Carefree Path of Dreams
Chapter 41: ฝ่าระดับ
เช้าตรู่
ฟางหยวนมาถึงแปลงปลูกที่เพิ่งยกร่องใหม่ข้าวหยกแดงถูกปลูกเอาไว้บนแปลงนี้ และเขาก็หว่านเมล็ดหญ้ามรกตไว้ที่นี่ด้วยเช่นกัน
“หญ้ามรกตไม่ต้องการสภาพแวดล้อมที่ดีนัก มันสามารถรวบรวมพลังจากพื้นดินและทําให้ดินอุดมสมบูรณ์ขึ้นหญ้ามรกตจะช่วยเสริมข้าวหยกแดงเมื่อปลูกไว้ใกล้กัน!”
การปลูกพืชวิญญาณนั้นมีกระบวนการที่ค่อนข้างซับซ้อนฟางหยวนนั้นตั้งใจมากและหยุดพักเพียงครูสั้น ๆ ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นเพื่อเช็ดเหงื่อ
“ฟู แปลงใหม่นี่ปลูกพืชวิญญาณไว้เต็มหมดแล้ว ในหุบเขาสันโดษนี่เหลือพื้นที่ให้ทําแปลงปลูกได้อีกไม่มากนัก ถ้าขยายออกไปอีกแปลงปลูกพวกนี้ก็จะถูกคนพบเห็นแล้ว!”
เขารู้สึกจนปัญญา “ข้าควรจะย้ายพืชวิญญาณพวกนี้ไปที่อื่นในอนาคต!”
แล้วจะเป็นที่ไหนล่ะ? คงจะต้องเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ยอดเขาเขียวขจีนั่นแล้ว
ที่นั่นลึกลับเป็นที่สุด ขนาดอู่จงยังไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามีไร่สวนอยู่ที่นั่นและจะมีปัญหาก็ตรงที่มีนกหงเอี่ยนป่ายเท่านั้น
ฟางหยวนตัดสินใจจะย้ายความลับของหุบเขาสันโดษไปที่ใหม่หลังจากแก้ปัญหานี้ได้
เขาไม่เหมือนอาจารย์เวิ่นซิน
เขาดึงดูดความสนใจจากผู้อื่นมากในช่วงหลังมานี้และนี่จะเพิ่มโอกาสให้ผู้อื่นแอบจับตามองเขาได้
“อย่างไรเสีย ปริมาณข้าวหยกแดงที่ข้ามีอยู่ตอนนี้ก็เพียงพอให้ฮวาหูเดียวกับข้ากินไปอีกช่วงหนึ่งแล้ว!”
ฟางหยวนลูบหัวฮวาหูเดียวแล้วยิ้ม
เจ้าสํานักกุยหลิง สืออวถง ไม่สามารถตัดสินใจเรื่องเกี่ยวกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยตัวนางเอง แล้วยังจําเป็นต้องแบ่งสรรให้แต่ละฝ่ายของสํานักตามความจําเป็น รวมทั้งแบ่งออกจําหน่ายด้วย แม้แต่ศิษย์สายตรงที่มีสิทธิได้รับพืชวิญญาณก็ยังไม่ใช่จะได้ในปริมาณมาก
ฟางหยวนประเมินว่าพวกเขาน่าจะได้กินข้าวหยกแดงเพียงแค่สัปดาห์ละครั้ง หรืออาจจะเห็นมันสําคัญเทียมเท่าเม็ดยาวิญญาณ และกินเมื่อพร้อมที่จะทะลวงผ่านประตูเท่านั้น แต่อย่างไรก็ไม่สามารถฟุ่มเฟือยได้แบบเขาเป็นแน่!
อันที่จริงแล้ว ปริมาณข้าวหยกแดงที่เขากินไปก่อนหน้านี้น่าจะมากกว่าที่หลินเหลยเยว่ได้กินเป็นสิบเท่า!
