“ฝ่ามือทรายดำ?”
ซ่งจื๋อเกาย่อมจำวิชายุทธ์ที่แพร่หลายนี้ได้
พูดตามตรง มันเป็นวิชายุทธ์งี่เง่าวิชาหนึ่ง มันต้องฝึกฝนเป็นระยะเวลายาวนานเพื่อให้กระดูกสามารถรับความแข็งแกร่งที่เกิดจากการฝึกวิชานี้ได้ เขานั้นได้รับการฝึกจากสำนักกุยหลิง วิชานี้จึงไม่นับเป็นกระไรได้สำหรับเขา
แต่ว่าซ่งจื๋อเกาก็ไม่อยากจะเชื่อว่าพลังจากวิชานี้จะยิ่งใหญ่เมื่อถูกใช้ออกโดยบางคน
เมื่อทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ก็มีเสียงกระดูกหักดังทึบให้ได้ยิน ซ่งจื๋อเกาได้รับประสบการณ์เจ็บปวดสุดแสนที่แขนทั้งสองข้างและกรีดร้องออกมา ร่างของเขาปลิวไป เลือดของเขากระเซ็นไปทั่วตอนที่ร่างลอยอยู่กลางอากาศ
“เจ้า… พลังของเจ้า… เจ้ามันปิศาจ!”
เขาหล่นลงกระแทกพื้น เขากรีดร้องเมื่อเห็นตัวเองแขนหัก เขามองที่ฟางหยวนเหมือนฟางหยวนเป็นสัตว์ร้าย
‘พลังของข้าตอนนี้เกือบจะเป็นสองเท่าของคนทั่วไป! นี่ไม่เพียงเหนือกว่าที่เคยมีบันทึกไว้ แต่ยังทำให้พื้นฐานของข้านั้นดีกว่าผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาทั่วไปมากเพราะผลจากข้าวหยกแดง!’
ฟางหยวนมองภาพเบื้องหน้าแล้วก็เข้าใจได้ว่าทำไมฝีมือเขาถึงได้ดีขนาดนี้
เมื่อผู้ฝึกวิชาประลองกันนั้น ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยก็ส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ออกมา ซ่งจื๋อเกานั้นเป็น [ผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองที่ 3)] ร่างกายของเขาไม่ได้ดีเท่าฟางหยวน แล้วเขาก็ไม่ได้ลงมือต่อสู้เองมานานมากแล้ว เขาคุ้นเคยกับการเป็นกัมประโดมากกว่า แล้วเขายังขี้ขลาดนัก ดังนั้นก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายที่จะเป็นฝ่ายแพ้
“เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ซ่งจื๋อเกานอนกองอยู่บนพื้น กลอกตามองด้วยความตกใจ “อย่าฆ่าข้า ข้าให้เจ้าได้ทุกอย่าง สมบัติ หรือแม้แต่ตำรายุทธ์…”
“เจ้านี่พูดมากจริง!”
ลึกลงไปข้างใน ฟางหยวนรู้ว่าไม่ควรต่อล้อต่อเถียงมากนักกับศัตรู เขาตรงไปบดขยี้กะโหลกของซ่งจื๋อเกา
“ปัง!”
ร่างของซ่งจื๋อเกานอนแผ่อยู่บนพื้น
“อ๋า!”
“ฆาตกรรม!”
การต่อสู้เกิดขึ้นเร็วมากจนเมื่อคนรับใช้ทั้งหลายมีปฏิกิริยานั้น ฟางหยวนก็ฆ่าซ่งจื๋อเกาไปแล้วเรียบร้อย
“ข้าไม่ใช่ฆาตกร!”
เพราะว่ามีหมวกและผ้าคลุมหน้าปิดปังตัวตนอยู่ เขาจึงไม่ได้คิดจะฆ่าปิดปากพยาน ซึ่งรวมถึงการจัดการกับคนที่กรีดร้องเสียงดังที่สุดจนสลบไป
นี่เป็นหนึ่งความคิดที่เขาได้จากโลกความฝัน
ทุกคนต้องการรางวัลหลังจากจัดการกับตัวการใหญ่ได้
มีแค่ครั้งนี้ที่ฟางหยวนคำนวณผิด
“เจ้าขโมย! เจ้ายังกล้าพูดเช่นนั้นหลังจากฆ่าคนไปอีกรึ!”
“ครึ่ก!”
กรอบประตูหักพังเป็นชิ้น ๆ ปลิวเข้าใส่ฟางหยวนราวกับเม็ดฝน!
ท่ามกลางเศษไม้ที่ปลิวว่อน คนผู้หนึ่งก็พุ่งผ่านเข้ามา เขาชี้นิ้วมือด้านขวาตรงมาที่หว่างคิ้วฟางหยวน
“ฝุ่บ!”
