“ท่านพ่อ…”
ที่ด้านนอกหุบเขา โจวเหวินอู่มองกลับไปทางหุบเขาก่อนจะพูด “ให้น้องไปเป็นคนรับใช้ของผู้อื่น? ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไป ไม่รู้ว่าชื่อเสียงของตระกูลโจวเราจะเป็นอย่างไร?”
“เจ้ากังวลมากไปแล้ว ถ้าพวกเราไม่พูดออกไปเอง ย่อมไม่มีใครรู้ว่านั่นคือเหวินซิน!”
โจวตงส่ายหน้าพลางพูด “น้องของเจ้าดื้อด้านเกินไปแล้ว ถึงเวลาต้องหาผู้อื่นมาช่วยให้นางปรับปรุงตัวแล้ว ตอนนี้ข้ายังมีชีวิตอยู่ทุกอย่างย่อมไม่เป็นไร แต่เมื่อข้าจากไป นางที่เป็นเช่นนั้นจะนำปัญหามาให้ตระกูลโจวเรา!”
“แต่…”
โจวเหวินอู่ไม่เห็นด้วย “ข้ายังคงรู้สึกว่านี่ไม่เหมาะสม ชื่อเสียงของน้อง… เดี๋ยวนะขอรับ ท่านพ่อ นี่ท่านต้องการให้…”
“ฮ่าฮ่า นายน้อยผู้นั้นไม่ใช่คนแบบนั้น แต่ถึงใช่ จะมีอะไรเสียหายหากข้าจะได้คนผู้นั้นเป็นลูกเขย?”
โจวตงลูบหนวดและพูดต่อ “แม้ว่าน้องสาวเจ้าจะดื้อด้าน แต่โดยพื้นฐานนางเป็นคนดี พวกเราปล่อยให้พวกเขาอยู่ด้วยกันไปก่อน แม้ว่าในที่สุดแล้วความสัมพันธ์ของพวกเขาจะไม่คืบหน้าไป อย่างน้อยน้องสาวของเจ้าก็ยังได้ประโยชน์ เรียนรู้วิชาเล็ก ๆ น้อย ๆ จากนายน้อยผู้นั้น!”
“ท่านพ่อ ดูเหมือนท่านจะมั่นใจในตัวนายน้อยผู้นั้นมาก!”
สุดท้ายโจวเหวินอู่ก็ยอมปิดปาก เขารู้ว่าโจวตงตัดสินใจไปแล้วและจะไม่เปลี่ยนใจไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ถึงแม้ว่าจะต่างความคิดกัน แต่การแต่งน้องสาวหรือลูกสาวของคนผู้หนึ่งแก่ชายผู้มีความสามารถนั้นไม่ใช่อะไรที่ผู้อื่นจะมาดูถูกได้
“อย่าว่าแต่…”
โจวตงถอนหายใจยาว “สถานการณ์ของเมืองชิงเย่นั้นยังคาดเดาไม่ได้ ข้าจำต้องหาทางเดินอื่นแก่ตระกูลโจว เหวินอู่ เจ้าไม่ต้องตามข้ากลับเข้าไปในเมือง ตรงไปที่มณฑลเลี่ยหยางหาป้าของเจ้า พักอยู่ที่นั่นสักพัก ดูแลตัวเองให้ดี ๆ!”
“สถานการณ์ตอนนี้เลวร้ายถึงขั้นนั้นเชียว?”
โจวเหวินอู่ประหลาดใจ และนี่หมายถึงว่าโจวตงจะเข้าเมืองไปผู้เดียวและอยู่ห่างไกลจากผู้อื่นในตระกูล โจวเหวินอู่พูดด้วยความโมโห “ท่านพ่อ ตอนที่ซ่งอวี้เจว๋ตาย ท่านยังไม่ฟื้นตัวจากการบาดเจ็บ พวกเราทั้งตระกูลอยู่ในหุบเขานั่น ซ่งจงจะกล้าปรักปรำท่านได้อย่างไร?”
