@บริษัทkn group
ตึก! ตึก! ตึก!
รองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้นกระเบื้องยามเจ้าของเรือนร่างอรชรในชุดทำงาน เสื้อเกาะอกสีดำสวมทับด้วยสูทสีเทาแขนสั้นข้างยาวข้างพร้อมกางเกงสแล็คสะบัดขาก้าวเดิน เรียกความสนใจจากพนักงานในบริษัทให้หันมามองเธอเป็นตาเดียว
“คุณเนเน่สวัสดีค่ะ/สวัสดีครับ”
“ท่านประธานสวัสดีค่ะ/สวัสดีครับ”
ทุกคนต่างพร้อมใจกันวางมือจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ยืนขึ้นกล่าวทักทาย ทำให้เนเน่หยุดฝีเท้าที่กำลังจะเดินไปยังห้องทำงานพร้อมกับลูกสาวตัวน้อยทั้งสองคนที่จูงมืออยู่ซ้ายขวา หันมองพนักงานทุกคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แม้จะเพิ่งมาทำงานวันแรกก็ไม่แปลกเลยที่ทุกคนจะรู้จักและต้อนรับเธอเป็นอย่างดี เพราะบอร์ดบริหารได้แปะรูปเธอคู่กับพี่สาวเป็นประธานบริษัท
บางคนก็เรียกชื่อเธอบางคนก็เรียกท่านประธานตามที่ตัวเองอยากเรียก ซึ่งเธอก็ไม่ได้ว่าอะไรใครถนัดเรียกอันไหนก็ตามใจเลยเอาที่สะดวก
“น้องเพลินน้องเพลงค่ะสวัสดีพี่ๆเขาสิลูก” น้ำเสียงใสเป็นกันเองของเนเน่ก้มบอกลูกสาวทั้งสองคน แล้วคลายมือจากมือน้อยๆ ทำเอาพนักงานต่างพากันตกใจ ดูลุคนิ่งๆนึกว่าประธานบริษัทอีกคนจะมาในมาดดุๆหยิ่งๆแต่เปล่าเลยมาแนวเดียวกันแปะทั้งนิสัยดีและเป็นกันเอง
“ซาหวัดรีกะ (สวัสดีค่ะ) ” เพลินลินกับเพลงพิณมองตาแป๋ว คนพี่เกาแก้มเก้อแต่ทั้งคู่ก็ประนมมือขึ้นพร้อมกล่าวคำทักทายตามคำสั่งของคนเป็นแม่
“สวัสดีคุณหนูตัวน้อย”
“งื้อ..น่ารักจัง”
“โตขึ้นมาต้องสวยเหมือนคุณแม่แน่เลยค่ะ”
เด็กน้อยคนน้องคลี่ยิ้มหวานให้กับพนักงานทุกคนที่เอ่ยปากชม ขณะที่คนพี่ยิ้มอ่อนหันไปซบพวงแก้มแดงระเรื่อเข้าหาเรียวขาสวยของผู้เป็นแม่กลบความเขินอาย
เนเน่หลุดขำท่าทีของเพลินลิน พลางลูบศีรษะทุยเบาๆ ก่อนริมฝีปากอวบจะอิ่มกล่าวลา “งั้นเน่ขอตัวเข้าห้องทำงานก่อนนะคะ”
“ค่ะ” สิ้นสุดคำตอบรับจากพนักงาน มือเล็กก็เอื้อมคว้าจูงมือน้อยๆของลูกสาวทั้งสองคนหันเดินเข้าห้องทำงานข้างหน้าที่เปิดรออยู่
“คุณเนเน่น่ารักเนอะแกเป็นกันเองด้วยอะ”
“ใช่ๆ ลูกสาวเขาก็น่ารักไม่หยิ่งเลย”
“นิสัยน่ารักพูดเพราะพอๆกับคุณคลีนเลย ขนาดเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องกันนะเนี่ยนึกว่าพี่น้องท้องเดียวกัน”
