Carefree Path of Dreams
Chapter 40: ข่าวลับ
ซึ่งจง อดีตผู้อาวุโสของสํานักกุยหลิงถูกสังหารแล้ว!
ข่าวแพร่ไปไกลและกว้างจนรู้กันทั่วมณฑลชิงเหอและแน่นอนว่า ยังมีข่าวลือไม่ค่อยน่าเชื่อถือนักบอกว่าคนที่ลงมือจัดการสุดท้ายคือชายหนุ่มผู้หนึ่ง เขาต้องมีวิทยายุทธ์สูงและยังได้รับรางวัลที่สํานักตั้งไว้ด้วย
ชาวยุทธ์ส่วนมากไม่เชื่อว่าเด็กหนุ่มผู้หนึ่งจะจัดการกับซงจง
ซึ่งจงเป็นใคร? เขาเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับประตูทองที่7ที่มีชื่อเสียงเป็นที่น่าหวาดหวั่นและยังมีกําลังภายในสูงส่ง!
แม้แต่ลูกศิษย์คนโตของสํานักกุยหลิง หลินเหลยเยว่ ยังเทียบซ่งจงไม่ติด แล้วเด็กหนุ่มนั้นจะต้องเก่งกาจเพียงใดถึงจะกล้ามาเทียบลูกศิษย์อันดับหนึ่งแห่งสํานักกุยหลิง?
นี่ต้องเป็นเพียงข่าวลือแน่นอน!
ซึ่งจงน่าจะถูกคนของสํานักกุยหลิงจัดการ
เพียงแค่ระดับการฝึกตนของเขาเพียงอย่างเดียวเขาก็สามารถก่อหายนะแก่มณฑลชิงเหอได้แล้ว
มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ความจริงและเริ่มกังวลนิด ๆ เมื่อได้ยินข่าวลือเหล่านี้
“ฟางหยวน ท่านจะไปแล้วจริงๆ หรือ?”
เขาอยู่ที่บ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่งที่รอบนอกของมณฑลชิงเหอ
หลินเหลยเหยวมีท่าที่สับสน และมองที่ชายหนุ่มบนหลังม้า“ลําพังแค่ความสามารถในการฝึกวิทยายุทธ์ของท่านเพียงอย่างเดียว ท่านก็สามารถเข้าสํานักกุยหลิงและมาเป็นลูกศิษย์สายตรง…”
“ข้าต้องขออภัยด้วย ข้าเคยชินกับการได้ออกไปท่องเที่ยวและไม่สามารถทนอยู่ในที่ที่เดียวได้ น้องเหลยเยว่ไว้พบกันใหม่!”
ฟางหยวนปฏิเสธข้อเสนอของนาง ลงแส้ม้าและควบออกไปไม่นาน เขาก็หายลับไปตรงขอบฟ้า
ผู้อื่นมากมายในสํานักและตัวก่อปัญหาหลัก หลินเหลยเยว่จะนําปัญหามากมายมาให้ฟางหยวนถ้าเขารับข้อเสนอของ
นาง
รู้เช่นนี้แล้ว เหตุใดจึงจะยังพักอยู่ในมณฑลให้นาน?
หลังจากแลกเปลี่ยนสิ่งที่เขาต้องการแล้ว ฟางหยวนก็ออกจากมณฑลโดยไม่ลังเล
แต่ว่า สําหรับหลินเหลยเยว่ มองเงาของเขาหายลับไปกับขอบฟ้านํามาซึ่งความไม่พอใจราวกับนางกําลังรู้สึกขัดแย้ง
“เจ้าเสียดายใช่ไหม?”
เพียงวูบเดียว สีออกงปรากฏตัวขึ้นที่ในบ้านราวกับผี
“เขามีทางเดินของเขา ข้าก็มีทางเดินของข้า เขาตัดสินใจแล้ว เราจะทําอะไรได้อีก?”
หลินเหลยเยว่เชิดหน้าขึ้นและตอบอย่างดื้อดึง
“อืม… ดีแล้ว!”
สืออื้องพยักหน้าด้วยความพอใจและมองไปในทิศทางที่ฟางหยวนจากไป “แต่ คู่หมั้นของเจ้าผู้นี้มีศักยภาพในการฝึกวิทยายุทธ์ที่ตื่นตะลึงมากและไม่ใช่ระดับคนทั่วไป!”
“เขา..”
หลินเหลยเยวตื่นเต้นขึ้นมา “อาจารย์ รบกวนอบรมสั่งสองศิษย์ด้วย!”
สื้ออกงหัวเราะคิกคักยกปลายนิ้วแตะจมูกของนาง “เด็กเอยเจ้าอยากแข่งขันขึ้นมาแล้วล่ะสิ.. ไม่ต้องกังวล สําหรับข้าเจ้ายังมีศักยภาพในการฝึกยุทธ์สูงที่สุดท่ามกลางเพื่อนทั้งหมดของเจ้า!”
