‘มีปัญหามากกว่าเดิม!’
เมื่อเห็นโจวเหวินซินดูจะหมดปัญญา ฟางหยวนก็พูดไม่ออก
พวกเขาต้องมีจุดประสงค์อะไรสักอย่างมากกว่าจะมาขอโทษเพียงเพราะได้รับการอบรมมา
“คุณชายน้อย!”
แล้วก็จริง เมื่อโจวเหวินอู่เริ่มพูด “ท่านพ่อของข้าป่วย และข้าอยากจะรบกวนคุณชายเดินทางไปตรวจดูท่านสักนิด ตระกูลโจวทั้งหมดคงจะยินดียิ่งนัก”
เหล่าโจวเรียกได้ว่ามาถึงเฮือกสุดท้ายแล้ว โจวเหวินอู่เองก็รู้สึกสิ้นหวัง
“อืม นี่แปลกมาก”
ฟางหยวนรู้สึกไม่ชอบมาพากล “จากความสัมพันธ์อันดีระหว่างตระกูลโจวและสำนักกุยหลิงแล้ว ทางสำนักไม่ได้หยิบยื่นความช่วยเหลือใดให้เลยหรือ?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร?”
โจวเหวินอู่พูด “หมอของสำนักมาตรวจดูท่านพ่อแล้วแต่ไม่สามารถหาสาเหตุของอาการป่วยได้ จากที่พวกเขาพูด ถ้าเป็นการป่วยธรรมดา มันก็ไม่ควรลุกลามรุนแรงถึงขั้นนี้… ถ้าท่านเจ้าสำนักไม่พาลูกศิษย์คนใหม่ของท่านออกเดินทางไปเสียก่อน… เฮ่ย… ชีวิตช่าง…”
“ข้าเข้าใจแล้ว!”
ฟางหยวนเอ่ยวาจาเสียดสี “แม้แต่หมอของสำนักก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา แล้วข้าจะทำได้อย่างไร?”
เขาเหลือบมองพี่น้องตระกูลโจว “คงต้องขออภัยด้วย ข้าคงไม่สามารถช่วยพ่อของท่านได้หรอก หุบเขาอากาศเย็นนัก ท่านทั้งสองควรรีบกลับ!”
โดยไม่รอให้ทั้งสองคนตอบว่าอย่างไร ฟางหยวนเดินกลับเข้าไป ทิ้งให้พี่น้องตระกูลโจวอยู่ที่ปากทาง
“พี่รอง… เขา…”
โจวเหวินซินรอให้เงาร่างฟางหยวนหายลับตาไปก่อนจะเริ่ม “เขา…นี่มันเห็นแก่ตัวเกินไปแล้วไหม?”
“อืม.. เขาทำให้ข้ารู้สึกแปลก ๆ…”
โจวเหวินอู่มองเข้าไปในหุบเขา อยากจะอาละวาดสักตั้ง แต่ควบคุมตัวเองไว้ได้ “หุบเขานี่ดูอันตราย… มันดูไม่ปลอดภัย..”
“เขาเป็นนักรบวิญญาณจริง ๆ น่ะเหรอ?”
โจวเหวินซินตัวสั่นด้วยความกลัว
“ไม่! คนพวกนั้นต่างออกไป”
โจวเหวินอู่ส่ายหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
แม้ว่าตระกูลโจวจะไม่ได้มีตำแหน่งสูงนักในสำนักกุยหลิง แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในตระกูลที่ดีที่สุดที่ระดับเดียวกัน
ทุกคนจะตื่นตระหนกถ้าเหล่าโจวจากไป เมื่อถึงตอนนั้น แม้แต่ตระกูลหลิน ซึ่งมีศิษย์เพียงแค่คนเดียวในสำนักก็สามารถขึ้นมาอยู่เหนือตระกูลโจวได้
“ตระกูลโจว… หรือว่านี่คือจุดจบของตระกูลเรา?”
ลมจากเทือกเขาพัดผ่าน โจวเหวินอู่ตัวสั่นนิด ๆ
…
“เอ๋? พวกเราไปไม่ได้?”