“เออจริง พวกเรานี่โชคดีเนอะที่ได้เจ้านายดีๆแบบนี้”
“อือ ฉันโคตรหลงคุณหนูทั้งสองคนมากแก เด็กอะไรโปรยเสน่ห์เก่ง”
พนักงานหลายคนหันหน้าจับกลุ่มคุยกันทันทีที่เนเน่เดินเข้าห้องไป ยังคงชื่นชมนิสัยของเจ้านายคนนี้กับลูกๆของเธอเรื่อยๆอย่างเคลิบเคลิ้มและสนุกปาก
“เลิกนินทาเจ้านายกันได้และพวกแกอยากโดนไล่ออกกันรึไง” จนกระทั่งผู้จัดการสาววัยกลางคนซึ่งควบคุมแผนกการจัดการฝ่ายตลาดและการเงินเดินเข้ามาหวังจะมอบหมายงาน กลับเห็นลูกน้องยืนจับกลุ่มพูดถึงเจ้านายคนใหม่กันเลยเอ็ดเสียงแข็ง ทำให้ทุกคนเงียบลงทันทีรีบต่างคนต่างกลับไปนั่งทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
“หนูสองนั่งเล่นกันตรงนี้นะ ห้ามมากวนคุณแม่เข้าใจไหมคะ”
“เก้าจายกะ (เข้าใจค่ะ) ” เด็กหญิงคนพี่พยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้มเมื่อมาถึงโซฟานุ่ม เธอปีนขึ้นไปนอนลงบนโซฟานั้นดูการ์ตูนที่กำลังฉายอยู่บนจอโปรเจคเตอร์
“…..” ขณะเดียวกันเด็กหญิงคนน้องไม่ได้สนใจคำพูดของคนเป็นแม่ หย่อนตัวนั่งลงเล่นของเล่นที่ได้เตรียมมาอยู่ในตะกร้าตามประสาเด็กกำลังซน
“น้องเพลินเอานมไหมลูก”
“…..” ใบหน้าหวานหันมาพยักให้เป็นคำตอบ ก่อนเนเน่จะก้มหน้าลงถามลูกสาวอีกคน
“แล้วน้องเพลงล่ะเอาไหม”
“โนว” มือน้อยส่ายไปมาเป็นคำตอบเช่นกัน หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆกับความสรรหาคำมาพูดของลูกสาวคนเล็ก แล้วก้มหยิบขวดนมในตะกร้าอีกใบบนโต๊ะส่งให้ลูกสาวคนโต จากนั้นก็เดินไปหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ก้มหน้าทำงานของตัวเอง
เธอไม่ได้จบสายนี้มาโดยตรงแต่พอจะรู้ว่าควรบริหารยังไง เพราะก่อนผู้เป็นพ่อมอบหมายให้ดูแลสอนจนเข้าใจหมดแล้ว บางคนก็รู้แล้วว่าบริษัทของเธอทำเกี่ยวกับอะไรบางคนก็ไม่รู้ บริษัทของเธอเป็นบริษัทเรือน้ำมันส่งออกไปยังต่างประเทศ รวมไปถึงปั๊มน้ำมันทั้งหมดที่เป็นของครอบครัวเธอด้วย
ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้น ทำให้เด็กหญิงตัวน้อยทั้งสองคนที่เพิ่งผล็อยหลับไปมือสองชั่วโมงที่แล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมา มือน้อยๆยกขึ้นขยี้เปลือกตาบางอย่างงัวเงีย แล้วคนน้องค่อยๆดันตัวลุกขึ้นนั่งมองบานประตูที่ถูกเปิดเข้ามา เช่นเดียวกับเนเน่ละสายตาจากเอกสารที่เซ็นอยู่
