ในความเป็นจริง ติงเหยาหลงไม่ได้รู้เลยว่าหากเขาโจมตีหลิงฮันอีกครั้ง หลิงฮันย่อมไม่สามารถต้านทานไหว
ปราณก่อเกิดของเขาถูกเผาผลาญหมดสิ้นไปกับการป้องกันการโจมตีของติงเหยาหลงก่อนหน้านี้แล้ว แต่ทว่าติงเหยาหลงกลับคิดว่าเขามีพลังป้องกันที่สามารถต้านทานการโจมตีจากนิรันดร์สี่นิพพานได้อย่างสมบูรณ์ จึงเลือกที่จะหล่อหลอมเขาให้ตายด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์แทน
“ทักษะลับเงาเหินข้ามเวลา!” หลิงฮันตะโกนชื่อทักษะออกไปทั่วๆและเข้าสู่หอคอยทมิฬ
นิรันดร์สี่นิพพานยังเป็นคู่ต่อสู้ที่ตึงมือเกินไป ด้วยพลังของติงเหยาหลงคงใช้เวลาเพียงไม่นานในการหล่อหลอมกายหยาบของเขาด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์
ร่างของคนหนึ่งคน จู่ๆก็หายไปในพริบตา
ใบหน้าของติงเหยาหลงกลายเป็นบูดบึ้ง ภายใต้การหล่อหลอมจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ การเคลื่อนที่ผ่านช่องว่างมิติของคู่ต่อสู้ที่มีพลังต่ำกว่าเขาย่อมต้องถูกขัดขวางเอาไว้
เมื่อสมควรเป็นเช่นนั้นแล้ว หลิงฮันหายไปได้อย่างไร? ต่อให้หลบหนีเข้าไปในอุปกรณ์มิติ อุปกรณ์มิติที่ว่าก็ต้องพังทลายในพริบตา
‘พรึบ พรึบ’ หานลู่ ประมุขตระกูลล้งและประมุขตระกูลต้วนเคลื่อนที่เข้ามา พวกเขาเองก็รู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก
“หรือเจ้าหนูนั่นจะเคลื่อนที่ผ่านช่องว่างมิติหลบหนีไปจริงๆ?” ปรมาจารย์ทั้งสี่คนคาดเดา การที่คนคนหนึ่งจะหายอย่างไร้ร่องรอยได้เช่นนี้มีเพียงการเคลื่อนที่ข้ามมิติเพียงวิธีเดียว
“ในเมืองธุลีจันทราไม่หลงเหลือออร่าของเจ้าหนูนั่นเลยแม้แต่น้อย” หานลู่กล่าวในขณะที่สายตาเหลือบมองไปยังสุนัขตัวดำ ความอัปยศที่ถูกกัดก้นเขาไม่มีวันลืมง่ายๆ
แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องของหลิงฮันก็สำคัญยิ่งกว่า อีกฝ่ายไม่เพียงสังหารรุ่นเยาว์ของตระกูลหานแต่ยังอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับความลับของราชานิรันดร์อีกด้วย!
