เช้าตรู่
ดวงอาทิตย์ขยับขึ้นเหนือขอบฟ้า สายหมอกยามเช้าสะท้อนเป็นประกาย หุบเขาค่อย ๆ คืนชีวิต พืชพรรณเติบโต
“ซ่งจื๋อเกา กัมประโดสำนักกุยหลิง”
“ซ่งอวี้เจว๋ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของผู้อาวุโสของสำนัก”
“ซ่งจง ผู้อาวุโสแห่งสำนักกุยหลิง”
ฟางหยวนค่อย ๆ กวาดพื้น กำจัดร่องรอยที่เกิดขึ้นเมื่อคืน จมอยู่กับความคิดของตัวเอง
ผู้ชายชุดดำเมื่อคืนเกือบจะต้องทนทรมานกับสภาวะจิตใจพังทลายหลังจากได้สนิทชิดเชื้อกับฮวาหูเตียว ฟางหยวนแทบจะไม่ต้องซักถามอะไรจากชายผู้นั้นเลยก่อนที่ชายผู้นั้นจะพ่นทุกอย่างออกมา
ตามที่เขาบอก นายน้อยซ่งอวี้เจว๋นั้นมีพรสวรรค์ทั้งบู๊บุ๋น ไม่ว่ามองด้านไหนก็เป็นชายหนุ่มที่อ่อนโยนและมีอนาคต ที่สำคัญคือซ่งอวี้เจว๋นั้นมีความรู้สึกลึกซึ้งแก่อดีตคู่หมั้นของฟางหยวน หลินเหลยเยว่ ตั้งแต่แรกเห็นนาง
ผู้อาวุโสซ่งจงจับตาดูความเป็นไปนี้อย่างสนใจ อย่างไรหลินเหลยเยว่ก็เป็นศิษย์รักของเจ้าสำนักและมีอนาคตที่สดใสรออยู่
ช่างน่าเสียดายที่หลินเหลยเยว่ไม่ตอบรับความรู้สึกของซ่งอวี้เจว๋ และปฏิเสธเขาอย่างชัดเจน
ซ่งอวี้เจว๋โกรธมากแต่ย่อมไม่กล้าที่จะดึงดันเรื่องนี้กับหลินเหลยเยว่ซึ่งเป็นดันแก้วตาดวงใจของเจ้าสำนักต่อไป แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าจะไม่เอาความโกรธมาลงที่ฟางหยวน
“บางทีเขาอาจจะคิดว่าหลินเหลยเยว่กับข้าเป็นคู่รักกัน? คนสนิทของซ่งอวี้เจว๋ ซ่งจื๋อเการู้เข้า ด้วยความช่วยเหลือจากเหล่าเถียน ก็พยายามที่จะกำจัดข้าออกไป น่าเสียดายที่ข้าไม่ไป เรื่องราวถึงได้ดำเนินมา…”
จากข้อมูลที่เขารวบรวมได้ ฟางหยวนก็คาดเดาแล้วได้ข้อสรุปที่ดูมีเหตุผลออกมา ซึ่งทำให้เขารู้สึกพูดไม่ออกนิด ๆ
“ข้าไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับหลินเหลยเยว่เลย เป็นแค่คนผ่านทางที่บริสุทธิ์ เป็นผู้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง…”
บนโลกใบนี้ คนอ่อนแอมักจะตกเป็นเหยื่อ ซ่งอวี้เจว๋ยังไม่ได้แม้แต่จะคิดทำอะไรฟางหยวน คนของเขาก็ลงมือก่อนเรียบร้อย
“โอ้ ข้ารู้สึกว่าต่อไปจะต้องยุ่งยากมากเป็นแน่…”
ฟางหยวนโยนไม้กวาดทิ้ง หันหน้าไปทางพระอาทิตย์ ปิดเปลือกตาทั้งสองข้างลงแล้วบิดขี้เกียจ
ตามที่ผู้ชายชุดดำว่าไว้ ผู้อื่นอีกตั้งมากมายในสำนักกุยหลิงชอบพอหลินเหลยเยว่ คนเหล่านั้นอาจจะรวมตัวกันเกิดเป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลขึ้นมาได้ อย่างไรนางก็เป็นที่โปรดปรานของเจ้าสำนัก อาจจะได้เป็นอู่จงในอนาคต!