“อ้าวเจ้เพิ่งมาเหรอ” หญิงสาววางปากกาลงบนเอกสาร มองพี่สาวเดินนวยนาดบนรองเท้าส้นสูงเข้ามาหาโดยมีแม่บ้านถือถาดอาหารกลางวันเดินตามหลังมา
“มาตั้งแต่เช้าแล้วแต่เพิ่งว่างมาหา มากินข้าวเที่ยงกัน” คลีนตอบกลับ แล้วเดินไปหย่อนตัวนั่งลงข้างๆหลานสาวทั้งสองคน พร้อมกับเอ่ยทักทาย “ไงคะน้องเพลินน้องเพลง ป้าคลีนเข้ามากวนหนูรึเปล่าลูก”
“ม่ายกวนเยยกะ (ไม่กวนเลยค่ะ) ” ว่าแล้วเพลินลินก็คลานไปนั่งลงบนตักของผู้เป็นป้า ขณะที่เพลงพิณค่อยๆดันตัวลุกขึ้นมานั่ง
“เจกวีน (เจ้ควีน) ” น้ำเสียงเล็กแหบพร่าของเพลิงพิณตะเบ่งถามหาพี่สาว หลังเห็นผู้เป็นป้าเข้ามาคนเดียว
“เจ้ควีนไปเรียนค่ะลูก”
“เด็กๆคะไปล้างหน้าล้างตากันก่อนนะคะ เดี๋ยวค่อยมากินข้าว” เนเน่หยัดกายลุกขึ้นเดินมาหาคนบนโซฟา เอ่ยบอกลูกสาวที่ยังมีสีหน้างัวเงียอยู่ เด็กน้อยทั้งสองคนจึงค่อยๆพลิกตัวก้าวขาลงข้างหนึ่งลงแตะพื้นแล้วดันตัวลงมาช้าๆพร้อมกับขาอีกขาแตะพื้นตามหลัง พากันเดินเตาะแตะไปยังอ่างล้างของเด็กในห้องน้ำภายในห้องทำงาน
“เป็นยังไงบ้างทำงานวันแรก” หลังจากเนเน่หย่อนตัวนั่งลงข้างๆคลีนก็หันไปเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงถ้าอีกคน ไม่ไหวยังไงเธอจะได้ค่อยช่วยเหลือ
“ก็โอเคดีค่ะ ไม่ค่อยยากเท่าไหร่แต่งานเยอะอยู่นะ”
“ปกติช่วงขนส่งของออกต่างประเทศงานจะเยอะแบบนี้แหละ อดทนหน่อย” มือเล็กยกขึ้นไปตบไหล่มนของน้องสาวเบาๆเชิงให้กำลังใจ แล้วพูดต่อ “ถ้าไม่รู้อะไรตรงไหนไปถามเจ้ได้นะอยู่ห้องข้างๆนี่เอง”
“ค่ะเจ้” เนเน่หยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ไม่ว่าจะเรื่องอะไรพี่สาวคนนี้ก็ยังคงจะคอยช่วยเหลือเธอเสมอไม่เคยเปลี่ยนมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว
เย็นวันนั้นหลังเลิกงานเนเน่จูงมือลูกสาวทั้งสองเดินออกมาจากร้านไอศกรีมหลังจากรับประทานกันเสร็จเรียบร้อย เด็กๆร้องอยากจะมากินเธอเลยต้องพามา
“จุนแม่กะ ตำมายจนอื่นเก๊ามีป้อมาต้วยแย้วตำมายปวกเยาม่ายมีระกะ (คุณแม่คะ ทำไมคนอื่นเขามีพ่อมาด้วยแล้วทำไมพวกเราไม่มีล่ะคะ) ” เป็นเพลินลินแหงนหน้าถามคนเป็นแม่ เมื่อเห็นโต๊ะข้างๆมากันเป็นครอบครัวแล้วได้ยินเด็กคนหนึ่งในโต๊ะนั้นเรียกผู้ชายวัยกลางคนในโต๊ะว่าพ่อ แต่ทำไมเธอถึงมาไม่ครบและไม่เคยสัมผัสถึงหรือรู้เลยว่าคำว่าพ่อคืออะไร
