Carefree Path of Dreams 37

ตอนที่ 37

ในส่วนลึกของป่า เงาร่างหนึ่งแวบไปมา มีเงาร่างคนหลายคนปรากฏขึ้น

คนแรกที่ก้าวออกมาคือเสี่ยวฉิงที่สูญเสียของมีค่าทุกอย่างของนางให้ฟางหยวน นางยังสวมชุดสีเขียวและแขวนกระบี่ไว้ที่ข้างเอว นางดูไปยิ่งงดงามกว่าเมื่อหลายวันก่อน แต่เสียงแห ม ๆ ของนางก็ทําให้นางงดงามน้อยลง

ยังมีชายหนุ่มและแม่นางน้อยอีกหลายคนที่รอบตัวนาง และฟางหยวนก็จําแม่นางคนหนึ่งในชุดสีเหลืองได้

มันมากกว่าแค่จําได้ เขาคุ้นเคยกับนาง และพวกเขายังเคยมีสัญญาหมั้นหมายกันมาก่อนด้วยซ้ํา!

“พี่เหลยเยว่!”

เสี่ยวฉิงดึงแขนเสื้อหลินเหลยเย่วและพูด “นั่นเขา เขาเป็นคนชั่วที่ปล้นข้า! ท่านต้องแก้แค้นให้ข้านะ!”

“เจ้ากล้าขโมยของจากศิษย์น้องฉิงของเราได้อย่างไร!” 

หลินเหลยเยว่มองฟางหยวนแล้วอึ้งงันไป ผู้อื่นที่มาด้วยกันกับนางดึงกระบี่ออกจากฝักแล้วและเข้าไปล้อมฟางหยวนด้วยสายตามุ่งร้าย

นี่เป็นเพราะเสี่ยวฉิงมาหาพวกมันก่อนนี้แล้ว และพวกมันก็ค้นทั่วมณฑลชิงเหอและตําหนักสี่ทะเลเพื่อหา “จอมยุทธ์น้อยอู๋หมิง” ผู้นี้ แต่ไม่เจอ พวกมันย่อมโมโห

“เดี๋ยวก่อน!”

หลินเหลยเยว่พลันยกมือขึ้น และเดินไปข้างหน้าช้า ๆ นางดูไม่แน่ใจและมองฟางหยวนอย่างลังเล

“ท่านคือ… พี่ฟาง?”

“เหอ ๆ…”

ฟางหยวนลูบ ๆ จมูกก่อนพูด “เจ้ายังจําข้าได้!”

เขาก็รู้สึกประหลาดใจเหมือนกันที่เห็นว่าเด็กน้อยในความทรงจําของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างมาก ตอนนี้รอบตัวนางนั้นมีบรรยากาศของพี่สาวใหญ่

“เดี๋ยวนะ!”

เสี่ยวฉิงมองหลินเหลยเยว่ จากนั้นก็มองฟางหยวน นางสับสน

“ไม่ใช่ว่าเขาแซ่อู๋หรอก? ทําไมกลายเป็นแซ่ฟางได้?”

“ฉิง!”

หลินเหลยเยวลูบ ๆ คิ้วอย่างลําบากใจและถาม “เจ้าแน่ใจใช่ไหมว่าเป็นคนผู้นี้?”

“แน่นอน ข้าจําเขาได้แม้ว่าเขาจะเหลือแต่เถ้าถ่าน พี่สาวท่านรู้จักเขาหรือ?”

หัวใจของเสี่ยวฉิงเต้นเร็วขึ้น

ยังไงเสียมันก็ผิดกฏยุทธภพตั้งแต่แรกแล้วที่แอบลอบติดตามฟางหยวนไป

“ฟางหยวน? ฟางหยวน! ข้านึกออกแล้ว! ไม่ใช่ว่าเขาคือคนที่ท่านเคยหมั้นหมายด้วยหรอกรึ”

หนึ่งในกลุ่มศิษย์วัยเยาว์ที่ตรงนั้น น่าจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ชื่นชอบหลินเหลยเยว่ มองฟางหยวนด้วยสายตาที่แทบจะฆ่าเขาได้

“เขานั่นแหละ!”

