พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว
หมอกยังคงลอยคลุมยอดเขาขจีและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ฟางหยวนมองไปที่หน้าผาอย่างคาดหวัง
เงาร่างสีขาวเข้าไปถึงตรงหาดทรายแล้ว ยืดกรงเล็บเท้าหน้าออกและดูเหมือนว่ามันกำลังคุ้ยอะไรสักอย่าง
“แกว๊ก!”
ที่ด้านบนหน้าผา นกหงเอี่ยนป๋ายจำนวนมากกระพือปีก จิกจะงอยปากไปมา ไม่ได้ระแวงระวังอะไรกับเหตุการณ์บนหาดทราย
เพียงครู่เดียว เงาร่างสีขาวนั่นก็ถอยออกมาและกลับเข้าไปในหมอก
“ฮ่าฮ่า… ฮวาหูเตียว ทำได้ดีมาก!”
เงาร่างสีขาวนั่นแท้จริงคือฮวาหูเตียวนั่นเอง
ฟางหยวนไม่อยากจะกลับไปมือเปล่า ดังนั้นจึงให้ฮวาหูเตียวเข้าไปขโมยปุ๋ยวิญญาณมาสักหน่อย อย่างที่มันเคยทำเมื่อก่อนหน้านี้
อย่างไรเสีย ด้วยขนาด สี และความเร็วของฮวาหูเตียวย่อมทำให้มันสามารถหนีออกมาได้หากถูกพบ จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกับงานนี้
และหลังจากมีฟางหยวนเป็นคู่หู มันก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ฟางหยวนรับถุงผ้าที่เต็มจนป่องมาจากคอของฮวาหูเตียวแล้วยิ้ม “ดี อีกรอบนะ แล้วพวกเราก็วางใจได้ว่าจะมีข้าวหยกแดงกับชาวิญญาณเพียงพอสำหรับฤดูนี้!”
“กิ๊กี๊!”
ฮวาหูเตียวยกเท้าหน้าขึ้น ทำท่าต่อรอง
“ตกลง ข้าจะแบ่งชาวิญญาณให้เจ้าแน่ ๆ!”
ฟางหยวนอดรู้สึกละอายไม่ได้ เขารู้สึกว่าฮวาหูเตียวฉลาดขึ้นจนรู้จักต่อรอง! มันต้องถูกควบคุมเสียบ้างแล้ว!
“ไป!”
เพียงแค่กระดิกหาง ฮวาหูเตียวก็พุ่งไปตามทางเพื่อขโมยปุ๋ยวิญญาณเพิ่มอีก
ตราบเท่าที่ฟางหยวนยอมตกลงตามที่มันต้องการ ก็ไม่มีปัญหาอะไร
“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้… น่าเสียดายที่ข้ายังไม่สามารถเป็นเจ้าของมันได้ตอนนี้ ช่างน่าเสียดาย…”
ฟางหยวนจ้องมองยอดเขาขจี ในสายตาเต็มไปด้วยความเสียดาย
เขารู้ว่าแม้จะมีขุมทรัพย์อยู่ในดินแดนแห่งนี้ แต่นกหงเอี่ยนป๋ายพวกนี้ย่อมเป็นเจ้าของดินแดน และการมีพวกมันอยู่ เขาย่อมไม่สามารถทำอะไรในดินแดนแห่งนี้ได้
ดังนั้น เป้าหมายระยะสั้นของเขาก็คือเข้ามาในเทือกเขานี้เพื่อนำเอาปุ๋ยวิญญาณออกไป
“ปัญหาเดียวของปุ๋ยวิญญาณนี่ก็คือ…”
ฟางหยวนมองขึ้นไปบนหน้าผาและเห็นจุดสีขาว ๆ ร่วงลงมา สีหน้าเขาเปลี่ยนไป “โอ๊ย บ้าเอ๊ย!…. ฮวาหูเตียวกับข้ากำลังเก็บขี้นกหรือนี่!”
ใช่แล้ว!
หาดทรายสีขาวใต้หน้าผาคือสถานที่ที่นกหกเอี่ยนป๋ายพวกนี้มาขับถ่ายใส่
ปุ๋ยสำหรับพืชวิญญาณที่ให้ผลลัพธ์เลิศเลอนั้น อันที่จริงแล้ว เป็นสิ่งขับถ่ายของนกพวกนี้!