สํานักกุยหลิงไม่ได้ร่ํารวยพอที่จะจัดหาข้าวหยกแดงจํานวนมากให้คนเพียงผู้เดียวได้
สืออวองไม่รู้เรื่องอาหารการกินของฟางหยวนและคิดว่าเขาก็แค่โชคดีเคยได้กินสมบัติระดับวิญญาณที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติมาบ้างเท่านั้น
ยาเม็ดวิญญาณไม่ใช่ของธรรมชาติ มันหายากและไม่สามารถใช้ทดแทนอาหารหลักประจําวันได้เหมือนที่ข้าววิญญาณทําได้
นี่เป็นเหตุผลว่าทําไมพื้นฐานวิทยายุทธ์ของฟางหยวนจึง
แข็งแกร่งอย่างน่ากลัว ขณะที่พลังกาย พลังลมปราณและพลังเวทย์ของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นราวกับยิงพลขึ้นฟ้า
“คนธรรมดาอื่น ๆ ได้รับประโยชน์จากการฝ่าแต่ละประตูทองไม่เท่าข้า”
ฟางหยวนรู้ว่าตัวเลขบนค่าสถานะของเขานั้นคงจะสูงกว่าผู้ฝึกยุทธ์อื่นที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา
“แล้วก็ หลังจากผ่านประตูทองที่ 6 พลังภายในของข้าก็จะรวมกันและเปลี่ยนเป็นกําลังภายใน เมื่อนั้นเรื่องก็จะต่างไปนอกเสียจากว่าข้าจะสามารถเพิ่มปริมาณข้าวหยกแดงได้ต่อไปเรื่อย ๆ และเพื่อรักษาความได้เปรียบแต่ต้นนี้เอาไว้ มิเช่นนั้นไม่นานผู้อื่นก็จะไล่ตามทันแล้ว!”
นี่เป็นข่าวร้าย มันหมายความว่าความได้เปรียบของฟางหยวนนั้นจํากัดนัก แต่ว่า เมื่อเขามองไปรอบ ๆ ไร่สวนของตนเขาก็ยิ้มกว้าง
กินข้าวหยกแดงทุกวันก็ไม่ใช่เรื่องยากเสียหน่อยใช่ไหมเล่า?
เขาไม่เพียงมีข้าวหยกแดง แต่ยังมีชาวิญญาณเขาสามารถดื่มเมื่อไหร่ก็ได้หากเขาต้องการ
“พลังกาย พลังลมปราณ และพลังเวทย์ เรียกได้ว่าเป็นสามส่วนสําคัญที่สุดของการฝึกตนของคนผู้หนึ่ง ในทั้งสามส่วนพลังกายนั้นอยู่ในรูปแบบกําลังกาย พลังลมปราณขึ้นกับพลังกายและมีรูปแบบด้วยเช่นกัน มีแค่พลังเวทย์เท่านั้นที่ไร้รูป!”
“การเพิ่มขึ้นของพลังเวทย์ทําให้ค่าอื่นเพิ่มขึ้นได้ในระดับหนึ่งด้วย!”
ผ่านการเดินทางครั้งก่อนและการต่อสู้อีกสองสามครั้ง ฟางหยวนก็ตระหนักถึงผลของพลังเวทย์
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเปลี่ยนพลังเวทย์มาใช้ในการต่อสู้ได้ โดยตรง เขาก็สามารถสัมผัสการเคลื่อนไหวของศัตรูและยังทํา นายผลของการต่อสู้ได้ก่อนที่มันจะเริ่มต้นซึ่งเป็นประโยชน์ม
หาศาล
นี่เป็นเหตุให้เขาให้คุณค่าชาชําระจิตมากกว่าเดิม
หลังจากทํางานหนักมาทั้งวัน ฟางหยวนกล้า งตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ จากนั้นเขาก็เริ่มชงชา
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา เขารู้สึกเป็นธรรมชาติมากขึ้นเมื่อชงชาราวกับเขาคุ้นเคยกับกระบวนการมากขึ้นและมีหลายอย่างดีขึ้นมากในคราวนี้
อย่างแรกเลย น้ําที่ใช้นั้นต่างออกไป
ตามที่คนเก่าแก่พูดไว้ น้ําที่เหมาะสมกับการชงชาที่สุดคือน้ําพุจากภูเขา ตามมาด้วยน้ําจากแม่น้ํา และสุดท้ายคือน้ําจากบ่อน้ํา