“เช่นนั้น ทําไมก่อนหน้านี้”
หลินเหลยเยวรู้สึกกังขาขึ้นมา ตอนที่สู้กับซงจง นางทําได้แค่รับและป้องกันหมัดของมัน แต่ฟางหยวนกลับสามารถสู้ได้ตัวต่อตัว เช่นนั้นทุกอย่างก็ดูจะไม่ปกติ
“นั่นเพราะว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมีพื้นฐานที่ดี เหลยเยว่เจ้าควรรู้ไว้มีคนบางประเภทที่สามารถควบคุมและใช้วิทยายุทธ์ได้ตั้งแต่พวกเขาเริ่มเรียนรู้มัน และยังสามารถพัฒนาไปเป็นผู้ฝึกยุทธ์ (ระดับประตูทองที่ 4 หรือ 5)! ฟางหยวนก็เช่นกัน เขาอาจจะมีพรสวรรค์สูงโดยธรรมชาติหรือเพราะเขาได้กินอาหารระดับวิญญาณหรือว่าได้รับสมบัติล้ําค่าใดมา และตามที่เจ้าบอกซึ่งจงเองก็ใกล้จะตายอยู่แล้วและยังใช้กําลังภายในไปเกือบหมดและยังต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าบอกว่าเขาตายตกไปเองข้าก็ไม่แปลกใจ…”
สื้ออรื้องอธิบาย
นางรู้สึกว่ามันน่าเสียดายที่เด็กหนุ่มผู้นั้นมีความสามารถสูงขนาดนั้น เขายังมีพลังกาย พลังลมปราณและพลังเวทย์มหาศาลถ้าพลังเวทย์ของเขาสูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่าเช่นนี้เขาอาจจะเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ในตํานานที่มีชื่อเสียงก็ได้
แต่ว่า แม้ว่าเขาจะโดดเด่นเพียงใดในวัยนี้อายุเขาก็มากเกินไปแล้ว
อย่างไรเสีย กําลังภายในนั้นก็พิเศษนักและจะไม่หมดไปเมื่อคนผู้หนึ่งใช้มัน
ไม่ว่าพื้นฐานของคนผู้นั้นจะเป็นอย่างไร ผู้ที่มีกําลังภายในต้องเป็นผู้ที่อยู่ในระดับสามประตูวิกฤติซึ่งต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงรุนแรงในร่างกายของตนเอง
ผู้ที่มีร่างกายที่ดีกว่าจะประสบกับการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆเมื่อพวกเขาเข้าสู่ระดับนี้ ถึงแม้จะนับว่าได้เปรียบผู้อื่นอยู่บ้างแต่ก็มิได้ชัดเจนขนาดนั้น
สืออองมองลูกศิษย์ของตนและให้ความเห็น “เหลยเยว่เจ้าอย่าได้หมดกําลังใจ เจ้าได้ประโยชน์จากเรื่องคราวนี้ถ้าเจ้าสามารถผ่านประตูทองที่ 6 ได้ เจ้าจะเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มผู้เยาว์ภายในมณฑลชิงเหอ!”
“เจ้าค่ะ อาจารย์!”
หลินเหลยเยว่กําหมัดแน่น มองไปทางที่ฟางหยวนจากไปและคล้ายกับว่านางจะไม่ยอมแพ้
ฟางหยวนเร่งม้า มองเห็นสองข้างทางแล่นผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกเป็นอิสระราวกับปลาในมหาสมุทร นกบนท้องฟ้าหรือเสือในป่า
มณฑลชิงเหอนั้นซับซ้อนนัก ราวกับกับดักอันมหึมา
เขาก็ยังคงไม่คุ้นเคยกับโลกภายนอก มีความสัมพันธ์เล็กน้อยกับพวกผู้มีอํานาจและนั่นคงจะไม่ถึงกับถูกดึงเข้าไปในปัญหา
แต่อาจจะไม่ใช่อย่างนั้นถ้าเขาตัดสินใจอยู่ในมณฑลต่อนานกว่านี้หรือเข้าร่วมกับสํานักกุยหลิง
“สุดท้ายแล้ว ทรัพย์สมบัติที่โลกด้านนอกก็ไม่เทียบเท่าความสะดวกสบายในบ้านของข้า!”