แม้ว่าซ่งอวี้เจว๋จะไม่ได้มาหาเรื่องเขา แต่ก็อาจจะมีเจ้าอวี้เจว๋หรือจางอวี้เจว๋ที่ไหนก็ได้ทำเรื่องนี้อยู่ดี
ในตอนนี้เองที่ฟางหยวนรู้สึกจนปัญญาเป็นที่สุด
สวรรค์ช่างไม่ปรานีเขาเลย! ฟางหยวนไม่ได้อยากมีปัญหา แต่ถ้าผู้อื่นอยากสร้างปัญหาให้ชีวิตเขาลำบาก การหลบซ่อนอยู่ในมุมก็ไม่ใช่ทางเลือก
“ซ่งจื๋อเกาต้องตาย!”
ฟางหยวนเลือกวิธีแก้ปัญหาของเขาแล้ว
ฟางหยวนสามารถอดทนกับอะไรก็ได้ตราบเท่าที่ไม่เสียผลประโยชน์ ไม่ว่าจะถูกถอนหมั้นหรือวิวาทกับพี่น้องตระกูลโจว เขาล้วนทนได้
แต่ซ่งจื๋อเกามีเจตนาร้ายและคิดจะเปิดโปงความลับของหุบเขานี้
สำหรับฟางหยวน นอกจากค่าสถานะของตนเองแล้ว ก็มีพืชวิญญาณในหุบเขานี้ที่เป็นสิ่งที่เขาจะปกป้องด้วยชีวิต
ในเมื่อกล้าแตะเกล็ดย้อนของมังกร ย่อมต้องรับความโกรธาของมันเช่นกัน
“ซ่งจื๋อเกาต้องถูกกำจัด แต่ข้าจะเอาตัวเองไปเสี่ยงไม่ได้เหมือนกัน… ข้าต้องคิดหาแผนการดี ๆ… อย่างไรก็ตาม หัวใจหลักเลยยังคงการเพิ่มระดับความสามารถของข้า!”
ชายชุดดำเมื่อคืนเป็นคนที่ซ่งจื๋อเกาไว้ใจและรู้จักเขาดีมาก
กัมประโดของสำนักกุยหลิงย่อมไม่โง่เขลา แต่เขาก็ไม่ได้มีชื่อเสียงในด้านวิทยายุทธ์ ระดับการฝึกฝนของเขาอยู่ที่ประมาณประตูที่สาม
เขาไม่มีโอกาสรับมือฮวาหูเตียวได้อย่างแน่นอน
แต่ชายอีกคนที่อยู่เบื้องหลังเขา ผู้อาวุโสซ่งจง นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ชายผู้นี้ผ่านสามประตูรุ่งโรจน์ สองประตูสงบ ไปอยู่ที่สามประตูวิกฤตแล้ว เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีประสบการณ์สูงและเป็นที่รู้จักในมณฑลชิงเหอ ซ่งอวี้เจว๋ยังมีท่าทีที่จะก้าวข้ามอาจารย์ของตนเองไปได้ในอนาคตอันใกล้ด้วย
มีการเปรียบ 12 ประตูทองของการฝึกวิทยายุทธ์ คนผู้หนึ่งสามารถผ่านประตูไค ซิว และเชิงได้ จะมีพลังเพิ่มมากขึ้น ทั้งสามประตูนี้เรียกเป็นสามประตูรุ่งโรจน์ ตามมาด้วยประตูตู่และจิ่งซึ่งสามารถทะลวงผ่านได้ไม่ยากนัก เรียกเป็นสองประตูสงบ และยังมีอีกสามประตู ชาง จิง และสื่อ ที่ต้องให้ความระมัดระวัง ถ้าผ่านประตูทั้งสามนี้ไม่ได้อาจจะทำให้ตนเองบาดเจ็บสาหัสหรือกระทั่งเสียชีวิต ดังนั้นสามประตูนี้จึงเป็นที่รู้จักในนามสามประตูวิกฤติ
วิทยายุทธ์นั้นแท้จริงแล้วเป็นความท้าทาย มีอุปสรรคมากมายให้ต้องพยายามก้าวข้ามไป
ไม่ต้องพูดถึงว่า หลังประตูสื่อ ยังมีอีก 4 ประตูสวรรค์และระดับอู่จง มันค่อนข้างเป็นความกดดันเมื่อเห็นว่าข้างหน้านั้นเป็นหนทางยาวไกลและยังยากลำบาก
“โชคดีนัก ผู้เดียวที่เราจำเป็นต้องจัดการในตอนนี้คือซ่งจื๋อเกา นี่น่าจะง่ายราวกับปอกกล้วย”
ถ้าเช่นนั้นแล้ว วิทยายุทธ์นั้นท้าทายตรงไหน?