ทันใดนั้น ฟางหยวนก็พบว่าผู้ชายทั้งหมดในที่นั้นเกลียดเขายิ่งกว่าเดิม เขาถูกจับจ้องด้วยสายตาร้อนแรงหลายคู่ที่ดูอยากจะจุดไฟเผาร่างเขา

“บ้าชะมัด นี่ข้าไปสังหารบิดาหรือขโมยภรรยาของพวกเจ้ามาหรือไร? ความเกลียดชังระดับนี้มันยุติธรรมแล้วหรือ?”

ฟางหยวนถึงกับพูดไม่ออก

อันที่จริง หลินเหลยเยว่คือหนึ่งในหญิงสาวที่งดงามที่สุดในสํานักกุยหลิง รวมกับพรสวรรค์ของนางและบุคลิกนุ่มนวล แล้วยังสถานะสูงส่ง นางจึงเป็นที่ปรารถนาของผู้อื่นมากมาย ดังนั้น เมื่อผู้ชื่นชมเหล่านั้นพบว่าฟางหยวนคืออดีตผู้ที่มีสิทธิ์ครอบครองนาง พวกมันจึงมองฟางหยวนด้วยความรู้สึกเป็นศัต รู

“อ่า.. ฮ่าฮ่า!”

ฟางหยวนรู้สึกกระอักกระอ่วนนิด ๆ ในการจัดการกับคุณหนูฉิง แต่ไม่ใช่กับหลินเหลยวเยว่

อย่างไรเสียเขาก็เคยเห็นนางเติบโตขึ้นมา และพวกเขาไม่ได้เป็นศัตรูคู่แค้นกัน ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องรู้สึกผิด

“เป็นเจ้าสินะ น้องเหลยเยว่ ดูเหมือนว่าเจ้าจะอยู่ในสํานักกุยหลิงได้อย่างมีความสุขดี น่ายินดียิ่งนัก!”

“ข้าต้องขอโทษกับเรื่องเมื่อสักครู่ด้วย!”

หลินเหลยเยว่พลันหน้าแดงขึ้นนิด ๆ ก่อนจะโค้งตัวลงเป็นเชิงขออภัย

นางไม่แน่ใจในความรู้สึกที่นางมีต่ออดีตคู่หมั้นนัก

แต่หลังจากพบกันครั้งนี้ อย่างน้อยนางก็น่าจะเข้าใจได้แล้วว่าโลกนั้นกว้างใหญ่และนางไม่จําเป็นต้องจํากัดโอกาสของตัวเองแต่อย่างใด

“ฉิง พี่ฟางเป็นเพื่อนของข้า เรื่องทั้งหมดนี่น่าจะแค่ล้อกันเล่น พวกเราจบเรื่องนี้แค่นี้ดีไหม?”

เหลยวเยว่บีบมือเสี่ยวฉิง

อย่างไรเสีย มันก็จะทําลายชื่อเสียงของพวกนางได้หากโลกรู้ว่าตําหนักสี่ทะเลปฏิบัติไม่ดีต่อลูกค้า มันมีข่าวลือแพร่ออกไปว่าตําหนักสี่ทะเลนั้นรับใช้สํานักกุยหลิง และเรื่องนี้ก็จะเป็นการยืนยันข่าวลือนั่น หลินเหลยเยว่ไม่ต้องการเช่นนั้น

“ได้!”

เสี่ยวฉิงรู้สึกอยากร้องไห้ เงินที่นางแอบเก็บออมไว้ล้วนสูญไป

“แต่… เจ้าต้องคืนปิ่นนั่นให้ข้า! มัน มันเป็นของขวัญวันเกิดของข้าจากท่านตา!”

ที่จริงแล้ว เสี่ยวฉิงแต่งเรื่องขึ้นมา มันก็แค่ว่านั่นเป็นอัญมณีชิ้นที่แพงที่สุดในของทั้งหมด

“โอ้ ข้าขอโทษที!”

ฟางหยวนหัวเราะและเอาปืนออกมา

“ถ้าข้าล่วงเกินอันใดเจ้าไป คุณหนูฉิง ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ถือสาข้านะ!”

“ตามนั้น!”

