 12 ประตูทองนั้นจะทดสอบระดับพลังเวทย์ของผู้ฝึกยุทธ์
ด้วยระดับของเขาตอนนี้ เขามีความมั่นใจหกถึงเจ็ดส่วนว่าจะสามารถผ่านประตูจิงไปได้ถ้าฝึกเคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็กของเขาให้ มากพอ!
แค่มีโอกาสสําเร็จเท่านี้ก็ทําให้ผู้อื่นที่ได้รู้ต้องตกตะลึงแล้วแม้แต่อู่จงอย่างสืออวถงก็คงพูดไม่ออก
“ฮวาหูเตียว ไปเอาไหทั่วเย่มา!”
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฟางหยวนก็ไปเอากระบอกไม้ไผ่มาจํานวนหนึ่ง
ฮวาหูเตียวรับกระบอกไม้ไผ่มาก่อนจะหายตัววับไปราวกับควันมันแตกต่างจากเมื่อก่อนมากนัก
“พลังของฮวาหูเดียวก็เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ เช่นกัน มันไม่กลัวผงหรดาลแดงแล้วตอนนี้”
ฟางหยวนรู้สึกประหลาดใจหลังเห็นภาพนั้น
ส่วนประกอบหลักของไหทั่วเย่คือผงหรดาลแดงซึ่งฮวาหูเตียวเคยไม่ชอบหลังจากฮวาหูเตียวได้รับการฝึกมาระยะหนึ่ง มันก็ไม่กลัวผงหรดาลแดงอีกต่อไปเหลือแค่ไม่ชอบกลิ่นเท่านั้น
หลังจากพบเช่นนี้ ฟางหยวนก็ทดสอบอีกหลายครั้งก่อนจะสรุปได้ว่าจุดอ่อนของฮวาหูเตียวนั้นค่อย ๆถูกกําจัดแล้ว
“ใช่แล้ว… สัตว์วิญญาณจําเป็นต้องมีการเติบโตและอาจจะเข้าสู่ขอบเขตแบบเดียวกับอู่จงจุดอ่อนใหญ่หลวงเช่นนี้จะยังคงอยู่ได้เยี่ยงไร?”
ฟางหยวนลูบคางตัวเองและเดาว่ามันอาจจะเป็นผลจากทั้งข้าวและชาวิญญาณทําให้การเติบโตของฮวาหูเตียวเปลี่ยนไปเป็นเช่น
มีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะสรุปอะไรออกมา
“ก็เ”
ไม่นานนัก ฮวาหูเดียวก็กลับมา มันมองฟางหยวนด้วยสายตาคาดหวัง
“เจ้าเก่งขึ้นเรื่อย ๆ เลย… ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว เจ้าจะได้ชาวิญญาณของเจ้าวันนี้…”
ฟางหยวนมองฮวาหูเตียวและความคิดที่ว่าวันหนึ่งฮวาหูเตียวตายจากไปก็ปรากฏขึ้นในใจ เขาก็อดรู้สึกเสียใจกับความคิดนั้นไม่
“ยังเหลืออีกอย่างหนึ่ง!”
เขาลูบหลังฮวาหูเตียว ดวงตาเย็นเยียบขึ้น “ข้าจะออกไปข้างนอกคืนนี้ ข้าต้องการให้เจ้าคอยดูแลบ้านเอาไว้ กําจัดทุกคนที่เจ้าเห็นเสีย!”
เมืองชิงเย่
เป็นค่ําคืนที่มืดสนิทและลมแรง ดวงจันทร์เสี้ยวถูกเมฆบดบัง ขอบฟ้าเป็นสีเทาและดูขมุกขมัว
“เป็นค่ําคืนที่เหมาะสมกับการลงมือสังหารคนอะไรเช่นนี้!
ฟางหยวนวิ่งออกไป ความเร็วของเขาเทียบได้กับม้าวิ่งไม่นานเขาก็มาถึงเมืองชิงเย่
ประตูเมืองปิดลงเรียบร้อยแล้ว ฟางหยวนอดหัวเราะไม่ได้ขณะมองดูกําแพงเมืองทึบสูง เขาหยิบเชือกยาวและตะปูออกมา ตรงไปที่มุมหนึ่งของกําแพงเมือง
“กรงเล็บอินทรี!