ด้วยหน้าต่างสถานะและการฝึกฝน ฟางหยวนยังไม่เคยเผชิญกับปัญหาที่แก้ไขไม่ได้มาก่อน
“ตกลงตามนี้!”
ฟางหยวนเหลือบมองแถบสถานะการฝึกฝนและพบว่าเขาเกือบจะสำเร็จระดับแรกของฝ่ามือทรายดำแล้ว ทั้งหมดที่เขาต้องการก็คือความชำนาญมากขึ้นอีกสักนิด ซึ่งเท่ากับการฝึกฝนอีกราว ๆ สิบกว่ารอบ
“วันนี้ข้าจะต้องทะลวงประตูที่สองให้ได้!”
ฟางหยวนตั้งใจมั่นไว้
ฟางหยวนนั้นสามารถทะลายผ่านแต่ละด่านได้ด้วยความเร็วอันน่ามหัศจรรย์ ความเร็วในระดับที่สามารถดึงดูดความสนใจของอู่จงได้เลย
อย่างไรเสีย ทุก ๆ ระดับของสิบสองประตูทองก็ต้องมีการเรียนรู้อย่างละเอียดพิถีพิถันและความตั้งมั่นแรงกล้า แม้จะเป็นแค่สามประตูรุ่งโรจน์
แต่ฟางหยวนนั้นแค่ต้องสะสมค่าประสบการณ์อีกเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว
ยามเช้าเป็นเวลาที่เหมาะสมกับการฝึกฝนที่สุดของวัน
“ฮึบ”
ฟางหยวนนั้นเข้าถึงภวังค์สงบนิ่งและออกกระบวนท่าต่าง ๆ ของฝ่ามือทรายดำด้วยความเคยชิน ก่อนหน้านี้เขาชโลมฝ่ามือทั้งคู่ด้วยขึ้ผึ้งและยา
หลังจากนั้นไม่นาน ความคืบหน้าของแถบการฝึกฝนฝ่ามือทรายดำในหน้าต่างสถานะก็ถูกเติมจนเต็ม
“ย้ากก!”
ฟางหยวนกู่ร้องออกมาในตอนที่รู้สึกว่าได้ทะลายกำแพงภายในร่างลงได้ เขารู้สึกว่ามีกระแสพลังหลายสายระเบิดออกจากทุก ๆ รูขุมขน
เมื่อแถบระดับการฝึกฝนของฟางหยวนถึงระดับสูงสุด ระดับของวิชาฝ่ามือทรายดำก็ขยับขึ้นหนึ่งระดับ
ฝ่ามือทรายดำระดับ 2!
เพียงไม่กี่วันเท่านั้น ฟางหยวนก็ประสบความสำเร็จอย่างน่าชื่นชม
“ไม่เพียงเท่านั้น ข้ายังทลายประตูซิวได้อีกด้วย!”
ฟางหยวนเปิดหน้าต่างสถานะของตนเองขึ้นดูและเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
“ชื่อ: ฟางหยวน
พลังกาย: 1.3
พลังลมปราณ: 1.3
พลังเวทย์: 1.5
อายุ: 18
ระดับการฝึกตน: [ผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองที่สอง)]
วิทยายุทธ์: [ฝ่ามือทรายดำ (ระดับ 2)]
ทักษะ: [การแพทย์ (ระดับ 1)], [การดูแลพืช (ระดับ 3)]”
“เมื่อฝึกฝ่ามือทรายดำถึงระดับสอง พลังของวิชานี้จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อข้าเตรียมใช้วิชา ฝ่ามือของข้าก็เปลี่ยนไป!”