ฟางหยวนยิ้มกับตัวเอง
เขาได้ประโยชน์จากการเดินทางไปมณฑลมามากมาย
เอาชนะซึ่งจงและเก็บพืชวิญญาณมาก็นับเป็นอย่างหนึ่งและประโยชน์ที่ได้จากห้องหนังสือลับของสํานักกุยหลิงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เขาได้รับป้ายคําสั่งกุยหยวนจากการกําจัดซ่งจงและใช้มันแลกกับการเข้าห้องหนังสือลับ
ถ้าเขาร้องขอตํารายุทธ เขารู้ว่าเขาอาจจะต้องตายและป้ายคําสั่งกุยหยวนก็คงช่วยเขาไว้ไม่ได้
แต่ถ้าร้องขอเข้าไปดูหนังสือธรรมดา ๆ นั่นก็เรื่องง่าย ๆของสํานักและเขาย่อมไม่ถูกปฏิเสธ
เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลินเหลยเยว่ ซื้ออวถงรับตอบรับอย่างรวดเร็วหลังจากเขาร้องขอ นางอนุญาตให้ฟางหยวนพักอยู่และอ่านหนังสือทั้งหมดได้ 3 วัน
ความเสียดายเดียวของฟางหยวนก็คือไม่ได้เจออู่จงในตํานานด้วยตนเองเท่านั้น
“อืม มีศิษย์สํานักที่มีวิทยายุทธ์สูงหลายคนคอยจับตาข้าอยู่แต่ก็ไม่ใช่อู่จงผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้น!”
ฟางหยวนหัวเราะและชะลอม้าลง
ความจริงก็คือนอกจากระบบที่อยู่ในจิตใจของเขาแล้วต่อให้ข่าวเรื่องวิทยายุทธ์ของเขาแพร่กระจายออกไป อย่างมากมันก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์เล็ก ๆ อย่างหนึ่งเท่านั้น
ถ้าไม่เห็นคําอธิบายในระบบนั่น ใครจะเชื่อว่าเขามีความสามารถในการปลูกพืชวิญญาณ และยังทําให้พืชธรรมดาวิวัฒนาการได้สายพันธุ์พิเศษออกมา?
เพราะอย่างนี้ เขาจึงไม่กลัว
มันก็ยังทําให้เขารู้สึกไม่สบายใจที่มีผู้อื่นตั้งมากคอยจับตาม
องเขา
“เฮอะ… สํานักกุยหลิง พวกเจ้ามีอะไรกันเชียว?”
ในตอนที่ห่างจากมณฑลชิงเหอมาระยะหนึ่งแล้ว เขาก็ชะลอม้าลงและค่อย ๆ เยื้องย่างไปข้างหน้า
“แต่สําหรับราคาที่จ่ายไป มันก็คุ้มค่าอยู่นะ!”
เขาตรองในมุมมองของสํานัก อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนนอกและย่อมต้องมีการระวังเขาเอาไว้ก่อน เข้าใจเหตุผลของพวกนี้นก็เป็นเรื่องหนึ่ง การจะยอมรับได้ก็เป็นอีกเรื่อง
การเสี่ยงของการเข้าห้องหนังสือลับนั้นคุ้มค่า
ภายในมีหนังสือและตําราประดิษฐ์มากมาย ฟางหยวนพบสิ่งที่เขากําลังตามหา
“ข้าไม่รู้เลยว่า โลกช่างกว้างใหญ่เช่นนี้! เทียบกันแล้ว ชาวยุทธ์ทั่วไปไม่เคยมีโอกาสได้รู้ความจริง แม้แต่นักรบศักดิ์สิทธิ์ก็รู้เพียงแค่ยอดภูเขาน้ําแข็งเท่านั้น แล้วยังเจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุและเจ้าแห่งความฝันที่แสนลึกลับนั่นอีก?”
ข้อมูลนี้ได้จากชีวประวัติของชาวยุทธ์ผู้หนึ่ง และก็เป็นเหมือนขุมสมบัติสําหรับเขาเลย
ผู้เขียนหนังสือนี้เป็นผู้อาวุโสของสํานักเมื่อนานมาแล้วเขา สามารถทะลวงผ่านทุกประตูทองได้และเพราะการออกไปผจญโลกภายนอก ก็มีโอกาสจะได้พัฒนาขึ้นเป็นอู่จง
แม้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะทําไม่สําเร็จ และเสียชีวิตลงเมื่อกลับมาถึงสํานักได้ไม่นาน แต่เขาก็ทิ้งเรื่องราวการค้นพบและวิเคราะห์การผจญภัยของเขาเอาไว้เบื้องหลังมากมายแล้วยังข้อมูลมากมายเกี่ยวกับโลกภายนอก
ในส่วนของการวิเคราะห์ เขาได้พูดถึงการเกิดดินแดนศักดิ์สิทธิ์
“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นเกิดขึ้นจากความตั้งใจของฟ้าและสามารถสร้างได้โดยการรวบรวมพลังแห่งผืนดิน มันเพียงพบได้โดยบังเอิญและไม่สามารถสร้างขึ้นได้โดยมนุษย์… ประโยคนี้ทั้งถูกและผิด!”