รังสีกระบี่ก่อเกิดเสียงวูบขึ้นเมื่อพุ่งผ่านอากาศ
“เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์!”
ฟางหยวนตอบโต้กลับด้วยฝ่ามือและปะทะเข้ากับคนผู้นั้นกลางอากาศ เขาล้มไปด้านหลังและเหลือบมองคนผู้นั้น
“เจ้าอยู่ที่ประตูทองที่สามรึ?”
คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมสีเขียวหยก สวมสายคาดเอวทองคำและแขวนป้ายหยกเอาไว้ เขาดูอายุน้อยและแต่งตัวดี เขามองที่ฟางหยวนอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะพูด “เจ้าอาจหาญเข้ามาเข่นฆ่ากัมประโดของสำนักกุยหลิงของข้า เจ้ากล้าดีอย่างไร!”
ฟางหยวนมองรอยแดงที่ฝ่ามือของตนแล้วชะงักไปครู่หนึ่ง
จากการฝึกฝ่ามือทรายดำของเขา เขาเกือบจะสำเร็จระดับสูงสุดของวิชานี้แล้ว เขาทนทานต่อการจู่โจมจากหมัดธรรมดา แต่ไม่ใช่จากกระบี่
แต่คราวนี้ฝ่ามือของเขาเจ็บปวดมาก
“ข้าไม่คิดเลยว่าซ่งจื๋อเกาจะมีคนแบบนี้อยู่ข้างตัว คนผู้นี่น่าจะอยู่ระดับประตูทองที่สี่หรือห้า!”
ฟางหยวนประเมินอำนาจของศัตรูของเขาต่ำเกินไป และศัตรูของเขานั้นเป็นผู้มีอำนาจมากผู้หนึ่ง ดูเหมือนว่าศัตรูของเขาจะฝึกวิชามาเป็นระยะเวลานานและมีร่างกายแข็งแกร่ง ก่อนนี้ เขาสามารถจัดการกับซ่งจื๋อเกาได้ด้วยกระบวนท่าง่าย ๆ แต่คราวนี้เขาอาจจะแพ้ถ้าต้องประมือกับศัตรูผู้นี้
“ไม่กล้าพูดสินะ?”
ในตอนนี้เอง ศัตรูก็เข้าถึงตัวเขาอย่างใจเย็น “ไม่เป็นไรถ้าเจ้ายังไม่อยากพูดตอนนี้ ข้าจะจัดการกับเจ้าและทรมานเจ้าจนกว่าจะพูดด้วยสิบทัณฑ์ทรมานของสำนักกุยหลิง ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าจะทนได้สักแค่ไหน… คนที่สังหารคนของข้าต้องชดใช้!”
“คนของเจ้า?”
ฟางหยวนถามด้วยเสียงแหบพร่า “เจ้าคือซ่งอวี้เจว๋?”
“โอ้? รู้จักข้าด้วย?”
ซ่งอวี้เจว๋สงสัยขึ้นมา
“ฟู่ว…”
ฟางหยวนไม่ตอบคำถามเขา แต่ผ่อนลมหายใจยาว
ถ้าเขาต้องประมือกับอัจฉริยะผู้อื่น เขาคงวิ่งหนีไปแล้ว
แต่ถ้าเป็นซ่งอวี้เจว๋?
พูดตามตรงเลย ซ่งจื๋อเกานั้นเป็นแค่ลูกน้องของซ่งอวี้เจว๋ ซ่งอวี้เจว๋คือคนที่ต้องรับผิดชอบที่แท้จริง!
“ดี ข้านี่โชคดีจริง ๆ เลยวันนี้!”
ฟางหยวนแบบมือทั้งคู่ออก ก่อนนี้ ฝ่ามือของเขานั้นอยู่ในสภาพดีราวกับหยกขาว ตอนนี้ฝ่ามือของเขาเป็นรอยแตกยับ
“เจ้าคงภูมิใจมากสินะที่สามารถฝึกฝ่ามือทรายดำถึงระดับนี้ได้ แต่กำลังภายนอกของเจ้านั้นอ่อนแอยิ่งนัก เจ้าจะเอาตัวของเจ้ามาเทียบกับพลังฟ้าของสำนักกุยหลิงข้าได้อย่างไร?”
ซ่งอวี้เจว๋ออกปากเยาะเย้ย ยกนิ้วมือขวาขึ้นชี้ตรงไปทางฟางหยวนเหมือนกระบี่ “ลิ้มรสวิชากระบี่ของสำนักกุยหลิงของข้าซะ!”
“รังสีกระบี่!”