“ก่อนนั้นเขาย่อมไม่กล้า แต่ตอนนี้ยากจะพูดแล้ว…”
โจวตงส่ายหน้า
มนุษย์ที่สิ้นแล้วซึ่งความหวังนั้นน่ากลัวที่สุด ซ่งจงสูญเสียบุตรชายยามแก่เฒ่าและจากนั้นเขาจำต้องมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว มันยากที่จะบอกได้ว่าสภาพจิตใจของเขายามนี้เป็นอย่างไร
แล้วเขายังเป็นถึงผู้อาวุโส ตรงกันข้ามกับโจวตง ที่เป็นแค่ผู้ดูแลสำนักฝ่ายนอก และทั้งสองเป็นศัตรูในสำนักเดียวกัน
ถ้าอีกฝ่ายสูญเสียบุคคลที่รักยิ่งแล้วตัดสินใจจะฆ่าตัวตาย เขาอาจจะอยากพาผู้อื่นตายตกไปด้วยกันก็ได้!
ใบหน้าของโจวตงทะมึนลงและสงสัยว่าที่เขาถูกพิษดูจะเป็นฝีมือของตระกูลซ่ง
แน่นอนว่าโจวเหวินอู่ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้
“ท่านพ่อควรอยู่กับพวกเราทั้งหมดนี่ พวกเราไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรเพราะเราไม่ได้ทำอะไรผิด!”
โจวเหวินอู่ตัวสั่นเมื่อคิดถึงซ่งจงซึ่งสามารถทะลวงผ่านสองขอบเขตเป็นอัจฉริยะที่มีวิชายุทธ์ระดับประตูที่ 7!
ถ้าซ่งจงเสียสติไปจริง ๆ และเริ่มสังหารทุกคนในเมืองชิงเย่ ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้เพราะเมืองนี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสำนักกุยหลิง
“จากไปงั้นรึ?”
โจวตงฟังแล้วยิ้มหดหู่ “เจ้าควรจะจากไปพร้อมน้องก่อน ข้า ในฐานะบิดา ทำเช่นนั้นไม่ได้!”
นี่เป็นการคาดเดาถึงเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ซึ่งในตอนนี้ยังไม่เป็นเช่นนั้น
ถ้าตระกูลโจวอพยพไปที่อื่น แล้วผู้อื่นในเมืองชิงเย่จะคิดอย่างไร?
ถ้าตระกูลโจวถอยและหนีไปที่อื่นเมื่อเกิดปัญหา พวกเขาย่อมอย่าคิดที่จะกลับมาที่เมืองชิงเย่อีกครั้งได้
ทุกวันนี้ แต่ละตระกูลล้วนคล้ายสัตว์ร้ายที่มีอาณาเขตในการดูแล เมืองชิงเย่เป็นอาณาเขตของตระกูลโจว ถ้าอาณาเขตนี้ถูกทิ้งไว้ ผู้อื่นย่อมเข้ามาครอบครองแทน
ดังนั้น ยิ่งสถานการณ์เลวร้ายแค่ไหน โจวตงยิ่งจากไปไม่ได้แค่นั้น
“ไม่ต้องกังวล ซ่งจงกับข้าอย่างไรก็สำนักเดียวกัน และยังมีตระกูลหลินอีก เขาไม่กล้าทำอะไรเช่นนั้น!”
แม้ว่าโจวตงจะกังวล เขาก็ยังปลอบใจโจวเหวินอู่
แม้ว่าตัวเขาเองก็รู้สึกเช่นนั้นเช่นกัน ไม่อย่างนั้น ด้วยนิสัยฉลาดแกมโกงของตัวเขานั้น เขาย่อมไม่ยอมกลับไปตายตกที่นั่น
…
“บิดาเจ้าส่งเจ้ามาเป็นคนรับใช้ข้า?”