“…..” หัวใจดวงน้อยของคนเป็นแม่กระตุกวูบทันทีที่ลูกถามถึงคนเป็นพ่อ พร้อมกับใบหน้าคมคายของเพลิงฉายขึ้นมาในหัวให้นึกถึงอีกแล้ว และก็รู้ว่ายังไงสักวันลูกต้องถามถึงแต่ทว่าตอนนี้มันเร็วไปเธอไม่รู้จะบอกยังไง เลยคิดว่ารอให้โตจนรู้นิติภาวะก่อนค่อยบอกความจริงว่าพ่อของเขานั้นไม่มีชีวิตอยู่แล้ว “เดี๋ยวรอให้หนูโตขึ้นอีกหน่อยคุณแม่จะบอกนะคะ”
“กะ (ค่ะ) ” เด็กหญิงก้มหน้าเศร้า ทำคนเป็นแม่ถอนหายใจเบาๆอย่างคิดสงสารลูก แล้วพาเดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่ด้านหน้าห่างจากร้านนิดเดียว
ระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้นเพลงพิณที่เดินเล่นของเล่นไปด้วยเกิดทำหลุดมือ ส่งผลให้ของเล่นนั้นกลิ้งไปกลางถนนอย่างรวดเร็ว ทำให้เด็กน้อยรีบสะบัดมือออกจากเกาะกุมของคนเป็นแม่วิ่งไปเก็บของเล่น
“เพลงพิณอย่าวิ่งออกไปลูก” เนเน่พอเห็นอย่างนั้นก็ใจหายแวบรีบเอ่ยห้าม พร้อมกับอุ้มลูกสาวอีกคนขึ้นแนบอก วิ่งตามออกไปทันที
ปรี๊ดดดดดดด!!
แต่เสียงแตรจากรถบนถนนที่วิ่งมาด้วยความเร็วบีบไล่ ความไร้เดียงสาของเด็กน้อยเลยไม่รู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตรายจึงเลือกที่จะไม่หลบ สิ่งเดียวคือจะเก็บของเล่นให้ได้
“น้องเพลง! ” เธอตะโกนเรียกลูกสุดเสียงด้วยความตกใจสุดขีด อุบัติเหตุครั้งใหญ่ครั้งแรกกำลังจะเกิดขึ้นกับดวงใจเมื่อรถคันนั้นขับแล่นเข้ามากระชั้นชิดเพียงแค่เสี้ยววินาที
ฟิ้ว!
แล้วรถคันนั้นก็วิ่งผ่านหน้าไปโดยไม่ได้ชนลูกเธอแม้แต่น้อย เพราะมีใครคนหนึ่งวิ่งเข้าไปอุ้มออกมาได้ทัน
สองเท้าเล็กรีบวิ่งไปหาลูกสาวทันทีด้วยความเป็นห่วง ขณะที่ผู้ชายร่างสูงคนนั้นยืนหันหลังทำท่าเสยผมขึ้นให้ลูกสาวเธอ
“น้องเพลงเป็นอะไรไหมลูก” ไม่ถามเปล่ามือเล็กลูบศีรษะทุยของลูกสาวเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าไปมองคนที่ช่วยลูกของเธอไว้เพื่อจะขอบคุณ ถ้าไม่ได้เขามาช่วยไว้เธอคงจะเสียใจไปตลอดชีวิต แต่กลับต้องยืนชะงักไปด้วยร่างกายแข็งทื่อด้วยความคิดไม่ถึงและตกใจในเวลาเดียวกัน
หยาดน้ำตาในดวงตากลมโตค่อยๆไหลกลิ้งลงมาบนพวงแก้มอัตโนมัติ เมื่อคนตรงหน้าที่ช่วยลูกเธอไว้คือคนที่ลูกคนโตเพิ่งถามถึงก่อนหน้านี้และที่เธอยังนึกถึงอยู่เป็นบางเวลา
“ดูแลลูกยังไงของมึงวะให้วิ่งออกมากลางถนน ถ้ากูมาไม่ทันลูกจะเป็นยังไง”
—————————————