เป็นการค้นพบที่ทำให้ฟางหยวนพูดไม่ออก
อย่างไรเสีย งานนี้ก็ต้องดำเนินต่อไป
“เอาเถอะ ขี้นกเองก็เป็นปุ๋ยโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แล้วเพราะนี่เป็นนกกึ่งสัตว์วิญญาณหรืออาจจะเป็นนกวิญญาณเลยก็ได้ ขับถ่ายออกมา ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ขี้นกพวกนี้จะให้ผลดีเป็นพิเศษ…”
ฟางหยวนนั้นเคยชินกับการออกแรงทำงานเองตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจนัก หลังจากจัดการปัดความคิดนั้นออกไป เขาก็เริ่มจัดการกับของที่ได้มา
จากที่ฮวาหูเตียวไปกลับหลายรอบ และขอบคุณความไม่สนใจของนกหงเอี่ยนป๋ายพวกนั้น ฟางหยวนก็เก็บ ‘ปุ๋ยวิญญาณ’ ได้จำนวนมาก เพียงพอให้เขาเพาะและปลูกข้าวหยกแดงเพิ่มขึ้นสักหลายแปลง และยังพอให้ต้นชาวิญญาณอีกหลายแปลงด้วย
เขายังได้โอกาสจับนกหงเอี่ยนป๋ายที่แยกตัวเดี่ยว ๆ ออกมาอีกจำนวนหนึ่ง และกินพวกมันเป็นอาหารอยู่หลายมื้อ เป็นการแก้แค้นที่ก่อนหน้านี้ทำพวกเขาเสียกระบวนไป
อันที่จริงแล้ว ฟางหยวนก็แค่อยากจะได้ประโยชน์จากพลังวิญญาณที่อยู่ในเนื้อนก รวมทั้งฮวาหูเตียวเองก็ด้วย ทั้งคู่จึงออกแรงล่านกหงเอี่ยนป๋ายสักหลายตัว
ไม่ช้า นกพวกนี้ก็เริ่มได้รับบทเรียน และน้อยครั้งที่จะออกจากหน้าผา หรือถ้าออกมา ก็จะมาเป็นฝูง และยังมีราชานกบินลาดตระเวนรอบ ๆ พื้นที่ ทำให้ฟางหยวนต้องหยุดการล่าลง
แต่โดยสัตย์แล้ว ตอนที่ฟางหยวนเห็นราชานก ที่มีขนาดใหญ่มหึมา มีระยะกางปีกกว้างเป็นหลายเมตร เป็นครั้งแรก เขาถึงกับตะลึงงันไปเลย
นั่นต้องเป็นนกวิญญาณแน่ ๆ!
แม้แต่นกระดับหัวหน้าบางตัวก็ยังมีพลังวิญญาณในระดับราชานก!
หลังจากการสังเกตคราวนี้ ฟางหยวนก็ยอมแพ้ที่จะเข้าครอบครองเทือกเขาขจีนี้เป็นของตน
“กีกี๊!”
ฮวาหูเตียวพุ่งกลับมาพร้อมกับถุงผ้าที่เต็มไปด้วยปุ๋ยวิญญาณอีกรอบ และภารกิจของทั้งคู่ก็สำเร็จลงแล้ว
นี่เป็นเรื่องธรรมดา แม้ฝูงนกหงเอี่ยนป๋ายจะมีความฉลาดเทียบเท่ามนุษย์ทั่วไป พวกมันจึงไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งขับถ่ายของพวกมันเองนัก
“ได้เวลากลับกันแล้ว!”
ฟางหยวนแบกตะกร้าที่เต็มไปด้วยปุ๋ยวิญญาณไว้ เดินออกจากหมอก และเมื่อมองกลับไป นึกถึงประโยคจากโลกในความฝัน “ข้าจะกลับมา!”
ในตอนนี้ ฟางหยวนไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว
…
“นกหงเอี่ยนป๋าย รอก่อนเถอะนะ สักวัน ข้าจะเปลี่ยนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดนี้มาเป็นไร่สวนศักดิ์สิทธิ์ของข้า…”
สำหรับคนที่รักการทำไร่ทำสวน เห็นผืนดินดีงามกำลังเสียเปล่าไปเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้
แม้ว่าเขาจะกลับมาพร้อมกับตะกร้าเต็มแน่น แต่ความเจ็บแค้นต่อนกพวกนั้นก็ยังอยู่
การเดินทางกลับนั้นราบรื่นกว่าตอนเข้าไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาก เมื่อเขาอยู่ในระยะมองเห็นหุบเขาสันโดษแล้ว ฟางหยวนก็คิดไว้แล้วว่ามันจะเป็นยังไงเมื่อมีข้าวและชาวิญญาณมากมายให้เก็บเกี่ยว
แต่เมื่อเขามาถึงปากทางเข้าหุบเขา ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป “มีคนมาที่นี่!”