ในเวลาเดียวกัน ฟางหยวนเหลือบมองโจวเหวินซินที่ยังคงยืนเงียบ
“มะ… ไม่แน่นอน…”
โจวเหวินซินน้ำตาไหลออกมาอีกครั้งทันทีหลังจากได้ยินที่ฟางหยวนพูด
เห็นฟางหยวนเดินเข้ามา นางก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวแล้วขยับถอยหลังสองมือโอบกอดตัวเองไว้ “จะ.. เจ้าจะทำอะไร? อย่าเข้ามาใกล้ข้านะ!”
“ทำไมเจ้าถึงทำให้ข้าดูเป็นคนเลวอย่างนั้น?”
ฟางหยวนลูบคางตัวเองก่อนพูด “ข้าไม่สนใจเจ้า แต่ถ้าข้าอยากจะใจร้าย มันไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาหรือที่จะมีคนรับใช้?”
“โฮวววว!”
หลังจากที่เขาพูด โจวเหวินซินก็ไม่สามารถอดกลั้นไว้ได้ ร้องไห้ออกมาเสียงดัง “เจ้ารังแกข้าอีกแล้ว… เจ้ามันคนเลว…”
“ขออภัยด้วย แต่เจ้าหลงตัวเองมากไปแล้ว!”
ฟางหยวนขมวดคิ้วพูด “ข้าเตรียมส่งเจ้าออกไปจากหุบเขาวันนี้แล้วแท้ ๆ!”
“อะไรนะ?”
โจวเหวินซินหยุดร้องไห้และเงยหน้าขึ้น ดวงตาฉ่ำน้ำมองสบตาฟางหยวน
นางคิดว่านางคงแย่แน่แล้วเมื่อมาตกอยู่ในมือหัวขโมยเช่นนี้ นางไม่ได้คาดไว้ว่าฟางหยวนจะไม่ได้สนใจในตัวนางและเตรียมจะส่งตัวนางกลับออกไป!
ในตอนนี้ นางรู้สึกขายหน้าแทนที่จะรู้สึกกลัว
ก่อนนี้ นางคิดว่าการเป็นคนรับใช้นั้นเป็นเรื่องน่าอาย นางไม่ได้คาดคิดเลยว่าการถูกผู้อื่นปฏิเสธที่จะรับไว้เป็นคนรับใช้นั้นน่าอับอายยิ่งกว่า!
“เจ้าไม่อยากไปรึ?”
ฟางหยวนรู้สึกสนใจขึ้นมานิด ๆ ก่อนถาม “หรือเจ้าอยากให้ข้าทรมานเจ้ามากกว่า?”
“ข้า… ข้า…”
โจวเหวินซินกัดฟันแน่น อยากจะพุ่งไปกัดชายหนุ่มหยิ่งยโสตรงหน้า
อย่างไรก็ตาม นางคิดถึงคำชี้แจงเรื่องสถานการณ์ในเมืองชิงเย่และคำดุด่าของบิดา นางหายใจเข้าลึกก่อนพูด “ข้าไม่ไป!”
“อ้าว?”
ฟางหยวนรู้สึกว่ามีอะไรแปลก ๆ เกี่ยวกับการเปลี่ยนความคิดกะทันหันของนาง “พ่อเจ้าทิ้งเจ้าแล้วใช่ไหม? ดูเหมือนว่าตระกูลของเจ้าจะได้รับผลกระทบรุนแรงจากการตายของซ่งอวี้เจว๋!”
“เจ้าอยู่ที่ในป่านี่ได้นานเท่าที่เจ้าต้องการ แต่ข้าเตือนเจ้าไว้ก่อน ห้ามเข้าไปในหุบเขา ไม่อย่างนั้นชีวิตของเจ้าจะไม่ปลอดภัย!”