ระ… หรือว่า! จู่ๆหานลู่ก็คิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมาได้
หรือความจริงแล้วหลิงฮันจะเป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์? เพราะงั้นเขาถึงได้มีความสามารถที่น่าอัศจรรย์มากมาย
หานลู่รู้สึกหวาดผวาเล็กน้อยเนื่องจากไม่ใช่แค่หลิงฮันแค่คนเดียว แต่สุนัขตัวดำนั่นก็แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก แม้จะมีระดับพลังเพียงระดับสร้างสรรพสิ่ง แต่ความสามารถกลับยิ่งใหญ่ถึงขนาดที่แม้แต่ตัวตนระดับนิรันดร์ก็อาจจะไม่สามารถทำอะไรได้
หากทั้งสองมาจากขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์จริงๆ ก็จะอธิบายได้ทุกอย่าง
ยิ่งคิดหานลู่ก็ยิ่งเป็นกังวล เขารีบคว้าร่างของหานฉีและออกไปจากเมือง เรื่องนี้จำเป็นต้องรายงานให้ประมุขตระกูลทราบเนื่องจากสถานะของเขาไม่สูงส่งพอที่จะตัดสินใจได้ว่าควรจะทำเช่นไรต่อไป
ติงเหยาหลงไม่ห้ามรั้งหานลู่ เพราะต่อให้รั้งเอาไว้พวกเขาก็ไม่มีทางเรียกค่าเสียหายจากอีกฝ่ายได้อยู่ดี
ดวงวิญญาณของติงหู่ยังคงร้องโอดครวญและพลังชีวิตค่อยๆอ่อนแอลงเรื่อยๆ
เกรงว่าในประวัติศาสตร์โลกวรยุทธ เขาอาจจะเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานคนแรกที่ตายด้วยเงื้อมมือของจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่ง ความอัปยศนี้จะติดตัวเขาไปตลอดแม้จะไม่อยู่บนโลกนี้แล้วก็ตาม
“ท่าน… ประมุข…” เสียงโอดครวญครั้งสุดท้ายของติงหู่ดังขึ้นพร้อมกับดวงวิญญาณได้ถูกแผดเผากลายเป็นเถ้าถ่าน
ติงเหยาหลงกำหมัดแน่น แววตาของเขาแฝงไว้ด้วยโทสะอันแรงกล้า
“ท่านประมุข พวกเราจะทำอย่างไรต่อดี?” ติงซงและติงซานเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“แยกย้ายกันตามหาและสังหารเจ้าหนูนั่นซะ!” ติงเหยาหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ขอรับ!”
ตระกูลติงแทบจะบ้าคลั่ง ภายในหนึ่งวันนอกจากวิหารบรรพบุรุษจะถูกทำลายแทบไม่เหลือซากแล้ว นิรันดร์หนึ่งคนยังเสียชีวิตตามไปอีก ความเสียหายในครั้งนี้หนักหนาสาหัสเกินพรรณนา
ในขณะที่เหล่าปรมาจารย์ระดับนิรันดร์ออกจากตระกูลไปตามล่าตัวเขาในเมือง หลิงฮันก็ถือโอกาสออกมาจากหอคอยทมิฬ แม้สมาชิกตระกูลติงจะมาพบเจอเขา ภายใต้ระดับโลกียนิพพานทุกคนต่างถูกเขาซัดหมอบภายในหมัดเดียว
หลังจากออกมาพ้นจากอาณาเขตของตระกูลติง หลิงฮันก็หลบเข้าไปในหอคอยทมิฬอีกครั้งเพื่อลบร่องรอยของออร่าเผื่อที่ว่าปรมาจารย์จากตระกูลติงมาตรวจสอบจะได้ไม่พบ
หลังจากเข้าๆออกๆหอคอยทมิฬอยู่หลายครั้ง หลิงฮันก็มาถึงค่ายกองกำลังเพื่อพบเม่าไต้
เขาต้องการไหว้วานขอให้เม่าไต้ช่วยเหลือโดยการพาเขาออกจากเมืองธุลีจันทรา ตระกูลติงจะต้องให้ปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งคุ้มกันทางออกเมืองเอาไว้แน่ เพราะงั้นคงเป็นเรื่องยากหากเขาจะทำการหนีออกไปตรงๆ แต่หากเม่าไต้ยื่นมือเข้ามาช่วย นอกเสียจากติงเหยาหลงจะลงมือด้วยตัวเอง เม่าไต้ย่อมไม่ต้องหวาดกลัวใคร
“คนอย่างเจ้านี่มัน… เป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง” เมื่อเห็นหลิงฮันปรากฏตัว เม่าไต้ก็ส่ายหัวไปมาโดยยังรู้สึกตกตะลึงไม่หาย
ให้พูดกันตรงๆแล้ว ต่อให้เป็นเขาก็ไม่มีความสามารถที่จะรับมือกับนิรันดร์สี่นิพพานถึงสองคนพร้อมกันและหลบหนีมาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
หลิงฮันยิ้ม “ผู้อาวุโสก็เอ่ยชมกันเกินไป”
“เจ้าต้องการหลบซ่อนตัวที่นี่?” เม่าไต้กล่าวด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้เขาจะเป็นเพียงนิรันดร์สามนิพพานแต่เขาก็ไม่หวั่นเกรงต่ออำนาจของสามตระกูลใหญ่ของเมืองเนื่องจากเขาได้สร้างสายสัมพันธ์กับตระกูลฟู่เอาไว้แล้ว เมื่อใดที่บรรลุเป็นนิรันดร์สี่นิพพาน เขาก็จะออกจากเมืองนี้และเพื่ออนาคตที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “ข้าอยากขอให้ผู้อาวุโสช่วยข้าออกจากเมือง”
เม่าไต้ชะงักแน่นิ่งเล็กน้อยและเผยสีหน้าประหลาดใจ “เจ้าคิดจะทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพาน?”