ก่อนนี้ ฟางหยวนใช้น้ําพุจากในหุบเขาสันโดษชงชาน้ํานั้นบริสุทธิ์และหวาน และสามารถพูดได้ว่ามีคุณภาพสูง แต่ว่า ตั้งแต่เขาได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขาชอุ่ม เขาก็พบแหล่งน้ําที่มีคุณภาพสูงกว่า
น้ําที่ใช้คราวนี้จึงเป็นน้ําพุศักดิ์สิทธิ์ที่เขาได้มาระหว่างทางตอนที่เขาไปเก็บปุ๋ยวิญญาณ
เพราะเป็นน้ําที่มีต้นกําเนิดจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ คุณภาพของมันย่อมสูงกว่าน้ําพุจากเทือกเขาธรรมดา ๆ
น้ําที่ดีนั้นต้องจับคู่กันกับชุดน้ําชาดี ๆ เพื่อชงชาที่ดี
ฟางหยวนใช้ชุดน้ําชาสุดที่รักของอาจารย์เป็นชินซึ่งเป็นของ
ชาวิญญาณเองนั้นก็เหนือธรรมดาอยู่แล้ว และตอนนี้เมื่อจับคู่กับพิธีชงชาของฟางหยวน
ฮวาหูเตียวจ้องมาที่ชาวิญญาณขณะพิธีชงชาขั้นตอนสุดท้ายเสร็จสมบูรณ์
“ลองชิมสิ!”
ฟางหยวนส่งชาวิญญาณให้ฮวาหูเตียว
“กิน”
ฮวาหูเตียวใช้ขาหน้าทั้งสองข้างรับถ้วยชามา พับขาลงนั่งเพื่อดื่มน้ําชา มันค่อย ๆ เลียน้ําชาด้วยลิ้นเล็กๆของมันและพึงพอใจ
แม้ว่าฟางหยวนจะรู้ผลของน้ําชาวิญญาณอยู่แล้วเขาก็ยังรู้สึกประหลาดใจหลังเห็นท่าทางของฮวาหูเตียว
“จิตใจบริสุทธิ์และซื่อตรงคือจุดสําคัญของพิธีชงชามีเพียงเมื่อจิตใจใสสะอาด ปราศจากความกังวลหรือความโกรธหลุดพ้นจากความเป็นและความตาย…”
เขานึกถึงคําสอนสองสามข้ออยู่ในใจและดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้น นี่เป็นผลจากชาวิญญาณ ชําระจิตใจของผู้ดีมให้ใสสะอาด
ในตอนนั้น เขาจิบชาอีกจิบหนึ่ง
“โอ ”
เมื่อชาวิญญาณลงไปถึงกระเพาะอาหารของเขาความรู้สึกรุนแรงสายหนึ่งก็พุ่งขึ้นราวกับคลื่นพายุ
ฟางหยวนเพ่งมอง เขาไม่รู้แล้วว่าเขาอยู่ที่ไหน
เวลาผ่านไปนานและเขาดื่มชาหมดกาโดยไม่รู้ตัวน้ําตาไหลอาบแก้มของเขา
“ข้าเคยคิดว่ามันโง่เง่าตอนที่มีคนบอกว่าดอกไม้แทนโลกใบหญ้าแทนสวรรค์ แต่ตอนนี้ เพียงชาถ้วยเดียวกลับเปลี่ยนมุมมองชีวิตของข้าไป?”
ฟางหยวนเช็ดน้ําตาและนั่งเงียบไปอีกครู่หนึ่ง
เขารู้สึกเหมือนเกิดใหม่อีกครั้งเมื่อดื่มชาวิญญาณครั้งนี้
การเกิดใหม่ทางกายนั้นไม่ยาก แต่การผลัดเปลี่ยนของจิตใจนั้นยากเพียงใดกัน?
เขาทําได้เพราะชาวิญญาณ!
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฟางหยวนก็ดูหน้าต่างสถานะ:
“ชื่อ: ฟางหยวน
พลังกาย: 2.7
พลังลมปราณ: 2.6
พลังเวทย์: 2.0
อายุ: 18
ระดับการฝึกฝน: [ผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองที่ 5)]
วิทยายุทธ์: [ฝ่ามือทรายดํา (ระดับ 5)], [เคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็ก (ระดับ 5)]
ความเชี่ยวชาญ: [การรักษา (ระดับ 2)], [การดูแลพืช (ระดับ 3)]”
ฟางหยวนสูดลมหายใจลึก “พลังเวทย์ของข้าเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งในสาม เป็นผลจากชาวิญญาณงั้นเหรอ? ไม่หรือว่าเป็นผลจากการรู้แจ้งของข้าเมื่อครู่นี้?”