ฟางหยวนให้คำเตือนและตัดสินใจกลับเข้าหุบเขาไปและได้แต่สงสัย
อย่างไรก็มีฮวาหูเตียวที่จะไม่สุภาพกับผู้อื่น ถ้าแม่นางผู้นั้นตัดสินใจจะเข้ามาสำรวจในหุบเขา ฮวาหูเตียวย่อมไม่ไว้ชีวิตนางเป็นแน่
แล้วตอนนั้น นางก็จะกลายเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ไป
“ห้ามเข้าไปข้างในหุบเขา?”
แม่นางโจวมองรอบ ๆ ตัว ได้ยินเสียงคล้ายเสียงสัตว์ร้ายจากที่ไกล ๆ นางตัวสั่น ก่อนจะลั่นวาจา “ได้ ข้าจะไม่เข้าไปในหุบเขา!”
“ดีมาก!”
ฟางหยวนจากไป ทิ้งโจวเหวินซินไว้เบื้องหลัง
ด้วยสิ่งของที่ครอบครัวของนางทิ้งเอาไว้ให้ นางย่อมเอาชีวิตรอดในป่านี้ได้ ดังนั้นฟางหยวนจึงไม่ได้แสดงความกังวลใดเรื่องนาง
ส่วนข่าวเรื่องนางมาเป็นคนรับใช้ จะมีไอ้โง่คนใดเชื่อกัน? ใครกันจะอยากมายุ่งเกี่ยวในปัญหานี้?
…
“นางยังไม่ไป?”
ไม่ช้า พระอาทิตย์ก็ลับฟ้า ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ มืดลง
ฟางหยวนอ่านตำราเคล็ดวิชากรงเล็บอินทรี และออกท่าทางตามที่อ่านโดยไม่รู้ตัว เขาพบฮวาหูเตียว และถามเกี่ยวกับแม่นางโจว
ฮวาหูเตียวส่ายหน้าเหมือนเป็นมนุษย์คนหนึ่ง
“อืม… ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นที่ในเมืองชิงเย่จริง ๆ”
ฟางหยวนลุกขึ้น ผ่อนลมหายใจออกยืดยาว เขามองไปทิศทางที่เมืองชิงเย่ตั้งอยู่และพึมพำบางอย่าง
เหตุผลที่เหล่าโจวหน้าหนาพอที่จะทิ้งลูกสาวเอาไว้เป็นเพราะต้องการให้ลูกสาวได้รับการปกป้อง และยังสามารถสร้างความสัมพันธ์สายหนึ่งกับฟางหยวน
ฟางหยวนตัดสินใจหลังจากเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว
ถ้าเขาพอใจในของขวัญ เขาก็สามารถอยู่เป็นเพื่อนแม่นางผู้นั้นสักหลายวันก่อนจะส่งนางกลับเข้าเมืองไป แต่ถ้าหากไม่พอใจ เขาก็จะส่งนางกลับอยู่ดี เขาทำตามที่เขารู้สึก แล้วเหล่าโจวจะทำอย่างไรได้?
“‘เคล็ดกายาเหล็ก’ นี่…”
หลังจากไตร่ตรองจริงจังแล้ว ฟางหยวนก็เริ่มคิดเรื่องเคล็ดวิชาที่ได้มา
เขาไม่เพียงเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์วัยเยาว์ระดับประตูทองที่ 4 เขายังมีเคล็ดฝึกจิตของสำนักกุยหลิง แม้ว่าส่วนสำคัญจะขาดหายไป แต่ตำรานี่ก็มาจากสำนักกุยหลิงอยู่ดี ความรู้เกี่ยวกับวิชายุทธ์และระดับวิชาที่เอ่ยถึงด้านในย่อมไม่เป็นเรื่องเท็จ
ด้วยความมั่นใจนี้ เขามองที่เคล็ดกายาเหล็กอีกครั้งและสรุปว่าเป็นไปไม่ได้ที่โจวตงจะหลอกเขา
“ไกลที่สุดที่ข้าทำได้ตอนนี้คือ [ฝ่ามือทรายดำ (ระดับ 5)] และ [เคล็ดการหายใจอย่างหยาบ (ระดับ 5)] ข้าจำต้องเรียนวิชาอื่นเพิ่ม แต่เคล็ดกายาเหล็กนี่ไม่เหมือนกัน!”