ทุกครั้งที่ฟางหยวนตั้งใจจะออกกระบวนท่า ฝ่ามือทั้งสองข้างจะมีสีเข้มขึ้น ทนต่อการบาดเจ็บได้มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“แน่นอนว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือสามารถผ่านประตูทองที่สอง ประตูซิว ได้! พลังกายและพลังลมปราณของข้าเพิ่มขึ้นถึง 0.2?”
ฟางหยวนตกใจที่เห็นว่าพลังเวทย์ของตนนั้นยังอยู่ที่ 1.5 เท่าเดิม
“เป็นเพราะว่าการเพิ่มระดับที่ผ่าน ๆ มานั้นเป็นเพราะชาชำระจิต และการผ่านระดับของวิชายุทธ์ธรรมดานั้นจะเพิ่มเฉพาะค่าพลังกายและพลังลมปราณ? หรือเป็นเพราะว่าพลังเวทย์ของข้านั้นสูงเกินไป ดังนั้นการเพิ่มขึ้นแค่นิดหน่อยจึงมองเห็นไม่ชัด?”
แย่หน่อยที่ประสบการณ์เกี่ยวกับวิทยายุทธ์ของเขาตอนนี้นั้นไม่มากพอที่จะช่วยเขาไขปัญหานี้ได้
อย่างไรก็ตาม ฟางหยวนรู้สึกพอใจมากที่ได้รู้ว่าวิชาฝ่ามือทรายดำของเขานั้นสามารถเพิ่มระดับได้อย่างรวดเร็วเมื่อมีแถบระดับการฝึกฝนและยังเพิ่มระดับขึ้นเรื่อย ๆ ได้อย่างไร้ขีดจำกัด
“ซ่งจื๋อเกา…”
ฟางหยวนกำหมัดแน่น รู้สึกถึงพลังที่พลุ่งพล่านขึ้นมา
…
“หวังซานยังไม่กลับมาอีกรึ?”
ตอนนี้ซ่งจื๋อเกากำลังทรมานกับการอดหลับอดนอน
ในฐานะกัมประโดของสำนักกุยหลิง เขามักจะแขวนสีหน้าอ่อนโยนอบอุ่นเอาไว้บนใบหน้าตลอดเวลา ในขณะที่ดวงตายิบหยีของเขานั้นซ่อนความเจ้าเล่ห์เอาไว้ ทุกอย่างที่เขาเป็นผู้รับผิดชอบนั้น เขาได้จัดการทำให้แน่ใจว่ามันถูกต้องและเหมาะสม
จนกระทั่งเขาพยายามจัดการกับไอ้เด็กเหลือขอจากบนเขาเพื่อที่จะได้รับความดีความชอบครั้งใหญ่จากผู้อาวุโสซ่งจงและซ่งอวี้เจว๋ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหลังจากนั้น
“บ้าเอ๊ย!”
ยิ่งเขาคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนอยากจะขว้างถ้วยน้ำชากระเบื้องเคลือบลายดอกดาวกระจายถ้วยโปรดกระแทกพื้น
ไอ้เด็กนั่นคงไม่รู้สินะว่าอะไรดีกับตัวมัน
ตอนที่เขาสั่งให้เหล่าเถียนตัดการสนับสนุนสิ่งจำเป็นประจำวันแก่ฟางหยวนและส่งคำเตือนให้ ฟางหยวนก็ควรจะระแวงและหนีไป ทำไมมันถึงยังอยู่ที่นี่?
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแก่แล้ว เกือบจะเย็นย่ำ และหวังซานก็ยังไม่กลับมาเสียที ซ่งจื๋อเกานั่งไม่ติดที่และเดินย่ำไปมาในห้องโถง
“ถึงไอ้เด็กนั่นมันจะประหลาดนัก แต่หวังซานเป็นคนรอบคอบมาเสมอ แล้วคราวนี้ก็แค่ไปสังเกตการณ์เท่านั้น ไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดได้มิใช่รึ?”
ซ่งจื๋อเกากุมมือทั้งสองเข้าหากันแน่นและรอจนค่ำ ถึงตอนนี้ เขารู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบที่ในใจ และเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นนิด ๆ
ถ้าเขารู้ดีกว่านี้ เขาคงจะไม่ไปวุ่นวายกับไอ้เด็กนั่น
ช่างน่าละอายที่ระหว่างเขากับมันนั้นนับเป็นศัตรูกันไปแล้ว เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากชิงลงมือก่อน
ถ้าเหตุการณ์สงบดีแล้ว เขาก็สามารถตอบคำถามท่านอาจารย์ได้ แต่ถ้าทุกอย่างยุ่งเหยิงขึ้นกว่าเดิมเล่า?
