ในส่วนลึกของป่า เงาร่างหนึ่งแวบไปมา มีเงาร่างคนหลายคนปรากฏขึ้น
คนแรกที่ก้าวออกมาคือเสี่ยวฉิงที่สูญเสียของมีค่าทุกอย่างของนางให้ฟางหยวน นางยังสวมชุดสีเขียวและแขวนกระบี่ไว้ที่ข้างเอว นางดูไปยิ่งงดงามกว่าเมื่อหลายวันก่อน แต่เสียงแห ม ๆ ของนางก็ทําให้นางงดงามน้อยลง
ยังมีชายหนุ่มและแม่นางน้อยอีกหลายคนที่รอบตัวนาง และฟางหยวนก็จําแม่นางคนหนึ่งในชุดสีเหลืองได้
มันมากกว่าแค่จําได้ เขาคุ้นเคยกับนาง และพวกเขายังเคยมีสัญญาหมั้นหมายกันมาก่อนด้วยซ้ํา!
“พี่เหลยเยว่!”
เสี่ยวฉิงดึงแขนเสื้อหลินเหลยเย่วและพูด “นั่นเขา เขาเป็นคนชั่วที่ปล้นข้า! ท่านต้องแก้แค้นให้ข้านะ!”
“เจ้ากล้าขโมยของจากศิษย์น้องฉิงของเราได้อย่างไร!”
หลินเหลยเยว่มองฟางหยวนแล้วอึ้งงันไป ผู้อื่นที่มาด้วยกันกับนางดึงกระบี่ออกจากฝักแล้วและเข้าไปล้อมฟางหยวนด้วยสายตามุ่งร้าย
นี่เป็นเพราะเสี่ยวฉิงมาหาพวกมันก่อนนี้แล้ว และพวกมันก็ค้นทั่วมณฑลชิงเหอและตําหนักสี่ทะเลเพื่อหา “จอมยุทธ์น้อยอู๋หมิง” ผู้นี้ แต่ไม่เจอ พวกมันย่อมโมโห
“เดี๋ยวก่อน!”
หลินเหลยเยว่พลันยกมือขึ้น และเดินไปข้างหน้าช้า ๆ นางดูไม่แน่ใจและมองฟางหยวนอย่างลังเล
“ท่านคือ… พี่ฟาง?”
“เหอ ๆ…”
ฟางหยวนลูบ ๆ จมูกก่อนพูด “เจ้ายังจําข้าได้!”
เขาก็รู้สึกประหลาดใจเหมือนกันที่เห็นว่าเด็กน้อยในความทรงจําของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างมาก ตอนนี้รอบตัวนางนั้นมีบรรยากาศของพี่สาวใหญ่
“เดี๋ยวนะ!”
เสี่ยวฉิงมองหลินเหลยเยว่ จากนั้นก็มองฟางหยวน นางสับสน
“ไม่ใช่ว่าเขาแซ่อู๋หรอก? ทําไมกลายเป็นแซ่ฟางได้?”
“ฉิง!”
หลินเหลยเยวลูบ ๆ คิ้วอย่างลําบากใจและถาม “เจ้าแน่ใจใช่ไหมว่าเป็นคนผู้นี้?”
“แน่นอน ข้าจําเขาได้แม้ว่าเขาจะเหลือแต่เถ้าถ่าน พี่สาวท่านรู้จักเขาหรือ?”
หัวใจของเสี่ยวฉิงเต้นเร็วขึ้น
ยังไงเสียมันก็ผิดกฏยุทธภพตั้งแต่แรกแล้วที่แอบลอบติดตามฟางหยวนไป
“ฟางหยวน? ฟางหยวน! ข้านึกออกแล้ว! ไม่ใช่ว่าเขาคือคนที่ท่านเคยหมั้นหมายด้วยหรอกรึ”
หนึ่งในกลุ่มศิษย์วัยเยาว์ที่ตรงนั้น น่าจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ชื่นชอบหลินเหลยเยว่ มองฟางหยวนด้วยสายตาที่แทบจะฆ่าเขาได้
“เขานั่นแหละ!”