หลังจากเขาดื่มชาวิญญาณที่ชงด้วยพิธีชงชา เขาก็เข้าสู่สภาวะประหลาดแต่ช่างมหัศจรรย์ซึ่งทําให้เขารู้สึกเหมือนเกิดใหม่อีกครั้งนั้น
สภาวะจิตใจเช่นนั้นทําได้ยากและล้ําค่ามาก โอกาสเช่นนั้นเพียงแค่ครั้งเดียวกลับเพิ่มพลังเวทย์ให้เขาถึง 0.5!
“ข้าเกรงว่าคงจะไม่มีสมบัติล้ําค่าใดที่จะให้ผลเช่นเดียวกันนี้แล้วใช่หรือไม่?”
ฟางหยวนหายใจเข้าออกลึก ๆ เขารู้สึกว่าพลังภายในที่ตรงท้องน้อยพลุ่งพล่านรุนแรง พลังภายในจากเคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็กระดับ 5 นั้นเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงด้วยตัวเองจนกระทั่งถึงจุดสูงสุดก่อนจะทะลวงสู่ระดับที่ 6!
“นี่มัน สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหลายปรารถนา ขยับสู่ระดับใหม่โดยธรรมชาติ?”
ฟางหยวนรู้สึกประหลาดใจและนั่งลงทันที เขาสั่งให้ฮวาหูเตียวคอยดูแลเขาเอาไว้ก่อนจะหลับตาลง
เมื่อผู้ฝึกยุทธ์ตั้งใจจะทลายผ่านระดับเดิมสู่ระดับใหม่ส่วนมากจะใช้พลังภายในทําลายด่านซึ่งยากลําบากนัก
แต่ว่า ก็มีวิธีผ่านด่านวิธีอื่น คนผู้หนึ่งสามารถผ่านด่านได้โดยธรรมชาติเมื่อพลังภายในของเขาแข็งแกร่งมากพอ พลังภายในนั้นจะปรับเข้าสู่ระดับใหม่ด้วยตัวเอง ทําให้คนผู้นั้นสามารถเพิ่มระดับวิชาของตนได้โดยธรรมชาติ
ซึ่งอัตราความสําเร็จนั้นเป็นเกือบสิบส่วน!
ในเวลาเดียวกัน ที่สํานักกุยหลิง
“พี่เหลยเยว่ โจ๊กจากข้าววิญญาณเจ้าค่ะ!”
ลูกศิษย์หญิงผู้หนึ่งถือถาดไม้เข้ามาในห้องอย่างระมัดระวังมีชามโจ๊กจากข้าวหยกแดงถ้วยหนึ่งอยู่บนถาด
นางแทบไม่สามารถต้านทานกลิ่นหอมจากโจ๊กชามนี้ได้
“ท่านเจ้าสํานักรู้ว่าพี่กําลังจะทะลายด่านได้แล้วและท่านจึงแบ่งข้าวส่วนของท่านมาให้พี่เป็นพิเศษ! ส่วนที่แบ่งมานี้เพียงพอสําหรับ 7 วัน และทุกมื้อจะเป็นข้าววิญญาณเจ้าค่ะ”
ลูกศิษย์หญิงกลืนน้ําลายก่อนจะเสริม เธออิจฉา เหลยเยว่นัก
“ช่วยขอบคุณท่านเจ้าสํานักแทนข้าด้วย เจ้าออกไปได้แล้วข้าจะปิดห้องเก็บตัวฝึกวิชาแล้ว ไม่ต้องเข้ามาดูข้านอกเหนือไปจากอาหารแต่ละมื้อตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!”