ดวงตาของฟางหยวนเป็นประกายขึ้น “มันสามารถใช้กับเคล็ดกรงเล็บอินทรี กลายเป็นเคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็ก ซึ่งสามารถฝึกได้จนถึงประตูทองที่ 12!”
ด้วยข้อได้เปรียบนี้เพียงอย่างเดียว ฟางหยวนก็ยินดีรับคำร้องขอของโจวตง ให้ลูกสาวของเขาได้รับการปกป้องอยู่ที่นี่
อย่างไรเสีย การเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเองก็เป็นเรื่องสำคัญมาก
ของขวัญชิ้นนี้มาได้เวลาพอดี แม้ว่าเขาจะช่วยชีวิตโจวตงเอาไว้ มันก็ยังเป็นของขวัญชิ้นใหญ่เมื่อเทียบกับสิ่งที่ฟางหยวนทำให้เขา
“ประตูทองทั้ง 12 หลังจาก 8 ประตูแรกแล้ว จะตามมาด้วย 4 ประตูสวรรค์ ที่เรียกเป็น ประตูหยิน หยาง ตี่ และเทียน และในที่สุด ผู้ที่สามารถผ่านประตูสวรรค์ได้ ก็จะกลายเป็น อู่จง!”
“ตำราฝึกจิตของสำนักกุยหลิงพูดถึงไว้สั้น ๆ ในขณะที่เคล็ดกายาเหล็กไม่ได้พูดไว้ ชัดเจนว่าเคล็ดกายาเหล็กนั้นด้อยกว่าจึงไม่ได้พูดอะไรถึงอู่จงเลย!”
“แต่สำหรับข้า เคล็ดกายาเหล็กนี้เพียงพอแล้ว แต่ว่าข้าก็ไม่สามารถทิ้งฝ่ามือทรายดำได้ ข้าควรจะรีบฝึกให้ถึงระดับ 5 แล้วจากนั้นก็มุ่งฝึกเคล็ดกายาเหล็ก!”
ฟางหยวนตัดสินใจทำตามนี้
หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ผู้อื่นที่ต้องการเปลี่ยนวิชายุทธ์ของตน พวกเขาต้องใช้เวลานานมาก
สำหรับฟางหยวน เขาคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงนี้และสามารถฝึกได้เพียงแค่ฝึกฝนไม่กี่ครั้ง
หลังจากฝึกอยู่คืนหนึ่ง เขาก็รู้สึกพอใจกับความคืบหน้าในการเปลี่ยนวิชา “ถ้าข้าฝึกอีกสักหลายปี ตระกูลซ่ง สำนักกุยหลิง หรือผู้อื่นก็ไม่สามารถเทียบเคียงข้าได้!”
“กี๊กี๊!”
ฮวาหูเตียวปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน โบกกรงเล็บไปมาทำท่าทางให้ฟางหยวนดู
“โอ้? มีอะไรเกิดขึ้นกับแม่นางโจวรึ?”
ฟางหยวนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะควักผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อ เขาตรงไปที่จุดที่ตระกูลโจวเคยตั้งค่ายไว้ที่ด้านนอกหุบเขา
เขาเห็นโจวเหวินซินขดตัวอยู่มุมหนึ่ง ในมือถือชุดไฟพยายามจุดไฟสักกอง
“หึ!”
เมื่อเห็นสภาพตอนนี้ของนาง ฟางหยวนก็อดคิดไม่ได้ว่าโจวตงนั้นตลกมาก
มันน่าแปลกประหลาดพอดูที่โจวตงส่งลูกสาวของตนมาเป็นคนรับใช้ และที่ยิ่งแปลกไปกว่านั้นคือนางดูแลตัวเองยังไม่ได้เลย