ทันใดนั้น ฟางหยวนก็พบว่าผู้ชายทั้งหมดในที่นั้นเกลียดเขายิ่งกว่าเดิม เขาถูกจับจ้องด้วยสายตาร้อนแรงหลายคู่ที่ดูอยากจะจุดไฟเผาร่างเขา
“บ้าชะมัด นี่ข้าไปสังหารบิดาหรือขโมยภรรยาของพวกเจ้ามาหรือไร? ความเกลียดชังระดับนี้มันยุติธรรมแล้วหรือ?”
ฟางหยวนถึงกับพูดไม่ออก
อันที่จริง หลินเหลยเยว่คือหนึ่งในหญิงสาวที่งดงามที่สุดในสํานักกุยหลิง รวมกับพรสวรรค์ของนางและบุคลิกนุ่มนวล แล้วยังสถานะสูงส่ง นางจึงเป็นที่ปรารถนาของผู้อื่นมากมาย ดังนั้น เมื่อผู้ชื่นชมเหล่านั้นพบว่าฟางหยวนคืออดีตผู้ที่มีสิทธิ์ครอบครองนาง พวกมันจึงมองฟางหยวนด้วยความรู้สึกเป็นศัต รู
“อ่า.. ฮ่าฮ่า!”
ฟางหยวนรู้สึกกระอักกระอ่วนนิด ๆ ในการจัดการกับคุณหนูฉิง แต่ไม่ใช่กับหลินเหลยวเยว่
อย่างไรเสียเขาก็เคยเห็นนางเติบโตขึ้นมา และพวกเขาไม่ได้เป็นศัตรูคู่แค้นกัน ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องรู้สึกผิด
“เป็นเจ้าสินะ น้องเหลยเยว่ ดูเหมือนว่าเจ้าจะอยู่ในสํานักกุยหลิงได้อย่างมีความสุขดี น่ายินดียิ่งนัก!”
“ข้าต้องขอโทษกับเรื่องเมื่อสักครู่ด้วย!”
หลินเหลยเยว่พลันหน้าแดงขึ้นนิด ๆ ก่อนจะโค้งตัวลงเป็นเชิงขออภัย
นางไม่แน่ใจในความรู้สึกที่นางมีต่ออดีตคู่หมั้นนัก
แต่หลังจากพบกันครั้งนี้ อย่างน้อยนางก็น่าจะเข้าใจได้แล้วว่าโลกนั้นกว้างใหญ่และนางไม่จําเป็นต้องจํากัดโอกาสของตัวเองแต่อย่างใด
“ฉิง พี่ฟางเป็นเพื่อนของข้า เรื่องทั้งหมดนี่น่าจะแค่ล้อกันเล่น พวกเราจบเรื่องนี้แค่นี้ดีไหม?”
เหลยวเยว่บีบมือเสี่ยวฉิง
อย่างไรเสีย มันก็จะทําลายชื่อเสียงของพวกนางได้หากโลกรู้ว่าตําหนักสี่ทะเลปฏิบัติไม่ดีต่อลูกค้า มันมีข่าวลือแพร่ออกไปว่าตําหนักสี่ทะเลนั้นรับใช้สํานักกุยหลิง และเรื่องนี้ก็จะเป็นการยืนยันข่าวลือนั่น หลินเหลยเยว่ไม่ต้องการเช่นนั้น
“ได้!”
เสี่ยวฉิงรู้สึกอยากร้องไห้ เงินที่นางแอบเก็บออมไว้ล้วนสูญไป
“แต่… เจ้าต้องคืนปิ่นนั่นให้ข้า! มัน มันเป็นของขวัญวันเกิดของข้าจากท่านตา!”
ที่จริงแล้ว เสี่ยวฉิงแต่งเรื่องขึ้นมา มันก็แค่ว่านั่นเป็นอัญมณีชิ้นที่แพงที่สุดในของทั้งหมด
“โอ้ ข้าขอโทษที!”
ฟางหยวนหัวเราะและเอาปืนออกมา
“ถ้าข้าล่วงเกินอันใดเจ้าไป คุณหนูฉิง ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ถือสาข้านะ!”
“ตามนั้น!”