ซ่งจื๋อเกาแค่คิดถึงวิธีจัดการของผู้อาวุโสซ่งจงแล้วก็รู้สึกหนังศีรษะชาหนึบ เขาเชิดหน้าขึ้นทันที กระซิบบอกตัวเอง
“ถ้าเรื่องมันเป็นเช่นนี้ ก็คงไม่มีทางอื่นแล้ว”
“เด็ก ๆ!”
เขาแผดเสียง
“ขอรับ นายท่าน?”
คนรับใช้ชายเดินเข้ามาในห้องและโค้งตัวคารวะ
ซ่งจื๋อเกาอาจจะเป็นแค่กัมประโด แต่ก็มีอำนาจมากพอที่จะมีคนรับใช้กลุ่มหนึ่งคอยรองมือรองเท้า
“ตามเหล่าเถียนจากร้านขายสมุนไพรมา บอกเขาว่าถ้ายังอยากทำมาหากินอยู่ในมณฑลชิงเหอก็ให้มันลากก้นตัวเองมาที่นี่ให้เร็ว!”
ซ่งจื๋อเกามีสีหน้าน่ากลัว
“ขอรับ!”
คนรับใช้ชายรู้สึกสับสน แต่ก็ออกไปจัดการงานที่ได้รับมอบหมาย ไม่นาน เขาก็นำเหล่าเถียนกลับเข้ามาในห้องโถง เหล่าเถียนทักทายซ่งจื๋อเกาด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ
“ท่านสบายดี นายท่านซ่ง!”
“เหล่าเถียน! สมุนไพรและเครื่องเทศจากร้านของเจ้าคุณภาพดีทีเดียว ทางสำนักตัดสินใจที่จะรับซื้อเพิ่มอีกจำนวนมากในปีหน้า!”
ซ่งจื๋อเกาแจ้งข่าวด้วยท่าทีสบาย ๆ ก่อนที่จะให้คนรับใช้หลบออกไปไกล ๆ
“อ๋า? ขอบพระคุณมากขอรับ นายท่าน!”
เหล่าเถียนประสานมือคารวะรัว ๆ หลายครั้ง ดีใจอย่างเหลือเชื่อ
“แน่นอนว่า… นี่ไม่ได้ให้เปล่า ข้าต้องการให้เจ้าช่วยทำอะไรให้ข้าสักอย่าง!”
ซ่งจื๋อเกาเหลือบมองเหล่าเถียน เขามั่นใจว่าเหล่าเถียนต้องยอมรับแน่นอน สำนักยุทธ์คือลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของร้านยาสมุนไพร เหล่าเถียนไม่สามารถปฏิเสธเขาได้หรอก
“เหล่าเถียนยินดีช่วยขอรับ นายท่าน เหล่าเถียนจะทำทุกอย่างเพื่อนายท่านแม้จะต้องขึ้นสวรรค์หรือลงนรกก็ตาม!”
เหล่าเถียนเป็นคนช่างเจรจาผู้หนึ่งและภายนอกก็มีท่าทีจงรักภักดีแม้ว่าข้างในใจจะแอบสะพรึงกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“ง่ายมาก! ก็แค่…”
ซ่งจื๋อเกาส่งเสียงทางลมปราณสั่งเหล่าเถียนโดยตรง เหล่าเถียนหน้าซีดในทันที
“อะไรนะขอรับ? นี่..นี่…”
“เหอะ ข้ารู้ว่าอาจารย์เวิ่นซินเคยช่วยชีวิตเจ้าไว้ครั้งหนึ่ง แต่เจ้าไม่ได้ติดหนี้อะไรฟางหยวน…”
ซ่งจื๋อเกาหัวเราะเสียงเย็นและออกปากข่มขู่
“ถ้าเจ้าไม่เชื่อฟังข้า ตั้งแต่เดือนหน้า ทางสำนักจะไม่รับซื้อสินค้าใด ๆ ของเจ้า หลังจากนั้นเจ้าก็จะได้แต่คลานอยู่บนถนนเหมือนกัน!”