พลังพุ่งเข้าไปในมือทั้งสองข้างของเขาและแข็งแกร่งขึ้นมหาศาลเขาตะปบกําแพงหินและเริ่มต้นปืนปายขึ้นไป ตะปูเข้าในช่องแตกของกําแพงเป็นระยะตะปูพวกนี้จะทําหน้าที่เป็นที่วางเท้าให้เขาปืนต่อไป
เมื่อเขาขึ้นมาได้ครึ่งทาง ฟางหยวนก็เหวี่ยงเชือกขึ้นไปเชือกคล้องเข้ากับก้อนหินด้านบน
“ฝูบ!”
ดึงแรง ๆ ที่หนึ่งฟางหยวนลอยไปเหยียบลงเหนือกําแพงเมืองและหายไปในความมืดโดยไม่มีใครทันสังเกตเห็น
“เฮ้อ… ด้วยระดับวิชาของข้าตอนนี้ ข้ายังจําต้องใช้อุปกรณ์ช่วยถ้าข้าสําเร็จวิชาตัวเบา กําแพงเมืองแค่นี้คงไม่นับเป็นกระไรได้…”
ฟางหยวนคิดขณะที่ลงจากกําแพงเมืองอย่างรวดเร็ว
เขาสวมเสื้อผ้าสีดําที่กลมกลืนเข้ากับความมืด ดังนั้นเขาจึงไม่เป็นที่สังเกตจากเหล่าทหารเฝ้าประตูที่ง่วงซึมตรงหน้าประตู
“ตระกูลกั่วเอย… ตระกูลถั่ว…”
เขารู้ว่าบ้านตระกูลถั่วอยู่ที่ไหนตอนที่เข้าเมืองมาครั้งก่อน เขาลอบตรงไปที่แห่งนั้น
บ้านตระกูลถั่ว
ตระกูลถั่วเป็นตระกูลที่เพิ่งขยับฐานะขึ้นมา บ้านใหญ่นั้นยังคงลักษณะเดียวกับที่อยู่ในหมู่บ้านเอาไว้ มีคนรับใช้ร่างใหญ่เฝ้า ยามหนาแน่นแม้จะเป็นยามกลางคืนก็ยังมีการเดินลาดตระเวน พร้อมสุนัขยามไปรอบ ๆคฤหาสน์
ตระกูลถั่วนับเป็นอันดับหนึ่งในเมืองชิงเย์ในแง่กองกําลังและวิทยายุทธ์
ฟางหยวนไม่แน่ใจว่านี้เป็นปกติของตระกูลถั่วอยู่แล้วหรือว่าตระกูลถั่วมีศัตรูจํานวนมากจนต้องรักษาระดับการป้องกันไว้ถึงเพียงนี้
ไม่ว่าจะดูแลป้องกันตัวบ้านไว้ดีแค่ไหน กําแพงบ้านก็ยังต่ํากว่ากําแพงเมืองฟางหยวนมองหาโอกาสและกระโดดข้ามกําแพงเข้าไป
“แกร่บ!”
ด้านหลังกําแพงเป็นสวน ฟางหยวนกระโดดลงมาบนพื้นหญ้าที่ส่งเสียงเสียดสีกรอบแกรบ
เขาหมุนตัวและวิ่งตรงไปหลังหินก้อนใหญ่อย่างคล่องแคล่ว
“โฮ่ง โฮ่ง!”
คนรับใช้ร่างใหญ่สองคนที่เดินลาดตระเวนมาพร้อมสุนัขล่าเนื้อตัวใหญ่อยู่ไม่ไกลนัก
สุนัขล่าเนื้อนั่นมีขนสีดําเป็นเงาและดวงตาแดงก่ําฟันของมันขาวและคมมันหยุดเดิน มองมาทางที่ฟางหยวนกระโดดลงมาเมื่อครู่ก่อนจะหันไปมองก้อนหินใหญ่
“มีอะไรรึ เสี่ยวเฮย?”
หนึ่งในคนรับใช้สงสัย เขาผ่อนสายจูงและปล่อยให้สุนัขเดินไปข้างหน้า
สุนัขวิ่งไปถึงมุมหนึ่งของกําแพงและดม ๆ ที่พื้นก่อนจะวิ่งตรงไปที่ก้อนหิน
คนรับใช้ทั้งสองมองหน้ากัน ทั้งคู่เริ่มตื่นตัวขึ้นมา หนึ่งในนั้นเอี้อมมือไปที่เอวขณะที่อีกคนกํากระดิ่งเอาไว้ในมือ
“เจ้าสัตว์ตัวดี!”