ดวงตาของเสี่ยวฉิงสาดประกาย และคว้าเอาปืนจากมือฟางหยวนอย่างรวดเร็ว เธอพลันคิดเสียดายกับตัวเอง “ถ้าข้ารู้ว่า เจ้าหมอนี่จะให้ความร่วมมือดีเช่นนี้ ข้าน่าจะทวงของอีกสักหลายชิ้นจากเขา… ฮือออ…”
ยิ่งนางคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งสาปส่งอยู่ในใจ
“ดีแล้ว ดีแล้ว”
หลินเหลยเยว่อดไม่ได้กระซิบใส่หูเสี่ยวฉิง
“จริงรึ?”
สิ่งที่นางได้ยินทําให้นางรู้สึกยินดีนัก เสี่ยวฉิงกระโดดขึ้น ๆ ลง ๆ พยักหน้าอย่างแรง
“ตกลง ตกลง ตกลง!”
จากนั้นนางก็หันไปหาฟางหยวนและพูด “เรื่องที่ผ่านไป แล้วก็แล้วไปเถิด ข้าจะไม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาอีกต่อไป พี่ฟาง เชิญท่านมาปล้นข้าอีกรอบก็ได้นะ ยังไง เดี๋ยวก็มีบางคนจ่ายคืนให้ข้าเท่าตัวอยู่ดี.. โฮะโฮะ!”
หลังจากคําพูดหลุดปากนางไป เสี่ยวฉิงก็รู้ทันทีเลยว่านางพลาดเสียแล้ว และรีบยกมือขึ้นอุดปากตัวเอง
“ใครเลยจะรู้ว่าเจ้าเด็กนี่ช่างงกเงินและขี้เหนียวขนาดนี้”
ผู้คนรอบ ๆ เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นและไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเสี่ยวฉิงดี
“พี่ฟาง ท่านมาที่นี่เพราะเรื่องของช่งจงใช่หรือไม่? ถ้าข้าจําไม่ผิด ท่านไม่รู้วิทยายุทธ์…”
หลินเหลยเยว่ยิ้มสุภาพ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างแคล่วคล่องราวกับเมื่อครู่ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น
“อ้อ ข้าเพิ่งได้ฝึกมาเล็กน้อย และข้าก็อยากจะเห็นความพลุกพล่านนี้ด้วยตาตัวเองน่ะ!”
ฟางหยวนตอบง่าย ๆ
“ซึ่งจงนั้นร้ายกาจและหัวแข็งนัก และยังมีความสามารถเชิงยุทธ์สูง เขายังคงเป็นตัวอันตรายแม้ว่าจะบาดเจ็บ กรุณาระวังตัวด้วย!”
หลินเหยวเยว่ไม่รู้เรื่องเบื้องหลังของฟางหยวน และเตือนเขาด้วยความเป็นห่วง
“อืม!”
ฟางหยวนพยักหน้าและหมุนตัวกลัวเตรียมจะจากไป
“หยุดก่อน!”
ถึงตอนนี้ ชายหนุ่มที่อยู่ในเหตุการณ์ผู้หนึ่งก้าวเข้ามายืนตรงหน้าฟางหยวน ปิดทางเดินของเขาไป
“เจ้าไม่ได้ยินที่น้องหลินพูดหรือ? นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะอยู่ได้ นาน ๆ อย่าคิดว่าเจ้าจะสามารถวิ่งวุ่นวายไปมาได้ด้วยความ สามารถน้อยนิดที่มี รีบไปซะตั้งแต่ตอนที่ยังทําได้!”
ลูกศิษย์ชายกลุ่มหนึ่ง แม้ว่าจะมีโอกาสในตัวหลินเหลยเยว่เป็นศูนย์ แต่ก็ยังกังวลว่าระหว่างฟางหยวนและหลินเหลยเยว่จะเกิดความรู้สึกใดต่อกัน พวกมันมีเป้าหมายเดียวกันอยู่ในใจ กําจัดคู่แข่งผู้นี้เสีย!
“โอ้ พี่จ้าว ท่านผิดแล้ว!”