ดวงตาของฟางหยวนจับจ้องที่นิ้วของอีกฝ่าย
เป็นพลังที่ออกมาจากพลังภายในระดับสูงและวิชากระบี่ชั้นยอด ซ่งอวี้เจว๋นับเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริงที่สามารถฝึกได้ถึงระดับนี้
ถึงตอนนี้ ไม่มีหนทางให้ถอยกลับแล้ว ฟางหยวนไม่ได้คิดไว้เลยว่าเขาจะสามารถหนีจากผู้ฝึกยุทธ์ที่ระดับประตูทองที่สี่หรือห้าได้ เขาจ้องมองด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะชกออกไปเหมือนคนบ้า “ทรายดำไร้สิ้นสุด!”
“ปัง!”
พลังจากฝ่ามือถูกพลังจากวิชากระปี่ทำลายลงอย่างง่ายดาย และซ่งอวี้เจว๋ก็รู้สึกถึงพลังจากฟางหยวนแค่เล็กน้อย
ซ่งอวี้เจว๋กดสายตาลง และเห็นรอยสีดำเล็ก ๆ ที่หลังมือของตน เขามองที่ฟางหยวนที่มีบาดแผลใหญ่ที่หน้าอก สีหน้าเปลี่ยนไป “เจ้ากล้าทำร้ายข้า?”
“ไม่เพียงแค่นั้น…ฮ่าฮ่า…ข้าไม่ใช่แค่ทำร้ายเจ้า แต่จะฆ่าเจ้าด้วย!”
ฟางหยวนหัวเราะแม้ว่าจะต้องกระอักเลือดออกมา
เมื่อต้องประมือกับคนที่มีร่างกายแข็งแกร่งเป็นสองเท่าของคนทั่วไป ความสามารถในการรักษาตัวของเขายังน่าตื่นตะลึง อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าการบาดเจ็บภายนอกนั้นไม่ได้ดูสาหัสมาก
“ทำไมเจ้าถึงยังไม่ยอมรับว่าเจ้าผิดไปแล้ว!”
ซ่งอวี้เจว๋เดินตรงมา มือขวาสั่นระริก เส้นแสงพลังที่ดูราวกับงูเลื้อยพันรอบนิ้วของเขาราวกับกระบี่คด!
หลังจากได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากฟางหยวน เขาก็ตัดสินใจว่าจะลงมืออย่างจริงจัง
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่ได้ใช้พลังของเจ้าอย่างเต็มที่ คราวนี้ข้าโชคดีจริง ๆ …ฮ่าฮ่า…”
ฟางหยวนรู้สึกโชคดีมาก
เขารู้ว่าต่อให้ตนเองได้เปรียบมากแล้วจากการมีพืชวิญญาณ แต่เขาก็ยังด้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้มีพรสวรรค์จากสำนักยุทธ์
ถ้าซ่งอวี้เจว๋ใช้กระบี่คดนี่จู่โจมฟางหยวนตั้งแต่แรก เขาก็คงตายไปแล้ว
“โชคของข้าจริง ๆ…”
ซ่งอวี้เจว๋ขมวดคิ้ว
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็รู้สึกว่าคนลึกลับผู้นี้ไม่มีโอกาสโต้กลับแล้วแท้ ๆ
แต่เมื่อตอนที่เขากำลังเตรียมจะออกกระบวนท่าใส่แขนของฟางหยวนและเค้นความจริงจากเขา เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ
“มือขวาของข้า… ชา…”
เขาจ้องที่รอยดำบนหลังมือก่อนจะพูด “เจ้าวางยาพิษข้า?! อำมหิตนัก!”
“ตอนนี้เราต่างสู้ตายกันไปข้าง ไม่มีคำพูดเช่นผู้ใดอำมหิตกว่ากันหรอก!”
ฟางหยวนค่อย ๆ ขยับมาด้านหน้าและเห็นใบหน้าของซ่งอวี้เจว๋เปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ ซ่งอวี้เจว๋รีบกินยาต้านพิษ “เจ้าไม่จำเป็นต้องกินหรอก ข้าได้ทดสอบพิษนี้แล้วและพิษชนิดนี้สังหารผู้ฝึกยุทธ์ที่ระดับประตูทองที่สามได้อย่างง่ายดาย…”
ซ่งอวี้เจว๋ล้มลงบนพื้นทันทีที่ฟางหยวนพูด เขารู้สึกหวาดกลัวเมื่อเห็นมือของตนค่อย ๆ เปื่อยยุ่ยไปกับตา
เขาถูกพิษงูจูเหว่ยกลายพันธุ์
หลังจากฝึก [ฝ่ามือทรายดำ (ระดับ 3)] สามารถใช้พิษร่วมในการจู่โจมธรรมดาได้ ฟางหยวนย่อมไม่ปรานีและตัดสินใจใช้พิษงูจูเหว่ยร่วมกับฝ่ามือทรายดำของเขาเนื่องจากเขามีบัญชาพญายมเป็นยาต้านพิษอยู่
ผลที่ได้นั้นน่าตระหนกและผู้มีพรสวรรค์เช่นซ่งอวี้เจว๋ที่ไม่ได้ระมัดระวังตัวมาก่อนก็พ่ายแพ้ไป
“ฝ่ามือทรายดำ… กับพิษ? เจ้าเป็นศิษย์ของโข่วเฟิง?”