ฟางหยวนเห็นสุนัขล่าเนื้อวิ่งตรงมาทางที่ซ่อนตัวของเขา เขาเพิ่งกําลังภายในไปที่ดวงตาและจ้องมองสุนัขล่าเนื้อสีดํานั่น
ในการเรียนวิทยายุทธ์ มีผู้กล่าวไว้ว่าผู้ที่มีวรยุทธ์สูงสามารถทําให้ศัตรูของตนตกอยู่ในความหวาดกลัวได้เพียงแค่มองโดยไม่ต้องยกนิ้วขึ้นด้วยซ้ํา
ด้วยระดับวิทยายุทธ์ตอนนี้ ฟางหยวนนั้นไม่ได้มีความสามารถใกล้เคียงกับคนในตํานานเหล่านั้น แต่ระดับพลังเวทย์ของเขานั้นสูงกว่าคนทั่วไปดังนั้นจึงเอาชนะสัตว์ที่มีจิตใจไม่ซับซ้อนได้โดยง่ายดังนั้นเขาจึงสามารถจัดการกับสุนัขล่าเนื้อนั่นได้
“บรู้ววว..”
สุนัขล่าเนื้อสีดําตัวสั่นรู้สึกหวาดกลัวคล้ายกับม้าที่อยู่โดดเดี่ยวกลางปามีผู้ล่าจับตามองอยู่
มันหอนก่อนจะหมุนตัวกลับวิ่งหนีให้ไกลออกมาจากก้อนหินนั่น
“เกิดอะไรขึ้น?”
คนรับใช้ทั้งสองรู้สึกงงงวย
“ไอ้หมานี่มันยังหิวอยู่? หรือว่ามันหนวะ?”
คนรับใช้อีกคนผ่อนคลายลงและพูดติดตลก
“ในบ้าอะไร? นี่แกคิดว่าผู้อื่นจะเป็นเหมือนแกเหรอคอยแต่มองแม่สาวโคมแดงตามถนน… เสี่ยวเฮยของข้านะ…”
คนรับใช้อีกคนด่า เขาลูบหัวสุนัขสีดําก่อนพูด“ไปกันเถอะเกือบจะได้เวลาเปลี่ยนยามแล้ว กลับห้องของพวกเราดื่มเหล้ากินเนื้อเสียหน่อย…”
“ตกลง!”
คนรับใช้อีกคนพยักหน้า แล้วทั้งคู่ก็เดินออกไป
ฟางหยวนรอจนกระทั่งเสียงฝีเท้าหายไปก่อนจะขยับเข้าไปเขตชั้นในของคฤหาสน์
ลานกลางนั้นค่อนข้างกว้างและมีสิ่งก่อสร้างมากมายตัวคฤหาสน์ราวกับเขาวงกต ฟางหยวนสบถเงียบ ๆ กับตัวเองที่ที่มที่อจนไม่ได้ถามข้อมูลเกี่ยวกับตัวบ้านให้มากพอ
“บ้านส่วนใหญ่ก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละ ถัดจากส่วนพักผ่อนก็จะเป็นห้องนอนหลัก…”
ฟางหยวนปีนกําแพงและยินดีเมื่อเห็นแสงไฟ
การจุดตะเกียงนั้นคิดเป็นเงินแล้วแพงมาก มีเพียงเจ้าของบ้านเท่านั้นแหละที่จะสามารถจุดตะเกียงพูดคุยยามค่ําคืน
ขณะที่ฟางหยวนเข้าไปใกล้ขึ้น เขาก็พบว่าการอารักขาในแถบนี้นั้นแน่นหนาขึ้นและรู้ได้ว่าเขามาถูกที่แล้ว
ไฟสีส้มถูกจุดขึ้นรอบ ๆ ส่องให้เห็นเงาของคนสองคนในห้อง
“ท่านพ่อ เป็นข้าไร้สามารถ เจ้าเจ็ดและเจ้าสิบแปดยังไม่กลับมาเลย!”
ในห้องหนังสือ หัวหน้าตระกูลถั่ว ถั่วจิงหมอบอยู่บนพื้น
ถ้าคนนอกมาเห็นภาพนี้ พวกมันคงจะตระหนกน่าดู
เมื่อไหร่กันที่เจ้าบ้านตระกูลถั่วที่หัวร้อนและไร้เหตุผลเปลี่ยนเป็นว่านอนสอนง่ายและตาขาวราวกระต่ายน้อยเช่นนี้?
“หม?!”
ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเสื่อเป็นชายชราผมขาวดวงตาเป็นประกายผู้หนึ่งชายชราหันหน้ามาด้วยท่าทางสง่าแต่ทั้งห้องกลับราวกับถูกฟ้าผ่ากั่วจิงหดตัวหนีอย่างทนไม่ไหว