ดวงตาของเสี่ยวฉิงสาดประกาย และคว้าเอาปืนจากมือฟางหยวนอย่างรวดเร็ว เธอพลันคิดเสียดายกับตัวเอง “ถ้าข้ารู้ว่า เจ้าหมอนี่จะให้ความร่วมมือดีเช่นนี้ ข้าน่าจะทวงของอีกสักหลายชิ้นจากเขา… ฮือออ…”

ยิ่งนางคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งสาปส่งอยู่ในใจ

“ดีแล้ว ดีแล้ว”

หลินเหลยเยว่อดไม่ได้กระซิบใส่หูเสี่ยวฉิง

“จริงรึ?”

สิ่งที่นางได้ยินทําให้นางรู้สึกยินดีนัก เสี่ยวฉิงกระโดดขึ้น ๆ ลง ๆ พยักหน้าอย่างแรง

“ตกลง ตกลง ตกลง!”

จากนั้นนางก็หันไปหาฟางหยวนและพูด “เรื่องที่ผ่านไป แล้วก็แล้วไปเถิด ข้าจะไม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาอีกต่อไป พี่ฟาง เชิญท่านมาปล้นข้าอีกรอบก็ได้นะ ยังไง เดี๋ยวก็มีบางคนจ่ายคืนให้ข้าเท่าตัวอยู่ดี.. โฮะโฮะ!”

หลังจากคําพูดหลุดปากนางไป เสี่ยวฉิงก็รู้ทันทีเลยว่านางพลาดเสียแล้ว และรีบยกมือขึ้นอุดปากตัวเอง

“ใครเลยจะรู้ว่าเจ้าเด็กนี่ช่างงกเงินและขี้เหนียวขนาดนี้”

ผู้คนรอบ ๆ เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นและไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเสี่ยวฉิงดี

“พี่ฟาง ท่านมาที่นี่เพราะเรื่องของช่งจงใช่หรือไม่? ถ้าข้าจําไม่ผิด ท่านไม่รู้วิทยายุทธ์…”

หลินเหลยเยว่ยิ้มสุภาพ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างแคล่วคล่องราวกับเมื่อครู่ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น

“อ้อ ข้าเพิ่งได้ฝึกมาเล็กน้อย และข้าก็อยากจะเห็นความพลุกพล่านนี้ด้วยตาตัวเองน่ะ!”

ฟางหยวนตอบง่าย ๆ

“ซึ่งจงนั้นร้ายกาจและหัวแข็งนัก และยังมีความสามารถเชิงยุทธ์สูง เขายังคงเป็นตัวอันตรายแม้ว่าจะบาดเจ็บ กรุณาระวังตัวด้วย!”

หลินเหยวเยว่ไม่รู้เรื่องเบื้องหลังของฟางหยวน และเตือนเขาด้วยความเป็นห่วง

“อืม!”

ฟางหยวนพยักหน้าและหมุนตัวกลัวเตรียมจะจากไป

“หยุดก่อน!”

ถึงตอนนี้ ชายหนุ่มที่อยู่ในเหตุการณ์ผู้หนึ่งก้าวเข้ามายืนตรงหน้าฟางหยวน ปิดทางเดินของเขาไป

“เจ้าไม่ได้ยินที่น้องหลินพูดหรือ? นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะอยู่ได้ นาน ๆ อย่าคิดว่าเจ้าจะสามารถวิ่งวุ่นวายไปมาได้ด้วยความ สามารถน้อยนิดที่มี รีบไปซะตั้งแต่ตอนที่ยังทําได้!”

ลูกศิษย์ชายกลุ่มหนึ่ง แม้ว่าจะมีโอกาสในตัวหลินเหลยเยว่เป็นศูนย์ แต่ก็ยังกังวลว่าระหว่างฟางหยวนและหลินเหลยเยว่จะเกิดความรู้สึกใดต่อกัน พวกมันมีเป้าหมายเดียวกันอยู่ในใจ กําจัดคู่แข่งผู้นี้เสีย!

“โอ้ พี่จ้าว ท่านผิดแล้ว!”

ลูกศิษย์ชายหน้าปรผู้หนึ่งหัวเราะเย็นชาและก้าวออกมาข้างหน้า

“ในเมื่อนายน้อยฟางผู้นี้สามารถรังแกน้องฉิงของพวกเราได้ นั่นแสดงว่าเขาต้องมีวรยุทธ์สูงมากนะ แม้ว่าข้าจะไม่ได้เก่งกาจ แต่ข้าขอท้าเจ้าสู้ ออมมือให้ข้าด้วย!”