ไม่นานจากนั้น ฮวาหูเตียวก็เข้ามาบอกข่าวแก่ฟางหยวนที่กำลังมุ่งมั่นฝึกวิชาฝ่ามือทรายดำ
สัตว์วิญญาณตัวนี้ยิ่งมายิ่งคล้ายมนุษย์ มันสามารถส่งข้อความง่าย ๆ แก่ฟางหยวนได้ผ่านภาษากาย
ฟางหยวนประเมินระดับความฉลาดของมันไว้ที่เด็กสิบขวบ
“ตระกูลโจวกำลังวุ่นวาย ถ้าเหล่าหลินอยากจะเป็นใหญ่ขึ้น ก็ต้อง…”
ฟางหยวนหยุดคิดแล้วเริ่มกินอาหาร
ตั้งแต่เริ่มฝึกวิชายุทธ์ ความอยากอาหารของเขาก็เพิ่มมากขึ้น โชคดีที่เขามีอาหาร มากมายในหุบเขานี้
ข้าวหยกมุกเป็นอาหารชั้นเลิศที่สามารถเติมเต็มความอยากอาหารของเขาได้
ฟ้าเริ่มมืด พระจันทร์ไต่ขึ้นกลางฟ้าท่ามกลางหมู่ดาว
ภายในหุบเขายังคงมีเสียงฝ่ามือดังออกมาอย่างต่อเนื่อง
ฟางหยวนเหงื่อไหลเป็นทางแต่ตัวเขาเองก็ไม่สนใจ เขาเพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การฝึกวิชาฝ่ามือทรายดำ
เขาคิดอยู่เพียงอย่างเดียว ว่าเขาจะต้องสำเร็จวิชานี้ภายในวันนี้!
“เพื่อเรียนรู้วิทยายุทธ์ คนผู้หนึ่งต้องฝ่าผ่านประตูทองแรกให้ได้ จะเรียกตนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงได้ก็ต่อเมื่อผ่านประตูนี้ไปได้เท่านั้น”
สัมผัสของข้าวหยกมุกยังหลงเหลืออยู่ในปาก ขณะที่เขาเองก็รู้สึกถึงการระเบิดออกของพลังงานภายในร่างกาย แขนขารู้สึกมีพลัง
“หายใจเข้า… หายใจออก…”
“หายใจเข้า… หายใจออก…”
พร้อมกับการหายใจลึก ๆ พลังงานภายในร่างกายก็หมุนวนไปด้วย ราวกับว่ากำลังจะทลายผ่านประตูไปได้
“ฝ่ามือทรายดำ!”
เขาตะโกน ผลักมือข้างขวาออกไป
ปัง!
ถุงทรายฉีกออก ทรายด้านในพรั่งพรูออกมา
ฟางหยวนรู้สึกได้ว่าประตูแรกที่สัมผัสได้นานแล้วภายในร่างกายในที่สุดก็พังทลายลงไป!
เปรี๊ยะ!
เสียงแตกหักดังลั่นในความเงียบ พลังงานจำนวนมากหมุนวนภายในร่างกายของเขา ทำให้รู้สึกราวกับถูกชะล้าง
“นี่เป็นประตูทองแรก ข้าทำสำเร็จ!”
ฟางหยวนกำหมัดแน่น สำรวจร่างกายแล้วร้องออกมา
สามประตูแรกของสิบสองประตูทองคือ ไค ซิง เชิง ทั้งสามประตูนี้เป็นระดับแรกของการฝึกตนภายในยุทธภพ ถ้าผ่านไปไม่ได้ก็ไม่ได้เกิดอันตรายใด
อันที่จริง คนธรรมดาคนหนึ่งเมื่อฝึกวิชายุทธ์ตามตำรานานวันเข้าก็สามารถผ่านสามประตูแรกได้เช่นกัน
แต่ฟางหยวน ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็สามารถผ่านประตูแรกของตัวเองได้ เขามีความสามารถ
ไม่ใช่แค่ความสามารถ แต่ยังมีพื้นฐานที่ดีในวัย 18 ปีเท่านั้น!
อย่างไรเสีย ข้าวหยกมุกและผลไม้หายากอื่น ๆ ก็มีบทบาทในการปรับพื้นฐานของเขา
“นี่คือ… สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์สามารถสัมผัสได้งั้นหรือ?”
ฟางหยวนยืนอยู่บนพื้น เพ่งมองมือทั้งคู่ของตัวเอง
เขารู้สึกว่าความสามารถทั้งหมดของเขาเพิ่มสูงขึ้นหลังจากทลายผ่านประตูแรกได้ เหมือนกับเอาทลายกำแพงเขื่อนหนาออกไป
“ถ้าจะให้รู้แน่ชัด ข้าก็ต้องดูที่ค่าสถานะ!”
ฟางหยวนมองไปรอบ ๆ แล้วกระดานค่าสถานะก็ปรากฏขึ้นมา:
“ชื่อ: ฟางหยวน
พลังกาย: 1.1
พลังลมปราณ: 1.1
พลังเวทย์: 1.5
อายุ: 18
ระดับการฝึกตน: [ผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองแรก)]
วิทยายุทธ์: [ฝ่ามือทรายดำ (ระดับ 1)]
ทักษะ: [การแพทย์ (ระดับ 1)], [การดูแลพืช (ระดับ 3)]”
เมื่อเขาเพ่งที่วิทยายุทธ์ของตนเอง ก็มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับฝ่ามือทรายดำปรากฏขึ้นมา “[ฝ่ามือทรายดำ (ระดับ 1)]— วิชาภายนอก เมื่อฝึกสำเร็จ ฝ่ามือของผู้ฝึกจะแข็งแกร่งราวกับเหล็ก และสามารถตัดเหล็กได้ มีทั้งหมด 5 ระดับ วิชานี้สามารถใช้ร่วมกับพิษได้ ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1!”
“แม้แต่พลังเวทย์ก็เพิ่มขึ้น 0.1 เหรอ?”
ฟางหยวนถอนหายใจ “ไม่สิ… ผลต่อระดับพลังเวทย์น่าจะมาจากชาชำระจิต…”
ความคิดของเขาแจ่มชัด ค่าสถานะพวกนี้อ้างอิงถึงประสิทธิภาพทางกายของเขา ซึ่งหมายความว่ามันจะเพิ่มขึ้นยากขึ้นเรื่อย ๆ
การเพิ่มขึ้นเพียงแค่ 0.1 ก็ย่อมมีความแตกต่างกันทางระดับสถานะแล้ว
“ผ่านประตูแรกมาได้และได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์นี่มีผลเพิ่มประสิทธิภาพทางกายของคนผู้หนึ่งขนาดนี้เชียวหรือ?”
หลังจากตระหนักเรื่องนี้ได้ ฟางหยวนก็รู้สึกพอใจ
“ที่สำคัญที่สุดคือ ในที่สุด ฝ่ามือทรายดำนี่ก็นับเป็นวิชายุทธ์จริง ๆ แล้ว”
ตราบเท่าที่ระบบบรรจุวิทยายุทธ์นี้ไว้บนกระดานค่าสถานะ ก็หมายความว่ามันสามารถพัฒนาต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบเมื่อมีการฝึกฝนอย่างจริงจัง เป็นเรื่องดี
ถ้ามองอีกแง่หนึ่ง จากความพยายามที่ต้องใช้เพื่อทลายประตูทองแรก ฟางหยวนก็ยังห่างไกลจากผู้ฝึกยุทธ์ในตำนานทั้งหลายอีกช่วงใหญ่ ๆ เลยทีเดียว
“โชคไม่ดี… ข้าไม่สามารถเห็นค่าประสบการณ์ในการฝึกวิชาได้ ไม่อย่างนั้นคงจะสมบูรณ์แบบที่สุดเลย…”
ฟางหยวนถอนหายใจ
ทันใดนั้น ฟางหยวนก็มองเห็นแถบว่างเปล่าอันหนึ่งที่ด้านหลัง [ฝ่ามือทรายดำ]
แถบระดับการฝึกฝนดูไม่ชัดนักและต้องให้ผู้อื่นเพ่งมองเพื่อให้มันปรากฏขึ้น เมื่อละสายตาไป แถบระดับก็หายไป
“นั่น… นั่นมีอยู่ตั้งแต่แรกเหรอ? หรือว่ากระดานสถานะนี่คอยจับตามองพัฒนาการของข้าแล้วเพิ่มความสามารถนี่ขึ้นมาหลังจากข้าพัฒนาขึ้น?”
ฟางหยวนเข้าใจว่าแถบระดับนี้จะบอกประสบการณ์การฝึกฝนของตัวเขาเอง
อย่างเช่นตอนนี้ เพราะว่า [ฝ่ามือทรายดำ] เพิ่งถูกเพิ่มเข้าไป แถบระดับการฝึกฝนจึงยังเป็น 0 อยู่ เขาเพ่งมองที่ [การรักษา] และ [การดูแลพืช] และโดยไม่รู้ตัวเลย [การรักษา] ของเขาอยู่ที่ประมาณ 7 ใน 10 ส่วน และไม่ไกลจากระดับต่อไปนักแล้ว ส่วน [การดูแลพืช] แถบระดับก็เกินครึ่งหนึ่งแล้ว ดูเหมือนว่าการใช้ปุ๋ยวิญญาณจะช่วยเขาเพิ่มระดับ [การดูแลพืช] ได้
“ถ้ามีแถบระดับการฝึกฝนนี่ มันก็ง่ายที่จะติดตามการพัฒนาของข้าในอนาคต!”
บนเส้นทางสู่การเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ฟางหยวนรู้สึกเต็มไปด้วยพลัง และโดยไม่ลังเล ก็เริ่มฝึกฝนใหม่อีกรอบ
“ฝ่ามือทรายดำ!”
หลังฝึกรอบใหม่เสร็จ ฟางหยวนก็เอาแผ่นกระดานไม้ออกมาทดสอบความแข็งแกร่งของตัวเอง
ฝ่ามือของเขากระทบเข้ากับแผ่นไม้ แต่มีเพียงรอยฝ่ามือปรากฏขึ้นจาง ๆ ดูเหมือนว่าวิชานี้ยังมีช่องว่างให้พัฒนาได้อีกมาก
“กระดานสถานะ!”
ที่แถบระดับการฝึกฝนนั้นเพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ยังเรียกได้ว่าเกือบจะไม่เพิ่มเลย
“นี่แปลว่าผู้อื่นสามารถฝึกโง่ ๆ สักล้านครั้งก็สามารถทลายประตูไปสู่ระดับต่อไปได้งั้นเหรอ?”
ฟางหยวนระงับความดีใจไว้ไม่ได้
เขารู้ว่านี่อาจจะเป็นเพราะว่าฝ่ามือทรายดำนั้นเป็นวิชายุทธ์ที่อยู่ในระดับพื้นฐานและเผยแพร่ให้ฝึกฝนกันอย่างกว้างขวาง
มันน่าจะมีเงื่อนไขสักอย่างที่ต้องผ่านผู้ฝึกถึงจะขยับไปที่ระดับต่อไปได้
ยกตัวอย่าง [การดูแลพืช] เขาต้องอาศัยความช่วยเหลือจากพืชวิญญาณก่อนที่จะผ่านสู่ระดับต่อไปได้
แต่เทียบกับผู้อื่นที่ฝึกเป็นปี ๆ แต่ยังชะงักอยู่ที่ระดับเดิม นี่ก็ถือเป็นการพัฒนาก้าวใหญ่ของฟางหยวน
“ค่าสถานะและแถบระดับการฝึกฝนนั้นเป็นปริมาณเชิงกายภาพ และถ้าฝึกฝนหนักมากพอ ก็ย่อมต้องมีการพัฒนาบ้างอยู่แล้ว!”
ฟางหยวนถอนหายใจ “แต่ข้าเป็นใครกัน? ข้าเป็นใครกันถึงได้ครอบครองความสามารถนี้ มีโชคเช่นนี้?”
ความพยายามนำมาซึ่งความสำเร็จ!
คนมากมายทำได้แค่ปรารถนาถึงความสำเร็จเช่นนี้
ยังไม่นับว่าเขายังมีแถบระดับการฝึกฝนแล้วยังมีประสบการณ์จากในฝัน
“ข้าต้องไขปริศนาเรื่องนี้ให้ได้ในสักวัน!”
ฟางหยวนเหม่อมองแนวเขาและตัดสินใจแน่วแน่
แม้ว่าเขาจะมีความสามารถ เขาก็รู้ว่าเขายังต้องตั้งใจและฝึกฝนให้มาก
แม้ว่าเขาจะสามารถเพลิดเพลินไปความสามารถล้ำค่าที่มี เขาก็รู้ว่าเขายังต้องระมัดระวังและคิดให้มากขึ้น
เขาต้องพัฒนาตัวเอง ปลดปล่อยศักยภาพของตนเองออกมาและทำความเข้าใจว่าอันที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่
“เส้นทางเดินนี้ไม่ง่ายนัก แต่ข้าก็จะมุ่งหน้าต่อไป!”
เขาถอนหายใจยาว ขณะที่ฮวาหูเตียวคอยสังเกตทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันดูว่าจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
TL note: ช่วงนี้บีบี้ไม่ค่อยสบาย เรื่องนี้มีแปลไว้แล้วแต่ไม่ได้เกลาสำนวนตุนเอาไว้ ดังนั้นอาจจะขาด ๆ หาย ๆ สักสัปดาห์หนึ่ง จากนั้นจะกลับมาอัพตามปกติ ต้องขออภัยผู้อ่านด้วย //โค้ง