ฟางหยวนอ่านต่อ “ดูเหมือนว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ผืนเล็กๆที่สํานักกุยหลิงครอบครองอยู่นั้นเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เจ้าสํานักคนแรกรู้ว่ามันคือสมบัติล้ําค่าและย้ายทั้งสํานักมาตรงที่อยู่ปัจจุบันนี้ใช้ดินแดนนั้นเป็นรากฐานของสํานัก… แต่ยังมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์รูปแบบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกยุทธ์!”
“มีข่าวลือว่ามี ถ้ามีผู้มีวิทยายุทธ์สูง ภายใต้เงื่อนไขอย่างหนึ่งเช่น ตาย อาจจะก่อเกิดดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้”
“แม้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ผู้นั้นจะไม่ใช่อู่จง สิ่งที่บันทึกไว้ก็ยังเป็นแค่ข่าวลือ แต่กระนั้น โลกก็ยังมีเรื่องลึกลับซ่อนอยู่ ในเมื่อเจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุยังได้รับคําอวยพรจากสวรรค์และพระแม่ธรณีและสร้างยาเม็ดแห่งวิญญาณได้ ถ้าผู้ฝึกยุทธ์สักผู้หนึ่งจะสามารถสร้างดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันแสนอุดมสมบูรณ์ได้ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
“ข้าสงสัยนัก ใครคือจุดกําเนิดดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เทือกเขาเขียวขจีนั้น…”
ฟางหยวนมองตรงไปที่ยอดเขาชิงหลิง และสัมผัสความรู้สึกคุ้นเคย “ข้ากลับมาแล้ว…”
ภายในหุบเขาสันโดษ
“กีกี้ กีกี้เ”
ฟางหยวนก้าวเข้าไปในหุบเขา และฮวาหูเดียวก็พุ่งมาหา เขาดึงเสื้อคลุมตัวนอกของเขาด้วยท่าทางตื่นเต้นเป็นที่สุด
“เอ๋ ทําไมถึงได้กระวนกระวายขนาดนี้?”
ฟางหยวนตกใจเมื่อเห็นฮวาหูเตียววิ่งตรงไปทางแปลงปลูกขณะที่เขาพยายามเดาว่าเกิดอะไรขึ้น
“เป็นไปได้ไหมว่า…”
เขาอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาขณะรีบพุ่งไป
จนเมื่อไปถึงแปลงต้นชา กลิ่นหอมหนึ่งก็ลอยอวลเต็มอากาศทําให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาก
“จริงด้วย…”
ฟางหยวนปลาบปลื้มใจมากขณะที่เขามองต้นชาอีกต้นที่ให้ใบชาชําระจิต
พืชวิญญาณต้นนี้งอกใบใหม่และกลิ่นชาหอมเข้มข้น
“กีกี้”
ฮวาหูเตียวชี้ไปที่ดินปลูก และฟางหยวนก็เห็นรากของชาชําระจิตที่มีปุ๋ยวิญญาณกองอยู่จํานวนมาก
“ดูเหมือนว่าฮวาหูเตียวจะทํางานหนักมากระหว่างที่ข้าไม่อยู่
ฟางหยวนพูดไม่ออกเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
ฮวาหูเตียวดูภูมิใจ มันไม่สนใจพืชธรรมดาชนิดอื่นและดูแลแค่เฉพาะชาชําระจิตและข้าวหยกแดง
มันแทบจะอดใจไม่ได้เมื่อเห็นใบชาชําระจิตค่อย ๆ งอกงาม
“ถ้าไม่มีพิธีชงชาของข้า ก็ไม่มีชาชําระจิตไหนที่จะเพิ่มพลังเวทย์ของเจ้าได้หรอกนะ!”
“ไม่ต้องห่วง เจ้าจะได้ส่วนแบ่งของเจ้า!”
หลังจากอ่านหนังสือทั้งหมด เขาก็เข้าใจประโยชน์ของชาชําระจิตอย่างลึกซึ้ง
พืชวิญญาณก็มีระดับแตกต่างกัน ระดับต่ําสุดประกอบด้วยข้าวหยกแดง และหญ้ามรกต แต่ทั้งสองชนิดก็ยังสามารถเพิ่มพลังลมปราณและพลังกายของผู้หนึ่งได้
ส่วนพืชวิญญาณที่สามารถเพิ่มพลังเวทย์ได้? ไม่เคยได้ยินมาก่อน และถ้าผู้อื่นรู้เรื่องนี้ พวกเขาจะต้องคลั่งไคล้อยากได้เป็นแน่!
เพื่อที่จะเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์หรือเจ้าแห่งการเล่นแรแปรธาตุปัจจัยที่สําคัญที่สุดก็คือพลังเวทย์!