ลูกศิษย์ชายหน้าปรผู้หนึ่งหัวเราะเย็นชาและก้าวออกมาข้างหน้า
“ในเมื่อนายน้อยฟางผู้นี้สามารถรังแกน้องฉิงของพวกเราได้ นั่นแสดงว่าเขาต้องมีวรยุทธ์สูงมากนะ แม้ว่าข้าจะไม่ได้เก่งกาจ แต่ข้าขอท้าเจ้าสู้ ออมมือให้ข้าด้วย!”
“เจ้ามองข้ามข้าเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ข้าด้วย! ข้าคนหนึ่ง!”
ลูกศิษย์ชายเหล่านี้เริ่มพลุ่งพล่าน ดวงตาเริ่มมีเป็นประกายกระหายเลือด
นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะพิสูจน์ตัวเองต่อหน้าหลินเหลยเยว่!
“ฉิง บอกข้าตามตรง วิชาชิงถั่วที่อาจารย์สอนเจ้านั้น เจ้าฝึกถึงระดับใดแล้ว?”
ขณะที่สังเกตความเป็นไปรอบ ๆ ตัว หลินเหลยเยว่ก็ดึงเสี่ยวฉิงมาข้างตัว และกระซิบถามชิดหูนาง
“ระดับ 5!”
เสี่ยวฉิงแลบลิ้น
“….”
หลินเหลยเยว่หายใจเอาลมเย็นเยือกเข้าไป
เสี่ยวฉิงเป็นเด็กคลั่งยุทธ์ นางเป็นคุณหนูที่มีเบื้องหลังเป็นผู้ที่มีอํานาจภายในสํานัก ไม่มีศิษย์ชายผู้ใดกล้าประมือกับนางแบบเต็มฝีมือ ผลก็คือมีคนไม่มากที่รู้ความสามารถที่แท้จริงของเสี่ยวฉิง
แต่กับฟางหยวน ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งฝึกวิทยายุทธ์เพียงแค่ไม่นานเองมิใช่หรือ? แล้วเขาเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ระดับประตูทองที่ 5 ได้อย่างไร?
หลินเหลยเยว่สังเกตฟางหยวนอยู่อีกครู่หนึ่ง และรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าชายหนุ่มจากหุบเขาผู้นี้นั้นลึกลับยิ่งนัก นางอยากจะคลี่คลายสถานการณ์นี้แต่กลับนึกคําพูดไม่ออก
“นี่…”
ฟางหยวนกวาดตามองรอบตัวทันทีและสรุปได้ว่าทั้งหมด เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ระดับประตูทองที่ 4 หรือ 5 พวกมันไม่ใช่คู่มือของเขา โดยเฉพาะหลังจากที่เขาได้กินอาหารวิญญาณมาตั้งมาก
“นี่…คือผลของพลังเวทย์?”
ฟางหยวนรู้สึกดีใจขึ้นมาทันที พลังเวทย์ให้ทั้งความตื่นตัว และอํานาจจิต! ถ้าเขามีพลังเวทย์มากกว่าปกติ เขาย่อมสามารถประเมินระดับวิชาของศัตรูได้ผ่านการสังเกตรายละเอียดต่าง ๆ และเขายังสามารถปิดบังความสามารถของตัวเองได้อีกด้วย แน่นอนว่าเงื่อนไขก็คือเขาต้องมีระดับวิทยายุทธ์ไม่ต่ำไกว่าคู่ต่อสู้มากนัก
ตอนนี้ หลังจากฟางหยวนประเมินดูแล้ว ไม่มีใครในกลุ่มคู่ต่อสู้ของเขาสามารถบอกได้เลยว่าเขาเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งที่ผ่านประตูทองที่ 5 แล้ว ตรงกันข้าม ทั้งระดับวิชาและความสามารถของพวกมันกลับถูกฟางหยวนมองออกทั้งหมด
“ข้าไม่สามารถประเมินระดับของหลินเหลยเยว่ได้ถนัดนัก นางมีรังสีที่กระจ่างและสดใสเป็นประกายแผ่ออกมาจากร่าง นั่นไม่ธรรมดา!”