รอบ ๆ หุบเขาเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิง มีคราบเลือดอยู่ทุกหนแห่ง เป็นหลักฐานว่ามีคนมาที่นี่
“จากรอยแล้ว คนผู้นั้นไม่ได้อยู่นานนัก!”
ฟางหยวนแตะรอยเลือดบนใบไม้ มองเข้าไปในหุบเขา วางตะกร้าลงก่อนจะเดินเข้าไปในหุบเขาสันโดษ
“ออกมา!”
ฮวาหูเตียวดม ๆ ไปทั่วพื้นก่อนจะกระโจนออกไป
ฟางหยวนยืนอยู่ตรงทางเข้า และรออย่างเยือกเย็น
ครู่หนึ่งผ่านไปแต่ไม่มีการเคลื่อนไหวใด
ฟางหยวนย่นคิ้วและโบกมือ ฮวาหูเตียวกระโดดออกมาโผล่หัวออกมาราวกับมันรู้สึกประหลาดใจอะไรสักอย่าง
“หือ?”
ฟางหยวนเดินเข้าไป และเห็นคนผู้หนึ่งนอนอยู่บนพื้น ชายผู้นั้นหน้าซีดเผือด มีเลือดเกาะกรังบนหน้าอก เขาดูคุ้นหน้ามาก
“โจวเหวินอู่จากตระกูลโจว? ทำไมถึงมีสภาพเช่นนี้?”
เขาแตะชีพจรของโจวเหวินอู่ “บาดเจ็บสาหัส แม้จะสลบไป แต่ก็ไม่อันตรายถึงชีวิต… ทำไมเจ้าคนนี้ถึงได้กล้าเข้ามาในที่ของข้าและก่อปัญหาให้ข้ามากขึ้น?”
ฟางหยวนรู้สึกพูดไม่ออก เดินตรงไปยังปากทาง
ก่อนหน้านี้ ฮวาหูเตียวเตือนเขาแล้วว่ามีคนแปลกหน้าอยู่ใกล้ ๆ นี่
“นั่นใคร?”
เขาเดินออกมาจากบ้าน และเห็นชายชุดดำผู้หนึ่ง เขาดูอายุราว 30-40 ปี
“เห? เจ้ารู้สึกถึงข้าด้วย?”
ชายวัยกลางคนรู้สึกประหลาดใจ แต่น้ำเสียงยังอวดข่ม “ข้าเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสซ่งแห่งสำนักชิงหลิง ซ่งซาน และข้าได้รับคำสั่งให้มากำจัดเจ้าเด็กจากตระกูลโจว และถ้าเจ้ารู้จัก…”
“โอ้! คนผู้นั้นอยู่ในบ้าน มาพาเขาไปได้เลย!”
ฟางหยวนพยักหน้าอย่างใจเย็น และทำให้ซ่งซานรู้สึกประหลาดใจยิ่งจนลืมไปว่าเขาต้องการพูดอะไร
เหตุการณ์แบบ ‘ข้า-ยัง-ไม่-ทัน-ขู่-เจ้า เจ้า-ก็-ร่วม-มือ-แล้ว’ นี้ทำให้คนผู้หนึ่งสับสนได้จริง ๆ
คนผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป!
ซ่งซานรู้สึกสับสนและนิ่งมองโจวเหวินอู่ถูกโยนออกมาราวกับขยะ “ข้ามีความสัมพันธ์แค่ หมอกับคนไข้ กับคนผู้นั้น ดังนั้นเชิญพาเขาไปได้เลย!”
กับฟางหยวน ตระกูลโจวไม่นับเป็นกระได้เลย
เขาช่วยชีวิตเหล่าโจวไว้และได้ตำรายุทธ์จากเขา และยังปกป้องโจวเหวินซินไว้ช่วงระยะหนึ่งด้วย นั่นก็เกินกว่าที่เขามักจะทำในเวลาปกติ
ไม่มีเหตุผลให้ต้องเสี่ยงชีวิตตัวเองปกป้องลูกชายของเหล่าโจวไว้
“เขาคือโจวเหวินอู่จริง ๆ!”