“เจ้ามองข้ามข้าเช่นนี้ได้อย่างไร?

“ข้าด้วย! ข้าคนหนึ่ง!”

ลูกศิษย์ชายเหล่านี้เริ่มพลุ่งพล่าน ดวงตาเริ่มมีเป็นประกายกระหายเลือด

นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะพิสูจน์ตัวเองต่อหน้าหลินเหลยเยว่!

“ฉิง บอกข้าตามตรง วิชาชิงถั่วที่อาจารย์สอนเจ้านั้น เจ้าฝึกถึงระดับใดแล้ว?”

ขณะที่สังเกตความเป็นไปรอบ ๆ ตัว หลินเหลยเยว่ก็ดึงเสี่ยวฉิงมาข้างตัว และกระซิบถามชิดหูนาง

“ระดับ 5!”

เสี่ยวฉิงแลบลิ้น

“….”

หลินเหลยเยว่หายใจเอาลมเย็นเยือกเข้าไป

เสี่ยวฉิงเป็นเด็กคลั่งยุทธ์ นางเป็นคุณหนูที่มีเบื้องหลังเป็นผู้ที่มีอํานาจภายในสํานัก ไม่มีศิษย์ชายผู้ใดกล้าประมือกับนางแบบเต็มฝีมือ ผลก็คือมีคนไม่มากที่รู้ความสามารถที่แท้จริงของเสี่ยวฉิง

แต่กับฟางหยวน ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งฝึกวิทยายุทธ์เพียงแค่ไม่นานเองมิใช่หรือ? แล้วเขาเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ระดับประตูทองที่ 5 ได้อย่างไร?

หลินเหลยเยว่สังเกตฟางหยวนอยู่อีกครู่หนึ่ง และรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าชายหนุ่มจากหุบเขาผู้นี้นั้นลึกลับยิ่งนัก นางอยากจะคลี่คลายสถานการณ์นี้แต่กลับนึกคําพูดไม่ออก

“นี่…”

ฟางหยวนกวาดตามองรอบตัวทันทีและสรุปได้ว่าทั้งหมด เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ระดับประตูทองที่ 4 หรือ 5 พวกมันไม่ใช่คู่มือของเขา โดยเฉพาะหลังจากที่เขาได้กินอาหารวิญญาณมาตั้งมาก

“นี่…คือผลของพลังเวทย์?”

ฟางหยวนรู้สึกดีใจขึ้นมาทันที พลังเวทย์ให้ทั้งความตื่นตัว และอํานาจจิต! ถ้าเขามีพลังเวทย์มากกว่าปกติ เขาย่อมสามารถประเมินระดับวิชาของศัตรูได้ผ่านการสังเกตรายละเอียดต่าง ๆ และเขายังสามารถปิดบังความสามารถของตัวเองได้อีกด้วย แน่นอนว่าเงื่อนไขก็คือเขาต้องมีระดับวิทยายุทธ์ไม่ต่ำไกว่าคู่ต่อสู้มากนัก

ตอนนี้ หลังจากฟางหยวนประเมินดูแล้ว ไม่มีใครในกลุ่มคู่ต่อสู้ของเขาสามารถบอกได้เลยว่าเขาเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งที่ผ่านประตูทองที่ 5 แล้ว ตรงกันข้าม ทั้งระดับวิชาและความสามารถของพวกมันกลับถูกฟางหยวนมองออกทั้งหมด

“ข้าไม่สามารถประเมินระดับของหลินเหลยเยว่ได้ถนัดนัก นางมีรังสีที่กระจ่างและสดใสเป็นประกายแผ่ออกมาจากร่าง นั่นไม่ธรรมดา!”

ฟางหยวนเพิ่มความตื่นตัวแต่ภายนอกทําท่าเหมือนคนจนมุม

“นี่…ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย! ข้าเป็นแค่คนบ้านนอกคอกนาที่ควบคุมพลังไม่ได้ ถ้าข้าทําพวกเจ้าบาดเจ็บสาหัสขึ้นมาเล่า?”

“อะไรนะ?!”