ซ่งอวี้เจว๋คำรามเสียงลั่น “อ๊ากก… เจ้าต้องตาย บิดาข้าจากสำนักกุยหลิงจะตามหาเจ้า!”
“จนจะตายแล้วแต่เจ้าก็ยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้สินะ?”
ฟางหยวนขยับไปด้านหน้าและคลายความเจ็บปวดของเขาให้ด้วยการออกกระบวนท่าฝ่ามือใส่ศีรษะของซ่งอวี้เจว๋จนตายไป
“การใช้พิษประกอบกับฝ่ามือทรายดำดูเหมือนจะเป็นวิธีพิเศษ จึงมีแต่โขว่เฟิงผู้คิดค้นวิชาและลูกศิษย์ของเขาที่รู้วิธีนี้สินะ?”
คำพูดสุดท้ายของซ่งอวี้เจว๋ทำให้ฟางหยวนประหลาดใจได้นิดหนึ่ง
เมื่อแรกที่เขาเริ่มฝึกฝ่ามือทรายดำ ก็มีข้อความบอกความเป็นไปได้ในการใช้พิษร่วมกับฝ่ามือ และหลังจากพัฒนาวิชาไปได้ระดับหนึ่ง มันก็กลายเป็นวิชาประจำตัวเขา
“นี่เป็นผลข้างเคียงของระบบหรือเปล่า? พอข้าฝึกวิชาถึงขีดจำกัด ก็จะพบความสามารถที่ซ่อนไว้?”
แต่ว่ามีหลักฐานพิสูจน์ข้อสันนิษฐานนี้น้อยนิดตอนนี้เขาจึงยังได้แต่เดาเท่านั้น
“แต่ตอนนี้ ข้าคงต้องรีบหนีออกจากที่นี่แล้ว!”
เขาสังเกตรอบตัว
เพราะว่าเขาสังหารคนไปถึงสองศพ เคหาสน์ตระกูลซ่งตอนนี้จึงอยู่ในสภาพโกลาหล มีทั้งเสียงร้องไห้และเสียงกรีดร้องจากที่ด้านหลัง คนรับใช้จำนวนมากหนีออกไปทางประตูใหญ่
‘วุ่นวายเกินไป และดึงดูดความสนใจจากผู้อื่นนัก!’
ฟางหยวนทิ้งความคิดที่จะเข้าไปด้านหลังเพื่อขโมยของมีค่า เปลี่ยนเป็นค้นศพของซ่งจื๋อเกาและซ่งอวี้เจว๋แทน และพบของมีค่าบางอย่าง โดยไม่กระทั่งดู เขาก็เริ่มออกตัวหนีโดยกระโดดขึ้นบนกำแพง
ก่อนที่จะจากไป เขาจัดการเผาเคหาสน์ของซ่งจื๋อเกาและดูมันย่อยยับไปในเปลวเพลิง
นี่ไม่เพียงเป็นการระบายความโกรธแค้นของเขา แต่ยังเพิ่มความวุ่นวายลงไป ให้ผู้อื่นไปสนใจเหตุเพลิงไหม้และฟางหยวนก็สามารถหลบหนีได้แล้ว
อย่างไรเสีย ทางการจะไม่สนใจเรื่องไฟไหม้ และปล่อยให้ลามไปส่วนอื่นของเมืองได้หรือ?
ควันดำลอยขโมงขึ้นเต็มฟ้า
เขาเติบโตบนภูเขาตั้งแต่ยังเล็ก และสามารถท่องไปตามป่าได้ง่ายดาย
“นี่สนุกยิ่งนัก!”
เขามาถึงลำธารหลังจากหนีมาได้ระยะหนึ่ง ฟางหยวนดื่มน้ำพุเข้าไปเต็มที่ และเผาหมวกและชุดคลุมทิ้ง
บทกลอนหนึ่งจากโลกความฝันปรากฏขึ้นในใจเขา ณ ตอนนี้
‘ทหารหาญห้าพันนาย ภายใต้คำสั่งของแม่ทัพ ลอบเข้าสนามรบ เข่นฆ่าราวกับไม่มีวันพรุ่งนี้’
“แย่จังเลยนะ แม้ว่าจะฆ่าคนพวกนั้นได้อย่างอยากลำบาก แต่ว่าข้าก็พอใจมาก!”