ซ่งซานก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง จดจำคนผู้นั้นได้ แต่รู้สึกยินดี เขาหมุนตัวกลับมา มองฟางหยวนและถาม “เจ้าเป็นหมอที่นี่งั้นรึ?”
“ข้าเพียงรู้เรื่องการรักษาพื้นฐานเท่านั้น..”
ฟางหยวนพยักหน้า
“ดังนั้นเจ้าก็คือคนที่แก้พิษให้เหล่าโจว?”
“พิษ?”
ฟางหยวนรู้สึกสงสัยขึ้นมา
เขารู้ว่าเหล่าโจวถูกพิษคู่รักเมามาย และเหล่าโจวเองก็รู้เช่นกัน แต่ทำไมชายผู้นี้ถึงรู้เรื่องนี้ด้วย?
นอกเสียจากว่าเขาเป็นผู้วางยาพิษเหล่าโจว!
“พิษอะไร? ข้าไม่เห็นรู้!”
ฟางหยวนยังคงยืนกราน
‘รู้ขีดจำกัดของตัวเอง และรู้ว่าเมื่อใดควรถอย!’
มองฟางหยวนแล้ว ซ่งซานก็รู้ว่าถ้าเป็นศิษย์อื่นที่ถูกส่งมาที่นี่ ก็คงจะปล่อยคนผู้นี้ไปและผูกมิตรกับเขา
มีคนไม่มากนักที่จะกล้าเล่นตามน้ำไป
คนผู้นี้โชคไม่ดีที่พบเขา ซ่งซาน เพราะว่าเขาเพิ่งถูกอาจารย์ตำหนิมาไม่นานนี้
ซ่งซานยังคงทำหน้าเคร่งขรึม แสยะยิ้ม “โจวเหวินอู่เลือกที่จะมาหาเจ้าในช่วงสุดท้ายของชีวิต ดังนั้นเจ้าต้องเป็นพวกเดียวกับตระกูลโจวเป็นแน่!”
ฟางหยวนมีท่าทีจริงจังขึ้น
“ข้าไม่ต้องการกวนน้ำขุ่นนี่..”
ฟางหยวนถอนหายใจ “ทำไมคนบางคนถึงรนหาที่ตายนักนะ?”
“ฟุ่บ!”
เขากลายเป็นประกายแสงสีดำพุ่งตรงไปข้างหน้า ทั่วทั้งร่างกลายเป็นสีดำ ราวกับสวมไว้ด้วยเสื้อผ้าทำจากเหล็กกล้าชั้นหนึ่ง
“เคล็กกรงเล็บอินทรีเหล็ก?!”
ซ่งซานเคยได้ยินเคล็ดวิชาโด่งดังนี้มาก่อน และเคยเห็นอวี้ชิวเหลิ่งใช้ออก
เมื่อเห็นวิชาของศัตรูแล้ว ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็น [ผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองที่ 3)] หรือ [ผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองที่ 4)] แล้วจะเป็นคู่มือแก่ฟางหยวนที่เป็น [ผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองที่ 5)] ได้อย่างไร?
“เจ้ารนหาที่ตายแล้ว!”
ซ่งซานแสยะยิ้ม มือขวากำเป็นหมัด รวบรวมพลังและเตรียมโต้กลับ
แต่ในขณะนั้นเอง ฟางหยวนก็ยิ้มออกมา “เจ้าโง่ เจ้าถูกหลอกแล้ว!”
ที่กลางอากาศ เขาเปลี่ยนเคล็ดวิชา กรงเล็บกลายเป็นฝ่ามือ ที่มีจุดสีดำเป็นวงตรงกลาง กดลงด้วยพลังหนัก ๆ ราวกับเป็นค้อนอันใหญ่ตวัดทุบลงมา
[ฝ่ามือทรายดำ (ระดับ 5)]!
“เจ้า…”
ซ่งซานมือไม้ปั่นป่วน ร่างปลิวขึ้นไปกลางอากาศ กระอักเลือดออกมา
“เป็นเจ้า!”
เขานอนอยู่บนพื้น มีเลือดซึมไหลออกจากริมฝีปาก รู้สึกสำนึกเสียใจขึ้นมา
เป็นเพราะเขาได้รู้ในตอนนี้เองว่า ชายหนุ่มที่ดูไร้พิษภัยคนนี้คือฆาตกรสังหารซ่งอวี้เจว๋ แต่เขาก็ไม่สามารถนำข่าวนี้ออกไปบอกใครได้อีกต่อไปแล้ว