กลุ่มลูกศิษย์ชายโมโหโกรธาขึ้นมาจากคําพูดถากถางของฟางหยวน และศิษย์หน้าปรก็ตะโกนขึ้นมา “ถ้าข้าถูก เจ้าฆ่า ก็บอกได้เลยว่าข้ามันโชคร้ายเอง ไม่ต้องล้างแค้นแทน ข้าทุกคนที่นี่เป็นพยานได้”

“เข้ามา!”

ภายใต้สายตาของหลินเหลยเยว่และศิษย์น้องผู้หญิงอีกหลายคน เขาอยากจะอวดโอความสามารถและกระโจนเข้าไปลงมือ

“ข้าน้อยซุนเตี๋ยชู รอการสั่งสอนจากเจ้าอยู่!”

“เจ้าโง่!”

ถึงตอนนี้ ฟางหยวนก็ลอบกลอกตา

ถ้าทั้งหมดลงมือใส่ฟางหยวนพร้อมกัน เขาก็คงจะแพ้ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน

แต่กลุ่มตัวตลกตรงหน้านี้ตั้งใจจะเปลี่ยนหน้ากันมาลงมือทีละคน คงจะเหนื่อยกับการมีชีวิตอยู่แล้วสินะ!

มันพอดีกับที่เคล็ดอินทรีเหล็กของเขานั้นต้องการการฝึกฝนมากขึ้นเพื่อเพิ่มคะแนนในแถบสะสมประสบการณ์ การต่อสู้ครั้งนี้จึงนับเป็นโอกาสอันดี

แต่ขณะที่ฟางหยวนเตรียมตัวรับมือนั้น ขนบนตัวก็ลุกชันขี้นมา

ความรู้สึกเย็นเยียบเช่นนี้ทําให้เขานึกถึงตอนที่อายุสี่หรือห้าขวบ เขาเข้าไปในปาและถูกหมาป่าที่ซ่อนอยู่ในเงามืดจับตาม

“นี่ใช่…ลอบสังหาร?”

ฟางหยวนไถลไปด้านหลังหลายก้าวและเหลือบมองหลินเหลยเยว่ จากนั้นเขาก็ระลึกได้!

“เป็นซ่งจง!”

“ไม่คิดว่ามันจะหัวแข็งถึงเพียงนี้ แม้จะเป็นที่หมายหัวจากศัตรูทุกด้าน มันก็ยังเลือกที่จะลงมือสู้แทนที่จะซ่อนตัวเอาไว้”

“หลินเหลยเยว่คือลูกศิษย์สายตรงของเจ้าสํานักและมีฐานะที่สําคัญยิ่ง นางน่าจะเป็นตัวประกันที่ดี!”

“แต่ไม่ใช่มีข่าวว่าซ่งจงได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วหรอกหรือ? เรื่องนั้นไม่จริงหรอกรึ”

….

ในหัวของเขากําลังหมุนติ้ว ฟางหยวนทิ้งระยะห่างระหว่างตัวเองกับหลินเหลยเยว่

นางคือจุดศูนย์กลางของปัญหา และจะดีที่สุดถ้าอยู่ให้ห่าง จากนางเอาไว้

“เจ้าหัวขโมย เจ้าจะหนึ่งั้นรึ?”

เมื่อชุนเตี๋ยชูเห็นฟางหยวนถอย เขาก็ชะงัก

“เจ้าเล่นตลกอยู่หรือไง? ยอมรับแล้วหรือว่าเจ้ามันก็แค่ขยะชิ้นหนึ่ง?”

“อ่า… ใช่ ข้ามันร่างกายอ่อนแอ ข้าจะเป็นคู่มือของพวกเจ้าได้อย่างไร? เป็นที่น่าขบขันแล้ว! ข้าขอตัว!”

ฟางหยวนพ่นคําพูดไร้สาระมากมายออกมาก่อนจะถอยไปที่ด้านข้าง

ตอนนี้เองที่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป!

Carefree Path of Dreams

Carefree Path of Dreams

Score 10
Status: Completed

บทนำ

นี่เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตสันโดษอยู่บนภูเขา ปลูกพืช เลี้ยงปลา และฝันถึงความฝันของเขา

เอ๋?

จู่ ๆ ข้าก็ออกไปพิชิตทั่วหล้าและกลายเป็นผู้ครองโลกเหรอ?

หรือว่าข้ายังอยู่ในความฝันกันแน่?

Options

not work with dark mode
Reset