หลินเหลยเยว่ลูบผมนาง
ทุกคนในสํานักได้รับข้าววิญญาณตามสัดส่วนของตน และแม้แต่สืออวถงก็ไม่กล้าเปลี่ยนส่วนแบ่งของนางแต่ว่า เพราะสืออวีถงรู้ว่าหลินเหลยเยว่เกือบจะทะลายด่านได้แล้วนางก็แบ่งส่วนของนางมาให้เพื่อเป็นการสนับสนุน
ถ้าฟางหยวน ไม่สิ ถ้าฮวาหูเตียวอยู่ที่นี่มันก็คงไม่สามารถอดใจไหวและเริ่มกลืนโจ๊กข้าววิญญาณนี้ลงไปแล้ว
โจ๊กมีน้ํามากเกินไป และใส่ข้าวน้อยเกินไปและแน่นอนว่าส่วนที่สําคัญที่สุด เมล็ดข้าววิญญาณนี่เล็กกว่าเมล็ดข้าวหยกแดงที่ฟางหยวนปลูกไว้เองที่บ้าน
แต่ว่า ในความคิดของหลินเหลยเยว่ ข้าววิญญาณก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?
นางสามารถรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นสายหนึ่งหลังจากกินโจ๊กข้าววิญญาณลงไป และพลังภายในของนางก็เริ่มเพิ่มสูงขึ้น
“จะเริ่มแล้วนะ!”
หลินเหลยเยวปิดประตูทั้ง 4 บานและเริ่มกระบวนการทะลายด่าน
แต่ละประตูทองนั้นจะยากขึ้นเรื่อย ๆ! ประตูทองที่หกนั้นเป็นประตูแรกของ 3 ประตูวิกฤต เมื่อนางทะลวงผ่า นประตูเหล่านี้ได้พลังภายในของนางก็จะหลอมรวมเป็นกําลังภายใน!
แน่นอนว่า ถ้านางล้มเหลว นางอาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัส
ประตูทองนี้บ่งบอกความแตกต่างระหว่างอัจฉริยยุทธที่แท้ จริงกับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป ในสํานักกุยหลิง ผู้ฝึกยุทธ์ระดับประตุทองที่ 6 นั้นสามารถขึ้นรับตําแหน่งผู้อาวุโสและอยู่เหนีอผู้ใด!
“ข้าครอบครองร่างจันทราศักดิ์สิทธิ์ และยังได้รับยาเม็ดจันทร์ยะเยือก หลังจากได้ประมือกับซงจง ข้าก็ ค่อนข้างมั่นใจ!” หลินเหลยเยว่กําหมัดแน่นและพูด “ด้วยความช่วยเหลือจากข้าววิญญาณ ข้าจะต้องทะลวงด่านได้สําเร็จเป็นแน่!”
นางนั่งลงขัดสมาธิ ค่อย ๆ โคจรพลังภายในอันพลุ่งพล่านของนางและเริ่มการทําลายด่าน
“ปัง!”
นางส่งพลังภายในคลื่นแรกออกไปแต่ไม่สามารถทะลวงประตูได้
หลินเหลยเยว่คาดไว้แล้วว่าการทะลายหนึ่งในสามประตูวิกฤตย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย นางแน่ใจว่าตัวเองจะล้มเหลวก็ต่อเมื่อพลังภายในหมดลงเท่านั้น
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หลินเหลยเยวดูจะลืมวันเวลาไปแล้ว
ภายในร่างกายของนาง พลังภายในพลุ่งพล่านที่นางมีอยู่กําลังจะหมด และนางก็เข้าใกล้การทะลายด่านสู่ประตูทองที่ 6 เข้าไปทุกที
มันเหมือนกับแค่ฟางเส้นเดียวก็จะสามารถทําลายสมดุลทั้งสองฝั่งนี้ได้
“ข้าแพ้ไม่ได้ ข้ายังต้องการออกไปเห็นโลกภายนอก ข้าอยากจะเหนือกว่า…ฟางหยวน!”
ขณะที่นางยังรู้สึกตัว เงาร่างชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ปรากฏนตรงหน้า เงาร่างนั้นใหญ่โตมหึมาและกดทับตัวนางเอาไว้
“พรวด!”
นางลืมตาขึ้นฉับพลันและกระอักเลือดออกจากปากคําใหญ่
นางได้รับผลสะท้อนจากการทะลายประตูชางล้มเหลว!