“ขอรับ” หลิงฮันพยักหน้า
เม่าไต้ตกตะลึงราวกับมองเห็นภูตผีปรากฏอยู่ตรงหน้า ตั้งแต่ที่หลิงฮันบรรลุเป็นราชาเซียนเวลาเพิ่งผ่านมาไม่เท่าไหร่ แต่อีกฝ่ายคิดจะทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานแล้ว? เขากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าคิดให้ดีเสียก่อน ระดับโลกียนิพพานไม่ใช่ว่าจะทะลวงผ่านกันได้ง่ายๆ หากโชคร้ายเจ้าอาจจะบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นเสียชีวิต!”
โดยปกติการจะทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานจำเป็นต้องใช้เวลาเตรียมตัวราวๆร้อยล้านปีถึงพันล้านปี แม้จะเป็นอัจฉริยะเช่นเขาก็ยังไม่ทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์จนกระทั่งอายุเจ็ดล้านปี
แล้วคิดว่าเขาบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่? เมื่อตอนอายุสามหมื่นปี!
เขายอมรับว่าหลิงฮันมีพรสวรรค์ที่สูงส่งยิ่งกว่าตัวเขาเอง แต่จะมีอัจฉริยะที่สามารถสะสมพลังปราณที่เขาต้องใช้เวลาถึงเจ็ดล้านปีเสร็จในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีได้อย่างไร?
เม่าไต้ทำใจเชื่อไม่ลง
หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสไม่ต้องกังวล ข้าไตร่ตรองมาดีแล้ว”
เจ้าไตร่ตรองดีแล้วจริงๆ?
เม่าไต้ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แต่ก็ไม่โน้มน้าวต่อ ก่อนหน้านี้แม้แต่การโจมตีอันเกรี้ยวกราดของนิรันดร์สี่นิพพานอีกฝ่ายก็ยังเคยผ่านมาแล้ว หากหลิงฮันจะสร้างปาฏิหาริย์อย่างอื่นอีกก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
“ตกลง ข้าจะพาเจ้าออกจากเมืองให้เอง”
เม่าไต้ไม่พูดมากความ เขานำรถม้าออกมาและพาหลิงฮันมุ่งหน้าไปยังประตูเมืองทันที
“น้องชายเม่า!” ที่บริเวณประตูมีติงซานนั่งเฝ้าอยู่ เขาผสานมือทักทายเม่าไต้และกล่าว “เหตุใดจู่ๆเจ้าถึงจะออกจากเมืองกัน?”
“การที่ข้าจะออกจากเมืองจำเป็นต้องขออนุญาตเจ้าด้วย?” เม่าไต้กล่าวอย่างเย็นชาโดยไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
สีหน้าของติงซานชะงักและเปลี่ยนเป็นมืดมน เขาพยายามระงับความไม่พอใจเอาไว้และกล่าว “น้องชายเม่า ช่วยเปิดประตูรถม้าและอุปกรณ์มิติให้ข้าตรวจสอบด้วย!”
“แล้วถ้าข้าบอกว่าไม่ล่ะ?” เม่าไต้กล่าวอย่างไม่แยแส
“น้องชายเม่าช่วยให้ความร่วมมือด้วย!” ติงซานคำรามขึ้นเสียง เขารู้ว่าเม่าไต้ให้ความสำคัญกับหลิงฮันเป็นอย่างมาก จึงไม่มีทางที่เขาจะยอมปล่อยเม่าไต้ออกจากเมืองไปโดยไม่ตรวจสอบแน่นอน
เม่าไต้ครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “ก็แล้วแต่เจ้า!”