ฟางหยวนเพิ่มความตื่นตัวแต่ภายนอกทําท่าเหมือนคนจนมุม
“นี่…ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย! ข้าเป็นแค่คนบ้านนอกคอกนาที่ควบคุมพลังไม่ได้ ถ้าข้าทําพวกเจ้าบาดเจ็บสาหัสขึ้นมาเล่า?”
“อะไรนะ?!”
กลุ่มลูกศิษย์ชายโมโหโกรธาขึ้นมาจากคําพูดถากถางของฟางหยวน และศิษย์หน้าปรก็ตะโกนขึ้นมา “ถ้าข้าถูก เจ้าฆ่า ก็บอกได้เลยว่าข้ามันโชคร้ายเอง ไม่ต้องล้างแค้นแทน ข้าทุกคนที่นี่เป็นพยานได้”
“เข้ามา!”
ภายใต้สายตาของหลินเหลยเยว่และศิษย์น้องผู้หญิงอีกหลายคน เขาอยากจะอวดโอความสามารถและกระโจนเข้าไปลงมือ
“ข้าน้อยซุนเตี๋ยชู รอการสั่งสอนจากเจ้าอยู่!”
“เจ้าโง่!”
ถึงตอนนี้ ฟางหยวนก็ลอบกลอกตา
ถ้าทั้งหมดลงมือใส่ฟางหยวนพร้อมกัน เขาก็คงจะแพ้ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน
แต่กลุ่มตัวตลกตรงหน้านี้ตั้งใจจะเปลี่ยนหน้ากันมาลงมือทีละคน คงจะเหนื่อยกับการมีชีวิตอยู่แล้วสินะ!
มันพอดีกับที่เคล็ดอินทรีเหล็กของเขานั้นต้องการการฝึกฝนมากขึ้นเพื่อเพิ่มคะแนนในแถบสะสมประสบการณ์ การต่อสู้ครั้งนี้จึงนับเป็นโอกาสอันดี
แต่ขณะที่ฟางหยวนเตรียมตัวรับมือนั้น ขนบนตัวก็ลุกชันขี้นมา
ความรู้สึกเย็นเยียบเช่นนี้ทําให้เขานึกถึงตอนที่อายุสี่หรือห้าขวบ เขาเข้าไปในปาและถูกหมาป่าที่ซ่อนอยู่ในเงามืดจับตาม
“นี่ใช่…ลอบสังหาร?”
ฟางหยวนไถลไปด้านหลังหลายก้าวและเหลือบมองหลินเหลยเยว่ จากนั้นเขาก็ระลึกได้!
“เป็นซ่งจง!”
“ไม่คิดว่ามันจะหัวแข็งถึงเพียงนี้ แม้จะเป็นที่หมายหัวจากศัตรูทุกด้าน มันก็ยังเลือกที่จะลงมือสู้แทนที่จะซ่อนตัวเอาไว้”
“หลินเหลยเยว่คือลูกศิษย์สายตรงของเจ้าสํานักและมีฐานะที่สําคัญยิ่ง นางน่าจะเป็นตัวประกันที่ดี!”
“แต่ไม่ใช่มีข่าวว่าซ่งจงได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วหรอกหรือ? เรื่องนั้นไม่จริงหรอกรึ”
….
ในหัวของเขากําลังหมุนติ้ว ฟางหยวนทิ้งระยะห่างระหว่างตัวเองกับหลินเหลยเยว่
นางคือจุดศูนย์กลางของปัญหา และจะดีที่สุดถ้าอยู่ให้ห่าง จากนางเอาไว้
“เจ้าหัวขโมย เจ้าจะหนึ่งั้นรึ?”
เมื่อชุนเตี๋ยชูเห็นฟางหยวนถอย เขาก็ชะงัก
“เจ้าเล่นตลกอยู่หรือไง? ยอมรับแล้วหรือว่าเจ้ามันก็แค่ขยะชิ้นหนึ่ง?”
“อ่า… ใช่ ข้ามันร่างกายอ่อนแอ ข้าจะเป็นคู่มือของพวกเจ้าได้อย่างไร? เป็นที่น่าขบขันแล้ว! ข้าขอตัว!”
ฟางหยวนพ่นคําพูดไร้สาระมากมายออกมาก่อนจะถอยไปที่ด้านข้าง
ตอนนี้เองที่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป!