เทือกเขาชิงหลิง
เทือกเขานี้ทอดยาวหลายร้อยกิโลเมตร ลึกเกินหยั่งรู้ และมีผืนดินอุดมสมบูรณ์ เป็นชีวิตของผู้คนบนเขา
ในตอนนี้ มีคนสองคนกำลังเดินลึกเข้าไปในภูเขาด้วยกัน แม้ว่าทางเดินจะขรุขระหรือมีพุ่มไม้แน่นหนาพวกเขาก็เดินผ่านไปได้โดยง่ายราวกับเดินบนพื้นเรียบโล่ง
ไม่นานนัก ก็ปรากฏหุบเขาขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา กระไออุ่นของแผ่นดินลอยขึ้นจากพื้นผสมกับละอองหมอก เกิดเป็นน้ำค้างใสเกาะบนใบไม้เขียวขจี แสงอาทิตย์กระทบกับหยาดน้ำค้างสะท้อนสีรุ้งเป็นประกายในอากาศ
“อืม… ไอดินลอยขึ้นมา ดูราวกับว่าที่นี่อยู่ในฤดูใบไม้ผลิตลอดกาลอย่างนั้น เป็นสถานที่ที่ดี แล้วเจ้าเด็กนั่นอยู่ไหนล่ะ?”
ชายชราไว้เคราแพะ คิ้วเฉียงดุ และมือผอมเกร็งคล้ายขาไก่ถามขึ้น
เขาอยู่ในชุดเสื้อคลุมยาวสีเขียว สายตาแหลมคมและแผ่รังสีไม่แยแสสิ่งใดออกมารอบตัว ผู้ดูแลในวัยกลางคนอีกผู้หนึ่งทำได้แค่ยิ้มขณะปาดเหงื่อเย็นเยียบออกจากใบหน้า
“อันที่จริง… ในหุบเขานี่มีบริเวณที่พักที่แยกออกมาที่สร้างโดยมิตรที่ดีงามคนหนึ่งของข้า เด็กหนุ่มที่ดีงามผู้นั้นอาศัยอยู่ที่นั่น”
“ถึงตอนนี้เจ้าก็ยังเรียกเจ้าเด็กนั่นดีงามอยู่อีกหรือ?” ชายเคราแพะถามอย่างเย็นชา
“เฮ่ย… จะอย่างไรอาจารย์ของเขากับข้าก็เป็นมิตรกันมานับสิบปี ยิ่งไปกว่านั้น ข้าติดค้างเขาครั้งหนึ่งแล้วคราวนี้… เฮ่ย…” ผู้ดูแลขมวดคิ้วเป็นร่องขณะถอนหายใจหลายครั้ง
ขณะที่พูดคุยกัน พวกเขาทั้งสองคนก็มาถึงทางเข้าหุบเขาแล้ว
หุบเขานี้มิได้กว้างใหญ่นัก แต่ให้ความรู้สึกเหมือนบ้าน แม่น้ำไหลเอื่อยผ่านพื้นที่ รอบ ๆ เงียบสงบ ตรงใจกลางมีที่พักอาศัยที่สร้างไว้อย่างปราณีตล้อมรอบด้วยพุ่มไม้สูง ปลูกข้าวหยกมุกไว้ไม่มาก ทว่าแต่ละเมล็ดข้าวเหมือนเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตและดูน่าชม
“โอ้… สวนนี่ ผืนดินนี้ ไม่เลวเลยทีเดียว เพื่อนเก่าผู้นั้นของเจ้าคงต้องทุ่มเทแรงกายใจน่าดู น่าเสียดายที่เขาจากไปเสียก่อน…” ชายชราเคราแพะส่ายหน้า
“อาจารย์เวิ่นซินปลีกตัวออกมาจากผู้คนและไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายในโลกภายนอก แต่เขามีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์และการดูแลพืชมาก ข้าแค่ได้คบหากับเขาโดยบังเอิญ เด็กดีคนที่ข้าพูดถึงนั้นเป็นกำพร้าที่ท่านรับเลี้ยงเอาไว้…” ผู้ดูแลอธิบายพลางยักไหล่
ทั้งสองคนเดินต่อไป ก่อนที่ในที่สุดก็กระโดดข้ามพุ่มไม้ที่ใช้ต่างรั้วเข้าไปเคาะประตูบ้าน
*ปัง ปัง*
เสียงเคาะดังกังวานไปทั่วหุบเขา แต่ไม่มีการตอบกลับ
“หือม์? ไม่มีคนอยู่รึ?” ผู้ดูแลรู้สึกประหลาดใจ และยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อชายชราเคราะแพะเปิดประตูพรวดพราดเข้าไปข้างในเลย
“ฮึ่ม! เล่นตลกกับพวกข้ารึ?”
ด้านใน พวกเขาพบกับการตกแต่งแบบพื้นบ้านและเรียบง่าย นอกจากสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันแล้ว ก็มีห้องเล็ก ๆ ด้านหลังบ้านมีประตูเล็กเปิดออกสู่สวนดอกไม้กว้าง
น้ำพุธรรมชาติไหลรินผ่านพื้นที่สวน เสียงน้ำไหลรวมกับดอกไม้งามหลากสีสันรอบน้ำพุก่อเกิดภาพงดงาม
จากด้านหลังพุ่มดอกไม้ ชายหนุ่มผู้หนึ่งโผล่หัวขึ้นมา
“ท่านลุงหลินนั่นเองรึ? รอสักครู่! ขอข้าปลูกดอกชานี่ให้เสร็จก่อน!”
เขาดูอายุราว 17-18 ปี ดวงตาเปี่ยมไปด้วยพลัง รูปร่างหน้าตาธรรมดา สวมเสื้อผ้าทำจากผ้าเนื้อหยาบ ในตอนนี้แขนเสื้อถูกม้วนขึ้น และชายกางเกงเปรอะด้วยดินทราย ดูราวกับชาวนามืออาชีพผู้หนึ่ง
“โอ้ ฟางหยวน ทำงานของเจ้าให้เสร็จก่อนเถิด ข้าไม่รีบ!”
บางที อาจเพราะผู้ดูแลหยวนรู้สึกผิดนิดหน่อย ทำให้เขาหัวเราะเจื่อน ๆ ระหว่างที่กล่าวคำ
การปลูกพืชพวกชาเป็นศิลปะ โดยเพราะดอกชาซึ่งชอบสภาพอากาศเย็นและเติบโตได้ไม่ดีในพื้นที่ร้อน ดังนั้นฟางหยวนจึงหามุมร่มเย็นใกล้น้ำพุ และค่อย ๆ ปลูกมันลงในดิน
อันดับแรก ต้องพรวนดินให้ร่วนซุยก่อน จากนั้นรดน้ำและเติมปุ๋ยทันที น้ำที่ใช้รดคือน้ำจากน้ำพุบนเขาที่ตักมาพักไว้ก่อนแล้วสองวัน ขณะทำตามขั้นตอนเหล่านี้ ฟางหยวนไม่ได้เร่งรีบมาก แทบจะใช้ความตั้งใจทั้งหมด พานให้ผู้คนรู้สึกว่ากำลังชมการแสดงศิลปะ
เมื่อทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ ฟางหยวนก็กลับไปที่ข้างน้ำพุ ล้างมือและเท้าให้สะอาด
น้ำพุนี้มีแหล่งกำเนิดจากธารน้ำใต้ดิน ดังนั้นจึงเย็นแต่ไม่ถึงกับยะเยือก มันพอดีอย่างที่สุด
หลังจากทำความสะอาด ฟางหยวนเดินเข้าไปในบ้าน เผชิญหน้ากับชายชราสีหน้าไม่น่ามอง
“ท่านลุงหลิน ท่านผู้นี้คือ?” เขาถามด้วยสีหน้าสงสัย
“อ้อ ให้ข้าแนะนำเจ้า!” ผู้ดูแลหลินหัวเราะเบา ๆ “นี่คือผู้ดูแลฝ่ายนอกของสำนักกุยหลิง อินทรีเหล็กหน้านิ่ง อวี้ชิวเหลิ่ง ท่านอวี้ เหลยเยว่เพิ่งเข้าร่วมสำนักนี้…”
“คารวะท่านอวี้!” ฟางหยวนยิ้มกว้างขณะคารวะคนรู้จักใหม่ของเขา
“หึ! คนป่าคนเขาไม่รู้มารยาทจริงเชียว ข้ามารอเป็นครึ่งวัน ชาสักถ้วยยังไม่มี!”
อวี้ชิวเหลิ่งแค่นเสียง ถ้าไม่เพราะผู้ดูแลหลินดึงเอาไว้ เขาคงจะตรงเข้าไปสั่งสอนบทเรียนแก่เจ้าหนุ่มนี่ไปแล้ว
“ขออภัย บ้านของข้าน้อยซอมซ่อยิ่งนัก จึงไม่สามารถหาน้ำชาให้ท่านได้…”
เมื่อได้ยิน ฟางหวนก็เลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ และตอบกลับไปอย่างเรียบง่าย ก่อนที่จะมองไปที่ผู้ดูแลหลิน
“ท่านลุงหลิน ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุอันใดรึ?”
“อ้อ.. นี่…” ผู้ดูแลหลินตะกุกตะกักเล็กน้อย กว่าจะค่อย ๆ พูดออกมาได้ หน้าก็แดงราวย้อมชาด
“เหลยเยว่เข้าร่วมสำนักกุยหลิง หนึ่งในสำนักชั้นยอดในรัศมี 100 ลี้นี้ และในสำนักยังมีอู่จงด้วย ท่านเจ้าสำนักได้ทดสอบความสามารถของเหลยเยว่และชมชอบความสามารถนางมาก ดังนั้นจึงรับนางเป็นศิษย์สายตรง ตอนนี้นางเรียนวรยุทธ์จากท่านเจ้าสำนัก ซึ่งเป็นวิชาหยินบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น… สัญญาหมั้นหมายของเจ้ากับเหลยเยว่…”
“เฮอะ!” ในตอนนั้น อวี้ชิวเหลิ่งก็พูดขึ้น “แม่นางเหลยเยว่เป็นศิษย์คนสำคัญของท่านเจ้าสำนักข้า มีความสามารถเหนือธรรมดา ต่อไปนางอาจจะสามารถเข้าถึงระดับอู่จงได้…”
เขาไม่ได้พูดอันใดต่อ แต่ราวกับว่าคำ คางคกอยากกินเนื้อหงส์ นั้นก็ดังก้องไปมาในห้อง
“อ้อ! เช่นนี้นี่เอง!” ฟางหยวนสูดหายใจลึกก่อนตอบช้า ๆ “ท่านทั้งสอง โปรดรอสักครู่” จากนั้นเขาก็ลุกขึ้น และเดินกลับเข้าในห้อง
“หืม?” กิริยานี้ทำให้ผู้ดูแลหลินอึ้งไป
เขาแน่ใจว่าถ้าเป็นตัวเขาเองพบกับเรื่องเช่นนี้ที่อายุเท่านี้ เขาคงจะไม่สามารถรักษากิริยาสงบเช่นนี้ได้
“ไม่ใช่ว่าเขาจะเตรียมสู้ตายกับพวกเราหรอกนะ?”
ผู้ดูแลหลินรู้สึกหวั่นขึ้นเล็กน้อยมองไปที่อวี้ชิวเหลิ่งที่ข้าง ๆ อวี้ชิวเหลิ่งเหลือบมองมา ความตั้งใจนั้นเห็นได้ชัดเจน
ต่อให้เด็กหนุ่มผู้นี้ถือโอกาสดึงสุนัขตื่นข้ามกำแพง เขาก็ไม่ใช่คู่มือของอินทรีเหล็กหน้านิ่งผู้นี้อยู่ดี
“ท่านลุงหลิน!”
ประตูกระท่อมถูกผลักเปิด ฟางหยวนเดินออกมา ในมือถือกล่องไม้ใบหนึ่งเอาไว้
“นี่คือสัญญาหมั้นหมายระหว่างแม่นางเหลยเยว่และข้า ตั้งแต่พวกเราหมั้นกัน ข้าก็ตรองเรื่องนี้ดูหลายครั้งแล้ว และข้าก็ตระหนักว่าตัวเองนั้นไม่คู่ควรกับแม่นางเหลยเยว่ ที่ท่านลุงหลินมาวันนี้ ได้ช่วยข้าแก้ปัญหานี้ที่อยู่ในใจข้ามาตลอด”
“หือ?”
ผู้ดูแลหลินรับกล่องไม้มาอย่างตะลึงงัน และหลังจากเปิดออกดูก็พบสัญญาหมั้นหมาย นี่เป็นของจริง
เขาไม่เคยคิดเลยว่ามันจะง่ายดายเช่นนี้ เขานิ่งอยู่ครู่ด้วยความสับสน
แต่ว่าอวี้ชิวเหลิ่งนั้นลุกขึ้นยืนและเดินออกไปด้วยสายตาที่อ่านได้อย่างชัดเจนว่า ‘อย่างน้อยเจ้าก็รู้สถานะของตัวเอง’
“เฮ่ย.. ฟางหยวน ข้าคงพูดอะไรมากไม่ได้แล้ว เจ้ากับเหลยเยว่คงไม่ได้ถูกลิขิตให้คู่กันจริง ๆ… นี่เป็นของขวัญเล็กน้อย รับไปเถิดนะ!” ผู้ดูแลหลินส่งห่อของขนาดเล็กให้ ใบหน้ายังแต้มสีแดงสด
“เพราะเป็นของขวัญจากท่านลุง ดังนั้นข้าจะรับไว้ด้วยความยินดี” ฟางหยวนไม่เห็นว่าข้างในคืออะไร แค่รับของมา
“ดี! ดีแล้ว!”
ยิ่งฟางหยวนดูใจเย็นเท่าไหร่ ผู้ดูแลหลินก็รู้สึกกระวนกระวายเท่านั้น เขาดึงอวี้ชิวเหลิ่งออกมาแล้วจากไปทันที
…
“หืม นี่คือโฉนดที่ดินของทั้งหุบเขาสินะ ผู้ดูแลหลินคงต้องทั้งลงแรงทั้งใช้เส้นสายเพื่อให้ได้มันมา เขาใจกว้างมากทีเดียว”
หลังจากที่คนทั้งสองจากไป ฟางหยวนก็เปิดห่อของออกดูและพบโฉนดที่ดิน ตั๋วแลกเงินและทองคำก้อนอีกเล็กน้อย และขวดหยกขวดหนึ่ง
เขารู้ดีว่าที่ผู้ดูแลหลินเขียนสัญญาแต่งงานระหว่างเหลยเยว่และเขาขึ้นก็เพราะท่านอาจารย์เวิ่นซินได้ช่วยชีวิตผู้ดูแลหลินไว้
แต่ตอนนี้ผู้อุปถัมภ์ของฟางหยวนได้จากไปแล้ว และฝ่ายหญิงก็มีสถานะสูงส่งขึ้น มีโอกาสเจรจายกเลิกการแต่งงานอย่างเป็นกันเองไม่ถูกกำจัดทิ้งก็ถือเป็นบุญยิ่งนักแล้ว
ที่จริงแล้ว เขาเองก็ไม่ได้มีตัวเลือกมากนัก
เป็นเหตุผลให้เขาได้รับการชดเชยอย่างเต็มใจ หาไม่แล้ว ก็จะมีแต่ความโกรธและเกลียดชังที่จะลากเขาลงสู่ปัญหามากกว่านี้
“ถ้าไม่ตกลง จะให้ข้าไม่ยินยอมแล้วถูกกำจัดทิ้งเพื่อลดโอกาสเกิดปัญหาในภายหน้างั้นเหรอ?” ฟางหยวนหัวเราะเบา ๆ ขณะพึมพำกับตัวเอง
ต้องขอบคุณที่เขาเป็นคนมองโลกในแง่ดีและเขาเองก็เคยพบกับเหลยเยว่เพียงไม่กี่ครั้ง ดังนั้น จึงมิได้มีความรักใด ๆ ระหว่างเขาและนาง
ส่วนความอัปยศ ชื่อเสียง หรืออื่น ๆ นั้น…
สำหรับคนที่อาศัยอย่างสันโดษอยู่ในป่า พวกไก่ป่าและกระต่ายเหล่านั้นสามารถหัวเราะเยาะเขาได้เหรอ?
ตราบเท่าที่ตัวเขาเองไม่สนใจ ชื่อเสียงของเขาที่โลกภายนอกนั่นก็แค่สายลมหอบหนึ่ง ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลถึง
แม้ว่าเขาจะไม่ได้กลัวเสียหน้าแต่อย่างใด แต่จะไม่รับสิ่งชดเชยจากฝ่ายหญิงเลยก็ดูจะเสียของไปเปล่า
“เอ๋? เมล็ดข้าวหยกแดง?”
เมื่อพิจารณาของที่อยู่ในขวดหยกใกล้ ๆ แล้ว เขาก็ครางออกมาด้วยความประหลาดใจ
ด้านในขวดหยก เป็นเมล็ดข้าวเล็ก ๆ ที่เป็นประกายราวหยก เมล็ดกลมสมบูรณ์ สีแดงงดงาม เปล่งรัศมีร้อนแรงที่แทบทำให้ผู้คนรู้สึกน้ำลายไหลเมื่อมองเห็น
นี่เป็นพืชวิญญาณที่มีค่าสูงที่ฟางหยวนตามหามาเป็นเวลานาน เขาเคยรบกวนให้ผู้ดูแลหลินหาให้แล้วก่อนหน้านี้ และในที่สุดเขาก็ได้มันมา
“อืม ข้าวหยกแดงเป็นธาตุหยาง แต่ต้องปลูกระหว่างเวลาหยิน ข้าจะปลูกพวกมันลงแปลงดินที่เตรียมใหม่ในคืนนี้…”
ฟางหยวนเหลือบมองขวดหยกอีกครั้ง รอยยิ้มโง่งมปรากฏบนใบหน้า
…
ที่ด้านนอกหุบเขา
“เฮ่ย..”
ผู้ดูแลหลินถอนหายใจยาว แม้ว่าเขาจะทำใจล่วงหน้ามาสักพักแล้ว เมื่อเขาเห็นทัศนคติที่ดีงามและเด็ดเดี่ยวของฟางหยวนวันนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดายเล็ก ๆ
“อะไรกัน? ผู้ดูแลหลินมีปัญหาใดหรือ?”
อวี้ชิวเหลิ่งหัวเราะอยู่ข้าง ๆ เขา
“สัญญาแต่งงานถูกยกเลิก และเจ้าหนุ่มนั่นก็ยอมรับของชดเชย แม้ว่าเขาจะตัดสินใจก่อปัญหาใดในอนาคต พวกเราก็อยู่ในฐานะเหนือกว่า… แต่ว่า ถ้าเจ้ายังกังวล ข้าสามารถกลับไปกำจัดปัญหานี้ทิ้งได้”
“ไม่ ไม่ต้อง!” ผู้ดูแลหลินโบกมือทั้งสองข้างแล้วยืนยันว่า “ข้าแค่รู้สึกว่าฟางหยวนเป็นเด็กหนุ่มที่ดีจริง ๆ น่าเสียดายที่เหลยเยว่…”
“หึ ถ้าลูกสาวของเจ้าได้เป็นอู่จงในอนาคต นางก็สามารถเลือกผู้ชายคนไหนก็ได้ที่นางต้องการ ทำไมเจ้าต้องคิดมากเรื่องเจ้าเด็กหลังเขานั่นด้วย?” อวี้ชิวเหลิ่งพูดกระทบกระเทียบ “แล้วก็นะ ถ้าเจ้ายังรู้สึกเสียดาย เจ้าก็ให้ลูกสาวคนอื่นของเจ้าแต่งให้เขาสิ! ตราบใดที่ไม่ใช่แม่นางเหลยเยว่ สำนักของเราก็ไม่สนใจหรอก”
“เฮ่ย… เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ข้าจะมีหน้าไปยกเรื่องนั้นขึ้นมาอีกได้อย่างไร…” ผู้ดูแลหลินถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะเริ่มออกเดิน
คนทั้งสองเดินจากไปไกลกระทั่งหายลับไปตามหลืบเขา